ประโยชน์ของทับทิม 40 ข้อ

0
ทับทิม
ประโยชน์ของทับทิม 40 ข้อ ซึ่งผลไม้มงคลของคนจีน มีผลขนาดเล็ก เนื้อมีสีแดง รสหวานออกเปรี้ยว น้ำมีวิตามินซีสูง และใช้เป็นยารักษาโรค
ทับทิม
ผลไม้มงคลของคนจีน มีผลขนาดเล็ก เนื้อมีสีแดง รสหวานออกเปรี้ยว น้ำมีวิตามินซีสูง

ทับทิม

ทับทิม มีต้นกำเนิดที่ประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ชอบอากาศหนาว ถ้าหนาวมาก เนื้อมีสีแดงเข้มขึ้น เป็นผลไม้มงคลของคนจีน เพราะมีเมล็ดมาก สื่อถึงการมีลูกชายมาก กิ่งใบสามารถนำมาใช้ในพิธีการที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือใช้พรมน้ำมนต์ เชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายได้ และเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ประโยชน์และสรรพคุณของมีมาก มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำมีวิตามินซีสูงและเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ และมีสรรพคุณที่เป็นยารักษาโรคได้ เช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ลดสภาวะการแข็งตัวของเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด ชื่อสามัญ Pomegranate ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. ชื่อท้องถิ่น เซี๊ยะลิ้ว, พิลา, พิลาขาว, มะก่องแก้ว, มะเก๊าะ, หมากจัง อยู่ในวงศ์ตะแบก

ประโยชน์ของทับทิม

  • ช่วยต่อต้านการเกิดของโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด จะช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น อย่างเช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้
  • ลดปัญหาผมร่วง โดยนำยาพอกที่ได้จากใบใช้พอกหนังศีรษะ
  • ดอกช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบได้
  • เปลือกต้นกับเปลือกรากสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดกับพยาธิตัวกลมได้ โดยนำเปลือกของรากกับต้นที่ยังสดประมาณครึ่งกำมือ และเติมกานพลูไปนิดหน่อยเพื่อแต่งรส มาต้มน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง ใช้ทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมงให้ทานยาถ่าย เช่น ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะไปอีกครั้งหนึ่ง
  • เปลือกต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ ลดการอักเสบ
  • ช่วยในการบำรุงและช่วยต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  • แก้อาการระดูขาว และตกเลือดได้
  • สามารถลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูงได้
  • ส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
  • ส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง และช่วยป้องกันการเกิดของโรคกระดูกพรุน
  • สามารถป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้
  • น้ำที่ได้จากการต้มเปลือกบรรเทาอาการเจ็บคอได้
  • สามารถช่วยบำบัดอาการของโรคเบาหวานได้
  • สามารถช่วยปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือนได้
  • ใบนำมาใช้ในการประกอบพิธีต่างที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
  • สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้
  • สามารถระงับกลิ่นปากได้
  • น้ำมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง โดยนำน้ำประมาณ 1 ช้อนชา ทาบนใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  • สามารถช่วยทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
  • ชาวอินเดียนำน้ำที่คั้นจากผลกับดอกมาใช้ปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
  • นำใบมาใช้อมกลั้วคอหรือนำมาใช้ทำเป็นยาล้างตาได้
  • สามารถใช้ดอกห้ามเลือดได้ โดยนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียด ใช้ทาหรือโรยใส่ที่บาดแผล
  • เปลือกต้มช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ จะช่วยลดจำนวนในการขับถ่ายและช่วยทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานมากขึ้น
  • เปลือกของผลสามารถรักษาแผลหิด และกลากเกลื้อนได้
  • เปลือกช่วยรักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เนื่องจากมีสารในกลุ่มแทนนินปริมาณมาก
  • สามารถบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรงได้
  • มีฤทธิ์ที่ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้
  • ช่วยฟอกไตกับท่อปัสสาวะ
  • สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
  • บำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
  • สามารถบรรเทาอาการของโรคหัวใจได้ โดยจะช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดีขึ้น
  • สามารถบำรุงสายตา และช่วยแก้อาการตาอักเสบได้
  • สามารถป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุได้
  • สามารถบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงที่ตั้งครรภ์ได้
  • มีวิตามินซีสูง และมีวิตามินเอ วิตามินอี กรดโฟลิก
  • สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และบรรเทาอาการหวัดได้
  • น้ำช่วยเพิ่มความสดชื่น และแก้กระหาย คลายร้อนได้
  • สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และช่วยชะลอวัยได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการ 100 กรัม ของเนื้อทับทิมให้พลังงาน 83 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.gardenersworld.com/how-to/grow-plants/how-to-grow-pomegranate-tree/

เถาคุย ผลไม้ป่ารสเปรี้ยวเป็นยารักษาโรคดีซ่าน

0
เถาคุย
เถาคุย ผลไม้ป่ารสเปรี้ยวเป็นยารักษาโรคดีซ่าน ผลสดมีเนื้อลักษณะเป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงส้ม ที่เปลือกผลมีน้ำยาง
เถาคุย
ผลไม้ป่ารสเปรี้ยวเป็นยารักษาโรคดีซ่าน ผลสดมีเนื้อลักษณะเป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงส้ม ที่เปลือกผลมีน้ำยาง

เถาคุย

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของเถาคุย คือ Willughbeia edulis Roxb ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น อีคุย ต้นคุย หมากยาง ตังตู้เครือ บักยาง คุยช้าง คุยหนัง เคลือยาง อากากือเลาะ โพล้พอ [1],[2] เป็นพืชในวงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)

ลักษณะ

  • ต้น เป็นไม้เถาเนื้อแข็งรอเลื้อยขนาดใหญ่ เลื้อยได้ประมาณ 10 – 15 เมตร มีลำเถาขนาดใหญ่ และแข็งแรง แตกกิ่งก้านเยอะ มีมือยืดเกาะ ส่วนที่เปลือกจะเกลี้ยงมีสีน้ำตาล ที่ทุกส่วนของต้นจะมีน้ำยาง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด พบเจอได้ตามที่ป่าดิบแล้ง ป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้น [1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดียว ใบออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ตามข้อต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปรี รูปขอบขนาน ที่ปลายใบจะแหลมและเป็นติ่ง โคนใบมีรูปลิ่มถึงมน ขอบใบจะเรียบเป็นคลื่นนิดหน่อย ใบกว้างประมาณ 5 – 7 เซนติเมตร ยาว 10 – 14 เซนติเมตร ที่แผ่นใบมีสีเขียว ใบหนา ส่วนที่ผิวใบ ผิวด้านบนเกลี้ยงและเป็นมัน ผิวด้านล่างมีขนเล็กน้อย มีเส้นแขนง 15 – 16 คู่ ก้านใบมีร่องที่ด้านบน ก้านใบมีความยาว 1 – 2 เซนติเมตร [1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจุก ออกที่บริเวณซอกใบกับที่ปลายยอด มีความยาว 1 – 2.5 เซนติเมตร ก้านของช่อดอกมีความยาว 1 – 2 มิลลิเมตร มีขนนิดหน่อย แต่ละช่อดอกมีดอกย่อย 5 – 6 ดอก ก้านของดอกมีความยาว 1 – 3 มิลลิเมตร และมีใบประดับ 1 อัน ดอกกับช่อดอกมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม , รูปไข่ กว้าง 1 – 1.5 มิลลิเมตร ยาว 1 – 2.5 มิลลิเมตร ที่ตามขอบจะมีขน ที่กลีบเลี้ยงดอกจะเชื่อมกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ที่ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคลนดอกกลีบเป็นรูปถ้วย ที่ปลายแฉกเป็นรูปไข่กว้างประมาณ 1 – 1.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร ที่ตามดอกจะมีขน กลีบดอกเชื่อมกัน ที่ปลายแยกเป็น 5 แฉก ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปขอบขนาน มีสีขาวปนสีเหลือง เรียงบิดเวียน แฉกมีความยาวประมาณ 9 – 12 มิลลิเมตร หลอดยาวประมาณ 6 – 7 มิลลิเมตร ปลายกลีบด้านนอกมีผิวเกลี้ยง หรือมีขนเล็กน้อย มีเกสรเพศผู้ อับเรณูยาว 1 – 1.5 มิลลิเมตร ที่ด้านหลัง มีก้านชูอับเรณูที่สั้น มีสีเหลือง และมีเกสรเพศเมีย รังไข่กึ่งใต้วงกลีบ มี 1 คาร์เพล 1 ช่อง 23 – 46 ออวุล รังไข่ยาวประมาณ 0.5 – 1 มิลลิเมตร ก้านของเกสรเพศเมียยาว 2 – 3 มิลลิเมตร ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉก มีสีเหลืองและมีขนนิดหน่อย ถ้าดอกบานจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 – 2.5 เซนติเมตร ดอกจะออกช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม [2]
  • ผล เป็นผลเดี่ยว ผลสดมีเนื้อ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ เปลือกผลจะหนา ผิวเกลี้ยง ขนาดประมาณ 5.8 – 7.2 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงส้ม ที่เปลือกผลมีน้ำยาง ก้านผลยาวประมาณ 0.8 – 1.2 เซนติเมตร มีขนนิดหน่อย มีเมล็ดประมาณ 1 – 3 เมล็ด เนื้อผลจะลื่นติดกันเมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่ กว้างประมาณ 1.2 – 1.6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.9 – 2.8 เซนติเมตร จะติดผลช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน [2]

สรรพคุณของเถาคุย

  • เถาและลำต้นจะมีรสฝาด นำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้ประดงเข้าข้อ ลมขัดในข้อ ลมขัดในกระดูก [2]
    ที่ลำต้นใช้ต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยารักษาโรคคุดทะราด [1],[2]
  • สามารถนำยางมาใช้สำหรับทาแผลได้ [1]
  • สามารถนำลำต้นต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้ตับพิการ [1],[2]
  • ยางจะมีรสฝาดร้อน ช่วยแก้คุดทะราด แก้เท้าเป็นหน่อ [1],[2]
  • ผลดิบจะมีรสเปรี้ยวฝาด นำผลดิบมาตากแห้งย่างไฟ แล้วป่นมาผสมกับน้ำ ใช้เป็นยาทาแผล [1],[2]
  • นำลำต้นผสมกับลำต้นม้ากระทืบโรง ต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาบำรุงกำลังกับเป็นยาอายุวัฒนะ [2]
  • เถา ลำต้น ราก มาต้มแล้วดื่ม ใช้เป็นยารักษาโรคบิด [1],[2]
  • รากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยารักษาโรคดีซ่านที่เกิดจากโรคมาลาเรีย [1]
  • รากจะมีรสฝาด นำมาต้มแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ เจ็บหน้าอก [1],[2]
  • เปลือกต้นจะมีรสฝาด นำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ [1],[2]
  • ผลสุก สามารถช่วยหล่อลื่นลำไส้ ทำให้ขับถ่ายได้สะดวก [2]
  • ตำรับยาพื้นบ้านภาคใต้ ใช้ลำต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้น้ำเหลืองเสีย [2]
  • หมอยาพื้นบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี นำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต [2]
  • นำรากมาตำให้ละเอียด สามารถใช้เป็นยาทาแก้โรคตัวเหลืองในทารกได้ [1]
  • นำลำต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้มือเท้าอ่อนเพลีย รากกับเถาก็มีสรรพคุณแก้มือเท้าอ่อนเพลียได้เหมือนกัน [1],[2]

ประโยชน์ของเถาคุย

  • ใช้น้ำยางมาทำเป็นกาวสำหรับดักจับแมลง เช่น จักจั่น ใช้น้ำยางจากพืช 3 ชนิด คือ ยางเถาคุย ยางไทร และยางมะเดื่อหรือยางขนุน มาผสมในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน แล้วเติมน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันโซล่า แล้วเอาไปเคี่ยวจนกระทั่ง
  • น้ำยางข้นเหนียว แล้งทิ้งให้เย็น แล้วนำมาใช้เป็นกาว [2]
  • ผลที่สุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน นำมารับประทานได้ [1],[2]
  • นำลำต้นมาใช้แทนเชือกสำหรับมัดสิ่งของได้ [2]
  • นำรากมาใช้ในการย้อมสี จะเป็นสีแดง [1]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “กะตังกะติ้ว”, “คุย”, “เถาคุย”. หน้า 48-49, 194-197, 342-343.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “คุย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [28 ส.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.http://www.epharmacognosy.com/2022/
2.https://www.flickr.com/photos/

ถั่วเหลืองโปรตีนสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการ

0
ถั่วเหลืองโปรตีนสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ต้นตั้งตรงลักษณะเป็นพุ่ม ดอกมีสีขาวหรือสีม่วง ฝักออกเป็นกลุ่ม เมล็ดมีสีเหลือง สีเขียว สีน้ำตาล หรือสีดำ
ถั่วเหลือง
เมล็ดมีสีเหลือง สีเขียว สีน้ำตาล หรือสีดำ ต้นตั้งตรงลักษณะเป็นพุ่ม ดอกมีสีขาวหรือสีม่วง ฝักออกเป็นกลุ่ม โปรตีนสูง

ถั่วเหลือง

ถั่วเหลือง จัดเป็นพืชที่สำคัญและเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ตามประวัติศาสตร์แล้วนั้นถั่วเหลืองมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนทางตอนกลางและในทางตอนเหนือ ซึ่งชาวจีนได้มีการรู้จักใช้ประโยชน์จากถั่วเหลือง และมีการปลูกถั่วเหลืองมายาวนานมากกว่า 4,700 ปีแล้ว ถั่วเหลืองมีประโยชน์มากมายหลากหลายประการและยังถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลายอีกด้วย ในปัจจุบันถั่วเหลืองถือเป็นพืชที่มีการเพาะปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนและเขตอบอุ่น แต่จะให้ผลผลิตที่ดีในเขตอบอุ่น เพราะเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในเขตอบอุ่นนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามประเทศที่ผลิตถั่วเหลืองที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลผลิตมากถึง 56% ของผลผลิตทั่วโลก รองลงมาคือประเทศบราซิลและจีน ชื่อภาษาอังกฤษ Soybean, Soya bean ชื่อในทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่า Glycine max (L.) Merr. และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Dolichos soja L., Soja max (L.) Piper, Phaseolus max L., Glycine soja sensu auct. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ถั่วแระ ถั่วพระเหลือง ถั่วแม่ตาย (ภาคกลาง), มะถั่วเน่า ถั่วเน่า ถั่วหนัง (ภาคเหนือ), เถ๊าะหน่อ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ตบยั่ง (เมี่ยน), อาทรึ่ม (ปะหล่อง), โชยุ (ญี่ปุ่น), โซยาบีน (อังกฤษ), อึ่งตั่วเต่า เฮ็กตั่วเต่า (จีน-แต้จิ๋ว) เป็นต้น[1],[2],[7] และถั่วเหลืองได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งถั่ว” อีกด้วย[6]

ลักษณะของถั่วเหลือง

  • ต้น ตั้งตรงลักษณะเป็นพุ่ม แตกแขนงค่อนข้างมาก มีความสูงประมาณ 30-150 เซนติเมตร โดยความสูงจะขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของดิน ความชื้น และฤดูที่เพาะปลูก ส่วนลำต้นจะมีขนปกคลุมอยู่ทั่วไป ยกเว้นในส่วนของใบเลี้ยงและกลีบดอก และต้นถั่วเหลืองยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ชนิดทอดยอดและชนิดไม่ทอดยอด[3],[4] เมื่อเมล็ดแก่แล้ว ฝักจะแห้งและต้นจะตายตามไปด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ “ถั่วแม่ตาย”
  • ราก มีระบบเป็นรากแก้ว หากเป็นดินร่วนอาจหยั่งรากลึกถึง 0.5-1 เมตรเลยทีเดียว แต่โดยทั่วไปแล้วระบบรากจะอยู่ในความลึกประมาณ 30-45 เซนติเมตร ซึ่งจะประกอบไปด้วยรากแก้วที่เจริญมาจากรากแรกของต้น และมีรากแขนงที่เจริญมาจากรากแก้ว ส่วนบริเวณปมรากนั้นก็เกิดมาจากแบคทีเรียไรโซเบียมที่เข้าไปอาศัยอยู่[3],[4]
  • ใบต้นอ่อนจะมีใบเลี้ยง ใบจริงคู่แรกจะเป็นใบเดี่ยว โดยใบจริงที่เกิดขึ้นต่อมานั้นจะเป็นใบประกอบแบบ 3 ใบย่อย คือ มีใบย่อยด้านปลาย 1 ใบ และมีใบย่อยด้านข้างอีก 2 ใบ ลักษณะใบมีรูปร่างหลากหลายแบบ เช่น รูปไข่จนถึงเรียวยาว ส่วนที่โคนของก้านใบประกอบจะมีหูใบอยู่ 2 อัน และตรงส่วนโคนของก้านใบย่อยจะมีหูใบย่อยอยู่ 1 อัน ที่ใบมีขนสีน้ำตาลหรือเทาปกคลุมอยู่ทั่วไป[3],[4]
  • ดอกออกเป็นช่อ มีช่อดอกเป็นแบบกระจะ ดอกมีสีขาวหรือสีม่วง โดยสีขาวจะเป็นลักษณะด้อย เมื่อดอกบานเต็มที่แล้วจะมีขนาดประมาณ 3-8 มิลลิเมตร ดอกจะเกิดตามมุมของก้านใบหรือตามยอดของลำต้น ในหนึ่งช่อดอกจะมีดอกตั้งแต่ 3-15 ดอก โดยช่อดอกที่เกิดบนยอดของลำต้น มักจะมีจำนวนดอกในช่อมากกว่าช่อดอกที่เกิดตามมุมใบ และในส่วนของดอกนั้น จะประกอบไปด้วยก้านช่อดอกและก้านดอกย่อย กลีบเลี้ยงที่อยู่นอกสุดจะมีสีเขียว มีอยู่ทั้งสิ้น 2 กลีบ และมีขนขึ้นปกคลุม ถัดมาก็คือกลีบรองดอกที่อยู่ในชั้นถัดจากกลีบเลี้ยง มีฐานติดกันอยู่ 5 แฉก ถัดมาคือส่วนของกลีบดอก มี 5 กลีบ คือ กลีบใหญ่ 1 กลีบ กลีบกลางด้านข้าง 2 กลีบ และกลีบเล็ก 2 กลีบ[3],[4]
  • ฝักออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-10 ฝัก ฝักมีขนสีเทาหรือสีน้ำตาลปกคลุมอยู่ทั่วฝัก ฝักมีความยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร ในแต่ละฝักนั้นจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-5 เมล็ด แต่ส่วนใหญ่แล้วนั้นจะมีอยู่ 2-3 เมล็ด ฝักอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อฝักแตกออกมาแล้วนั้นจะทำให้เมล็ดร่วงออกมานั่นเอง[4]
  • เมล็ดมีสีเหลือง สีเขียว สีน้ำตาล หรือสีดำก็ได้ โดยเมล็ดจะมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน ลักษณะของเมล็ดมีตั้งแต่กลมรีจนไปถึงแบบยาว เมล็ดขนาดเล็กจำนวน 100 เมล็ด จะมีน้ำหนักประมาณ 2 กรัม แต่ถ้าเป็นเมล็ดที่มีขนาดใหญ่อาจจะมีน้ำหนักมากกว่า 40 กรัม แต่โดยทั่วไปแล้วนั้นจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 12-20 กรัม[4]

ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ พ.ศ.2516 ได้ระบุเอาไว้ว่า “ถั่วแม่ตาย เป็นชื่อถั่วอย่างหนึ่งที่เขาปลูกตามไร่ พอเป็นฝักต้นก็ตาย เมล็ดมันเช่นถั่วแระ” แสดงให้เห็นถึงว่าคนไทยสมัยก่อนมักเรียกถั่วเหลืองว่า “ถั่วแม่ตาย” และในคำอธิบายที่ว่า “เมล็ดมันเช่นถั่วแระ” ก็ทำให้เราทราบอีกว่า ถั่วเหลืองกับถั่วแระเป็นพืชคนละชนิดกัน ซึ่งปัจจุบันคนไทยภาคกลางจะเรียกฝักถั่วเหลืองที่นำมาต้มว่า “ถั่วแระ” จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือทำให้เกิดความสับสนได้ ส่วนพืชที่เป็นถั่วแระจริง ๆ ก็คือ ถั่วมะแฮะ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Pigeon pea[10]

สรรพคุณของถั่วเหลือง

1. นำไปใช้เป็นยาบำรุงโลหิต โดยการใช้เปลือกเมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือกเมล็ด)[8]
2. กากถั่วเหลืองนั้นสามารถช่วยป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดได้อีกด้วย (กากเมล็ด)[8]
3. ใช้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และบางการศึกษาได้ระบุไว้ว่า การบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำนั้น อาจมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย และมะเร็งเต้านมในเพศหญิงในวัยที่ยังมีประจำเดือน แต่ก็อาจเพิ่มโอกาสของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในเพศหญิงวัยที่หมดประจำเดือนแล้วได้ ซึ่งเป็นผลมาจากสารไฟโตเอสโตรเจน แต่อย่างไรก็ตามนั้น ยังไม่มีการศึกษาที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน และยังไม่สามารถระบุได้ว่า ถั่วเหลืองสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้[9] สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งของเนื้อเยื่อระบบสืบพันธุ์ (สารไฟโตเอสโตรเจน)[11] ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องคลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก (Isoflavones)[14],[15] และจากงานศึกษาในประเทศญี่ปุ่นและจีนก็พบว่า
– ผู้ที่ทานซุปเต้าเจี้ยวมาก ๆ จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งที่ต่ำ[12]
– ผู้ที่ชอบรับประทานซุปที่ทำจากถั่วเหลือง จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่ไม่ได้รับประทาน[10]
– ผู้ที่รับประทานเต้าหู้มาก ๆ จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารต่ำ [12]
– ผู้ที่ทานถั่วเหลืองมากกว่า 5 กิโลกรัมต่อปี จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารลดลงถึง 40%[12]
– ผู้ชายที่ทานเต้าหู้มากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่ทานเต้าหู้น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์[12]
– ผู้ที่รับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยถั่วเหลืองน้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมเป็น 2 เท่า และมะเร็งปอดเป็น 3.5 เท่าของผู้ที่ทานอาหารที่ประกอบไปด้วยถั่วเหลืองทุกวัน[12] สำหรับมะเร็งปอดนั้น สารไอโซฟลาโวนจะช่วยถ่วงการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเอาไว้ (แต่ต้องไม่ใช้ถั่วเหลืองที่ผ่านการหมัก และจะได้ประโยชน์เฉพาะกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่)[14]
– การบริโภคอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลืองนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ถึง 30% เลยทีเดียว (ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ)[14]
– จากการศึกษาการทดลองพบว่า สาร Isoflavones ในถั่วเหลืองสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนมะเร็งในสัตว์ทดลองได้[15]
4. ใช้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้[11]
5. มีส่วนช่วยป้องกันการขาดแคลเซียม ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก[6] ช่วยลดความรุนแรงของโรคกระดูกผุ[10] ช่วยลดการเสื่อมสลายของกระดูกได้ และช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย[12],[14]
6. ใช้ช่วยบำบัดและรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต เนื่องจากในถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน ที่ช่วยทำให้เลือดลมเดินทางได้สะดวก ซึ่งเป็นผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงที่ได้ทำการศึกษากับคนไข้ 102 รายที่เป็นอัมพาตเพราะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตันและเป็นโรคหัวใจในเวลาต่อมา[14]
7. ใช้ช่วยขับร้อน สลายน้ำ และถอนพิษ[6]
8. กรดไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วเหลืองนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้[11] และจากการศึกษาก็พบว่า ถั่วเหลืองมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ถึง 15-20% โดยผลจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนที่ได้ทำการทดลองในคนไข้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลมากกว่า 300 อันเนื่องมาจากพันธุกรรม[10] และจากการศึกษาก็พบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาถึง 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับไขมันเลว (LDL) ลดลงร้อยละ 18 และมีระดับไขมันดี (HDL) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว[12]
9. ใช้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา และสมาคมแพทย์โรคหัวใจในสหรัฐอเมริกา ให้คำแนะนำว่า ให้รับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองวันละ 25 กรัม จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้[11],[12] และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย (สารไฟโตเอสโตรเจน)[12]
10. เส้นใยอาหารจากถั่วเหลืองนั้น สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ (แอนดริว พี โกลด์เบิร์ก) และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ดร.เดวิด เจนคินส์ ยังกล่าวเอาไว้ว่า “ถั่วเหลืองเป็นพืชที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีที่สุด” อีกด้วย[10]
11. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง เนื่องจากถั่วเหลืองนั้นมีธาตุเหล็กสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีสารต้านการดูดซึมธาตุเหล็กด้วย ดังนั้นการจะช่วยให้ร่างกายได้ดูดซึมธาตุเหล็กได้นั้น จะต้องรับประทานร่วมกับอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น เนื้อสัตว์หรือวิตามินซีจากผลไม้ เป็นต้น[14]
12. ดอกสดนั้นใช้เป็นยารักษาต้อกระจกได้ (ดอก)[8]
13. ใช้ช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ (เปลือกเมล็ด)[8]
14. การบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำนั้นจะช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรงขึ้น และช่วยลดโอกาสของการเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้อีกด้วย[14]
15. ใช้ช่วยแก้ตานขโมย (เมล็ด)[8]
16. มีส่วนช่วยแก้ผอมแห้งหรือซูบผอม[6]
17. ใช้ช่วยบรรเทาอาการเหงื่อออก ด้วยการใช้เปลือกเมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือกเมล็ด)[8]
18. ใช้ช่วยบำบัดอาการลำไส้ทำงานไม่ปกติ[6]
19. ใช้ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยให้การเผาผลาญอาหารในกระเพาะอาหารนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (ไขมันไม่อิ่มตัว)[14]
20. ช่วยแก้โรคบิด และอาการแน่นท้อง[6],[8]
21. เมล็ดนำมาใช้เป็นยาระบาย (เมล็ด)[8]
22. ใช้ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคริดสีดวงทวารได้[14]
23. ใช้ช่วยหล่อลื่นลำไส้ (เมล็ด)[8]
24. ใช้ช่วยขับปัสสาวะ โดยการใช้เมล็ดแห้งประมาณ 30-90 กรัม นำมาต้มกิน หรือจะใช้เปลือกเมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ (เมล็ด, เปลือกเมล็ด)[8]
25. ช่วยปรับสภาพของฮอร์โมนในสตรีให้สมดุล ช่วยลดความรู้สึกที่ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบในระยะหมดประจำเดือนของสตรีได้ รวมไปถึงอาการหงุดหงิด เหงื่อแตก ช่องคลอดแห้ง อารมณ์แปรปรวน หรือมีอาการทางผิวหนัง และเยื่อบุบริเวณช่องคลอดแห้งหรืออักเสบได้นั่นเอง (Isoflavones)[10],[12],[15] และยังช่วยลดอาการผิดปกติของหญิงวัยหมดประจำเดือนได้อีกด้วย[11]
26. ตามตำราแพทย์ของจีนได้ระบุไว้ว่า ถั่วเหลืองมีฤทธิ์บำรุงม้ามและลมปราณในร่างกาย[14] โดยจะใช้เมล็ดแห้งประมาณ 30-90 กรัม นำมาต้มกินเป็นยาบำรุงม้าม[8]
27. สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตที่ต้องจำกัดการรับประทานโปรตีนและคอเลสเตอรอลนั้น แต่โปรตีนจากถั่วเหลืองถือเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตสามารถรับประทานทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ โดยพบว่าการทำงานของไตนั้นดีขึ้น และยังช่วยลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคนิ่วในไตได้อีกด้วย[14]
28. ช่วยรักษาแผลที่เปื่อย[6] และแผลเน่าเปื่อยได้ (เปลือกเมล็ด)[8]
29. ใช้ช่วยรักษาบาดแผลภายนอกที่มีเลือดออก (เมล็ด)[8]
30. ใบสดนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มรักษาเลือดออก (ใบ)[8]
31. ใบสดนั้นใช้เป็นยารักษาภายนอก ด้วยการนำมาตำแล้วพอกรักษาคนที่ถูกงูกัด โดยพอกวันละ 3 ครั้ง (ใบ)[8]
32. แก้สตรีมีครรภ์ที่โดนพิษเฉียบพลัน (เมล็ด)[8]
33. ช่วยแก้ปวดได้[6] โดยถั่วเหลืองนั้นอุดมไปด้วยสารไอโซฟลาโวนที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการอักเสบตามไขข้อ ซึ่งการรับประทานถั่วเหลืองวันละ 40 กรัม จะช่วยแก้และป้องกันอาการปวดดังกล่าวได้[14]

ประโยชน์ของถั่วเหลือง

  • เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและหลากหลาย เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน มีไขมันชนิดดีสูง มีเส้นใยอาหารสูง มีวิตามินและเกลือแร่สูง และยังเป็นอาหารที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง การเก็บรักษาก็ง่าย และผู้ผลิตยังเติมสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ ลงไปได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองสำเร็จรูป[9]
  • การบริโภคน้ำนมเป็นประจำนั้น ยังมีประโยชน์ต่อรูปลักษณ์ภายนอกอีกด้วย เช่น ช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง ดูมีน้ำมีนวล เป็นต้น[17]
  • การรับประทานถั่วเหลืองเป็นประจำนั้น จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวานได้[6],[17]
  • ช่วยบำรุงประสาทและสมอง[6] ช่วยเพิ่มความจำ อันเนื่องจากถั่วเหลืองอุดมไปด้วยวิตามินบีหลายชนิด[14]
    โปรตีนในถั่วเหลืองนั้น ถือเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี มีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับนมวัวเลยทีเดียว (แต่มีแคลเซียมน้อยกว่า เพียง 1 ใน 5 ของนมวัวเท่านั้น) สามารถใช้ในการทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นอยู่หลายชนิดในปริมาณที่สมดุลมากกว่าถั่วชนิดอื่น[5],[9],[11]
  • ถั่วเหลืองมีไขมันที่สูง โดยมีน้ำมันอยู่ร้อยละ 12-20 น้ำมันจากถั่วเหลืองนั้นมีส่วนประกอบของไขมันไม่อิ่มตัวอยู่หลากหลายชนิด ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของวัยเด็กและในวัยทารก ช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ผิวหนัง จึงเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ และยังมีวิตามินอีซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันอีกด้วยนั่นเอง[5]
  • สามารถใช้เป็นอาหารเสริมได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่แพ้นมวัว และไม่สามารถดื่มนมมารดาได้ จึงดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนั่นเอง[9]
  • มีสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง[9] ที่ช่วยทำให้ระบบเลือดดีขึ้น แถมยังช่วยทำให้สิวลดน้อยลงอีกด้วย[14]
  • การดื่มนมถั่วเหลืองอุ่น ๆ ก่อนนอนนั้น จะช่วยทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะในถั่วเหลืองนั้นจะมีกรดอะมิโน “ทริปโตเฟน” ที่จะช่วยเปลี่ยนให้เป็นฮอร์โมนเซโรโทนินซึ่งจะช่วยควบคุมการนอนหลับ จึงทำให้นอนหลับได้ดีขึ้นนั่นเอง[14]
  • เป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่บริโภคอาหารได้น้อย หรือมีอาการแพ้นมวัว มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือมีอาการเจ็บเวลากลืนอาหาร[9]
  • สำหรับผู้ที่ท้องเสียหรือเพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วยนั้น การดื่มนมวัวอาจจะทำให้ท้องเสียได้ แต่ถ้าหากดื่มนมถั่วเหลืองจะไม่มีปัญหาเรื่องการย่อยเหมือนนมวัว ทำให้ดูดซึมได้ดี ผู้ป่วยก็จะฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น[13]
  • น้ำเต้าหู้นั้นถือเป็นเครื่องดื่มเสริมสร้างความงามที่เหมาะแก่สุภาพสตรีเป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่ผู้หญิงมักจะมีอาการโลหิตจาง ประสิทธิภาพการปรับความสมดุลในเลือดของน้ำเต้าหู้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุภาพสตรีวัยกลางคนและวัยชราที่ดื่มน้ำเต้าหู้อยู่เป็นประจำ จะช่วยปรับการขับของเหลวภายในร่างกายได้
  • ชะลอความแก่ ผลการวิจัยพบว่า ไอโซเฟลโวนีส โปรตีน และเลซิตินที่อยู่ในถั่วเหลืองนั้นช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม นอกจากนี้ สารอาหารบางชนิดที่อยู่ในน้ำเต้าหู้นั้นยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ที่ไปทดแทนเซลล์เก่า ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังไม่จับตัวกันเป็นก้อน จึงช่วยเสริมสร้างความงามให้แก่เรือนร่าง หากรับประทานก่อนมื้ออาหารพร้อม ๆ กับอาหารที่มีกากไขมันสูง จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
  • สารอาหารบางชนิดที่อยู่ในน้ำเต้าหู้สามารถช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์ใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่า ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังไม่จับตัวกันเป็นก้อน จึงมีส่วนช่วยเสริมสร้างความงามให้กับเรือนร่างได้[14]
  • การรับประทานถั่วเหลืองก่อนมื้ออาหารนั้นพร้อมกับอาหารที่มีกากไขมันสูง จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มได้เร็วยิ่งขึ้น มีผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง จึงช่วยควบคุมน้ำหนักไปด้วยในตัวนั่นเอง[14]
  • สามารถเลือกรับโอเมก้า 3 ที่ได้จากถั่วเหลืองแทนการรับประทานจากปลาได้ แถมยังปลอดภัยต่อสารปนเปื้อนที่มักพบในปลาบางชนิดได้อีกด้วย[14]
  • ช่วยเสริมสร้างเส้นผมใหม่ได้[14]
  • เมล็ดที่ยังไม่แก่อาจนำมาต้มรับประทานหรือที่เรียกว่า “ถั่วแระ”[4] หรือบางสายพันธุ์ที่มีเมล็ดโตก็นำมาใช้ปรุงรับประทานเป็นถั่วเหลืองฝักสด หรือนำไปแปรรูปบรรจุกระป๋องได้[4]
  • เมล็ดแก่นั้น อาจนำมาใช้ทำเป็น “ถั่วงอก” เพื่อใช้รับประทานเป็นผัก หรืออาจนำมาใช้ทำเป็นเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว ซอส เต้าหู้ เต้าฮวย ขนมเทียน ขนมหม้อแกงถั่ว ถั่วงอกหัวโต แป้งถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง ทำเป็นเนื้อเทียม สำหรับใช้เป็นอาหารมังสวิรัติ หรือใช้ในกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์[2],[4],[8],[10] หรือจะนำมาใช้ปรุงอาหารโดยตรงก็ได้ เช่น การนำมาต้มกับหมูก็ได้ หรือนำมาทำน้ำพริกเผาถั่วเหลือง นำไปคั่วหรืออบแล้วบดเป็นผงชา ผงกาแฟ เป็นต้น[10]
  • เมล็ดสามารถเก็บไว้หมักทำเป็นถั่วเน่าเพื่อเก็บไว้ใช้ปรุงรสชาติของอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น แกง น้ำพริก เป็นต้น[8]
  • แป้งนำมาใช้ผสมหรือปรุงอาหารได้หลากหลายอย่าง เช่น การนำมาทำเป็นขนมต่าง ๆ อาหารสำหรับทารก ฯลฯ[4]
  • น้ำมันถั่วเหลืองนั้น สามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหาร ผัดอาหาร ทำมาการีน ทำเป็นน้ำสลัด ฯลฯ ได้[4]
  • น้ำต้มเมล็ดถั่วเหลือง นั้นสามารถนำมาใช้สระผมได้ (ปะหล่อง)[8]
  • กากที่เหลือจากการสกัดทำเป็นน้ำมันสามารถนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ย[4] หรือใช้ทำเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ หรือใช้รับประทานแทนเนื้อสัตว์[8] และกากเกลือจากการทำน้ำนมถั่วเหลืองก็ยังสามารถนำไปทำอาหารได้อีกด้วย เช่น กรอบเค็ม หรือใช้เลี้ยงสัตว์ ทำปุ๋ยหมักก็ได้[10]
  • ต้นที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์จำพวกเคี้ยวเอื้อง อย่างเช่น วัว ควาย แพะ แกะ ได้เป็นอย่างดี หรือจะนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยหมักก็ได้[10]
  • ช่วยบำรุงดิน เมื่อไถกลบถั่วเหลืองลงไปในดินก่อนที่ถั่วเหลืองจะแก่นั้น ก็จะเป็นปุ๋ยพืชสดที่ช่วยบำรุงดินได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และมีคุณสมบัติที่ดี ส่วนรากของถั่วเหลืองนั้นที่มีปมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรียไรโซเบียม ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะช่วยดูดตรึงไนโตรเจนให้มาอยู่ในรูปของพืช สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้ เมื่อเก็บถั่วแล้ว รากและปมก็จะขาดตกค้างอยู่ในดิน แล้วกลายเป็นปุ๋ยของพืชต่อไปได้อีกในอนาคต[4]
  • นำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร ยกตัวอย่างเช่น เนื้อเทียม โปรตีนเกษตร หรือโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลืองเข้มข้น แป้งถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง เต้าหู้ เต้าหู้ยี้ เต้าเจี้ยว เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊ว ถั่วเน่า นัตโตะ เทมเป้ อาหารเสริมเลซิติน ฯลฯ หรือจะใช้ในอุตสาหกรรมสัตว์ สบู่ เครื่องสำอาง ผ้า กระดาษ เส้นใย ฉนวนไฟฟ้า หมึกพิมพ์ ใช้ผลิตกาว สี เบียร์ วิตามินและยาต่าง ๆ ทำปุ๋ย หรือใช้เป็นส่วนผสมของยาฆ่าแมลง ฯลฯ โดยอาจจะเป็นทั้งส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์หรือเป็นตัวช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณสมบัติที่ดีขึ้นนั่นเอง[2],[4]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการ100 กรัม พลังงาน 446 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 30.16 กรัม
น้ำ 8.54 กรัม
น้ำตาล 7.33 กรัม
เส้นใย 9.3 กรัม
ไขมัน 19.94 กรัม
ไขมันอิ่มตัว 2.884 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 4.404 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 11.255 กรัม
โปรตีน 36.49 กรัม
ทริปโตเฟน 0.591 กรัม
ทรีโอนีน 1.766 กรัม
ไอโซลิวซีน 1.971 กรัม
ลิวซีน 3.309 กรัม
ไลซีน 2.706 กรัม
เมทไธโอนีน 0.547 กรัม
ซิสทีน 0.655 กรัม
โรซีนอะลานีน 2.122 กรัม
ฟีนิลไท 1.539 กรัม
วาลีน 2.029 กรัม
อาร์จินีน 3.153 กรัม
ฮิสตามีน 1.097 กรัม
อะลานีน 1.915 กรัม
กรดแอสพาร์ติก 5.112 กรัม
กลูตามิก 7.874 กรัม
ไกลซีน 1.880 กรัม
โพรลีน 2.379 กรัม
ซีรีน 2.357 กรัม
วิตามินเอ 1 ไมโครกรัม 0%
วิตามินบี 1 0.874 มิลลิกรัม 76%
วิตามินบี 2 0.87 มิลลิกรัม 73%
วิตามินบี 3 1.623 มิลลิกรัม 11%
วิตามินบี 5  0.793 มิลลิกรัม 16%
วิตามินบี 6 0.377 มิลลิกรัม 29%
วิตามินบี 9 375 ไมโครกรัม 94%
โคลีน 115.9 มิลลิกรัม 24%
วิตามินซี 6.0 มิลลิกรัม 7%
วิตามินอี 0.85 มิลลิกรัม 6%
วิตามินเค 47 ไมโครกรัม 45%
ธาตุแคลเซียม 277 มิลลิกรัม 28%
ธาตุเหล็ก 15.7 มิลลิกรัม 121%
ธาตุแมกนีเซียม 280 มิลลิกรัม 79%
ธาตุแมงกานีส 2.517 มิลลิกรัม 120%
ธาตุฟอสฟอรัส  704 มิลลิกรัม 101%
ธาตุโพแทสเซียม 1,797 มิลลิกรัม 38%
ธาตุโซเดียม  2 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 4.89 มิลลิกรัม 51%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ข้อควรระวังในการรับประทาน

1. สำหรับบางรายนั้นอาจมีอาการแพ้ถั่วเหลืองได้ (แต่พบได้น้อยมาก) โดยจะเกิดผื่นคันหลังจากการรับประทาน[9]
2. การบริโภคโปรตีนจากถั่วเหลืองนั้น อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยได้ แต่จะไม่รุนแรงมาก โดยมากแล้วนั้นจะเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร เช่น มีอาการท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก เป็นต้น แต่มักจะเกิดในเด็กที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด หรือผู้ที่มีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์จากถั่ว[12]
3. เด็กทารกที่ดื่มน้ำนมถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียว มีโอกาสที่ต่อมไทรอยด์จะทำงานต่ำกว่าปกติได้ (แต่ในปัจจุบันนมถั่วเหลืองสำหรับทารกมักจะมีการเติมไอโอดีนเพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว)[12]
4. สำหรับในเด็กผู้ชาย การบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณสูงเป็นประจำ อาจทำให้มีเต้านมที่โตผิดปกติ จากสารไฟโตเอสโตรเจน[9] และอาจส่งผลต่อปริมาณของอสุจิในเพศชายได้[9] โดยพบว่าอาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนผสมนั้นอาจทำให้จำนวนอสุจิลดลงถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากบริโภคเพียง 1 ครั้ง ในทุก ๆ 2 วัน จะทำให้อสุจิที่ปกติจะมีอยู่ 80-120 ล้านตัวต่อมิลลิลิตร จะเหลือค่าเฉลี่ยไม่ถึง 41 ล้านตัว (ดร.จอร์จ ชาวาร์โร แห่งวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ด) แต่การศึกษาดังกล่าวยังมีเสียงคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญบางราย เพราะในบางรายที่บริโภคถั่วเหลืองในปริมาณมากกว่า ไม่พบว่ามีผลกระทบต่อการเจริญพันธุ์แต่อย่างใด[14] แต่มีอีกข้อมูลที่ระบุว่า เพศชายสามารถดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวันได้ โดยไม่ต้องกังวลว่า สารเจนิสติน (Genistein) ที่มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงจะทำให้เกิดการผิดปกติในร่างกาย[11]
5. มีข้อมูลระบุว่า อาจทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเพศชายได้ เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิงจะไปกดการทำงานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเพศชาย[16]
6. การรับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองชนิดผงวันละ 30 cc. อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติที่เต้านมจากฤทธิ์ของไฟโตเอสโตรเจนได้ (Petrakis, N.L.,1996)[16]
7. จากการศึกษาการทำงานของต่อมไทรอยด์ในผู้ที่รับประทานถั่วเหลืองผลพบว่า ต่อมไทรอยด์ถูกกดการทำงาน และทำให้เกิดคอพอกในหลายงานวิจัย (Ishizuki,Y.,et al.,1991 : Divi,R.I. and D.R. Doerge,1997)[16]
8. ไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลืองเป็นตัวขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และมีแนวโน้มที่จะทำให้เป็นหมัน อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมในเพศหญิงอีกด้วย[16]
9. โปรตีนถั่วเหลืองอาจทำให้มีการสร้างน้ำนมที่ผิดปกติได้ ทำให้เนื้อเยื่อเต้านมหนาตัวมากยิ่งขึ้น ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดเพิ่มมากขึ้น ในเพศหญิงก่อนวัยทองและในวัยทองนั่นเอง[16]
10. โปรตีนในถั่วเหลืองนั้นมี Phytic acid ที่สูงมาก ซึ่งถือเป็นตัวยับยั้งการดูดซึมเกลือแร่ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี (Fallon,S.W. and Mary G.Enig 1995)[16]
11. ถั่วเหลืองมีสาร Hemagglutinin ที่เป็นตัวทำให้เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาวจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดเสียไปได้ (Fallon,S.W. and Mary G. Enig 1995)[16]
12. ในกระบวนการผลิตโปรตีนจากถั่วเหลืองนั้น อาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า ไนโตรซามีน (Nitrosamines) และสารพิษที่เรียกว่า ไลซิโนอะลานีน (Lysinoalanine)[16]
13. ในสัตว์ตั้งท้องนั้น หากเลี้ยงด้วยโปรตีนจากถั่วเหลือง อาจทำให้ลูกของสัตว์ที่เกิดมามีอวัยวะเพศที่ผิดปกติไปได้ และอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการเอสโตรเจน (Estrogen Syndrome) ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้เป็นโรคต่อมไทรอยด์ โรคถุงน้ำดี โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคกระดูกผุ หรือเป็นหมันได้[16]
14. การรับประทานถั่วเหลืองเป็นประจำอาจทำให้เกิดภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) โดยอาการที่พบได้บ่อยนั่นก็คือ เจ็บส้นเท้า มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง กินนิดเดียวก็อ้วน และอาจทำให้มะเร็งดื้อต่อการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดได้อีกด้วย[16]
15. มีบางการศึกษาที่ระบุไว้ว่า การรับประทานถั่วเหลืองในปริมาณสูงเป็นประจำ อาจเกิดปัจจัยเสี่ยงทำให้สมองฝ่อได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันอย่างชัดเจน[9] และมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารดีเมนเทียส์ แอนด์ เกเรียทริก ค็อกนิทีฟ ดิสออร์เดอร์ส ได้ระบุว่า การได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนในปริมาณมากอาจทำให้จิตเสื่อมได้ (งานวิจัยของมหาวิทยาลัยลัฟโบโรห์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และนักวิจัยจากอินโดนีเซีย) โดยการรับประทานเต้าหู้มากกว่าวันละหนึ่งมื้อ อาจจะทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงถึง 20% แต่การรับประทานเทมเป้หมักกลับช่วยเพิ่มความจำ เพราะอาหารชนิดนี้อุดมไปด้วยโฟเลตและยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคจิตเสื่อมได้[14]
16. การรับประทานถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนั้น ไม่ควรบริโภคในปริมาณที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ ควรจะระมัดระวังในการบริโภค เพราะโรคมะเร็งดังกล่าวมีปัจจัยเสี่ยงมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน[9]
17. สำหรับวิธีการเพิ่มการบริโภคถั่วเหลืองในชีวิตประจำวันนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น การดื่มนมถั่วเหลือง ใช้เนื้อเทียมหรือโปรตีนเกษตร ใช้น้ำนมถั่วเหลืองในการทำเค้ก ใช้แป้งถั่วเหลืองแทนแป้งสาลี ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากถั่วเหลืองต่าง ๆ หรือใช้ถั่วเหลืองฝักอ่อนและถั่วงอกหัวโตเป็นส่วนประกอบในอาหาร หรือจะใช้ถั่วงอกในการทำอาหารเมนูต่าง ๆ เช่น ผัดกับผัก ทำเป็นแกงจืด เป็นต้น[14]
18. เมล็ดถั่วเหลืองที่แก่แล้วมีสารยับยั้งเอนไซม์บางชนิดที่ช่วยย่อยโปรตีนได้ จึงต้องทำให้สุกเสียก่อนจึงจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่[10] และสำหรับผู้ที่เกิดอาการอาเจียนหรือมีอาการท้องร่วงหลังจากการดื่มน้ำเต้าหู้นั้น มีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำเต้าหู้ที่ไม่เดือดเต็มที่ ทำให้ไม่สามารถทำลายสารซาโพนีนได้[14]
19. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะสามารถใช้ทดแทนนมวัวได้ แต่สำหรับในเด็กที่ไม่ได้แพ้นมวัวก็ไม่ควรจะดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัว เนื่องจากอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต เพราะเนื่องจากนมวัวมีแคลเซียมมากกว่านมถั่วเหลือง ให้พลังงานที่มากกว่า มีโปรตีนที่สมบูรณ์กว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถดื่มร่วมกันกับนมวัวได้[11]
20. การเลือกซื้อนมถั่วเหลืองนั้น ควรจะดูรายละเอียดที่ข้างกล่องด้วย ซึ่งนมถั่วเหลืองที่ดีต่อสุขภาพนั้นนอกจากจะมีโปรตีนที่สูงแล้ว ยังต้องมีแคลเซียมที่สูงอีกด้วย[14]
21. น้ำมันถั่วเหลือง ไม่ควรนำมาใช้ในการทอดอาหาร เพราะเป็นน้ำมันที่ไม่คงตัวและเสื่อมสภาพได้เร็ว[14] แต่กระนั้นน้ำมันถั่วเหลืองมักจะนิยมนำมาใช้ผัดมากกว่า
22. การเก็บถั่วเหลืองไว้นานเกินไปนั้น หรือการเก็บรักษาที่ไม่ดี เต้าหู้หรือเต้าเจี้ยวอาจมีการปนเปื้อนของสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ได้ ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งตับ[9]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) องค์การมหาชน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.arda.or.th. [27 ต.ค. 2013].
2.คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรีนไฮเปอร์มาร์ท สารานุกรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากพืชในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉบับคอมพิวเตอร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.sc.mahidol.ac.th. [27 ต.ค. 2013].
3.ภาควิชาพืชไร่นา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน. “ถั่วเหลือง (Soybean)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : gri.kps.ku.ac.th. [27 ต.ค. 2013].
4.คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.natres.psu.ac.th. [27 ต.ค. 2013].
5.ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหารครบวงจร. “Soybean / ถั่วเหลือง”. (ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์, ศาสตราจารย์เกียรติคุณดร.นิธิยา รัตนาปนนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.foodnetworksolution.com. [23 ต.ค. 2013].
6.สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน. “มหัศจรรย์พลังของถั่ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dol.go.th. [27 ต.ค. 2013].
7.ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. (เต็ม สมิตินันทน์).
8.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [27 ต.ค. 2013].
9.สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย. (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : portal.in.th/thastro.org. [26 ต.ค. 2013].
10.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 222 คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า. “ถั่วเหลือง พืชพื้นบ้านที่เป็นอนาคตของมนุษยชาติ”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
11.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 370 คอลัมน์ : เรื่องน่ารู้. “นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม”. (อรพินท์ บรรจง). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
12.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 314 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก. “ผู้หญิงวัยทองกับประโยชน์ของถั่วเหลือง”. (ผศ.ดร.ศรีวัฒนา ทรงจิตสมบูรณ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
13.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 30 คอลัมน์ : กินถูก…ถูก. “นมถั่วเหลือง นมเพื่อชนทุกชั้น”. (ศ.นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
14.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaihealth.or.th. [27 ต.ค. 2013].
15.GotoKnow. “นมถั่วเหลือง…ดีจริง ๆ”. (ฉันทลักษณ์ อาจหาญ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.gotoknow.org. [27 ต.ค. 2013].
16.ainews1. “ประโยชน์และโทษของถั่วเหลือง”. อ้างอิงใน : นายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์, Dr.Lita Lee, และ The Weston A. Price Foundation for Wise Traditions in Food, Farming, and the Healing Arts. “Soy Alert!”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.westonaprice.org., ainews1.com. [27 ต.ค. 2013].
17.Mthai. “ไขปริศนาประโยชน์ของนมถั่วเหลือง”. (แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : talk.mthai.com. [27 ต.ค. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://agriculture.basf.us/crop-protection/crops/soybeans.html
2.https://rurallivingtoday.com/gardens/soybean-plant/

ถั่วลิสง ประโยชน์ต่อสุขภาพใช้บำรุงปอด

0
ถั่วลิสง
ถั่วลิสง ประโยชน์ต่อสุขภาพใช้บำรุงปอด เปลือกแข็งและเปราะ มีลายเส้นชัด ฝักมีสีขาวนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน ๆ เมล็ดมีเยื่อหุ้มสีขาว สีม่วงแดง สีแดง และสีน้ำตาลอ่อน
ถั่วลิสง
เปลือกแข็งและเปราะ มีลายเส้นชัด ฝักมีสีขาวนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน ๆ เมล็ดมีเยื่อหุ้มสีขาว สีม่วงแดง สีแดง และสีน้ำตาลอ่อน

ถั่วลิสง

ถั่วลิสง เป็นพืชล้มลุกอายุสั้นมีถิ่นต้นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ ตั้งแต่ลุ่มน้ำอเมซอนไปจนถึงประเทศบราซิล โดยทั่วไปแล้วถั่วลิสงในสกุล Arachis สามารถแบ่งออกได้เป็น 19 ชนิด แต่สำหรับในสายพันธุ์ที่ปลูกจะมีอยู่เพียงชนิดเดียวคือ Hypogaea ส่วนที่เหลือทั้งหมดนั้นจะเป็นสายพันธุ์ป่า ชื่อสามัญ Peanut, Groundnut, Earthnut, Goober, Pindar, Monkeynut ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Arachis hypogaea L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ถั่วคุด (ประจวบคีรีขันธ์), ถั่วดิน (ภาคเหนือ, ภาคอีสาน), ถั่วยิสง ถั่วยี่สง ถั่วลิง (ภาคกลาง), ถั่วใต้ดิน (ภาคใต้), เหลาะฮวยแซ (จีน-แต้จิ๋ว), ถั่วยาสง (หนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอปรัดเล) เป็นต้น[3],[5],[6],[9]

ลักษณะของถั่วลิสง

  • ต้นถั่วลิสง จัดเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นสูงตั้งแต่ 15-70 เซนติเมตร ซึ่งส่วนต่าง ๆ ของต้นถั่วลิสงโดยทั่วไปแล้วนั้น จะมีขนเกิดขึ้น เช่น ตามลำต้น กิ่งก้านใบ หูใบ ใบประดับ ริ้วประดับ และกลีบรองดอก ยกเว้นเพียงกลีบดอกที่จะไม่มีขน โดยลำต้นของถั่วลิสงนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท อย่างแรกก็คือ มีลำต้นเป็นพุ่ม ลำต้นตรง แตกกิ่งก้านสาขามาก และฝักออกเป็นกระจุกที่โคน ส่วนอีกแบบก็คือเป็นลำต้นแบบเลื้อยหรือกึ่งเลื้อย จะเจริญเติบโตตามแนวนอนทอดไปตามพื้นผิวดิน มีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย ส่วนฝักจะกระจายไปตามข้อของลำต้น[1]
  • รากถั่วลิสง มีรากเป็นแบบระบบรากแก้ว รากอันแรกที่เจริญจะเรียกว่า “รากแก้ว” ส่วนรากที่แตกออกมาจากรากแก้วอีกทีนั้นจะเรียกว่า “รากแขนง” รากที่แตกออกมาจากรากแขนงก็คือ “รากขนอ่อน” แต่จะมีอยู่น้อยมาก บางสายพันธุ์ก็ไม่มีเลย และโดยทั่วไปแล้วจะมีปมเกิดขึ้นบนรากแก้วและรากแขนง ปมนี้จะมีสีน้ำตาล ภายในปมมีสีแดงเข้ม ซึ่งปมเหล่านี้เกิดมาจากแบคทีเรียพวกไรโซเบียม ที่เข้าไปอาศัยอยู่ภายในราก[1]
  • ใบถั่วลิสง ใบเกิดสลับกันอยู่บนข้อลำต้นหลักในลักษณะที่คล้ายกับเกลียว ส่วนใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ประกอบด้วยใบย่อย 2 คู่อยู่ตรงข้ามกัน ลักษณะใบย่อยเป็นรูปไข่กลับหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ใบมีขนาดกว้างอยู่ที่ประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ก้านใบรวมยาว ที่โคนก้านใบรวมมีหูใบอยู่ 2 อัน มีขนาดใหญ่ปลายแหลม สามารถเห็นได้ชัดเจน มีความยาวประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร ส่วนก้านใบย่อยจะสั้นมาก ที่โคนไม่มีหูใบ[1]
  • ดอกถั่วลิสง ออกดอกเป็นช่อ ในหนึ่งช่อจะประกอบไปด้วยดอกย่อย 3 ดอกขึ้นไป และดอกจะเกิดตามที่มุมใบของลำต้นหรือกิ่ง แต่ส่วนมากจะเกิดบริเวณส่วนโคนของลำต้น ซึ่งในแต่ละช่อดอกจะบานไม่พร้อมกัน ดอกเป็นสีเหลืองส้ม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.9-1.4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ กลีบดอกมีทั้งสิ้น 5 กลีบ ดอกมีใบประดับอยู่ 2 กลีบ มีริ้วประดับ 4 กลีบ และดอกนั้นยังมีกลีบรองดอกสีเขียว ส่วนก้านดอกจะมีความสั้นมาก[1]
  • ฝักถั่วลิสง ฝักของถั่วลิสงจะเกิดอยู่ใต้ดิน ลักษณะการเกิดจะแพร่กระจายหรือเกิดเป็นกระจุกก็ได้ เปลือกแข็งและเปราะ มีลายเส้นชัด ฝักมีสีขาวนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน ๆ ในหนึ่งฝักนั้นจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-6 เมล็ด[1]
  • เมล็ดถั่วลิสง เมล็ดนั้นมีเยื่อหุ้มตั้งแต่สีขาว สีม่วงแดง สีแดง และสีน้ำตาลอ่อน ถัดจากเยื่อหุ้มเมล็ดจะพบใบเลี้ยงที่มีขนาดใหญ่และหนาจำนวน 2 อัน[1]

สรรพคุณของถั่วลิสง

1. เมล็ดช่วยในการบำรุงร่างกาย ช่วยในการเจริญเติบโต[3],[6],[10]
2. เมล็ดช่วยบำรุงสมองและประสาทตา ช่วยเสริมสร้างความจำ และมีโคลีนที่ช่วยด้านความจำอีกด้วย [7],[10]
3. เมล็ดช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ [3] และน้ำมันถั่วลิสงก็ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ผิวกาย (น้ำมันถั่วลิสง)[7]
4. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และเป็นอาหารที่ดีต่อผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย เนื่องจากช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินได้ (เมล็ด)[7]
5. ใช้ช่วยบำรุงปอด[7] ช่วยหล่อลื่นปอด รักษาอาการไอแห้งเรื้อรังได้ ด้วยการใช้เมล็ดแห้งประมาณ 60-100 กรัมนำมาบดชงหรือต้มดื่ม (เมล็ด)[6]
6. มีฤทธิ์ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยลดปริมาณของไขมันร้าย (LDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงของภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือดและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคหัวใจ หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวได้ถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานเลยทีเดียว (เมล็ด)[7]
7. ใช้ช่วยลดความดันโลหิตสูง (ใบ)[3] โดยการใช้ทั้งก้านและใบสดหรือแห้ง (แห้งใช้ประมาณ 30 กรัม ถ้าสดใช้ประมาณ 40 กรัม) นำมาต้มกับน้ำดื่ม (เมล็ด)[6]
8. ถั่วลิสงมีสารต้านเอนไซม์โปรติเอส ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง และยังมีจีเนสเตอินซึ่งทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง[7]
9. ใช้ช่วยบำรุงไขมันในร่างกาย (เมล็ด)[3]
10. ช่วยลดน้ำหนักและความอ้วน เพราะมีไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งทำให้อิ่มท้องนาน ซึ่งมีผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และยังช่วยยับยั้งไขมันเลวที่เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกด้วย โดยการรับประทานแบบดิบ ๆ หรือนำมาต้ม แต่ถ้าหากเป็นถั่วคั่ว ถั่วทอด ถั่วอบ อย่างนี้มันผ่านความร้อนและน้ำมัน ทำให้ไขมันไม่อิ่มตัวที่มีในถั่วลิสงหายไป หากรับประทานมาก ๆ ก็จะทำให้อ้วนได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากรับประทานแต่พอประมาณก็ไม่อ้วนแน่นอน และมีคำแนะนำว่าไม่ควรรับประทานเกิน 1 กำมือ และถั่วลิสงนั้นอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นตัวช่วยลดระดับความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย (เมล็ด)[7]
11. ใช้ช่วยรักษาโรคเกล็ดเลือดต่ำ โดยการนำเปลือกถั่วลิสงประมาณ 10 กรัม ต้มกับน้ำดื่มทุกวัน (เมล็ด)[7]
12. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาเยื่อตาอักเสบอย่างเฉียบพลันชนิดที่ติดต่อได้ (ข้อมูลทางคลินิก)[8]
13. ช่วยแก้อาการไอเรื้อรังและอาการคลื่นไส้ (เมล็ด)[7]
14. ใช้ช่วยห้ามเลือด และรักษาอาการเลือดออกง่ายในโรคฮีโมฟีเลียได้ (Haemophilia) (ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา)[6]
15. น้ำมันจากเมล็ดใช้ช่วยระบายท้อง[3]
16. มีฤทธิ์ในการช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร และในถั่วลิสงนั้นยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่สามารถละลายน้ำได้อีกด้วย จึงเป็นตัวช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายแบบเป็นธรรมชาตินั่นเอง(เมล็ด)[7]
17. ใช้ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร (เมล็ด)[6]
18. ใช้ช่วยรักษาโรคบิดแบคทีเรียอย่างเฉียบพลันได้ (ข้อมูลทางคลินิก)[8]
19. ใช้ช่วยในการรักษาพยาธิไส้เดือนที่อุดตันในลำไส้ (ข้อมูลทางคลินิก)[8]
20. ใช้ช่วยรักษาอาการไอกรน อาการชอบนอนกรนในเด็ก ด้วยการใช้เมล็ดถั่วนำมาต้มใส่น้ำตาลกรวดแล้วนำมารับประทาน (เมล็ด)[6],[7]
21. มีฤทธิ์รักษาอาการนอนละเมออย่างผิดปกติ (ข้อมูลทางคลินิก)[8]
22. ใช้ช่วยหล่อลื่นลำไส้ (น้ำมันจากเมล็ด)[3]
23. ถั่วลิสงนำมาต้มกับเกลือใช้รับประทานช่วยบรรเทาอาการโรคฝีในท้องได้ (เมล็ด)[7]
24. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาโรคตับอักเสบ และเป็นดีซ่านอย่างเฉียบพลันได้ (ข้อมูลทางคลินิก)[8]
25. เมล็ดใช้ช่วยบำรุงม้าม (เมล็ด)[7]
26. ใบสดนำมาตำแล้วนำไปพอกรักษาแผลฟกช้ำ แผลหกล้มจากการกระทบกระแทก และแผลที่มีหนองเรื้อรัง (ใบ)[3] โดยใช้ทั้งก้านและใบสดหรือแห้ง (แห้งใช้ประมาณ 30 กรัม ถ้าสดใช้ประมาณ 40 กรัม) นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะใช้ภายนอกก็นำมาตำแล้วพอก[6]
27. ใช้ช่วยแก้อาการปลายเท้าเป็นเหน็บชา (เมล็ด)[3] ใช้เมล็ดที่มีเยื่อประมาณ 100 กรัม ถั่วแดง 100 กรัม และเปลือกของพุทราจีน 100 กรัม แล้วนำทั้งหมดนั้นมาต้มรับประทานหลายครั้งๆ[6],[7]
28. นำมาใช้ฉีดเป็นยาสลบ (ข้อมูลทางคลินิก)[8]
29. น้ำมันจากถั่วลิสงที่ใช้แล้วนั้นใช้สำหรับเป็นยาฉีด มีฤทธิ์ในการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิดได้เล็กน้อย (ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา)[6]
30. มีฤทธิ์ช่วยบำรุงน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร (เมล็ด)[3] โดยการต้มถั่วลิสง 120 กรัมกับขาหมู 1 ขา กินแล้วจะช่วยทำให้มีน้ำนมมากขึ้น[6],[7]
31. ถั่วลิสงนั้นอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งช่วยในการรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศ ช่วยในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ และช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวอีกด้วย[7]
32. เยื่อหุ้มเมล็ดของถั่วลิสงนั้นสามารถช่วยยับยั้งการสลายตัวของ Fibrin ได้ และช่วยกระตุ้นกระดูกให้ผลิตเกล็ดเลือด เพิ่มสมรรถภาพในการหดตัวของเส้นเลือดฝอย และช่วยในการห้ามเลือดได้อีกด้วย[10]
33. ใช้ช่วยบำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น (เมล็ด)[3]
34. น้ำมันจากเมล็ดใช้ทาแก้อาการปวดตามข้อและอาการตามกล้ามเนื้อ (น้ำมันจากเมล็ด)[6]
35. แก้อาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ลดเสมหะ แก้ไส้เลื่อน ขับระดูขาวของสตรี ลดอาการบวมน้ำจากไต เป็นต้น

ประโยชน์ของถั่วลิสง

1. ถั่วลิสงเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงมาก และแถมยังเป็นแหล่งของโปรตีนและพลังงาน ถั่วลิสงนั้นมีโปรตีนที่เทียบเท่ากับถั่วแดง ถั่วดำ และถั่วเขียว แต่น้อยกว่าถั่วเหลือง แถมยังมีกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย[2] โดยถั่วลิสงมีสารอาหารมากกว่า 30 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าถั่วเปลือกแข็งชนิดอื่น ๆ ให้โซเดียมที่ต่ำ มีไขมันไม่อิ่มตัวน้อย และยังปราศจากคอเลสเตอรอลอีกด้วย[7]
2. ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารคาวหวานต่าง ๆ[2] เมนูถั่วลิสง ก็เช่น แกงฮังเล น้ำพริกคั่ว ต้มกระดูกหมู นึ่งข้าวเหนียวยัดไส้หมูสับ ไก่สามอย่าง เมี่ยงคำ ส้มตำไทย หรือสารพัดน้ำจิ้ม เช่น น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ น้ำจิ้มมันทอด น้ำพริกเผาทรงเครื่อง น้ำพริกถั่วปลานึ่ง หรือใช้เป็นเครื่องปรุงรสก๋วยเตี๋ยว แหนม อาหารจำพวกยำต่าง ๆ และยังนำไปผสมกับข้าวนึ่งทำเป็นข้าวต้มมัดใส่ข้าววิตู ข้าวหลามข้าวเม่า หรือทำเป็นไส้ขนมชนิดต่าง ๆ เช่น ขนมไส้เทียน ถั่วลิสงคั่ว ถั่วลิสงทอด ถั่วลิสงต้ม ถั่วลิสงป่น ถั่วลิสงบด ถั่วลิสงชุบแป้งทอด ถั่วตัด ถั่วตุ๊บตั๊บ ถั่วกระจก เคลือบรสต่าง ๆ ถั่วลิสงทอดคลุกเนย เนยถั่วลิสง แป้งถั่วลิสง ใช้ผสมในลูกกวาด ช็อกโกแลต เป็นต้น[3],[4],[9]
3. ลำต้นและใบนำมาใช้ทำปุ๋ยหรือใช้เลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ เช่น วัว แพะ แกะ เป็นต้น[7],[9] ส่วนกากที่เหลือจากการสกัดน้ำมันนั้นก็สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี ส่วนเปลือกฝักก็ใช้ทำเป็นปุ๋ยหมัก ใช้เพาะเห็ด ทำเชื้อเพลิง ใช้คลุมดินปลูกต้นไม้ หรือจะนำไปใส่ในกระถางต้นไม้เพื่อเป็นปุ๋ยและรักษาความชื้น หรือจะนำมาใช้ผสมกับกากน้ำตาลเพื่อใช้เป็นอาหารวัว นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมในวัสดุก่อสร้างโดยใช้ผสมในพลาสติก คอนกรีต แผ่นพื้น ได้เช่นเดียวกับเศษไม้ได้อีกด้วย[2],[6],[9],[12] และสามารถทำเป็นยาฆ่าแมลงได้อีกด้วย[6]
4. น้ำมันจากถั่วลิสงนั้นสามารถนำมาใช้แทนน้ำมันมะกอกได้[9]
5. สำหรับถั่วลิสงป่าที่เป็นพืชยืนต้นนั้น สามารถนำมาใช้เป็นพืชอาหารสัตว์ได้[1]
6. นำมาทำเป็นน้ำมันสำหรับทอดอาหาร จะมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล และไม่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอนุมูลอิสระ แต่ก็มีข้อเสียคือเป็นน้ำมันที่เหม็นหืนง่าย ใช้ทอดในความร้อนสูง ๆ ได้ไม่ดีนัก แต่ใช้ผัด ทอด ต้ม ทำน้ำสลัดได้ตามปกติ[7]
7. นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย[2]
8. เนื่องจากถั่วลิสงมีน้ำมันประมาณ 47% จึงนิยมนำเมล็ดของถั่วลิสงไปใช้ในอุตสาหกรรมสกัดน้ำมันนั่นเอง[2],[5]
9. ถั่วลิสงสามารถนำมาเพาะเป็นถั่วงอกได้ เช่นเดียวกันกับถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ และถั่วลันเตา แต่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก[7]
10. นอกจากนี้ถั่วลิสงยังใช้ในอุตสาหกรรมสบู่หรือแชมพู อุตสาหกรรมปั่นด้าย และยังใช้ทำน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องจักรอีกด้วย[6],[9]
11. นำไปใช้เป็นตัวทำละลายของยาฉีดที่ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อบางชนิด หรือที่นำมาใช้ทำปลาสเตอร์ ทำเป็นยาเตรียมพวก Liniments[6],[9]
12. ประโยชน์ของเนยถั่วลิสง ที่เป็นที่น่าสนใจได้แก่ การนำมาทำเป็นน้ำมันหล่อลื่น ใช้แก้ปัญหาเรื่องสนิมขึ้นหรือชิ้นส่วนอะไหล่ติดขัด ใช้สอดไส้เคลือบเม็ดยาเพื่อให้สุนัขสามารถกินยาได้ง่ายขึ้น (เพราะเป็นอาหารโปรดของมัน) หรือจะนำมาใช้แทนเนยทั่วไปก็ได้ หรือนำมาใช้ในการล่อหนู นำมาใช้ในการลอกฉลากกาว ด้วยการใช้เนยถั่วลิสงถูให้ทั่วฉลาก แล้วเช็ดด้วยผ้า ฉลากกาวที่ติดแน่นก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย หรือนำมาช่วยดับกลิ่นคาวปลาตอนทอดปลาก็สามารถทำได้ หรือจะนำมาใช้ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ หรือการนำมาใช้ในการกำจัดคราบกากของหมากฝรั่งให้ออกโดยง่าย และยังสามารถนำมาใช้แทนเจลโกนหนวดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หากครีมโกนหนวดหมดโดยกะทันหัน[11]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการ 100 กรัม ให้พลังงาน 570 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 21 กรัม
น้ำ 4.26 กรัม
น้ำตาล 0 กรัม
เส้นใย 9 กรัม
ไขมัน 48 กรัม
ไขมันอิ่มตัว 7 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 24 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 16 กรัม
โปรตีน 25 กรัม
วิตามินบี 1  0.6 มิลลิกรัม 52%
วิตามินบี 3 12.9 มิลลิกรัม 86%
วิตามินบี 6 1.8 มิลลิกรัม 36%
วิตามินบี 9 246 ไมโครกรัม 62%
วิตามินซี 0 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 62 มิลลิกรัม 6%
ธาตุเหล็ก 2 มิลลิกรัม 15%
ธาตุแมกนีเซียม 184 มิลลิกรัม 52%
ธาตุฟอสฟอรัส 336 มิลลิกรัม 48%
ธาตุโพแทสเซียม 332 มิลลิกรัม 7%
ธาตุสังกะสี 3.3 มิลลิกรัม 35%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

โทษของถั่วลิสง

  • ถั่วลิสงเป็นอาหารกลุ่มเสี่ยงที่มักตรวจพบสารพิษซึ่งเกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่ร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรงอย่างเฉียบพลัน (รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงด้วย) หากได้รับในปริมาณมากอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ตับ หัวใจ และสมองบวม อาจทำให้เกิดอาการชัก หายใจลำบาก และตับถูกทำลายได้ (ในประเทศไทยกำหนดให้สารชนิดนี้ไม่เกิน 20 ppb) โดยสารพิษชนิดนี้นั้นสามารถปนเปื้อนมาตั้งแต่ในช่วงการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การตากแห้ง รวมไปถึงตอนที่มีการเก็บรักษาก่อนถึงมือผู้บริโภคอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน เชื้อราชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้ดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว และการปนเปื้อนของสารนี้ก็จะเริ่มตั้งแต่ในช่วงการสร้างฝัก[2],[7]
  • สำหรับในบางรายอาจมีอาการแพ้ถั่วลิสงได้ ถ้าหากไม่รุนแรงมากนัก ก็จะเป็นผื่นคันตามตัว เป็นลมพิษ ซึ่งกรณีนี้กินยาแก้แพ้ก็สามารถช่วยได้ รวมไปถึงอาจมีอาการอาเจียน ไอหอบ หายใจไม่สะดวก และมีอาการปวดท้องได้ แต่ถ้าหากมีอาการแพ้ขั้นรุนแรงแล้วละก็อาจจะทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้เลย โดยคนไข้อาจมีอาการตาบวม ปากบวม แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ความดันตก จนเกิดภาวะช็อกและหมดสติได้ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาในทันที ซึ่งจากการสำรวจทั้งในและต่างประเทศพบว่าใน 1,000 คน อาจมีผู้แพ้ถั่วลิสงประมาณ 2-14 คน และมีผู้เสียชีวิตจากการแพ้ถั่วลิสงมากกว่า 100 คนต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุอาจเกิดมาจากภูมิคุ้มกันของบุคคลแปรปรวน ทำให้ไม่สามารถรับโปรตีนจากถั่วลิสงที่เป็นอาหารทั่วไปของคนธรรมดาได้ จนเกิดอาการแพ้โปรตีนในถั่วลิสง แต่อาการแพ้นี้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องแพ้โปรตีนจากแหล่งอาหารอื่นด้วย เพราะอาหารแต่ละอย่างมีโครงสร้างไม่เหมือนกัน (รศ.พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี หน่วยโรคภูมิแพ้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)[7]
  • ผู้ที่มีอาการของโรคที่เกิดจากความชื้นเย็น หรือเมื่ออากาศเย็นและมีความชื้นจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย จะทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายได้ไม่ดีนัก หรือมักมีอาการปวดตามกล้ามเนื้อ มีอาการปวดตึงตามข้อต่อ หากมีอาการรุนแรงหรือกำลังท้องเสีย ไม่ควรจะรับประทานเด็ดขาด[7]
  • สารพิวรีน (Purine) ในระดับปานกลาง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกาต์ควรจะรับประทานในปริมาณที่จำกัด เพราะสารดังกล่าวอาจเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการของข้ออักเสบกำเริบขึ้นได้นั่นเอง[7]

คำแนะนำในการรับประทานถั่วลิสง

  • สารอะฟลาทอกซินในถั่วจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้น และสารพิษชนิดนี้ยังเป็นสารที่ทนความร้อนได้สูงถึง 260-268 องศาเซลเซียสถึงจะสลายตัว แต่สารดังกล่าวนี้ สามารถเสื่อมสลายไปได้ด้วยการใช้แสงอัลตร้าไวโอเลต แสงแดด และรังสีแกมมา รวมไปถึงในสภาพที่เป็นด่างและถูกทำลายได้ด้วยคลอรีน การหุงต้มด้วยวิธีธรรมดาจะไม่สามารถทำลายพิษดังกล่าวนี้ได้ ดังนั้นควรเก็บไว้ในที่ที่แห้งและเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดฝาได้สนิท[7]
  • วิธีการสังเกตเชื้อราสามารถทำได้ในเบื้องต้นด้วยตาเปล่า หากคั่วป่นที่ซื้อมามีสีเขียวอมเหลือง มีสีเขียวเข้ม หรือมีสีที่ผิดไปจากปกติ ไม่ควรนำมารับประทาน และไม่ควรเก็บไว้นานกว่า 1 เดือนเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรานั่นเอง[7]
  • วิธีที่ดีที่สุดในการรับประทานคั่วรับประทานเอง โดยเลือกทานเฉพาะถั่วที่ยังใหม่ ๆ หรือถั่วที่ไม่มีสีคล้ำและไม่มีสีเหลือง และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วป่นที่มีสีเหลืองคล้ำหรือมีสีดำ หรือที่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นอับ[7]
  • การบริโภคถั่วเพื่อการลดน้ำหนักในระยะยาวนั้น ควรรับประทานแต่พอดีและจำกัดการรับประทานถั่วเปลือกแข็งเพียงวันละประมาณ 30 กรัมต่อวัน[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง

1.คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “บทปฏิบัติการเรื่องถั่วลิสง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.natres.psu.ac.th. [26 ต.ค. 2013].
2.กรมวิชาการเกษตร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: it.doa.go.th. [26 ต.ค. 2013].
3.ฐานข้อมูลอาหารพื้นบ้านล้านนา. สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. อ้างอิงใน: หนังสือสารานุกรมสมุนไพร รวมหลักเภสัชกรรมไทย (วุฒิ วุฒิธรรมเวช). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: library.cmu.ac.th. [26 ต.ค. 2013].
4.ภาควิชาพืชไร่ คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.agric-prod.mju.ac.th/agronomy. [26 ต.ค. 2013].
5.สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [26 ต.ค. 2013].
6.สมุนไพรดอตคอม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.samunpri.com. [26 ต.ค. 2013].
7.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [26 ต.ค. 2013].
8.หนังสือพจนานุกรมโรคและสมุนไพรไทย. (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).
9.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 323 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “ถั่วลิสง คุณค่าและรสชาติจากใต้ดิน”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [26 ต.ค. 2013].
10.Mindcyber. “เป็นหนุ่มและสาวอยู่เสมอถ้ากินถั่วลิสง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.mindcyber.com. [26 ต.ค. 2013].
11.LISTVERSE. “Top 10 Unusual Uses For Peanut Butter”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: listverse.com. [26 ต.ค. 2013].
12.ไทยเกษตรศาสตร์. “ประโยชน์จากเปลือกถั่วลิสง (เทคโนโลยีชนบท)”. อ้างอิงใน: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [26 ต.ค. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.digitrac.in/agricare-blog/general-information-about-groundnut
2.https://freerangestock.com/photos/113475/peanuts-.html

ถั่วดำ มากสรรพคุณอุดมได้วิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพ

0
ถั่วดำ มากสรรพคุณอุดมได้วิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพ เป็นพืชล้มลุก ดอกเป็นช่อสีเหลือง ฝักแห้งแตก เปลือกหุ้มเมล็ดเป็นสีดำขนาดเล็กและแวววาว
ถั่วดำ
เมล็ดสีดำ มากสรรพคุณอุดมได้วิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพ เป็นพืชล้มลุก ดอกเป็นช่อสีเหลือง ฝักแห้งแตก เปลือกหุ้มเมล็ดเป็นสีดำขนาดเล็กและแวววาว

ถั่วดํา

ถั่วดํา เป็นพืชอายุสั้นชนิดหนึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญทั้งในอาหารคาว ขนมหวาน อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ที่มีสรรพคุณช่วยแก้อาการร้อนใน แก้อาการเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก นอกจากนั้นถั่วดำมีโปรตีนและไฟเบอร์สูง อกจากนี้ยังมี ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส, แคลเซียม, แมกนีเซียม , แมงกานีส , ทองแดง และสังกะสี เป็นต้น

ถั่วดำ ในชื่อสามัญ Vigna mungo, Black gram, Black lentil[1], Catjung, Cow pea[3], Black matpe, Urd[5]
ถั่วดำ ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Vigna mungo (L.) Hepper และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Phaseolus mungo L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1],[5]
ถั่วดํา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ถั่วนา ถั่วไร่ ถั่วมะแป ถั่วซั่ง มะถิม[3] ถั่วเขียวผิวดำ ถั่วแขก[5]เป็นต้น
จากข้อมูลของคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุเอาไว้ว่า ถั่วดํา ก็คือ “ถั่วเขียวผิวดำ” ที่เดิมใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phaseolus mungo L. และต่อมาภายหลังก็ได้เปลี่ยนชื่อวิทยาศาสตร์เป็น Vigna mungo (L.) Hepper สรุปแล้วถั่วดำก็คือถั่วเขียวชนิดหนึ่งนั่นเอง[4]

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศอินเดีย หรือในพม่า เนื่องจากมีหลักฐานที่ระบุไว้ว่ามีศูนย์กลางแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียและเอเชียกลาง และในภายหลังก็ได้แพร่กระจายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย พม่า มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ตลอดจนถึงทวีปอเมริกา แอฟริกา และออสเตรเลีย[5]

ลักษณะของถั่วดำ

  • ต้น จัดว่าเป็นพืชล้มลุก ที่มีลำต้นตั้งตรงเป็นพุ่ม มีความสูงประมาณ 30-100 เซนติเมตร ในบางสายพันธุ์มีลำต้นแบบกึ่งเลื้อย ส่วนลำต้นที่อยู่เหนือใบเลี้ยงนั้นจะค่อนข้างเป็นเหลี่ยม และมีขนปกคลุมอยู่ทั่วไป[5]
  • ใบ คู่แรกจะเป็นใบเดี่ยวที่อยู่ตรงข้ามกัน และใบจริงในลำดับต่อไปก็จะเกิดแบบสลับกันอยู่บนลำต้น แต่ละใบประกอบ จะมีใบย่อย 3 ใบ ซึ่งมีขนาดเล็ก เป็นสีเขียวเข้ม และหนา เป็นรูปไข่ (ใบย่อยมีขนาดเล็กกว่าใบย่อยถั่วเขียว) ส่วนก้านใบยาวประมาณ 6-20 เซนติเมตร ที่ฐานของก้านใบนั้นจะมีหูใบอยู่ 2 อัน ส่วนก้านใบย่อยนั้นจะสั้น ใบย่อยใบกลางมีหูใบย่อยอยู่ 2 อัน ส่วนใบย่อย 2 ใบล่าง จะมีหูใบย่อยอยู่ข้างละอัน และใบก็มีขนปกคลุมยาวและหนาแน่นอยู่ทั่วไป[5]
  • ดอก ออกเป็นช่อ มีก้านดอกยาวและดอกเกิดเป็นกลุ่มที่ปลาย โดยในหนึ่งช่อนั้นจะมีดอกประมาณ 5-6 ดอก โดยดอกจะเกิดตามมุมใบ ส่วนก้านช่อดอกจะยาวประมาณ 18 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็ก เป็นสีเหลืองหรือสีเขียวอ่อน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.75 เซนติเมตร ดอกมีกลีบ 5 กลีบ มีกลีบใหญ่ 1 กลีบ กลีบข้าง 2 กลีบ และกลีบหุ้มเกสร 2 กลีบ โดยกลีบหุ้มเกสรจะมีลักษณะม้วนเป็นเกลียว ปลายกลีบมีลักษณะคล้ายปากแตร ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียในดอกเดียวกัน[5]
  • ฝัก มีลักษณะเป็นทรงกระบอกยาว ฝักสั้นตรง ฝักเมื่อแก่แล้วนั้นอาจมีสีขาวนวล น้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่เพาะปลูก และในฝักจะมีเมล็ดอยู่ไม่เกิน 8 เมล็ด[5]
  • เมล็ด หรือ ลูก มีสีดำและด้าน มีลักษณะค่อนข้างเป็นทรงกระบอก ปลายตัดเป็นเหลี่ยม มีตาสีขาวคล้ายกับรอยแผลเป็นเล็กน้อยอยู่ทางด้านเว้าของเมล็ด โดยเมล็ด 100 เมล็ดจะหนักประมาณ 1.5-4 กรัม[5]

สรรพคุณของถั่วดำ

1. ใช้ช่วยบำรุงโลหิตได้[2]
2. ใช้ช่วยบำรุงสายตา[2]
3. มีฤทธิ์ช่วยขจัดพิษในร่างกาย[2]
4. ใช้ช่วยขับของเหลวในร่างกาย[2]
5. มีส่วนช่วยในการบำรุงไต ป้องกันไตเสื่อม[2]
6. มีฤทธิ์แก้อาการบวมน้ำ[2]
7. ช่วยในการขับเหงื่อ[2]
8. สามารถช่วยแก้อาการร้อนในได้[2]
9. ใช้ช่วยรักษาดีซ่าน[2]
10. ช่วยบรรเทาอาการปวดลำไส้เล็ก[2]
11. มีส่วนช่วยขับลมในกระเพาะ[2]
12. มีส่วนช่วยแก้อาการเหน็บชา[2]
13. ใช้ช่วยแก้อาการปวดเอว[2]

ประโยชน์ของถั่วดำ

1. มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย[8]
2. ใช้ช่วยบำรุงหัวใจ[8]
3. แคลเซียมในเมล็ดช่วยในการบำรุงกระดูกและฟัน ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง[8]
4. ในเมล็ดมีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว และมีฤทธิ์ที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมไปถึงโรคต่าง ๆ ในผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือบทบาทในการช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึงร้อยละ 40 และมะเร็งลำไส้ตรงได้ถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ด้วย ซึ่งจากงานวิจัยระบุไว้ว่าผู้ที่รับประทานบ่อย ๆ จะมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานถึงร้อยละ 30 เลยทีเดียว และยังรวมไปถึงฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็งปอดได้ถึงร้อยละ 50 อีกด้วย[6]
5. มีสารไอโซฟลาโวนส์เป็นสารที่ช่วยป้องกันเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติ จากปัญหาการหลั่งฮอร์โมนที่ผิดปกติจนกลายเป็นโรคอ้วน และช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก อันมีสาเหตุมาจากการหลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจนหรือฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป[6]
6. มีสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส ที่ช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม และส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิงได้อีกด้วย[8]
7. ช่วยยับยั้งโรคเบาหวาน มีเส้นใยชนิดละลายน้ำ จึงช่วยลดความเร็วของการดูดซึมกลูโคสให้ดูดซึมในร่างกายให้ช้าลง[6]
8. มีไฟเบอร์หรือเส้นใยที่ช่วยในการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูกอีกด้วย[8]
9. ช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากมีโปรตีนถึง 40% และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 20% โดยอุดมไปด้วยสารลดความอ้วนและสารที่ช่วยกำจัดสารพิษ[6]
10. ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ เนื่องจากเส้นใยที่มีมากในถั่ว จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานและทำให้ร่างกายมีพลังงานสม่ำเสมอ[8]
11. ใช้ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล[8]
12. ใช้ช่วยป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 วิตามินบี 9 หรือกรดโฟลิก และเบตาแคโรทีน แถมยังมีธาตุเหล็กที่สูงกว่าเนื้อสัตว์ถึง 4 เท่าเลยทีเดียว มันจึงมีประโยชน์โดยตรงต่อผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอย่างมาก[6]
13. ช่วยบำรุงโลหิต และเป็นส่วนหนึ่งของสารในเม็ดเลือดแดงที่นำพาออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย จึงมีส่วนช่วยป้องกันภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง สมองไม่ดี หรือคิดอะไรไม่ค่อยออก ฯลฯ[8]
14. ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินอีและโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต โดยการขยายเส้นโลหิตให้กว้างมากขึ้น อีกทั้งยังมีแคลเซียมที่ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเส้นเลือดเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วย[6]
15. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ จากผลการวิจัยระบุว่าผู้ที่รับประทานในปริมาณมากจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่รับประทานน้อยหรือไม่รับประทานเลย[7]
16. ช่วยล้างพิษในร่างกายได้ เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารล้างพิษที่มีปริมาณสูง และยังมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานินที่เป็นสารล้างพิษที่ดี โดยเมื่อนำมาเทียบกับผลไม้อย่างส้มแล้ว พบว่ามีปริมาณของสารล้างพิษมากกว่าส้มถึง 10 เท่าเลยทีเดียว แต่การทำให้สุกจะสูญเสียสารล้างพิษไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ[7]
17. ใช้ช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับได้ โดยการนึ่งถั่วแล้วใส่ไว้ในหมอน ขณะที่ยังอุ่น ๆ จะช่วยแก้อาการนอนไม่หลับได้[6]
18. เป็นแหล่งอาหารจากธรรมชาติที่มีโฟเลตสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ เพราะจะช่วยป้องกันการพิการ การกำเนิดของทารกได้ นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลียของสตรีขณะตั้งครรภ์ได้อีกด้วย[8]
19. มีคุณค่าทางอาหารที่สูงใกล้เคียงพอ ๆ กับเมล็ดถั่วเขียว[5]
20. ถั่วดำนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย แต่น้อยกว่าถั่วเขียว เช่น ในญี่ปุ่นจะนำไปใช้เพื่อเพาะถั่วงอกเป็นหลัก ส่วนอินเดียนิยมนำไปทำถั่วซีก ตลอดจนใช้บริโภคทั้งเมล็ด โดยการใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจำพวกซุปหรือแกงต่าง ๆ หรือจะใช้ในอาหารประเภทหมักก็ได้ ส่วนในบ้านเราจะนิยมใช้ทำถั่วงอกเป็นหลักและทำแป้ง เป็นต้น[5]
21. รับประทานเป็นประจำจะช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ช่วยเพิ่มความกระชับ ทำให้ผิวหน้าดูมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแดงจากสิว และป้องกันการเกิดกระบนผิว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินอี และสารแอนโทไซนานินที่ช่วยเพิ่มการทำงานของคอลลาเจนอีกด้วย[6]
22. มีคำกล่าวที่ว่าการรับประทานถั่วจะช่วยทำให้ฉลาดขึ้นได้ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความจริง เพราะมีสารเลซิตินที่ช่วยบำรุงสมอง และช่วยในการทำงานของสมอง จึงมีผลดีมาก ๆ ต่อผู้ที่ต้องใช้ความจำ และสำหรับคนชราก็สามารถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย[6]
23. เป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวขึ้น[8]
24. มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 3 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย[2]
25. เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งนำมาใช้แต่งสีขนมต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขนมถั่วแปป แป้งจี่ เป็นต้น โดยการนำเมล็ดมาล้างให้สะอาด แล้วเอาไปต้มเคี่ยวกับน้ำ จะได้น้ำที่มีสีม่วง[3]
26. เมล็ดนำมาบดกับแป้งสามารถใช้ทำเป็นขนมได้ เช่น ขนมลูกชุบ ขนมเปี๊ยะ เป็นต้น[3]
27. เป็นพืชทนแล้ง สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด และมักจะนิยมใช้ปลูกเป็นพืชรองในปลายฤดูฝนตามหลังพืชหลัก เช่น ถั่วเหลืองหรือข้าวโพด โดยถือว่าเป็นพืชที่มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจของประเทศเช่นเดียวกันกับถั่วเขียว[5]

ข้อควรรู้ : มีสารพิวรีน (Purine) ในระดับปานกลาง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกาต์ควรจะรับประทานในปริมาณที่จำกัด เพราะเนื่องจากสารดังกล่าวอาจจะไปเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการข้ออักเสบกำเริบขึ้นได้ และการรับประทานที่ดี ควรรับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง[8]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 1,445 กิโลจูล

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 62-65%
แป้ง 40-43%
น้ำตาล 4-5%
เส้นใย 3.5-4.5%
ไขมัน 1-2%
ความชื้น 11-14%
ทริปโตเฟน (Tryptophan)  630%
เมไธโอนีน (Methionine) 90%
ซิสทีน (Cystine) 60%
วาลีน (Valine) 370%

ข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ถั่วเขียวผิวมันและถั่วเขียวผิวดำ”. นางนันทวรรณ สโรบล (นักวิชาการเกษตร)[5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง

1. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: en.wikipedia.org/wiki/Vigna_mungo. [23 ต.ค. 2013].
2. ชีวจิต. อ้างอิงใน: นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 208 (1 มิ.ย. 2550). “มหัศจรรย์พลังของถั่ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.cheewajit.com. [23 ต.ค. 2013].
3. ไทยเกษตรศาสตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [23 ต.ค. 2013].
4. คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “บทปฏิบัติการเรื่องถั่วเขียว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.natres.psu.ac.th. [23 ต.ค. 2013].
5. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. อ้างอิงใน: สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร. “ถั่วเขียวผิวมันและถั่วเขียวผิวดำ”. นางนันทวรรณ สโรบล (นักวิชาการเกษตร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ag-ebook.lib.ku.ac.th. [23 ต.ค. 2013].
6. กรุงเทพธุรกิจ. “ถั่วดำ…หุ่นดีฉบับเกาหลี”. (วันที่ 5 พฤษภาคม 2555). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkokbiznews.com. [20 ต.ค. 2013].
7. ASTV ผู้จัดการออนไลน์. “ล้างพิษด้วยถั่วดำ”. (11 มีนาคม 2551). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [20 ต.ค. 2013].
8. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [20 ต.ค. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://krishijagran.com/black-gram-cultivation/

แตงโม ผลไม้เนื้อแดงมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับความร้อนในร่างกาย

0
แตงโม
แตงโม ผลไม้เนื้อแดงมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับความร้อนในร่างกาย ผลทรงกลม มีเปลือกแข็ง มีเนื้อสีแดงหรือสีเหลือง จะมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ มีรสชาติหวานเย็น
แตงโม
ผลไม้เนื้อแดงมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับความร้อนในร่างกาย ผลทรงกลม มีเปลือกแข็ง มีเนื้อสีแดงหรือสีเหลือง จะมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ มีรสชาติหวานเย็น

แตงโม

แตงโม เป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับแคนตาลูป ฟักทอง แตงกวา มีต้นกำเนิดอยู่ในแถบทวีปแอฟริกา ทะเลทรายคาลาฮารี โดยชาวอียิปต์เป็นชาติแรกที่ปลูกแตงโมไว้รับประทาน (สี่พันกว่าปีมาแล้ว) สำหรับประเทศไทยนั้นการปลูกแตงโมจะมีอยู่ทั่วทุกภาคและปลูกได้ทุกฤดูซึ่งเป็นผลไม้ที่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณมากจึงมีคุณสมบัติเย็นเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกด้วย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด นอกจากนั้นสำหรับผู้ที่มีกระเพาะหรือม้ามไม่แข็งแรง กระเพาะลำไส้อักเสบ หญิงหลังคลอด หลังป่วยหนัก หรือผู้ที่มีอาการปัสสาวะมากและบ่อย มีอาการท้องร่วงง่าย ไม่ควรรับประทานมากเกิน
มีชื่อสามัญ คือ Watermelon ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Citrullus lanatus (Thunb.) Matsum. & Nakai (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Citrullus vulgaris Schrad.) จัดอยู่ในวงศ์แตง (CUCURBITACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า แตงจีน (ตรัง), บะเต้า (ภาคเหนือ), บักโม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น
แตงโมมีสารอีกชนิดหนึ่งที่มีสำคัญอย่างมากนั่นก็คือ Citrulline (ซิทรูไลน์) ซึ่งจะพบสารนี้ในเปลือกมากกว่าส่วนของเนื้อ ดังนั้นการรับประทานแตงโมที่มีส่วนเปลือกขาว ๆ ติดมาด้วยก็จะเป็นประโยชน์ที่ดีมากกว่าที่จะกินแต่เนื้อสด ๆ สำหรับประโยชน์ของสารนี้ก็คือ จะช่วยขยายเส้นเลือด ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและยังเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนอีกด้วย เพราะมีแคลอรีต่ำมาก แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะผ่าแตงโมรับประทาน ควรจะล้างเปลือกให้สะอาดก่อน เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะแตงโมเป็นพืชที่มีแมลงศัตรูพืชต่างๆ มารบกวน ชาวสวนจึงนิยมที่จะฉีดยาฆ่าแมลงเป็นปกติ
เนื้อและเปลือกของแตงโมมีสารออกฤทธิ์ที่ทำงานคล้ายกับไวอากรา หากบริโภคเข้าไปมาก ๆ สาร Citrulline ในแตงโมจะทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ในร่างกายทำให้เกิดกรดอะมิโนอาร์จินีนขึ้นมา ซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นทำให้หลอดเลือดคลายตัวและทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้นคล้าย ๆ กับฤทธิ์ของไวอากรา แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญแย้งว่าแม้มันจะมีคุณสมบัติดังกล่าว แต่การที่ทานแตงโมเข้าไปมาก ๆ ก็คงช่วยแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไม่ได้ น่าจะมีผลแค่ทำให้ร่างกายปัสสาวะบ่อยขึ้นเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาแตงโมจะนำไปใช้เป็นยาขับปัสสาวะมากกว่ายารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ และผลเสียที่จะตามมาก็คือ หากรับประทานแตงโมมากเกินไป น้ำตาลในผลแตงโมอาจแพร่เข้าสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งมีผลทำให้เป็นตะคริวได้ง่ายขึ้น

สายพันธุ์แตงโม

สายพันธุ์แตงโมที่นิยมปลูกจะมีอยู่ 3 สายพันธุ์หลักๆ คือ พันธุ์ธรรมดาทั่วไป พันธุ์ไร้เมล็ด และพันธุ์กินเมล็ด
1. พันธุ์ธรรมดาทั่วไป เมล็ดมีขนาดเล็ก รสหวาน เช่น แตงโมจินตหรา แตงโมตอร์ปิโด แตงโมกินรี แตงโมน้ำผึ้ง แตงโมไดอานา แตงโมจิ๋ว เป็นต้น
2. พันธุ์ไร้เมล็ด เป็นพันธุ์ผสมผลิตเพื่อส่งออก
3. พันธุ์กินเมล็ด ปลูกเพื่อนำเมล็ดมาคั่วที่เรียกกันว่า “เม็ดกวยจี๋” นั่นแหละ

สรรพคุณของแตงโม

1. เมล็ด แก้โรคตับ ช่วยบำรุงปอด ช่วยบำรุงสมอง ช่วยบำรุงร่างกาย แก้อาการปวดกระเพาะปัสสาวะ ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
2. น้ำช่วยลดอาการไข้ แก้คอแห้ง ช่วยลดอาการไข้ แก้คอแห้ง ช่วยบรรเทารักษาแผลในช่องปาก 
3. ใบ ใช้เป็นยาลดไข้ด้วยการใช้ใบมาชงดื่ม ใช้เป็นยาลดไข้ด้วยการใช้ใบมาชงดื่ม
4. ป้องกันการเจ็บคอด้วยการนำเปลือกไปต้มเดือดแล้วเติมน้ำตาลทรายแล้วนำน้ำมาดื่ม
5. ใช้ทารักษาแผล ด้วยการใช้เปลือกล้างสะอาด นำมาผิงไฟหรือตากให้แห้ง นำมาบดให้เป็นผง แล้วนำมาบริเวณแผล
6. ช่วยป้องกันหวัด
7. ช่วยขับปัสสาวะ
8. แก้อาการเมาเหล้า
9. ช่วยแก้เบาหวานและดีซ่าน
10. ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ
11. ช่วยย่อยอาหาร ช่วยระบายท้อง
12. ช่วยรักษาโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้
13. ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น
14. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
15. ช่วยควบคุมความดันโลหิต และมีส่วนช่วยลดความดันโลหิตลงได้ (Citrulline)
16. มีเบตาแคโรทีน ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ
17. รากมีน้ำยาง ใช้กินแก้อาการตกเลือดหลังการแท้ง

ประโยชน์ของแตงโม

1. นำไปทำเป็นไวน์ได้
2. มีส่วนช่วยบำรุงสายตา เพราะมีวิตามินเอในผลแตงโม
3. เปลือกหรือผลอ่อนใช้ทำเป็นอาหาร อย่างแกงส้ม เป็นต้น
4. มีส่วนช่วยล้างพิษจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปได้ด้วย
5. แตงโมมีกรดอะมิโน Citrulline ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจ
6. เปลือกที่มีสีเขียวอ่อนหรือขาวสามารถนำมารับประทานเป็นผักได้
7. นำไปแปรรูปเป็น แยมแตงโม เมล็ดแตงโม หรือทำเป็นสบู่แตงโมก็ได้
8. ใช้รับประทานเป็นผลไม้สด ทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มคลายร้อน ลดความร้อนในร่างกาย
9. เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ต้องการลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักอย่างมาก เพราะมีแคลอรีต่ำ
10. ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรง เพราะประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด
11. แตงโมพอกหน้า ใช้ทำเป็นทรีตเมนต์บำรุงผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ช่วยดูดซับความมันบน
12. สรรพคุณของแตงโมแตงโมมี “ไลโคปีน” (Lycopene) ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
13. ประโยชน์แตงโมช่วยในการควบคุมน้ำหนักไม่ให้น้ำหนักเกิน ป้องกันการสะสมของไขมันที่เป็นอันตรายกับร่างกาย ลดปริมาณไขมันที่จับอยู่ภายในเลือด
14. แตงโมมีสารออกฤทธิ์ชนิดหนึ่งที่คล้ายกับยาแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ อย่างไวอากรา ซึ่งจะออกฤทธิ์กระตุ้นให้หลอดเลือดคลายตัว ช่วยให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น
15. ใบหน้า และลดอาการแสบแดง วิธีการง่าย ๆ เพียงแค่นำเนื้อมาฝานบาง ๆ แล้วนำมาวางไว้บนผ้าขาวบาง จากนั้นนำมาวางปิดลงบนใบหน้าให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของผลแตงโมดิบ (ส่วนที่กินได้) ต่อ 100 กรัม พลังงาน 30 kcal 130 kJ

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 7.55 กรัม
น้ำตาล 6.2 กรัม
เส้นใย 0.4 กรัม
ไขมัน 0.15 กรัม
โปรตีน 0.16 กรัม
วิตามินเอ 28 ไมโครกรัม 3%
วิตามินบี 1 0.033 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 2 0.021 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 3 0.178 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 5  0.221 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.045 มิลลิกรัม 3%
กรดโฟลิก 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 8.1 มิลลิกรัม 14%
ธาตุแคลเซียม 7 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.24 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%
ธาตุฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม 2%
ธาตุโพแทสเซียม 112 มิลลิกรัม 2%
ธาตุสังกะสี  0.10 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (นิดดา หงส์วิวัฒน์, ทวีทอง หงส์วิวัฒน์), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.thespruce.com/how-to-grow-watermelons-1403491
2.https://exoticfruits.co.uk/products/watermelon

เต็งหนาม ไม้หนามแห่งป่าดิบ สรรพคุณแก้อาการปวดหัวเข่า

0
เต็งหนาม ไม้หนามแห่งป่าดิบ สรรพคุณแก้อาการปวดหัวเข่า ลำต้นมีหนามยาวรอบต้น เนื้อไม้สีแดง ผลรูปไข่อ่อนสีเขียว สุแล้วเป็นสีดำอมม่วง
เต็งหนาม
ไม้หนามแห่งป่าดิบ แก้อาการปวดหัวเข่า ลำต้นมีหนามยาวรอบต้น เนื้อไม้สีแดง ผลรูปไข่อ่อนสีเขียว สุแล้วเป็นสีดำอมม่วง

เต็งหนาม

เต็งหนาม หรือต้นฮัง เป็นพรรณไม้ที่พบได้ในป่าทั่วไปลักษณะลำต้นจะมีหนามยาวรอบต้น เนื้อไม้สีแดงสวยงามสรรพคุณเป็นสมุนไพรที่หายากชนิดหนึ่ง และไม้ฮังหนามเหมาะทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ ด้ามเสียม ด้ามมีด ทำเสาบ้านเรือน คอกสัตว์เลี้ยง หรือทำถ่านฟืน ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bridelia retusa (L.) A.Juss. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Bridelia spinosa (Roxb.) Willd., Clutia retusa L., Clutia spinosa Roxb.ในปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE) ชื่อเรียกอื่นว่า ต้นฮัง, เปาหนาม (ลำปาง), ฮังหนาม (นครพนม), รังโทน (นครราชสีมา), ว้อโบ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), จาลีลึกป๊วก (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น

ลักษณะของเต็งหนาม

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบ ลำต้นตั้งตรง มีความสูงถึง 20 เมตร เรือนยอดไม่แน่นอน เปลือกต้นอ่อน ผิวเรียบ มีสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาลเทา เมื่อต้นแก่เปลือกต้นจะเป็นสีน้ำตาลแก่ แตกเป็นร่องยาว และมีหนามแข็งขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณลำต้น พบขึ้นทั่วไปในป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ และที่โล่งแจ้ง ทั่วทุกภาคของประเทศ ที่ระดับความสูง 600-1,100 เมตร[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลมบางใบปลายจะมน โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบมีลักษณะเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ขนาดของใบที่ปลายกิ่งจะเล็กกว่าใบที่อยู่ถัดใบ ส่วนการเรียงตัวของใบจะเป็นในแนวระนาบ ยอดอ่อนมีขนสีเทา เมื่อใบแก่ด้านบนเกลี้ยง ยกเว้นบนเส้นใบ ใบด้านล่างมีขนหรือเรียบเกลี้ยง มีเส้นใบข้างขนานกัน 16-24 คู่ เส้นใบข้างจรดเส้นใบที่ขอบใบ เนื้อใบมีลักษณะหนา ท้องใบมีขนนุ่มสีขาว ก่อนที่จะมีการทิ้งใบนั้น ใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลออกชมพู ก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.2 เซนติเมตร ไม่มีต่อม มีหูใบแหลมขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร ค่อนข้างร่วงได้ง่าย[1]
  • ดอก เป็นช่อเชิงลดแยกแขนงตามซอกใบ และมักออกดอกที่ปลายยอดกิ่งที่ใบหลุดร่วงเป็นส่วนใหญ่ ช่อดอกยาวเรียว ช่อแน่น มีดอกย่อยที่มีจำนวนมากประมาณ 8-15 ดอก ดอกมีขนาดเล็ก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ดอกเป็นแบบแยกเพศ กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายแตกออกเป็นซี่ ๆ กลีบดอกเป็นสีเขียวหรือสีเขียวแกมเหลือง อาจเจอที่มีผสมสีส้มหรือสีแดงบ้าง ก้านดอกมีลักษณะอ้วน ขนาดสั้นเพียง 2 มิลลิเมตร ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ แต่เกสรเพศเมียเป็นหมันเชื่อมเป็นแท่งตรงกลางดอก ขนาดประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร ปลายแท่งแผ่ออกเป็น 5 อับเรณู ในส่วนดอกเพศเมียมีก้านชูเกสรเพียง 2 อัน ที่ตรงปลายแยก รังไข่มีขนาดเล็กกว่า 1.5 มิลลิเมตร มีส่วนของหมอนรองดอกเป็นรูปคนโทปิดไว้ กลีบเลี้ยงหนา มีลักษณะรูปสามเหลี่ยม มีขนาดประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[1]
  • ผล สดฉ่ำน้ำ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ แข็งไม่แตกกระด้าง มีขนาดประมาณ 0.5-0.9 เซนติเมตร ผลตอนอ่อนจะเป็นสีเขียว ตอนเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีฟ้าอมม่วง เนื้อข้างในบาง เป็นผลเมล็ดเดียว รูปร่างค่อนข้างกลม มีสีน้ำตาลแดง ขนาดประมาณ 0.4-0.5 เซนติเมตร จะออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม[1],[2]

สรรพคุณของเต็งหนาม

1. ตำรายาของไทยจะใช้เปลือกของต้นต้มกับน้ำเป็นยาฝาดสมานอย่างแรง และใช้รากเข้ายาสมานท้อง แก้บิด แก้ท้องร่วง และสามารถใช้เป็นยาห้ามเลือดได้อีกด้วย (เปลือกต้น, ราก)[1],[3]
2. เป็นยาพื้นบ้านภาคอีสาน เขาจะนำเอาเปลือกต้นปิ้งไฟ แล้วแช่ในน้ำเกลือ ใช้ดื่มเป็นยาแก้ท้องร่วง (เปลือกต้น)[1]
3. ตำรายาอายุรเวทของทางประเทศอินเดียจะเอาใบต้มดื่มเป็นยารักษาบิด และใช้ใบเป็นยาในการรักษาโรคติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ (ใบ)[1]
4. น้ำต้มจากเปลือกใช้กินเป็นยาสลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (เปลือกต้น)[3]
5. เปลือกต้นใช้ต้มกินเป็นยาคุมกำเนิด (เปลือกต้น)[1]
6. เปลือกต้นใช้ตำผสมกับผักเสี้ยนผีทั้งต้น และหัวแห้วหมู ทำเป็นลูกประคบแก้ปวดหัวเข่า (เปลือกต้น)[1]
7. ในประเทศศรีลังกาจะใช้เปลือกต้นและรากเป็นยารักษาโรคข้อรูมาติซึม และใช้เป็นยาฝาดสมานแผล (เปลือกต้น, ราก)[1]
8. ยางจากเปลือกต้นนั้นนำมาผสมกับน้ำมันงา ใช้เป็นยาทาไว้นวดแก้อาการปวดข้อ (ยางจากเปลือกต้น)[1],[3]
9. ใบ ใช้ร่วมกับพืชอื่น ๆ ผสมเข้ากับน้ำมันละหุ่ง น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันขิง ใช้เป็นยาทารักษาแผล (ใบ)[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. เปลือกต้น พบสารในกลุ่ม bisabolane sesquiterpenes ได้แก่ (E)-4-(1,5-dimethyl-3-oxo-1-hexenyl) benzoic acid, (E)-4-(1,5-dimethyl-3-oxo-1,4-hexadienyl) benzoic acid, (R)-4-(1,5-dimethyl-3-oxo-4-hexenyl) benzoic acid, (-)-isochaminic acid, (R)-4-(1,5-dimethyl-3-oxohexyl) benzoic acid (ar-todomatuic acid) และสารอื่น ๆ ที่พบ ได้แก่ 5-allyl-1,2,3-trimethoxybenzene (elemicin), (+)-sesamin and 4-isopropylbenzoic acid (cumic acid)[1]
2. สารสกัดแอลกอฮอล์จากเปลือกต้น มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านเนื้องอก ไม่เป็นพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง[1]
3. สารไอโซฟลาโวนจากใบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ทั้งแกรมลบและบวกได้หลากหลายชนิด[1]
4. สารสกัดเมทานอลจากใบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคทางเดินปัสสาวะได้ ดังนี้ Staphylococcus aureus, Enterococcus faecalis, Enterobacter aerogenes, Acinetobacter baumannii และ Pseudomonas aeruginosa โดยมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ฆ่าเชื้อได้ (MBC) เท่ากับ 1.51, 3.41, 3.41, 4.27 และ 9.63 mg/ml ตามลำดับ[1]
5. สารสกัดแอลกอฮอล์จากใบและต้น มีพิษต่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว และสามารถต้านเชื้อไวรัสเอดส์ได้โดยการยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ในหลอดทดลอง[1]
6. สารสกัดจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ก่อโรคพืช (Cladosporium cladosporioides)[1]

ประโยชน์ของเต็งหนาม

1. ผลมีรสฝาด รับประทานได้ และเป็นอาหารนก[2],[3]
2. ใบเป็นอาหารสำหรับสัตว์[2]
3. เนื้อไม้มีสีแดงขุ่น สามารถนำมาใช้ในงานการก่อสร้างได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ทำเสา รวมไปถึงเครื่องมือทางอุตสาหกรรม[2]
4. เปลือกต้นมีสารแทนนินที่ใช้ในทางเภสัชกรรม เพราะมีคุณสมบัติที่เป็นสารต่อต้านไวรัสบางชนิด[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [18 ก.ย. 2015].
2. พันธุ์ไม้, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [18 ก.ย. 2015].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [18 ก.ย. 2015].
4. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [18 ก.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/dinesh_valke/49263774987
2.https://v3.boldsystems.org/index.php/Taxbrowser_Taxonpage?taxid=210512

ตูมกาขาว เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร

0
ตูมกาขาว
ตูมกาขาว เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร เปลือกต้นสีเทาอมสีเหลือง ดอกสีเหลืองแกมสีเขียว เปลือกผลสีเขียวสาก เมื่อสุกเป็นสีส้มแดง
ตูมกาขาว
เปลือกต้นสีเทาอมสีเหลือง ดอกสีเหลืองแกมสีเขียว เปลือกผลสีเขียวสาก เมื่อสุกเป็นสีส้มแดง

ตูมกาขาว

ตูมกาขาว เป็นไม้ป่าดงดิบแล้งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนโดยเฉพาะลำต้นชาวบ้านจะตัดมาทำเป็นที่อยู่อาศัย ท่อนฟืน หรือทำถ่านสำหรับใช้ในหุงต้มในครัวเรือน เพราะเนื้อไม้ให้พลังงานสูงรวมถึงยังใช้ในตำรายาไทยอีกด้วย มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Strychnos nux-blanda A.W. Hill จัดอยู่ในวงศ์กันเกรา (LOGANIACEAE หรือ STRYCHNACEAE)[1] นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ขี้กา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะติ่ง มะติ่งต้น มะติ่งหมาก (ภาคเหนือ), ตูมกาขาว (ภาคกลาง), มะตึ่ง (คนเมือง), อีโท่เหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), กล้อวูแซ กล้ออึ กล๊ะอึ้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), มะปินป่า (ปะหล่อง), ปลูเวียต (เขมร), แสงเบื่อ, แสลงใจ, ตากาต้น, ตึ่ง, ตึ่งต้น เป็นต้น[1],[2]
หมายเหตุ : ต้นตูมกาชนิดนี้เป็นคนละชนิดกันกับ “ต้นตูมกาแดง” หรือที่ภาคกลางเรียกว่า “ต้นแสลงใจ” (มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Strychnos nux-vomica L.)

ลักษณะของตูมกาขาว

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ และมีการผลัดใบ ต้นมีความสูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกลำต้นจะเป็นสีเทาอมสีเหลือง ไม่มีช่องอากาศ และไม่มีมือจีบ ตามง่ามใบบางครั้งจะมีหนามขึ้น มักจะพบขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง และป่าหญ้าที่ค่อนข้างแห้ง ส่วนในต่างประเทศจะสามารถพบได้ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย[1],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ รูปรี รูปกว้างหรือรูปกลม ปลายใบมนหรือเรียวแหลม ปลายสุกมักมีติ่งแหลม โคนใบแหลม หรือกลม หรือเว้าเป็นรูปหัวใจเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร ผิวใบมันเรียบเป็นสีเขียวเข้ม มีเส้นใบตามยาวคมชัดประมาณ 3-5 เส้น เส้นกลางใบด้านบนแบนหรือเป็นร่องตื้นๆ ส่วนด้านล่างนูนเกลี้ยงหรือมีขนประปรายตามเส้น ส่วนก้านใบยาวประมาณ 5-17 มิลลิเมตร[1]
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบแบบกระจุกแยกแขนง โดยจะออกบริเวณยอดหรือตามปลายกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกย่อยอยู่จำนวนมาก กลีบดอกจะเป็นสีเหลืองแกมสีเขียวถึงขาว ก้านดอกยาวไม่เกิน 2.5 มิลลิเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปไข่แคบถึงรูปใบหอก มีความยาวอยู่ประมาณ 1.5-2.2 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนหรืออาจจะเกลี้ยง ไม่มีขน ส่วนกลีบดอกเป็นสีเขียวถึงขาว มีความยาวอยู่ประมาณ 9.4-13.6 มิลลิเมตร โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก หลอดจะมีความยาวกว่าแฉกอยู่ 3 เท่า มีตุ่มขึ้นอยู่เล็กๆ ด้านใน บริเวณด้านล่างของหลอดมีขนแบบขนแกะอยู่ แฉกมีตุ่มขึ้นอยู่หนาแน่น ปลายแฉกจะหนา ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน ไม่มีก้าน ติดกันอยู่ภายในหลอดดอก ส่วนอับเรณูเป็นรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร เกลี้ยง ปลายมนหรือมีติ่งแหลม ส่วนเกสรเพศเมีย มีความยาวประมาณ 8-13 มิลลิเมตร เกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่ม[1]
  • ผล เป็นผลสด มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-8 เซนติเมตร เปลือกผลมีความหนาและสาก ผลจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงแดง และจะมีเมล็ดประมาณ 4-15 เมล็ด[1]
  • เมล็ด มีลักษณะกลมแบนคล้ายกระดุม มีความยาวประมาณ 1.5-2.2 เซนติเมตร และมีความหนาประมาณ 5-15 มิลลิเมตร ผิวของเมล็ดมีขนสีอมเหลือง ตำรายาไทยจะเรียกเมล็ดแก่แห้งว่า “โกฐกะกลิ้ง”[1]

สรรพคุณของตูมกาขาว

1. เมล็ด ใช้แก้หนองใน (เมล็ด)[1]
2. เมล็ด ช่วยแก้ไตพิการ (เมล็ด)[1]
3. เมล็ด ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)[1]
4. เมล็ด ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด)[1]
5. เมล็ด ช่วยแก้โลหิตพิการ (เมล็ด)[1]
6. เมล็ด ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (เมล็ด)[1]
7. เมล็ด ช่วยแก้ลมคูถทวาร (เมล็ด)[1]
8. เมล็ด ช่วยบำรุงเพศของบุรุษ (เมล็ด)[1]
9. เมล็ด ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ (เมล็ด)[1]
10. เมล็ด เป็นยาแก้ไข้ ช่วยทำให้ตัวเย็น (เมล็ด)[1]
11. เมล็ด ใช้เป็นยาแก้โรคอันเกิดจากปากคอพิการ ช่วยกระตุ้นประสาทส่วนกลาง บำรุงประสาท หูตาจมูก (เมล็ด)[1]
12. เมล็ด ใช้เป็นยาแก้พิษงู พิษตะขาบ พิษแมงป่อง (เมล็ด)[1]
13. เมล็ด ช่วยแก้อัมพาต แก้เส้นตาย แก้เหน็บชา แก้เนื้อชา (เมล็ด)[1]
14. เมล็ด มีรสเมาเบื่อขมจัดมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ (เมล็ด)[1]
15. เมล็ด ก็มีสรรพคุณแก้อาการปวดเมื่อย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงหัวใจให้เต้นแรง (เมล็ด)[1]
16. เมล็ด ตำรายาไทยจะใช้เมล็ดแก่แห้ง (โกฐกะกลิ้ง) เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้กระษัย ช่วยขับน้ำย่อย แก้อิดโรย (เมล็ด)[1]
17. เมล็ด ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารลำไส้ให้แข็งแรง ช่วยแก้ลมกระเพื่อมในท้อง แก้ลมพานไส้ ช่วยขับลมในลำไส้ (เมล็ด)[1]
18. ใบ ใช้ตำพอกแก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง (ใบ)[1]
19. ใบ มีรสเมาเบื่อ ใช้ตำพอกเป็นยาแก้ฟกบวม (ใบ)[1]
20. ใบ ใช้ตำพอกหรือคั้นเอาแต่น้ำทาแก้โรคผิวหนัง แก้ขี้กลาก (ใบ)[3],[4]
21. ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้พิษภายใน (ลำต้น)[1]
22. ต้น นำมาต้มกับน้ำหรือฝนทาแก้อาการปวดตามข้อ (ต้น)[1]
23. เปลือกต้น ก็มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจเช่นกัน (เปลือกต้น)[4]
24. ชาวกะเหรี่ยงแดงจะใช้เปลือกต้น นำมาเคี้ยวกินกับเกลือเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (เปลือกต้น)[2]
25. เปลือกต้น มีรสเมาเบื่อ ใช้เป็นยาแก้พิษสัตว์กัดต่อย พิษงูกัด ฝนกับเหล้าปิดแผลและรับประทานแก้พิษงู (ใช้ได้กับทั้งคนและสัตว์) ส่วนในกรณีใช้แก้อาการอักเสบจากพิษงูกัด อาจจะใช้สมุนไพรก่อนแล้วจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล (เปลือกต้น)[1],[3]
26. เนื้อไม้ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้พิษร้อน แก้ไข้เซื่องซึม (เนื้อไม้)[1],[2]
27. เนื้อไม้ มีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทเช่นเดียวกับเมล็ด (เนื้อไม้)[1],[2]
28. เนื้อไม้และเปลือกต้น ก็มีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหารเช่นเดียวกับเมล็ด (เปลือกต้น,เนื้อไม้)[1],[2],[4]
29. แก่นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย (แก่น)[1]
30. ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้แก่นของต้น เข้ายากับเครือกอฮอ ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เบาหวาน (แก่น)[1]
31. รากมีรสเมาเบื่อ ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย (ราก)[1]
32. รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (ราก)[4]
33. ตำรายาพื้นบ้านจะใช้รากผสมกับต้นกำแพงเจ็ดชั้น รากปอด่อน และรากชะมวง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบาย (ราก)[1]
34. ต้นหรือรากใช้ฝนกับน้ำทาแก้อักเสบจากงูกัด (ต้น,ราก)[1]

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรตูมกาขาว

1. ห้ามประชาชนทั่วไปนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้เอง การนำมาใช้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ[1]
2. ทุกส่วนของต้นมีพิษ เป็นยาที่อันตรายมาก ก่อนนำมาใช้เป็นยาจะต้องทำการฆ่าพิษตามกรรมวิธีในหลักเภสัชกรรมไทยเสียก่อน[1]
3. เมล็ดมีพิษเมาเบื่อ อาจทำให้ตายได้ การนำมาใช้เป็นยาต้องใช้อย่างระมัดระวัง หากรับประทานเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง ขาสั่น กลืนลำบาก ชักอย่างแรง ทำให้หัวใจเต้นแรง ขากรรไกรแข็งและตายได้ ส่วนในกรณีที่ไม่ตาย พบว่ามีไข้ ตัวชา หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมากติดต่อกันหลายวัน และกล้ามเนื้อเกร็ง ซึ่งในขนาด 60-90 มิลลิกรัม ก็ทำให้ตายได้[1]

ประโยชน์ของตูมกาขาว

1. เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ทำที่อยู่อาศัยได้
2. ต้น ใช้ผสมกับรำให้ม้ากินเป็นยาขับพยาธิตัวตืด[1]
3. ชาวบ้านจะใช้ไม้จากต้นเป็นฟืนและถ่าน เพราะเป็นไม้ที่ให้พลังงานสูงมาก[3]
4. ผลสุก ใช้รับประทานได้ (กินได้แต่เนื้อ ส่วนเมล็ดห้ามกินเพราะมีพิษมาก) (คนเมือง, ปะหล่อง, กะเหรี่ยงแดง)[2],[3]
5. เปลือกต้น ใช้ผสมกับผลปอพรานและเหง้าดองดึง นำมาคลุกให้สุนัขกินเป็นยาเบื่อ (การฆ่าสัตว์ถือเป็นบาป ไม่ควรทำครับ)[1]
6. ผล กาถูกนำมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำยางเพื่อจุดให้แสงสว่าง หรือที่เรียกว่าการจุด “ไฟตูมกา” โดยนำผลตูมกาขนาดเท่ากำปั้นหรือใหญ่กว่ามาขูดเอาผิวสีเขียวออกและคว้านเอาเนื้อและเมล็ดข้างในออกให้หมด จากนั้นใช้มีดแกะเป็นลายต่างๆ ตามความต้องการ หลังจากจุดเทียนที่สอดขึ้นไปจากรูที่เจาะไว้ส่วนล่าง แสงสว่างจากเปลวเทียนก็จะลอดออกเป็นลวดลายตามที่แกะเป็นลายไว้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

ทุกส่วนของต้นและเมล็ดตูมกาขาลมีสารอัลคาลอยด์ ส่วนเนื้อในผลสุกพบไกลโคไซด์ Laganin ที่ทำให้มีรสขม ส่วนเมล็ดมีสาร Strychnine และ Brucine โดยสาร Strychnine เป็นสารมีพิษ ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความรู้สึกไวกว่าปกติ กลืนลำบาก กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง มีอาการชักกระตุก[1]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “แสลงใจ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [11 ก.ค. 2014].
2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ตูมกาขาว, มะติ่ง”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 7 (ก่องกานดา ชยามฤต, ลีนา ผู้พัฒนพงศ์), หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 13 : สมุนไพรแต่งสี กลิ่น รส (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [11 ก.ค. 2014].
3. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ตูมกา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [11 ก.ค. 2014].
4. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ตูมกาขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [11 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://anthrome.wordpress.com/2011/10/15/loganiaceae-strychnos-spp-vietnam/
2.https://uk.inaturalist.org/taxa/498755-Strychnos-nux-vomica/browse_photos

ตะคร้ำ กับสรรพคุณและประโยชน์ที่สุดยอด !

0
ตะคร้ำ
ตะคร้ำ กับสรรพคุณและประโยชน์ที่สุดยอด ! เป็นไม้ยืนต้น ยอดอ่อนมีขนหนา ดอกสีเหลืองอ่อนหรือชมพู ผลสีเขียวอมเหลืองเนื้อนุ่มรสเฝื่อนเนื้อฉ่ำน้ำ เมื่อแก่เป็นสีดำ
ตะคร้ำ
ยอดอ่อนมีขนปกคลุมหนา ดอกสีเหลืองอ่อนหรือชมพู ผลเนื้อนุ่ม มีรสเฝื่อน เนื้อผลฉ่ำน้ำ ผลสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ

ตะคร้ำ

ตะคร้ำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Garuga pinnata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์มะแฟน (BURSERACEAE)[1]
นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า อ้อยน้ำ (จันทบุรี), กะตีบ แขกเต้า ค้ำ หวีด (ภาคเหนือ), คร้ำ ตำคร้ำ (ไทย), เก๊าค้ำ ไม้หวิด ไม้ค้ำ (คนเมือง), ไม้ค้ำ (ไทใหญ่), ปีซะออง ปิชะยอง (กะเหรี่ยง-จันทบุรี), กระโหม๊ะ (ขมุ), ลำคร้ำ ลำเมาะ (ลั้วะ), เจี้ยนต้องแหงง (เมี่ยน) ด้วย[1],[2],[4]

ลักษณะของตะคร้ำ

  • ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10-20 เมตร จะแตกกิ่งก้านตรงรอบ ๆ เรือนยอดของต้น โคนต้นเป็นพูพอน กิ่งอ่อน ก้านช่อดอกมีขนสีเทาขึ้น และใบจะมีรอยแผลให้เห็นตามกิ่ง เปลือกต้นจะมีสีเทาหรือสีน้ำตาลปนเทาแตกเป็นหลุมตื้น ๆ ส่วนเปลือกด้านในมีสีนวล สีชมพู และยางจะมีสีชมพูปนแดง หากทิ้งยางไว้นาน ๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ำ ๆ ส่วนกระพี้มีสีชมพูอ่อน มีแก่นเป็นสีน้ำตาลแดง จะสามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด จัดเป็นไม้กลางแจ้ง ในประเทศไทยพบขึ้นตามที่ราบตามป่าโปร่ง ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งในที่ค่อนข้างราบและใกล้ลำห้วยทั่วไป ป่าดิบเขา และตามป่าเบญจพรรณชื้น ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ประมาณ 50-800 เมตร ในต่างประเทศจะพบได้ตามประเทศอินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เป็นต้น[1],[2],[3],[5]
  • ใบ เป็นใบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงสลับกันเป็นกระจุกตรงปลายกิ่ง ก้านช่อหนึ่งจะมีใบย่อยอยู่ประมาณ 7-13 ใบ จะออกเรียงตรงข้ามหรืออาจทแยงกันเล็กน้อย ความยาวประมาณ 10-12 นิ้ว ปลายก้านจะมีใบเดียว ลักษณะเป็นรูปมนรีหรือรูปวงรีขอบขนาน ปลายใบจะสอบหรือหยักแหลม โคนใบแหลมเบี้ยว ขอบใบหยัก ใบมีความกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-10 เซนติเมตร และมีสีเขียว มีเส้นแขนงใบอยู่ 10-12 คู่ ใบอ่อนมีขนขึ้น ส่วนใบแก่จะไม่มีขนหรือมีนิดหน่อย ก้านใบจะสั้น ใบแก่จะร่วงก่อนจะผลิดอก และจะเริ่มผลิใบใหม่เมื่อดอกเริ่มบาน[1],[2],[3],[5]
  • ดอก จะออกเป็นช่อใหญ่ตรงปลายกิ่งหรือยอดของต้น ช่อดอกมีความยาวประมาณ 6 นิ้ว ดอกย่อยมีจำนวนเยอะ เป็นดอกสมบูรณ์ เป็นรูปคล้ายระฆัง กลีบรองกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกมี 5 แฉก กลีบรองกลีบดอกมีรูปสามเหลี่ยม ขนาดประมาณ 1.5-2.5 มิลลิเมตร กลีบดอกเป็นสีครีม สีเหลือง สีเหลืองอ่อน หรือสีชมพู มี 5 กลีบ จะออกเรียงสลับกับกลีบเลี้ยง ลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ยาวประมาณ 2.5-3.5 มิลลิเมตร มีขน ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มีเกสรเพศผู้ 10 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร รังไข่มี 5 ช่อง แต่ละช่องจะมีไข่อ่อน 2 ใบ ปลายหลอดท่อรังไข่มี 5 แฉก ก่อนจะออกดอกจะผลัดใบหมด โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[3],[5]
  • ผล เป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีความอวบน้ำ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีเมล็ด สีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่มากๆจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลเนื้อนุ่มแต่ข้างในมีความแข็ง จะมีผลในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[3],[5]

สรรพคุณของตะคร้ำ

1. ผล สามารถใช้เป็นยาบำรุงธาตุหรือบำรุงกระเพาะอาหาร (ผล)[1],[2]
2. ต้น สามารถนำมาคั้นเอาน้ำใช้หยอดตา แก้ตามัวเนื่องจากเยื่อตาอักเสบ (ต้น)[1],[2]
3.ใบ ตำรายาไทยจะใช้น้ำคั้นจากใบนำมาผสมกับน้ำผึ้ง ใช้เป็นยารักษาโรคหืด (ใบ)[1],[2]
4. เปลือกต้น สามารถนำมาต้มกับน้ำกินหรือนำมาบีบเพื่อเอาน้ำกินเป็นยาแก้บิด แก้ท้องร่วง (เปลือกต้น)[1],[2])
5. เปลือกต้น สามารถใส่น้ำร่วมกับเปลือกต้นมะกอกและตะคร้อ ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (เปลือกต้น)[4]
6. เปลือกต้น สามารถนำมาใช้ต้มอาบสำหรับสตรีหลังคลอดได้ (เปลือกต้น)[5]
7. เปลือกต้น สามารถใช้ภายนอกเป็นยาทาห้ามเลือด (เปลือกต้น)[1],[2]
8. เปลือกต้น สามารถนำมาแช่กับน้ำใช้ล้างแผลเรื้อรังได้ดีมาก (เปลือกต้น)[1],[2]
9. เปลือกต้น พวกชาวเขาเผ่าอีก้อจะนำเปลือกต้น นำมาตำพอกหรือต้มกับน้ำอาบเป็นยาแก้อักเสบ บวม ติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ฝีหรือตุ่ม (เปลือกต้น)[1]
10. เปลือกต้น ส่วนคนเมืองจะใช้เปลือกต้นนำมาแช่กับน้ำ ให้เด็กทารกอาบ ป้องกันไม่ให้ผิวหนังมีผื่นหรือตุ่มขึ้น[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

สารสกัดจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วและกล้ามเนื้อเรียบเกร็งในหลอดทดลอง[1]

ประโยชน์ของตะคร้ำ

1. ผล สามารถรับประทานได้[4]
2. เปลือกต้น ชาวขมุจะใช้เปลือกต้นนำมาขูดใส่ลาบ[4]
3. ใบ สามารถใช้มัดเสาของบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลในการช่วยค้ำชู (คนเมือง)[4]
4. เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ในการสร้างบ้านเรือ ทำเครื่องตกแต่งบ้าน เครื่องเรือน [3],[4]
5.ผล สามารถใช้ย้อมตอกให้เป็นสีดำ[5]
6. เปลือกต้น จะมีน้ำฝาดชนิด Pyrogollol และ Catechol[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ตะคร้ำ”. หน้า 115.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ตำคร้ำ”. หน้า 303-304.
3. สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ตะคร้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [21 ธ.ค. 2014].
4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ตะ คร้ำ, หวีด”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม), หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [21 ธ.ค. 2014].
5. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะคร้ำ”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [21 ธ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiabiodiversity.org/observation/
2.https://efloraofindia.com/2012/05/24/melia-dubia/

ตะโกสวน ไม้เศรษฐกิจคุณสมบัติและประโยชน์ที่ไม่น่าเชื่อ

0
ตะโกสวน
ตะโกสวน ไม้เศรษฐกิจคุณสมบัติและประโยชน์ที่ไม่น่าเชื่อ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ดอกสีขาวจนถึงสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลดิบมียางและรสฝาด ผลสุกสีส้มเหลือง
ตะโกสวน
ไม้เศรษฐกิจดอกสีขาวจนถึงสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลดิบมียางและรสฝาด ผลสุกสีส้มเหลือง

ตะโกสวน

ตะโกสวน ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Diospyros malabarica (Desr.) Kostel. และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Diospyros embryopteris Pers., Diospyros peregrina (Gaertn.) Gürke, Embryopteris peregrina Gaertn.) จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)[1] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า พลับ, ตะโก (ไทย), ตะโกไทย, ปลาบ, มะเขือเถื่อน และมะสุลัวะ เป็นต้น[1]

ลักษณะของตะโกสวน

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ผลัดใบ มีขนาดกลาง ความสูงอยู่ที่ประมาณ 8-15 เมตร ทรงพุ่มกลมทึบ เปลือกต้นสีดำมีลายแต้มสีขาว เนื้อภายในเปลือกมีสีแดงเข้ม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เติบโตตามป่าไม้ ป่าเบญจพรรณและมีปลูกตามเรือกสวนไร่นาทั่วไป[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะเป็นใบอ่อนมีสีแดง ใบแคบเป็นรูปขอบขนาน ส่วนปลายใบนั้นแหลมมน โคนใบมีความโค้งมน เนื้อใบนั้นหนาคล้ายแผ่นหนังของสัตว์ ใบมีขนาดประมาณ 4×8 เซนติเมตร[1]
  • ดอก เป็นดอกสีขาวจนถึงดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกไปตามซอกใบ ดอกเพศผู้จะออกดอกเป็นช่อ ช่อละประมาณ 2-7 ดอก ตรงกลีบเลี้ยงมีขนอ่อน ๆ ขึ้นปกคลุม มีแฉก 4 แฉก ลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดกว้างและกลีบดอกเป็นหลอดกว้าง ส่วนดอกเพศเมียนั้นเป็นดอกเดี่ยวและมีขนาดที่ใหญ่กว่าดอกเพศผู้ ลักษณะกลีบเลี้ยงคล้ายดอกเพศผู้ และกลีบดอกนั้นเป็นรูประฆัง[1]
  • ผล มีลักษณะที่กลม มีเกล็ดขึ้นปกคลุมแต่เกล็ดหลุดร่วงได้ง่าย ผลมีขนาดโตคล้ายคลึงกับผลตะโกนา แต่ขนาดจะโตและยาวกว่า มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 เซนติเมตร ผลตอนดิบมียางที่มากและมีรสชาติฝาด ผลเมื่อสุกแล้วจะเป็นสีส้มเหลือง ภายในผลมีเมล็ด 8 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลดำทรงรีแป้น ขนาดอยู่ที่ประมาณ 1×2 เซนติเมตร[1],[2]

สรรพคุณของตะโกสวน

1. เปลือกต้น และเนื้อไม้ เป็นยาบำรุงธาตุ (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1]
2. ราก เปลือกราก ดอก และผล เป็นยาแก้บวม (ราก, เปลือกราก, ดอก, ผล)[1]
3. เปลือกต้นมีสรรพคุณที่ช่วยทำให้เกิดกำลังได้ (เปลือกต้น)[1]
4. ยางจากต้น และยางจากผลนั้น ใช้เป็นยาแก้แผลน้ำกัดเท้า (ยางจากต้น, ยางจากผล)[1]
5. เปลือกต้นมีสรรพคุณในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (เปลือกต้น)[1]
6. เปลือกราก และยางจากต้น นำมาใช้เป็นยาสมานแผล (เปลือกราก, ยางจากต้น)[1]
7. เปลือกราก และเปลือกต้น เป็นยาแก้อาเจียน (เปลือกราก, เปลือกต้น)[1]
8. ราก เป็นยาแก้ฝีเปื่อยผุพัง (ราก)[1]
9. เปลือกราก เป็นยาแก้ปวดฟันได้ (เปลือกราก)[1]
10. เปลือกผลนั้นมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (เปลือกผล)[1]
11. ยางจากต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการท้องเดินได้ (ยางจากต้น)[1]
12. ราก ดอก และผล เป็นยาแก้พยาธิได้ (ราก, ดอก, ผล)[1]
13. เปลือกรากนั้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการท้องร่วงได้ (เปลือกราก, ยางจากผล)[1]
14. เนื้อไม้มีสรรพคุณช่วยในการย่อยอาหาร (เนื้อไม้)[1]
15. เปลือกราก และยางจากต้น เป็นยาแก้บิด (เปลือกราก, ยางจากต้น)[1]

วิธีใช้ : การใช้ตามนั้น [1] ให้นำส่วนของเนื้อไม้ (แก่น) หรือเปลือกต้นประมาณ 4-6 ชิ้น มาต้มกับน้ำ 1 ลิตร ใช้ดื่มได้[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตะโกสวน

1. สารสำคัญที่พบ ได้แก่ amyrin, betulin, cystine, daucosterol, diospyros, flavanone, glucopyranosyl, gallic acid, hexacosane, leucopelargonidin, linoleic acid, linolenic acid, lupeol, marsformosanone, myristic acid, nonadecan-7-ol-2-one, oleanolic acid, peregrinol, raffinose, sitosterol, L-sorbose[1]
2. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่พบนั้น ได้แก่ ฤทธิ์ที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดอาการความเครียด ต้านเชื้อบิด และเชื้อไวรัส[1]
3. เมื่อปี ค.ศ.1973 ที่ประเทศอินเดีย ได้มีการทำการทดลองใช้พืชสมุนไพรหลายชนิด ซึ่งเป็นสมุนไพรจากหนึ่งในนั้น พบว่า สารสกัดจากเปลือกของต้นสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้[1]
4. จากการทดสอบความเป็นพิษนั้น ได้ผลสรุปว่า สารสกัดจากเปลือกของต้นสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าช่องท้องหนูที่ถีบจักร ขนาดที่สัตว์ทดลองนั้นทนได้สูงสุด คือ 250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ประโยชน์ของตะโกสวน

1. ผลสุกนำมารับประทานได้[2]
2. สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับหรือไม้ดัดได้ โดยนำมาปลูกในกระถางหรือปลูกลงดิน แล้วทำการตัดกิ่งก้านและตัดแต่งใบไม้ให้เป็นพุ่ม หรือดัดให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ตามต้องการก็ได้เช่นกัน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ตะโก”. หน้า 81-82.
2. กรมวิชาการเกษตร. “ไม้ดัด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doa.go.th/th/dmdocuments/08Ebony.pdf. [22 ธ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://thai-herbs.thdata.co/page/