ต้นบานบุรี สรรพคุณใช้เป็นยาระบาย

0
บานบุรี
ต้นบานบุรี สรรพคุณใช้เป็นยาระบาย ไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ใบเดี่ยวติดเป็นคู่อยู่ตรงข้าม ดอกขนาดใหญ่เป็นช่อกระจุกสีเหลือง ผลทรงกลมเป็นหนาม
บานบุรี
ไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ใบเดี่ยวติดเป็นคู่อยู่ตรงข้าม ดอกขนาดใหญ่เป็นช่อกระจุกสีเหลือง ผลทรงกลมเป็นหนาม

บานบุรี

ต้นบานบุรี (Golden trumpet) เป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งเลื้อย หรือไม้เถาอาศัยต้นไม้อื่น ๆ เพื่อพยุงตัวขึ้น เป็นพืชเมืองร้อนชอบอากาศร้อนชื้นอย่างมาก เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ ชื่อสามัญ Yellow bell, Allamanda, Common allamanda, Golden trumpet vine ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Allamanda cathartica L. อยู่วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ บานพารา บานบุรีสีเหลือง บานบุรีสีกุหลาบ อยู่ในสกุลเดียวกันก็คือ สกุล Allamanda บานบุรีสีแสด (บ้างก็เรียกกันว่า บานบุรีหอม) อยู่ในสกุล Odontadenia, บานบุรีสีม่วง อยู่ในสกุล Saritaea ทั้งหมดนี้อยู่ในวงศ์เดียวกันนั่นก็คือ วงศ์ตีนเป็ด ยกเว้นบานบุรีม่วงที่อยู่วงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)

ลักษณะของบานบุรี

  • ต้น เป็นลำต้นหรือเถาสีน้ำตาล กลมเรียบ มียางสีขาวทั้งต้น ลำต้นสูงประมาณ 2-4.5 เมตร ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การปักชำ การตอน ชอบน้ำปานกลาง โตได้ดีที่ในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว สามารถทนกับความแล้งกับดินเค็มได้ มักจะขึ้นที่กลางแจ้ง ชอบแสงแดดเต็มวัน สามารถอยู่ได้ทั้งที่มีแสงแดดจัด ที่ร่มรำไร มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ในประเทศบราซิล อเมริกาเขตร้อน และมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดมีสีดอกแตกต่างกันไป[1],[2],[4],[8]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว จะติดเป็นคู่อยู่ตรงข้าม หรืออาจติดอยู่รอบข้อ ข้อละประมาณ 3-6 ใบ ใบเป็นรูปรี รูปขอบขนาน รูปขอบขนานแกมรูปหอก รูปไข่กลับ ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2-6 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 6-16 เซนติเมตร ที่แผ่นใบด้านบนจะมีลักษณะเป็นสีเขียวเข้มเรียบและเป็นมัน มีเส้นใบที่สามารถเห็นได้ชัด ที่ท้องใบจะมีสีอ่อนกว่า ก้านใบมีความยาวประมาณ 2-9 เซนติเมตร[1],[2],[8]
  • ดอก มีดอกขนาดใหญ่ ออกดอกเป็นช่อกระจุก ที่ตรงบริเวณยอด จะออกดอกที่ตามซอกใบ ที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมีลักษณะเป็นสีเขียว ที่ปลายจะแยกเป็น 5 แฉก ดอกย่อยเป็นสีเหลือง มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปขอบขนาน เป็นรูปหอก ที่ปลายกลีบจะมนใหญ่ กว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร มีความยาวประมาณ 16 มิลลิเมตร ที่โคนเชื่อมกันเป็นท่อสั้นหรือจะเป็นหลอดแคบ ดอกตูม กลีบดอกบิดไปทางเดียวกัน มีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 5 อัน ติดอยู่ที่ตรงด้านในบริเวณใกล้โคนท่อดอก เกสรเพศเมียจะมีช่องเดียว มีรังไข่อ่อนอยู่เยอะ ก้านเกสรมีขน มีขนาดสั้น อับเรณูเป็นรูปคล้ายหัวลูกศร ดอกบานเต็มกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร ออกดอกได้ทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนจะออกดอกดกเป็นพิเศษ
  • ผล ผลเป็นรูปทรงกลม จะเป็นหนาม ผลแก่สามารถแตกได้ มีเมล็ดอยู่ในผลเป็นจำนวนมาก[1],[2]

สรรพคุณบานบุรี

  • ใบ มีรสเมาร้อน สามารถใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของลำไส้หดเกร็งได้ [1],[2],[6]
  • ใบ มีสรรพคุณที่ทำให้อาเจียน (ใบ)[1],[2]
  • เปลือกกับยาง จะมีรสเมาร้อน ถ้าใช้ในปริมาณน้อยจะมีฤทธิ์ที่เป็นยาถ่าย สามารถช่วยขับน้ำดี ถ้าใช้ปริมาณมากจะเป็นพิษกับหัวใจ ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ (เปลือกและยาง)[1],[2]
  • สามารถช่วยแก้อาการจุกเสียดได้ (ใบ)[1],[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • บานบุรีเหลือง จะมีฤทธิ์ที่ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเซลล์ สามารถช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียกับเชื้อรา และต้านเนื้องอก แต่ฤทธิ์ดังกล่าวต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไป[6]

ข้อควรระวังในการใช้

  • ทั้งต้นกับยางจะมีสารพิษ จะออกฤทธิ์เป็นพิษกับหัวใจและเลือด ถ้าทานไปจะเกิดอาการระคายเคืองเยื่อบุในปาก และเยื่อบุในกระเพาะอาหารก่อน แล้วก็จะตามด้วยอาการปวดท้อง อาเจียน ปวดศีรษะ ท้องเดิน ถ้าทานในปริมาณที่มากแล้วล้างท้องไม่ทัน สารพิษ digitalis จะถูกดูดซึมผ่านลำไส้และแสดงความเป็นพิษกับหัวใจ เกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็จะขึ้นอยู่กับชนิดของไกลโคไซด์ วิธีรักษาขั้นต้นให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แล้วก็ให้ทำการล้างท้อง รักษาตามอาการ ถ้าจาก EKG พบว่ามี Ventricular tachycardia ควรให้ Potossium chloride ประมาณ 5-10 กรัม หรือให้ K+ (80 mEq/L) อาการการเจ็บแขนอาจจะช่วยด้วยการนวด การประคบด้วยน้ำร้อน[7]
  • บานบุรีเหลืองเป็นพืชที่มีพิษ ถ้าจะใช้เป็นยาสมุนไพรต้องใช้แบบระมัดระวัง เนื่องจากทุกส่วนของต้นใช้ในปริมาณที่น้อยจะเป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน แต่ถ้าหากว่าใช้ในปริมาณที่เยอะมาก จะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ทำให้อาเจียนไม่หยุด ร่างกายอ่อนเพลีย อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้[1],[2],[5]
  • ยางกับผล มีพิษ (สารเป็นพิษก็คือ Resin เป็นส่วนผสมของ Phenol กับ Polycyclic acid) ถ้ายางโดนผิวหนังจะทำให้เกิดอาการอักเสบ คัน และแดง[3]
  • ถ้าทานยางหรือผลจะทำให้อาเจียน มีไข้สูง มีไข้สูง ท้องเสีย มีอาการหายใจไม่สม่ำเสมอ ท้องเดิน ถ้าสูญเสียน้ำสูญเสียเกลือแร่มากอาจทำให้เสียชีวิตได้[3]

ประโยชน์บานบุรี

  • ปลูกเป็นไม้ประดับที่ตามทางเดิน ริมถนน ปลูกคลุมดิน สวน ริมทะเล สามารถตัดแต่งเป็นทรงพุ่มได้ และยังมีดอกที่สวย ออกดอกได้ทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนก็จะออกดอกดกเยอะเป็นพิเศษ[3],[4],[8]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “บานบุรีเหลือง”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 424-425.
2. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “บานบุรีเหลือง (Banburi Lueang)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 163.
3. สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “บานบุรีเหลือง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [01 เม.ย. 2014].
4. หนังสือชุดพรรณไม้เมืองไทย : ไม้ต่างถิ่นในเมืองไทย 1. “บานบุรี”. (ปรัชญา ศรีสง่า).
5. ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา. “พืชมีพิษในประเทศไทย (2)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/ez.mm_main.asp. [01 เม.ย. 2014].
6. วิทยานิพนธ์เรื่อง “การวิเคราะห์ระดับโมเลกุลและเครื่องหมายดีเอ็นเอแบบบาร์โค้ดของพืชสกุล Allamanda”. (สโรชา อังคปัทมากุล, ดร.อรุณรัตน์ ฉวีราช, ดร.ธวัดชัย ธานี, ดร.รุ่งลาวัลย์ สุดมูล).
7. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “บานบุรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [01 เม.ย. 2014].
8. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “บานบุรีสีเหลือง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [01 เม.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.thespruce.com/grow-allamanda-inside-1902637
2. https://www.gardenia.net/plant/allamanda-cathartica

ต้นนาคราช ช่วยแก้พิษแมงป่อง พิษตะขาบ

0
ต้นนาคราช ช่วยแก้พิษแมงป่อง พิษตะขาบ เป็นพรรณไม้เถาลำต้นโค้งงอห้อยลง หนามสีแดง ดอกเป็นสีแดงแก่ ผลเล็กเป็นทรงกลม สีน้ำตาลอมแดง และมีมีขนยาวนุ่มปกคลุม
นาคราช
เป็นพรรณไม้เถาลำต้นโค้งงอห้อยลง หนามสีแดง ดอกเป็นสีแดงแก่ ผลเล็กเป็นทรงกลม สีน้ำตาลอมแดง และมีมีขนยาวนุ่มปกคลุม

นาคราช

ว่านนาคราช เป็นพรรณไม้เถาลำต้นโค้งงอห้อยลงมามีกิ่งมากมายจัดอยู่ในวงศ์กระบองเพชร (CACTACEAE)
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโกที่ระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตรในพื้นที่ที่มีหมอกหนาและสามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทยตามป่าดงดิบแล้ง การเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชอบแสงแดดจัด อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการขยายพันธุ์ประมาณ 15 ถึง 24°C ช่วงต้นฤดูร้อนเป็นช่วงที่ดีที่สุด ชื่อสามัญ Rat tail Cactus, Rat’s tail Cactus ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Disocactus flagelliformis (L.) Barthlott ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Aporocactus flagelliformis (L.) Lem. ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ไส้หนุมาน (กรุงเทพฯ), นาคราช ว่านนาคราช (ภาคกลาง) กระบองเพชรหางหนู

ลักษณะของว่านนาคราช

  • ต้น [1]
    – มีลำต้นเลื้อยไปตามพื้นดิน หรืออาจจะห้อยย้อยลงมา
    – ในระยะแรกลำเถาจะเป็นสีเขียวมัน และจะเปลี่ยนเป็นสีอมเทา
    – ตามลำต้นมีสันนูนประมาณ 8-14 สัน
    – ในแต่ละสันจะมีรูขนเป็นปุ่ม
    – ปุ่มจะมีหนามงอกออกมาเป็นกระจุก กระจุกละ 15-20 เส้น
    – มีความยาว 0.5 เซนติเมตร
    – หนามเมื่อยังออกใหม่ ๆ จะเป็นสีแดง และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีทอง และสีน้ำตาล
    – ลำต้นนั้นมีความกว้าง 0.5 นิ้วหรือใหญ่กว่านี้เล็กน้อย
    – มีความยาว 2 เมตร
    – ไม่มีใบ
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
    – เติบโตได้ดีในดินที่มีส่วนผสมของไม้ผุ ๆ หรือหินปูนเก่า ๆ
  • ดอก [1]
    – ออกดอกตามลำต้น
    – ออกห่างกันเป็นระยะ ๆ ไม่เท่ากัน
    – ดอกเป็นสีแดงแก่
    – เมื่อออกดอกแล้วดอกจะอยู่ได้ประมาณ 7 วัน
    – ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีความกว้างประมาณ 1 นิ้ว และยาว 2 นิ้ว
  • ผล [1]
    – ผลมีขนาดเล็ก
    – ทำให้เมล็ดมีขนาดเล็กตาม
    – ผลจะเป็นทรงกลม สีน้ำตาลอมแดง
    – ตามผลจะมีขนยาวนุ่มปกคลุมอยู่

สรรพคุณและประโยชน์ของนาคราช

  • ต้น สามารถนำมาเผาหรือสุมไฟให้เป็นถ่านได้[1]
  • ต้น สามารถนำมาใช้ผสมกับยาเย็น ปรุงเป็นยาเย็นถอนพิษแก้พิษงู[1]
  • ต้น ช่วยแก้พิษแมงป่อง พิษตะขาบ และพิษทั้งปวง[1]
  • สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปได้[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “นาคราช”. หน้า 392-393.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://succulentalley.com/
2.https://worldoffloweringplants.com/

พญาไม้ผุ สรรพคุณของแก่นใช้แก้ประดง

0
พญาไม้ผุ
พญาไม้ผุ สรรพคุณของแก่นใช้แก้ประดง ไม้พุ่มเถาเนื้อแข็งเลื้อยตั้งตรง ดอกเป็นช่อสีเขียวหรือสีเหลืองมีขนคล้ายเส้นไหม ผลเป็นสีเขียวรูปไข่ปลายแหลม
พญาไม้ผุ
ไม้พุ่มเถาเนื้อแข็งเลื้อยตั้งตรง ดอกเป็นช่อสีเขียวหรือสีเหลืองมีขนคล้ายเส้นไหม ผลเป็นสีเขียวรูปไข่ปลายแหลม

พญาไม้ผุ

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Enkleia malaccensis Griff. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Enkleia malayana Griff, Enkleia siamensis (Kurz) Nevling, Linostoma scandens var. cambodiana Lecomte, Linostoma siamensis Kurz จัดอยู่ในวงศ์กฤษณา (THYMELAEACEAE)[1],[3] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ปอตับเต่า (เลย), เต่าไห้ พญาไม้ผุ (ราชบุรี), พันไฉน พันไสน (กรุงเทพมหานคร), ปอตับเต่า (ภาคเหนือ)[1]

ลักษณะของต้นพญาไม้ผุ

  • ลักษณะของต้น[1],[2],[3]
    – เป็นพรรณไม้พุ่ม เลื้อยตั้งตรง หรืออาจจะเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง
    – มีความสูงได้ถึง 2-5 เมตร
    – เปลือกต้นเรียบ เป็นสีน้ำตาลเข้ม มีความเหนียว
    – มีมือเกาะอยู่ตรงข้าม
    – ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้น
    – เขตการกระจายพันธุ์อยู่ในอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    – ในประเทศไทยนั้นสามารถพบขึ้นได้แทบทุกภาค ยกเว้นในทางภาคใต้
    – สามารถพบขึ้นได้ทั่วไปตามชายป่า บริเวณที่ค่อนข้างชื้น ตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง
    – จะขึ้นปะปนอยู่กับต้นไม้พวกยางชนิดต่าง ๆ
    – พบได้ในที่ความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงที่ความสูง 500 เมตร
  • ลักษณะของใบ[1],[3]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงตรงข้ามกัน หรืออาจจะออกเรียงสลับ
    – ใบเป็นรูปไข่หรือรูปรี หรืออาจจะกลม
    – ปลายใบแหลมหรือมน
    – มีติ่งหนามเล็ก ๆ
    – โคนใบเป็นรูปลิ่มหรือมน
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร และยาว 5-10 เซนติเมตร
    – แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง
    – ผิวใบด้านบนเกลี้ยงเป็นสีเขียว
    – มีขนสีเทาสั้นและนุ่ม จะขึ้นประปรายไปจนถึงหนาแน่นตามร่องเส้นกลางใบ
    – ด้านล่างเป็นสีเทา มีขนสั่นนุ่มขึ้นประปรายถึงแน่น
    – เส้นแขนงใบมีข้างละ 15-25 เส้น
    – ก้านใบเกลี้ยงหรือมีขนสั้นนุ่ม มีความยาว 0.6-0.8 เซนติเมตร จะเป็นร่องทางด้านบน
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – ออกดอกที่ปลายกิ่ง
    – ช่อดอกเป็นแบบช่อซี่ร่ม
    – ดอกมีจำนวน 3-15 ดอก
    – ดอกเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง
    – ก้านช่อดอกยาว 2-5 เซนติเมตร
    – ใบประดับเป็นเยื่อบาง เป็นสีครีมแกมสีเขียวอ่อน เป็นรูปรี
    – ปลายและโคนมน มีความกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร และยาว 2-5 เซนติเมตร
    – ใบประดับย่อยมีขนาดเล็ก เป็นรูปแถบ
    – กลีบเลี้ยงที่โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด มีความยาว 7-8 มิลลิเมตร
    – ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก มีความกว้าง 1.5-2 มิลลิเมตร และยาว 3-4 มิลลิเมตร – กลีบดอกจะมี 5 กลีบ เป็นรูปลิ้น มีความยาว 2.5 มิลลิเมตร
    – มีความอวบน้ำ
    – ที่ปลายเป็นแฉกลึก 2 แฉก เป็นรูปขอบขนาน
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน เรียงเป็น 2 วง
    – ก้านชูอับเรณูเกลี้ยง มีความยาว 0.5-1.5 มิลลิเมตร
    – มีอับเรณูยาว 1 มิลลิเมตร
    – มีรังไข่เป็นรูปรี อยู่เหนือวงกลีบ มีความยาว 1-2 มิลลิเมตร
    – มีขนคล้ายเส้นไหมขึ้นหนาแน่น มี 1 ช่อง มีออวุล 1 เมล็ด
    – ก้านเกสรเพศเมียจะสั้น มีความยาว 1.5-2 มิลลิเมตร
    – ยอดเกสรเพศเมียจะเป็นตุ่ม
  • ลักษณะของผล[1]
    – เป็นผลสด
    – ผลเป็นรูปไข่ ปลายแหลม
    – ผิวผลจะเกลี้ยงหรือมีขนละเอียด
    – ผนังชั้นในแข็ง
    – ผลเป็นสีเขียว
    – มีความกว้าง 0.6-0.8 เซนติเมตร และยาว 1-1.5 เซนติเมตร
    – มีก้านผลยาว
    – มีใบประดับสีน้ำตาลอ่อน 2 ใบ มขนาดประมาณ 2-4 เซนติเมตร
    – มีเมล็ดเป็นรูปไข่ มีความกว้าง 0.4-0.5 เซนติเมตร และยาว 0.6-0.8 เซนติเมตร
    – จะออกดอกและออกผลในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ราก พบสาร linobiflavonoid, chamaejasmin, 7-O-β-d-glucopyranosyl chamaejasmin, ormocarpin , ( – )-wikstromol, matairesinol, (+)-lariciresinol, carthamidin สารกลุ่มคูมาริน ได้แก่ clausarin, daphnoretin, nordentatin, umbelliferone[1]
  • สาร daphnoretin จากราก มีฤทธิ์กดการแสดงออกของยีนไวรัสตับอักเสบบีในเซลล์ตับของมนุษย์และในหลอดทดลองได้[1]

สรรพคุณของพญาไม้ผุ

  • ผล สามารถนำมาใช้เป็นยาถ่าย[1]
  • ใบ สามารถนำมาใช้ต้มเป็นยารักษาโรคตา[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้หืดได้[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้แก้ไอได้[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้ขับเสมหะได้[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้ขับลมได้[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้แก้ประดงได้[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้แก้ผื่นคันตามผิวหนังได้[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้แก้โรคเรื้อนได้[1]
  • แก่น สามารถนำมาใช้คุดทะราดได้[1]
  • ราก สามารถนำมาใช้เป็นยาระบายได้[1],[2]

ประโยชน์ของพญาไม้ผุ

  • เส้นใยจากเปลือก สามารถนำมาใช้ทำเป็นเชือกได้
  • เส้นใยจากเปลือก มีความเหนียวทนทาน สามารถนำมาใช้ทำเครื่องจักสานและเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ได้[1],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ปอเต่าไห้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [23 ก.ย. 2015].
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ปอเต่าไห้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [23 ก.ย. 2015].
3. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ปอเต่าไห้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [23 ก.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.phakhaolao.la/
2.https://uk.inaturalist.org/

ตะบูนดำ ใช้พอกรักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แผลบวม

0
ตะบูนดำ
ต้นตะบูนดำ ใช้พอกรักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แผลบวม เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น โคนต้นพูพอน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นช่อสีขาว ผลงกลมมีร่องเล็กน้อย
ตะบูนดำ
เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น โคนต้นพูพอน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นช่อสีขาวเขียว ผลงกลมมีร่องเล็กน้อย

ตะบูนดำ

ตะบูนดำ เป็นหนึ่งในไม้ป่าของป่าชายเลน เจริญเติบโตและขึ้นกระจายได้ดีในบริเวณที่เป็นดินเลนค่อนข้างแข็ง[1] ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus moluccensis (Lam.) M. Roem. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์กระท้อน (MELIACEAE) ชื่ออื่น ๆ ตะบูน ตะบัน (ในภาคกลาง และภาคใต้) เป็นต้น[1]

ลักษณะของต้นตะบูนดำ

  • ต้น
    – เป็นพันธุ์ไม้ประเภทยืนต้นที่มีต้นขนาดใหญ่
    – ต้นมีความสูงประมาณ 20-35 เมตร
    – ลำต้นมีลักษณะเป็นต้นเปลาตรง ลำต้นจะออกใบเป็นรูปทรงยอดลักษณะเป็นพุ่มกลม และโคนต้นจะมีลักษณะเป็นพูพอนที่มีขนาดเล็ก เป็นไม้ผลัดใบ
    – เปลือกต้นมีผิวขรุขระ เปลือกมีสีน้ำตาลเข้ม ตามเปลือกจะแตกเป็นร่องตามยาว และเมื่อต้นแก่เปลือกจะลอกออกเป็นแถบแคบ ๆ รวมไปถึงภายในลำต้นที่มักจะเป็นโพรง
    – ระบบรากของต้นจะมีหลายลักษณะ โดยหลัก ๆ จะเป็นรูปกรวยคว่ำหรือแบนทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสภาพของดิน
  • ใบ
    – ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก โดยใบจะออกเรียงสลับกันไม่มียอดใบ
    – ใบย่อยส่วนมากที่พบจะมีประมาณ 1-3 คู่ที่เรียงตัวกันอยู่ตรงข้ามกัน
    – ลักษณะรูปร่างของใบเป็นรูปรีถึงรูปขอบแกมรี ที่ปลายใบมน ส่วนโคนใบแหลม
    – ลักษณะเนื้อผิวของใบจะเป็นผิวมัน และใบมีสีเป็นสีเขียวเข้ม แต่เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นใบก็จะเปลี่ยนสีเป็นสีส้มอมเหลืองทั้งต้น ก่อนที่ใบทั้งต้นนั้นจะร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน[1]
    – ใบย่อยมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2-6 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 5-15 เซนติเมตร
    – ก้านใบย่อยมีขนาดความยาวที่สั้นมาก
  • ดอก
    – ช่อดอกจะเป็นแบบช่อแยกแขนง โดยจะออกดอกที่บริเวณง่ามใบ มีดอกย่อยเป็นจำนวนมากอยู่ภายในช่อดอก
    – ดอกย่อยนั้นจะมีกลีบดอกอยู่ 4 กลีบ กลีบจะเรียงตัวออกห่างกันเล็กน้อย ส่วนกลีบเลี้ยงมีอยู่ 4 กลีบ
    – ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่จำนวน 8 อัน
    – โดยจะออกดอกพร้อมกับการแตกใบใหม่ในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[1]
  • ผล
    – ลักษณะรูปทรงของผลค่อนข้างกลม เปลือกผลมีร่องผลเล็กน้อย
    – ผลอ่อนจะมีสีเขียว โดยผลจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 7-12 เซนติเมตร
    – โดยผลจะเริ่มแก่ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม[1]
  • เมล็ด
    – ภายในผลมีเมล็ดอยู่ที่ประมาณ 7-11 เมล็ด
    – ลักษณะรูปร่างของเมล็ดเป็นรูปโค้งนูน ในหนึ่งด้านจะมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4-6 เซนติเมตร

ข้อควรรู้
โดยสภาพของลำต้นนั้นอาจจะแตกต่างกันออกไปได้บ้าง ตามแต่ละพื้นที่ที่เจริญเติบโต เช่น มีเปลือกเรียบ สีจากสีน้ำตาลปกติก็จะออกสีแดง เป็นสีน้ำตาล และตามเปลือกต้นก็มีร่องลำต้นเป็นสีขาวมีลักษณะเป็นทางยาวตามลำต้น

สรรพคุณของต้นตะบูนดำ

1. เปลือกไม้นำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับรับประทานมีสรรพคุณในการช่วยแก้อาการอักเสบในลำไส้และอาการผิดปกติในช่องท้องได้ (เปลือกไม้)[2]
2. เปลือกไม้นำมาใช้ทำเป็นยาลดไข้ (เปลือกไม้)[2]
3. ผล มีสรรพคุณทางยาเป็นยาช่วยแก้บิดได้ โดยการปรุงยานั้นก็ให้ใช้ผลนำลงไปต้มกับน้ำใช้ดื่ม (ผล)[2]
4. ผลแห้งนำมาตากแห้งเผาไฟร่วมกับเห็ดพังกาและน้ำมันมะพร้าว นำมาใช้ทา โดยจะมีสรรพคุณเป็นยาสำหรับแก้มะเร็งผิวหนังได้ (ผลแห้ง)[2]
5. ผลและเมล็ดนำมาทำเป็นยาสำหรับแก้อาการไอได้ (ผล, เมล็ด)[2]
6. ผลและเมล็ดนำมาใช้รับประทานสำหรับเป็นยาแก้อาการท้องร่วง (ผล, เมล็ด)[2]
7. ผลและเมล็ดนำมาใช้เป็นยาสำหรับใช้บำรุงร่างกายได้ (ผล, เมล็ด)[2]
8. ผลนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มช่วยแก้อาการท้องเสีย (ผล, เปลือกไม้)[2]
9. เปลือกและผลมีสรรพคุณเป็นยาช่วยแก้อหิวาตกโรคได้ (ผล, เปลือก)[2]
10. เปลือกและผลนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มช่วยรักษาแผลภายในได้ (เปลือก, ผล)[2]
11. เปลือกและผลนำมาต้มจากนั้นนำมาตำให้ละเอียด ใช้สำหรับพอกรักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แผลบวม และแผลที่เป็นหนองได้ (เปลือก, ผล)[2]
12. เปลือกและผลนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับชะล้างบาดแผล จะช่วยทำความสะอาดแผลได้ (เปลือก, ผล)[2]

ประโยชน์ของต้นตะบูนดำ

1. สามารถนำไปใช้ทำดินสอได้ด้วย[2]
2. เปลือกไม้นำมาใช้ในการฟอกหนังเพื่อนำมาใช้ทำเป็นพื้นรองเท้า (Heavy leather)[2]
3. น้ำฝาดจากเปลือกต้นนั้น สามารถนำมาใช้ย้อมสีผ้า ย้อมแหหรืออวนประมงได้ โดยจะให้สีที่เป็นสีน้ำตาล[2]
4. เนื้อไม้แข็ง และมีลวดลายและสีไม้ที่สวยงาม มักนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่งบ้าน หรือตามอาคารได้
5. ลำต้นมักนำมาใช้ทำเป็นพื้นไม้กระดาน [1],[2],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. “ตะ บูน ดํา“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th. [15 พ.ย. 2013].
2. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ต้น ตะบูน ดำ“, “ตะ บูน ดํา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [15 พ.ย. 2013].
3. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะ บูน ดํา“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th. [15 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.flickr.com/
2. http://www.northqueenslandplants.com/

ต้นเทียนขาว ช่วยบำรุงธาตุ และรักษาอาการตกขาวของสตรี

0
เทียนขาว
ต้นเทียนขาว ช่วยบำรุงธาตุ และรักษาอาการตกขาวของสตรี เป็นพืชสมุนไพรล้มลุก ดอกช่อคล้ายดอกผักชีล้อม สีขาวอมชมพู เมล็ดคล้ายข้าวเปลือกแต่เล็กและยาวเรียว รสเผ็ดร้อนขมหอม
เทียนขาว
เป็นพืชสมุนไพรล้มลุก ดอกช่อคล้ายดอกผักชีล้อม สีขาวอมชมพู เมล็ดคล้ายข้าวเปลือกแต่เล็กและยาวเรียว รสเผ็ดร้อนขมหอม

เทียนขาว

ต้นเทียนขาว เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกอายุสั้นที่มีขนาดเล็กสมุนไพรชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE) เมล็ดมีกลิ่นหอมคล้ายยี่หร่า นิยมนำเมล็ดแห้งใช้สำหรับเป็นเครื่องเทศดับกลิ่นคาว แต่งกลิ่นในอาหารรวมถึงยังใช้ในยาแผนโบราณ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ประเทศอินเดีย และประเทศจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cuminum cyminum L.

ลักษณะของต้นเทียนขาว

  • ต้น
    – ลำต้นตั้งตรง มีความสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร
    – เป็นสมุนไพรที่นำเข้าจากต่างประเทศ
    – เป็นผลแห้ง
    – นิยมนำไปใช้เป็นเครื่องเทศและยาหอม
    – มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “ยี่หร่า” หรือ “เมล็ดยี่หร่า”
  • ใบ
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกใบออกสลับกัน
    – ใบที่โคนต้นเป็นรูปไข่เมื่อดูแนวรูปใบ
    – มีความยาว 5-10 เซนติเมตร
    – ขอบใบหยักลึกจนถึงเส้นกลาง เป็นแฉก 2-3 แฉก
    – ในแต่ละแฉกจะคล้ายเส้นด้าย มีความยาว 1-2 เซนติเมตร
    – ก้านใบจะแผ่เป็นกาบ
  • ดอก
    – ออกดอกเป็นช่อแบบซี่ร่มหลายชั้น
    – ดอกย่อยมีขนาดเล็ก
    – มีกลีบเลี้ยงที่ค่อนข้างเล็ก
    – มีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือสีชมพู
    – มีเกสรตัวผู้ 5 อันติดอยู่กับฐานดอก ออกเรียงสลับกับกลีบดอก
    – เกสรตัวเมียจะสั้น
    – รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ มีอยู่ 2 ห้อง
    – ในแต่ละห้องจะมี 1 เมล็ด
  • ผล
    – เป็นผลแห้ง
    – รูปร่างยาวรี มีสีน้ำตาล
    – มีความกว้างประมาณ 1.3-2 มิลลิเมตร และยาว 4.5-6.7 มิลลิเมตร
    – เปลือกมีขนสั้นแข็งปกคลุม
    – ผลแก่จะแตกเป็น 2 ซีก
    – ในแต่ละซีกจะมีเมล็ด 1 เมล็ด
    – ซีกผลด้านนอกจะมีความนูน
    – ซีกผลด้านในที่ประกบกันหรือด้านแนวเชื่อมจะมีความเว้า
    – ด้านที่นูนจะมีสันตามแนวของผล จะคล้ายกับเส้นด้าย 3 เส้น
    – ด้านแนวเชื่อม 2 เส้น สันนูน มีขนแข็งสั้น ๆ หักง่ายปกคลุมอยู่ที่สัน
    – ระหว่างสันจะมีเนินเล็ก ๆ มีขนแข็ง
    – เมล็ดมีกลิ่นหอม
    – น้ำมันจากเมล็ดจะมีรสชาติเผ็ดร้อนและขม

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการใน 100 กรัมให้ พลังงาน 375 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 44.24 กรัม
น้ำตาล 2.25 กรัม
เส้นใย 10.5 กรัม
ไขมัน 22.27 กรัม
กรดไขมันอิ่มตัว 1.535 กรัม
โปรตีน 17.81 กรัม
น้ำ 8.06 กรัม
วิตามินเอ 64 ไมโครกรัม 8%
วิตามินบี 2 0.327 มิลลิกรัม 27%
วิตามินบี 3 4.579 มิลลิกรัม 31%
วิตามินบี 6 0.435 มิลลิกรัม 33%
วิตามินบี 9 10 ไมโครกรัม 3%
วิตามินบี 12 0 ไมโครกรัม 0%
วิตามินซี 7.7 มิลลิกรัม 9%
วิตามินอี 3.33 มิลลิกรัม 22%
วิตามินเค 5.4 ไมโครกรัม 5%
ธาตุแคลเซียม 931 มิลลิกรัม 93%
ธาตุเหล็ก 66.36 มิลลิกรัม 510%
ธาตุแมกนีเซียม 366 มิลลิกรัม 103%
ธาตุฟอสฟอรัส 499 มิลลิกรัม 71%
ธาตุโพแทสเซียม 1,788 มิลลิกรัม 38%
ธาตุโซเดียม 168 มิลลิกรัม 11%
ธาตุสังกะสี 4.8 มิลลิกรัม 51%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สรรพคุณของเทียนขาว

  • ช่วยแก้นิ่ว
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ช่วยแก้น้ำดีพิการ
  • ช่วยบำรุงโลหิต
  • ช่วยแก้อาเจียน
  • ขับลมในลำไส้
  • ช่วยต้านอาการชักได้
  • ช่วยแก้อาการท้องเสีย
  • ช่วยขับระดูขาวของสตรี
  • ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
  • ช่วยแก้ลมวิงเวียน
  • ช่วยแก้อาการหน้ามืดตาลาย อาการใจสั่น
  • ช่วยแก้คลื่นเหียนอาเจียน
  • แก้ลมจุกแน่นในท้อง
  • ช่วยต่อต้านมะเร็งในหนูทดลอง
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ช่วยแก้อาการปวดมวน ไซ้ท้องได้
  • ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
  • ช่วยขับลมในลำไส้หรือใช้ขับผายลมในเด็ก
  • ช่วยต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูก
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
  • ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง
  • ช่วยแก้อาหารไม่ย่อย
  • ช่วยปกป้องตับจากการถูกทำลายของแอลกอฮอล์และน้ำมันที่ถูกความร้อนสูง

ประโยชน์ของเทียนขาว

  • ช่วยเสริมสร้างความจำ
  • ชาวโรมันโบราณนั้นจะใช้แทนพริกไทย
  • สามารถนำผลมาบดเพื่อนำมาใช้ทำเป็นครีมข้นไว้สำหรับทาขนมปัง
  • ผงยี่หร่าจะช่วยเพิ่ม Hemoglobin ในเลือด ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีความอดทนในการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น
  • ผงยี่หร่า จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ทำให้ร่างกายสามารถรับสารอาหารได้ง่ายขึ้น
  • เมล็ดยี่หร่า สามารถนำไปแปรรูปทำให้แห้ง เพื่อใช้ทำเป็นเครื่องเทศได้
  • สามารถนำไปใช้ใส่แกงพะโล้ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ แกงป่า มัสมั่นได้

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
เว็บไซต์บ้านข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.diys.com/cumin-plant/
2.https://lifeforceseeds.com.au/products/cumin

ต้นหลิว ช่วยรักษาโรคเหงือกอักเสบ

0
ต้นหลิว ช่วยรักษาโรคเหงือกอักเสบ เป็นต้นไม้ผลัดใบ กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ใบเรียวยาวกิ่งก้านที่ห้อยย้อย ออกเป็นดอกเดี่ยวไม่มีกลีบดอก
ต้นหลิว
เป็นต้นไม้ผลัดใบ กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ใบเรียวยาวกิ่งก้านที่ห้อยย้อย ออกเป็นดอกเดี่ยวไม่มีกลีบดอก

ต้นหลิว

ต้นหลิว เป็นต้นไม้ผลัดใบขนาดกลางอายุยืนประมาณ 20-30 ปี ใบเรียวยาวกิ่งก้านที่ห้อยย้อยสวยงามจัดอยู่ในตระกูล Salicaceae หรือตระกูลสนุ่นต้นไม้นี้มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกชอบแดดจัดไม่ชอบสภาพอากาศหนาวจัด ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Salix babylonica L. ชื่อเรียกอื่น ๆ ลิ้ว (จีนแต้จิ๋ว), หยั่งลิ้ว หลิว (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะของต้นหลิว

  • ต้น[1],[2]
    – ลำต้นสูง 10-20 เมตร
    – เรือนยอดโปร่ง
    – เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาล
    – กิ่งก้านสาขาเป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาลอ่อน
    – ตามกิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นเล็กน้อย
    – เป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัด
    – สามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่งและวิธีการปักชำกิ่ง
    – เติบโตได้ดีในดินเกือบทุกประเภท
    – สามารถพบได้ตามริมแม่น้ำ
  • ใบ[1],[2]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ใบเป็นรูปใบหอกแคบยาวรี
    – ปลายใบยาวแหลมเรียว
    – โคนใบแหลม
    – ขอบใบหยักเล็กน้อยหรือเป็นจักละเอียดเกลี้ยง
    – ใบมีความกว้าง 2-6 นิ้ว และยาว 3.5-6.5 นิ้ว
    – หลังใบเป็นสีเขียว
    – ท้องใบเป็นสีขาว
    – มีก้านใบยาว 6-12 มิลลิเมตร
  • ดอก[1],[2]
    – ออกเป็นดอกเดี่ยว
    – ดอกเป็นแบบแยกเพศ
    – ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้น
    – ดอกเพศผู้จะมีความยาว 1.5-2 เซนติเมตร
    – ดอกเพศเมียจะมีความยาว 5 เซนติเมตร
    – ไม่มีกลีบดอก

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารเคมีที่พบ คือ ในใบหลิวมีสารแทนนิน, delphinidin, cyanidin, fragilin, salicin, salicortin, salidroside, triandrin, vimalin, ในกิ่งก้านหลิวมีสาร salicin 3-4%, ในเปลือกต้นหลิวมีสารแทนนิน 3-9% และใบหลิวมีสารแทนนิน 4.9%[3]
  • การสกัดเนื้อเยื่อที่เพาะเลี้ยงจากตากิ่ง จะพบสารชนิดที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis[1]
  • จากการรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกจนถึงชั้นหนังแท้ ผิวหนังถูกทำลายจนเป็นหนังพุพอง โดยการทดลองใช้กิ่งหลิวสดมาเผาไฟให้เป็นถ่าน ป่นให้เป็นผงละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำมันงา ทำให้เหลวข้น แล้วนำมาใช้เป็นยาทาบริเวณแผลโดยไม่ต้องปิดแผล เป็นระยะเวลา 3-14 วัน พบว่าสามารถทำให้แผลหายได้[1]
  • จากการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดเอ จำนวน 253 ราย ด้วยการทดลองใช้กิ่งและใบหลิวสดประมาณ 60 กรัม (ถ้าใช้ 30 กรัม) นำมาเติมน้ำ 500 มิลลิลิตร แล้วต้มจนเหลือ 300 มิลลิลิตร จากนั้นนำมาแบ่งให้ผู้ป่วยกินเป็น 2 ครั้ง กินติดต่อกันจนอาการดีขึ้น ผลการทดลองพบว่า มีผู้ป่วยหายขาดจากโรคชนิดนี้ คิดเป็น 96.3% ใช้เวลาในการให้ยาโดยเฉลี่ยคิดเป็น 28.5 วัน อาการอาเจียน กินไม่ได้ แน่นท้องจะหายไปภายในเวลา 2.7, 3.7, และ 7 วัน ตามลำดับ ปัสสาวะที่มีสีเข้มจะจางลงและมีปริมาณของปัสสาวะเพิ่มขึ้น[1]
  • จากการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง จำนวน 82 ราย โดยการใช้กิ่งของต้นหลิว 120 กรัม นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ล้างให้สะอาด แล้วนำมาต้มกรองเอาแต่น้ำกินเป็นยาติดต่อกัน 10 วัน ผลการทดลองพบว่า มีผลในการรักษาอาการไอ เสมหะ และหอบได้ชั่วคราว จากการรักษาพบว่าได้ผลดีหากไม่มีอาการแทรกซ้อน และจากการสังเกตอาการของผู้ป่วยหลังจากดื่มยาแล้ว พบว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและไม่แสดงอาการชั่วคราว 34 ราย มีอาการดีขึ้น 26 ราย มีอาการดีขึ้นบ้าง 21 ราย ส่วนอีก 1 ราย ไม่ได้ผล หลังจากกินยาชนิดนี้แล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่กินอาหารได้มากขึ้นและนอนหลับดีขึ้น แต่บางรายที่กินยาเกินขนาดพบว่ามีอาการท้องร่วง ปวดท้อง ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ไม่จำเป็นต้องรักษาก็หายเองได้[1],[3]
  • เมื่อนำ salicin ที่สกัดได้มาต้มกับกรดเกลือเจือจางหรือกรดกำมะถัน จะได้ saligenin และ glucose โดย saligenin เป็นสารที่มีรสขม ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะอาหาร หลังจากดูดซึมแล้วส่วนหนึ่งจะกลายเป็น salicylate ซึ่งมีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้ เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงจาก salicin เป็น saligenin และ salicylate ในร่างกายนั้นไม่แน่นอน การจะหวังผลในการลดไข้แก้ปวดโดยใช้ salicin อาจจะไม่ได้ผลเต็มที่นัก ส่วน saligenin เข้มข้น 4-10% สามารถนำมาใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ได้โดยไม่เกิดพิษ[3]
  • การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบแข็ง ด้วยการใช้กิ่งหลิวสด 180 กรัม นำมาทำเป็นน้ำเชื่อม 100 มิลลิลิตร ให้ผู้ป่วยกินวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 50 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 เดือน
  • หลังจากกินยานี้ถ้าผู้ป่วยมีอาการท้องอืดหรือมีอาการอาหารไม่ย่อย จะให้ยาช่วยย่อย ด้วยการเติมเมล็ดข้าวสาลีที่เริ่มงอก ในขนาด 30 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จากการสังเกตผู้ป่วย 40 ราย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด (มีอาการใจสั่น หายใจเร็ว แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ แขนขาชาและบวม) จำนวน 31 ราย พบว่าอาการหายไป 14 ราย อาการทุเลาลง 13 ราย อาการคงที่ 4 ราย โดยส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ลดลงหรือหายไปภายใน 2-56 วัน และยังพบว่าผู้ป่วยบางคนมีปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้อาการขาบวมหายไป นอนหลับได้ดีขึ้น เฉพาะผู้ป่วย 24 ราย ที่มีอาการความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าความดันโลหิตลดลงในระดับต่าง ๆ กัน
  • เมื่อตรวจสอบการรักษาด้วยการตรวจคลื่นหัวใจให้ผู้ป่วย 35 ราย พบว่าดีขึ้นจำนวน 15 ราย (ดูเหมือนว่าผลการรักษาจะดีกว่าในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง) ส่วนระดับคอเลสเตอรอลในพลาสมาของผู้ป่วย 38 ราย ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลง ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้จากการใช้ยานี้ คือ อาจทำให้ถ่ายอุจจาระเหลว แต่อาการจะหายไปเองภายใน 7-14 วัน และบางรายอาจเกิดผื่นคันและพรายย้ำ (จ้ำเขียว) ถ้าใช้ยาแก้แพ้ก็จะหายไปภายใน 7-14 วัน[3]

สรรพคุณของกิ่งหลิว

  • ช่วยแก้โรคปวดตามข้อ[1],[2]
  • ช่วยรักษาบริเวณที่เป็นฝีคัณฑสูตร รำมะนาด และไฟลามทุ่ง[1],[2]
  • ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก[3]
  • ช่วยแก้อาการบวมน้ำ[1]
  • ช่วยแก้ตับอักเสบ[1],[2]
  • ช่วยขับลมได้1],[2]
  • ช่วยป้องกันโรคตับอักเสบชนิดเอ[3]
  • ช่วยแก้ขัดเบา[1],[2]
  • ช่วยขับนิ่ว[1],[2]
  • ช่วยขับปัสสาวะ[1],[2]
  • ช่วยขับลม[1],[2]
  • ช่วยแก้ปวด[1],[2]
  • ช่วยลดไข้[1],[2]

ประโยชน์ของหลิว

  • สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปได้[2]
  • กิ่ง สามารถนำมาใช้เตรียมเป็นผงถ่านพิเศษหรือกัมมันต์ได้ (Activated Charcoal)[3]
  • สาร salicin ที่สกัดได้จากต้นหลิวนั้นสามารถใช้ในการระงับอาการไข้และแก้ปวดได้[4]
  • มีการนำสาร salicin นำมาใช้เป็นแหล่งกำเนิดของกรดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Acetyl salicylic acid ซึ่งใช้เป็นสารที่ใช้สำหรับทำยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยาแก้ปวด[4]
  • เป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ ความสุข ความร่ำรวย การได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง[4]
  • เป็นพืชวิเศษที่ชาวจีนเคารพบูชา
  • คนจีนไม่นิยมปลูกต้นหลิวไว้ในบ้าน เนื่องจากใบหลิวมีลักษณะลู่ห้อยลงมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนโศกเศร้า ดูแล้วทำให้อารมณ์เศร้าซึม
  • มีความเชื่อที่ว่าบ้านใดมีลูกสาวและปลูกต้นหลิวไว้ในบ้าน ลูกสาวบ้านนั้นจะไม่มีคนมาสู่ขอ

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หลิว”. หน้า 822-823.
2. สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “หลิว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [25 ส.ค. 2014].
3. ไทยเกษตรศาสตร์. “สรรพคุณของหลิว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [25 ส.ค. 2014].
4. SciMath. (สุนทร ตรีนันทวัน). “สารซาลิซิน ( SALICIN ) ในเปลือกของต้นหลิว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.scimath.org. [25 ส.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://kingco.co.uk/
2. https://blog.irontreeservice.com/

สรรพคุณต้นช้างน้าว ช่วยต้านเชื้อ HIV ต้านเชื้อวัณโรค

0
ต้นช้างน้าว
สรรพคุณต้นช้างน้าว ช่วยต้านเชื้อ HIV ต้านเชื้อวัณโรค เป็นไม้ยืนต้น ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ดอกเป็นช่อแบบกระจุกสีเหลืองสด ผลสดสีเขียว ผลแก่เป็นสีดำ
ต้นช้างน้าว
เป็นไม้ยืนต้น ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ดอกเป็นช่อแบบกระจุกสีเหลืองสด ผลสดสีเขียว ผลแก่เป็นสีดำ

ช้างน้าว

ช้างน้าว ถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย ลาว พม่า มาเลเซีย เขมร) ชื่อสามัญ Vietnamese mickey mouse plant ชื่อวิทยาศาสตร์ Ochna integerrima (Lour.) Merr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Elaeocarpus integerrimus Lour., Ochna harmandii Lecomte) จัดอยู่ในวงศ์ช้างน้าว (OCHNACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ กระโดงแดง (ร้อยเอ็ด) ช้างโหม (ตราด) ช้างโน้ม (จันทบุรี) ขมิ้นพระต้น (ระยอง) ช้างโหม ช้างโน้ม กระแจะ (ราชบุรี) ฝิ่น (นครราชสีมา) ช้างน้าว ตานนกกรด (บุรีรัมย์) แง่ง (ภาคเหนือ) ตาลเหลือง (ภาคกลาง) กำลังช้างสาร (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ตาชีบ้าง (กะเรี่ยง-กาญจนบุรี) โว้โร้ (กะเหรี่ยง-นครสวรรค์)ควุ

ลักษณะของช้างน้าว

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มขนาดเล็ก เป็นไม้ผลัดใบ มีความสูงของต้นโดยประมาณ 3-8 เมตรและอาจสูงได้ถึง 12 เมตร กิ่งก้านแผ่ขยายออก ลำต้นมักคดงอ เปลือกต้นมีสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นสะเก็ดเป็นร่องลึก ตามปลายกิ่งมีกาบหุ้มตาลักษณะแข็งและแหลม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด การตอนกิ่ง และวิธีการปักชำกิ่ง เป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตได้ช้า เติบโตได้ในสภาพดินทุกชนิดแม้พื้นที่แห้งแล้ง แต่ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ชอบแสงแดดจัด ทนแล้งและทนไฟป่าได้ดี ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน สามารถพบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าสน และป่าชายหาด ที่ระดับความสูงใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 1,200 เมตร
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ มักพบเรียงชิดกันเป็นกลุ่มๆ ที่ปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ หรือเป็นรูปใบหอกแกมรูปไข่กลับ ปลายใบจะแหลมหรือเรียวแหลม พบได้บ้างที่ปลายใบมน ส่วนโคนใบแหลมหรือมน ขอบใบเป็นจักแบบฟันเลื่อยถี่ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 2.5-5.5 เซนติเมตร ยาวโดยประมาณ 12-17 เซนติเมตร ผิวใบเรียบ มีเส้นใบข้างโดยประมาณ 7-15 คู่ หักโค้งงอ และมีเส้นระหว่างกลางไม่จรดกัน ใบแก่จะมีสีเขียวหม่นๆ และเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ส่วนก้านใบนั้นยาวโดยประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และมีหูใบขนาดเล็กหลุดร่วงได้ง่ายที่ทิ้งร่องรอยไว้บนกิ่งก้าน
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกแยกแขนง โดยจะออกตามซอกใบหรือบริเวณใกล้ปลายกิ่งที่ไม่มีใบ ชอบออกดอกพร้อมกับแตกใบใหม่ ในแต่ละช่อดอกจะมีดอกโดยประมาณ 4-8 ดอก ช่อดอกยาวโดยประมาณ 3.5-6 เซนติเมตร ส่วนก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ดอกมีจำนวนมากและมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 3-4.5 เซนติเมตร มีก้านดอกยาวโดยประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใกล้โคนก้านจะมีลักษณะเป็นข้อต่อ ส่วนใบประดับมีขนาดเล็ก ร่วงได้ง่าย ดอกมีกลีบเลี้ยงมีสีแดงลักษณะเป็นรูปไข่ถึงรูปไข่แกมรูปขอบขนาน 5 กลีบ มีขนาดกว้างโดยประมาณ 5-8 มิลลิเมตรและยาวโดยประมาณ 10-15 มิลลิเมตร ผิวทั้งสองด้านเรียบ ส่วนกลีบดอกนั้นมีสีเหลืองสดมีโดยประมาณ 5-8 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ ปลายกลีบมนหรือกลม โคนกลีบสอบเรียวคล้ายก้านกลีบ ส่วนขอบกลีบหยัก กลีบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวโดยประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร แผ่นกลีบบอบบาง หลุดร่วงได้ง่าย ฐานกลีบแคบ ดอกมีเกสรเพศผู้โดยประมาณ 32-50 ก้าน มีก้านชูอับเรณูยาวโดยประมาณ 0.5-1.2 เซนติเมตร มีขนาดไม่เท่ากัน โดยวงนอกจะยาวกว่าวงใน อับเรณู ยาวโดยประมาณ 5-6 มิลลิเมตร อับเรณูมีช่องเปิดอยู่ด้านปลาย ฐานรองดอกพองนูน ลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5-2.5 มิลลิเมตร ขยายขนาดและมีสีแดงเมื่อเป็นผล ส่วนรังไข่จะอยู่เหนือวงกลีบ คาร์เพล 6-12 อัน แต่ละอันจะมี 1 ช่องและมีออวุล 1 เม็ด ส่วนก้านเกสรเพศเมียจะมี 1 ก้าน ยาวโดยประมาณ 1.2-2 เซนติเมตรติดกับฐานของรังไข่ ปลายแยกเป็นแฉก 6-10 แฉกสั้นๆ ยอดเกสรเพศเมียจะมีจำนวนเท่ากับคาร์เพล โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน เมื่อดอกบานจะเป็นสีเหลืองเกือบทั้งต้น
  • ผล เป็นผลสด แบบผลผนังชั้นในแข็ง ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม มีขนาดกว้างโดยประมาณ 8-9 มิลลิเมตรและยาวโดยประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร ผลมีสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผิวผลมัน ผลมีก้านเกสรเพศเมียคงเหลืออยู่ และยังมีกลีบเลี้ยงสีแดงสดที่เจริญตามมารองรับ ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด บ้างว่ามีเมล็ด 1-3 เมล็ด ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งและมีขนาดใหญ่ มีเนื้อบางหุ้มอยู่ โดยจะออกผลในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน

สรรพคุณของช้างน้าว

1. หมอยาไทยใหญ่จะใช้สมุนไพรช้างน้าวเพื่อรักษาเด็กที่เป็นซางจ่อยผอม หรือสภาวะที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ดี เป็นโรคเรื้อรัง มีการติดเชื้อบางชนิดที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดได้ (ราก)
2. เปลือกต้นมีรสขม ช่วยบำรุงหัวใจ (เปลือกต้น)
3. ผลมีรสมันสุขุม เป็นยาบำรุงร่างกาย ส่วนตำรายาไทยใช้ต้นนำมาต้มกับน้ำดื่ม และตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้ทั้งต้นนำมาต้มดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย (ผล ต้น ลำต้น)
4. ตำรายาไทยใช้ต้นช้างน้าวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย หรือจะใช้ต้นช้างน้าวผสมกับต้นนมสาว เถาตาไก้ รากน้ำเต้าต้น รากลกครก อย่างละเท่ากัน มาต้มกินเป็นยาบำรุงกำลังก็ได้ ส่วนชาวเขาเผ่ามูเซอจะใช้ราก โดยนำมาตากแห้ง หรือดองกับเหล้า หรือต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง (ต้น ราก)
5. เนื้อไม้มีรสจืดเย็น ช่วยแก้กษัย ส่วนตำรายาไทยต้นก็มีสรรพคุณแก้กษัยเช่นกัน (ต้น เนื้อไม้)
6. ดับพิษร้อนในร่างกาย (เนื้อไม้)
7. แก้โลหิตพิการ (เนื้อไม้)
8. แก้ดีซ่าน (ราก)
9. เปลือกต้นมีรสขม ใช้ปรุงเป็นยาช่วยทำให้เจริญอาหาร (เปลือกต้น)
10. รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เบาหวาน (ราก)
11. ช่วยขับผายลม (เปลือกต้น)
12. แก่นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ประดง (แก่น)
13. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ผิดสำแดง (ราก)
14. เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ไข้ (เปลือกต้น) ในประเทศอินเดียจะใช้ใบและรากช้างน้าวเป็นยาลดไข้ (ใบ ราก)
15. ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร (ราก)
16. ช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี ด้วยการใช้ต้นช้างน้าวผสมกับต้นนมสาว รากน้ำเต้าแล้ง รากลกครก เถาตาไก้ อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกินเป็นยา (ต้น)
17. ลำต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว ส่วนรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดหลัง (ต้น ราก)
18. รากเป็นยาขับพยาธิ (ราก)
19. ในประเทศอินเดียจะใช้ส่วนของใบและรากเป็นยาแก้บิด (ใบ ราก)
20. รากช่วยฟอกน้ำเหลือง แก้โรคน้ำเหลืองเสีย หรือสภาวะที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี (ราก)
21. รากช้างน้าวช่วยรักษาโรคปวดขา (ราก)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. ช้างน้าวมีสาร Bioflavonoid ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV ต้านเชื้อวัณโรค มีฤทธิ์ต้านอักเสบ แก้ไข้ และแก้ปวด
2. จากการศึกษาพบว่าสารสกัดที่ได้จากเปลือกช้างน้าวมีฤทธิ์ต่อต้านมาลาเรียได้ดีมาก

ประโยชน์ของช้างน้าว

1. ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป ดอกมีกลิ่นหอมตลอดทั้งวันและจะหอมมากในช่วงอากาศเย็น ต้นช้างน้าวยังเป็นพันธุ์พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดมุกดาหารอีกด้วย
2. เปลือกนอกของต้นช้างน้าวที่มีลักษณะนิ่ม ๆ คล้ายไม้คอร์ก นำมาบดให้เป็นผงซึ่งจะมีสีเหลืองเข้มสด นำมาใช้ทาแก้สิวฝ้า หรือใช้ทาแทนแป้งได้ (เปลือกนอก)
3. ชาวบ้านจะนิยมตัดกิ่งช้างน้าวขนาดประมาณ 1 ฟุตครึ่ง เพื่อนำมาจำหน่าย (กิ่งละประมาณ 10 บาท) โดยจะเรียกกิ่งไม้ชนิดนี้ว่า “ดอกตรุษจีน” เนื่องจากจะออกดอกในช่วงตรุษจีนพอดี โดยกิ่งของช้างน้าวนั้นเมื่อนำมาแช่น้ำประมาณ 3-4 วัน ก็จะผลิดอกสวยงามจนเต็มกิ่งก้าน คนเวียดนามจึงนิยมปลูกและนำมาใช้ปักแจกัน เพราะมีความเชื่อว่าดอกไม้สีเหลืองเป็นดอกไม้ที่จะนำโชคและความอุดมสมบูรณ์มาสู่บ้านเรือน

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “ช้างน้าว”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 93.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “ตาลเหลือง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 114.
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ช้างน้าว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [5 มี.ค. 2014].
4. พันธุ์ไม้มงคลพระราชทาน, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ช้างน้าว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th. [5 มี.ค. 2014].
5. ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ช้างน้าว”. (นพพล เกตุประสาท). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [5 มี.ค. 2014].
6. ฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในโรงเรียน, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “ช้างน้าว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: copper.msu.ac.th/plant/. [5 มี.ค. 2014].
7. มูลนิธิสุขภาพไทย. “ตูมตังและช้างน้าว ผิวงามรับลมหนาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [5 มี.ค. 2014].
8. กลุ่มรักษ์เขาใหญ่. “ช้างน้าว จ้าวยาของเด็กน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rakkhaoyai.com. [5 มี.ค. 2014].
9. มติชนออนไลน์. “ช้างน้าวยิ่งเหลืองพรึ่บเท่าไหร่ ยิ่งรวย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.matichon.co.th. [5 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://powo.science.kew.org/
2. https://www.liamllivan.top/

ต้นสนหางสิงห์ ช่วยแก้อาการตกเลือด

0
สนหางสิงห์
ต้นสนหางสิงห์ ช่วยแก้อาการตกเลือด เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 20 เมตร ใบเป็นใบร่วมหรือเป็นใบประกอบแบบขนนกหลายชั้น ดอกเดี่ยวรูปไข่สีน้ำตาลอ่อน ผลกลมฉ่ำน้ำ
สนหางสิงห์
เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 20 เมตร ใบเป็นใบร่วมหรือเป็นใบประกอบแบบขนนกหลายชั้น ดอกเดี่ยวรูปไข่สีน้ำตาลอ่อน ผลกลมฉ่ำน้ำ

สนหางสิงห์

ชื่อสามัญ Oriental Arborvitae, Chinese Arborvitae [1] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Platycladus orientalis (L.) Franco (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Biota orientalis (L.) Endl., Thuja orientalis L.) อยู่วงศ์ CUPRESSACEAE[1] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เช่อไป่เย่ (จีนกลาง), เฉ็กแปะ (จีนแต้จิ๋ว), สนเทศ (จังหวัดกรุงเทพมหานคร), จันทยี (จังหวัดเชียงใหม่), ไป่จื่อเหยิน (จีนกลาง), จันทน์ยี่ (จังหวัดเชียงใหม่), เช่อป๋อ (จีนกลาง), สนแผง (จังหวัดกรุงเทพมหานคร) [1],[2]

ลักษณะขอสนหางสิงห์

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้น ต้นสูงประมาณ 20 เมตร จะแตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ที่ลำต้นกับกิ่งก้านของต้นสนหางสิงห์จะบิดเป็นเกลียว เปลือกต้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมแดง เปลือกต้นจะเป็นเกล็ดสีน้ำตาลอมสีแดง ขยายพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่ง การใช้เมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เติบโตดีในดินที่ร่วนซุย มีความชื้นพอประมาณ[1],[2]
  • ใบ จะเป็นใบร่วมหรือเป็นใบประกอบแบบขนนกหลายชั้น จะเรียงกันเป็นแผง ใบย่อยจะออกเรียงสลับกัน ใบย่อยเป็นเกล็ดขนาดเล็ก เรียงติดแน่นกับกิ่ง มีลักษณะเป็นแผง เป็นสีเขียวสด[1],[2]
  • ดอก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว ดอกจะออกที่ตามง่ามใบ ดอกเป็นรูปไข่ เป็นสีน้ำตาลอ่อน ดอกเพศเมียกับดอกเพศผู้อยู่คนละดอก แต่จะอยู่ต้นเดียวกัน ดอกเพศเมียจะไม่มีก้าน ดอกเพศผู้จะมีก้านที่มีขนาดสั้น[1],[2]
  • ผล ผลกลมตั้งตรง ผลอ่อนจะฉ่ำน้ำ มีลักษณะเป็นสีเขียวอมน้ำเงิน จะมีผงสีขาวคลุมอยู่ ผลแก่เป็นผลแห้ง มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมสีแดง ผลแก่จะแตกเป็นแฉก 8 แฉก มีเมล็ดอยู่ในผลประมาณ 1-2 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม จะมีสัน ภาษาจีนเรียกเมล็ดสนหางสิงห์ว่า ไป่จื่อเหยิน

สรรพคุณสนหางสิงห์

1. นำใบมาบดให้เป็นผงใช้โรยใส่แผล สามารถช่วยห้ามเลือดได้ (ใบ)[1,[2]
2. สามารถช่วยแก้อาการข้อได้ (ใบ)[1]
3. นำใบ 120 กรัม มาต้มกับน้ำ แบ่งทานวันละ 3 ครั้ง สามารถช่วยแก้ตกเลือด สตรีตกเลือดได้ (ใบ)[1],[2]
4. สามารถช่วยขับระดูของสตรีได้ (ใบ)[1]
5. สามารถนำเปลือกต้นมาฝนเป็นใช้ยากวาดทวารเบาได้ (เปลือกต้น)[1]
6. นำใบสด 30 กรัม น้ำ 500 มิลลิลิตร มาชงให้เข้ากัน ทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-6 ครั้ง สามารถช่วยขับปัสสาวะได้ (ใบ)[1]
7. สามารถใช้ผล  เป็นยาบรรเทาอาการลำไส้ตีบได้ (ผล)[1]
8. นำใบสดประมาณ 5-10 กรัม มาต้มน้ำดื่ม สามารถช่วยแก้เด็กท้องร่วงได้ (ใบ)[1]
9. สามารถช่วยแก้อาเจียนเป็นเลือดได้ (ใบ)[2]
10. สามารถใช้เป็นยาแก้บิดไม่มีตัวได้ (ใบ)[1]
11. นำใบสด 30 กรัม น้ำ 500 มิลลิลิตร มาชงให้เข้ากัน ทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-6 ครั้ง สามารถช่วยแก้อาการไอ ขับเสมหะได้ (ใบ)[1]
12. นำเมล็ดสนหางสิงห์ 12 กรัม, หกเหล็ง 10 กรัม, แหม่เกาติ๊ง 12 กรัม, เอี่ยงจี่ 10 กรัม, เมล็ดพุทราจีนที่คั่วแล้ว 10 กรัม มาต้มรวมกันกับน้ำ ใช้ทาน สามารถใช้แก้ประสาทอ่อน นอนไม่หลับ มีอาการตกใจง่ายได้ (เมล็ด)[2]
13. ใบสนหางสิงจะมีสรรพคุณที่เป็นยาลดความดันโลหิต โดยนำใบสด 15 กรัม มาชงกับน้ำ ใช้ดื่มแทนชา ดื่มจนความดันลดลง (ใบ)[1]
14. ใบ มีรสขมฝาด เป็นยาเย็น จะออกฤทธิ์กับหัวใจ ลำไส้ใหญ่ ตับ สามารถใช้เป็นยาทำให้เลือดเย็น แก้ร้อนในปอดได้ (ใบ)[2]
15. นำใบสดตำละเอียดมาผสมน้ำ แล้วคนให้เหนียวเป็นยาง ใช้พอกบริเวณที่เป็นแผล สามารถช่วยรักษาแผลพุพอง และแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ (บ้างก็ว่ารักษาไฟลามทุ่งได้) (ใบ)[1]
16. เปลือกต้นะมีสรรพคุณที่เป็นยาฝาดสมาน (เปลือกต้น)[1]
17. สามารถช่วยทำให้ระดูขาวแห้งได้ (เปลือกต้น)[1]
18. สามารถช่วยแก้ริดสีดวงทวารที่เลือดไหลไม่หยุดได้ นำขี้เถ้าของใบมาชงกับน้ำทาน (ใบ)[1]
19. สามารถช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือดได้ (ใบ)[2]
20. สามารถช่วยแก้บิดมูกเลือด และแก้เลือดออกในกระเพาะกับลำไส้ได้ (ใบ)[2]
21. เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน สามารถใช้แก้อาการท้องผูก และใช้เมล็ด กับเมล็ดกัญชา อย่างละ 15 กรัม มาต้มกับน้ำทานได้ (เมล็ด)[2]
22. สามารถช่วยขับลมชื้นได้ (ใบ)[2]
23. ถ้ามีเลือดกำเดาไหล สามารถนำใบแห้งกับดอกทับทิมแห้ง มาอย่างละเท่า ๆ กันมาบดเป็นผงแล้วเป่าเข้าจมูก (ใบ)[1],[2]
24. ในตำรายาแก้หลอดลมอักเสบ แก้อาการไอ โดยนำใบมาบดเป็นผง ใช้ทำเป็นยาเม็ด เมล็ดละประมาณ 0.5 กรัม ทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ต่อกันนาน 10 วัน (ใบ)[2]
25. สามารถใช้เป็นยาแก้คางทูมได้ นำใบสดมาตำให้ละเอียด ผสมไข่ขาว แล้วนำมาพอกตรงบริเวณที่เป็น ให้เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง (ใบ)[1]
26. สามารถใช้ผลเป็นยากล่อมประสาทสำหรับผู้ที่หัวใจเต้นเร็วแล้วนอนไม่หลับได้ (ผล)[1]
27. เมล็ดจะมีรสหวานเผ็ด เป็นยาสุขุม จะออกฤทธิ์กับหัวใจ ลำไส้ใหญ่ ตับ ไต สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยทำให้หัวใจชุ่มชื่น ช่วยทำให้จิตใจสบายได้ (เมล็ด)[2]

ประโยชน์สนหางสิงห์

  • ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารสกัดที่ได้จากใบ หรือน้ำที่ต้มได้จากใบ จะมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อบิดในลำไส้ใหญ่ หรือเชื้อไทฟอยด์ เชื้อ Columbacilus, Staphelo coccus, Strepto coccus และต้านเชื้อไวรัสของไข้หวัดใหญ่ได้[2]
  • สารสกัดที่ได้จากใบกับเมล็ด จะมีฤทธิ์กล่อมประสาททำให้สัตว์ทดลองหลับสนิท หลับนานมากขึ้น[2]
  • ใบจะมีน้ำมันระเหยอยู่ประมาณ 0.6-1% (Thujone, Pinene, Caryophyllene, Thujene, Fenchone) และยังมี Flavones 1-72% (Myricetin, Hinokiflavone, Amentoflavone, Quercetrin, Aromadendrin) และมีวิตามินซี, สารแทนนิน, เรซิน [1]
  • การทดสอบความยืดอายุของหนอน Caenorhaditis elegans โดยใช้สารสกัด n-butanol จากเมล็ด จะพบว่าสามารถช่วยยืดอายุการมีชีวิตของหนอนได้ ทั้งสภาวะปกติและในสภาวะเครียด ไม่ได้ขึ้นกับความเข้มข้นของสาร และพบว่ามีฤทธิ์ที่ลดอนุมูลอิสระ ช่วยควบการเพิ่มโปรตีนที่เกี่ยวกับการทนกับความเครียดมากขึ้น และมีฤทธิ์ลดรงควัตถุที่เกิดจากความเสื่อมของไขมัน Lipofuscin ในหนอน Caenorhaditis elegans สรุปคือสารสกัด n-butanol ที่ได้จากเมล็ด จะมีฤทธิ์ช่วยยืดอายุ โดยทำลายอนุมูลอิสระ จะลดปริมาณ Lipofuscin และเพิ่มความทนต่อสภาวะเครียด เป็นผลการทดสอบที่มีประโยชน์กับการแพทย์ในการศึกษาเกี่ยวกับยาบำรุงร่างกาย[3]
  • ในใบมีสารพวก Flavonoid จะมีฤทธิ์ยับยั้งอาการไอ และสามารถเป็นยาขับเสมหะในสัตว์ทดลองของหนูได้[2]
  • พบสารใบและกิ่งพบสาร Thujone, Pinpicrin, Fenchone, Vitamin C, Tannin, Quercitrin และพบน้ำมันกับน้ำมันระเหยในเมล็ด และพบสาร Hinokiavone, Cedrol, Thujopsene, Curcumenether, Beta-thujaplicin ในน้ำมันหอมระเหย [2]

ข้อห้ามในการใช้สนหางสิงห์

  • ห้ามให้สตรีที่มีครรภ์ทาน[1],[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ความสามารถในการยืดอายุของหนอนนีมาโทดา Caenorhaditis elegans ของสารสกัด n-butanol จากเมล็ดของสน หางสิงห์”. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [01 มิ.ย. 2014].
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สนหางสิงห์”. หน้า 744-745.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “สนหางสิงห์”. หน้า 524.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://trees.stanford.edu/
2.https://www.biodiversity4all.org/

ต้นช้อยนางรำ ช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย

0
ช้อยนางรำ
ต้นช้อยนางรำ ช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย ไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกมีขนาดเล็กเป็นช่อ กลีบดอกมีสีเป็นสีม่วงปนกับสีขาวหรือสีม่วงแดง ผลเป็นฝักแบน
ช้อยนางรำ
ไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกมีขนาดเล็กเป็นช่อ กลีบดอกมีสีเป็นสีม่วงปนกับสีขาวหรือสีม่วงแดง ผลเป็นฝักแบน

ช้อยนางรำ

ช้อยนางรำ มักจะขึ้นเองตามธรรมชาติที่ป่าชื้นทั่วไป หรืออาจจะพบเจอชาวบ้านที่ปลูกเอาไว้ตามบ้าน และอาจพบเห็นได้จากสวนหลังวัดพญา ในปัจจุบันนี้พบเจอได้ค่อนข้างยาก ชื่อสามัญ Telegraph plant, Semaphore plant
ชื่อวิทยาศาสตร์ Codariocalyx motorius (Houtt.) H.Ohashi ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Codariocalyx gyrans (L.f.) Hassk., Codoriocalyx motorius var. glaber X.Y. Zhu & Y.F. Du, Desmodium gyrans (L.f.) DC., Desmodium gyrans var. roylei (Wight & Arn.) Baker, Desmodium motorium (Houtt.) Merr., Desmodium roylei Wight & Arn., Hedysarum gyrans L.f., Hedysarum motorium Houtt., Meibomia gyrans (L.f.) Kuntze จัดอยู่ในวงศ์ จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1],[2],[3] ชื่ออื่น ๆ แพวแดง (อรัญประเทศ), ค่อยช้างรำ ช้อยช่างรำ นางรำ (ประเทศไทย), เคยแนะคว้า (ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ว่านมีดยับ หว้านมีดยับ (จังหวัดลำพูน), แพงแดง (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของต้นช้อยนางรำ

  • ต้น
    – เป็นพันธุ์ไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก อยู่ในจำพวกหญ้า
    – ประมาณ 90 เซนติเมตร
    – เป็นพืชว่านชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่พืชที่ลงหัวอย่างว่านทั่ว ๆ ไป
    – ลำต้นมีผิวเปลือกเป็นสีไม้แห้ง[1],[2],[3]
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด
  • ใบ
    – ใบจะแยกออกเป็นใบย่อย 3 ใบ โดยใบย่อยแต่ละใบจะมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไข่ ปลายใบมน
    – แผ่นใบมีสีเป็นสีเขียว ผิวใบด้านบนมีความเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างมีขนขึ้นปกคลุม[1],[2]
    – ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 1-3 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2-7 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ดอกจะแทงออกจากด้านข้างหรือที่ปลายยอดของกิ่งก้าน โดยจะออกดอกในลักษณะที่เป็นช่อดอกแบบติดกับดอกสลับ
    – ก้านช่อดอกจะมีขนขึ้นปกคลุม ดอกมีขนาดเล็ก มีรูปร่างลักษณะคล้ายดอกถั่วแปบ แต่มีขนาดเล็กกว่าดอกถั่วแปบมาก
    – กลีบดอกมีสีเป็นสีม่วงปนกับสีขาวหรือสีม่วงแดง และดอกมีกลีบเลี้ยงมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปกระดิ่ง[1],[2]
  • ผล
    – ผลมีลักษณะรูปร่างเป็นฝักแบน โดยฝักจะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 0.3 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2.5 เซนติเมตร
  • เมล็ด
    – ภายในฝักจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 2-6 เมล็ด
    – เมล็ดมีลักษณะรูปทรงคล้ายกับเมล็ดของถั่วดำ แต่จะมีขนาดเท่ากับหัวไม้ขีด เมล็ดมีสีเป็นสีดำ[1]

สรรพคุณของต้นช้อยนางรำ

1. ลำต้นนำมาใช้ทำเป็นยารักษาฝีภายใน และฝีในท้อง (ลำต้น)[2]
2. ลำต้นมีสรรพคุณในการนำมาใช้ทำเป็นยาดับพิษร้อนภายในร่างกายได้ (ลำต้น)[2]
3. ต้น ราก และใบนำมาใช้ทำเป็นยาแก้ไข้ประสาทพิการ และแก้ไข้รำเพรำพัด (ต้น, ราก, ใบ)[2],[3]
4. ต้น ราก และใบนำมาต้มใช้สำหรับดื่มเป็นยาที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการเจ็บป่วย (ต้น, ราก, ใบ)[3]
5. แพทย์แผนโบราณจะนำต้น ราก และใบโขลกให้ละเอียดจากนั้นนำมากวนกับปรอทในปริมาณน้ำหนักที่เท่ากัน ๆ จะส่งผลทำให้ปรอทแข็งตัวได้ (ต้น, ราก, ใบ)[3]
6. ต้น ราก และใบนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ (ต้น, ราก, ใบ)[2],[3]
7. ใบนำมาต้มเข้ากับตัวยาอื่น ๆ (ส่วนมากมักจะใช้เข้ากับยาแผนโบราณ) (ใบ)[2]
8. ใบนำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน และแก้ฝีภายใน (ใบ)[2]

ประโยชน์ของต้นช้อยนางรำ

1. สามารถนำปลูกไว้ดูเล่นเป็นไม้ประดับที่ดูแปลกหูแปลกตาได้ แต่ค่อนข้างเลี้ยงดูได้ยาก[1]
2. ในปัจจุบันนี้ชาวอุดรธานีจะนำใบทำเป็นใบชาแห้งเพื่อจัดจำหน่ายเป็นสินค้าโอท็อปของจังหวัด[3]
3. เป็นพรรณไม้ที่มีความเชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ซึ่งย้อนกลับไปสมัยโบราณที่มีการเรียกว่านนี้ว่า “ว่านกายสิทธิ์” ทำให้มีการนับถือพรรณไม้ชนิดนี้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นไม้กายสิทธิ์ มีอำนาจทางโชคลาภและเมตตามหานิยม ส่งผลให้มีความเชื่อว่าหากบ้านหรือร้านค้าใด ที่ทำการปลูกจะช่วยเรียกเงินทองไหลมาเทมาสู่ผู้ที่ปลูกแบบไม่ขาดมือ[3]
4. เป็นสมุนไพรที่สามารถฤทธิ์ในการต้านความชราหรือต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มีประโยชน์ทางด้านโภชนาการที่หลายอย่าง และมีสรรพคุณในการช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย[3] จึงมักจะนำมาชงกับน้ำต้มดื่มเป็นน้ำสมุนไพร

วิธีการชงน้ำสมุนไพร

1. นำใบชนิดแห้ง (ชาแห้ง) หนัก 1 กรัม
2. นำมาชงกับน้ำร้อนในปริมาตร 50 มิลลิลิตร (ประมาณ 1 ถ้วย)

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ช้อย นาง รำ”. หน้า 244-245.
2. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. (ผศ.วรรณา กาญจนยูร, ศ.ดร. ไมตรี สุทธิจิต์, อำนาจ เหลาทอง). “รายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพทางเคมีและทางชีวภาพของใบช้อยนางรำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.nongsamrong.go.th. [07 ม.ค. 2015].
3. ไทยโพสต์. “สาวน้อยเริงระบำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaipost.net. [07 ม.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.amazon.com/
2.https://www.flickr.com/

เจตมูลเพลิงแดง ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย

0
เจตมูลเพลิงแดง
เจตมูลเพลิงแดง ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย เป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อสีแดงสด ใบเดี่ยวออกเรียงสลับขอบเป็นคลื่น ผลเป็นฝักกลม
เจตมูลเพลิงแดง
เป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อสีแดงสด ใบเดี่ยวออกเรียงสลับขอบเป็นคลื่น ผลเป็นฝักกลม

เจตมูลเพลิงแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumbago indica L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Plumbago rosea L.) จัดอยู่ในวงศ์ PLUMBAGINACEAE เช่นเดียวกับเจตมูลเพลิงขาว ชื่อสามัญ Rose-colored leadwort, Rosy leadwort, Fire plant, Official leadwort, Indian leadwort ชื่อท้องถิ่นอื่น เจ็ดหมุนเพลิง (เลย) ปิดปีแดง (ภาคเหนือ) ปิดปิวแดง (ภาคใต้) ไฟใต้ดิน (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ตอชูกวอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ตั้งชู้โว้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) คุ้ยวู่ (มลายู-ปัตตานี) อุบ๊ะกูจ๊ะ (จีนกลาง) หงฮวาตัน จื่อเสี่ยฮวา

ลักษณะของเจตมูลเพลิงแดง

  • ต้น เป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุหลายปี ความสูงของต้นโดยประมาณ 1-1.5 เมตร บ้างว่าสูงได้โดยประมาณ 2-3 เมตร ต้นแตกกิ่งก้านสาขารอบต้นมาก กิ่งก้านมักทอดยาว ยอดอ่อนมีสีแดง ส่วนลำต้นมีลักษณะกลมเรียบ กิ่งอ่อนมีสีเขียวปนแดงและมีสีแดงบริเวณข้อ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการปักชำกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่ม พื้นที่เนินสูง และไม่ชอบที่ชื้นแฉะ มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศไทยเกือบทุกภาค สามารถพบได้ตามป่าดงดิบ ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณทั่วไป
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะเชิงลด ช่อดอกยาวโดยประมาณ 20-90 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 1-3 เซนติเมตร ในช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมากโดยประมาณ 10-15 ดอก โดยดอกจะออกเป็นช่อตั้งขึ้นที่ปลายกิ่งหรือปลายยอด กลีบดอกบางมีสีแดงสด มี 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กๆ ยาวโดยประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร ส่วนปลายแยกเป็น 5 แฉก ลักษณะของกลีบเป็นรูปไข่กลับ ปลายกลีบกลมและมีติ่งหนามตอนปลาย ยาวโดยประมาณ 2 เซนติเมตร มีใบประดับและใบประดับย่อยลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดเล็ก ยาวโดยประมาณ 0.2-0.3 เซนติเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 5 ก้านติดตรงข้ามกลีบดอก มีอับเรณูยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร รังไข่เป็นรูปรี ส่วนก้านเกสรเพศเมียมีหลายขนาดและมีขนยาวที่โคน ดอกมีกลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปใบหอก เป็นหลอดเล็กยาวโดยประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร และมีขนเหนียวๆ ปกคลุม เมื่อจับดูจะรู้สึกว่าเหนียวมือ
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นคลื่น ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 3-5 เซนติเมตรและยาวโดยประมาณ 8-13 เซนติเมตร แผ่นใบบางมีสีเขียว แผ่นใบมักบิด ส่วนก้านใบและแกนกลางใบอ่อนมีสีแดง
  • ผล ออกผลเป็นฝักกลม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ผลเป็นผลแห้ง เมื่อแก่จะแตกตามร่องได้

สรรพคุณของเจตมูลเพลิงแดง

1. ทั้งต้นหรือรากมีรสเผ็ดร้อน เป็นยาร้อน ออกฤทธิ์ต่อปอดและหัวใจ ใช้เป็นยาขับเลือด ฟอกเลือด กระจายเลือดลม (ราก ทั้งต้น)
2. ใบนำมาป่นผสมกับพริกไทย ขมิ้นดำ ดีปลี และไพล แล้วปั้นเป็นลูกกลอนใช้เป็นยาบำรุงกำลังและขับลม (ใบ) บ้างว่าใช้รากเข้ายาบำรุงกำลัง (ราก)
3. รากมีรสร้อน ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงไฟธาตุในร่างกาย (ราก)
4. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ราก) ช่วยรักษาอาการอันเกิดจากธาตุไฟทั้ง 4 เช่น หายใจถี่ มีอาการตัวเย็น นัยน์ตามัว เบื่ออาหาร ไอแห้ง ปวดท้องไม่หาย มือเท้าเป็นเหน็บชา ชอบนอนนานแล้วไม่อยากลุกขึ้น (ราก)
5. รากใช้เป็นยาบำรุง (ไม่ได้ระบุว่าบำรุงอะไร)
6. เนื่องจากรากเป็นยาที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น จึงนำมาใช้เป็นขี้ผึ้งปิดอกถอนพิษ แก้ปอดชื้น ปอดบวมได้ดี (ราก)
7. ราก จัดอยู่มีตำรับยาขนานสุดท้ายที่ใช้แก้โรคหัวใจและอาการใจสั่น โดยมีส่วนผสมของสมุนไพร 13 ชนิด ได้แก่ รากเจตมูลเพลิงแดง การบูร ชะมดเชียง เทียนดำ พิมเสน หัวดองดึง อย่างละ 2 บาท กฤษณา กะลำภัก จันทน์เทศ อย่างละ 3 บาท กำยาน ขิง ดอกดีปลี อย่างละ 8 บาท และสนเทศอีก 40 บาท นำทั้งหมดมาบดเป็นผง เติมน้ำมะนาวแล้วปั้นเป็นแท่ง นำไปผึ่งในที่ร่มให้แห้ง แล้วเก็บไว้ในขวดโหล ใช้รับประทานกับกระสายน้ำมะนาวเมื่อเกิดอาการใจสั่นได้ผลดีนัก
8. ช่วยบำรุงโลหิต (ราก)
9. แก้โลหิตเน่าเสีย (ราก)
10. ช่วยทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น (ราก)
11. ช่วยกระจายลม (ราก)
12. คนไทยในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย จะนำผ้ามาพันรากเพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง แล้วนำมาแขวนที่คอเพื่อใช้รักษาโรคดีซ่าน (อาการตาเหลือง ตัวเหลือง) (ราก)
13. ดอกใช้เป็นยาแก้โรคทำให้หนาวและเย็น (ดอก)
14. ต้นมีรสร้อน ใช้แก้โลหิตที่เกิดแต่กองกำเดา (ต้น)
15. ใบมีรสร้อน ใช้แก้ลมในกองเสมหะ (ใบ)
16. รากใช้เป็นยาขมทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ผงของราก นำมาผสมกับผงดีปลี ลูกสมอพิเภก (บ้างว่าผสมขิงหรือเกลือด้วย) อย่างละเท่ากัน นำมาบดเป็นผงรวมกัน นำมาใช้รับประทานกับน้ำร้อนครั้งละ 2.5 กรัมหรือประมาณ 1 ช้อนแกง (บ้างว่าใช้ทั้งหมดนี้ผสมในยาธาตุจะเป็นยาช่วยย่อยและยาเจริญอาหาร) (ราก)
17. ช่วยแก้อาการไอ (ราก)
18. ดอกใช้รักษาโรคตา (ดอก)
19. ผงรากช่วยระงับอาการปวดฟัน แต่ในประเทศฝรั่งเศสจะเอารากนำมาเคี้ยวเพื่อระงับอาการปวดฟัน (ราก)
20. ช่วยขับเสมหะ (ราก ใบ)
21. รากใช้เข้ายากับพริกไทย นำมาดองกับเหล้าดื่ม จะช่วยขับปัสสาวะ (ราก)
22. รากช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง (ราก) บ้างก็ว่าใช้ต้นเป็นยาแก้ปวดท้อง (ต้น ทั้งต้น)
23. ช่วยในการย่อยอาหาร (ใบ ราก)
24. รากช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้ผายเรอ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดเสียด จุกเสียด มีอาการแน่นหน้าอก ใบช่วยในการขับผายลม (ใบ ราก)
25. ช่วยขับพยาธิ (ราก)
26. ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี (ราก)
27. ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (ราก)
28. รากใช้เป็นยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (ราก)
29. ช่วยรักษากามโรค (ราก)
30. รากใช้เป็นยาช่วยขับประจำเดือนของสตรี ช่วยขับฟอกโลหิตระดู แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ มีอาการปวดท้องน้อยในช่วงมีประจำเดือน ด้วยการใช้รากแห้งโดยประมาณ 1-2 กรัม นำมาต้มกับน้ำสะอาด 2 ถ้วยแก้ว แล้วใช้รับประทานครั้งละ 1/4 ถ้วยแก้ว (เนื่องจากรากมีฤทธิ์เพิ่มจังหวะและความถี่ในการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก คนสมัยโบราณจึงนำมาใช้ในกรณีที่สตรีคลอดบุตรแล้วรกไม่ตกออกมาด้วย) (ราก) บ้างก็ว่าใช้ต้นเป็นยาขับประจำเดือนของสตรี (ต้น)
31. รากใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง ผงรากใช้เป็นยาทาภายนอกช่วยแก้โรคผิวหนังบางชนิด ทาแก้กลากเกลื้อน (ราก) ส่วนอีกตำรับยาแก้กลากเกลื้อน ระบุให้ใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกใช้พอกบริเวณที่เป็นจนเริ่มรู้สึกแสบร้อนแล้วจึงเอาออก หรือจะใช้ต้นสดนำมาต้มกับน้ำ แล้วใช้น้ำที่ได้จากการต้มนำมาล้างผิวหนังบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน (ต้น)
32. ใบมีรสร้อน ใช้เป็นยาแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน (น้ำดีนอกฝัก) อาการปวดศีรษะและตัวร้อน สะท้านร้อนสะท้านหนาว จับไข้
33. รากใช้ผสมในยาบำรุงของสตรีหลังการคลอดบุตร เพื่อช่วยให้มดลูกเข้าอู่ (ราก)
34. ดอกมีรสร้อน ใช้เป็นยาแก้พัทธปิตตะสมุฏฐาน (น้ำดีในฝัก) อาการที่ทำให้ใจขุ่นมัว คลั่งเพ้อ วิกลจริตไป (ดอก) บ้างว่าใบก็ช่วยแก้น้ำดีในฝักเช่นกัน (ใบ)
35. ช่วยแก้ดีไม่ปกติ (ใบ)
36. ใบนำมาตำใช้พอกบริเวณที่โดนตัวบุ้งที่ทำให้คัน โดยใช้ได้เหมือนใบเจตมูลเพลิงขาว แต่เจตมูลเพลิงแดงจะมีฤทธิ์แรงกว่าและใช้ได้ผลดีกว่า (ใบ)
37. แก่นใช้เป็นยาแก้ขี้เรื้อนน้ำเต้า ขี้เรื้อนกวาง (แก่น)
38. ผงจากรากใช้เป็นยาปิดพอกรักษาฝี ทำให้เกิดความร้อน ช่วยเกลื่อนฝีได้ (ราก) ตำรับยาแก้ฝีบวม ฝีบวมอักเสบ ให้ใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นฝีจนเริ่มรู้สึกว่าร้อนแล้วให้เอาออก (เพื่อไม่ให้ผิวหนังเกิดพุพอง) (ต้น)
39. ช่วยแก้คุดทะราด (ราก)
40. กระพี้ใช้เป็นยาแก้เกลื้อนช้าง (กระพี้)
41. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย แก้อาการปวดตามข้อ ปวดข้ออันเนื่องมาจากลมชื้นเข้าแทรก ด้วยการใช้รากแห้งโดยประมาณ 5-10 กรัม นำมาตุ๋นกับกระดูกหมูรับประทานเป็นยา หรือจะนำรากผสมเข้ากับยาดองเหล้า ใช้รับประทานเป็นยาก็ได้เช่นกัน (ราก)
42. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ แก้เคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นฝีจนเริ่มรู้สึกว่าร้อนแล้วให้เอาออก (ต้น)
43. ผลหรือลูกใช้เป็นยาแก้พยาธิผิวหนัง แก้ฝี (ผล)
44. รากใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรค (ราก)
45. แก้บวม (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
46. จัดอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม ได้แก่ ตำรับ (ยาหอมนวโกฐ) และจัดอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ตำรับ (ยาประสะกานพลู)
47. จัดอยู่ในตำรับ “ยามันทธาตุ” (ตำรับยาแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุไม่เป็นปกติ) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด ได้แก่ กระเทียม การบูร กานพลู โกฐเขมา โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา โกฐสอ โกฐหัวบัว จันทร์แดง จันทร์เทศ ดีปลี เทียนขาว เทียนดำ เทียนแดง เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน รากชะพลู รากเจตมูลเพลิงแดง รากไคร้เครือ เถาสะค้าน ลูกจันทร์ ลูกผักชีล้อม ลูกผักชีลา เปลือกสมุลแว้ง เปลือกโมกมัน พริกไทยล่อน หนักอย่างละ 1 ส่วน ขิง และลูกเบญกานี หนักอย่างละ 3 ส่วน (ราก)
48. ช่วยรักษาโรคอัมพาต (ราก)
49. จัดอยู่ในตำรับยา (เบญจกูล) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพร 5 ชนิด อันได้แก่ รากเจตมูลเพลิงแดง รากชะพลู เหง้าขิงแห้ง เถาสะค้าน และ ผลดีปลี โดยเป็นตำรับยาที่เป็นยาแก้โรคในกองเตโชธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 16 ส่วน) กองวาโยธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 8 ส่วน) และกองอากาศธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 2 ส่วน) และยังช่วยปรับสมดุลในร่างกายของผู้ป่วยมะเร็ง สามารถช่วยต้านเซลล์มะเร็งปอดและมะเร็งเต้านมได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันการทำงานของ NK Cells ช่วยกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ต้านการอักเสบ ช่วยยับยั้งการอักเสบได้ทั้งแบบเรื้อรังและแบบเฉียบพลัน โดยมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับในยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ แต่จะให้ผลดีกว่ายาสเตียรอยด์ ชนิด Phenylbutazone และยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา Candida albicans และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดหนอง เช่น Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus
50. จัดอยู่ในต้นตำรับยา ธรณีสัณฑะฆาต (ตำรับยาคลายเส้น) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด ได้แก่ กานพลู โกฐกระดูก โกฐเขมา โกฐน้ำเต้า ขิง ชะเอมเทศ ลูกกระวาน ลูกเร่ว ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ เทียนขาว เทียนดำ รากเจตมูลเพลิงแดง หัวกลอย หัวกระดาดขาว หัวกระดาดแดง หัวดองดึง หนักอย่างละ 1 ส่วน ผักแพวแดง เนื้อลูกมะขามป้อม หนักอย่างละละ 2 ส่วน, รงทอง (ประสะแล้ว) หนัก 4 ส่วน การบูร เนื้อลูกสมอไทย มหาหิงคุ์ หนักอย่างละ 6 ส่วน ยาดำ หนัก 20 ส่วน และพริกไทยล่อน หนัก 96 ส่วน (ราก)
51. นอกจากนี้ยังมีตำรับยาอีกหลากหลายขนานที่เข้ารากเจตมูลเพลิงแดงร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ เช่น ยาหอมอินทจักร์ ตำรับยาแก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้ ตำรับยาแก้โรคเหงื่อออกมาก ยาแก้โรควิงเวียนหน้ามืดตาลาย ตำรับยาขนานใหญ่ แก้โรคลมอัมพาต ยาแก้โรคลมต่าง ๆ ยาแก้โรคประสาท ยาแก้โรคกระเพาะ ยาแก้ธาตุทั้งสี่แปรปรวน เป็นต้น

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. ทั้งต้นพบสาร Plumbagin, D-Naphthaquinone เป็นต้น
2. มีฤทธิ์บีบมดลูกทำให้แท้งได้โดยพบว่าสารสกัดที่ได้จากน้ำต้มของราก เมื่อนำมาทดลองกับมดลูกที่อยู่นอกร่างกายของหนู พบว่ามีฤทธิ์ในการกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว หากสตรีมีครรภ์รับประทาน จะมีผลทำให้มดลูกมีการบีบตัว
3. รากมีสารจำพวกแนฟธาควิโนน (Naphthaquinone) ชื่อว่า Plumbagin, 3-chloroplumbagin, α-naphthaquinone ฯลฯ ประโยชน์ทางยาคือมีกลิ่นฉุนและมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อเมือก (Mucous membrane) หากถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือเป็นผื่นแดงไหม้
4. สาร Plumbagin มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเต้นของหัวใจ และมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดเส้นใหญ่ของหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตลดลง
5. สาร Plumbagin เมื่อนำมาฉีดเข้าในกระต่ายทดลองในอัตราส่วน 0.01 กรัมต่อ 1 กิโลกรัม พบว่าจะทำให้กระต่ายเสียชีวิต
6. สาร Plumbagin มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อจุลินทรีย์ ต้านมาลาเรีย ต้านโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ต้านความสามารถในการสืบพันธุ์ ต้านการเกิดเนื้องอก ช่วยต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งทุกชนิด
7. รากมีสาร Plumbagin ที่นอกจากจะมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้แล้ว ยังมีฤทธิ์ในการบีบลำไส้ช่วยทำให้มีการหลั่งน้ำย่อยเพิ่มมากขึ้น จึงช่วยเพิ่มความอยากอาหารได้ แต่อาจทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารและอาจเป็นพิษได้
8. Kubo และคณะ (1983) ได้รายงานว่า สาร Plumbagin มีผลต่อการยับยั้งการสังเคราะห์ Chitin ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดแมลงทางด้านการเกษตรได้
9. Fetterer และคณะ (1991) ได้พบว่า สาร Plumbagin สามารถยับยั้งการเคลื่อนที่และการมีชีวิตของตัวอ่อนระยะที่ 1 ของไส้เดือนฝอย Haemonchis contonus และตัวอ่อนระยะที่ 4 และระยะเอมบริโอของไส้เดือนฝอย Ascaris suum ได้
10. มีการนำ Napthoquinone ธรรมชาติ ที่แยกได้จากรากของเจตมูลเพลิง มาใช้เป็นยาพื้นบ้านเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ มากมาย โดยส่วนประกอบที่มีอยู่มีความสัมพันธ์อย่างเฉพาะเจาะจงกับการต่อต้านยีสต์และแบคทีเรีย ซึ่งจากการทดสอบพบว่า สามารถยับยั้ง Candida albicans ได้ที่ความเข้มข้น 0.78 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และสามารถยับยั้ง Staphylococcus aureus ได้ที่ความเข้มข้น 1.56 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร จากผลดังกล่าว จึงน่าจะทดลองใช้ Plumbagin เพื่อเป็น Antimicrobial agent ได้ (Panichayupakaranant และคณะ, 2001)
11. สิริวรรณและคณะ (2546) ได้พบว่า สารสกัดจากรากสามารถแสดงผลการยับยั้งการงอกของสปอร์เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides ทุกไอโซเลทได้ 100% โดยใช้วิธี Glass slide
12. แพทย์แผนโบราณจะนิยมใช้รากของเจตมูลเพลิงแดงมากกว่าเจตมูลเพลิงขาวเพราะมีฤทธิ์ที่แรงกว่า โดยรากที่นำมาใช้เป็นยาถ้าจะให้ได้ผลดีต้องมีอายุ 3 ปีขึ้นไป
13. บ้างว่ามีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด (ไม่ยืนยัน)

ประโยชน์ของเจตมูลเพลิงแดง

1. ยอดอ่อนและใบมีรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอม ใช้รับประทานเป็นผักสดได้ หรือนำมาใส่ข้าวยำ หรือนำไปปรุงเป็นอาหาร เช่น ทำแกงคั่ว แกงเผ็ด แกงเนื้อ เป็นต้น
2. เปลือกใช้เป็นยาฆ่าแมงคาเรืองเข้าหู

ข้อควรระวังในการใช้

1. ห้ามรับประทานเกินกว่าปริมาณที่กำหนด เพราะจะมีผลทำให้เส้นเลือดในมดลูกแตกและมีอาการตกเลือดได้
2. สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เพราะมีสารที่ทำให้แท้งบุตรได้ ซึ่งในประเทศไทยและมาเลเซียถือว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นยาทำแท้ง
3. ยางจากรากเมื่อถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังไหม้และพองได้เหมือนโดนเพลิงไฟ จึงได้ชื่อว่า “เจตมูลเพลิง” ส่วนคนใต้จะเรียกว่า “ไฟใต้ดิน” ดังนั้นในการจะจับต้องรากในขณะเก็บมาใช้ ก็ต้องสวมถุงมือเสียก่อน เพื่อป้องกันอาการปวดแสบปวดร้อน
4. เจตมูลเพลิงมีสาร Plumbagin ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารและอาจเป็นพิษได้ จึงควรระมัดระวังในการใช้

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “เจตมูลเพลิงแดง (Chetta Mun Phloeng Daeng)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 98.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เจตมูลเพลิงแดง Rose-colored Leadwort”. หน้า 169.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เจตมูลเพลิงแดง”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 186.
4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “เจตมูลเพลิงแดง”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 232-233.
5. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [2 มี.ค. 2014].
6. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [2 มี.ค. 2014].
7. ผู้จัดการออนไลน์. “สมุนไพรไม้เป็นยา : เจตมูลเพลิงแดง ต้านการเกิดเนื้องอก”. อ้างอิงใน: นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 152 สิงหาคม 2556. (รศ.ดร.อรุณพร อิฐรัตน์ สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [3 มี.ค. 2014].
8. ครูบ้านนอกดอทคอม. “สมุนไพรใกล้บ้าน มารู้จัก “เจตมูลเพลิง” กันดีกว่า”. อ้างอิงใน: มติชนกรุ๊ป. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.kroobannok.com. [3 มี.ค. 2014].
9. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [3 มี.ค. 2014].
10. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “เจตมูลเพลิงแดง, ปิดปิวแดง”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [3 มี.ค. 2014].
11. เวชพงศ์โอสถ, คลังแห่งสมุนไพร. “คลังแห่งความรู้ของยาสมุนไพร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.vejpongosot.com. [3 มี.ค. 2014].
12. ปัญหาพิเศษปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร คณะเกษตร กำแพงแสนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (ศกุนตลา พร้อมมูล, 2548). “ผลของสารสกัดจากต้นหยาดน้ำค้างและรากเจตมูลเพลิงแดงต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas axonopodis pv. citri เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides และ Colletotrichum capsici”.
13. พันวสา. “เจตมูลเพลิงแดง”. อ้างอิงใน: หนังสือคู่มือเภสัชกรรมแผนแพทย์ไทย เล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ (ชยันต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์), หนังสือ 20 ปี สวนสมุนไพร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, อภัยภูเบศรสาร ฉบับที่ 97 และฉบับที่ 105. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panvasa.com. [3 มี.ค. 2014].
14. มหาวิทยาลัยแม่โจ้. “การศึกษาการขยายพันธุ์และการเก็บรักษาพันธุกรรมพืชสมุนไพรในสภาพหลอดแก้ว”. (ทิพย์สุดา ปุกมณี, นพมณี โทปุญญานนท์, รังสิมา อัมพวัน, วรวรรณ ชาลีพรหม, จักรพงษ์ พิมพ์พิมล, เรณู สุวรรณพรสกุล).
15. กรุงเทพทิพโอสถ. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkoktiposod.com. [3 มี.ค. 2014].
16. ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [3 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.flora-toskana.com/en/permanent-blossom/496-plumbago-indica-indische-bleiwurz-rot.html
2. https://www.medicinalplantsanduses.com/plumbago-indica-plant-medicinal-uses