ต้นกัดลิ้น ผลกินได้สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

0
กัดลิ้น
ต้นกัดลิ้น ผลกินได้สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นสีขาวนวล ผลสุกจะเป็นสีเหลือง
กัดลิ้น
ต้นกัดลิ้น ผลกินได้สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นสีขาวนวล ผลสุกจะเป็นสีเหลือง

ต้นกัดลิ้น

กัดลิ้น ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Walsura trichostemon Miq. จัดอยู่ในวงศ์กระท้อน (MELIACEAE)
สมุนไพรกัดลิ้น มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า แก้วลาว (จันทบุรี), ขี้อ้าย (ลำปาง), มะค่าลิ้น (อุตรดิตถ์, ปราจีนบุรี), ลำไยป่า (อุตรดิตถ์)[1]

ลักษณะของกัดลิ้น

  • ต้นกัดลิ้น หรือ ต้นลำไยป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 5-12 เมตร ลักษณะต้นเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้างถึงค่อนข้างกลม[1] ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ในประเทศไทยสามารถพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในต่างประเทศจะพบได้มากในประเทศพม่าและกัมพูชา[4]
  • ใบกัดลิ้น เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยจำนวนทั้งสิ้น 3 ใบ ซึ่งใบย่อยใบตรงกลางจะมีขนาดใหญ่ที่สุด ใบย่อยคู่ข้างนั้นจะอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนที่เชื่อมกันกับก้านใบย่อยจะป่องเป็นข้อ ๆ ลักษณะของใบย่อยนั้นจะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานจนถึงรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายใบเป็นเรียวแหลม ส่วนโคนใบเป็นสอบ ผิวใบด้านบนมีสีเขียว แต่ท้องใบนั้นมีสีที่อ่อนกว่า[1]
  • ดอกกัดลิ้น ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนงตามปลายกิ่ง มีขนสั้นสีน้ำตาลอ่อน ๆ อยู่ประปราย ดอกกัดลิ้นเป็นดอกขนาดเล็ก มีกลีบเลี้ยงทั้งหมด 5 กลีบซึ่งมีขนาดที่เล็กมาก มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีขนสั้น ๆ ปกคลุม ส่วนกลีบดอกนั้นก็มี 5 กลีบเช่นกัน ดอกเป็นสีขาวนวล ลักษณะกลีบดอกเป็นรูปขอบขนานปลายมน ความยาวประมาณ 6 เท่าของกลีบเลี้ยง ด้านนอกมีขนสั้น ๆ อยู่ประปราย และมีเกสรเพศผู้อยู่ 10 อัน[1]
  • ผลกัดลิ้น มีลักษณะกลม เมื่อผลสุกจะเป็นสีเหลือง มีขนสั้นสีน้ำตาลอ่อน ๆ ขึ้นประปราย ผลมีเมล็ด 1 เมล็ด โดยเมล็ดนั้นมีลักษณะกลม และมีเยื่อนุ่ม ๆ ห่อหุ้มเมล็ดอยู่[1],[2]

สรรพคุณของกัดลิ้น

1. ผลสุกรับประทานเป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ (ผลสุก)[3]
2. รากช่วยในการขับลมในลำไส้ (ราก)[2]
3. ชาวอีสานมักนำกัดลิ้นเป็นส่วนผสมในยารักษาโรคริดสีดวงทวาร (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[5]
4. เปลือกของกัดลิ้นนั้นช่วยห้ามเลือด และใช้ชำระล้างบาดแผลได้ (เปลือก)[2],[4]
5. เปลือกนั้นสามารถช่วยสมานบาดแผลได้ (เปลือก)[2]
6. เนื้อผลเมื่อสุกนั้นช่วยรักษาแผลเปื่อยได้ (เนื้อผลสุก)[3]
7. แก่นหรือเปลือกนั้น ช่วยแก้หิด โดยการนำมาต้มทั้งเปลือกทั้งแก่นผสมกับยาอื่น (แก่น, เปลือก)[2]
8. รากและต้นของกัดลิ้นช่วยบำรุงเส้นเอ็น แก้เส้นเอ็นพิการได้ (ราก, ต้น)[2],[4]
9. รากนั้นสามารถช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ (ราก)[2]

ประโยชน์กัดลิ้น

1. ผลสุกมีรสชาติที่หวานนำมารับประทานเป็นผลไม้ได้[3]
2. ผลสุกสามารถนำมาใช้ทำส้มตำร่วมกับผลตะโกได้[2],[5]
3. เนื้อไม้หรือลำต้นใช้สำหรับการก่อสร้างต่าง ๆ[2]
4. เนื้อไม้นำมาทำเป็นฟืนที่ให้ความร้อนสูงได้[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ข้อมูลพรรณไม้. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กัดลิ้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [15 พ.ย. 2013].
2. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “กัดลิ้น ลำไยป่า มะค่าลิ้น”, “กัดลิ้น, มะค่าลิ้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [15 พ.ย. 2013].
3. โรงเรียนน้ำดิบวิทยาคม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ndk.ac.th. [15 พ.ย. 2013].
4. การสำรวจทรัพยากรป่าไม้เพื่อประเมินสถานภาพและศักยภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี). “กัดลิ้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: inven.dnp9.com. [15 พ.ย. 2013].
5. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้พื้นบ้านอีสาน เล่ม 1. (สุทธิรา ขุมกระโทก). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org. [15 พ.ย. 2013].
อ้างอิงรูปจาก 1.https://www.samunpri.com

ต้นกล้วยเต่า ผลไม้ป่าหายากช่วยดับพิษไข้

0
กล้วยเต่า
กล้วยเต่า เป็นพรรณไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก ดอกมีสีเหลืองอ่อน ผลออกเป็นกลุ่มรูปทรงกระบอก ผิวเปลือกผลมีขนอ่อนนุ่ม
กล้วยเต่า
กล้วยเต่า เป็นพรรณไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก ดอกมีสีเหลืองอ่อน ผลออกเป็นกลุ่มรูปทรงกระบอก ผิวเปลือกผลมีขนอ่อนนุ่ม

กล้วยเต่า

กล้วยเต่า ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Polyalthia debilis Finet & Gagnep.[1] จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)[1]

สมุนไพรกล้วยเต่า มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ไข่เต่า ตับเต่า ตับเต่าน้อย (ภาคเหนือ), รกคก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ไข่เต่า (เชียงใหม่), ก้นครก (มหาสารคาม, ยโสธร), กล้วยตับเต่า กล้วยเต่า (ราชบุรี) เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของกล้วยเต่า

  • กล้วยเต่า เป็นพรรณไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 1 เมตร ตามกิ่งอ่อนมีขนอ่อนปกคลุมอย่างหนาแน่น ส่วนกิ่งที่แก่จะเรียบและมีสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ไม่อุ้มน้ำ ชอบอยู่ที่แสงแดดจัด มีเขตกระจายพันธุ์ในประเทศเวียดนามและลาว ในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์ทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยจะพบขึ้นในป่าดิบ ชายป่า ป่าโปร่ง และป่าเต็งรัง บนพื้นที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100-350 เมตร[1],[2],[3],[4]
  • ใบกล้วยเต่า เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันในระนาบเดียวกัน ลักษณะของใบนั้นเป็นรูปขอบขนานจนถึงรูปไข่กลับแกมรูปใบหอก ปลายใบจะแหลมหรือมนและมีติ่งแหลม โคนใบนั้นมนหรือหยักเว้าเล็กน้อย ลักษณะแผ่ใบนั้นแคบ มีขนาดกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-13 เซนติเมตร ท้องใบจะมีขนและมีสีจางกว่าส่วนหลังใบที่เป็นสีเขียวเข้มและมีลักษณะเกลี้ยงเป็นมัน มีเส้นแขนงใบข้างละ 7-10 เส้น ก้านใบมีความยาว 3 มิลลิเมตร และมีขนสีเหลืองอ่อนขึ้นอย่างหนาแน่น[1],[2]
  • ดอกกล้วยเต่า เป็นดอกเดี่ยวขนาดเล็กตามง่ามใบ ก้านดอกมีขนาดที่สั้น ดอกมีสีเหลืองอ่อน กลีบดอกเรียงสลับกันมี 2 ชั้น มีชั้นละ 3 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่หรือรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายเป็นมน มีขนาดกว้างประมาณ 4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ด้านนอกกลีบนั้นมีขนละเอียดสีเหลืองอ่อน ส่วนกลีบเลี้ยง
  • ดอกมีขนาดที่เล็กและมี 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมกลาย ๆ ด้านนอกมีขนอ่อนนุ่มมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมากอยู่บนแกนกลางของดอก ส่วนเกสรเพศเมียนั้นมี 4 อัน อยู่ที่ปลายแกนกลางของดอก ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม[1],[2]
  • ผลกล้วยเต่า ผลออกเป็นกลุ่ม อยู่บนแกนตุ้มลักษณะกลม แต่ละผลมีรูปทรงกระบอก คอดระหว่างเมล็ด มีปลายที่เรียวแหลม ผิวเปลือกผลมีขนอ่อนนุ่มปกคลุม ผลเมื่ออ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล ผลมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาล มีลักษณะแบนกลม ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1.3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ก้านผลยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ผลจะแก่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม[1],[2],[4]

สรรพคุณของกล้วยเต่า

1. รากนั้นมีรสเย็น นำมาใช้เป็นยาแก้ตัวร้อน ดับพิษไข้ทั้งปวง ดับพิษตานซาง และแก้วัณโรค (ราก)[5]
2. ต้นหรือรากนำเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ปวดท้อง (ต้น, ราก)[3]
3. ในทางภาคอีสานจะใช้เหง้า เปลือก และเนื้อไม้กล้วยเต่า นำมาเป็นยาแก้ท้องเสียในเด็กหรือถ่ายกะปริบกะปรอยเป็นมูกเลือด (เหง้า, เปลือก, เนื้อไม้)[1]
4. ชาวบ้านในจังหวัดยโสธรนั้นจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกระเพาะ (ราก)[3]

ประโยชน์ของกล้วยเต่า

1. ผลสุกจะมีสีเหลือง และมีรสชาติที่หวาน (ในส่วนของเนื้อหุ้มเมล็ด) สามารถนำมารับประทานได้[1],[2],[3],[4]
2. สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์อย่างโค และกระบือได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางอาหารที่พบนั้นจะมีโปรตีน 12.5%, แคลเซียม 0.39%, ฟอสฟอรัส 0.22%, โพแทสเซียม 1.23%, ADF 45.9%, NDF 58.4% และDMD 30.9%[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กล้วยเต่า”. หน้า 64.
2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กล้วยเต่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [24 มิ.ย. 2015].
3. สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์. “กล้วยเต่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : nutrition.dld.go.th. [24 มิ.ย. 2015].
4. พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “กล้วยเต่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th. [24 มิ.ย. 2015].
5. สมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณ แห่งประเทศไทย. “ตับเต่าน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.ayurvedicthai.com. [24 มิ.ย. 2015].

กล้วยหมูสัง บุปผาสีแดงสดกับกลิ่นหอมหวนยามพลบค่ำ

0
กล้วยหมูสัง
กล้วยหมูสัง บุปผาสีแดงสดกับกลิ่นหอมหวนยามพลบค่ำ เป็นเถาไม้เลื้อยขนาดใหญ่ กิ่งก่อนมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองปกคลุม ผลลักษณะคล้ายหวีกล้วย ผลแก่รสหวานอมเปรี้ยว
กล้วยหมูสัง
กล้วยหมูสัง บุปผาสีแดงสดกับกลิ่นหอมหวนยามพลบค่ำ ผลลักษณะคล้ายหวีกล้วย ผลแก่รสหวานอมเปรี้ยว

กล้วยหมูสัง

กล้วยหมูสัง ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Uvaria grandiflora Roxb. Ex Hornem. จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)[1],[2]

สมุนไพรกล้วยหมูสัง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กล้วยหมูสัง (ภาคใต้), กล้วยมดสัง กล้วยมุดสัง ย่านนมควาย (ตรัง), กล้วยมูซัง (สงขลา) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของกล้วยหมูสัง

  • ต้นกล้วยหมูสัง จัดเป็นพืชที่หายากชนิดหนึ่ง เป็นพรรณไม้เถาที่มีเนื้อที่แข็งและมีขนาดใหญ่ แยกออกจากโคนต้นได้หลายเถา สามารถเลื้อยพาดผ่านตามพุ่มไม้ไปได้ไกลถึง 30 เมตรเลยทีเดียว เนื้อไม้เหนียวแข็ง ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นอย่างหนาแน่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และวิธีปักชำกิ่ง ชอบดินร่วน ต้องการน้ำปานกลาง และชอบที่ที่มีแสงแดดทั้งวัน มีเขตกระจายพันธุ์ในประเทศพม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทยนั้นจะพบกระจายพันธุ์ทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมักจะขึ้นตามชายป่าดิบชื้น ป่าโปร่งที่ชุ่มชื้น ป่าละเมาะที่ชุ่มชื้น บริเวณที่โล่งติดริมลำธาร ในพื้นที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 700 เมตร[1],[2],[3]
  • ใบกล้วยหมูสัง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะรูปใบเป็นรูปรีแกมรูปไข่กลับ รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน มีปลายใบที่แหลม โคนใบมีส่วนเว้าเล็กน้อย ส่วนขอบใบนั้นเรียบ แผ่นใบมีขนทั้งสองด้าน โดยแผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเป็นมันและมีขนขึ้นประปรายตามเส้นตรงกลางใบกับเส้นแขนงใบ ส่วนด้านล่างใบมีสีเขียวนวลมีขนที่สั้นนุ่มขึ้นทั่วไป ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 12-25 เซนติเมตร และก้านใบยาวประมาณ 3-8 มิลลิเมตร[1],[2]
  • ดอกกล้วยหมูสัง เป็นดอกเดี่ยว มีสีแดงสด และจะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในช่วงพลบค่ำและกลางคืน โดยดอกนั้นจะออกที่ปลายกิ่งจรดไปตามกิ่ง ออกตรงข้ามหรือเยื้องกับใบกันเล็กน้อย กลีบดอกมีทั้งหมด 6 กลีบ เรียงสลับกัน 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกจะค่อนข้างหนา กลีบดอกนั้นมีสีแดงสดหรือสีแดงเลือดนก ส่วนโคนกลีบดอกนั้นเป็นสีเหลืองอ่อน ลักษณะกลีบดอกมีลักษณะรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน ปลายมน ยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกนั้นมี 3 กลีบ กลีบเลี้ยงจะค่อนข้างบอบบาง มีสีเขียวอมเหลือง ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผิวด้านนอกมีขนสั้นขึ้นประปราย ส่วนผิวด้านในเกลี้ยง มีน้ำหวานจำนวนมากรอบฐานดอก ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นจำนวนมาก อยู่ชิดติดกันแน่นเป็นพุ่มกลม รังไข่ยาวได้ประมาณ 7 มิลลิเมตร มีขนสั้น และยอดเกสรเพศเมียจะแผ่ออกคล้ายรูปแตร มีเมือกเหนียวสีเหลืองแล้วเปลี่ยนเป็นสีที่เข้มขึ้น ตอนเมื่อดอกบานเต็มที่นั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-11 เซนติเมตร[1],[2]
  • ผลกล้วยหมูสัง ออกผลเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มจะมีผลย่อยอยู่อีกจำนวนมาก อยู่ที่ประมาณ 6-15 ผล อยู่บนแกนตุ้มกลม ก้านช่อของผลยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ลักษณะของผลย่อยมีลักษณะรูปทรงกระบอกสั้น ๆ ยาวได้ประมาณ 3-6 เซนติเมตร ปลายผลนั้นมน ส่วนก้านผลย่อยยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร บางตอนของผลจะคอดมีส่วนเว้าเล็กน้อย ตามผิวผลนั้นมีตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นกระจายและมีขนขึ้นประปราย ผลตอนอ่อนมีสีเขียว ส่วนผลตอนสุกมีสีเหลืองอมส้ม มีรสชาติหวานเปรี้ยวนำมารับประทานได้ ภายในผลนั้นมีเมล็ดอยู่มาก[1],[2] ออกดอกและผลในช่วงดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน และพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม[3]

สรรพคุณของกล้วยหมูสัง

1. ใบกับรากนั้น นำเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาบำบัดอาการปวดท้องได้ (ใบและราก)[1],[2]
2. ชาวมลายูจะนำใบกล้วยหมูสัง เอามาต้มกับข้าวรับประทานเป็นยาบรรเทาอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ (ใบ)[1],[2]

ประโยชน์ของกล้วยหมูสัง

1. ผลเมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นที่หอมและมีรสชาติที่หวานเปรี้ยว นำมารับประทานได้[1],[2]
2. กล้วยหมูสังเป็นพรรณไม้ที่มีดอกสีแดงสดสวยงามมาก จนมีการนำมาพัฒนาเป็นไม้เลื้อยประดับ โดยจะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในช่วงพลบค่ำและในช่วงกลางคืน[4]
3. เถาเอามาใช้ประโยชน์แทนหวายได้[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “กล้วยหมูสัง”. หน้า 90.
2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ย่านนมควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [23 มิ.ย. 2015].
3. พืชถิ่นเดียวและพืชหายากของประเทศไทย, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ย่านนมควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th. [23 มิ.ย. 2015].
4. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “กล้วยหมูสัง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [23 มิ.ย. 2015].
รูปจาก : nparks

ประโยชน์ 11 ข้อ ที่น่าทึ่งของกระท้อน

0
กระท้อน
ประโยชน์ 11 ข้อ ที่น่าทึ่งของกระท้อน เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลมีสีสะดุดตา และทนแล้ง
กระท้อน
ประโยชน์ 11 ข้อ ที่น่าทึ่งของกระท้อน เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลมีสีสะดุดตา และทนแล้ง

กระท้อน

ชื่อสามัญของกระท้อน คือ Sentul, Yellow sentol, Santol, Red sentol
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของกระท้อน คือ Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. อยู่ในวงศ์กระท้อน
ชื่อกระท้อนของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เตียนล่อน สะตู มะต้อง สะโต มะติ๋น สะท้อน สตียา

ลักษณะ

  • ต้นของกระท้อน เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดที่แถวอินโดจีนกับมาเลเซียตะวันตก และแพร่ขยายไปในอินเดีย อินโดนีเซีย มอริเชียส ฟิลิปปินส์ จนเป็นพืชท้องถิ่น เป็นไม้ยืนต้น สูง 15-30 เมตร ที่เปลือกต้นมีสีเทา
    ใบของกระท้อน เป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะคล้ายรูปรีแกมไข่ ใบแก่มีสีส้มแดง ใบกว้าง 6-15 เซนติเมตร ยาว 8-20 เซนติเมตร
  • ดอกของกระท้อน กลีบดอกมีสีเหลืองนวล ดอกออกเป็นช่อที่ตามซอกใบปลายกิ่ง มีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก
  • ผลของกระท้อน มีลักษณะกลมแป้น ที่ผิวมีขน ผลอ่อนเป็นสีเขียวและมีน้ำยางสีขาว ผลแก่เป็นสีเหลืองมีน้ำยางน้อยลง ขนาด 5-15 เซนติเมตร ในผมมีเมล็ด 4-5 เมล็ด มีปุยสีขาวหุ้มเมล็ดอยู่ และมีปลอกเหนียวห่อหุ้มอยู่ เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปรี
  • สายพันธุ์กระท้อน ที่นิยมจะเป็นพันธุ์กระท้อนห่อที่มีรสหวาน คือ สายพันธุ์อีล่า ปุยฝ้าย ทับทิม อินทรชิต นิ่มนวล ขันทอง เทพรส อีแดง กระท้อนสายพันธุ์พื้นเมืองนั้นจะเปรี้ยว ผลดก ขนาดเล็ก นิยมเอามาทำเป็นกระท้อนทรงเครื่อง และกระท้อนดอง
  • กระท้อน มีธาตุโพแทสเซียมสูง ไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไต เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะโพแทสเซียมสูงอยู่ ทำให้ต้องควบคุมการทานโพแทสเซียม สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคไตก็ไม่ควรประมาท เพราะมีการตรวจพบว่ากระท้อนมีสารฟอกขาว (สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) ปนเปื้อนได้ ถ้าได้รับเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการอักเสบตามอวัยวะที่สัมผัส เช่น ปาก กระเพาะอาหาร และจะมีอาการแน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียนด้วย

สรรพคุณของกระท้อน

  • สารสกัดที่ได้จากเมล็ดกระท้อนจะมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลง
  • สามารถช่วยรักษาโรคผิวหนัง และกลากเกลื้อนได้ (เปลือก)
  • สามารถใช้ทำเป็นยาขับลมได้ (ราก)
  • รากกระท้อนสามารถช่วยแก้บิดได้
  • สามารถนำใบสดมาต้มใช้อาบแก้ไข้ได้
  • สารสกัดที่ได้จากกิ่งของกระท้อนมีผลยับยั้งมะเร็งในหลอดทดลอง
  • กระท้อนมีหลายส่วนที่มีสรรพคุณที่ออกฤทธิ์แก้อาการอักเสบ
  • ผลกระท้อนมีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมาน
  • รากสามารถช่วยแก้อาการท้องเสียได้
  • สามารถใช้รากทำเป็นยาธาตุได้
  • ใบของกระท้อนสามารถช่วยขับเหงื่อได้

ประโยชน์ของกระท้อน

  • ลำต้นทำเป็นไม้ใช้สอยต่าง ๆ ได้ เช่น ทำไม้กระดาน เป็นต้น
  • กระท้อนมีรสเปรี้ยว และมีฤทธิ์เย็น เหมาะกับผู้ที่เกิดในเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม ธาตุเจ้าเรือนอยู่ในธาตุน้ำ
    ผลสามารถทานได้ และสามารถนำมาใช้ทำอาหารคาวหวานได้หลากหลายชนิด เช่น แกงคั่ว แกงฮังเล ผัด ตำ ใช้เป็นอาหารหวานเช่น กระท้อนทรงเครื่อง กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนดอง กระท้อนกวน กระท้อนแช่อิ่ม เยลลี่กระท้อน แยมกระท้อน น้ำกระท้อน

คุณค่าทางโภชนา

คุณค่าทางโภชนาการของกระท้อน 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.045 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.741 มิลลิกรัม
วิตามินซี 86.0 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.42 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 4.3 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 17.4 มิลลิกรัม
แคโรทีน 0.003 มิลลิกรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 0.118 กรัม
ใยอาหาร 0.1 กรัม

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.hort.purdue.edu
แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

กระเบา สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง

0
กระเบา สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง เมล็ดใช้รักษาส่วนมากจะใช้เป็นยาภายนอก เนื้อผลสุกกินเป็นอาหาร ใบกับเมล็ดนำมาต้มน้ำหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์จะเป็นพิษ
กระเบา
กระเบา สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง เมล็ดใช้รักษาส่วนมากจะใช้เป็นยาภายนอก เนื้อผลสุกกินเป็นอาหาร ใบกับเมล็ดนำมาต้มน้ำหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์จะเป็นพิษ

กระเบา

ชื่อสามัญของกระเบา คือ Chaulmoogra[3]
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของกระเบา คือ Hydnocarpus anthelminthicus Pierre ex Laness[1] อยู่ในวงศ์ ACHARIACEAE
ชื่อกระเบาของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ดงกะเปา กระเบาเบ้าแข็ง กระเบาน้ำ ตัวโฮ่งจี๊ หัวค่าง กระเบาข้าวแข็ง กระเบาใหญ่ มะกูลอ กระเบาข้าวเหนียว เบา กระเบาตึก กาหลง ต้าเฟิงจื่อ กระตงดง แก้วกาหลง กุลา

ลักษณะ

  • ต้นของกระเบา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-15 เมตร สูงโปร่ง ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เปลือกลำต้นจะเรียบ มีสีเทา ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ประเทศไทยสามารถพบเจอได้ทุกภาคที่ตามป่าดิบตามป่าบุ่ง ป่าทามที่สูงจากระดับน้ำทะเล 30-1,300 เมตร[1],[2],[4],[6],[7],[11]
  • ใบของกระเบา เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบเป็นรูปรียาวแกมรูปขอบขนาน ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะมน ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร หลังใบจะเรียบและเป็นมัน มีสีเขียวเข้ม ท้องใบจะเรียบไม่ลื่น มีสีอ่อนกว่าหลังใบ เนื้อใบทึบแข็งกรอบ มีเส้นใบ 8-10 คู่ เส้นใบย่อยจะสานกันเป็นลายร่างแห ใบอ่อนจะมีสีชมพูแดง ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาว 10-30 เซนติเมตร[1],[2],[4],[11]
  • ดอกของกระเบา เป็นดอกแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ต้นตัวผู้เรียกว่าแก้วกาหลง ต้นตัวเมียเรียกว่ากระเบา[10] เป็นดอกเดี่ยว ดอกออกที่ตามซอกใบ บ้างก็ว่าดอกออกเป็นช่อสีขาวนวล ช่อหนึ่งมีดอก 5-10 ดอก มีกลิ่นหอม มีเกสรเพศผู้อยู่ 5 ก้าน[4] ดอกเพศผู้มีสีชมพู มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ มีขนอยู่ ดอกเพศเมียดอกออกเป็นช่อที่ตามง่ามใบ กลีบเลี้ยงกับกลีบดอกเหมือนดอกเพศผู้[1],[2],[5] ดอกออกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[6],[11] บางคนก็ว่าดอกออกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน[7]
  • ผลของกระเบา มีลักษณะกลม ผลใหญ่ ผลกว้าง 8-12 เซนติเมตร เปลือกผลจะหนาและแข็งมีสีน้ำตาล ผิวผลจะมีขนคล้ายกับกำมะหยี่สีน้ำตาล เนื้อผลมีสีขาวอมเหลือง ในผลมีเมล็ดสีดำรวมกันประมาณ 30-50 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปรีหรือรูปไข่เบี้ยว ปลายจะมนทั้งสองข้าง กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-1.9 เซนติเมตร[1],[2],[4],[11] ติดผลช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน จะเป็นผลช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม[6],[11]

สรรพคุณของกระเบา

  • สามารถนำเมล็ดมาหุงเป็นน้ำมันทาภายนอก ใช้ทาผมและรักษาโรคผมร่วง[1],[2]
  • สามารถใช้ปรุงเป็นยารักษาอีสุกอีใสได้ โดยใช้กระเบา 50 กรัม กระเทียม 20 กรัม มาตำผสมน้ำ 100 cc. แล้วต้มให้เดือด 5 นาที แล้วใช้ทาแผลตามร่างกาย จากการทดลองในคนไข้ 50 คน และทาเพียงครั้งเดียวพบว่าคนไข้ทั้งหมดมีอาการดีขึ้น (เข้าใจว่าใช้ส่วนของเมล็ดของกระเบา)[4]
  • ผลกับเมล็ดจะมีรสเมาเบื่อมัน สามารถใช้แก้โรคผิวหนังต่างๆ[1],[2] ตำรายาไทยใช้น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดเพื่อใช้รักษาโรคผิวหนังอื่นๆ[3] หรือใช้เมล็ด 5-10 เมล็ด มาแกะเปลือกออกมาตำให้ละเอียด แล้วเติมน้ำมันพืชลงไปพอควร คลุกให้เข้ากัน นำมาใช้ทาแก้โรคผิวหนัง[4]
  • ใบจะมีรสเบื่อเบา สามารถใช้ฆ่าพยาธิบาดแผลได้[1],[2]
  • สามารถช่วยรักษาบาดแผลได้ (รากกับเนื้อไม้)[1],[2]
  • สามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้ (เมล็ด)[11]
  • สามารถช่วยดับพิษทั้งปวง (รากกับเนื้อไม้)[1],[2]
  • ผลสามารถใช้รักษามะเร็งได้[1],[2]
  • สามารถใช้แก้อาการปวดบวมตามข้อได้ (น้ำมันที่ได้จากเมล็ด)[5],[7]
  • ผลสามารถช่วยรักษาโรคเรื้อนได้[1],[2] ตำรายาไทยระบุว่าใช้น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดในการรักษาโรคเรื้อน[3] หรือใช้น้ำมันจากเมล็ด 3 มล. น้ำ 160 มล. น้ำนมอุ่น 30 มล. น้ำเชื่อม 40 มล. มาผสมกัน ดื่มหลังอาหารวันละ 3 เวลา ช่วยแก้โรคเรื้อนได้[4]
  • สามารถใช้ใบแก้กลากเกลื้อนได้[1],[2] สามารถใช้เมล็ดเป็นยาแก้กลากเกลื้อนได้ และช่วยแก้หิดได้[4]
    สามารถช่วยแก้พิษบาดแผลสดได้ (ใบ)[2]
  • รากกับเนื้อไม้จะมีรสเบื่อเมา สามารถช่วยฆ่าพยาธิผิวหนังต่าง ๆ ได้[1],[2]
  • สามารถช่วยแก้เสมหะเป็นพิษได้ (รากกับเนื้อไม้)[1],[2]
  • เมล็ดจะมีรสเผ็ดร้อนและขม สามารถใช้เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์กับตับ ม้าม ไต สามารถใช้เป็นยาขับลม ขับพิษได้[4]

ประโยชน์ของกระเบา

  • กระเบาเป็นต้นไม้ที่ไม่ใหญ่มาก สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้ ต้นจะมีเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ไม่ผลัดใบ สามารถให้ร่มเงาได้ทั้งปี และช่วงการแตกใบอ่อนสีชมพูแดงจะมีสีสันสวยมาก ดอกถึงจะมีขนาดเล็กแต่มีกลิ่นหอมแรง มีผลที่ใหญ่คล้ายผลทองดูสวยงาม[11]
  • ชาวพิจิตรใช้เมล็ดกระเบามาตำให้ละเอียดแล้วให้สุนัขกลืนแบบดิบ ๆ ช่วยทำให้สุนัขที่เป็นโรคเรื้อนหายเป็นปกติจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์ เมล็ดมีฤทธิ์ที่ทำให้เมา ไม่ควรใช้เยอะ[6]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดสามารถนำมาใช้ปรุงเป็นน้ำมันสำหรับใส่ผมเพื่อรักษาโรคบนหนังศีรษะได้[5]
  • ผลแก่ที่สุกสามารถทานเนื้อเป็นอาหารได้ เนื้อจะนุ่ม มีรสหวานมันคล้ายเผือกต้ม[5],[6]
  • เนื้อไม้กระเบาจะมีสีแดงแกมสีน้ำตาลเมื่อตัดใหม่ นานไปจะมีสีน้ำตาลอมสีเทา เนื้อไม้จะเป็นเสี้ยนตรง เนื้อไม้ละเอียด และสม่ำเสมอ แข็ง ผ่าเลื่อยง่าย สามารถใช้ในงานก่อสร้าง ทำกระดานพื้นบ้านได้[6]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดกระเบา (Chaulmoogra oil หรือ Hydnocarpus oil) สามารถนำไปดัดแปลงทางเคมี ใช้เป็นยาทาภายนอก ยาฉีด ยารับประทาน เพื่อใช้บำบัดโรคผิวหนังและฆ่าเชื้อโรคได้ เช่น นำไปใช้บำบัดโรคเรื้อน โรคเรื้อนกวาง หิด คุดทะราด โรคผิวหนังผื่นคันที่มีตัวทุกชนิด และนำไปใช้รักษามะเร็งได้[5]
  • ผลเป็นอาหารของลิงกับปลา มีรสชาติมัน มีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้ง น้ำตาล[9],[11]

สิ่งที่ควรรู้และข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระเบา

  • ใบกับเมล็ดของกระเบาจะเป็นพิษ มีสาร Cyanogenetic glycoside [5] พิษเฉียบพลันของเมล็ดกระเบา ถ้านำเมล็ดมาต้มน้ำหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์ นำไปฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะรู้สึกปวดแสบ และทำให้เซลล์กล้ามเนื้อตายด้านอย่างเฉียบพลัน ถ้าทานมากเกินไป จะทำให้อาเจียนปวดท้อง ปวดลำไส้ ทำให้ไตอักเสบ ปัสสาวะมีโปรตีน ปัสสาวะเป็นเลือด[4]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดกระเบาในสมัยก่อนสามารถใช้รักษาโรคเรื้อนได้นานพอควร และใช้รักษาเชื้อราของโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ด้วย[4] มีรายงานวิจัยระบุว่าน้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดกระเบาโดยที่ไม่ใช้ความร้อน จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคเรื้อนกับวัณโรค[3]
  • กระเบาจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ยับยั้งมะเร็ง ยับยั้งมดลูกบีบตัว ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร แก้ไข้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านยีสต์ คล้ายกล้ามเนื้อเรียบ รักษาวัณโรค รักษาโรคเรื้อน ทำให้อักเสบ[11]
  • เมล็ดกระเบาส่วนมากจะใช้เป็นยาภายนอก ถ้าต้องการใช้ผสมกับตำราอื่นเพื่อทาน ต้องมีวิธีการกำจัดพิษในเมล็ดก่อนนำมาใช้ ห้ามทานเกินที่กำหนด[4]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ด ใช้ฉีดเข้าในผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ ซึมผ่านแผล (Direct infusion) ครั้งแรกให้ใช้ 0.5 มล. ต่อมาใช้ 1 มล. อาทิตย์ละครั้ง ใช้ฉีดน้ำมันใส่ผม ช่วยรักษาผิวหนังบนศีรษะ รักษาคุดทะราด ใช้เป็นยาแก้มะเร็ง[4]
  • การใช้สาร Hydnocarpic acid จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อนมากกว่าสาร Chaulmoograte ถ้านำมาใช้ร่วมกับ Chaulmoograte จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อนดีกว่า[4]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดจะมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิไส้เดือน กระตุ้นการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง[8] เมล็ดกับใบสดจะมีสาร Hydrocyanic acid เมล็ดมีน้ำมันระเหย 20-25% มีน้ำมันที่เป็น Glycerides oil ของ Chaulmoogric acid, Cyclopentenylglycine, Hydnocarpic acid, Alepric acid, Aleprolic acid, Aleprylic acid, Gorlic acid[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กระเบาใหญ่ (Kra Bao Yai)” (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 34.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “กระเบาใหญ่”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, รศ.ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, อาจารย์กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 61.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “กระเบา”. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 122.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “กระเบาน้ำ”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 40.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบาน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [01 ก.พ. 2014].
รอบรู้สมุนไพร, โรงเรียนบางสะพานวิทยา. “กระเบา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bspwit.ac.th. [01 ก.พ. 2014].
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4.
พืชสมุนไพรโตนงาช้าง, สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 (สงขลา), กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กระเบาใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: paro6.dnp.go.th. [01 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในโรงเรียน, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “กระเบา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: copper.msu.ac.th/plant/. [01 ก.พ. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “กระเบา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [01 ก.พ. 2014].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบาใหญ่”. อ้างอิงใน: thaimedicinalplant.com. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [01 ก.พ. 2014].

อ้างอิงรูป
https://www.phakhaolao.la/en/kb/0000187
https://www.floraofbangladesh.com/2018/10/chalmugra-or-dalmugri-hydnocarpus-kurzii.html

กระเบากลัก พรรณไม้ผลสีดำน่าพิศวง กับคุณประโยชน์อันมากล้น

0
กระเบากลัก
กระเบากลัก พรรณไม้ผลสีดำน่าพิศวง กับคุณประโยชน์อันมากล้น เป็นไม้ยืนต้นมีขนาดกลาง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมแดง และผิวเรียบ ผลดำขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่
กระเบากลัก
กระเบากลัก พรรณไม้ผลสีดำน่าพิศวง กับคุณประโยชน์อันมากล้น เป็นไม้ยืนต้นมีขนาดกลาง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมแดง และผิวเรียบ ผลดำขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่

กระเบากลัก

กระเบากลัก ในทางชื่อวิทยาศาสตร์ Hydnocarpus ilicifolius King[1] ปัจจุบันถูกจัดอยู่ในวงศ์ ACHARIACEAE

สมุนไพรกระเบากลัก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กระเบาลิง (ทั่วไป), จ๊าเมี่ยง (แพร่, สระบุรี), กระเบาหิน (อุดรธานี), กระเรียน (ชลบุรี), คมขวาน หัวค่าง (ประจวบคีรีขันธ์), หัวค่าง (สุราษฎร์ธานี), กระเบียน ขี้มอด (จันทบุรี), กระเบาซาวา (เขมร-จันทบุรี), กระเบาพนม (เขมร-สุรินทร์), ดูกช้าง (กระบี่), บักกรวย พะโลลูตุ้ม (มลายู-ปัตตานี) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของกระเบากลัก

  • ต้นกระเบากลัก เป็นพรรณไม้ยืนต้นมีขนาดกลาง ตรงส่วนของลำต้นนั้นค่อนข้างเปลาตรง มีความสูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมแดง และผิวเรียบ ส่วนตามกิ่งอ่อนนั้นมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุม กิ่งที่แก่แล้วจะเกลี้ยง ชอบน้ำปานกลางและแสงแดดแบบครึ่งวัน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะกล้าจากเมล็ด มีเขตการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน และแหลมมลายู ส่วนในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค ส่วนใหญ่มักขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ตามเขาหินปูน และบริเวณที่ใกล้ชายทะเล ขึ้นตามพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูงประมาณ 800 เมตร[1],[2],[3]
  • ใบกระเบากลัก เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรียาวขอบขนานหรือมีรูปใบหอก ตรงปลายใบเป็นใบเรียวหรือค่อนข้างเรียวแหลม โคนใบนั้นมน หรือสอบ ส่วนขอบใบจะหยักเป็นฟันเลื่อยห่าง ๆ ช่วงปลายใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-7.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7.5-16 เซนติเมตร ก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.5 เซนติเมตร หลังใบลักษณะเรียบเป็นมันมีสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเรียบ มีเส้นแขนงใบเยื้องกันข้างละ 7-10 เส้น ส่วนเส้นใบย่อยเป็นรูปร่างแห ทั้งเส้นแขนงใบและเส้นใบย่อยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งสองด้าน[1],[2],[3]
  • ดอกกระเบากลัก เป็นดอกแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ช่อละประมาณ 2-10 ดอก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีขนสีน้ำตาลแดง ส่วนดอกย่อยเป็นสีขาวหรือมีสีเหลืองอมเขียว มีกลีบดอก 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายจะตัด ความยาวจะไล่เลี่ยกับกลีบเลี้ยง มีขนที่ปลายกลีบ ด้านนอกค่อนข้างเกลี้ยง ส่วนที่โคนก้านด้านในมีเกล็ดรูปเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ มีรูปร่างลักษณะค่อนข้างกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มิลลิเมตร ดอกเพศผู้มีเกสรประมาณ 14-20 อัน ก้านชูอับเรณูมีขนาดสั้น มีขน ส่วนดอกเพศเมียนั้นมีเกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์จำนวน 15 อัน รังไข่เป็นรูปไข่ มีขนสีน้ำตาลแดง ที่ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 4 แฉก[1],[2],[3]
  • ผลกระเบากลัก มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 4-8 เซนติเมตร เปลือกผลนั้นแข็ง ผิวเรียบและมีขนนุ่มสีดำ สีน้ำตาลดำ หรือสีน้ำตาลแดง ลักษณะคล้ายกำมะหยี่ ภายในผลนั้นมีเมล็ดสีขาว มีเนื้อหุ้มเมล็ดอัดกันแน่นรวมกันประมาณ 10-15 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.3-2.2 เซนติเมตร[1],[2],[3]

สรรพคุณของกระเบากลัก

1. ใบสามารถใช้เป็นยาแก้พิษบาดแผล ฆ่าพยาธิบาดแผล และแก้กลากเกลื้อนได้ (ใบ)[1],[2]
2. ผลนั้นสามารถเป็นยาแก้โรคผิวหนัง โรคเรื้อน มะเร็ง และคุดทะราดได้ (ผล, เมล็ด)[1],[2],[4]
3. ส่วนเมล็ดนั้นใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ (เมล็ด)[4]
4. รากและเนื้อไม้นำมาใช้เป็นยาดับพิษทั้งปวง และแก้เสมหะเป็นพิษ (รากและเนื้อไม้)[1],[2]
5. บางข้อมูลระบุว่า เมล็ดนอกจากจะใช้ทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้แล้ว ยังใช้เป็นยารักษาโรคผมร่วงได้อีกด้วย (ไม่มีอ้างอิง)

ประโยชน์ของกระเบากลัก

1. ส่วนผลนั้นรับประทานได้ ลิงจะชอบกินเป็นพิเศษ[5]
2. ต้นกระเบากลักจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กมีรูปทรงที่สง่างาม เรือนยอดกลม และแผ่นใบหนา มีผลสีดำกำมะหยี่ดูสวยงาม เป็นไม้ให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี จะนำไปปลูกตกแต่งบริเวณบ้าน สวนหย่อม หรือที่ทำการก็ได้ สามารถปลูกได้ตั้งแต่ที่ราบไปจนถึงภูเขาที่ไม่สูงมากนัก[5]
3. ส่วนของเมล็ดจะนำไปบดเพื่อสกัดเอาน้ำมัน ที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสบู่ น้ำมันใส่ผม เทียนไข น้ำมันหล่อลื่น ฯลฯ[4]
4. เนื้อไม้มีประโยชน์ในงานก่อสร้างอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำเป็นกระดาน เครื่องจักสาน เครื่องแกะสลัก ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร เครื่องมือใช้สอยต่าง ๆ และยังสามารถใช้ทำเป็นฟืนหรือถ่านได้อีกด้วย[4],[5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กระเบากลัก (Kra Bao Klak)”. หน้า 33.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กระเบากลัก”. หน้า 60.
3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบากลัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [27 มิ.ย. 2015].
4. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กระเบากลัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [27 มิ.ย. 2015].
5. เว็บไซต์ท่องไทยแลนด์ดอทคอม. “กระเบากลัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thongthailand.com. [27 มิ.ย. 2015].

ภาพประกอบ : www.biogang.net (by so_sick, scoopy), www.magnoliathailand.com (by ღ(•ิ_•ิ)ღปิ่งปิ๊ง, ป้ากระต่าย)

รูปอ้างอิง
1.https://www.ydhvn.com/news/cay-duoc-lieu-cay-lo-noi-o-ro-son-den-chum-bao-gia-da-trang-hydnocarpus-ilicifolia-king
รูปจาก khaohinsonbg.org

ประโยชน์ของกล้วย 33 ข้อ

0
กล้วย
กล้วยสามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายได้ นิยมทานในประเทศไทยมีอยู่หลายสายพันธุ์ สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายได้ช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานดี

กล้วย

กล้วย

กล้วย (Banana) ที่นิยมทานในประเทศไทยมีอยู่หลายสายพันธุ์ อย่างเช่น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุก ต่างชาตินิยมทานกล้วยหอม เพราะมีกลิ่นหอม มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าการทานกล้วย 2 ลูก สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เท่ากับออกกำลังกาย 90 นาที เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลจากธรรมชาติ 3 ชนิด ได้แก่ ซูโครส กลูโคส ฟรุกโทส มีเส้นใย กากอาหาร วิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์กับร่างกาย อย่างเช่น ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินซี
รู้หรือไม่ ว่าผลแอปเปิลที่ขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์แต่ก็แพ้กล้วย เนื่องจากกล้วยมีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่าแอปเปิล 2 เท่า กล้วยมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่าแอปเปิล 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าแอปเปิล 3 เท่า มีโปรตีนมากกว่าแอปเปิล 4 เท่า และมีวิตามินเอ ธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า การทานกล้วยถ้าจะให้ผลดีที่สุดคือทานตอนเช้า เนื่องจากจะช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานดี การทานกล้วยวันละ 2 ผล จะดีมาก ๆ จะทานกล้วยหอม กล้วยไข่ หรือกล้วยน้ำว้าก็ได้ทั้งนั้น

สรรพคุณของการทานกล้วย

  • ช่วยบรรเทาอาการนิ่วในไตได้ระดับหนึ่ง สามารถลดอัตราการเกิดตะคริวที่มือ เท้า น่องได้
  • สามารถช่วยรักษาแผลในลำไส้เรื้อรังได้ เนื่องจากกล้วยมีสภาพเป็นกลาง ทำให้ระคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร
  • สามารถช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดเส้นโลหิตแตก
  • สามารถช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เนื่องจากกล้วยมีธาตุเหล็กสูง จะช่วยผลิตฮีโมโกลบินในเลือด รักษาภาวะโลหิตจาง หรือตนที่อยู่ในสภาวะขาดกำลัง
  • สามารถบรรเทาอาการของริดสีดวงทวารหรือเวลาที่ขับถ่ายแล้วมีเลือดออกมาได้
  • สามารถช่วยคนที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ได้ เนื่องจากกล้วยมีวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โพรแทสเซียม แมกนีเซียม ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้นจากการเลิกนิโคติน
  • สามารถลดอาการหงุดหงิดของผู้หญิงช่วงที่ประจำเดือนมาได้
  • สามารถช่วยอาการนอนไม่หลับ
  • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยชะลอความแก่ของร่างกายได้
  • มีวิตามินและแร่ธาตุ ที่สำคัญและจำเป็นกับร่างกาย อย่างเช่น ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินซี
  • สามารถลดกลิ่นปากได้ดีระดับหนึ่ง ควรทานทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้าแล้วค่อยแปรงฟัน ถ้าเป็นกล้วยน้ำว้าจะสามารถลดกลิ่นปากได้ดีขึ้น
  • บรรเทาอาการแพ้ท้องของมารดาลง
  • สามารถรักษาโรคซึมเศร้า และภาวะความเครียดได้ เนื่องจากกล้วยจะมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Tryptophan จะช่วยผลิตสาร Serotonin หรือฮอร์โมนแห่งความสุข ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ดี
  • คนที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบ การทานกล้วยบ่อย ๆ จะดีมาก เนื่องจากกล้วยมีสภาพเป็นกลาง มีความนิ่ม และมีเส้นใยสูง
  • สามารถช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดฝอยแตกได้
  • สามารถลดอาการเสียดท้อง ลดกรดในกระเพาะได้ การทานกล้วยจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากอาการได้
  • สามารถช่วยรักษาอาการท้องผูกได้ เนื่องจากกล้วยมีเส้นใยกับกากอาหาร จะช่วยให้ขับถ่ายได้ปกติ
  • สามารถลดอาการเมาค้างได้ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจากจะช่วยชดเชยน้ำตาลที่ร่างกายขาดขณะที่ดื่มแอลกอฮอล์
  • สามารถช่วยอาการหงุดหงิดตอนเช้าได้
  • ช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และลดอาการที่อยากกินของจุกจิกได้
  • สามารถเพิ่มพลังให้สมองได้ เนื่องจากมีสารช่วยทำให้เกิดสมาธิและตื่นตัวตลอดเวลา
  • ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้ปกติได้
  • นำผลดิบมาบดให้ละเอียดทั้งลูกผสมน้ำ สามารถใช้ทานแก้อาการท้องเสียได้

ประโยชน์ของกล้วย

  • สามารถนำใบอ่อนของกล้วยมาอังไฟให้นิ่ม ใช้ประคบแก้อาหารเคล็ดขัดยอก
  • สามารถนำยางของกล้วยสามารถมาใช้ห้ามเลือดได้
    เปลือกด้านในของกล้วย สามารถช่วยรักษาโรคหูดบนผิวหนัง ด้วยการใช้เปลือกกล้วยวางบริเวณหูด ใช้เทปกาวแปะไว้
  • สามารถนำกล้วยมาทำที่มาส์กหน้าได้ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว ลดความหยาบกร้านของผิว โดยใช้กล้วยสุก
  • ผลมาบดให้ละเอียด เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ แล้วคลุกให้เข้ากัน ใช้พอกหน้าไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • ใบตอง สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ อย่างเช่น ทำกระทง ห่อขนม ห่ออาหาร ทำบายศรี และงานบวงสรวงต่าง ๆ
    สามารถทานหัวปลี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด บำรุงและขับน้ำนมสำหรับมารดาหลังคลอดบุตรได้
  • ก้านใบตอง สามารถลดอาการบวมของฝีได้ แต่ต้องตำให้แหลกก่อนใช้
  • เปลือกกล้วยด้านใน สามารถช่วยฆ่าเชื้อที่เกิดจากบาดแผลได้ เมื่อแปะที่บาดแผลแล้วควรเปลี่ยนเปลือกใหม่ทุก 2 ชั่วโมง
  • เปลือกของกล้วย สามารถช่วยแก้ผื่นคันที่เกิดจากยุงกัด โดยลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาตรงที่ถูกยุงกัด จะช่วยลดอาการคันได้ในระดับหนึ่ง

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของกล้วย

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.031 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 2 0.073 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 3 0.665 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 5 0.334 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี 6 0.4 มิลลิกรัม 31%
วิตามินบี 9 20 ไมโครกรัม 5%
วิตามินซี 8.7 มิลลิกรัม 10%
คาร์โบไฮเดรต 22.84 กรัม
เส้นใย 2.6 กรัม
โปรตีน 1.09 กรัม
น้ำตาล 12.23 กรัม
ไขมัน 0.33 กรัม
โคลีน 9.8 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 27 มิลลิกรัม 8%
ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
ธาตุฟลูออไรด์ 2.2 ไมโครกรัม
ธาตุเหล็ก 0.26 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.27 มิลลิกรัม 13%
โพแทสเซียม 358 มิลลิกรัม 8%
ธาตุสังกะสี 0.15 มิลลิกรัม 2%
พลังงาน 89 กิโลแคลอรี

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), USDA Nutrient database

รูปจาก : fruitpeople ,naturehills

ตะขบบ้าน ผลไม้ที่มีสรรพคุณและประโยชน์ที่น่าทึ่ง

0
ตะขบบ้าน
ตะขบบ้าน ผลไม้ที่มีสรรพคุณและประโยชน์ที่น่าทึ่ง เปลือกลำต้นเรียบจะมีสีเทา กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม และมีดอกขาว ผลสุกสีแดง กลิ่นหอมให้รสหวาน

ตะขบบ้าน

ตะขบบ้าน

ตะขบบ้าน หรือ ตะขบฝรั่ง ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กซึ่งเป็นพืชโบราณที่พบได้ตามบ้านเรือน มีลำต้นไม่สูง แตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งแผ่กางเป็นวงกว้างเป็นร่มเงา มีความสูงอยู่ประมาณ 5-7 เมตร และยังสูงได้อีกถึง 10 เมตร  เปลือกลำต้นเรียบจะมีสีเทา กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม และมีดอกขาว ผลสุกหอมให้รสหวาน มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ จะปลูกเป็นไม้ประดับหรือปลูกทั่วไปในเขตร้อน และอาจจะพบเป็นวัชพืชในที่รกร้างตามป่าทั่วไป จะขยายพันธุ์ได้เองโดยวิธีการเพาะเมล็ด ออกดอกและติดผลได้ตลอดทั้งปี

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ตะขบบ้าน หรือตะขบไทย มีชื่อสามัญ คือ Calabura, Jam tree, Jamaican cherry, Malayan Cherry, West Indian Cherry
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Muntingia calabura L. (ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ MUNTINGIACEAE)
ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ครบฝรั่ง (สุราษฎร์ธานี), หม่ากตะโก่เสะ (กะเหรี่ยงแดง), ตากบ (ม้ง), เพี่ยนหม่าย (เมี่ยน), ตะขบฝรั่ง (ไทย)
ชื่อวงศ์ : วงศ์สนุ่น (SALICACEAE)
ชื่อพ้อง : Flacourtia cataphracta Roxb. ex Willd.

ลักษณะของตะขบ

ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับแบบทแยง ลักษณะเป็นรูปไข่ มีขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนหรืออาจจะข้างหนึ่งมนและอีกข้างหนึ่งแหลม ขอบใบจักเป็นซี่เล็ก ๆ ใบมีความกว้างอยู่ประมาณ 1.5-3.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4.5-9 เซนติเมตร หลังใบด้านบนจะเป็นสีเขียว ท้องใบด้านล่างมีสีนวล หลังใบและท้องใบมีขนนุ่มและจะเหนียวเล็กน้อย เส้นแขนงใบจะมีอยู่ 3-5 เส้น ก้านใบยาวประมาณ 0.2-0.6 เซนติเมตร มีขน และโคนก้านเป็นปม
ดอก จะเป็นดอกเดี่ยวหรือคู่ โดยจะออกเหนือซอกใบ มีสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่ป้อม ๆ ปลายกลีบจะมน มีความกว้างประมาณ 9 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 11 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ สีเขียว ลักษณะเป็นรูปหอก ปลายกลีบแหลม มีความกว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 10-12 มิลลิเมตรโคนกลีบตัด กลีบด้านนอกมีขน ส่วนด้านในเกลี้ยง มีเกสรเพศผู้อยู่มาก ก้านเกสรยาวประมาณ 5-6.5 มิลลิเมตร ไม่มีขน แต่ก้านเกสรเพศเมียจะสั้น มี 5-6 ช่อง อยู่ข้างใน และแต่ละช่องจะมีไข่อ่อนจำนวนมาก ก้านดอกยาวประมาณ 1.5-1.6 เซนติเมตร มีขน
ผล เป็นผลสด ลักษณะเป็นทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 0.75-1.5 เซนติเมตร เปลือกบาง ผลอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่ถ้าสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง รสหวาน มีเมล็ดแบนขนาดเล็กอยู่มาก

สรรพคุณของตะขบ

1. ผล มีรสหวาน มีความหอมและเย็น สามารถเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ
2. ดอก ใช้ดอกแห้งประมาณ 3-5 กรัม นำมาชงเป็นน้ำชาดื่ม แก้อาการปวดศีรษะ แก้หวัด ลดไข้ แก้อาการปวดเกร็งในทางเดิน แก้ปวดและแก้อักเสบ หรือใช้ต้มรวมกับสมุนไพรอื่นกินเป็นยาขับระดูของสตรี แก้โรคตับอักเสบ แก้ปวดและแก้อักเสบ
3.ใบ มีรสฝาด สามารถใช้เป็นยาขับเหงื่อ
4. ต้นและราก ต้นสามารถใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง หรือต้มกับน้ำกินเป็นยาระบาย เนื่องจากมีสาร mucilage มาก ส่วนรากใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง แก้ผื่นคันตามตัว แก้เสมหะ ช่วยกล่อมเสมหะและอาจม
5. เนื้อไม้ มีสามารถใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง บิดมูกเลือด แก้อาการปวดศีรษะ แก้ไข้หวัด ขับไส้เดือน แก้ตานขโมย
6. เปลือกต้น มีรสฝาด นำมาสับเป็นชิ้นต้มในน้ำเดือด 1 ลิตร ประมาณ 15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มเป็นยาระบายได้

ประโยชน์ของตะขบ

1. อุดมไปด้วยพลังงาน ทั้งเส้นใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม และโซเดียม จากการวิจัยพบว่าสามารถช่วยดูดซับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ และเส้นเลือดในสมองแตกได้ (ตะขบ 100 กรัม จะให้พลังงาน 97 กิโลแคลอรี, แคลเซียม 51.7 มิลลิกรัม, โพแทสเซียม 773 มิลลิกรัม, โซเดียม 12.8 มิลลิกรัม) (นพ.สมยศ ดีรัศมี)
2. ผลสุกมีรสหวานและมีกลิ่นหอม เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ และยังเป็นอาหารของนกและสัตว์หลายชนิด ถ้าปลูกไว้ริมฝั่งแม่น้ำ ถ้าผลร่วงลงก็จะเป็นอาหารของปลาด้วยเช่นกัน
3. ผลตะขบฝรั่ง นิยมรับประทานกันมากในเม็กซิโก สามารถนำไปแปรรูปเป็นแยมหรือไวน์ หรือนำใบไปแปรรูปเป็นชา
4. เนื้อไม้ จะเนื้ออ่อน สามารถนำมาใช้ในงานช่างไม้ และเปลือกใช้เป็นแหล่งของเส้นใย
5. ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับหรือไม้ผลทั่วไปในเขตร้อน หรือปลูกประดับริมทางเดินเพื่อให้ร่มเงา

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ตะขบฝรั่ง (Takhob Farang)”. หน้า 119.
2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ตะขบฝรั่ง, ตะขบ”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 5 (ลีนา ผู้พัฒนพงศ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [21 ธ.ค. 2014].
3. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ตะขบฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [21 ธ.ค. 2014].
4. ผักพื้นบ้านและผลไม้พื้นเมืองภาคใต้, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “ตะขบฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.psu.ac.th. [21 ธ.ค. 2014].
5. ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม, กระทรวงวัฒนธรรม. “ต้นตะขบ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.m-culture.in.th. [21 ธ.ค. 2014].
6. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ตะขบฝรั่ง”. อ้างอิงใน : หนังสือผลไม้ 111 ชนิด (นิดดา หงส์วิวัฒน์, ทวีทอง หงส์วิวัฒน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : th.wikipedia.org. [21 ธ.ค. 2014].
7. ไทยโพสต์. “มหัศจรรย์ ‘ตะขบ’ ด้อยราคา-มากค่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaipost.net. [21 ธ.ค. 2014].

รูปอ้างอิง
1.https://www.komchadluek.net
2.https://specialtyproduce.com
3.https://plantingman.com
4.https://www.flickr.com

เสลดพังพอนตัวเมีย ใบคือยา แก้เริม รักษางูสวัด ดับพิษร้อน

0
เสลดพังพอนตัวเมีย
เสลดพังพอนตัวเมีย ใบคือยา แก้เริม รักษางูสวัด ดับพิษร้อน เป็นพรรณไม้พุ่มแกมเถา เลื้อยพาดไปตามต้นไม้ กลีบดอกเป็นสีแดงส้ม ใบสดนำมาตำแล้วพอกที่เป็นแผล

เสลดพังพอนตัวเมีย

เสลดพังพอนตัวเมีย

เสลดพังพอนตัวเมีย สมุนไพรชื่อแปลกมากสรรพคุณที่มักจะพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศไทย กลีบดอกเป็นสีแดงส้มทำให้ดูโดดเด่น เป็นยาที่ค่อนข้างเด่นในการใช้ภายนอก ส่วนมากใบสดจะนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล แต่ในปัจจุบันวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว แต่องค์การเภสัชกรรมได้มีการผลิตครีมจากสมุนไพรเสลดพังพอนตัวเมียมาใช้ในการรักษาอยู่ และเรามักจะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารอย่างแกงแค เสลดพังพอนตัวเมียถือเป็นยาดั้งเดิมที่กำลังนำมาพัฒนาในรูปแบบใหม่

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเสลดพังพอนตัวเมีย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Snake Plant”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “พญาปล้องดำ พญาปล้องทอง” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด” จังหวัดลำปางเรียกว่า “พญาปล้องคำ” จังหวัดพิษณุโลกเรียกว่า “เสลดพังพอนตัวเมีย” คนทั่วไปเรียกว่า “ลิ้นงูเห่า พญายอ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “โพะโซ่จาง” จีนกลางเรียกว่า “ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)
ชื่อพ้อง : Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.

ลักษณะของเสลดพังพอนตัวเมีย

เสลดพังพอนตัวเมีย เป็นพรรณไม้พุ่มแกมเถา มักจะเลื้อยพาดไปตามต้นไม้อื่น พบตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้านทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นเกลี้ยง ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นปล้องสีเขียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ รูปใบหอก รูปวงรีแคบขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3 – 6 ดอก กลีบดอกเป็นสีแดงส้ม ปลายแยกออกเป็น 2 ปาก ในดอกหนึ่งมี 5 กลีบ รูปทรงกระบอก กลีบรองดอกเป็นสีเขียว มีขนเป็นต่อมเหนียวโดยรอบ มักจะออกดอกในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม
ผล : เป็นผลแห้งและแตก เป็นรูปกลมยาววงรี ก้านสั้น ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 4 เมล็ด

สรรพคุณของเสลดพังพอนตัวเมีย

  • สรรพคุณจากรากและเปลือกต้น
    – บำรุงกำลัง ด้วยการนำรากและเปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากทั้งต้นและใบ ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน เป็นยารักษาโรคบิด
  • สรรพคุณจากใบ ตำรายาแก้งูสวัด รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม แก้อีสุกอีใส แก้ขยุ้มตีนหมา เป็นยาถอนพิษต่าง ๆ แก้ถูกหนามพุงดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง แก้หัด แก้เหือด
    – ลดไข้ แก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการนำใบสด 1 กำมือ มาตำให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำซาวข้าว ทำการพอกบนศีรษะคนไข้ 30 นาที
    – แก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดเคี้ยวประมาณ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วค่อยคายกากทิ้ง
    – ช่วยแก้คางทูม ด้วยการนำใบสด 10 – 15 ใบ มาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเหล้าโรง ทำการคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม
    – แก้แผลอักเสบมีไข้ แก้ไข่ดันบวม ด้วยการนำใบสด 3 – 4 ใบ มาตำกับข้าวสาร 3 – 4 เม็ด ทำการผสมกับน้ำพอเปียก ใช้พอก 2 – 3 รอบ
    – รักษาแผลจากสุนัขกัดมีเลือดไหล ด้วยการนำใบสด 5 ใบ มาตำพอกบริเวณแผล 10 นาที
    – รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อน ด้วยการนำใบสดมาตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล หรือนำใบสดมาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าใช้เป็นยาพอก
    – รักษาแผลเปื่อยเนื่องจากถูกแมงกะพรุนไฟ แก้แผลสุนัขกัด รักษาแผลที่เกิดจากการถูกกรด ด้วยการนำใบมาหุงกับน้ำมันแล้วนำมาทาบริเวณที่มีอาการ
    – รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการนำใบ 3 – 4 ใบ กับข้าวสาร 5 – 6 เม็ด เติมน้ำลงไปให้พอเปียก แล้วนำมาพอก เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้ง
    – แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการนำใบสดมาตำผสมกับเหล้าใช้ทา
    – แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับเหล้า แล้วผสมดินสอพองใช้ทา
    – แก้ฝี ด้วยการนำใบมาโขลกผสมกับเกลือและเหล้า ใช้พอกบริเวณที่มีอาการ
    – เป็นยาขับพิษ ถอนพิษโดยเฉพาะพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ผื่นคัน แก้ไฟลามทุ่ง แก้ลมพิษ แก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำใบสด 5 – 10 ใบ มาขยี้หรือตำแล้วทา
    – แก้ลมพิษ ด้วยการนำใบมาตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำเล็กน้อย ใช้ทาบริเวณที่มีอาการ
    – เป็นยาแก้พิษงู โดยคนเมืองนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง
    – แก้แพ้เกสรรักษาป่า แก้ยางรักป่า แก้ยางสาวน้อยประแป้ง ด้วยการนำใบผสมกับเหล้า นำมาทาบริเวณที่คัน
  • สรรพคุณจากราก ขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้อาการปวดเมื่อยบั้นเอว
    – ช่วยแก้อาการผิดสำแดง ด้วยการนำรากสดมาต้มกินครั้งละ 2 ช้อนแกง
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยแก้อักเสบแบบดีซ่าน แก้ปวดบวม แก้เคล็ดขัดยอก แก้ฟกช้ำ แก้กระดูกร้าว ช่วยขับความชื้นในร่างกาย แก้อาการปวดเมื่อยเนื่องจากเย็นชื้น
  • สรรพคุณจากลำต้น
    – ช่วยทำให้แผลหายเร็ว ด้วยการนำลำต้นมาฝนแล้วใช้ทาแผลสด

ประโยชน์ของเสลดพังพอนตัวเมีย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและใบอ่อนนำมาปรุงเป็นอาหาร อย่างเมนูแกงแค
2. เป็นผลิตภัณฑ์ องค์การเภสัชกรรมได้ผลิตครีมจากเสลดพังพอนตัวเมีย สำหรับรักษา บรรเทาโรคเริมและงูสวัด

เสลดพังพอนตัวเมีย ยาสมุนไพรดั้งเดิมที่ส่วนของใบอุดมไปด้วยสรรพคุณ มักจะพบในรูปแบบของอาหารในแกงแค และพบในรูปแบบของครีมที่นิยมนำมาใช้รักษา บรรเทาโรคเริมและงูสวัด เสลดพังพอนตัวเมียมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ถอนพิษภายนอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย แก้แผลอักเสบมีไข้ บำรุงกำลัง ดับพิษร้อน และแก้งูสวัดได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พญาปล้องทอง”. หน้า 521-522.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “พญาปล้องทอง”. หน้า 88.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เสลดพังพอนตัวเมีย”. หน้า 562.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เสลดพังพอนตัวเมีย (พญาปล้องทอง)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [11 ก.ย. 2015].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “เสลดพังพอนตัวเมีย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : area-based.lpru.ac.th/veg/. [11 ก.ย. 2015].
สารศิลปยาไทย ฉบับที่ ๑๐, สมาคมผู้ประกอบโรคศิลปแผนไทย (เชียงใหม่). “เสลดพังพอนตัวเมีย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.oocities.org/thaimedicinecm/. [11 ก.ย. 2015].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “พญาปล้องทอง, เสลดพังพอนตัวเมีย”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [11 ก.ย. 2015].
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “พญาปล้องทอง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [11 ก.ย. 2015].
สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “พญายอ”. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/. [11 ก.ย. 2015].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูป : https://www.technologychaoban.com/
https://pharmacy.su.ac.th/

กรดน้ำ ทั้งต้นมีรสชุ่มหวาน เป็นยาเย็น ช่วยลดไข้ แก้เบาหวาน

0
กรดน้ำ
กรดน้ำ ทั้งต้นมีรสชุ่มหวาน เป็นยาเย็น ช่วยลดไข้ แก้เบาหวาน ใบมีรสฝาด ใบจักเป็นฟันเลื่อย ทั้งต้นมีรสชุ่มหวานและขมเล็กน้อย

กรดน้ำ

กรดน้ำ

กรดน้ำ เป็นพรรณไม้ล้มลุกพื้นเมืองของทวีปอเมริกาเขตร้อน ปัจจุบันพบขึ้นทั่วไปในเขตร้อนชื้น สามารถพบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ส่วนของใบมีรสฝาดและมีลักษณะขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ทั้งต้นมีรสชุ่มหวาน และขมเล็กน้อย ต้นไม่มีพิษ เป็นยาเย็นที่ดีต่อการดับร้อนในร่างกาย ส่วนราก ต้นและผลมีรสฝาด แต่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย นอกจากนั้นยังเป็นอาหารของชาวปะหล่อง ชาวลัวะ ชาวเมี่ยนและชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกรดน้ำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Scoparia dulcis Linn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Macao Tea” “Sweet Broomweed”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ขัดมอนเล็ก ขัดมอญเล็ก หนวดแมว หญ้าขัด หญ้าหนวดแมว” ภาคเหนือเรียกว่า “หญ้าขัดหิน หญ้าจ้าดตู้ด หญ้าหัวแมงฮุน ยูกวาดแม่หม้าย” จังหวัดสิงห์บุรีเรียกว่า “ต้อไม้ลัด” จังหวัดจันทบุรีเรียกว่า “เทียนนา” จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “ปีกแมงวัน ผักปีกแมลงวัน” จังหวัดตราดเรียกว่า “หูปลาช่อนตัวผู้” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “กรดน้ำ กระต่ายจามใหญ่ กัญชาป่า มะไฟเดือนห้า” จังหวัดปัตตานีเรียกว่า “ตานซาน” จังหวัดตรังเรียกว่า “ขัดมอนเทศ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ข้างไลดุ” ชาวเงี้ยวแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “หญ้าพ่ำสามวัน” จีนกลางเรียกว่า “ปิงถางเฉ่า เหย่กานฉ่าน แหย่กานฉ่าน” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “เอี่ยกำเช่า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เทียนเกล็ดหอย (PLANTAGINACEAE)

ลักษณะของกรดน้ำ

กรดน้ำ เป็นพรรณไม้ล้มลุกพื้นเมืองของทวีปอเมริกาเขตร้อนอายุ 2 ปี ปัจจุบันพบขึ้นทั่วไปในเขตร้อนชื้น สามารถพบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ขึ้นเป็นวัชพืชในที่รกร้าง ป่าผลัดใบ และพื้นทรายริมฝั่งแม่น้ำ
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง เป็นพุ่มที่แตกกิ่งแผ่สาขามาก ลำต้นมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ไม่มีขน กิ่งเล็กเรียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามหรือเป็นวงรอบข้อ ข้อละ 3 – 4 ใบ แผ่นใบมีขนาดเล็กเป็นสีเขียว ลักษณะของใบเป็นรูปวงรีเรียว รูปใบหอกแกมรูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ปลายใบแหลม โคนใบเรียวสอบ ส่วนขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยตรงส่วนใกล้โคนใบ ท้องใบมีต่อม ก้านใบสั้นมากหรือแทบไม่มี
ดอก : ดอกมีขนาดเล็กสีขาว ออกดอกเดี่ยวที่ง่ามใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีวงละ 4 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ปลายแยกออกเป็น 2 ปาก กลีบดอกเป็นสีขาว ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว
ผลแห้ง : พอแก่จะแตกออก ผลมีลักษณะค่อนข้างกลมหรือเป็นรูปไข่ ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก

สรรพคุณของกรดน้ำ

  • สรรพคุณจากกรดน้ำ ต้านเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดเริม แก้ปวดและลดการอักเสบ มีฤทธิ์ยับยั้งการบีบตัวของลำไส้ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านการเจริญของเชื้อแบคทีเรียได้บางชนิด ต้านอนุมูลอิสระ
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาบำรุงธาตุ เป็นยาแก้ปวดฟัน เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบ เป็นยาขับลม แก้จุกเสียด เป็นยาขับประจำเดือน ขับระดูขาวของสตรี เป็นยาแก้พิษฝี ช่วยแก้อาการฟกช้ำ
    – แก้อาการผิดปกติของระบบลำไส้ ด้วยการนำใบชงดื่มเป็นยา
    – รักษาแผลสด แก้แผลถลอก แก้แผลเรื้อรัง ช่วยห้ามเลือด ด้วยการนำใบสดมาตำคั้นเอาน้ำทาหรือใช้พอกเป็นยา
  • สรรพคุณจากต้น เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร แก้พิษไข้ เป็นยาแก้อาเจียน แก้เหงือกบวม แก้ปากเปื่อย แก้ท้องเสีย แก้ท้องเดิน แก้ปวดท้อง แก้ลำไส้อักเสบ เป็นยาขับลม แก้จุกเสียด ช่วยลดอาการบวมน้ำที่ขาจากการปัสสาวะ ช่วยแก้อาการฟกช้ำ
    – แก้เด็กเป็นไข้ ด้วยการนำลำต้นสดประมาณ 15 กรัม มาต้มใส่น้ำและน้ำตาล กรองเอาแต่น้ำกิน
    – แก้ไอ รักษาอาการไอเนื่องจากปอดร้อน ด้วยการนำลำต้นสดประมาณ 30 – 60 กรัม มาต้มให้เดือดแล้วเอาน้ำมาทานเป็นยา
    – แก้หวัดและไอ ด้วยการนำต้นสด 30 กรัม สะระแหน่ 10 กรัม พลูคาว 15 กรัม มาต้มกับน้ำทาน
    – แก้เจ็บคอ ด้วยการนำต้นสดประมาณ 120 กรัม มาตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำผึ้ง ใช้ทานเป็นยา
    – แก้ลำไส้อักเสบ แก้ปวดท้อง แก้อาการปัสสาวะขัด ด้วยการนำลำต้นขนาดประมาณ 15 – 30 กรัม มาต้มให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำกิน
    – รักษาบิดติดเชื้อ ด้วยการนำต้นสด 30 กรัม หยางถีเฉ่า 30 กรัม ข้าวเก่าประมาณ 10 – 15 กรัม มาต้มกับน้ำทานวันละ 1 เทียบ
    – เป็นยาแก้ผื่นคันตามผิวหนัง ด้วยการนำลำต้นสดมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็นผื่นคัน
    – ช่วยลดอาการเป็นหัด ด้วยการนำลำต้นสดมาต้มแล้วกรองเอาแต่น้ำกินติดต่อกัน 3 วัน
    – รักษาอาการเท้าบวม แก้ขาบวมจากการเป็นเหน็บชา ด้วยการนำลำต้นสดประมาณ 30 กรัม น้ำตาลทรายแดง 30 กรัม มาต้มกับน้ำทานก่อนอาหาร หรือกินทุกเช้าและเย็นหลังอาหาร หรือกินก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง
    – ช่วยให้มารดาแข็งแรงและมีน้ำนมดี ด้วยการนำต้นสด 1 กำมือ มาต้มกินหลังคลอด
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยเจริญไฟธาตุ เป็นยาแก้พิษฝี
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ออกฤทธิ์ต่อตับ กระเพาะและลำไส้ใหญ่ เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไอร้อน แก้ไอหวัด ลดไข้ แก้เด็กเป็นไข้อีสุกอีใส ช่วยขับเสมหะ เป็นยาแก้โรคไทฟอยด์ ช่วยแก้ไฟลามทุ่งหรือเชื้อไวรัสตามผิวหนัง
    – แก้อาการเบื่ออาหาร โดยชาวปะหล่องนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำรวมกับต้นสาบแร้งสาบกาให้เด็กอาบ
    – แก้ไข้ ลดไข้ โดยยาพื้นบ้านนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้แผลไฟไหม้ แก้น้ำร้อนลวก โดยชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่นำทั้งต้นมาต้มแล้วเอาน้ำมาใส่แผล
    – ช่วยให้แผลแห้งเร็วยิ่งขึ้น โดยคนเมืองนำทั้งต้นมาต้มแล้วใช้ไอน้ำมารมแผลสด
    – รักษาผื่นคันในเด็กและผู้ใหญ่ โดยชาวม้งนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำอาบ
  • สรรพคุณจากต้นและใบ เป็นยาแก้ไอ เป็นยาแก้ขัดเบา
    – แก้โรคเบาหวาน ด้วยการนำลำต้นและใบสด 1 กำมือ มาต้มกับน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวนาน 30 นาที ใช้แบ่งนำมาดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • สรรพคุณจากราก แก้โรคเบาหวาน แก้ไข้ตัวเย็น แก้เลือดเป็นพิษ เป็นยาแก้ปวดศีรษะ แก้โรคหัวใจอ่อน แก้บิด แก้ท้องร่วง ช่วยสมานลำไส้ เป็นยาขับลม แก้จุกเสียด เป็นยาขับพยาธิ เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการฟกช้ำ
    – แก้ไข้มาลาเรีย แก้เจ็บคอ แก้เสียงแหบ แก้ขัดเบา ด้วยการนำรากต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – ช่วยฆ่าเชื้อโรค แก้พิษ ด้วยการนำรากต้มกับน้ำอาบ
    – แก้อาการปวดข้อ ด้วยการนำรากต้มกับน้ำดื่มร่วมกับลูกใต้ใบและหญ้าปันยอด
  • สรรพคุณจากผล เป็นยาแก้เหงือกบวม เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน เป็นยาแก้พิษฝี เป็นยาแก้ปวด
  • สรรพคุณจากรากและทั้งต้น
    – แก้ปวดท้อง แก้อาหารเป็นพิษ แก้อาหารไม่ย่อย แก้โรคกระเพาะอาหาร โดยชาวเขาเผ่าแม้ว กะเหรี่ยงนำรากและทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่มหรือเคี้ยวกินเป็นยา

ประโยชน์ของกรดน้ำ

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวปะหล่อง ชาวลัวะนำยอดอ่อนมาทานร่วมกับลาบ ชาวเมี่ยนนำใบมาเคี้ยวกินเล่น มีรสหวานหรือใช้ใส่ในแกงเพื่อเพิ่มรสชาติ ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนและคนเมืองนำทั้งต้นลวกหรือต้มกินกับน้ำพริก

กรดน้ำ ถือเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยาได้หลากหลายมาก เป็นต้นที่นิยมในชาวพื้นเมืองทั่วไปในการนำมาทานหรือใช้ปรุงอาหาร ทั้งต้นมีรสชุ่มหวาน และขมเล็กน้อย เป็นยาเย็นที่ดีต่อตับ กระเพาะและลำไส้ใหญ่ กรดน้ำมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้เบาหวาน ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาลดไข้ ลดระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการผิดปกติของระบบลำไส้ได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กรดน้ำ (Krod Nam)”. หน้า 15.
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “กรดน้ำ”. หน้า 193.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “กรดน้ำ”. หน้า 4-7.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “กรดน้ำ”. หน้า 20.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “กรดน้ำ”. หน้า 54-55.
ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กรดน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [09 ก.ค. 2015].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “กรดน้ำ, หญ้าปีกแมลงวัน”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา), หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [10 ก.ค. 2015].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 355 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก. (ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร, ภกญ.ผกากรอง ขวัญข้าว). “อาหารและสมุนไพร กระตุ้นน้ำนม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [10 ก.ค. 2015].
M. R. Mishra, A. Mishra, D. K. Pradhan, A. K. Panda, R. K. Behera, S. Jha. “Antidiabetic and Antioxidant Activity of Scoparia dulcis Linn.”. Indian J Pharm Sci. 2013 Sep-Oct; 75(5): 610–614.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูป
https://thai-herbs.thdata.co/
https://ml.wikipedia.org/