เล่นน้ำสงกรานต์อย่างไรให้สนุกและปลอดภัย 2019

0
เล่นน้ำสงกรานต์อย่างสนุกและระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
เล่นน้ำสงกรานต์อย่างสนุกและระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
สรงน้ำพระตามประเพณีสงกรานต์ด้วยน้ำอบลอยด้วยดอกไม้หอมหลากหลายชนิด
สรงน้ำพระตามประเพณีสงกรานต์ด้วยน้ำอบลอยด้วยดอกไม้หอมหลากหลายชนิด

สงกรานต์

เดือนเมษายนเป็นเดือนที่คนไทยทั้งประเทศต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเป็นเดือนที่มีเทศกาลสำคัญอย่างเทศกาล สงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยเรา เป็นวันที่ครอบครัวคนไทยส่วนมากจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ลูกหลานที่ทำงานไกลบ้านเมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ก็จะเดินทางกลับบ้าน เพื่อเป็นการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ที่ทรงคุณค่า สะท้อนวิถีปฏิบัติอันงดงามของไทย ด้วยการทำบุญ ตักบาตร เข้าวัด ฟังเทศน์ การสรงน้ำพระ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ การเล่นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง พบปะญาติพี่น้องที่ต้องอยู่ห่างไกล เรียกว่าเป็นวันรวมญาติก็ว่าได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับเทศกาลนี้ก็คือ การเล่นน้ำสงกรานต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบโดยเฉพาะวัยรุ่นคนหนุ่มสาว ที่อยากจะเล่นน้ำเพื่อคลายความร้อนเพิ่มความชุ่มช่ำทั้งกายและใจให้กับตัวเองและคนรอบข้าง แต่ทว่าการเล่นน้ำสงกรานต์ให้ปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักด้วยเช่นกัน ซึ่งปีนี้มีแนวทางในการจัดกิจกรรมภาพรวมของประเทศ 3 แนวทาง 14 ด้านในปี2562 มีดังนี้

1. การรณรงค์จัด “สงกรานต์แบบไทย” ได้แก่
1.1 ส่งเสริมให้จังหวัดต่างๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและร่วมกันสืบสานประเพณีต่างๆ เน้นวิถีวัฒนธรรมชูเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น
1.2 ขอความร่วมมือจากประชาชนในการสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทำของประเพณี สงกรานต์แบบไทย เช่น ทำความสะอาดบ้านเรือน วัด สถานที่สาธารณะ ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ เล่นน้ำอย่างพองาม
1.3 รณรงค์ให้แต่งกายด้วยชุดสุภาพ ใช้ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น หรือชุดไทยย้อนยุคเข้าร่วมงาน
1.4 ขอความร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชน ในการจัดกิจกรรมโดยคำนึงถึงวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยจัดให้มีการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕
2. การรณรงค์ “ใช้น้ำคุ้มค่า” ได้แก่
2.1 ขอความร่วมมือสืบสานประเพณีอย่างมีวัฒนธรรม เพื่อใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าสูงสุด ขอความร่วมมืองดใช้รถบรรทุกตระเวนสาดน้ำในพื้นที่ต่างๆ กำหนดระยะเวลาการเล่นน้ำ ให้เลิกเล่นน้ำในเวลาที่กำหนด ห้ามใช้แป้งและสีต่างๆ มาเล่น
2.2 ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและประหยัดน้ำ เช่น ขันขนาดเล็ก ไม่ใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง เล่นน้ำอย่างสุภาพ
2.3 ขอความร่วมมือประชาชนให้ใช้น้ำอย่างประหยัดและน้ำสะอาดเพื่อสุขอนามัย และสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงขาดแคลนน้ำ
3. การรณรงค์ “ทุกชีวาปลอดภัย” ได้แก่
3.1 ขอความร่วมมือภาคเอกชน ผู้ประกอบการ สถานบันเทิง ผู้จัดกิจกรรม กำหนดเวลาเปิด-ปิด จัดกิจกรรมและงดจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามเวลาที่กฎหมายกำหนด
3.2 ควบคุมและรณรงค์ผู้ใช้รถโดยใช้มาตรการเมาไม่ขับ ปลอดแอลกอฮอล์ และมีน้ำใจให้แก่กันในการใช้รถใช้ถนน และพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมให้แจ้งหน่วยงานหรือศูนย์รับแจ้งเหตุของหน่วยงานต่างๆ
3.3 มาตรการเข้ม ลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ถนน และยานพาหนะ และมาตรการด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ความปลอดภัยทางน้ำ-ทางเรือ และหลังเกิดอุบัติเหตุ ควบคุมความเร็วการใช้รถให้ใช้รถใช้ถนนอย่างเคร่งครัด
3.4 กิจกรรมส่งคนกลับบ้าน อำนวยความสะดวกในการเดินทาง การตรวจความพร้อมของผู้ขับรถสาธารณะ ควบคุมและตรวจจับความเร็วของรถบริการสาธารณะด้วยระบบ GPS และเฝ้าระวังยานพาหนะต่างๆ ศูนย์บริการตรวจสภาพรถฟรี รวมถึงมีศูนย์รับแจ้งเหตุร้องเรียนการใช้รถใช้ถนนโดยกรมการขนส่งทางบก และจุดบริการพักรถระหว่างการเดินทางเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล
3.5 สถานที่ที่จัดงานต่างๆ ต้องมีมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน
3.6 การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เช่น พ.ร.บ.การจราจรทางบก
3.7 มีศูนย์แจ้งเตือนภัยสภาพอากาศตลอดช่วงเทศกาล 

วิธีเล่นน้ำสงกรานต์ที่ทำให้คุณสนุกและปลอดภัยไร้กังวล

1.แต่งตัวมิดชิด

ด้วยอากาศที่ร้อนในช่วงวันสงกรานต์หลายคนจึงนิยมที่จะใส่เสื้อที่ระบายอากาศได้ดี เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น ซึ่งการแต่งกายแบบนี้ไม่เหมาะกับการไปเล่นน้ำสงกรานต์เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเราไม่รู้ได้ว่าคนที่มาเล่นสงกรานต์กับเรานั้น เขาเป็นคนเช่นไร ดังนั้นการแต่งกายเพื่อไปเล่นน้ำสงกรานต์ควรแต่งกายให้มิดชิดไม่โป๊ และควรเลือกเสื้อผ้าที่มีสีเข้มมากกว่าสีอ่อน เพราะว่าเสื้อสีอ่อนเมื่อเปียกน้ำแล้ว จะสามารถมองทะลุเห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน

  • เสื้อมีแขน จะแขนสั้นหรือยาวก็ได้ แต่ถ้าแขนยาวจะดีกว่าเพราะนอกจากจะช่วยป้องการการถูกลวนลามแล้ว ยังช่วงปกป้องผิวจากแสงแดดได้อีกด้วย ตัวเสื้อควรมีสีเข้มและมีความยาวคลุมสะโพกเพื่อเวลาที่เรายกแขนเพื่อสาดน้ำ ชายเสื้อจะได้ไม่ยกสูงจนเห็นสัดส่วนของเราได้
  • กางเกงขาไม่สั้นเกินไป ควรสวมกางเกงที่ยาวเหนือเข่าเล็กน้อยหรือกางเกงขายาวเพื่อปกปิดผิวขาจากสายผู้อื่น และช่วยป้องกันแสงแดดเช่นเดียวกับเสื้อแขนยาว ไม่ควรสวมกางเกงยีนส์ที่หนามากเพราะเวลาเปียกน้ำแล้ว กางเกงยีนส์จะหนักทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบาก

2.ใส่แว่นตา

สำหรับคนที่ไม่ได้ใส่แว่นสายตา เวลาที่จะไปเล่นน้ำสงกรานต์ควรหาแว่นตาใส่ เช่น แว่นกันแดด แว่นแฟชั่น เป็นต้น แว่นตาจะช่วยป้องกันดวงตาจากลม แสงแดด น้ำและสิ่งสกปรกที่เราต้องเจอเวลาที่เล่นน้ำ ลดอาการเคืองตา

3.เฮฮาเพื่อนฝูง  

การออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ม่ควรไปเล่นเพียงลำพัง แต่ควรไปเล่นกันเป็นหมู่คณะเพื่อความปลอดภัยของตนเอง  เพราะว่าถ้าบุคคลที่ไม่หวังดีคิดจะทำร้ายหรือลวนลาม เมื่อเห็นว่าเรามีเพื่อนมาด้วยย่อมไม่กล้าที่จะอะไรนั่นเอง และการเล่นน้ำสงกรานต์กับเพื่อนหลาย ๆ คนก็สนุกกว่าการเล่นน้ำคนเดียวด้วย

4.พกแต่สิ่งของจำเป็น

การไปเล่นน้ำไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับที่มีราคาแพงหรือพกเงินเป็นจำนวนมาก เพราะจะทำให้เราเป็นจุดสนใจของมิจฉาชีพได้ จึงควรพกแต่สิ่งของที่จำเป็น เช่น โทรทัพศ์ เงินเล็กน้อย นาฬิกา เป็นต้น และเก็บไว้ในถุงพลาสติกกันน้ำเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าอุปกรณ์เหล่านี้เปียกน้ำ

5.ปะแป้งแต่พอดี

การปะแป้งเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการเล่นน้ำ การปะแป้งก็ควรปะแต่พอดีไม่มากจนเกินไป เพราะถ้าปะแป้งมากจนเข้าตา ปาก จมูกหรือหูของผู้อื่น อาจจะทำให้ผู้อื่นเกิดอาการบาดเจ็บได้ เช่น ตาแดง อาหารพิษ ผดผื่น เป็นต้น และควรให้แป้งที่มีความสะอาด ถูกสุขลักษณะในการนำมาปะแป้งทั้งบนใบหน้าของตัวเองและผู้อื่น

6.เล่นด้วยน้ำสะอาด

น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเล่นสงกรานต์ เพราะเราต้องใช้น้ำในการสาดไปบนตัวผู้อื่นและเราเองก็ต้องโดนน้ำเช่นเดียวกัน ดังนั้นน้ำที่นำมาเล่นสงกรานต์ควรเป็นน้ำสะอาดที่ไม่มีสิ่งเจือปนที่เป็นอันตราย โดยควรเลือกน้ำจากแหล่งที่เหมาะสม เช่น น้ำที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลจัดมาบริการให้ น้ำประปา เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มาจากเชื้อโรคในน้ำ

7.งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เราความสามารถในการควบคุมสติของตัวเราเองลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้เราเกิดอุบัติเหตุหรือโดนผู้อื่นทำร้ายได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเวลาเล่นน้ำจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ถึงแม้ว่าเราจะดูแลตัวเองจากภัยอันตรายรอบตัวได้แล้ว แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพึงระวังไม่น้อยกว่าภัยนอกตัวเลย นั่นคือโรคภัยไข้เจ็บที่มากับการเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์นั่นเอง เพราะว่าการเล่นน้ำเราต้องเจอกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวร้อนจากอากาศรอบตัว เดี๋ยวเย็นจากการโดนสาดน้ำ หรือเชื้อโรคที่ผสมปนมากับน้ำที่นำมาสาดกันก็สามารถทำให้เกิดโรคได้ทั้งสิ้น

โรคที่มากับการเล่นน้ำที่พบได้มากช่วงสงกรานต์

1.โรคตาแดง หรือ โรคเยื่อตาขาวอักเสบ ( Conjunctivitis, Pink Eye )
2.โรคลมแดด ( Heat Stroke )
3.โรคอาหารเป็นพิษ
4.โรคปอดบวม หรือ ไข้หวัด
5.โรคผิวหนัง

นอกจากโรคที่เกิดจากความอับชื้นที่สร้างปัญหากับผิวแล้ว แสงแดดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหนัง เพราะว่าช่วงหน้าร้อนแสงแดดที่ประเทศไทยจะมีความเข้มของรังสียูวีที่สูงมากถึงระดับ 6-9 จากทั้งหมด 11 ระดับ ซึ่งเมื่อผิวหนังโดดแสงแดดนาน ๆ จะทำให้ผิวหนังแสบร้อนและหลุดลอกออกมาเป็นขุยได้ ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไปและมีการระบุว่าเป็น PA+++ เพื่อที่จะช่วยป้องกันผิวหนังจากทั้ง UVA และ UVB ทำการทาก่อนที่จะออกไปเล่นน้ำอย่างน้อย 30 นาที และควรทาครีมกันแดดเพิ่มทุก ๆ 2 ชั่วโมง เสื้อผ้าที่สวมใส่ควรเป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เพื่อช่วยป้องกันแสงแดดด้วยอีกทางหนึ่ง และหลังจากที่เล่นน้ำมาทั้งวันแล้ว ผิวหนังย่อมต้องเกิดการระคายเคืองทั้งจากแสงแดดและสิ่งสกปรกที่มากับน้ำ การดูแลผิวหลังจากเล่นน้ำมาก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผิวสามารถฟื้นฟูตัวเองให้กลับมามีสุขภาพดีได้ดังเดิม

วิธีการดูแลผิวหลังการตากแดดเล่นน้ำสงกรานต์มาทั้งวัน

1.อาบน้ำเย็น หรือ Cool Down 

หลังจากที่เล่นน้ำมาแล้ว เราต้องรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกออกไป และเพื่อการสุขภาพผิวที่ดีควรอาบด้วยน้ำเย็นหรือจะทำการประคบด้วยผ้าชุบน้ำเย็นกับผ้าห่อน้ำแข็งก็ได้เช่นกัน เพื่อเป็นการลดอุณหภูมิของผิวหนังและร่างกายให้เย็นลง หลังจากที่ร่างกายได้รับความร้อนมาแล้วทั้งวัน การอาบน้ำไม่ควรถูด้วยสบู่หรือครีมที่มีสารทำความสะอาดหรือมีสครับที่ช่วยขัดผิว และควรทำการถูสบู่ด้วยความเบามือเพื่อลดการระคายเคืองผิว 

2.บำรุงผิว

การบำรุงเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ทำได้ด้วยการทาหรือผอกผิวด้วยสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเพื่อความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง เช่น ว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว น้ำนม โยเกิร์ต แตงกวา มะเขือเทศ น้ำผึ้ง กล้วย เป็นต้น โดยนำสมุนไพรมาบดให้ละเอียดและทาทิ้งไว้ประมาณครั้งละ 30 นาที เป็นประจำทุกวันจนกว่าผิวจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

3.ทาครีมกันแดด

การทาครีมกันแดดนอกจากช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดเข้าไปทำร้ายเซลล์ผิวหนังเพิ่มแล้ว ในครีมกันแดดยังสีสารช่วยรักษารอยไหม้บนผิวหนังที่เกิดจากแสงแดดด้วย ทำให้ผิวหนังลดอาการแสบร้อนและพลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้นด้วย

ทำตามวิธีขั้นต้นแล้ว รับรองว่าผิวที่เสียจนน่ากลัวเพราะการเล่นน้ำสงกรานต์ของคุณจะกลับมาสวยใสจนต้องตกตะลึงแน่นอน แต่ว่าบางคนเมื่อเล่นน้ำสงกรานต์แล้วผิวก็เสีย แถมยังมีอาการป่วยเป็นผลจากการเล่นน้ำสงกรานต์เสียด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเราอย่างแน่นอน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ

การป้องกันตัวเองไม่ให้ป่วย ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

1.นอนพักให้เพียงพอ

วันสงกรานต์เป็นวันรวมญาติที่นานครั้งจะได้พบเจอกัน หลายคนไม่ยอมหลับยอมนอนนั่งคุยกันจนเช้า และไปเล่นน้ำต่อ ซึ่งการทำเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกายทำให้มีความเสี่ยงต่อการป่วยได้ง่าย ดังนั้นเราต้องนอนอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยได้ 

2.กินอาหารให้ครบทุกมื้อ

บางคนเที่ยวเล่นจนไม่ลืมกินอาหารไปเลย ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ง่าย และยิ่งไปเล่นน้ำต้องตากแดด ตากลม ทำให้ร่างกายอ่อนแอเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นเราต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อเพื่อที่ร่างกายจะได้มีภูมิต้านทานโรคได้สูงขึ้น

3.ดื่มน้ำมาก ๆ

การดื่มน้ำจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแล้ว น้ำยังช่วยชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไปในขณะที่เราเล่นน้ำโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดบ่อยจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้วยังช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่ไม่สูงจนเป็นลมได้

4.ทำร่างกายให้อบอุ่น

หลังจากที่เล่นน้ำทุกครั้งควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันทีทุกครั้ง และสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นกับร่างกายในทันที อย่าอยู่ในชุดที่เปียกชื้นอย่างนั้นตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นไข้หวัดหรือปอดบวม

5.เล่นแต่พอดี  

การเล่นน้ำทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยที่ไม่มีการพักเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นกับร่างกายเลย เพราะการที่ร่างกายต้องเปียกน้ำจะทำให้ร่างกายมีความชื้นสูง และถ้าต้องไปตากแดดด้วยแล้วร่างกายก็จะมีอุณหภูมิภายในสูงขึ้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่เกิดขึ้น หากร่างกายปรับสภาพไม่ทันจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย ดังนั้นควรเล่นน้ำครั้งละประมาณ 1-2 ชั่วโมง และทำการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย แล้วค่อยไปเล่นใหม่อีกครั้งก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่า

การเตรียมตัวที่ดีย่อมทำให้การเล่นสงกรานต์สนุกมากขึ้น ไม่ต้องอดเล่นน้ำเพราะกลัวว่าจะมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นหลังจากที่ผ่านเทศกาลสงกรานต์ไป

ประเพณีสงกรานต์เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย เราคนไทยก็ควรให้ความสำคัญและปฏิบัติตามประเพณีอันดีงามของไทยที่สืบต่อกันมายาวนาน ควรแต่งกายตามวัฒนธรรม ละเล่นอย่างพอดีและปฏิบัติตามคำแนะนำที่เราได้บอกไว้ข้างต้น รับรองว่าวันสงกรานต์ปีนี้ของทุกคนเล่นน้ำสงกรานต์ได้อย่างสนุกและปลอดภัยแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

10 วิธีเล่นน้ำสงกรานต์แบบปลอดภัย ฉบับวัยรุ่น, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : mthai.com.[13 เม.ย. 2560]

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นหวัด, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : wikihow.com.[13 มี.ค. 2561]

วิธีดูแลผิวเสียไหม้แดดหลังสงกรานต์, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : kapook.com.[18 เม.ย. 2557]

ระวัง 5 โรคที่มากับเทศกาลวันสงกรานต์, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : mamaexpert.com. [9 เม.ย. 2556]

วัคซีนรักษาสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง

0
วัคซีนรักษาสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง
การทดลองวัคซีนเพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์ในหนูทดลอง โดยเจาะจงไปที่การศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันเกิดเอง
วัคซีนรักษาสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง
วัคซีนคือแอนติเจนที่ผลิตมาจากพิษของเชื้อโรคที่ทำให้ไม่มีคุณสมบัติในการก่อให้เกิดโรค แต่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างตัวแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันได้

วัคซีน ( Vaccine )

ภาวะสมองเสื่อมเป็นโรคที่เกิดได้จากหลายสาเหตุและมีลักษณะของอาการหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ความจำเสื่อมหรือเกิดความผิดปกติในระบบควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ ไม่ได้เกิดกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความบกพร่องทางยีนส์มาแต่กำเนิด ขอบข่ายของสมองเสื่อมนั้นกว้างมากๆ และเรายังค้นพบข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา การรักษาจึงมีหลายวิธีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของภาวะสมองเสื่อมในผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล มีตั้งแต่การใช้ยา ใช้วัคซีน การผ่าตัด การบำบัด เป็นต้น และครั้งนี้จะเจาะประเด็นของโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease ) ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างมากของโรคสมองเสื่อมและวัคซีนที่ใช้ในการรักษา

ลักษณะสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ที่ชัดมากๆ ก็คงหนีไม่พ้นอาการหลงๆ ลืมๆ และมีช่วงความทรงจำที่ขาดหายไปอย่างไม่มีนัยสำคัญ นั่นคือบางครั้งอาการก็ปกติ สามารถจดจำทุกอย่างได้ดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่บางครั้งก็มีอาการหนักมากจนต้องทวนซ้ำๆ อยู่ในเรื่องเดิมๆ ไปจนถึงไม่สามารถจดจำสิ่งนั้นได้อีกเลย แต่นี่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของโรคอัลไซเมอร์ เพราะโรคนี้เป็นโรคทางระบบประสาทสมองที่ซับซ้อนมากและเป็นต้นเหตุใหญ่ในการเกิดภาวะสมองเสื่อมด้วย การรักษาส่วนใหญ่ก็จะปรับเปลี่ยนไปตามระดับอาการที่แสดงออกมา เน้นควบคุมและชะลออาการมากกว่าจะรักษาที่ต้นตอให้หายขาด แม้จะมีงานวิจัยตัวยาและวัคซีนที่ใช้เพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีตัวไหนที่ตอบโจทย์ได้จริงๆ ยังคงต้องศึกษาถึงผลกระทบและความเสี่ยงในการใช้ต่อไปอีก ดังนั้นหากจะถามว่าการรักษาอัลไซเมอร์ให้หายเป็นปลิดทิ้งต้องใช้วิธีไหน ก็ต้องตอบว่าตอนนี้ยังไม่มี

วัคซีน คืออะไร

วัคซีน คือสารชีววัตถุหรือแอนติเจน ( Antigen ) ที่ผลิตมาจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรค ซึ่งถูกทำให้ไม่มีคุณสมบัติในการก่อให้เกิดโรคอีกแล้ว แต่ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างตัวแอนติบอดี้ ( Antibody ) หรือภูมิคุ้มกันได้อยู่ ดังนั้นในการผลิตวัคซีนสำหรับรักษาแต่ละโรคจึงต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก และตรวจสอบวัดผลให้แน่ใจจริงๆ ก่อนว่าสามารถนำไปใช้งานได้โดยไม่เป็นอันตราย หากปล่อยปละละเลยในจุดนี้จะทำให้การใช้วัคซีนกลายเป็นการใส่สารพิษเข้าไปในร่างกายแทนที่จะเป็นการรักษาให้หายจากโรคที่เป็นอยู่

การทดลองวัคซีนเพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์ก็เริ่มทำการทดลองในหนูทดลอง โดยเจาะจงไปที่การศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันเกิดเอง ( Active immunization ) หมายถึงภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดจากการฉีดตัวต้นเหตุของเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย โดยมีการลดระดับความรุนแรงของเชื้อโรคนั้นให้น้อยลงก่อน เพื่อให้ร่างกายสามารถจัดการได้ง่าย เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแล้ว ระบบภายในจะเริ่มเรียนรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายเข้ามาและหาวิธีจัดการ ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อป้องกันและกำจัดเชื้อโรคตัวนั้น ตัวอย่างของวัคซีนรักษาโรคอื่นๆ ที่ทำด้วยวิธีนี้ก็คือ โรคไอกรน โรคคอตีบ โรคอหิวาตกโรค โรคไข้รากสาดน้อย เป็นต้น การทดลองนี้หวังผลเพื่อป้องกันการรวมกลุ่มของสารแอมีลอยด์เบต้า ( Beta amyloid หรือ AB ) ที่เป็นตัวการสำคัญในโรคอัลไซเมอร์

การทำงานของวัคซีน

หนูทดลองที่มีลักษณะของโรคอัลไซเมอร์อยู่ก่อนแล้ว ได้รับการฉีดวัคซีนแอมีลอยด์เบต้าแล้วเฝ้าสังเกตการณ์ ผลการทดลองพบว่าปริมาณแผ่นแอมีลอยด์ในสมองของหนูลดจำนวนลง และค่อยๆ เกิดภูมิคุ้มกันที่สามารถต่อต้านสารแอมีลอยด์เบต้าในกระแสเลือดได้ จึงสามารถสรุปประเด็นการทำงานของวัคซีนทดสอบได้ว่า

1. วัคซีนเข้าไปกระตุ้นส่วนไมโครเกลียเซลล์ ซึ่งเป็นส่วนของเซลล์ที่อยู่ในระบบประสาทแต่ไม่ใช่เซลล์ระบบประสาท ทำให้ไมโครเกลียเซลล์กลืนกินสารแอมีลอยด์เบต้าในสมองเข้าไป ส่งผลให้แผ่นแอมีลอยด์เบต้าลดปริมาณลง

2. สารภูมิต้านทานแอมีลอยด์ที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน ทำหน้าที่ป้องกันการรวมกลุ่มกันของสารแอมีลอยด์เบต้า

3. สารแอมีลอยด์เบต้าบางส่วนไหลผ่านทำนบกั้นระหว่างเลือดกับสมองเข้าสู่น้ำไขสันหลัง แล้วไหลต่อไปยังกลุ่มเลือดดำ ตามสมมติฐานอ่างล้างจานรอบข้าง ( Peripheral Sink Hypothesix )

จะเห็นว่าวัคซีนที่ทดลองใช้ได้ผลดีมากในหนูทดลอง กลายเป็นเรื่องน่าสนใจและคุ้มค่าที่จะทดลองใช้ในคนเพื่อให้ได้วัคซีนเพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์ที่เป็นมาตรฐานในท้ายที่สุด แต่เมื่อศาสตราจารย์ นายแพทย์คริสโตเฟอร์ฮอกค์ ( Prof.Dr.Christopher Kock ) และคณะ ได้ทดลองแอมีลอยด์เบต้าวัคซีนในคนเมื่อปี 2546 กลับพบว่าอาสาสมัครจำนวน 18 คนจากทั้งหมด 298 คน คิดเป็นร้อยละ 6 ของอาสาสมัครทั้งหมด มีอาการเยื่อหุ้มสมองและบางส่วนของสมองเกิดอาการอับเสบขึ้นในช่วง 6 เดือนแรก จึงทำให้การศึกษาต้องหยุดชะงักลงในทันที และข้อมูลจากการทดลองที่ได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดหยุดโครงการ ก็พบว่าอาสาสมัครบางคนมีความจำและกระบวนการคิดที่ดีขึ้นจริง แต่ก็มีบางคนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจากการศึกษาครั้งนี้ด้วย ความเสี่ยงของการใช้วัคซีนชนิดนี้จึงมากเกินกว่าจะนำมาใช้งานเพื่อการรักษาอัลไซเมอร์ในผู้ป่วยจริงๆ

เมื่อการยกประเด็นของภูมิคุ้มกันเกิดเอง ( Active immunization ) มาศึกษาและยังไม่ได้ผลแบบที่พึงพอใจ จึงมีการหยิบเอากรณีของการก่อภูมิคุ้มกันรับมา ( Passive immunization ) มาใช้ในการศึกษาต่อยอดแทน ภูมิคุ้มกันรับมา ( Passive immunization ) หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดผลผลิตจากเลือดของสัตว์หรือมนุษย์ก็ได้ ซึ่งรู้แน่ชัดว่ามีภูมิคุ้มกันของโรคนั้นๆ อยู่แล้ว เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายจึงเหมือนว่าได้รับภูมิคุ้มกันโรคนั้นเลยในทันที และร่างกายยังเรียนรู้ที่จะสร้างเลียนแบบภูมิคุ้มกันเหล่านั้นได้ด้วย เมื่อร่างกายสร้างเป็นแล้วก็ถือว่ามีภูมิคุ้มกันโรคโดยสมบูรณ์ การทดลองเพื่อสร้างวัคซีนรักษาโรคอัลไซเมอร์ครั้งนี้ทำการทดลองในหนูทดลองเช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็นการฉีดภูมิคุ้มกันรับมาในหนูที่เป็นอัลไซเมอร์ พบว่าหนูมีศักยภาพของสมองเพิ่มมากขึ้น แต่กลับมีอาการเลือดออกในสมองและหลอดเลือดสมองอักเสบร่วมด้วย

นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้ อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ ( lntravenous lmmunoglobulin: lVlG ) ด้วย โดยฉีดสารสร้างภูมิคุ้มกันรวมกับกระแสเลือดทางหลอดเลือดดำ หวังให้ไปกำจัดแผ่นแอมีลอยด์เบต้าที่เกิดขึ้นในสมอง วิธีการนี้มีการทดลองในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เป็นมนุษย์ด้วยแต่ก็ไม่พบผลการรักษาหรือความเปลี่ยนแปลงใดที่น่าสนใจเป็นพิเศษเลย

ขณะที่การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนสำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ยังคงดำเนินไป ความลับของสาเหตุการเกิดโรคก็เผยให้วงการแพทย์ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์นั่นเอง เราจึงได้เห็นงานวิจัยหลายฉบับกับการทดลองอีกหลายระลอก และเริ่มมีการทดลองในมนุษย์เพิ่มมากขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงใดๆ เพราะเราสามารถกำหนดความสามารถของตัววัคซีนได้แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น สามารถกำหนดได้ว่าวัคซีนต้องมีผลต่อแอมีลอยด์เบต้าที่เป็นพิษเท่านั้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการขยายผลไปถึงการค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนต้านสารโปรตีนเทา ( Tau ) ด้วย เนื่องจากสารโปรตีนเทาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวพันกับโรคอัลไซเมอร์ด้วยเช่นกัน เป็นการศึกษาในสัตว์ทดลองที่ยังไม่มีข้อสรุปอะไรที่เป็นประเด็นสำคัญนัก เพียงแค่ได้รู้ว่ามีความคืบหน้าไปยังสารโปรตีนเทาบ้างแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม วัคซีนสำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ก็ยังไม่มีตัวไหนเลยที่ถูกบรรจุเป็นวัคซีนมาตรฐานซึ่งใช้ได้ทั่วไป ในแต่ละงานวิจัยหรือการทดลอง อาจจะมีวัคซีนหลายตัวที่น่าจะเป็นความหวังในการนำไปต่อยอดได้จริง แต่ก็ยังต้องศึกษาเพื่อยืนยันประสิทธิภาพซ้ำอีกจนกว่าจะแน่ใจ เพราะเพียงเปอร์เซ็นต์เดียวที่ทำให้เกิดอันตรายก็ถือว่าไม่คุ้มค่าต่อการนำมาใช้งาน การต่อสู้กับโรคอัลไซเมอร์ของวงการแพทย์จากอดีตถึงปัจจุบัน อาจจะดูคล้ายกับการเลือกตัดสายไฟที่ไม่รู้แน่ว่าเป็นเส้นไหนแล้วเฝ้าหวังว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีที่สุด แต่มันก็ไม่ใช่การกระทำที่เสียเปล่า เมื่อทุกอย่างมีการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จะเป็นข้อมูลที่ใหญ่หรือเล็กก็สามารถนำไปต่อยอดได้ทั้งหมด ทั้งนักวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์จึงยังต้องค้นคว้ากันต่อไป และมันจะนำไปสู่ผลสำเร็จในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

การตรวจหามะเร็ง มีวิธีการตรวจอะไรบ้าง

0
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งมีวิธีอะไรบ้าง
มะเร็งเกิดขึ้นได้ในอวัยวะต่างๆ ทั้งสมอง ลำไส้ กระเพาะ ปอด ไต
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งมีวิธีอะไรบ้าง
วิธีตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งอย่างละเอียดในผู็ป่วยโรคมะเร็ง

การตรวจหามะเร็ง

การหาตรวจมะเร็ง หมายถึง การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งในทุกด้านตามวิธีการทางการแพทย์ เช่น

  • การวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ?
  • การประเมินระยะของโรคมะเร็งที่เป็นในคนไข้
  • การประเมินสุขภาพผู้ป่วย เพื่อพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสม
  • การประเมินผลในช่วงก่อนการรักษาและหลังการรักษาว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร
  • การติดตามชีวิตของผู้ป่วยเพื่อดูผลการกลับมาเป็นซ้ำของโรคมะเร็ง รวมไปถึงเรื่องของการแพร่กระจาย การเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ 2 เพื่อนำมาทำบันทึกและศึกษาการคัดกรองโรคมะเร็งที่มักเกิดขึ้นบ่อยในอนาคต

  [adinserter name=”มะเร็ง”]

วิธีการตรวจหามะเร็ง

วิธีการตรวจวินิจฉัยมีวิธีการทางการแพทย์ดังต่อนี้

1. การตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายสำหรับผู้สงสัยจะเป็นมะเร็ง มี 2 ลักษณะด้วยกันคือ การตรวจร่างกายทั่วไปและการตรวจเฉพาะที่

1.1 การตรวจร่างกายทั่วไป

การตรวจร่างกายทั่วไปมักตรวจเบื้องต้นโดยพยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาลก่อนพบแพทย์ เพื่อซักประวัติ และดูสุขภาพโดยรวม ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสัญญาณชีพ (ตรวจจับชีพจร การหายใจ วัดอุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิต) การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง หากเป็นผู้ป่วยที่เคยได้รับยาเคมีบำบัด ต้องนำน้ำหนักและส่วนสูงไปคำนวณปริมาณยาเคมี  บำบัดด้วยจากนั้นจึงส่งผู้ป่วยพร้อมข้อมูลไปให้แพทย์ตรวจอาการ ซึ่งแพทย์จะเริ่มตรวจอวัยวะสำคัญ อย่าง ปอด หัวใจ ช่องท้อง ผิวหนังทั่วไป และตรวจต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

1.2 การตรวจร่างกายเฉพาะที่

การตรวจร่างกายเฉพาะที่ แพทย์จะเน้นไปที่จุดที่มีอาการสำคัญ และในตำแหน่งอื่นๆ ที่ผู้ป่วยมีอาการ ประกอบกับกับการตรวจคลำต่อมน้ำเหลืองใกล้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง เช่น หากเป็นก้อนที่คอ ก็จะตรวจคอ ตรวจช่องปาก และต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอด้วย ซึ่งการตรวจเฉพาะที่มักตรวจคู่กับการตรวจร่างกายทั่วไปเสมอ

1.3 การตรวจร่างกายประเมินการแพร่กระจายของโรค

การตรวจร่างกายเพื่อประเมินการแพร่กระจายของโรค แพทย์จะตรวจร่างกายในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ ที่พบบ่อยๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกล ตับ และปอด แพทย์จะตรวจคลำช่องท้องเพื่อดูขนาดของตับและก้อนเนื้อผิดปกติต่างๆ ร่วมกับการตรวจฟังการหายใจดูความผิดปกติของปอด เป็นต้น

2. การตรวจเลือด

เป็นการเจาะเลือดแล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ/แล็บ ( laboratory ) เพื่อดูค่าต่างๆ ในการวินิจฉัยโรคและดูการทำงานของอวัยวะต่างๆ แต่โดยทั่วไปมักเจาะในช่วงเช้า ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการตรวจ เช่น ตรวจเลือดซีบีซี (ตรวจดูค่าเม็ดเลือด) สามารถตรวจได้ทุกเวลา เพราะไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำ การงดอาหารและน้ำในการตรวจเลือดมีตั้งแต่ 1-12 ชั่วโมง ถ้าตรวจเลือดตอนเช้า จะต้องงดอาหารตั้งแต่หลังเที่ยงคืน เพื่อให้ได้ค่าการตรวจถูกต้องแม่นยำ ซึ่งการตรวจเลือดบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือน้ำ โดยเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่มีขนาดใหญ่ ปริมาณเลือดจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่แพทย์ต้องการตรวจ มีตั้งแต่ใช้เป็นหยด ( CBC ) ไปจนถึงประมาณ 15-30 มิลลิลิตรหรือซีซี และทราบผลภายใน 1-24 ชั่วโมง หลังเจาะเลือดเสร็จแล้ว ผู้ป่วยสามารถกินอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ ยกเว้นแพทย์หรือพยาบาลจะมีข้อแนะนำอย่างอื่น  [adinserter name=”มะเร็ง”]

2.1 การตรวจเลือดซีบีซี

การตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด Complete Blood Count ( CBC ) เป็นการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบดูโรคและความแข็งแรงของการทำงานของไขกระดูกว่าเกิดความผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดต่าง ๆ ในร่างกายหรือไม่ วิธีตรวจเหมือนกับการตรวจเลือดทั่วไป ก็คือการเจาะปลายนิ้ว หรือเจาะเข้าที่บริเวณหลอดเลือดดำ ใช้ปริมาณเลือดค่อนข้างน้อย เพียง 1-3 มิลลิลิตรเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องอดน้ำและอาหารก่อนการเจาะเลือด โดยเม็ดเลือดแดงที่จะใช้ในการตรวจสอบ มีดังต่อไปนี้

1. ตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีภาวะซีดจากการขาดเม็ดเลือดแดงหรือไม่

2. การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว White Blood Cell ( WBC ) เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

3. การตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือด ( Platelet Count ) ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด

4. ตรวจสอบลักษณะเม็ดเลือดแดง-ขาว หากเกิดความผิดปกติ จะสามารถวินิจฉัยอาการบางโรคได้ทันที

2.2 การตรวจเลือดดูค่าน้ำตาล

ในกรณีที่ต้องมีการตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะต้องมีการงดอาหารก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 10-20 ชั่วโมง การตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลถือเป็นการประเมินสุขภาพของผู้ป่วยเป็นโดยรวม

2.3 การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไต และต่อมไทรอยด์

เป็นการประเมินสุขภาพของผู้ป่วยอย่างหนึ่ง สำหรับการตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไตจำเป็นต้องงดอาหารและน้ำก่อนตรวจอย่างน้อย 10-12 ชั่วโมง ส่วนการตรวจเลือดดูการทำงานเฉพาะของต่อมไทรอยด์เพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำดื่ม  ถ้าตรวจพบว่าการทำงานของตับผิดปกติมาก ซึ่งแพทย์มักตรวจภาพตับเพิ่มเติมเพื่อยืนยันข้อสงสัย ด้วยการสั่งให้อัลตราซาวด์เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอ็มอาร์ไอ

2.4 การตรวจเลือดดูค่าเกลือแร่

การตรวจเลือดดูค่าเกลือแร่ จะตรวจเพื่อดูค่าสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย หากเกลือแร่เสียสมดุลจะส่งผลให้ความดันโลหิตผิดปกติ มีอาการมึนงง วิงเวียน และหมดสติ ซึ่งในการรักษาโรคมะเร็งหากพบว่าร่างกายอยู่ในภาวะเกินสมดุล ตรวจเลือดแล้วพบว่ามีค่าเกลือแร่ผิดปกติ แพทย์จะต้องหาสาเหตุและให้การรักษาจนกว่าค่าเกลือแร่จะอยู่ในระดับสมดุล จึงจะเริ่มให้การรักษาโรคมะเร็งอีกครั้ง โดยเฉพาะในการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งการตรวจเลือดดูค่าสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายต้องงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 10-12 ชั่วโมง

2.5 การตรวจเลือดอื่นๆ

การตรวจเลือดอื่นๆ จะทำการตรวจเพื่อหาโรคร่วมที่มักพบบ่อยในผู้ป่วยมะเร็ง และอาจส่งผลกระทบถึงการรักษาหรือผลข้างเคียงจากการรักษา โดยเฉพาะการติดเชื้อต่างๆ เช่น ตรวจการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อไวรัสเอชไอวี ( HIV ) หรือเชื้อซิฟิลิส ซึ่งแพทย์ต้องนำมาปรับใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง หรืออาจเป็นโรคติดต่อที่บุคลากรทางแพทย์และผู้ป่วยด้วยกันเอง ต้องระมัดระวังป้องกันเป็นต้น

3. การตรวจสารมะเร็ง

สารมะเร็ง หรือ ทูเมอร์มาร์กเกอร์ ( tumor marker ) เป็นสารประกอบที่อาจสร้างได้ทั้งจากเซลล์ปกติ เซลล์อักเสบ และเซลล์มะเร็งบางชนิด อีกทั้งเป็นได้ทั้งสารเคมี เอนไซม์ สารที่เคยมี เป็นตัวอ่อน ยีน หรือฮอร์โมน ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็ง ซึ่งหากเป็นมะเร็งชนิดที่สร้างสารนี้แล้ว จะพบว่ามีการสร้างสารนี้มากเกินปกติ แพทย์จึงสามารถนำมาใช้ประเมินผลการรักษาพร้อมทั้งใช้ตรวจการแพร่กระจายของเชื้อโรคหรือการเป็นซ้ำ แต่ไม่นิยมนำสารมะเร็งมาใช้เพื่อวินิจฉัยโรคมะเร็ง เพราะอาจได้ผลการตรวจที่ไม่แน่นอน เว้นแต่ในมะเร็งตับชนิดเกิดจากเซลล์ตับ (HCC) และโรคมะเร็งชนิดเจิร์มเซลล์ ( germ cell tumor )เท่านั้น บริเวณที่ตรวจพบสารมะเร็ง สามารถพบได้ทั้งในเลือด ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง หรือของเหลวในร่างกาย โรคมะเร็งที่ยอมรับการตรวจสารมะเร็งเป็นการตรวจมาตรฐาน เพื่อติดตามผลการรักษา ก็เช่น โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งระบบทางเดินน้ำดี โรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งชนิดเจิร์มเซลล์ทูเมอร์ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งรังไข่ และโรคมะเร็งระบบโลหิตวิทยา เป็นต้น  [adinserter name=”มะเร็ง”]

4. การตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะ ก็คือการนำน้ำปัสสาวะของผู้ป่วยไปตรวจด้วยวิธีทางการแพทย์ในห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อ เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะและไต ( การอักเสบ การเกิดนิ่ว รวมทั้งการเกิดโรคเบาหวาน ) การเก็บน้ำปัสสาวะมาตรวจ สามารถเก็บได้ทุกเวลา โดยที่ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำมาก่อน ( แต่ต้องไม่ดื่มน้ำเพิ่ม ) ภาชนะที่มีความจุประมาณ 5 มิลลิลิตรหลังจากนั้นก็รอผลตรวจประมาณ 1-12 ชั่วโมง ( บางโรคอาจใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมง ) ในคนปกติทั่วไปจะมีปัสสาวะปกติต้องมีสีเหลืองอ่อน ใส ไม่มีสิ่งใด ๆ เจือปนเลย

5. การตรวจอุจจาระ

การตรวจอุจจาระที่ถูกต้อง จะต้องเก็บอุจจาระในช่วงเช้า โดยต้องเก็บให้ได้ประมาณ 1-3 ในภาชนะปลอดเชื้อที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จัดเตรียมให้ แล้วนำกลับมาให้เจ้าหน้าที่ ไม่ต้องงดอาหารและน้ำดื่ม ทำตัวตามปกติ การตรวจอุจจาระสามารถตรวจหาไข่พยาธิ ตัวพยาธิ เม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดงได้ โดยจะทราบผลตรวจภายใน 1-24 ชั่วโมง

6. การตรวจย้อมเชื้อ

การตรวจย้อมเชื้อ เป็นการตรวจหาเชื้อโรคในร่างกายจากสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ปัสสาวะหรืออุจจาระ โดยนำสารคัดหลังที่เก็บมาไปย้อมด้วยสารเคมีบางชนิด เพื่อให้ได้ตัวเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ จากนั้นก็นำกล้องจุลทรรศน์ โดยเก็บสารคัดหลังในภาชนะที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมให้ แล้วนำมาส่งคืน จะทราบผลตรวจภายใน 1-24 ชั่วโมง

7. การตรวจเพาะเชื้อ

วิธีนี้แพทย์จะนำสารคัดหลั่ง ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำไขสันหลัง เลือด ชิ้นเนื้อ รวมทั้งเลือดที่ต้องการตรวจ มาเพาะเลี้ยงด้วยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ โดยสามารถทราบผลการตรวจได้ตั้งแต่ 2-3 วัน จนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่ตรวจ เพื่อดูว่าการติดเชื้อนั้นเกิดจากเชื้อโรคอะไรกันแน่ หรือเชื้อชนิดนั้นดื้อหรือตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะชนิดใด แพทย์จะได้เลือกใช้ยาได้อย่างถูกต้อง การตรวจเพาะเชื้อบางชนิดไม่สามารถทำได้ทุกโรงพยาบาล ส่วนใหญ่จะทำได้เฉพาะในโรงพยาบาลหลักหรือไม่ก็ต้องส่งตรวจที่ต่างประเทศ หากเป็นแบบนี้จะทำให้ล่าช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง

8. การตรวจเอกซเรย์

การตรวจเอกซเรย์หรือรังสีวินิจฉัย มีประโยชน์ในการตรวจดูเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่ผิดปกติ เนื้อเยื่อที่มีการอักเสบติดเชื้อ ตลอดจนเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่มีก้อนเนื้อหรือมีแผลซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นแผลมะเร็ง โดยแพทย์จะตัดชิ้นเนื้อ เจาะ หรือดูดเซลล์ไปตรวจทางพยาธิวิทยาหรือเซลล์วิทยา ซึ่งภาพจากการตรวจทางรังสีวินิจฉัยจะมีการบันทึกได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นฟิล์ม ซีดี หรือดีวีดี เป็นได้ทั้งภาพสีและภาพขาวดำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับนโยบายและชนิดของเครื่องแต่ละโรงบาล

8.1 การตรวจเอกซเรย์ธรรมดา

การตรวจเอกซเรย์ธรรมดาเป็นการตรวจภาพอวัยวะภายในเบื้องต้น ด้วยรังสีเอกซ์ ( x-ray ) แบบ 2 มิติเพื่อวินิจฉัยโรคต่างๆ รูปที่ได้ออกมาจึงเป็นแบบภาพรวมของด้านกว้างและด้านขวาง ซึ่งแต่ละภาคจะแสดงผลเพียงด้านเดียวเช่น ด้านหน้าหรือด้านข้าง ส่วนใหญ่มักนำมาดูการแพร่กระจายของโรคมะเร็งเข้าสู่อวัยวะ ใดบ้าง หรือไม่ก็นำมาตรวจดูกระดูก ซึ่งส่วนที่นิยมตรวจก็เช่น ปอด กระดูกขาหรือกระดูกสันหลัง เป็นต้นขั้นตอนในการตรวจเอกซเรย์ธรรมดาไม่มีอะไรยุ่งยาก สามารถตรวจได้เลยเพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาล ถอดเครื่องประดับต่างๆออกให้หมด เนื่องจากเสื้อผ้าหนาๆที่เราสวมไปหรือพวกเครื่องประดับโลหะ เหรียญต่างๆ จะทำให้ได้ผลภาพเอกซเรย์ออกมาผิดปกติ ส่งผลให้การวินิจฉัยผิดพลาดคิดว่าเป็นก้อนเนื้อได้ ส่วนผลจะทราบได้ในวันเดียวกัน หรือหากมีคนตรวจจำนวนมากอย่างช้าไม่น่าจะเกิน 2 วัน ขึ้นอยู่กับความเร่งด่วน  [adinserter name=”มะเร็ง”]

8.2 การตรวจอัลตราซาวด์

การตรวจอัลตราซาวด์ ( โซโนแกรม ) เป็นการตรวจเบื้องต้นที่แพทย์นิยมใช้เช่นกัน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือเอ็มอาร์ไอมาก โดยการทำงานจะเป็นการสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งคลื่นนี้เมื่อผ่านเนื้อเยื่อแต่ละชนิด จะสะท้อนกลับออกมาเป็นภาพ 2 มิติให้เห็น ส่วนใหญ่ใช้กับการตรวจความผิดปกติที่เป็นการอักเสบ เป็นน้ำ เป็นเลือด หรือเป็นก้อนเนื้อ โดยเฉพาะเมื่อสงสัยว่าจะมีการแพร่ของโรคมะเร็งเข้าสู่อวัยวะอื่น เช่น ตรวจตับเพื่อดูว่ามีโรคมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่ตับหรือไม่ เป็นต้น อวัยวะที่นิยมตรวจด้วยอัลตราซาวด์ เช่น ต่อมไทรอยด์ ตับ ไต ช่องท้อง รังไข่ มดลูก การตรวจวัดความหนาของเยื่อบุมดลูก ( เยื่อบุโพรงมดลูก ) เต้านม ในการตรวจอัลตร้าซาวด์ ไม่ต้องกังวลใดๆเพราะไม่มีการเจาะเลือด ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องใช้ยานอนหลับ หรือยาสลบ สตรีมีครรภ์ก็สามารถตรวจได้ โดยผู้ป่วยจะนอนราบบนเตียง เปิดเสื้อผ้าในบริเวณที่แพทย์ต้องการตรวจ จากนั้นแพทย์จะทาเจลใสลงไปบนผิวหนังบริเวณนั้น จะให้ความรู้สึกลื่นๆเย็นๆเพลินๆเพื่อที่จะช่วยให้หัวเครื่องถูบนผิวหนังได้อย่างราบลื่นไม่ฝืดหรือติด และคลื่นเสียงสามารถผ่านจากหัวเครื่องเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพส่วนผลการตรวจโดยทั่วไปแพทย์รังสีจะแจ้งผลคร่าวๆให้ทราบทันที

8.3 การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน ( CT scan:computerized tomography ) แคสแกน ( CAT scan:computerized axial tomography ) เป็นการตรวจที่ให้ผลดีกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา เนื่องจากให้ผลละเอียดเป็นภาพ 3 มิติ เห็นเนื้อเยื่อได้อย่างชัดเจนจากภาพตัดขวางของอวัยวะต่างๆ หลายสิบภาพต่ออวัยวะ การวินิจฉัยจึงแม่นยำขึ้น การตรวจแบบนี้อาจต้องมีงดอาหารและน้ำก่อนตรวจ หากมีการฉีดสารทึบรังสีเพื่อช่วยเพิ่มการเห็นภาพซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ทำการตรวจ

โดยสารทึบรังสีที่ฉีดนี้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น เกิดผื่นคัน หรืออาจแพ้จนช็อก หมดสติ และเสียชีวิต ( แต่พบได้น้อยมาก ) ผู้ป่วยจึงต้องแจ้งประวัติการแพ้ ยา รวมไปถึงโรคประจำตัวให้กับแพทย์ทราบ นอกจากนี้สารดังกล่าวอาจมีผลต่อการทำงานของไต จึงต้องมีการตรวจการทำงานของไตก่อน สำหรับสตรีตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรแพทย์อาจให้งดเลี้ยงทารกด้วยน้ำนมแม่ประมาณ 1-2 วันหลังการฉีดสารทึบรังสี ในขณะที่ตรวจหากมีอาการผิดปกติหรือต้องการติดต่อเจ้าหน้าที่ขณะตรวจก็สามารถพูดติดต่อได้ เพราะด้านในจะมีเครื่องรับเสียง และมีเจ้าหน้าที่รังสีคอยเฝ้าดูผู้ป่วยผ่านกล้องวงจรปิดตลอดเวลา หากมีสิ่งใดผิดปกติเจ้าหน้าที่สามารถช่วยได้ทันที ส่วนเวลาที่ใช้ตรวจประมาณ 20 นาที-1 ชั่วโมง แล้วแต่อวัยวะที่ใช้ตรวจ

เมื่อตรวจเสร็จ เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยนอนหรือนั่งพักจนกว่าจะผ่อนคลายจากการตรวจ เพราะการลุกขึ้นยืนหรือเดินทันทีอาจมึนงงจนหกล้มได้ สำหรับคนที่ไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำ ขอให้ทำการปัสสาวะออกมาให้เร็วที่สุดเพื่อขับสารทึบรังสีออกมา เป็นการลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่อไตได้ ส่วนผลตรวจหากเป็นการตรวจในสถานพยาบาลที่มีผู้ป่วยน้อย มักทราบผลภายใน 1-3 ชั่วโมง แต่ถ้าตรวจในโรงพยาบาลรัฐบาลอาจต้องรอฟังผล 3 ถึง 7 วัน หรือทราบผลวันที่แพทย์นัดเลยทีเดียว

8.4 การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ เอ็มอาร์ไอ ( MRI : magnetic resonance imaging ) มีลักษณะการตรวจและการเตรียมตัวคล้ายกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นอีกการตรวจที่นิยมในปัจจุบัน โดยแพทย์จะใช้ในกรณีที่การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้ เช่น กระดูก กล้ามเนื้อประสาท ไขสันหลัง และสมอง เนื่องจากมีราคาแพงกว่าการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์มาก ซึ่งการตรวจแบบนี้จะใช้ดูเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับคลื่นวิทยุ ที่ไม่ใช่รังสีเอกซ์ โดยจะให้ผลที่ชัดเจนมากกว่า และสามารถตรวจสอบหลอดเลือดได้ การใช้งานของเครื่องและข้อแนะนำคล้ายกับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์  [adinserter name=”มะเร็ง”]

8.5 การถ่ายภาพรังสีเต้านม

วิธีการถ่ายภาพรังสีของเต้านมหรือที่เราเรียกกันว่า “ แมมโมแกรม ( Mammogram ) ” ซึ่งนี่เป็นวิธีการตรวจแบบที่อาศัยรังสีเอกซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีข้อห้ามมีข้อจำกัดมากมายและเป็นสิ่งที่มีลักษณะเดียวกันกับการเอกซเรย์แบบธรรมดาทั่วไปที่พบเจอตามโรงพยาบาล สำหรับการตรวจแบบนี้จะต้องให้ผู้ป่วยตรวจในลักษณะท่ายืนตรงจากนั้นให้นำเต้านมไปวางลงบนเครื่องทีละข้าง จากนั้นเครื่องก็จะทำการบีบส่วนของเนื้อเต้านม การทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะทำการตรวจโรคที่เกี่ยวกับเต้านม ภาพที่ออกมาจะได้มีความชัดเจน สำหรับการเตรียมตัวสำหรับการไปตรวจแบบแมมโมแกรมจะต้องทำการเตรียมตัวเช่นเดียวกันกับการตรวจเอกซเรย์แบบทั่วไปแต่ที่พิเศษกว่าเล็กน้อย คือ ผู้ป่วยจะต้องไม่ทาโลชั่น ไม่ทาแป้ง ไม่ทาสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวมาเลย เพราะ สิ่งเหล่านั้นอาจทำให้ผลการตรวจเกิดความผิดพลาด อาจกลายเป็นว่าเครื่องแปลผลเป็นพบสิ่งเหล่านั้นเป็นก้อนเนื้อแทน

8.6 การตรวจและการรักษาทางด้านรังสีร่วมรักษา

สำหรับวิธีการรักษาแบบรังสีร่วมรักษาหรือชื่อภาษาอังกฤษ คือ INTERVENTIONAL RADIOLOGY นั้นทางการแพทย์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาขาสำคัญของหน่วยงานทางด้านรังสีวินิจฉัย เป็นวิธีการที่มีทั้งแบบที่เพื่อการตรวจวินิจฉัยกับแบบเพื่อการรักษาโรค และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการให้ผู้ป่วยเซ็นยินยอมที่จะเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ สำหรับการตรวจรักษาแบบนี้ ได้แก่

  • การตรวจภาพรังสีของหลอดเลือด ชื่อภาษาอังกฤษ คือ ANGIOGRAPHY VENOGRAPHY เป็นการตรวจเพื่อตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดภายในร่างกาย เป็นการรักษาสำหรับบุคคลที่เกิดภาวะเลือดออกแบบรุนแรงมาก
  • การบันทึกภาพรังสีที่หลอดเลือดสามารถทำได้ด้วยการนำเอาท่อขนาดเล็กสอดเข้าไปภายในหลอดเลือดซึ่งตามปกติจะมีขนาดของท่ออยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กกลางประมาณ 2 มิลลิเมตร เวลาสอดเข้าไปผ่านทางหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดงก็ได้แล้วแต่ความเห็นควรของทางทีมแพทย์ เมื่อถึงจุดที่ต้องการก็จะทำการฉีดเข้าไปสารที่เป็นสารทึบรังสีฉีดเข้าไปภายในเส้นเลือดเพื่อที่จะให้เกิดภาพที่ชัดเจนมากขึ้นซึ่งสารที่นำมาใช้นั้นจะเป็นสารเดียวกันกับที่ใช้สำหรับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซึ่งผลข้างเคียงก็จะคล้ายๆกัน
  • ผู้ป่วยก่อนที่จะถ่ายภาพรังสีที่หลอดเลือด ต้องงดน้ำ งดอาหาร แต่สามารถที่จะจิบน้ำเบาๆ ได้ ในช่วงระยะเวลา 2 ชั่วโมงก่อนที่จะทำการตรวจร่างกายจริง วิธีการตรวจก็จะให้ผู้ป่วยนอนรายหงายไปกับเตียงจากนั้นจะทำการฉีดยาชาเข้าไปในจุดที่ต้องการจะสอดท่อเข้าไป เมื่อหลังจากที่ทำการตรวจเสร็จเรียบร้อยทางแพทย์ก็จะให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่ภายในห้องพักแบบชั่วคราว เพื่อที่จะสังเกตอาการ จะสังเกตประมาณ 24 ถึง 48 ชั่วโมง ส่วนผลการตรวจก็จะทราบได้ภายในระยะเวลา 3-7 วันหลังจากวันตรวจ

9. การตรวจและรักษาทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์

ใช้เพื่อการตรวจและเพื่อการรักษาโดยการใช้รังสีในลักษณะของยาจะมาในรูปแบบของน้ำยา ( สำหรับในยุคปัจจุบันนี้มีแร่ธาตุไอโอดีนที่ใช้เพื่อการรักษาโรคสำคัญอย่างโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ จะเป็นในรูปแบบของผงแคปซูล ) และในการใช้รังสีสำหรับภายในร่างกายจะเป็นการกิน การฉีด การใส่ลงไปตามโพรง อาทิเช่น โพรงเยื่อหุ้มปอด, โพรงเยื่อในช่องท้อง

9.1 การตรวจสแกนกระดูก

ในการตรวจเพื่อการสแกนกระดูกนั้นสามารถที่จะทำการตรวจได้เลยทันทีโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีการงดอาหารหรืองดน้ำ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรังสีจะเริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำยาและส่วนของแร่รังสีเข้าไปโดยฉีดผ่านทางเส้นลอดเลือดดำที่อยู่ที่แขน หลังจากนั้นก็ให้ผู้ป่วยรอเป็นระยะเวลาประมาณ 30 นาที-2 ชั่วโมงเพื่อที่แร่รังสีที่ฉีดเข้าไปจะได้แพร่กระจายไปทั่วกระดูกทุกส่วน น้ำแร่รังสีที่ทำการฉีดเข้าไปนั้นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะได้ นั่นจึงทำให้ทางทีมแพทย์จึงแจ้งกับทางผู้ป่วยให้ดื่มในปริมาณที่มาก ๆ เข้าไว้ในระหว่างที่กำลังรอตรวจ การตรวจสแกนกระดูกนี้จะใช้เวลาโดยรวมอยู่ที่ 30 นาทีจนถึง 1 ชั่วโมง โรงพยาบาลมักจะให้ผู้ป่วยรับผลการตรวจได้ในทันทีแต่หากเป็นกรณีที่เป็นโรงพยาบาลที่มีจำนวนผู้ตรวจค่อนข้างมากอาจจะทราบผลภายในระเวลา 1 ถึง 3 วัน    [adinserter name=”มะเร็ง”]

9.2 การตรวจแสกนแบบทั้งตัวในกรณีของโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์

สำหรับวิธีนี้จะเป็นการตรวจในภายหลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดไทรอยด์เรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นการช่วยในเรื่องของการวินิจฉัยต่อมไทรอยด์ในส่วนที่เหลือหลังจากเข้ารับการผ่าตัดและในส่วนของเนื้อเยื่อที่อาจมีเชื้อโรคบางโรคแพร่กระจายอยู่ และเพื่อเป็นการติดตามโรคหลังจากเข้ารับการรักษาว่ายังคงมีส่วนของเนื้อต่อมไทรอยด์หลงเหลืออยู่หรือไม่ สำหรับวิธีการตรวจนั้นก็จะมีลักษณะแบบเดียวกันกับการสแกนกระดูก แต่สิ่งที่มีความแตกต่างนั่นคือ ส่วนของน้ำยาแร่รังสีที่ใช้เพราอาจจะเป็นได้ทั้งน้ำยาแร่รังสีไอโอดีนหรืออาจะเป็นแร่รังสีรูปแบบอื่นก็ได้ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทางแพทย์ผู้ให้การรักษาในรายนั้น ๆ

9.3 การตรวจแบบเพ็ตสแกน

การตรวจรูปแบบนี้เป็นการตรวจภาพของชิ้นก้อนเนื้อหรือภาพของอวัยวะทั้งตัวนั่นก็เพื่อเป็นการตรวจวินิจฉัยกรณีการ กลับมาเป็นซ้ำอีกรอบหรือการแพร่กระจายของโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง การตรวจด้วยวิธีนี้เพียงวิธีเดียวไม่นิยมสำหรับการตรวจเพื่อวินิจฉัยลงไปเลยว่าผู้ป่วยนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ เพราะ ผลที่แสดงอาจยังไม่สามารถชีชัดได้อย่างแน่นอนจำเป็นจะต้องมีการตรวจชิ้นเนื้อควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า

9.4 การตรวจการบีบตัวของหัวใจทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์

สำหรับการตรวจรักษาทางด้านของเวชศาสตร์นิวเคลียร์นั้นเป็นวิธีที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นการให้ผู้ป่วยทานแร่รังสีไอโอดีนเข้าไป ซึ่งการทำเช่นนี้จะเป้นที่จะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าด้วยการให้งดรับประทานอาหารทุกประเภท งาการทานยาที่มีส่วนผสมของเหลือแร่ไอโอดีน ในช่วงของก่อนการเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทานเฉพาะอาหารที่เป็นรสจืดเท่านั้น ( ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนการเข้ารับการรักษา ) เนื่องจาก อาหารรสชาติจัดอาจมีส่วนผสมของเกลือไอโอดีนสูง หากทานอาหารรสชาติอื่นอาจส่งผลกระทบต่อการจับแร่รังสีไอโอดีนที่เซลล์มะเร็ง กลายเป็นว่าประสิทธิภาพในการรักษาลดต่ำลงอย่างมากแทน ขั้นตอนของการรักษาผู้ป่วยนั้นทางแพทย์จะให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องพักแบบแยกห้องกับผู้อื่นนั่นก็เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากตัวรังสีที่สามารถจะกระจายไปสู่ผู้อื่นได้ จะให้ผู้ป่วยทำการนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 วันจนถึง 7 วันหรือจนกว่าจะการตรวจวัดผลรังสีที่อยู่ภายในตัว ของผู้ป่วยจะมีปริมาณที่อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับบุคคลอื่นแล้วเท่านั้น ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เข้าไว้เพื่อจะช่วยในเรื่องของการขับรังสีไอโอดันให้ออกไปจากร่างกายได้เร็วมากขึ้น และไม่กลั้นปัสสาวะ

9.5 การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

สำหรับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นมักจะเรียกชื่อย่อแบบสั้น ๆว่า “ ECG ” หรือ “ EKG ” การตรวจแบบนี้เป็นการตรวจภาพของลักษณะการทำงานในส่วนของหัวใจด้วยการเลือกใช้คลื่นเสียง เป็นการตรวจเฉพาะที่ส่วนของห้องตรวจผู้ป่วยขั้นตอนของการตรวจผู้ป่วยจำเป็นต้องทำการถอดเสื้อออกก่อนจากนั้นก็นอนราบหงายบนเตียง แพทย์ผู้ทำการรักษาจะวางมือของตนเองลงไปทาบบนหน้าอกของผู้ป่วยจากนั้นก็จะทำการทางเจลลงไปบนผิว การทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะเพิ่มเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านคลื่นให้มีมากขึ้นให้เป็นไปแบบเดียวกันกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทั่วไปนั่นเอง    [adinserter name=”มะเร็ง”]

ขั้นตอนการตรวจบันทึกภาพหัวใจโดยการใช้คลื่นความความถี่ขั้นสูงนั้นก็เป็นเสมือนกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทั่วไป เป็นวิธีการท่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บ ไม่ต้องมีการฉีดยา ยังคงหายใจได้ตามปกติดังเดิม สำหรับระยะเวลาในการตรวจนั้นจะใช้เวลาโดยประมาณอยู่ที่ 1 ชั่วโมง สามารถที่จะทราบผลได้ภายใน 3 วัน

10. การตรวจทางด้านพยาธิวิทยา

เป็นการตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคด้วยการตัดส่วนของชื้นเนื้อออกมาจากก้อนเนื้อโดยในการนำชิ้นส่วนออกมานั้นจำเป็นจะต้องฝานออกมาให้บางที่สุดเท่าที่จำได้ นำมาย้อมสารเคมีนั่นก็เพื่อเป็นการระบุว่าเนื้อเยื่อชิ้นส่วนที่ตัดออกมานั้นเป็นชิ้นส่วนที่เป็นไปปกติหรือไม่ ทั้งนี้ในการแปลผลการตรวจจะต้องทำการผ่านกล้องจุลทรรศน์โดยทางทีมพยาธิแพทย์เป็นผู้แปลผลเท่านั้น เมื่อตรวจเรียบร้อยแล้วผู้ป่วยสามารถที่จะเดินทางกลับได้ในทันที สำหรับกรณีพิเศษที่จำเป็นจะต้องทำการเตรียมตัวล่วงหน้านั้น คือ อาจมีการให้งดน้ำงดอาหารก่อนผ่าตัด หลังจากที่ผ่าตัดเสร็จอาจต้องให้นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1-3 วันเพื่อที่จะคอยเฝ้าดูอาการต่างๆ

11. การส่องกล้องตรวจอวัยวะภายใน

เป็นการการตรวจอวัยวะโดยใช้ลักษณะการสอดกล้องที่มีขนาดเล็ก สามารถจะโค้ง งอ กล้องที่ใช้แต่ละประเภทนั้นจะมีขนาดของความยาวที่แตกต่างกันไป แตกต่างตามตำแหน่งของงอวัยวะที่มีความประสงค์จะตรวจ โดยสอดเข้าไปในท่อหรือในช่องหรือในโพรงของอวัยวะที่ต้องการทำการตรวจ การส่องกล้องสามารถที่จะตรวจได้ทั้ง

1. การตรวจความผิดปกติในส่วนของเนื้อเยื่อหรือในส่วนของอวัยวะโดยตรงซึ่งวิธีนี้จะเป็นการตรวจได้โดยตรงด้วยตาของทางแพทย์ผู้ดูแล

2. การตรวจด้วยการตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจทางด้านพยาธิวิทยา

3. การตรวจด้วยการเก็บเซลล์ไปทำการตรวจทางด้านเซลล์วิทยา

4. การตรวจด้วยการเก็บสารคัดหลั่งเพื่อนำไปตรวจเชื้อและทำการเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการ

5. การตรวจด้วยการเก็บรักษาบางสิ่งด้วยบางวิธีการเพื่อที่พร้อมกับการนำไปตรวจ อาทิเช่น การตัดติ่งเนื้อเมือก  การจี้ส่วนที่เป็นแผลเลือดออก ( แบบนี้เพื่อที่จะเป็นการช่วยหลุดเลือดโดยอาศัยแสงเลเซอร์ ) เป็นต้น

ส่วนอวัยวะที่สามารถทำการส่องกล้องได้นั้นมีมากมายหลายส่วน อาทิเช่น

  • โพรงจมูก ลำคอ ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจมูก )
  • กล่องเสียง ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจมูกหรือทางปากก็ได้ )
  • ท่อลม ปอด ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจมูก )
  • ช่องอก ( แบบนี้จะเป็นการสอดเข้าไประกว่างช่องว่างของปอดทั้งสองข้าง )
  • กระเพาะอาหาร ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจปาก )
  • ลำไส้ทุกประเภท ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางทวารหนัก )
  • กระเพาะปัสสาวะ ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางท่อปัสสาวะ )
  • ระบบทางเดินน้ำดีที่อยู่ภายในตับหรือภายนอกตับ ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางปาก )
  • ช่องท้อง ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางหน้าท้อง )  [adinserter name=”มะเร็ง”]

หรับการเตรียมตัวนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการงดอาหารงดน้ำ การที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่แพทย์ในส่วนของการตรวจรวมถึงช่วยป้องกันการสำลักอาหารยามเมื่อมีการใช้ยานอนหลับ นอกจากนี้ตัวยาอาจจำเป็นต้องงดทาน ไปเลยก็มี อาทิเช่น ยาต้านการแข็งตัว เป็นต้น ส่วนของการงดทานอาหารนั้นมักจะขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ต้องการตรวจ เวลาเข้าไปตรวจในเครื่องนั้นห้ามสวมใส่เครื่องประดับ ห้ามใส่นาฬิกา

การตรวจทางผู้ป่วยนั้นจำเป็นจะต้องแจ้งทางแพทย์หรือทางพยาบาลทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของโรคประจำตัวของตนเอง ต้องแจ้งอย่างละเอียดของการใช้ยาหรืออาหาร สมุนไพรที่ทานอยู่ในปัจจุบันให้ละเอียด เนื่องจาก บางสิ่งหากทางแพทย์พบว่าเป็นสิ่งต้องห้ามอาจจะสั่งให้งดทานสิ่งเหล่านั้นเสียก่อนชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง เมื่อทำการตรวจด้วยกล้องเรียบร้อยแล้วทางแพทย์จะแจ้งกับทางผู้ป่วยให้ทำการนอนพักเป็นระยะเวลาประมาณ 1 จนถึง 2 ชั่วโมง(ระยะเวลานั้นจะขึ้นอยู่กับตัวยาที่ใช้และวิธีที่ใช้ตรวจด้วย) หรือจนกว่าทางผู้ป่วยนั้นจะเริ่มรู้สึกเป็นปกติหรือตื่นขึ้นมา ( ในกรณีที่ได้รับยานอนหลับเข้าไป )

การรักษาด้วยวิธีการส่องกล้องนั้นเรื่องของอาการข้างเคียง ได้แก่

  1. อาจเกิดอาการเลือดออกหรือมีเลือดขังในบริเวณของที่ทำการตัดชิ้นเนื้อออกมา

2. อาจพบว่าน้ำลายของผู้ป่วยหรือส่วนของเสมหะนั้นมีเลือดปนออกมา ( แบบนี้จะเป็นกรณีของการตรวจหูหรือตรวจคอหรือตรวจหลอดลมรวมถึงส่วนของปอดด้วยเช่นกัน )

3. อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ( แบบนี้จะเป็นกรณีของหลอดอาหารหรือส่วนของกระเพาะอาหาร )

12. การตรวจไขกระดูก

เป็นส่วนของเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในโพรงกระดูกไม่ใช่เนื้อเยื่อของกระดูก ส่วนของเนื้อเยื่อนี้จะคอยทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวรวมถึงเกล็ดเลือด ในการตรวจส่วนของไขกระดูกนั้นจะตรวจก็ต่อเมื่อเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณของไขกระดูกจนนำมาสู่การตจรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคต่อไป อาทิเช่น โรคซีด โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวรวมถึงโรคมะเร็งประเภทอื่น ๆ ที่ลุกลามกระจายเข้าไปยังไขกระดูก

การตรวจส่วนนี้ทางแพทย์ พยาบาลจะทำการซักประวัติ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการแพ้ยา เรื่องของอาหาร ยาที่รับประทานเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นยาประเภทที่ส่งผลทำให้เลือดออกง่ายแบบนี้ทางแพทย์อาจถึงขั้นสั่งให้หยุดทานยาประเภทนี้ในทันทีเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 3-10 วัน การตรวจไขกระดูกมักจะตรวจในลักษณะของผู้ป่วนอกเป็นหลัก มักจะใช้เวลาในขั้นตอนทั้งหมดประมาณ 30 นาที-1 ชั่วโมง ( ในบางรายอาจจะยาวนานมากกว่านี้ ) การตรวจนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดอาหาร งดน้ำ เมื่อตรวจเสร็จแล้วทางแพทย์ก็จะให้ผู้ป่วยนอนพักดูอาการสักระยะหนึ่งเพื่อเป็นการสังเกตอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มีไข้ แผลมีการติดเชื้อ แผลเกิดการบวมแดง เป็นต้น และจะต้องไม่ให้แผลนั้นโดนน้ำเป็นระยะเวลา 1-3 วัน หากเมื่อใดที่พบว่าแผลเกิดความผิดปกติก็ควรที่จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยไวที่สุด

13. การตรวจน้ำไขสันหลัง

เป็นการการวินิจฉัยโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับสมองและไขสันหลัง ว่ามีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีเชื้อมะเร็งแพร่กระจายอยู่บ้างหรือไม่ ในกรณีที่พบเชื้อมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่น้ำไขสันหลังแล้ว ก็จะต้องทำการรักษาโดยการให้ยาทางไขน้ำสันหลังเพื่อไปสู้กับเชื้อมะเร็งโดยตรง ทำการโดยเจาะเข้าไปในโพรงน้ำไขสันหลังโดยวิธีการเจาะเข้าเนื้อเยื่อบริเวณข้อกระดูกสันหลังช่วงเอว มีชื่อเรียกแบบง่าย ๆ ว่า “ เจาะหลัง ” ( lumbar puncture ) ก่อนการเจาะหลังทุกครั้ง แพทย์จะต้องทำการซักประวัติผู้ป่วยในส่วนของโรคที่เป็นและยาที่ทานอยู่ในปัจจุบัน หากทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องหยุดยาก่อนเป็นเวลา 3-10 วัน ก่อนตรวจ เพื่อไม่ให้มีเลือดออกในปริมาณมาก  [adinserter name=”มะเร็ง”]

วิธีเจาะคือให้ผู้ป่วยนอนตะแคง เจ้าหน้าที่จะมาตรวจดูบริเวณที่จะเจาะและทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้น ๆ หลังจากนั้นแพทย์จะลงมือฉีดยาชาให้ แล้วใช้เข็มที่มีขนาดเล็กและยาวเป็นพิเศษ เจาะผ่านข้อกระดูกสันหลังส่วนเอวไปที่โพรงน้ำและดูดเอาน้ำไขสันหลังออกมาตามปริมาณที่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ก่อนจะส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เมื่อได้น้ำจากไขสันหลังแล้ว แพทย์ก็จะดึงเข็มออกและกดที่แผลไว้ประมาณ 1-3 นาที หรือจนกว่าน้ำไขสันหลังและเลือดจะหยุดไหล โดยทั่วไปสามารถทราบผลได้ใน 1-15 วัน

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าการตรวจน้ำไขสันหลัง เป็นเพียงการเจาะเข้าไปในโพรงน้ำ ในส่วนนี้จะไม่มีไขสันหลัง และไม่มีกระดูกใด ๆ ทั้งสิ้นจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแค่ให้ผู้ป่วยนอนตะแคง เจ้าหน้าที่จะมาตรวจดูบริเวณที่จะเจาะและทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้น ๆ หลังจากนั้นแพทย์จะลงมือฉีดยาชาให้ แล้วใช้เข็มที่มีขนาดเล็กและยาวเป็นพิเศษ เจาะผ่านข้อกระดูกสันหลังส่วนเอวไปที่โพรงน้ำและดูดเอาน้ำไขสันหลังออกมาตามปริมาณที่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ก่อนจะส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ ( หากมีการรักษาโรคอยู่ แพทย์อาจจะฉีดยารักษาโรคให้ด้วย ) เมื่อได้น้ำจากไขสันหลังแล้ว แพทย์ก็จะดึงแขนออกและกดที่แผลไว้ประมาณ 1-3 นาที หรือจนกว่าน้ำไขสันหลังและเลือดจะหยุดไหล เมื่อผู้ป่วยนอนพักและรู้สึกตัวเป็นปกติ ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะ ก็กลับบ้านได้ทันที ระหว่างนี้ก็ให้ดูแลแผลให้สะอาดและแห้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก เมื่อได้น้ำจากไขสันหลังของผู้ป่วยแล้ว แพทย์ก็จะส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจดูเซลล์และสารต่าง ๆ สำหรับประกอบการวินิจฉัยว่าโรคที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากโรคทางสมองหรือการติดเชื้อมะเร็ง โดยทั่วไปสามารถทราบผลได้ใน 1-15 วัน ซึ่งอาจพบผลข้างเคียงแทรกซ้อน คือการเจ็บบริเวณที่มีการเจาะ สิ่งแรกที่กลับมาถึงบ้านและควรทำ คือการพักผ่อนอย่างน้อย 24 ชั่วโมง งดออกกำลังกายและออกแรงทุกชนิด

14. การตรวจภายในการตรวจแปปสเมียร์และการขูดมดลูก

การตรวจภายในแบบแปบสเมียร์ และการขูดดมดลูก เป็นการตรวจอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง เพื่อหาความผิดปกติต่าง ๆ เช่นการอักเสบ หรือการติดเชื้อมะเร็ง โดยวิธีการตรวจภายในแบบแปบสเมียร์ มีดังต่อไปนี้

  • ให้ผู้ป่วยนอนหงายบนเตียง จัดขาทั้งสองข้างของผู้ป่วยให้ขึ้นบนขาหยั่งเพื่อให้แพทย์ตรวจสอบอวัยวะเพศได้อย่างชัดเจน
  • แพทย์จะทำการตรวจสอบเบื้องต้น ด้วยการคลำอวัยวะเพศภายใน ได้แก่ ช่องคลอด ปากมดลูก และรังไข่
  • หลังจากนั้น แพทย์จะสอดเครื่องมือชนิดหนึ่งผ่านปากช่องคลอด ( เครื่องมือจะมีขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยให้แพทย์เลือกใช้ ) เพื่อเก็บสารคัดหลั่งจากช่องคลอด และปากมดลูก รวมถึงการเก็บเซลล์จากปากมดลูก เพื่อนำไปตรวจหาความผิดปกติ รวมถึงวินิจฉัยว่าใช่เซลล์มะเร็งหรือไม่
  • ในกรณีที่มีการตรวจภายในแล้วพบก้อนเนื้อบริเวณปากมดลูกหรือช่องคลอด แพทย์ก็จะทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ซึ่งจะทำให้การวินิจฉัยว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ชัดเจนยิ่งขึ้น  [adinserter name=”oralimpact”]

หากผลตรวจภายในแบบแปบสเมียร์แสดงผลว่าผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็ง แพทย์ก็จะนัดผู้ป่วยทำการส่องกล้องบริเวณปากมดลูกผ่านทางช่องคลอดต่อไป แต่ถ้าหากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับมดลูกหรือเยื่อบุมดลูก ( ที่ไม่เกี่ยวกับมะเร็ง ) แพทย์จะทำการสอดเครื่องมือขนาดเล็กชนิดหนึ่งเข้าไปในโพรงมดลูก และขูดเอาเยื่อบุมดลูกไปตรวจหาความผิดปกติต่อไป ทราบผลภายในระยะเวลา 3-15 วัน ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ และปัญหาที่พบในแต่ละบุคคล

15. การตรวจทางทวารหนัก

เป็นการตรวจดูรูทวารหนักและผิวหนังภายนอกเพื่อหาความผิดปกติต่าง ๆ มักนิยมตรวจในเพศชาย วิธีการตรวจทางทวารหนัก คือการใช้นิ้วสอดเข้าไปในทวารหนักเพื่อคลำหาก้อนเนื้อ ( ส่วนมากจะเจอในทวารหนัก และในต่อมลูกหมาก ) วิธีนี้เป็นวิธีการตรวจหาความผิดปกติของต่อมลูกหมากที่สามารถทำได้ง่ายและได้ผลดี เมื่อตรวจเสร็จแพทย์ก็จะแจ้งผลให้ทราบในทันที ถ้าหากพบก้อนเนื้อ หรือพบความผิดปกติขึ้น แพทย์ก็จะต้องทำการตรวจให้ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม เช่น การส่องกล้องทวารหนัก

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

Cancer risk. British Journal of Cancer. 2010.

Joris, Isabelle (August 12, 2004). Cells, Tissues, and Disease : Principles of General Pathology: Principles of General Pathology. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-974892-1. Retrieved September 11, 2013.

การพบแพทย์เพื่อประเมินผล และติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง

0
การพบแพทย์ตรงตามโรคเพื่อการประเมินผลและการติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง
แพทย์ตรวจวินิจฉัยอาการต่างๆ เพื่อการประเมินผลและการติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง
การพบแพทย์ตรงตามโรคเพื่อการประเมินผลและการติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง
การพบแพทย์เพื่อสู่ขั้นตอนการรักษาและประเมินอาการติดตามดูอาการ

การพบแพทย์

แพทย์ที่ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งจะประกอบไปด้วยแพทย์มากมายหลายสาขา ซึ่งจะทำงานร่วมกันในการให้การรักษาและจะมีการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาต่อภายในทีมแพทย์อย่างเป็นระบบซึ่ง ได้แก่

  • ศัลยแพทย์สาขาต่าง ๆ ทุกสาขา ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ทุกชนิดโดยใช้วิธีการผ่าตัดเป็นหลัก และในบางกรณีอาจใช้วิธีการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน หรือยาตรงเป้าด้วย
  • แพทย์รังสีรักษา ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ทุกชนิดด้วยการใช้รังสีในการรักษาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการฉายรังสีและการใส่แร่ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาก็จะมีทั้งผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ และบางคนก็ใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน และยาตรงเป้าด้วย
  • อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ทำหน้าที่ให้การรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน หรือยารักษาตรงเป้าโดยจะทำการรักษาผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่เป็นหลัก ซึ่งถ้าหากขาดแพทย์มะเร็งวิทยาเด็กหรือนรีแพทย์มะเร็งวิทยา ( รักษาโรคมะเร็งในระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ) แพทย์กลุ่มนี้ก็จะทำหน้าที่ให้การดูแลรักษาแทน
  • นรีแพทย์มะเร็งวิทยา ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งเฉพาะระบบนรีเวชโดยใช้วิธีผ่าตัด ให้ยาเคมียาฮอร์โมน และยารักษาตรงเป้าแต่ในบางกรณีอายุรแพทย์มะเร็งวิทยาหรือแพทย์รังสีรักษาอาจเป็นผู้ที่ให้ยาเหล่านี้แทนก็ได้ แล้วแต่ว่าแต่ละโรงพยาบาลจะมีระบบเป็นอย่างไร
  • แพทย์รังสีร่วมรักษา คือแพทย์ผู้ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยการใช้วิธีทางรังสีร่วมรักษา
  • แพทย์มะเร็งวิทยาเด็ก ทำหน้าที่ให้การรักษาผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดและยาต่างๆ

  [adinserter name=”มะเร็ง”]

แพทย์เจ้าของไข้ผู้ป่วยมะเร็ง

ในการรักษาโรคมะเร็งมักใช้ทีมแพทย์ในการให้การรักษา ( มีแพทย์จำนวนหลายคนหลายสาขา ) และเพื่อเป็นการลดโอกาสการตรวจวินิจฉัยหรือรักษาผู้ป่วยซ้ำซ้อนกันที่อาจเกิดขึ้นได้ จึงมีคำที่ใช้เรียกเฉพาะในระบบการทำงานของแพทย์ ได้แก่ แพทย์เจ้าของไข้ แพทย์ที่ปรึกษา และแพทย์ที่เป็นหลักในการรักษาโรคมะเร็ง

แพทย์เจ้าของไข้ผู้ป่วยมะเร็ง หมายถึง แพทย์ผู้ทำหน้าที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคต่างๆ รวมทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอตลอดไป อีกทั้งยังมีการทำงานร่วมกันกับทีมแพทย์ที่ปรึกษาคนอื่น ๆ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีส่วนรับผิดชอบในการดูแลรักษาผู้ป่วย และถึงแม้ว่าแพทย์เจ้าของไข้จะเป็นแพทย์คนแรกที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยที่ เป็นโรคมะเร็ง แต่เมื่อมีการวินิจฉัยแล้วพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคที่แพทย์เจ้าของไข้คนแรกขาดความชำนาญในการรักษา แพทย์เจ้าของไข้คนแรกจะทำการส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการดูแลรักษาแทน ซึ่งถ้าแพทย์เจ้าของไข้ยังคงทำการนัดผู้ป่วยมาเข้ารับการตรวจดูแลรักษาอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็จะยังคงเป็นแพทย์เจ้าของไข้อยู่ ส่วนแพทย์คนอื่นๆก็จะทำหน้าที่เป็นแพทย์ที่ปรึกษาในเรื่องที่ตนมีความชำนาญ แต่ถ้าแพทย์เจ้าของไข้คนแรกไม่มีความถนัดรักษาหรือความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาผู้ป่วยแล้ว ก็จะทำการมอบหมายให้แพทย์ที่อยู่ในทีมที่ปรึกษาคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นแพทย์เจ้าของไข้แทน และแพทย์ที่รับมอบหมายให้เป็นคนดูแลรักษาผู้ป่วยก็จะทำหน้าที่นี้ต่อไป

แพทย์ที่ปรึกษา หมายถึง แพทย์เฉพาะทางที่ได้รับการปรึกษาจากแพทย์เจ้าของไข้ สำหรับการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเฉพาะทางนั้น หากแพทย์ที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์ที่ปรึกษาต้องการตรวจหรือทำการรักษาเพิ่มเติมจากที่ได้รับการศึกษา จะต้องแจ้งแพทย์เจ้าของไข้ให้ได้รับทราบก่อนเสมอ หรืออาจจะส่งตัวผู้ป่วยกลับคืนไปให้แพทย์เจ้าของไข้เป็นรับหน้าที่ดำเนินการ โดยแพทย์ที่ปรึกษาก็จะยังคงมีหน้าที่นัดตรวจและดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตตามความรู้ทางการแพทย์เฉพาะทางสาขาของตน ตรวจโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำของโรค ให้คำแนะนำผู้ป่วยในเรื่องของการดูแลสุขภาพโดยรวมร่วมกับแพทย์เจ้าของไข้ ดูแล ป้องกัน และทำการรักษาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาในสาขาเฉพาะทางด้านตนเอง  [adinserter name=”มะเร็ง”]

แพทย์ที่เป็นหลักในการรักษา หมายถึง แพทย์ผู้ให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการหลัก ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาโรคมะเร็งแต่ละชนิด จะเป็นศัลยแพทย์หรือแพทย์รังสีรักษา ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของของการเกิดโรคมะเร็ง อายุและสุขภาพผู้ป่วย เช่น โรคมะเร็งโพรงหลังจมูก จะใช้วิธีการรักษาหลักโดยวิธีรังสีรักษา เพราะฉะนั้น แพทย์ที่เป็นหลักในการทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยก็คือแพทย์รังสีรักษา ซึ่งจะเป็นหลักสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งชนิดนั้น ๆ ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน

ขั้นตอนการพบแพทย์ 

ขั้นตอนต่าง ๆ ในการไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง เข้ารับการรักษาและประเมินผลที่เกิดขึ้นในระยะต่างๆ ของการดูแลรักษาผู้ป่วย อาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป้าหมายในการตรวจคัดกรองมะเร็ง และความรู้สึกวิตกกังวลในอาการที่ผิดปกติ จากนั้นการดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยตามขั้นตอนต่าง ๆ จะดำเนินไปจนกระทั่งถึงการติดตามโรคในระยะเวลาที่ยาวนานไปจนตลอดชีวิต

  • เริ่มต้นจากการที่ผู้ป่วยแสดงอาการที่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของโรคมะเร็ง มีอาการผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้นหรืออาจเกิดความวิตกกังวลว่าจะเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากมีญาติเป็นมะเร็งและผู้ป่วยก็มีอาการที่คล้ายคลึงกันกับญาติแต่รู้สึกสงสัยหรืออาจเข้ารับการตรวจเพราะกลัวว่าเป็นโรคทางพันธุกรรม หรือรับการตรวจเพื่อการคัดกรองโรคมะเร็ง
  • แพทย์ที่ผู้ป่วยไปพบเพื่อขอรับการตรวจจะเป็นแพทย์สาขาใดก็ได้ อาจเป็นแพทย์ในคลีนิคหรือแพทย์ในโรงพยาบาลจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชนก็ได้ที่อยู่ใกล้บ้าน หรือถ้าหากผู้ป่วยพอมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยอยู่พอสมควร ผู้ป่วยก็สามารถเลือกที่จะไปพบแพทย์ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับอาการของผู้ป่วยได้เลย เช่น มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังควรไปพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านระบบประสาท ซึ่งเป็นศัลยแพทย์หรืออายุรแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา หากพบว่ามีเลือดออกมาจากทางช่องคลอดควรเข้าพบแพทย์สูตินรีเวช หรือหากพบว่ามีก้อนที่บริเวณคอควรไปพบแพทย์หูคอจมูก ( เป็นศัลยแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ) หรืออาจเข้าพบพบแพทย์โรคมะเร็งในสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยาหรือในสาขาอายุรกรรมมะเร็งวิทยาก็ได้

[adinserter name=”มะเร็ง”]

  • พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย นอกจากอาการสำคัญ ๆ ที่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบแล้ว หากมีความกังวลสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคมะเร็งก็ควรที่จะแจ้งแพทย์ให้ทราบด้วย ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถตอบข้อสงสัยของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน เพราะความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นอาการอย่างหนึ่งเช่นกัน
  • การไปคลินิก เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย หากได้แจ้งอาการให้แพทย์ได้รับทราบและแพทย์ก็จะให้การวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นมะเร็งหรือสงสัยว่าน่าจะเป็นมะเร็ง แพทย์จะให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยให้ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ผู้ป่วยสะดวกหรือมีสิทธิ์เข้ารับการรักษาพยาบาล เมื่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ทำบัตรประจำตัวผู้ป่วยจะสอบถามอาการผู้ป่วยในเบื้องต้น และส่งตัวผู้ป่วยไปยังแผนกตรวจโรคที่เกี่ยวข้องเพื่อรับการรักษาต่อไป
  • การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งในเบื้องต้น กระบวนการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ทุกสาขาจะเป็นแบบเดียวกัน คือจะเริ่มทำการวินิจฉัยจากอาการสำคัญ ๆ ก่อน จากนั้นจึงนำอาการอื่น ๆ มาวินิจฉัยร่วมด้วย ดูประวัติทางการแพทย์อื่นๆ ของผู้ป่วย ดูผลการตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจเฉพาะที่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจภาพเนื้อเยื่อหรืออวัยวะตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการสำคัญ ๆ ที่แสดงออก รวมทั้งอาการอื่นๆ ความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่แพทย์ได้ตรวจพบและดุลพินิจของแพทย์
  • เมื่อผลตรวจชี้ว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นโรคมะเร็ง แพทย์จะทำการส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์เฉพาะทาง ในการรักษาโรคมะเร็งชนิดนั้นๆ เพื่อความแน่นอนในการตรวจวินิจฉัยว่าใช่โรคมะเร็งจริงหรือไม่ และเพื่อที่จะให้การรักษาต่อไป เช่นหากมีก้อนเนื้อในเต้านมเกิดขึ้น จะส่งต่อผู้ป่วยให้ศัลยแพทย์ดำเนินการรักษาต่อ หากสงสัยว่าเป็นโรคเลือด จะส่งต่อผู้ป่วยให้อายุรแพทย์เฉพาะทางระบบโลหิตวิทยา ( ระบบโรคเลือด ) ดำเนินการรักษาต่อ หากผู้ป่วยมีอาการทางลำไส้ อาจส่งต่อผู้ป่วยให้อายุรแพทย์หรือศัลยแพทย์โรคทางเดินอาหารดำเนินการรักษาต่อ หากผู้ป่วยมีอาการทางปัสสาวะ จะส่งผู้ป่วยไปพบแพทย์ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะดำเนินการรักษาต่อ
  • เมื่อผู้ป่วยมะเร็งไปพบแพทย์เฉพาะทาง แพทย์เฉพาะทางจะสอบถามอาการสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นและประวัติทางการแพทย์อื่น ๆ ของผู้ป่วยซ้ำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่นอน ทบทวนผลตรวจต่าง ๆ ของผู้ป่วย เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว แพทย์เฉพาะทางจะทำการนัดผู้ป่วยมาตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะดูดเซลล์นำไปตรวจทางพยาธิวิทยาหรือเซลล์วิทยา เพื่อความแน่นอนในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง แต่ถ้าผู้ป่วยพร้อมที่จะตัดชิ้นเนื้อได้เลย แพทย์ก็จะทำการตัดชิ้นเนื้อในวันนั้น ซึ่งอาจทำโดยแพทย์คนแรกที่ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแพทย์ด้วยว่ามีความชำนาญมากน้อยแค่ไหน  [adinserter name=”มะเร็ง”]
  • พบแพทย์เฉพาะทาง โดยจะดำเนินการส่งตรวจสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยให้มากขึ้น ก่อนตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะ ดูดเซลล์ ศูนย์เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือตรวจเลือดดูข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติม และจะตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะ ดูดเซลล์ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือตรวจเลือดดูข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความมั่นใจ และจะตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะ ดูดเซลล์เมื่อมั่นใจในความปลอดภัยแล้ว
  • หลังจากที่ได้ทราบผลทางพยาธิวิทยาจากการตัดชิ้นเนื้อ หรือผลทางเซลล์วิทยาจากการเจาะ/ดูดเซลล์ แพทย์เฉพาะทางจะสนทนาพูดคุย ให้คำปรึกษา และให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและครอบครัวถึงขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยในขั้นเบื้องต้น แต่ยังไม่สามารถให้การรักษาโรคมะเร็งได้ จนกว่าผู้ป่วยจะได้รับการประเมินสุขภาพและระยะของโรคมะเร็งที่เป็นเสียก่อน ซึ่งในระหว่างที่ผู้ป่วยรอผลการประเมินนี้ แพทย์จะทำการรักษาไปตามอาการสำคัญและอาการอื่น ๆ ที่เกิดร่วมด้วย เช่น ให้ยาบรรเทาปวดแก่ผู้ป่วยเมื่อมีอาการปวด หรือหากผู้ป่วยมีอาการสมองบวมแพทย์ก็จะให้ยาลดอาการสมองบวม
  • หลังจากที่ได้ทราบผลประเมินสุขภาพและยาที่ใช้ในการรักษามะเร็ง แพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยและครอบครัวมาฟังการอธิบายขั้นตอนที่ใช้ในการรักษา เพื่อที่จะได้ร่วมกันศึกษาหรือสอบถามเมื่อมีข้อสงสัยเพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการรักษา และผู้ป่วยกับญาติสายตรงก็อาจจำเป็นที่จะต้องเซ็นยินยอมร่วมกันในการเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะการรักษาทางด้านรังสีรักษา เนื่องจากผู้ป่วยและครอบครัวอาจไม่คุ้นเคยกับการรักษาด้วยวิธีนี้ ผู้ป่วยและครอบครัวจึงควรพูดคุยขอคำปรึกษาจากแพทย์รังสีรักษาโดยตรง สำหรับขั้นตอนในการรักษาโรคมะเร็ง หลังจากที่แพทย์เฉพาะทางได้ข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ป่วยครบถ้วนแล้ว ก็จะทำการพูดคุย อธิบาย ให้คำปรึกษา และให้คำแนะนำถึงวิธีรักษา ผลข้างเคียงแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ในการรักษา การใช้หรือไม่ใช้สิทธิในการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีรวมกันในการรักษา เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด รังสีร่วมรักษา ยาฮอร์โมน ยารักษาตรงเป้า หรืออายุรกรรมทั่วไป แต่ในปัจจุบันนิยมใช้วิธีรักษาหลาย ๆ วิธีรวมกันในเกือบทุกระยะของการเกิดโรค
  • การเริ่มต้นการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด หมายความว่า การผ่าตัดยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากแพทย์จะต้องทราบรายละเอียดทางพยาธิวิทยาเพิ่มเติมให้ครบถ้วนจากการตรวจก้อนเนื้อภายหลังการผ่าตัดเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถใช้เป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีใดในการรักษาต่อไป ซึ่งอาจเป็นรังสีรักษา เคมีบำบัด หรือยาฮอร์โมน แต่ขั้นต่อไปในการรักษาหากมีการใช้ยานอกเหนือไปจากที่ได้กล่าวมาแล้วก็จะมีข้อบ่งชี้ในการใช้ยาอย่างเข้มงวด เฉพาะผู้ป่วยที่แพทย์เห็นว่าหากใช้ยานั้นแล้วจะช่วยยืดชีวิตให้ผู้ป่วยได้อย่างมีคุณภาพอย่างแท้จริง  [adinserter name=”มะเร็ง”]

หลังจากที่ได้ทราบผลการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยาภายหลังจากการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะพูดคุยเรื่องวิธีรักษากับผู้ป่วยอีกครั้ง ซึ่งการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีรังสีรักษาจะต้องทำการส่งต่อตัวผู้ป่วยให้แพทย์รังสีทำการรักษาเสมอ แต่การรักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัด ศัลยแพทย์อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา หรือแพทย์รังสีรักษาอาจจะเป็นผู้ทำก็ได้แล้วแต่ว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น ๆ จะมีระบบเป็นเช่นไร

การรักษาผู้ป่วยหลังจากที่ผ่าตัดแล้ว อาจมีการนำตัวผู้ป่วยส่งคืนแพทย์เจ้าของไข้เพื่อทำการรักษาต่อ โดยศัลยแพทย์จะให้คำแนะนำแก่แพทย์เจ้าของไข้ในเรื่องของขั้นตอนการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือแพทย์เจ้าของไข้อาจส่งตัวผู้ป่วยไปพบแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น ๆ เพื่อขอรับคำปรึกษาก็ได้ แล้วแต่ว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น ๆ จะมีระบบเป็นอย่างไร

การศึกษาแพทย์เฉพาะทางในแต่ละสาขา ภายหลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัด จะมีการนัดหมายล่วงหน้าก่อนเสมอ ส่วนจะเร็วหรือช้าเพียงใดนั้นนั่นก็แล้วแต่ว่าจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนหรือไม่ ปริมาณแพทย์มีเพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่งแพทย์เฉพาะทางก็จะทำการประเมินผู้ป่วยตามขั้นตอนต่าง ๆ แต่ละขั้นตอน เมื่อได้ข้อมูลของผู้ป่วยครบถ้วนแล้วก็จะพูดคุยกับผู้ป่วยและครอบครัวในเรื่องของการรักษา ซึ่งผู้ป่วยก็อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเลยก็ได้

หากผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดหรือระยะที่แพทย์เจ้าของไข้หรือศัลยแพทย์ทำการประเมินแล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด แพทย์เจ้าของไข้หรือศัลยแพทย์จะส่งตัวผู้ป่วยไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็งเพื่อรับคำปรึกษา โดยจะมีอยู่ 2 สาขาหลักคือ แพทย์รังสีรักษาหรืออายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ซึ่งก็จะเป็นการนัดพบผู้ป่วยเช่นกัน

การพบแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาโรคมะเร็ง ผู้ป่วยและครอบครัว ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางตามกำหนดที่ได้นัดหมาย พร้อมด้วยเอกสารทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ต้องนำติดตัวไป เช่น ใบส่งตัวจากแพทย์ที่ส่งผู้ป่วยมา ผลการตรวจต่าง ๆ ของผู้ป่วยโดยเฉพาะผลการตรวจทางพยาธิวิทยา ( ต้องมีใบรายงานผลเป็นทางการจากพยาธิแพทย์ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการวินิจฉัยโรค ) ผลเอกซเรย์หรือสแกน หรือแผ่นซีดีจากการใช้วิธีทางรังสีในการตรวจโรคต่างๆ ชนิดของยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ และเอกสารสิทธิ์ในการรักษา  [adinserter name=”มะเร็ง”]

หลังจากที่แพทย์เฉพาะทางโรคมะเร็งได้ทำการประเมินผู้ป่วยจากอาการสำคัญที่แสดงออก อาการต่าง ๆ ที่เกิดร่วมด้วย การตรวจร่างกาย ผลตรวจต่าง ๆ และได้ทำการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แพทย์จะทำการพูดคุยกับผู้ป่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหากผู้ป่วยและครอบครัวยินยอมที่จะเข้ารับการรักษา จะมีการให้เซ็นใบยินยอมพร้อมทำการนัดหมายวันที่จะเริ่มทำการรักษา และให้การดูแลรักษาผู้ป่วยจนตลอดการรักษา จากนั้นก็จะส่งตัวผู้ป่วยกลับคืนแพทย์ที่ส่งผู้ป่วยมาตรวจรักษา พร้อมนัดผู้ป่วยตรวจอย่างต่อเนื่องในระยะยาวตลอดชีวิตผู้ป่วย

การพบศัลยแพทย์

วิธีการรักษาโดยการผ่าตัดเป็นวิธีที่หลัก ๆ ที่มักใช้กันในการรักษาโรคมะเร็งชนิด ยกเว้นป่วยการเป็นโรคมะเร็งระบบโลหิตวิทยา ( ซึ่งจะใช้ยาเคมีบำบัดเป็นวิธีรักษาหลัก และอาจร่วมกับรังสีรักษาหากมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ ) เพราะฉะนั้น ในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยจึงมักจำเป็นต้องปรึกษาศัลยแพทย์อยู่เสมอ

การพบแพทย์รังสีรักษาโรคมะเร็ง

หากเอ่ยถึงแพทย์สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา หรือ แพทย์รังสีรักษา ควรรู้เลยว่าจะเป็นแพทย์ที่มีความขาดแคลนมากสาขาหนึ่ง เนื่องจากเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็งโดยเฉพาะและมีประจำอยู่แต่ในโรงพยาบาลใหญ่หรือศูนย์มะเร็ง เท่านั้น เราจึงไม่ค่อยพบแพทย์ด้านนี้ออกตรวจคนไข้นอกเหมือนแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น หรือหากมีการตรวจผู้ป่วยนอกก็จะตรวจเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งแล้วเท่านั้น สำหรับผู้ป่วยท่านใดที่จะพบแพทย์ด้านนี้ต้องมีการนัดล่วงหน้า โดยมักเป็นการปรึกษาจากแพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ที่เป็นหลักในการรักษา ซึ่งการรับนัดตรวจอาจเร็วหรือรอนานเป็นเดือนก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยท่านอื่นที่รออยู่และลำดับในการฉายรังสีนั่นเอง

โรคมะเร็งกับการพบอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา

การรักษาด้วยเคมีบำบัดมักให้การรักษาโดยแพทย์หลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น ศัลยแพทย์ นรีแพทย์มะเร็งวิทยา แพทย์รังสีรักษา หรือแพทย์อายุรกรรมทั่วไป ซึ่งแพทย์เหล่านี้จะให้ยาเคมีบำบัดตามขั้นตอนการรักษา แต่หากต้องการให้อายุรแพทย์มะเร็งวิทยาเป็นผู้ให้การรักษา จำต้องส่งต่อผู้ป่วยไปนัดพบอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา

[adinserter name=”มะเร็ง”]

การพบแพทย์รังสีร่วมรักษา

การนัดพบแพทย์รังสีร่วมรักษา จะต้องมีการนัดหมายล่วงหน้าเหมือนนายแพทย์รังสีรักษา และในวันนัดผู้ป่วยต้องพาคนในครอบครัวที่บรรลุนิติภาวะแล้วมาด้วย เพื่อร่วมพูดคุย ซักถาม ปรึกษา และเซ็นยินยอมรับการรักษา พร้อมนำเอกสารและผลการตรวจรักษาต่างๆไปด้วย เหมือนกับการพบแพทย์รังสีรักษาทุกอย่าง หลังครบการรักษา แพทย์จะส่งผู้ป่วยคืนแพทย์ที่ส่งผู้ป่วยมา แต่ยังคงนัดผู้ป่วยเพื่อติดตามผลการรักษาเป็นระยะๆ ตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับวิธีรักษาและดุลพินิจของแพทย์

การรักษาด้วยยาฮอร์โมน

การรักษาด้วยยาฮฮร์โมนส่วนใหญ่เป็นยากิน แต่ก็มีบ้างที่เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือยาพ่นทางจมูก โดยยาฮอร์โมนนี้จะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย ผู้รับการรักษาจึงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก สามารถกินหรือใช้ยาได้เลยเหมือนยาทั่วไป โดยมากมักเป็นยารักษาต่อเนื่องหลังผ่าตัด ซึ่งแพทย์คนเดิมที่ให้การรักษาผู้ป่วยอยู่แล้วสามารถให้ยาได้เลย

การรักษาด้วยยารักษาตรงเป้า

การรักษาด้วยยารักษาตรงเป้าเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย ส่วนใหญ่เป็นยากินหรือยาฉีดทางหลอดเลือดดำ แพทย์ที่ทำการรักษาโรคมะเร็งอยู่แล้วจึงสามารถให้ยาได้เลย เหมือนกับเป็นการรักษาต่อเนื่องจากการรักษาหลัก ( การผ่าตัด รังสีรักษา หรือยาเคมีบำบัด ) โดยไม่จำเป็นต้องมีการนัดหมายแพทย์คนใหม่ ทั้งนี้ยารักษาตรงเป้าเป็นยาที่มีราคาสูงมาก และเป็นตัวยาที่ใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นๆ ยังไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นสาเหตุให้ยาประเภทนี้ยังไม่รวมอยู่ในสิบการใช้ยาของรัฐบาล แต่หากมีเหตุผลที่ดีพอบางครั้งอาจมีการยกเว้น เมื่อแพทย์มีหนังสือชี้แจงถึงความจำเป็นและโอกาสในการยืดอายุผู้ป่วยได้ พร้อมกับทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การประเมินผลผู้ป่วยมะเร็งหลังครบการรักษา

การประเมินผลหลังครบการรักษา เป็นการตรวจเพื่อค้นหาก้อนเนื้อมะเร็งที่อาจยังหลงเหลืออยู่รวมทั้งตรวจการแพร่กระจายของโรค ( ตรวจซ้ำเฉพาะในโรคมะเร็งชนิดที่มีการแพร่กระจายสูงหรืออยู่ในระยะลุกลามรุนแรงโดยขึ้นอยู่กับอาการผู้ป่วยหรือดุลพินิจของแพทย์ ) โดยเมื่อทำการรักษาทุกขั้นตอนแล้ว เมื่อผู้ป่วยพักฟื้นกลับมามีสุขภาพแข็งแรงใกล้เคียงปกติแล้ว อาจนาน 2-3 เดือนหรือ 6 เดือน แพทย์เจ้าของไข้จะทำการตรวจวินิจฉัยค้นหาการหลงเหลืออยู่ของก้อนเนื้อมะเร็ง โดยใช้การตรวจภาพเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต้นกำเนิดโรคมะเร็ง ตรวจเลือดดูค่าสารมะเร็ง ( เมื่อเป็นโรคมะเร็งชนิดสร้างสารมะเร็ง ) และอาจตรวจค้นการแพร่กระจายของมะเร็งซ้ำอีกครั้ง เหมือนกับผู้ป่วยใหม่ ทั้งนี้หากการตรวจต่างๆให้ผลปกติ แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ที่ให้การรักษาจะนัดตรวจผู้ป่วยเป็นระยะๆตลอดชีวิต แต่ถ้าพบว่ามีโรคมะเร็งหลงเหลือหรือโรคแพร่กระจายออกไป แพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ที่เป็นหลักจะเริ่มต้นประเมินระยะของโรคมะเร็งอีกครั้งเหมือนในผู้ป่วยใหม่ และอาจพูดคุย ปรึกษา กับผู้ป่วยและญาติของผู้ป่วยอีกครั้ง  [adinserter name=”มะเร็ง”]

การติดตามผลระยะยาวตลอดชีวิต

หากผลการตรวจผู้ป่วยออกมาไม่พบว่ามีก้อนเนื้อหลงเหลืออยู่หรือไม่มีการแพร่กระจายแล้ว แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ผู้ให้การรักษาทุกสาขาจะทำการตรวจผู้ป่วยเป็นระยะตลอดชีวิต ซึ่งความถี่ในการตรวจนัดอาจแตกต่างกันตามสาขาเฉพาะทางของแพทย์ ซึ่งการตรวจติดตามผลระยะยาวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เป็นการตรวจวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากการรักษาตามสาขาเฉพาะทาง เป็นการตรวจโรคย้อนกลับดูว่าจะเป็นซ้ำหรือมีการแพร่กระจายของโรคมะเร็งหรือไม่เป็นการคัดกรองโรคมะเร็งอีกครั้ง เป็นการดูแลสุขภาพทั่วไป และเป็นการการตรวจวินิจฉัยโรคอื่นๆตามอาการของผู้ป่วย เพื่อให้สุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งกลับมาแข็งแรงดังเดิม

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง ป้องกัน และรักษาผลข้างเคียง แทรกซ้อนจากการรักษา

แพทย์จะมีการนัดตรวจวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาผลข้างเคียง แทรกซ้อนจากการรักษาด้วย โดยทั่วไปจะตรวจหลายอย่าง ได้แก่ การสอบถามอาการสำคัญและอาการต่างๆ ,การตรวจร่างกายทั่วไป และตรวจเฉพาะที่,การตรวจร่างกายตามอาการผิดปกติของผู้ป่วย ,การตรวจเลือด เช่น ตรวจเลือดซีบีซี , ตรวจการทำงานของอวัยวะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต หรือไทรอยด์ , ตรวจเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ เช่น เอกซเรย์ปอด ตลอดจนตรวจอาการอื่นๆของผู้ป่วยที่เป็นประโยชน์ เช่น การส่องกล้องตรวจ หรือ อาการผลข้างเคียงจากการทำรังสีรักษาหรือยาเคมีบำบัด เป็นต้น

สาเหตุโรคมะเร็งที่แพทย์ต้องทำการตรวจเพิ่มเติมคืออะไร

  • จะได้ให้คำแนะนำและให้การรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นการช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อน หรือรักษาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองเรื่องอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการให้ยาต่างๆเพิ่มเติม เช่น ในกรณีผู้ป่วยได้รับการฉายรังสีบริเวณลำคอในโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ เนื่องจากต่อมไทรอยด์ ก็จะมีการให้ไทรอยด์ฮอร์โมนเพิ่มเติม
  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำกายภาพฟื้นฟู เช่น ในโรคมะเร็งเต้านม เพื่อป้องกันแขนบวม หรือโรคมะเร็งศีรษะและลำคอที่ฉายรังสีรักษาผ่านช่องปาก เพื่อป้องกันช่องปากตีบแคบ เป็นต้น
  • เป็นการตรวจวินิจฉัย รักษา และควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง ที่อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนในระยะยาว อีกทั้ง ให้ยาเพื่อป้องกัน ลดความรุนแรง หรือรักษาผลข้างเคียงแทรกซ้อนนี้
  • ให้คำปรึกษาเมื่อผู้ป่วยมีความกังวลใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงแทรกซ้อน และตรวจรักษาอื่นๆตามอาการผู้ป่วย  [adinserter name=”มะเร็ง”]

การตรวจโรคย้อนกลับเป็นซ้ำและหรือโรคแพร่กระจาย

การตรวจโรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจายจะเริ่มตรวจที่ประมาณ 2-3 เดือน 6 เดือนหรือ 1 ปี หลังตรวจประเมินผลหลังครบการรักษาแล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลการตรวจประเมินผลหลังครบการรักษา ชนิดของเซลล์มะเร็ง อวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะโรคก่อนการรักษา อายุและสุขภาพผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ สำหรับการตรวจที่ใช้บ่อย คือการตรวจเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง ซึ่งจะมีขั้นตอนดังนี้

  • สอบถามอาการสำคัญและอาการต่างๆของผู้ป่วยในขณะนั้น พร้อมตรวจร่างกายเฉพาะที่
  • ทำการเอกซเรย์ธรรมดา อัลตร้าซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ ซึ่งมัก
  • ตรวจทุก 3-6 เดือน หรือ 1 ปี ในช่วง 1-3 ปีแรก โดยดูจากอาการผิดปกติของผู้ป่วยหรือดุลพินิจของแพทย์ แต่เมื่อเลย 3 ปีไปแล้วให้ดูที่ชนิด ระยะ อาการ อายุและสุขภาพผู้ป่วย เป็นสำคัญ
  • การตรวจภาพเอกซเรย์ปอดเพื่อดูโรคที่แพร่กระจายมายังปอด มักตรวจทุกปีหรือผู้ป่วยมีอาการผิดปกติทางปอดและหัวใจ
  • การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ มักตรวจทุก 3-6เดือน หรือทุกปีเพื่อดูการแพร่
  • กระจายของโรคมายังตับและโรคของตับ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อีกครั้ง
  • การตรวจเลือดดูค่าสารมะเร็งในโรคมะเร็งชนิดที่สร้างสารมะเร็ง มักตรวจทุก 1-3 เดือน ใน 1-4 ปี แรกหลังครบการรักษา
  • การตรวจสแกนภาพกระดูกทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ มักตรวจเมื่อผู้ป่วยปวดกระดูกเรื้อรัง หรือแพทย์สงสัยว่าโรคจะแพร่กระจายเข้ากระดูก
  • การตรวจภาพสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือเอ็มอาร์ไอ ทำเมื่อผู้ป่วยมีอาการทาง
  • สมอง เช่น ปวดศีรษะมาก มึนงง วิงเวียน คลื่นไส้หรืออาเจียน แขนขาอ่อนแรงเดินเซ หรือบุคลิกภาพเปลี่ยนไป เพื่อดูการแพร่กระจายของโรคเข้าสู่สมอง

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง    [adinserter name=”มะเร็ง”]

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งส่วนใหญ่จะเป็นการคัดกรองมะเร็งที่พบได้มาก และมีวิธีการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ ไม่ยุ่งยาก อีดทั้งไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนกับผู้ป่วย ได้แก่

  • การคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิง ใช้วิธีการถ่ายภาพรังสีเต้านม โดยจะทำการตรวจทุกปีหรือทุก 2-3 ปี ในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งความถี่ของการตรวจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยและผลจากการตรวจครั้งแรก
  • การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก สำหรับผู้ป่วยที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว จะตรวจคัดกรองด้วยแปปสเมียร์ทุกปี หรือตามแพทย์แนะนำ

สำหรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดอื่น มักเป็นการตรวจที่ซับซ้อนมากกว่า และอาจมีผลข้างเคียงแทรกซ้อนได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยมีความสงสัยหรือสนใจการคัดกรองโรคมะเร็งชนิดอื่นก็สามารถปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ได้

การดูแลสุขภาพทั่วไป

ทุกครั้งที่แพทย์นัดจะมีการตรวจสุขภาพทั่วไป โดยประกอบด้วย การสอบถามอาการสำคัญ อาการต่างๆ ในขณะนั้น รวมถึงการตรวจอื่นๆร่วมด้วย เช่น การตรวจเลือดซีบีซี การตรวจโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ตรวจการทำงานของตับและไต และให้คำปรึกษาผู้ป่วยด้านสุขภาพหรือการใช้ชีวิตภายหลังครบการรักษา เป็นต้น

การตรวจวินิจฉัยโรคอื่นๆ ตามอาการของผู้ป่วยมะเร็ง

การตรวจวินิจฉัยโรคอื่นๆแพทย์จะดูตามอาการสำคัญและอาการในขณะนั้นเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด หรือตรวจภาพเนื้อเยื่อและอวัยวะที่มีอาการด้วยการเอกซเรย์ธรรมดา อัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ หากพบว่ามีอาการโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง แพทย์จะเป็นคนให้คำอธิบาย แนะนำ ให้ยาบรรเทาอาการ และให้การรักษาโรคที่กิด หรือส่งผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคนั้น  [adinserter name=”มะเร็ง”]

การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งที่ยังหลงเหลือหลังครบการรักษา โรคย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคแพร่กระจาย

การตรวจวินิจฉัยเพื่อประเมินโรคที่ยังคงเหลืออยู่หลังครบการรักษาโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ หรือโรคแพร่กระจาย เป็นการประเมินผลการรักษาโรคมะเร็งทั้งในช่วงที่รับการรักษา ช่วงหลังครบการรักษา และช่วงติดตามผลระยะยาว โดยมีขั้นตอนและวิธีการเหมือนกัน

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจาย

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำ และโรคแพร่กระจาย แพทย์จะเริ่มดูจากอาการสำคัญของผู้ป่วยขนาดนั้น ตรวจสภาพร่างกายทั่วไป ตรวจเฉพาะที่ ตรวจภาพเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็งหรือมีอาการ ตรวจดูค่าสารมะเร็ง ( เมื่อเป็นเซลล์มะเร็งชนิดที่สร้างสารมะเร็ง ) รวมทั้งสอบถามอาการผิดปกติต่างๆ เพื่อนำมาวินิจฉัยสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อพบว่ามีโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจาย

หากการตรวจพบว่ามะเร็งหลงเหลือหรือโรคย้อนกลับมาเป็นซ้ำแพทย์จะให้การตรวจวินิจฉัยอีกครั้งเหมือนในผู้ป่วยใหม่ เพื่อประเมินระยะโรคและสุขภาพผู้ป่วย แต่จะมีข้อแตกต่างคือ มีการประเมินผลข้างเคียงแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากวิธีรักษาครั้งที่ผ่านมาด้วย

การรักษาโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจาย

เมื่อแพทย์ได้ผลตรวจวินิจฉัยทุกอย่างครบแล้วจึงทำการประเมินวิธีการรักษา พร้อมพูดคุยให้คำแนะนำทั้ง

[adinserter name=”oralimpact”]

ผู้ป่วยและครอบครัวถึงวิธีการรักษาครั้งนี้ ส่วนวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่ยังหลงเหลือภายหลังครบการรักษาแล้ว อาจเป็นวิธีเดียวหรือหลายวิธีที่นำมาใช้ร่วมกัน ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพของผู้ป่วย ระยะของโรคมะเร็งครั้งใหม่ ข้อจำกัดของแต่ละวิธี ผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากการรักษาที่ผ่านมา ดุลพินิจของแพทย์และความประสงค์ของผู้ป่วยและครอบครัว โดยทั่วไปวิธีการรักษา คือ

  • ดำเนินการผ่าตัด เมื่อยังสามารถผ่าตัดได้และไม่มีผลอันตรายร้ายแรงกับผู้ป่วย
  • ให้รังสีรักษา หากสามารถให้รังสีเพิ่มเติมได้ โดยใช้เทคนิคก้าวหน้า ( Advanced Radiotherap ) หรือใช้รังสีในตำแหน่งใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน
  • ให้ยาฮอร์โมนชนิดใหม่ ให้ยาเคมีบำบัดใหม่ ซึ่งมักเปลี่ยนชนิดหรือปริมาณยา
  • ให้ยารักษาตรงเป้า หากครั้งใหม่เป็นโรคชนิดตอบสนองต่อยาตรงเป้าได้ดี ซึ่งให้แล้วผู้ป่วยจะมีสุขภาพแข็งแรง และมีโอกาสยืดชีวิตผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
  • หากผู้ป่วยมีสุขภาพไม่แข็งแรงอาจให้การรักษาทางอายุรกรรมทั่วไป เพื่อประคับประคองพยุงอาการเมื่อสุขภาพผู้ป่วยไม่แข็งแรงพอสำหรับการรักษาครั้งใหม่ เช่น การให้ยาแก้ปวด เป็นต้น
  • อาจชะลอการรักษาโรคมะเร็งไปก่อนหรือยังไม่มีการรักษาโรคมะเร็งในขณะนั้น ถ้าสุขภาพของผู้ป่วยอ่อนแอไม่สามารถรับการรักษาได้ ตลอดจนการรักษาโรคมะเร็งอาจก่อผลข้างเคียงแทรกซ้อนเพิ่มจนผู้ป่วยขาดคุณภาพชีวิต และที่สำคัญญาติและผู้ป่วยมีความประสงค์ตรงกันว่าไม่รักษา โดยแพทย์จะให้การดูแลสุขภาพผู้ป่วยตามที่ร้องขอ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

พยาบาลสาร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “การดูแลผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะหลังผ่าตัดเปลี่ยนช่องทางขับถ่ายปัสสาวะ”. (พัชรินทร์ ไชยสุรินทร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tci-thaijo.org. [05 พ.ค. 2017].

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและแคปซูลมีอะไรบ้าง

0
สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและแคปซูลมีอะไรบ้าง
วิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายมี เอ บี ซี
สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและแคปซูลมีอะไรบ้าง
วิตามินที่ช่วยจับออกซิเจนและมีความจำเป็นต่อร่างกายมี เอ บี ซี

สารจับออกซิเจน

สารจับออกซิเจน เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารที่ได้สมดุลสามารถให้และจับออกซิเจนแก่ร่างกายได้อย่างเพียงพอ แต่เนื่องจากกรรมวิธีในการประกอบอาหาร การหุงต้มและการเก็บรักษา อาจทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินบางอย่าง การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นหลักประกันได้

วิตามินเอ (Vitamin A)

ร่างกายต้องการ วิตามินเอ ( Vitamin A ) ในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU สำหรับนักมังสวิรัติที่เคร่งครัด คือผู้ไม่ยอมกินอาหารที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิด จึงควรกินวิตามินเอสังเคราะห์ชนิดเม็ดหรือแคปซูลวันละ 800 ไมโครกรัม

วิตามินซี ( Vitamin C )

วิตามินซี ( Vitamin C ) มีจำหน่ายในบ้านเราหลายขนาด อย่างดีที่สุดคือวิตามินซีชนิดที่เป็นกลาง คือไม่เป็นกรดหรือเป็นด่าง และมีสารที่ทำให้สมดุล เช่น ไบโอฟลาโวนอยด์จากธรรมชาติ มีอาเซโรล่าและโรสฮิพส์เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยให้ทานมื้อละ 250 หรือ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 มื้อก็พอ วิตามินซีอย่างผงแม้จะมีราคาถูกมาก แต่ก็มีปัญหาเรื่องการชั่งตวงวัด ซึ่งอาจทำให้คุณได้รับเกินขนาดง่ายมาก

วิตามินอี  ( Vitamin E )

วิตามินอี ( Vitamin E ) กับออกซิเจนเป็นสิ่งที่ผู้คนมองข้ามกันมากที่สุด หากได้รับในปริมาณที่สูง เช่นสูงถึง 2000 หน่วยสากล หรือมิลลิกรัม (วิตามินอีเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่ถือกันว่า 1 หน่วยสากลมีค่าเท่ากับ 1 มิลลิกรัม) วิตามินอีมีส่วนร่วมอยู่ในรายการอาหารจับออกซิเจนหลายรายการ เช่น การรักษาโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและโรคผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุเซลล์ ช่วยในการสืบพันธุ์ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

โค-คิว10 ( Co-Q10 )

โค-คิว 10 อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทจับออกซิเจนยอดนิยมชนิดหนึ่ง แต่ยังมีการวิจัยเกี่ยวกับสารตัวนี้อยู่น้อยมาก วิตามินซีจะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการผลิตโค-คิว10   

เบตาแคโรทีน ( Betacarotene )

เบตาแคโรทีน ( Betacarotene ) นับเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญสำหรับสุขภาพของมนุษย์ ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือ 15 มิลลิกรัม สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายจากเบตาแคโรทีน ขณะนี้ได้พบแล้ว แม้จากการวิจัยพบว่าวิตามินเออาจเป็นพิษได้ถ้ารับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 25,000 หน่วยสากล ( IU ) ต่อวัน แต่ไม่พบว่าเบตาแคโรทีนมีความเป็นพิษแต่อย่างใด

อาหารสีเขียวชนิดเข้มข้น

เป็นอาหารยอดนิยมอีกอย่างและเชื่อกันว่าเป็นอาหารจับออกซิเจนที่ดี ไม่มีใครสงสัยว่าอาหารเรานี้มี สารจับออกซิเจน แต่ผักธรรมดาๆ เช่น บร็อกโคลี และผักโขม ที่มีราคาถูกจะมีคุณภาพดีกว่า

ยาง-ชัน

สารจับออกซิเจน ครอบจักรวาล แต่เนื่องจากมีความแตกต่างกันมากในด้านส่วนประกอบและมาตรฐานความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการยากที่จะแนะนำขนาดที่ควรได้รับในแต่ละวัน

เกสรดอกไม้

เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีลักษณะพิเศษและได้รับความไว้วางใจมากกว่า ยาง-ชัน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเนื่องจากมีความหลากหลายของเกสรดอกไม้ ดังนั้นน้ำผึ้งที่ใช้ทาขนมปัง ราดนม จึงดูน่าเชื่อถือมากกว่า

ซิลิเนียม

เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์อยู่ในรายการ สารจับออกซิเจน แต่การได้รับซีลีเนียมจากอาหารย่อมดีกว่าการรับสารซีลีเนียมเข้าไปโดยตรง ซีลีเนียมโดยตัวเองไม่ได้เป็นสารจับออกซิเจน แต่มีความจำเป็นต่อการสร้างระบบจับออกซิเจนภายในร่างกาย ซิลิเนียมอินทรีย์ 200 ไมโครกรัม เป็นปริมาณสูงสุดที่สามารถจับได้ในแต่ละวันในสภาพเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซีลีเนียมอินทรีย์ เช่น ซิลิไนต์ และซิลิเนต ห้ามใช้เสริมอาหาร 

กลูต้าไธโอน

สารจับออกซิเจน ชนิดหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะมีราคาแพงและไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็นซึ่งเราได้รับอาหารที่มีโปรตีนอยู่แล้ว

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและชนิดแคปซูล

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำหน่ายอยู่มากมายบางชนิดเป็นชนิดผสมอย่างง่ายแต่มีวิตามิน A C และ E เท่านั้น บางอย่างเพิ่มปัจจัยร่วมเข้าไปอีกอย่างหรือหลายอย่าง เช่น ซีลีเนียม ไบโอฟลาโวนอยด์ ทองแดง กรดโฟลิก และสังกะสี ถ้าต้องการซื้อผลิตภัณฑ์จับออกซิเจน พิจารณาสูตรที่สมดุลโดยมีสารหลักดังนี้

ผลิตภัณฑ์สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและชนิดแคปซูล จำนวนหน่วยที่ควรได้รับ
วิตามินเอ ( ควรเป็นเบตาแคโรทีน ) 1,500 – 2,500 หน่วยสากล
วิตามินอี 100 – 150 หน่วยสากล
วิตามินซี 150 – 400 มิลลิกรัม
วิตามินบี 15 – 10 มิลลิกรัม
วิตามินบี 25 -10 มิลลิกรัม
วิตามินบี 62 – 5 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 30-60 มิลลิกรัม
กรดโฟลิก 400 ไมโครกรัม
สังกะสี 1 – 5 มิลลิกรัม
แมงกานีส 1 – 2 มิลลิกรัม
ซีลีเนียม 50 – 150 ไมโครกรัม
ไบโอฟลาโวนอยด์ผสม (เช่น จากเปลือกองุ่น ผลไม้ประเภทส้ม บักวีท ซึ่งมีเควอร์ฌซทิน เอสเพอริดีน รูทิน ฯลฯ)
หรือจะผสมวิตามินดังกล่าวกับผักผง เช่น แครอท กระเทียม แพงพวยน้ำ หรือผักโขม
100 – 300 มิลลิกรัม

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า หากทราบความสำคัญของโภชนาการเหล่านี้เพิ่มขึ้น สารจับออกซิเจน ชนิดเม็ดหรือชนิดแคปซูลจะต้องปรากฏในตลาดมากขึ้น และคงเป็นการยากที่จะตัดสินคุณภาพโดยรู้จักฉลากเพียงประการเดียว มีข้อควรระลึกเมื่อจะตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ดังนี้

1. ผลิตภัณฑ์นั้น เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันกับอาหารตามปกติหรือไม่

2. ผลิตภัณฑ์นั้น เป็นสารชนิดเดียวกันกับที่ร่างกายผลิตขึ้นหรือไม่

3. ผู้ผลิตตั้งผลจากสถาบันวิจัยชั้นนำของสหรัฐ สหราชอาณาจักรหรือเยอรมนีหรือเปล่า

4. ถ้าผู้ผลิตเอาผลการวิจัยจากห้องปฏิบัติการหรือแพทย์เพียงผู้เดียวมากล่าวอ้าง ควรรอข่าวจากแหล่งอื่นก่อนที่จะเสียเงินซื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

หาคำตอบว่าทำไม สารจับออกซิเจน จึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร

0
สารจับออกซิเจนจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร
สารจับออกซิเจนจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร
สารจับออกซิเจนจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร
สารกับออกซิเจน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากในกระบวนการทางเคมีของร่างกาย

สารจับออกซิเจน

สารอาหารทุกหมู่ ถือว่ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ในระยะหลังนี้บทบาทของ สารกับออกซิเจน เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากในกระบวนการทางเคมีของร่างกาย เช่นเดียวกับสารอาหารประเภทกากใย แม้ร่างกายจะย่อยไม่ได้ก็ตาม แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการดำรงชีวิตของมนุษย์ กากใยอาหารที่ได้จากพืชมักมีแร่ธาตุและสารจับออกซิเจนเป็นส่วนประกอบอยู่

โดยพื้นฐานแล้ว วิตามิน แร่ธาตุ กากใย คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ต่างก็ให้สารเคมีเป็นจำนวนมาก จนถึงทุกวันนี้ ยังเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า สารดังกล่าวเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิตแล้ว สำหรับการให้สารจับออกซิเจนแก่ร่างกาย และตามทฤษฎีต้องยอมรับว่าอาหารที่ให้สารต่าง ๆ ดังกล่าว นับเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิตและมีสุขภาพที่ดี

เมื่อไม่นานมานี้ความเชื่อดังกล่าวดูจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อปรากฏว่าจากการทดลองกับสัตว์เป็นจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่า การให้วิตามินและแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนเสริมแก่สัตว์ทดลอง สัตว์มีอายุยืนยาวขึ้น บริษัทการค้าต่าง ๆ หลายบริษัทพากันหาข้อสรุปได้ว่า ถ้าสารเหล่านั้นให้ผลดีแก่สัตว์ ก็ต้องให้ผลดีแก่มนุษย์ด้วยเช่นกัน

จึงมีการผลิตสินค้าจำพวกวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ออกมาจำหน่าย และเสริมด้วยการโฆษณาอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทเหล่านั้นก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อมีการทดลองให้ สารจับออกซิเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเอ ซี และอี แก่มนุษย์เป็นระยะยาว กลับปรากฏว่าการให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านั้นเพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากอาหารปกติที่มนุษย์ได้รับอยู่ ยังมีผลต่อสุขภาพที่น่าสงสัย การทดลองกับมนุษย์ด้วยการเพิ่มสารจับออกซิเจนลงไปในอาหารดำเนินไปเป็นเวลาหลายปี แต่จากผลการทดลองแต่ละอย่างกลับมีแต่คำถามมากกว่าคำตอบ

จากคำถามโดยรวมได้มีการแบ่งกลุ่มกันขึ้นในหมู่นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งกลุ่มที่ 1 สนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่อีกกลุ่มกลับคัดค้านหัวชนฝา ต่างฝ่ายต่างก็หาเสียงสนับสนุนฝ่ายตน และจากความไม่รู้เช่นนี้หากเกิดแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ว่าจะผู้สนับสนุนหรือคัดค้าน อาจทำให้เกิดการหลงทางซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งก็เป็นได้

การเติมสารจับออกซิเจนให้อาหาร

อาหารทุกชนิดต่างก็มีสารเติมออกซิเจนอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้วมากมาย เป็นต้นว่า ในทันทีที่เก็บเกี่ยว ออกซิเจนก็เร่งให้เกิดกระบวนการทำให้ผลผลิตนั้นเน่าเสีย ความพยายามที่จะป้องกันอาหารไม่ให้เน่าเสียเร็วจึงเกิดขึ้น เช่น การอบแห้ง แช่เย็น แช่แข็ง อาบรังสี หรือแม้แต่การใช้สารเคมีเพื่อป้องกันการบูดเน่า ปัญหาก็คือกระบวนการดังกล่าว จะทำให้เกิดพิษภัยได้หรือไม่ เช่นพิษภัยที่เกิดจากการทำลายจุลโภชนสาร เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารกับออกซิเจน

อาหารทุกชนิดต่างก็มีสารเติมออกซิเจนอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้วมากมาย ออกซิเจนก็เร่งให้เกิดกระบวนการทำให้ผลผลิตนั้นเน่าเสีย การป้องกันอาหารไม่ให้เน่าเสียเร็วจึงเกิดขึ้น เช่น การอบแห้ง แช่เย็น แช่แข็ง อาบรังสี

กฎที่สำคัญก็คือ อาหารสดเป็นอาหารที่ดีที่สุด การเก็บอาหารสดเอาไว้แม้ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก็สามารถลดคุณค่าทางโภชนาการของอาหารนั้นลงได้ เป็นต้นว่า สารจับออกซิเจน ลดลงในขณะที่ สารเติมออกซิเจน เกิดขึ้นหรือเพิ่มขึ้นอาจเป็นสารเพอร์ออกไซด์ ซึ่งทำอันตรายแก่ร่างกายได้มากกว่าออกไซด์ธรรมดา ตลอดจนน้ำมันเก่าและน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวอยู่มาก เมื่อเก็บไว้นาน ๆ แล้วนำมาใช้สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แก่เร็ว และเกิดโรคของหลอดเลือดแดงได้ เช่นเดียวกันกับที่ร่างกายขาดสารจับออกซิเจนเอง ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพดังกล่าว

ดังนั้น สมดุลของสารรับและให้ออกซิเจนในอาหารจึงขึ้นอยู่กับปริมาณ สารจับออกซิเจน ที่มีอยู่ในอาหารนั้น สารกันเสียสังเคราะห์บางชนิด เช่น บีเอชที ( Butyl Hydroxy Toluene ) เคยได้รับการเสนอชื่อให้ใช้เป็นยาสำหรับมนุษย์เช่นเดียวกับการป้องกันอาหารไม่ให้เน่าเสีย บางคนเชื่อว่ามีทางป้องกันไม่ให้สารจับออกซิเจนสูญเสียไปในช่วงเวลาการย่อยอาหาร โดยการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารจับออกซิเจน เช่น เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมูเทส ( Superoxide Dismutase ) และไบโอฟลาโวนอยด์ ( Bioflavonoids )

อาหารธรรมชาติและสมุนไพร

วิทยาศาสตร์โดยทั่วไปซึ่งมีมาแต่เดิมนั้น ได้พัฒนามาเป็นวิทยาศาสตร์เฉพาะทางมากขึ้น ตามอัตราความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น นักวิจัยอาจเน้นลงไปถึงจุดเล็ก ๆ เพื่อค้นหาสารมหัศจรรย์ซึ่งยังหาข้อมูลยุติไม่ได้ อีกทั้งนักวิจัยและผู้บริโภคต่างก็มีความต้องการตรงกันอยู่ประการหนึ่งคือ การที่จะได้มาซึ่ง สารจับออกซิเจน อันมหัศจรรย์ แต่ในทางเคมีแล้ว เรื่องการรับและการให้ออกซิเจนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุลใหญ่ 2 หรือเกิน 2 โมเลกุล ยังเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก ปัญหานี้ยังเป็นปัญหาหนักอกของอุตสาหกรรมยาสมุนไพรอยู่เป็นอย่างมาก เพราะต้องเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญด้านยาซึ่งมักจะเชี่ยวชาญในเรื่ององค์ประกอบทางเคมีของโมเลกุลอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ โดยไม่พิจารณาไปถึงองค์รวมซึ่งมีอยู่ในสมุนไพรตามธรรมชาติ 

ธรรมชาติมีกลไกทางเคมีอันสลับซับซ้อนในการป้องกันตนเองอยู่แล้ว คุณสมบัติเช่นนี้มีอยู่ในสัตว์และพืชทุกชนิด กลไกนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสารเคมีจำนวนมากที่มีปฏิกิริยาต่อกัน สมุนไพรที่นำมาใช้ทำยาจะมีความซับซ้อนทางเคมีอยู่มาก แต่เดิมมาเคยใช้สมุนไพรแท้ ๆ เป็นยารักษาโรค ต่อมาแทนที่จะยอมรับกลไกทางเคมีของสมุนไพรโดยรวม เภสัชกรกลับพยายามค้นหา แยกแยะเป็นสารโมเลกุลเดี่ยวซึ่งแสดงสรรพคุณของสมุนไพรชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่ถูกใจเหล่านักเคมี นักทำยา นักอุตสาหกรรม และนักปรับแต่งเป็นอย่างมาก แต่มักไม่เป็นที่ถูกใจคนไข้ เนื่องจากยาสมุนไพรแท้ป้องกันพิษให้แก่คนไข้น้อยกว่าสารอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสกัดออกมาได้ ขณะเดียวกันก็ก่อพิษภัยให้แก่คนไข้เป็นอย่างมาก ยาสกัดดังกล่าว ถ้าใช้ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ ก็พอได้ แต่กำไรที่แท้จริงของบริษัทยาอยู่ที่คนไข้ใช้ยาเป็นระยะยาวนั่นเอง

จากตัวอย่างข้างต้นนับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เพราะสามารถเปรียบเทียบกันได้อย่างลงตัวกับอาหารธรรมชาติที่ทำเองกับอาหารขยะที่ทำขายให้คนอื่นกินแต่ตัวเองไม่กิน มีผู้คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าอาหารที่ผลิตด้วยกระบวนการทันสมัย ทำให้ผู้คนได้รับโภชนาการที่ดีในทัศนะของวิทยาศาสตร์-โภชนาการ แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่อาหารซึ่งผลิตขึ้นมาตามหลักโภชนาการที่ดีนั้น หาได้ทำให้ผู้คนมีสุขภาพดีไปกว่าอาหารธรรมชาติที่ประกอบเอง ซึ่งสารเหล่านั้นต่างก็มีคุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์ทางโภชนาการเฉพาะตัว บางทีลิ้นของผู้ที่กินอาหารธรรมชาติอาจจะบอกได้ว่า อาหารดังกล่าวเป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าอาหารที่ผลิตขึ้นตามกระบวนการก็เป็นได้

ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับกันว่าอาหารธรรมชาติมีสารเคมีธรรมชาติมากกว่าอาหารอุตสาหกรรม และถ้าเชื่อว่า สารจับออกซิเจน เป็นสารสำคัญต่อการดำรงชีวิต ซึ่งเราทราบแล้วว่า มีมากมายหลายกลุ่มซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าว อาจพอสรุปได้ว่าอาหารธรรมชาตินั้นมีความสำคัญมากกว่าอาหารอุตสาหกรรม

การมีสุขภาพที่ดี

หากจะถามว่า เราได้ละเลยหรือหลงลืม สารจับออกซิเจน ซึ่งเป็นประตูนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีไปเป็นเวลานานมาแล้วหรือไม่ คำตอบก็คงเป็นเพราะปัญหาสำคัญของนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่การพิสูจน์ว่าสารจับออกซิเจนอย่างไหนที่ให้ประโยชน์ต่อชีวิต ทำให้ยากต่อการพิสูจน์คุณประโยชน์ของวิตามินและแร่ธาตุเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลของการขาดสารจับออกซิเจนกว่าจะเห็นผลต้องใช้เวลานาน เพราะระบบการรับและให้ออกซิเจนในร่างกายมีการแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะ   

เราต้องกินผักและผลไม้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น แต่เรายังไม่ทราบว่าทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น เท่าที่ทราบคือสารเคมีต่าง ๆ นอกจากวิตามิน กรดไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกากใยอาหารที่มีอยู่ในผลไม้และผัก เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว สารเหล่านี้เกือบทุกชนิดจะมีศักยภาพที่จะทำหน้าที่เป็นสารจับออกซิเจนได้ ส่วนภายนอกร่างกายของเราสารบางอย่างเหล่านั้นอาจมีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนอย่างมาก แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าศักยภาพในการรับและให้ออกซิเจนของสารหนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่น ๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพีเอช ( ความเป็นกรด ด่าง ) และการมีอยู่ของอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจน ( สารเคมีที่สามารถทำลายเซลล์ หากไม่ถูกทำลายฤทธิ์ )

ระบบการรับและให้ออกซิเจนของร่างกาย เป็นระบบที่มีความไวพอ ๆ กับระบบการปรับพีเอชของร่างกาย เนื่องจากร่างกายมีแหล่งในการควบคุมระบบทั้งสอง จึงพอจะอนุมานได้ว่าการได้รับกรด ด่าง สารเติมออกซิเจน หรือสารจับออกซิเจน นอกเหนือไปจากที่มีอยู่ในอาหารตามปกติ จะไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างอะไรมากนัก แต่ประเด็นที่ว่าร่างกายสามารถควบคุมระบบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ก็จำเป็นต้องตกไป เมื่อเราเห็นความเสื่อมโทรมอันเกิดจากการเติมออกซิเจนซึ่งทำให้คนบางคนแก่ก่อนวัย ดังเช่นที่เกิดกับผู้สูบบุหรี่ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าบุหรี่เป็นสิ่งหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการ “ เติมออกซิเจน ” อย่างแรงที่สุดที่มนุษย์รับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ผิวหน้ามีสภาพเหมือนของใช้ที่ทำด้วยเหล็กเก่าคร่ำคร่าเป็นสนิมเกรอะกรัง แม้อายุจะยังไม่ถึง 40 โดยปกติแล้วมีบางส่วนของร่างกาย เช่น กระเพาะอาหารมีกรดเกลือซึ่งเป็นกรดอนินทรีย์ ลำไส้มีไบคาร์บอเนตซึ่งเป็นด่างค่อนข้างแรง กรดและด่างดังกล่าวเมื่ออยู่ในที่อันควรของมันก็ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย แต่สำหรับระดับเซลล์แล้ว แม้จะมีระบบการรับและให้ออกซิเจนควบคุมอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากได้รับสารรับหรือให้ออกซิเจนอย่างแรงแล้ว ระบบนี้ก็ไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ เช่น การกินกรดกำมะถันเข้มข้น ร่างกายย่อมไม่สามารถกำจัดได้ทันก่อนจะถึงแก่ความตาย

ออกซิเจนเป็นสารที่จำเป็นสำหรับชีวิต ขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมโทรม หากระบบการจับออกซิเจนทำงานไม่มีประสิทธิภาพพอ นอกจากนี้ยังมีเหตุอื่นอีกนอกจากการเจ็บไข้และความชราภาพแล้ว การออกกำลังกาย ก็มีผลต่อสมดุลของระบบการรับและให้ออกซิเจนอีกด้วย ทำให้ความต้องการ สารจับออกซิเจน จากอาหารเพิ่มขึ้น

ในขณะที่วิตามินเอ วิตามินซี และ วิตามินอี เป็น สารจับออกซิเจน ซึ่งอยู่ในอาหารซึ่งผ่านการวิจัยมากที่สุด แต่ก็ยังมีสารอื่นอีกมากที่ยังเป็นข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าจะเป็นสารจับออกซิเจนที่ดีได้หรือไม่ และคงจะทราบกันในอนาคต ความจริงที่ต้องยอมรับกันอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม คือไม่มีวันที่จะค้นพบสารจับออกซิเจนอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ เพราะสารเช่นนั้นจะไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้ สารจับออกซิเจนต้องประกอบด้วยสารที่นำมาประกอบเป็นอาหารในลักษณะที่สมดุล จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของสารรับและให้ออกซิเจนในร่างกายได้ สารจับออกซิเจนอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวอาจก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่าอาหารที่ดีที่สมดุล มีความสำคัญเป็นอันดับแรก การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้องมีความมุ่งหมายเพียงเป็นการเสริมและจะต้องทำให้ได้สมดุลเท่านั้น เราจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ชนิดใด ยี่ห้อใด เป็นอาหารแทนอาหารที่ได้จากวัตถุดิบจากธรรมชาติไม่ได้เป็นอันขาด

สารจับออกซิเจนไม่ใช่ยา จะต้องไม่สับสน แต่ยาบางขนานอาจเป็นสารจับออกซิเจนหรือเป็นสารเติมออกซิเจน ได้ด้วยตัวของมันเอง และยาเหล่านี้เมื่อแตกตัวแล้ว อาจมีผลกระทบต่อสมดุลของการรับและให้ออกซิเจนภายในร่างกาย ยาธรรมดาสามัญที่มีศักยภาพในการปล่อยอนุมูลอิสระ คือ ไนโตรฟูแรนโทอิน ( Nitrofurantoin ) ใช้สำหรับโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินปัสสาวะ และเฟนิลบิวทาโซน ( Phenylbutazone ) ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่คนเป็นโรคข้ออักเสบชอบใช้ แต่เป็นยาที่มีอันตรายมาก

ร่างกายมีระบบเอนไซม์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดสมดุลของสารรับและให้ออกซิเจน เป็นต้นว่า ถ้ามีสารเติมออกซิเจนที่เป็นอันตราย เช่น ซุปเปอร์ออกไซด์ หรือเพอร์ออกไซด์อยู่ ก็จะมีระบบเอนไซม์ซูเปอร์ออกไซด์และเพอร์ออกไซด์ ดิสมูเทสไว้กำจัดหรือทำให้เป็นกลาง อาหารที่ได้รับเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของระบบดังกล่าว ภาวะหลอดเลือดตีบตันหรืออุดตัน เกิดจากการพอกพูนของสารเปอร์ออกไซด์ของไขมัน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากระบบเอนไซม์จับออกซิเจนไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ สารอาหารที่อาจช่วยคงประสิทธิภาพของเอนไซม์เหล่านี้ได้คือ กรดอะมิโน วิตามินซี และ วิตามินอี และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ซีลีเนียม ทองแดง สังกะสี และแมงกานีส สารเหล่านี้มีอยู่ในอาหารธรรมชาติ แม้ที่เป็นอาหารพื้นๆ เช่น หัวหอม กระเทียม ก็ยังมีสารที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวน การจับออกซิเจน แต่ปัญหาหนักของนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงเหมือนเดิมคือ ปัญหาว่าจะสกัดแยกแยะ “ สารที่สำคัญแก่ชีวิต ” ออกมาจากหัวหอมหรือกระเทียมได้อย่างไร แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว การมีหัวหอมหัว กระเทียมเป็นส่วนประกอบของอาหาร ก็น่าจะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับหัวหอม หัวกระเทียมให้มากเรื่องนัก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

“Goddard-1926”. NASA. Archived from the original on November 8, 2007. Retrieved November 18, 2007.

Scripps Institute. “Atmospheric Oxygen Research”. Jack Barrett, 2002, “Atomic Structure and Periodicity, (Basic concepts in chemistry, Vol. 9 of Tutorial chemistry texts), Cambridge, U.K.:Royal Society of Chemistry, p. 153, ISBN 0854046577, see [1] accessed January 31, 2015.

ทำความเข้าใจกับชีวสารจับออกซิเจนกันเถอะ

0
ทำความเข้าใจกับชีวสารจับออกซิเจนกันเถอะ
ความเสียหายของเซลล์เกิดจากสารเคมีในร่างกายที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจนหรืออนุมูลอิสระ
ทำความเข้าใจกับชีวสารจับออกซิเจนกันเถอะ
ความเสียหายของเซลล์เกิดจากสารเคมีในร่างกายที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจนหรืออนุมูลอิสระ

สารจับออกซิเจน ( Oxygen )

สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรานั้น ไม่มีสารเคมีที่มีฤทธิ์แรงอย่างเช่น โซเดียม และยังไม่มีสารเคมีที่ไม่มีฤทธิ์ เช่น ทองคำ แต่ก็มีชีว สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ชนิดที่มีฤทธิ์อ่อน สารจับออกซิเจน (Oxygen) ภายในร่างกายของเราออกฤทธิ์ได้ดีในอุณหภูมิปกติของร่างกายและเมื่อภาวะค่าความเป็นกรด,ด่างหรือพีเอชอยู่ที่ 7 ( pH7 )

มีนักวิทยาศาสตร์บางคนได้ออกมาเปิดเผยว่า สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) บางอย่างที่ได้จากอาหารมีฤทธิ์ในการจับออกซิเจนแรงกว่าวิตามินอี คำกล่าวเช่นนี้หากฟังเพียงผิวเผินอาจจะดูเป็นเหมือนเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าหากเจาะลึกลงไปถึงภาวะที่แท้จริงในการออกฤทธิ์ของสารดังกล่าว จะเห็นว่าในบางภาวะ คำกล่าวเช่นนั้นเป็นความจริง เช่นในสภาวะที่เป็นกรดด่างที่เหมาะสม เป็นต้น โดยนัยเดียวกัน สารที่ได้จากอาหารซึ่งจัดได้ว่ามีคุณสมบัติที่ดีในการจับออกซิเจน ( Oxygen ) ก็ต้องออกฤทธิ์ได้ดีในภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกายที่เป็นปกติด้วย

ความเสียหายของเซลล์เกิดจากสารเคมีในร่างกายที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจน ( Oxygen ) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า อนุมูลอิสระ ร่างกายจำเป็นต้องกำจัดหรือสลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ออกไปให้ได้

ไม่ว่าจะได้รับสารที่ได้จากอาหารหรือจากระบบการสร้างสารชนิดนี้ขึ้นมาเองภายในร่างกายก็ตาม เมื่อร่างกายย่อยอาหารแล้วสารอาหารต่างๆ จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดและไหลเวียนไปตามกระแสเลือด สารอาหารดังกล่าวอาจเป็นสารอาหารสำเร็จรูปที่สามารถดูดจับอนุมูลอิสระได้ทันที หรือเป็นสารอาหารที่ร่างกายนำไปใช้ในการสร้างเป็น สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ก็ได้

หากในอาหารมีไม่เพียงพอและร่างกายได้รับแต่อาหารเช่นนี้เป็นประจำ ร่างกายก็จะไม่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ใน การเติมออกซิเจน ( Oxygen ) เหล่านี้ลงไปได้ ทำให้เกิดความเสียหายแก่เนื้อเยื่อต่างๆ เนื่องจากการกระทำของอนุมูลอิสระดังกล่าวทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ภาวะเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายได้รับอาหารที่มีสารจับออกซิเจนอย่างดีและเพียงพอ แต่การดูดซึมสารอาหารของร่างกายอาจไม่ดีนัก

อนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ 
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
โรคปอด
โรคชรา
ความเสื่อมทางพันธุกรรม
โรคที่ทำให้เกิดความเสื่อมโดยทั่วไป
ภูมิต้านทานลดต่ำ
หลอดเลือดแดงตีบตันหรืออุดตัน
โรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบชนิดต่างๆ เช่น ข้ออักเสบ

นอกจากนี้ยังมีบทความอีกชิ้นหนึ่งในวารสารแลนเซต กล่าวว่า อนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ใน การเติมออกซิเจน ( Oxygen ) ยังมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดโรคได้เป็นร้อยโรค อันที่จริง โดยทฤษฎีแล้วยังไม่สามารถระบุได้จนถึงที่สุด เพราะหากว่าร่างกายไม่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระนี้ได้ การที่จะดำรงชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ ที่ปัญหาสุขภาพเกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระแล้วละก็ สารอาหารจับออกซิเจนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ก็จะมีบทบาทอย่างมหาศาลต่อการมีสุขภาพที่ดีด้วย

นอกจากวิตามินเอ วิตามินซีและ วิตามินอี ซึ่งถือว่าเป็นสารอาหารจับออกซิเจนหลักที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีรายชื่อสารอาหารที่อาจมีคุณสมบัติใน การจับออกซิเจน ( Oxygen ) ปรากฏออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่ยังมีวิวัฒนาการทางด้านการศึกษาเรื่องโภชนาการและส่วนประกอบของอาหารอยู่ แต่ด้วยเหตุผลนานาประการ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนยังคงมีความลังเลสงสัยในเรื่องสารจับออกซิเจนใหม่ ๆ เหล่านี้อยู่ ปัญหาหลักก็คือ จำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดว่า สารดังกล่าวสารใดสารหนึ่งนั้นจะต้องมีฤทธิ์ในการจับออกซิเจนเมื่ออยู่ในกระแสเลือด

อาจกล่าวได้ว่า ในทุก ๆ เดือน ผู้ผลิตวิตามินโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกามักจะพบสารใหม่ ๆ ที่น่าจะมีคุณสมบัติเป็น สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) โดยส่วนใหญ่แล้วมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังไม่เกินไปกว่าสมมติฐานนั้นเท่านั้น ดังนั้น การได้รับอาหารอย่างสมดุลแต่เพียงประการเดียว ร่างกายก็จะได้รับทุกสิ่งเท่าที่ต้องการแล้วโดยไม่ต้องไปขวนขวายหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชื่อแปลกๆ ราคาแพง ๆ เหล่านั้นมากินให้เป็นการเสียเวลาและเสียเงินทองเลย การรับประทานอาหารที่หลากหลายคือ การได้รับสารอาหารกับออกซิเจนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารด้วยผลิตภัณฑ์ราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด

เมื่อพูดถึงร่างกายแล้ว ร่างกายมีความสามารถในการคงคุณภูมิไว้ที่ 37.5 องศาเซลเซียสและภาวะความเป็นกรดด่างที่ 6.8-7.2 นอกจากนี้ยังสามารถคงสมดุลของการให้และรับ ออกซิเจน ( Oxygen ) ไว้ได้อีกด้วย และเพื่อให้กระบวนการเหล่านี้ดำเนินไปได้ด้วยดี โภชนสารที่ได้รับต้องดีและเหมาะสมด้วย การได้รับสารอาหารจากออกซิเจนอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้าได้รับน้อยเกินไปโดยเฉพาะจากอาหารไร้โภชนาการ ก็จะเกิดปัญหาแก่สุขภาพในระยะยาวได้

ในกรณีนี้ ถ้าเราไม่สามารถเพิ่มคุณภาพของอาหารให้ตัวเองได้ การพึ่งพาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อาจทำได้ แต่ก็ต้องทำในขอบเขตและระยะเวลาเท่าที่สามารถแก้ปัญหาได้เท่านั้น หากปัญหาเกิดจากสมรรถภาพในการดูดซึมสารอาหารของร่างกายไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ จึงมีความจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดที่มีส่วนประกอบของ สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ซึ่งมีอัตราของความเข้มข้นสูง ผู้สูงอายุที่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่วนมากมักกล่าวโทษว่าการดูดซึมสารอาหารของร่างกายตนให้เป็นจำเลยร่วมอยู่ด้วยเสมอ

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงบทบาทของ สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ในร่างกายให้ถ่องแท้ และความเข้าใจถึงสมดุลทางชีววิทยาเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุด อีกประการหนึ่งต้องเข้าใจว่าสำหรับผู้คนโดยทั่วไปแล้ว การป้องกันอย่างง่าย ๆ ด้วยอาหาร ก็เป็นการเพียงพอต่อการที่จะคงไว้ซึ่งสมดุลดังกล่าว

ด้วยได้มีการเผยแพร่ความคิดใหม่นี้ออกไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งความคิดนั้นก็คือ ภาวะสมดุลของสารรับและให้ออกซิเจน ( Oxygen ) ซึ่งมนุษย์คงไว้ได้มาหลายชั่วอายุคน และกำลังถูกบีบคั้นด้วยภาวะแวดล้อมสมัยใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีแหล่งปล่อยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวเติมออกซิเจนเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนมากมาย เป็นต้นว่า มลพิษที่เกิดจากสารปรุงแต่งอาหาร สารพิษทางการเกษตรและในบ้านเรือน ควันจากการเผาไหม้ ควันจากท่อไอเสียรถ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ เครื่องบิน และจากแหล่งอื่นๆ นอกจากนี้ควันจากโรงงานที่ปล่อยขึ้นสู่อากาศ น้ำเสียที่ปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้มักสร้างปัญหาให้แก่ร่างกายและจิตใจโดยทั่วไปอย่างสม่ํำเสมอ ทำให้ผู้ผลิตวิตามินมีช่องทางที่จะประกาศว่า ลำพังแต่อาหารเพียงอย่างเดียวไม่เป็นการเพียงพอเสียแล้วที่คนเราจะได้รับสารจับออกซิเจนอย่างเพียงพอ จำเป็นต้องได้รับวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี และผลิตภัณฑ์สารอาหารกับ ออกซิเจน ( Oxygen ) ชนิดเข้มข้นเสริมแก่ทุกคน

ข้อโต้เถียงนี้จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างถ่องแท้และจริงจัง แต่ก็ยังมีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนอยู่น้อยมาก ซึ่งกล่าวถึงส่วนประกอบอันหลากหลายที่มีอยู่ในผลไม้และผักนานาชนิด แต่จะไม่เป็นการดีเลยถ้าจะแนะนำให้ผู้คนซึ่งต้องการมีภาวะโภชนาการที่อุดมด้วย สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ที่มีอยู่ในอาหาร โดยเพียงแต่ให้บริโภคผลไม้และผักมากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่เจาะจงถึงความหลากหลาย คำแนะนำดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอ มีข้อสงสัยเพียงเล็กน้อยว่าคนส่วนมากจะสามารถได้รับ สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) จากอาหารเพียงพอหรือไม่เท่านั้น ข้อสงสัยนี้แก้ได้ด้วยการคัดสรรอาหารตามแต่ละหมวดหมู่โดยเน้นความสดของอาหารเป็นสำคัญ เพราะกระบวนการในการประกอบอาหารไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ย่อมมีส่วนในการทำลายประสิทธิภาพหรือปริมาณของสารจับออกซิเจนที่มีอยู่ในอาหารได้ทั้งสิ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.

Jastrow, Joseph (1936). Story of Human Error. Ayer Publishing. p. 171. ISBN 0-8369-0568-7.

มะเร็งดวงตา กับการรักษาด้วยการฉายรังสี มีผลกระทบอะไรบ้าง

0
ผลกระทบต่อการฉายรังสีรักษามะเร็งต่อตา
ผลกระทบต่อการฉายรังสีรักษามะเร็งต่อตา
ผลกระทบต่อการฉายรังสีรักษามะเร็งต่อตา
มะเร็งดวงตา เป็นโรคมะเร็งชนิดปฐมภูมิ ที่สามารถพบได้ที่ส่วนของตาและเบ้าตา

มะเร็งดวงตา คือ

มะเร็งดวงตา ( Eye Cancer ) เป็น มะเร็งชนิดปฐมภูมิกับ Adnexal Tumors ที่สามารถพบได้ที่ส่วนของตาและเบ้าตา คือ Uveal Malignant Melanoma และ Retanoblastoma ถึงแม้ว่ามะเร็งดวงตาที่ส่วนของตาและเบ้าตาจะโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากก็ตาม นอกจากมะเร็งปฐมภูมิและ Adnexal Tumors ที่สามารถพบมะเร็งได้แล้ว มะเร็งชนิดทุติยภูมิที่เกิดขึ้นบริเวณเบ้าตาและตาก็มีเกิดขึ้นได้เช่นกัน ดวงตา

สัญญาณและอาการของโรคมะเร็งตา

ผู้ที่เป็นมะเร็งตาอาจพบอาการหรือสัญญาณเตือน ซึ่งอาการที่พบบ่อย ต่อไปนี้

  • พบก้อนเนื้อบนเปลือกตา
  • มีจุดดำบนม่านตา
  • ตาพร่า หรือสูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน
  • เห็นเงา หรือเส้นแสงกระพริบ
  • มองเห็นภาพซ้อน
  • สูญเสียการมองเห็นบางส่วน หรือทั้งหมด
  • สีของดวงตาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน
  • อาการปวดตาพร้อมทั้งมีน้ำตาไหล
  • การมองเห็นจุดเส้นหยัก หรือวัตถุลอย

ปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตา

1. อายุ : ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มักจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในลูกตาเบื้องต้น อายุโดยเฉลี่ยของการวินิจฉัยประมาณ 55 ปี ซึ่งพบได้น้อยในเด็กและผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป
2. เชื้อชาติ : เนื้องอกในลูกตาระยะแรกนั้นพบมากในคนผิวขาว แต่จะพบได้น้อยในคนผิวดำ
3. เพศ : เนื้องอกในลูกตามีผลต่อผู้ชายและผู้หญิงจำนวนเท่า ๆ กัน
4. ประวัติส่วนตัว : ผู้ที่มีอาการป่วยมีความเสี่ยงสูงในการเกิดเนื้องอกในลูกตา
5. ปัจจัยอื่น ๆ : การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าแสงแดดหรือสารเคมีบางชนิดอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในลูกตา   

งานวิจัยและการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งดวงตา 2 กลุ่มด้วยกัน คือ

กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยมะเร็งดวงตาที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีน้อยกว่า 3 ปี
กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยมะเร็งดวงตาที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีมากกว่า 3 ปี

ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งตา ระยะเฉียบพลัน

ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยการผ่าตัด การฉายแสง และการเคมีบำดัดที่เป็นไปได้ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของรังสีรักษาและส่วนใดของดวงตาผลข้างเคียงที่พบบ่อยบางส่วนมีดังต่อไปนี้

  • การสูญเสียขนตา
  • รู้สึกเหนื่อยล้า
  • อาการบวมชั่วคราว
  • มีรอยแดงรอบดวงตา
  • เกิดหมอกหรือมีฝ้าจนมองไม่เห็น
  • ดวงตาขาดความชุ่มชื้น ( แห้งกร้าน )

และการรักษามะเร็งด้วยการฉายแสง เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งเป็นการรักษาที่พบบ่อย ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีที่ได้รับการรักษา หรือเกิดขึ้นภายหลังการรักษาเพียงเล็กน้อย และจะสามารถหายเป็นปกติภายหลังหยุดการฉายรังสีไปแล้วสักระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งผลกระทบแบบเฉียบพลันที่แบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดขึ้น สามารถแบ่งได้ดังนี้
1. เยื่อตาหรือเยื่อบุตา ( Conjunctiva )
เป็นส่วนที่จะแสดงปฏิกิริยาในทันที่หลังจากที่ได้รับการฉายรังสีไปแล้ว อาการที่เกิดขึ้น คือ ดวงตาเยื่อจะมีสีแดง ฉ่ำไปด้วยน้ำ ตาแห้ง
2. บริเวณผิวหนัง
ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงซึ่งอาการจะแสดงให้เห็นเด่นชัดในวันที่ 8 เมื่อได้รับการฉายรังสี และจะแดงชัดมากที่สุดในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากได้รับการฉายรังสี
3. ต่อมน้ำตา ( Lacrimal Glands ) 

ดังนั้นก่อนที่จะทำการรักษามะเร็งดวงตาแพทย์ต้องทำการอธิบายและบอกถึงผลกระทลบที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยให้เข้าใจ เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้เตรียมตัว เตรียมใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัด และผู้ป่วยก็จะสามารถลดอาการข้างเคียงอาจจะเกิดขึ้นให้น้อยลงด้วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

อิ่มใจ ชิตาพนารักษ์. ผลกระทบจากการรักษาโรคมะเร็ง. เชียงใหม่: ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2557.

Hirano M.Clinical examination of voice. In:Arnold GE, Winkel F, Wyke BD, editors. Disorders of human communication. NewYork: Springer-Verlag. 81-84, 1981.

โรคสมองเสื่อมรักษาด้วยยาอะไรบ้าง

0
โรคสมองเสื่อมรักษาด้วยยาอะไรบ้าง
การพักผ่อนและออกกำลังกายคือสิ่งสำคัญในการรักษาโรคสมอง
โรคสมองเสื่อมรักษาด้วยยาอะไรบ้าง
ยากลุ่มต้านแอซิติลโคลีนเอสเตอเรส เป็นยามาตรฐานที่ใช้รักษาโรคสมองเสื่อม มีหน้าที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในสมอง

ยารักษาโรคสมองเสื่อม

เคยมีประเด็นที่ถกเถียงกันว่า ยารักษาโรคสมองเสื่อม ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของโรคหรือแค่บรรเทาและควบคุมอาการที่เกิดขึ้นกันแน่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจให้คำตอบอย่างจริงจังมากนัก เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ต้องการมีเพียงแค่ให้ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมีอาการดีขึ้นมากเท่าที่จะมากได้ ยาหลายตัวยังต้องวิจัยและพัฒนาต่อไปอีก ยาหลายตัวยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทวัคซีน และยาบางตัวก็มีผลข้างเคียงรุนแรงเกินกว่าจะเหมาะแก่การใช้งานหากไม่สุดวิสัยจริงๆ อย่างไรก็ตามเราก็มีกลุ่มยาที่ได้การรับรองเป็นยามาตรฐานที่ใช้กันแล้วในปัจจุบัน คือ ยากลุ่มต้านแอซิติลโคลีนเอสเตอเรส ( Acetylcholinesterase Inhibitor )

สมองเป็นอวัยวะส่วนที่มีรายละเอียดและมีความซับซ้อนมากที่สุดในร่างกาย เรายังต้องใช้เวลาและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมากกว่านี้อีกหลายเท่าถึงจะเข้าใจกระบวนการทำงานของสมองได้ในทุกมิติ ดังนั้นโรคทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสมองจึงยังเป็นเรื่องที่เราต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติมอีกมากเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าโรคสมองเสื่อมจะเป็นโรคที่เกือบจะพูดได้ว่า นี่เป็นอีกโรคหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันแล้ว เพราะได้ยินและได้เห็นกรณีศึกษากันบ่อยมากขึ้น แต่เราก็ยังไม่ได้ไปถึงจุดที่สามารถตอบคำถามได้ในทุกประเด็นที่เกิดขึ้นจริงๆ รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาด้วย

โดยปกติเมื่อมีสัญญาณของอาการสมองเสื่อมเกิดขึ้น ก็ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดก่อนว่าเป็นโรคสมองเสื่อมจริงหรือไม่ หากเป็นจริงก็ต้องลงลึกไปอีกว่าเกิดจากสาเหตุไหน เพราะสาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั้นมีมากมายเหลือเกิน หลังจากนั้นจึงเริ่มการรักษาตามอาการที่แสดงออกมาหรือตรวจพบได้ ซึ่งมีหลายระดับไล่ตั้งแต่การให้ยา การใช้วัคซีน การผ่าตัด การบำบัด เป็นต้น แต่ที่ดูมีน้ำหนักและถูกนำมาใช้มากที่สุดก็คือ การให้ยาสำหรับรักษาโรคสมองเสื่อม

กลุ่มยาที่ได้การรับรองเป็นยามาตรฐานที่ใช้รักษาโรคสมองเสื่อมแล้วในปัจจุบัน คือ ยากลุ่มต้านแอซิติลโคลีนเอสเตอเรส ( Acetylcholinesterase Inhibitor )

ยากลุ่มต้านแอซิติลโคลีนเอสเตอเรส ( acetylcholinesterase inhibitor ) เป็นสารเคมีที่มีหน้าที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในสมองที่ชื่อว่า อะซิติลโคลีนเอสเทอเรสเอนไซม์ ( Acetylcholinesterase Enzyme ) เอนไซม์ตัวสำคัญที่ควบคุมให้สารสื่อประสาทในสมองออกฤทธิ์ ยากลุ่มนี้อาจเรียกได้อีกอย่างว่า เอซีเอชอีไอ ( AChEI ) หรือ Anticholinesterase Drug ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ

1. กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งแบบผันกลับได้ ( Reversible Inhibitor ) : กลุ่มนี้มีประโยชน์ทางการแพทย์ สามารถนำมาใช้เพื่อรักษาโรคได้หลายชนิด ไม่ใช่แค่รักษาโรคสมองเสื่อมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่น โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อบางประเภท เป็นต้น

2. กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งแบบไม่สามารถผักกลับได้ ( Irreversible Inhibitor ) : กลุ่มนี้ใช้สำหรับผลิตยาฆ่าแมลงหรือผลิตอาวุธเคมีให้กับกองทัพ

นั่นหมายความว่า เมื่อเรากล่าวถึงตัวยากลุ่มเอซีเอชอีไอ ( AChEI ) กับโรคสมองเสื่อม จึงเป็นเฉพาะเจาะจงไปที่กลุ่มยาซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งแบบผันกลับได้ ( Reversible Inhibitor ) เท่านั้น

ก่อนจะลงรายละเอียดในประเด็นของยากลุ่ม Reversible Inhibitor นี้ เรามาดูกันก่อนว่ากลุ่มอาการของโรคสมองเสื่อมแบบไหนบ้างที่รักษาด้วยยา

  • อาการเกี่ยวกับความคิดและการจดจำทั้งหมด อาจเรียกรวมได้ว่า การรู้คิด ( Cognition )
  • อาการเกี่ยวกับความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น อารมณ์สวิงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย หงุดหงิดตลอดเวลา เป็นต้น
  • อาการฟุ้งซ่านทางจิตประสาทและพฤติกรรมที่เกิดจากปัญหาของสมองกลีบหน้า   
  • อาการเกี่ยวกับการนอนที่เป็นผลกระทบมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสมอง เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับยากมากหรือนอนหลับไม่สนิทจนกลายเป็นพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนหลับมากเกินไปในช่วงกลางวัน เป็นต้น

กลุ่มยา เอซีเอชอีไอ ( AChEI ) ที่เป็นแบบ Reversible Inhibitor ที่ใช้รักษาโรคสมองเสื่อม

ความจริงแล้วกลุ่มยา เอซีเอชอีไอ ( AChEI ) ที่เป็นแบบ Reversible Inhibitor จะมีตัวยาที่บำบัดรักษาโรคได้หลากหลาย แต่เมื่อตีกรอบไว้แค่โรคเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมจึงคงเหลือตัวเด่นๆ ที่ถูกนำมาใช้บ่อยๆ อยู่แค่ 3 ตัวเท่านั้น ได้แก่

1. ยาโดนีพีซิล ( Donepezil ) : เป็นยาชนิดรับประทานที่เปิดตัวครั้งแรกในชื่อ Aricept ใช้กับโรคสมองเสื่อมที่มีอาการอัลไซเมอร์ร่วมด้วย และโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่ปกติ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้แบบไม่ติดขัด เป็นเพียงการควบคุมอาการเท่านั้น ไม่ได้รักษาให้หายขาดจากโรคแต่อย่างใด การใช้ยาต้องใช้อย่างต่อเนื่อง และมีผลข้างเคียงเช่น หัวใจเต้นผิดปกติ เวียนหัว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อ่อนแรง เป็นต้น

2. ยาไรวาสติกมีน ( Rivastigmine ) : ใช้ได้กับโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน มีทั้งแบบรับประทานและแบบแผ่นแปะตามผิวหนัง ช่วยบำบัดรักษาความจำเสื่อมที่มีความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทได้ แต่เป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องระวังเรื่องการใช้ค่อนข้างมาก เพราะยาตัวนี้มีข้อห้ามใช้กับผู้ป่วยหลายประเภทอยู่ด้วย

3. ยากาแลนตามีน ( Galantamine ) : ใช้สำหรับรักษาโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ โดยช่วยให้สารสื่อประสาททำงานได้ดีขึ้น เป็นยาชนิดรับประทานที่มีผลข้างเคียงต่อระบบอวัยวะในร่างกายด้วย ได้แก่ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบกล้ามเนื้อ ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

นอกจากนี้ก็อาจจะมียาตัวอื่นๆ ให้พอได้ยินชื่อกันอยู่บ้าง ได้แก่ Huperzine A และ Tacrine ทั้งคู่เป็นยาที่ถูกใช้เพื่อรักษาโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์เช่นเดียวกัน แต่จะค่อยๆ ถูกลดการใช้งานลงเรื่อยๆ เพราะพบว่ามีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นบ่อย และหลายกรณีส่งผลเสียอย่างรุนแรงต่ออวัยวะภายในร่างกายด้วย เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วก็ไม่คุ้มค่าแก่การนำมาใช้ในการรักษา แพทย์ส่วนมากจึงเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาแทน

การพักผ่อนและออกกำลังกายคือสิ่งสำคัญในการรักษาโรคสมอง

การใช้ยาในการรักษาโรคสมองเสื่อมนั้น ไม่ได้จำกัดเอาไว้เพียงแค่ต้องเป็นยาที่มีผลต่อระบบประสาทหรือใช้เพื่อจัดการเรื่องความคิด สติและอารมณ์เท่านั้น เพราะเมื่อสมองมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆ ในร่างกายก็มักจะได้รับผลกระทบไปด้วย หากมีอาการแขนขาไร้เรี่ยวแรงหรือเจ็บปวดตามร่างกาย แพทย์ก็ต้องให้ยาเพิ่มเติมเพื่อรักษาอาการที่เกิดควบคู่กันไป โดยต้องพิถีพิถันในการเลือกใช้ตัวยาที่ไม่ขัดแย้งกับยารักษาโรคสมองเสื่อมที่ใช้อยู่ด้วย และต้องมีการติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด เพราะแต่ละคนจะมีผลตอบสนองต่อยาที่ใช้แตกต่างกันไปมาก เมื่อตัวยาไหนไม่ได้ผลหรือมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงเกินไป ก็จะต้องเลี่ยงไปใช้ยาตัวอื่นหรือใช้วิธีการบำบัดอย่างอื่นแทน
ความเชื่อที่อันตรายอย่างหนึ่งของผู้ป่วยและญาติผู้ดูแลก็คือ “ ประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษา ” เนื่องจากการใช้ยาเป็นการรักษาที่ให้ผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ในช่วงแรกๆ จึงอาจจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงน้อยมากหรือไม่พบการเปลี่ยนแปลงเลยในผู้ป่วยบางราย ผู้ป่วยและญาติจำนวนไม่น้อยจึงเกิดคำถามว่าประสิทธิภาพของยาไม่ดีพอหรือไม่ ซ้ำร้ายหากมีอาการข้างเคียงแสดงให้เห็นชัดเจนกว่าผลของการรักษา ก็จะยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ป่วยและญาติให้ลดน้อยลงอีก จนหลายคนเลือกที่จะเปลี่ยนหมอ เปลี่ยนยา ไปจนถึงหยุดใช้ยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่องและอาจเป็นอันตรายร้ายแรงในกรณีที่เป็นยาชนิดควบคุมพิเศษ นี่จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทั้งญาติผู้ดูแลและตัวผู้ป่วยเองต้องทำความเข้าใจเอาไว้ก่อน

กลุ่มที่เป็นยาต้านตัวรับสารสื่อประสาท NMDA

นอกจากยากลุ่มเอซีเอชอีไอ ( AChEI ) ที่กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น ก็ยังมีตัวยาอีกกลุ่มที่เป็นยาต้านตัวรับสารสื่อประสาท NMDA อยู่ด้วย นั่นคือ

ยาเมแมนทีน ( Memantine ) : ยาตัวนี้เน้นใช้กับภาวะสมองเสื่อมที่มีอาการของอัลไซเมอร์ในระดับปานกลางถึงรุนแรง เป็นหนึ่งตัวยาในกลุ่มเอนเอ็มดีเอ รีเซพเตอร์ แอนตาโกนิสต์ ( NMDA Receptor Antagonist ) ทำหน้าที่สร้างกลไลเพื่อขัดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทบางตัว ช่วยชะลอและบรรเทาอาการไม่ให้ทรุดหนักลงกว่าเดิม ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุของโรคให้หายขาด แต่ก็เป็นตัวยาที่มีประโยชน์และยังมีความจำเป็นต่อการใช้งานในระดับสูงอยู่ เป็นยาชนิดรับประทานที่เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายและดูดซึมแล้ว ยาเมแมนทีน ( Memantine ) จะเข้าไปจับ NMDA Receptor ทำให้ Glutamate ทำงานได้น้อยลง เหตุผลที่ต้องยับยั้งสารสื่อประสาทตัวนี้ก็เพราะว่า หากมี Glutamate สูงมากจะเกิดการกระตุ้นเซลล์สมองมากเกินไปจนเซลล์สมองตายได้ อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ วิงเวียนศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ประสาทหลอน เป็นต้น

ยารักษาโรคสมองเสื่อมเกือบทั้งหมดจะต้องได้รับการดูแลและจ่ายยาโดยแพทย์เฉพาะทาง แต่ก็มีบ้างที่มีวางขายตามร้ายขายยาบางแห่ง ทำให้หลายคนเลือกที่จะไปซื้อยาแบบที่ตัวเองเคยใช้ เพราะเบื่อที่จะไปพบหมอที่โรงพยาบาล แต่นั่นเป็นการเลือกที่สุ่มเสี่ยงต่ออันตรายมากๆ เพราะยาทุกตัวมีผลข้างเคียง และอาการของโรคสมองเสื่อมจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ไม่อาจใช้ยาตัวเดิมไปตลอดได้ จึงควรเข้าพบแพทย์เพื่อติดตามผลตามนัดหมายจะดีที่สุด

โรคสมองเสื่อมสามารถรักษาให้หายขาดด้วยการใช้ยาได้หรือไม่

นี่เป็นคำถามยอดนิยมที่มักเกิดขึ้นทันทีที่ได้รู้ว่ามีการใช้ยาแบบไหนและอย่างไรในผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อม คำตอบก็คือ การใช้ยาส่วนใหญ่เป็นเพียงการประคองอาการให้ค่อยๆ ดีขึ้น หรืออย่างน้อยให้คงที่อยู่เท่าเดิมไม่ทรุดหนักลงเท่านั้น อาจมีผู้ป่วยบางคนที่ดีขึ้นจนเหมือนว่าหายเป็นปกติ อย่างหนึ่งเป็นเพราะระดับอาการเมื่อเริ่มรักษายังไม่ได้สาหัสมากนัก และการดูแลตัวเองในด้านอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบร่วมก็ดีขึ้นด้วย แต่พอตัดสินใจหยุดการรักษาอาการทั้งหมดก็ค่อยๆ กลับมาอีก จึงต้องใช้ยาต่อเนื่องเรื่อยไป อย่างไรก็ดีการใช้ยาก็ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติได้อย่างดี และก็เป็นการปรับตัวในเบื้องต้นที่เหมาะสมสำหรับการรักษาในขั้นตอนอื่นๆ ต่อไปด้วย

มีการทดลองกับหนูที่อยู่ในสถานที่แตกต่างกันเพื่อดูพัฒนาการของสมอง โดยให้หนูตัวหนึ่งอยู่ในกรงธรรมดาที่ทำได้แค่กินกับนอน และหนูอีกตัวอยู่ในกรงที่สามารถวิ่งถีบจักรได้ด้วย พบว่าหนูที่ได้ออกแรงวิ่งมีการทำงานของสมองที่ดีกว่ามาก เป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันว่าการพักผ่อนและการออกกำลังกายนั้นส่งผลดีต่อสมองและร่างกาย นี่เป็นกิจกรรมขั้นพื้นฐานที่หลายคนมองข้าม ยิ่งพออายุมากขึ้นก็ยิ่งพยายามจะตัดเรื่องของการออกกำลังกายออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่าร่างกายไม่เอื้ออำนวยบ้าง สถานที่ไม่พร้อมบ้าง ความเจ็บป่วยของร่างกายบ้าง ทำให้ทั้งสมองและร่างกายยิ่งถดถอยมากขึ้นเรื่อยๆ คงต้องถามตัวเองแล้วว่าอยากให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและทำงานได้เต็มศักยภาพ หรืออยากจะรอแก้ไขความเสื่อมสภาพด้วยการพึ่งยาไม่จบไม่สิ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) คืออะไร

0
ลดพุง เลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ด
สลัดผัก
สลัดอะโวคาโด

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect )

โยโย่เอฟเฟค คือ อาการที่อดอาหารแล้วกลับมากินอาหารมากกว่าเดิม

การลดน้ำหนักไม่ว่าจะรูปแบบใด หากไม่ศึกษาให้ดีพอ จะเกิดโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) ได้ รูปร่างที่สมส่วนนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี แต่ถ้าคนเรามีน้ำหนักมากเกินไปย่อมนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ น้ำหนักที่เพิ่มสูงขึ้นจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไปหรือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ ทำให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันส่วนเกินส่งผลให้เกิดเป็นโรคอ้วน ซึ่งเราสามารถตรวจดูได้ว่าเราเป็นโรคอ้วนหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนหรือไม่ด้วยการหาค่าดัชนีมวลกาย ( Body Mass Index : BMI ) ของตัวเอง ว่ามีค่าอยู่ในระดับที่เป็นโรคอ้วนเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ซึ่งค่าที่ BMI นี้สามารถคำนวณได้จาก

BMI = น้ำหนัก ( กิโลกรัม ) / ส่วนสูง ( เมตร )2

 

ซึ่งค่า BMI นี้สามารถบ่งบอกสภาวะของร่างกายได้ดังนี้

Body Mass Index : BMI สภาวะของน้ำหนัก

Body Mass Index : BMI สภาวะของน้ำหนัก

น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
18.5-22.9 สมส่วน
23.0-24.9 น้ำหนักเกิน ร่างกายมีภาวะท้วม เริ่มเป็นโรคอ้วนระดับที่ 1
25.0-29.9 น้ำหนักเกิน ร่างกายมีภาวะอ้วนอย่างชัดเจน เริ่มมีภาวะเสี่ยงในการเกิดจากความอ้วน
มากกว่า 30.0 น้ำหนักเกิน ร่างกายอ้วนมาก โรคอ้วนระดับสูง ภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคสูงมาก

 

ดังนั้นเมื่ออยู่ในภาวะอ้วนเราจึงจำเป็นต้องลดน้ำหนักลงเพื่อสร้างสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) ซึ่งวิธีการลดน้ำหนักก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป บางวิธีก็เห็นผลช้าแต่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว บางวิธีเห็นผลเร็วสามารถลดน้ำหนักได้ทันใจ แต่ทว่าหลังจากที่ลดน้ำหนักไปแล้วสิ่งหนึ่งที่หลายคนต้องเผชิญ ก็คือ การเกิดโยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) ที่ส่งผลให้เรากลับมาอ้วนมากกว่าก่อนที่จะทำการลดน้ำหนักเสียอีก

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) คืออะไร?

โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน หรือออกกำลังอย่างหนักหน่วงจนทำให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าร่างกายกำลังจะตาย เมื่อร่างกายรู้สึกว่าจะต้องตาย ร่างกายก็จะทำการส่งสัญญาณไปยังทุกระบบของร่างกายให้ลดการใช้พลังงานอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ร่างกายจะได้มีพลังงานเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้นจะได้มีชีวิตรอดยาวนานขึ้นนั่นเอง เมื่อร่างกายมีสัญญาณดังกล่าวออกมาจะทำให้ระบบการเผาผลาญและระบบการสลายไขมันเกิดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำหนักตัวที่เคยลดลงอย่างรวดเร็วหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อน้ำหนักไม่ลดตามที่ต้องการก็จะก่อให้ความเครียด ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ( Grelin Hormone ) ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความหิวออกมามากขึ้น

และถ้าร่างกายมีฮอร์โมนเกรลินมาก ๆ จะทำให้เราหิวจนตาลาย ส่งผลให้เรากินมากกว่าปกติโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้เราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไป แบบนี้เราจึงอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง นี่คือกระบวนการที่ทำให้เกิด “ โยโย่เอฟเฟค ” ที่หลายคนรู้จักกัน
เรารู้จักกับการเกิดโยโย่เอฟเฟคกันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )

โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละประมาณ 2,000 Kcal ส่วนผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าผู้ชายโดยผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละ 1,800 Kcal ถ้าเราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไปต่อวัน พลังงานส่วนที่เหลือก็จะเข้าไปสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าเราได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ไปในแต่ละวัน ร่างกายก็จะทำการดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้ โดยการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานกับร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง

เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเราสามารถลดพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกายได้ 7,000 Kcal เราจะสามารถลดไขมันไปได้ถึง 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่าน้ำหนักของเราก็จะลดลง 1 กิโลกรัม

แสดงว่าถ้าในผู้หญิงได้รับพลังงานเข้าไปวันละ 800 Kcal เราก็จะต้องดึงพลังงานจากไขมันภายในร่างกายมาใช้ 1,000 Kcal ต่อวัน นั่นหมายถึงว่าใน 1 สัปดาห์เราจะสามารถดึงพลังงานในร่างกายมาใช้ 7,000 Kcal

นั่นหมายความว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัมเชียวนะ แบบนี้ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภายใน 1 เดือนเราก็จะลดน้ำหนักได้ 4 กิโลกรัม และถ้าลดต่อไปจนครบ 1 ปี ก็จะสามารถน้ำหนักได้มากถึง 48 กิโลกรัมเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นร่างกายของคนเราก็คงจะเหลือแต่กระดูกแน่ ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เราคิดช่างตรงข้ามกับความเป็นจริงเสียเหลือเกิน เพราะว่าถ้าเรามีการลดน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไปร่างกายของเราก็จะเข้าสูโหมดการเอาชีวิตรอดหรือโยโย่ เอฟเฟค ส่งผลให้การลดของน้ำหนักจะหยุดลงอย่างกะทันหันและยังทำให้ร่างกายรู้สึกหิวต้องการพลังงานมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้มีชิวิตอยู่ต่อไป บางคนกินมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าอิ่มเสียที มารู้สึกตัวอีกทีน้ำหนักตัวก็ขึ้นเป็นทวีคูณเสียแล้ว

อ้วน
อ้วน

วิธีลดน้ำหนักโดยไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟค

การเกิดโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะว่านอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้วยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมในอนาคตอีกด้วย ซึ่งการลดน้ำหนักโดยที่จะไม่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟคในภายหลังสามารถทำได้ดังนี้

1.กินให้เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายกันโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect )
การอดอาหารสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ก็จริงอยู่ แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีจะส่งผลน้ำหนักลดลงในช่วงแรกเท่านั้นและจะทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดกลัวตายหรือโยโย่เอฟเฟคได้ง่าย ดังนั้นถ้าเราต้องการลดน้ำหนักอย่างได้ผลและไม่มีโยโย่เอฟเฟคเกิดขึ้น เราต้องกินอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เน้นการกินอาหารประเภทโปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์และเกลือแร่ ลดการกินอาหารที่เป็นแป้ง ไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมจะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายจะอยู่ในสภาวะสมดุล การลดน้ำหนักที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้ผลในระยะยาว

2.ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่างกาย
การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหักโหมเท่านั้นจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้เท่านั้น เพราะเพียงแค่เราขยับร่างกายให้มากขึ้นกว่าปกติก็จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้เพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว ซึ่งการออกกำลังกายที่ดีควรเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอายุ เพศและสุขภาพของผู้ออกด้วย เพราะว่าร่างกายของแต่ละคนนั้นจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ รวมถึงระบบการเผาผลาญพลังงานด้วย บางคนเผาผลาญพลังงานได้ดี บางคนเผาผลาญพลังงานได้น้อยแม้ว่าจะทำกิจกรรมที่เหมือนกัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การเผาผลาญพลังงานของแต่ละคนต่างกัน คือ เพศ อายุ มวลกล้ามเนื้อในร่างกาย และลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับถ่ายทอด ซึ่งเราสามารถหาค่าการเผาผลาญพลังงานของตัวเองได้ดังนี้

ค่าการเผาผลาญพลังงานทั้งหมดต่อวัน ( TDEE ) = BMR x Activity Factor

BMR สำหรับผู้ชาย [น้ำหนัก ( กก. ) x [ ส่วนสูง ( ซม ) x 6.25 ] – [ 5 x อายุ ( ปี ) + 5 ]
BMR สำหรับผู้หญิง [น้ำหนัก ( กก. ) x [ ส่วนสูง ( ซม ) x 6.25 ] – [ 5 x อายุ ( ปี ) -161 ]

 

Activity Factor = ค่าคงที่ของกิจกรรมที่ทำ

x 1.4 หากเคลื่อนไหวน้อย เช่น การกวาดบ้าน ถูบ้าน การล้างรถ การทำสวน เป็นต้น
x 1.7 หากเคลื่อนไหวปานกลาง เช่น การปั่นจักรยานช้า ๆ การเดินช้าติดต่อกัน 30 นาที เป็นต้น
x 2.7 หากเคลื่อนไหวมาก เช่น การวิ่งเร็ว การกระโดดเชือก เล่นบาสเก็ตบอล ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก ซึ่งทำต่อเนื่องกันนานมากกว่า 30 นาทีขึ้นไป เป็นต้น

 

แต่สำหรับใครที่ต้องการทราบค่าที่แน่นอนแล้วก็สามารถใช้อุปกรณ์จำพวก Health Gadget เช่น Fitness Tracker ที่สามารถวัดค่าการเต้นของหัวใจ จำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไปต่อวัน เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้ควบคุมการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศ อายุของผู้สวมใส่ การออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงแล้วยังช่วยกระตุ้นการสลายไขมันให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี การออกกำลังควรทำควบคู่กับการควบคุมอาหารจะส่งผลให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จะเห็นว่าการลดน้ำหนักอย่างได้ผลต้องอาศัยระยะเวลาในการลดน้ำหนัก เพราะถ้าทำการลดน้ำหนักอย่างหนักในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ผลที่ได้รับอาจในช่วงแรก คือ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วตามที่ต้องการ แต่หลังจากที่นั้นอาจจะเกิด การโยโย่เอฟเฟคส่งผลให้น้ำหนักกลับสูงขึ้นจนน่าตกใจเลยทีเดียว ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างได้ผลแล้ว ต้องทำการลดน้ำหนักแบบค่อยๆ ลดน้ำหนักที่ละน้อยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมอาหารที่รับประทานเข้าไปให้เหมาะสมและพอเพียงกับความต้องการของร่างกายพร้อมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่นี้เราก็จะมีรูปร่างสวยสมส่วนพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดโยโย่เอฟเฟคตามมาแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

กองออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.

facebook JonesSaladThailand.

Measuring body composition in adults and children In:Peter G. Kopelman, Ian D. Caterson, Michael J. Stock, William H. Dietz (2005). Clinical obesity in adults and children: In Adults and Children. Blackwell Publishing.

Westman, EC (2002). “Is dietary carbohydrate essential for human nutrition?”. The American Journal of Clinical Nutrition. 75 (5): 951–3; author reply 953–4.