ผักแขยง ผักในตำรายาพื้นบ้าน ต้านมะเร็ง ป้องกันเส้นเลือดตีบตัน

0
ผักแขยง
ผักแขยง ผักในตำรายาพื้นบ้าน ช่วยต้านมะเร็ง ป้องกันเส้นเลือดตีบตัน ต้นและใบมีกลิ่นหอมคล้ายกับน้ำมันสน รสเผ็ดร้อน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

ผักแขยง

ผักแขยง

ผักแขยง สามารถพบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ทั้งต้นและใบเมื่อนำมาหักจะมีกลิ่นหอมและรสเผ็ดร้อน เป็นต้นที่มี 2 ชนิด แต่ละชนิดอยู่กันคนละวงศ์พืชอีกด้วย ทว่าทั้ง 2 ชนิดก็มีสรรพคุณและสามารถนำมารับประทานได้ทั้งคู่ ภายในต้นผักแขยงจะมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีกลิ่นคล้ายกับน้ำมันสน เป็นผักพื้นบ้านในกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ถือเป็นผักชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี แต่ก็มีโทษเช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักแขยงชนิดที่ 1

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Limnophila aromatica (Lam.) Merr.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักพา” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “จุ้ยหู่โย้ง” จีนกลางเรียกว่า “สุ่ยฝูโหยง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ผักกะแยง แขยง คะแยง ผักกะออม มะออม ผักลืมผัว ควันเข้าตา อีผวยผาย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เทียนเกล็ดหอย (PLANTAGINACEAE)

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักแขยงชนิดที่ 2

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Limnophila geoffrayi Bonati
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักพา” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “กะแยง กะออม” จังหวัดอุบลราชธานีเรียกว่า “กะแยงแดง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มณเฑียรทอง (SCROPHULARIACEAE)

ลักษณะของผักแขยง

ลักษณะของผักแขยงชนิดที่ 1

ผักแขยงชนิดที่ 1 เป็นพรรณไม้ล้มลุกเนื้ออ่อนฤดูเดียวหรือหลายฤดู เป็นวัชพืชในนาข้าว มักจะขึ้นตามริมคูหรือคันนา อ่างเก็บน้ำ บริเวณที่มีน้ำขังเล็กน้อย และพื้นที่ชุ่มชื้น
ลำต้น : ลำต้นกลม กลวงและเป็นข้อ อาจแตกกิ่งมากหรือไม่แตกกิ่งเลย ลำต้นทอดเลื้อย ผิวเกลี้ยงหรือมีต่อม แตกรากจากข้อ ทั้งต้นและใบเมื่อนำมาหักจะมีกลิ่นหอมและเผ็ดร้อน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ตามข้อทุกข้อตลอดลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบห่อติดกับลำต้น ส่วนขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเป็นสีเขียว เส้นใบเป็นแบบขนนก ไม่มีก้านใบ
ดอก : ออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ จะออกเป็นช่อกระจะตรงส่วนยอดของต้น ลักษณะของดอกเป็นรูปกรวย ปลายบานออกเล็กน้อย แยกออกเป็น 4 กลีบ กลีบดอกเป็นสีแดง สีม่วง สีขาว หรือสีชมพูอ่อน ก้านชูเกสรเพศผู้ส่วนปลายพองออก ก้านชูเกสรเพศเมียสั้นแยกเป็น 2 แฉก
ผล : ออกผลเป็นฝักยาววงรี เมื่อแก่จะแตกออก

ลักษณะของผักแขยงชนิดที่ 2

ผักแขยงชนิดที่ 2 เป็นพรรณไม้ล้มลุกอายุฤดูเดียว มักจะขึ้นตามริมคูหรือคันนา อ่างเก็บน้ำ บริเวณที่มีน้ำขังเล็กน้อย และพื้นที่ชุ่มชื้นที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่มากนัก
ลำต้น : ลำต้นเรียวยาว กลมกลวง อวบน้ำ และมีขนหนาแน่น ลำต้นตั้งตรงและเป็นข้อ ทั้งต้นและใบเมื่อนำมาหักจะมีกลิ่นหอมและเผ็ดร้อน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ตามข้อทุกข้อตลอดลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมวงรี รูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบห่อติดกับลำต้น ส่วนขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเป็นสีเขียว ไม่มีก้านใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะตรงซอกใบและส่วนยอดของต้น มีดอกย่อยประมาณ 2 – 10 ดอก จะออกพร้อมกันทั้งต้น ลักษณะของดอกเป็นรูปหลอดขนาดเล็กคล้ายถ้วย หรือรูปกรวย ตรงปลายบานออกเล็กน้อย แยกออกเป็น 4 กลีบ กลีบดอกเป็นสีม่วง ผิวด้านนอกเรียบ ส่วนด้านในตอนล่างของกลีบดอกมีขน
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปกระสวย เมื่อแก่จะแตกออก
เมล็ด : เมล็ดมีลักษณะรูปร่างกลมวงรี เป็นสีน้ำตาลดำ และมีขนาดเล็กมาก

สรรพคุณของผักแขยง

  • สรรพคุณจากผักแขยง ต้านอนุมูลอิสระสูง ต้านมะเร็ง ต้านการเจริญของเชื้อโรค
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ช่วยทำให้เจริญอาหาร ลดอาการเบื่ออาหาร ป้องกันเส้นเลือดตีบตันและไข้ร้อนใน เป็นยาขับลมและเป็นยาระบายท้อง เป็นยาระบายอ่อน ๆ พอกแก้อาการบวม ช่วยแก้น้ำนมแม่ที่มีรสเปรี้ยว
    – เป็นยาแก้ไข้ ลดไข้ ด้วยการนำทั้งต้นสดประมาณ 15 – 30 กรัม มาต้มกับน้ำกิน
    – แก้ไข้หัวลม โดยตำรายาพื้นบ้านภาคอื่นนำทั้งต้นและรากในปริมาณตามต้องการมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำกิน
    – แก้อาการคัน แก้กลากและฝี ด้วยการนำทั้งต้นสดมาต้มกับน้ำใช้ชะล้างบริเวณที่มีอาการ หรือนำมาคั้นเอาน้ำทา หรือนำมาตำพอกบริเวณที่เป็น
    – แก้พิษเบื่อเมา ด้วยการนำทั้งต้นแห้งที่เก็บไว้นาน 1 ปี มาต้มกับน้ำดื่ม
    – ช่วยขับน้ำนมของสตรี โดยตำรายาพื้นบ้านทางภาคอีสานนำทั้งต้นมาใช้หลังจากการคลอดบุตร
  • สรรพคุณจากต้น
    – เป็นยาแก้พิษงูที่ไม่มีพิษร้ายแรง ด้วยการนำต้นสดประมาณ 15 กรัม มาตำให้ละเอียดผสมกับต้นฟ้าทะลายโจรสด ประมาณ 30 กรัม แล้วนำไปผสมกับน้ำส้มในปริมาณพอควร คั้นเอาน้ำดื่ม ส่วนกากที่เหลือให้เอามาพอกรอบบาดแผล แต่อย่าพอกบนบาดแผล

ประโยชน์ของผักแขยง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ทั้งต้น ยอดอ่อน และใบอ่อน สามารถทานเป็นผักสดร่วมกับลาบ ก้อย แจ่ว น้ำพริก ส้มตำ ซุบหน่อไม้ หรือนำไปเป็นเครื่องปรุงรสและแต่งกลิ่นช่วยดับกลิ่นคาวสำหรับต้มส้ม แกงหน่อไม้ แกงอ่อมได้
2. ช่วยดับกลิ่น ช่วยดับกลิ่นตัวและกลิ่นเต่าด้วยการทานสด
3. ใช้ในด้านเศรษฐกิจ ผักแขยงแห้งเป็นสินค้าสำหรับการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
4. ใช้ในด้านอุตสาหกรรม เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ สารสกัดด้วยไอน้ำช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มักพบปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารและนม รวมถึงเนื้อสัตว์และไข่ไก่ ซึ่งทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ
5. ใช้ในด้านการเกษตร เป็นยาฆ่าแมลงในกลุ่มที่ทำลายผลไม้
6. เป็นความเชื่อ ผู้ที่รับประทานผักแขยงสดก่อนนอน ผีพ่อม่ายหรือผีแม่ม่ายจะไม่กล้ามาเอาไปเป็นผัวเมีย

คุณค่าทางโภชนาการของผักแขยงต่อ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของผักแขยงต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 26 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
น้ำ 92%
โปรตีน 1.2 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 4.2 กรัม 
ใยอาหาร 1.2 กรัม เถ้า
0.9 กรัม วิตามินเอ 3,833 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.85 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.12 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.44 มิลลิกรัม 
วิตามินซี 10 มิลลิกรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม 
ธาตุเหล็ก 2.7 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3.3 กรัม

ข้อควรระวังในการใช้ผักแขยง

1. สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน
2. ผักแขยงมีสารแคลเซียมออกซาเลต (oxalate) ในปริมาณสูง เพราะมีส่วนทำให้เกิดนิ่วในอวัยวะต่าง ๆ แต่สามารถนำมาทำให้ดองเปรี้ยวได้ เพราะสารที่ให้รสเปรี้ยวนี้จะสามารถทำให้ออกซาเลตละลาย
3. ไม่ควรทานในปริมาณมากจนเกินควร และไม่ทานบ่อยจนเกินไป

ผักแขยง เป็นผักที่นำมาใช้กันมาตั้งแต่อดีต เป็นผักที่อยู่ในผักพื้นบ้านทั่วไป มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและเป็นยาสมุนไพร ทว่าก็เป็นผักที่มีโทษเช่นกัน ผักแขยงมีสรรพคุณทางยาจากส่วนของทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านมะเร็ง ต้านการเจริญของเชื้อโรค ป้องกันเส้นเลือดตีบตันและแก้ไข้ได้ ถือเป็นผักที่ค่อนข้างนิยมในทางภาคอีสานมากกว่าที่อื่น

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ผักแขยง”. หน้า 470-471.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักแขยง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [23 ส.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักแขยง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [23 ส.ค. 2014].
มูลนิธิสุขภาพไทย. “ผักแขยง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaihof.org. [23 ส.ค. 2014].
ไทยโพสต์. “หอมผักแขยง ผักกลางนารสร้อนแรง ต้านมะเร็ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaipost.net. [20 ส.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com
http://www.epharmacognosy.com/2022/11/limnophila-aromatica.html

มะหาด ทำให้ผิวขาว ดีต่อระบบเลือดและระบบลม

0
มะหาด
มะหาด ทำให้ผิวขาว ดีต่อระบบเลือดและระบบลม แก่นมะหาดมีรสร้อน ผงปวกหาดมีรสร้อนเมา เป็นยาสมุนไพร ผลสุกจะมีรสหวานเปรี้ยว

มะหาด

มะหาด

มะหาด เป็นไม้ยืนต้นที่มักจะพบตามภาคใต้ของประเทศไทย แก่นมะหาดมีรสร้อนจึงดีต่อระบบเลือดเป็นอย่างมาก ผงมะหาดมีรสร้อนเมา เป็นยาสมุนไพรที่มาจากแก่นไม้มะหาดมาเคี่ยว เนื่องจากเป็นต้นรสร้อนจึงไม่ควรกินกับน้ำร้อน เพราะจะทำให้ปวดท้องได้ ส่วนของผลสุกจะมีรสหวานเปรี้ยวจึงนำมาทานได้ นอกจากนั้นมะหาดยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวอย่าง ครีมมะหาด โลชั่นมะหาด และเซรั่มมะหาดได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะหาด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Artocarpus lacucha Buch.-Ham.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Monkey Jack” “Monkey Fruit”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางและทั่วไปเรียกว่า “หาด” ภาคเหนือเรียกว่า “หาดขนุน” ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “ฮัด” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ปวกหาด” จังหวัดตรังเรียกว่า “มะหาดใบใหญ่” ชาวกะเหรี่ยงกำแพงเรียกว่า “เซยาสู้” ชาวมลายูนราธิวาสเรียกว่า “กาแย ตาแป ตาแปง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ขนุนป่า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขนุน (MORACEAE)
ชื่อพ้อง : Artocarpus ficifolius W.T.Wang, Artocarpus lakoocha Roxb., Artocarpus yunnanensis H.H.Hu

ลักษณะของมะหาด

มะหาด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ไม่ผลัดใบ มักจะพบตามที่กึ่งโล่งแจ้งตามป่าดงดิบ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าคืนสภาพ ป่าหินปูน พบได้มากทางภาคใต้ของประเทศไทย
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เป็นทรงพุ่มกลมหรือแผ่กว้าง เปลือกเป็นสีดำ สีเทาแกมน้ำตาล หรือสีน้ำตาลอมแดงจนถึงน้ำตาลเข้ม ต้นแก่มีผิวเปลือกค่อนข้างหยาบ ขรุขระและแตกเป็นสะเก็ดเล็ก บริเวณเปลือกมีรอยแตกและมียางไหลซึม แห้งติด
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน เป็นรูปวงรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน ปลายใบมนหรือแหลมเป็นติ่งแหลม โคนใบมนเว้า ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยหรือมีซี่ฟัน ผิวใบด้านบนมีขนหยาบ ด้านล่างเป็นสีเขียวอมเทา มีขนหยาบสีเหลืองเล็กน้อย ใบอ่อนมีขนแต่พอแก่ขึ้นจะหลุด ใบแก่เป็นสีเขียวเข้ม และเหนียวคล้ายหนัง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่นกลมสีเหลืองหม่นจนถึงสีชมพูอ่อน จะออกตามซอกใบ ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกันแต่อยู่คนละช่อ ช่อดอกเพศผู้จะกลม มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ช่อดอกเพศเมียเป็นรูปไข่หรือเป็นรูปขอบขนานสีเหลืองอ่อน มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ มักจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
ผล : เป็นผลสดและมีเนื้อ ผลรวมสีเหลือง เป็นรูปทรงกลมค่อนข้างบิดเบี้ยวตะปุ่มตะป่ำ มีขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ผลอ่อนเป็นสีเขียว พอสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนถึงส้ม เมื่อแก่จะเป็นสีเหลืองปนน้ำตาล เนื้อผลนุ่มเป็นสีเหลืองจนถึงสีชมพู
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก เป็นรูปขอบขนานหรือเกือบกลม เมล็ดเป็นสีน้ำตาลเทา

สรรพคุณของมะหาด

  • สรรพคุณจากแก่นและผงปวกหาด แก้กระษัย ละลายเลือด กระจายโลหิต ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร เป็นยาแก้ลม ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยแก้ฝีในท้อง ช่วยขับปัสสาวะกะปริดกะปรอย
  • สรรพคุณจากแก่น ช่วยแก้โรคกระษัยไตพิการ แก้กระษัยเสียด แก้กระษัยดาน แก้กระษัยกร่อน แก้กระษัยลมพานไส้ แก้กระษัยทำให้ท้องผูก ช่วยแก้ตานขโมย แก้ดวงจิตขุ่นมัว แก้ระส่ำระสาย แก้อาการนอนไม่หลับ แก้ไข้ ช่วยแก้เสมหะ ช่วยแก้หอบหืด ช่วยแก้ท้องโรพุงโต แก้จุกผามม้ามย้อย ช่วยขับโลหิต ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยแก้ประดวงทุกชนิด เป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาฝาดสมาน
    – แก้ไข้ ช่วยขับพยาธิ ถ่ายพยาธิ พยาธิตัวตืด ด้วยการนำต้นสดมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก บำรุงและบรรเทาการอุดตัน
    – แก้ไข้ แก้พิษร้อนใน ขับพยาธิ แก้กระษัยในเส้นเอ็น ด้วยการนำรากสดและแห้ง มาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากแก่นเนื้อไม้ แก้จุกแน่น แก้ท้องขึ้นอดเฟ้อ ช่วยขับลมและผายลม เป็นยาระบาย แก้ท้องผูกไม่ถ่าย เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนตัวกลม แก้พยาธิเส้นด้าย แก้พยาธิตัวตืด แก้พยาธิตัวแบน ช่วยขับโลหิต เป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ
  • สรรพคุณจากยาง เป็นยาถ่าย
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาถ่าย
  • สรรพคุณจากผงปวกหาด เป็นยาถ่ายพยาธิ ช่วยขับโลหิต แก้ผื่นคัน แก้เคือง ช่วยแก้อาการปวด
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้โรคบวมน้ำ

ประโยชน์ของมะหาด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลรสหวานอมเปรี้ยวจึงทานได้ ชาวม้งนำใบอ่อนเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกทาน เปลือกต้นมีรสฝาดจึงนำมาเคี้ยวกับหมากแทนได้
2. ใช้ในการเกษตร ประเทศเนปาลนำใบเป็นอาหารสัตว์ เพื่อช่วยการขับน้ำนมของสัตว์เลี้ยงได้
3. เป็นยารักษาสิว เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำทารักษาสิวได้
4. เป็นอุปกรณ์ ชาวกะเหรี่ยงนำใบใช้แทนกระดาษทราย ใยจากเปลือกต้นทำเชือกได้
5. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า รากนำมาสกัดเป็นสีเหลืองสำหรับย้อมผ้าได้
6. ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เนื้อไม้มีความเหนียวและทนทานมาก จึงนิยมใช้ทำเสา สร้างบ้าน ทำสะพาน ทำหมอนรองรางรถไฟ ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร
7. ด้านสิ่งแวดล้อม สามารถปลูกเป็นไม้เพื่อให้ร่มเงา ช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดิน
8. แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ทำเป็นผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวหรือ ครีมมะหาด โลชั่นมะหาด เซรั่มมะหาด มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเมลานิน ทำให้ผิวขาวขึ้นได้

มะหาด เป็นไม้ยืนต้นทั่วไปที่พบมากทางภาคใต้ของไทย เป็นต้นที่นำส่วนต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่เฉพาะด้านสรรพคุณทางยาเท่านั้น ถือเป็นหนึ่งในไม้ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ การเกษตร และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เรามาดูกันว่าส่วนต่าง ๆ ของต้นนี้ช่วยอะไรบ้าง มะหาดมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของแก่นและผงปวกหาด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ละลายเลือด แก้ลม ช่วยแก้โรคกระษัย แก้ไข้และทำให้ผิวขาวขึ้นได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “มะหาด”. หน้า 60.
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “มะหาด (Mahat)”. หน้า 240.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะหาด”. หน้า 57.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “มะหาด”. หน้า 643-645.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะหาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [30 ก.ค. 2014].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ปวกหาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [30 ก.ค. 2014].
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะหาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [30 ก.ค. 2014].
ศูนย์ปฏิบัติการพืชเศรษฐกิจ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “มะหาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th. [30 ก.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “หาด, มะหาด”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 6 (ก่องกานดา ชยามฤต). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [30 ก.ค. 2014].
ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (ดร.จุฑามาศ เจียรนัยกุลวานิช). “จริงหรือไม่? มะหาดทำให้ขาวขึ้นได้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [30 ก.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

รูปอ้างอิง
https://www.flickr.com/photos/
https://efloraofindia.com/2011/02/08/artocarpus-lakoocha/

ชา เครื่องดื่มสมุนไพรยอดนิยม ดีต่อหัวใจและระบบเลือด

0
ชา
ชา เครื่องดื่มสมุนไพรยอดนิยม ดีต่อหัวใจและระบบเลือด เป็นเครื่องดื่มที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นไม้ยืนต้น เป็นยาชั้นยอดดีต่อสุขภาพ

ชา

ชา

ชา (Tea) เป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมากแค่ไหน ต้นชาเป็นไม้ยืนต้นที่เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ใหญ่ ซึ่งตัวชาก็จะนำมาสกัดเป็น ชาเขียว ชาดำ ที่เราทานกันเป็นประจำ ใบชาถือได้ว่าเป็นยาชั้นยอด คนรักสุขภาพส่วนมากไม่เคยมองข้ามเครื่องดื่มชนิดนี้ เพียงแต่ว่ามีการนำมาแปรรูปหลากหลายจนต้องดูรายละเอียดให้ดี หากคุณได้ดื่มชาดี สุขภาพย่อมดีแน่นอน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Camellia sinensis (L.) Kuntze
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Tea” “Thea”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ชา” ภาคเหนือเรียกว่า “เมี่ยง เมี่ยงป่า” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “นอมื่อ” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “แต๊” จีนกลางเรียกว่า “ฉา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชา (THEACEAE)

ลักษณะของต้นชา

ชา เป็นไม้ยืนต้นที่เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากเทือกเขาด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ชาที่ผลิตทางการค้าส่วนใหญ่มี 2 สายพันธุ์ ได้แก่
1. กลุ่มชาพันธุ์จีน (Chinese Tea) เป็นพรรณไม้ขนาดย่อมจนถึงขนาดกลาง เป็นพันธุ์เดิมของประเทศจีน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นฟันเลื่อย หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน เส้นใบเป็นตาข่าย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุกตามง่ามใบ ดอกมีขนาดใหญ่สีสวย เป็นสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ช่อหนึ่งมี 1 – 4 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 2 กลีบ มีเกสรเพศผู้อยู่กลางดอกจำนวนมาก
ผล : เป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกออก หนึ่งผลมี 1 – 3 เมล็ด เป็นรูปสามเหลี่ยมแบน หรือค่อนข้างกลม ผิวเรียบเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำหรือสีน้ำตาลอมแดง
2. กลุ่มชาพันธุ์อัสสัม (Assam tea) เป็นไม้พุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ พบได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ และน่าน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยประมาณ 9 หยัก แผ่นใบเป็นสีเขียวอ่อนถึงเข้ม ก้านใบและท้องใบมีขนอ่อนปกคลุม
ดอก : เจริญจากตาบริเวณง่ามใบบนกิ่ง มักจะออกติดกันเป็นกลุ่ม ช่อละ 2 – 4 ดอกต่อตา ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 – 6 กลีบ เป็นรูปทรงโค้งมนยาว กลีบดอก 5 – 6 กลีบ โคนกลีบติดกับฐานดอกแคบ ปลายกลีบบานออก วงเกสรเพศผู้มีอับละอองเกสรสีเหลืองติดอยู่ ปลายก้านชูอับละอองเกสรเป็นสีขาว เกสรเพศเมียเป็นก้านกลม ภายในรังไข่แบ่งเป็น 1 – 3 ช่อง
ผล : เป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะแตกออก ภายในมีเมล็ดลักษณะกลม ผิวเรียบแข็ง เป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมแดง

สรรพคุณของชา

  • สรรพคุณจากเครื่องดื่มชา ช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่น ช่วยกระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกาย ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยหมุนเวียนโลหิต รักษาโรคไมเกรน เพื่อช่วยเพิ่มฤทธิ์ในการรักษาและทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานยิ่งขึ้น ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยสลายไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมการเกิดโรคอ้วน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ต้านจุลชีพ ลดการอักเสบ สมานแผล ช่วยป้องกันโรคที่ก่อการอักเสบเรื้อรัง ช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ดีต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก รักษากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหารจำพวกวิตามินกลุ่มต่าง ๆ ช่วยป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ช่วยป้องกันฟันผุและเสริมมวลกระดูก
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยกระตุ้นทำให้กระชุ่มกระชวย ไม่ง่วงนอน ทำให้ตาสว่าง กระตุ้นให้หายเหนื่อย ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้หน้ามืดตามัว ช่วยทำให้คอชุ่ม แก้อาการกระหายน้ำได้ดีมาก ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาฝาดสมาน ลดอาการท้องร่วง เป็นยาแก้บิด รักษาอาการปวดท้อง ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาแก้พิษ ชะล้างแผล สมานแผล แก้บวม รักษากลากเกลื้อน ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • สรรพคุณจากราก ช่วยกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น แก้โรคหัวใจบวมน้ำ แก้ท้องเสีย ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้ตับอักเสบ ช่วยต้านเชื้อ แก้ปากเป็นแผล เป็นยาภายนอก แก้แผลไฟไหม้ แก้น้ำร้อนลวก แก้แผลเปื่อย แก้โรคผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน
  • สรรพคุณจากกิ่งและใบ เป็นยาแก้หืด รักษาอาการเป็นพิษของยาอันตรายที่เป็นอัลคาลอยด์ เป็นน้ำยาสมานของกรดแทนนิน ใส่แผลไหม้พอง
  • สรรพคุณจากกิ่ง เป็นยาสมานแผล
  • สรรพคุณจากเมล็ดและน้ำมัน เป็นยาภายนอก แก้แผลไฟไหม้ แก้น้ำร้อนลวก แก้แผลเปื่อย แก้โรคผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน
  • สรรพคุณจากกากใบ เป็นยาพอกแผล แก้แผลที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก

ประโยชน์ของชา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนมีรสฝาด นำมายำกินได้ ใบอ่อนนำมาปรุงแต่งอาหาร นำมาอบกลิ่นเป็นใบชาส่งขายได้
2. เป็นยาสระผม กากเมล็ดนำมาใช้สระผม น้ำมันที่ติดกากช่วยทำให้เส้นผมชุ่มชื้น เป็นมัน
3. เป็นสารให้ความหอม กากชาช่วยดูดกลิ่น
4. เป็นพืชเศรษฐกิจ คนเมืองนำใบอ่อนหมักเป็นเมี่ยงขาย ยอดอ่อนเก็บเป็นผลผลิตขาย ส่งขายต่างประเทศ

ชา เป็นพืชที่คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี ขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่คนมีอายุชอบทานกันเป็นประจำ ทว่าในปัจจุบันมีการนำชามาแปรรูปได้หลากหลาย จนบางทีการแปรรูปนั้นได้มีการผสมหลายอย่าง อาจทำให้บางผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้มีประโยชน์อย่างแท้จริง การดื่มชาที่ดีคือ การชงจากใบชาด้วยน้ำร้อน จึงจะดีต่อสุขภาพมากที่สุด ชามีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาสมานแผล แก้โรคหัวใจ ดีต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ชา”. หน้า 262-264.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ชา”. หน้า 200.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ชา” หน้า 81-82.
Mae Fah Luang University. “เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับชา ตอนที่ 1: สายพันธุ์ชา”. เข้าถึงได้จาก: www.mfu.ac.th. [11 ส.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Tea plant”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [11 ส.ค. 2014].
ผู้จัดการออนไลน์. “รู้ลึกรู้จริงเรื่องชา กูรูระดับโลกบินมาแนะวิธีชงดื่มสไตล์อังกฤษแท้ ๆ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [11 ส.ค. 2014].
ศูนย์วิทยบริการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข. “เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกดื่มชาเพื่อสุขภาพ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: elib.fda.moph.go.th. [11 ส.ค. 2014].
ข่าวสด คอมลัมน์ : เก็บเรื่องมาเล่า. (ชนา ชลาสัย).
ผู้จัดการออนไลน์. (เอมอร คชเสนี). “ดื่มชาทั้งที ต้องให้มีประโยชน์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [12 ส.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

เอื้องหมายนา ไม้ประดับสีขาว ช่วยระบบขับถ่ายและอวัยวะของเพศหญิง

0
เอื้องหมายนา
เอื้องหมายนา ไม้ปลูกประดับสีขาว ดีต่อระบบขับถ่ายและอวัยวะของเพศหญิง มีดอกสีขาว รากและเหง้ามีรสขมเมา พบได้ทุกภาคของประเทศไทย

เอื้องหมายนา

เอื้องหมายนา

เอื้องหมายนา เป็นต้นที่มีดอกสีขาวจึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ แถมยังปลูกเลี้ยงได้ง่ายอีกด้วย เป็นที่นิยมนำมาใช้ประกอบพิธีกรรมของชาวไทลื้อและชาวลัวะ ต้นมีถิ่นกำเนิดมาจากอินเดีย สามารถพบได้ทุกภาคของประเทศไทย ส่วนต่าง ๆ ของต้นเป็นยาสมุนไพรที่นิยมของชาวม้ง ชาวไทใหญ่ คนเมือง หมอยาบางพื้นที่ และตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี รากและเหง้ามีรสขมเมา จึงอุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาชั้นยอด

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเอื้องหมายนา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cheilocostus speciosus (J.Koenig) C.D.Specht
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Crape ginger” “Malay ginger” “Spiral Flag” “Wild ginger”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “เอื้องเพ็ดม้า” ภาคใต้เรียกว่า “เอื้องดิน เอื้องใหญ่ บันไดสวรรค์” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “เอื้องช้าง” จังหวัดอุบลราชธานีเรียกว่า “เอื้อง” จังหวัดยะลาเรียกว่า “เอื้องต้น” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “ซูแลโบ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ชู้ไลบ้อง ซูเลโบ” ชาวม้งเรียกว่า “กู่เก้ง” ชาวเมี่ยนเรียกว่า “ชิ่งก๋วน” ชาวลัวะเรียกว่า “ลำพิย้อก” ชาวปะหล่องเรียกว่า “ดื่อเหม้” คนจีนเรียกว่า “จุยเจียวฮวย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เอื้องหมายนา (COSTACEAE)
ชื่อพ้อง : Costus speciosus (J.Koenig) Sm.

ลักษณะของเอื้องหมายนา

เอื้องหมายนา เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงเกาะนิวกินี มักจะพบตามบริเวณที่มีความชุ่มชื้น ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตก ชายน้ำ ริมทางน้ำ ริมหนองบึง ตามบริเวณเชิงเขา และป่าดิบชื้น
เหง้า : เหง้าอยู่ใต้ดิน มักขึ้นเป็นกอ
ลำต้น : ลำต้นกลมฉ่ำน้ำ เป็นสีแดง
ราก : เป็นหัวใหญ่ยาว โคนแข็งเหมือนไม้
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเวียนสลับกันรอบลำต้น เป็นรูปวงรีแกมขอบขนาน รูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบมนเรียวขอบใบเรียบ กาบใบอวบเป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาลแดงโอบรอบลำต้น ท้องใบมีขนนุ่มสั้นคล้ายกำมะหยี่
ดอก : ออกเป็นช่อที่ปลายของลำต้น เป็นรูปไข่ กาบรองดอกเป็นรูปไข่ปลายแหลม ปลายแข็ง มีสีเขียวปนแดง แต่ละกาบรองรับดอกย่อย 1 ดอก ดอกจะทยอยบานครั้งละ 1 – 2 ดอก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอด มี 3 สัน ตรงปลายแยก 3 กลีบ แยกออกเป็น 2 ปาก กลีบดอก 3 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเล็กน้อยเป็นสีขาว เกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์เป็นรูปไข่กลับสีขาว ดอกมีเกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 1 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน มีรังไข่ 3 ช่อง มักจะออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม
ผล : เป็นรูปทรงกลม รูปขอบขนานแกมรูปสามเหลี่ยม เมื่อแห้งแล้วจะแตก มีเนื้อแข็ง เนื้อสุกสีแดงสด ตรงปลายยอดมีกลีบเลี้ยง 1 กลีบ หรือเป็นกระจุกแหลม 3 แฉก กาบหุ้มผลเป็นสีแดง ภายในผลมีเมล็ดสีดำเป็นมัน

สรรพคุณของเอื้องหมายนา

  • สรรพคุณจากเหง้า แก้ซางเด็ก เป็นยาถ่าย ยาแก้พยาธิ ฆ่าพยาธิ เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยแก้โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี ทำให้แท้ง ช่วยแก้อาการบวมน้ำ
    – รักษาโรคความดันโลหิตต่ำ แก้อาการหน้าซีด เป็นยาสมานแผลภายใน เป็นยาช่วยบำรุงมดลูก โดยชาวม้งนำเหง้ามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – รักษาโรคท้องมาน ด้วยการนำเหง้ามาตำพอกบริเวณสะดือเป็นยา
    – แก้แผลหนอง แก้อักเสบ แก้บวม ด้วยการนำเหง้ามาต้มเอาน้ำใช้ล้างหรือตำพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ไข้หวัด ช่วยแก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นยาขับพยาธิ ช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศ เป็นยาขม ยาฝาดสมาน รักษาพิษงูกัด เป็นยาแก้โรคผิวหนัง
    – บำรุงกำลัง โดยชาวไทใหญ่นำรากมาดองกับเหล้าดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากหน่อและดอก เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ตัวเหลือง แก้อาการอ่อนเพลียไม่มีแรง
  • สรรพคุณจากลำต้น
    – ต้านโรคมะเร็ง เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยคนเมืองนำลำต้นมาต้มกินเป็นยา
    – แก้หูน้ำหนวก ด้วยการนำลำต้นมาย่างไฟคั้นเอาน้ำใช้หยอดหู
    – แก้นิ่ว ด้วยการนำลำต้นมาตัดให้มีความยาวหนึ่งวา เอาไปย่างไฟคั้นเอาน้ำดื่ม
    – รักษาอาการผิวหนังเป็นผื่น แก้อาการคันตามผิวหนัง แก้อาการคันจากพิษหมามุ่ย โดยชาวไทใหญ่นำลำต้นมาตัดประมาณ 1 นิ้ว พกใส่กระเป๋าป้องกันไม่ให้ขนหมามุ่ยติด
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาแก้ไข้
    – รักษาโรคหูเป็นหนอง โดยชาวไทใหญ่นำใบมารมไฟ บีบเอาน้ำมาหยอดหู
    – รักษาริดสีดวงจมูก โดยหมอยาบางพื้นที่นำใบเอื้องหมายนากับใบเปล้าใหญ่ มาซอยตากแห้งอย่างละเท่ากัน แล้วมวนสูบเป็นบุหรี่
    – รักษาโรคนิ่ว โดยชาวลัวะนำใบใช้ร่วมกับใบของมะละกอตัวผู้ และพืชอื่น ๆ
  • สรรพคุณจากต้นตลอดถึงราก ช่วยบำบัดอาการปวดมวนในท้องคล้ายโรคกระเพาะ แก้ถ่ายเป็นเลือด แก้กินอาหารแสลงแล้วมีอาการปวดและออกทางทวาร ช่วยแก้อาการท้องผูกเป็นประจำ เป็นยาสมานมดลูก
  • สรรพคุณจากน้ำคั้นจากลำต้น เป็นยารักษาโรคบิด
  • สรรพคุณจากน้ำคั้นจากเหง้าสด เป็นยาถ่ายอย่างแรง เป็นยารักษาซิฟิลิส

ประโยชน์ของต้นเอื้องหมายนา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร หน่ออ่อนใช้ทานได้แต่ต้องทำให้สุกเสียก่อน ด้วยการนำมาต้มหรือลวกทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก หรือประกอบในอาหาร ประเทศอินเดีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ใช้หน่ออ่อนใส่แกง และทานเป็นผัก
2. ใช้ในการเกษตร เป็นอาหารสัตว์จำพวก โค กระบือใช้กำจัดหอยเชอรี่
3. เป็นความเชื่อ ชาวลัวะนำใบมาเป็นส่วนประกอบในการทำพิธีสู่ขวัญควาย ชาวไทลื้อนำทั้งต้นมาประกอบพิธีกรรมก่อนการทำนา
4. เป็นไม้ปลูกประดับ นิยมนำมาตัดไว้ประดับแจกันทั้งต้นที่มีช่อดอก ปลูกเป็นไม้ประดับ

เอื้องหมายนา เป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาพื้นบ้านได้หลากหลาย ดีต่ออวัยวะของเพศหญิง แต่ก็เป็นพิษด้วยเช่นกัน เพราะมีฤทธิ์ทำให้แท้งได้ ดังนั้นสตรีมีครรภ์ควรระวังในการใช้พืชชนิดนี้ นอกจากนั้นยังมีดอกเป็นสีขาวดูสวยงามสะอาดตา จึงนิยมนำมาใช้ทำประดับแจกัน เอื้องหมายนามีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเหง้า มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาโรคบิด แก้ถ่ายเป็นเลือด รักษาโรคนิ่ว แก้หูน้ำหนวก ต้านโรคมะเร็ง เป็นยาขับปัสสาวะและยาบำรุงกำลังได้ ดีต่อระบบขับถ่ายเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “เอื้องหมายนา (Ueang Mai Na)”. หน้า 345.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “เอื้องหมายนา”. หน้า 155.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เอื้องหมายนา”. หน้า 845-847.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เอื้องหมายนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [27 ก.ค. 2014].
พรรณไม้บริเวณสวนสมุนไพรสาธิต, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เอื้องหมายนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/palace/chitralada/cld6-5_2.htm. [27 ก.ค. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (ไพร มัทธวรัตน์). “เอื้องหมายนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [27 ก.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพันธุกรรมพืช กรมวิชาการเกษตร. (สัจจะ ประสงค์ทรัพย์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ). “เอื้องหมายนา (ด่าง)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.apoc12.com. [27 ก.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “เอื้องหมายนา”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [27 ก.ค. 2014].
ไทยบ้าน. “เอื้องหมายนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: thaibarn.net. [27 ก.ค. 2014].
พันทิป. (pakeeranung). “เอื้องหมายนา กับคุณค่าบางอย่าง ที่บางท่านอาจยังไม่เคยรู้…”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pantip.com. [27 ก.ค. 2014].
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “เอื้องหมายนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/เอื้องหมายนา. [27 ก.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

รูปอ้างอิง
https://indiabiodiversity.org/group/bangalore_birdrace_2013/observation/show/323885
https://indiabiodiversity.org/group/VNCIndia/observation/show/1813481

อัคคีทวาร เป็นยาเย็น ดีต่อระบบหายใจ แก้อักเสบ แก้ไข้

0
อัคคีทวาร
อัคคีทวาร เป็นยาเย็น ดีต่อระบบหายใจ แก้อักเสบ แก้ไข้ ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ เป็นไม้พุ่มดอกสีม่วงฟ้า ผลมีรสเปรี้ยวขื่นร้อน ต้นมีรสขมเผ็ด

อัคคีทวาร

อัคคีทวาร

อัคคีทวาร ไม้พุ่มดอกสีม่วงฟ้าสวยงาม จึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ทว่าทั้งต้นยังเป็นยาสมุนไพรที่น่าทึ่ง แต่ยาชนิดนี้ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ ค่อนข้างนิยมนำมาใช้กับชาวลัวะ ผลมีรสเปรี้ยวขื่นร้อน ทั้งต้นมีรสขมเผ็ด มีพิษเล็กน้อย ใช้เป็นยาเย็น สามารถแก้ไข้ได้ คนอีสานจะนำช่อดอกของต้นมาหมกไฟหรือย่างกินกับซุบหน่อไม้ มักจะพบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณที่เปิดและค่อนข้างชื้น

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของอัคคีทวาร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rotheca serrata (L.) Steane & Mabb.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ตรีชวา อัคคี” ภาคเหนือเรียกว่า “ตั่งต่อ ปอสามเกี๋ยน สามสุม” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “หลัวสามเกียน” จังหวัดเชียงรายเรียกว่า “แข้งม้า” จังหวัดสกลนครเรียกว่า “หมากดูกแฮ้ง” จังหวัดปราจีนบุรีเรียกว่า “มักแค้งข่า” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “พรายสะเลียง สะเม่าใหญ่” จังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า “อัคคี” วาริชภูมิเรียกว่า “พายสะเมา” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “ควีโดเยาะ” ชาวไทใหญ่เรียกว่า “ผักห้าส้วย” ชาวลัวะเรียกว่า “ลำกร้อล” จีนกลางเรียกว่า “ซานไถหงฮวา ซานตุ้ยเจี่ย” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ชะรักป่า แคว้งค่า ผ้าห้ายห่อคำ มักก้านต่อ หมอกนางต๊ะ หูแวง ฮังตอ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)
ชื่อพ้อง : Clerodendrum serratum (L.) Moon, Clerodendrum serratum var. wallichii C.B.Clarke

ลักษณะของอัคคีทวาร

อัคคีทวาร เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มักจะพบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณที่เปิด ค่อนข้างชื้น
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรงและแยกเป็นช่อ ลักษณะกลมหรือเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทาเข้ม กิ่งอ่อนและยอดอ่อนเป็นเหลี่ยม เปลือกมีรูสีขาวและมีขนปกคลุม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน หรือเรียงซ้อนกันเป็นวง ใบแตกตามข้อ แต่ละข้อออกเป็น 3 ใบวงเป็นรอบ บางข้อมี 3 – 4 ใบ เป็นรูปวงรียาวหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้น โคนใบสอบหรือแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย หลังใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบเรียบเป็นสีอ่อนกว่า เส้นกลางใบเป็นสีเขียวเข้มหรือสีม่วง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ มักจะออกตามซอกใบและที่ปลายยอด ดอกย่อยเป็นสีม่วงอ่อนเข้ม สีม่วงอ่อนอมสีฟ้า หรือสีชมพูอ่อน กลีบดอก 5 กลีบ รูปทรงกระบอก โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ดอกมีขนสีน้ำตาลเข้มปกคลุม มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่กลับ 2 ใบหุ้มอยู่ มีขนาดเล็ก เป็นสีชมพูอ่อน
ผล : เป็นรูปค่อนข้างกลมหรือกลมแป้น ผิวผลเรียบเป็นมัน เมื่ออ่อนเป็นสีเขียว พอแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดสีดำ 1 เมล็ด เป็นรูปกลมวงรี

สรรพคุณของอัคคีทวาร

  • สรรพคุณจากใบ แก้อาการปวดศีรษะ แก้ปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นยาแก้อาการจุกเสียด แก้ท้องท้องอืด รักษาริดสีดวงทวาร
    – แก้หลอดลมอักเสบ ด้วยการนำใบมาต้มกับขิงกินเป็นยา
    – ช่วยแก้อาการเจ็บหน้าอก ด้วยการนำใบมาลนไฟแล้วนำมาประคบบริเวณหน้าอก
    – ช่วยแก้อาการเสียดท้อง ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำทาน
    – แก้แผลฝีหนองเรื้อรัง รักษารอยแผลจากการถูกแมลงกัดและปากนกกระจอก ด้วยการนำใบสดมาอังไฟแล้วขยี้ใส่
    – ให้มดลูกเข้าอู่ดีขึ้นและแก้อักเสบ ด้วยการนำใบสดมาโขลกเอาน้ำกินให้คุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งคลอดลูก
  • สรรพคุณจากผล
    – แก้โรคเยื่อตาอักเสบ แก้ไอ ด้วยการนำผลสุกหรือดิบมาเคี้ยว กลืนน้ำกิน
  • สรรพคุณจากต้น แก้ไข้จับสั่น ขับปัสสาวะ รักษาริดสีดวงทวาร
    – ลดความดันโลหิต แก้ไข้ป่า แก้ปวดท้อง โดยชาวบ้านนำลำต้นมาฝานเป็นชิ้นบาง ตากแห้งแล้วนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้อาการเจ็บคอ แก้คออักเสบ แก้ทอนซิลอักเสบ แก้ตับอักเสบ แก้ฝีหนอง แก้โรคผิวหนัง แก้อาการฟกช้ำ แก้ปวดบวม ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยเนื่องจากลมชื้นเข้าข้อ
    – แก้กระดูกร้าว แก้กระดูกแตก ด้วยการนำต้นสดมาตำพอกบริเวณที่มีอาการ
    – แก้อาการปวดเมื่อยของหญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำอาบ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยทำให้เสมหะแห้ง ช่วยในระบบทางเดินหายใจได้ดี แก้ริดสีดวงจมูกหรืออาการอักเสบเรื้อรังของโพรงจมูก รักษาสุขภาพของระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการเบื่ออาหาร แก้ปวดเกร็งท้อง รักษาริดสีดวงทวาร
    – แก้คลื่นเหียน แก้อาเจียน ด้วยการนำรากมาต้มผสมกับขิงและลูกผักชี กินเป็นยา
  • สรรพคุณจากแก่นและเนื้อไม้
    – เป็นยาขับปัสสาวะ ขับนิ่ว โดยชาวบ้านนำลำต้นมาฝานเป็นชิ้นบาง ตากให้แห้งแล้วต้มทาน
  • สรรพคุณจากต้นและใบ แก้โรคผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน ช่วยดูดหนอง แก้อาการขัดตามข้อ
  • สรรพคุณจากรากและต้น
    – แก้เกลื่อนฝี รักษาแผลบวม ด้วยการนำรากแห้งหรือต้นแห้งมาฝนกับน้ำปูนใสให้ข้น

ประโยชน์ของอัคคีทวาร

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวลัวะนำยอดอ่อนและดอกมาทานสดร่วมกับน้ำพริก หรือนำมายำ ใช้แกง หรือผัด คนอีสานนำช่อดอกมาหมกไฟหรือย่างกินกับซุบหน่อไม้ แกงหน่อไม้ หมกหน่อไม้
2. ใช้ในการเกษตร ใช้รักษากระเพาะอาหาร ของโคกระบือ
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ

อัคคีทวาร เป็นไม้พุ่มที่นิยมของชาวลัวะ และนิยมนำมาแกงกับหน่อไม้ นอกจากนั้นยังมีดอกสีฟ้าม่วงที่ชวนให้น่ามองอีกด้วย เป็นต้นที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักนัก เพราะจะพบตามป่ามากกว่าพบได้ทั่วไป มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของราก ต้นและใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้โรคผิวหนัง แก้อาการปวดศีรษะ แก้หลอดลมอักเสบ แก้กระดูกร้าวและแตก ช่วยในการย่อยอาหาร แก้ไข้และแก้อักเสบได้ ถือเป็นยาสมุนไพรชั้นยอดอีกชนิดหนึ่ง

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “อัคคีทวาร (Akkhi Thawan)”. หน้า 342.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “อัคคีทวาร”. หน้า 646.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “อัคคีทวาร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [26 ก.ค. 2014].
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 2. “อัคคีทวาร”.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ชะรักป่า, อัคคีทวาร”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [26 ก.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “อัคคีทวาร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [26 ก.ค. 2014].
สมุนไพรดอทคอม. “อัคคีทวาร ยาโบราณแก้ริดสีดวง”. อ้างอิงใน: มูลนิธิสุขภาพไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.samunpri.com. [26 ก.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com
รูปอ้างอิง
Rotheca serrata (L.) Steane & Mabb.
https://commons.wikimedia.org/wiki/

หูปลาช่อน ทั้งต้นเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ทำให้เลือดเย็น

0
หูปลาช่อน
หูปลาช่อน ทั้งต้นเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ทำให้เลือดเย็น เป็นวัชพืชและยาสมุนไพร ดอกเป็นช่อสีแดงม่วงมี 5 แฉก

หูปลาช่อน

หูปลาช่อน

หูปลาช่อน เป็นไม้ล้มลุกที่มีสีเขียวแกมม่วง เป็นวัชพืชที่มีการกระจายพันธุ์ได้รวดเร็ว ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจเลยก็คือ พืชชนิดนี้อยู่ในวงศ์ทานตะวัน ในด้านสรรพคุณนั้นทั้งต้นมีรสขมฝาด เป็นยาเย็นต่อร่างกาย แม้ว่าจะเป็นยาสมุนไพรแต่ในทางกลับกัน ก็มีพิษต่ออวัยวะภายในเช่นกัน ดังนั้นการนำมารับประทานก็ควรระมัดระวัง พืชชนิดนี้สามารถนำมารับประทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกหรือลาบได้ และยังเป็นผักที่มีสรรพคุณทางยา ใครที่รักสุขภาพห้ามพลาดเด็ดขาด

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหูปลาช่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Emilia sonchifolia (L.) DC. ex DC.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Cupid’s shaving brush” “Emilia” “Sow thistle”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางและจังหวัดเพชรบุรีเรียกว่า “หางปลาช่อน” จังหวัดลำปางเรียกว่า “ผักบั้ง” จังหวัดเลยเรียกว่า “ผักแดง” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “เอี่ยโต่ยเช่า เฮียะแอ่อั้ง” จีนกลางเรียกว่า “หยางถีฉ่าว หยางถีเฉ่า เยวียะเสี้ยหง อีเตี่ยนหง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)
ชื่อพ้อง : Cacalia sonchifolia Hort ex L.

ลักษณะของหูปลาช่อน

หูปลาช่อน เป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกหญ้าที่พบในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นพรรณไม้วัชพืชที่มักขึ้นตามที่ชื้น ทุ่งหญ้าโล่ง หรือขึ้นปะปนกับวัชพืชทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง มีสีเขียวแกมม่วง ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มทั่วไป
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะห่อหุ้มลำต้นอยู่ ปลายใบแหลมเรียว โคนใบกว้างเป็นรูปไข่ ขอบใบโค้งหยักเล็กน้อยหรือหยักเว้า หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบเป็นสีม่วงแดง ใบที่โคนต้นมีขนาดใหญ่กว่าใบที่อยู่บนยอด ใบบนเป็นรูปหอกโคนเว้าขอบจักแคบ ไม่มีก้านใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ มักจะออกตามบริเวณกลางลำต้นหรือยอดต้น ก้านดอกแบ่งออกเป็น 2 แขนง ดอกย่อยประมาณ 20 – 45 ดอก เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ดอกขนาดเล็ก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปทรงกระบอก กลีบดอกส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นรูปท่อ ดอกเป็นสีแดงม่วงมี 5 แฉก มีเกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน
ผล : เป็นผลเดี่ยวรูปทรงกระบอก เปลือกผลแข็ง มีจรสีขาวปกคลุมที่เส้นสันผิวเปลือก ผลแห้งจะไม่แตกหรืออ้าออก
เมล็ด : เมล็ดล่อน สีน้ำตาล และมีขน

สรรพคุณของหูปลาช่อน

สรรพคุณจากทั้งต้น ออกฤทธิ์ต่อปอด ตับและลำไส้เล็ก เป็นยารักษาระบบทางเดินหายใจติดเชื้อ เป็นยาขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ เป็นยาแก้ไข้ ทำให้เลือดเย็น ช่วยขับน้ำชื้นในร่างกาย ช่วยแก้หืดไอ ช่วยแก้เลือดกำเดา แก้อาเจียนเป็นเลือด ช่วยแก้ตาเจ็บตาแดง ช่วยขับเสมหะ ช่วยขับปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ ช่วยรักษาฝีในลำไส้ ห้ามเลือด และสมานแผล แก้ไฟไหม้ แก้น้ำร้อนลวก
– แก้ช่องคลอดอักเสบหรือคัน ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำสะอาดแล้วใช้ล้าง
สรรพคุณจากราก ช่วยแก้ท้องเสีย
– เป็นยาแก้โรคตานซางขโมยในเด็ก ด้วยการนำรากสดประมาณ 10 กรัม มานึ่งกับเนื้อหมูแดง
– แก้อาการปวดหลัง แก้ปวดเอว ด้วยการนำรากมาตำคั้นผสมกับน้ำตาลเมาแล้วดื่ม
สรรพคุณจากใบ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดแก้เจ็บตา ใบนำมาขยี้ทารักษาหูด
สรรพคุณจากลำต้น แก้อาการบวมน้ำ
– แก้เจ็บคอ คอตีบ คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้บิดถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด แก้ท้องร่วง ช่วยแก้ฝีฝักบัว ด้วยการนำลำต้นสด 30 – 90 กรัม ส่วนแห้ง 15 – 30 กรัม มาต้มเอาน้ำกินเป็นยา วันละ 2 – 3 ครั้ง
– แก้ผดผื่นคัน แก้ฝีต่าง ๆ ด้วยการนำลำต้นสดมาตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาพอกหรือทาบริเวณที่มีอาการ
สรรพคุณจากต้น
– ช่วยรักษาโรคเริม ด้วยการนำต้นสดมาพอกบริเวณที่มีอาการ เปลี่ยนยาวันละครั้ง

ประโยชน์ของหูปลาช่อน

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและใบอ่อน นำมาใช้ทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกหรือลาบได้

ข้อควรระวังของหูปลาช่อน

1. สตรีมีครรภ์ห้ามใช้สมุนไพรหูปลาช่อน
2. เป็นพิษต่อตับ สารที่เป็นพิษคือสาร Pyrrolizidine alkaloid หากได้รับในครั้งแรกจะทำให้อาเจียน หลังจากนั้นประมาณ 8 – 10 ชั่วโมง จะมีอาการชักกระตุกควบคู่ไปกับมีอาการอาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง และหมดสติได้

หูปลาช่อน เป็นยาที่ออกฤทธิ์เย็น ทำให้มีส่วนช่วยดับพิษร้อนในร่างกายได้ ช่วยแก้ไข้พิษต่าง ๆ แม้ว่าจะเป็นวัชพืชเล็ก ๆ ที่ดูไม่ค่อยน่าสนใจนัก แต่กลับมีประโยชน์ทั้งด้านสมุนไพร และการนำมาใช้เป็นผักสดจิ้มกินได้ เป็นต้นที่มีสีเขียวแกมม่วงขนาดเล็ก ภายนอกไม่ค่อยเด่นมากนัก หูปลาช่อนมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของลำต้นและราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาระบบทางเดินหายใจติดเชื้อ ขับพิษร้อน แก้อาการบวมน้ำ แก้ช่องคลอดอักเสบหรือคัน และช่วยรักษาโรคเริมได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หูปลาช่อน“. หน้า 827-829.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หูปลาช่อน“. หน้า 620.
ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หูปลาช่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [18 ก.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เครือข่ายกาญจนาภิเษก. “หูปลาช่อน“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.kanchanapisek.or.th. [18 ก.ค. 2014].
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ระงับปวดของสารสกัดจากต้นหูปลาช่อน (Emilia sonchifolia)”. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [18 ก.ค. 2014].
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “หางปลาช่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [18 ก.ค. 2014].
ไทยเกษตรศาสตร์. “สมุนไพรหูปลาช่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [18 ก.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
Emilia sonchifolia
https://portal.wiktrop.org/observation/show/15187

หมากผู้หมากเมีย ไม้สำหรับบูชาพระ เป็นยาดีต่อระบบเลือด

0
หมากผู้หมากเมีย
หมากผู้หมากเมีย ไม้สำหรับบูชาพระ เป็นยาดีต่อระบบเลือด ใบเป็นสีแดงเขียวหรือสีแดงม่วง ดอกเป็นสีม่วงแดงหรือสีชมพูสลับด้วยสีเหลืองอ่อน

หมากผู้หมากเมีย

หมากผู้หมากเมีย

หมากผู้หมากเมีย เป็นต้นที่มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดจากการผสมพันธุ์ เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีใบเป็นสีแดงเขียวหรือสีแดงม่วง ส่วนของดอกเป็นสีม่วงแดงหรือสีชมพูสลับด้วยสีเหลืองอ่อนทำให้ดูสวยงาม จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง มักจะพบใกล้แหล่งน้ำ หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีแสงแดดรำไร จึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับลงกระถางเพื่อประดับภายในอาคาร นอกจากนี้ยังเป็นต้นที่ชาวไทใหญ่และชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำดอกมาใช้บูชาพระ และยังเป็นต้นไม้แห่งความเชื่อของคนโบราณอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหมากผู้หมากเมีย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cordyline fruticosa (L.) A.Chev.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Cordyline” “Ti plant” “Dracaena Palm”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “มะผู้มะเมีย” ภาคเหนือเรียกว่า “หมากผู้” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ปูหมาก” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ทิฉิ่ว ทิฉิ่วเฮียะ” จีนกลางเรียกว่า “เที่ยซู่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE)

ลักษณะของหมากผู้หมากเมีย

ลำต้น : ลักษณะของลำต้นตั้งตรง ไม่มีกิ่งก้านสาขามากนัก
ใบ : ออกเป็นวงสลับกันบริเวณส่วนยอดของลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปยาววงรี ปลายใบแหลม เป็นสีแดงเขียวหรือสีแดงม่วง แต่ว่าลักษณะของใบและสีของใบนั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูกด้วย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกบริเวณยอดลำต้น ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 6 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปทรงกระบอก ดอกเป็นสีม่วงแดงหรือสีชมพูสลับด้วยสีเหลืองอ่อน มีเกสรเพศผู้ 6 อัน รังไข่ 3 ห้อง
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ผลมีลักษณะฉ่ำน้ำ ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1 – 3 เมล็ด

สรรพคุณของหมากผู้หมากเมีย

  • สรรพคุณจากราก แก้ปวดบวมอักเสบ ช่วยแก้ฟกช้ำดำเขียว
    – เป็นยาฟอกเลือด ด้วยการนำรากสดครั้งละ 30 – 60 กรัม รากแห้งครั้งละ 15 – 20 กรัม แล้วนำมาต้มกับน้ำทาน
    – แก้ไอและไอเป็นเลือด แก้วัณโรคปอด แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ด้วยการนำรากสด 30 – 60 กรัม มาต้มกับน้ำทาน
    – แก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ลำไส้อักเสบ แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ ด้วยการนำรากแห้ง 3 – 5 กรัม มาต้มเอาน้ำกิน
  • สรรพคุณจากใบ แก้ไข้หวัด แก้ไข้หวัดน้อย แก้ไข้หวัดใหญ่ แก้ไข้กำเดา แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้หัวต่าง ๆ แก้ตัวร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยล้อมตับดับพิษ เป็นยาขับพิษ
    – เป็นยาแก้พิษกาฬ หรือพิษที่เกิดจากการติดเชื้อ ด้วยการนำใบมาต้มหรือแช่น้ำอาบแก้ไข้หัว หรือไข้ร่วมกับผื่นหรือตุ่ม เช่น หัด เหือด อีสุกอีใส เป็นต้น
    – แก้ไอและไอเป็นเลือด แก้อาการเจ็บกระเพาะอาหารหรือปวดกระเพาะ แก้บิด แก้ถ่ายเป็นมูกเลือด แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ด้วยการนำใบสด 15 – 30 กรัม มาต้มเอาน้ำกินเป็นยา
    – ช่วยแก้โลหิตกำเดา ด้วยการนำใบสด 30 – 60 กรัม ใบแห้ง 15 – 20 กรัม มาต้มกับน้ำกิน
    – แก้วัณโรคปอด แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ด้วยการนำใบสด 60 – 100 กรัม มาต้มเอาน้ำกินเป็นยา
    – แก้บิดถ่ายเป็นมูก ด้วยการนำใบสด 30 – 40 กรัม เปลือกลูกทับทิมแห้ง 10 กรัม ผักเบี้ยใหญ่สด 30 กรัม และดอกสายน้ำผึ้ง 15 กรัม มาต้มกับน้ำทาน
    – แก้ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการนำใบสด 30 – 40 กรัม มาต้มกับเนื้อหมูทาน
    – รักษาบาดแผล ด้วยการนำใบสดมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกหรือทาบริเวณที่มีอาการ
    – ช่วยแก้อาการคันตามผิวหนังหรือเม็ดผดผื่นคันตามผิวหนัง ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำอาบ หรือใช้ร่วมกับใบหมากและใบมะยม
    – ช่วยบำรุงร่างกายและผิวพรรณ โดยตำรับไทลื้อนำใบมาสับแล้วตากให้แห้งใช้เข้ายาห่ม
  • สรรพคุณจากดอก
    – แก้ไอและไอเป็นเลือด แก้วัณโรค แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้ริดสีดวงทวาร ด้วยการนำดอกแห้ง 15 – 30 กรัม มาต้มเอาน้ำกินเป็นยา
    – แก้ประจำเดือนมามากเกินควร ด้วยการนำดอกสดครั้งละ 30 – 60 กรัม ดอกแห้งครั้งละ 10 – 15 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม
    – ช่วยแก้อาการปวดบวมอักเสบ ด้วยการนำดอกสดมาตำพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณจากใบและดอก
    – ช่วยห้ามเลือด ด้วยการนำใบและดอกสดมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอก

ประโยชน์ของหมากผู้หมากเมีย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำช่อดอกมาลวกกับน้ำพริกกินหรือนำไปแกง
2. เป็นความเชื่อและใช้บูชา ชาวไทใหญ่และชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำดอกมาใช้บูชาพระ คนไทยโบราณเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะทำให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ

ข้อควรระวังของหมากผู้หมากเมีย

1. สตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทานเด็ดขาด
2. เป็นยาที่มีพิษ ห้ามใช้ในปริมาณที่มากเกินควร

หมากผู้หมากเมีย ถือเป็นต้นที่โดดเด่นในด้านของการนำมาบูชา และในด้านของการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ด้วยความที่ใบมีสีสันสวยงาม จึงนิยมนำมาปลูกประดับอาคารกัน และยังเป็นไม้สำหรับไหว้บูชาพระอีกด้วย แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าส่วนต่าง ๆ ของต้นคือยาสมุนไพรที่ไม่ควรมองข้ามอีกชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาฟอกเลือด แก้บิด แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ และแก้วัณโรคปอดได้ ถือเป็นยาที่ดีต่อระบบเลือดในร่างกายเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หมากผู้หมากเมีย”. หน้า 821-822.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หมากผู้หมากเมีย”. หน้า 616.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “หมากผู้หมากเมีย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [16 ก.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หมากผู้หมากเมีย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [16 ก.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Cordyline, Ti plant”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [16 ก.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “หมากผู้หมากเมีย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [16 ก.ค. 2014].
ศูนย์ฝึกอบรมและควบคุมระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. “หมากผู้หมากเมีย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th/49190283/. [16 ก.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
Cordyline fruticosa (L.) A. Chev.
https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:533580-1

ว่านน้ำ เหง้าและรากเป็นยาบำรุงบำรุงกำลัง แก้ไข้ แก้ปวด

0
ว่านน้ำ
ว่านน้ำ เหง้าและรากเป็นยาบำรุงบำรุงกำลัง แก้ไข้ แก้ปวด

ว่านน้ำ

ว่านน้ำ

ว่านน้ำ เป็นพรรณไม้น้ำที่มักจะพบตามริมน้ำ คูคลอง ในที่ที่มีน้ำท่วมขัง ที่ชื้นแฉะหรือแหล่งน้ำตื้น มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป มีเหง้าเจริญไปตามยาวขนานกับพื้นดิน รสของเหง้าเผ็ดร้อนฉุนและขม แถมยังกลิ่นหอม ช่อดอกอ่อนจะมีรสหวาน รากอ่อนนั้นเด็กในประเทศเนเธอร์แลนด์นำมาเคี้ยวเป็นหมากฝรั่ง ส่วนของใบเรียวแหลมและปลายใบแหลม ทำให้ดูโดดเด่น ส่วนของเหง้าและรากเป็นยาชั้นยอด รักษาโรคและอาการยอดนิยมได้เกือบทุกอย่าง นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในตำรายาทั้งหลายอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของว่านน้ำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acorus calamus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Calamus” “Calamus Flargoot” “Flag Root” “Mytle Grass” “Myrtle sedge” “Sweet Flag” “Sweetflag” “Sweet Sedge”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “กะส้มชื่น คาเจี้ยงจี้ ผมผา ส้มชื่น ฮางคาวบ้าน ฮางคาวน้ำ” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ว่านน้ำเล็ก ฮางคาวผา” จังหวัดเพชรบุรีเรียกว่า “ตะไคร้น้ำ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ทิสีปุตอ เหล่อโบ่สะ” ชาวม้งเรียกว่า “แป๊ะอะ” ชาวเมี่ยนเรียกว่า “ช่านโฟ้ว” ชาวปะหล่องเรียกว่า “สำบู่” ชาวขมุเรียกว่า “จะเคออ้ม ตะไคร้น้ำ” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “แปะเชียง” จีนกลางเรียกว่า “สุ่ยชังฝู ไป๋ชัง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ว่านน้ำ (ACORACEAE)
ชื่อพ้อง : Acorus angustifolius Schott, Acorus aromaticus Gilib., Acorus calamus var. verus L., Acorus terrestris Spreng.

ลักษณะของว่านน้ำ

เหง้า : เหง้าเจริญตามยาวขนานกับพื้นดิน เป็นรูปทรงกระบอกค่อนข้างแบน ลักษณะเป็นข้อ ผิวนอกเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลอมชมพู เนื้อภายในเป็นสีเนื้อแก่
ราก : เป็นรากฝอยเส้นเล็กยาว พันรุงรังไปตามข้อปล้องของเหง้า
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบแตกออกมาจากเหง้าเป็นเส้นตรงรูปเรียวแหลม ปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ แทงออกมาจากเหง้าเป็นแท่งทรงกระบอก มีสีเหลืองออกเขียว ดอกย่อยเรียงตัวติดกันแน่น กลีบเลี้ยง 6 กลีบ เป็นรูปกลม มีกาบใบห่อหุ้ม 1 ใบ ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน
ผล : เป็นผลสดขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายลูกข่างหรือปริซึม ปลายบนคล้ายพีระมิด เมื่อสุกจะเป็นสีแดง ภายในมีเมล็ดจำนวนน้อย ลักษณะเป็นรูปวงรี

สรรพคุณของว่านน้ำ

  • สรรพคุณจากเหง้า ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงประสาท บำรุงหลอดลม ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้โรคลม เป็นยาแก้ไข้มาลาเรียหรือไข้จับสั่น เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อหัวใจปอดและม้าม เป็นช่วยขับเสมหะ ละลายเสมหะ แก้เสมหะอุดตันในทางเดินหายใจ ช่วยแก้หลอดลมอักเสบ แก้หวัดลงคอ ช่วยแก้ลมจุกแน่นในทรวงอก แก้ลมในท้องแต่อยู่นอกกระเพาะและลำไส้ เป็นยาขับลมในท้อง แก้ลมขึ้น แก้อาการท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด แก้อาหารไม่ย่อย รักษาอาการปวดท้อง ช่วยแก้โรคกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาโรคบิด แก้บิดในเด็ก แก้ท้องเสีย แก้ปวดท้องที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ เป็นยาขับพยาธิ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยขับระดูของสตรี รักษาแผลมีหนอง แก้โรคผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน แก้ฝีหนอง แก้เด็กเป็นผื่นคันตามซอกก้นและซอกขา แก้อาการปวดตามข้อและตามกล้ามเนื้อ แก้ข้อกระดูกหักแพลง
    – เป็นยาบำรุงธาตุ ยาหอม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุน้ำ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ด้วยการนำเหง้าแห้ง 1 – 3 กรัม มาชงกับน้ำร้อนดื่มก่อนอาหารเย็น
    – เป็นยาระงับประสาท สงบประสาท แก้อาการสะลึมสะลือ แก้มึนงง รักษาอาการลืมง่าย แก้ตกใจง่าย แก้อาการตื่นเต้นตกใจกลัวจนสั่น แก้จิตใจปั่นป่วน ด้วยการนำเหง้าแห้ง 10 กรัม เอี่ยงจี่ 10 กรัม หกเหล้ง 10 กรัม เหล่งกุก 10 กรัม กระดองส่วนท้องของเต่า 15 กรัม มาผสมกันแบ่งกินครั้งละ 3 – 5 กรัม วันละ 3 ครั้ง
    – รักษาอาการกระจกตาอักเสบ ด้วยการนำเหง้าแห้งมาใส่น้ำ ต้มให้เดือดโดยใช้ไฟอ่อนแล้วเอากากออก จากนั้นปรับความเป็นกรดด่างให้เป็นกลาง กรองให้ใส แล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อ ใช้เป็นยาหยอดตา
    – แก้อาการปวดฟัน ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ด้วยการนำเหง้าแห้งมาบดให้เป็นผง แล้วใช้ทา
    – แก้ไข้ ด้วยการนำเหง้ามาต้มรวมกับขิงและไพล กินเป็นยา
    – รักษาอาการไอ ด้วยการนำชิ้นเล็ก มาอมเป็นยา
    – ทำให้อาเจียน ด้วยการนำผงจากรากหรือเหง้า กินมากกว่าครั้งละ 2 กรัม
  • สรรพคุณจากราก ช่วยบำรุงหัวใจ แก้โรคประสาทแบบฮีสทีเรีย แก้อาการปวดตามเส้นประสาท แก้ปวดศีรษะ ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ เป็นยาแก้ไข้มาลาเรียหรือไข้จับสั่น ช่วยแก้หืด เป็นยาระบาย เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้ลงท้อง แก้ปวดท้องที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ ช่วยรักษาอาการลำไส้อักเสบ แก้โรคบิดแบคทีเรีย เป็นยาถอนพิษสลอด แก้โรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบเรื้อรัง แก้อาการปวดตามข้อและตามกล้ามเนื้อ แก้ข้อกระดูกหักแพลง เป็นยาแก้เส้นกระตุก
    – แก้หวัดและเจ็บคอ โดยชาวอินเดียนำรากฉีกเป็นชิ้นเล็ก มาเคี้ยวประมาณ 2 – 3 นาที เป็นยา
    – ดูดพิษ แก้หลอดลม แก้ปอดอักเสบ ด้วยการนำรากฝนกับเหล้าทาหน้าอกเด็ก
    – แก้โรคลงท้องปวดท้องของเด็ก ด้วยการนำรากมาเผาให้เป็นถ่าน ทำเป็นผงทานมื้อละ 0.5 – 1.5 กรัม
  • สรรพคุณจากใบ แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ เป็นยาสำหรับสตรีหลังคลอด
    – ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ ด้วยการนำใบสดมาตำละเอียด ผสมกับน้ำใช้สุมหัวเด็ก
  • สรรพคุณจากยอดอ่อนและดอก
    – รักษาอาการหวัด โดยชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำช่อดอกและยอดอ่อน มาทานสด
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้อาการปวดเมื่อย
  • สรรพคุณจากน้ำมันหอมระเหยจากต้น แก้ชัก

ประโยชน์ของว่านน้ำ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวเมี่ยนนำผลอ่อนมาทานร่วมกับลาบ เด็กชอบกินช่อดอกอ่อน รากอ่อนเป็นหมากฝรั่งของเด็กในประเทศเนเธอร์แลนด์
2. เป็นความเชื่อ ชาวปะหล่องนำรากมาเป่าคาถาเพื่อไล่ผี
3. ใช้ไล่ยุงและแมลง
4. ใช้ในการเกษตร เป็นยาฆ่าปลวกที่ผิวดินและป้องกันต้นไม้ รากเป็นยาเบื่อแมลง
5. ใช้เป็นความหอม เหง้าสดนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหย ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอางประเภทสบู่ ผงซักฟอก น้ำหอม ครีม และโลชั่น
6. ปลูกเป็นไม้ประดับ

ว่านน้ำ เป็นพืชน้ำที่มีประโยชน์ทางยาได้อย่างน่าทึ่ง สามารถนำมาใช้เป็นความหอมได้ด้วย ส่วนของเหง้าและรากเป็นยาสมุนไพรชั้นยอด นิยมนำมาใช้ในตำรายา ประกอบอาหาร เป็นส่วนให้ความหอม ไล่แมลงและยุงได้ มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของรากและเหง้า มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงประสาท แก้ไข้ แก้ปวด บำรุงกำลัง แก้ปอดอักเสบ เป็นยาระบาย และอื่น ๆ อีกมากมายจนนับไม่ถ้วน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านน้ำ”. หน้า 715-718.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ว่านน้ํา”. หน้า 35.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ว่านน้ำ”. หน้า 510.
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ว่านน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [03 มิ.ย. 2014].
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ว่านน้ํา” หน้า 168-169.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ว่านน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [03 มิ.ย. 2014].
ฐานข้อมูลน้ำมันหอมระเหยไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “ว่านน้ํา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th/essentialoils/. [03 มิ.ย. 2014].
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ยับยั้งการสะสมเซลล์ไขมันของสารประกอบในน้ำมันจากต้นว่านน้ำ (Acorus calamus)”. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [03 มิ.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “คาเจี้ยงจี้, ว่านน้ำ , ว่านน้ำเล็ก”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิติ นันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [03 มิ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ว่านกาบหอย เป็นยาเย็น แก้บวม ห้ามเลือด แก้กรดไหลย้อน

0
ว่านกาบหอย
ว่านกาบหอย เป็นยาเย็น แก้บวม ห้ามเลือด แก้กรดไหลย้อน ใบโดดเด่นเป็นรูปหอกสีเขียวสลับกับสีม่วงดอกสีขาว

ว่านกาบหอย

ว่านกาบหอย

ว่านกาบหอย หรือเรียกอีกอย่างว่า “ต้นกาบหอยแครง” เป็นต้นที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเม็กซิโกและคิวบา ส่วนของใบโดดเด่นเป็นรูปหอกสีเขียวสลับกับสีม่วง ดูสวยงามมาก จึงนิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปตามสวน นอกจากนั้นยังใช้ประโยชน์ได้ในอุตสาหกรรม และเป็นส่วนประกอบในอาหาร ที่สำคัญเลยก็คือเป็นยาสมุนไพรยอดนิยมของชาวอินเดีย ไต้หวัน อินโดจีนและมาเลเซีย ใบและดอกมีรสจืดชุ่ม เป็นยาเย็นที่ออกฤทธิ์ต่อตับและปอดได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของว่านกาบหอย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tradescantia spathacea Sw.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Boat – lily” “Oyster Lily” “Oyster plant” “White flowered tradescantia”
ชื่อท้องถิ่น : คนกรุงเทพมหานครเรียกว่า “กาบหอยแครง ว่านหอยแครง” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “อั่งเต็ก ฮ่ำหลั่งเฮี๊ยะ” จีนกลางเรียกว่า “ปั้งหลานฮวา ปั้งฮัว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักปลาบ (COMMELINACEAE)
ชื่อพ้อง : Rhoeo discolor (L’Hér.) Hance, Rhoeo spathacea (Sw.) Stearn, Tradescantia discolor L’Hér., Tradescantia versicolor Salisb.

ลักษณะของว่านกาบหอย

ว่านกาบหอย เป็นพรรณไม้ล้มลุกอายุหลายปีที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเม็กซิโก คิวบา และอเมริกากลาง
ลำต้น : ขึ้นเป็นกอ ไม่มีการแตกกิ่งก้าน ลำต้นอวบใหญ่
ใบ : ออกจากลำต้น เรียงเป็นวงซ้อนกันหลายชั้น เป็นใบเดี่ยวรูปหอกยาว หรือแกมขอบขนานปลายแหลม ปลายใบแหลม โคนใบตัดและโอบลำต้น ขอบใบเรียบ หน้าใบเป็นสีเขียวเข้ม หลังใบเป็นสีม่วงแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่โคนใบหรือซอกใบ มีทั้งช่อเดี่ยวและหลายช่อ แต่ละช่อประกอบไปด้วยใบประดับเป็นกาบ 2 กาบ สีม่วงแซมเขียว ลักษณะเป็นรูปหัวใจโค้ง มี โคนกาบทั้งสองโอบหุ้มดอกขนาดเล็กสีขาวที่อยู่รวมกันเป็นกระจุก ดอกมีกลีบเลี้ยงสีขาว 3 กลีบ เป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ลักษณะบางและใส กลีบดอก 3 กลีบ เป็นสีขาว ลักษณะรูปไข่ แผ่นกลีบดอกหนา ตรงใจกลางมีเกสรเพศผู้เป็นขนฝอย 6 อัน ก้านชูอับเรณูเป็นสีขาว มักจะออกดอกในช่วงฤดูร้อน
ผล : เป็นผลแห้ง เมื่อแตกจะแยกเป็น 2 – 3 แฉก ลักษณะของผลเป็นรูปกระสวย มีขนเล็กน้อย ภายในมีเมล็ดขนาดเล็ก

สรรพคุณของว่านกาบหอย

  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อตับและปอด ช่วยแก้บิด ถ่ายเป็นเลือด ช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้คุดทะราด แก้กลาก
    – ทำให้เลือดเย็น แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้เจ็บคอ แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด ช่วยแก้อาการฟกช้ำ แก้ฟกช้ำภายในเนื่องจากการพลัดตกจากที่สูง แก้ช้ำจากการหกล้มฟาดถูกของแข็ง ด้วยการนำใบสด 3 ใบ มาต้มผสมกับน้ำตาลกรวดดื่มเป็นยา
    – แก้ไข้ตัวร้อน ด้วยการนำใบแก่ 10 – 15 ใบ มาต้มกับน้ำจนเดือดแล้วเอาใบออก เติมน้ำตาลกรวด แล้วดื่มเป็นยา
    – ตำรายาแก้ไอร้อนในปอด แก้อาการไอเป็นเลือด ด้วยการนำใบ 10 กรัม มาต้มกับฟัก ใส่น้ำตาลกรวดเล็กน้อย ใช้ทาน
    – แก้กรดไหลย้อน ด้วยการนำใบ ใบเตยสด อย่างละเท่ากัน มาต้มกับน้ำจนเดือด ใช้ดื่มต่างน้ำทั้งวัน
    – แก้ต่อมน้ำเหลืองบวม รักษาโรคผิวหนัง แก้โรคเท้าช้าง โดยชาวอินเดียนำใบผสมกับน้ำมันงา ใช้เป็นยาพอก
    – แก้โรคผิวหนัง แก้ผื่นคัน ช่วยป้องกันมือและเท้าเน่าเปื่อย ที่เกิดจากการทำนา ด้วยการนำใบมาคั้นเอาน้ำทาบริเวณมือและเท้า ปล่อยให้แห้งแล้วค่อยลงไปทำนา
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้บิด ถ่ายเป็นเลือด แก้อาการตกเลือดในลำไส้ ช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นยาห้ามเลือด เป็นยาพอกแผล พอกมีดบาด แก้บวม
    – แก้เลือดกำเดาไหล ด้วยการนำดอก 10 กรัม มาต้มกับน้ำทาน
    – แก้หวัด แก้ไอ แก้ไอเนื่องจากหวัด ช่วยแก้เสมหะมีเลือด แก้บิดจากแบคทีเรีย ด้วยการนำดอก 20 – 30 ดอก มาต้มกับน้ำทาน
    – ช่วยขับเสมหะ แก้ไอแห้ง ด้วยการนำดอกมาต้มกับเนื้อหมูทานเป็นยา
    – แก้บิด ด้วยการนำดอก 120 กรัม น้ำตาล 30 กรัม มาต้มกับน้ำกินตอนอุ่น ๆ
  • สรรพคุณจากใบและราก ทำให้อาเจียน เป็นยาถ่าย
  • สรรพคุณจากต้น แก้ริดสีดวงทวาร
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุงตับและม้ามพิการ

ประโยชน์ของว่านกาบหอย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวอินเดียและชวานำใบอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร ใช้ทำน้ำดื่มหรือทำไวน์ ทำน้ำว่านกาบหอยแครง
2. ปลูกผม ช่วยทำให้ผมดกดำ ช่วยแก้ผมหงอกก่อนวัย ด้วยการนำใบมาปิ้งให้แห้ง บดให้เป็นผงผสมกับน้ำมัน หรือใช้น้ำคั้นจากต้นเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา แล้วนำมาทาศีรษะ
3. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า ใช้ร่วมกับผลมะเกลือย้อมผ้า ทำให้ผ้าสีติดทนดี
4. ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป ตามสวนสนาม โคนต้นไม้ขนาดใหญ่ ปลูกใส่กระถาง
5. ใช้ในการเกษตร แก้วัวมีบาดแผลเลือดออก ฟกช้ำ

ว่านกาบหอย เป็นต้นที่มีจุดเด่นอยู่ที่ส่วนของใบ ทั้งในด้านการใช้ภายนอกในการให้ความงามและการนำมาประยุกต์ใช้สอยต่าง ๆ รวมถึงเป็นส่วนที่นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารด้วย ว่านกาบหอยมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดอกและใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยแก้บิด บำรุงตับและม้าม เป็นยาห้ามเลือด แก้กรดไหลย้อน แก้ไอร้อนในปอดและแก้ต่อมน้ำเหลืองบวมได้ เป็นยาเย็นที่ดีจึงช่วยดับพิษร้อนในร่างกายได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ว่านกาบหอย”. หน้า 506.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ว่านกาบหอยใหญ่”. หน้า 179.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ว่านกาบหอย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [02 มิ.ย. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 7 คอลัมน์: สมุนไพรน่ารู้. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). “ว่านกาบหอย”. อ้างอิงใน: หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรจีน ของประเทศจีน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [02 มิ.ย. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “ว่านกาบหอยแครง ใบสวยมีสรรพคุณ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [02 มิ.ย. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กาบหอยแครง”. (นพพล เกตุประสาท). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [02 มิ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
https://motherandsriaurobindo.in/The-Mother/spiritual-significance-of-flowers/divine-presence/
Tradescantia spathacea (Rhoeo spathacea)

เลี่ยน เป็นยาใช้ภายนอก ช่วยแก้โรคผิวหนัง แก้แผล แก้โรคเรื้อน

0
เลี่ยน
เลี่ยน เป็นยาใช้ภายนอก ช่วยแก้โรคผิวหนัง แก้แผล แก้โรคเรื้อน และเป็นไม้ปลูกประดับเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับบ้าน

เลี่ยน

เลี่ยน

เลี่ยน เป็นพืชในวงศ์กระท้อนที่เป็นไม้ยืนต้นสูงผลัดใบขนาดเล็กและใหญ่ มักจะพบตามป่าดิบและป่าเบญจพรรณ ดอกเป็นสีขาวอมม่วง มีกลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ จึงนิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับบริเวณบ้านและสวน ส่วนต่าง ๆ ของต้นนำมาใช้ทำประโยชน์ได้หลายด้าน ทั้งในด้านการย้อมผ้า ไล่แมลง เป็นความเชื่อของคนโบราณ อีกทั้งยังนำยอดและใบอ่อนมายางไฟพอสลดเพื่อลดความขมใช้ทานเป็นผักได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเลี่ยน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melia azedarach L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bastard cedar” “Bead tree” “Chaina tree” “Chinaball tree” “Persian lilac” “White cedar”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “เลี่ยนใบใหญ่ เคี่ยน เลี่ยน เกษมณี” ภาคเหนือเรียกว่า “เกรียน เคี่ยน เฮี่ยน” คนทั่วไปเรียกว่า “เลี่ยนดอกม่วง” ชาวลัวะเรียกว่า “ลำเลี่ยน” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “โขวหนาย” จีนกลางเรียกว่า “ขู่เลี่ยน ขู่เลี่ยนซู่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กระท้อน (MELIACEAE)

ลักษณะของต้นเลี่ยน

ลำต้น : แตกกิ่งก้านโปร่งบาง แผ่กว้าง โคนต้นเป็นพูพอน เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลแตกเป็นร่องตามยาวตื้น มีรูขนาดเล็กอยู่ทั่วไป กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว กิ่งแก่เป็นสีม่วง
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นออกเรียงเวียนสลับกัน หรือออกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีใบย่อย 3 – 5 ใบ เป็นรูปไข่หรือรูปวงรีกึ่งขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเกลี้ยง บนใบเป็นสีเขียวเข้ม ด้านล่างเป็นสีเขียวอ่อน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกเป็นสีขาวอมม่วง มีกลิ่นหอมเย็นอ่อน กลีบดอก 5 – 6 กลีบ เป็นรูปขอบขนาน ก้านเกสรเพศผู้มีสีม่วงเข้มติดกันเป็นหลอด กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5 – 6 แฉก
ผล : ผลมีลักษณะกลมวงรี ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลสุกเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาลเหลือง ภายในผลมีเมล็ดเดี่ยวสีน้ำตาล

สรรพคุณของเลี่ยน

  • สรรพคุณจากต้น เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง ช่วยทำให้เจริญอาหาร ทำให้ผิวหนังดำเกรียมแล้วลอกเป็นขุย ช่วยแก้โรคเรื้อน
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยบำรุงธาตุไฟในร่างกาย ช่วยขับระดูของสตรี เป็นยาฝาดสมาน เป็นยาแก้ปวด แก้เมื่อย
  • สรรพคุณจากใบและดอก แก้อาการปวดศีรษะ แก้ปวดประสาท
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาทำให้อาเจียน เป็นยาแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน แก้เชื้อราบนหนังศีรษะ แก้น้ำกัดเท้า แก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน แก้ผดผื่นคัน เป็นยารักษาเหา
    – ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำแล้วใช้บ้วนปาก
    – เป็นยาเย็นจัดที่ออกฤทธิ์ต่อลำไส้ใหญ่ เป็นยาถ่ายพยาธิตัวกลม ถ่ายพยาธิปากขอ ถ่ายพยาธิตัวแบน ด้วยการนำเปลือกต้นสด 30 – 60 กรัม มาต้มกับน้ำทาน
    – แก้พยาธิตัวกลมในเด็ก ด้วยการนำเปลือกต้น 3 กรัม มาต้มกับน้ำทาน
    – แก้พยาธิปากขอ ด้วยการนำเปลือกต้น 600 กรัม น้ำ 3,000 มิลลิลิตร มาต้มให้เหลือ 600 มิลลิลิตร นำทับทิมจำนวน 25 กรัม น้ำ 300 มิลลิลิตร มาต้มให้เหลือ 120 มิลลิลิตร แล้วเอาส่วนที่เหลือทั้งสองชนิดมาผสมกัน
    – แก้หิด ด้วยการนำเปลือกต้นมาเผาเป็นเถ้า นำไปคุกผสมกับน้ำมันหมู แล้วใช้ทาบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณจากน้ำคั้นจากใบ เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว เป็นยาขับพยาธิ ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประจำเดือนของสตรี
  • สรรพคุณจากยาง ช่วยแก้ม้ามโต
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาแก้แผลพุพองที่หัว แก้แผลพุพองจากไฟไหม้หรือน้ำจากน้ำร้อนลวก เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน แก้กุดถึง แก้โรคผิวหนังผื่นคัน เป็นยาฆ่าเหา
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาแก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อนและกุดถัง
  • สรรพคุณจากผล เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน แก้กุดถึง เป็นยาแก้ฝีคัณฑมาลา ช่วยแก้โรคเรื้อน เป็นยาฆ่าเหา
  • สรรพคุณจากเมล็ด น้ำมันใช้เป็นยาทาแก้ปวดข้อและปวดในกระดูก

ประโยชน์ของเลี่ยน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดและใบอ่อนนำมาย่างไฟลดความขม แล้วทานเป็นผักแกล้มกับน้ำพริก
2. เป็นยาทำลายสัตว์ ใบมีประโยชน์ในการไล่แมลง ผลเป็นยาฆ่าแมลง ผลใช้เป็นยาเบื่อปลาได้
3. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า ใบให้สีเขียวสามารถนำมาใช้ย้อมสีผ้าได้
4. ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เนื้อไม้นำมาใช้ในการสร้างบ้าน ใช้ทำโครงสร้างต่างของบ้าน ทำไม้อัด เยื่อกระดาษ ทำฟืน
5. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับบริเวณบ้านและสวน
6. ใช้ในการเกษตร ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน
7. เป็นความเชื่อ คนไทยโบราณเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกจะช่วยทำให้เกิดความสามัคคี

เลี่ยน เป็นต้นที่มีมาตั้งแต่โบราณเพราะมีการนำมาใช้เป็นไม้ปลูกประดับเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับบ้าน นอกจากนั้นยังนำมาใช้ทานเป็นผักได้ ส่วนของใบจะมีกลิ่นจึงนิยมใช้ไล่แมลง ที่สำคัญเป็นไม้ที่สวยงามจึงปลูกประดับบารมีบ้านได้ดี มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้อาการปวดศีรษะ แก้ปวดประสาท และแก้โรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ดี

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “เลี่ยน”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 170.
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “เลี่ยน (Lian)”. หน้า 272.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เลี่ยน”. หน้า 703-705.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เลี่ยน”. หน้า 504.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เลี่ยน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [01 มิ.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Bastard cedar, Bead Tree, Bastard Cedar, China Tree, Chinaball Tree, Persian Lilac”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 7 (ก่องกานดา ชยามฤต, ลีนา ผู้พัฒนพงศ์,). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [01 มิ.ย. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “เลี่ยน ดอกหอมยอดอร่อยสรรพคุณดี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [01 มิ.ย. 2014].
ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เลี่ยน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [01 มิ.ย. 2014].
สมุนไพรไทยภูมิปัญญาชาวบ้านวิถีชีวิตชนบทไทย. “เลี่ยน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sopon.ac.th/sopon/lms/science52/herb2/www.thai.net/thaibarn/. [01 มิ.ย. 2014].
วิทยาลัยสารพัดช่างสกลนคร. “เลี่ยน (เกษมณี)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sknk-ptc.ac.th. [01 มิ.ย. 2014].
ไทยเกษตรศาสตร์. “เลี่ยนตำรับยาและวิธีใช้” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [01 มิ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง

Melia Azedarach


Melia azedarach L. 1753 (MELIACEAE)