ตะโกนา พรรณไม้ประดับอายุยืนดูแลง่าย

0
ตะโกนา
ตะโกนา พรรณไม้ประดับอายุยืนดูแลง่าย ผลอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงหนา ขนร่วงง่าย โคนผลมักจะบุ๋ม ผลสุกมีสีแดง สีแดงปนส้ม เนื้อหุ้มสีขาวฉ่ำน้ำ
ตะโกนา
ผลอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงหนา ขนร่วงง่าย โคนผลมักจะบุ๋ม ผลสุกมีสีแดง สีแดงปนส้ม เนื้อหุ้มสีขาวฉ่ำน้ำ

ตะโกนา

ตะโกนา เป็นพรรณไม้ป่าที่พบเห็นได้ตามธรรมชาติพบมากในประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 4 สายพันธุ์ คือ ตะโกนา ตะโกดัด ตะโกสวน และตะโกดำ ลักษณะพิเศษของพืชชนิดนี้มีอายุยืนยาว ทนแล้ง เมื่อผลสุกจะมีเนื้อหุ้มเมล็ดรับประทานได้ ปัจจุบันพืชชนิดนี้นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดัด ใช้เป็นไม้ประดับ ไม้มงคล เนื่องจากเนื้อไม้มีความยืดหยุ่น และเนื้อไม้มีความเหนียวนั่นเอง

ชื่อสามัญ :Ebony ชื่อวิทยาศาสตร์ :Diospyros rhodocalyx Kurz จัดอยู่ในวงศ์ : EBENACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะถ่านไฟผี นมงัว ตะโก มะโก พญาช้างดำ พระยาช้างดำ โก ตองโก หมัก เป็นต้น

ลักษณะทั่วไปของตะโกนา

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นมีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูปทรงพุ่ม ต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร เปลือกของลำต้นมีสีดำ จะแตกเป็นร่องลึก และเป็นสะเก็ดหนา ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด (ไม่นิยมนักเพราะจะเติบโตได้ช้า) การตอนกิ่ง การขุดล้อมเอามาจากธรรมชาติ จะเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด จะต้องการแสงแดดแบบเต็มวัน ทนทานต่อสภาพแห้งแล้ง พบว่ามีเขตการกระจายพันธุ์ที่พม่าถึงภูมิภาคอินโดจีน ประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาคที่ตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะ ตามทุ่งนา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 40-300 เมตร[1],[2],[3],[4],[5],[8]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวจะออกเรียงสลับ ใบจะเป็นรูปรีค่อนข้างกลม รูปไข่กลับ รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนกลาย ๆ รูปป้อม ที่ปลายใบจะมนมีติ่งสั้นหรือมีรอยหยักเว้าเข้านิดหน่อย ส่วนที่โคนใบจะเป็นรูปลิ่มหรือป้าน ขอบใบจะเรียบ ใบกว้างประมาณ 2.5-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-12 เซนติเมตร แผ่นใบจะค่อนข้างหนาและเหนียว ที่หลังใบจะเรียบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน มีเส้นแขนงใบประมาณ 5-8 คู่ เส้นอ่อนจะคดไปมามองเห็นได้ที่ทางด้านหลังใบจะขึ้นเด่นชัดที่ด้านท้องใบ เส้นร่างแหถ้าสังเกตจะเห็นได้ทั้งสองด้าน เส้นกลางใบมีสีแดงเรื่อ ๆ ก้านใบสั้นมีความยาวประมาณ 2-7 มิลลิเมตร[1],[2],[12]
  • ดอก ออกเป็นช่อ ดอกเป็นแบบแยกเพศ จะอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้จะเป็นช่อเล็ก ๆ ออกที่ตามกิ่งหรือที่ตามง่ามใบ ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 3 ดอก มีกลีบดอก 4 กลีบ และมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร จะมีขนนุ่ม กลีบดอกยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร เชื่อมกันเป็นรูปเหยือกน้ำ, รูปป้อง ๆ ที่ปลายจะแยกเป็นแฉกเล็ก ๆ จะเกลี้ยงทั้งสองด้าน กลีบรองดอกมีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ที่โคนกลีบจะเชื่อมกันเป็นรูปถ้วยปากกว้าง ที่ด้านนอกจะมีขนนุ่ม ด้านในจะมีขนยาว ๆ แน่น ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 14-16 ก้าน จะมีขนแข็งแซม ที่รังไข่เทียมจะมีขนแน่น ดอกเพศเมียออกที่ตามซอกใบ กลีบเลี้ยงกับกลีบดอกจะเหมือนดอกเพศผู้แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า ก้านดอกมีความยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร รังไข่จะป้อม จะมีขนเป็นเส้นไหมปกคลุม ด้านในแบ่งเป็น 4 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย หลอดท่อรังไข่จะมีหลอดเดียว มีขนแน่น ที่ปลายหลอดจะแยก 2 แฉก จะมีเกสรเพศผู้เทียมอยู่ประมาณ 8-10 ก้าน จะมีขนแข็งแซม ดอกออกช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3],[12]
  • ผล มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.2-2.4 เซนติเมตร (บ้างก็ว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร) ผิวผลจะเรียบ ผลอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงหนาแน่น ขนเหล่านี้จะร่วงง่าย ที่ปลายผลกับโคนผลมักจะบุ๋ม กลีบจุกของผลจะชี้ออกหรือแนบลู่ตามผิวผล ข้างในจะมีขนสีน้ำตาลแดง มีขนนุ่มที่ด้านนอกพื้นกลีบกับขอบกลีบมักจะเป็นคลื่น เส้นสายกลีบจะพอเห็นได้ ผลสุกมีสีแดง สีแดงปนส้ม ในผลจะมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่รี, แบน เมล็ดมีสีน้ำตาล จะมีเนื้อหุ้มสีขาวฉ่ำน้ำ จะมีขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีก้านผลที่สั้นมาก ยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ติดผลช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3],[4],[12]

สรรพคุณของตะโก

1. รากกับต้นสามารถช่วยบำรุงน้ำนมของสตรีได้[13]
2. สามารถแก้บวม และฝีบวมได้ (ผล)[1],[2],[13]
3. สามารถใช้ผลเป็นยาเย็นถอนพิษได้[13]
4. สามารถใช้ผลเป็นยารักษาโรคผิวหนังได้[13]
5. สามารถแก้ตกเลือดได้ (ผล)[4],[6],[13]
6. สามารถนำเปลือกของผลมาเผาจนเป็นถ่าน แล้วใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับระดูขาวของสตรีได้ เปลือกต้นหรือแก่นก็สามารถขับตกขาวได้[1],[2],[4],[13] บ้างก็ว่าผลสามารถเป็นยาขับระดูขาวได้[13]
7. สามารถนำเปลือกผลมาเผาจนเป็นถ่าน แล้วใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะได้ (เปลือกผล)[1],[2],[4],[13], เปลือกต้น[13], แก่น[13])
8. สามารถช่วยขับน้ำย่อย และช่วยการย่อยอาหาร (แก่น, เปลือกต้น)[4],[6],[13]
9. ผลจะมีรสฝาดหวาน สามารถช่วยแก้อาการมวนท้องได้ (ผล)[4],[6],[13]6
10. สามารถนำเปลือกต้นหรือแก่นมาต้มกับเกลือ ใช้อมรักษาโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ได้[1],[2],[4],[6],[13]
11. สามารถแก้พิษผิดสำแดงได้ (ต้น)[13]
12. ต้นสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ได้[13]
13. สามารถช่วยแก้โรคผอมแห้งหลังการคลอดบุตรที่เกิดจากอยู่ไฟไม่ได้ (ราก)[13]
14. แก่นและเปลือกสามารถใช้เข้ายารักษามะเร็งได้[13]
15. สามารถนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นชาช่วยบำรุงกำลังได้ (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[9],[13] สามารถช่วยบำรุงร่างกายได้ (เปลือก)[13]
16. เปลือกต้นหรือแก่นสามารถใช้เป็นยาอายุวัฒนะได้ จะทำให้มีอายุยืนยาว[1],[2],[4],[6],[13] ตำรายาไทยใช้เปลือกต้นตะโก เถาบอระเพ็ด ผสมเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง หัวแห้วหมู อย่างละเท่า ๆ กันมาต้มกับน้ำดื่มหรือดองกับเหล้าใช้ดื่มเป็นยาอายุวัฒนะได้ (เปลือกต้น)[2]
17. สามารถใช้รากมาตะโกมาต้มกับ ใช้น้ำดื่มแก้โรคเหน็บชา อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลียได้ (ราก)[10] ตำรับยาพื้นบ้านของอีสานจะใช้รากตะโกผสมรากมะเฟืองเปรี้ยว รากเครือปลาสงแดง รากตีนนก มาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยได้[11]
18. สามารถใช้ผลเป็นยาแก้แผล สมานแผล แก้แผลเน่าเปื่อย ฝีเน่าเปื่อย และช่วยปิดธาตุได้[1],[2],[4],[6],[13]
19. ต้นสามารถช่วยแก้ผื่นคันได้[13] ผลสามารถช่วยแก้ตุ่มคันเป็นเม็ดผื่นคันที่ตามตัวได้[13]
20. สามารถนำรากมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้ไตพิการ น้ำเหลืองเสียได้[10]
21. ผลสามารถช่วยแก้อาการปวดมดลูกได้[13]
22. สามารถนำแก่นหรือเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บำรุงความกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรงได้[1],[2],[5],[6],[9],[10],[13]
23. สามารถใช้เป็นยาแก้พยาธิ และขับพยาธิได้ (ใช้ผลต้มกับน้ำดื่ม)[1],[4],[6],[13]
24. นำผลมาตากแดดมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง และท้องเสียได้[1],[2],[4],[13] เปลือกผลสามารถใช้แก้อาการท้องร่วงได้[13] สามารถแก้บิดบวมเป่งได้ (ผล)[13]
25. สามารถนำเปลือกต้นหรือแก่นมาต้มกับเกลือ ใช้อมแก้อาการปวดฟันได้ (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[13]
26. นำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นชาช่วยแก้อาการร้อนใน[9] บ้างก็ว่าใช้รากมาต้มกับน้ำดื่ม[10]
27. ราก ต้น แก่นสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ ที่เกิดจากการกินของแสลงที่เป็นพิษได้[13]
28. สามารถแก้อาการคลื่นไส้ได้ (ผล)[1],[2] สามารถช่วยแก้อาเจียนเป็นโลหิตได้ (ผล)[13]
29. นำผลมาตากแดดมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยาแก้กษัย[4],[6],[13] บ้างก็ว่าใช้รากมาต้มกับน้ำดื่ม[10]
30. สามารถช่วยทำให้เจริญอาหารได้ (เปลือก)[13]
31. นำแก่นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกายได้ (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[9],[13]

ประโยชน์ของตะโก

1. ต้นตะโกนิยมปลูกเพื่อใช้ทำไม้ดัดมาก ปลูกเพื่อตกแต่งสวนหรือสนามหญ้า เนื่องจากทนทานกับสภาพแวดล้อมได้ และง่ายกับการเพาะเลี้ยงและบำรุงรักษา[5],[8]
2. ใช้ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้า แห อวน มาตั้งแต่โบราณ สีที่ได้คือสีน้ำตาล แต่คุณภาพไม่ดีมาก เพราะสีของเส้นไหมจะตกและไม่ทนทานแสง คุณภาพจะไม่ดีเท่ามะพลับ[3],[5],[7] ยางของลูกตะโกที่นำมาละลายน้ำใช้ย้อมแหและอวน จะมีราคาถูกกว่ายางมะพลับ จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางตะโกมาปลอมขายเป็นยางมะพลับ ทำให้เกิดคำพังเพยว่า ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก[10]
3. ผลสุกของตะโกจะมีรสหวานฝาดสามารถทานได้[3] บ้างก็ว่านำผลมาทานโดยทำเหมือนส้มตำ คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของผลตะโก มี พลังงาน 99 แคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 24.5 กรัม, น้ำ 73.6 กรัม, เส้นใย 1.5 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินบี 2 1.37 มิลลิกรัม, วิตามินซี 79 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 19 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม[12]
4. ต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน ทนทานกับความแห้งแล้ง เชื่อว่าเป็นไม้มงคล ถ้าปลูกไว้บริเวณบ้านที่ทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความอดทนเหมือนกับต้นตะโก[8]
5. เนื้อไม้มีสีขาวหรือออกสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็งแรง เหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตรได้ เช่น ทำเสา รอด ตง คาน เป็นต้น[3],[5]
6. ต้นตะโกออกผลดกทุกปี ทำให้เป็นอาหารให้กับสัตว์ได้เป็นจำนวนมาก[5]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตะโก

1. ตะโกจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ จะออกฤทธิ์เหมือนกับฮิสตามีน ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase[13]
2. ตะโกมีสารสำคัญ คือ Betulin, Betulinic acid, B-sitosterol, Lupenone, Lupeol, Stigmast-4-en-3-one, Stigmast4-en-3-one 1 –O-ethyl-B-D-glucopyrahoside, Stigmast-4-en-3-one 1-O-ethyl-B-D-glucoside, Stigmasterol, Taraxerol, Taraxerol acetate, และ Taraxerone.[13]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ตะโกนา (Tako Na)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 118.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “ตะโกนา”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 96.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะโกนา”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [8 มี.ค. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ตะโก”. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [8 มี.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [8 มี.ค. 2014]
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ตะโกนา”. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [8 มี.ค. 2014].
พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ, กรมหม่อนไหม. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th/webtreecolor/. [8 มี.ค. 2014].
๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [8 มี.ค. 2014].
หนังสือรักษาโรคด้วยสมุนไพร. “ตะโกนา”. (ยุวดี จอมพิทักษ์).
ไทยโพสต์. “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ไม้ร่วมวงศ์เด่นแก้กามตายด้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [8 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เครือปลาสงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [8 มี.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [8 มี.ค. 2014].
สมุนไพรในร้านยาโบราณ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “โกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.msu.ac.th. [8 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/herb/rhodocalyx.html
2.https://www.samunpri.com/
3.https://thaiherbs.thdata.co/page

ต้นสารภีดอกใหญ่ 2 สรรพคุณยาสมุนไพรที่น่าสนใจ

0
ต้นสารภีดอกใหญ่ 2 สรรพคุณยาสมุนไพรที่น่าสนใจ เป็นไม้ประจำถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อไม้แข็ง ใช้ทำสีย้อมผ้า ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ผลมีรสหวาน
ต้นสารภีดอกใหญ่
ดอกขาว กลิ่นหอม เป็นไม้ประจำถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อไม้แข็ง ใช้ทำสีย้อมผ้า ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ผลมีรสหวาน

ต้นสารภีดอกใหญ่

ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Mammea harmandii ( Pierre ) Kosterm ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น สารภี ประดงช้าง สารภีดง

ลักษณะทั่วไปของต้นสารภีดอกใหญ่

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 8 – 15 เมตร และอาจจะสูงได้ประมาณ 10 – 25 เมตร ที่เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล เปลือกตะแกเป็นสะเก็ด ส่วนที่กิ่งอ่อนจะเป็นสันสี่เหลี่ยม [1],[2],[3] ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่ง จะชอบดินร่วนซุย และแดดจัด จะเติบโตได้ดี่ในที่ค่อนข้างชื้น [3] มีเขตการกระจายพันธุ์ คือ ป่าดิบแล้ง ทุ่งหญ้า ป่าดิบเขา ทางภาคตะวันออกกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระดับความสูงตั้งแต่น้ำทะเลปานกลางถึง 1,500 เมตร พบในต่างประเทศได้ที่ประเทศกัมพูชา เวียดนาม ลาว [2]
  • ใบ เป็นใบเดียว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน รูปใบหอกกลับ รูปใบหอกกลับแคบ รูปไข่กลีบแกม ที่ปลายใบจะเรียวแหลมหรือมน ส่วนที่โคนใบเป็นรูปสอบเรียว , รูปกึ่งหัวใจ ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 6 – 10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15 – 24 เซนติเมตร เนื้อใบจะหนา เหนียวเป็นมัน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม เส้นใบจะไม่เห็นชัด ก้านใบยาวได้ 2.5 เซนติเมตร [1],[2],[3]
  • ดอก ออกดอกเป็นกระจุกที่ตามลำต้น กิ่งก้าน ง่ามใบ กลีบดอกมีสีขาวถึงสีเหลืองนวล ดอกมีกลิ่นหอม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 – 2 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม [1],[2],[3]
  • ผล เป็นผลสด ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมรี กว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร ในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ออกผลช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน [1],[2],[3]

สรรพคุณของต้นสารภี

  • น้ำที่จากการผล สามารถใช้เป็นยากินก่อนคลอดเพื่อบำรุงครรภ์ของสตรีได้ [2]
  • ตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ใช้เปลือกเข้ายาสมุนไพรจำพวกประดง 9 ชนิด มาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยารักษาโรคประดง แก้ร้อนในกระหายน้ำ[1]

ประโยชน์ของต้นสารภี

  • เนื้อไม้มีสีแดง และแข็งแรง นำมาใช้ทำด้ามเครื่องมือ เครื่องใช้ [2]
  • ปลูกเป็นไม้ประดับ
  • สามารถนำผลมารับประทานได้ [3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “สารภีดอกใหญ่”. หน้า 147.
สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “สารภีดอกใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [09 ต.ค. 2014].
พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “สารภีดอกใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th. [09 ต.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://inaturalist.nz/taxa/156793-Mammea

ต้นกร่างสมุนไพรช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

0
ต้นกร่าง
ต้นกร่างสมุนไพรช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นช่อมะเดื่อ ผลสุกมีสีเหลืองถึงสีส้ม ผลแก่มีสีแดงคล้ำ
ต้นกร่าง
สมุนไพรช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นช่อมะเดื่อ ผลสุกมีสีเหลืองถึงสีส้ม ผลแก่มีสีแดงคล้ำ

ต้นกร่าง

ต้นกร่าง มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา แล้วแพร่กระจายพันธุ์ในแทบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-30 เมตร ลำต้นตรงเป็นพูพอน แตกกิ่งก้านหนา มีลักษณะเป็นเรือนยอด ปลายกิ่งลู่ลง เปลือกต้นเกลี้ยง ลำต้นกับกิ่งจะมีรากอากาศห้อยลงจำนวนมาก เมื่อหยั่งถึงดินจะทำให้เป็นหลืบสลับซับซ้อน หรือเป็นลำต้นต่อ ลำต้นมียางสีขาว ที่กิ่งอ่อนจะมีขนหนาแน่น ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปักชำ หรือวิธีทางธรรมชาติโดยนก หรือค้างคาว จะกินผลแล้วถ่ายมูลจะมีเมล็ดติดอยู่ เติบโตได้ในดินทุกชนิดที่มีความชุ่มชื้น

ชื่อสามัญ : Bar, East Indian Fig, Banyan tree
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ficus benghalensis L.อยู่ในวงศ์ขนุน
ชื่อต้นกร่างของท้องถิ่นอื่น ๆ : บาร์คาด ไทรนิโครธ บันยัน นิโครธ

ลักษณะของต้นกร่าง

  • ใบของต้นกร่าง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับ ใบมีลักษณะเป็นรูปรี รูปไข่ ปลายใบมน บ้างก็ว่ามีติ่งแหลม ส่วนที่โคนใบจะเรียบหรือโค้งกว้าง ใบกว้างประมาณ 10-14 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร มีเส้นแขนงใบประมาณ 4-6 คู่ ก้านใบอวบ ยาวประมาณ 2-5 เซนติเมตร มีหูใบหุ้มยอดอ่อน[1],[4] ที่ใบอ่อนมีขนหนาโดยเฉพาะส่วนท้องใบ ใบแก่จะไม่มีขน ใบแก่จะร่วงและมีรอยแผลใบ[2]
  • ดอกออกเป็นช่อมะเดื่อที่ตามซอกใบ ดอกเล็กและมีจำนวนมาก เติบโตภายใต้ฐานรองดอก เป็นดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ดอกประกอบด้วยดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย ดอกตัวเมียอยู่ใกล้กับรูปากเปิด [1]
  • ผลขนาดเล็ก ลักษณะเป็นรูปทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร ผลมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงสีส้ม ผลแก่มีสีแดงคล้ำ แต่ละผลมีกลีบเลี้ยงประมาณ 2-4 กลีบ[1],[2],[4]

สรรพคุณของต้นกร่าง

  • ยางจากต้นสามารถใช้แก้หูดได้[4]
  • สามารถนำยางจากต้นมาใช้แก้โรคริดสีดวงทวารได้[4]
  • ผลสุกมีฤทธิ์เป็นยาระบาย สามารถรับประทานได้[4]
  • สามารถนำใบและเปลือกต้น มาใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง[4]
  • นำรากมาเคี้ยว ป้องกันโรคเหงือกบวม[4]
  • นำเมล็ดมาใช้เป็นยาเย็นและยาบำรุงร่างกาย[2],[3]
  • นำยางจากต้นมาใช้เป็นยาทาแก้ไขข้ออักเสบ[1]
  • นำใบและเปลือกต้นมาใช้เป็นยาช่วยห้ามเลือด[4]
  • ใบและเปลือกต้น ช่วยแก้อาการถ่ายเป็นมูกเลือด[4]
  • ใช้ยางและเปลือกต้นแก้บิด[3]
  • ใช้เปลือกต้นและยาง เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องเดิน[1],[2],[3],[4]
  • นำเปลือกต้นมาทำยาชง ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดและแก้โรคเบาหวาน[3],[4]

ประโยชน์ของต้นกร่าง

  • ต้นกร่างหรือต้นนิโครธ เป็นไม้มงคลตามพุทธประวัติที่พระกัสสปพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียร 7 วัน และได้ตรัสรู้ ณ ควงไม้นิโครธ จึงนิยมปลูกไว้ตามศาสนสถาน ตามวัดวาอาราม เพื่อเป็นไม้ให้ร่มเงา เพิ่มความร่มเย็น ไม่นิยมปลูกไว้ในบ้านเพราะต้นนิโครธมีขนาดใหญ่[4]
  • ใช้ผลแก่เป็นอาหารของนก[2]
  • รากอากาศมีความเหนียว นำมาเป็นเชือกได้ และสามารถนำเปลือกด้านในมาใช้ทำกระดาษ
    ในอินเดียนำใบมาใช้ใส่อาหารรับประทาน[4]
  • สามารถทานผลได้[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “กร่าง”. (พญ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 89.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “นิโครธ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [02 ก.พ. 2014].
หนังสืออนุกรมวิธานพืชอักษร ก. ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (รศ.บุศบรรณ ณ สงขลา).
ผู้จัดการออนไลน์. (29 พฤศจิกายน 2547). “โพธิญาณพฤกษา : นิโครธ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [02 ก.พ. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://plantly.io/plant-care/ficus-benghalensis
2.https://www.cabidigitallibrary.org/doi/10.1079/cabicompendium.24066

24 สรรพคุณของต้นแก้ว ช่วยแก้อาการปวดฟัน

0
24 สรรพคุณของต้นแก้ว ช่วยแก้อาการปวดฟัน เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม ชอบแดด ปลูกเป็นไม้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้านมีแต่ความสุข
ต้นแก้ว
ดอกแก้ว ช่วยแก้อาการปวดฟัน เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม ชอบแดด ปลูกเป็นไม้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้านมีแต่ความสุข

ต้นแก้ว

ชื่อสามัญของต้นแก้ว คือ Chanese box tree, Orange jessamine, Andaman satinwood, Satin wood, Cosmetic bark tree, Orange jasmine
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Murraya paniculata (L.) Jack ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Murraya exotica L. อยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น แก้วขี้ไก่ กะมูนิง ตะไหลแก้ว จ๊าพริก จิ๋วหลี่เซียง แก้วลาย แก้วขาว แก้วพริก

ลักษณะ

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศจีน ออสเตรเลีย[7] พบเจอในประเทศไทยได้ทุกภาคในป่าดิบแล้งที่ราบสูงถึงที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400 เมตร[8] เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นจะไม่ผลัดใบ มีขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร ต้นจะแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มลักษณะกลมแน่นทึบ ที่เปลือกของลำต้นมีสีเทาแตกเป็นร่อง เนื้อไม้มีสีขาวนวล เติบโตได้ดีในดินร่วนที่ระบายน้ำดี จะชอบแดดเต็มวันหรือรำไร ความชื้นปานกลางถึงต่ำ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การตอน [1],[2],[3],[4],[5]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายใบคี่ จะออกเรียงสลับ มีใบย่อยอยู่ 5-9 ใบ ใบเป็นรูปไข่ ที่ปลายใบกับโคนใบจะแหลม ส่วนที่ขอบใบจะเป็นคลื่นหรือหยักมนนิดหน่อย ใบกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะคล้ายกับแผ่นหนังบาง ๆ หลังใบจะมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน ท้องใบจะเรียบมีสีอ่อน ที่ใบจะมีต่อมน้ำมัน ถ้าขยี้จะมีกลิ่นฉุนคล้ายกับผิวส้มเป็นน้ำมันติดอยู่ที่มือ[1],[2],[3],[5]
  • ดอกออกเป็นช่อสั้น ออกดอกที่ตามซอกใบ ดอกย่อยมีสีขาว จะมีกลิ่นหอมจัด มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ ร่วงง่าย กลีบดอกเป็นรูปกลมรี ยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร กว้างประมาณ 7-9 มิลลิเมตร ที่โคนกลีบดอกจะติดกัน ดอกจะมีเกสรเพศผู้ 10 ก้าน มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ ดอกออกได้ตลอดทั้งปี [1],[2],[3]
  • ผลแก้ว เป็นกลมรีหรือรูปไข่ ที่ปลายจะสอบนิดหน่อย ผลกว้างประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีแดงอมส้ม ลักษณะผิวของผลจะมีต่อมน้ำมันสามารถเห็นได้ชัด ในผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปรี รูปไข่ ปลายสอบ จะมีขนหนาเหนียวหุ้มรอบเมล็ด มีสีขาวขุ่น เมล็ดกว้างประมาณ 4-6 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 6-9 มิลลิเมตร [1],[2],[3],[4]

สรรพคุณของต้นแก้ว

  • สามารถนำก้านกับใบสดมาบดแช่กับแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ใช้ทาหรือฉีดเป็นยาระงับอาการปวด [1],[2]
  • สามารถแก้ฟกช้ำได้ โดยใช้ใบแก้วสด, ขมิ้น, ขิง, ไพร มาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้า นำไปคั่วให้ร้อน แล้วนำผ้าสะอาดมาห่อ ใช้เป็นยาประคบบริเวณที่มีอาการฟกช้ำ 20-30 นาที ทำวันละ 2-3 ครั้ง [3]
  • สามารถแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้ โดยใช้รากกับใบสดมาต้ม ใช้ชะล้างบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยได้ [1] สามารถแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้ (ราก)[3]
  • สามารถใช้รากสดเป็นยาพอกบริเวณที่เป็นแผลได้ [1],[2] สามารถใช้เป็นยาแก้แผลคันได้ (ราก)[3]
  • สามารถนำรากกับต้นแห้งมาหั่น ต้มเคี่ยวกรองเอาแต่น้ำมาใช้ สามารถช่วยเร่งการคลอดบุตรของสตรีได้ ใช้ผ้าพันแผลจุ่มน้ำยาสอดไปที่ปากมดลูก (ราก, ต้นแห้ง)[1],[2]
  • สามารถใช้ใบเป็นยาขับพยาธิตัวตืดได้ [4]
  • สามารถช่วยการย่อยอาหารได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • สามารถแก้บิดได้ (ใบ)[4]
  • สามารถใช้รากเป็นยาช่วยขับลมชื้นในร่างกาย ต้องใช้ร่วมกับตำราแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีน [3]
    สามารถนำราก ก้าน ใบสดมาใช้เป็นยาชาระงับอาการปวดได้ มีการใช้เป็นยาแก้อาการปวดฟัน ปวดกระเพาะ [3],[4] บ้างก็ว่าก้านกับใบสดจะมีรสเผ็ดร้อนขม สามารถต้มใช้เป็นยาอมบ้วนปากแก้อาการปวดฟันได้ [1],[2],[4]
    สามารถแก้อาการวิงเวียนศีรษะได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • ใบจะมีรสร้อนเผ็ด ขม สามารถช่วยบำรุงธาตุในร่างกายได้ [3],[5]
  • สามารถใช้ดอกกับใบเป็นยาแก้ไขข้ออักเสบได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • รากสามารถแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และบรรเทาอาการปวดบวมได้ ต้องใช้ร่วมกับตำราแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีน [3] บ้างก็ว่านำรากแห้งหั่นฝอยใช้ตุ๋นกับหางหมูเจือกับสุรา สามารถทานเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยเอวได้ (รากแห้ง)[1],[2],[4]
  • รากสดจะมีรสเผ็ดสุขุม มาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้แผลฟกช้ำ[1],[2] สามารถแก้ฟกช้ำดำเขียวได้ (ราก)[3]
  • สามารถแก้แผลเจ็บปวดจากการกระทบกระแทกได้ (ใบ)[4]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ผดผื่นคันที่เกิดเพราะความชื้น, แมลงกัดต่อยได้ (ราก, ก้าน, ใบสด)[1],[3],[4] สามารถ
  • แก้ผื่นคันได้ (ราก)[3]
  • สามารถใช้รากเป็นยาแก้ฝีในมดลูกได้ (ราก)[3]
  • สามารถใช้ใบเป็นยาขับประจำเดือนหรือระดูของสตรีได้ [3],[5] หรือใช้รากแห้ง 10-15 กรัม (ถ้าสดให้ใช้ประมาณ 30-60 กรัม) มาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว ทานหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น [4]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดกระเพาะได้ โดยใช้ใบแก้วแห้ง, กานพลู, เจตพังคี, เปลือกอบเชย มาบดให้เป็นผง ชงกับน้ำร้อนเป็นยาทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผงที่ได้มาบดผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง [3]
  • ใบสามารถช่วยขับลม และแก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อได้ [3],[5]
  • ใบสามารถแก้ท้องเสียได้ [4]
  • สามารถใช้รากเป็นยาแก้ฝีฝักบัวที่บริเวณเต้านมได้ [3]
  • สามารถแก้อาการไอได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • สามารถช่วยคลายการอุดตันของเส้นเลือดได้ จะทำให้การไหลเวียนของเลือดลมดีมากขึ้น (ราก)[3]

การใช้สมุนไพรแก้ว

ใช้รากกับใบแห้งครั้งละ 10-18 กรัม ถ้าเป็นยาสดให้ใช้ครั้งละ 20-35 กรัม[3]
สามารถใช้เป็นยารักษาภายใน แก้อาการท้องเสีย แก้บิด ขับพยาธิ ใช้ก้านกับใบสด 10-15 กรัม มาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว ทานหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น หรือนำมาดองกับเหล้าใช้ดื่มแต่เหล้าครั้งละ 1 ถ้วยตะไล[4]
ถ้าใช้เป็นยาภายนอก นำก้านกับใบสดมาตำใช้พอกหรือคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบแห้งมาบดเป็นผงใช้โรยใส่แผล ถ้าใช้เป็นยาแก้ปวดหรือยาชาเฉพาะที่ให้ใช้ใบกับก้านสดที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ 50% ถ้าเป็นส่วนของรากแห้งหรือรากสดให้ตำแล้วใช้พอก หรือนำไปต้มเอาน้ำมาใช้ชะล้างบริเวณที่เป็น[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นแก้ว

  • มีฤทธิ์การยับยั้งการเต้นของหัวใจของกบ[3]
  • กิ่ง เปลือกก้าน ผลมีสาร Mexoticin I, Hibiscetin, Heptamethyleeher I[3] สารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะมีฤทธิ์การฆ่าเชื้อหรือช่วยยับยั้งเชื้อ Bacullus Inuza และเชื้อ Btaphylo Coccus [3]
  • สารสกัดจาก Petroleum ether จากต้นถ้านำมาทดลองกับลำไส้ใหญ่กับลำไส้เล็กของหนูขาวที่ผ่าออกจากร่าง จะพบว่าสารดังกล่าวมีประสิทธิภาพทำให้เกร็งตึงที่กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้หย่อนคลาย[3]
  • ใบ น้ำมันหอมระเหย 0.25 ประกอบไปด้วยสาร Bisabolene, Carene, Citronellol, Eugenol, Geraniol, I-Candinenem, Paniculatin, Phebalosin, Methyl Anthranilate, Scopoletin, Scopolin[3]

ประโยชน์ของต้นแก้ว

  • เนื้อไม้ นำมาแปรรูปใหม่ ๆ จะมีสีเหลืองอ่อน นานเข้าจะมีสีเหลืองแกมสีเทา เนื้อไม้จะมีเสี้ยนตรงหรือสน จะมีความละเอียดอย่างสม่ำเสมอ มักมีลายพื้นหรือลายกาบบางต้น สามารถเลื่อย ผ่า ไส ขัด ตบแต่งได้ และมีลายไม้สวยงาม นิยมนำเนื้อไม้มาใช้ทำเครื่องเรือน เครื่องตกแต่งในบ้าน ภาชนะ ด้ามเครื่องมือ ด้ามปากกา ไม้บรรทัด ไม้เท้า ไม้ตะพด กรอบรูป เครื่องดนตรี ซออู้ ซอด้วง เครื่องกลึง เป็นต้น [6],[8]
  • ดอกบูชาพระในพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลยิ่ง [6]
  • ต้น เป็นไม้ประดับมีทรงพุ่มสวย สามารถตัดแต่งเป็นพุ่มได้ มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมดี ไม่ต้องการการบำรุงรักษามาก แต่ต้องรดน้ำเพียงครั้งคราว นิยมปลูกเป็นไม้ประดับหรือไม้ประธานที่ตามสวนหย่อม ริมทะเล เป็นต้น จะปลูกเป็นต้นเดี่ยวหรือปลูกแบบเป็นกลุ่ม หรือปลูกเป็นรั้วบังสายตา ปลูกเพื่อให้ร่มเงา ต้นแก้วจะออกดอกดก ดอกมีสวยงาม มีกลิ่นหอม (ถ้าปลูกจากกิ่งตอนจะเป็นไม้พุ่ม แต่ถ้าปลูกในที่ร่มใบจะมีสีเขียวเข้ม จะมีกิ่งยืดยาว ออกดอกน้อย)[5]
  • ก้านใบมาใช้ทำความสะอาดฟันได้[1],[2]
  • สารสกัดจากต้น เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ยาลดน้ำหนักที่ในประเทศมาเลเซีย โฆษณาระบุว่าเป็นสูตรยาสมุนไพรเก่าแก่ มีสรรพคุณในการช่วยลดความอยากอาหารได้ ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายกับร่างกาย[9]
  • ต้น สามารถขับไล่วิญญาณร้าย แม่มด ปีศาจ ปัดเป่าโชคร้ายต่าง ๆ และนำความสุขสมหวังมาให้ มีการปลูกเป็นไม้ประดับกันแพร่หลาย เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ มีตำนานเล่าว่าสุลต่านแห่งยอกยาการ์ต้า จะหาที่พักสงบจิตใจ รวบรวมสมาธิใกล้กับต้นแก้วก่อนที่จะเสด็จเพื่อเข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง ทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมีสมาธิ สติปัญญาโดยปริยาย ในพิธีแต่งงาน ดอกแก้วยังเปรียบเหมือนคำอวยพรให้คู่บ่าวสาวที่ขอพรให้ใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสมหวัง หอมหวานเหมือนกลิ่นของดอกแก้ว มีการนำใบของต้นใช้ในพิธีศพ มักใช้โรยบนพื้นก่อนนำศพไปวาง เนื่องจากใบแก้วจะมีกลิ่นหอมสดชื่น สามารถช่วยดับกลิ่นเหม็นคลุ้งของศพได้[9]
  • ปลูกเป็นไม้ประจำบ้าน จะทำให้คนในบ้านมีแต่ความดี มีคุณค่า เพราะคำว่า แก้ว มีความหมายว่า สิ่งที่ดี มีคุณค่า และเป็นที่นับถือของคนทั่วไป เนื่องจากคนโบราณเปรียบเทียบของที่มีค่าสูงเหมือนดั่งดวงแก้ว และมีความเชื่อว่าบ้านที่ปลูกเป็นไม้ประจำบ้าน จะทำให้คนในบ้านมีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน เปรียบเหมือนแก้วที่สดใส มีความใสสะอาด เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย ควรปลูกต้นแก้วทางทิศตะวันตก ควรปลูกในวันพุธ เนื่องจากคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้ดอกเพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกวันพุธ[6]
  • ผลสุกสามารถทานเป็นอาหารได้[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “แก้ว”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 95.
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “แก้ว (Kaew)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 55.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “แก้ว”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 92.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “แก้ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [06 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “แก้ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [06 ก.พ. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ต้นแก้ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [06 ก.พ. 2014].
GRIN (Germplasm Resources Information Network) Taxonomy for Plants. “Murraya paniculata (L.) Jack”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ars-grin.gov. [06 ก.พ. 2014].
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1.
Sangkae’s Blog. Murraya paniculate”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: sangkae.wordpress.com. [06 ก.พ. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.lucknownursery.com/product/murraya-paniculata-chinese-box-dark-green-all-time-garden-flower-plant/

ต้นซ้อ พรรณไม้กลางป่าสรรพคุณแก้อาการคัน

0
ต้นซ้อ พรรณไม้กลางป่าสรรพคุณแก้อาการคัน เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ เนื้อไม้มีความแข็งแรง ดอกมีสีเหลืองแกมน้ำตาลเข้ม มีรสหวาน ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปรี
ต้นซ้อ
ไม้ยืนต้นผลัดใบ เนื้อไม้มีความแข็งแรง ดอกมีสีเหลืองแกมน้ำตาลเข้ม มีรสหวาน ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปรี

ต้นซ้อ

ชื่อสามัญของซ้อ คือ Gamari ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของซ้อ คือ Gmelina arborea Roxb. อยู่ในวงศ์กะเพรา ชื่อซ้อของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ม้าเหล็ก แก้มอ้น เซาะแมว ตุ๊ดจะหระ ไม้ซ้อ แต้งขาว ท้องแมว เฝิง ลำซ้อ ช้องแมว เป้านก ลำซ้อ สันปลาช่อน เมา ไม้เส้า ลำชิล้า ซึงโฉว้ ต๊ะจู้งก้ง

ลักษณะต้นซ้อ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ต้นสูงประมาณ 15-25 เมตร กิ่งอ่อนจะมีขนและเป็นสันสี่เหลี่ยม มีเขตการกระจายพันธุ์ที่อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล ภูฎาน พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย ประเทศไทยมีเขตกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาค ซ้อจะขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 1,500 เมตร[1],[2]
  • ใบ เป็นเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปหัวใจ ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะเป็นรูปลิ่มกว้าง ขอบจะใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร ที่แผ่นใบด้านบนจะเกลี้ยง ท้องใบด้านล่างนวลและมีขน มีเส้นแขนงใบประมาณ 3-5 คู่ ออกจากโคน 1 คู่ ก้านใบยาว 3-10 เซนติเมตร เป็นร่องที่ด้านบน[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงสั้น ๆ ดอกจะออกที่ตามปลายกิ่งจะมี 1 ช่อหรือหลายช่อ มีความยาว 7-15 เซนติเมตร ช่อดอกจะมีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก มีใบประดับที่ร่วงง่าย มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูประฆังยาว 0.3-0.4 เซนติเมตร ที่ปลายกลีบจะเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ด้านของนอกกลีบเลี้ยงจะมีขน กลีบดอกสมมาตรด้านข้าง เป็นรูปปากแตรโป่งด้านเดียว ยาว 2-4 เซนติเมตร ที่ปลายแยกเป็น 5 กลีบ แบ่งเป็นกลีบบนกลีบล่าง กลีบบนมี 2 กลีบ กลีบล่างมี 3 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน ด้านนอกจะมีสีน้ำตาลแดง ด้านในจะมีสีครีมอ่อน ๆ กลีบปากล่างและกลีบกลางด้านในเป็นสีเหลืองแซม และมีขนอยู่ด้านนอก ด้านในเกลี้ยง มีเกสรเพศผู้สั้น 2 ก้าน ก้านจะยื่นไม่พ้นปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้ติดบนหลอดกลีบดอกที่ประมาณกึ่งกลาง รังไข่เกลี้ยง มีต่อม ยอดของเกสรเพศเมียมีแฉก 2 แฉก มีขนาดไม่เท่ากัน ดอกออกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[3]
  • ผล เป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่ ยาว 1.5-2 เซนติเมตร ผิวผลจะเกลี้ยงและเป็นมัน มีกลิ่น ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง ในผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด เมล็ดจะมีลักษณะเป็นรูปรี กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ออกผลช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[1],[2],[3]

สรรพคุณของต้นซ้อ

  • เปลือกต้นมาทุบแล้วบีบเอาน้ำมาใช้รักษาแผลที่เกิดจากน้ำกัดเท้า[4]
  • ชาวไทใหญ่จะนำเปลือกต้นมาต้มหรือตำ ใช้พอกแก้อาการคันตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า[4]
  • ชาวเขาเผ่าลีซอจะนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำใช้อาบแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน หูด[1]
  • สามารถใช้รากเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกายได้[5]
  • สามารถนำเปลือกต้นต้มกับน้ำใช้แช่เท้ารักษาโรคเท้าเปื่อย[3]
  • ยาพื้นบ้านล้านนาจะนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำใช้อาบแก้อาการคัน[1] หรือนำเปลือกต้นมาขูดเป็นฝอย ๆ บีบเอาน้ำมาใช้ใส่แผลที่เกิดจากผื่นคัน[2]
  • คั้นเอาน้ำจากใบมาใช้ทารักษาแผล[5]

ประโยชน์ของต้นซ้อ

  • ชาวไทใหญ่จะนำดอกมาใส่กับข้าวแป้งทำขนมห่อ[4]
  • เนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เนื้อมีสีขาวแกมสีเหลือง ถ้าทิ้งไว้นานสีจะเข้มขึ้น เหมาะกับการใช้ในงานก่อสร้าง โครงสร้างของบ้าน เสาบ้าน ไม้กระดาน หน้าต่าง วงกบประตู ไม้บุผนังที่สวยงาม ฯลฯ หรือใช้ทำเกวียน ทำเรือ แจว พาย กรรเชียง กระเดื่อง บางส่วนของรถ โลงศพ ไม้กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำ กังหันน้ำ ถังไม้ เป็นต้น เนื่องจากมีความทนไม่แตกหักง่าย หรืองานก่อสร้างในที่ร่ม ทำเครื่องเรือน หีบใส่ของ ของเล่นเด็ก ครก สาก ไหนึ่งข้าว ไหนึ่งเมี่ยง อ่างคนข้าว กลอง ฆ้อง สันแปรง ด้ามปากกา ไม้บรรทัด ไม้ฉาก พานท้ายและรางปืน จะเข้ รางระนาด เยื่อกระดาษ เป็นต้น หรือจะใช้ในงานกลึง งานแกะสลักประดับตกแต่ง ทำนก ทำดอกไม้ กระบวยเล็ก ฯลฯ ชาวเมี่ยนจะนำไม้มาทำสะพานเพื่อประกอบพิธีตานขัว สามารถนำลำต้นหรือเนื้อไม้มาทำฟืน[3],[4],[5]
  • ผลสุกมาบีบเอาแต่น้ำผสมกับข้าวเหนียวนึ่ง แล้วนำมาหมกไฟใช้ทาน หรือบีบน้ำของผลใส่ข้าวจี่จะทำให้มีรสหวาน[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ซ้อ”. หน้า 118.
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ซ้อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [7 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ซ้อ”. อ้างอิงใน: หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [7 มี.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “ซ้อ”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [7 มี.ค. 2014].
LOOK FOREST GROUP. “ซ้อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.lookforest.com. [7 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.flickr.com/photos/mercadanteweb

เชอร์รี่ผลไม้สีแดง รสหวานเปรี้ยวมากคุณประโยชน์มากมาย

0
เชอร์รี่ผลไม้สีแดง รสหวานเปรี้ยวมากคุณประโยชน์มากมาย ลักษณะกลม มีขนาดเล็ก เปลือกมีสีแดง สีแดงเข้ม สีส้ม และสีเหลือง รสชาติหวานอมเปรี้ยว
เชอร์รี่
ผลไม้สีแดง ลักษณะกลม มีขนาดเล็ก เปลือกมีสีแดง สีแดงเข้ม สีส้ม และสีเหลือง รสชาติหวานอมเปรี้ยว

เชอร์รี่

เชอรี่ หรือ เชอร์รี่ (Cherry) จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับ พลัม ลูกท้อ บ๊วย อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง

เชอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ลักษณะผลนั้นมีลักษณะกลม มีขนาดเล็ก เปลือกมีสีแดง สีแดงเข้ม สีส้ม และสีเหลือง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้น ๆ โดยในทั่วไปแล้ว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีรสหวาน และกลุ่มที่มีรสหวานอมเปรี้ยว โดยแหล่งเพาะปลูกมากที่สุดก็คือในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ออสเตรเลีย รวมไปถึงในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นผลไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น นิยมนำมารับประทานสด ๆ หรืออาจจะนำมาคั้นเป็นน้ำไว้ดื่มก็ได้ หรือจะนำไปทำขนมต่าง ๆ เช่น แยม พาย เชื่อม เป็นต้น โดยสายพันธุ์ที่นิยมนำมารับประทานมากที่สุดคือ เชอร์รี่ป่า (Prunus avium)

ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีพิษที่ซ่อนไว้ในเมล็ดอยู่ด้วย ชื่อของพิษนั้นก็คือ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ โดยเฉพาะเวลาที่เคี้ยว หรือบดจะผลิตสารนี้โดยอัตโนมัติ แต่เนื่องจากเป็นพิษที่ค่อนข้างอ่อน อย่างมากก็แค่จะทำให้มีอาการปวดศีรษะ เวียนหัว อาเจียน แต่หากได้รับสารพิษนี้มากจนเกินไปก็อาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคไตวาย หรืออาจเกิดอาการชักจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และสิ่งที่จะต้องระวังอีกเรื่องนั้นก็คือ เชอร์รี่ที่เราเห็นอยู่บนขนมเค้กตามท้องตลาดนั้น ที่เห็นว่ามีสีแดงดูน่ารับประทานส่วนใหญ่แล้วนั้นเกิดจากการนำไปย้อมสีอีกที การเลือกรับประทานก็ควรจะดูให้ดี ๆ เพราะอาจจะเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไตได้

สรรพคุณของเชอร์รี่

1. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
2. ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน
3. มีสรรพคุณช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและความแก่ได้
4. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
5. มีสารไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึงร้อยละ 20% เลยทีเดียว
6. มีส่วนช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อหวัดและช่วยรักษาโรคหวัดได้
7. สารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) ช่วยป้องกันเซลล์ดีเอ็นเอถูกทำลายได้
8. มีส่วนช่วยลดการผลิตเมลานิน จึงทำให้ผิวพรรณมีความขาวขึ้นได้
9. มีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
10. มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
11. มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้
12. มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดได้ แพทย์ในตะวันตกเรียกว่า “แอสไพรินธรรมชาติ”
13. มีส่วนช่วยในการลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด อันเนื่องมาจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนัก ๆ ได้
14. มีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบ และปวดบวมตามข้อ ได้มากถึง 37% หากรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ
15. สารแอนโทไซยานิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน (แต่ควรรับประทานแต่พอเหมาะ ไม่งั้นจะเป็นเบาหวานซะเองแทนที่จะป้องกัน)
16. มีส่วนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
17. มีส่วนช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด (Lycopene)
18. สามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการรับประทานยาเสียอีก เพราะมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ทำให้อารมณ์ดีมีความสุข
19. มีส่วนช่วยลดอาการแพ้ต่าง ๆ รวมไปถึงโรคภูมิแพ้อีกด้วย
20. มีส่วนช่วยลดระดับของไขมันเลว (LDL)
21. มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดความอ่อนล้าจากการออกกำลังกาย
22. มีสรรพคุณช่วยระบายและยังช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
23. มีสรรพคุณช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้

ประโยชน์ของเชอร์รี่

1. มีฤทธิ์ที่ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้มากขึ้น
2. นอกจากการที่เราจะรับประทานเป็นผลไม้สดแล้ว ก็สามารถนำไปคั้นเป็นน้ำหรือจะนำเอาไปทำขนมต่าง ๆ เช่น แยม พาย เชื่อม ก็สามารถทำได้เช่นกัน

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเชอร์รี่หวาน (สีแดง) ต่อ 100 กรัม พลังงาน 63 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 16 กรัม
น้ำ 82.25 กรัม
น้ำตาล 12.8 กรัม
เส้นใย 2.1 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 1.06 กรัม
วิตามินเอ 3 ไมโครกรัม 0%
เบตาแคโรทีน 38 ไมโครกรัม 0%
ลูทีนและซีแซนทีน 85 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.033 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.154 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 5 0.199 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.049 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 9 4 ไมโครกรัม 1%
โคลีน 6.1 มิลลิกรัม 1%
วิตามินซี 7 มิลลิกรัม 8%
วิตามินเค 2.1 ไมโครกรัม 2%
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.36 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมกนีเซียม 11 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.07 มิลลิกรัม 3%
ธาตุฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม 222 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 0 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเชอร์รี่เปรี้ยว (สีแดง) ต่อ 100 กรัม พลังงาน 50 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 12.2 กรัม
น้ำตาล 8.5 กรัม
เส้นใย 1.6 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
วิตามินเอ 64 ไมโครกรัม 8%
เบตาแคโรทีน 770 ไมโครกรัม 7%
ลูทีนและซีแซนทีน 85 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.03 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.4 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 5 0.143 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 6 0.044 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 9 8 ไมโครกรัม 2%
โคลีน 6.1 มิลลิกรัม 1%
วิตามินซี 10 มิลลิกรัม 12%
วิตามินเค 2.1 ไมโครกรัม 2%
ธาตุแคลเซียม 16 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.32 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.112 มิลลิกรัม 5%
ธาตุฟอสฟอรัส 15 มิลลิกรัม 2%
ธาตุโพแทสเซียม 173 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (En), หนังสือพิมพ์สยามดารา, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

รูปอ้างอิงจาก
1.https://www.rootsplants.co.uk/collections/cherry-trees
2.https://www.allaboutgardening.com/cherry-trees/

ต้นชิงชี่ พืชสมุนไพรพื้นบ้านสรรพคุณ 27 ข้อ

0
ต้นชิงชี่ พืชสมุนไพรพื้นบ้านสรรพคุณ 27 ข้อ ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีดำ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ กระทุ้งพิษ ถอนพิษ
ต้นชิงชี่
ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีดำ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ กระทุ้งพิษ ถอนพิษ

ต้นชิงชี่

ต้นชิงชี่ เป็นพืชขนาดเล็กพบได้ตามป่าดิบสมุนไพรพื้นบ้าน มักใช้ในชุมชนเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณยาแก้ไข้ สามารถช่วยกระทุ้งพิษ ถอนพิษได้รวมถึงนำรากมาต้มดื่มบำรุงหลังคลอดบุตรของสตรี แก้ไข้ กระทุ้งพิษ ถอนพิษได้เป็น
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของชิงชี่ คือ Capparis micracantha DC. อยู่ในวงศ์กุ่ม (CAPPARACEAE หรือ CAPPARIDACEAE) ชื่อชิงชี่ของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ค้อนกลอง แส้ม้าทลาย พุงแก ซิซอ หมากหมก หนวดแมวแดง น้ำนอง ค้อนฆ้อง ชายชู้ กระดาดป่า[1] กระดาษป่า[2] กระดาดขาว ราม แสมซอ เม็งซอ จิงโจ้ พวงมาระดอ พญาจอมปลวก กระโรกใหญ่ กิรขี้[2] กินขี้[3] น้ำนองหวะ ซาสู่ต้น ชิงชี แซ่ม้าลาย ชินซี่ ปู่เจ้าสมิงกุย ชิงวี่ แซ่สู่ต้น [1],[2],[3]

ลักษณะ

  • ต้น เป็นไม้พุ่มหรือกึ่งเลื้อย ชิงชี่เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-6 เมตร กิ่งก้านอ่อนจะมีสีเขียว กิ่งคดไปมา ผิวจะเรียบเกลี้ยง มีหนามยาว 2-4 มิลลิเมตร มีลักษณะตรงหรือโค้งนิดหน่อย ลำต้นมีสีเทา ผิวของเปลือกต้นจะเป็นกระสีขาว แตกระแหง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด ขึ้นได้ที่ตามสภาพดินที่แห้ง เขาหินปูนแห้งแล้ง ภูเขา หินปูนที่ใกล้ทะเล ทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าโปร่งทั่วไป พบเจอได้ทุกภาคของประเทศไทย ที่มีความสูงจากน้ำทะเลต่ำกว่า 500 เมตร พบเจอในต่างประเทศได้ที่ฟิลิปปินส์ อันดามัน อินโดจีน ไฮหนาน พม่า อินเดีย จีน มาเลเซีย [1],[3],[4],[7]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวจะออกเรียงสลับ ใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่ หรือรูปรี ที่ปลายใบจะมน แหลม หรือเว้านิดหน่อยและเป็นติ่ง ขอบใบจะมนหรือค่อนข้างเว้า ส่วนที่ขอบใบจะเรียบ เป็นคลื่นเล็กน้อย ใบกว้าง 3-15 เซนติเมตร ยาว 9.5-24 เซนติเมตร ที่แผ่นใบจะค่อนข้างหนา มัน เกลี้ยง ที่หลังใบจะเรียบและเป็นมัน ท้องใบเรียบ ก้านใบยาว 0.7-1 เซนติเมตร[4]
  • ดอก ออกดอกเดี่ยว ออกเรียงกันเป็นแถวประมาณ 1-7 ดอก ดอกออกที่ตามซอกใบบริเวณที่ปลายกิ่ง จะออกเรียงอยู่เหนือง่ามใบ กลีบดอกมีสีขาว ร่วงง่าย มีอยู่ 2 กลีบ ด้านนอกจะมีสีขาวแต้มเหลืองจะเปลี่ยนเป็นแต้มสีม่วงปนกับสีน้ำตาล เป็นรูปขอบขนาน รูปหอก กว้าง 3-7 มิลลิเมตร ยาว 10-25 มิลลิเมตร จะมีต่อมน้ำหวานที่บริเวณโคนก้านดอก ดอกจะมีเกสรเพศผู้ที่เป็นเส้นเล็กฝอย ๆ เป็นสีขาวคล้ายกับหนวดแมวยาวออกมา มี 20-35 อัน มีก้านยาว รังไข่มีลักษณะเป็นรูปไข่ เกลี้ยง กลีบรองกลีบดอกจะเว้าเป็นรูปเรือแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 มิลลิเมตร ยาว 5.5-13 มิลลิเมตร ที่ขอบมักจะมีขน ก้านดอกยาว 1-2 เซนติเมตร ดอกออกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[4]
  • ผล เป็นผลสด ผลจะค่อนข้างกลมหรือรี ผิวของผลจะเรียบแข็งและเป็นมัน มี 4 ร่องที่ตามแนวยาวของผล ผลกว้าง 3-6.5 เซนติเมตร ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีดำ ในผลมีเมล็ดเป็นรูปไต มีสีแดงหรือสีดำเป็นมันอัดแก่นจำนวนมาก[1],[4]

สรรพคุณของชิงชี่

  • สามารถใช้รากเป็นยาบำรุงหลังคลอดบุตรของสตรีได้[4],[7]
  • สามารถรักษาอาการชาที่ตามร่างกายได้ (ใบ)[7]
  • สามารถตำต้นหรือทั้งต้น ใช้พอกแก้อาการช้ำบวมฟกบวม หรือตำรากกับใบ แล้วนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำบวมได้[1],[2],[3],[4],[5],[7]
  • นำใบมาต้มกับน้ำ ใช้อาบ หรือต้มน้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคผิวหนัง (ใบ)[2],[3],[4]
  • เนื้อไม้สามารถใช้เป็นยากลางบ้าน รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี รักษาโรคกระเพาะ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ[7]
  • รากเป็นยาขับปัสสาวะได้[7]
  • รากเป็นยารักษาโรคที่เกิดในท้องได้[2],[3],[4]
  • ใบมาเผาสูดเอาควัน เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบได้[1],[4],[5],[7]
  • เมล็ดมาคั่วใช้เป็นยาแก้ไอได้[7] สามารถใช้รากเป็นยาแก้ไอที่เกิดจากหลอดลมอักเสบได้[4],[7]
  • เนื้อไม้เป็นยารักษาโรคหลอดลมอักเสบ รักษาอาการอักเสบที่เยื่อจมูกได้[7]
  • รากเป็นยาหยอดตาได้ ช่วยแก้โรคและช่วยรักษาดวงตา[3],[4]
  • ใบเข้ายาอาบ ช่วยรักษาโรคประดง (ใบ, ดอก[1],[2],[4],[5],[7])
  • รากกับใบสามารถช่วยกระทุ้งพิษไข้หัวได้ (อาการไข้ ผื่นหรือตุ่ม เช่น เหือด หัด อีสุกอีใส)[1],[4],[5]
  • ต้นมีรสขื่นปร่า สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ได้[4],[7]
  • รากของชิงชี่อยู่ในตำรับยา พิกัดเบญจโลกวิเชียร หรือตำรายาแก้วห้าดวงหรือยาห้าราก เป็นตำรับยาที่มีรากของสมุนไพร 5 ชนิด คือ รากชิงชี่ รากคนทา รากมะเดื่อชุมพร รากเท้ายายม่อม รากย่านาง เป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณยาแก้ไข้ สามารถช่วยกระทุ้งพิษ ถอนพิษได้[4]
  • ใบเข้ายาอาบหรือต้มดื่ม ช่วยแก้ตะคริวได้[1],[2],[4],[5],[7]
  • รากและดอกสามารถใช้เป็นยารักษามะเร็งได้ (แผลเรื้อรัง เน่าลุกลาม รักษายาก) [1],[2],[3],[4],[5],[7]
  • ต้นสามารถช่วยขับน้ำเหลืองเสียได้[4],[7]
  • รากสามารถทำให้มดลูกเข้าอู่ได้[4],[7]
  • รักษาโรคกระเพาะได้ (ราก)[2],[4],[7]
  • รากใช้เป็นยาขับลมภายในให้ซ่านออกมาได้[1],[3],[4],[5],[7]
  • แก้อาการเจ็บในทรวงอกได้ (รากและใบ)[1],[4],[5]
  • ผลสามารถรักษาโรคที่เกิดในลำคอ และช่วยแก้อาการเจ็บคอ คออักเสบ[2],[3],[4],[7]
  • รากกับใบเป็นยาแก้หืดได้ [1],[2],[4],[5]
  • รากจะมีสรรพคุณที่ช่วยแก้ไข้ร้อนภายในได้ทุกชนิด และช่วยแก้ไข้เพื่อดีกับโลหิต[2],[3],[4],[6] รากกับใบสามารถใช้เป็นยาระงับความร้อนได้[4]
  • สามารถรักษาไข้เพื่อดีกับเลือดได้ จะใช้ได้ดีในตอนต้นไข้ (ราก)[3]
  • ใบต้ม ใช้ดื่มเป็นยาแก้ไข้สันนิบาต คือไข้ที่มีอาการวิงเวียน ตาลาย เลือดกำเดาไหล แน่นหน้าอก และไข้พิษ
  • ฝีกาฬ คือฝีที่เกิดบริเวณนิ้วมือ สีดำ ทำให้ปวดศีรษะและแสบร้อน อาจจะทำให้แน่นิ่งไป[1],[2],[3],[4],[5],[7]

ประโยชน์ของชิงชี่

  • ต้นชิงชี่เป็นไม้เล็กสามารถปลูกในพื้นที่แคบได้ สามารถตัดแต่งได้ง่าย ดอกจะออกดก มีกลิ่นหอม ดูแปลกตา ดูเหมือนเปลี่ยนสีจากกลีบสีเหลืองเป็นกลีบสีแดงเข้ม ที่จริงแล้วเป็นแหล่งน้ำหวานเปลี่ยนสีได้ มีก้านเกสรเป็นจำนวนมาก มีลักษณะโค้งได้รูปมองดูแปลกตา สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้[7]
  • ผลสุกของชิงชี่จะมีรสหวาน สามารถทานได้[4],[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ชิงชี่ (Chingchi)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 107.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “ชิงชี่”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 94.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ชิงชี่”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 270-271.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชิงชี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [6 มี.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ชิงชี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [6 มี.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ชิงชี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [6 มี.ค. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “ชิงชี่”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [6 มี.ค. 2014].

รูปอ้างอิงจาก
1.https://www.flickr.com/photos/

ชมพู่น้ำดอกไม้ ผลไม้พันธุ์โบราณหาทานยาก

0
ชมพู่น้ำดอกไม้ ผลไม้พันธุ์โบราณหาทานยาก ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นแห้งแล้ง และสามารถทนต่อความหนาวเย็นในช่วงเวลาสั้น ผลมีกลิ่นหอม เนื้อกรอบรสชาติหวาน
ชมพู่น้ำดอกไม้
ผลไม้พันธุ์โบราณหาทานยาก ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นแห้งแล้ง และสามารถทนต่อความหนาวเย็นในช่วงเวลาสั้น ผลมีกลิ่นหอม เนื้อกรอบรสชาติหวาน

ชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศพบได้ในพื้นที่เขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลไม้ชนิดนี้ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นแห้งแล้ง และสามารถทนต่อความหนาวเย็นในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ ซึ่งเนื้อมีสีเหลืองรสชาติหวาน กลิ่นหอม กรอบอร่อยสามารถกินดิบหรือสุกก็ได้ จัดอยู่ในวงศ์ตระกูล Myrtaceae

ชื่อสามัญของชมพู่น้ำดอกไม้ คือ Rose Apple, Malabar Plum, Jambu, Chom pu, Chom-phu, Pomme Rosa , พลัมโรส, มะละกาพลัม
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของชมพู่น้ำดอกไม้ คือ Syzygium jambos (L.) Alston[1]
ชื่อชมพู่น้ำดอกไม้ของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะซามุด มะห้าคอกลอก ชมพู่น้ำ ยามูปะนาวา มซามุด ฝรั่งน้ำ

ลักษณะ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10 เมตร เปลือกต้นจะค่อนข้างเรียบ มีสีน้ำตาล มีถิ่นกำเนิดที่ภูมิภาคอินโด-มาลายัน พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง เติบโตได้ดีในดินที่ความชื้นเหมาะสม แดดส่องเต็มวัน มีสายพันธุ์หลัก 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์จากประเทศไทยผลจะมีสีเขียวอ่อน และพันธุ์จากประเทศมาเลเซียผลจะมีสีแดง จะมีผลหลังปลูกได้ประมาณ 2 ปี จะชอบขึ้นตามป่าราบ และพบเจอการปลูกตามสวนเพื่อนำมารับประทานหรือนำมาขายเป็นสินค้า[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดียว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอกเรียวยาว ส่วนที่ปลายใบจะแหลมและเป็นติ่งแหลม โคนใบมนรี ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 12-17 เซนติเมตร ที่แผ่นใบหนาและมีสีเขียวเข้ม[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจะ ดอกจะออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยอยู่ประมาณ 3-8 ดอก กลีบดอกมีสีขาว, สีเหลืองอ่อน ลักษณะของฐานรองดอกมีลักษณะเป็นรูปกรวย มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก[2]
  • ผล เป็นผลสดสามารถรับประทานได้ เป็นผลเดี่ยว ลักษณะเกือบกลม มีกลีบเลี้ยงที่ปลายผลอยู่ 4 กลีบ ในผลกลวง มีกลิ่นหอม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม ผลดิบมีสีเขียวเข้ม ผลสุกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองทอง ด้านมนมีเนื้อบางมีสีขาวนวลหรือสีเขียวอ่อน มีเมล็ดขนาดใหญ่ เมล็ดมีสีน้ำตาล ออกผลช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2]

วิธีการปลูกหรือขยายพันธุ์

สามารถปลูกด้วยเมล็ดหรือกิ่งตอน และเกลี่ยดินกลบ นำใบตองมาปิดบริเวณโคนต้น จะช่วยเก็บความชื้น รดน้ำวันละ 2 ครั้ง การกิ่งตอนให้ทำไม้ปักยึดผูกกับต้นไว้ ป้องกันการโค่นล้ม การป้องกันไม่ให้ต้นเฉา ให้นำมาปลูกที่ใกล้บริเวณริมคลอง ชอบน้ำ ควรปลูกให้ห่างกับบ้านประมาณ 2 เมตร ปลูกง่าย ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง แต่ต้องห่อผลด้วยถุงพลาสติกป้องกันแมลง

สรรพคุณของชมพู่น้ำดอกไม้

  • ใบสดมาต้มกับน้ำ สามารถใช้ล้างแผลสดได้[5]
  • ใช้เป็นยาแก้ท้องเสียได้[2] และสามารถใช้เปลือกต้น เป็นยาแก้ท้องร่วงได้[5]
  • ใบเป็นยาลดไข้[3]
  • เปลือก ต้น เมล็ด มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้เบาหวาน[2]
  • สามารถนำผลมาปรุงเป็นยาชูกำลัง[2]
  • ใบสดมาตำแล้วพอก ใช้รักษาโรคผิวหนังได้[5]
  • เมล็ดมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้โรคบิดได้[5]
  • ใบ เป็นยาแก้ตาอักเสบได้[3]
  • ผลช่วยแก้ลมปลายไข้ได้[2]
  • ผลเป็นยาบำรุงหัวใจ[2]

ประโยชน์ของชมพู่น้ำดอกไม้

  • สามารถนำเปลือกมาสกัดเป็นสารที่ให้สีน้ำตาล
  • ผลมีสีที่สวยงามสามารถรับประทานได้ มีกลิ่นหอม รสหวาน จัดเป็นไม้หายาก ทำให้ผลมีราคาแพง[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
สารสกัดจากอะซิโตนกับน้ำจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus warneri, Staphylococcus cohnii, Yersinia enterocolitica, Staphylococcus aureus, Staphylococcus hominis สารที่สำคัญในการออกฤทธิ์ต้านเชื้อ คือ สารแทนนิน [4]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการชมพู่น้ำดอกไม้ 100 กรัม พลังงาน 25 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินเอ 17 ไมโครกรัม (2%)
วิตามินบี1  0.02 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.8 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินซี 22.3 มิลลิกรัม (27%)
โปรตีน 0.3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
น้ำ 93 กรัม
โพแทสเซียม 123 มิลลิกรัม (3%)
ฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม (1%)
สังกะสี 0.06 มิลลิกรัม (1%)
แมกนีเซียม 5 มิลลิกรัม (1%)
แคลเซียม 29 มิลลิกรัม (3%)
แมงกานีส 0.029 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุเหล็ก 0.07 มิลลิกรัม (1%)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ชมพู่น้ำาดอกไม้”. หน้า 242-243.
พืชไม้ผล, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ชมพู่น้ำดอกไม้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/use/fruit.htm. [28 ส.ค. 2014].
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน, โรงเรียนสตรีนครสวรรค์. “ชมพู่น้ำดอกไม้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.sns.ac.th. [28 ส.ค. 2014].
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ต้านจุลชีพจากเปลือกต้นชมพู่น้ำดอกไม้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [28 ส.ค. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “ชมพู่น้ำดอกไม้เพชรน้ำบุษย์ ผลทั้งปีหวานหอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thairath.co.th. [28 ส.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
https://www.growables.org/information/TropicalFruit/RoseApple.htm

เฉียงพร้านางแอ พรรณไม้พื้นบ้านใช้ทำเครื่องจักสาน

0
เฉียงพร้านางแอ พรรณไม้พื้นบ้านใช้ทำเครื่องจักสาน เป็นพรรณไม้น้ำจืด ผลสีแดงขนาดเล็ก เมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ เป็นยาแผนโบราณพื้นบ้านอีสาน
เฉียงพร้านางแอ
เฉียงพร้านางแอ พรรณไม้พื้นบ้านใช้ทำเครื่องจักสาน เป็นพรรณไม้น้ำจืด ผลสีแดงขนาดเล็ก เมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ เป็นยาแผนโบราณพื้นบ้านอีสาน

เฉียงพร้านางแอ

เฉียงพร้านางแอ เป็นพรรณไม้น้ำจืดพบได้ทั่วไปขึ้นเองตามธรรมชาติบริเวณป่าชายเลนน้ำจืด ริมลำธาร และหนองน้ำ มีผลไม้สีแดงขนาดเล็กจำนวนมากที่กินได้ ใบและเปลือกของต้นเฉียงพร้านางแอใช้เป็นยาแผนโบราณ ยาพื้นบ้านอีสาน โดยเฉพาะรักษาโรคทางช่องปากและคอ ต้มน้ำดื่มบำรุงร่างกาย และใช้เป็นยาเจริญอาหารสำหรับสตรีหลังคลอดเป็นต้น ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Carallia brachiata (Lour.) Merr. จัดอยู่ในวงศ์โกงกาง (RHIZOPHORACEAE)[1],[2],[3] ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า แก็ก วงคต วงคด องคต (ลำปาง), บงคด (แพร่), นกข่อ ส้มป้อง (เชียงใหม่), ขิงพร้า เขียงพร้า (ตราด, ประจวบคีรีขันธ์), กวางล่าม้า (ภาษาชอง-ตราด), เฉียงพร้า ตะแบง (สุรินทร์), ร่มคมขวาน (กรุงเทพ), สีฟันนางแอง (ภาคเหนือ), ต่อไส้ สันพร้านางแอ (ภาคกลาง), คอแห้ง สีฟัน (ภาคใต้), สะโข่ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), กูมุย (เขมร-สุรินทร์), ม่วงมัง หมักมัง (ปราจีนบุรี), โองนั่ง (อุตรดิตถ์), บงมัง (ปราจีนบุรี, อุดรธานี), เขียงพร้านางแอ (ชุมพร) เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของเฉียงพร้านางแอ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางถึงขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 25-30 เมตร และอาจจะสูงได้ถึง 35 เมตร ลำต้นเปลา ตั้งตรง เป็นทรงเรือนยอดทรงพุ่มรูปกรวยกว้างและทึบ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอมแดงถึงสีน้ำตาลอมเทา ผิวเปลือกเรียบ และมีรูอากาศมาก หรือเปลือกต้นหนาและแตกเป็นร่องลึกตามยาว อาจพบเห็นเป็นลักษณะคล้ายรากค้ำจุนแบบ Prop root เป็นเส้นยาว หรือออกเป็นกระจุกตามตัวลำต้นหรือส่วนโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และมีการกระจายพันธุ์ในป่าเบญจพรรณ ป่าพรุน้ำจืด ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ตั้งแต่พื้นที่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 1,300 เมตร แต่ในภูมิภาคมาเลเซียนั้นจะพบที่ระดับความสูง 1,800 เมตร[1],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามและสลับกับตั้งฉาก ใบเป็นรูปรี รูปไข่กลับ หรือเป็นรูปใบหอกกลับ ตรงปลายใบเป็นมนมีติ่งเล็กแหลม ส่วนฐานของใบนั้นเป็นสอบแหลม ขอบใบเรียบ มีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ส่วนก้านใบยาวประมาณ 0.4-1 เซนติเมตร แผ่นใบผิวเกลี้ยงมีความหนาและเหนียว หลังใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันหนา แต่ท้องใบจะมีสีอ่อนกว่า และมีจุดสีน้ำตาลกระจายอยู่ และมีหูใบอ่อนเป็นรูปหอกแหลมที่ตรงปลายกิ่ง เมื่อใบร่วงจะเห็นเป็นรอยแผลของใบ ตรงบริเวณข้อพองเล็กน้อย [1],[4]
  • ดอกออกเป็นช่อแยกแขนงแบบกระจุกสั้น ๆ มีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก มีขนาดที่เล็กเรียงตัวกันอย่างแน่นหนาเป็นช่อกลม โดยจะออกไปตามซอกใบหรือที่ปลายกิ่ง แตกแขนงเป็น 4 กิ่ง กลีบดอกแยกเป็นอิสระจากกัน กลีบดอกเป็นสีครีม กลีบเป็นรูปกลม ขอบกลีบหยักเว้าพับจีบ โคนกลีบเป็นสอบแหลมเป็นก้านติดเรียงสลับกันกับกลีบเลี้ยง ดอกนั้นมีเกสรเพศผู้เป็น 2 เท่าของกลีบดอกและมีความยาวไม่เท่ากัน ส่วนจานฐานของดอกนั้นเป็นรูปวง มีรังไข่เป็นพู 3-4 พู มีการออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[4]
  • ผล เป็นผลสดแบบมีเนื้อ ลักษณะของผลเป็นทรงกลม มีขนาดเล็ก และออกผลกันเป็นกระจุก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-10 มิลลิเมตร ผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ตรงปลายผล รูปลักษณ์คล้ายมงกุฎ ผิวผลดูเป็นมัน มีเนื้อบาง ๆ สีเขียวห่อหุ้มอยู่ ผลเมื่อตอนอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่ผลเมื่อตอนสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเมื่อสุกจัด ผลมีเมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ มีเนื้อเยื่อหนาสีส้ม ลักษณะเมล็ดเป็นรูปไต ตัวผลจะสุกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[1],[4]

สรรพคุณของเฉียงพร้านางแอ

1. แก่นนั้นช่วยขับลมได้ (แก่น)[4]
2. เปลือกต้นช่วยแก้บิด (เปลือกต้น)[1],[4]
3. เปลือกต้นสามารถแก้พิษผิดสำแดง (หมายถึง การที่กินอาหารแสลงอาการไข้ ทำให้อาการของโรคกำเริบ และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย) ด้วยการใช้ลำต้นผสมกันกับลำต้นแคด เปลือกของต้นตับเต่า แล้วนำมาต้มกับน้ำเพื่อดื่ม (เปลือก)[1],[4]
4. เปลือกต้นนั้นยังช่วยในการสมานแผลได้ด้วย (เปลือกต้น)[1],[4]
5. ข้อมูลจากทางเภสัชวิทยาของเฉียงพร้านางแอ ระบุไว้ว่าสารสกัดแอลกอฮอล์จากส่วนเหนือดินมีฤทธิ์ในการแก้แพ้ ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้เล็กน้อยในสัตว์ที่ทำการทดลอง และไม่พบว่ามีพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง[4]
6. ลำต้นนำไปต้มน้ำดื่มช่วยบำรุงร่างกาย (ต้น)[1],[3],[4]
7. ลำต้นนำเอามาต้มกับน้ำดื่มช่วยทำให้เจริญอาหาร หรือจะใช้เป็นยาเจริญอาหารสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร (ต้น)[1],[3],[4]
8. ลำต้นนำมาฝนน้ำดื่มช่วยในการแก้ไข้ หรือจะนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำอาบช่วยรักษาอาการเป็นไข้ตัวร้อนก็ได้ (ต้น, เปลือกต้น)[1],[3],[4]
9. เปลือกต้นมีฤทธิ์ช่วยแก้อาการร้อนใน อาการกระหายน้ำ (เปลือกต้น)[1],[4] และยังสามารถช่วยระบายความร้อนได้อีกด้วย (เปลือกต้น)[4]
10. เปลือกต้นนั้นช่วยในการขับเสมหะและโลหิต ปิดธาตุ (เปลือกต้น)[1],[4]

ประโยชน์ของเฉียงพร้านางแอ

1. ผลสุกรับประทานได้ มีรสเปรี้ยวอมหวาน[2],[4]
2. ต้นเฉียงพร้านางแอ เป็นไม้ที่ไม่ผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง และดอกมีกลิ่นหอม จึงเหมาะจะปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาหรือเป็นไม้ประดับ[1]
3. ต้นเฉียงพร้านางแอ จัดอยู่ในพรรณไม้ที่โตเร็ว จึงเป็นพรรณไม้ที่นำมาปลูกป่าป้องกันอุทกภัยได้[1]
4. เนื้อไม้เฉียงพร้านางแอ เป็นไม้ที่คงทนแข็งแรงเป็นอย่างมากและมีลายไม้ที่สวยงาม จึงนำมาใช้ในการก่อสร้างทั่ว ๆ ไปได้เป็นอย่างดี ทำเป็นเครื่องมือทางการเกษตร ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือจะใช้ทำฟืนเผาถ่านให้ความร้อนสูงก็ได้อีกด้วย[1]
5. ผลสุกเป็นอาหารที่โปรดปรานของนก กระรอก และสัตว์ป่าขนาดเล็กหลายชนิด ผลของพรรณไม้ชนิดนี้จึงสามารถช่วยดึงดูดสัตว์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี[1]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.พรรณไม้เพื่อปลูกป่าป้องกันอุทกภัย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เฉียงพร้านางแอ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th. [17 ธ.ค. 2013].
2.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “เฉียงพร้านางแอ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [17 ธ.ค. 2013].
3.หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4: กกยาอีสาน (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).
4.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เฉียงพร้านางแอ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [17 ธ.ค. 2013]

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.inaturalist.org/guide_taxa/334540
2.https://www.natureloveyou.sg/Carallia%20brachiata/Main.html
3.https://www.territorynativeplants.com.au/carallia-brachiata-bush-current

เงาะ ผลไม้เมืองร้อนมีดีมากกว่ารสชาติความอร่อย

0
เงาะ ผลไม้เมืองร้อนมีดีมากกว่ารสชาติความอร่อย เป็นไม้ผลเมืองร้อนขนาดกลาง ผลแก่และขนมีสีแดง เนื้อสีขาว เมล็ดแบนรูปไข่เปลือกหุ้มสีน้ำตาล
เงาะ
ผลแก่และขนมีสีแดง เนื้อสีขาว เมล็ดแบนรูปไข่เปลือกหุ้มสีน้ำตาล เป็นไม้ผลเมืองร้อนขนาดกลาง รสชาติความอร่อย 

เงาะ

เงาะ เป็นผลไม้เมืองร้อนมีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย และได้แพร่ขยายเข้ามาปลูกในประเทศไทยในภายหลัง ซึ่งจะนิยมปลูกกันในภาคใต้และภาคตะวันออก ส่วนสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเพาะปลูกมากที่สุดก็ได้แก่ พันธุ์โรงเรียน (เงาะโรงเรียน) พันธุ์สีทอง พันธุ์สีชมพู เป็นต้น ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ นั้นก็มีปลูกกันบ้างประปราย
ชื่อสามัญ Rambutan ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Nephelium lappaceum L. จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เงาะป่า (นครศรีธรรมราช), พรวน (ปัตตานี), กะเมาะแต มอแต อาเมาะแต (มาเลย์ปัตตานี) เป็นต้น

ประโยชน์ของเงาะ

1. ช่วยในการบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและสดใส
2. ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก
3. ช่วยแก้อาการท้องร่วงอย่างรุนแรงได้
4. มีส่วนช่วยในการรักษาโรคบิด และท้องร่วงได้อีกด้วย
5. สามารถใช้เป็นยาแก้อักเสบได้
6. มีฤทธิ์ในการช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
7. สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น การนำไปทำเป็นเงาะกระป๋อง กวน เป็นต้น
8. มีสารแทนนิน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง การย้อมสีผ้า การบำบัดน้ำเสีย นำไปทำเป็นปุ๋ย และผลิตกาวได้ เป็นต้น
9. สารแทนนินสามารถช่วยป้องกันแมลง แถมยังยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ และสามารถนำไปใช้ทำเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเงาะกระป๋องน้ำเชื่อมต่อ 100 กรัม พลังงาน 82 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 20.87 กรัม
เส้นใย 0.21 กรัม
ไขมัน 0.65 กรัม
โปรตีน 2.5 กรัม
วิตามินบี 1 0.013 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 2 0.022 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 1.352 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 6 0.02 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 9 8 ไมโครกรัม 2%
วิตามินซี 4.9 มิลลิกรัม 6%
ธาตุแคลเซียม 22 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.35 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมกนีเซียม 7 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.343 มิลลิกรัม 16%
ธาตุฟอสฟอรัส 9 มิลลิกรัม 1%
ธาตุโพแทสเซียม 42 มิลลิกรัม 1%
ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

โทษของเงาะ

  • สารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร การรับประทานในปริมาณมากเกินไปนั้น อาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูกได้ เพราะฉะนั้นควรรับประทานอย่างพอประมาณ เพื่อที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด
  • เมล็ดมีพิษ ! ห้ามรับประทานด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และมีไข้ได้ ถึงแม้จะมีการนำไปคั่วจนสุกแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, กรมวิชาการเกษตร, กรมส่งเสริมการเกษตร

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.bangaloreagrico.in/product/rambutan-bud-grafted-fruit-live-plant-bangalore-agrico/
2.https://healthyfamilyproject.com/produce-tips/rambutan/