เล็บมือนาง ดอกสีสัน กลิ่นหอมแรง ดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย

0
เล็บมือนาง
เล็บมือนาง ดอกสีสัน กลิ่นหอมแรง ดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดกลาง เมล็ดรสชุ่ม เป็นยาร้อนแต่มีพิษเล็กน้อย

เล็บมือนาง

เล็บมือนาง

เล็บมือนาง เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดกลางที่พบในเอเชียเขตร้อน ส่วนของดอกมีสีสันสดใส และหลากหลาย ทำให้ต้นดูสวยสะดุดตา นอกจากนั้นยังมีกลิ่นหอมแรงอีกด้วย ส่วนของรากและใบมีรสเมาเบื่อ ส่วนของเมล็ดมีรสชุ่ม เป็นยาร้อน แต่มีพิษเล็กน้อย ส่วนของผลสุกมีรสหวานเล็กน้อย ต้นยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียจะนำใบอ่อนของเล็บมือนางมาทาน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเล็บมือนาง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Combretum indicum (L.) DeFilipps
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Rangoon Creeper” “Chinese honey Suckle” “Drunen sailor”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะจีมั่ง จ๊ามัง จะมั่ง” ภาคใต้เรียกว่า “นิ้วมือพระนารายณ์” จังหวัดอุตรดิตถ์เรียกว่า “อ้อยช้าง” จังหวัดชุมพรเรียกว่า “แสมแดง” จังหวัดสตูลเรียกว่า “เล็บนาว” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ไท้หม่อง” ชาวมลายูยะลาเรียกว่า “วะดอนิ่ง อะดอนิ่ง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “เล็บมือนางต้น”
ชื่อวงศ์ : วงศ์สมอ (COMBRETACEAE)
ชื่อพ้อง : Quisqualis indica L.

ลักษณะของเล็บมือนาง

เถา : เลื้อยพาดพันไปกับต้นไม้อื่น แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มหนาทึบ เถาอ่อนมีสีเขียว ลำต้นและเถาอ่อนมีขนสีเหลืองหรือสีน้ำตาลอมเทาปกคลุมอยู่ ต้นแก่ผิวเกลี้ยง เถาแก่เปลือกเป็นสีน้ำตาลปนแดง เปลือกค่อนข้างเรียบ หรือมีหนามเล็กน้อย
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปมนแกมขอบขนาน หรือเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลมหรือมน มีติ่งแหลม โคนใบจักเว้าเข้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น แผ่นใบเป็นสีเขียว เนื้อบาง ท้องใบมีขนปกคลุมจำนวนมาก ใบอ่อนเป็นสีเขียวอมแดง เนื้อใบค่อนข้างเหนียว
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ปลายกิ่งหรือยอดของลำต้น ช่อหนึ่งมีดอก 10 – 20 ดอก กลีบเลี้ยงเป็นหลอดยาวสีเขียว เชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก มี 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปทรงกระบอกยาว ปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีทั้งดอกลาและดอกซ้อน เมื่อเริ่มบานจะเป็นสีขาวหรือสีชมพูอ่อน ดอกบานเต็มที่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม ดอกย่อยจะค่อย ๆ บาน เมื่อใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ดอกมีกลิ่นหอมแรง โดยเฉพาะในตอนค่ำ มักจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน
ผล : เป็นผลแห้งและแข็ง เป็นรูปกระสวย มีสัน 5 สันตามยาว ผลสุกเป็นสีน้ำตาลอมสีดำ ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณของเล็บมือนาง

  • สรรพคุณจากรากและใบ เป็นยาสุขุม ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้ตานซางในเด็ก แก้อาการสะอึก เป็นยาถ่ายพยาธิตัวกลมและพยาธิเส้นด้าย
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาร้อน เป็นยาบำรุงธาตุ แก้ตานซาง แก้ตานขโมยในเด็ก แก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้ไข้ ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นยาถ่าย แก้ท้องอืดเฟ้อ เป็นยาแก้อหิวาตกโรค ช่วยแก้ถ่ายปวดบิด แก้อาการปวดท้องเนื่องจากมีพยาธิอยู่ภายใน แก้อาการตกขาวของสตรี รักษาโรคผิวหนัง รักษาแผลฝี
    – ออกฤทธิ์ต่อม้าม กระเพาะ ลำไส้ เป็นยาถ่ายพยาธิ ขับพยาธิไส้เดือน ในเด็กให้ใช้ 2 – 3 เมล็ด ผู้ใหญ่ให้ใช้ 5 – 7 เมล็ด มาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำดื่ม หรือป่นให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นยาลูกกลอน
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ช่วยแก้ตานขโมยพุงโร แก้อาการไอ ช่วยขับพยาธิและตานซาง
  • สรรพคุณจากราก แก้อาการไอ เป็นยาระบาย เป็นยาถ่ายพยาธิ ขับพยาธิไส้เดือน แก้อุจจาระเป็นฟองและเหม็นคาวในเด็ก
    – แก้ตานขโมย แก้เด็กเป็นซาง แก้ซางแห้ง แก้ธาตุวิปริต แก้อุจจาระพิการ แก้ตับทรุด ทำให้เจริญอาหาร ด้วยการนำรากผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • สรรพคุณจากใบ แก้ไข้ แก้อาการไอ แก้ท้องอืดเฟ้อ
    – แก้ตัวร้อน แก้อาการปวดศีรษะ เป็นยาถอนพิษ แก้สารพัด แก้กาฬ แก้พิษสำแดงของแสลง ด้วยการนำใบผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
    – แก้อาการปวดศีรษะ แก้บาดแผล เป็นยาสมาน แก้แผลฝี แก้อักเสบ ด้วยการนำใบตำแล้วพอก
  • สรรพคุณจากผล ทำให้สะอึก เป็นยาถ่ายพยาธิ ขับพยาธิไส้เดือน แก้อุจจาระเป็นฟองและเหม็นคาวในเด็ก ช่วยในการย่อยอาหาร
    – ช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อกะบังลม ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น ฆ่าพยาธิ ทำให้ม้ามแข็งแรง ด้วยการนำผลครั้งละ 9 – 12 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม หรือเนื้อผล 6 – 9 กรัม ทำเป็นยาลูกกลอนหรือยาผงทานครั้งเดียวหรือสองครั้ง
  • สรรพคุณจากดอก
    – แก้ท้องเสีย ด้วยการนำดอกแห้งต้มกับน้ำดื่มเป็นยา

ประโยชน์ของเล็บมือนาง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ในอินโดนีเซียนิยมนำใบอ่อนมาทาน โดนทานทั้งดิบและสุกด้วยการต้ม นึ่ง ลวก ใช้ทานร่วมกับน้ำพริก
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ประดับซุ้ม

คุณค่าทางโภชนาการของใบเล็บมือนาง

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 76 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
ความชื้น 76.4%
โปรตีน 4.8 กรัม
ไขมัน 0 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.1 กรัม 
ใยอาหาร 2 กรัม
วิตามินเอ 11,180 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินซี 70 มิลลิกรัม
แคลเซียม 104 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 97 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังของเล็บมือนาง

1. เมล็ดมีพิษ ห้ามทานในปริมาณที่มากเกินควร
2. ห้ามทานยานี้ควบคู่กับน้ำชาหรือชาร้อน เพราะจะลบฤทธิ์กัน

เล็บมือนาง เป็นพืชที่ชื่อแปลกประหลาด แต่ต้นไม่ได้มีลักษณะเด่นมากนัก นอกจากดอกที่มีสีสันและมีกลิ่นหอมแรง จึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับพวกซุ้มต่าง ๆ เป็นต้นที่นิยมทานกันในประเทศอินโดนีเซีย มีวิตามินเอค่อนข้างสูง เล็บมือนางมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเมล็ด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ทำให้เจริญอาหาร เป็นยาบำรุงธาตุ แก้ตานซาง แก้ไข้ เป็นยาถ่ายพยาธิ และแก้ตับทรุดได้ สรรพคุณค่อนข้างโดดเด่นในการรักษาระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง  
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เล็บมือนาง”. หน้า 701-703.
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “เล็บมือนาง (Lep Mue Nang)”. หน้า 271.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เล็บมือนาง Rangoon Creeper”. หน้า 175.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เล็บมือนาง”. หน้า 502.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เล็บมือนาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [31 พ.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “เล็บมือนาง” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [31 พ.ค. 2014].
ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “เล็บมือนาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [31 พ.ค. 2014].
สถาบันการแพทย์ไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้. “ไซ้กุงจื้อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: tcm.dtam.moph.go.th. [31 พ.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “เล็บมือนาง”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [31 พ.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

รูปอ้างอิง
https://conservatory.cals.cornell.edu/2017/06/26/featured-plant-combretum-indicum-syn-quisqualis-indica/
https://noonwalqalam.blogspot.com/2016/11/chines-honeysuckle-rangoon-creeper.html

มะคําดีควาย ช่วยแก้ไข้ แก้นอนไม่หลับ ช่วยบำรุงน้ำดี แก้โรคผิวหนัง

0
มะคําดีควาย
มะคําดีควาย ช่วยแก้ไข้ แก้นอนไม่หลับ ช่วยบำรุงน้ำดี แก้โรคผิวหนัง เปลือกผลแก่จะสีน้ำตาลเข้ม เปลือกต้นและรากมีรสเฝื่อนขม ดอกมีรสเฝื่อนเมา

มะคําดีควาย

มะคําดีควาย

มะคําดีควาย หรือ ประคำดีควาย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่เปลือกผลเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เปลือกต้นและรากมีรสเฝื่อนขม ดอกมีรสเฝื่อนเมา ผลใช้ผสมกับสมุนไพรอื่นในตำรับยา เป็นสรรพคุณทางยาสมุนไพรของชาวกะเหรี่ยงใหม่ ชาวลัวะ นิยมนำใบมานึ่งรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก สามารถนำมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปแชมพูสระผมได้ ทว่ามะคําดีควายก็มีพิษอยู่ในตัว ดังนั้นก่อนนำมาใช้ต้องทำให้พิษหายไปเสียก่อน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะคำดีควายชนิดที่ 1

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sapindus rarak DC.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Soap Nut Tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ประคำดีควาย” ภาคเหนือเรียกว่า “มะซัก ส้มป่อยเทศ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ชะแซ ซะเหล่เด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)
ชื่อพ้อง : Dittelasma rarak (DC.) Benth. & Hook. f.

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะคำดีควายชนิดที่ 2

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sapindus trifoliatus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Soapberry Tree”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “ประคำดีควาย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)
ชื่อพ้อง : Sapindus emarginatus Vahl, Sapindus laurifolius Vahl

ลักษณะของมะคำดีควาย

มะคำดีควาย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มักพบขึ้นทั่วไปตามป่าเบญจพรรณชื้น ป่าดิบแล้งในทุกภาคของประเทศไทย
ลำต้น : เรือนยอดของต้นหนาทึบ ลำต้นมักคดงอ เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็นร่องลึกตามแนวยาว ยอดอ่อนและกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน ในช่อหนึ่งมีใบย่อยประมาณ 2 – 4 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปวงรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเป็นสีเขียว
ดอก : ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ โดยจะออกบริเวณปลายกิ่ง เป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ลักษณะของดอกเล็กสีขาวนวลหรือเป็นสีเหลืองอ่อน ในหนึ่งดอกมีกลีบรองดอกขนาดเล็กประมาณ 4 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน มีกลีบดอกประมาณ 5 กลีบ กลีบข้างนอกมีขนขนาดสั้นสีน้ำตาลปนแดงขึ้นอยู่ประปราย บริเวณกลางดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 10 ก้าน
ผล : ออกรวมกันเป็นพวง ผลย่อยมีลักษณะค่อนข้างกลม ผลสดมีสีเขียว ผิวผลเรียบหรืออาจมีรอยย่นที่ผลบ้าง เปลือกผลเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มีพู 3 พู เนื้อในผลมีลักษณะเหนียว ใส เป็นสีน้ำตาล และมีรสหวาน
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลมสีดำเป็นมัน มีเปลือกหุ้มแข็ง

สรรพคุณของมะคำดีควาย

  • สรรพคุณจากมะคำดีควาย ลดการอักเสบ ยับยั้งการเจริญของเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกลากและโรคผิวหนัง ทำให้เส้นผมสะอาด ช่วยลดอาการคันบนหนังศีรษะ ต้านเชื้อรา
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาแก้ฝีอักเสบ แก้ฝีหัวคว่ำ
    – แก้กระษัย แก้ไข้ แก้พิษไข้ แก้พิษร้อน ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มเอาน้ำทานเป็นยา
  • สรรพคุณจากผล รักษาโรคตัวร้อน แก้นอนไม่หลับ แก้นอนสะดุ้ง แก้ผวา แก้สลบ แก้สารพัดพิษ แก้สารพัดกาฬ แก้ไข้สารพัดไข้ทั้งปวง แก้ไข้จับเซื่องซึม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปากเปื่อย แก้ฝีเกลื้อน แก้พิษ แก้หัด แก้สุกใส ช่วยแก้หืดหอบ ช่วยบำรุงน้ำดี ช่วยแก้โรคผิวหนัง
    – รักษาชันนะตุบนศีรษะ แก้เชื้อรา แก้รังคาหรือโรคผิวหนังพุพองบนศีรษะเด็ก ด้วยการนำผล 4 – 5 ลูก มาแกะเอาแต่เนื้อ ต้มกับน้ำประมาณ 1 ถ้วย แล้วใช้น้ำทาบนศีรษะที่เป็นชันนะตุวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น จนกว่าจะหาย หรือใช้เนื้อ 1 ผล มาตีกับน้ำจนเกิดเป็นฟอง แล้วใช้สระผมวันละ 1 ครั้ง จนกว่าจะหาย แต่ต้องระวังอย่าให้เข้าตา
    – เป็นยาดับพิษทุกชนิด แก้พิษตานซาง แก้กาฬ แก้กาฬภายใน แก้ไข้เลือดออก แก้ไข้เซื่องซึม ด้วยการนำผลแห้งมาคั่วให้เกรียม
    – แก้หอบอันเนื่องมาจากปอดชื้นปอดบวม แก้ไข้ แก้จุดกาฬ แก้เสลด แก้สุมฝีที่เปื่อยพัง ด้วยการนำผลมาใช้ร่วมกับเมล็ดมะกอกสุมไฟทาน
    – ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้ร้อนในกระหายน้ำ ด้วยการนำผลมาสุมให้เป็นถ่านแล้วปรุงเป็นยา
    – แก้หวัด แก้คัดจมูก ด้วยการนำผลมาต้มเอาฟองใช้สุมหัวเด็ก
    – ช่วยรักษาผิวหนังพุพอง แก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการนำผล 10 – 15 ผล มาต้มกับน้ำพอประมาณ แล้วนำน้ำมาชะล้างหรือแช่บริเวณที่เป็นแผลประมาณ 5 นาที ทำทั้งเช้าและเย็น
    – รักษาผิว ด้วยการนำผลมาทุบให้แตกแล้วนำไปแช่กับน้ำ ใช้ล้างหน้า
  • สรรพคุณจากใบ แก้พิษกาฬ ดับพิษกาฬ ช่วยแก้ทุราวสา
    – แก้อาการท้องผูก ด้วยการนำใบอ่อนมาต้มกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้หืด แก้ไอ ช่วยรักษาโรคหลอดลมโป่งพองที่มีเสมหะแห้งอยู่ในช่องหลอดลม แก้ฝีในท้อง ช่วยแก้ริดสีดวง
  • สรรพคุณจากต้น ช่วยแก้ลมคลื่นเหียน
  • สรรพคุณจากเมล็ด ทำให้ท้องเสีย เป็นยาถ่ายพยาธิ
    – ช่วยแก้โรคผิวหนัง ด้วยการนำทั้งเมล็ดสดและแห้งมาตำให้ละเอียด ใช้เป็นยาพอกหรือเอามาละลายกับน้ำล้างแผล
  • สรรพคุณจากยอดอ่อน
    – แก้อาการถ่ายไม่ออก แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ โดยชาวลัวะนำยอดอ่อนมานึ่งทานเป็นยา
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาแก้พิษ แก้เม็ดผดผื่นคัน

ประโยชน์ของมะคำดีควาย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบนำมานึ่งทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก
2. ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ชาวบ้านตามชนบทนำผลมาใช้เป็นสารชะล้างแทนสบู่เพื่อชำระล้างร่างกาย สระผม หรือนำไปใช้ซักผ้า ทำความสะอาดเครื่องใช้ ด้วยการนำผลมาทุบแล้วจะเกิดฟองคล้ายสบู่
3. ใช้ทำเครื่องประดับ เมล็ดนำไปใช้ร้อยทำเป็นลูกประคำได้
4. ใช้ในการเกษตร ผลใช้ในการเบื่อปลา เป็นยาฆ่าแมลง ผลหรือลูกประคำดีควายที่สกัดเอาน้ำแล้วนำไปคลุกกับเหยื่อพิษ หรือใช้ฉีดพ่นต้นเพื่อช่วยกำจัดหอยเชอรี่

ข้อควรระวังของมะคำดีควาย

1. การรับประทานผลอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน มีอาการท้องร่วง ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้
2. หากผงซึ่งมีสารซาโปนินอยู่เข้าทางจมูก จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและทำให้จาม ถ้าหากเข้าเส้นเลือดจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
3. การใช้ในการสระผมต้องระวังอย่าให้เข้าตา เพราะจะทำให้แสบตา และตาอักเสบได้ ไม่ควรใช้ในปริมาณมากหรือใช้บ่อยจนเกินไป หากใช้แล้วต้องล้างออกให้หมด ไม่งั้นอาจทำให้ผมร่วงได้

มะคำดีควาย มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรได้จากทั้งต้น แต่ส่วนของผลนั้นมีพิษปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน เป็นต้นที่สามารถนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ โดยเฉพาะนำมาใช้ในการสระผม มะคำดีควายมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของผล มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ แก้นอนไม่หลับ ช่วยบำรุงน้ำดี ช่วยแก้โรคผิวหนัง ช่วยรักษาโรคหลอดลมโป่งพองที่มีเสมหะแห้งอยู่ในช่องหลอดลมได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ประคำดีควาย”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 445-446.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ประคําดีควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [18 เม.ย. 2014].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะคําดีควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [18 เม.ย. 2014].
ศาสตราจารย์พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ.
หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์. (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา).
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “มะคําดีควาย”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 218.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “มะคำดีควาย”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 151.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะคำดีควาย Soapberry”. หน้า 183.
หนังสือสมุนไพรสำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน. (ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ และศูนย์สมุนไพรทักษิณ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์). “มะคําดีควาย”.
ข่าวประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “อาจารย์ มมส เผยงานวิจัย… ใช้ประคำดีควายกำจัดหอยเชอรี่ได้ผล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.web.msu.ac.th/ssystem/msuhotnews/index.php. [18 เม.ย. 2014]
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง

The soap plant (Sapindus mukorossi). The soap nut tree


https://www.thaiaromatherapy.net/product/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2-soap-nut-extract/

ผักกาดน้ำ ยาชั้นยอดของตำรายาไทย ดีต่อเส้นเอ็น และระบบปัสสาวะ

0
ผักกาดน้ำ
ผักกาดน้ำ ยาชั้นยอดของตำรายาไทย ดีต่อเส้นเอ็น และระบบปัสสาวะ ใช้เป็นยาสมุนไพรได้ทั้งต้นและสามารถทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริกได้

ผักกาดน้ำ

ผักกาดน้ำ

ผักกาดน้ำ หรือเรียกกันอีกอย่างว่า “หญ้าเอ็นยืด” เป็นไม้ล้มลุกที่พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ เป็นต้นที่อยู่ในตำรับยาไทย หรือนำมาปรุงกับยาชนิดอื่น ส่วนของต้นและเมล็ดมีรสหวาน เป็นยาเย็นที่ส่งผลต่อตับและม้าม พบวิตามินบี1 วิตามินซีและวิตามินเค อยู่ภายในต้นผักกาดน้ำ ส่วนของใบนำมาใช้ทานในรูปแบบของผักสดจิ้มกับน้ำพริก อีกทั้งยังเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมายอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกาดน้ำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plantago major L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Common plantain” “Greater plantain” “Waybread”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “หมอน้อย” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “หญ้าเอ็นอืด” คนไทยเรียกว่า “ผักกาดน้ำ ผักกาดน้ำไทย ผักกาดน้ำใหญ่” คนจีนเรียกว่า “เชียจ่อยเช่า ตะปุกชี้ ยั้วเช่า ฮำผั่วเช่า เซียแต้เฉ้า” จีนกลางเรียกว่า “ต้าเชอเฉียนเฉ่า” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “หญ้าเอ็นยืด หญ้าเอ็นหยืด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เทียนเกล็ดหอย (PLANTAGINACEAE)

ลักษณะของผักกาดน้ำ

ผักกาดน้ำ เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่มีเนื้ออ่อนอายุหลายปี มักจะขึ้นตามทุ่งหญ้า พื้นที่โล่งแจ้งที่มีความชุ่มชื้น
ลำต้น : โคนต้นติดอยู่กับดิน มีรากสั้น มีการแตกแขนงเป็นฝอยมาก
ใบ : ใบจะแทงขึ้นมาจากใต้ดินคล้ายกับใบผักกาด เป็นใบเรียงสลับกัน โคนลำต้นมีกาบใบห่อหุ้มอยู่ แผ่นใบมีลักษณะหนาเป็นรูปไข่กลับและมีขนาดกว้าง โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่น มีเส้นใบตามยาวประมาณ 5 – 7 เส้น ลักษณะของใบจะคล้ายกับช้อนสังกะสีขนาดใหญ่ และใบจะแตกออกรอบบริเวณต้น เมื่อนำก้านใบมาหักแล้วค่อย ๆ ดึงออกจะเห็นเส้นเอ็นยืดออกมา
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ โดยช่อดอกจะชูขึ้นมาจากกลางกอ มีดอกย่อยขนาดเล็ก และแห้ง เป็นสีเขียวอ่อนหรือสีน้ำตาล ไม่มีก้านดอก
ผล : พบได้ในดอก เป็นผลแห้ง ลักษณะค่อนข้างกลม มีรูปร่างไม่แน่นอน ผลมีขนาดเล็กสีเขียวอมสีน้ำตาลหรือเป็นสีน้ำตาลจนถึงสีดำ เมื่อสุกแล้วจะแตกออก ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 8 – 15 เมล็ด หรืออาจมีมากถึง 15 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็ก

สรรพคุณของผักกาดน้ำ

  • สรรพคุณจากผักกาดน้ำ เป็นยารักษากระดูกหัก รักษากระดูกแตก ช่วยกำจัดพิษออกจากร่างกาย เป็นยาระบายอ่อน ๆ รักษาอาการไอและหลอดลมอักเสบจากการติดเชื้อ รักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร รักษาโรคลำไส้อักเสบ รักษาโรคผิวหนังอักเสบ เป็นสมุนไพรเพื่อการเลิกบุหรี่
    – แก้บิด ด้วยการนำมาต้มร่วมกับผักพลูคาว
  • สรรพคุณจากราก
    – แก้กระษัย แก้ไอ ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดหลัง แก้ปวดเอว แก้อาการช้ำใน ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากต้นและใบ
    – แก้ความดันโลหิตสูง ด้วยการนำต้นและใบมารวมกับพลูคาวอย่างละ 35 กรัม แล้วต้มกับน้ำกิน
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยทำให้ตาสว่าง เป็นยาแก้ร้อน ช่วยขับเสมหะ แก้อาการไอ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด
    – เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการนำเมล็ด 500 กรัมมาต้มกับน้ำ 3 ลิตร โดยต้มจนเหลือน้ำ 1 ลิตรแล้วนำมาแบ่งกิน 3 ครั้ง
  • สรรพคุณจากต้น ช่วยรักษาตาแดงเฉียบพลัน แก้ตาเป็นต้อ ช่วยแก้ไอหวัด แก้หลอดลมอักเสบ ช่วยขับน้ำชื้น แก้ท้องเสีย แก้ลำไส้อักเสบ ช่วยแก้ไตอักเสบ แก้บวมน้ำ แก้ขาบวมน้ำ
    – รักษาอาการอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ช่วยแก้อาการปวดตึงบริเวณคอ หลัง เอว แขนและขา แก้ฟกช้ำบวมจากการหกล้มกระทบกระแทก แก้ข้อเท้าแพลง ด้วยการนำต้นมาทุบให้น้ำออกแล้วนำไปพอกบริเวณที่มีอาการ
    – ช่วยทำให้เอ็นยืดและสมานกระดูกที่แตกและหัก ด้วยการนำน้ำมันมะพร้าวเทใส่กระทะพอประมาณ แล้วเอาหญ้าเอ็นยืดประมาณ 4 – 5 ต้น มาโขลกให้พอแหลก เอามาทอดเคี่ยวกับน้ำมัน แล้วทาบริเวณที่เส้นเอ็นตึง
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้ขอบตาเป็นเม็ดบวม ช่วยแก้ท้องร่วง ช่วยแก้ปัสสาวะแดง แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้ปัสสาวะขุ่น ช่วยแก้กามโรค แก้หนองใน รักษาแผลที่หายยาก ช่วยดับพิษฝี เป็นยาพอกรักษาอาการนิ้วซ้น แก้เคล็ดขัดยอก แก้เส้นเอ็นพลิก ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย ใช้พอกบริเวณที่เอ็นยึด เป็นยาประคบเพื่อคลายเส้น
    – แก้อาการร้อนใน แก้เจ็บคอ มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำตาลกรวด ใช้กินเป็นยา
    – เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ละลายก้อนนิ่วในไต แก้นิ่วในถุงน้ำดี ขับล้างทางเดินปัสสาวะ แก้ช้ำรั่ว หรือทางเดินปัสสาวะ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย โดยตำรายาไทยนำทั้งต้นประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำกิน หรือนำมาปั่นให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำซาวข้าวประมาณ 1 ขวดแม่โขง นำมาดื่มให้หมดภายใน 1 วัน และให้ดื่มติดต่อกัน 2 – 3 วัน
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาขับประจำเดือนของสตรี เป็นยาห้ามเลือดภายนอก รักษาบาดแผลจากการที่ทำให้เลือดหยุดไหลและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ ช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยลดอาการบวม รักษาอาการไหม้จากการถูกแสงแดดและถูกลม แก้ปวดหลังปวดเอว เป็นยารักษาอาการปวดเข่า ใช้พอกต่อเส้นเอ็น
    – แก้เลือดกำเดาไหล ด้วยการนำใบมาต้มกินเป็นยา
    – บำรุงกำหนัด เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ด้วยการนำไปตากแดดให้แห้งแล้วทำเป็นชาชงดื่ม หรือกินเป็นผักสด
    – รักษาแผลสด แก้แผลเรื้อรัง แก้ผิวหนังอักเสบ แก้อาการคัน ลดอาการแพ้ ต้านการอักเสบจากการแพ้พืช แก้พิษจากการถูกผึ้งต่อยหรือแมลงสัตว์กัดต่อย ด้วยการนำใบมาตำใช้เป็นยาพอกบริเวณที่มีอาการ
    – เป็นยารักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด เช่น อาการอักเสบของผิวหนังของทารกที่เรียกว่า “ผ้าอ้อมกัด” ด้วยการนำใบแห้งมาแช่ในน้ำมันแล้วนำไปตากแดด แล้วนำน้ำมันที่ได้มาใช้ทาบริเวณที่มีอาการ
    – แก้โรคเชื้อราที่เท้า ด้วยการนำใบสดมาบดใส่และห่อผ้าพอกทิ้งไว้

ประโยชน์ของต้นผักกาดน้ำ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร แถบภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลางนำใบอ่อนใช้กินเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก
2. เป็นส่วนประกอบของยา ผักกาดน้ำนำมาใช้ในการรักษาโรคกันมานานนับพันปี เพราะเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง เป็นสมุนไพรที่หมอนวดมักนำมาปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม ใครที่เข้ามานวดที่นี่แล้วเอ็นต้องยืดสมดังชื่อ
3. เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ มีการนำมาใช้ทำเป็นครีมหรือโลชันบำรุงผิวเพื่อช่วยลบรอยเหี่ยวย่น

คุณค่าทางโภชนาการของใบผักกาดน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 61 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
น้ำ  81.4%
โปรตีน 2.5 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 14.6 กรัม
วิตามินเอ 4,200 หน่วยสากล
วิตามินบี2 0.28 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.8 มิลลิกรัม
วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
แคลเซียม 184 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 52 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม

ผักกาดน้ำ เป็นผักที่อยู่ในตำรายาสมุนไพรมาเนิ่นนาน และมีจุดเด่นอยู่ที่ใบ เมื่อยืดใบจะมีเส้นเอ็นยืดออกมา และยังเป็นยาที่ดีต่อเอ็นในร่างกายอีกด้วย ส่วนของใบอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์มากมาย ผักกาดน้ำมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาแผล รักษาโรคผิวหนัง แก้นิ่ว แก้โรคที่เกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ แก้เส้นเอ็นยึดหรือพลิก ช่วยคลายเส้นเอ็น รักษาอาการอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ สมานกระดูกที่แตกหักและอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่น่าแปลกใจที่ผักกาดน้ำเป็นยาสมุนไพรของคนในอดีตมาจนปัจจุบัน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ผักกาดน้ํา”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 464-465.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ผักกาดน้ำ Common Plantain”. หน้า 167.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ผักกาดน้ำใหญ่”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 336.
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “เรื่องผักกาดน้ำ”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [23 เม.ย. 2014].
หนังสือพืชอาหารและสมุนไพรท้องถิ่นบนพื้นที่สูง ชุดที่ 1. (เกรียงไกรและคณะ).
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักกาดน้ํา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [23 เม.ย. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “หมอน้อย”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชสมุนไพร เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [23 เม.ย. 2014].
ไตรย (THRAI) ฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย, หน่วยปฏิบัติการวิจัยเคมีสารสนเทศ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “เรื่องน่ารู้ของผักกาดน้ำ : ยาเอ็น ยากระดูก ยานิ่ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: thrai.sci.ku.ac.th. [23 เม.ย. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ผักกาดน้ํา, หมอน้อย, หญ้าเอ็นหยืด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [23 เม.ย. 2014].
จำรัส เซ็ลนิล. “หญ้าเอ็นยืด “ยาเอ็น-ยากระดูก-ยานิ่ว” ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.jamrat.net. [23 เม.ย. 2014].
ข่าวสดออนไลน์. “อจ.เภสัชมช.เผยประโยชน์หญ้าเอ็นยืด ”. (ภญ.รศ.ดร.พาณี ศิริสะอาด อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.khaosod.co.th. [23 เม.ย. 2014].
กรีนคลินิก. “ผักกาดน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.greenclinic.in.th. [23 เม.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
https://www.aquaportail.com/fiche-plante-3741-plantago-major.html

มันแกว แก้ความดันเลือดสูง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันเส้นเลือดตีบ

0
มันแกว
มันแกว แก้ความดันเลือดสูง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันเส้นเลือดตีบ มีรสคล้ายแป้งแต่จะออกหวานที่มาจากอินูลิน

มันแกว

มันแกว

มันแกว เป็นพืชทั่วไปที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะผลจากต้นจะนิยมนำมาทานเป็นผลไม้ได้ ชนิดที่ปลูกกันมากในประเทศไทยมี 2 ชนิดใหญ่ คือ พันธุ์หัวเล็กและพันธุ์หัวใหญ่ เป็นพืชพื้นเมืองของชาวเม็กซิโกและประเทศในแถบอเมริกากลาง ส่วนของดอกมีสีสันสวยงาม เป็นพืชผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ถือเป็นผลในการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมันแกว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pachyrhizus erosus (L.) Urb.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Yam bean” “Jicama”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “มันแกว” ภาคเหนือเรียกว่า “เครือเขาขน ถั่วกินหัว ถั่วหัว ถั้วบ้ง ละแวก มันละแวก มันแกวละแวก มันลาว มันแกวลาว” ภาคอีสานเรียกว่า “มันเพา มันเภา” ภาคใต้เรียกว่า “หัวแปะกัวะ” จังหวัดเพชรบูรณ์เรียกว่า “หมากบ้ง” ชาวไทลื้อเรียกว่า “มะคะตุ๋ม”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของมันแกว

มันแกว เป็นไม้เถาเลื้อยพันต้นไม้อื่น เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโกและประเทศในแถบอเมริกากลาง สามารถพบได้ทุกภาคของประเทศไทย
ลำต้น : ลำต้นมีขน ไม่มีมือเกาะ ต้นไม่แตกแขนง
หัว : มีหัวใต้ดินเป็นรากสะสมอาหาร ลักษณะอวบใหญ่ หัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน หนึ่งต้นจะมีหัวเดียว รสชาติคล้ายแป้ง ส่วนที่อยู่ใต้ดินจะมีอายุข้ามปี ส่วนบนดินจะมีอายุเพียงปีเดียว
ใบ : เป็นประกอบแบบขนนก ใบย่อย 3 ใบ เป็นรูปจักใหญ่หรือเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะเดี่ยวที่ซอกใบ มีขนสีน้ำตาล เป็นรูปดอกถั่วหรือรูปไต กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน สีชมพู หรือสีขาว
ผล : ออกผลเป็นฝักรูปขอบขนานแบน มีขนปกคลุมทั้งฝัก เมื่อแก่จะเรียบ มีเมล็ดเรียงกัน 4 – 10 เมล็ด เป็นรูปจัตุรัสแบน เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีแดง ผิวมัน

สรรพคุณของมันแกว

  • สรรพคุณ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมไม่ให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยในการป้องหวัด ป้องกันมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของมะเร็งในลำไส้ใหญ่
  • สรรพคุณจากหัว ช่วยทำให้เกิดน้ำหล่อเลี้ยง แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนกระสับกระส่าย ลดไข้ รักษาโรคร้อนดับพิษ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้หน้าแดง แก้ความดันโลหิตสูง เป็นยารักษาพิษสุราเรื้อรัง
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาถ่ายพยาธิ รักษาโรคผิวหนังกลากเกลื้อน
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยารักษาโรคผิวหนัง ช่วยรักษาหูด

ประโยชน์ของมันแกว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร มีรสคล้ายแป้งแต่จะออกหวาน นำมาจิ้มกับพริกเกลือ ต้มหรือปรุงเป็นอาหารทั้งคาวและหวานได้ ฝักอ่อนและเมล็ดอ่อนใช้ทานเป็นผักสดกับส้มตำ หรือต้มทานเป็นผัก เมล็ดจะมีน้ำมันอยู่ สามารถนำมารับประทานได้
2. ใช้ในการเกษตร เศษของหัวนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้ ใบช่วยป้องกันแมลงที่จะเข้ามาทำลายสวนพืชผัก เมล็ดแก่มีสารพิษมาก จึงนิยมนำมาบดใช้ทำยาฆ่าแมลงหรือยาเบื่อปลา ประเทศฟิจินำต้นและเถามาใช้เป็นแหหรืออวน

คุณค่าทางโภชนาการของมันแกวดิบ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 38 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 17.47 กรัม
น้ำตาล 1.8 กรัม
ใยอาหาร 4.9 กรัม
ไขมัน 0.09 กรัม
โปรตีน 0.72 กรัม
น้ำ 90.07 กรัม
วิตามินเอ 21 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.020 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.029 มิลลิกรัม 
วิตามินบี3 0.200 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.042 มิลลิกรัม
วิตามินบี9 12 ไมโครกรัม 
วิตามินซี 20.2 มิลลิกรัม 
วิตามินอี 0.46 มิลลิกรัม
วิตามินเค 0.3 ไมโครกรัม
แคลเซียม 12 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.60 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 150 มิลลิกรัม 
โซเดียม 4 มิลลิกรัม
สังกะสี (ซิงค์) 0.16 มิลลิกรัม

มันแกว เป็นพืชผลที่นิยมนำมาทานเป็นผลไม้ในประเทศไทย ซึ่งรสหวานมาจากอินูลิน ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้ อุดมไปด้วยกรดโฟลิก มีเส้นใยอาหารสูง เหมาะสำหรับทานเพิ่มสารอาหารได้ มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของผล มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ความดันโลหิตสูง ควบคุมไม่ให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยในการป้องหวัด ป้องกันมะเร็งและช่วยป้องกันโรคท้องผูกได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “มันแกว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th/kp6/. [26 พ.ค. 2014].
ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “มันแกว” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [26 พ.ค. 2014].
ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “มันแกว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [26 พ.ค. 2014].
มหัศจรรย์แห่งสมุนไพรไทย. “มันแกว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: thaiherb-tip108.blogspot.com. [26 พ.ค. 2014].
กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร, ศูนย์วิทยุบริการเพื่อส่งเสริมการเกษตร สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร. “มันแกว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: esc.agritech.doae.go.th/webpage/e-book/mun-kaew.pdf. [26 พ.ค. 2014].
น้ำของประเทศไทย. “ผลไม้รักษาโรค”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.waterthailand.com. [26 พ.ค. 2014].
FoodFacts. “What Is Jicama (Yambean) Good For?”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: foodfacts.mercola.com. [26 พ.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ข้าวเย็นเหนือ ทั้งต้นมีรสหวานจืด มีหัวอุดมไปด้วยสรรพคุณมากมาย

0
ข้าวเย็นเหนือ
ข้าวเย็นเหนือ ทั้งต้นมีรสหวานจืด มีหัวอุดมไปด้วยสรรพคุณมากมาย เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง เป็นไม้ที่เลี้ยงยากและหาดูได้ยาก

ข้าวเย็นเหนือ

ข้าวเย็นเหนือ

ข้าวเย็นเหนือ เป็นพืชที่พบได้มากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามชื่อ ทว่าเป็นไม้ที่เลี้ยงยากและหาดูได้ยาก จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งที่มีหนามแหลมโดยรอบ มีหัวเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินและมีรากแตกอยู่ใต้ดินมาก นิยมนำส่วนหัวมาใช้เป็นยา ทั้งต้นมีรสหวานจืด เป็นยาสุขุมที่มีฤทธิ์ต่อตับและกระเพาะ มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรได้หลากหลายมาก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของข้าวเย็นเหนือ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Smilax corbularia Kunth
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “หัวยาข้าวเย็น หัวข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นวอก” ภาคใต้เรียกว่า “หัวยาจีนปักษ์เหนือ” จังหวัดอุบลราชธานีเรียกว่า “ข้าวเย็นโคกแดง ค้อนกระแต หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นวอก ยาหัวข้อ” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “เสี้ยมโค่ฮก เสี้ยมโถ่ฮก” จีนกลางเรียกว่า “ควงเถียวป๋าเชี๋ย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ข้าวเย็นเหนือ (SMILACACEAE)

ลักษณะของข้าวเย็นเหนือ

ข้าวเย็นเหนือ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งที่เลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นหรือเลื้อยไปตามพื้นดิน มักจะพบขึ้นตามป่าดงดิบเขา ป่าดิบชื้น ป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง พบได้มากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นไม้ที่เลี้ยงยากและหาดูได้ยาก
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะกลมหรือเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย เถามีหนามแหลมโดยรอบกระจายอยู่ ที่โคนใบยอดอ่อนมีมือเป็น 2 เส้นไว้สำหรับจับยึด มีหัวเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินและมีรากแตกอยู่ใต้ดินมาก หัวมีลักษณะกลมยาวเป็นท่อน เนื้อไม้แข็ง ผิวแดงและขรุขระ เนื้อในเหง้าเป็นสีเหลืองอ่อน เมื่อแก่เต็มที่จะเป็นสีแดงน้ำตาลอ่อน เนื้อละเอียด มีรสมัน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรียาว รูปวงรีแกมรูปใบหอกหรือรูปกลมวงรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ หน้าใบเป็นสีเขียว หลังใบมีขนสีขาวปกคลุม มีเส้นใบหลักประมาณ 5 – 7 เส้น มีเส้นกลาง 3 เส้นที่เด่นชัดกว่าเส้นที่เหลือด้านข้าง
ดอก : ออกดอกตามซอกใบที่โคนหรือกลางต้น ลักษณะของช่อดอกเป็นช่อซี่ร่ม มีประมาณ 1 – 3 ช่อดอก ดอกมีขนาดเล็ก ก้านช่อดอกสั้น เป็นแบบแยกเพศอยู่กันคนละต้น ดอกมีใบประดับย่อยลักษณะรูปไข่กว้าง เป็นสีเขียวปนขาว มีกลีบรวม 6 กลีบ ลักษณะเป็นรูปวงรีหรือเป็นรูปวงรีแกมรูปขอบขนาน กลีบวงในมักแคบกว่ากลีบวงนอก มักจะออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม
ผล : ออกผลเป็นกระจุกชิดกันแน่นคล้ายทรงกลม ผลมีลักษณะกลม เป็นผลแบบมีเนื้อ เมื่อสุกจะเป็นสีม่วงดำ ผิวผลมีผงแป้งสีขาวปกคลุม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1 – 2 เมล็ด มักจะออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม

สรรพคุณของข้าวเย็นเหนือ

  • สรรพคุณจากหัว ต้านมะเร็งเต้านม ออกฤทธิ์ต่อตับและกระเพาะ เป็นยาขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ เป็นยาแก้ประดง ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยแก้ตาแดง เป็นยาแก้นิ่ว ช่วยแก้กามโรค แก้ระยะของกามโรคที่เกิดมีเม็ดผื่นเป็นดอกขึ้นตามตัว ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร แก้ระดูขาวของสตรีและโรคบุรุษ ช่วยขับน้ำชื้นในร่างกาย เป็นยาแก้พิษ แก้พิษจากสารปรอท ช่วยแก้มะเร็งคุดทะราด ช่วยรักษาฝีแผลเน่าเปื่อยพุพอง ทำให้แผลฝียุบแห้ง แก้เม็ดผื่นคัน แก้ฝีทุกชนิด ช่วยแก้โรคแผลกลาย รักษาแผลในหลอดลมและในลำไส้ เป็นยาแก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน แก้กลากเกลื้อน แก้ผิวหนังอักเสบ แก้น้ำกัดเท้า ช่วยฆ่าเชื้อหนอง เป็นยาแก้อักเสบในร่างกาย ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้อาการปวดหลังปวดเอว แก้ปวดเมื่อยในผู้สูงอายุ ช่วยแก้อาการปวดข้ออันเนื่องมาจากลมชื้นหรือฝีหนองทั้งภายนอกและภายใน แก้เส้นเอ็นพิการ ช่วยดับพิษในกระดูก
    – เป็นยาบำรุง โดยตำรายาพื้นบ้านมุกดาหารและประเทศมาเลเซียนำหัวเป็นยา
    – บำรุงเลือด ลดอาการปวดสำหรับหญิงอยู่ไฟหลังการคลอดบุตร ด้วยการนำหัวมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – บำรุงกำลัง ด้วยการนำหัวมาตากแห้งแล้วหั่นทาน
    – แก้มะเร็ง ด้วยการนำหัวมาบดให้ละเอียดผสมกับส้มโมง ต้มจนแห้งแล้วผสมกับน้ำผึ้งทานวันละ 1 เม็ด
    – แก้เบาหวาน ด้วยการนำหัวข้าวเย็นทั้งสอง ใบโพธิ์ และไม้สัก มาต้มในหม้อดินเป็นยาดื่ม หรือใช้หัวข้าวเย็นทั้งสองผสมกับต้นลูกใต้ใบมาต้มกับน้ำดื่ม
    – แก้ไข้ทับระดู แก้ระดูทับไข้ ด้วยการนำหัวข้าวเย็นทั้งสองผสมกับตัวยาอื่นในตำรับยา แล้วนำมาต้มเอาแต่น้ำดื่ม
    – แก้ไอ ด้วยการนำหัวข้าวเย็นเหนือ 5 บาทและหัวข้าวเย็นใต้ 5 บาท มาต้มในหม้อดินและเติมเกลือทะเลเล็กน้อย ใช้ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
    – ช่วยขับลมชื้น ด้วยการนำข้าวเย็นเหนือและข้าวเย็นใต้อย่างละ 30 กรัม โกฐเขมา โกฐหัวบัว เจตมูลเพลิง เถาวัลย์เปรียงอย่างละ 20 กรัม มาต้มรวมกันใช้เป็นน้ำดื่ม หรือนำมาแช่กับเหล้า โดยใส่เหล้าให้ท่วมตัวยา ทิ้งไว้ 7 วัน แล้วนำมาทาน
    – เป็นยาแก้โรคหนองในทั้งหญิงและชาย แก้โรคโกโนเรีย ด้วยการนำหัวข้าวเย็นทั้งสองร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นอีก ทั้งหมด 14 อย่าง มาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – รักษาโรคเนื้องอกบริเวณปากมดลูก ด้วยการนำข้าวเย็นเหนือและข้าวเย็นใต้อย่างละ 25 กรัม มาต้มด้วยไฟอ่อนประมาณ 3 ชั่วโมง หรือต้มให้เหลือน้ำประมาณ 100 ซีซี แล้วแบ่งทาน 4 ครั้ง ครั้งละ 25 ซีซี
    – เป็นยาทารักษาแผลไฟไหม้ แก้แผลน้ำร้อนลวก ด้วยการนำข้าวเย็นเหนือและข้าวเย็นใต้มาบดเป็นผงผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันงา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณแผล
    – ช่วยแก้อาการตุ่มแดง แก้ผื่นคัน แก้ถ่ายเหลว ด้วยการนำหัวใต้ดินมาต้มกับน้ำให้เด็กอาบ
  • สรรพคุณจากผล เป็นยาแก้ไข้เรื้อรัง แก้ไข้ตัวร้อน เป็นยาแก้ลมริดสีดวง
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาแก้ไข้เหนือ แก้ไข้สันนิบาต
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้พยาธิในท้อง ช่วยแก้พุพอง
  • สรรพคุณจากหัวและราก เป็นยาแก้ปัสสาวะพิการ ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาแก้พิษงูเห่า

ประโยชน์ของข้าวเย็นเหนือ

ยอดอ่อนอาจใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริกได้ แต่ไม่มีข้อมูลยืนยัน

ข้าวเย็นเหนือ ส่วนของเมล็ดมีน้ำมันหอมระเหย 11.2% มีส่วนของเหง้าและหัวใต้ดินเป็นยาสมุนไพรชั้นดี ทั้งต้นมีรสหวานจืด เป็นยาสุขุมที่พบได้มากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของหัว มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านมะเร็งเต้านม แก้ไข้หลายชนิด แก้เบาหวาน บำรุงกำลัง บำรุงเลือด แก้โรคผิวหนังและแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “ข้าวเย็นเหนือ”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 78.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ข้าวเย็นเหนือ”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 132.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ข้าวเย็น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [06 เม.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ข้อมูลของข้าวเย็นเหนือ”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชอาหารและสมุนไพรท้องถิ่นบนพื้นที่สูง (อัปสร และคณะ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [06 เม.ย. 2014].
มติชนออนไลน์. “ข้าวเย็นเหนือ และ ข้าวเย็นใต้ ในตำรับยาแผนไทย” อ้างอิงใน: หนังสือตำรายาหลวงพ่อศุข. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.matichon.co.th. [06 เม.ย. 2014].
มูลนิธิสุขภาพไทย. “หมอพื้นบ้าน 3 จ.ใต้ ใช้สมุนไพรรักษามะเร็ง 26 ตำรับ” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [06 เม.ย. 2014].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ข้าวเย็น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [07 เม.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
https://www.ydhvn.com/news/cay-duoc-lieu-cay-kim-cang-la-thuon-kim-cang-la-mac-smilax-lanceifolia-roxb

บัวหลวง ยาชั้นยอด ดีต่อระบบเลือด บำรุงอวัยวะสำคัญ ป้องกันโรค

0
บัวหลวง
บัวหลวง ยาชั้นยอด ดีต่อระบบเลือด บำรุงอวัยวะสำคัญ ป้องกันโรค เป็นยาสมุนไพร ดีต่อสุขภาพมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุ

บัวหลวง

บัวหลวง

บัวหลวง เป็นพืชที่มีหลายสายพันธุ์มากมาย ขึ้นอยู่กับลักษณะของดอก ส่วนของรากและเม็ดบัวมีรสหวานเย็นและมันเล็กน้อย เม็ดบัวมีคุณค่าทางอาหารสูง รากก็เช่นกันจึงนิยมนำมาใช้ต้มเป็น “น้ำรากบัว” เป็นสมุนไพรมากประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม ส่วนของไหลบัวยังนำมาประกอบอาหารได้ทั้งสดและแห้งอีกด้วย และที่สำคัญเป็นดอกที่นำมาบูชาพระหรือนำมาใช้ในทางศาสนากันเป็นอย่างมาก สุดท้ายดอกบัวหลวงเป็นพืชน้ำที่มีดอกสวยงาม แถมดอกบัวก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นของประเทศไทย จึงนิยมปลูกประดับในสวนน้ำโดยเฉพาะในวัด

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบัวหลวง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nelumbo nucifera Gaertn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Lotus” “Sacred lotus” “Egyptian lotus”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อเรียกว่า “โกกระณต, บัว, บัวอุบล, บัวฉัตรขาว, บัวฉัตรชมพู, บัวฉัตรสีชมพู, บุณฑริก, ปุณฑริก, ปทุม, ปัทมา, สัตตบงกช, สัตตบุษย์” ชาวเขมรเรียกว่า “โช้ค”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บัวหลวง (NELUMBONACEAE)

ลักษณะของบัวหลวง

บัวหลวง เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย
ลำต้น : เป็นเหง้าอยู่ใต้ดินและเป็นไหลอยู่เหนือดินใต้น้ำ เหง้าเป็นท่อนยาว มีปล้องสีเหลืองอ่อน แข็งเล็กน้อย ส่วนของไหลเป็นส่วนเจริญไปเป็นต้นใหม่
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ใบอ่อนลอยปริ่มน้ำ ใบแก่แผ่นใบจะชูขึ้นเหนือน้ำ ใบเป็นรูปเกือบกลมและมีขนาดใหญ่ ขอบใบเรียบและเป็นคลื่น ผิวใบด้านบนเป็นนวลเคลือบ ก้านใบแข็งและเป็นหนาม หากตัดตามขวางจะเห็นรูอยู่ภายใน มีน้ำยางสีขาว ใบอ่อนจะเป็นสีเทานวล ปลายม้วนงอขึ้นเข้าหากันทั้งสองด้าน
ดอก : ออกดอกเดี่ยว เป็นสีขาว สีชมพู มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยง 4 – 5 กลีบ ขนาดเล็กและมีสีขาวอมเขียวหรือสีเทาอมชมพู ร่วงได้ง่าย กลีบดอกมีจำนวนมากเป็นรูปไข่กว้าง เรียงซ้อนกันอยู่หลายชั้น ในดอกมีเกสรตัวผู้สีเหลืองอยู่เป็นจำนวนมาก ล้อมรอบอยู่บริเวณฐานรองดอกเป็นรูปกรวยหงาย หรือเรียกกันว่า ฝักบัว เกสรตัวเมียมีรังไข่ฝังอยู่ในฐานรองดอก เมื่ออ่อนเป็นสีเหลือง เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ก้านดอกมีสีเขียว ยาวและมีหนามเหมือนก้านใบ ดอกบัวหลวงจะเริ่มบานในตอนเช้า มักจะออกดอกและผลในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม
ฝัก : ฝักมีผลอ่อนสีเขียวนวลจำนวนมาก ผลจะฝังอยู่ในส่วนที่เป็นฝักรูปกรวยในดอก เมื่ออ่อนจะเป็นสีเหลือง เมื่อแก่จะขยายใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีเทาอมเขียว ผลสีเขียวอ่อนฝังอยู่ในฝักรูปกรวย
เมล็ด : ออกเป็นกลุ่มเป็นรูปกลมวงรี ผลอ่อนมีสีเขียวนวลจำนวนมาก ในเมล็ดมีดีบัวหรือต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียว
ดีบัวหลวง : ต้นอ่อนที่อยู่ในเม็ดบัวหลวง คล้ายสาก ใบอ่อน 2 ใบ ใบหนึ่งสั้น อีกใบยาว ใบมีสีเขียวเข้มหรือสีเขียวอมเหลือง ปลายใบม้วนเป็นรูปคล้ายลูกศร มีต้นอ่อนตรง รสขมจัด แต่ไม่มีกลิ่น

สรรพคุณของบัวหลวง

  • สรรพคุณจากราก ช่วยบำรุงกำลัง เป็นยาชูกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยเสริมฤทธิ์ยานอนหลับ ทำให้หลับสบาย เป็นยาแก้ธาตุไม่ปกติในเด็ก ช่วยลดไข้ ช่วยแก้อาการไอ ช่วยแก้เสมหะ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยระงับอาการท้องร่วง ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะบ่อย ช่วยแก้ดีพิการ ช่วยแก้พุพอง ช่วยห้ามเลือด ทำให้เลือดหยุด
  • สรรพคุณจากเม็ดบัว ช่วยบำรุงกำลัง เป็นยาชูกำลัง ช่วยบำรุงร่างกาย แก้กษัย ช่วยเพิ่มพลังงานและไขมันในร่างกาย เป็นอาหารบำรุงกำลังของหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้ท้อง ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยป้องกันมะเร็ง ป้องกันมะเร็งตับ ช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ และผิวพรรณ เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยแก้เสมหะ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยรักษาอาการท้องร่วงและบิดเรื้อรัง ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ ช่วยแก้อาการประจำเดือนมามากกว่าปกติ ช่วยแก้ดีพิการ ช่วยบำรุงไตและม้ามและตับ ช่วยแก้พุพอง ช่วยแก้อาการน้ำกามเคลื่อนหรืออาการฝันเปียก ช่วยบำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น แก้โรคข้อต่าง ๆ ช่วยบำรุงครรภ์ของสตรี
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยบำรุงกำลัง เป็นยาชูกำลัง เป็นยาบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่นขึ้น ช่วยลดอาการใจสั่น เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยแก้ไข้ ช่วยแก้ไข้รากสาดและไข้มีพิษร้อน ช่วยแก้เสมหะ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะบ่อย ช่วยห้ามเลือด ทำให้เลือดหยุด เป็นยาฝาดสมาน ช่วยสมานแผล ช่วยแก้อาการผดผื่นคัน ช่วยแก้อาการช้ำใน ช่วยทำให้คลอดบุตรง่าย
  • สรรพคุณจากใบอ่อน ช่วยบำรุงร่างกาย แก้กษัย
  • สรรพคุณจากกลีบดอก ช่วยบำรุงร่างกาย แก้กษัย เป็นยาบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่นขึ้น ช่วยลดอาการใจสั่น ช่วยห้ามเลือด ทำให้เลือดหยุด
  • สรรพคุณจากเกสร เป็นยาบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่นขึ้น ช่วยลดอาการใจสั่น ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยแก้ไข้รากสาดและไข้มีพิษร้อน ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยแก้ลม
  • สรรพคุณจากใบแก่ ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยแก้ไข้ ช่วยแก้ริดสีดวงจมูก ช่วยเพิ่มแรงเบ่งขณะคลอดบุตรของสตรี
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยระงับอาการหวัดคัดจมูก ลดเสมหะ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการท้องร่วง รักษาอาการปวดบวมและอาการอักเสบ
  • สรรพคุณจากดีบัว ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยขยายเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจในกรณีที่เส้นเลือดตีบ ช่วยผ่อนคลายความเครียด แก้อาการหงุดหงิดนอนไม่หลับ ช่วยทำให้นอนหลับสบาย ช่วยทำให้เส้นเลือดขยาย เป็นยาขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ แก้เส้นเลือดตีบในหัวใจเนื่องจากมีไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด เพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ ช่วยบำรุงหลอดเลือดหัวใจ ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยแก้ไข้ ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยลดไข้ ช่วยแก้อาการติดเชื้อในช่องปาก ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นเลือด ช่วยแก้กระหายน้ำ ช่วยอาการกระหายหลังอาเจียนเป็นเลือด ช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยแก้อหิวาตกโรค ช่วยแก้อาการน้ำกามเคลื่อนหรืออาการฝันเปียก ช่วยบำรุงครรภ์ของสตรี
  • สรรพคุณจากเกสรตัวผู้ เป็นยาชูกำลัง บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่นใจ แก้อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นยาสงบประสาท ช่วยขับเสมหะ เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยคุมธาตุในร่างกาย ช่วยแก้ไข้ ช่วยแก้เสมหะ ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล ช่วยบำรุงปอด ช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะบ่อย ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี ช่วยแก้อาการประจำเดือนมามากกว่าปกติ ช่วยบำรุงตับ เป็นยาฝาดสมาน ช่วยสมานแผล ช่วยแก้อาการน้ำกามเคลื่อนหรืออาการฝันเปียก
  • สรรพคุณจากฝัก ช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยแก้พิษเห็ดเมา ช่วยขับรกออกมาให้เร็วขึ้น
  • สรรพคุณจากยางจากก้านใบและก้านดอก ช่วยแก้อาการท้องเดิน
  • สรรพคุณจากเปลือกฝัก ช่วยแก้อาการท้องเดิน ช่วยสมานแผลในมดลูก เป็นยาฝาดสมาน ช่วยสมานแผล
  • สรรพคุณจากกลีบดอกชั้นใน แก้อาการท้องร่วง แก้โรคซิฟิลิส
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้เห็ดพิษ แก้อาการเป็นพิษจากพิษสุราเรื้อรัง

ประโยชน์ของบัวหลวง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร รากนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารได้ทั้งคาวหวาน นำมาเชื่อมแห้งทานเป็นของหวาน ทำเป็นน้ำรากบัว ไหลบัวนำมาประกอบอาหารได้ทั้งสดและแห้ง สายบัวนำมาปรุงเป็นอาหารหรือใช้แทนผักได้ กลีบดอกนำไปทำเมี่ยงดอกบัว ยำดอกไม้หรือทำเมนูกลีบัวชุบแป้งทอด เม็ดบัวทั้งอ่อนและแก่ใช้ทำอาร์ซีข้าวอบใบบัว
2. ใช้ในทางศาสนา ดอกนำมาบูชาพระหรือนำมาใช้ในทางศาสนา ดอกบัวหลวงเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทางพระพุทธศาสนา
3. เป็นอุปกรณ์หีบห่อ กลีบดอกแห้งใช้มวนเป็นบุหรี่ได้ ใบนำมาใช้สำหรับห่อข้าว ห่ออาหาร ห่อขนม
4. เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สารสกัดจากเกสรนำมาใช้ทำเป็นเครื่องสำอาง
5. เป็นส่วนผสมของยา เกสรตัวผู้นำมาตากแห้งใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องยาไทยและจีน ใบบัวแก่นำมาตากแห้งใช้เป็นส่วนผสมของยากันยุงได้
6. ใช้ในอุตสาหกรรม ก้านใบและก้านดอกนำมาใช้ทำเป็นกระดาษ เส้นใยใช้ทำไส้ตะเกียง
7. ใช้ในการเกษตร เปลือกบัวนำมาใช้เป็นวัสดุในการปลูกเห็ด หรือเรียกว่าเห็ดบัว เปลือกเมล็ดและฝักแก่ใช้ทำเป็นปุ๋ยได้
8. เป็นไม้ปลูกประดับ นิยมปลูกไว้ประดับในสระน้ำหรือปลูกไว้ในกระถางสูง

บัวหลวง ถือเป็นยาสมุนไพรดั้งเดิมชั้นยอดที่ทุกส่วนของต้นมีประโยชน์และนำมาใช้ได้ทั้งหมด ดีอย่างมากต่อสุขภาพโดยเฉพาะผู้สูงอายุ แถมยังนำมาใช้ในด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย บัวหลวงมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดีบัวและเม็ดบัว มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้นอนหลับ ดีต่อระบบเลือด บำรุงอวัยวะสำคัญในร่างกาย และดีต่อระบบขับถ่าย เรียกว่าแค่ทานส่วนต่าง ๆ ของบัวหลวงก็ถือเป็นยาดีต่อร่างกายแทบจะทุกส่วน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “บัวหลวง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [2 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “บัวหลวง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [2 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “บัวหลวง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [2 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เกสรบัวหลวง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [2 ธ.ค. 2013].
รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2546. “บัวสายและบัวหลวง“. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [2 ธ.ค. 2013].
โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์. “บัวหลวง“. (คุณครูสุวรีย์ เปรมมงคล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.shc.ac.th. [2 ธ.ค. 2013].
สำนักงานเกษตรอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี. “ประโยชน์ของเม็ดบัว“. (นายบุญลิน บุญมาแคน นักวิชาการเกษตรชำนาญการ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: banphue.udonthani.doae.go.th. [2 ธ.ค. 2013].
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. “บัวหลวง ดอกไม้ประจำจังหวัดปทุมธานี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.in.th. [2 ธ.ค. 2013].
จำรัส เซ็นนิล. “เม็ดบัว สุดยอดธัญพืชป้องกันมะเร็ง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.jamrat.net. [2 ธ.ค. 2013].
GotoKnow. “เหง้าบัว อาหารและยาที่ได้มาจากใต้ดิน“. (ครูไพฑูรย์ ศิริรักษ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [2 ธ.ค. 2013].
ศูนย์ฝึกอบรมและควบคุมระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. “ดอกบัวหลวง ดอกไม้ประจำจังหวัดพิจิตร“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th. [2 ธ.ค. 2013].
บทความเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียง โดย สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา. “นานาสรรพคุณของบัว“. (ชฎาพร นุชจังหรีด). อ้างอิงใน: หนังสือมหัศจรรย์แห่งบัว (ภัทราพร ตั้งสุขฤทัย), หนังสือสมุนไพรน่าใช้ เล่ม 1 (ลัดดาวัลย์ บุญรัตนกรกิจ), หนังสือสมุนไพรน่ารู้ (วันดี กฤษณพันธ์), หนังสือเพชรน้ำเอก กรุยอดตำรับยาสมุนไพร (วิพุธโยคะ รัตนรังษี, สุวัตร์ ตั้งเจริญ และปริญญา อุทิศชลานนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.uniserv.buu.ac.th. [2 ธ.ค. 2013].
ไทยเกษตรศาสตร์. “บัวหลวง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [2 ธ.ค. 2013].
ไทยโพสต์. “บัวหลวง : บำรุงหัวใจ ขยายหลอดเลือด สารสกัดทำให้ผิวขาว ต้านชรา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [2 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ดีบัว“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [2 ธ.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ทานตะวัน ไม้ประดับสีเหลือง ช่วยลดความดันและไขมันในเส้นเลือด

0
ทานตะวัน
ทานตะวัน ไม้ประดับสีเหลือง ช่วยลดความดันและไขมันในเส้นเลือด มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อระบบภายในร่างกาย

ทานตะวัน

ทานตะวัน

ทานตะวัน เป็นไม้ล้มลุกอายุ 1 ปี ที่เป็นไม้พื้นเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา ดอกสีเหลืองสดที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะความสวยงามและเป็นดอกที่นิยมนำมาใช้เปรียบเทียบกับเรื่องของความรักอยู่บ่อย ๆ ทว่าวันนี้เราจะมาแนะนำในเรื่องของสรรพคุณทางยา หรือในด้านของสุขภาพ คนส่วนมากยังไม่รู้ว่าเจ้าดอกสีเหลืองนี้มีสรรพคุณมากแค่ไหน เพราะเป็นต้นที่โดดเด่นในด้านความงามและการเปรียบเทียบมากกว่าจะพูดถึงในเรื่องของประโยชน์ด้านอื่น ซึ่งดีต่อระบบเลือดเป็นอย่างมาก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Helianthus annuus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Common sunflower” “Sunflower” “Sunchoke”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ชอนตะวัน ทานตะวัน” ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “บัวผัด บัวทอง” ภาคเหนือเรียกว่า “บัวทอง บัวตอง ทานตะวัน” ภาคใต้เรียกว่า “ทานหวัน” จีนกลางเรียกว่า “ซี่ยงยื่อขุย เซี่ยงยื้อขุย” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “เหี่ยงหยิกขุ้ย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)

ลักษณะของทานตะวัน

ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง มีสีเขียวแกนแข็ง ไม่มีการแตกแขนง มีขนยาวสีขาวปกคลุมตลอด
ราก : เป็นระบบรากแก้ว รากแขนงค่อนข้างแข็งแรง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน จำนวนของใบอาจมี 8 – 70 ใบ เป็นรูปวงรีค่อนข้างกลม กลมเป็นรูปไข่ หรือเป็นรูปหัวใจ มีเขียวอ่อน สีเขียว หรือเขียวเข้ม ตรงปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นซี่ฟัน
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวออกที่ปลายยอด เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีขนาดใหญ่เป็นสีเหลืองเข้ม กลีบดอกมีจำนวนมากเรียงซ้อนกันเป็นรูปไข่ ปลายกลีบดอกแหลมเป็นสีเหลืองสด ด้านในเป็นช่อดอกรูปจาน มีดอกขนาดเล็กจำนวนมาก
เมล็ด : เป็นผลแห้ง มีจำนวนมากตรงฐานดอก ผลขนาดใหญ่อยู่วงรอบนอก ผลใกล้กับกึ่งกลางมีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูปวงรีแบนนูน ด้านหนึ่งมน ด้านหนึ่งแหลม เปลือกหุ้มแข็งเป็นสีเทาเข้มหรือสีดำ และเป็นลายด้วย ภายในผลมีเมล็ดสีเหลืองอ่อน 1 เมล็ด ลักษณะวงรียาว ในเมล็ดพบว่ามีน้ำมันเป็นจำนวนมาก

สรรพคุณของทานตะวัน

  • สรรพคุณจากน้ำมันจากเมล็ด ช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด เป็นยาแก้หวัด แก้อาการไอ แก้ไข้หวัด ช่วยขับเสมหะ ขจัดเสมหะ ช่วยแก้โรคบิด เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยขับหนองใน ช่วยแก้ฝีฝักบัว เป็นยาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาแก้เบาหวาน ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้หอบหืด เป็นยารักษาแผลไฟไหม้ แก้น้ำร้อนลวก
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยทำให้อวัยวะภายในร่างกายชุ่มชื้น เป็นยาแก้หวัด แก้อาการไอ แก้ไข้หวัด ช่วยขับเสมหะ ขจัดเสมหะ ช่วยแก้โรคบิด ช่วยขับหนองใน ช่วยแก้อาการมูกโลหิต บำรุงตับและไต ช่วยป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันและต่อต้านสารเคมีที่เป็นพิษที่จะก่อให้เกิดมะเร็งในปาก
  • สรรพคุณจากแกนต้น ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้อาการไอกรน ช่วยรักษาฝีเต้านม ช่วยแก้อาการปวดกระเพาะ แก้มะเร็งกระเพาะอาหาร แก้มะเร็งหลอดอาหาร เป็นยาขับปัสสาวะ ขับนิ่วในไต ขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขุ่นขาว แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ช่วยแก้เนื้องอกเยื่อบุผิวถุงน้ำคร่ำ แก้แผลที่มีเลือดไหล
  • สรรพคุณจากฐานรองดอก ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้วิงเวียนศีรษะ แก้ตาลาย ช่วยแก้อาการปวดฟัน ช่วยรักษาเต้านมอักเสบ เป็นยาแก้อาการปวดท้อง เป็นยาแก้โรคกระเพาะอาหาร แก้อาการปวดท้องเนื่องจากโรคกระเพาะอักเสบ ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนของสตรี แก้อาการปวดท้องน้อยก่อนหรือระยะที่รอบเดือนมา แก้อาการปวดบวมฝี
  • สรรพคุณจากเปลือกเมล็ด ช่วยแก้อาการหูอื้อ
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้อาการปวดฟัน เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบ ช่วยขับลม ช่วยบีบมดลูก แก้ไขข้อกระดูกอักเสบและฝี ช่วยทำให้หน้าตาสดใส ช่วยรักษาใบหน้าตึงบวม
  • สรรพคุณจากรากและลำต้น เป็นยาขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ เป็นยาแก้ไอ ช่วยแก้อาการร้อนใน ช่วยแก้หอบหืด ช่วยขับเสมหะ ขจัดเสมหะ เป็นยาแก้อาการปวดท้อง เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะปวดแสบปวดร้อน แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยแก้มุตกิดตกขาวของสตรี ช่วยแก้อาการบวมน้ำ
  • สรรพคุณจากราก แก้อาการปวดท้อง แก้แน่นหน้าอก แก้ระบาย เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการฟกช้ำ
  • สรรพคุณจากดอกและฝัก ช่วยแก้บิดถ่ายเป็นเลือด ช่วยแก้อาการท้องผูกสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนของสตรี ช่วยแก้อีสุกอีใส
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยารักษาแผลสดและแผลฟกช้ำ

ประโยชน์ของทานตะวัน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เมล็ดนำมาคั่วแห้งใช้กินได้ ใช้ปรุงแต่งขนมหวาน เป็นคุกกี้ เมล็ดนำมาเพาะเป็นต้นอ่อนใช้ทานจะมีรสหวานกรอบและทำเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู น้ำมันจากเมล็ดทานตะวัน สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้ รากของต้นนำมาใช้ทำเป็นแป้งเค้กและสปาเกตตีได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรม น้ำมันทานตะวันนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทำเนยเทียม น้ำมันสลัด ครีม นมที่มีไขมัน ใช้ในอุตสาหกรรมสี ฟอกสี ทำสบู่ น้ำมันชักเงา น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ ใช้ในการฟอกหนัง ใช้เป็นน้ำมันนวด เป็นส่วนผสมของครีมนวดผม หรือผสมในโลชันบำรุงผิว กลีบดอกนำมาต้มแล้วใช้ย้อมสีผ้าได้โดยจะให้สีเหลือง คนจีนนำเส้นใยที่ได้จากก้านมาทอผ้า เปลือกของลำต้นนำมาใช้ทำกระดาษสีขาวที่มีคุณภาพดีได้ ลำต้นหรือจานดอกนำไปเผาเป็นขี้เถ้าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมการหลอมเหล็ก
3. ใช้ในการเกษตร กากจากเมล็ดหลังการสกัดเอาน้ำมันจะมีโปรตีน 30 – 40% นำมาใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงได้ ลำต้นยังสามารถนำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงและทำปุ๋ย ช่วยฟื้นฟูดิน
4. ใช้ในทางการแพทย์ นำมาใช้ทำ Lecithin เพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอลในคนไข้ คนจีนนิยมนำใบแห้งมามวนเป็นแท่งแล้วนำมาจุดเพื่อรมให้จุดฝังเข็มร้อนขึ้น
5. เป็นไม้ปลูกประดับ

ทานตะวัน เป็นพืชผลมากประโยชน์ที่ใครหลายคนคงคาดไม่ถึง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อระบบภายในร่างกายได้หลายอย่าง อีกทั้งยังชะลอวัย และต้นโรคอีกด้วย ใครที่ชอบทานเมล็ดถือว่าคุณได้กินของดีเข้าไป มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเมล็ดและฐานรองดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ถอนพิษไข้ แก้หลอดลมอักเสบ ช่วยลดความดันโลหิต แก้โรคกระเพาะอาหาร ลดระดับไขมันในเส้นเลือดและแก้เบาหวานได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ทานตะวัน (Tan Ta Wan)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 144.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. “ทานตะวัน”. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). หน้า 107-108.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ทานตะวัน”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 262.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ทานตะวัน”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 375-379.
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “ทานตะวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th/kp6/. [03 เม.ย. 2014].
การผลิตไม้กระถางและไม้ตัดดอก (PRODUCTION OF POT-PLANTS AND CUT-FLOWERS), ภาควิชาพืชศาสตร์ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “ทานตะวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th/Department/PlantScience/510-111web/510-482web/index.htm. [03 เม.ย. 2014].
Khon Kaen University, Thesis. “Phytoremediation of Carbofuran Residue in Soil.”. (Teerakun, M. (2004).
พืชน้ำมัน, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ทานตะวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/use/oil1.htm. [03 เม.ย. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพ. “เมล็ดทานตะวัน”. (พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [03 เม.ย. 2014].
กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “ทานตะวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doae.go.th/library/html/detail/sunflower/index1.htm. [03 เม.ย. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. “ทานตะวันอ่อน..สู้แล้ง ใช้น้ำน้อย..7วันนับเงิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [03 เม.ย. 2014].
นิตยสารขวัญเรือน. “ทานตะวัน..สารพันสารพัดประโยชน์”.
ทะเบียนพันธุ์ไม้ในโรงเรียน, โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ. “ทานตะวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.wattano.ac.th. [03 เม.ย. 2014].
กรมส่งเสริมการเกษตร. “ทานตะวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ssnet.doae.go.th/ssnet2/Library/plant/sun.htm. [03 เม.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com

แก่นตะวัน ป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน ลดน้ำหนัก

0
แก่นตะวัน
แก่นตะวัน ป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน ลดน้ำหนัก เป็นพืชล้มลุกดอกเป็นสีเหลือง หัวสะสมอาหารคล้ายหัวขิงอวบและหัวข่า อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

แก่นตะวัน

แก่นตะวัน

แก่นตะวัน หรือเรียกอีกอย่างว่า “แห้วบัวตอง” เป็นพืชล้มลุกที่นิยมอย่างแพร่หลายและเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก เป็นสารที่ให้เส้นใยสูง พืชมีหัวสะสมอาหารคล้ายหัวขิงอวบและหัวข่า ส่วนของดอกเป็นสีเหลืองสดสวยงาม ชาวอินเดียนแดงจะนิยมปลูกไว้รับประทานหัว เป็นพืชที่ช่วยลดน้ำหนักและความอ้วนได้ด้วย เป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Helianthus tuberosus L.
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)
ชื่อท้องถิ่น : แห้วบัวตอง , ทานตะวันหัว , มันทานตะวัน , โทปินัมเบอร์ (ฝรั่งเศส) , กิราโซล (อิตาลี)

ลักษณะของแก่นตะวัน

หัว : มีหัวสะสมอาหารเป็นตะปุ่มตะป่ำ ผิวไม่เรียบ มีหลากหลายสี แต่ทั่วไปเปลือกจะมีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในมีสีขาว เนื้อกรอบคล้ายแห้วดิบ
ใบ : เป็นรูปไข่ ผิวใบสาก มีขนตามกิ่งและใบ บางพันธุ์ขอบใบจะหยัก
ดอก : เป็นทรงกลมแบน ออกดอกเป็นช่อ ดอกสีเหลือง

สรรพคุณของแก่นตะวัน

  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหาร ช่วยทำให้เจริญอาหาร ป้องกันการแพ้อาหารโดยเฉพาะในเด็ก ช่วยเก็บกวาดของเสียในระบบทางเดินอาหาร ช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดการติดเชื้อ ช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้ ช่วยรักษาระดับพลังงานให้คงที่ ช่วยป้องกันสารพิษอย่างโลหะหนัก
  • สรรพคุณด้านไขมัน ช่วยลดน้ำหนักและความอ้วน ป้องกันโรคเบาหวาน ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
  • สรรพคุณด้านเลือด ช่วยป้องกันไขมันในเลือดสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยในการขับถ่าย ช่วยทำความสะอาดลำไส้ แก้อาการท้องผูก ช่วยลดกลิ่นเหม็นของอุจจาระ ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยในการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ ช่วยบำรุงสุขภาพของลำไส้ใหญ่ ช่วยกระตุ้นการดูดซึมของแร่ธาตุหลายชนิด ช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้เหมาะสมต่อการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด แก้อาการท้องเสีย ช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำดี ช่วยในการขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณด้านอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 ช่วยลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย

ประโยชน์ของแก่นตะวัน

1. เป็นอาหารของคนรักสุขภาพ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ
2. เป็นไม้ปลูกประดับ ปลูกเป็นพืชเพื่อการท่องเที่ยว
3. เป็นส่วนประกอบในอาหาร หัวใช้รับประทานสดเป็นผัก นำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน ทำเป็นขนม นำไปผัดหรือใช้ยำได้ เป็นผลิตภัณฑ์พวก ขนมปัง ขาไก่ คุกกี้ เป็นต้น ใช้ผสมในผลิตภัณฑ์นมผงเด็ก เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นสุราและเอทานอล
4. ใช้ในการเกษตร ลำต้นและใบนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ เพราะมีผลต่อการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพแข็งแรง ช่วยลดจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร ช่วยลดกลิ่นเหม็นของมูลสัตว์ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สัตว์เลี้ยง
5. ใช้ในอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบในการสกัดเป็นน้ำตาลอินนูลิน ใช้เป็นพลังงานทดแทนด้วยการนำไปใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน ใช้ผลิตแก๊สโซฮอล์ ทำเป็นผลิตภัณฑ์แบบบรรจุถุง บดผง อบแห้ง ชา เป็นต้น

แก่นตะวัน เป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังได้รับความนิยม เพราะสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย แถมยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย อีกทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย จึงกลายเป็นพืชที่ทั้งโลกต้องการสูง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยป้องกันไขมันในเลือดสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด ช่วยลดน้ำหนักและความอ้วน ป้องกันโรคเบาหวานได้ ถือเป็นพืชที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (รองศาสตราจารย์ ดร.สนั่น จอกลอย), สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (ดร.ครรชิต จุดประสงค์), สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132, นิตยสารขวัญเรือน ฉบับ 849 (พญ.ลลิตา ธีระสิริ)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
https://www.tastingtable.com/1185680/jerusalem-artichokes-are-probably-not-what-you-expect/
https://fafard.com/growing-and-taming-jerusalem-artichoke/

บอน นิยมใส่แกง ช่วยแก้ไข้ แก้พิษ ห้ามเลือด

0
บอน
บอน นิยมใส่แกง ช่วยแก้ไข้ แก้พิษ ห้ามเลือด ใบคล้ายรูปหัวใจ ขึ้นบนดินโคลนหรือริมน้ำ ต้นใช้เป็นยาสมุนไพร ไหลและหัวมาใช้ประกอบอาหาร

บอน

บอน

บอน เป็นพืชในกลุ่มเอเชียอาคเนย์ที่พบได้ในทุกภาคของประเทศไทย มักจะขึ้นบนดินโคลนหรือริมน้ำ ส่วนของใบคล้ายรูปหัวใจขนาดใหญ่ ส่วนของดอกมีกลิ่นหอม หัวมีรสเมาคัน สามารถนำส่วนต่าง ๆ จากต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ นิยมนำส่วนของไหลและหัวมาใช้ประกอบอาหารอย่าง เช่น แกง เป็นต้น มีจุดเด่นอยู่ที่ส่วนของใบที่ไม่เปียกน้ำ และยังดูสวยงามจนนิยมนำมาปลูกประดับบ้านได้ บอนนั้นยังเป็นพืชทางเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับเกษตร

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบอน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Colocasia esculenta (L.) Schott
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Elephant ear” “Cocoyam” “Dasheen” “Eddoe” “Japanese taro” “Taro”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “บอนเขียว บอนจีนดำ” ภาคเหนือเรียกว่า “บอนหอม” ภาคอีสานเรียกว่า “บอนจืด” ภาคใต้เรียกว่า “บอนท่า บอนน้ำ” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ตุน” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “คึ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ขื่อที้พ้อ ขือท่อซู่ คึทีโบ คูชี้บ้อง คูไทย ทีพอ” ชาวมาเลย์นราธิวาสเรียกว่า “กลาดีไอย์” ชาวมาเลย์ยะลาเรียกว่า “กลาดีกุบุเฮง” คนทั่วไปเรียกว่า “เผือก บอน” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “บอนหวาน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บอน (ARACEAE)
ชื่อพ้อง : Colocasia esculenta var. aquatilis Hassk.

ลักษณะของบอน

บอน เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบลุ่มของเอเชียอาคเนย์ มักจะพบตามที่ลุ่ม บนดินโคลน บริเวณริมน้ำลำธาร หรือบริเวณที่มีน้ำขังตื้น
เหง้า : มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกอยู่ใต้ดิน มักขึ้นเป็นกลุ่มเรียงรายตามพื้นที่ลุ่มริมน้ำ
ลำต้น : ลำต้นประกอบไปด้วยหัวกลางและหัวย่อยอยู่รอบหัวใหญ่
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนแผ่ออกรอบต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมสามเหลี่ยม รูปหัวใจหรือรูปโล่ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าแหลม ก้านใบออกที่ตรงกลางแผ่นใบเป็นสีเขียวแกมม่วงหรือสีเขียวแกมเหลือง โคนใบแยกเป็นแฉกสองแฉก หน้าใบเป็นสีเขียว เรียบไม่เปียกน้ำเพราะผิวใบเคลือบไปด้วยไข (Wax) หลังใบเป็นสีเขียวอ่อน สีม่วงหรือสีขาวนวล แต่ละกอมีประมาณ 7 – 9 ใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ แท่งเดี่ยวออกจากลำต้นใต้ดิน มีกาบสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองนวลหุ้มอยู่ ดอกย่อยแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ฉ่ำน้ำ มีดอกเป็นกระเปาะสีเขียวเป็นแท่งอยู่ตรงกลาง มีกลิ่นหอมและต่อมาจะกลายเป็นผลเล็ก ๆ จำนวนมาก ประกอบไปด้วยหัวกลางและหัวย่อยอยู่รอบหัวใหญ่
ผล : เป็นผลสดสีเขียว ภายในผลมีเมล็ดน้อย

สรรพคุณของบอน

  • สรรพคุณจากน้ำจากลำต้นใต้ดิน เป็นยาแก้ไข้ เป็นยาแก้พิษแมงป่อง
  • สรรพคุณจากราก
    – แก้อาการเจ็บคอ แก้เสียงแหบแห้ง แก้ท้องเสีย ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากหัว เป็นยาระบาย ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาแก้เถาดานในท้อง กัดฝ้าหนอง เป็นยาห้ามเลือด ช่วยขับน้ำนมของสตรี
  • สรรพคุณน้ำจากก้านใบ เป็นยาห้ามเลือด เป็นยานวดแก้อาการฟกช้ำ
  • สรรพคุณจากลำต้น
    – รักษาแผล แผลจากงูกัด ด้วยการนำลำต้นมาบดใช้เป็นยาพอก
  • สรรพคุณจากก้านใบ
    – แก้พิษคางคก ด้วยการนำก้านใบมาตัดหัวท้ายออก แล้วนำไปลนไฟบิดเอาน้ำใช้หยอดแผล
  • สรรพคุณจากน้ำยาง เป็นยาถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • สรรพคุณจากยาง เป็นยาช่วยกำจัดหูด
  • สรรพคุณจากไหล หัว เหง้า
    – รักษาฝีตะมอย ด้วยการนำไหล หัว หรือเหง้ามาตำผสมกับเหง้าขมิ้น กะปิ ขี้วัว เหล้าโรงเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอก

ประโยชน์ของบอน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ไหลและหัวใต้ดินนำมาลวกหรือต้มทานได้ ใบอ่อนและก้านใบอ่อนนำมาใช้ทำอาหารประเภทต้มเช่น แกงส้ม แกงกะทิ แกงบอน หรือจะนำมาลอกจิ้มน้ำพริกทาน แต่ต้องทำให้สุกก่อน ก้านบอนนำมาดองได้
2. ใช้ในการเกษตร ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำใบมาต้มให้หมูกิน หรือใช้ก้านใบมาสับผสมเป็นอาหารหมู ช่วยรักษาฝายชั่ง แม่น้ำลำคลองไม่ให้ถูกกัดเซาะจากคลื่น
3. ใช้เป็นอุปกรณ์ ใช้ห่อของได้ ใช้ตักน้ำดื่ม
4. เป็นพืชเศรษฐกิจ ต้นบอนสามารถทำรายได้ให้กับชาวบ้านด้วยการตัดก้านบอนมาลอกเปลือกแล้วตากให้แห้ง ส่งขายเป็นสินค้าส่งออก
5. ปลูกเป็นไม้ประดับ

ข้อควรระวังของบอน

1. ไม่ควรสัมผัสน้ำยางและลำต้น เพราะจะทำให้เกิดอาการคันและปวดแสบปวดร้อนได้
2. ห้ามทานสดเป็นอันขาด เพราะจะทำให้คันคออย่างรุนแรง ต้องนำมาต้มก่อน

คุณค่าทางโภชนาการของใบ

คุณค่าทางโภชนาการของใบบอน ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 112 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 25.8 กรัม
โปรตีน  2.1 กรัม 
ไขมัน 0.1 กรัม
เส้นใยอาหาร 1.0 กรัม
น้ำ 70.0%
เถ้า 1.0 กรัม
วิตามินเอ 103 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.15 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.17 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.0 มิลลิกรัม
วิตามินซี 2 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 84 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 54 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของก้าน

คุณค่าทางโภชนาการของก้านใบบอน ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 24 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 5.8 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
ไขมัน 0.9 กรัม
เส้นใยอาหาร 0.9 กรัม
น้ำ 92.7%
วิตามินเอ 300 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 13 มิลลิกรัม
วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 49 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.9 มิลลิกรัม

บอน เป็นต้นที่นิยมนำมาใช้ทานในรูปแบบของแกง มักจะนำมาต้มร้อนก่อนเพื่อไม่ให้เกิดอาการคัน ถือเป็นต้นที่อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและยังนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย บอนมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของหัวและก้านใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ แก้พิษ ช่วยห้ามเลือด แก้เจ็บคอและช่วยขับน้ำนมของสตรีได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “บอน”. หน้า77.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Colocasia esculenta (L.) Schott”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชเศรษฐกิจในประเทศไทย (หน้า 207). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [30 มี.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “บอน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [30 มี.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. “บอน”. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน 2 (นันทวัน บุญยะประภัศร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: uttaradit.uru.ac.th/~botany/. [30 มี.ค. 2014].
การศึกษาอนุกรมวิธานของพืชสมุนไพรและพืชมีพิษในอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “บอน”. อ้างอิงใน: ฐานข้อมูลพืชพิษ สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pirun.kps.ku.ac.th/~b4916098/. [30 มี.ค. 2014].
คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “Elephant ear”. (ประวิทย์ สุรนีรนาถ). อ้างอิงใน: กองประมงน้ำจืด กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/fish/mfish.html/aqplant/aqpindex.html. [30 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “บอน”. อ้างอิงใน: พรรณไม้น้ำบึงบอระเพ็ด. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [30 มี.ค. 2014].
อาหารพื้นบ้านล้านนา, สำนักหอสมุด และสำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “บอน”. อ้างอิงใน: หนังสือผักพื้นบ้านภาคกลาง (กัญจนา ดีวิเศษ และคณะ), หนังสือผักพื้นบ้าน อาหารไทย, หนังสือสารานุกรมสมุนไพร: รวมหลักเภสัชกรรมไทย (วุฒิ วุฒิธรรมเวช). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/. [30 มี.ค. 2014].
อาหารพื้นบ้านล้านนา, สำนักหอสมุด และสำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “แกงบอน”. อ้างอิงใน: หนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 1 หน้า 479 (รัตนา พรหมพิชัย). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/. [30 มี.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “Taro, Cocoyam”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), สมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [30 มี.ค. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 194 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “บอน : ผักพื้นบ้านที่มากับความคัน”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [30 มี.ค. 2014].
หนังสือผักพื้นบ้าน 1. (อุไร จิรมงคลการ).
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
https://www.gardeningknowhow.com/ornamental/bulbs/elephant-ear/elephant-ear-plant-diseases.htm
https://fineartamerica.com/art/paintings/elephant+ear+plant

บานไม่รู้โรย ทั้งต้นมีรสหวานเย็น ดีต่อปอดและตับ

0
บานไม่รู้โรย
บานไม่รู้โรย ทั้งต้นมีรสหวานเย็น ดีต่อปอดและตับ มีทั้งสีขาวและสีแดงอมม่วง กลีบดอกที่ไม่หลุดร่วงได้ง่าย

บานไม่รู้โรย

บานไม่รู้โรย

บานไม่รู้โรย เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก นิยมใช้ปลูกกันอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ Tall Mixture ซึ่งมีทั้งสีขาวและสีแดงอมม่วง และพันธุ์ Buddy ที่มีดอกเป็นสีแดงอมม่วง มีกลีบดอกที่ไม่หลุดร่วงได้ง่าย แม้ว่าดอกจะแก่หรือแห้งแล้วก็ตาม จึงเป็นที่มาของชื่อ “บานไม่รู้โรย” เป็นต้นที่คนทั่วไปรู้จักกันอย่างกว้างขวางเพราะเป็นดอกที่นำมาใช้ทำเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ และใช้ในงานพิธีกรรมต่าง ๆ รวมถึงเป็นไม้มงคลและเป็นไม้ปลูกประดับตามบ้านเรือนทั่วไปด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบานไม่รู้โรย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gomphrena globosa L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bachelor’s button” “Button agaga” “Everlasting” “Gomphrena” “Globe amaranth” “Pearly everlasting”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “กะล่อม ตะล่อม” ภาคใต้เรียกว่า “ดอกสามเดือน สามเดือนดอกขาว กุนนีดอกขาว กุนหยินขาว กุนหยี” จังหวัดขอนแก่นเรียกว่า “สามปีบ่เหี่ยว” คนจีนเรียกว่า “โขยหยิกแป๊ะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE)

ลักษณะของบานไม่รู้โรย

บานไม่รู้โรย เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุประมาณ 1 ปี ที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ หรือมีถิ่นกำเนิดในเอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกา
ลำต้น : แตกกิ่งก้านบริเวณยอดต้น กิ่งก้านเป็นเหลี่ยมและมีร่อง ลำต้นอ่อนมีขนสีขาวปกคลุม ตามข้อต้นพองออกเล็กน้อย ข้อต้นเป็นสีแดง แต่บางต้นข้อต้นก็เป็นสีเขียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ หลังใบและท้องใบมีขนสีขาว เนื้อใบมีลักษณะนิ่ม ก้านใบสั้น และมีขนสีขาว
ดอก : ออกดอกเป็นกระจุกทรงกลมบริเวณปลายกิ่ง มีดอกย่อยอัดกันแน่น แต่ละช่อมีดอกย่อยประมาณ 2 – 3 ดอก ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงกลมขนาดเท่าผลพุทรา ดอกเป็นสีขาว สีแดงแก่ สีม่วง หรือสีชมพูอ่อน แต่จะใช้ดอกขาวมาเป็นยา เพราะสีขาวเป็นสีที่บริสุทธิ์ มีลักษณะแข็ง กลีบดอกมีขนาดเล็กเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ทั้งดอก ปลายกลีบแหลมคล้ายขนแข็ง และมีใบประดับหรือกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว กลีบดอกยังไม่หลุดร่วงได้ง่าย แม้ว่าดอกจะแก่หรือแห้งแล้วก็ตาม จึงเป็นที่มาของชื่อ “บานไม่รู้โรย”
ผล : มีผลแห้งเป็นกระเปาะ ลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน
เมล็ด : ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดมีลักษณะแบนหรือเป็นรูปไข่

สรรพคุณของบานไม่รู้โรย

  • สรรพคุณจากทั้งต้นและราก ช่วยแก้อาการไอ ช่วยรักษาโรคบิด
    – แก้กษัย ขับปัสสาวะ ขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้กามโรค แก้หนองใน แก้มุตกิดหรือตกขาว ช่วยขับระดูขาวของสตรี ช่วยขับระดูขาวให้แห้ง ด้วยการนำทั้งต้นและรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากต้นและดอก ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ เป็นยาแก้ตับร้อนหรือธาตุไฟเข้าตับ ช่วยแก้ตาเจ็บ ตามัว อันเนื่องจากธาตุไฟเข้าตับ แก้อาการไอเป็นเลือด แก้เลือดออกตามทวารทั้งเก้า
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้อาการไอ แก้ไอกรน ช่วยขับเสมหะ ช่วยรักษาวัณโรคในปอด ช่วยรักษาโรคบิด เป็นยาบำรุงตับ เป็นยารักษาแผลผื่นคัน ใช้รักษาฝีประคำร้อย ตำรับยารักษามะเร็งมดลูกและมุตกิดระดูเสียของสตรี
    – แก้เด็กตัวร้อนตาเจ็บ ด้วยการนำดอกสด 10 – 14 ดอก มาต้มกับน้ำทาน หรือใช้ผสมกับฟักเชื่อมแห้ง แล้วนำมาต้มกับน้ำทานเป็นยา
    – ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้ลมขึ้นศีรษะ ด้วยการนำดอก 10 กรัม หญ้าแซ่ม้า 20 กรัม มาต้มกับน้ำทาน
    – แก้เด็กเป็นโรคลมชัก ด้วยการนำดอก 10 ดอก มาผสมกับตั๊กแตนแห้ง 7 ตัว แล้วนำมาตุ๋นเป็นยา
    – แก้หืดหอบ แก้ไอหืด แก้ไอหอบ แก้หลอดลมอักเสบ ด้วยการนำดอกแห้ง 10 – 15 กรัม มาต้มกับน้ำทาน หรือนำดอก 10 ดอก มาต้มผสมกับเหล้าเล็กน้อย ใช้ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้สารที่สกัดได้จากดอกทำเป็นยาฉีด โดยใช้ครั้งละ 0.3 ซีซี
    – ช่วยแก้บิดมูก ด้วยการนำดอก 10 ดอก มาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าเล็กน้อย ใช้ดื่มเป็นยา
    – ขับปัสสาวะ ขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ด้วยการนำดอกมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – ช่วยแก้ปัสสาวะขัด แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ด้วยการนำดอก 10 กรัม มาต้มกับน้ำทานบ่อย ๆ
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้พิษต่าง ๆ
  • สรรพคุณจากต้น ตำรับยากระทุ้งไข้แก้เหือดหัดในเด็ก
    – แก้ฝีหนอง ด้วยการนำต้นสดในปริมาณพอควร มาตำพอกเป็นยา
  • สรรพคุณจากทั้งห้าส่วน ตำรับยารักษามะเร็ง
  • สรรพคุณจากรากและต้น ตำรับยาแก้มดลูกเคลื่อนหรือกะบังลมเคลื่อน

ประโยชน์ของบานไม่รู้โรย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวเกาะมอลัคคัสในหมู่เกาะชวาใช้บานไม่รู้โรยมาทานเป็นผักชนิดหนึ่ง
2. เป็นดอกไม้ประดิษฐ์ ทำบุหงา ร้อยพวงมาลัย ร้อยอุบะ เป็นพานพุ่ม เป็นดอกไม้แห้งเพื่อใช้ในงานอุตสาหกรรม ทำเป็นสินค้าส่งออกได้ ใช้ในงานพิธีกรรมต่าง ๆ ใช้ในงานมงคล ใช้ในงานศพ
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกมีความสวยงาม ปลูกเลี้ยงได้ง่าย
4. เป็นไม้มงคล เชื่อว่าหากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะช่วยเสริมดวงในเรื่องของความรักและความผูกพันของคู่สามีภรรยา ทำให้มีความรักที่มั่นคงและยั่งยืน

บานไม่รู้โรย ทั้งต้นและรากมีรสเย็นขื่น ดอกและต้นมีรสหวาน ขื่นและชุ่ม เป็นยาสุขุมชนิดหนึ่ง นิยมนำมาใช้เป็นดอกไม้ประดิษฐ์ เอาไว้ใช้ในงานพิธีกรรมต่าง ๆ บานไม่รู้โรยมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยแก้อาการไอ ช่วยรักษาโรคบิด แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับระดูขาวของสตรี ช่วยรักษาวัณโรคในปอด แก้หลอดลมอักเสบ บำรุงตับ รักษามะเร็งและแก้มดลูกเคลื่อนหรือกะบังลมเคลื่อนได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “บานไม่รู้โรย (Ban Mai Ru Roy)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 164.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “บานไม่รู้โรยดอกขาว”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 425-426.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “บานไม่รู้โรยดอกขาว”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 306.
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “บานไม่รู้โรยดอกขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [02 เม.ย. 2014].
กรุงเทพธุรกิจ. “สีสมุนไพร…บำบัดอารมณ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkokbiznews.com. [02 เม.ย. 2014].
กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “บานไม่รู้โรย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doae.go.th. [02 เม.ย. 2014].
การผลิตไม้กระถางและไม้ตัดดอก (PRODUCTION OF POT-PLANTS AND CUT-FLOWERS), ภาควิชาพืชศาสตร์ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “บานไม่รู้โรย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th/Department/PlantScience/510-111web/510-482web/index.htm. [02 เม.ย. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “บานไม่รู้โรย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [02 เม.ย. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 288 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “บานไม่รู้โรย : ความงามที่ยั่งยืนฝืนกาลเวลา”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [02 เม.ย. 2014].
สำนักแชลั้ง. “ต้นไม้มงคล ภาค1”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sumnakcharang.com. [02 เม.ย. 2014].
ตำรับยาไทยแผนโบราณ สำหรับโรคเรื้อรัง โดย หมอเมือง สันยาสี.
หนังสือเพชรน้ำเอก กรุยอดตำรับยาสมุนไพร. (พฤฒาจารย์ วิพุธโยคะ รัตนรังษี และคณะ).
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

รูปอ้างอิง
https://housing.com/news/gomphrena-globosa-know-more-about-this-medicinal-plant/