มะเดื่อปล้อง เป็นยาเย็น ดีต่อระบบไหลเวียนเลือดและกระดูก

0
มะเดื่อปล้อง
มะเดื่อปล้อง เป็นยาเย็น ดีต่อระบบไหลเวียนเลือดและกระดูก ผลมีรสขม ลำต้นเป็นข้อปล้องคล้ายรอยควั่น ผลอ่อนรับประทานเป็นผักสดหรือต้มจิ้มน้ำพริก

มะเดื่อปล้อง

มะเดื่อปล้อง

มะเดื่อปล้อง เป็นต้นที่ไม่ค่อยนิยมมากนัก เพราะผลจะมีรสขม และมักจะมีแมลงมาอาศัยอยู่ข้างในผล มีลำต้นเป็นรอยข้อปล้องห่าง ๆ คล้ายรอยควั่นเป็นข้อ ในด้านของยาสมุนไพรนั้นเป็นที่นิยมของชาวปะหล่อง ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง มูเซอ และอยู่ในตำรายาพื้นบ้านล้านนา ส่วนของช่อดอก และผลอ่อนจะนำมาใช้รับประทานเป็นผักสดหรือต้มจิ้มกับน้ำพริกได้ เป็นต้นที่คนไทยค่อนข้างรู้จัก และคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยนิยมนำมาทานมากสักเท่าไหร่ และไม่ค่อยมีใครรู้ว่ามีสรรพคุณทางยาได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเดื่อปล้อง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus hispida L.f.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือ จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสระบุรีเรียกว่า “เดื่อปล้อง” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “เดื่อสาย” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “เดื่อป่อง” ชาวไทใหญ่เรียกว่า “หมากหนอด” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ตะเออน่า เอาแหน่” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “ดิ๊โจ่เหมาะ” ชาวมลายูนราธิวาสเรียกว่า “ฮะกอสะนียา” ชาวปะหล่องเรียกว่า “ไฮ่มะเดื่อปล้อง” ชาวขมุเรียกว่า “กระซาล” ชาวลัวะเรียกว่า “ลำเดื่อ ลำเดื่อปล้อง” ชาวเมี่ยนเรียกว่า “งงหยอเจีย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขนุน (MORACEAE)

ลักษณะของมะเดื่อปล้อง

มะเดื่อปล้อง เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางหรือใหญ่ ในประเทศไทยมักจะพบขึ้นตามป่าโปร่ง ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าละเมาะ พื้นราบ ที่ว่างเปล่าทั่วไป และริมลำธาร
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง เปลือกลำต้นเรียบหนาเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทาปนดำ ตามลำต้นมีรอยเป็นข้อปล้องห่าง ๆ คล้ายรอยควั่นเป็นข้อ กิ่งก้านอ้วนสั้น กิ่งอ่อนและลำต้นอ่อนกลวง ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวข้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากกัน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรียาว รูปไข่แกมขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ปลายใบมนมีติ่งแหลม โคนใบมน ขอบใบหยักถี่ เนื้อใบคล้ายกระดาษ ผิวใบด้านบนมีขนสากคายมือ ท้องใบด้านล่างมีขนนุ่มขึ้นปกคลุม ใบแก่มีขนหยาบและบนเส้นใบด้านล่าง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อมะเดื่อ มักจะออกตามลำต้นและกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็กอัดกันแน่น เจริญเติบโตอยู่ในฐานรองดอกที่ห่อหุ้มไว้เพื่อที่จะเจริญเติบโตไปเป็นผล มีลักษณะคล้ายผล ภายในกลวง ที่ปลายมีช่องเปิดที่มีใบประดับปิดอยู่ ก้านช่อดอกยาว ดอกอ่อนเป็นสีเขียว ดอกแก่เป็นสีเหลือง ที่โคนมีใบประดับ 3 ใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ภายในมีดอก 3 ประเภท คือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และดอกปุ่มหูด ดอกเป็นแบบแยกเพศ แต่อยู่ในช่อดอกเดียวกัน มักจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม
ผล : เป็นผลแบบมะเดื่อ รูปทรงกลมออกแป้น รูปลูกข่าง แคบที่ฐาน ก้นผลมีรอยบุ๋ม มีเส้นสันประมาณ 7 – 9 เส้น แผ่รอบ ๆ จากยอด มีขนอ่อนนุ่ม มีเกล็ดปกคลุมแบบห่าง ๆ ออกผลติดเป็นกลุ่มแน่นประมาณ 10 – 15 ผล ผิวผลเรียบ มีจุดสีขาวตลอดทั้งผล ผลสดเป็นสีเขียว พอสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก

สรรพคุณของมะเดื่อปล้อง

  • สรรพคุณจากผล ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยแก้เลือดกำเดาไหล ทำให้อาเจียน แก้บิด แก้อาการปวดกระเพาะ รักษาริดสีดวงทวาร รักษาโรคตัวเหลือง เป็นยาฝาดสมาน เป็นยาพอก ใช้ล้างแผล ใช้สมานแผล แก้บวมอักเสบ แก้โรคผิวหนังเรื้อรัง ช่วยขับน้ำนม
    – แก้ซางปากเปื่อย ด้วยการนำผลผสมกับเหง้าไพลและรากกล้วยตีบ อย่างละ 3 ชิ้น ใส่ถ้วยเติมน้ำ เอาเหล็กเผาไฟให้แดงแล้วจุ่มแช่ลงไป ดื่มน้ำที่ได้เป็นยา
    – แก้อาการท้องร่วง ด้วยการนำไม้ร้อยผลร่วมกับไพล กล้วยดิบที่ฝานเป็นแว่นมาแช่ในน้ำแล้วกิน
  • สรรพคุณจากผลแห้ง เป็นยารักษาแผลในปาก ช่วยทำให้อาเจียน
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาบำรุง แก้มาลาเรีย ทำให้อาเจียน แก้อาการปวดท้องในเด็ก เป็นยาระบาย เป็นยาพอกฝีมะม่วง ช่วยรักษาสิวฝ้า ช่วยรักษากระดูกแตกหัก
    – แก้อาการบวมทั้งตัว ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มกับกล้วยน้ำว้า เอาผ้าชุบน้ำพันรอบตัว
  • สรรพคุณจากกิ่งกลวง
    – ช่วยทำให้มีความจำดี โดยชาวปะหล่องนำกิ่งที่กลวงมาทำเป็นหลอดดูดน้ำ
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาใส่แผลฝี ยาใส่แผลหนองอักเสบ ยาใส่แผลในจมูก
    – รักษาอาการไข้ หนาวสั่น รักษาอาการไข้หลังการคลอดบุตร แก้ปัสสาวะเหลืองจัดหรือปัสสาวะเป็นเลือด ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – รักษาอาการม้ามโต โดยตำรายาพื้นบ้านล้านนานำใบมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก ลำต้น เหง้า
    – แก้หวัด ด้วยการนำราก ลำต้นและเหง้ามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – กระตุ้นการหลั่งของน้ำนม โดยชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง มูเซอ นำราก ลำต้น และเหง้ามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากรากและเปลือกต้น เป็นยากล่อมเสมหะ แก้อาการท้องเสีย เป็นยาทาแก้ฝี ยาทาแก้เม็ดผื่นคันตามผิวหนัง กินเป็นยาแก้ประดง กินเป็นยาแก้พิษในกระดูก
  • สรรพคุณจากลำต้น
    – แก้โรคกระดูก ด้วยการนำลำต้นมาตากแห้ง แล้วต้มเอาน้ำดื่มเป็นยา

ประโยชน์ของมะเดื่อปล้อง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลใช้ทานได้ ผลสุกนำมาทำแยมได้ ใบอ่อนใช้ทานร่วมกับน้ำพริก ลาบ ส่วนช่อดอกและผลอ่อนใช้ทานเป็นผักสดหรือต้มจิ้มกับน้ำพริก และนำมาปรุงอาหารจำพวกแกงส้ม ผลดิบใช้ทานกับแกงบอนหรือหลามบอน หรือนำมาหลามกับกระดูกหมู
2. ใช้ในการเกษตร ชาวลัวะนำยอดอ่อนมาต้มเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงหมู
3. ใช้ทำอุปกรณ์ เปลือกต้นใช้ทำเชือกหยาบ เนื้อไม้ใช้สำหรับทำฟืน

มะเดื่อปล้อง มีสรรพคุณเป็นยาเย็นจึงช่วยดับพิษร้อนในร่างกายได้ นอกจากนั้นยังนำผลและส่วนต่าง ๆ มาใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายมาก ทั้งการนำมาใช้เป็นผักสดหรือนำมาใส่ในแกง เป็นต้นที่หาได้ไม่ยากนักในประเทศไทย แต่ใครที่ต้องการจะไปเก็บจากต้นก็ควรระวังยางด้วย เพราะจะทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแผลได้ สรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของผล มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้โรคกระดูก รักษาอาการม้ามโต แก้ไข้ แก้อาการท้องร่วง รักษาแผล รักษาโรคโลหิตจาง เป็นต้นที่ดีต่อระบบไหลเวียนเลือดและกระดูกเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “มะเดื่อปล้อง (Ma Duea Plong)”. หน้า 220.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “มะเดื่อปล้อง”. หน้า 153.
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะเดื่อปล้อง”. หน้า 112.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะเดื่อปล้อง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [03 พ.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “มะเดื่อปล้อง, เดื่อปล้อง”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 7 (ก่องกานดา ชยามฤต, ลีนา ผู้พัฒนพงศ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [03 พ.ย. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “มะเดื่อปล้อง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.bedo.or.th. [03 พ.ย. 2014].
ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา. “พืชมีพิษในประเทศไทย (1)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/ez.mm_display.asp. [03 พ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://efloraofindia.com/2011/03/01/ficus-hispida/

มะแว้งนก ต้นรสขม เป็นยาเย็น รักษามะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก

0
มะแว้งนก
มะแว้งนก ต้นรสขม เป็นยาเย็น รักษามะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก เป็นวัชพืชที่พบทั่วไป ผลแก่เป็นสีม่วงดำหรือสีดำ ต้นมีรสขม มีพิษเล็กน้อย

มะแว้งนก

มะแว้งนก

มะแว้งนก เป็นวัชพืชที่พบได้ตามที่รกร้างทั่วไป มีผลแก่เป็นสีม่วงดำหรือสีดำ ทั้งต้นมีรสขม เป็นยาเย็นที่มีพิษเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ เป็นยาของชาวเขาเผ่าอีก้อ มูเซอและชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่ ทว่าการนำมาใช้ก็ควรระวังเพราะบางส่วนก็เป็นพิษต่อร่างกายได้ มักจะนำส่วนของผลสุกและยอดอ่อนมาใช้รับประทาน มะแว้งนกเป็นต้นที่ดีต่ออวัยวะของผู้หญิงเป็นอย่างมาก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะแว้งนก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum nigrum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Black nightshade” “Common nightshade” “Deadly nightshade”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “หญ้าต้มตอก หญ้าต้อมต๊อก” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ทุมขัน” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า “ข่าอม” จังหวัดสงขลาเรียกว่า “ประจาม” จังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า “แว้งนก” จังหวัดกรุงเทพมหานครและคนจีนเรียกว่า “ออเตียมกุย โอเตียมกุย” จีนกลางเรียกว่า “หลงขุย ขู่ขุย” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “สะกอคระ” ชาวปะหล่องเรียกว่า “ด่อกะริ่ว” ชาวลัวะเรียกว่า “บ่ะดีด แผละแคว้ง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “น้ำใจใคร”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)

ลักษณะของมะแว้งนก

มะแว้งนก เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุประมาณ 1 ปี เป็นวัชพืชที่พบได้ตามที่รกร้างทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ลำต้นกลมมน เป็นเหลี่ยมสัน หรือเป็นร่องและมีขนปกคลุมเล็กน้อย แตกกิ่งก้านมาก
ราก : รากมีลักษณะกลมยาวเป็นสีเหลืองอ่อน แตกรากฝอยมาก
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปขอบขนาน รูปไข่แกมขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นหยักเล็กน้อย เว้าเป็นพูตื้นหรือหยักซี่ฟันเป็นแฉกที่บริเวณโคนใบ ผิวใบเรียบหรือมีขน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบซี่ร่ม โดยจะออกบริเวณเหนือซอกใบ ช่อดอกมีดอกย่อยขนาดเล็กประมาณ 4 – 10 ดอก ดอกมีลักษณะเป็นรูประฆัง กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็กมาก กลีบดอกเป็นสีขาว 5 กลีบ ใจกลางดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลือง 5 อัน ก้านดอกมีขนปกคลุมเล็กน้อย
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำหรือสีดำ

สรรพคุณของมะแว้งนก

  • สรรพคุณจากรากและผล
    – บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย โดยชาวเขาเผ่าอีก้อและมูเซอนำรากและผลมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากผลสุก ช่วยทำให้เจริญอาหาร เป็นยาแก้ไข้ เป็นยาแก้ไอ ช่วยแก้อาการท้องเสีย เป็นยารักษากลาก ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
    – รักษาเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการนำผลแห้งมาบดให้เป็นผง ตวง 1 – 2 ช้อนชา ในน้ำร้อน 1 แก้ว ใช้ดื่มเช้าและเย็น
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยารักษามะเร็งเต้านม รักษามะเร็งปากมดลูก ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ เป็นยาดับพิษร้อนถอนพิษไข้ ทำให้เลือดให้เย็น แก้ไข้หวัดตัวร้อน แก้ไข้หวัดแดด ช่วยแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ไอร้อนในปอด ช่วยแก้อาการหอบไอ แก้ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ ช่วยมุตกิดตกขาวของสตรี ช่วยรักษาอาการบวมน้ำ เป็นยาแก้พิษ แก้บวม เป็นยารักษาครรภ์ไข่ปลาอุกชนิดร้ายแรง
    – แก้ไข้หวัดแดด ด้วยการนำต้นสด 35 กรัม มาต้มกับน้ำใส่น้ำตาลแดงเล็กน้อยทานเป็นยา
    – แก้หลอดลมอักเสบ แก้อาการไอ ด้วยการนำต้นสด 35 กรัม กิ๊กแก้ 10 กรัม ชะเอมเทศ 3 กรัม มาต้มกับน้ำทานติดต่อกัน 10 วัน
    – ขับเสมหะ แก้อาการจุกเสียด ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้ต่อมเต้านมอักเสบเฉียบพลัน ด้วยการนำต้นสด 70 กรัม มาต้มกับน้ำทานวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 3 – 7 วัน
    – แก้ฝีในท้อง แก้ท้องมาน ด้วยการนำต้นสดครั้งละ 500 กรัม มาต้มกับน้ำทานวันละ 2 ครั้ง
    – แก้ผื่นคันเรื้อรัง แก้ฝีหนอง แก้พิษงู ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มแล้วใช้น้ำชะล้างผิวหนัง
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาแก้ไอ
  • สรรพคุณจากราก
    – แก้ไอ โดยชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่นำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากผลและใบ เป็นยาขับปัสสาวะ
    – รักษาการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน โดยชาวโอรัง อัสลีในรัฐเประ ประเทศมาเลเซียนำผลและใบมาเคี้ยว
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยรักษาอาการบวมน้ำ เป็นยารักษาแผล รักษาโรคไขข้ออักเสบ
  • สรรพคุณจากผล
    – รักษาแผล รักษาแผลที่ถูกทากดูด ด้วยการนำผลมาตำคั้นเอาน้ำทาหรือพอกแผลที่ถูกทากดูด

ประโยชน์ของมะแว้งนก

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสุกไม่มีพิษจึงใช้รับประทานได้ ยอดอ่อนนำมาต้มทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก

ข้อควรระวังของมะแว้งนก

ผลดิบ มีสารพิษ “Slanine” ซึ่งออกฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร หลายชั่วโมงต่อมาจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ปากและคอหอย แล้วจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้องและท้องร่วง อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น อาจมีเหงื่อออก ปวดศีรษะ น้ำลายไหลมากกว่าปกติ หายใจติดขัดและกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย อาการขั้นสุดท้าย คือ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เนื่องจากลำไส้เป็นแผล ปัสสาวะเป็นเลือดเนื่องจากไตชำรุด ชักกระตุก หมดสติ และมีอุณหภูมิลดต่ำลง

มะแว้งนก มีส่วนของผลสุกที่ใช้รับประทานได้ ส่วนของยอดอ่อนนำมาต้มรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ทั้งต้นมีรสขม เป็นยาเย็นที่มีพิษเล็กน้อย ซึ่งออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ มะแว้งนกมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน รักษามะเร็งเต้านม แก้ต่อมเต้านมอักเสบเฉียบพลัน รักษามะเร็งปากมดลูก แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ช่วยมุตกิดตกขาวของสตรี รักษาเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือดและบำรุงร่างกายได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะแว้งนก”. หน้า 199.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “หญ้าต้อมต๊อก”. หน้า 161.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “มะแว้งนก”. หน้า 458
ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หญ้าต้อมต๊อก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [01 พ.ย. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “มะแว้งนก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.saiyathai.com. [01 พ.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “มะแว้งนก”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [01 พ.ย. 2014].
“Ethnomedical survey of plants used by the Orang Asli in Kampung Bawong, Perak, West Malaysia“. (Anbu Jeba Sunilson John Samuel, Anandarajagopal Kalusalingam, Dinesh Kumar Chellappan, Rejitha Gopinath, Suraj Radhamani, Hj Azman Husain, Vignesh Muruganandham, Proom Promwichit).
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งตับของสารสกัด solamargine จากหญ้าต้มต๊อก”. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/. [01 พ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

เม่าไข่ปลา ผลรสเปรี้ยว ดีต่อมดลูกของผู้หญิง

0
เม่าไข่ปลา
เม่าไข่ปลา ผลรสเปรี้ยว ดีต่อมดลูกของผู้หญิง ผลสุกสีม่วงแดงจะมีรสเปรี้ยว อุดมไปด้วยสารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ยับยั้งอนุมูลอิสระ ต้นเป็นยาสมุนไพร

เม่าไข่ปลา

เม่าไข่ปลา

เม่าไข่ปลา เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ส่วนของผลสุกจะมีรสเปรี้ยว และนำมารับประทานได้ ผลสีม่วงแดงยังอุดมไปด้วยสารในกลุ่มแอนโทไซยานิน และฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระได้ด้วย ซึ่งมีการนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรมได้ นอกจากนั้นส่วนต่าง ๆ ของต้นยังเป็นยาสมุนไพร และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเม่าไข่ปลา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Antidesma ghaesembilla Gaertn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Black currant tree” “Wild black berry”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะเม่า ขะเม่าผา” ภาคอีสานเรียกว่า “มะเม่าผา มะเม่า” จังหวัดอุบลราชธานี กาฬสินธุ์และชัยภูมิเรียกว่า “ขมวยตาครวย” จังหวัดจันทบุรีเรียกว่า “มังเม่า” จังหวัดชลบุรีเรียกว่า “เม่าไข่ปลา ขะเม่าผา” จังหวัดชุมพรเรียกว่า “มะเม่าข้าวเบา” จังหวัดชุมพรและสงขลาเรียกว่า “เม่าทุ่ง” ชาวมลายูนราธิวาสเรียกว่า “กูแจ” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “มะเม่าไข่ปลา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE)

ลักษณะของเม่าไข่ปลา

เม่าไข่ปลา เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มักจะพบตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะ ชายป่าดิบ ป่าโปร่ง ป่าชายเลน ชายฝั่งทะเล ที่โล่งลุ่มต่ำ ตามทุ่งหญ้า เรือกสวนทั่วไป และตามป่าพรุ
ลำต้น : แตกกิ่งก้านต่ำเป็นพุ่ม เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสั้นนุ่มสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับในระนาบเดียวกัน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรีค่อนข้างกลม รูปวงรีแกมขอบขนาน หรือรูปไข่กว้างจนถึงรี ปลายใบมนกลมหรือเป็นติ่งแหลมเล็กน้อย โคนใบมนกลมถึงหยักเว้า ขอบใบเรียบ หลังใบและท้องใบเรียบเกลี้ยง หรือมีขนตามเส้นใบด้านท้องใบ หูใบเป็นรูปลิ่มแคบ ร่วงง่าย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อเชิงลด โดยจะออกตามซอกใบและที่ปลายยอด ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก มีสีเขียวอมเหลือง มักจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน
ผล : ออกผลเป็นช่อ ผลย่อยมีขนาดเล็ก ลักษณะเป็นรูปค่อนข้างกลมวงรีหรือแบนเล็กน้อย ผิวผลมีขน ผนังชั้นในแข็ง ผลอ่อนเป็นสีขาว พอแก่จะเป็นสีแดงเข้มเกือบดำ ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1 – 2 เมล็ด ติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณของเม่าไข่ปลา

  • สรรพคุณจากผล แก้อาการปวดศีรษะ แก้คอแห้ง แก้อาการกระหายน้ำ เป็นยาระบาย ช่วยแก้อาการท้องผูก เป็นยาแก้ช่องท้องบวม
    – แก้อาการโลหิตจาง แก้ซีดเหลือง แก้เลือดไหลเวียนไม่ดี โดยตำรายาไทยนำใบและผลมาต้มกับน้ำอาบ
    – แก้อาการไข้ ด้วยการนำผลผสมกับน้ำอาบ
  • สรรพคุณจากต้นและราก เป็นยาแก้กระษัย เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยาแก้มดลูกพิการ แก้มดลูกช้ำบวม แก้อาการตกขาวของสตรี ช่วยขับโลหิตและน้ำคาวปลาของสตรี ช่วยบำรุงไต ช่วยแก้เส้นเอ็นพิการ แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาบำรุงกำลัง เป็นยาฝาดสมาน
  • สรรพคุณจากใบ แก้อาการปวดศีรษะ เป็นยาแก้ไข้ ช่วยแก้อาการท้องอืด ช่วยแก้อาการท้องบวม เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง

ประโยชน์ของเม่าไข่ปลา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสุกมีรสเปรี้ยว นำมาทานได้ ผลสีม่วงใช้ทำน้ำผลไม้ ไวน์ แยม ยอดอ่อน ใบอ่อน มีรสฝาดอมเปรี้ยวและมัน นำมาปรุงเป็นอาหาร เช่น แกงเลียง หรือใช้ต้มเป็นผักจิ้ม ใบอ่อนและผลดิบใช้ปรุงอาหารให้มีรสเปรี้ยวได้
2. ประยุกต์ใช้ทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรม เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ยา และเครื่องสำอางต่อไปได้ในอนาคต
3. แก้รังแค ใบและผลใช้ตำพอกแก้รังแค
4. เป็นยาเบื่อสุนัข รากนำมาตำคลุกกับข้าวสุกใช้เป็นยาเบื่อสุนัขได้
5. เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม เนื้อไม้เป็นสีแดง มีความแข็งแรง สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้

เม่าไข่ปลา มีรสเปรี้ยวที่นำมาทานหรือนำมาใช้ปรุงในอาหาร นอกจากนั้นยังถือว่าเป็นพืชที่นำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ เม่าไข่ปลามีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของผล ต้นและราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการโลหิตจาง บำรุงไต ช่วยแก้เส้นเอ็นพิการ แก้อาการปวดศีรษะ แก้ไข้ และดีต่อมดลูกของผู้หญิง

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “เม่าไข่ปลา (Mao Khai Pla)”. หน้า 242.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “เม่าไข่ปลา”. หน้า 161.
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เม่าไข่ปลา”. หน้า 39.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะเม่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [30 ต.ค. 2014].
พืชผักพื้นบ้านนครศรีธรรมราช 103 ชนิด, กลุ่มผักที่ใช้ปรุงเป็นอาหารและอาจใช้เป็นผักเหนาะ, เทศบาลเมืองทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช. “เม่าไข่ปลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tungsong.com. [30 ต.ค. 2014].
ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “เม่าไข่ปลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [30 ต.ค. 2014].
สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์พรรณบุรี กองบำรุงพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์, พืชสมุนไพร. “มะเม่าไข่ปลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : lssp-spr.dld.go.th. [30 ต.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1. https://www.flickr.com/
2. http://flora-peninsula-indica.ces.iisc.ac.in

ข้าวสาลี พืชอาหารที่สำคัญต่อโลก ป้องกันโรค ดีต่อเลือดในร่างกาย

0
ข้าวสาลี
ข้าวสาลี พืชอาหารที่สำคัญต่อโลก ป้องกันโรค ดีต่อระบบเลือด เป็นพืชที่มีทั้งสายพันธุ์ชนิดแข็งและชนิดอ่อน มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีกากอาหาร นิยมผลิตเป็นแป้ง

ข้าวสาลี

ข้าวสาลี

ข้าวสาลี เป็นต้นข้าวที่คนไทยทุกคนรู้จักแน่นอน ในประเทศไทยมักจะมีการปลูกบ้างบนพื้นที่สูงในทางภาคเหนือ เป็นพืชที่มีหลายสายพันธุ์ทั้งชนิดแข็ง และชนิดอ่อน มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีกากอาหาร นิยมนำมาแปรรูปในรูปน้ำข้าว ผลิตเป็นแป้ง และนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม ถือเป็นพืชที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการเกษตรอีกชนิดหนึ่ง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของข้าวสาลี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Triticum aestivum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bead Wheat” “Common Wheat” “Wheat”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “สาลี”
ชื่อวงศ์ : วงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ชื่อพ้อง : Triticum vulgare Vill.

ลักษณะของข้าวสาลี

ข้าวสาลี เป็นไม้ล้มลุกอายุราว 1 ปี ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตะวันออกกลาง ประเทศไทยจะปลูกทางภาคเหนือ แต่จะมีการนำเข้าเสียมากกว่า
ต้น : แตกขึ้นเป็นกอแน่น ลำต้นเรียบ มีข้อและปล้อง 4 – 7 ปล้อง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน เป็นรูปแถบผอมยาว เขี้ยวใบเป็นแผ่น หูใบบาง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อเชิงลดเรียงเป็นสองแถว ช่อดอกย่อยแบบซ้อนทับกันเป็นแถวด้านข้าง ช่อดอกย่อยมี 3 – 9 ดอก เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ
ผล : เป็นรูปไข่หรือรูปกระสวย มีร่องตามยาว สีน้ำตาลแดง เหลือง ขาว มีสีปนกัน

สรรพคุณของข้าวสาลี

  • สรรพคุณด้านระบบประสาท ช่วยบำรุงเส้นประสาท ช่วยให้นอนหลับ
  • สรรพคุณด้านหัวใจ ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
  • สรรพคุณด้านเลือด ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดไขมันในเลือด ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด ช่วยทำความสะอาดระบบหมุนเวียนโลหิต ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันโรคเส้นเลือดในสมองแตก
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันโรคเบาหวาน ช่วยลดการดูดซึมของสารก่อมะเร็ง ป้องกันโรคต้อกระจก ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • สรรพคุณด้านการขับถ่าย ช่วยในการขับถ่ายของลำไส้ใหญ่ ช่วยรักษาอาการลำไส้อักเสบ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ช่วยลดความอ้วน

ประโยชน์ของข้าวสาลี

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับถั่วงอก นำเมล็ดมาทำข้าวนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยพักฟื้น แปรรูปทำเป็นน้ำคั้นต้นอ่อนและมอลต์นำมาทำแป้งได้ เมล็ดนำมาบดให้แตกด้วยโม่หินแล้วนำมาใช้ทำโจ๊กหรือทำข้าวต้ม
2. ใช้ในอุตสาหกรรม รำข้าวนำไปใช้ในการผลิตอาหารเสริมสุขภาพและผสมในอาหารเลี้ยงสัตว์จำพวกหมูและกุ้ง ใช้ทำตุ๊กตาฟาง มุงหลังคา ทำไส้เบาะ เชื้อเพลิง วัสดุรองสิ่งของในการบรรจุหีบห่อ เป็นต้น ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตกาว แอลกอฮอล์ น้ำมัน และกลูเตน

ข้าวสาลี เป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของประชากรโลก เพราะเป็นวัตถุดิบในอาหารหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดในการนำมาใช้ก็คือ แป้งสาลี เป็นต้นที่คนทั่วไปรู้กันดีว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นทั้งจมูกรำข้าว เมล็ด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงเส้นประสาท บำรุงหัวใจ ป้องกันโรคเบาหวาน ป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดความอ้วนและดีต่อระบบเลือดในร่างกายเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ข้าวสาลี” หน้า 64-65.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ข้าวสาลี”. หน้า 60-61.
กรีนไฮเปอร์มาร์ท สารานุกรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากพืชในซุปเปอร์มาร์เก็ต, คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ข้าวสาลี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.sc.mahidol.ac.th/wiki/. [05 ก.ย. 2014].
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “ประโยชน์ของข้าวสาลี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : kanchanapisek.or.th/kp6/. [05 ก.ย. 2014].
สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง. (ธีรา มูลศรี นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ). “ข้าวสาลีไทย : อาหารเพื่อสุขภาพ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : smg.brrd.in.th. [05 ก.ย. 2014].
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (กนกพร อะทะวงษา). “น้ำวีทกราส… น้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [05 ก.ย. 2014].
นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 348. “จมูกข้าวสาลีลดน้ำตาล ลดอ้วน ชะลอวัย”.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com
รูปอ้างอิง
https://innspubnet.wordpress.com
https://identify.plantnet.org

ผักหวานบ้าน รสหวานเย็น อุดมด้วยวิตามินเอ ดีต่อระบบเลือดสตรี

0
ผักหวานบ้าน รสหวานเย็น อุดมด้วยวิตามินเอ ดีต่อระบบเลือดสตรี เป็นยาสมุนไพรชั้นยอด และอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ

ผักหวานบ้าน

ผักหวานบ้าน

ผักหวานบ้าน เป็นต้นที่คนไทยทั่วไปนิยมนำมารับประทานกัน และยังเป็นผักที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คาดว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักต้นผักหวาน แถมยังเป็นต้นที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังเป็นยาสมุนไพรชั้นยอดอีกด้วย ทว่าเราไม่ควรนำผักหวานสดมาทานเพราะว่าต้นยังมีพิษ ก่อนนำมาใช้ประโยชน์ควรนำมาต้มหรือทำให้สุกก่อน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักหวานบ้าน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sauropus androgynus (L.) Merr.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Star gooseberry”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ก้านตง จ๊าผักหวาน ใต้ใบใหญ่ ผักหลน” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า “มะยมป่า” จังหวัดสตูลเรียกว่า “ผักหวานใต้ใบ” ชาวมลายูสตูลเรียกว่า “นานาเซียม” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ตาเชเค๊าะ โถหลุ่ยกะนีเต๊าะ” คนทั่วไปเรียกว่า “ผักหวาน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE)
ชื่อพ้อง : Sauropus albicans Blume

ลักษณะของผักหวานบ้าน

ผักหวาน เป็นไม้พุ่มขนาดกลางที่มักจะพบในที่ลุ่ม พบได้ตามป่าดิบแล้ง ป่าละเมาะ ป่าดิบชื้น ที่โล่งแจ้ง หรือที่รกร้างทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นแข็ง แตกกิ่งก้านระนาบไปกับพื้น ลำต้นอ่อน กลมหรือเป็นเหลี่ยม
เปลือกต้น : เปลือกต้นขรุขระเป็นสีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม กิ่งจะเรียวงอเล็กน้อยตามข้อ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปไข่ รูปไข่แกมขอบขนาน หรือคล้ายขนมเปียกปูน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบทั้งสองด้าน เมื่อทำให้แห้งแล้วใบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกตามซอกใบ เป็นดอกเดี่ยวแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียว ดอกมีขนาดเล็ก 2 ชนิด ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก 6 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปจานแบนสีน้ำตาลแดง เกสรเพศผู้ 3 ก้าน ดอกเพศเมียเป็นสีเขียวอมเหลือง มีกลีบเลี้ยง 6 กลีบ เป็นรูปไข่กลับสีแดงเข้มหรือสีเหลืองจุดประสีแดงเข้ม มักจะออกดอกช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน
ผล : เป็นรูปทรงกลมแป้น ผลฉ่ำน้ำ ผิวผลเป็นพูเล็กน้อย ผลเป็นสีเขียวจนเกือบขาว เมื่อแก่เต็มที่จะเป็นสีขาวอมเหลือง เมื่อแห้งแล้วจะแตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงติดคงทนห้อยลงใต้ใบ ภายในผลแบ่งเป็นพู 6 พู แต่ละพูมีเมล็ด 1 เมล็ด
เมล็ด : ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปครึ่งวงกลม เปลือกเมล็ดเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม มีความหนาและแข็ง

สรรพคุณของผักหวานบ้าน

  • สรรพคุณจากผักหวานบ้าน ช่วยในการขับถ่ายได้ดี ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้จากมลพิษทางอากาศ ช่วยในการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ
  • สรรพคุณจากราก รักษาคางทูม แก้คอพอก รักษาโรคเลือดลม เป็นยาลดไข้ แก้ไข้ ถอนพิษไข้ แก้ตัวร้อน แก้ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้อาการไอ ช่วยแก้ผิดสำแดง แก้ปัสสาวะขัด แก้ขัดเบา ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการบวม เข้าตำรับยามุตขึด แก้อาการบวมพอง แก้คนไม่อยากอาหาร แก้พิษ แก้ฝีไข้ แก้เจ็บออกหู ใช้เป็นยาหยอด เข้ายาแก้ไข้ฝีเครือดำขาวเหลือง
    – ตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ช่วยรักษาโรคขางทุกชนิด เช่น อาการเสียดด้านข้าง เสียดท้อง ไอ ร้อน ง่วงนอน ขางไฟ ขางแกมสาน ขางรำมะนาดเจ็บในคอ ขางปิเสียบ เป็นอาการจุกเสียดและร้อน ใจสั่น เป็นต้น นอกจากนั้นรักษามะเร็งก้อนเนื้อหรือเนื้องอกที่ผิดปกติ ฝีสาร รักษามะเร็งไฟ มะเร็งคุด สันนิบาตฝีเครือ
    – แก้อาการเจ็บในปากหรือปากเหม็น โดยตำรับยาหมอพื้นบ้านสันป่าตองนำรากฝนแก้อาการ
    – รักษาโรคอีสา ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
    – แก้ไข้ แก้ขัด ไข้อีสุกอีใส โดยหมอยาพื้นบ้านทางภาคเหนือนำรากผักหวานบ้าน รากมะแว้ง รากผักดีด แก่นในของฝักข้าวโพดอย่างละเท่ากัน มาฝนกับน้ำให้เด็กหรือผู้ใหญ่กินเป็นยา
    – ช่วยแก้ซาง พิษซาง ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มและอาบ
    – แก้ผิดเดือน ด้วยการนำรากผักหวานบ้าน รากต้อยตั่ง ต้นมะแว้งต้น รากชะอม และรากนางแย้ม มาฝนน้ำผสมกับข้าวเจ้า ดื่มกินแต่น้ำ
    – แก้กินผิดและแก้ลมผิดเดือน โดยตำรับยาของหมอพื้นบ้านเชียงดาวนำรากผักหวานบ้านมาฝน โดยประกอบด้วยรากผักหวานบ้าน รากมะนาว รากผักดีด รากยอ รากจำปี และรากทองพันชั่ง
    – รักษามะเร็งที่มีอาการเจ็บ ร้อน ไหม้ร่วม ด้วยการนำรากผักหวานบ้าน รากปอบ้าน ต้นคันทรง และหัวถั่วพู มาฝนกับน้ำซาวข้าวให้พอข้น แล้วใช้ทารักษามะเร็ง
    – รักษาโรคมะเร็งคุด ด้วยการนำรากมาผสมกับรากสามสิบ รากถั่วพู รากรางเย็น รากมังคะอุ้ย ดอกหงอนไก่ไทย ไม้มะแฟน หอบกาบและงาช้าง แล้วฝนกับน้ำผสมกับข้าวสุกกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากน้ำยางจากต้นและใบ เป็นยาหยอดตา แก้ตาอักเสบ
  • สรรพคุณจากต้นและใบ
    – รักษาแผลในจมูก ด้วยการนำต้นและใบมาตำผสมกับรากอบเชยใช้เป็นยาพอก
    – แก้โรคผิวหนังติดเชื้อ ด้วยการนำต้นและใบมาตำผสมกับสารหนู เป็นยาทา
  • สรรพคุณจากใบ ปรุงเป็นยาเขียว แก้ไข้ ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกาย แก้อาการปัสสาวะออกน้อย เป็นยาประสะน้ำนม ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น เป็นยาเขียวกระทุ้งพิษ แก้บวม แก้หัด ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำนมของแม่ที่ไม่มีน้ำนมให้บุตร
    – รักษาแผลในปาก แก้ฝ้าขาวในเด็กทารก ด้วยการนำใบมาคั้น แล้วนำมาต้มใส่น้ำผึ้ง จากนั้นนำมาทาลิ้นและเหงือกให้เด็กทารก
    – รักษาหญิงคลอดบุตรและรกไม่เคลื่อน โดยหมอยาแผนโบราณนำใบสด 30 – 40 กรัมต่อวัน มาต้มสกัดด้วยน้ำ
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาขับโลหิต
  • สรรพคุณจากรากและใบ
    – รักษาฝี แก้แผลฝี ด้วยการนำรากและใบมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอก
  • สรรพคุณจากใบและทั้งต้น บำรุงสุขภาพสำหรับสตรีหลังคลอด
    – แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมูเซอนำใบ ทั้งต้นมาต้มกับน้ำอาบและเคี้ยวกิน
  • สรรพคุณจากรากและต้น
    – แก้มะเร็งคุด ด้วยการนำรากหรือต้นมาผสมกับแก่นคูน แก่นขี้เหล็ก แก่นขนุนเทศ งาช้าง ต้นแก้งขี้พระร่วง ต้นขมิ้นเครือ ต้นคนทา ต้นเหมือดคน รากชิงชี่ เมล็ดมะค่าโมง เมล็ดสะบ้าลิง และกาบล้าน มาฝนใส่ข้าวเจ้ากินเป็นยา

ประโยชน์ของผักหวานบ้าน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบและยอดอ่อนนำมานำมาประกอบอาหาร โดยการลวก ต้ม หรือนึ่ง กินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ลาบ ปลานึ่ง ใช้เพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหาร เช่น แกงเลียง แกงอ่อม แกงส้ม แกงจืด นำไปแปรรูปเป็นน้ำปั่นผักหวานได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ มีดอกและผลห้อยอยู่ใต้ใบ ทำให้ดูแปลกตาและสวยงาม ผลยังเป็นสีขาวตัดกับกลีบรองผลซึ่งเป็นสีแดงอีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทานได้ (ยอดอ่อนหรือใบอ่อน)

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 39 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
น้ำ 87.1%
โปรตีน 0.1 กรัม
ไขมัน 0.6 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 8.3 กรัม
ใยอาหาร 2.1 กรัม
เถ้า 1.8 กรัม
วิตามินเอ 8,500 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.12 มิลลิกรัม 
วิตามินบี2 1.65 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 3.6 มิลลิกรัม
วิตามินซี 32 มิลลิกรัม
แคลเซียม 24 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 68 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.3 มิลลิกรัม

ผักหวานบ้าน เป็นผักที่นิยมนำมาประกอบในเมนูอาหาร เป็นพืชที่ให้รสชาติหวาน อีกทั้งยังให้ความเย็นต่อร่างกายด้วย ที่สำคัญคือมีวิตามินเอสูงมาก ช่วยรักษาดวงตาได้ อีกทั้งยังมีวิตามินเคด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นตัวของดอกยังมีสีสัน สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับได้ ผักหวานบ้านมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของรากและใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาโรคเลือดลม รักษาคางทูม ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง แก้มะเร็งคุดและแก้ไข้ได้ ถือเป็นผักที่บรรเทาอาการแปลก ๆ ได้หลายอย่างจริง ๆ

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ผักหวานบ้าน (Phak Wan Ban)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 182.
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ผักหวานบ้าน”. หน้า 191.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักหวานบ้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [28 เม.ย. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 242 คอลัมน์: พืช-ผัก-ผลไม้. “ผักหวานบ้าน : ความหวานจากผักพื้นบ้านดั้งเดิม”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [28 เม.ย. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักหวานบ้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [28 เม.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “ผักหวานบ้าน”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 5 (ลีนา ผู้พัฒนพงศ์,). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [28 เม.ย. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “เรื่องผักหวาน”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [28 เม.ย. 2014].
มุมสมุนไพร, ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง จังหวัดลำพูน. “ผักหวานบ้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.haec05.doae.go.th. [28 เม.ย. 2014].
การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 48. “ผลของสารสกัดจากพืชบางชนิดต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของคะน้า”. (ศานิต สวัสดิกาญจน์, สุวิทย์ เฑียรทอง, เนาวรัตน์ ประดับเพ็ชร์, สิริวรรณ สมิทธิอาภรณ์, และวริสรา ปลื้มฤดี). หน้า 412-421.
เดอะแดนดอทคอม. “ผักหวานบ้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.the-than.com. [28 เม.ย. 2014].
สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา. “ผักหวานบ้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.chachoengsao.doae.go.th. [28 เม.ย. 2014].
หนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ ฉบับวันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2555 คอมลัมน์ภูมิปัญญาเพื่อสุขภาพ หน้า 5. “ผักที่รู้จักดีแห่งอาเซี่ยน”. (รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด).
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Sauropus_androgynus_%28L.%29_Merr._%2850637668736%29.jpg

ผักเป็ดขาว เป็นยาบำรุงเลือดชั้นยอด ดีต่อหัวใจและลำไส้เล็ก

0
ผักเป็ดขาว เป็นยาบำรุงเลือดชั้นยอด ดีต่อหัวใจและลำไส้เล็ก เป็นยาเย็นที่ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและลำไส้เล็ก แพทย์แผนโบราณจะเก็บยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และเก็บต้นที่ดอกยังไม่แก่

ผักเป็ดขาว

ผักเป็ดขาว

ผักเป็ด เป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุราว 1 ปีส่วนในประเทศไทยมักจะพบมากในภาคกลาง ซึ่งในบ้านเรามีอยู่สองแบบ คือ ชนิดใบกลมและใบแหลม มักจะพบได้ตามที่รกร้างทั่วไปหรือตามที่ชื้นข้างทาง ทั้งต้นมีรสเอียน ชุ่ม และขมเล็กน้อย เป็นยาเย็นที่ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและลำไส้เล็กได้ เป็นยาของชาวอินโดนีเซีย ศรีลังกา อินเดีย มาเลเซีย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเกาะมาดากัสการ์ ทางแพทย์แผนโบราณมักจะนิยมเก็บยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และเลือกเก็บเฉพาะต้นที่ดอกยังไม่แก่ เพราะดอกแก่จะมีสารอาหารในต้นและใบน้อย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alternanthera sessilis (L.) R.Br. ex DC. หรือ Alternanthera paronychioides A.St.-Hil.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Sessile joyweed”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักเป็ดแดง ผักเป็ดขาว” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักเปี๋ยวแดง” คนไทยเรียกว่า “ผักเป็ด ผักเป็ดไทย” ชาวลัวะเรียกว่า “ผักหอม บะอุ่ม บ่ะดิเยี่ยน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE)

ลักษณะของผักเป็ด

ลำต้น : มีลำต้นตั้งตรงหรืออาจเลื้อย ตามข้อของลำต้นจะมีราก ระหว่างข้อต่อมีร่องและมีขนปกคลุมเล็กน้อย ลำต้นมีทั้งสีแดงและสีขาวอมเขียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน โดยจะออกตามข้อของต้น ลักษณะของใบและขนาดของใบจะมีรูปร่างไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพดินด้วย โดยจะมีทั้งใบแคบ ยาว เรียวแหลม ปลายแหลม ปลายมน หรือเป็นรูปไข่กลับ ขอบใบเรียบหรือเป็นหยักเล็กน้อย หากดินที่ปลูกมีความแห้งแล้งใบจะมีขนาดเล็ก หากดินแฉะหน่อยขนาดของใบจะใหญ่สมบูรณ์ แผ่นใบจะเป็นสีเขียว ไม่มีก้านใบหรือมีแต่จะขนาดสั้นมาก
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกลมตามง่ามใบ ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยประมาณ 1 – 4 ดอก ไม่มีก้านดอก แต่เมื่อดอกร่วงโรยไปแล้วจะดูเหมือนกับว่ามีก้านดอก เป็นสีม่วงแดงหรือสีขาว มีกลีบดอก 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 3 ก้านและเกสรเพศเมีย 1 ก้าน ในแต่ละกลีบดอกจะมีใบเป็นเยื่อบางสีขาว 2 อัน
ผล : พบอยู่ในดอก ลักษณะของผลเป็นรูปไตหรือรูปหัวใจกลับ มีขนาดเล็กมาก ผลจะร่วงโรยไปพร้อมกับกลีบดอก

สรรพคุณของผักเป็ด

  • สรรพคุณจากทั้งต้น ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและลำไส้เล็ก เป็นยาฟอกเลือด บำรุงเลือด ขับพิษเลือด ดับพิษเลือด ทำให้เลือดเย็น แก้เลือดกำเดา
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อน ๆ เป็นยาฟอกโลหิตประจำเดือน บำรุงโลหิตของสตรี แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
  • สรรพคุณจากต้นและใบ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน ช่วยทำให้ไขมันไม่อุดตันในเส้นเลือด ช่วยขับเมือกที่อยู่ในลำไส้ออกมาทางอุจจาระ ใช้ในการอยู่ไฟของสตรีเพิ่งคลอดเพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น ช่วยแก้อาการฟกช้ำหรือช้ำใน
    – แก้พิษงู แก้แมลงกัดต่อย ด้วยการนำต้นสด 100 กรัม มาตำให้พอแหลกผสมกับเหล้าโรงเล็กน้อย แล้วคั้นเอาน้ำทาน ส่วนกากที่เหลือนำมาพอกที่บาดแผล
  • สรรพคุณจากต้น เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ ทำให้เลือดเย็น ห้ามเลือด แก้เส้นเลือดอุดตัน ชาวอินโดนีเซียและศรีลังกาใช้เป็นยาลดไข้ ช่วยแก้อาการร้อนใน ช่วยแก้อาการไอหรืออาเจียนเป็นเลือด แก้อาการเจ็บคอ ช่วยแก้ต่อมเต้านมอักเสบ อินโดนีเซียใช้ต้นเป็นยาแก้ท้องร่วงและแก้บิด รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ เป็นยาระบายอ่อน ๆ เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ เป็นยาแก้ประจำเดือนพิการอย่างเป็นลิ่มและเป็นก้อนดำเหม็น ช่วยแก้อาการบวมน้ำ อินเดียใช้ต้นเป็นยากระตุ้นการไหลของน้ำดี เป็นยาพอกรักษาแผล ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยบั้นเอวและท้องน้อย
    – แก้ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการนำต้นสดผสมกับจุ่ยหงู่ชิก เหลาะตี้จินเซียน อย่างละ 60 กรัม แล้วตุ๋นรวมกันกับเนื้อหมู
    – แก้พิษฝี มีหนอง แก้ผดผื่นคัน ด้วยการนำต้นสดมาตำพอกหรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างเป็นยา
    – ประเทศอินเดีย ศรีลังกา มาเลเซีย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเกาะมาดากัสการ์นำต้นเป็นยาขับน้ำนมของสตรี

ประโยชน์ของผักเป็ด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประเทศศรีลังกา มาเลเซีย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเกาะมาดากัสการ์ ใช้รับประทานเป็นผัก ประเทศไทยนำยอดอ่อนมาใช้เป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกปลาร้า หรืออาจนำไปชุบแป้งทอดให้สุกก่อนนำมาจิ้มน้ำพริกกิน ชาวลัวะนำทั้งต้นมานึ่งทานกับน้ำพริก
2. เป็นยาบำรุง ประเทศศรีลังกาใช้ต้นเป็นอาหารบำรุงของสตรีแม่ลูกอ่อน
3. ใช้ในการเกษตร นำมาใช้เป็นอาหารของสัตว์ได้ดี หรือนำมาผสมเป็นอาหารปลา
4. เป็นไม้ปลูกประดับ เป็นพืชน้ำประดับตู้ปลา

ผักเป็ด เป็นผักที่อยู่ในตำรายามาตั้งแต่อดีต เป็นที่นิยมในหลายประเทศในการเป็นยาและเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกทาน นอกจากนั้นยังเป็นไม้ประดับตู้ปลาได้ด้วย มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาขับน้ำนมของสตรี แก้เส้นเลือดอุดตัน เป็นยาฟอกเลือด บำรุงเลือด ขับพิษเลือด ดับพิษเลือด ทำให้เลือดเย็น ดีอย่างมากต่อระบบเลือดในร่างกายมนุษย์ และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือด

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ผักเป็ด”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 503-504.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ผักเป็ดขาว”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 352.
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 248 คอลัมน์: พืช-ผัก-ผลไม้. “ผักเป็ด : ผักสามัญที่ไม่ไร้ความสำคัญ”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [27 เม.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “Sessile joyweed”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [27 เม.ย. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ผักเป็ด”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้น้ำบึงบอระเพ็ด. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [27 เม.ย. 2014].
รายการภัตตาคารบ้านทุ่ง ช่องไทยพีบีเอส วันที่ 15 ก.ค. 2012. “ผักเป็ด”.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ระย่อม รากเป็นยาเป็นยาเย็น แก้ความดันเลือด ช่วยให้นอนหลับ

0
ระย่อม
ระย่อม รากเป็นยาเป็นยาเย็น แก้ความดันเลือด ช่วยให้นอนหลับ ไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็ก ดอกคล้ายดอกเข็ม มีพิษเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อตับและหัวใจ

ระย่อม

ระย่อม

ระย่อม เป็นไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็กที่พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย มีลักษณะของดอกคล้ายกับดอกเข็ม รากมีรสขม เป็นยาเย็น แต่มีพิษเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อตับและหัวใจได้ เป็นต้นที่อยู่ในตำรายาไทย ถือว่าเป็นต้นหนึ่งที่มีสรรพคุณได้หลากหลายมาก นิยมนำรากมาสกัดเพื่อใช้เป็นยาแก้ความดันโลหิตสูง ส่วนในประเทศอินเดียจะบดรากเตรียมเป็นยาเม็ดได้ ส่วนมากจะพบเป็นวัตถุดิบในพวกแกงเลียงหรือแกงส้ม

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของระย่อม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rauvolfia serpentina (L.) Benth. ex Kurz
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Rauwolfia” “Serpent wood” “Indian Snake Root”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “เข็มแดง ย่อมตีนหมา” ภาคใต้เรียกว่า “กะย่อม ระย่อมน้อย” จังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า “ละย่อม” จังหวัดกระบี่เรียกว่า “ปลายข้าวสาร” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “กอเหม่” ชาวกะเหรี่ยงกาญจนบุรีเรียกว่า “คลาน ตูมคลาน มะโอ่งที สะมออู” จีนกลางเรียกว่า “เสอเกินมุ อิ้นตู้หลัวฟูมุ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)

ลักษณะของระย่อม

ระย่อม เป็นไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็ก ผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง แล้วจะผลิใบใหม่ในช่วงฤดูฝน
ลำต้น : ลำต้นมักคดงอ เปลือกลำต้นเป็นสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเทา มียางสีขาว รากใต้ดินแตกสาขามาก มีรอยแผลใบอยู่ตามลำต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกันหนาแน่นที่ปลายยอด หรือออกเรียงรอบข้อ ข้อละ 3 – 4 ใบ ใบเรียงคู่จะมีน้อย ลักษณะของใบเป็นรูปวงรีหรือรูปวงรีแกมรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา สีเขียวเข้มเป็นมัน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ลักษณะคล้ายดอกเข็ม โดยจะออกที่ปลายยอด มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกเป็นสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวสีชมพูเข้มหรือสีแดง เมื่อดอกโรยจะเปลี่ยนเป็นสีแดง กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ สีขาวแกมเขียว ก้านดอกเป็นสีแดง มักจะออกดอกในช่วงต้นฤดูหนาว
ผล : เมื่อดอกร่วงโรยไปก็จะติดผล ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือรูปทรงวงรี บางครั้งติดกันเป็นผลแฝดตรงโคนด้านใน ผิวผลเรียบเป็นมันและฉ่ำน้ำ ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเข้มหรือสีดำ ในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณของระย่อม

  • สรรพคุณจากราก ออกฤทธิ์ต่อตับและหัวใจ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงประสาท ช่วยฟอกเลือด ทำให้เลือดเย็น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยแก้อาการปวดศีรษะเนื่องจากความดันโลหิตสูง เป็นยากล่อมประสาท ช่วยทำให้จิตใจสงบ แก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยให้นอนหลับ แก้อาการบ้าคลั่ง แก้คลุ้มคลั่งเนื่องจากดีกำเริบและโลหิต เป็นยาขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้พิษกาฬ แก้บ้าเพื่อดีและโลหิต เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้หวัดตัวร้อนที่ทำให้มีอาการปวดหัว เป็นยาแก้ไข้ชัก แก้โรคเด็กเป็นซางชัก ช่วยแก้หืด แก้ลมอัมพฤกษ์ ช่วยแก้อาการจุกเสียด เป็นยาแก้บิด แก้ท้องเดิน แก้ท้องเสีย เป็นยาระบายอ่อน ๆ เป็นยาขับพยาธิ ขับพยาธิในเด็ก ขับพยาธิไส้เดือนกลมของเด็ก ช่วยขับปัสสาวะ เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เป็นยาขับระดูของสตรี ช่วยบำรุงความกำหนัด แก้พิษงู แก้แมลงกัดต่อย รักษาโรคผิวหนังผดผื่นคัน ช่วยระงับอาการปวด ช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี
    – เป็นยาลดความดันโลหิต ด้วยการนำรากแห้งขนาด 200 มิลลิกรัม มาป่นให้เป็นผงคลุกกับน้ำผึ้งทำเป็นยาเม็ดทานติดต่อกัน 1 – 3 อาทิตย์
    – แก้ไข้ป่า แก้ไข้มาลาเรีย แก้ไทฟอยด์ ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – ช่วยย่อยอาหาร ด้วยการนำรากมาบดให้เป็นผงปั้นเป็นเม็ดหรือคั่วให้กรอบ แล้วนำมาชงหรือต้มกินเป็นยา
    – เป็นยารักษาหิด ด้วยการนำรากสด 2 – 3 ราก มาตำให้ละเอียด แล้วเติมน้ำพืชให้พอแฉะ ใช้เป็นยาทาวันละ 2 – 3 ครั้ง จนกว่าจะหาย
  • สรรพคุณจากกระพี้ เป็นยาบำรุงโลหิต ทำให้โลหิตเป็นปกติ ช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ
  • สรรพคุณจากต้น เป็นยาแก้ไข้อันทำให้หนาว
  • สรรพคุณจากไส้ เป็นยาแก้ไข้เฉียบพลัน
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาแก้ไข้พิษ แก้ไข้สันนิบาต
  • สรรพคุณจากน้ำจากใบ เป็นยารักษาโรคแก้วตามัว
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาแก้ตาแดง แก้โรคอันเกิดแต่จักษุ

ประโยชน์ของระย่อม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ดอกอ่อน และผลอ่อน นำมาปรุงเป็นอาหารได้ เช่น แกงเลียง แกงส้ม
2. เป็นยา รากใช้เป็นยาถ่ายพยาธิในม้า บางที่ใช้รากเป็นยาเบื่อสุนัข สกัดเป็นยาแก้ความดันโลหิตสูง ในอินเดียจะบดรากเตรียมเป็นยาเม็ด ทางยุโรปและอเมริกาจะเตรียมสารสกัดระย่อมทำเป็นยาฉีดลดความดันโลหิตและกล่อมประสาทได้

ข้อควรระวังของระย่อม

1. สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้
2. ระย่อมมีพิษเล็กน้อย จึงไม่ควรทานมากกว่าปริมาณที่กำหนด และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจเกิดอาการความดันต่ำและเป็นพิษต่อร่างกายได้
3. หากมีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น หรือมีอาการผิดปกติ ให้หยุดใช้ยาทันที

ระย่อม มีส่วนของรากอุดมไปด้วยสรรพคุณ รากมีรสขม เป็นยาเย็น แต่มีพิษเล็กน้อยจึงควรใช้อย่างระมัดระวัง นิยมนำรากมาสกัดเพื่อใช้เป็นยาแก้ความดันโลหิตสูง ระย่อมมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ความดันโลหิตสูง ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยบำรุงประสาท ช่วยให้นอนหลับ แก้อาการบ้าคลั่ง แก้ไข้ตัวร้อน แก้บิด ขับพยาธิและช่วยขับปัสสาวะได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ระย่อม (Ra Yom)”. หน้า 257.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “ระย่อม”. หน้า 169.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ระย่อมน้อย Rauwolfia”. หน้า 177.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ระย่อม”. หน้า 672-673.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ระย่อม”. หน้า 135-136.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ระย่อมน้อย”. หน้า 474.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ระย่อม”. อ้างอิงใน : หนังสือพืชสมุนไพร เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [28 ต.ค. 2014].
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ระย่อมน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [28 ต.ค. 2014].
ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “ระย่อมน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : area-based.lpru.ac.th/veg/. [28 ต.ค. 2014].
ไทยเกษตรศาสตร์. “ประโยชน์ของระย่อมน้อย”. อ้างอิงใน : ศาสตราจารย์พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [28 ต.ค. 2014].
ไทยเกษตรศาสตร์. “ระย่อม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [28 ต.ค. 2014].
สมุนไพรในร้านยาโบราณ. “ระย่อม”. อ้างอิงใน : pharmacy.msu.ac.th. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.infoforthai.com. [28 ต.ค. 2014].
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ย่อมตีนหมา”. หน้า 666-656.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.quintadosouriques.com/es/store/semillas/arbusto/rauvolfia-root-rauwolfia-sarpagandha-schlangenwurz-serpentine-wood/

รากสามสิบ รากรสเฝื่อนเย็น มากสรรพคุณ ดีต่ออวัยวะภายในของสตรี

0
รากสามสิบ รากรสเฝื่อนเย็น อุดมไปด้วยสรรพคุณ ดีต่ออวัยวะภายในของสตรี เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพันต้นไม้อื่นด้วยหนาม มีเหง้าและรากอยู่ใต้ดิน ดอกเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอมขนาดเล็กคล้ายหางกระรอก

รากสามสิบ

รากสามสิบ

รากสามสิบ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพันต้นไม้อื่นด้วยหนาม มีเหง้าและรากอยู่ใต้ดิน มีส่วนของดอกออกรอบข้อเป็นฝอยขนาดเล็กคล้ายหางกระรอก ทำให้ดูโดดเด่น ดอกเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอม มีรากรสเฝื่อนเย็น ผลมีรสเย็น อยู่ในตำรายาไทย ประเทศอินเดียและตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี ผลอ่อนนิยมทำเป็นแกงลูกสามสิบ สามารถนำทั้งต้นมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมาก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของรากสามสิบ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asparagus racemosus Willd.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Shatavari”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “จ๋วงเครือ” จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “สามร้อยราก” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ผักหนาม” จังหวัดหนองคายเรียกว่า “ผักชีช้าง” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เตอสีเบาะ” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “พอควายเมะ” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ชีช้าง ผักชีช้าง จั่นดิน ม้าสามต๋อน สามสิบ ว่านรากสามสิบ ว่านสามสิบ ว่านสามร้อยราก สามร้อยผัว สาวร้อยผัว ศตาวรี”
ชื่อวงศ์ : วงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE)
ชื่อพ้อง : Protasparagus racemosus (Willd.) Oberm.

ลักษณะของรากสามสิบ

รากสามสิบ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพันต้นไม้อื่นด้วยหนาม สามารถเลื้อยปีนป่ายต้นไม้อื่น มักจะพบขึ้นตามป่าในเขตร้อนชื้น ป่าเขตร้อนแห้งแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าโปร่งหรือตามเขาหินปูน
ลำต้น : แตกแขนงเป็นเถาห่าง ๆ ลำต้นเป็นสีเขียวหรือสีขาวแกมเหลือง เถามีขนาดเล็กเรียว กลม เรียบ ลื่นและเป็นมัน เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม หนามมีลักษณะโค้งกลับ บริเวณข้อมีกิ่งแตกแขนงแบบรอบข้อ กิ่งนี้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวลักษณะแบนเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม ทำหน้าที่แทนใบ
เหง้าและราก : มีเหง้าและรากอยู่ใต้ดิน ออกเป็นกระจุกคล้ายกระสวย ลักษณะของรากออกเป็นพวงคล้ายรากกระชาย มีลักษณะอวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว และมีขนาดโตกว่าเถามาก
ใบ : เป็นใบเดี่ยวลักษณะแข็ง ออกรอบข้อเป็นฝอยเล็กคล้ายหางกระรอก หรือออกเรียงสลับเป็นกระจุก 3 – 4 ใบ ใบเป็นสีเขียวดก ลักษณะของใบเป็นรูปเข็มขนาดเล็ก ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม แผ่นมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน มีหนามที่ซอกกระจุกใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะ โดยจะออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบและข้อเถา ดอกย่อยมีขนาดเล็ก เป็นสีขาวและมีกลิ่นหอม มีประมาณ 12 – 17 ดอก กลีบรวม 6 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบมน ขอบเรียบ กลีบดอกมีลักษณะบางและย่น โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปดอกเข็ม มักจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปทรงค่อนข้างกลม หรือเป็น 3 พู ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีม่วงแดง ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2 – 6 เมล็ด เมล็ดเป็นสีดำ เปลือกหุ้มมีลักษณะแข็งแต่เปราะ มักจะออกผลในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณของรากสามสิบ

  • สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุงกำลัง เป็นยาชูกำลัง เป็นยาแก้กระษัย เป็นยากระตุ้นประสาท ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาแก้พิษร้อนในกระหายน้ำ ช่วยขับเสมหะ แก้การติดเชื้อที่หลอดลม รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้อาการอาหารไม่ย่อย รักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาโรคกระเพาะ แก้ขัดเบา ขับปัสสาวะ ช่วยหล่อลื่นและกระตุ้น ช่วยรักษาอาการประจำเดือนผิดปกติของสตรี เป็นยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิง แก้ตกขาว แก้มีบุตรยาก แก้หมดอารมณ์ทางเพศ ช่วยบำรุงครรภ์ บำรุงน้ำนม ป้องกันการแท้ง เป็นยาบำรุงตับและปอดให้เกิดกำลังเป็นปกติ แก้ตับและปอดพิการ ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง แก้อาการปวดเมื่อย แก้ครั่นตัว ช่วยแก้อาการปวดข้อและคอ เป็นยาบำรุงเด็กทารกในครรภ์ บำรุงน้ำนม บำรุงร่างกายหลังการคลอดบุตรของสตรี แก้โรคผอมแห้ง แก้หอบหืด แก้ปิดตะ แก้โรคลม แก้ไข้กำเดา แก้โรคที่มีอาการเสียดแทงในลำไส้ใหญ่ ช่วยสร้างสมดุลให้แก่ระบบฮอร์โมนเพศหญิง แก้วัยทอง เพิ่มขนาดหน้าอกและสะโพก ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดอักเสบ ดับกลิ่นในช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยกระชับสัดส่วน ลดไขมันส่วนเกิน บำรุงโลหิต บำรุงผิวพรรณ ลดสิว ลดฝ้า ทำให้ผิวขาวใส ช่วยชะลอความแก่ชรา ลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก ช่วยเสริมสร้างและพัฒนาความจำและสติปัญญา
    – แก้วิงเวียน ด้วยการนำรากผสมกับเหง้าขิงป่าและต้นจันทน์แดง ผสมกับเหล้าโรงใช้เป็นยา
    – ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด รักษาโรคคอพอก แก้ไอ ช่วยขับลม ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร แก้อาการท้องเสีย แก้บิด แก้ริดสีดวงทวาร แก้ตกเลือด ด้วยการนำรากต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้พิษจากแมงป่องกัดต่อย แก้อาการปวดฝี ทำให้เย็น ช่วยถอนพิษฝี แก้พิษปวดแสบปวดร้อน ด้วยการนำรากใช้ฝนทา
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – รักษาโรคคอพอก แก้ตกเลือด ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากผล เป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับไข้ซ้ำ เป็นยาดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาระบาย ช่วยขับน้ำนม ช่วยทำให้เจริญอาหาร

ประโยชน์ของรากสามสิบ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลอ่อนนำมาทานได้ โดยนำมาทำเป็นแกงลูกสามสิบ รากนำมาต้ม เชื่อม หรือนำมาแช่อิ่ม ใช้รับประทานเป็นอาหาร ทำเป็นน้ำรากสามสิบ ทางภาคอีสานนำยอดมาลวกทานเป็นผักเคียง ทางภาคใต้นำส่วนที่อยู่เหนือดินมาใส่ในแกงส้มและแกงเลียง แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมรากสามสิบ
2. เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รากนำมาทุบหรือขูดกับน้ำ ทำเป็นน้ำสบู่สำหรับซักเสื้อผ้าได้
3. ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป

ข้อควรระวังในการใช้รากสามสิบ

รากสามสิบจะมีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นจึงห้ามนำมาใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง

รากสามสิบ ถือเป็นสุดยอดของยาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมอย่างมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในอินเดีย เป็นยาพื้นบ้านในตำรามากมายจนนับไม่ถ้วน รากสามสิบมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงกำลัง กระตุ้นประสาท ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคคอพอก เป็นยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิง บำรุงตับและปอด ดีอย่างมากต่อระบบอวัยวะของผู้หญิงทั้งมดลูกและน้ำนม

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “สามสิบ (Sam Sip)”. หน้า 298.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “รากสามสิบ” หน้า 157.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “รากสามสิบ”. หน้า 176/13.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “รากสามสิบ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [09 ต.ค. 2014].
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “สามสิบ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [09 ต.ค. 2014].
ว่านและสมุนไพรไทย, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร. “ว่านสามสิบ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.skc.rmuti.ac.th/WAN/. [09 ต.ค. 2014].
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ผักชีช้าง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : th.wikipedia.org/wiki/ผักชีช้าง. [09 ต.ค. 2014].
รายงานการศึกษาพันธุ์ไม้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2553, ส่วนจัดการป่าชุมชน สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (สุราษฎร์ธานี) กรมป่าไม้. “สามสิบ Asparagus racemosus willd. ASPARAGACEAE”.
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “รากสามสิบ”., “ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของรากสามสิบในการยับยั้งการย่อย การดูดซึมคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มการทำงานของอินซูลิน“. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/. [09 ต.ค. 2014].
หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 465, วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552. (ไพบูลย์ แพงเงิน). “สาวร้อยผัว…ผักพื้นบ้านและสมุนไพรที่น่าสนใจ”.
กระปุกดอทคอม. (เภสัชกรหญิง สุภาภรณ์ ปิติพร). “สาวร้อยผัว เคล็ดลับความงามสองพันปี”. เข้าถึงได้จาก : hilight.kapook.com. [09 ต.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.saraswatiayurveda.com/blog/2019/9/8/shatavari
2.https://www.iafaforallergy.com/herbs-a-to-z/satavari-asparagus-racemosus/

หวดหม่อน ยาสมุนไพรของชาวเขา ดีต่อระบบเลือดลมในร่างกาย

0
หวดหม่อน
หวดหม่อน ยาสมุนไพรของชาวเขา ดีต่อระบบเลือดลมในร่างกาย เป็นไม้พุ่มสูง พบตามป่าดงดิบและป่าละเมาะ ยอดอ่อนและใบอ่อนสามารถเป็นส่วนประกอบของอาหารได้

หวดหม่อน

หวดหม่อน

หวดหม่อน เป็นพืชในวงศ์ส้มที่เป็นไม้พุ่มสูง พบตามป่าดงดิบและป่าละเมาะ ในหมู่ชาวเขานิยมนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ได้แก่ ชาวไทใหญ่ ชาวเขาเผ่าอีก้อ แม้ว มูเซอ ลีซอ ชาวม้ง ชาวกะเหรี่ยง ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี และตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดมุกดาหาร ต้นมีรสหอมร้อน ดอกมีรสร้อน เปลือกต้นมีกลิ่นหอมและรสร้อน ผลมีรสเปรี้ยวร้อน ค่อนข้างที่จะเป็นยาร้อนต่อร่างกาย ทำให้ดีต่อระบบเลือดลมเป็นอย่างมาก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหวดหม่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clausena excavata Burm.f.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “สีสม หมอน้อย หวดหม่อน” ภาคเหนือเรียกว่า “เพี้ยฟาน หญ้าสาบฮิ้น หมี่” ภาคอีสานเรียกว่า “หัสคุณเทศ สมัดน้อย สมัดขาว” ภาคใต้เรียกว่า “มะหลุย” จังหวัดเพชรบูรณ์เรียกว่า “สมัดใหญ่ สมัดใบใหญ่ หัสคุณโคก” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ขี้ผึ้ง แสนโศก” จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “ยม รุ้ย” จังหวัดจันทบุรีเรียกว่า “สามโสก” จังหวัดสระบุรีเรียกว่า “หัสคุณ อ้อยช้าง” จังหวัดอุบลราชธานีเรียกว่า “ชะมัด” จังหวัดชลบุรีเรียกว่า “สามเสือ” จังหวัดยะลาเรียกว่า “สำรุย” ชาวเขมรเรียกว่า “กันโทร๊ก” ชาวม้งเรียกว่า “เต็งละ” ชาวขมุเรียกว่า “ระยอลร์” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เส่เนอซี” คนเมืองเรียกว่า “ขี้ฮอก เพี้ยฟาน เหมือดหม่น เฮือดหม่อน” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “มุ่น ไม้หมี สามโซก หมุยขาว หมุยหอม หอมพาน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ส้ม (RUTACEAE)

ลักษณะของหวดหม่อน

ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านมากแบบไม่เป็นระเบียบ ตามกิ่งก้านมีขนสั้นที่บริเวณปลายกิ่ง
เปลือกต้น : เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวเรียบ
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกเรียงสลับกัน มีใบย่อยประมาณ 15 – 30 ใบ ปลายช่อเป็นใบเดี่ยว ก้านใบย่อยเป็นสีเขียว ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน รูปเคียว รูปไข่ รูปวงรี หรือรูปใบหอก เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบแหลม โคนใบเบี้ยวด้านหนึ่งสอบเป็นรูปลิ่ม อีกด้านโค้งมน ขอบใบเรียบหรืออาจมีซี่จักเล็กน้อย ใบมีขนนุ่มสีน้ำตาล
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนง มักจะออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก วงกลีบเลี้ยงมีขนาดเล็กมาก กลีบดอกมี 4 – 5 กลีบ เป็นรูปไข่แกมขอบขนาน มีสีขาวแกมเหลือง หรือสีขาวปนเขียว ดอกมีเกสรเพศผู้ 8 อัน มักจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน
ผล : เป็นผลสดรูปกระสวย เป็นรูปกลม รูปวงรี หรือรูปไข่ยาว ขนาดเล็ก ผิวผลใสฉ่ำน้ำ ผิวเกลี้ยงหรืออาจมีขนละเอียดบาง ผลอ่อนเป็นสีเขียวปนเหลือง ผลแก่เป็นสีส้มอมชมพูหรือสีแดง ภายในผลมีเมล็ดมาก

สรรพคุณของหวดหม่อน

  • สรรพคุณ เป็นยาแก้ผอมแห้ง แก้หืดไอ ขับลมในท้อง แก้ริดสีดวง ช่วยขับเลือดและหนองให้ตก
  • สรรพคุณจากราก แก้ไข้ ช่วยกระจายเลือดลม แก้แน่น เป็นยาขับพยาธิ รักษาริดสีดวง ช่วยขับเลือดและหนองให้ตก เป็นยาพอกแผล แก้โรคผิวหนัง แก้คุดทะราด
    – บำรุงกำลัง โดยชาวไทใหญ่นำรากมาต้มกินเป็นยา
    – แก้โรคงูสวัด โดยตำรับยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีนำรากมาฝนกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้พิษงู ด้วยการนำรากและเหง้ามาบดผสมกับแอลกอฮอล์เล็กน้อย ใช้ปิดตรงบริเวณที่ถูกงูกัด
  • สรรพคุณจากใบ แก้ไข้ รมแก้ริดสีดวงจมูก ช่วยแก้หืดไอ เป็นยาแก้ลมอันผูกเป็นก้อนให้กระจาย ช่วยกระจายเลือดลมให้เดินสะดวก ช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์อัมพาต แก้ขัดยอก แก้เสียดแทง
    – รักษาไข้มาลาเรีย รักษาวัณโรค เป็นยาแก้พิษ โดยชาวเขาเผ่าอีก้อ แม้ว มูเซอ และลีซอ นำใบมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้ไข้มาลาเรีย โดยชาวม้งนำใบมาตำและผสมกับใบของสมุนไพรอื่น เช่น ส้มโอ เครือเขาดำ ท้อ แล้วนำผ้ารัดที่ข้อมือด้านหนึ่งและข้อเท้าอีกด้านหนึ่ง
    – รักษาแผลสด รักษาแผลถลอก ช่วยห้ามเลือด แก้อาการอักเสบบวมอันเกิดจากไฟ แก้ผื่นคัน ฆ่าหิด ฆ่าเหา แก้ข้อเคล็ด ด้วยการนำใบมาตำแล้วพอก
    – ช่วยแก้แผลเปื่อย แก้แผลอันเกิดจากอาการคันและเกา ช่วยแก้โรคผิวหนัง แก้อาการคัน ช่วยฆ่าเชื้อโรค ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำอาบ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาแก้ไอ
    – รักษาไข้มาลาเรีย รักษาวัณโรค เป็นยาแก้พิษ โดยชาวเขาเผ่าอีก้อ แม้ว มูเซอ และลีซอ นำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้อาการวิงเวียนศีรษะ โดยชาวกะเหรี่ยงนำทั้งต้นมาต้มอาบ
    – แก้อาการปวดฟัน โดยตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำกลั้วปาก
    – แก้ผื่นคัน โดยคนเมืองนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำอาบ
  • สรรพคุณจากลำต้นและใบ แก้พิษ
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น รมแก้ริดสีดวงจมูก เป็นยาแก้โลหิตในลำคอและลำไส้ให้กระจาย
  • สรรพคุณจากกิ่งและใบ
    – แก้ไข้ยามไม่สบายหลังจากคลอดลูก โดยชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน นำกิ่งและใบมาต้มกับน้ำอาบหรือใช้อบตัว
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้เสมหะให้ตก
  • สรรพคุณจากกระพี้และแก่น เป็นยาแก้โลหิตในลำไส้ เป็นยาช่วยขับลมภายใน เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน
  • สรรพคุณจากยอดอ่อน เป็นยาแก้อาการท้องผูก
  • สรรพคุณจากผล เป็นยาฆ่าพยาธิอันบังเกิดแต่ไส้ด้วนและไส้ลาม เป็นยาถ่าย

ประโยชน์ของหวดหม่อน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและใบอ่อนทานร่วมกับขนมจีน น้ำพริก ลาบ แกงหน่อไม้
2. ใช้ในการเกษตร ลำต้นและใบนำมาเผารมควันตามเล้าไก่เพื่อกำจัดไรไก่ ใบไปใส่ไว้ในรังไข่จะช่วยไล่ไรไก่ ชาวเขาเผ่าลีซอจะใช้ใบนำมาต้มกับน้ำอาบให้ไก่เพื่อกำจัดไรไก่
3. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร เป็นส่วนประกอบของสมุนไพร “สันโศก”

หวดหม่อน เป็นต้นที่นิยมนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างแพร่หลายมาก โดยเฉพาะชาวเขา อีกทั้งยังมีการนำมาทำเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งต้นคาดว่าน่าจะเป็นยาร้อน มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบและทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ริดสีดวง ช่วยกระจายเลือดลม เป็นยาพอกแผล ช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์อัมพาต และแก้ไข้ได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หวดหม่อน”. หน้า 71.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “สมัดใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [26 ก.ย. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Clausena excavata Burm.f.”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [26 ก.ย. 2014].
ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “สันโศก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/poisonpr/. [26 ก.ย. 2014].
ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “มุ่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : area-based.lpru.ac.th/veg/. [26 ก.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “สันโสก, เพี้ยฟาน”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [26 ก.ย. 2014].
มูลนิธิชีววิถี. “วิจัยสมุนไพรสันโศก ห่วงสิทธิบัตร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.biothai.net. [26 ก.ย. 2014].
รองศาสตราจารย์ ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์ และคณะ หน่วยปฏิบัติการวิจัยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ และเคมีอินทรีย์สังเคราะห์ ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
1.https://www.picturethisai.com/es/wiki/Clausena.html
2.https://www.inaturalist.org/taxa/345598-Clausena-excavata

ผักตบชวา พืชน้ำแห่งระบบนิเวศ แก้พิษ ขับลม ดับร้อนในร่างกายได้

0
ผักตบชวา
ผักตบชวา พืชน้ำแห่งระบบนิเวศ แก้พิษ ขับลม ดับร้อนในร่างกายได้ ซึ่งพืชไม้น้ำชนิดที่พบได้ทั่วไปในแม่น้ำเจ้าพระยา มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการ

ผักตบชวา

ผักตบชวา

ผักตบชวา เป็นพรรณไม้น้ำที่คนไทยรู้จักกันอย่างแพร่หลาย มักจะพบได้ทั่วไปในแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าต้นไม้น้ำชนิดนี้ ทว่าแต่เดิมนั้นผักชนิดนี้ไม่ได้กำเนิดขึ้นที่ไทย มีการนำเข้ามาปลูกครั้งแรกไว้ที่วังสระปทุมในกรุงเทพมหานครเมื่อปี พ.ศ.2444 หลังจากนั้นก็เกิดการแพร่หลายกระจายไปทั่ว แต่พืชไม้น้ำชนิดนี้ก็มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักตบชวา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eichhornia crassipes (Mart.) Solms
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Water Hyacinth” “Floating water hyacinth” “Java Weed”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักตบป่อง สวะ” ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “ผักตบ” จังหวัดเชียงรายเรียกว่า “บัวลอย” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ผักปง” จังหวัดอ่างทองเรียกว่า “ผักปอด” จังหวัดสุพรรณบุรีเรียกว่า “ผักป่อง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักตบ (PONTEDERIACEAE)
ชื่อพ้อง : Eichhornia speciosa Kunth

ลักษณะของผักตบชวา

ผักตบชวา เป็นพรรณไม้น้ำที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ สามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว พบได้ทั่วไปตามริมน้ำ
ลำต้น : ลำต้นสั้นอวบน้ำ แตกใบเป็นกอลอยไปตามน้ำ มีไหล ผิวลำต้นเรียบเป็นสีเขียวอ่อนและเข้ม จะมีขนาดสั้นหรือยาวจะขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำ ภายในมีลักษณะเป็นรูพรุน จึงช่วยพยุงลำต้นให้ลอยน้ำได้
ราก : รากจะแตกออกจากลำต้น บริเวณข้อ รากมักจะมีสีม่วงดำ
ใบ : เป็นใบเดี่ยว แตกจากลำต้นเป็นกอ โคนก้านใบแผ่เป็นกาบหุ้ม ใบจะป่องออก เพื่อช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ ใบเป็นรูปไข่หรือเกือบกลม ก้านใบอวบน้ำตรงกลาง ภายในเป็นช่องอากาศคล้ายกับฟองน้ำ ใบมีขนาดกว้างใหญ่ รูปร่างค่อนข้างกลม ปลายใบมน โคนใบเว้าเข้าหาก้านใบ มีหูใบ ขนาดของใบและความยาวของก้านจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม แผ่นใบเป็นสีเขียวสด ใบสดจะประกอบไปด้วยสารแคโรทีนในปริมาณที่ค่อนข้างสูง
ดอก : ออกดอกเป็นช่ออยู่กลางกอ ช่อหนึ่งมีดอกขนาดเล็กประมาณ 3 – 25 ดอก ดอกย่อยเป็นสีชมพูอมฟ้าหรือสีม่วง กลีบดอก 6 กลีบ ลักษณะบาง จะเริ่มบานตั้งแต่แสงอาทิตย์เริ่มส่อง และจะบานเต็มที่เมื่อแสงแดดส่องแรง โดยดอกจะบานแค่เพียง 1 วัน มักจะออกดอกช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน ช่อดอกมีลักษณะคล้ายกับดอกไฮยาซินธ์ จึงมีชื่อสามัญว่า Water Hyacinth
ผล : ผลเป็นแบบแคปซูล แห้งและแตกได้ เป็นรูปทรงกระบอก แบ่งเป็น 3 พู เมื่อแก่จะแตกกลางพู
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกลมขนาดเล็ก

สรรพคุณของผักตบชวา

สรรพคุณจากผักตบชวา เป็นยาแก้พิษในร่างกาย ช่วยขับลม ตำพอกแก้แผลอักเสบ ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย

ประโยชน์ของผักตบชวา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกอ่อนนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกทาน หรือนำมาทำแกงส้ม
2. ใช้ในการเกษตร นำมาเลี้ยงสุกร เลี้ยงไก่ แต่ควรเลือกผักตบชวาจากแหล่งน้ำที่ปลอดสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลงหรือโลหะหนักเท่านั้น ทำปุ๋ยหมักสำหรับการปลูกพืชผักต่าง ๆ นำมาใช้คลุมต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ให้เกิดความชุ่มชื้นได้ นำมาตากแห้งใช้เพาะเห็ดฟางเพื่อสร้างรายได้ ช่วยบำบัดน้ำเสียได้โดยตรง ช่วยทำให้น้ำสะอาดขึ้น ช่วยสะสมพลังงานจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศบริสุทธิ์และเย็นสบาย ช่วยลดปัญหาที่เกิดจากวัชพืชใต้น้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำ
3. ใช้ทำเชื้อเพลิง นำผักตบชวาแห้งทั้งต้นมาทำเป็นแอลกอฮอล์ และ gas แต่ผลไม่ค่อยน่าพอใจมากนัก ทำเป็นเชื้อเพลิงแท่งโดยการนำมาผสมกับแกลบอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิง
4. เป็นผลิตภัณฑ์ แปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์จักสานหรือสินค้าอื่น ๆ เช่น กล่อง กล่องใส่กระดาษทิชชู ตะกร้า กระเป๋า เก้าอี้ เปลญวน รองเท้าแตะ ถาดรองผลไม้ ถาดรองแก้วน้ำ แจกันสาน เสื่อ กระดาษ เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทานได้ของผักตบชวา

คุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทานได้ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 30 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
น้ำ 89.8%
โปรตีน 0.5 กรัม 
ไขมัน 0.1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 7.5 กรัม 
ใยอาหาร 2.4 กรัม

ผักตบชวา ต้นมีรสจืด เป็นพืชน้ำที่กระจายได้อย่างรวดเร็ว มักจะพบในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นพืชที่มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และยังมีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ ผักตบชวามีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยแก้พิษ ช่วยขับลม แก้แผลอักเสบ และช่วยระบายความร้อนในร่างกายได้ เป็นพืชที่พบเห็นบ่อยในประเทศไทย แต่ทว่าน้ำในประเทศเรานั้นมักจะมีสารพิษปนเปื้อน จึงไม่น่าเป็นผลดีมากนัก หากจะลงไปเก็บแล้วนำมารับประทาน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ผักตบชวา”. หน้า 490-491.
“ผักตบชวา Water hyacinth”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : webserv.kmitl.ac.th/notyBurin/arjarnsodpdf/P_central/PDF_01central/. [31 ส.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักตบชวา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [31 ส.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ผักตบชวา”. อ้างอิงใน : หนังสือพรรณไม้น้ำบึงบอระเพ็ด, หนังสือสยามไภษัชยพฤกษ์ ภูมิปัญญาของชาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [31 ส.ค. 2014].
ฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน. “ชีววิทยาของผักตบชวา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/om/om.htm. [31 ส.ค. 2014].
“การจัดการผักตบชวา”. (นางศุภฤกษ์ ดวงขวัญ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ).
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/