เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ

0
เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ
การจะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ
การจะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน

การดูแลผิว

เพื่อที่จะให้ได้ผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยอย่างที่ใจปรารถนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ดูแลผิว อย่างสม่ำเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่ผิวจะดูดีขึ้นมาทันทีราวปาฏิหาริย์ หลังจากที่ถูกปล่อยปละละเลยมานานแรมปี ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะใช้เวลานานสักเพียงใด เป็นเดือนเป็นปีหรือจะหลาย ๆ ปี ก็มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณบางอย่างที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้กลับมาเป็นปกติหรือกลับมาดูดีเช่นเดิมได้ เช่น ริ้วรอยที่ลึก การหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อที่มากเกินไป หรือสภาพผิวที่เสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากการโดนแสงแดดแผดเผาโดยปราศจากการดูแลมาเป็นเวลาแรมปี ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่มิอาจเยียวยาให้กลับมาดูดีได้ ( อย่างน้อยเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่ฟื้นฟูมาก็ไม่มีทางดูดีได้เหมือนเดิม ) เราจึงจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณของเราทุกวันและอย่างสม่ำเสมอก่อนที่จะสายเกินไป

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แบบทดสอบผิวก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง

การเลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับประเภทผิวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการมีผิวสวยและอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การพิจารณาประเภทของผิวอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก มีคนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาผิวหน้ามากเกินกว่าที่จะวิเคราะห์หาประเภทของผิวที่แท้จริงได้ ในขณะที่คนอีกจำนวนไม่น้อยสับสน ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีสภาพผิวอย่างไรกันแน่ บางครั้งพบว่าผิวของตนแห้งมากเมื่อล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ แต่แล้วกลับมีน้ำมันผลิตออกมามากในเวลาต่อมา เพื่อที่จะทราบประเภทของผิวที่แน่นอน การขอคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เมื่อคุณได้ทราบประเภทที่แน่นอนของผิวของคุณแล้ว ทำให้สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีการบำรุงรักษาผิวที่ถูกต้องและเหมาะสมได้สะดวกยิ่งขึ้นในคราวต่อไป สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นแบบทดสอบสภาพผิวที่จะทำให้ทราบถึงประเภทผิวอย่างคร่าว ๆ ซึ่งจะช่วยคุณในการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้บ้าง โดยให้ตอบ “ ใช่ ” ในคำตอบที่ตรงกับสภาพผิวของคุณ

ลำดับ สภาพผิว
1 ผิวมักมีตุ่มอักเสบ
2 ผิวแพ้ง่ายกว่าปกติ
3 ผิวด้าน หยาบ หมองคล้ำ
4 ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย
5 ผิวหยาบกร้าน
6 ผิวมีรูขุมขนกว้าง
7 ผิวคล้ำง่ายเวลาโดนแดดแรง ๆ
8 ผิวเป็นสีแดงเวลาเจอแสงแดด ลม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางชนิด
9 ผิวแต่งตึง ไม่มีถุงใต้ตาหรือริ้วรอยหย่อนยาน
10 ผิวเปลี่ยนแปลงสภาพได้ง่ายเวลาเจอความเครียด
11 ผิวลื่น ชุ่มน้ำ น่าสัมผัส
12 ผิวไวต่อการสัมผัส
13 ผิวสว่าง สดใส เต่งตึง และยืดหยุ่นดี
14 ผิวแห้ง และมันทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผิวผสม
15 มีสิวเสี้ยนเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นอยู่บ่อย ๆ
16 ปรากฏริ้วรอยเล็ก ๆ ขึ้นๆ ขึ้นอยู่เต็มไปหมด
17 เมื่อออกแรงดึงผิว ผิวจะคลายตัวและกลับมาอยู่ในสภาพเดิมทันที
18 หน้าแดงเวลาเปลี่ยนแปลงอารมณ์

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ตอบ “ ใช่ ” 1-5 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวธรรมดา เป็นผิวที่ดูแลง่ายไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่อง การดูแลผิว มากนัก มีขนาดของรูขุมขนปานกลาง แต่บริเวณจมูกและคางอาจมีรูขุมขนกว้างอยู่สักหน่อย ยังผลให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีน้ำมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ผิวมีความยืดหยุ่นอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่แห้งหรือมันจนเกินไป ผิวเนียนเรียบ เกลี้ยงเกลา ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลหรือการบำรุงที่ยุ่งยากซับซ้อน ผิวมีความสว่างใสพอสมควรและจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ กล่าวคือในช่วงที่มีอากาศหนาวหรือแห้งแล้ง ผิวจะแห้งกร้านกว่าเดิมเล็กน้อย ในขณะที่อากาศร้อนอบอ้าวผิวจะมันยิ่งกว่าเดิม

ควรใช้วิธีการบำรุงผิวที่เรียบง่ายและสะดวกต่อการดูแลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำความสะอาดผิวใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ 2 ครั้งต่อวัน หลีกเลี่ยงการใช้คลีนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สบู่ หรือสารซักฟอกที่รุนแรง ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณน้อย เมื่อต้องออกไปทำธุระกลางแจ้ง อย่าลืมทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสีอันตราย

ตอบ “ ใช่ ” 6-10 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวแห้ง ไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องสิว ผิวมีรูขุมขนที่เล็กมาก ผิวเนียนเรียบ ไม่มีปัญหาผิวมัน แต่มีปัญหาเรื่องผิวขาดความสดใส ไร้ชีวิตชีวา แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น หลังจากทำความสะอาดจะรู้สึกแห้งตึง ผิวเป็นขุย และมีอาการคัน

การดูแลผิว แห้งควรทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ แอลกอฮอล์ หรือสารซักฟอกที่รุนแรงและเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโลนิก และโซเดียมพีซีเอ ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูง หรือแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือแบบที่มีสารกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส

ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังเช่น Colloidal Oatmeal ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยรักษาผิวที่แห้งให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นได้นานขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกที่รุนแรง และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดทุกครั้ง เมื่อต้องออกไปข้างนอก หรือต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ เพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมของริ้วรอยที่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

ตอบ “ ใช่ ” 10-14 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวที่แพ้ง่าย เป็นผิวอีกประเภทหนึ่งที่ต้องได้รับ การดูแลผิว อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง สบู่แอลกอฮอล์ หรือมีสารซักฟอกที่รุนแรงต่อผิว ทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง หลังจากทำความสะอาด ทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวได้ในที่สุด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อต้องการออกแดด ให้ทาครีมกันแดดชนิดบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คาดว่าจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น สารซักฟอกที่รุนแรง แอลกอฮอล์ สารกันบูด น้ำหอม สีสังเคราะห์ เป็นต้น หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ เนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่าง ๆ ใช้เครื่องสำอางที่ติดทนนานให้น้อยลง

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารชะล้างที่รุนแรง หากต้องแต่งหน้า ควรเลือกเครื่องสำอางที่สามารถล้างออกได้ง่าย ๆ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองดังกล่าว เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ หรือน้ำแร่แทน

ตอบ “ ใช่ ” 15 ข้อขึ้นไป
ผิวของคุณเป็นผิวมัน เป็นผิวที่มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันออกมามากเกินไป ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก หรือกรดเอเอชเอ เนื่องจากจะช่วยลดการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมันให้น้อยลง หากผิวมันมาก หลังจากทำความสะอาดตามปกติ ให้เช็ดผิวด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและแอลกอฮอล์

หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะผิวของคุณมีน้ำและน้ำมันมากเกินพอแล้ว หากทามอยส์เจอไรเซอร์จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมันให้แก่ผิวหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ในที่สุด ถ้าอยากใช้หรือจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน

หากต้องออกไปข้างนอกหรือเผชิญกับแสงแดด อย่าลืมใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่มีผิวมันมาก ๆ หากทำตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้นแล้วพบว่าผิวยังมันอยู่เช่นเดิม ให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ ซัลเฟอร์ กรดอาเซเลอิก และเรตินอยด์ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

เคล็ดลับการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้ผิวสวย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ผู้ใช้จำเป็นต้องรู้จักวิธีการทาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เพราะหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของผิวพรรณ นอกจากกระบวนการทางเคมีและผิวแต่ละคนที่แตกต่างกันแล้ว วิธีทาครีมก็มีความสำคัญต่อความสวยงามของผิวด้วยเช่นกัน ด้วยวิธีการทาที่แตกต่างกัน ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกันแม้ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ว่าจะเป็น ครีม เจล หรือโลชั่น จะมีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน อันได้แก่ สารออกฤทธิ์ ซึ่งอาจเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติหรือสารสังเคราะห์ก็ได้ ที่จะทำปฏิกิริยากับผิวและสารที่ไม่ออกฤทธิ์ ซึ่งจะเป็นสารที่ไม่ทำปฏิกิริยา แต่จะทำหน้าที่ในการป้องกันหรือส่งเสริมสารออกฤทธิ์ให้ทำปฏิกิริยากับผิวได้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลิตภัณฑ์สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีและมากพอ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกซื้อและวิธีการทาผลิตภัณฑ์    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขั้นตอนในการทาผลิตภัณฑ์ให้ได้ผลดีที่สุด

ความสามารถในการดูดซึมของผิวหนังจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิความชื้น สภาพแวดล้อม และปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะทำให้ส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ในครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้มากที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้งเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก หรือสารเคมีที่เคลือบอยู่บนผิว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดก่อนที่จะทำการ ดูแลผิว ทุกครั้ง ไม่ว่าจะทาครีม การมาสก์หน้า ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้ทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้ง ครีมบำรุงผิวจะซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดีที่สุดเมื่อคุณพึ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ ๆ เนื่องจากในช่วงนั้นผิวของคุณจะอุ่น มีความชุ่มชื้นและสะอาด ทำให้ครีมสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี

ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะช่วยรักษาปริมาณน้ำที่อยู่ในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม เนื่องจากครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบได้ดีเมื่อผิวอุ่น หากผิวของคุณเย็นให้ประคบผิวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นก่อน หลีกเลี่ยงการประคบผิวด้วยน้ำร้อน น้ำที่ร้อนเกินไปจะทำให้ผิวระคายเคืองได้รับความเสียหายและมีแนวโน้มที่จะเหี่ยวย่นได้เร็วอีกด้วย

หลังจากทำความสะอาดผิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ซับน้ำส่วนเกินออก อย่าเช็ดผิวจนแห้ง ควรปล่อยให้ความชื้นหลงเหลืออยู่ที่ผิวบ้าง ทาครีมบำรุงผิวในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวจะซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีเมื่อมันถูกทำให้ละลาย

ผิวด้านบนสุดเป็นส่วนของหนังกำพร้าที่ตายแล้ว การปล่อยให้เซลล์ส่วนนี้เกิดการสะสมตัวจนหนา จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอย หยาบกร้าน และทำให้ความสามารถในการซึมซาบเข้าสู่ผิวของสารออกฤทธิ์ลดน้อยลงไปด้วย

วิธีผลัดเซลล์ผิวส่วนบนที่ขอแนะนำคือการขัดผิวเบา ๆ ด้วยสครับที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เพราะเป็นวิธีที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย ราคาถูกและสามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกไปอย่างนิ่มนวล ทำให้ผิวสดใสแลดูอ่อนกว่าวัย

เมื่อต้องทาครีมให้ใช้วิธีลูบไล้อย่างเบามือด้วยนิ้วกลางและนิ้วนาง เนื่องจากเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อยที่สุด อย่าถูไปมาแรง ๆ หรือดึงผิวให้ตึงก่อนทา เมื่อทาเสร็จแล้ว ให้ใช้นิ้วมือตบผิวเบา ๆ เป็นเวลาครึ่งนาทีเพื่อกระตุ้นให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ปริมาณของครีมที่ใช้ในแต่ละครั้งควรมีปริมาณที่เหมาะสม หากน้อยเกินไปจะทำให้ผิวไม่ได้รับสารออกฤทธิ์อย่างเพียงพอ ทำให้ผิวไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควร ในขณะที่การใช้ครีมที่มากเกินไปจะทำให้ผิวมันและเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในแต่ละครั้งควรเท่ากับผลเชอรี่ขนาดกลาง 1 ผล

เมื่อต้องทาครีมบนใบหน้า ให้แต้มครีม 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก จมูก แก้มทั้ง 2 ข้างและคาง แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยครีมให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หรือถูกลับไปมาเพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดริ้วรอยตามมาได้
หากต้องทาครีมรอบดวงตาให้ใช้นิ้วนางแต้มครีมประมาณ 1 เม็ดถั่วเขียวไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา จะเริ่มจากหัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ตามความถนัด แล้ววนครีมรอบรอบดวงตาให้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง อย่าถูกลับไปมา เพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้

สำหรับผิวกายให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะอย่าใช้มากหรือน้อยจนเกินไป ลูบไล้ครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ จนรู้สึกว่าครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวดีแล้วจึงค่อยลงไปที่ส่วนขา

สำหรับคอ ให้ใช้ครีมปริมาณเท่าที่ใช้กับใบหน้า ลูบไล้เนื้อครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วคอทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยจากแรงโน้มถ่วง

สำหรับขา ให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณผลเชอรี่ขนาดกลาง 2 ผล) ลูบไล้ครีมให้ทั่วทั้งขา โดยเริ่มจากต้นขาก่อนแล้วค่อยไล่ลงไปที่หน้าแข้ง ทาอย่างเบามือ พึงระลึกไว้เสมอว่าเพื่อความเปล่งปลั่งสวยงามไร้ริ้วรอย จำเป็นต้อง ดูแลผิว ทุกส่วนด้วยความอ่อนโยนเน้นบริเวณหน้าแข้ง เนื่องจากเป็นบริเวณที่ต้องเจอสภาพแวดล้อมมากกว่าต้นขา จึงมีแนวโน้มที่จะแห้งกร้านได้ง่ายกว่า

สำหรับเท้า ควรใช้ครีมแต่พอประมาณ ทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า เนื่องจากเท้าเป็นจุดศูนย์รวมของปลายประสาท การนวดเบา ๆ บริเวณฝ่าเท้าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและช่วยสร้างความผ่อนคลายได้ดี

สำหรับแขน ให้เริ่มทาจากท้องแขนขึ้นไปอย่างเบามือ แล้วลูบไล้ขึ้นไปตั้งแต่ข้อมือไล่ไปจนถึงหัวไหล่

สำหรับมือ ให้บีบครีมประมาณ 1 ผลเชอรี่ขนาดกลาง ลูบไล้ครีมให้ทั่วมือ ทั้งฝ่ามือและหลังมือ นวดจากปลายนิ้วไปจรดโคนนิ้ว นวดทีละนิ้วใช้หัวแม่มือคลึงบนข้อต่อแต่ละข้อเป็นวงกลม หงายฝ่ามือขึ้น นวดฝ่ามือทีละครึ่งฝ่ามือจนทั่ว แล้วหมุนข้อมือไปมา 2-3 รอบ นอกจากจะช่วยบำรุงผิวที่มือแล้วการทำเช่นนี้ยังกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สำหรับคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบาง ควรทามอยส์เจอไรเซอร์หลังอาบน้ำ ในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพราะนอกจากจะทำให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีแล้ว ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ได้อีกด้วย หากผิวแห้ง ให้พรมน้ำให้ผิวชื้นก่อนทาจะทำให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางมาก ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อครีมบำรุงผิวชนิดใด ๆ ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนเสมอ โดยการทาครีมที่ผิวทิ้งไว้สักพัก หากไม่พบอาการคันหรือรอยผื่นแดง หรืออาการผิดปกติใด ๆ ในบริเวณดังกล่าว จึงค่อยตัดสินใจซื้อ
สำหรับผู้ที่มีผิวผสม การใช้ครีมบำรุงผิวต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าผิวประเภทอื่น เนื่องจากผิวจะประกอบไปด้วยส่วนที่มันและแห้งรวมกันอยู่ หากไม่ระวังให้ดี ครีมที่ใช้อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาโดยไม่รู้ตัว หลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงกับผิวบริเวณที่บอบบางและอาจทำให้ผิวเสียได้

สำหรับผู้ที่มีผิวมัน ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวเลยก็ว่าได้ แต่หากต้องการจะใช้จริง ๆ ให้เลือกชนิดที่บางเบา และปราศจากน้ำมันจึงจะดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ครีมดังกล่าวเพิ่มความมันให้แก่ผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวอุดตันได้ในเวลาต่อมา

สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ให้ใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงและใช้ครีมกันแดด หากต้องออกไปกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าครีมที่คุณทาลงไปสามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวของคุณได้อย่างล้ำลึกอย่างเต็มที่หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ทราบว่าครีมดังกล่าวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ล้ำลึกและเต็มที่หรือไม่นั้น ให้สังเกตจากความรู้สึกของผิวหากรู้สึกเย็นซ่าหลังจากทาผลิตภัณฑ์บำรุงที่ทำมาจากธรรมชาติ นั่นก็หมายความว่าครีมดังกล่าว สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นชั้นเป้าหมายที่ต้องการให้สารออกฤทธิ์ทำปฏิกิริยาเต็มที่แล้ว

เพื่อที่จะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยอย่างที่ใจปรารถนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ดูแลผิว อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสียหายที่มิอาจเยียวยาให้กลับมาดูดีได้      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ตรวจสอบอายุของผิวสบายดีไหม

ประโยคที่ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงเรามี 2 อายุ ซึ่งได้แก่ อายุจริงที่ซ่อนอยู่ใต้ผิว กับอายุที่ฟ้องด้วยริ้วรอย ดูเหมือนเป็นความจริงเพราะมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือว่าวัยสาวแต่สภาพของผิวกลับร่วงโรย เสื่อมโทรมจนน่าตกใจ ในขณะที่ผู้หญิงบางคนแม้ว่าจะมีอายุมากแล้วแต่กลับมีผิวที่เต่งตึงเรียบเนียน ไร้ริ้วรอยไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวเลย ซึ่งมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อความร่วงโรยของผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการ การพักผ่อน การออกกำลังกาย ความเครียด บุหรี่ แอลกอฮอล์ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือแสงแดดและมลภาวะ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แสงแดดและมลภาวะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัยอันสมควร หากเราไม่เคยเผชิญกับแสงแดดหรือมลภาวะที่เป็นพิษเลย ริ้วรอยเส้นแรกจะปรากฏเมื่อเราอายุ 50 ปี จากความจริงข้อนี้ทำให้เราทุกคนต่างตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ต่างพบว่าริ้วรอยที่ปรากฏนั้นมาก่อนช่วงเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงมาก ( บางรายอาจมีตั้งแต่ตอนวัยรุ่นเสียด้วยซ้ำ ) ริ้วรอยแต่ละเส้นที่ปรากฏบนผิวพรรณเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เห็นถึงความร่วงโรยที่เกิดขึ้นกับผิวทั้งสิ้น

เนื่องจากวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันเอื้ออำนวยต่อความเสื่อมโทรมของผิวพรรณมากยิ่งขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงจากต่างประเทศ แม้ว่าจะเป็นครีมที่มีประสิทธิภาพในการถนอมผิวที่ดีเยี่ยม แต่ผิวพรรณกลับเสื่อมโทรมลงอย่างน่าประหลาดใจ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าครีมบำรุงผิวอาจมีส่วนช่วยในการบำรุงและช่วยชะลอความร่วงโรยของผิวได้บ้างในระยะหนึ่ง แต่เป็นไปไม่ได้ที่ครีมเหล่านั้นจะป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยเมื่อเวลาอันสมควรมาถึง

อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงที่ใช้อยู่นั้น จะกลายเป็นของมีค่าไปในทันที หากยังดำรงชีวิตอยู่บนความเสี่ยงที่เป็นต้นเหตุของความเสื่อมโทรมและริ้วรอยอยู่อย่างเคย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวเสริมอีกว่า มีกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจําวันบางอย่างที่ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของผิวอย่างรุนแรงโดยคาดไม่ถึงมาก่อน ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นโปรแกรมการบำรุงผิวใด ๆ ควรสำรวจตัวเองถึงปัจจัยเสี่ยงอันนำไปสู่ภาวะเสื่อมโทรม ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย

เพื่อที่จะทราบว่ามีความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิวเร็วกว่าปกติหรือไม่ให้ตอบคำถามต่อไปนี้ตามความเป็นจริง

ลำดับ ความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิว
1 ฉันสูบบุหรี่เป็นประจำ
2 ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องแอร์
3 ฉันนอนดึกเป็นประจำ
4 ฉันอาบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หรือแทบจะทุกวัน
5 ในวันหนึ่ง ๆ ฉันต้องเผชิญกับแสงแดดเสียเป็นส่วนใหญ่
6 ฉันมักตื่นมากลางดึก
7 ฉันนอนไม่ค่อยหลับลึกหลับไม่สนิทบ่อย ๆ
8 ฉันไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
9 ฉันต้องแต่งหน้าทุกวัน
10 ฉันกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่
11 ฉันกินอาหารให้ถูกสัดส่วน
12 ฉันสัมผัสกับกระดาษหรือสิ่งพิมพ์บ่อย ๆ
13 ฉันไม่ค่อยมีเวลา ดูแลผิว ตัวเองสักเท่าไร
14 ฉันเข้านอนโดยไม่ได้ล้างหน้าอยู่บ่อย ๆ
15 ฉันรู้สึกเหนื่อยและเครียดกับการทำงานที่ทำเสมอ
16 ฉันรู้สึกว่ามีภาระมากเกินกว่าที่ฉันจะแบกรับได้
17 ฉันมาทำงานอยู่ท่ามกลางมลภาวะเสมอ
18 เมื่อตื่นนอน ฉันรู้สึกอ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่เสมอ
19 ฉันดื่มน้ำน้อย
20 ฉันรู้สึกว่าฉันมีริ้วรอยมากกว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน
21 ฉันชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง
22 ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายและเหน็ดเหนื่อยทุกครั้งที่วันจันทร์มาถึง
23 ฉันชอบกินขนมนมเนยและของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาล แป้งและเกลือสูง
24 ฉันไม่ค่อยชอบกินธัญพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเมล็ดถั่วทุกชนิด
25 ฉันไม่มีแรงบันดาลใจในการกระตือรือร้นหรือมีพลังในการทำงาน
26 ฉันไม่สามารถระบายความทุกข์หรือความลำบากที่ฉันมีให้คนอื่นรับรู้ได้
27 ฉันมักอยู่ในสถานที่สกปรกมีควันพิษ ฝุ่นละออง และมีเสียงดังหนวกหู

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ “ใช่” นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังทำร้ายผิวพรรณของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากคุณยังคงดันทุรังดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิม โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น นอกจากสุขภาพโดยรวมของคุณจะเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติแล้ว ผิวพรรณของคุณยังมีแนวโน้มที่จะร่วงโรยเร็วกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เพื่อหยุดยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณและสุขภาพ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่และหันมา ดูแลผิว ตัวเองให้มากขึ้น เอาใจใส่ในปัจจัยที่มีผลต่อความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอยให้มากขึ้นด้วยความใส่ใจที่มากขึ้น คุณจะพบว่าความเสื่อมโทรมที่เป็นอยู่จะได้รับการเยียวยาและสามารถฟื้นตัวได้ในเร็ววัน

ผิวของคุณแก่เร็วแค่ไหน

ความเสื่อมโทรมของผิวเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถชะลอได้ด้วยการปรนนิบัติผิวของเราอย่างถูกต้องและเหมาะสม กระบวนการเสื่อมโทรมตามธรรมชาติของผิวก็จะดำเนินไปอย่างช้าลง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือตารางแสดงลำดับความเสื่อมโทรมตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณ ด้วยการเปรียบเทียบอายุจริง คุณจะทราบว่าในขณะนี้ผิวพรรณมีลักษณะเป็นเช่นไร ริ้วรอยหรือความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เราทราบว่าถึงเวลาแล้วที่ควรหันมาใส่ใจผิวพรรณอย่างถูกวิธีเสียที

อายุน้อยกว่า 15 ปี
สภาพผิว ผิวสวยใส เรียบเนียน กระชับเต่งตึงไม่หย่อนคล้อยและมีรูขุมขนเล็ก

อายุ 15-25 ปี
สภาพผิว มีความมันขึ้นประปราย รูขุมขนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มมีริ้วรอยตื้น ๆ เกิดขึ้นบ้างแต่เล็กน้อย

อายุ 25-45 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น ริ้วรอยเริ่มลึกกว่าเดิมเริ่มเกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา มีรอยย่นบริเวณหน้าผาก ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ผิวเริ่มหยาบขาดความชุ่มชื้น ในบางรายอาจพบสิวประปราย

อายุ 45-55 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น มีรอยบวมรอบ ๆ ดวงตา รูขุมขนขยายตัว มีริ้วรอยรอบดวงตาและแก้ม ความเปล่งปลั่งของผิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเริ่มซีดเหลือง      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อายุ 55 ปีขึ้นไป
สภาพผิว ร่องรอยแห่งวัยเพิ่มมากขึ้นและลึกยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความกระชับเต่งตึงของผิวหายไป ผิวเริ่มหย่อนยาน มีรอยบวมใต้ตา มีกระและจุดด่างดำบนผิวหนัง ผิวใต้ตามีสีคล้ำลงเรื่อย ๆ ความเรียบเนียนของผิวหายไป รอยย่นที่คอ ผิวหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีรอยย่นรอบริมฝีปาก

เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิว

เมื่อพูดถึงความร่วงโรยและความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิวนั้น เกิดจากปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก อาทิ แสงแดด มลภาวะในอากาศ การสูบบุหรี่ การใช้เครื่องสำอางและ การดูแลผิว ที่ผิดวิธี ในขณะที่ปัจจัยความเสื่อมโทรมที่มาจากภายใน ได้แก่ การเสื่อมของผิวตามกาลเวลา ฮอร์โมนที่ลดน้อยลง การหยุดสร้างเซลล์ผิวและการลดลงของภูมิคุ้มกันโรค ด้วยปัจจัยทั้งสองประการนี้ ผิวจะมีการเผชิญกับปัจจัยดังกล่าวมากขึ้น ผิวพรรณก็จะร่วงโรยมากกว่าคนอื่น ๆ วิธีที่จะรักษาความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้ให้ได้นานที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ให้มากที่สุด การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว ที่มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์ต่อผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการปรนนิบัติผิวที่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมบํารุงผิวมิได้หมายความว่าจะสามารถหยุดกระบวนการเกิดริ้วรอยได้อย่างถาวร กระบวนการเกิดริ้วรอยและความเสื่อมโทรมจะยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ว่าสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวมีส่วนช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าวให้ดำเนินไปได้ช้าลงเท่านั้น

มอยส์เจอไรเซอร์ ( Moisturizer )

มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ขั้นพื้นฐานที่ทุกคนมีและใช้กันเป็นประจำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถึงแม้มอยส์เจอไรเซอร์จะดีต่อสุขภาพผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มน่าสัมผัส ช่วยลดอาการระคายเคือง อาการแพ้ และลดการเกิดริ้วรอยอันเนื่องมาจากการมีผิวแห้ง แต่มอยส์เจอไรเซอร์กลับมิใช้ผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวผสม ( ทาบริเวณแก้มทั้งสองข้างที่เป็นผิวแห้ง ) ร่วมไปจนถึงผู้ที่มีผิวธรรมดา ( เฉพาะช่วงอากาศแห้งหรือเฉพาะช่วงเวลาที่ผิวแห้งตึงเท่านั้น ) แต่กลับไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันและคนที่มีผิวธรรมดาทั่วไป ซึ่งการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ผิดวิธีและไม่เหมาะกับสภาพผิวก็อาจนำมาซึ่งผลเสียที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน

ปัจจุบันมีการผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ออกมาจำหน่ายมากมาย แต่ละยี่ห้อต่างก็มีการโฆษณาถึงสรรพคุณที่ดีต่อผิวพรรณและมีราคาที่แตกต่างกัน ในการเลือกซื้อมอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นต้องดูที่ประเภทของผิวและชนิดของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ต้องการเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังต่อไปนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยเจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนม

เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน เนื่องจากน้ำและน้ำมันจะไปรวมตัวกันและจะแยกชั้นกันตลอดเวลา แม้ว่าจะพยายามเขย่าหรือผสมให้เข้ากันสักเพียงใดก็ตาม ซึ่งการเขย่าด้วยความแรงเป็นเวลานานพอสมควร น้ำและน้ำมันจะแตกตัวกลายเป็นเม็ดของเหลวเล็ก ๆ ลอยไปมาผสมกันอยู่ แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้สักพัก ของเหลวทั้ง 2 ชนิดก็จะแยกตัวออกจากกันอย่างชัดเจนเหมือนเดิม เมื่อผสมของเหลวทั้งสองให้เป็นเนื้อเดียวกัน จึงเป็นการเติมตัวประสานลงไป ตัวประสานจะทำหน้าที่ในการกระจายหยดน้ำและหยดน้ำมันให้รวมตัวเข้ากันเป็นเนื้อเดียว Moisturizer แบบน้ำนมจะมีประโยชน์ในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นที่ผิวเอาไว้ จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งจะมีการผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน

มอยส์เจอร์ไรเซอร์มีอยู่ 2 แบบ แบบที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าน้ำ ซึ่งจะมีความเข้มข้นสูง และแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมากกว่าน้ำมัน ซึ่งจะมีความเบาบางมากกว่า คนที่มีผิวแห้งมาก ๆ จะเหมาะกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบแรก แต่จะไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน และผิวธรรมดาเพราะความเหนียวเหนอะหนะของมอยส์เจอร์ไรเซอร์อาจทำให้ผิวที่มีน้ำมันตามธรรมชาติอยู่แล้วเกิดการอุดตันและเกิดเป็นสิวในที่สุด

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันหรือน้ำมัน

เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวมัน เนื่องจากผิวของคนเหล่านี้จะมีการผลิตน้ำมันและสารดูดซับความชื้นออกมาอย่างเพียงพอแล้ว แต่อาจมีบางช่วงที่ผิวเหล่านี้อาจต้องการสารให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น เช่น ในช่วงหน้าหนาวที่มีอาการแห้ง หรือผิวถูกน้ำชะล้างเป็นเวลานาน จนผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและแห้งตึง มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันจะมีส่วนผสมของสารดูดซับความชื้น ( Humectants ) เช่น Collagen, Colloidal Oatmeal, Hyaluronic Acid, Glycerin, Sodium PCA และ Propylene Glycol ซึ่งเป็นสารที่ช่วยดักและกักเก็บโมเลกุลของน้ำให้อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มโดยไม่มีน้ำมันส่วนเกินปรากฏให้เห็น

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบเคลือบผิว

ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำไว้ที่ผิว ด้วยการสร้างแผ่นฟิล์มบาง ๆ มาเคลือบผิวเอาไว้ ทำให้น้ำไม่สามารถระเหยออกจากผิว ส่วนผสมที่ทำหน้าที่ในการเคลือบผิว ได้แก่ ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Vaseline, Dimethicone, Cyclomethicone, Mineral Oil และ Siloxanes เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำหน้าที่ในการเคลือบผิว จึงอาจทำให้เกิดปัญหารูขุมขนอุดตันจนเกิดปัญหาสิวและปัญหาผิวพรรณอื่น ๆ ตามมาได้ มอยส์เจอไรเซอร์แบบสครับผิวจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมากจนไม่สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมได้ แม้ว่าคุณจะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมลงไปสักกี่ครั้ง ผิวของคุณก็ยังคงแห้งกร้านอยู่เช่นเดิม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อที่จะได้ประโยชน์จะมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดนี้ให้มากที่สุด เมื่ออาบน้ำอุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำส่วนเกินออก ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ อยู่ มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะสร้างฟิล์มบาง ๆ จัดเก็บอนุภาคของน้ำไว้ใต้ผิวทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสเป็นเวลานาน    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบติดทนนาน

เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งมาก ๆ จนมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบธรรมดาไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้นานเป็นพิเศษ ( 1-2 ชั่วโมง ) ซึ่งทนนานและดีกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดธรรมดา และจำเป็นต้องทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ นอกจากจะมีส่วนประกอบของสารเก็บความชื้นแล้ว มอยส์เจอไรเซอร์ ชนิดติดทนนานยังมีส่วนผสมของสารสร้างความชื้น สารดูดความชื้นและสารเคลือบผิวบางประเภทเช่น (Sodium PSA), Glycerin, Dimethicone, Hyaluronic Acid, และ Colloidal Oatmeal

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์

เนื่องจากปัจจุบันความต้องการในการลดริ้วรอยแห่งวัยและการมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยจากผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว มีเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับความต้องการในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวพรรณ บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงมีการผสมสารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยและช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงลงไปในครีมบำรุงผิวด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและป้องกันปัญหาผิวหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง

ผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสม ผิวทำการผลิตไขมันและสารดูดซับความชื้นออกมาในปริมาณที่มากพอ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นเพียงพออยู่แล้ว จึงควรหยุดใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แล้วหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยเพียงอย่างเดียว เพื่อป้องกันการมีน้ำมันบนผิวมากเกินไป สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งให้เลือกผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ในปริมาณที่มากพอสมควร เพื่อรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื่นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยควบคู่ไปกับมอยส์เจอไรเซอร์ โดยให้ทาครีมลบเลือนริ้วรอยลงไปก่อน รอให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด ( ประมาณ 2-3 นาที ) แล้วจึงค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ตบท้ายเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ วิธีนี้จะทำให้ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ได้รับประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมลบเลือนริ้วรอยอย่างเต็มที่ในขณะที่ผิวพรรณคงความชุ่มชื้นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

ในสภาวะปกติผิวของเราจะมีสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันในตัวอยู่แล้ว โดยถูกควบคุมด้วยชั้นไขมันที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง แต่ด้วยปัจจัยบางประการ อันได้แก่ สภาพแวดล้อมและอายุที่เป็นตัวทำให้สมดุลดังกล่าวถูกทำลาย ยังผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งกร้านและแตกเป็นขุย ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะเป็นตัวปรับสมดุลดังกล่าว ให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่ม

Occlusive 
เป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการรักษาระดับน้ำในผิวมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) มิเนอรัลออย ( Mineral Oil ) ไซโครเมธิโคน ( Cyclomethicone ) ลาโนลิน ( Lanolin ) ทำหน้าที่ในการเคลือบผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสมหรือผิวที่ค่อนข้างมัน สำหรับสารออกฤทธิ์ที่ใช้กันมานานและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมมากที่สุดคือ ปิโตรลาทัม แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดอาการอุดตันของผิวได้ง่ายเช่นกัน

Emollient
ทำหน้าที่ในการเพิ่มความนุ่มลื่นให้แก่ผิว เช่น โจโจ้บาออย ( Jojoba Oil ) กลีเซอรีลสเตียเรต ( Glyceryl Stearate ) โพรไพลีนไกลคอล ( Propylene Glycol ) เป็นต้น แต่ไม่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวแต่อย่างใด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งที่เมื่อสัมผัสผิวแล้วสากมือ

Humectant
ทำหน้าที่ในการเพิ่มน้ำให้แก่ผิว เช่น ยูเรีย ( Urea ) เจลาติน ( Gelatin ) กลีเซอริน ( Glycerin ) โซเดียมแล็ตเตต ( Sodium Lactate ) แอมโมเนียแล็กแตต ( Ammonium Lactate ) กรดไฮยาลูโรนิก ( Hyaluronic Acid ) เป็นต้น โดยจะดึงน้ำจากสิ่งแวดล้อมและจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้นเป็นเวลานาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวธรรมดาและผิวมัน

คลีนเซอร์ ( Clenser )

คลีนเซอร์มีหน้าที่ในการทำความสะอาดผิวพรรณ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
Wipe off Cleanser
มีความเข้มข้นมาก ส่วนมากจะอยู่ในรูปของครีมเข้มข้นหรือน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง
Cleansing Wipe
มักอยู่ในรูปของผ้าเช็ดหน้า ผลิตมาเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน สามารถพกพาได้สะดวก ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ประจำวัน เพราะอาจมีสารเคมีตกค้างบนผิว หลังจากใช้แล้วให้ล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเพื่อชะล้างสารเคมีที่ตกค้างออกให้หมด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
Water Soluble
มักอยู่ในรูปของสบู่ก้อน โลชั่น ครีม เจล หรือโฟม ละลายน้ำและล้างออกด้วยน้ำสะอาดได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวมัน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งที่ต้องการ การดูแลผิว เป็นพิเศษ
Eye Make-Up Remover
มีส่วนผสมของ Silicon หรือ Oil Bese ถูกออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคลีนเซอร์ที่ดีควรละลายน้ำได้ดี สามารถชะล้างสิ่งสกปรกและสารเคมีได้อย่างหมดจด โดยไม่เหลือสารอันตรายตกค้างอยู่บนผิวซึ่งอาจสะสมตัวจนก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาภายหลัง

ควรเลือกคลีนเซอร์โดยยึดประเภทของผิวเป็นหลัก มีค่าความเป็นกรดด่างที่ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างตามธรรมชาติของผิว ( ประมาณ 4.5-5 ) ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ หลีกเลี่ยงคลีนเซอร์ที่ผสมสารเคมีอื่น ๆ ที่นอกจากสารทำความสะอาด เช่น สารสร้างความชุ่มชื้น สารเคมีที่ช่วยปิดรูขุมขนหรือสารที่ช่วยทำให้ผิวลื่น เรียบเนียน เพราะสารเคมีที่ตกค้างอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวในภายหลังได้

สครับ ( Scrub )

สครับหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เมื่อแบ่งตามประเภทของสารขัดผิวแล้ว จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่
1. ประเภทที่ใช้สารสครับ อาจทำมาจากถั่ว เมล็ดข้าวบด ซิลิคอน ( Silicon Bead ) หรือโพลียูริเธน ( Polyurethane Bead )
2. ประเภทที่ใช้สารเคมี ได้แก่ เอเอชเอ และบีเอชเอ
3. ประเภทเอนไซม์จากพืชผัก เช่น มะละกอหรือสับปะรด
4. ประเภทมาสก์ที่มีส่วนผสมของดินชนิดพิเศษ
5. ประเภทเครื่องมือต่าง ๆ เช่น แปรงหมุน ครีมกรอหน้าด้วยอัญมณี

สครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อยู่ด้านบนให้หลุดลอกออกไป เหลือเอาไว้แต่ผิวเกิดใหม่ที่สดใสและเปล่งปลั่ง สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์สดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเซลล์ผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว และขัดผิวอย่างเบามือ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โทนเนอร์ ( Toner )

โทนเนอร์มีชื่อเรียกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเอสตริเจนต์ รีเฟรชเชนเนอร์หรือโทนิก ทำหน้าที่ในการขจัดคราบสิ่งสกปรก ไขมัน หรือสารเคมีที่ตกค้างหลังจากทำความสะอาดให้ออกไปอย่างหมดจด ช่วยลอกเซลล์ผิว ช่วยปรับค่าความเป็นกรดด่างของผิวหลังจากการล้างหน้า ทำให้ครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีขึ้น

หากแบ่งตามความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมหลักแล้ว จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ รีเฟรชเชนเนอร์ แคลิฟายอิงโลชั่น และเอสตริเจนต์

แคลิฟายอิงโลชั่น ( Cali Fying Lotion )
เป็นโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ปานกลาง มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันที่เคลือบผิวออกไปบ้าง แต่ไม่รุนแรงมากจนทำให้ผิวแห้งเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวผสม

เอสตริเจนต์ ( Estringent )
มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าแคลิฟายอิงโลชั่น จึงทำให้มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันส่วนเกิน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมไปถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวได้มากกว่า เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน คนที่ประสบปัญหาต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป

รีเฟรชเชนเนอร์ ( Refreshener )
เป็นโทนเนอร์ที่เหมาะสำหรับผู้มีผิวแห้ง เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุของการแห้ง ระคายเคือง และแพ้ของผิว เนื่องจากปราศจากแอลกอฮอล์ที่จะคอยชะล้างน้ำมันที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตขึ้นมา ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล น่าสัมผัส

การดูแลผิว รอบดวงตา

อายครีมหรือครีมบำรุงรอบดวงตา ( Eye Cream ) มีประสิทธิภาพในการช่วยลดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเส้นเลือดใต้ผิวรอบดวงตาหรือเม็ดสีใต้ผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตา เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์ที่ไปยับยั้งการเคลื่อนไหวซ้ำไปมาของกล้ามเนื้อรอบดวงตาอันเป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการบวมของถุงน้ำใต้ตา อันมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยทั่วไปแล้วอายครีมจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เจล ครีมน้ำนม และครีมเข้มข้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เจล
ทาเพื่อลดอาการบวมและลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตาให้ค่อย ๆ จางหายไป มีประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื้นและความเย็นแก่ผิวหนัง มีลักษณะบางเบา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งผิวจะมีกระบวนการผลิตน้ำมันออกมามากเกินพอ

ครีมน้ำนม
ช่วยมอบความชุ่มชื่นให้แก่ผิวรอบดวงตา และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน มีฤทธิ์ในการบำรุงผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวไม่แห้งมาก

ครีมเข้มข้น
มีลักษณะเป็นครีมข้นที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ เนื้อครีมที่มีประสิทธิภาพในการลบเลือนริ้วรอย รอยหมองคล้ำบริเวณผิวหนังรอบดวงตา มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง เนื่องจากมีความเข้มข้นและความมันสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ

เดย์ครีม ( Day Cream )
ทำหน้าที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสไม่หยาบกร้าน มีส่วนผสมของสารกันแดด ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอันตรายในยามกลางวันได้เป็นอย่างดี มีความบางเบาจึงเหมาะสำหรับทาตอนกลางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องทำกิจกรรมในระหว่างวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าวหรือหนาวจนเกินไป หากใช้ครีมที่มีความเข้มข้น อาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายผิวได้ง่าย และอาจนำไปสู่ปัญหาผิวในเวลาต่อมา

ไนท์ครีม ( Night Cream )
มีคุณสมบัติเหมือนกับเดย์ครีมทุกประการ คือทำหน้าที่ในการมอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง มีส่วนผสมของอาหารผิวและสารออกฤทธิ์ในปริมาณที่มากกว่าเดย์ครีม เหมาะสำหรับกลางคืน เนื่องจากเป็นช่วงที่เราพักผ่อนทำให้ผิวหน้าได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ โดยทั่วไปแล้วเดย์ครีมกับไนท์ครีมไม่ค่อยต่างกันมากนัก ครีมทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันตรงที่เดย์ครีมจะมีส่วนผสมของสารกันแดด ในขณะที่ไนท์ครีมไม่มี เดย์ครีมจะมีความบางเบามากกว่าไนท์ครีม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เราสามารถใช้ครีมกระปุกเดียวกันได้ด้วยซ้ำ โดยไม่จำเป็นต้องแยกซื้อให้เสียเงินมากมาย เพียงแต่ว่าหลีกเลี่ยงการทาเดย์ครีมในช่วงกลางคืนเท่านั้น เพราะผิวอาจเกิดการระคายเคืองจากสารกันแดดที่ผสมอยู่ในครีมได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ครีมหน้าขาว ( Whitening Cream )

โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์ของการใช้ครีมหน้าขาว ดูแลผิว หน้ามีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ การทำให้ผิวขาวใสขึ้นและการทำให้สีผิวเสมอกัน ช่วยลดจุดด่างดำและทำให้ฝ้าจางลง ครีมหน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งครีมมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยจะออกฤทธิ์ตั้งแต่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์การสร้างเม็ดสี ทำลายเอนไซม์ การสร้างเม็ดสี ต้านการกระจายตัวของเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นแล้วมิให้กระจายไปตามเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ยังกระตุ้นมิให้เซลล์ผิวหนังพัฒนาไปเป็นจุดด่างดำ ให้หลุดลอกออกไปเร็วขึ้น

โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่นิยมใส่ลงไปในครีมหน้าขาวจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
1. สารยับยั้งระหว่างกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ แอสคอร์บิค เอซิด ( Ascorbic Acid ) แอสคอร์บิค เอซิด พาลมิเทต ( Ascorbic Acid Palmitate ) อาร์บูติน ( Arbutin ) อาเซเลอิก เอซิด ( Azelaic Acid )

2. สารยับยั้งหลังกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ เรติโนอิก เอซิด ( Retinoic Acid ) แล็กติก เอซิด ( Lactic Acid ) มิลค์ เอกซแทรคต์ ( Milk Extract ) ไลโนเลอิก เอซิด ( Linoleic Acid )

3. สารยับยั้งก่อนกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ ไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) เตรติโนอิน ( Tretinoin )แต่อย่างไรก็ตามครีมหน้าขาวชนิดใดชนิดหนึ่งจะช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดขึ้นในผิวชั้นตื้นตื้นเท่านั้น และการใช้ได้ผลดีหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาผิวที่เป็นอยู่ ส่วนผสมและปริมาณความเข้มข้นของสารที่ใช้ในครีม

ครีมชนิดหนึ่งอาจมีการโฆษณาว่ามีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ส่วนผสมดังกล่าวมีปริมาณความเข้มข้นไม่เพียงพอจนไม่อาจออกฤทธิ์เพื่อรักษาปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาผิวดังกล่าวเกิดขึ้นในชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไปด้วยแล้ว ไม่ว่าครีมหน้าขาวชนิดนั้นจะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพดีและเข้มข้นเพียงใดก็ไม่สามารถรักษาอาการดังกล่าวให้หายดีดังเดิมได้

ครีมต่อต้านริ้วรอย ( Anti-aging Cream )

เป็นครีมที่ใช้ ดูแลผิว อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรและดูเหมือนว่าจะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด นั่นก็คือความต้องการที่จะดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอนั่นเอง จึงทำให้ครีมต่อต้านริ้วรอยขึ้นแท่นเครื่องสำอางอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคเรียกต้องการมากที่สุด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมต่อต้านริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
สารกลุ่มวิตามิน
มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจนและขจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรม ความร่วงโรยของเซลล์และเนื้อเยื่อและการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยขจัดปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ อย่างได้ผลชัดเจน แต่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ตัวอย่างเช่น วิตามินอี วิตามินซี อัลฟาไลโปอิก เอซิด ( Alphalipoic Acid ) เรตินอล ( Retinal ) ไนอาซินาไมด์

สารออกฤทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติ
มีหน้าที่ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอย มีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดริ้วรอยมากกว่ารักษา เมื่อริ้วรอยนั้นเกิดขึ้นแล้ว จะออกฤทธิ์แบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจนเหมือนสารกลุ่มแรก ตัวอย่างเช่น เคอร์คูมิน ( Curcumin ) กรีนที ( Green Tea ) เอลลาจิก เอซิด ( Ellagic Acid ) ไฮเปอร์ไรซิน (Hypericin)

สารที่ออกฤทธิ์ควบคุมเซลล์
ออกฤทธิ์ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยของผิวพรรณมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดริ้วรอย มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเสียมากกว่าตัวอย่าง เช่น

กลุ่มสารสกัดจากชีวภาพ จะทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณไปยังเซลล์ เพื่อยับยั้งการทำลายคอลลาเจนและเสริมสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ เพื่อยับยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและกระบวนการเกิดริ้วรอยให้เกิดขึ้นได้ช้าลง

กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งประสาท เป็นสารที่สกัดได้จากพืชหลายชนิด ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้มีมากขึ้น ยังผลให้ผิวพรรณเต่งตึงกระชับ ไม่เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย

ครีมยกกระชับผิว ( Lifting Cream )

มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับครีมยกกระชับผิวอย่างผิด ๆ พวกเขาเข้าใจว่าครีมยกกระชับผิวจะช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อยของตนให้กลับมาเต่งตึงเหมือนเดิมได้ทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แท้จริงแล้วครีมยกกระชับผิวจะอาศัยหลักแรงตึงตัวของผิวในการกระชับผิวให้ตึงตัวแบบชั่วคราว ครีมยกกระชับผิวจะมีสารเคมีบางตัวซึ่งเป็นโพลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่จะช่วยยกกระชับผิว ทำให้เกิดแรงตึงตัวคล้ายการใช้ไข่ขาวมาทาหน้า ไข่ขาวจะทำให้แรงตึงตัวอย่างเห็นได้ชัดแต่แรงตึงตัวที่ได้จากครีมเหล่านี้ จะเกิดเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ถาวรอย่างที่ใคร ๆ หลายคนเข้าใจกัน    [adinserter name=”sesame”]

โดยครีมดังกล่าวจะออกฤทธิ์ในการยกกระชับผิวให้เต่งตึงภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผิวจะกลับมาสู่สภาพเดิม ดังนั้น จึงต้องทำใหม่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าครีมยกกระชับผิวจะใช้ไม่ได้ผลถาวร แต่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่ามันเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระชับเต่งตึงแบบง่าย ๆ และไม่ยุ่งยาก โดยในวันหนึ่งๆ สามารถทำใหม่ได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ต้องการให้ผิวคงความเต่งตึงกระชับ ดังจะเห็นได้จากบางคนที่จำเป็นต้องเพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิว เช่น นางแบบหรือคนทำงานที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองก่อนออกไปทำงานนอกบ้าน ก็จะหันมาใช้ครีม ดูแลผิว ชนิดนี้ เนื่องจากสามารถทำให้ผิวกระชับเต่งตึงขึ้นจริงในเวลาอันสั้น แต่เมื่อสารที่ช่วยยกกระชับผิวหมดฤทธิ์ลงก็ต้องทำใหม่อีกครั้ง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

วิธีดูแลผิวหน้าเมื่อเป็นสิว

0
วิธีดูแลผิวหน้าเมื่อเป็นสิว
เลเซอร์สิว คือกระบวนการรักษาสิว โดยยิงแสงเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่เกิดสิวเพื่อรักษาสิวที่เกิดจากการติดเชื้อ
วิธีดูแลผิวหน้าเมื่อเป็นสิว
เลเซอร์สิว คือกระบวนการรักษาสิว โดยยิงแสงเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่เกิดสิวเพื่อรักษาสิวที่เกิดจากการติดเชื้อ

รักษาสิว

มารู้จักเลเซอร์ รักษาสิว แบบเวิร์คๆ สำหรับเลเซอร์แล้วมีหลายชนิดมาก ซึ่งสถาบันความงามแต่ละแห่งเรียกชื่อเลเซอร์เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง การทำเลเซอร์ทุกชนิดจะได้ผลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ ความยืดหยุ่นของผิวรวมถึงการตอบสนองของผิวต่อเลเซอร์ บางชนิดทำแล้วมีแผลแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า บางชนิดทำแล้วเนียนมากไม่มีรอยแผล แต่กว่าจะเห็นผลก็ใช้เวลานานฉะนั้น ก่อนทำเลเซอร์ต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนว่าแบบไหนเหมาะกับความต้องการ งบประมาณและการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด

เลเซอร์ชนิดที่ทำแล้วไม่มีแผล เช่น V-beam, Gentle YAG, Cynergy
ข้อดี หายไว กลับบ้านไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไปทำสวยมาไม่มีใครรู้ในระยะยาวผิวจะมีความแข็งแรงขึ้น
ข้อเสีย ค่าใช้จ่ายจะสูงตามระดับความสามารถของเลเซอร์ ต้องดูแลทะนุถนอมผิวเป็นอย่างดี อย่าให้โดนแดดในช่วงแรก เพราะผิวหน้าจะบอบบางเป็นพิเศษ

ชนิดของเลเซอร์ที่ รักษาสิว ได้ผลดี

E-MATRlX

เหมาะสำหรับการ รักษาหลุมสิว ตื้น ๆ ช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ใบหน้าใสขึ้น เป็นการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงปล่อยพลังงานจากจุดเล็ก ๆ ลงไป แล้วแผ่ขยายเป็นมุมกว้างในชั้นหนังแท้ในลักษณะพีระมิด แผลบนผิวจึงมีขนาดเล็กมาก (เลเซอร์แบบอื่น ๆ ทำให้เกิดแผลกว้างด้านบน) และยังลดผลข้างเคียง เช่น ผิวคล้ำ เป็นต้น

ผลลัพธ์หลังการรักษา ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลเมื่อเนื้อเยื่อและคอลลาเจนถูกกระตุ้นให้สร้างขึ้นมาใหม่ การดูแลผิวหลังทำ อาจเกิดสะเก็ดแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยตะแกรงบาร์บีคิว แต่จะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วัน

ข้อดี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลุมสิวตื้นขึ้น ใบหน้าเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลงใบหน้ากระจ่างใสขึ้น ที่สำคัญลดความเจ็บปวดไปได้มาก ระหว่างทำผิวจะรู้สึกอุ่น ๆ มีความปลอดภัยสูงเพราะผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ข้อเสีย ราคาจะค่อนข้างสูง ครั้งละประมาณ 15,000 บาท เนื่องจากหัวเลเซอร์ที่ใช้ยิงเป็นทองคำ ใช้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง

ข้อแนะนำ ถ้าหลุมสิวลึกมากอาจต้องทำ 3 – 6 ครั้ง และใช้วิธีอื่นร่วมด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับหาย 100 เปอร์เซ็นต์

V-beam

สำหรับ รักษารอยแดงสิว จากการอักเสบ ปานแดง เส้นเลือดขอดและแผลเป็นคีลอยด์ พลังงานเลเซอร์นี้จะลงไปทำลายเส้นเลือดให้ฝ่อไปแล้วกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่

ผลลัพธ์หลังการรักษา หลังการรักษาประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ รอยแดงใหม่ ๆ จากสิวจะเริ่มจางลงไป 60 – 70 เปอร์เซอร์ ส่วนรอยสิวที่เป็นมาสักพักจะจางลงประมาณ 20 – 40 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงควรรีบทำตั้งแต่ที่เริ่มเป็นรอยแดงใหม่ ๆ รอยบุ๋มจากสิวก็จะตื้นขึ้นและมีขนาดเล็กลงบ้าง

การดูแลผิว หลังทำเลเซอร์นี้ เมื่อทำแล้วจะไม่มีแผล มีเพียงรอยบวมแดงเท่านั้น แต่จะเริ่มจางและหายไปในวันรุ่งขึ้น สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ แต่ไม่ควรให้ผิวโดนแสงแดดโดยตรง

ข้อดี รอยแผลสิวสด ๆ รอยแดงใหม่ ๆ จะจางไว เห็นผลดีมาก อย่างเร็วที่สุด 1 เดือนจะหายสนิท อย่างช้าไม่เกิน 3 เดือน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่เกิดสิวใหม่ให้เป็นรอยแดงเพิ่มอีก

ข้อเสีย ยิ่งเห็นผลไวราคาก็สูงตาม แต่ถ้ารอยแดงนั้นเกิดขึ้นนานจะเปลี่ยนเป็นรอยดำต้องใช้เลเซอร์ชนิดอื่นแทน รอยแดงจะจางลง 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงมีรอยแดงต้องทำเลเซอร์ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง

ข้อแนะนำ ควรทำเลเซอร์ 2 อาทิตย์ต่อครั้ง จะช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ถ้าใช้วิธีอื่น เช่น ทายา กินวิตามินเสริมร่วมด้วยจะยิ่งหายเร็ว

ดูแลผิวให้เวิร์คในช่วงวันนั้นของเดือน

“ทำไมช่วงนี้ผิวดี ทำไมช่วงนี้ผิวแย่ เพราะอะไรกัน ก็ใช้ครีมตัวเดิมนี่นา ทำไมเคยใช้ครีมตัวนี้แล้วไม่แพ้ แต่ตอนนี้แพ้ เกิดอะไรขึ้น” หนุ่มๆ สาวๆ หลายคนคงเคยเกิดปัญหานี้ แล้วรู้ไหมว่าวงจรการมาของประจำเดือนมีผลกับผิวของเราอย่างมาก

ฮอร์โมนเพศหญิงที่มีผลต่อร่างกายและผิวของเราในแต่ละเดือนคือ เอสโทรเจน (Estrogen) และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ฮอร์โมนสองตัวนี้คอยเนรมิตผิวเราให้สุขภาพดีหรืออ่อนแอสลับไปมา เลือกไม่ได้ด้วยว่าให้สุขภาพดีตลอดไป แต่อย่างน้อยเราก็จะได้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น

เรามาดูกันว่าในแต่ละเดือนนั้น เราจะเจอปัญหาผิวแบบไหนกันบ้าง ทั้งในช่วงที่ผิวมีสุขภาพดีถึงขีดสุดและผิวมีสุขภาพแย่ถึงขั้นสุด 

ช่วงผิวสุขภาพดี : ฮอร์โมนเอสโทรเจนสูง

คือ ช่วงที่ประจำเดือนหมดและร่างกายกำลังเตรียมการตกไข่ครั้งใหม่ ทุกคนจะปลาบปลื้มมาก เพราะเป็นช่วงที่ผิวแข็งแรงที่สุด สวยงาม เปล่งปลัง สิวเกิดได้ยากหรือขึ้นน้อย หากอยากทดลองผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ ๆ ต้องช่วงนี้เลย ผิวสามารถรับสารบำรุงทุกอย่างได้ดี ดูดซึมรวดเร็วและง่ายดาย ช่วงนี้ใช้ไวท์ เทนนิ่งจะเห็นผิวกระจ่างใสที่สุด

สครับผิวสัปดาห์ละ 1- 2 ครั้งเพื่อผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันรูขุมขน คนผิวมัน สิวมักจะขึ้นที่เดิมช่วงมีประจำเดือน ควรเตรียมผิวล่วงหน้า 3 วันก่อนผิวอ่อนแอ โดยแต้มยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (เชื้อสิว) หรือยาลดการอักเสบของผิว เช่น ยาตระกูล BP บริเวณจุดเดิมที่คิดว่าสิวจะขึ้น เพื่อลดการอุดตันของสิวและลดการเกิดสิว

ช่วงผิวอ่อนแอ : ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนสูง

คือ ช่วงหลังตกไข่และกำลังจะเริ่มมีประจำเดือนครั้งใหม่ ช่วงนี้สุขภาพผิวอ่อนแอ สิวมักขึ้นง่าย อักเสบง่าย และภูมิต้านทานผิวลดลงต่ำ หากจะลองผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ ๆ ควรหลีกเลี่ยงช่วงนี้ไปก่อน เพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินปกติและรูขุมขนจะเล็กน้อยจึงเกิดการอุดตันได้ง่าย

คนผิวแห้งอาจจะชอบช่วงเวลานี้ เพราะผิวจะชุ่มชื้น มีน้ำมีนวล มีสิวอุดตันบ้าง สิวอักเสบบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะคาง รอบริมฝีปาก ส่วนคนผิวมันต้องไม่ปลื้มเป็นแน่เพราะหน้าจะมันมาก เกิดสิวง่ายมาก และจะมาแบบทะลักทลาย ช่วงนี้จึงควรทำความสะอาดผิวให้หมดจดอย่างทะนุถนอมและพิถีพิถัน และควรทาครีมกันแดดอย่าละเลยเป็นอันขาด เพราะผิวหน้าจะไวต่อแสงมาก ทำให้เมลานินสีเข้มเพิ่มปริมาณได้ง่าย จะเห็นฝ้า กระชัดขึ้น และจะขึ้นได้ง่าย อาจเลือกใช้ไวท์เทนนิ่งที่เหมาะสมกับสภาพผิว ควรแต่งหน้าบาง ๆ อย่าโบกหลายชั้นเป็นอันขาด

สำหรับคนผิวมันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำมัน เพื่อไม่ให้อุดตันและเพิ่มความมันให้ผิวมากขึ้น ที่ฉลากจะระบุว่า Oil-free เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน ฉลากจะระบุว่า Non-Comedogenic ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันที่ฉลากระบุว่า Oil Control

คนผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ฉลากอาจจะบุว่า Hypoallergenic, Dermatologist Tested, Fragrance-free, Alcohol-free ช่วงผิวแห้งกร้านขาดความชุ่มชื้น : ฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนต่ำทั้งคู่ คือ ช่วงมีประจำเดือน ผิวพรรณจะอ่อนแอมาก จึงไม่ควรลองผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวใหม่ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและควรเป็นชุดเดิมที่เคยใช้

การดูแลสภาพร่างกายทั้งก่อนมีประจำเดือนและระหว่างมีประจำเดือน

ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้ร่างกายสะสมน้ำไว้ ทำให้ตัวบวม ตาบวมบางคนก็หน้าบวม (ฝันร้ายที่เป็นจริงชัด ๆ) ร่างกายรู้สึกอึดอัด ผิวพรรณหมอง ไม่สดใส อิดโรย ปวดหลัง คัด/เจ็บหน้าอก

ลดอาการบวมน้ำโดยการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อขับเหงื่อและของเสียออกจากร่างกาย อาจใช้ความเย็นประคบได้บ้าง เช่น บริเวณดวงตา ลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และธัญพืชขัดสี เพราะกระตุ้นผิวอักเสบ ทำให้เซลล์เสื่อมและสิวขึ้นง่าย ควบคุมรสชาติอาหารไม่ให้เผ็ด เปรี้ยว หวาน มัน และเค็มมากเกินไป โดยเฉพาะรสเค็ม ดื่มน้ำให้มาก เลิกเครียด เพราะยิ่งเครียด ฝ้าที่มีอาจจะชัดขึ้น สิวขึ้น ผิวกร้านหมองได้ง่ายอีกด้วย

ควรทำความสะอาดผิวบริเวณน้องสาวให้ดี เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีและไม่ให้เกิดกลิ่นอับชื้น ซึ่งก่อให้เกิดเชื้อรา เชื้อโรค แบคทีเรียอันไม่พึงประสงค์ถ้าดูแลไม่ดีอาจเกิดการอักเสบ เป็นผื่นคันได้

5 Anti-Acne ltems

น้ำเกลือล้างแผล Klean & Kare : ใช้แทนโทนเนอร์ที่ส่วนใหญ่มีแอลกอฮอล์ซึ่งทำให้รูขุมขนกว้าง น้ำเกลือยังช่วยทำความสะอาดผิวที่อักเสบจากสิวได้อย่างอ่อนโยน หรือจะนำไปแช่เย็นแล้วชุบสำลีมาโปะหน้าก็กระชับรูขุมขนได้คะ ทำได้สารพัดทั้ง เช็ดตา ล้างตา ล้างจมูก ผสมผงพิเศษ เป็นต้น

ผงพิเศษ : มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ ช่วยสมานแผลสิว ทำให้แผลแห้งไว เมื่อโปะผงพิเศษผสมน้ำหรือน้ำเกลือบริเวณแผลสิวอักเสบที่มีหนอง หลังจากเอาหนองออกเรียบร้อยแล้ว แผลจะแห้งไวและรอยสิวไม่ค่อยมี 

ผลิตภัณฑ์แต้มสิว Madame Heng Ozzy Oil : เป็นน้ำมันสกัดที่ไม่อุดตันรูขุมขน ทำให้สิวอักเสบที่ไม่มีหัวยุบลงได้ ถ้าเป็นสิวหนอง หัวสิวจะหลุดออกเอง

Ezerra Cream : ครีมสำหรับทาผิวแห้ง รักษาหน้าที่เป็นผื่น รักษาสิวผด สิวอักเสบ ช่วยลดอาการระคายเคืองจากการแพ้สารเคมีบนใบหน้า

แปรงล้างหน้า KURON : ใช้ทุกวันคู่กับมูสเพื่อทำความสะอาดรูขุมขน และคราบที่เกาะอยู่ให้เกลี้ยงหมดจดในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากเช็ดเครื่องสำอางจนเกลี้ยง

การป้องกันสิวตั้งแต่เริ่มเป็นด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ดูแลสภาพผิวให้ชุ่มชื้นอย่างสมดุล ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิว “หน้าที่มีโอกาสเป็นสิวน้อยที่สุด คือหน้าที่มีผิวชุ่มชื้นสมดุลไม่แห้งและไม่มันจนเกินไป”

1. ล้างหน้าเพียงแค่ 2 รอบเท่านั้น คือ เช้าและเย็น อย่าล้างหน้าบ่อย

2. ดูแลบำรุงผิวให้มีน้ำหล่อเลี้ยงชุ่มชื้นอย่างพอดี เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว ผิวต้องไม่แห้ง ไม่มันจนเกินไป

เลิกใช้มือหรือผ้าสัมผัสหน้าระหว่างวัน ไม่ว่าจะแตะ ถู ลูบ คลำ เกา จิก โดยเฉพาะเล็บซึ่งเป็นตัวการร้ายกาจ

นอนก่อนสี่ทุ่ม เพราะหลังจากนี้โกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมาตอนที่เราหลับสนิท ผิวหน้าที่มีปัญหาจะได้รับการซ่อมแซม พร้อม ๆ กับคอลลาเจนที่เริ่มเดินเครื่องผลิตผิวอันละเอียดเต่งตึง แต่งหน้าติดทนมากขึ้น ผิวละเอียด รูขุมขุนกอดกันแน่น สิวยุบตัวเร็ว ที่เห็นได้ชัดคือแผลจากสิวจางลงเร็วมาก

ถ้าอยากมีผิวพรรณที่ละเอียด รูขุมขนแน่น ต้องออกกำลังกายเท่านั้น ซึ่งเป็นการดีท็อกซ์ให้กับร่างกาย เอาของเสียออกและลดไขมันที่เกาะตามผนังลำไส้ สามารถช่วยเรื่องผิวได้

ผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ เดือนละ 1 – 4 ครั้ง ถ้าจะสครับหน้า ควรลงสบู่หรือโฟมล้างหน้าเพิ่มความนุ่มนวลก่อน อย่าทา สครับเพียว ๆ ลงไปบนหน้า ควรเลือกใช้สครับที่มีเม็ดละเอียดไม่บาดผิว

เลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมกับกิจกรรม ถ้าอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แบบที่มีค่า SPF สูง ๆ เพราะถ้าล้างออกไม่หมดจะทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน อย่ายุ่งกับสิวโดยการแกะ แคะ เกา เป็นอันขาด อาจจะทายาฆ่าเชื้อได้ หรือปล่อยให้มันหายเองตามธรรมชาติ

ควรเลิกกินอาหารที่ใส่น้ำตาล หรือกินให้น้อยที่สุด เพื่อลดการอักเสบของผิว นอกจากนี้ควรกินผัก เพื่อช่วยขจัดคราบไขมันบนผิวหนัง ช่วยขับของเสีย เป็นการดีท็อกซ์ผิวและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังหลั่งฮอร์โมนตัวดี นอกจากหุ่นจะดีแล้วผิวยังสุขภาพดีด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

รู้หรือไม่ว่าการนอนหลับช่วยชะลอวัยได้

0
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้
การนอน คือ สภาวะที่ร่างกายหยุดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมรอบตัวและร่างกายจะอยู่นิ่งกับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้
ก่อนนอนควรงดอาหารหรือของหวานซึ่งจะช่วยให้หลับสบายขึ้นและร่างกายก็มีการหลั่โกรทฮอร์โมนออกมาได้อย่างปกติ

การนอนหลับ

การนอนหลับ (Sleeping) คือ สภาวะที่ร่างกายหยุดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวและร่างกายจะอยู่นิ่งกับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เช่น การพลิกตัว โดยในช่วงนี้ร่างกายจะทำการหยุดพักเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังและเซลล์ของอวัยวะที่เกิดการสึกหรอที่อยู่ภายในร่างกาย พร้อมทั้งช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายด้วย การนอน เป็นการพักผ่อนที่ดีสุดของร่างกาย ซึ่งการนอนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วง คือ

1. การนอนช่วง Non Rapid Eye Movement Sleep ( NREM Sleep ) คือ ช่วงการนอนหลับแบบที่มีการกลอกของลูกตาไปมาอย่างช้า การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญในการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายมากที่สุดเพราะมีส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีมากขึ้น โดยมีการกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต ( Growth Hormone ) ซึ่งการนอนในระยะนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

  • Stage 1 ( light sleep ) เป็นช่วงระยะก่อนที่จะหลับหรืออยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น ลูกตาจะมีการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ช่วงนี้มีระยะเวลาประมาณ 10 นาที โดยช่วงนี้จะเริ่มจากการหลับตาเพื่อตั้งใจที่จะนอน สมองจะเริ่มทำงานช้าลง แต่ช่วงที่เราจะยังรู้สึกตัวได้ง่ายและไม่รู้สึกงัวเงียเมื่อต้องตื่นมาจาก การนอน อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia
  • Stage 2 ( Beta Wave หรือ so-called true sleep ) เป็นช่วงที่นี้สมองจะทำงานน้อยน้อยลง ช่วงนี้สมองจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ยังทำงาน เช่น ต่อมทารามัส ซีราเบาคาเท็ค ที่ทำหน้าที่รับรู้สัมผัส รับรู้เสียง และส่วนที่หยุดการทำงาน จะเป็นสมองส่วนของสมองที่เกี่ยวกับความจำ ความดันและอุณหภูมิร่างกายมีการลดลงเพื่อเข้าอยู่โหมดการพัก ที่ระยะนี้ดวงตาจะหยุดเคลื่อนไหวและคลื่นไฟฟ้าของสมองจะมีลักษณะเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles ช่วงนี้จะระยะเวลาประมาณ 30 นาที
  • Stage 3-4 ( Delta Wave ) คือ ช่วงระยะเวลาหลับลึกหรือร่างกายเข้าสู่ภาวะที่หลับสนิท ช่วงนี้สมองจะมีการทำงานที่น้อยมาก คลื่นไฟฟ้าของสมองบางส่วนจะมีลักษณะเป็นแบบ delta waves และ Stage 4 ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าของสมองจะมีลักษณะเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด Stage 3-4 ร่างกายจะปลุกให้ตื่นยากที่สุด เมื่อตื่นมาจะรู้สึกงัวเงีย ดวงตาและร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนไหว ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีค่าที่สุดของ การนอนเพราะช่วงนี้มีการหลั่งโกรทฮอร์โมนหรือฮอร์โมนชะลอความแก่ออกมามากที่สุด

2.การนอนช่วง Rapid Eye Movement Sleep (REM Sleep) คือ ช่วง การนอน หลับที่มีการกรอกตาไปมาอย่างรวดเร็วมีระยะเวลาประมาณ 20 นาที ช่วงการหลับนี้เราจะมีความฝันเกิดขึ้นประมาณ 90 นาที หลังจากที่เรานอนหลับ และสมองจะมีการทำงานมากที่สุดแต่ร่างกายจะไม่สามารถขยับ ลักษณะของคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพจรเต้นเร็ว กล้ามเนื้อไม่สามารถขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้

เมื่อเราเข้านอนแล้วร่างกายจะเข้สู่การนอนใน Stage 1 Stage 2 Stage 3 Stage 4 และ REM Sleep แล้วจึงวนกลับไปที่ Stage 4 Stage 3 Stage 2 Stage 1 ซึ่งจะวนเวียนกันตลอดทั้งคืน

การนอนเป็นสภาวะที่ร่างกายหยุดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวและร่างกายจะอยู่นิ่งกับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย

การนอนหลับเปรียบเหมือนการชาร์ตพลังงานให้กับร่างกาย ถ้าเรานอนหลับไม่เพียงพอร่างกายก็จะได้รับพลังงานที่ลดลง รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่ตื่นตัวและตอบรับกับสิ่งรอบตัวได้ไม่ดี รวมถึงการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่น้อยลงโดย เฉพาะการทำงานของสมองทั้งด้านการเรียนรู้และความจำ แต่ถ้าเรามีการนอนหลับอย่างเพียงพอจนสามารถชาร์ตพลังงานให้กับร่างกาได้อย่างเต็มที่ การทำงานของระบบภายในจะมีประสิทธิภาพที่ดี ส่งผลให้มีภูมิต้านทานโรคสูงและห่างไกลจากโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันต่ำ ช่วยเพิ่มความจำ การเรียนรู้ของสมองให้ดีขึ้น สามารถเผาพลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาลให้เปลี่ยนไปเป็นพลังงานจนหมดจึงไม่หลงเหลือจนกลายเป็นไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ร่างกายจึงมีรูปร่างที่แข็งแรงสมส่วนปราศจากไขมันส่วนเกิน

ดังนั้นการนอนที่แบบมีคุณภาพจะส่งผลให้ร่างกายของเราแข็งแรงและสามารถช่วยในการชะลอวัยได้ แต่หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการนอนที่มีคุณภาพ คิดว่าการนอนนานมาก ๆ หรือนอนวันละมากกว่า 8 ชั่วโมงจึงจะเป็นการนอนที่ดี แต่ที่จริงแล้วระยะเวลาการนอนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพของการนอนได้ทั้งหมด เพราะบางคนใช้เวลาในการนอนมากกว่า 8 ชั่วโมง เมื่อตื่นนอนกลับรู้สึกว่าร่างกายไม่สดชื่น รู้สึกอ่อนเพลียและง่วงนอนอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ในบางคนที่ใช้เวลาในการนอนเพียงแค่ 4-5 ชั่วโมง เมื่อตื่นกลับรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ประสาทสัมผัสรับรู้ตื่นตัวตลอดทั้งวัน สมองคิดได้ฉับไว จดจำและรียนรู้ได้ดี ทั้งที่นอนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าลักษณะของการนอนที่ปฏิบัติเป็นการนอนที่มีคุณภาพ ร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอมีการหลับลึกอยู่ใน Stage 3 Stage 4 มาก ร่างกายมีการผลิตโกรทฮอร์โมนออกมาในปริมาณที่สูง การนอนเช่นนี้จึงนับเป็นการนอนที่มีคุณภาพตามหลักเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งการนอนที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาได้มากที่สุด นับเป็นการนอนที่มีคุณภาพสูง

 

วิธีสร้างการนอนหลับที่มีคุณภาพเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง

  1. เวลาการนอน

โกรทฮอร์โมนจะสามารถหลั่งออกมาได้ในช่วงที่เรานอนตอนกลางคืนเท่านั้น นอกจากการนอนที่ต้องนอนให้อยู่ใน Stage 3 และ Stage 4 แล้ว ร่างกายจึงจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาแล้ว ช่วงเวลาในการนอนก็มีส่วนในการหลั่งของโกรทออร์โมนเช่นกัน เพราะว่าร่างกายของเราจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาในช่วงเวลาเที่ยงคืนถึง 01.30 นาฬิกาเท่านั้น ถ้าช่วงเวลานี้ร่างกายไม่หลับลึกก็จะไม่มีการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ดังนั้นเราควรเข้านอนในช่วงประมาณ 22.00 นาฬิกาหรือไม่ควรเกิน 23.00 นาฬิกา เพราะว่าเมื่อเราเข้านอนในระยะเวลาดังกล่าวแล้ว เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนร่างกายจะหลับเข้าสู่ Stage 3 และ Stage 4 พอดี ร่างกายจึงได้รับโกรทฮอร์โมนที่ผลิตออกมาในปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นถ้าในช่วงเที่ยงคืนถึง 01.30 นาฬิกา เราไม่นอนหรือว่านอนหลับไม่ถึง Stage 3 และ Stage 4 อัตราการหลั่งของโกรทฮอร์โมนก็จะน้อยลง ซึ่งโกรทฮอร์โมนนี้เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซม ฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอของร่างกายนอกจากนั้นในช่วงที่เรานอนร่างกายจะมีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายไม่มีกระบวนการเมตาบิลิซึมเกิดขึ้น จึงไม่ต้องนำพลังงานไปใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึม ( Metabolism ) แต่จะนำพลังงานจะส่งไปทำงานร่วมกับโกรทฮอร์โมนในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ เพื่อให้เซลล์และอวัยวะกลับมามีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่จะทำงานในวันถัดไป การนอนกจึงสามารถช่วยสร้างความแข็งแรงและลดความเสื่อมของร่างกายซึ่งเป็นที่มาของความแก่ชรา

2. งดน้ำตาลก่อนนอน

การประทานอาหารจนอิ่มจึงจะเข้านอนได้ เพราะว่าถ้ารู้สึกหิวแล้วจะทำให้นอนไม่หลับ จึงต้องรับประทานอาหารก่อนเข้านอน แต่รู้หรือไม่ว่าการรับประทานอาหารก่อนเข้านอนในเวลากลางคืนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แก่เร็ว โดยเฉพาะอาหารที่ให้แป้ง น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในเลือดได้ เพราะว่าโกรทฮอร์โมนกับอินซูลินเป็นสารที่มีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นเมื่อเรารับประทานอาหารก่อนเข้านอนก็จะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เมื่อมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงร่างกายก็จะทำการหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ซึ่งสมองไม่สามารถแยกได้ว่าฮอร์โมนที่อยู่ในร่างกายนั้นเป็นฮอร์โมนอินซูลินหรือโกรทฮอร์โมนกันแน่ ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเที่ยงคืนแล้วมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินสูง แม้ว่าเราจะหลับสนิทมากแค่ไหน ร่างกายก็จะไม่ทำการสร้างโกรทฮอร์โมนออกมา ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายทำการผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมามากในช่วงหลังเที่ยงคืน ก่อนนอนหรือหลังเวลา 18.00 นาฬิกาเป็นเวลาที่เราไม่ควรรับประทาอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลผสมอยู่ เพื่อลดปริมาณน้ำตาลในเลือดให้น้อยลง การสร้างฮอร์โมนอินซูลินก็ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นร่างกายจะทำการสร้างโกรทฮอร์โมนออกมาได้มาก ถ้ารู้สึกหิวก่อนนอนแนะนำให้รับประทานอาหารที่ให้น้ำตาลน้อย ย่อยง่าย เช่น เนื้ออกไก่ เนื้อปลา ผัก ผลไม้หรือน้ำผลไม้อุ่น ๆ ที่ไม่มีคาเฟอีนสักแก้วก่อนนอน ก็จะช่วยให้หลับสบายขึ้นและร่างกายก็มีการหลั่โกรทฮอร์โมนออกมาได้อย่างปกติอีกด้วย

3. สภาพแวดล้อมในการนอนที่ดี

สภาพแวดล้อมในการนอนช่วยให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะการหลับที่สนิทได้ง่ายนั้นห้องต้องมืดสนิทไม่แสงสว่างเข้ามารบกวนในเวลานอน เพราะความมืดจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนไฮโปรทาลามัส ( hypothalamus ) ให้ทำการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ( melatonin ) ที่มีหน้าที่ฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับของคนเรา โดยจะทำการช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย พร้อมทั้งทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย จึงทำให้ร่างกายรู้สึกง่วงและสามารถเข้าสู่การหลับลึกได้ง่าย แต่ถ้าห้องนอนมีแสงสว่างเข้ามากสมองไฮโปทาลามัส ( hypothalamus ) จะทำการผลิตเมลาโทนินน้อยลง ส่งผลให้นอนหลับไม่สนิท และภายในห้องนอนต้องระบายอากาศได้ดี มีอุณหภูมิที่เหมาะสม

การนอนเป็นสิ่งที่มนุษย์เราต้องปฏิบัติอยู่ทุกวันตลอดชั่วชีวิตเราใช้เวลากับการนอนไปเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นการนอนที่ถูกต้องมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็ง ระบบการทำงานมีสมดุลสามารถทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงในอนาคตได้แล้ว การนอนยังสามารถช่วยลดความเสื่อมซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายแก่ชราอีกด้วย การนอนที่มีคุณภาพตามหลักของศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) ยังสามารถช่วยชะลอวัยให้เราดูอ่อนเยาว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้คุณนอนได้ถูกต้องและมีคุณภาพแล้วหรือยัง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.

7 ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด

0
7 ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด
ใบหน้าของแต่ละคนก็มีสภาพปัญหาที่แตกต่างกัน ควรเลือกทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้าด้วยการปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญ
7 ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด
จมูกทรงหยดน้ำ ลุคสวยใส ไม่โด่ง หรืองุ้มจนเกินไป แลดูเป็นธรรมชาติ

ทรงจมูก

ทรงจมูก ที่สาวๆ ต้องการหลังจากที่เรารู้วิธีการเสริมจมูก ข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการดูแลตัวเองก่อนและหลังการไปเสริมจมูกกันมาแล้ว คราวนี้สาวๆก็คงจะอยากกำเงินไปให้คุณหมอรัวๆ แล้วบอกว่า “คุณหมอขาช่วยผ่าจมูกให้หนูหน่อยเถอะ” กัน  แล้วใช่ไหมล่ะคะ แต่ยังค่ะ ยังก่อน! ก่อนจะไป เราควรเลือกทรงจมูกให้เรียบร้อย เพื่อที่จะยื่นให้คุณหมอได้เลยว่า “หนูจะเอาแบบนี้!” เพื่อให้คุณหมอช่วยตกแต่งทรงจมูกให้ได้รูปตรงตามใจของเรามากที่สุด

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องศัลยกรรมเสริมจมูก

  1. เสริมจมูกแบบไหน และอย่างไรดี ถึงจะปัง
  2. การเตรียมตัวเองก่อนไปเสริมจมูก
  3. วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูก
  4. ซิลิโคนแต่ละแบบ มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร
  5. 7ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด

7ทรงจมูกที่ได้รับความนิยม

1. ทรงจมูก แบบหยดน้ำ
ถ้าอยากได้ลุคสวยใส ไม่โด่ง หรืองุ้มจนเกินไป แลดูเป็นธรรมชาติ ต้องแบบนี้เลย ทรงหยดน้ำ คลาสสิคที่สุด

2. ทรงจมูก แบบหยดน้ำปลายงุ้ม
การเสริมจมูกวิธีนี้ จะช่วยเสริมปลายจมูกของสาวๆ ให้ยาวขึ้น เหมาะกับคนที่มีเนื้อจมูกเยอะ
แต่ถ้าหากใครที่มีเนื้อน้อย ก็ไม่ต้องกังวลใจไป บอกคุณหมอได้ คุณหมอจะช่วยหาวิธีที่เหมาะสมในการยืดบริเวณปลายจมูกให้ค่ะ

3. ทรงจมูก แบบปลายพุ่ง
งานโด่ง งานพุ่งก็มา ใครอยากเสริมจมูกให้โด่งรับทรัพย์ต้องแวะทางนี้ค่ะ จมูกทรงปลายพุ่ง
การทำจมูกทรงนี้ เหมาะกับสาวๆ ที่จมูกสั้น หรือทู่แบน จะช่วยให้จมูกยาวขึ้น และใบหน้ามีความสมดุลมากยิ่งขึ้น เวลาทำ คุณหมอจะดูจากความยาวและความสูงของจมูกเป็นหลัก แต่ก็ไม่ควรให้ส่วนปลายแหลมเกินไป ควรเป็นแบบมนๆ จะดีกว่า

4. ทรงจมูก แบบตุ๊กตาบาร์บี้
ฟังชื่อแล้วนึกถึงตุ๊กตาบาร์บี้เลยใช่ไหมล่ะค่ะ ใช่แล้วค่ะ ทรงแบบนี้จะเรียกว่าทรงปลายเชิดก็ได้
หรือทรงบาร์บี้ก็ได้ คือ มีลักษณะที่ส่วนปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรูจมูก เสริมให้ดั้งโด่งขึ้นเห็นแล้วนึกถึงตุ๊กตาจริงๆเลยล่ะค่ะ เหมาะกับสาวๆ ที่มีบุคลิกมั่นใจในตัวเอง 

5. ทรงจมูก แบบสโลป
สำหรับสาวๆ ที่รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับทรงจมูกของตัวเอง เช่น รู้สึกว่ามันเอียงเกินไป หรือ ปลายจมูกงุ้มมากไป จะลองเสริมจมูกเป็นทรงสโลปธรรมชาติ วิธีนี้เป็นการเสริมจมูกแบบสวยเนียนตามธรรมชาติอีกวิธีหนึ่ง แต่จมูกจะโด่งขึ้นมาอีกนิด ดูไม่หลอกตา

6. ทรงจมูก แบบสโลปปลายเชิด
วิธีนี้ก็เน้นสวยแบบธรรมชาติเช่นกัน แต่เพิ่มความเก๋อีกนิด ตรงที่ปลายจมูกเชิดขึ้น ช่วยปรับบุคลิกให้มีความหวานซ่อนเปรี้ยวมากยิ่งขึ้น

7. ทรงจมูก แบบแกนเรียว ปลายหยดน้ำ
เชื่อว่าจมูกที่เรียว และโด่งขึ้นเป็นสัน คงจะเป็นทรงจมูกในฝันของสาวๆ หลายๆ คนแน่ๆ โดยเฉพาะถ้าตรงปลายจมูกเป็นทรงหยดน้ำเล็กน้อย ก็จะทำให้ใบหน้าของเราดูมี ลุคหวานขึ้น มีมิติ และช่วยทำให้ใบหน้าดูสมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ดี ใบหน้าของแต่ละคนก็มีสภาพปัญหาที่แตกต่างกันนะคะ ดังนั้น หากเราเลือก ทรงจมูกได้แล้ว ก็ควรนำไปปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญดูว่า รูปหน้าของเราสามารถเสริมจมูกให้เป็นทรงนี้ได้หรือไม่ หรือหากคุณหมอเห็นว่าควร ต้องตกแต่งเพิ่ม เช่น ควรตัดปีกจมูกด้วย จะได้เป็นข้อมูลให้เราได้ตัดสินใจ ถึงราคา ข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตค่ะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Duffy, D. (1998). “Injectable liquid silicone: New perspectives”. In Klein, A. W. Tissue Augmentation in Clinical Practice: Procedures and Techniques. New York: Marcel Dekker

Heidingsfeld, M. L. (1906). “Histopathology of paraffin prosthesis”. J Cutan Dis. 24: 513–521

ไหมละลาย ของวิเศษจากนางฟ้าใจดี

0
ไหมละลาย ของวิเศษจากนางฟ้าใจดี
ไหมละลายที่ใช้ในการศัลยกรรมร้อยไหม เรียกว่าไหมละลายแบบ PDO เป็นเทคโนโลยีการผลิตไหมเย็บแผลขั้นสูงเพื่อการยกกระชับผิวหน้าให้สวยไม่หย่อนคล้อย
ไหมละลาย ของวิเศษจากนางฟ้าใจดี
ในการศัลยกรรมร้อยไหม เรียกว่าไหมละลายแบบ PDO เป็นเทคโนโลยีการผลิตไหมเย็บแผลขั้นสูงเพื่อการยกกระชับผิวหน้าให้สวยไม่หย่อนคล้อย

ไหมละลาย

การร้อยไหม เป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงและดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
โดยเป็นการใช้ ไหมละลาย สอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวกระชับตัวจากเดิมมากขึ้น

ไหมละลาย ของขวัญสุดแสนวิเศษจากนางฟ้าใจดี  แนวคิดการทำผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ชนิดต่างๆ  ล้วนมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับความเจ็บปวดจาก อุปกรณ์เหล่านั้นน้อยที่สุด  เพื่อประโยชน์ในการรักษาที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยม  และไม่มีผลข้างเคียงรวมถึงความเจ็บปวดอื่นๆที่จะตามมา

ไหมละลาย  เปรียบเทียบได้กับ  การเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาในร่างกายทั้งด้วยการแพทย์เพื่อรักษาโรคต่างที่อาจต้องอาศัยการผ่าตัดและการเย็บแผล หรือจะด้วยการนำเอา ไหมละลาย เข้าสู่ร่างกาย  เพื่อหวังผลอย่างอื่นและให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ความสวยงาม  เช่น การร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้า  ท้องแขน  เป็นต้น

แต่ไหมละลายผู้บุกรุกรายนี้  ไม่ได้มาเพื่อทำลาย  แต่ ตรงกันข้าม  การเข้ามาของ ไหมละลาย สร้างคุณค่ามากมายให้เกิดกับเจ้าบ้านอย่างร่างกายของเรา  จะมีผู้บุกรุกรายไหนที่ไม่ทำอันตรายกับเจ้าบ้าน  ไม่ต้องเสียเวลาในการกำจัดออก  เพราะมันสามารถที่หายไปได้ด้วยกระบวนการต่างๆของร่างกาย  และมันยังสามารถช่วยเหลือชีวิตของเราได้อย่างทันท่วงที  ใช้งานง่าย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ไม่ทิ้งร่องรอยและความเจ็บปวดใดใดเอาไว้แม้แต่น้อย  และถือได้ว่าเป็นการพัฒนาทางการแพทย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด  แล้วอย่างนี้  จะเรียกไหมละลาย ว่าผู้บุกรุกได้อีกหรือ

ไหมละลาย เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เหมาะมากกับการใช้งานในด้านการศัลยกรรมโดยเฉพาะ  เนื่องจาก  ทุกการศัลยกรรมบนร่างกายย่อมไม่อยากทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้  เราตั้งใจทำศัลยกรรมก็เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของร่างกาย  ถ้าสิ่งที่เข้ามาในร่างกายแล้ว  ไม่ได้สร้างความสมบูรณ์  ไม่ได้ทำให้จุดบกพร่องต่างๆของร่างกายดีขึ้น  เราก็ไม่รู้ว่าจะทำศัลยกรรมไปเพื่ออะไร ตั้งใจไปร้อยไหม  เสริมจมูก  และ เสริมหน้าอก  เพื่อให้สวยที่สุด  แต่ปรากฏว่าดันมีรอยเย็บตลอดแนวแผล  จะให้ไปบอกใครต่อใครว่า  โดนแมวข่วนมาค่ะ หน้าเลยตึงเป๊ะ  หน้าอกก็อึ๋มขึ้น  และจมูกโด่งขึ้นนิดหน่อย  คนฟังคงนึกภาพไม่ออกว่า  แมวข่วนท่าไหนเนี่ย  สวยเด้งมาเชียว  สามวันต่อมาสาวอกไข่ดาว ดั้งแหนบ  หน้าหย่อน ไปไล่จับแมวในวัดมาเลี้ยงเป็นแถว  หวังจะสวยขึ้นบ้าง

ข้อดีของไหมละลาย

  • สามารถละลายได้เอง โดยไม่ต้องตัดไหม
  • เส้นไหมมีความนุ่ม ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ไหมละลาย

ไหมละลายโดนน้ำได้หรือไม่ ?

ตอบ : โดยส่วนมากการใช้ ไหมละลาย ในการผ่าตัดทำศัลยกรรมจะเป็นแผลที่อยู่ในช่องปากดังนั้นไหมละลายจึงสามารถโดนน้ำได้

ไหมละลายอยู่ได้กี่วันถึงละลาย

ตอบ :  ซึ่งจะสลายหมดไปภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าชัวร์ ๆ เลย 2 เดือน

ไหมละลายต้องตัดไหม ?

ตอบ : ไม่จำเป็นต้องตัด เพราะแค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า สามารถละลายเองได้

ไหมละลายทำมาจากอะไร ?

ทำจากเส้นใยธรรมชาติและสังเคราะห์ขึ้นมา ที่ทำมาจากธรรมชาติก็เช่น Catgut อันนี้จะทำมาจากคอลลาเจน ในชั้น Submucosa ของลำไส้แกะหรือวัว

และตอนนี้สิ่งที่พูดถึงกันมากที่สุดในวงการศัลยกรรม  คือ การร้อยไหม ซึ่งเป็นตัวอย่างของการใช้ไหมละลายที่ชัดเจนที่สุด  ไหมละลาย ที่ใช้ในการศัลยกรรมร้อยไหม  เรียกว่าไหมละลายแบบ PDO เป็นเทคโนโลยีการผลิตไหมเย็บแผลขั้นสูงที่ทำขึ้นเพื่อ  การยกกระชับผิวหน้าให้สวยได้รูปไม่หย่อนคล้อย  โดยปกติไหมละลายตัวนี้  จะใช้ในงานเย็บเส้นเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่สำคัญๆ นอกจากจะเส้นเล็กและละลายได้ดีแล้ว  ตัวไหมยังปลอดภัย  ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบใดใดกับร่างกาย

วิธีการ ร้อยไหม

หมอจะใช้เข็มขนาดเล็กในการเย็บโดยการมาร์คโครงหน้าใหม่ที่ต้องการ  จากนั้นก็ ทำการเย็บ ไหมละลาย ในจุดที่มาร์คไว้เพื่อกำการยกกระชับหน้า เมื่อไหมละลายเข้าไปอยู่ในจุดที่ต้องการ  รอยแผลที่เกิดจากการเย็บจะทำปฏิกิริยากับร่างกาย เกิดเป็นการอักเสบ สิ่งที่เกิดกับผิวบริเวณนั้นจะมีเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลมาอยู่ในบริเวณนั้นมากมายและกระตุ้นให้เกิด โมโนไซท์ และไฟโบรบลาสต์ซึ่งส่งผลให้เกิดการผลิตคอลลาเจน อิลาสติน และแองจิโอเจเนซิส คอลลาเจน และยังมีกระตุ้นจากเข็มขนาดเล็กที่ใช้เกี่ยวเพื่อทำโครงหน้าใหม่  ยิ่งทำให้กระบวนการดังกล่าวเป็นผลดีต่อการรักษามากขึ้น

กระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยการร้อยหน้าด้วย ไหมละลาย  นอกจากจะทำให้ผิวหน้ากระชับแล้ว เป็นการปรับปรุงสภาพผิวด้วยวิธีทางธรรมชาติ  อันแสนแยบยลอีกด้วย ไหมละลายจะไม่ส่งผลให้เกิดการเจ็บหลังจากการทำ  ไม่ทิ้งร่องรอยของการทำ  และไม่มีผลข้างเคียงใดใดกับผิวหน้าและส่วนอื่นๆของร่างกาย   เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีเกิดย่อยสลายโดยกระบวนการของร่างกายอย่างยอดเยี่ยม  และเป็นไหมละลายที่มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพสูง  ซึ่งสามารถเข้ากันได้กับสภาพผิวหนังของทุกคน

วิธีที่ยกตัวอย่างมานี้  จะมีการฉีดยาชาเข้าสู่ผิวหน้าตั้งแต่ในขั้นตอนแรก  และทำการร้อยไหมจนกระทั้งเสร็จสิ้น  กระบวนการทั้งหมด  ซึ่งเราจะเห็นว่าในทุกขั้นตอนของการทำ  จะไม่มีช่วงไหนที่ผู้เข้ารับการทำจะเกิดความรู้สึกเจ็บได้เลย  และหลังจากยาชาหมดฤทธิ์  ด้วยความที่ไหมมีขนาดเล็กมาก  เราจึงแทบไม่มีความรู้สึกกับความเจ็บปวด  หากจะมีก็เป็นเพียงอาการระคายเคืองเล็กน้อย  ไม่มีการเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว และเมื่อทำเสร็จสามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที  มีข้อแม้อยู่เพียงว่า  ควรทานยาแก้อักเสบ  เพื่อป้องกันการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นได้   และผลลัพธ์หลังจากนี้เพียงไม่กี่วันผิวหน้าจะเริ่มมีปฏิกิริยาต่างๆเกิดขึ้น  พร้อมกันนี้หลังจาก ไหมละลาย ได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว  กระบวนการดูดซึมไหมละลายของร่างกาย  จะเริ่มทำงานและกระบวนการสร้างคอลลาเจนจะเห็นผลได้ชัดเมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน  และในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากทำ  ไหมทั้งหมดก็จะละลายและถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ร่างกายและจะอยู่ในสภาพนั้นได้นานประมาณ  2-3 ปี  ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาผิวหน้าอย่างต่อเนื่อง

ใครจะเชื่อว่าวิธีการรักษาและการศัลยกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นจากการใช้ ไหมละลาย เพียงเท่านั้น  เราเอาคุณสมบัติที่แสนพิเศษของไหมละลาย  มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในแง่ของความงาม  นับว่าเป็นการประยุกต์ใช้นวัตกรรมการผลิตไหมละลายให้มีประโยชน์มากกขึ้น  ร่วมกับการหลอกใช้กระบวนการต่างๆของร่างกายให้เป็นประโยชน์  ใน อนาคต  เราจะจะได้เห็นการใช้ ไหมละลาย ในรูปแบบอื่นๆและมันอาจจะสร้างความตื่นเต้นอะไรใหม่ๆให้กับวงการแพทย์และการศัลยกรรมได้อีกมากมายอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Osterberg, B; Blomstedt, B (1979). “Effect of suture materials on bacterial survival in infected wounds: An experimental study”. Acta Chir Scand. 145: 431.

Macht, SD; Krizek, TJ (1978). “Sutures and suturing – Current concepts”. Journal of Oral Surgery. 36: 710.

Dorland’s Medical Dictionary for Health Consumers. Copyright 2007

Miller-Keane Encyclopedia & Dictionary of Medicine, Nursing, and Allied Health, Seventh Edition.

Kirk, RM (1978). Basic Surgical Techniques. Edinburgh: Churchill Livingstone.

เมโสหน้าใส สปาบำบัดเพื่อใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ

0
เมโสหน้าใส สปาบำบัดเพื่อใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ
เมโสหน้าใส เป็นวิธีการสปาบำบัด เพื่อการเสริมความสมบูรณ์แบบบนใบหน้า ไม่ใช้การผ่าตัด  ไม่มีการเย็บ
เมโสหน้าใส สปาบำบัดเพื่อใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ
เมโสหน้าใส เป็นวิธีการสปาบำบัด เพื่อการเสริมความสมบูรณ์แบบบนใบหน้า ไม่ใช้การผ่าตัด  ไม่มีการเย็บ

เมโส

เมโส ( Meso ) หน้าใส หรือจะเรียกแบบคลินิกความงามทางฝั่งซีกโลกตะวันตกว่า Mesotherapy  เป็นวิธีหนึ่งของการสปาบำบัด เพื่อการเสริมความสมบูรณ์แบบบนใบหน้า  ผู้เขียนชอบใช้คำว่าความสมบูรณ์แบบเพราะมันสามารถให้ความหมายได้ดีกว่าคำว่าความสวย เพราะปัญหาที่พบบนผิวหน้าไม่ใช่แค่เรื่องของสวยหรือไม่สวย แต่มันมีเงื่อนไขอื่นๆอีกมากมายที่เป็นปัญหาหนักอกให้ต้องหาทางแก้ไขกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งความสวยอาจไม่ใช่คำตอบที่สาวๆเหล่านั้นต้องการ  

เมโสเป็นการเสริมความสมบูรณ์บนใบหน้า ไม่ใช้การผ่าตัด ไม่มีการเย็บ หรือการกระทำใดใดที่เกี่ยวข้องการการศัลยกรรมแม้แต่น้อย  การเลือกใช้คำว่า “สปาบำบัด” จะให้ความรู้สึกในทางบวกเน้นการปรนนิบัติต่ออวัยวะเป้าหมาย  ซึ่งตรงกับหน้าที่หลักของเมโสหน้าใสคือการเข้าไปทำหน้าที่แก้ไขความบกพร่องบนใบหน้าอย่างตรงจุด  มันจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวแก้ไขทุกปัญหาด้วยส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด  โดยการฉีดสารเคมีประสิทธิภาพสูงเข้าไปบริเวณผิวหนังชั้นกลาง เมโสตรงจุดที่เป็นปัญหา  ซึ่งหากปัญหาที่พบเจอบนใบหน้า  มันมีความซับซ้อนมากก็อาจจะต้องมีการฉีดหลายขั้นตอน เพราะสารที่ฉีดเข้าใบแต่ละตัวจะทำหน้าที่ต่างกัน  และยังให้ผลที่แตกต่างกันอีกด้วย

เมโสหน้าใส มีทั้งหมด 2  ประเภท

1.เมโสหน้าใสแบบฉีด วิธีนี้บอกเลยว่าค่อนข้างที่จะอันตรายในกรณีที่นำไปฉีดเองที่บ้าน ทางที่ดีควรฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

2.เมโสหน้าใสแบบทาหรือแบบหยด ลงบนใบหน้าสามารถสั่งซื้อได้ตามเว็บไซต์ทั่วๆไป วิธีนี้เป็นการทำที่นิยมมากที่สุด เพราะว่าสามารถทำได้ง่ายมากๆเพียงแค่หยดบนใบหน้า

ขั้นตอนในการบำบัดผิวหน้าด้วยเมโสหน้าใส

เราจะต้องไปพบแพทย์และพูดคุยถึงปัญหาที่เราเจอและสิ่งที่ต้องการแก้ไข จากนั้นผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจสอบสภาพของผิวหน้าสภาพปัญหาและเสนอวิธีการแก้ไขบำบัด จากนั้นก็นำไปสู่การคัดเลือกส่วนผสมต่างๆ และคำนวณปริมาณการใช้ให้พอเหมาะกับสภาพผิวและสภาพปัญหาของแต่ละคน

หลังจากที่มีการตรวจสภาพความพร้อมของผิวหนังและร่างกายแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจะฉีดเมโส ( Meso ) หน้าใสสูตรเริ่มต้น ด้วยเข้มที่มีขนาดเล็กมาก เพื่อจัดการกับเซลลูไลท์ในขั้นตอนแรกเป็นการเตรียมผิวเพื่อให้เปิดรับสารอาหารที่จะฉีดในขั้นตอนต่อไป โดยสูตรเริ่มต้นนี้นอกจากจะช่วยในการแก้ไขปัญหาเรื่องเซลลูไลท์ที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยแล้ว มันยังช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนโลหิตและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำร้ายเช่นส่วนที่เป็นสิว เป็นฝ้า หรือผิวหน้าหมองคล้ำในขั้นตอนนี้สาวๆแทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลย   

ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ผลข้างเคียงที่รุนแรงที่สุดที่เคยพบคืออาการแสบนิดๆ  เพราะสารเคมีกำลังทำงาน  แต่อาการนี้จะหายไปภายใน 20 นาที และผลการรักษาจะเห็นได้ชัดเจนหลังจากทำการ ฉีด เมโส ( Meso )หน้าใส ไปประมาณ 5 วัน ในรายที่มีปัญหาผิวเพียงเล็กน้อยเช่น หน้าหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย มาตึงกระชับ หรือปัญหาฝ้าและกระที่ไม่มากนัก

แค่เพียงขั้นตอนแรกนี้ก็ช่วยปรับสภาพผิวได้ดีในระดับหนึ่ง การทำซ้ำในครั้งที่ 2 จะช่วยให้เห็นผลได้ชัดเจนขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรทำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อสุขภาพผิวที่ดีขึ้น แต่ถ้าเป็นรายที่มีปัญหาค่อนข้างมาก ผู้เชี่ยวชาญอาจจะต้องลำดับความสำคัญของปัญหาและวางแนวทางการรักษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  เพื่อการรักษาที่ต่อเนื่องและเห็นผลการรักษาได้อย่างชัดเจน

ส่วนผสมเมโสหน้าใส

ส่วนผสมที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการ เมโสหน้าใส ได้แก่สารคาเฟอีน กรดไฮยาลูโรนิก แอลคาร์นิทีน วิตามินหลายชนิดและสารสกัดจากอาร์ติโชค  แก่นตะวัน ซึ่งจุดร่วมของส่วนผสมเหล่านี้ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเป็นสารสกัดจากธรรมชาติล้วนๆ และเป็นสารสกัดจากวัตถุดิบที่เราใช้ได้การรับประทานแทบทั้งสิ้น หรือพูดให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่า  ส่วนผสมเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรารับประทานกันเป็นปกติในชีวิตประจำวันแต่เราแค่เปลี่ยนวิธีการนำเข้าสู่ร่างกายจากการกินมาเป็นการฉีดโดยการสกัด เอาเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อผิวที่เด่นชัดที่สุด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพต่อการบำรุงเฉพาะจุดที่ดีที่สุดนั่นเอง

บุคคลที่ห้ามทำการรักษาด้วย Meso Collagen

• สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
• คนที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
• คนที่มีประวัติภาวะความดันโลหิตต่ำ
• คนที่มีประวัติโรคหัวใจและการรักษาด้วยยาหลายแขนง
• คนที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
• คนที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ

เมโส ( Meso ) หน้าใส ราคาเท่าไร

เรื่องนี้ก็จะบอกไม่ได้ เพราะว่า เมโสหน้าใส แต่ละคลินิก ต่างก็มีราคาที่ไม่เท่ากัน แต่ถ้าหากว่าเป็นราคาแบบกลางๆ ก็จะอยู่ที่ 1500- 3000 บาท 

การแก้ไขปัญหาผิวหน้าอย่างถูกจุด จะช่วยให้ผิวหน้าที่สมบูรณ์แบบและจะคงสภาพเช่นนั้นไปได้ในระยะยาว ไม่ต้องทำซ้ำบ่อยๆ  เพราะนั่นคือเงินที่เราจะต้องจ่ายเพิ่มแบบไม่สิ้นสุด   เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับความรู้เกี่ยวกับเรื่อง Meso หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจ หรือ กำลังตัดสินใจที่จะไป ฉีด เมโสหน้าใส กันนะคะ

ขั้นตอนการทำงานของ เมโส ( Meso ) หน้าใส

หลังจากที่มีการตรวจสภาพความพร้อมของผิวหนังและร่างกายแล้ว  ผู้เชี่ยวชาญจะฉีด เมโส ( Meso ) หน้าใสสูตรเริ่มต้น ด้วยเข้มที่มีขนาดเล็กมาก เพื่อจัดการกับเซลลูไลท์ในขั้นตอนแรก  เป็นการเตรียมผิวเพื่อให้เปิดรับสารอาหารที่จะฉีดในขั้นตอนต่อไป โดยสูตรเริ่มต้นนี้นอกจากจะช่วยในการแก้ไขปัญหาเรื่องเซลลูไลท์ที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยแล้ว

มันยังช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนโลหิต  และช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำร้ายเช่น  ส่วนที่เป็นสิว  เป็นฝ้า  หรือผิวหน้าหมองคล้ำ  ในขั้นตอนนี้ สาวๆแทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ผลข้างเคียงที่รุนแรงที่สุดที่เคยพบคืออาการแสบนิดๆ  เพราะสารเคมีกำลังทำงาน  แต่อาการนี้จะหายไปภายใน 20 นาที  และผลการรักษาจะเห็นได้ชัดเจนหลังจากทำการฉีดเมโส หน้าใส ไปประมาณ 5 วัน  ในรายที่มีปัญหาผิวเพียงเล็กน้อยเช่น  หน้าหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย มาตึงกระชับ หรือปัญหาฝ้าและกระที่ไม่มากนัก

แค่เพียงขั้นตอนแรกนี้  ก็ช่วยปรับสภาพผิวได้ดีในระดับหนึ่ง การทำซ้ำในครั้งที่ 2 จะช่วยให้เห็นผลได้ชัดเจนขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า  ควรทำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง  เพื่อสุขภาพผิวที่ดีขึ้น

แต่ถ้าเป็นรายที่มีปัญหาค่อนข้างมาก ผู้เชี่ยวชาญอาจจะต้องลำดับความสำคัญของปัญหาและวางแนวทางการรักษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  เพื่อการรักษาที่ต่อเนื่องและเห็นผลการรักษาได้อย่างชัดเจน  การแก้ไขปัญหาผิวหน้าอย่างถูกจุด  จะช่วยให้ผิวหน้าที่สมบูรณ์แบบและจะคงสภาพเช่นนั้นไปได้ในระยะยาว  ไม่ต้องทำซ้ำบ่อยๆ  เพราะนั่นคือ เงินที่เราจะต้องจ่ายเพิ่มแบบไม่สิ้นสุด   เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับความรู้เกี่ยวกับเรื่อง Meso หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจ หรือ กำลังตัดสินใจที่จะไป ฉีด เมโส ( Meso ) หน้าใส กันนะคะ

ส่วนผสมเมโสหน้าใส

ส่วนผสมที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการ เมโสหน้าใส ได้แก่สารคาเฟอีน กรดไฮยาลูโรนิก แอลคาร์นิทีน วิตามินหลายชนิด  และสารสกัดจากอาติโช๊ค( แก่นตะวัน ) ซึ่งจุดร่วมของส่วนผสมเหล่านี้ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ  เป็นสารสกัดจากธรรมชาติล้วนๆ  และเป็นสารสกัดจากวัตถุดิบที่เราใช้ได้การรับประทานแทบทั้งสิ้น  หรือพูดให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่า  ส่วนผสมเหล่านี้  เป็นสิ่งที่เรารับประทานกันเป็นปกติในชีวิตประจำวันแต่เราแค่เปลี่ยนวิธีการนำเข้าสู่ร่างกาย  จากการกินมาเป็นการฉีดโดยการสกัด  เอาเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อผิวที่เด่นชัดที่สุด  เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพต่อการบำรุงเฉพาะจุดที่ดีที่สุดนั่นเอง

เอนไซม์ Hyaluronidase ที่ใช้เป็นส่วนผสมเป็นเอนไซม์ที่เราพบตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์  มันทำหน้าที่ทำลายกรดไฮยาลูโรนิคซึ่งเป็นเป็นส่วนประกอบหลักในเซลลูไลท์  ฉะนั้นหน้าที่หลักของสารตัวนี้คือ  การเข้าไปทำลายชั้นเซลลูไลท์ในผิวหนังส่งผลให้ผิวหนังเรียบเนียนขึ้นและยังช่วยให้เนื่อเยื่อส่วนอื่นบนผิวหน้าสามารถรับสารอาหารที่กำลังจะฉีดเข้าสู่ชั้นผิว

L-Carnitine ช่วยทำหน้าที่ดึงเอาไขมันส่วนเกินออกจากเซลล์ไขมัน  และนำส่งไปยัง ไมโตคอนเดรียที่อยู่ภายในเซลล์  เพื่อนำไปสร้างเป็นพลังงานต่อไป ไขมันส่วนเกินจึงถูกกำจัดออกจากร่างกาย  ผิวส่วนนั้นจึงกระชับขึ้น

Phosphatidylcholine ( PC ) – เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ  มีคุณสมบัติพิเศษคล้ายอิมัลซิไฟเออร์ที่สามารถทำให้ไขมันแตกตัวและเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันที่สารมารถละลายน้ำได้  จึงถูกกำจัดออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ  และเหงื่อได้อย่างง่ายดาย

Deoxycholate ( DC ) เป็นเอนไซม์ของร่างกาย ซึ่งปะปนอยู่ในน้ำดี ทำหน้าที่ย่อยไขมันที่รับประทานเข้าไปพร้อมอาหาร เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายก็มักส่งผลให้  ร่างกายสามารถย่อยไขมันได้ดีขึ้น

Aminophylline  ส่วนผสมตัวนี้  ทำงานคล้ายกับคาเฟอีน  ใช้เพื่อกระตุ้นการทำลายไขมัน  และยังช่วยขยายเส้นเลือดฝอยให้กว้างขึ้น  เพื่อให้สามารถส่งผ่านออกซิเจนและสารอาหารสู่เซลล์ต่างๆได้ดีขึ้น  ถึงแม้ว่าจะใช้งานได้ดี  แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้ไม่เกิน 20 mg / ml  เพราะอาจส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียและคลื่นไส้อาเจียนได้

สารเหล่านี้จะถูกจัดส่งเข้าสู่ผิวหนังและร่างกายด้วยระบบนาโนแคปซูล  ซึ่งหมายความว่าส่วนประกอบเหล่านี้จะได้รับการปล่อยออกมาก็ต่อเมื่อ มันเดินทางไปถึงเซลล์เป้าหมายเท่านั้น  เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการรักษา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Rittes, PG; Rittes, JC; Carriel, Amary MF (2006). “Injection of phosphatidylcholine in fat tissue: experimental study of local action in rabbits”. Beautytalktips.com

Rotunda, Adam; Kolodney, Michael (April 2006). “Mesotherapy and Phosphatidylcholine Injections: Historical

เมโสแฟต ( Meso Fat ) แก้ปัญหาความไม่กระชับให้กลับสู่ความสาว

0
เมโสแฟต แก้ไขปัญหาทุกส่วนที่ไม่กระชับให้กลับสู่ความสาว
เมโสแฟต  คือการฉีดสารเคมีที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงเข้าสู่ร่างกายในจุดที่ต้องการสลายไขมัน
เมโสแฟต แก้ไขปัญหาทุกส่วนที่ไม่กระชับให้กลับสู่ความสาว
เมโสแฟต  คือการฉีดสารเคมีที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงเข้าสู่ร่างกายในจุดที่ต้องการสลายไขมัน

เมโสแฟต 

เมโสแฟต ( Meso Fat ) เป็นวิธีการหนึ่งของการทำสปาบำบัด โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ การสลายไขมันในส่วนที่เป็นปัญหาโดยเฉพาะ  วิธีการนี้ถือได้ว่าเป็นการลดไขมันเฉพาะจุดก็ว่าได้  สาวๆที่มีปัญหาเกี่ยวกับการไม่กระชับของผิวหน้าและผิวกายเนื่องจากมีการสะสมของไขมันในจุดที่ไม่ต้องการ  ลองนึกภาพดูเอาเถอะว่าตอนเอาไขมันเข้าสู่ร่างกาย  แสนจะ  ง่ายดาย  แค่กินแล้วนอนเดี๋ยวเดียวก็ไขมันก็มา  แต่พอตอนจะเอาออกนี่สิยุ่งยากเป็นที่สุด  ทำยังไงก็ไม่ยอมออกไปง่ายๆ  แถมยังดื้อทนไม่นำพาต่อวิธีการใดใดที่โหมประโคมลงไปเพื่อจัดการกับไขมันพวกนี้ จนในที่สุดเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ค้นพบวิธีที่จะจัดการกับไขมันให้ออกไปจากร่างกายของเรา  ด้วยวิธีที่แสนพิเศษอีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายของเรา  เราเรียกวิธีการนี้ว่า เมโสแฟต    

เมโสแฟต คือการฉีดสารเคมีที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงเข้าสู่ร่างกายในจุดที่ต้องการสลายไขมัน  ซึ่งสารเคมีเหล่านี้ต้องเป็นสารเคมีที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( FDA ) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบำบัดด้วย เมโสแฟต เท่านั้น  อีกทั้งผู้ที่จะทำการเข้าสู่ร่างกายได้  จะต้องเป็นชำนาญการและต้องเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

การฉีดเมโสแฟตจะเป็นการนำเอาสารเคมีบางอย่างฉีดเข้าไปยังผิวหนังชั้นกลาง ( meso ) ที่อุดมไปด้วยชั้นไขมัน  คอลลาเจน  อีลาสตินรากผม  เซลล์ประสาทและต่อมเหงื่อ  เพราะฉะนั้นผิวหนังชั้นนี้จึงเป็นชั้นที่เป็นศูนย์รวมของความงามที่สาวๆต้องการแทบทั้งสิ้น  และการกระทำส่วนใหญ่ที่ทำลงไปบนผิวหนังที่เกี่ยวกับความสวยงาม  ความตึงกระชับ  ก็จะทำกันที่ชั้นผิวหนังนี้นี่เอง  และเมโสแฟตก็เช่นเดียวกัน  เวลาที่เราฉีดสารประมิทธิภาพสูงเข้าไป  สารเหล่านั้นก็จะเข้าไปปรับแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดในที่ที่มีไขมันอยู่  จึงมั่นใจได้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ได้ผลโดยตรงในจุดนั้น  และไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อในส่วนอื่นๆอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะในเรื่องของการทำลายแฟต  หรือไขมันสะสม  ที่เป็นต้นเหตุของความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อบนหน้าและส่วนอื่นๆที่ของร่างกาย  การนำพาเอาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำให้ไขมันแตกตัว

หรือเปลี่ยนรูปแล้วสามารถที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด  ระบบน้ำเหลืองหรือระบบกล้ามเนื้อต่างๆของร่างกาย  ซึ่งปลายทางสุท้ายของไขมันเหล่านี้จะถูกขับออกจากร่างกายด้วยกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย  เช่นปะปนออกมากับของเสียทุกช่องทางทั้งทางหนัก  ทางเบา  และทางเหงื่อ  วิธีการเมโสแฟต จึงเป็นการทำลายไขมันและขับออกจากร่างกายแบบถาวร  และเป็นวิธีการที่ไม่ได้มีผลกระทบกับร่างกายใดใดทั้งสิ้น

ในทางกลับกันร่างกายของเรายังได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากกระบวนการเหล่านี้ด้วย  เช่น  ไขมันบางตัวเมื่อเปลี่ยนรูปแล้วจะถูกพัฒนาให้เป็นพลังงานและกล้ามเนื้อได้บางส่วนไม่ใช่แค่ไขมันมันจะหายไป  แต่เรายังได้กล้ามเนื้อกลับมาแทน  ช่วยเสริมความกระชับโดยเฉพาะในส่วนของต้นแขนต้นขาและหน้าท้อง  ซึ่งนับเป็นการทำงานที่รอบคอบ  เพราะทุกการลดความอ้วนมักเกิดปัญหาโยโย่ตามมาหลังจากไขมันหายไป  แต่สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับการทำเมโสแฟตอย่างแน่นอน   

เมโสแฟต ( Meso Fat ) คือ วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด โดยฉีดเพื่อช่วยสลายไขมันสะสมในชั้นไขมันที่เป็นปัญหา

ฉีด เมโสแฟต ( Meso Fat )

ความน่าทึ่งของเมโสแฟตไม่ได้จบอยู่แค่นั้น  เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ใช่แค่การหายไปของไขมันสะสมที่เป็นปัญหา  แต่มันเป็นทางออกของทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจุดบกพร่องต่างๆของผิวหนังทุกส่วนในร่างกาย  บางคนอาจจะเจอปัญหาสีผิวที่ไม่ส่ำเสมอ  เมโสก็สามารถทำหน้าที่ปรับสีผิวตรงนั้นด้วย  การรักษาฝ้ากระจุดด่างดำ  หรือแม้กระทั่งการยับยั้งการงอกของขน  การกระตุ้นให้ผมยาวเร็วขึ้น  ทุกความอัศจรรย์ของผิวหนังสามารถทำได้ด้วยวิธีการเมโสเหล่านี้

สารสกัดจากธรรมชาติที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น  จึงจะสามารถเข้าไปอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้  นี่เป็นคอนเซ็ปพื้นฐานที่ผู้คิดค้นสารเคมีสำหรับการทำเมโสแฟตส่วนผสมหลักที่ผู้เชี่ยวชาญมักเลือกใช้เช่น เอนไซม์ Hyaluronidase , L-Carnitine , Phosphatidylcholine ( PC ) , Deoxycholate ( DC ) , Aminophylline  และวิตามินต่างๆ  สารเหล่านี้จะถูกจัดเก็บและพร้อมใช้งานในรูปแบบนาโนแคปซูลซึ่งเป็นรูปแบบอัจฉริยะ  ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังชั้นเมโสมันจะทำหน้าที่ทันทีที่เจอเซลล์เป้าหมายเท่านั้น  และแน่นอนว่ามันจะสามารถทำงานได้อย่างตรงจุและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน

บริเวณใดบ้างทำ Meso Fat ได้

  • ลดไขมันส่วนเกินที่พุง หน้าท้อง ทำให้หน้าท้องแบนราบและดูกระชับมากขึ้น
  • ลดไขมันที่แก้ม เพื่อฉีดให้หน้าดูเรียวแลดูเล็กลง
  • ลดไขมันที่คาง ( เหนียง ) เพื่อลดคางสองชั้น
  • ลดไขมันที่ต้นแขน ต้นขา ทำให้แขนขาดูเรียวเล็กลง
  • ลดไขมันที่น่อง แต่ส่วนมากที่น่องมักจะเป็นกล้ามเนื้อซึ่งต้องใช้โบท็อกซ์ในการลด
  • ลดไขมันที่จมูกร่วมกับการทำโบท็อกซ์ลดปีกจมูก (ปีกจมูกบาน) ทำให้เล็กลง
  • ลดไขมันที่หนังตาบน และถุงใต้ตา สามารถทำได้ในคนอายุน้อยๆไม่เกิน35ปี ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินความเหมาะสมในการทำ

อันตรายของการฉีด เมโสแฟต ( Meso Fat )

ผลที่ได้จะอยู่นานแค่ไหน: อันนี้ก็ยังไม่มีเวลาที่แน่ชัดว่าเจ้าตัวเมโสแฟตนั้น จะมีอายุอยู่ประมาณที่เท่าไร เพราะขึ้นอยู่กับพฤติกรรม และการใช้ชีวิตหลังการฉีดของแต่ละคนด้วย ถ้ามีการควบคุมที่ดี ก็จะอยู่ได้นานยิ่งขึ้น โดยเฉลี่ยจะอยู่ประมาณที่ 1 ปี   

ระยะห่างในการฉีด Hyalrepair Meso Fat : ทุก 3 สัปดาห์ สามารถใช้ชีวิตตามปกติ หลังการฉีด สามารถทาแป้ง แต่งหน้าได้ตามปกติ

ข้อปฎิบัติหลังการฉีด Hyalrepair Meso Fat

1.สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การดื่มน้ำให้มากๆ เพราะว่าร่างกายจะทำการกำจัดไขมันส่วนเกิดส่วนใหญ่ออกจาก ปัสาวะ นั่นเอง ยิ่งดื่มน้ำได้มากเท่าไร ยิ่งส่งผลดีทำให้ ไขมันถูกกำจัดออกไปได้เร็วขึ้น

2.ออกำลังกาย เพื่อที่จะทำให้ร่างกายเผาผลาญ ไขมันได้ดียิ่งขึ้น ควรทำ อาทิตย์ละประมาณ 1-2 ครั้ง วิธีนี้ค่อนข้างที่จะดีนะ
3. เลี่ยงการทานอาหารที่มีรสเค็ม และ งดพวกแป้ง ไขมัน น้ำตาล ไม่งั้นจะไม่ได้ผล4.  หลีกเลี่ยงการอบซาวด์น่า นวดหน้า นวดตัวหรือทำทรีตเมนต์ เพื่อลดการฟกช้ำ ในบริเวณ ดังกล่าว

สรุปแล้ว  วิธีการจัดการกับไขมันด้วยการทำเมโสแฟตถือได้ว่า เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาไขมันสะสมที่ไม่พึงประสงค์อย่างตรงจุด  มีประสิทธิภาพ  และเป็นการทำแบบถาวร  ต่อจากนี้ไปเมื่อเราได้ใบหน้าและรูปร่างที่กระชับกลับคืนมาแล้วตามความตั้งใจแล้ว   สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ไปคือการปรับเปลี่ยนวิธีรการใช้ชีวิตให้เหมาะสมและถูกต้อง  เพื่อไม่ให้ปัญหากวนใจเหล่านี้กลับมาได้อีก  และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นเราอาจจะต้องใช้ ” แผนการรับประทานอาหาร Meso Me ” ซึ่งทำให้ได้รูปร่างและความสวยที่ถาวรอยู่กับเราตลอดไป

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Rotunda, Adam; Kolodney, Michael (April 2006). “Mesotherapy and Phosphatidylcholine Injections: Historical Thaibeautytalk.com

Rittes, PG; Rittes, JC; Carriel, Amary MF (2006). “Injection of phosphatidylcholine in fat tissue: experimental study of local action in rabbits”. Aesthetic Plast Surg. 30 (Jul-Aug;30(4):474-8.)

Hyaluronidases เอนไซม์ที่ช่วยจัดการเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์

0
Hyaluronidase เอนไซม์ที่ช่วยจัดการเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์
Hyaluronidases เป็นเอนไซม์ในร่างกายตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่ทำหน้าที่ทำการย่อยสลายให้ก้อนเนื้อหรือเนื้องอกที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายมีขนาดเล็กลง
Hyaluronidase เอนไซม์ที่ช่วยจัดการเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์
Hyaluronidases เป็นเอนไซม์ในร่างกายตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่ทำหน้าที่ทำการย่อยสลายให้ก้อนเนื้อหรือเนื้องอกที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายมีขนาดเล็กลง

Hyaluronidases

Hyaluronidases เป็นเอนไซม์ที่มีในร่างกายตามธรรมชาติของมนุษย์  และเป็น 1 ใน 5 เอนไซม์  ที่ทำหน้าที่จัดการกับก้อนเนื้อหรือเนื้องอกที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย  เอนไซม์กลุ่มนี้จะพุ่งตรงเข้าไปยังก้อนเนื้อหรือ เนื้องอกที่เป็นเป้าหมายเฉพาะเจาะจงของเอนไซม์แต่ละตัวและทำการย่อยสลายให้เนื้อเยื่อส่วนนั้นหายไป  หรือมีขนาดเล็กลง 

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่า Hyaluronidases ก็คือสิ่งปกติที่อยู่ในร่างกายของคนเรานั่นเอง  แต่การทำงานของ เอนไซม์ในกลุ่มนี้ค่อนข้างจำเพาะเจาะจง  ซึ่งหน้าที่หลักของ Hyaluronidases จะพุ่งเป้าไปที่การจัดการย่อยสลาย hyaluronan ( HA ) โดยเฉพาะ เพียงอย่างเดียว  ซึ่งเนื้อเยื่อในส่วนนี้  เป็นส่วนที่ทำให้กล้ามเนื้อและผิวหนังเกิดการยืดหยุ่น  แต่เมื่อมันเกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติ  หรือมีมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้  เช่น  การเกิดเป็นเนื้องอก  หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเกิดเป็น tumorigenic potential ซึ่งจะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นมะเร็งได้  ซึ่งนี่คือภารกิจหลักของเอนไซม์ Hyaluronidases ที่จะต้องจัดการกับส่วนเกินตรงนี้ให้หมดไปจากร่างกาย

ด้วยความสามารถพิเศษตรงนี้  ในวงการแพทย์จึงใช้เอนไซม์ Hyaluronidases เพื่อการรักษาโรคเนื้องอกและมะเร็ง  โดยการฉีดมันเข้าไปเพื่อสลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้น  แต่ในเวลาต่อมาเทคโนโลยีทางการแพทย์ศัลยกรรมได้มีการนำเอา Hyaluronidases มาใช้เพื่อการ ย่อยสลายเส้นใยกรดไฮยาลูโรนิคที่มากเกินไป  จากที่เคยมีเพื่อความยืดหยุ่น  แต่เมื่อมันมีจำนวนมากเกินพอดี  มันจึงกลายเป็นความหย่อนยานแทน

วิธีการนี้เราเรียกว่าการทำเมโสบำบัด ( mesotherapy ) เป็นการฉีดเอนไซม์ Hyaluronidases เข้าไปที่ผิวหนังชั้นเมโส  เพื่อให้เอนไซม์ตัวนี้  เข้าไปทำลายเส้นใยไฮยาลูโรนิคที่มากเกินไป  และมีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นเซลลูไลท์ที่ถาวร จนเป็นปัญหาของความหย่อนคล้อยของผิวหน้า  เอนไซม์ตัวนี้จะทำหน้าที่คัดเลือกและแบ่งแถบเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั้งหมด  และเลือกย่อยสลายในส่วนที่เป็น เซลลูไลท์   เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อที่มีความหนาแต่ไร้ประโยชน์เหล่านี้หมดไป  การเติมสารอาหารและวิตามินอื่นๆเข้าสู่ชั้นผิวก็ทำได้ง่ายขึ้น  และสามารถแสดงผลของการบำรุงผิวหน้าด้วยสารอาหารและวิตามินที่ผิวหนังต้องการได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ Hyaluronidases ยังสามารถจัดการกับการเติมฟิลเล่อร์ที่เกินพอดี  ในวงการศัลยกรรม  มีการใช้วิธีการเติมฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มเข้าไปที่ผิวโดยตรง  เพื่อมุ่งหวังให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่น หย่อนคล้อยบริเวณนั้นมีสภาพที่  อวบอิ่มเด้งเนียนเหมือนเดิม ฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่ที่ใช้คือ Hyaluronic Acid ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวโดยตรง  แต่การใช้สารเติมเต็มเหล่านี้  มักเจอปัญหาของการเติมจะเกินพอดี  ทำให้มีสารฟิลเลอร์หลงเหลืออยู่ที่ชั้นผิวหนัง  จากที่ต้องการเติมเต็ม  กลายเป็นล้น  และส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็นเนื้อเยื่อที่ปูดนูนออกมาจากผิวหนังปกติ  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฉีด Hyaluronidases เข้าไป  เพื่อย่อยสลายเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นปัญหาให้กลับเข้ามาสู่ผิวหน้าที่สมบูรณ์  ตามรูปทรงปกติของผิวหนัง

ทั้งหมดนี้คือการใช้ประโยชน์ของเอนไซม์  Hyaluronidases  ที่จะทำให้เราจัดการกับทุกปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าได้อย่างตรงจุด  และยาวนานกว่าการทำศัลยกรรมรูปแบบอื่นๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Pacik PT (December 2009). “Botox treatment for vaginismus”. Plastic and Reconstructive Surgery. 124 (6): 455e–56e. doi:10.1097/PRS.0b013e3181bf7f11. PMID 19952618.

กรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid ) คืออะไร แนะนำให้เข้ามาอ่านบทความนี้

0
Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิค) คืออะไรเกี่ยวอะไรกับ ฟิลเลอร์
Hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สารตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของกรดไฮยาลูโรนิคที่พบในร่างกายมนุษย์
Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิค) คืออะไรเกี่ยวอะไรกับ ฟิลเลอร์
Hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สารตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของกรดไฮยาลูโรนิคที่พบในร่างกายมนุษย์

กรดไฮยาลูโรนิค

กรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid ) เป็นสารเติมเต็มผิวหนัง ( Filler ) ที่มีผลชั่วคราว  เมื่อร่างกายของเราใช้งานมันไปจนหมด ก็ต้องมีการเติมเข้าไปอีก  เพื่อคงสภาพเดิมให้ได้มากที่สุด   เนื่องจากสารตัวนี้ เป็นสารที่ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของร่างกาย  ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร่างกายของเราจะสามารถรับและใช้งานมันได้อย่างเป็นปกติ  และสามารถทำลายให้หมดไปตามระยะเวลาที่เหมาะสม   ด้วยกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย

กรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid ) เป็นโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า polysaccharide ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น บริเวณผิวหนังและกระดูกอ่อน  สารตัวนี้สามารถรวมตัวกับน้ำและทำให้เกิดอาการบวม   แต่เมื่อมันอยู่ในสภาพปกติ  มักจะมีสภาพเป็นเจล  ซึ่งก่อให้เกิดเป็นความเรียบและยืดหยุ่น    ซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติเพราะมันสามารถดึงดูดน้ำในชั้นผิวหนังช่วยให้ผิวนุ่ม  ลื่นและยืดหยุ่น

5 คุณสมบัติที่สำคัญของไฮยาลูโรนิค

  1. การดูดความชื้น และไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านของร่างกาย
  2. สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรผิว ( filler ) ได้อย่างยอดเยี่ยม
  3. สารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง
  4. กรดไฮยาลูโรนิค สามารถใช้ทดแทนสารส่วนนี้ที่ร่างกายใช้งานไปจนเหลือน้อย โดยการฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย ที่จะสามารถแสดงประสิทธิภาพในการทำงานได้
  5. การฟื้นฟูผิวหน้า โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดศัลยกรรม

อันที่จริงแล้วสาร กรดไฮยาลูโรนิคตัวนี้อยู่ในร่างกายและทำหนาที่ของตัวเองไปตามที่สภาพร่างกายจะเอื้ออำนวย  บางคนใช้งานหนักก็หมดเร็ว  บางคนใช้อย่างรู้คุณค่าก็สามารถประคับประคองมันให้สามารถอยู่ได้นาน อันที่จริงแล้ว กรดไฮยาลูโรนิค มันทำหน้าที่จัดการกับสาร Hyaluronan ซึ่งเป็นสารที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง  เช่น กดแก้ม กดคางแล้วเด้งกลับสู่สภาพเดิม

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้  พอกดแก้มลงไปแก้มจะบุ๋มตามนิ้วไปเลยไม่คืนสภาพเดิม  แต่การที่ผิวหนังของเรามี Hyaluronan มากเกินไป เมื่อมันถูกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆแทนที่จะเป็นเพียงแค่องค์ประกอบในผิวหนังธรรมดาทั่วไป  มันกลับกลายเป็นเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์และเริ่มแบ่งแยกตัวเองออกจากผิวหนังชั้นกลาง   มาเป็นก้อนเซลลูไลท์ที่มีพื้นที่ส่วนตัว  ซึ่งเราจะเห็นเป็นก้อนเนื้อยานๆและนั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงรับไม่ได้

ปกติร่างกายมนุษย์จะมี กรดไฮยาลูโรนิค ประมาณ 15 กรัม   และมันจะอยู่ที่ชั้นผิวหนัง  50% และอยู่ที่กระดูกอ่อนและส่วนอื่นๆอีก  50%   โดยปกติรูปแบบธรรมชาติของ กรดไฮยาลูโรนิค สามารถละลายน้ำ และร่างกาย สามารถผลิตมันออกมาได้ใหม่ ด้วยการทำงานของเอนไซม์ และมันจะมีอายุยืนยาวอยู่ได้ 24 วันตามสภาพร่างกายที่ปกติ  แต่มันจะหมดอายุสั้นลงด้วยภาวะของความเครียด  และความเจ็บป่วยบางประการของร่างกาย สารตัวนี้มีความทนทานต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ฉะนั้นเม็ดเลือดขาวไม่เห็นว่าสารตัวนี้เป็นสิ่งแปลกปลอม  มันจึงไม่ถูกขับออกจากร่างกาย  นอกเสียจากว่า  มันจะเสื่อมสภาพไปเอง  และถูกดูดซึมกลับเข้ามาในร่างกาย  กลายเป็นของเสียที่จะถูกขับออกไปจากร่างกายในอนาคต  ด้วยคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมในการดูดความชื้น และไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านของร่างกาย  ทำให้โมเลกุล กรดไฮยาลูโรนิค  เป็นสารที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาตรผิว(filler)ได้อย่างยอดเยี่ยม

ถ้าจะพูดว่า กรดไฮยาลูโรนิค เป็นสารที่เกิดจากความอัจฉริยะของมนุษย์ ก็สามารถพูดได้  เพราะการที่เราสามารถศึกษาจนเข้าใจระบบการทำงานของร่างกาย  แล้วยังเข้าใจมุมกลับของร่างกาย  ที่จะสร้างตัวอื่นสารเพื่อยับยั้ง การทำงานเหล่านี้  อันเป็นความซับซ้อนและความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์  เมื่อเรารู้ความลับตรงนี้ก็ยังเอาความรู้ที่ได้ไปพัฒนาจนสามารถ  คัดเลือกเอาสาร กรดไฮยาลูโรนิค จากแหล่งอื่น  มาพัฒนาและปรับใช้กับร่างกายคน   จนสามารถฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย  ทดแทนสารส่วนนี้ที่ร่างกายใช้งานไปจนเหลือน้อยเกินกว่าที่จะสามารถแสดงประสิทธิภาพในการทำงานได้

ฉะนั้นการฉีด กรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สารตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของ กรดไฮยาลูโรนิค ที่พบในร่างกายมนุษย์  ซึ่งนอกจากมันจะทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังแล้ว  การนำเอาสารตัวนี้จะเข้าไปในชั้นผิวหนังจะช่วยทำลาย  Hyaluronan  ที่มากจนเกินไป  ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อย

แหล่งที่มาของ กรดไฮยาลูโรนิค ที่ใช้เพื่อการเติมเต็มในส่วนของผิวหนัง  เป็นสารที่ได้มาจากกการเพาะเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในห้องทดลอง  โดนการใช้โปรตีนที่ทำมาจากเนื้อของนกเป็นอาหาร  เพื่อให้ได้มาซึ่งสาร กรดไฮยาลูโรนิค ที่มีสภาพใกล้เคียงกับสารที่อยู่ในร่างกายมนุษย์มากที่สุด  และเมื่อได้สารเหล่านี้ออกมา  นักวิจัยก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบนิดหน่อยเพื่อให้ได้ กรดไฮยาลูโรนิค ที่มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น  ซึ่งโดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ ตัวนี้ 1  ครั้งสามารถอยู่ในชั้นผิวหนังได้นาน  ประมาณ 6 เดือน  แต่ด้วยเทคโนโลยีในการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมี ทำให้มันสามารถอยู่ได้นานถึง 12  เดือน

ทุกวันนี้การพัฒนารูปแบบที่มีเสถียรภาพมากขึ้นของกรดไฮยาลูโรนิค ทำให้การเสริมสร้างความสวยงามสมบูรณ์แบบบนใบหน้าได้นานขึ้น  จึงได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตจากเดิมที่ใช้เชื้อ Avian ฉีดเข้าไปในนก และเอาส่วนที่เป็นอวัยวะเป้าหมายมาสังเคราะห์เพื่อดึงเอาสารตัวนี้ออกมา   ซึ่งมักก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย  และเสื่อมสลายได้เร็วเกินไป  ส่งผลให้เกิดความสิ้นเปลือง  จึงปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตมาใช้เชื้อ  Streptococcus หรือ Staphylococcus equine bacterium และใช้การหมักโดยวิธีธรรมชาติ  ในห้องทดลอง  และเพิ่มสาร  1,4- บิวทานอล diglycidyl ether เพื่อให้เกิดเป็น กรดไฮยาลูโรนิคที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า  มีความหนืดน้อยกว่า และไม่เป็นการทารุณสัตว์อีกด้วย

Hyaluronic acid จึงเป็น ฟิลเลอร์ ผิวฉีดที่มีประสิทธิภาพสูง  ใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างมิติที่ดีกว่าได้บนใบหน้า  ทำให้ได้ใบหน้าที่กระชับได้รูปและเต่งตึง  มีความยืดหยุ่นที่พอเหมาะ เป็นการฟื้นฟูผิวหน้าโดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดศัลยกรรม  ที่นอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกกายแล้ว

ยังทิ้งร่องรอยการทำและผลข้างเคียงที่อาจตามมาอีกในอนาคต การฉีดกรดไฮยาลูโรนิคเข้าสู่ชั้นผิว  จึงเป็นการตรึงความชุ่มชื่นให้อยู่กับผิว  และความสมบูรณ์บนใบหน้าที่ดีที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Pacik PT (December 2009). “Botox treatment for vaginismus”. Plastic and Reconstructive Surgery. 124 (6): 455e–56e. doi:10.1097/PRS.0b013e3181bf7f11. PMID 19952618.

Fraser JR, Laurent TC, Laurent UB (1997). “Hyaluronan: its nature, distribution, functions and turnover”. J. Intern. Med. 242 (1): 27–33. doi:10.1046/j.1365-2796.1997.00170.x. PMID 9260563. vsquareclinic.com

Stern, edited by Robert (2009). Hyaluronan in cancer biology (1st ed.). San Diego, CA: Academic Press/Elsevier. ISBN 978-0-12-374178-3. 
Stern R (2004). “Hyaluronan catabolism: a new metabolic pathway”. Eur. J. Cell Biol. 83 (7): 317–25. doi:10.1078/0171-9335-00392. PMID 15503855.

ข้อควรรู้ก่อนการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )

0
ข้อควรรู้ก่อนผ่าตัดกราม เพื่อความงามที่มีศักยภาพสูงสุด
การตัดกราม จะช่วยปรับลักษณะของขากรรไกรและฟันให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม และทำให้หน้าเรียวขึ้น
ข้อควรรู้ก่อนผ่าตัดกราม เพื่อความงามที่มีศักยภาพสูงสุด
การตัดกราม จะช่วยปรับลักษณะของขากรรไกรและฟันให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม และทำให้หน้าเรียวขึ้น

ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )

ข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เป็นสิ่งที่เราควรศึกษาและทำความเข้าใจ  เพื่อสร้างมาตรฐานของการนำเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามขั้นตอน การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เพื่อการศัลยกรรมความงามที่ถาวร  ขั้นตอนในการทำอาจจะมีความยุ่งยากซับซ้อนและอาจเกิดผลข้างเคียงมากกว่าที่เราจะคาดเดาได้  ฉะนั้นเรื่องราวข้อควรรู้ก่อน ” ผ่าตัดกราม ” จึงมีความสำคัญมาก  และเราก็ไม่ควรละเลย 

ข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เป็นหนึ่งในสิทธิของผู้ป่วยในการสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการรักษาที่ถูกต้อง  เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้จากกระบวนการรักษา  ซึ่งการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่อยู่นอกเหนือการคุ้มครองของระบบประกันภัยทุกประเภท  เพราะฉะนั้นสิทธิต่างๆที่ผู้เข้ารับการรักษาพึงได้  จึงต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่สร้างขึ้นระหว่างแพทย์ผู้ให้การรักษา  สถานพยาบาล  และตัวผู้เข้ารับการรักษาเท่านั้น  ซึ่งถือเป็นข้อตกตง  ที่ถูกระบุเอาไว้ในหนังสือยินยอมก่อนเข้าสู่กระบวนการรักษาตามขั้นตอน

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) จะเป็นเรื่องราวที่พูดถึงผลจากการรักษาเป็นหลัก  และอาจสอดแทรกคำแนะนำในการเลือกใช้วิธีการศัลยกรรมที่เหมาะสมกับตัวเราและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด  เพื่อผลการรักษาที่ดีและปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเรา  และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )

ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) แบบเบื้องต้นที่สุดคือ  ผู้ที่จะเข้ารับการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ได้  จะต้องเป็นผู้ที่มีวัยวุฒิและสภาพร่างกายที่เหมาะสม  นั่นคือ  เป็นผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป  เพราะเป็นเกณฑ์อายุที่ร่างกายของคนส่วนใหญ่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  กระดูกและโครงสร้างต่างๆของร่างกายคงที่  ไม่มีการเจริญเติบโตในเรื่องของโครงสร้างกระดูกอีกต่อไป  อีกทั้งผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง  ไม่มีโรคประจำตัวที่ร้ายแรงและเป็นอุปสรรคในการเข้ารับการรักษา  ซึ่งอาจจะต้องทำควบคู่กับการใช้ยาชา  ยาสลบ  และยาที่ใช้เพื่อลดอาการเจ็บปวดจากการผ่าตัด

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) อาจจะส่งผลต่อการระบบการย่อยอาหารที่มีประสิทธิภาพ  เราอาจจะต้องสูญเสียสภาพของกรามและฟันบางส่วน  ซึ่งอาจจะส่งผลถึงการเคี้ยวอาหาร  การกลืน  และอาจมีอาการปวด บวม  อักเสบ อันเป็นผลมาจากการผ่าตัด  ซึ่งอาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว  และจะค่อยๆทุเลาเบาบางลงไปเรื่อย  จนกระทั่งไม่พบอาการดังกล่าว 

ในช่วงแรกๆของการปรับโครงสร้างหน้าด้วย ” การผ่าตัดศัลยกรรมกราม ” อาจจะทำให้เรายิ้มได้ยากขึ้น  หรืออาจเกิดอาการที่ริมฝีปากทำงานผิดปกติ  เช่นเปิดปากได้ยากขึ้น  ปากปิดไม่สนิท  ปากเบี้ยว  แต่ทุกอาการจะสามารถทุเลาลงได้ด้วยการกายภาพ  และการฝึกฝนกล้ามเนื้อโดยรอบ  ตามคำแนะนำของแพทย์แลพนักกายภาพบำบัด

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) อาจจะสร้างความไม่สมดุลบางประการให้เกิดกับลักษณะการเรียงตัวของฟันบน  ฟันล่างฟันหน้า  ฟันกรามและคางเราอาจจะรู้สึกเหมือนจะใช้ชีวิตได้ลำบากหลังจากการผ่าตัด  แต่ถ้าเราทำตามคำแนะนำของแพทย์จะส่งผลให้อาการต่างๆหายไปได้อย่างง่ายดาย  พร้อมกับร่างกายจะสามารถสร้างสมดุลใหม่ให้เกิดกับโครงสร้างหน้าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

และในบางสภาวะที่ร่างกายไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด  หรือผู้เข้ารับการรักษาไม่ได้แจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยาหรือโรคประจำตัว  เราอาจเกิดปัญหาหยุดหายใจในขณะที่ร่างกายหลับไปด้วยฤทธิ์ยาสลบ  ซึ่งแพทย์จะประเมินสถานการณ์เฉพาะหน้า และอาจยับยั้งการผ่าตัดเพื่อรักษาความปลอดภัยของคนไข้ได้ตามสมควร เมื่อถึงขั้นตอนนี้  มันอาจกลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแพทย์จะนำตัวเราส่งต่อไปยังส่วนอื่นเพื่อทำการรักษาในลำดับถัดไป

ข้อควรรู้ก่อนการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )  อีกอย่างที่น่าสนใจคือรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด  แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์  จะสร้างเครื่องมือที่ทันสมัย  ซึ่งทำมีรอยแผลของการผ่าตัดเล็กที่สุดและมีวิทยาการที่จะทำให้เห็นรอยแผลน้อยที่สุด  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  การกระทำเหล่านี้  ก็ยังมีโอกาสที่จะสร้างรอยแผลเป็นเล็กๆน้อยบางประการให้เกิดกับผิวได้  และนี่เป็นสิ่งที่เราควรทำใจเอาไว้แต่แรก

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) อาจต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหลังการผ่าตัด1-2วันจึงจะสามารถกลับบ้านได้ในส่วนตรงนี้  อาจมีค่าใช้จ่ายในสถานพยาบาลเกิดขึ้น  ซึ่งโดยปกติ  แพทย์จะแจ้งเรื่องนี้ให้คนไข้ทราบก่อนอยู่แล้ว  และเราควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะตัดสินใจทำ  เช่น  เราควรวางแผนเคลียร์งาน  และภารกิจสำคัญๆเอาไว้ล่วงหน้า  รวมถึงการวางแผนในการลางาน  โดยรวมเวลาพักฟื้นที่บ้านไปด้วย  โดยปกติร่างกายจะกลับมาปกติและสมบูรณ์ที่สุดหลังเข้ารับการผ่าตัดไปแล้ว 3-6 สัปดาห์ในกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษาเป็นนักเรียนนักศึกษา  แนะนำให้ทำการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ในช่วงปิดเทอมจะเหมาะสมที่สุด  เพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นและการปรับตัว  ซึ่งอาจจะกินเวลานานเป็นเดือน  กรณีแบบนี้  ควรวางแผนการทำไว้แต่เนิ่นๆ  เพื่อรอระยะเวลาที่เหมาะสมในการเข้ารับการผ่าตัด  อย่างน้อยที่สุด  ตอนเปิดเทอมใหม่  เราจะสวยจนเพื่อนๆตะลึง  ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน

ทั้งหมดนี้คือข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่สนใจ  เพื่อที่จะได้รับทราบรายละเอียดของการเข้ารับการรักษา  ตามกระบวนการที่ถูกต้อง  ซึ่งทางการแพทย์ถือได้ว่านี่เป็นแนวการปฏิบัติที่แพทย์จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้เข้ารับการรักษาได้ทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ก่อนเพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้จากการทำการรักษา  และการได้มาซึ่งความสวยที่สมบูรณ์แบบพร้อมกับความสบายใจหลังการทำ  ว่าเราจะปลอดภัยที่สุด  และคิดไม่ผิดที่เลือกใช้บริการกับทีมศัลยแพทย์ที่มีความเป็นมืออาชีพสูงสุดนี่คือข้อดีของการทำความเข้าใจกับข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เพื่อความงามที่มีศักยภาพสูงสุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Morris DE, Moaveni Z, Lo LJ (2007). “Aesthetic facial skeletal contouring in the Asian patient”. Clin Plast Surg. 34 (3): 547–56. doi:10.1016/j.cps.2007.05.005. PMID 17692710.
To EW, Ahuja AT, Ho WS, et al. (2001).

“A prospective study of the effect of botulinum toxin A on masseteric muscle hypertrophy with ultrasonographic and electromyographic measurement”. Br J Plast Surg. 54 (3): 197–200. doi:10.1054/bjps.2000.3526. PMID 11254408.