ต้นปรงป่า พรรณไม้โบราณอายุยืนปลูกเป็นไม้ประดับ

0
ต้นปรงป่า
ต้นปรงป่า พรรณไม้โบราณอายุยืนปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นไม้พุ่ม โคนต้นป่องเล็กน้อย มีหัวใต้ดิน ปลายใบแข็งเป็นหนาม ผิวผลเกลี้ยงสีน้ำตาล ไม่มีขน
ต้นปรงป่า
พรรณไม้โบราณอายุยืนปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นไม้พุ่ม โคนต้นป่องเล็กน้อย มีหัวใต้ดิน ปลายใบแข็งเป็นหนาม ผิวผลเกลี้ยงสีน้ำตาล ไม่มีขน

ต้นปรงป่า

ต้นปรงป่า เป็นพรรณไม้ที่อยู่ตามภูเขา หรือในป่าโปร่งมีแสงแดดส่องถึงพืชชนิดนี้เมื่ออายุเยอะจะมีลำต้นสูงใบที่แผ่ออกด้านข้างรอบลำต้น พบได้ทั่วไปกระจายอยู่ทั้งในประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม และจีนตอนใต้ ในประเทศไทยนั้นพบได้ทุกภาคยกเว้นทางภาคใต้ มีขึ้นหนาแน่นในป่าเบญจพรรณแล้งและป่าเต็งรังทั่วไป ที่ความสูงประมาณ 20 – 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล ชื่อวิทยาศาสตร์ของปรงป่า Cycas siamensis Miq. จัดอยู่ในวงศ์ปรง (CYCADACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ผง (ภาคอีสาน), ตาลปัตรฤาษี, ผักกูดบก, มะพร้าวเต่า, ปรงเหลี่ยม, โกโล่โคดึ, ตาซูจืดดึ เป็นต้น

ลักษณะของปรงป่า

  • ต้นเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 3 เมตร ลำต้นลักษณะเป็นข้อสั้น ๆ มีสีเทาดำ รูปทรงทรงกระบอก โคนต้นจะป่องเล็กน้อย มีหัวใต้ดินแบนแผ่ออก
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงเวียนกันที่ปลายยอด ใบสีเขียวเป็นมัน ยาวประมาณ 60-90 เซนติเมตร ใบย่อยนั้นยาวลักษณะเป็นรูปขอบขนานแคบ มีจำนวน 50-70 คู่ มีขนาดกว้างประมาณ 6 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 7.5-20 เซนติเมตร ปลายใบแข็งเป็นหนาม เส้นกลางใบนูนเห็นชัดเจน ก้านใบยาวประมาณ 30 เซนติเมตร มีหนามที่สัน[1],[2]
  • ดอก เป็นดอกแบบแยกเพศแยกอยู่กันคนละต้น ดอกเพศผู้จะออกเป็นช่อแน่น ๆ มีลักษณะเป็นรูปโคมยาวขอบขนาน มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร กาบดอกเป็นแผ่นแข็ง ขอบขนาน มีความยาวประมาณ 17 เซนติเมตร ด้านนอกเป็นรูปสามเหลี่ยม มีรยางค์แหลม ตรงปลายจะตั้งขึ้น ส่วนดอกเพศเมียจะแผ่ออกมาเป็นแผ่นคล้ายกาบ ขอบจักลึกคล้ายกับหนาม มีความยาวประมาณ 10-10.5 เซนติเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร มีขนเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นค่อนข้างหนา ส่วนตอนล่างมีไข่อ่อนติดอยู่ 1 คู่ ข้างละ 1 ใบ[1],[2]
  • ผล จะมีลักษณะเป็นรูปไข่แกมขอบขนาน มีสีน้ำตาล ผิวผลเกลี้ยง ไม่มีขน มีความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร[1],[2]

สรรพคุณของปรงป่า

ผลแก่สุก นำมาทำให้สุก สามารถนำมาทำเป็นแป้งใช้ปรุงเป็นยาแก้ไขข้อเสื่อม หรือยาบำรุงไขข้อ (ผลแก่สุก)[1]

ข้อควรระวัง : ผลสุกสด ๆ และยอดใบอ่อน ไม่ควรนำมารับประทานเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้อาเจียน หัวใจสั่น มีความอันตรายต่อสุขภาพมาก[1]

ประโยชน์ของปรงป่า

1. เมล็ด จะมีแป้งที่สามารถนำมารับประทานได้[2]
2. ราก จะมีปมเป็นกิ่งแผ่ฝอยอยู่จึงสามารถจับไนโตรเจนในดินได้ดี[2]
3. นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “ปรงป่า”. หน้า 107.
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ปรงป่า”. อ้างอิงใน : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [28 พ.ย. 2014].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://housing.com/news/cycas-revoluta-sago-palm-tree/
2.https://www.flickr.com/photos/dinesh_valke/466154979

บลูเบอร์รี่ ผลไม้รสหวานช่วยป้องและลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

0
บลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่ ผลไม้รสหวานช่วยป้องและลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ ผลกลมขนาดเล็กสีม่วงเข้ม มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว
บลูเบอร์รี่
ผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ ผลกลมขนาดเล็กสีม่วงเข้ม มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว นิยมรับประทานแบบสด

บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ พืชขนาดเล็กผลอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิดที่ดีต่อสุขภาพร่างกาย และป้องกันโรคร้ายแรงต่าง ๆ มีชื่อสามัญ คือ Blueberry ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Vaccinium spp. จัดอยู่ในวงศ์ ERICACEAE ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Cyanococcus อยู่ในสกุล Vaccinium ในวงศ์พฤกษศาสตร์ Ericaceae สกุล Vaccinium ได้แก่ ฮักเคิลเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่

ลักษณะของบลูเบอร์รี่

  • ต้น ต้นมีหลายขนาดด้วยกันตั้งแต่ต้นที่สูง 10 เซนติเมตร ถึง 10 เมตร มีทั้งแบบผลัดใบและไม่ผลัดใบ มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ (เป็นไม้พุ่มสูงที่ปลูกใช้ในเชิงพาณิชย์นั้นถูกนำเข้าสู่ยุโรปในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1930)
  • ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปหอก มีความกว้างประมาณ 0.5-3.5 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 1-8 เซนติเมตร
  • ดอก ดอกเป็นรูประฆังสีขาว สีชมพู หรือสีแดง
  • ผล จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-16 มิลลิเมตร ที่ปลายผลมีวงแหวนเล็ก ๆ คล้ายมงกุฎ เมื่อผลยังอ่อนจะเป็นสีเขียวจาง ๆ แต่พอแก่ขึ้นมาหน่อยก็จะมีสีม่วงแดง และเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีคราม ผลเมื่อสุกเต็มที่จะมีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว

สรรพคุณของบลูเบอร์รี่

  • มีวิตามินซี ที่ช่วยในเรื่องของการป้องกันโรคหวัด[1]
  • ช่วยลดการระคายเคืองในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • ป้องกันโรคเบาหวาน โรคไทฟอยด์ ระบบหายใจผิดปกติ
  • ช่วยบรรเทาอาการผิดปกติในลำไส้ใหญ่ ท้องผูก โรคกระเพาะอาหาร โรคเริม แผลในปาก นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • ช่วยทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานดีขึ้น ซึ่งอาจมีส่วนช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายสูงวัย และยังช่วยป้องกันเส้นเลือดขอด ลดอาการบวม เสริมสร้างความแข็งให้ผนังหลอดเลือด ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อและเส้นเอ็น

ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่

1. ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง[2]
2. ช่วยล้างพิษในร่างกาย และต่อต้านสารพิษ[1]
3. ช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง และแก้มแดงมีเลือดฝาด[1]
4. ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า[1]
5. เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องการเพื่อช่วยทำให้เซลล์ในร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น[1]
6. รวมทั้งการรักษาบาดแผล การป้องกันโรคมะเร็ง ลดการเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน ตลอดจนถึงโรคเกาต์หรืออาการปวดตามข้อ[1]
7. ช่วยในเรื่องของระบบประสาทและสมอง ช่วยทำให้เซลล์สมองสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการจำของเราดีขึ้น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ รักษาเซลล์สมองที่ถูกทำลาย (มีรายงานว่า ผศ.โรเบิร์ต คริโคเรียน แห่งศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยซินซินเนติในสหรัฐ ได้ทำการทดลองให้ผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ ได้ดื่มน้ำคั้นสดวันละ 2 แก้ว เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน ผลการทดลองพบว่า ผู้สูงอายุเหล่านั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น จึงเชื่อว่าผลดิบ ๆ จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมด้วย)[1],[2]
8. มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ให้ดียิ่งขึ้น[1]
9. ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคทางประสาทและสมอง[1]
10. ช่วยป้องกันการเสื่อมของร่างกายและชะลอความแก่ชรา ฟื้นฟูการสร้างคอลลาเจนที่ผิว ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยดูลบเลือนลง ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย[1]
11. ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ (ข้อมูลของ USDA หรือ สถาบันวิจัยโภชนาการทางด้านสรีระศาสตร์ ได้ระบุว่า เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งผลจากการทดสอบค่าที่เรียกว่า “ORAC” (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ผลสดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สดและผักชนิดอื่น)[1]
12. มีสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ประกอบอยู่ โดยเป็นสารจำพวกฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงอมม่วง สารนี้มีประโยชน์ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดในระดับที่เล็กมากขึ้น และช่วยในการทำงานของกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์เรตินา[1],[2]
13. สารแอนโทไซยานินที่พบได้มากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนล้าจากการใช้สายตาหนัก ช่วยทำให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด และยังช่วยป้องกันต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม ช่วยลดความดันในลูกตา และลดความเจ็บปวดจากการบวมในลูกตา โดยข้อมูลจาก Archives of Ophthalmology ชี้ว่าการรับประทานวันละ 3 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกิดในวัยผู้ใหญ่ได้ด้วย[1],[2]
14. สารแอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) เป็นสารที่มีคุณสมบัติเทียบได้กับสารไบโอฟลาโวนอยด์ สามารถช่วยทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และสารชนิดนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของไต และช่วยรักษาผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยเปราะในอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสีย และสารแอนโธไซยาโนไซด์ชนิดหนึ่งคือสาร ไมร์ทิลลิน (Myrtliiln) เป็นสารสีน้ำเงินที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย[1],[2]
15. ช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารและทำให้การขับถ่ายของร่างกายทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูกและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้[1],[2]
16. มีสาร Pterostilbene ที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และตับ และยังมีกรด Ellagic ที่ทำงานควบคู่กับแอนโทไซยานิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันมะเร็ง (ผลการวิจัยของ Journal of Agricultural and Food Chemistry มีสารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งด้วย)[2]
17. ในเรื่องของระบบปัสสาวะ แบคทีเรียอีโคไลที่ผนังท่อทางเดินปัสสาวะเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่มีผลทำให้เกิดอาการอักเสบและรู้สึกแสบในขณะปัสสาวะ มีสารที่ทำให้แบคทีเรียชนิดนี้หยุดการเจริญเติบโต และช่วยล้างแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ[2]
18. เป็นแหล่งของพลังงานชั้นยอดที่มีแคลอรี่ต่ำ ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะมีเส้นใยอาหารที่ช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานกว่าเดิม ควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วน [1]
19. ช่วยลดไขมันหน้าท้อง และความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ โดยพบว่าหนูทดลองที่รับประทานผงผสมในอาหารของหนู เป็นระยะเวลา 90 วัน มีไขมันหน้าท้องน้อยลง และระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง[2]
20. มีสารเพคตินที่สามารถช่วยในการลดระดับของคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด[1]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 57 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 14.49 กรัม
น้ำตาล 9.96 กรัม
ใยอาหาร 2.4 กรัม
ไขมัน 0.33 กรัม
โปรตีน 0.74 กรัม
น้ำ 84.21 กรัม
วิตามินเอ 54 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.037 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.041 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.418 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.052 มิลลิกรัม
วิตามินบี9 6 ไมโครกรัม
วิตามินซี 9.7 มิลลิกรัม
วิตามินอี 0.57 มิลลิกรัม
วิตามินเค 19.3 ไมโครกรัม
แคลเซียม 6 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.28 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 12 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 77 มิลลิกรัม
โซเดียม 1 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.16 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ไทยโพสต์. “มากินเบอร์รี่กันเถิดจะเกิดผล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [06 ส.ค. 2014].
2. Women FIRNESS. “Top 10 health benefits of Blueberries”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.womenfitness.net. [06 ส.ค. 2014].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://james-mcintyre.co.uk/product/blueberry-miniblue-3l/
2.https://www.lindenlanefarms.ca/product/bluecrop-blueberry/

บัวหิมะ สมุนไพรอุดมไปด้วยโปรตีน และคุณประโยชน์มากมาย

0
บัวหิมะ
บัวหิมะ สมุนไพรอุดมไปด้วยโปรตีน และคุณประโยชน์มากมาย พืชสมุนไพรพืชตระกูลทานตะวัน นิยมนำผลมาใช้กิน ชอบอากาศหนาว ดินอุดมสมบรูณ์
บัวหิมะ
พืชสมุนไพรพืชตระกูลทานตะวัน นิยมนำผลมาใช้กิน ชอบอากาศหนาว ดินอุดมสมบรูณ์

บัวหิมะ

บัวหิมะ เป็นพืชสมุนไพรที่จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน แก่นตะวัน รักแร่ และชิโครี ซึ่งมักจะเรียกกันว่าบัวหิมะพันปี หรือบัวหิมะหมื่นปี โดยจะพบได้ตามเทือกเขาที่ราบสูงและจะงอกเฉพาะในบริเวณภูเขาสูงที่มีอุณหภูมิเย็นจัดบริเวณที่ราบสูงที่มีหิมะปกคลุมอยู่ หรือในบริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 – 4,000 เมตร อย่างเทือกเขาอัลไต ภูเขาคุนหลุน ที่ราบสูงซินเจียง เป็นต้น ซึ่งจะใช้เวลานานมาก 3 ปีถึงจะเก็บเกี่ยวดอกได้และดอกมีสีขาวหรือสีเขียวอ่อน
เนื่องจากพืชชนิดนี้ที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “บัวหิมะสด” “ผลบัวหิมะ” “หัวบัวหิมะ” “รากบัวหิมะ” และ “บัวหิมะจีน” หรือในประเทศจีนจะเรียกกันว่า “เสวี่ยเหลียนกว่อ” บัวหิมะชนิดนี้จะเป็นพืชพื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาใต้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ผลไม้ เพียงแต่เราเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นผลไม้ เนื่องจากนิยมนำมารับประทานสดๆ โดยจะมีรูปร่างที่คล้ายกับหัวมันเทศ เปลือกบาง รสออกหวานเหมือนแห้วผสมมันแกว ฉ่ำน้ำเหมือนสาลี่ และกรอบ บัวหิมะเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนหรือกำลังควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี บัวหิมะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม เป็นต้น และรากบัวหิมะ สรรพคุณใช้เป็นยาสมุนไพรในการรักษาอาการต่าง ๆ ได้อีกด้วย

ชื่อภาษาอังกฤษ Yacon
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น เสวี่ยนเหลียกว่อ (จีน), ผลบัวหิมะ, รากบัวหิมะ, หัวบัวหิมะ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Smallanthus sonchifolius (Poepp.) H. Rob
ชื่อสามัญ Yacon, Argonne, Ground ginseng fruit, Daisy potato
วงศ์ ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE

บัวหิมะแยกชนิดเป็น 4 ชนิดดังนี้

1. บัวหิมะที่เป็นดอกหรือต้นพืช
2. บัวหิมะที่เป็นผลไม้
3. บัวหิมะทิเบต
4. ครีมบัวหิมะ

สรรพคุณบัวหิมะเป็นดอกหรือพืช

1. ช่วยแก้ไข้
2. ช่วยบำรุงหัวใจ
3. ช่วยบำรุงโลหิต
4. ช่วยบำรุงไต
5. เป็นผลไม้
6. ช่วยขับพิษในร่างกาย
7. ช่วยแก้อาการข้ออักเสบ
8. ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
9. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
10. ใช้เป็นยาบำรุงและรักษาโรคชนิดต่าง ๆ เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น
11. นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งที่เป็นแบบบริสุทธิ์ 100% และที่เป็นแบบนำไปผสมกับตัวยาชนิดอื่น ๆ

ประโยชน์บัวหิมะที่เป็นผลไม้หรือพืช

1. แก้อาการอักเสบ
2. ช่วยแก้อาการร้อนใน
3. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
4. ช่วยให้หลอดเลือดอ่อนตัว
5. ป้องกันการเกิดผลึกก้อนนิ่ว
6. ช่วยบำรุงหัวใจและเส้นเลือด
7. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
8. ช่วยควบคุมของเหลวในเลือด
9. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
10. ช่วยตับขับถ่ายสารพิษในร่างกาย
11. มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดสิวฝ้าบนใบหน้า
12. ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ
13. ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น
14. ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูกและท้องเสีย
15. ช่วยป้องกันจากสารพิษจากมลภาวะและสารก่อมะเร็ง
16. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไขมัน คอเลสเตอรอล
17. ใบมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
18. รับประทานสด ให้รสชาติหวานฉ่ำ ชื่นใจ
19. เป็นอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพ เสริมความงาม
20. นำไปปรุงสุกต้มกับกระดูกหมูหรือนำไปตุ๋น ช่วยย่อยอาหารและระบายท้องได้ดี
21. มีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องดื่ม ชา อาหารกระป๋อง

บัวหิมะทิเบต

บัวหิมะทิเบต หรือ คีเฟอร์ (Kefir) บ้านเรานิยมเรียกว่า “บัวหิมะทิเบต” หรือ “น้ำหมักบัวหิมะ” ซึ่งก็คือ นมหมักคีเฟอร์ มีการเกิดจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งประกอบด้วยยีสต์ Saccharomyces exiguus และ Lactic acid bacteria ซึ่งอยู่ร่วมกันในแบบที่พึ่งพาอาศัยกันและยึดเกาะกันด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียว ๆ จนเกิดการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคล้ายกับดอกกะหล่ำ มีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน ขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดข้าว โดยจะมีกลิ่นอ่อน ๆ ของยีสต์ (คล้ายเบียร์) สามารถเจริญเติบโตด้วยการเพาะเลี้ยงในอาหารชนิดต่าง ๆ แต่ละชนิดจะให้คีเฟอร์ที่มีขนาดและลักษณะแตกต่างกันออกไป นิยมเลี้ยงในน้ำนมอย่างนมวัว นมแพะ หรือนมแกะ เป็นต้น

ข้อควรรู้ อ่านก่อนสำคัญมาก !

1. นมที่นิยมนำมาใช้ทำกันมากคือ นมวัว นมแพะ และนมถั่วเหลือง
2. ความหนืดของคีเฟอร์เป็นตัวบอกได้ถึงการเจริญเติบโตยิ่งหนืดยิ่งดี
3. ถ้าจำนวนบัวหิมะคีเฟอร์ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ นั้น แสดงว่าบางส่วนได้ตายแล้ว
4. การเพาะเลี้ยงคีเฟอร์ในอาหารแต่ละชนิด จะทำให้คีเฟอร์มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
5. คีเฟอร์ (Kefir) จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับเห็ดและยีสต์
6. สำหรับบางรายกินแล้วมีอาการท้องผูก เพราะรับประทานมากเกินไปจึงทำให้ลำไส้ไม่สมดุล
7. บัวหิมะคีเฟอร์ ประกอบไปด้วยแบคทีเรียและยีสต์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสัมพันธ์ทางบวก
8. การเอาใจใส่ในการเลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง
9. มีความเชื่อว่าถ้าหากเลี้ยงบัวหิมะจนเจริญเติบโตดีแล้วหรือมีมากเกินความต้องการ ให้นำไปแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย
10. มีความเชื่อว่าห้ามจำหน่ายบัวหิมะ (ซึ่งผู้เขียนมองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะต่างประเทศเขาขายกันเป็นปกติ)
11. นมชนิดที่ดีที่สุดที่นำมาใช้ทำคีเฟอร์คือนมแพะ เพราะย่อยง่ายกว่านมวัว และพบอาการแพ้ได้น้อยกว่านมวัว
12. โยเกิร์ตบัวหิมะ (Kefir) แตกต่างกับโยเกิร์ตธรรมดาตรงที่หัวเชื้อที่ใช้ในการหมัก โดยการหมักโยเกิร์ตธรรมดาจะใช้หัวเชื้อ Lactobacillus แต่คีเฟอร์จะใช้หัวเชื้อที่มีลักษณะเป็นก้อนเหนียวยืดหยุ่นคล้ายดอกกะหล่ำ เรียกว่า Kefir grain
13. นมที่สามารถนำมาใช้ทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้ก็มาจากนมจากสัตว์ เช่น แพะ แกะ วัว เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วอัลมอนด์ มะพร้าว กะทิ เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลข้าว เช่น ข้าว ข้าวบาร์เล่ย์ เป็นต้น และนมที่มาจากพืชตระกูลเมล็ดเล็ก เช่น ป่าน ฟักทอง งา เป็นต้น
14. นอกจากนมแล้วก็สามารถใช้เครื่องดื่มอื่น ๆ มาทำคีเฟอร์แทนนมได้ แต่เครื่องดื่มประเภทนั้น ๆ ต้องมีน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารของคีเฟอร์ เช่น คีเฟอร์ที่ทำจากน้ำผลไม้หรือน้ำหวานต่าง ๆ เราจะเรียกว่า “คีเฟอร์น้ำ” (Water kefir) ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวของคีเฟอร์มากกว่า 1 สัปดาห์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ
15. คีเฟอร์แบบน้ำกับแบบนมอันไหนดีกว่ากัน ? ทั้งสองต่างมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน แต่จะแตกต่างตรงกันตรงที่คีเฟอร์แบบนมจะมีจุลินทรีย์มากกว่าคีเฟอร์แบบน้ำเกือบเท่าตัว
16. หากเลี้ยงคีเฟอร์ไปเรื่อย ๆ แล้วเมล็ดมันเล็กลงก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ซึ่งอาจมีได้หลายขนาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
17. แล้วถ้าเลี้ยงคีเฟอร์เรื่อย ๆ จนมันก้อนใหญ่เกินไป จะนำมาตัดแบ่งส่วนได้หรือไม่ ? การตัดคีเฟอร์จะเป็นการไปทำลายโครงสร้างของมัน แต่ถ้าอยากจะแบ่งก็ควรใช้มือดึงออกจากกันเบา ๆ เพื่อเป็นการถนอมโครงสร้างเดิมของมันให้คงอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
18. การเลี้ยงคีเฟอร์อย่างไม่เหมาะสม เช่น การเติมนมที่เยอะเกินไปหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อุณหภูมิผิดปกติอาจจะทำให้คีเฟอร์เหลวเละ ดูพองบวม และไม่เป็นลักษณะยางยืดเหมือนเคย นั่นแสดงว่ามันกำลังไม่มีความสุขหรือมันกำลังจะตาย ดังนั้นควรเอาใจใส่ในการเลี้ยงด้วย
19. นมที่ได้มาจะมีรสชาติออกเปรี้ยว โดยจะมีคุณสมบัติเป็นยา นำมาดื่มทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วัน และหยุดพักการดื่มอีก 10 วันวนไปเรื่อย ๆ แต่บางคนบอกว่ากินทุกวันก็ได้
20. บัวหิมะไม่จำเป็นต้องล้างด้วยน้ำทุกวันก็ได้ เมื่อกรองนมโยเกิร์ตออก ก็เทนมใหม่ต่อใส่ได้เลย เพราะคลอรีนในน้ำจะไปทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ แต่ภาชนะที่ใส่ก็ต้องล้างให้สะอาดด้วย
21. สำหรับบางคนที่เริ่มกินครั้งแรกแล้วมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ไม่ต้องตกใจคิดไปว่าฉันแพ้บัวหิมะแน่ ๆ ! ความจริงแล้วบัวหิมะกำลังขับสารพิษในร่างกายอยู่นั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่เริ่มกินแนะนำว่าควรลดปริมาณการกินช่วงแรกให้น้อยลงจากปกติ แล้วค่อยปรับไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า
22. โยเกิร์ตบัวหิมะเมื่อนำมาพอกหน้า บางครั้งอาจมีอาการคันยิบ ๆ เล็กน้อย แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผิวบริเวณนั้นอาจเป็นสิว แผลสิว หรือผิวที่กำลังแห้งลอก ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยสมานผิวให้หายเป็นปกตินั่นเอง
23. ความเป็นมาของบัวหิมะคีเฟอร์มาจากอาจารย์ท่านหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งในขณะที่ทำงานอยู่ที่ประเทศอินเดียและทิเบต เขาได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ พระที่ทิเบตได้นำมาให้กินเพื่อรักษาอาการป่วย หลังจากนั้น 18 เดือนอาการป่วยของเขาได้หายไป และก่อนจะเดินทางกลับ เขาจึงขอบัวหิมะจากพระรูปนั้นมา ถัดมาจึงได้มีการนำเข้ามาสู่ทวีปยุโรปและเอเชีย

วิธีทำหมักโยเกิร์ตบัวหิมะ (Kefir)

1. เมื่อได้รับบัวหิมะมาแล้ว (จะมาในสภาพที่แช่อยู่ในนม) ใช้ประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถทำได้ 1 แก้ว
2. ลักษณะก่อนกรองมันจะดูเหมือนโยเกิร์ต มีรสและกลิ่นเปรี้ยว แต่ไม่เสีย ถึงจะเปรี้ยวมากแค่ไหนก็กินได้ (มันไม่เหมือนกลิ่นเปรี้ยวแบบนมเสียนมบูด) และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และถ้าเห็นเป็นฟอง ๆ ก็เป็นเรื่องปกติ
3. หลังจากนั้นให้นำมากรองด้วยการแยกนมออกจากบัวหิมะ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้กรองนั้นก็คือกระชอนกรองที่เป็นพลาสติกหรือกระชอนช้อนปลาก็ได้ ไม่ต้องใหญ่เกินไป ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี แต่จะต้องไม่ใช่โลหะหรือเหล็กเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและลดโอกาสปนเปื้อนจากสารตะกั่ว (และห้ามไม่ให้บัวหิมะสัมผัสโลหะที่มีส่วนผสมของเงินเด็ดขาด เพราะจะไปทำลายโครงสร้างบางอย่างของแบคทีเรียในคีเฟอร์)
4. นำนมที่ได้จากการกรองมาดื่ม (การดื่มทันทีจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มวันหลังก็นำไปแช่เย็น ซึ่งจะเก็บไว้ได้แค่ 2-3 วัน)
5. ถัดมาก็ทำความสะอาดโดยให้น้ำไหลผ่านให้สะอาด ถ้าเป็นน้ำกลั่นที่ปราศจากสารคลอรีนจะดีมาก (การทำความสะอาดอย่างดี จะช่วยให้สุขภาพของผู้ดื่มดีตามไปด้วย)
6. นำบัวหิมะที่ทำความสะอาดใส่ลงไปในแก้วพลาสติกหรือภาชนะที่สะอาดดีแล้ว
7. บัวหิมะทิเบตใส่นมลงไปประมาณ 8 ออนซ์ (แต่ถ้าได้รับบัวหิมะมาในช่วง 1 สัปดาห์แรก ปริมาณอาจมีน้อย ควรใส่นมแค่พอให้ท่วมหมด ไม่ต้องใส่หมดกล่อง เพื่อให้บัวหิมะได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ก่อน)
8. นำผ้าบางๆ มาปิดฝาเพื่อป้องกันแมลงวันและแมลงหวี่มาตอมหรือฝักไข่ แล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณหนึ่งวัน (ห้ามแช่เย็น เพราะจะเป็นการชะลอการเจริญเติบโตของบัวหิมะ บัวหิมะชอบอากาศร้อนชื้น และจะเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิปกติ)
9. หลังจากนั้นหาภาชนะนำมาใส่น้ำรองแก้วนมอีกที เพื่อป้องกันมด
10. แล้วนำมากรองเพื่อดื่มนมเหมือนใหม่ (ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ)
11. หากไม่อยู่บ้าน 2-3 วันหรือต้องการหยุดใช้ชั่วคราว ก็ให้ใส่นมแค่พอท่วมบัวหิมะ แล้วแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา
12. หากต้องการหยุดใช้หรือไม่อยู่บ้านเกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้นำบัวหิมะมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้งพอหมาด ๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วนำไปแช่ช่องแช่แข็ง (เพื่อหยุดยั้งการเจริญเติบโต) เมื่อจะกลับมาใช้อีกครั้งให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็งตัว ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้นแล้วค่อยใส่นม

บัวหิมะสรรพคุณ (คีเฟอร์)

1. นมหมักคีเฟอร์ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน
2. ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
3. รักษาสิวช่วยลดอาการไข้
4. ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
5. ช่วยลดอาการแพ้ยาหรือเซรุ่มชนิดต่าง ๆ
6. ช่วยรักษาสารพิษจากยาเสพติดในร่างกาย
7. ใช้เลี้ยงทารกที่คลอดก่อนกำหนด ช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง
8. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย
9. ช่วยทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
10. ช่วยรักษาอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส
11. ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน
12. ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารจำพวกน้ำตาล
13. ช่วยควบคุมน้ำหนักในร่างกาย
14. ช่วยรักษาโรควัณโรค
15. ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
16. ช่วยบำบัดรักษาโรคปอด
17. คีเฟอร์ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
18. มีส่วนช่วยยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก
19. ช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวให้แก่ร่างกาย
20. ช่วยบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการเหนื่อยล้า
21. เป็นยาจากธรรมชาติที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกาย
22. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ความเป็นกรด-ด่างให้เป็นปกติ
23. ช่วยบำรุงตับ ไต และรักษาตับ ไตอักเสบ
24. ช่วยรักษาโรคของถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดี ช่วยละลายก้อนนิ่วในไต
25. ช่วยป้องกันและรักษาโรคตับอ่อนในเด็ก โรคปอดบวม หลอดลมอักเสบในเด็กที่อายุกว่า 2 ขวบ
26. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
27. ช่วยรักษาแผลพุพอง น้ำร้อนลวก
30. นำมาใช้ทาเพื่อรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น เชื้อราบนผิวหนัง กลาก เกลื้อน เป็นต้น
31. การดื่มคีเฟอร์ช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์และผู้ป่วยโรคมะเร็งมีอาการดีขึ้น (ผลการวิจัยยังไม่ชัดเจน)
32. ช่วยเสริมสร้างการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ของเด็กทารก
33. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย
34. ช่วยลดความเครียด รักษาอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์ดี
35. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและการแพร่ขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
36. ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจอย่างโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
37. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกาย
38. ช่วยรักษาอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส
39. ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน
40. ช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติ ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
41. ช่วยรักษาโรคเมตาบอลิกซินโดรม (อ้วนลงพุง)
42. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะ ลำไส้เล็กส่วนต้น และช่วยบำรุงลำไส้
43. ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติและดียิ่งขึ้น ลำไส้บีบตัวได้ดียิ่งขึ้น
44. ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
45. เป็นอาหารที่เหมาะกับทารกหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
46. ช่วยแก้ปัญหาอาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
47. มีสารต่าง ๆ อย่างวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุไอโอดีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 กรดโฟลิก ไบโอติน วิตามินดี วิตามินเค เป็นต้น
48. โยเกิร์ตบัวหิมะ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที (หรือจนกว่าจะแห้ง) เพื่อช่วยให้หน้าขาวเนียนใส รักษาสิว แผลสิว และช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน
49. รักษาสิวด้วยการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่ช่วยในเรื่องของการรักษาสิว กระชับรูขุมขน ทำให้หน้าเต่งตึงอ่อนเยาว์

ครีมบัวหิมะ

เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน เรียกว่า “จงหัวฟูเป่า” ส่วนในประเทศไทยเรียกกันว่า “สมุนไพรบัวหิมะ” ซึ่งเป็นครีมที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติหลายชนิด เช่น โสม ชะมดเช็ด ว่านหางจระเข้ การบูร ผงไข่มุก ซึ่งราคาจะค่อนข้างแพง

โดยส่วนใหญ่จะมีสรรพคุณที่นำมาใช้ในลักษณะเป็นยารักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกมากกว่าเป็นครีมบำรุงผิว โดยใช้เป็นยาทาและห้ามรับประทาน เนื้อของครีมจะเป็นสีขาว กลิ่นหอมให้ความรู้สึกสดชื่นและมีความเย็นเล็กน้อย สำหรับการเลือกซื้อก็ควรที่จะดูให้ดีด้วย โดยเลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ เพราะครีมในท้องตลาดนั้นจะมีของปลอมด้วย ซึ่งราคาตามท้องตลาดก็ประมาณหลักพันบาทขึ้นไป

ประโยชน์ของครีมบัวหิมะ

1. ใช้รักษาโรคเริม
2. ใช้รักษาโรคฮ่องกงฟุต
3. ใช้รักษาแผลสด เป็นหนอง
4. ช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน
5. ใช้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
6.ใช้รักษาผื่นแพ้คัน บวมแดงบนผิวหนัง
7. ใช้รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น อีสุกอีใส
8. ช่วยบำรุงผิว ปรับสภาพผิว ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส
9. บัวหิมะใช้ทาแก้แผลพุพอง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดนท่อไอเสีย
10. ใช้รักษารอยแผลสิว รักษาสิว แต้มสิวเพื่อให้ยุบไว (แต่บางคนอาจจะใช้แล้วสิวเห่อ)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)

อ้างอิงรูปจาก
1.https://lonestarnursery.com/products/yacon-smallanthus-sonchifolius

น้อยโหน่ง ผลไม้ผิวขรุขระสรรพคุณและประโยชน์ที่น่ามหัศจรรย์

0
น้อยโหน่ง
น้อยโหน่ง ผลไม้ผิวขรุขระสรรพคุณและประโยชน์ที่น่ามหัศจรรย์ ผลมีขนาดใหญ่ ผิวเปลือกบางเรียบและเหนียวมีกลิ่นฉุน เนื้อในหนามีสีขาว มีรสชาติที่หวาน
น้อยโหน่ง
ผลไม้ผิวขรุขระสรรพคุณและประโยชน์ที่น่ามหัศจรรย์ ผลมีขนาดใหญ่ ผิวเปลือกบางเรียบและเหนียวมีกลิ่นฉุน เนื้อในหนามีสีขาว มีรสชาติที่หวาน

น้อยโหน่ง

น้อยโหน่ง เป็นพรรณไม้พุ่มนอกจากเนื้อสีขาว ซึ่งผลไม้ไทยชนิดนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารอีกมากมายทั้งสรรพคุณทั้นในการป้องกันและรักษาโรคต่างๆ เช่น เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและระบบประสาท ป้องกันมะเร็งบางชนิด ป้องกันโรคโลหิตจาง พาร์กินสัน และอัลไซเมอร์ เป็นต้น ชื่อสามัญ Custard apple หรือ Bull’s heart, Bullock’s heart, Ox-heart, Wild-Sweetsop ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Annona reticulata L. อยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะโหน่ง มะเนียงแฮ้ง (ภาคเหนือ), น้อยหนัง (ภาคใต้), มะดาก (แพร่ เพชรบุรี), เร็งนา (กาญจนบุรี), หนอนลาว (อุบลราชธานี), หมากอ้อ (แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น

ลักษณะของน้อยโหน่ง

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกากลาง และเชื่อว่ามีการนำเข้ามาในไทยเมื่อในสมัยอยุธยา โดยได้จัดเป็นพรรณไม้พุ่มที่มีขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 5-8 เมตร เปลือกต้นแก่มีสีเทา
  • ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน เป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก หรือเป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน โคนใบนั้นแหลม ใบเป็นสีเขียวสด
  • ดอก คล้ายกับดอกน้อยหน่า จะออกเป็นดอกเดี่ยว ๆ หรือออกเป็นช่อกระจุกประมาณ 2-3 ดอก กลีบดอกจะค่อนข้างหนา มีกลีบดอกทั้งสิ้น 3 กลีบ กลีบดอกมีสีเหลืองแกมเขียว และดอกมีกลิ่นหอมแบบเอียนๆ (บางคนก็ชอบ แต่บางคนก็ไม่ชอบ)
  • ผล จะมีขนาดใหญ่กว่าน้อยหน่า ผลเป็นรูปกลมหรือรูปทรงหัวใจ ผิวเปลือกบางเรียบและเหนียว ไม่มีตาโปนออกมาตามเปลือกเหมือนอย่างน้อยหน่า ผลตอนดิบเปลือกจะเป็นสีเขียวจาง ๆ ปนแดงเรื่อ ๆ แต่เมื่อผลสุกแล้วจะเป็นสีแดงอมน้ำตาลเข้ม เนื้อข้างในผลหนามีสีขาว ผลมีเมล็ดจำนวนมาก และมีรสชาติที่หวานแต่ไม่เท่ากับน้อยหน่า จึงได้รับความนิยมในการรับประทานน้อยกว่าน้อยหน่า เนื่องจากผลมีกลิ่นที่ฉุนนั่นเอง

สรรพคุณของน้อยโหน่ง

1. ผลดิบนำมารับประทานแก้ท้องร่วง แก้อาการบิดได้ (ผลดิบ)
2. ช่วยขับพยาธิในร่างกาย (ผลดิบ)
3. มีฤทธิ์ช่วยฆ่าพยาธิที่ผิวหนัง กลาก เกลื้อน เรื้อน หิด และคุดทะราด (เมล็ด)
4. ใบนำมาตำแล้วเอาไปพอกแก้อาการฟกบวม (ใบ)
5. เปลือกสามารถใช้เป็นยาห้ามเลือดและช่วยสมานแผลได้ (เปลือก)
6. เมล็ดนำไปใช้เป็นยาสมานแผลได้ (เมล็ด)
7. ใบนำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้เป็นยาฆ่าเหาได้ (ใบ)

ประโยชน์ของน้อยโหน่ง

1. ผลสุกรับประทานเป็นผลไม้สด (ผลสุก)
2. เมล็ดนำไปทำเป็นยาฆ่าแมลงหรือยาพิษอย่างแรงได้ (เมล็ด)
3. ใบสดนำมาต้มเอาแต่น้ำมาทำเป็นสีย้อมได้ โดยจะให้สียอมสีดำและสีน้ำเงินสวยงาม แถมยังติดทนนานอีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 101 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 25.2 กรัม
เส้นใย 2.4 กรัม
ไขมัน 0.6 กรัม
โปรตีน 1.7 กรัม
วิตามินบี 1 0.08 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี 2 0.1 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 3 0.5 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 5  0.135 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 6 0.221 มิลลิกรัม 17%
วิตามินซี 19.2 มิลลิกรัม 23%
ธาตุแคลเซียม 30 มิลลิกรัม 3%
ธาตุเหล็ก  0.71 มิลลิกรัม 5%
ธาตุแมกนีเซียม 18 มิลลิกรัม 5%
ธาตุฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม 382 มิลลิกรัม 8%
ธาตุโซเดียม 4 มิลลิกรัม 0%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
เว็บไซต์องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร, เว็บไซต์กรมวิชาการเกษตร, www.thaigoodview.com

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/phuongphoto/33311481092
2.https://vajiramias.com/current-affairs/bullocks-heart-tree/63a042d70dfcf8093e6ed06b/

นางพญาเสือโคร่ง ดอกสีชมพูบานสะพรั่ง ซากุระเมืองไทย

0
นางพญาเสือโคร่ง
นางพญาเสือโคร่ง ดอกสีชมพูบานสะพรั่ง ซากุระเมืองไทย ออกดอกเป็นช่อกระจุกสีชมพูขาว ผลสุกสีแดงคล้ายลูกเชอร์รี่ รสชาติเปรี้ยว
นางพญาเสือโคร่ง
ดอกสีชมพูบานสะพรั่ง ซากุระเมืองไทย ออกดอกเป็นช่อกระจุกสีชมพูขาว ผลสุกสีแดงคล้ายลูกเชอร์รี่ รสชาติเปรี้ยว

นางพญาเสือโคร่ง

นางพญาเสือโคร่ง พรรณไม้ยืนต้นออกดอกสีชมพูขาวบานสะพรั่งการกระจายพันธุ์ขึ้นตามภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 1000-2000 เมตร โดยเฉพาะในพื้นที่ทางภาคเหนือของประทศไทยหรือที่รู้จักกันในชื่อ “ซากุระเมืองไทย” มีการขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด เนื่องจากมีลักษณะที่คล้ายต้นซากุระของประเทศญี่ปุ่น และในประเทศญี่ปุ่นจะเรียกดอกไม้ของพรรณไม้ชนิดนี้ว่า “ฮิมาลายาซากุระ” (ヒマラヤザクラ) ชื่อสามัญ Wild Himalayan Cherry, Sour cherry ชื่อภาษาอังกฤษ Wild Himalayan Cherry ชื่อวิทยาศาสตร์ prunus cerasoides ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ฉวีวรรณ ชมพูภูพิงค์ (ภาคเหนือ), ซากุระดอย (เชียงใหม่), ยาแก่ะ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), คัวเคาะ เส่คาแว่ เส่แผ่ แส่ลาแหล (กะเหรี่ยงเชียงใหม่) เป็นต้น

ลักษณะของนางพญาเสือโคร่ง

  • ต้น  เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ มีขนาดเล็กจนถึงมีขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมลักษณะเป็นโปร่ง เปลือกต้นผิวเรียบเป็นมัน เป็นสีเหลือบน้ำตาล เยื่อผิวบาง หลุดลอกได้ง่าย ตามกิ่งอ่อนนั้นมีขนละเอียดประปราย มีการกระจายพันธุ์อยู่ที่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น มักพบขึ้นในป่าที่ระดับความสูงประมาณ 500-1,500 เมตร ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ตามภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000-2,000 เมตร เช่น บนดอยเชียงดาว ดอยอินทนนท์ ฯลฯ[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบนั้นเรียวแหลม โคนใบนั้นจะกลมหรือสอบแคบ ส่วนขอบใบจะหยักเป็นฟันเลื่อยละเอียด ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ปลายก้านใบมีต่อมประมาณ 2-4 ต่อม หูใบแตกแขนงเป็นรูปคล้ายเขากวางหรือเป็นริ้วเล็ก ๆ ใบนั้นหลุดร่วงได้ง่าย[1],[2],[3]
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง ก้านดอกยาวประมาณ 0.7-2 เซนติเมตร ดอกย่อยนั้นมีจำนวนที่ค่อนข้างมาก ดอกมีหลายเฉดสี ทั้งสีชมพูอ่อน สีชมพูเข้ม สีชมพูแดง จนไปถึงสีแดง หรือสีขาว แต่สีที่หายากที่สุดคือสีขาว ขอบดอกเป็นริ้วประดับจักไม่เป็นระเบียบ กลีบเลี้ยงจะติดกันเป็นรูปกรวย กลีบดอกมีทั้งสิ้น 5 กลีบ เมื่อตอนที่ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และจะมีการทิ้งใบไปก่อนการออกดอก[1],[2],[3]
  • ผล เมื่อดอกนั้นได้รับการผสมจะติดเป็นผล ซึ่งจะติดผลในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ผลจะเป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน รูปกระสวย รูปไข่หรือกลม ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีความฉ่ำน้ำ ผลผิวเกลี้ยง ผลสุกจะเป็นสีแดงแบบลูกเชอร์รี่ มีรสชาติที่เปรี้ยว[1],[2]

หมายเหตุ : ต้นจะแตกต่างจากซากุระญี่ปุ่นตรงที่ช่วงเวลาของการออกดอกนั่นเอง คือ จะมีการออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งก็คือจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว ส่วนซากุระในญี่ปุ่นจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่นนั่นเอง และยังมีข้อสันนิษฐานกล่าวว่าพรรณไม้ทั้งสองชนิดนี้มีบรรพบุรุษร่วมกัน ในทางตอนใต้ของจีน และได้มีวิวัฒนาการออกไปจนมีหลากหลายสายพันธุ์

สรรพคุณของนางพญาเสือโคร่ง

1. ชาวเขาเผ่ามูเซอจะนำเปลือกต้นมาทำยาแก้ไอ ลดน้ำมูก และแก้อาการคัดจมูก (เปลือกต้น)[1]
2. เปลือกต้นนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทาหรือพอกแก้ฟกช้ำ แก้ข้อแพลง และอาการปวดข้อ (เปลือกต้น)[1]
3. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำ ดื่มรักษาอาการหนาวสั่นจากอาการไข้หวัดได้ (เปลือกต้น)[2]
4. เปลือกต้นเอามาต้มกับน้ำดื่มสามารถเป็นยาแก้อาการท้องเสียได้อีกด้วย (เปลือกต้น)[2]
5. เปลือกต้นเป็นยาแก้เลือดกำเดาไหล (เปลือกต้น)[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

สารสกัดจากลำต้นประกอบด้วยแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์ในการลดการบีบตัวของลำไส้สัตว์ทดลอง[1]

ประโยชน์ของนางพญาเสือโคร่ง

1. ผล มีรสชาติเปรี้ยวรับประทานได้ แต่ไม่ค่อยนิยมรับประทานกัน และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ท้องเสียได้[2]
2. ปลูกเป็นไม้ประดับได้ เนื่องจากออกดอกที่ดกสวยงาม และยังใช้ปลูกเป็นไม้เบิกนำ เนื่องจากเป็นไม้ที่เติบโตได้เร็ว ทนทานต่อไฟป่า และต้องการแสงที่มาก จึงเหมาะที่จะนำไปปลูกเพื่อฟื้นฟูสภาพป่าดิบเขาในพื้นที่ต้นน้ำ หรือนำไปปลูกในพื้นที่ที่ผ่านการทำไร่เลื่อนลอยบนพื้นที่สูง แต่ไม่ควรนำไปปลูกบนพื้นที่ที่มีลมพัด เพราะกิ่งก้านจะหักได้ง่าย[2]
3. เนื้อไม้นั้นอ่อน สามารถนำมาใช้ทำด้ามเครื่องมือทางการเกษตรได้

ซากุระเมืองไทย

สำหรับสถานที่เที่ยวชมดอกนางพญาเสือโคร่งในประเทศไทยมีอยู่หลายที่ด้วยกัน เช่น ขุนช่างเคี่ยน จ.เชียงใหม่ (เป็นสถานที่เที่ยวชมยอดฮิตมาก ๆ ของภาคเหนือ), ขุนแม่ยะ (หน่วยจัดการต้นน้ำขุนแม่ยะ) จ.แม่ฮ่องสอน, สถานีเกษตรหลวงขุนวาง จ.เชียงใหม่, จ.เชียงใหม่, ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่, ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่, ภูลมโล จ.เลย, ดอยช้าง-ดอยวาวี จ.เชียงราย, ดอยแม่ตะมาน เป็นต้น

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ฉวีวรรณ”. หน้า 177.
2. สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “นาง พญา เสือ โคร่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [08 ม.ค. 2015].
3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ชมพูภูพิงค์, นาง พญา เสือ โคร่ง”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [07 ม.ค. 2015].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by kampee patisena, Jeeranan R, Min Sheng Khoo, Tassaphon Vongkittipong, Jim Mayes, Saroj Kumar Kasaju, norsez, Nareerat Klinhom, kampee patisena)

38 ประโยชน์ที่ดีที่สุดของน้อยหน่า สำหรับสุขภาพ ผิว และผม

0
38 ประโยชน์ที่ดีที่สุดของน้อยหน่า สำหรับสุขภาพ ผิว และผม เป็นพืชยืนต้น เปลือกผลสีเขียวอมเทา ผิวขรุขระ เนื้อสีขาว ผลดิบรสเฝื่อน ผลสุกรสหวานเมล็ดดำ
น้อยหน่า
เปลือกผลสีเขียวอมเทา ผิวขรุขระ เนื้อสีขาว ผลดิบรสเฝื่อน ผลสุกรสหวาน เมล็ดดำ

น้อยหน่า

น้อยหน่า มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลางและใต้ พบเจอได้ทั่วไปในเขตร้อนรวมถึงประเทศไทย จะเพาะปลูกมากในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อผลเป็นสีขาว จะมีรสหวาน มีเมล็ดสีดำ ส่วนที่สามารถใช้เป็นยารักษาอาการต่าง ๆได้ คือ ผล ผลดิบ ผลแห้ง เมล็ด ใบ ประเทศไทยนิยมนำใบหรือเมล็ดมาใช้ในการกำจัดเหา เห็บหมัด
ชื่อสามัญ Sugar apple, Sweetsop ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Annona squamosa L. อยู่ในวงศ์กระดังงา ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะนอแน่ หมักเขียบ ลาหนัง มะแน่ หน่อเกล๊ะแซ

ประโยชน์ของน้อยหน่า

  • ใช้เป็นยารักษาจี๊ดได้ โดยใช้เมล็ดสดประมาณ 20 เมล็ดมาตำให้ละเอียด ใช้สารส้มขนาดเท่าหัวแม่มือใส่ในฝา ตั้งไฟอ่อน ๆ แล้วเมื่อสารส้มละลาย ให้โรยผงของเมล็ดลงทีละน้อย คนให้เข้ากัน แล้วใช้ไม้ป้ายยาที่กำลังร้อนที่ผิวหนังทนได้ ป้ายลงตำแหน่งที่บวม ทำวันละ 2 รอบเช้าและเย็น จนกว่าจะหาย
  • ใบ ช่วยฆ่าพยาธิในเด็กได้ โดยใช้ใบสดประมาณ 15 ใบมาต้มกับน้ำ 5 ถ้วยจนเหลือ 3 ถ้วย ใช้ดื่มวันละ 3 ครั้ง
  • สามารถแก้อาการฟกช้ำบวมได้ (ใบ)
  • เมล็ด ช่วยรักษากลาก เกลื้อน โดยใช้เมล็ดหรือใบสดมาคั้นเอาน้ำ ใช้พอกบริเวณที่เป็น (ผล, ใบสด, เมล็ด)
  • ใช้แก้ฝีในลำคอได้ (ผล)
  • ช่วยสมานแผล สามารถใช้เป็นยาฝาดสมานได้ (เปลือกต้น)
  • สามารถแก้พิษงูได้ (ผล, ราก, เปลือกต้น)
  • สามารถแก้รำมะนาดได้ (เปลือกต้น)
  • สามารถช่วยแก้อาการท้องร่วงได้ (เปลือกต้น)
  • ช่วยการย่อยอาหาร จะช่วยทำให้ขับถ่ายได้สะดวก (ผล)
  • สามารถทำให้อาเจียนได้ (ราก)
  • สามารถช่วยสร้างฮีโมโกลบินได้ (Hemoglobin) (ทองแดง)
  • สามารถช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายได้ (แมกนีเซียม)
  • สามารถช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้
  • สามารถลดความดันโลหิตได้ (โพแทสเซียม)
  • สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ (เส้นใย)
  • มีไขมันต่ำ เหมาะกับผู้ที่ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน รักษาสุขภาพ (แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นข้อยกเว้น)
  • สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้
    เมล็ด
  • สามารถกำจัดเห็บหมัดในสุนัขได้ สูตรเดียวกับกำจัดเหา (ใบ,เมล็ด)
  • ใบสามารถกำจัดเหา ทำให้ไข่เหาฝ่อ ฆ่าเหา โดยใช้ใบสดประมาณ 4 ใบมาตำกับเหล้าขาว แล้วใช้น้ำที่ได้มาชโลมให้ทั่วศีรษะ ใช้ผ้าคลุมไว้ 10 นาทีแล้วใช้หวีสางออก (หรือจะใช้น้ำคั้นจากใบอย่างเดียวก็ได้) หรือใช้เมล็ดมาบดคั้นกับน้ำมะพร้าว (อัตราส่วน 1:2) แล้วกรองเอาน้ำมาชโลมให้ทั่วศีรษะ ใช้ผ้าโพกไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ห้ามชโลมยาไว้ข้ามคืน เมื่อทำเสร็จแล้วให้สระผมทำความสะอาดทุกครั้ง
  • สามารถฆ่าพยาธิได้ (ผล, ใบ)
  • ใบใช้เป็นยารักษาหิดได้ โดยใช้สดหรือเมล็ดสดมาตำให้ละเอียด เติมน้ำมันพืชพอแฉะ ใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 รอบ ทำจนกว่าหิดจะหาย
  • สามารถแก้ฝีในหูได้ (ผลแห้ง)
  • สามารถรักษาแผลไฟไหม้ อักเสบ น้ำร้อนลวกได้ (ผล)
  • สามารถแก้งูสวัดได้ (ผลแห้ง)
  • สามารถรักษาโรคเริมได้ (ผลแห้ง)
  • สามารถใช้เป็นยาสมานลำไส้ได้ (เปลือกต้น)
  • สามารถใช้เป็นยาระบายได้ (ราก)
  • สามารถบรรเทาอาการปวดเหงือกปวดฟันได้ (เปลือกต้น)
  • สามารถลดความเสี่ยงต่อการที่เด็กทารกพิการตั้งแต่กำเนิดได้ (โฟเลต)
  • สามารถส่งเสริมการผลิตพลังงานในร่างกายได้ (วิตามินบี)
  • สามารถเสริมสร้างกระดูกกับฟันให้แข็งแรงได้ (แมกนีเซียม)
  • ใบช่วยรักษาโรคมะเร็งและเนื้องอกได้ (ใบ)
  • สามารถบำรุงหัวใจให้สุขภาพแข็งแรง และป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้
  • สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้ (วิตามินบี 3)
  • สามารถรักษาโรคหอบหืดได้ (วิตามินซี)
  • สามารถรักษาโรคไขข้อและโรคข้ออักเสบได้ (แมกนีเซียม)
  • สามารถช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม ดวงตา

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 94 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.11 มิลลิกรัม 10%
วิตามินบี 2 0.113 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 3 0.883 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 5 0.226 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 6 0.2 มิลลิกรัม 15%
วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม 4%
วิตามินซี 36.3 มิลลิกรัม 44%
คาร์โบไฮเดรต 23.64 กรัม
ไขมัน 0.29 กรัม
เส้นใย 4.4 กรัม
โปรตีน 2.06 กรัม
ธาตุเหล็ก 0.6 มิลลิกรัม 5%
ธาตุแมงกานีส 0.42 มิลลิกรัม 20%
ธาตุโพแทสเซียม 247 มิลลิกรัม 5%
ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 24 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 9 มิลลิกรัม 1%

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

สิ่งที่ควรระวัง

  • น้ำที่สกัดได้จากเมล็ดจะทำให้เกิดอาการแพ้ ควรระวังไม่ให้เข้าตา เนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแพ้ระคายเคือง เยื่อบุตาอักเสบ
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรบริโภคเล็กน้อยและนาน ๆ ครั้ง เพราะมีรสหวานจัด การทานในปริมาณมากอาจจะทำให้อาการโรคเบาหวานกำเริบ
  • น้ำที่คั้นได้จากใบจะต้องระวังไม่ให้โดนบริเวณตาหรือเปลือกตา บริเวณรูจมูก ริมฝีปาก เนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแสบร้อน ถ้าเข้าตาอาจจะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ ต้องรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.rspg.or.th, www.thaicrudedrug.com , www.lifestyle.iloveindia.com, ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.hospitalitymagazine.com.au/all-about-sweetsop/
2.https://stylesatlife.com/articles/custard-apple-benefits/

นมช้าง สรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อย แก้กษัยเส้น

0
นมช้าง
นมช้าง สรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อย แก้กษัยเส้น ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาล ออกผลเป็นกลุ่ม ผลอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง ส่วนผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีม่วงแดง
นมช้าง
ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาล ออกผลเป็นกลุ่ม ผลอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง ส่วนผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีม่วงแดง

นมช้าง

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Uvaria cordata (Dunal) Alston ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Guatteria cordata Dunal จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)[1] นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กาเลียบ นมควาย (นครศรีธรรมราช), นมแมวใหญ่ (ชุมพร), นมวัว (สุราษฎร์ธานี), กล้วยหมูสัง (ตรัง), ลาเกาะ (มลายู-นราธิวาส), ชูเบียง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น[1]

ลักษณะของนมช้าง

  • ต้น เป็นพรรณไม้เถาขนาดใหญ่ สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 20 เมตร เนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลขึ้น จะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เติบโตได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ำและแสงแดดในระดับกลาง ๆ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอินเดีย ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบสามารถพบได้ทุกภาคตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และตามป่าผสมผลัดใบ[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปวงรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบมนหรือหยักเล็กน้อยมีความคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ใบมีความกว้างประมาณ 6-13 เซนติเมตร และยาวประมาณ 14-23 เซนติเมตร แผ่นใบหนา แข็ง ท้องใบมีขนเป็นสีน้ำตาล เส้นใบค่อนข้างถี่ ก้านใบยาวประมาณ 1 เซนติเมตร และ มีขน[1],[2]
  • ดอก ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกประมาณ 1-3 ดอก โดยจะออกบริเวณซอกใบใกล้กับปลายยอด มีสีแดงเข้ม กลีบดอกมี 6 กลีบ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น มีชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกค่อนข้างกลม ปลายมน มีสีแดงเข้ม มีความยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร กลีบดอกมีขนทั้งด้านในและด้านนอก ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่ กว้างค่อนข้างจะกลม ปลายมน และมีขนสั้นหนานุ่มทั้งสองด้าน ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก รูปทรงกลม ปลายมน ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน[1],[2]
  • ผล ออกผลเป็นกลุ่ม มีผลย่อยประมาณ 20-35 ผล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกระบอกแกมรี มีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผิวเรียบ ผลอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง ส่วนผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีม่วงแดง ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดเป็นสีน้ำตาลเข้ม[1],[2]

สรรพคุณของนมช้าง

1. แก่นหรือเปลือกต้น สามารถนำมาแช่กับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต (แก่น, เปลือกต้น)[1]
2. เปลือกต้น สามารถนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กระษัยเส้น แก้อาการปวดเมื่อย (เปลือกต้น)[1]

ประโยชน์ของนมช้าง

1. ผลสุก สามารถรับประทานได้[1]
2. สามารถใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “น ม ช้ า ง”. หน้า 123.
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “นม ช้าง”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้เลื้อยในสวนพฤกษศาสตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [02 ธ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofsrilanka.com/species/1168

ต้นนมควาย ผลไม้ชื่อแปลกที่หากินยากสรรพคุณโดดเด่น

0
ต้นนมควาย
ต้นนมควาย ผลไม้ชื่อแปลกที่หากินยากสรรพคุณโดดเด่น ผลออกเป็นกลุ่ม ผลดิบสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ผลสุกสีแดงรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว
ต้นนมควาย
ผลไม้หากินยาก ผลออกเป็นกลุ่ม ผลดิบสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ผลสุกสีแดงรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว

ต้นนมควาย

ต้นนมควาย เป็นไม้พุ่งเตี้ยลักษณะจะมีผลดิบสีเขียวเมื่อเริ่มแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปจนถึงแดงอมส้มผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายส่วนที่ใช้เป็นยา คือ ผล เนื้อไม้ ราก ใช้เป็นยาบำรุงน้ำนม ถอนพิษ แก้ผดผื่นคัน แก้โรคผมแห้งของสตรีที่คลอดบุตร และอยู่ไฟไม่ได้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Uvaria rufa Blume จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ อีกว่า นมแมวป่า (เชียงใหม่), ติงตัง (นครราชสีมา), สีม่วน (ชัยภูมิ), พีพวน ผีพวนน้อย (อุดรธานี), พีพวนน้อย (ชุมพร), ตีนตั่ง ตีนตั่งเครือ (ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, นครราชสีมา), นมวัว นมควาย บุหงาใหญ่ หมากผีผวน (พิษณุโลก, กระบี่), บุหงาใหญ่ นมแมวป่า หมากผีผ่วน (ภาคเหนือ), หำลิง พีพวนน้อย (ภาคอีสาน), นมแมว นมวัว (ภาคกลาง), นมควาย (ภาคใต้), ลูกเตรียน กรีล (เขมร, ศรีสะเกษ, สุรินทร์), บักผีผ่วน (ลาว) เป็นต้น[1],[3],[4]

ลักษณะของต้นนมควาย

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในหลาย ๆ ประเทศ ยกตัวอย่างเช่น อินเดีย ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยจะพบได้ทุกภาค จัดเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่นไปได้ไกลถึง 5 เมตร เปลือกลำต้นมีสีม่วงอมเทา เนื้อไม้แข็ง กิ่งและยอดอ่อนปกคลุมด้วยขนละเอียดสีน้ำตาลแดงอย่างหนาแน่น แต่เมื่อแก่แล้วผิวจะเกลี้ยงและไม่มีขน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ชอบความชื้นระดับปานกลาง ชอบแสงแดดตลอดวัน ถือเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง สามารถพบได้ตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง หรือตามป่าผลัดใบทั่วไป[1],[2],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันไปตามข้อต้น ลักษณะใบเป็นรูปรี รูปยาวรี รูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลมเป็นติ่ง โคนใบมนหรือเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร แผ่นใบบาง มีเส้นใบประมาณ 8-15 คู่ หลังใบมีขนเป็นรูปดาวแข็ง ส่วนท้องใบมีขนอ่อนนุ่มเป็นสีน้ำตาลแดงอยู่หนาแน่น ก้านใบมีขนหนาแน่นยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร[1],[2],[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อสั้น ๆ ตรงข้ามกันกับใบหรือเหนือซอกใบ ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุกประมาณ 2-3 ดอก ช่อดอกยาวประมาณ 1.1-1.5 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1-3 มิลลิเมตร มีขนกระจายอยู่อย่างหนาแน่น ส่วนก้านดอกย่อยยาวประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร มีขนขึ้นหนาแน่น มีใบประดับอยู่ 1 ใบ เป็นรูปสามเหลี่ยมปลายมน ติดอยู่ตรงกลางที่ก้านดอก มีขนาดกว้างประมาณ 3-6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-13 มิลลิเมตร และมีขนขึ้นหนาแน่น ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ 3 กลีบ มีลักษณะคล้ายกับกระดาษและมีขนขึ้นปกคลุม มาเชื่อมติดกันที่โคนอยู่เล็กน้อย ปลายแยกเป็น 3 แฉก ลักษณะกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่ ส่วนที่โคนกว้างประมาณ 5-6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร กลีบดอกมีด้วยกันอยู่ 6 กลีบ แยกจากกัน และบางครั้งอาจมีถึง 8 กลีบ โดยจะแยกเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ขนาดเท่า ๆ กัน โดยดอกมีสีแดงสดแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนกในภายหลัง ลักษณะกลีบดอกเป็นรูปรีแกมรูปไข่กลีบ มีขนาดกว้างประมาณ 4-6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 8-10 มิลลิเมตร ปลายกลีบมนหรือกลม มีขนทั้งสองด้าน เมื่อดอกบานเต็มที่แล้ว กลีบดอกมักจะโค้งลงไปหาทางก้านดอก ดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลืองจำนวนมากอัดกันอยู่อย่างหนาแน่นประมาณ 30-45 อัน ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร โคนและปลายตัด ขอบเรียบ วงนอกมักเป็นหมัน เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันจะมีประมาณ 10-12 อัน เรียงซ้อนเหลื่อมและแยกกันในชั้นนอกสุดของวง เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ จะมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ กว้างประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3.5-4 มิลลิเมตร โคนตัด ปลายกลมหรือมน ส่วนขอบเป็นเยื่อบาง ๆ เป็นจักฟันเลื่อยถี่ มีสีเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ผิวเกลี้ยง ส่วนเกสรเพศเมียมีประมาณ 7-12 อัน ในแต่ละอันจะมีออวุลอยู่ประมาณ 20-25 ออวุล ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีขนาดกว้างประมาณ 0.5 มิลลิเมตรหรืออาจมากกว่าเล็กน้อย และยาวประมาณ 3-3.5 มิลลิเมตร โคนและปลายตัด เป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลอ่อน มีขนขึ้นปกคลุมหนาแน่นตามก้านเกสรเพศเมีย และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ คาร์เพลแยกออกเป็นจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นที่หอม ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[3]
  • ผล ออกเป็นกลุ่ม แต่ละช่อผลจะมีผลย่อยอยู่ประมาณ 4-20 ผล ผลมีลักษณะเป็นทรงกลมรี รูปรี รูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือเป็นรูปทรงกระบอก มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.1 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.7-4 เซนติเมตร ผิวย่นและมีขนสีน้ำตาลสั้น ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ ผลเมื่ออ่อนเป็นสีเขียว แต่เมื่อผลสุกเต็มที่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ส่วนก้านผลยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร ก้านผลย่อยยาวประมาณ 1.8-2.6 เซนติเมตร เนื้อข้างในผลเป็นสีขาว ในแต่ละผลนั้นจะมีเมล็ดอยู่เป็นจำนวนมากประมาณ 14-18 เมล็ด เรียงตัวกันอยู่เป็น 2 แถว ลักษณะเมล็ดเป็นรูปรี ปลายมน โคนเว้า ส่วนขอบเรียบ ผิวเมล็ดเกลี้ยงเป็นสีน้ำตาลมัน มีขนาดกว้างอยู่ที่ประมาณ 1-2 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร จะติดผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม[1],[2],[3]

สรรพคุณของนมควาย

1. แก่นและรากถ้านำมาต้มรวมกันกับน้ำ แล้วนำมาดื่มสามารถเป็นยาแก้ไข้กลับหรือไข้ซ้ำได้ หรือต้มกินแก้ไข้อันเนื่องมาจากรับประทานของแสลงที่เป็นพิษเข้าไป (แก่นและราก)[1],[2],[3]
2. ช่วยในการรักษาอาการไข้ที่ไม่สม่ำเสมอ (รากและเนื้อไม้)[3]
3. ผลสุกนั้นเป็นยารักษาโรคหืด (ผล)[3]
4. ผลสุกนำมาตำแล้วเอามาผสมกับน้ำใช้เป็นยาทาแก้เมล็ดผดผื่นคันตามตัวได้ (ผล)[1],[2],[3]
5. ผลใช้เป็นยาเย็นมีฤทธิ์ในการถอนพิษ (ผล)[2],[3]
6. เถาแห้งนำมาปิ้งให้เหลือง แล้วหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ชงกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต (พุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี) (เถา)[4]
7. แพทย์พื้นบ้านของทางภาคอีสานมักนิยมใช้เป็นหนึ่งในสมุนไพรรักษากามโรค (ไม่ได้ระบุส่วนที่ใช้)[4]
8. รากสามารถนำมาใช้เป็นยากระตุ้นการคลอดบุตรของสตรี ซึ่งชาวบ้านในแถบหมู่เกาะลูซอนและมินดาเนาของประเทศฟิลิปปินส์จะนำเอารากมาแช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ให้หญิงที่จะคลอดบุตรรับประทาน
9. ใช้เป็นยาเพิ่มการบีบตัวของมดลูก และช่วยเร่งการคลอดบุตร (ราก)[3]
10. นำรากในปริมาณที่พอประมาณ เอามาต้มกับน้ำจนเดือด ใช้ดื่มครั้งละแก้ว วันละ 1-2 ครั้ง จะเป็นยาแก้โรคไตพิการได้ดีในระดับหนึ่ง (ราก)[4]
11. รากช่วยในการบำรุงน้ำนมของสตรี (ราก)[1],[3],[4]
12. รากมีรสเย็นช่วยแก้ผอมแห้ง โรคผอมแห้งของสตรีหลังการคลอดบุตรและอาการอยู่ไฟไม่ได้ (ราก)[1],[2],[3] ในตำรายาพื้นบ้านของทางภาคอีสานมักจะใช้รากนมควาย รากหญ้าคา เหง้าต้นเอื้องหมายนา และลำต้นอ้อยแดง อย่างละเท่า ๆ กัน กะใช้อยู่ที่ตามความเหมาะสม นำมาต้มกับน้ำเดือด ใช้ดื่มขณะที่ยังอุ่น ๆ ให้สตรีที่ผอมแห้งแรงน้อย และนำมาใช้ในการบำรุงเลือดได้ดี (ราก)[4]

ประโยชน์ของนมควาย

1. ผลสุกจะมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว ใช้รับประทานเป็นผลไม้ มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด เช่น น้ำผลไม้ ไวน์ และผลไม้อบแห้ง เป็นต้น[2],[3],[4]
2. ชาวชนบททางภาคอีสานมักจะนิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเตรียมสีย้อมฝ้ายหรือไหม จากการสกัดสีจากกิ่งของต้นด้วยตัวทำละลาย[5]
3. เป็นไม้ที่จัดได้ว่าหายาก มีผลไว้รับประทาน และให้ดอกที่สีสันสวยงาม จึงเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “นมควาย”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 122.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “นมควาย”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 385-386.
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พีพวนน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [25 มี.ค. 2014].
4. หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 568, วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557. “นมควาย ผลกินได้ รากเป็นสมุนไพร”. (ปรัชญา รัศมีธรรมวงศ์).
5. โรงเรียนบ้านท่าเสียว. “ดอกนมควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tasieo.ac.th. [25 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.vendio.com/stores/
2.https://sylviatramos.blog/

โทงเทงฝรั่ง ช่วยรักษาอาการต่อมน้ำลายอักเสบ

0
โทงเทงฝรั่ง
โทงเทงฝรั่ง ช่วยรักษาอาการต่อมน้ำลายอักเสบ เป็นพืชล้มลุกลักษณะเหมือนวัชพืช ผลอ่อนจะกลมใสมีสีเขียวอ่อน ผลสุกเหลือง มีรสหวาน มีเมล็ดเป็นจำนวนมาก
โทงเทงฝรั่ง
พืชล้มลุกลักษณะเหมือนวัชพืช ผลอ่อนจะกลมใสมีสีเขียวอ่อน ผลสุกเหลือง มีรสหวาน มีเมล็ดเป็นจำนวนมาก

โทงเทงฝรั่ง

โทงเทงฝรั่ง เป็นพืชล้มลุกลักษณะเหมือนวัชพืชมีถิ่นกำเนิดในหลายพื้นที่ ปลูกง่ายสามารถขยายพันธุ์ได้จากการเพาะเมล็ดพบได้ทั่วไปตามทุ่งหญ้า ดินลุ่มน้ำ ริมลำธารและหุบเขา ขอบถนน และป่าดิบชื้น โทงเทงมีอยู่ 2 ชนิด คือ โทงเทงไทย และโทงเทงฝรั่ง เมื่อผลสุกเหลืองรับประทานได้มีรสหวานคล้ายมะเขือเทศ
ชื่อสามัญ Ground cherry, Hogweed ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Physalis pubescens L. Var , Physalis angulata L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Physalis esquirolii H. Léveillé & Vaniot. อยู่วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น บาต้อมต๊อก บาตอมต๊อก ต้อมต๊อก ปิงเป้ง ปุงปิง ชาผ่อเหมาะ จะเก๊าหลือ ตะเงหลั่งเช้า ขู่จี๋ หวงกูเหนียง โคมจีน

หมายเหตุ โทงเทงชนิดนี้บางตำราจะเรียกว่าโทงเทงบก จัดเป็นพรรณไม้คนละชนิดกับต้นโทงเทงไทยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Physalis minima L. (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ โทงเทงไทย) ชนิดนี้มีขนาดต้น ใบ ผลเล็กกว่าต้นโทงเทงฝรั่ง[3]

ลักษณะทั่วไปของโทงเทงฝรั่ง

  • ต้น เป็นวัชพืชทั่วโลก มีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 30-100 เมตร ที่ลำต้นจะแตกกิ่งเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นพุ่ม กิ่งมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ที่ตามข้อจะมีขนนิดหน่อย ลำต้นอวบน้ำเปลือกจะเกลี้ยงมีสีเขียว โคนของลำต้นมีสีม่วงแดงจะค่อย ๆ จางไปถึงปลายยอด ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด ประเทศไทยสามารถพบพรรณไม้ชนิดนี้ได้เยอะที่ทางภาคเหนือ ที่บริเวณป่าเปิด ที่ชุ่มชื้นทั่วไป ที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,000 เมตร[1],[2],[3],[4],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวจะออกเรียงสลับ ใบเป็นรูปรี รูปไข่ รูปขอบขนาน ที่ปลายใบจะแหลมหรือแหลมยาว ส่วยที่โคนใบจะเป็นรูปลิ่มหรือมน แต่บางครั้งอาจจะเบี้ยว ที่ขอบใบจะเรียบหรือเป็นหยักซี่ฟันห่าง ๆ บางครั้งดูคล้ายกับเป็นพูตื้น ๆ ใบกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ที่หลังใบจะมีสีเขียว ส่วนที่ท้องใบจะมีขน มีเส้นแขนงใบอยู่ประมาณ 5-7 คู่ ก้านใบยาวประมาณ 1-3 เซนติเมตร[1],[3],[4]
  • ดอกออกเป็นเดี่ยวที่ตามซอกใบ ก้านดอกยาวได้ประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร มีแฉกลึกประมาณกึ่งหนึ่ง จะมีขนกระจาย เส้นกลีบจะมีสีเข้ม กลีบดอกเป็นรูประฆังบานคล้ายกับรูปกงล้อ มีสีเหลืองอ่อน มีสีเหลืองอ่อนแกมเขียว สีขาว จะมีจุดสีน้ำตาลเรียงกันเป็นวงใกล้โคนกลีบดอกด้านใน ที่ผิวกลีบจะมีขนกระจายด้านนอก ด้านในจะมีขนยาวที่โคน หลอดกลีบดอกมีความยาวประมาณ 4-8 มิลลิเมตร ที่ปลายจะเป็นแฉกตื้น ๆ เป็นรูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ก้านเกสรเพศผู้มีลักษณะหนามีสีน้ำตาลอมสีเขียวยาวเท่ากัน มีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร อับเรณูมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร เรณูมีสีเทา รังไข่มีลักษณะรีกลม มีความยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ก้านเกสรเพศเมียมีความยาวเท่าก้านเกสรเพศผู้หรืออาจจะยาวกว่านิดหน่อย ยอดเกสรจะเป็นตุ่ม ๆ หยักเป็นพู 2 พูมีสีเขียว ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม[1],[3],[6]
  • ผล มีกลีบเลี้ยงขยายหุ้มจนมิดผล ผลจะบาง มีสันอยู่ 10 สัน ที่ตรงสันจะมีเส้นสีม่วงตามยาว ผิวจะเป็นเส้นแบบร่างแห ผลภายในมีลักษณะเป็นรูปรีเกือบกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร ผลอ่อนจะกลมใสมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีสีเหลือง ในผลจะมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดจะกลมแบน มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.2-0.3 มิลลิเมตร ที่เมล็ดจะมีเมือกหุ้มคล้ายมะเขือเทศจำนวนมาก ติดผลช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม[1],[3],[4],[6]

สรรพคุณของโทงเทงฝรั่ง

  • สามารถใช้เป็นยาแก้พิษได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[9]
  • สามารถแก้อาการฟกช้ำบวม อักเสบได้ (ทั้งต้น)[1]
  • ต้นสามารถใช้ภายนอกเป็นยาแก้ฝี แก้ฝีหนองได้[1],[2] บ้างก็ว่าใช้ใบกับผลเป็นยารักษาฝีได้[8]
  • สามารถช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ (ทั้งต้น)[1] สามารถช่วยรักษาผิวหนังเป็นตุ่มหนองได้ (ทั้งต้น)[7]
  • ต้นสามารถใช้ลดอาการบวมน้ำได้[2]
  • สามารถแก้ลูกอัณฑะร้อนได้ (ทั้งต้น)[1]
  • สามารถแก้ปัสสาวะเป็นเลือดได้ (ทั้งต้น)[1]
  • สามารถใช้เป็นยาระบายได้ (ทั้งต้น)[9]
  • ต้นสามารถใช้เป็นยาแก้บิดได้ โดยใช้โทงเทง 35 กรัม มาต้มทานวันละ 2 ครั้ง ให้ทานติดต่อกัน 1-4 วัน[2]
  • ต้นสามารถใช้เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบได้ ด้วยการใช้ต้นสด 150 กรัม มาต้มกับน้ำทานวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน[2]
  • สามารถใช้แก้เสมหะเป็นสีเหลืองได้ (ทั้งต้น)[2]
  • สามารถใช้แก้โรคช่องปากอักเสบ และลิ้นอักเสบได้ (ทั้งต้น)[9]
  • สามารถรักษาโรคคอตีบได้ (ทั้งต้น)[1]
  • สามารถใช้เป็นยารักษาแผลในปากได้ โดยใช้เยื่อหุ้มผลแห้งที่เอาเมล็ดออกแล้ว 10 กรัม เปลือกส้ม 6 กรัม มา
  • ต้มกับน้ำผสมน้ำตาลกรวดให้หวานเล็กน้อย ใช้ดื่มต่างน้ำ[4]
  • สามารถใช้รักษาคางทูมได้ (ทั้งต้น)[2]
  • สามารถช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[9]
  • สามารถช่วยรักษาไอหืดเรื้อรังได้ (ทั้งต้น)[4]
  • สามารถแก้หวัดแดด และไอร้อนในปอดได้ (ทั้งต้น)[2]
  • ต้นถึงรากสามารถใช้เป็นยาแก้อาการร้อนในกระหายน้ำได้[1]
  • ต้นจะมีรสขม เป็นยาเย็น จะออกฤทธิ์กับปอด ตับ ทางเดินปัสสาวะ สามารถใช้เป็นยาดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ได้[2]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้เล็บขบได้ (ทั้งต้น)[2]
  • สามารถใช้รักษาแผลที่มีหนองได้ (ทั้งต้น)[4] บ้างก็ว่าใช้ใบกับผลทำเป็นยาทาแก้แผลเปื่อยได้[8]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดแสบปวดร้อนได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[9]
  • สามารถช่วยรักษาดีซ่านได้ (ทั้งต้น)[4]
  • เมล็ดสามารถใช้เป็นยาแก้การเป็นหมันได้[8]
  • สามารถช่วยแก้น้ำปัสสาวะเป็นสีเหลืองได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[9]
  • สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และแก้ปัสสาวะแสบร้อนได้ (ทั้งต้น)[2]
  • สามารถใช้รากเป็นยาขับพยาธิได้[4]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดหูได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[9]
  • ใบจะมีรสเปรี้ยว สามารถใช้เป็นยาแก้น้ำลายพิการได้[9]
  • สามารถแก้โรคเสียงแหบได้ (ทั้งต้น)[9]
  • สามารถแก้ฝีในคอได้ โดยใช้ทั้งต้นมาตำให้ละลายกับเหล้า แล้วใช้สำลีชุบน้ำอมไว้ข้างแก้ม แล้วค่อย ๆ กลืนน้ำผ่านลำคอ[1],[4]
  • สามารถแก้คออักเสบ และแก้ต่อมน้ำลายอักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ โดยใช้ทั้งต้นมาตำให้ละลายกับเหล้า แล้วใช้สำลีชุบน้ำยาอมไว้ข้างแก้ม แล้วค่อย ๆ กลืนน้ำผ่านลำคอ สามารถช่วยแก้ต่อมน้ำลายอักเสบได้ หรือจะ
  • ละลายกับน้ำส้มสายชู จะช่วยแก้อาการอักเสบในลำคอ[1],[4]
  • สามารถช่วยแก้เหงือกบวมได้ โดยใช้โทงเทง 25 กรัม มาต้มกับน้ำ แล้วใช้เป็นยาอมกลั้วคอบ้วนปาก (ทั้งต้น)[2]
  • สามารถใช้ฝนหยอดตาได้ จะช่วยแก้ตาแฉะ แก้ปวดเคืองในลูกตา และแก้ตาอักเสบได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[9]
  • สามารถแก้อาการเจ็บคอได้ โดยใช้โทงเทง 25 กรัม มาต้มกับน้ำ แล้วใช้เป็นยาอมกลั้วคอบ้วนปาก (ทั้งต้น)[1],[2],[4]
  • สามารถใช้เป็นยารักษาโรคหอบหืดได้ โดยใช้ทั้งต้นแห้ง 1/2 กิโลกรัมมาต้มกับน้ำ แล้วเติมน้ำตาลกรวดเพิ่มความหวานเล็กน้อย ให้ทานหลังอาหารครั้งละ 1/4 ถ้วยแก้ว วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 10 วัน และให้หยุดยา 3 วัน หลังจากนั้นก็ให้ทานต่ออีก 10 วัน พักอีก 3 วัน แล้วทานต่ออีก 10 วัน อาการของหอบหืดก็จะดีขึ้น (ทั้งต้น)[4]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ และแก้ไอได้ (ทั้งต้น)[9]
  • นำรากมาต้มกับน้ำทานวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น เป็นยารักษาโรคเบาหวาน[4]

ประโยชน์ของโทงเทง

  • ผลมาเป่าลมเล่นจะทำให้แตก สามารถใช้เป็นของเล่นเด็กได้ (ม้ง)[5]
  • การป้องกันการเกิดของโรคมะเร็ง ได้มีการคิดค้นตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่มีส่วนผสมของโทงเทงในองค์[9]
  • ผลสุกของโทงเทงสามารถทานได้ จะมีรสหวานเอียน (กะเหรี่ยงแดง)[5],[6]

ขนาดกับวิธีใช้

นำไปอบหรือตากให้แห้ง ใช้ครั้งละ 15-35 กรัม มาต้มกับน้ำทาน หรืออาจจะใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ในตำรับยาตามที่ต้องการ ส่วนต้นสดที่ใช้ภายนอก ให้นำมาใช้ตำพอกฝีหนอง หรือใช้ต้นสดมาต้มกับน้ำ ใช้ไอน้ำอบผิว หรือใช้น้ำต้มมาล้างแผล[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของโทงเทงฝรั่ง

  • ผลการวิจัยของประเทศอินเดีย เมื่อ ค.ศ. 1973 พบว่า สารสกัดของสมุนไพรโทงเทงสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนที่นำมาใช้ก็คือ ทั้งต้น ราก เยื่อหุ้มผลแห้ง[9]
  • จากการทดสอบโดยใช้โทงเทง 35 กรัมเป็นยาแก้บิด โดยนำมาต้มกับน้ำทานวันละ 2 ครั้ง ทานติดต่อกัน 1-4 วัน จากการรักษาผู้ป่วยเป็นจำนวน 100 คน พบว่ามีผู้ป่วยที่หายดีจำนวน 95 คน[2]
  • สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ในโทงเทง เป็นสารที่สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้[9]
  • ต้นของโทงเทงจะพบว่ามีสาร Physaline[2]
  • จากการวิจัยของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าสารสกัดของต้นโทงเทงจะมีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ[9]
  • ใช้ทั้งต้นมาสกัดทำยาแก้ไอให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบจำนวน 36 คนทาน พบว่าผลการรักษาผู้ป่วยหายดี มีประสิทธิภาพในการรักษาคิดเป็น 67%[2]
  • พบว่าในเมล็ดของโทงเทงมีน้ำมัน 21% ในน้ำมันพบว่ามีสาร Linoleic acid, Oleic acid[2]

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรโทงเทงฝรั่ง

1. การทานสมุนไพรโทงเทงช่วง 1-5 วันแรก บางคนอาจจะมีอาการเวียนศีรษะ นอนไม่หลับ อึดอัด หงุดหงิด แต่หลังจากนั้นอาการก็ค่อย ๆ หายไป[4]
2. กลีบเลี้ยงของต้นจะมีสารพิษโซลานิน (Solanine) สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองกับระบบทางเดินอาหาร เมื่อทานไปหลายชั่วโมงผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่ปากกับคอหอย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องร่วง อุณหภูมิร่างกายจะสูง เป็นต้น ถ้ายังไม่อาเจียนออกจำเป็นจะต้องล้างท้อง ให้น้ำเกลือ ระวังอาการไตวาย และให้ยาเคลือบกระเพาะอาหาร ถ้ามีอาการชักแพทย์ก็จะให้ยาแก้ชัก[9]
3. สตรีที่มีครรภ์ห้ามทานสมุนไพรชนิดนี้[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “โทงเทง (Thong Theng)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 148.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “โทงเทง”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 282.
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “โทงเทง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [24 มี.ค. 2014].
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “โทงเทง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [24 มี.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “โทงเทง”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์) [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [24 มี.ค. 2014].
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 5. “โทงเทง”. (วีระชัย ณ นคร).
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “โทงเทง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [24 มี.ค. 2014].
พืชสมุนไพร (Medicinal Plants), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “โทงเทง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/AgrInfo/plant/index.html. [24 มี.ค. 2014].
ASTV ผู้จัดการออนไลน์. “สมุนไพรไม้เป็นยา : “โทงเทง” สมุนไพรที่ไม่ไร้ค่า รักษาเบาหวาน ยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ”. อ้างอิงใน: นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 167 พฤศจิกายน 2557 โดย มีคณ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [24 เม.ย. 2016].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://warcapps.usgs.gov

ทุเรียนรสชาติอร่อย ราชาแห่งผลไม้ไทย

0
ทุเรียน
ราชาแห่งผลไม้ไทย ผลมีขนาดใหญ่เปลือกสีเขียวอมสีน้ำตาล มีหนามแข็งปกคลุม เนื้อสีเหลืองเนียนเหมือนคัสตาร์ด รสหวานมัน มีกลิ่นเฉพาะตัว
ทุเรียน
ราชาแห่งผลไม้ไทย ผลมีขนาดใหญ่เปลือกสีเขียวอมสีน้ำตาล มีหนามแข็งปกคลุม เนื้อสีเหลืองเนียนเหมือนคัสตาร์ด รสหวานมัน มีกลิ่นเฉพาะตัว

ทุเรียน

ทุเรียน เป็นราชาผลไม้ไทย เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ผลขนาดใหญ่ ผลมีลักษณะรีถึงกลม มีเปลือกสีเขียวถึงสีน้ำตาล ปกคลุมด้วยหนามแข็ง อาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวถึง 15 ซม. น้ำหนักทั่วไปประมาณ 1-3 กิโลกรัม มีเนื้อที่ทานมีสีเหลืองซีดถึงสีแดงจะแตกต่างกันตามสายพันธุ์
ชื่อสามัญ Durian ชื่อวิทยาศาสตร์ Durio zibethinus L. ชื่อวงศ์ตระกลู : Bombacaceae มีมากกว่า 30 ชนิด มี 9 ชนิดที่สามารถทานได้ คือ Durio zibethinus, Durio dulcis, Durio grandiflorus, Durio graveolens, Durio kutejensis, Durio lowianus, Durio macrantha, Durio oxleyanus, Durio testudinarum มีเพียงสายพันธุ์ Durio zibethinus ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และชนิดนี้สามารถแบ่งแยกย่อยอีกมากกว่า 200 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่นิยมและปลูก คือ พันธุ์หมอนทอง ชะนี กระดุมทอง พันธุ์ก้านยาว มีกลิ่นเฉพาะตัว เนื้อจะเหมือนคัสตาร์ด จะมีรสคล้ายกับอัลมอนด์ บางคนบอกว่ามีกลิ่นหอม แต่บางคนบอกว่ามีกลิ่นเหม็นรุนแรงถึงขั้นสะอิดสะเอียน (ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ห้ามนำเข้าโรงแรมและการขนส่งสาธารณะ) สามารถทานได้ทั้งสุกและห่าม และใช้ทำอาหารได้หลายอย่าง เมล็ดก็ทานได้แต่จะต้องทำให้สุกก่อนทาน ซึ่งการปลูกที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อกันว่าผู้ที่อยู่อาศัยจะเป็นผู้มีความรู้ วิชาการเรียน หรือเป็นผู้รู้เยอะ เนื่องจากมีเสียงพ้องเกี่ยวกับการเรียน

สรรพคุณของทุเรียน

  • สามารถใช้สมานแผลได้ (เปลือก)
  • สามารถแก้ฝีได้ (เปลือก)
  • สามารถช่วยรักษาโรคคางทูมได้ (เปลือก)
  • สามารถทำให้หนองแห้งได้ (ใบ)
  • สามารถช่วยขับพยาธิได้ (ใบ, เนื้อ)
  • สารสกัดที่ได้จากใบกับรากใช้เป็นยาแก้ไข้ได้ โดยใช้น้ำจากใบวางบนศีรษะจะช่วยลดไข้ได้ (ราก, ใบ)
  • สามารถช่วยทำให้ฝีแห้งได้ (เนื้อ)
  • เปลือกสามารถใช้ไล่ยุงกับแมลงได้ (เปลือก)
  • สามารถช่วยรักษาแผลพุพองได้ (เปลือก)
  • สามารถแก้น้ำเหลืองเสียได้ (เปลือก)
  • เปลือกสามารถแก้ตานซางได้
  • ใบช่วยแก้ดีซ่านได้
  • รากช่วยแก้อาการท้องร่วงได้
  • เนื้อสามารถช่วยแก้โรคผิวหนังได้

ประโยชน์ของทุเรียน

  • สามารถนำเปลือกมาผลิตเป็นกระดาษได้ จะมีเส้นใยที่เหนียวนุ่ม เหนียวกว่าเนื้อของกระดาษสา
  • สามารถใช้ใบอ่อนหรือหน่อมาทำอาหารบางอย่างที่คล้ายผักใบเขียวได้
  • สามารถนำผลมาแปรรูปหรือใช้ทำขนมหวานได้ เช่น ลูกกวาดโบราณ ขนมไหว้พระจันทร์ ขนมปังสอดไส้ ไอศกรีม มิลก์เชก เค้ก คาปูชิโน ข้าวเหนียว เต็มโพยะก์ ดอง แช่อิ่ม กวน ทอดกรอบ แยม
  • มีไขมันมาก แต่เป็นไขมันชนิดดีไม่เป็นโทษกับร่างกาย
  • พันธุ์หมอนทองสามารถลดระดับไขมันหรือคอเลสเตอรอลได้ เนื่องจากพันธุ์หมอนทองมีสารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) และมีเส้นใยที่สามารถช่วยลดไขมันได้ แต่ต้องทานเพียง 1 พูต่อวัน (นพ.กฤษดา ศิรามพุช)
  • ประเทศอินโดนีเซียมีการนำดอกมาทาน
  • สามารถใช้เปลือกเป็นเชื้อเพลิงในการรมควันปลาได้
  • เมล็ดสามารถทานได้ โดยทำให้สุกด้วยการคั่ว การทอดในน้ำมันมะพร้าว หรือนึ่ง เนื้อในมีลักษณะคล้ายเผือกหรือมันเทศแต่จะเหนียวกว่า
  • เส้นใยสามารถช่วยในการขับถ่ายให้สะดวกมากขึ้น
  • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทอง ถ้าบริโภคปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันการเกิดของโรคในมนุษย์ได้ อย่างเช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 174 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินเอ 44 หน่วยสากล
วิตามินบี 1  0.374 มิลลิกรัม 33%
วิตามินบี 2 0.2 มิลลิกรัม 17%
วิตามินบี 3 1.74 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี 5  0.23 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 6 0.316 มิลลิกรัม 24%
วิตามินบี 9 36 ไมโครกรัม 9%
วิตามินซี 19.7 มิลลิกรัม 24%
คาร์โบไฮเดรต 27.09 กรัม
ไขมัน 5.33 กรัม
เส้นใย 3.8 กรัม
โปรตีน 1.47 กรัม
ธาตุเหล็ก 0.43 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.325 มิลลิกรัม 15%
ธาตุโพแทสเซียม 436 มิลลิกรัม 9%
ธาตุสังกะสี 0.28 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแคลเซียม 6 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแมกนีเซียม 30 มิลลิกรัม 8%
ธาตุฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม 6%
ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม 0%

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

โทษของทุเรียน

มีน้ำตาลสูงและมีไขมัน กำมะถัน ไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะถ้าทานอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จะทำให้รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว และทำให้เกิดร้อนใน สำหรับบุคคลทั่วไปควรบริโภคแต่น้อย และมีความเชื่อโบราณว่าห้ามให้หญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูงทาน และไม่ควรทานกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับกาแฟ เนื่องจากเป็นของร้อนทั้งคู่ เดี๋ยวจะทำหลับไม่ตื่น

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.npr.org/sections/thesalt