การตรวจเช็คเต้านมด้วยตนเอง

0
ตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ( Breast Selfexam )
การตรวจเช็คเต้านมด้วยตนเอง เป็นการตรวจหาความผิดปกติของเต้านม ที่อาจนำไปสู่สาเหตุการเกิดมะเร็งเต้านม
การตรวจเช็คเต้านมด้วยตนเอง ( Breast Selfexam )
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นการตรวจหาความผิดปกติของเต้านม ที่อาจนำไปสู่สาเหตุการเกิดมะเร็งเต้านม

ตรวจเต้านมด้วยตนเอง คือ

การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ( Breast Selfexam ) สามารถทำได้เมื่อมีอายุ 20 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจเต้านมตนเองทุกเดือนหลังประจำเดือนหมดไปแล้ว 3-5 วัน หรือลองเลือกวันใดวันหนึ่งของเดือน เช่น วันที่ 1 หรือวันที่เกิดของตัวเอง เพื่อที่จะได้ตรวจเป็นประจำและสม่ำเสมอ เนื่องจากในปัจจุบันมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้เป็นอับดับหนึ่งของมะเร็งในผู้หญิง การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ทำให้สามารถ วินิจฉัยมะเร็งเต้านมเบื้องต้นได้ก่อนที่จะมีอาการ

ขั้นตอนการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง

การตรวจเต้านม ท่ายืน

1. ดูเต้านม

  • เริ่มจากการถอดเสื้อออกให้หมด ยืนตรงหน้ากระจกใช้มือทั้ง 2 ข้างท้าวเอว สังเกตขนาดและรูปร่างของเต้านมรวมทั้งสีของผิวหนังที่เต้านม ให้สังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในภาวะปกติผู้ที่ไม่เคยรับการผ่าตัดเต้านมมาก่อน เต้านมทั้ง 2 ข้างควรมีขนาดใกล้เคียงกัน ไม่บิดเบี้ยวหรือผิดรูปไม่บวม ไม่มีรอยนูนที่ผิวหนัง หรือรอยบุ๋มของผิวหนังคล้ายเป็นลักยิ้ม สีผิวหนังปกติต้องไม่บวมแดงซึ่ง สังเกตได้จากการเห็นรูขุมขนชัดเจนมากกว่าปกติสังเกตระดับของหัวนมทั้ง 2 ข้าง ควรมีระดับที่ใกล้เคียงกัน หัวนมไม่บุ๋ม ยกเว้น บางคนอาจเป็นมาแต่กำเนิด ไม่มีแผลที่หัวนมหรือฐานหัวนม ถ้าพบว่ามีลักษณะผิดปกติดังกล่าวข้างต้น อาจมีสาเหตุมาจาก มะเร็งเต้านมได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • สังเกตว่ามีน้ำออกจากหัวนมข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างหรือ ไม่อาจเป็นน้ำสีเหลือง ใสเป็นน้ำปนเลือด หรือสีเหมือนน้ำนม
  • ขยับเอามือไปเท้าเอว แล้วเกร็งหน้าอกขึ้น ลองดูว่าเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ควรขยับให้เห็นด้านข้างทั้งสองข้างด้วย
  • โน้มตัวหรือก้มหัวไปด้านหน้า เพื่อเช็คความผิดปกติอีกครั้ง

2. ขอบเขตในการคลำเต้านม ให้ครอบคลุมบริเวณเต้านม ดังนี้      

  • การคลำในแนวขึ้น-ลง จาใต้เต้านม (ลูบขึ้น-ลง) เริ่มจาคลำใต้เต้านมขึ้นไปถึงกระดูกไหปลาร้า แล้วขยับนิ้วทั้งสามนิ้วคลำในแนวขึ้นลง สลับกันไปเรื่อย ๆ จนทั้วเต้านม
  • การคลำในแนวรูปลิ่ม ( ลูบเข้าหาหัวนม ) เริ่มคลำส่วนบนของเต้านมจนถึงฐานนม แล้วคลำกลับขึ้นสู่ยอด ทำไปเรื่อย ๆ จนทั่วทั้งเต้านม
  • การคลำในแนวก้นหอย ( วนเป็นวงกลม ) เริ่มคลำจากส่วนบนของเต้านมตามแนวก้นหอยไปจนถึงฐานนมบริเวณรอบรักแร้
  • ท่านอน สำหรับการตรวจเต้านมขวา ให้ใช้หมอนหรือผ้าห่มวางไว้ใต้ไหล่ขวา ส่วนมือขวาให้ชูขึ้นเหนือศีรษะหรือประสานไว้ที่ท้ายทอย จากนั้นใช้นิ้วมือซ้ายคลำเต้านมขวาให้ทั่วเหมือนท่ายืน เมื่อเรียบร้อยก็ให้สลับมาทำอีกข้างหนึ่ง

การตรวจเต้านม ท่านั่ง

การตรวจเต้านมในท่านั่งจะตรวจเต้านมในส่วนบนได้ดี ซึ่งการตรวจจะใช้มือข้างตรงข้ามคลำเต้านม ให้นิ้วชี้นิ้วกลาง และนิ้ว นางชิดกัน ใช้อุ้งนิ้วทั้งสามคลำเป็นวงกลม จากตรงกลางออกสู่ด้าน นอกของเต้านมต่อมาคลำจากด้านบน โดยการลูบจากบริเวณ ใต้กระดูกไหปลาร้าลงมาที่ราวนมในแนวตั้งให้ทั่วทั้งเต้านม และสุดท้ายคลำจากฐานหัวนมออกทางด้านนอกตามแนวรัศมี ให้ทั่ว ทั้งเต้านมตรวจในลักษณะเดียวกันในเต้านมข้างตรงข้าม ปกติเนื้อเต้านมควรเรียบ ไม่มีก้อน ไม่มีผื่น และไม่มีแผล

การตรวจเต้านม ท่านอน

  • นอนราบยกมือข้างหนึ่งไว้ใต้ศีรษะ ใช้หมอนหนุนไหล่ข้างที่จะคลำ และใช้มืออีกข้างตรวจคลำทุกส่วนของเต้านมทีละข้าง
  • เริ่มคลำจากส่วนนอกและเหนือสุดของเต้านม เวียนไปรอบเต้านม ค่อย ๆ เคลื่อนมือเข้ามาเป็นวงแคบ ๆ จนถึงบริเวณเต้านมให้ทั่วทุกส่วน
  • บีบหัวนมเบา ๆ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติไหลออกมาหรือไม่

ลักษณะของก้อนมะเร็งเต้านม

สำหรับก้อนที่อาจจะเป็นมะเร็งเต้านมนั้น มีลักษณะ คือ เป็นก้อนหนาๆ ไม่มีขอบ ไม่เคลื่อนที่ เมื่อคลำไปเจอจะรู้สึกได้ทันทีว่ามีความแตกต่างกับเนื้อนมบริเวณรอบ ๆ  หรือเมื่อเทียบกับเต้านมอีกข้าง แต่ถ้าหากเป็นก้อนกลม ๆ กดแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาได้ มีขนาดใหญ่เท่าลูกชิ้น อาจเป็นถุงน้ำ พังผืด ( Fibrocystic ) ที่ไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย แต่ถ้าหากอยากให้มั่นใจมากที่สุด ก็แนะนำให้ไปตรวจกับแพทย์ภายหลังคลำเจอก้อน

บริเวณที่มักพบก้อนมะเร็ง

  • ด้านบนติดกับรักแร้ สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 50
  • ด้านบนด้านใน สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 15
  • ด้านล่างด้านนอก สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 11
  • ด้านล่างด้านใน สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 6

การตรวจหามะเร็งเต้านมเพิ่มเติม

ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งเต้านม จนทำให้อาการของโรคเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ป่วยจึงมักมีอาการ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไอเรื้อรัง หายใจเหนื่อยหอบ น้ำหนักลด แพทย์อาจจะต้องทำการเอกซเรย์ดูอวัยวะภายในชิ้นต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบดูว่าเชื้อมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังจุดไหนบ้างแล้ว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

3 วิธี 6 ขั้นตอนง่ายๆ ในการคัดกรองมะเร็งเต้านมเบื้องต้น (ออนไลน์). สืบค้นจาก :https://www.ryt9.com [15 สิงหาคม 2562].

ผลกระทบจากการฉายรังสีรักษามะเร็งต่อระบบไหลเวียนโลหิต

0
การฉายรังสีมีผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต ส่งผลต่อไปยังหัวใจ
ภาวะหัวใจวายเกิดจากการฉายรังสี
การฉายรังสีรักษามะเร็งส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย

การฉายรังสีรักษามะเร็งส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต

การรักษาโรคมะเร็งด้วย การฉายรังสีจะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนเลือด ของผู้ป่วยทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเกิดเนื่องจากรังสีสร้างผลเสียกับ parenchyma cell ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น เซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด Mucosal Epithelium, Base Cell Epidermis เป็นต้น โดยรังสีจะปล่อยสารที่มีลักษณะเหมือนกับ Histamine ออกมาทำให้ parenchyma cell เกิดอาการบาดเจ็บส่งผลให้ภายในระบบหมุนเวียนของ  เลือดเกิดภาวะอักเสบขึ้น อาการที่สามารถพบได้ เช่น การขยายตัวของหลอดเลือด ( Vascular dilatation ) และมีการเกิดอาการแทรกซ้อนที่บริเวณของหลอดเลือดฝอย หรือการเกิด interstital edema เป็นต้น

ผลกระทบมะเร็งที่เกิดขึ้นเฉพาะที่กับ ระบบไหลเวียนเลือด จะเป็นชนิดเรื้อรังมากกว่าที่จะเป็นชนิดเฉียบพลัน ซึ่งจะมีความต่างกับการบาดเจ็บของ Parenchyma cell ที่มักจะเกิดผลกระทบชนิดเฉียบพลัน เมื่อมีผลกระทบเกิดขึ้นจะส่งผลให้กระบวนการขนส่งสารอาหารจากเลือดแดงที่อยู่ภายในหลอดเลือดแดงส่งไปยังเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในเนื้อเยื่อเกิดขึ้นน้อยลงจนทำให้เส้นเลือดฝอยเกิดการฝ่อตัวลง ( Parenchymal Atrophy ) ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเส้นเลือดฝอยน้อยลง ( Telangiectasis ) ส่งผลให้เส้นเลือดมีการขยายตัวและมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดขึ้นกับเส้นเลือดทุกส่วนที่อยู่ภายในร่างกาย

ผู้ป่วยที่เคยได้รับ การฉายรังสี ที่บริเวณหัวใจสามารถพบว่ามีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น มะเร็งเต้านม Lymphoma Seminoma มะเร็งปอด ซึ่งผลกระทบชนิดฉับพลันที่พบได้แก่ Pericardditus ซึ่งอาการข้างเคียงชนิดเฉียบพลันที่เกิดขึ้นจะเป็นอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่ว่าอาการข้างเคียงชนิดเรื้อรังที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการฉายรังสีเป็นระยะเวลาเป็นปีหรือหลายปี คือ ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และเราได้ทำการแบ่งระดับความรุนแรงของผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นทั้งทางคลินิกและ Subclinical ที่จะสามารถบอกถึงความรุนแรงของภาวะ radiotherapy-induced heart disease ได้ดังนี้

1. อาการทางคลินิกที่พบได้แก่ กลุ่มโรคหัวใจที่มีความเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการเกิดของโรคได้ดังนี้

1.1 กลุ่มโรคที่เกิดขึ้นแบบเฉพาะที่ ( Regional )

  • โรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary Artery disease ( CAD )
  • โรคลิ้นหัวใจ ( Valvular disease )
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ( Myocardial infarction ( MI )

1.2 กลุ่มโรคที่เกิดขึ้นกับทั้งระบบของอวัยวะ ( Global )

  • อาร์ริทเมียจากการรักษามะเร็ง ( Arrhythmia ) หรือภาวะที่หัวใจมีการเต้นที่ผิดจังหวะ
  • Autonomic Dysfranction
  • หัวใจวายจากการรักษามะเร็ง ( Congestive Heart Failure ( CHF ) คือ การที่หัวใจไม่สามารถทำการสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้หรือการทำงานของหัวใจเกิดล้มเหลวส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆเกิดภาวะขาดออกซิเจน   
  • ภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ Pericarditis/Pericardial Effusion

ซึ่งผู้ป่วยจะมีภาวะเสี่ยงมากถึง 1.5-3.5 เท่าก็ต่อเมื่อมีการได้รับรังสีเข้าสู่ส่วนที่เกิดอาการ ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงลักษณะของ Clinical Endpoint ดังนี้

ภาวะหัวใจวายผลกระทบจากการรักษามะเร็ง ( Congestive Heart Failure หรือ CHF )

พบว่าภาวะหัวใจวายที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ทำการรักษาด้วย การฉายรังสี มีโอกาสที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ แต่สำหรับผู้ป่วยที่ทำการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอด์กิน ( Hodgkin lymphoma ) ที่ใช้ Subcarinal Blacking พบว่าภาวะหัวใจวายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากกว่าการเสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจเกิดภาวะขาดเลือด ซึ่งความเสี่ยงในการเสียชีวิตของผู้ป่วยจะลดลงเหลือเพียงแค่ 1.4 เท่า จากที่มีอันตราเสี่ยงมากถึง 5.4 และต่อมา Adams พร้อมกับคณะของเขายังได้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีแบบ Mantle Irradiation นั้นจะมีโอกาสที่จะรอดชีวิตสูงกว่าแต่จะมีความดันเลือดที่เกิดขึ้นในขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อส่งเลือดเข้าสู่เส้นเลือด (Diastolic) จะมีความผิดปกติมากกว่าความดันเลือดขณะที่อยู่ในการพัก ( Systolic ) อีกด้วย

โรคหัวใจขาดเลือด ( Ischemic Heart Disease )
พบว่าการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณหัวใจข้างซ้ายจะส่งผลให้มีภาวะเสี่ยงในการเกิด Cardiac Mortality มากกว่าถึง 1.5 เท่าในการฉายรังสีเข้าสู่หัวใจทางด้านซ้าย และส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.27 เลยทีเดียว

ภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ( Pericardial disease )
การเกิดเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นชนิดเรื้อรัง คือเกิดหลังจากที่ผู้ป่วยทำการรักษาด้วย การฉายรังสี ผ่านไปแล้วเป็นระยะเวลาที่นาน ซึ่งการเกิดจะไม่ค่อยแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ถ้าทำการตรวจจะพบว่ามี  Chronic Pericardial Effusion เกิดขึ้นได้ และส่วนมากอาการที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถหายเองได้ แต่ก็มีส่วนน้อยประมาณร้อยละ 20 ที่จะสามารถกลายเป็น Constrictive Pericaditis ซึ่งเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นจำเป็นจะต้องทำ Pericardectomy

โรคลิ้นหัวใจ ( Valvular Disease )
พบว่าการฉายรังสีที่ Internal Mammary node ส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติที่บริเวณของลิ้นหัวใจซึ่งความเสี่ยงในการเกิด Valvula Dysfunction มีมากกว่า 3.17 เท่าของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีและมีค่าสูงมากถึงร้อยละ 16-40 คนปกติ

โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจากการฉายรังสี
ผลกระทบใน การรักษามะเร็ง ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับ การฉายรังสี เข้าสู่บริเวณ mediastinum คือ การที่มีนำเกิดขึ้นภายในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ ( Pericardial Effeusion ) ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบถาวรและแบบชั่วคราว ซึ่งกาสรเกิดชนิดชั่วคราวจะเกิดขึ้นได้มากกว่าและสามารถทำการตรวจด้วยการทำเอกซเรย์หรือหารตรวจด้วยคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง ( Echocardiography ) ซึ่งผลกระทบข้างเคียงที่เกิดขึ้นชนิดชั่วคราวนี้จะสามารถหายเองได้ในระยะ 2-5 เดือนแต่ถ้าเป็นชนิดถาวรต้องทำการผ่าตัดเพื่อป้องกันการเกิด Constricitive Pericarditis ผู้ป่วยสามารถเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนนี้ได้ประมาณร้อยละ 6

ซึ่งความสัมพันธ์ระกว่างปริมาณรังสีกับการเกิดอาการแทรกซ้อน พบว่า ที่ปริมาณรังสีต่ำกว่า 40 Gy จะมีการเกิดอาการแทรกซ้อนที่ค่อนข้างน้อยมากและจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณรังสี โดยเมื่อมีปริมาณรังสีที่ 50 Gy จะมีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนร้อยละ 10 และที่ปริมาณรังสี 60 Gy ค่ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 50 นอกจากนั้นแล้วเมื่อค่า Dose-Volume histogram ( DVH ) ควรมีค่าปริมาณรังสีที่ไม่เกิน 50 Gy ( rV50 ) ด้วย

การมีน้ำอยู่ในช่องเนื้อหุ้มหัวใจสามารถทำการตรวจพบได้เมื่อมีน้ำอยู่ในช่องเยื่อหุ้มหัวใจอย่างน้อย 250 มิลลิลิตร ด้วยการเอกซเรย์ แต่ถ้าทำการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงจะสามารถตรวจพบเมื่อมีน้ำเพียงแค่ 25 มิลิลิตรเท่านั้น แสดงว่าถ้าทำการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงเราจะมีโอกาสพบโรคในระยะเริ่มต้นและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

โรคหลอดเลือดหัวใจที่เกิดขึ้นจากการฉายรังสี
ผู้ป่วยที่เคยได้รับรังสีมาก่อนที่จะทำการรักษาและในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 42 ปี พบว่าเมื่อได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่ประมาณ 30-50 Gy เข้าสู่ส่วนของ Mediastium จะนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจขึ้น แสดงว่าการาฉายรังสีที่หัวใจนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยอการดั้งกล่าวจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับ การฉายรังสี ไปแล้วประมาณ 5 ปีขึ้นไป

ผู้ป่วยที่รักษามะเร็งเต้านมด้วยวิธีการฉายรังสี มีความเสี่ยงมากขึ้นในการเป็นโรคหัวใจ ซึ่งความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นไม่ว่าจะมากหรือน้อย อาการที่เกิดขึ้นคือหลอดเลือดจะแข็งตัวและอุดตัน มีโอกาสในการเกิดโรคหัวใจสูงในเวลาต่อมา

ลักษณะทางพยาธิวิทยา

เมื่อทำการตรวจศพของผู้ป่วยที่เสียชีวิตที่มีประวัติการรักษาด้วยการฉายรังสีที่มีปริมาณรังสีสูง ๆ เข้าสู่บริเวณ Mediastium จะมีลักษณะดังนี้

1. เยื่อบุหัวใจ ( Endocardium ) และเยื่อหุ้มหัวใจ ( Pericardium ) มีความหนาขึ้นเนื่องตากการที่คอลลาเจนเข้ามาแทนที่ Adipose Tissue

2. มีการเกิด Fibrinous Exudates ที่เป็นทั้งแบบ Fibroblast และแบบ Fibrous Adhesion อีกเป็นจำนวนมาก

3. มีการเกิด Diffuse Interstitial Fibrosis ที่ส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจ โดยที่เส้นใยกล้ามเนื้อของกหัวใจจะมีการแยกออกจากกัน โดมีความหนาของคอลลาเจนเข้ามาเป็นตัวแยก

เมื่อทำการศึกษาต่อมาพบว่าผู้ป่วยจะมีการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบลงมากกว่าร้อยละ 75 หลังจากที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีไปแล้วประมาณ 4 ปี

พยาธิกำเนิดและพยาธิสรีรวิทยา

โรคเยื่อหุ้มหัวใจเกิดการอักเสบเนื่องจาก การฉายรังสี สามารถเกิดขึ้นได้เอง ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจที่เคยได้รับการฉายรังสีมาก่อนหรือไม่ ซึ่งโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 4 เดือนหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีและสามารถหายได้เองในเวลาต่อมา ถ้าไม่มีการเกิด Cardiac Insuffciency ที่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บที่พบในกล้ามเนื้อหัวใจที่เกิดขึ้นในภายหลัง ที่จะเข้ามาทำให้โรคเยื่อหุ้มหัวใจมีอาการหนักขึ้นกว่าเดิม

การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจที่เกิดขึ้นหลังจากจากที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีนั้นจะเกิดขึ้นในระยะเวลาต่อมา ก็ต่อเมื่อการฉายรังสีนั้นได้ทำความเสียหายให้กับ Capillary Bed ไปแล้วนั่นเอง ส่งผลให้ความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอยที่อยู่ในหัวใจค่อย ๆ มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ทำการฉายรังสีไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน และจะมีการลดลงอย่างรวดเร็วของ Capillary Bed จะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีอาการหรือสัญญาณอื่น ๆ ตามมา และการที่กล้ามเนื้อหัวใจมี่สามารทำหน้าที่ได้ โดยที่ก่อนที่ความหนาแน่ของหลอดเลือดฝอยจะลดลงนั้นจะมีการลดลงของการะบวนการ Proliferative Response ของส่วนของ Endothelial Cell รวมถึงมีการที่เอนไซม์ Alkaline Phosphatase ของชั้น Endothelium ด้วย

ประสิทธิภาพในการทำงานและโครงสร้างของระบบเส้นเลือดฝอยจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการฉายรังสีแล้วประมาณ 1 ปีหรือมากกว่า

กลไกทางชีววิทยาของ Radiation-Induced Cardiovascular Damage

สามารถอธิบายได้ดังนี้

1.มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงหน้าที่แบบ Reversible ที่เกิดขึ้นภายใน Capillary Endothelial Cell

2.Lymphocyte เข้ามา Adhesion โดยมีการทำร่วมกับการเกิด Extrasvastion ของส่วนหลอดเลือด

3.เกิดกระบวนการสร้าง Thrombus ที่จะส่งผลให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กเกิดขึ้น ทำให้ความหนาแน่นของส่วน capillary ลดลงแบะยังมีการสูญเสียการทำงานของเอนไซม์ Alkaline Phosphatase ด้วย

4.มีการเกิด Proliferation ที่ของ Endothelial Cells อย่างเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับความหนาแน่นของ Capillary ที่มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้เกิดสภาวะขากเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายและกลายเป็นพังผืดเกิดขึ้น
ผลกระทบจากการ Fractionation ต่อโรคหัวใจที่มากจาก การฉายรังสี

โรคเยื่อหุ้มหัวใจเกิดการอักเสบจะมีความสัมพันธ์กับประมาณรังสีที่ใช้ในการฉายแต่ละครั้ง โดยที่ถ้าค่าปริมาณรังสีมีค่ามากกว่า 3 Gy จะสร้างผลกระทบให้กับตัวผู้ป่วย โดยพบว่าเมื่อผู้ป่วยมีการได้รับปริมาณรังสีโดยรวมกับเยื่อหุ้มหัวใจด้านหน้าทั้งสองข้างเท่ากันจะส่งผลให้การเกิดโรคเยื่อหุ้มหัวใจมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากกว่าการได้รับรังสีทั้งสองข้างไม่ เท่ากัน

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นต่อกันระหว่างการฉายรังสีให้กับหัวใจร่วมกับการใช้ยาเคมีบำบัด

โรคหัวใจจาก การรักษามะเร็ง ที่เกิดจากการใช้ยา Doxorubicin มีโอกาสที่จะสามารถสร้างความเสียหายกับหัวใจได้โดยตรง โดยยา Doxorubicin จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ และยังพบด้วยว่าการให้ยาเคมีบำบัดส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากถึงครึ่งหนึ่งเลยที่เดียว และยังพบอีกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีร่วมกับการให้เคมีบำบัดจะมีโอการเกิดโรคได้มากกว่าผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งด้วย และปริมาณยาที่เหมาะสมในการรักษาคือ ปริมาณยาโดยรวมมีเกิน 450 mg/m2
หรือสามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า การเกิด Radiationinduced Heart Disease จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามปริมาณชองส่วนของหัวใจที่ได้รับรังสี ปริมาณรังสีและ Dose Per Fraction ที่มีค่ามากกว่า 2 Gy ต่อครั้ง
ผลกระทบที่เกิดจากการฉายรังสีที่บริเวณเส้นเลือดใหญ่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดใหญ่ยังไมมีข้อยืนยันที่ชัดเจนเสียทีเดียว แต่ก็มีการศึกษาและรายงานผลได้บ้าง ว่าผลกระทบทีเกิดขึ้นกับเส้นเลือดใหญ่จะเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น ๆ มากกว่าจะเกิดขึ้นจากการได้รับการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเส้นเลือดแดงที่ส่วนคอ ( Carotid ) เส้นเลือดที่ออกจากหัวใจ ( Arota ) และเส้นเหลือที่บริเวณต้นขา ( Femora ) ที่ได้รับการฉายรังส่งผลให้มีการเกิด Spontaneous Rupture พบว่าอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจะเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผ่าตัดร่วมด้วย

การรักษา Radiation Induced Cardivascular Disease

1. การใช้ยาที่อยู่ในกลุ่ม Angiotensin Conver Ting Enzyme Inhibitors ( ACEIs )
ประกอบด้วยยา ACEIs และ Statins ที่สามารถช่วยในการลดความดันโลหิต และยังช่วยยับยั้งการสร้าง Angiotensin II ด้วย จึงช่วยทำให้เส้นเลือดเกิดการผ่อนคลาย ยาในกลุ่มนี้สามารถช่วยป้องกันการเกิดของโรคหัวใจที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติและที่เกิดขึ้นจากการได้รับ การฉายรังสี

2. การใช้ยาในการยับยั้งกระบวนการเกิดการอักเสบและกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อนการแข็งตัวของลิ่มเลือด ( Inhibition of Inflammatory and Pro-Throbotic Process )
ยาในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการเกด Vasoconstriction และยังความเป็น Antiinflammatory ที่ได้รับการทดลองถึงประสิทธิภาพของยาต้านเกร็ดเลือด Clopidogrel, Antiplatelet, Nitric Oxiderelesing Form  ( NCX 4016 ) ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ Endothelial ที่มีความผิดปกตินั้นกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ นอกจากนั้นแล้ว Antiplatelet กับ Clopidogrel ยังมีความสามารถในการยับบั้งการเกิด Platelet aggregation อีกด้วย

3. การใช้ยาที่อยู่ในกลุ่ม Statins
ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติที่สามารถช่วยยับยั้งการสร้าง cholesterol ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคหัวใจที่มีได้มีสาเกตุจากการได้รับการฉายรังสี แต่ในส่วนของ Statins จะเข้าไปช่วยในการชะลอการเกิดของ Formation ในส่วนของ Atherosclerotic Plaques และยังสามารถช่วยลดหรือรักษาขนาดของ plaques ที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนั้นยังช่วยลดความเสี่ยงของ plaques ที่มีความเสี่ยงจะแตกออกแล้วเกิดเป็นลิ่มเลือดที่เข้าไปอุดตันในเส้นเลือดได้ และยังสามารถช่วยลดอาการอักเสบที่มีได้ด้วย

การรักษาด้วย การฉายรังสี ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะได้ทำการรักษาผู้ป่วยจากโรคมะเร็งให้หายได้โดยที่มีการใช้ Dose Distribution ที่ดีมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดมากขึ้น และพบว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับหัวใจก็มีค่าลดลงตามไปด้วย ซึ่งเป็นความพยายามของแพทย์ผู้ทำการรักษาที่มีความพยายามที่จะฉายรังสีให้ตรงกับส่วนที่ต้องการทำลายมากที่สุด โดยที่มีการกระจายของรังสีไปยังส่วนอื่น ๆน้อยที่สุด หรือฉายให้ตรงกับเป้าหมายมากกที่สุดนั้นเอง และยังมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอีกมากมาย และยังมีการใช้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัดเข้ามาช่วยในการรักษาเพื่อเป็นการลดปริมาณรังสีที่ใช้ในการรักษาให้น้อยลง จึงสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับการรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในบริเวณที่มีความใกล้เคียงกับหัวใจ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

อิ่มใจ ชิตาพนารักษ์. ผลกระทบจากการรักษาโรคมะเร็ง. เชียงใหม่: ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2557.

Schweizer E. Ueber spezifische Roentgenschaedigungen des Herzmuskels. Strahlentherapie. 18:812-828, 1924.

Cohn KE, Stewart JR, Fajardo LF, et al. Heart disease following radiation. J Med. 46:281-298, 1967.

Gilladoga AC, Corazon M, Tan CC, et al. Cardiotoxicity of adriamycin in children. Cancer Chemother. 6:209-215, 1975.

อาหารอะไรบ้างที่มีสารจับออกซิเจนบำรุงเซลล์ผิว?

0
แครอตสีส้ม
แครอต พืชกินหัวที่มีเบตาแคโรทีนสูง
น้ำผลไม้สดปั่น แหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น
น้ำผลไม้สด แหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น

สารจับออกซิเจน

เชื่อว่าทุกคนคงจะคุ้นเคยกับการเกิดสนิมของเหล็กและเหล็กกล้ากันเป็นอย่างดี การเกิดสนิมของเหล็กกล้า การเกิดสนิมเหล็ก (เหล็กออกไซด์) เป็นผลมาจากการเติมออกซิเจน (ออกซิเดชั่น) เป็นปฏิกิริยาเคมีระหว่างเหล็กกับออกซิเจนในอากาศ เหล็กจะไม่เกิดสนิมหากเอาเฉพาะเหล็กและออกซิเจนมาไว้ด้วยกัน การเกิดสนิมของเหล็กจำเป็นต้องมีตัวเหนี่ยวนำ และตัวเหนี่ยวนำตามธรรมชาติที่ทำให้เหล็กเป็นสนิมก็คือ ความชื้น น้ำ และอากาศ เป็นการทำงานประสานแบบร่วมด้วยช่วยกันอย่างสมบูรณ์แบบที่ทำให้ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเหล็กและเกิดเป็นสนิมขึ้น เมื่อมีสนิมเคลือบผิวนอกของเหล็ก ปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนก็จะชะลอตัวลง เพราะว่าออกซิเจนจะแทรกตัวลงไปถึงเนื้อเหล็กที่ยังไม่เป็นสนิมได้ยากขึ้น สนิมจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าออกซิเจนสัมผัสผิวเหล็กไม่ได้ ถ้าเราเอาสนิมกับตัวการเกิดสนิมคือสัญญาณที่แสดงถึงความเก่า ความแก่ หรือความชรา และความชราภาพของเหล็ก กล่าวคือ ถ้าแก่เกินวัยเมื่อเทียบกับเหล็กซึ่งอยู่ในที่แห้งก็ไม่เป็นสนิม

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รายการ สารจับออกซิเจน ต่างๆ

วิตามินเอและสารพวกแคโรทีน

วิตามินเอที่มีในอาหารแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ วิตามินเอชนิดน้ำมัน ( เรทินอล ) ได้จากสัตว์ โดยเฉพาะจากตับ เช่น น้ำมันตับปลา เรทินอลมักจับอยู่กับกรดไขมัน เช่น กรดพาลมิทิก อีกรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ คือ เบตาแคโรทีนที่ได้จากพืช เบตาแคโรทีนจะเปลี่ยนสภาพเป็นวิตามินเอภายในร่างกาย ดังนั้น ในบางครั้งจึงเรียกสารชนิดนี้ว่า สารต้นกำเนิดของวิตามินเอ เป็นที่ทราบกันว่า เบตาแคโรทีนมีความสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรคตาบอดกลางคืน โภชนสารสำคัญชนิดนี้มักเป็นส่วนหนึ่งของระบบอาหาร ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและการแก่ก่อนวัย ในฐานะชีว สารจับออกซิเจน เบตาแคโรทีนเป็นสารจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกระบวนการหลายอย่างของร่างกาย และเป็นสารป้องกันภายในที่ให้ผลดีเยี่ยมต่อการเกิดสภาพเกรียมแดด

วิตามินเอชนิดน้ำมัน แม้จะเป็นชนิดที่ใช้ในโภชนาการ แต่ก็มีคุณสมบัติสู้แคโรทีนไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายเก็บสะสมวิตามินเอชนิดน้ำมันไว้ตามเนื้อเยื่อต่างๆ หากร่างกายสะสมวิตามินเอเอาไว้มาก ๆ อาจก่อให้เกิดพิษภัยได้ เช่น ทำให้ง่วงนอน หงุดหงิด และปวดศีรษะ การให้อาหารประเภทตับเป็นส่วนประกอบแก่หญิงมีครรภ์มากๆ หรือการให้วิตามินเอชนิดน้ำมัน ต้องบอกเลยว่าข้อห้ามเด็ดขาด เพราะเคยปรากฏแล้วว่าทารกที่คลอดออกมาพิการ เนื่องจากขณะที่แม่กำลังตั้งครรภ์ได้รับวิตามินเอชนิดน้ำมันเกินขนาด มาตรวัดปริมาณวิตามินเอชนิดน้ำมันใช้เป็นหน่วยสากล (IU) ถ้าใช้เสริมอาหารห้ามกินเกินวันละ 7,500 หน่วยสากล โดยทั่วไปแล้วเพียง 2500 หน่วยสากลก็เพียงพอ ปริมาณนี้เป็นปริมาณที่แนะนำในยุโรป ซึ่งเท่ากับเรทินอล 800 ไมโครกรัม ส่วนทางสหรัฐฯ แนะนำให้รับได้ถึง 5,000 หน่วยสากล หรือเท่ากับเรทินอล 1,600 ไมโครกรัม

อาหารที่มีเบตาแคโรทีน ไม่ปรากฏว่าทำให้เกิดพิษเนื่องจากร่างกายจะเปลี่ยนแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอตามที่ต้องการเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ขับถ่ายทิ้งไป แคโรทีนเป็นสารที่ละลายได้ในน้ำและกระจายไปทั่วร่างได้อย่างรวดเร็ว ขนาดเดียวกันร่างกายก็ขับถ่ายออกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน จึงต้องกินอาหารที่มีสารชนิดนี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะคงระดับวิตามินเอในกระแสเลือดอยู่ตลอดเวลา เบตาแคโรทีนส่วนเกินที่ร่างกายได้รับจากอาหาร ซึ่งมีทางเป็นไปได้ทางเดียวคือ ได้จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตขึ้น และเบตาแคโรทีนบริสุทธิ์จะเปลี่ยนสีเป็นไขมันในร่างกาย ทำให้ผิวหนังเป็นสีเหลืองน้ำตาล ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้เป็นที่นิยมในหมู่คนที่ต้องการมีผิวสีน้ำตาลโดยไม่ต้องออกแดด
สารจำพวกแคโรทีนอยด์เท่าที่รู้จักกันมีอยู่มากกว่า 600 ชนิด ทุกชนิดมีศักยภาพที่จะเป็นชีว สารจับออกซิเจน แต่เบตาแคโรทีนเป็นรูปแบบทางโภชนาการที่ดีที่สุดของแคโรทีนอยด์ ที่มีฤทธิ์แรงในการจับออกซิเจนและมีอยู่ในอาหาร มีรูปแบบที่สำคัญดังนี้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • ไลโคปีน (มะเขือเทศ)
  • อัลฟาแคโรทีน (แครอท)
  • เบตาคลิพโทแซนทิน (ส้มต่างๆ)
  • ลิวทีนและซีแอกแซนทิน (ผักโขม หรือผักขม และบรอกโคลี)
  • แคนทาแซนทิน (มีอยู่ทั่วไปในอาหาร)

ตารางที่แสดงปริมาณวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีอยู่ในอาหาร

วิตามินเอ (แคโรทีน) จากผัก (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
หัวแครอทแก่ดิบ 8115
หัวแครอทต้ม 7560
หัวแครอทอ่อนดิบ 5330
มันเทศต้ม 3960
 ผักโขมต้มและพริกแดง  3840
 ผักโขมดิบ  3535
 ผักโขมกระป๋องอุ่น  3370
แพงพวยน้ำ, ผักแช่แข็งต้ม 2520
ถั่วงอกเขียวต้ม 2270
มันฝรั่งเผา 1840
ซุปมะเขือเทศข้น 1300
มัสตาร์ดและเครส 1280
แมงเกเทาต์กวนและทอด 725
แมงเกเทาต์ต้ม 665
มะเขือเทศดิบ 640
ต้นหอมดิบ 620
คูร์เกตสด 500
บร็อกโคลีต้ม 475
กระเจี๊ยบต้ม 465
กะหล่ำเขียวดิบ 385
ผักกาดหอมเขียว 335
กะหล่ำปมต้ม 320
พริกเขียวดิบ 265
ถั่วเมล็ดกลมสดต้ม 250
ถั่วปากอ้าต้ม 225
มะเขือเทศกระป๋อง 220
ถั่วสีเขียว (แช่แข็ง) ปรุงสุก 180
สวีทต้ม 165
ยี่หร่าสด 140
ข้าวโพดกระป๋องอุ่น 110
แตงกวาดิบ, กะหล่ำดอกต้ม, ถั่วกระป๋อง 60
กะหล่ำดอกสด, เซเลอรี 50
กะหล่ำปลีขาวดิบ, หอมใหญ่ทอด 40
หัวบีทต้ม 27
ถั่วแขกต้ม, เทอร์นิพ 20
มันฝรั่ง, เห็ด, หัวผักกาด 0

ตารางแสดงปริมาณ วิตามินเอ (แคโรทีน) ที่อยู่ในสมุนไพรและเครื่องเทศ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินเอ (แคโรทีน) สมุนไพรและเครื่องเทศ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
ผักชีสด 4040
หริกขี้หนู, พริกชี้ฟ้า 3625
เซจตากแห้ง 3540
ใบไทม์ตากแห้ง 2280
พริกป่น 2100
โรสแมรีตากแห้ง 1880

 

ตารางแสดงปริมาณวิตามินเอ (แคโรทีน) ที่มีในผลไม้ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินเอ (แคโรทีน) จากผลไม้ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
มะม่วงสุก 1800
มะม่วงกระป๋อง 1470
แตงแคนตาลูป  1000
มะละกอ 810
เสาวรส 750
แอปริคอทแห้ง 545
แอปริคอทดิบ 405
พลัมดิบ 295
มะละกอกระป๋อง 255
แดมซันกวน 240
แตงโม 230
มะกอกฝรั่ง 180
แอปริคอทกระป๋อง  155
ฝรั่งกระป๋อง 145
ส้มแมนดารินกระป๋อง 105
ส้มจีน 97
แบลกเคอเเรนต์กวน 78
คลีเมนไทน์, ลูกท้อกระป๋อง, ซัทสึมะ 75
แบลกเบอร์รีกวน 68
พลัมกวน 62
มะเดื่อแห้ง 59
ลูกท้อสด 58
ท้อเปลือกเรียบสด, แตงฮันนีดิว 48
กูสเบอร์รีกวน 41
กีวีสด 37
ส้มสด, โกฐน้ำเต้า 28
เชอร์รีสด 25
กล้วย 21
สาลี่สด 19
มะนาวฝรั่ง, สับปะรดสด, แอปเปิ้ล 18
องุ่น 17
เกรฟฟรุต (ส้มแก้ว), อินทผาลัมสด 15
แอปเปิลกวน 14
ลูกเกด, แตงซัลทานา 12
สับปะรดกระป๋อง 0
อะโวคาโด 11
ผลไม้รวมแห้ง 9
สตรอเบอร์รี 8
เคอร์แรนต์ 6
ราสพ์เบอร์รี, ส้มแก้วกระป๋อง, ลิ้นจี่, แตงแกลเลีย, เปลือกส้ม, สาลี่กระป๋อง 0 หรือน้อยมาก

 

ผลไม้ตระกูลแตงมีประโยชน์มาก ผลไม้เหล่านี้มีค่าวิตามินเอตั้งแต่ 0 คือ แตงแกลเลีย แตงโม 230 และสูงสุดคือแตงแคนตาลูป 1000 แอปริคอตมีวิตามินเอสูงเมื่อทำแห้ง แต่ผลไม้อื่น เช่น ลูกเกด องุ่นแห้ง มีคุณค่าต่ำลง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิตามินบี

วิตามินบีประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด มีอยู่ตามธรรมชาติในอาหาร วิตามินกลุ่มนี้มักไม่ถือว่าเป็นสารจับออกซิเจน แต่วิตามินกลุ่มนี้เป็นวิตามินที่ยังคงพึ่งพาวิตามินที่เป็นสารจับออกซิเจนอยู่ เช่น วิตามินซี

กรดโฟลิก (วิตามินบี ซี) และ ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี2) เป็นวิตามินบีที่สำคัญในฐานะที่เป็นปัจจัยในการจับออกซิเจน วิตามินทั้งสองนี้พบได้ทั่วไปในอาหาร แต่มักเกิดภาวะการขาดกรดโฟลิกได้ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าการขาดวิตามินชนิดนี้สามารถทำให้ทารกพิการ สำหรับบทบาทของวิตามินอีร่วมกับวิตามินซีซึ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อการเป็นโรคหัวใจ

ในวงการโภชนาการ มีความตื่นกลัวในเรื่องการขาดกรดโฟลิกซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาแก่สุขภาพ ดังนั้น ในแผนโภชนาการเกี่ยวกับสารจับออกซิเจนที่เหมาะสมจะต้องเพิ่มกรดโฟลิกเข้าไปด้วยอย่างน้อยวันละ 400 ไมโครกรัม

การขาดวิตามินบี2 มักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีปัญหาเรื่องตาและการอักเสบระบมเรื้อรัง อาการเหล่านี้มักบรรเทาได้ด้วยโภชนาการสารจับออกซิเจนชนิดหลัก ๆ

วิตามินซี

โภชนาการสารจับออกซิเจนที่สำคัญเป็นวิตามินที่สำคัญด้วย วิตามินซีมีความสามารถในการฟื้นฟูวงจรทางเคมีต่าง ๆ ในระดับเซลล์ และเป็นตัวขับเคลื่อนของระบบการจับออกซิเจนหลายระบบ ความจริงแล้ววิตามินซีไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวทำงานโดยตรง ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักของกระบวนการทางเคมี วิตามินซีเป็นเพียงตัวกระตุ้นสารต่าง ๆ ที่ไม่สามารถทำงานได้นอกจากความช่วยเหลือของวิตามินซีเท่านั้น วงจรของสารจับออกซิเจนในการใช้สารอาหารที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ยูบิควิโนน (Co-Q10) เป็นตัวอย่างที่ช่วยให้คิดว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องกินในลักษณะสารอาหารเสริม เพราะว่าวิตามินซี สามารถทำให้ร่างกายสร้างยูบิควิโนนขึ้นได้ภายในเซลล์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิดที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับ โค-คิว10 อาจเกิดขึ้นเองได้ในร่างกายด้วยการอาศัยวิตามินซี

วิตามินซีเป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ มีอยู่ทั่วไปในผลไม้และผัก สัตว์เลือดอุ่นบางประเภทสามารถสังเคราะห์วิตามินชนิดนี้ขึ้นได้เองในร่างกาย แต่มนุษย์ขาดสมรรถภาพทางด้านนี้ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีจากอาหาร การที่สัตว์บางประเภทยังสามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เองและยอมรับว่าวิตามินซีเป็นเพียงตัวกระตุ้นระบบการรับและให้ออกซิเจนภายในเซลล์มากกว่าเป็นตัวกระทำน่าจะเป็นความถูกต้อง การที่มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นเองได้นั้น คาดว่าแต่ก่อนมนุษย์ได้รับสารอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีอยู่เป็นเวลานานนานจนกระทั่งร่างกายหรือวิธีสังเคราะห์วิตามินชนิดหมดไป

ตารางปริมาณวิตามินซีที่ได้จากผัก (มิลลิกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินซีจากผัก (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
พริกหวานแดงดิบ 140
พริกหวานเขียวดิบ 120
กะหล่ำปมดิบ 90
พริกหวานแดงสุก 81
สาหร่ายเคลป์ต้ม 71
พริกหวานเขียวสุก 69
แพงพวยน้ำ 62
กะหล่ำดอกสด, กะหล่ำปมต้ม 60
กะหล่ำแดงดิบ 55
แมงเกเทาต์ปรุงสุก 54
กะหล่ําเขียวดิบ 49
บรอคโคลีสุก, มะเขือเทศเผา 44
กะหล่ำดอกดิบ 43
มัสตาร์ดและแพงพวย 40
ซอสมะเขือเทศข้น 38
กะหล่ำขาวดิบ 35
ถั่วงอกเขียวต้ม 30
ผักโขมดิบ 26
กะหล่ำดอก, ต้นหอมดิบ, ผักโขมต้ม 25
คูร์เกตสด 21
กะหล่ำดอกสุก, เสาวรส, กะหล่ำเขียวต้ม 20
กระเทียมดิบ 17
หัวพาร์สมิพ, หัวผักกาดแดง,มะเขือเทศ, มันเทศ 17
คูร์เกตทอด,มันเทศต้มทั้งเปลือก, หัวผักกาดสวิดต้ม 15
มันเทศเผาทั้งเปลือก 14
มันฝรั่งอบ, ถั่วเมล็ดกลมต้ม, มะเขือเทศกระป๋อง 12
หน่อไม้ฝรั่ง, หัวพาร์สนิพต้ม, หัวผักกาดเทอร์นิพต้ม 10
เซเลอรีต้ม 8
กระเทียมยักษ์ต้ม, ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด 7
แครอทแก่ดิบ 6
หอมใหญ่ดิบ, หัวบีทดิบและต้ม, ผักกาดหอม 5
ผักกาดหอมไอศเบิก, แครอทแก่สุก, ยี่หร่าดิบ 3
แครอทกระป๋องอุ่น ,เห็ด 1
หัวบีทดอง 0

 

ตารางปริมาณวิตามินซีที่ได้จากผลไม้ (มิลลิกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินซีจากผลไม้ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
 ฝรั่งกระป๋อง  180
 แบลคเคอเเรนต์กวน 115
 สตรอเบอรี่สด 77
 มะละกอ 60
 ผลกีวี 59
 มะนาวฝรั่ง 58
 คลีเมนไทน์, ส้ม 54
 ลิ้นจี่สด 45
 มะม่วงดิบ, ท้อเปลือกเรียบ  37
 เกรฟฟรุต (ส้มแก้ว) สด  36
 เกรฟฟรุต (ส้มแก้ว) กระป๋อง  33
 ราสพ์เบอรี่ดิบ  32
 ลูกท้อสด  31
 ลิ้นจี่กระป๋อง  28
 กูสเบอร์รี่กระป๋อง, ซัทสึมะ  27
 แตงแคนตาลูป  26
เสาวรส 23
สลัดผลไม้ทำเอง 16
ส้มแมนดารินกระป๋อง 15
แตงแกลเลีย ผลไม้รวมกระป๋อง 14
 อินทผลัมสด, กล้วย, เชอรี่, กูสเบอร์รี่กวน 12
 แอปเปิลกวน, แบลกเบอร์รีกวน, มะม่วงกระป๋อง  10
 แตงฮันนีดิว 9 9
 แตงโม 8
 อะโวคาโด, สาลี่  6
 แอปริคอทกระป๋อง, แดมซัน, ลูกท้อกระป๋อง, โกฐน้ำเต้ากวน   5
 องุ่น, สาลี่กระป๋อง, พลัม 3
แอปริคอตแห้ง, ผลไม้รวมตากแห้ง, ลูกเกด, ซัลทานา 1

 

ปัจจุบันอาหารที่ให้วิตามินซีอาจมีน้อยหรือมีวิตามินซีในปริมาณที่น้อยกว่าในสมัยก่อน ในขณะเดียวกันปริมาณที่ทางยุโรปและสหรัฐแนะนำก็น้อยมากเช่นเดียวกันคือ ให้ได้รับวันละ 60 มิลลิกรัม แต่รายการโภชนาการ สารจับออกซิเจน ส่วนมากกลับแนะนำว่าควรได้รับอย่างน้อยวันละ 200 มิลลิกรัม [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ร่างกายของเราแต่ละคนมีความไวต่อวิตามินซีไม่เท่ากัน อาการที่พบได้บ่อยคือ ทวารหนักระบมและท้องเดิน จึงต้องระมัดระวังให้มากหากจะใช้วิตามินซีเกินกว่าวันละ 1-2 กรัม นอกเหนือไปจากที่มีในอาหารที่ได้รับอยู่ตามปกติแล้ว
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือการเกิดภาวะความเป็นกรดมากเกินไป แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้วิตามินซีชนิดเป็นกลาง เช่น แคลเซียมแอสคอร์เบต ซึ่งร่างกายจะขับถ่ายวิตามินซีออกได้เร็วมาก ดังนั้น หากจะใช้วิตามินซีเสริม ควรแบ่งขนาดเป็นขนาดย่อย กินสม่ำเสมอตลอดวัน แทนที่จะกินวิตามินซีขนาดสูงแทนวันละมื้อเดียว
ในปัจจุบันเชื่อว่าวิตามินซีเป็น สารจับออกซิเจน หลักที่ให้ผลดีหลายประการ เช่น เพิ่มภูมิต้านทาน บรรเทาอาการไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ ลดโคเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจและการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันการแก่ก่อนวัย ย่นระยะเวลาการสมานแผลและการบาดเจ็บ และหยุดอาการเลือดออกตามไรฟัน

สำหรับวิตามินซี นั้น เป็นสารจับออกซิเจนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในส่วนของวิตามินซีเองไม่ได้เป็นอะไรที่วิเศษอย่างที่คิด เบต้าแคโรทีนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสารจับออกซิเจนที่มีประโยชน์มาก แต่จากการทดลองใช้สารนี้เพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าสารนี้สามารถก่อปัญหามากกว่าที่จะแก้ปัญหา แม้จะเพิ่มวิตามินอีลงไปช่วยทั้งวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารจับออกซิเจนถึง 3 ชนิด ก็ยังไม่ปรากฏว่าสารทั้ง 3 เมื่อใช้ร่วมกันแล้วจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้

โค-คิว10 (ยูบิเดคารีโนน หรือยูบิควิโนน10)

ยูบิควิโนน (Ubiquinone) หรือที่เป็นที่รู้จักกันในนาม โค-คิว10 เป็นสารควิโนน (Quinone) ชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในทุกแห่งของร่างกาย สารนี้ไม่ได้เป็นวิตามิน แต่เป็นเอนไซม์ของร่างกายซึ่งทำหน้าที่เป็น สารจับออกซิเจน และทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารเคมีทำลายเซลล์ จึงมีบทบาทในการป้องกันเซลล์ที่มีชีวิต ยูบิควิโนนมีความคล้ายกับวิตามินเค2 มากคือ ทั้งสองเป็นสารที่ละลายในไขมัน ถ้าใช้กิน มักใช้ในรูปสารละลายหรือในรูปผงละเอียด (วิตามินเคก็ทำหน้าที่เป็นสารจับออกซิเจนด้วย) ยังไม่มีข้อมูลหลักฐานที่แสดงว่าสารนี้มีประสิทธิภาพต่อโรคเหงือกและความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษากันอยู่ โดยมีความหวังว่าสารนี้จะมีประโยชน์ เพราะเป็นสารที่ให้ความปลอดภัยสูงเมื่อรับประทาน สารนี้มีคุณสมบัติไม่ต่างไปจากโภชนาสารจับออกซิเจนชนิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยด์

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายอย่างมีโค-คิว10 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความมุ่งหมายให้เป็น สารจับออกซิเจน แต่ยังมีข้อกังขาในเรื่องของการดูดซึมสารนี้ มีการทำโค-คิว10 ปริมาณสูงถึง 100 มิลลิกรัมหรือมากกว่านั้น ในรูปเม็ดหรือแคปซูลออกจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ปริมาณการดูดซึมของเอนไซม์ชนิดนี้ต่ำมากจนไม่คุ้มที่จะซื้อ เพราะในคนเรามีสารชนิดนี้เพียงพอแล้ว และไม่ต้องการเพิ่มแต่อย่างใด

การเพิ่มขึ้นของปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด สามารถส่งผลให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายคนเรา ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปจนถึงระดับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ ดังนั้นวิตามินต่างๆจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการจับออกซิเจน

ไซยานินและโอลิโกเมอริก โพแอนโทไซยานิดิน (OPCs)

ไซยานิน (Cyanin) มีที่มาจากภาษากรีก ไคอะนอส (Kyanos) แปลว่าสีน้ำเงิน คำต่อท้ายหรืออาคม ซัยแอน (Cyan) ในชื่อสารเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าสารเหล่านี้จะมีความเกี่ยวข้องกับซัยอะไนด์เสมอไป สารจำพวกแอนโทไซอะนิน และ โพรแอนไทซัยอะนิดิน พบได้ทั่วไปในพืชและมีความเกี่ยวข้องกับไบโอฟลาโวนอยด์อย่างใกล้ชิด สารเหล่านี้ให้สีและเป็น สารจับออกซิเจน ซึ่งอาจมีความสำคัญในการคงสมดุลของการรับและให้ออกซิเจนในระดับสูง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ซัยอะไนด์เป็นยาพิษและสารนี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีและแพร่หลายมากที่สุดด้วยไฮโดรเจนซัยอะไนด์บริสุทธิ์ เป็นตัวขัดขวางการทำงานของออกซิเจนในร่างกายและปิดกั้นการทำงานของระบบเอนไซม์ตามธรรมชาติ ทำให้สารนี้มีพิษร้ายแรงมาก เมื่อได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นการสูดดมหรือกินก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้อย่างรวดเร็ว

โมเลกุลของซัยอะไนด์ ประกอบด้วยคาร์บอนจับกับไนโตรเจนและสามารถไปจับกับสารอื่น ๆ ดังปรากฏในสารอินทรีย์หลายชนิด และดังที่ปรากฏในอาหารต่าง ๆ อาหารที่มีซัยอะไนด์ ( ในรูปไกลโคไซด์ ) คือมีเปลือกเมล็ดอัลมอนด์ เป็นสารออกฤทธิ์รู้จักกันในชื่อว่า วิตามินบี17 แลทริล หรืออะมิกดาลิน ได้มีการโฆษณาให้ใช้สารนี้ในแผนการรักษาโรคมะเร็งแบบองค์รวม และเชื่อว่ามันได้ผลซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าไม่ติดที่ส่วนของซัยอะไนด์ในโมเลกุลซึ่งมีพิษถึงตายและอะมิกดาลินก็คงจะมีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนอยู่บ้าง การใช้สารนี้ต้องใช้ในลักษณะการเสริมเข้าไปในแผนการรักษาซึ่งเรียกว่าการรักษาแบบองค์รวม ในสหราชอาณาจักรต้องใช้สารนี้ตามใบสั่งยา แต่ประเทศอื่นหรือในหลาย ๆ ประเทศสามารถซื้อหาสารนี้ได้โดยเสรี

วิตามินอี : ดี-แอลฟาโทโคเฟอรอล

วิตามินเอเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมันที่อยู่ตามธรรมชาติในถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี เมล็ดพืชที่กำลังงอก ( ถั่วงอก ) ผักสีเขียวเข้ม ไข่ เมล็ดผลไม้เปลือกแข็ง และน้ำมันพืช

วิตามินตามความหมายทั่วไปมักหมายถึง แอลฟาโทโคเฟอรอล แต่ก็ยังมีโทโคเฟอรอลอย่างอื่นอีก เช่น เบตา-และแกมมา-โทโคเฟอรอล โทโคเฟอรอล ทุกรูปแบบมีฤทธิ์จับออกซิเจน และมักมีส่วนร่วมอยู่ในอาหารธรรมชาติที่มีวิตามินเอด้วย ไม่ว่ารูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือหลายรูปแบบ ในธรรมชาติดี-แอลฟาเป็นรูปแบบที่มีฤทธิ์แรง จากการสังเคราะห์ ดีแอล มีฤทธิ์อ่อนกว่า แต่ทางด้านชีววิทยาแล้วถือว่าเป็นสารที่มีลักษณะทางเคมีที่ใกล้เคียงกับ ดี-แอลฟา-โทโคเฟอรอล สามารถถือได้ว่าเป็น สารจับออกซิเจน ได้ทั้งนั้น และในฐานะเป็นสารป้องกันด้วย

ตารางวิตามินอีในอาหาร (มิลลิกรัมต่อ100 กรัม)

แหล่งที่พบวิตามินอี (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
น้ำมันจมูกข้าวสาลี 136.65
น้ำมันเมล็ดทานตะวัน 49.22
น้ำมันเมล็ดคำฝอย 40.68
เฮเซลนัท 24.98
เฮเซลนัท 24.98
เมล็ดอัลมอนด์ 23.98
จมูกข้าวสาลี 22
น้ำมันตับปลาคอด 20
น้ำมันข้าวโพด 17.24
น้ำมันถั่วเหลือง 16.29
น้ำมันถั่วลิสง 15.16
ข้าวโพดคั่ว 110.3
มาร์ซิแพนทำเอง 10.82
ครีมทาขนมปังไขมันต่ำ 8.00
บราซิลนัท 7.18
ซอสมะเขือเทศข้น 5.37
สะระแหน่สด 5.00
มันเทศต้ม 4.39
พีแคน 4.34
มันฮ่อ 3.83
อะโวคาโด 3.83
มุสลี 3.20
ขนมเค้ก 2.83
รำข้าวสาลี 2.60
แป้งเปียกทาฮินิ 2.57
เมล็ดงา 2.53
พาสตรีจากธัญพืชทั้งเปลือก 2.37
เค้กข้าวโอ๊ต 2.14
แบลกเบอร์รี 2.03
วีทพัพ 2.00
มะกอกฝรั่ง 1.99
ข้าวโอ๊ตหมด 1.50
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 1.30
ขนมปังข้าวไร้ 1.20
มะม่วง 1.05
แบลกเคอร์แรนต์ 1.00

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อาหารดังกล่าวมีประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยเรื่องสมดุลการรับและให้ออกซิเจน จากการวิจัยในเรื่องวิตามินอี บ่งชี้ว่าสารจำพวกโทโคไทรอีนอล มีความสำคัญในฐานะที่เป็นสารขจัดอนุมูลอิสระฤทธิ์แรงสามารถพบได้ทั่วไปในอาหารที่มีวิตามินอี

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารธรรมชาติที่มีองค์ประกอบของวิตามินอีทุกชนิดอยู่ร่วมกันเป็นอาหารที่ดีที่สุด เช่นเดียวกันกับในกรณีของเบตาแคโรทีน ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ก็ตามจะต้องได้มาจากธรรมชาติในรูปสารเข้มข้น ในกรณีของวิตามินเอคือ โทโคเฟอรอล อะซิเทตและโทโคเฟอรอล ซักซิเนต สารทั้งสองนี้เป็นสารเอสเตอร์ ( สารประกอบอินทรีย์ ) ซึ่งคงตัว และเป็นที่นิยมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

วิตามินอีเป็นวิตามินที่มักจะแนะนำให้ใช้รักษาภาวะการเป็นหมันของหญิง กามตายด้านในผู้ชาย และโรคของหลอดเลือด แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถพิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ได้ มีเพียงบางคนที่รายงานว่ากินวิตามินอีแล้วได้ประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามพอสรุปได้ว่าวิตามินอีอาจมีส่วนช่วยสำหรับผู้หญิงที่ต้องการตั้งครรภ์หรือกำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าวิตามินอีช่วยให้มีการตั้งครรภ์หรือป้องกันการแท้งได้ แต่ฤทธิ์ในการจับออกซิเจนของวิตามินนี้จะช่วยป้องกันทารกในครรภ์จากอันตรายอันเนื่องมาจากอนุมูลอิสระได้อย่างแน่นอน

เมื่อนำวิตามินอีมาใช้เป็นยาทาภายนอกปรากฏว่าสามารถทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้นและทำให้สภาพของผิวหนังดูดีขึ้น ในขณะเดียวกันเมื่อนำมาใช้กินปรากฏว่าสามารถบรรเทาอาการของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้บ้าง วิตามินอีเมื่อร่วมกับ สารจับออกซิเจน ชนิดอื่นจะทำงานได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีลีเนียมและวิตามินซี และจะช่วยป้องกันไม่ให้กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในร่างกายกลายไปเป็นสารอันตรายจำพวกเปอร์ออกไซด์ ทางยุโรปแนะนำให้รับวิตามินอีวันละ 10 มิลลิกรัม หรือ 14.9 หน่วยสากล ส่วนทางสหรัฐฯ แนะนำให้ได้รับวันละ 30 มิลลิกรัม หลายคนเชื่อว่าขนาดที่ใช้เสริมอาหารที่พอเหมาะน่าจะอยู่ที่ 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน

แร่ธาตุและเอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมูเทส ( เอสโอดี-SOD ) ทองแดง แมงกานีส และสังกะสี

แร่ธาตุทั้ง 3 ชนิด มีส่วนร่วมอยู่ในระบบเอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมูเทส (SOD) เอนไซม์เหล่านี้ทำหน้าที่ตามชื่อคือสลายเพอร์ออกไซด์ ซึ่งเป็นสารเติมออกซิเจนที่มีพิษร้ายแรงมากและร่างกายต้องทำลายลงให้ได้เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ ร่างกายสร้างเอนไซม์สลายเพอร์ออกไซด์จากกรดอะมิโนซึ่งได้มาจากโปรตีนที่ย่อยแล้ว หากต้องการเสริมอาหาร ขอแนะนำให้เสริม แมงกานีสและสังกะสีในขนาดปานกลาง แต่เสริมทองแดงในขนาดต่ำ หากไม่ได้อยู่ในความควบคุมดูแลของผู้รู้ ควรหลีกเลี่ยงการเสริมอาหารด้วยทองแดงเพียงอย่างเดียว โดยปกติร่างกายของเราได้รับทองแดงและแร่ธาตุอื่นเพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การเสริมแร่ธาตุที่ดีที่สุดควรใช้แร่ธาตุในรูปของกรดอะมิโน ซีเลต สารเหล่านี้มักมีจำหน่ายในรูปกลูโคเนต แอสพาร์เทต และออโรเทต ซึ่งจะปลดปล่อยแร่ธาตุออกมาอย่างช้า ๆ เป็นการหลีกเลี่ยงการมีแร่ธาตุที่เข้มข้นเกินไปในกระเพาะอาหารซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องได้ (สารประกอบอนินทรีย์ธรรมดา เช่น คลอไรด์ และฟอสเฟต ก่อให้เกิดปัญหานี้) เอสโอดี ที่มีจำหน่ายอยู่นั้นได้มาจากเยื่อของสัตว์โดยผ่านกระบวนการพิเศษในการทำให้เข้มข้น ส่วนอันดับสุดท้ายมักมีแคทาเลส ซึ่งเป็นเอนไซม์จับออกซิเจนฤทธิ์แรงอีกชนิดหนึ่ง หากสังเกตภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเห็นได้ว่าความเข้มข้นแสดงเป็นหน่วย MFU (Biological Unit Activity)

นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่า เอสโอดีไม่มีประสิทธิภาพเมื่อใช้วิธีกิน เนื่องจากเอสโอดีจะถูกทำลายด้วยน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร แต่อนุมูลอิสระมีฤทธิ์เมื่ออยู่ในทางเดินอาหาร ดังนั้น การกินเอนไซม์ชนิดนี้จึงช่วยป้องกันพิษของอนุมูลอิสระในทางเดินอาหารได้ หากต้องการทำลายอนุมูลอิสระในกระแสเลือดหรือเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ก็ยังมีเอนไซม์ เอสโอดีชนิดฉีดจำหน่ายอยู่ในบางประเทศ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอสโอดีมีอยู่หลายขนาด ถ้าได้รับวันละไม่ถึง 10,000 หน่วย ก็น่าจะเพียงพอ

แมงกานีสในรูปกรดอะมิโนซีเลต ซึ่งให้แมงกานีส 5มิลลิกรัม น่าจะเป็นขนาดที่ดีที่สุดและแนะนำให้ได้สังกะสีมากถึงวันละ 15 มิลลิกรัม บางคนอาจใช้ถึงวันละ 100 มิลลิกรัม แต่ต้องอยู่ในความดูแลจากผู้รู้

ซีลีเนียมและกลูตาไธโอน

ซีลีเนียมเป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อชีวิตในระบบเอนไซม์จับออกซิเจนที่เรียกว่า กลูตาไธโอนเพอร์ออกซิเดส ซึ่งมีหน้าที่ทำลายสารจำพวกเปอร์ออกไซด์ที่เป็นอันตราย จากการศึกษาพบว่าดินที่ขาดแร่ธาตุชนิดนี้สามารถบอกได้ว่า โรคมะเร็งจะเพิ่มจำนวนขึ้น พืชที่เติบโตในแหล่งที่ดินขาดธาตุซีลีเนียมไม่สามารถเป็นอาหารที่ดีให้ซีลีเนียมอย่างเพียงพอทั้งแก่สัตว์และมนุษย์ ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในแหล่งดังกล่าวจึงอาจจำเป็นต้องพึ่งการเสริมอาหารด้วยซีลีเนียม แต่ก็ต้องพึงระวังให้มากเพราะถ้าได้รับมากเกินไปกระเพาะจะเป็นพิษ การเสริมอาหารด้วยซีลีเนียมควรเป็นซีลีเนียมจากธรรมชาติ เช่น จากยีสต์ หรือในรูปแบบของซีลีโนเมไทโอนีน ควรหลีกเลี่ยงการเสริมด้วยซีลีไนต์ หรือซิลิเนต เพราะเป็นรูปแบบที่ไม่ดีของยูเรเนียมที่จะนำมาใช้เสริมอาหาร แต่ผู้ผลิตบางรายอาจนำเอาสารดังกล่าวมาเพียงผสมกับยีสต์เท่านั้น จึงต้องอ่านฉลากให้ถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารดังกล่าวผสมอยู่    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ซีลีเนียมในฐานะเป็น สารจับออกซิเจน ทำงานร่วมกับวิตามินอี และกลูตาไธโอนอย่างใกล้ชิด กลูตาไธโอนเป็นสารไทรเพปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิดคือ กลูตามีน ซีสทีน และไกลซีน จับกับซีลีเนียมในระบบเอนไซม์กลูตาไธโอนเพอร์ออกซิเดสภายในร่างกาย การเสริมอาหารด้วยไทรเพปไทด์ดังกล่าว อาจเสริมในรูปไทรเพปไทด์โดยตรง หรือเสริมในรูปที่มีส่วนประกอบทั้ง 3 ดังกล่าว เพื่อให้ร่างกายนำไปผลิตเป็นกลูต้าไธโอนเอง

ในฐานะ สารจับออกซิเจน กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติต่อต้านโรคมะเร็ง และจับกับอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ขณะนี้ยังไม่มีการแนะนำปริมาณการใช้อย่างเป็นทางการแต่มักแนะนำสำหรับผู้สูงอายุ ควรได้รับวันละ 150-300 มิลลิกรัม น่าจะเพียงพอ

ไบโอฟลาโวนอยด์ : วิตามินพี

เมื่อปี พ.ศ. 2471 แอลเบิร์ต เซนต์-จีออร์จี ได้พบสารป้องกันและบำบัดโรคลักปิดลักเปิดจากผลไม้ตระกูลส้มซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ดร.จีออร์จีได้ประกาศว่าวิตามินซีเป็นปัจจัยจำเป็นต่อชีวิต นอกจากนี้ยังมีสารเคมีชนิดอื่นที่อยู่ในผลไม้จำพวกส้มและจากแหล่งอื่นอีกเป็นอันมากที่เป็นแหล่งวิตามินซี สารเหล่านั้นทำงานร่วมกันและเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันวิตามินดังกล่าว สารจำพวกไบโอฟลาโวนอยด์มีอยู่มากมาย ขณะนี้แยกออกมาได้แล้วถึง 4000 ชนิด

พืชผลิตสารต่าง ๆ ขึ้นด้วยกระบวนการทางเคมี เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วก็ยังคงมีสารดังกล่าวต่างๆ อยู่อย่างครบถ้วน สารหลายชนิดนำไปใช้ในการสร้างสารอย่างใดอย่างหนึ่ง และสารสุดท้ายที่เกิดขึ้นในวงจรนั้นจะมีโมเลกุลที่คงตัวมากที่สุด ในกรณีของสารไบโอฟลาโวนอยด์ สารที่สร้างขึ้นมาในสารนี้อันดับท้ายสุดเป็นสารประเภทน้ำตาล ในช่วงของห่วงโซ่การผลิตจนกว่าจะถึงผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย จะมีสารอื่นซึ่งมีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนเกิดขึ้นด้วย สารหลักที่นักวิเคราะห์พบจากพืชต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ มาเป็นสารที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของกระบวนการห่วงโซ่ดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งสารออกฤทธิ์ที่แยกออกมาได้เป็นสารที่มีความคงตัวสูง ซึ่งมักต้องใช้กรรมวิธีดัดแปลงในห้องปฏิบัติการ และขณะนี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าสารที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการดังกล่าวมีคุณค่าอย่างสูงทางด้านโภชนาการและยา

หลังจากที่ ดร.จีออร์จี ได้กล่าวแสดงผลงานออกมาแล้ว วิตามินซีชนิดแรกที่รู้จักคือวิตามินพี แต่เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ถึงอาการหรือภาวะการขาดสารดังกล่าว เนื่องจากวิตามินพี เป็นสารออกฤทธิ์ร่วมกับวิตามินซีเท่านั้น การใช้คำว่าวิตามินกับสารดังกล่าว จึงต้องตกไปกลายเป็นชื่อที่ซ้ำกันอย่างง่าย ๆ ว่า ไบโอฟลาโวนอยด์ แม้จะมีการศึกษาวิจัยที่สนับสนุนการค้นพบแล้วก็ตาม แต่โภชนากรและแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับว่าไบโอฟลาโวนอยด์มีความสำคัญทางโภชนาการแต่เดิมโภชนากรมองไบโอฟลาโวนอยด์เช่นเดียวกับพวกใยอาหาร จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ จึงยอมรับให้อยู่ในฐานะของสารอาหาร และมีความสำคัญต่อกระบวนการดำรงชีวิตของมนุษย์อยู่น้อยมาก
ไบโอฟลาโวนอยด์มีอยู่ทั่วไปในผลไม้และผัก แหล่งไบโอฟลาโวนอยด์ที่สำคัญนอกจากผลไม้จำพวกส้มแล้วยังมีผักสีเขียวเข้ม เช่นผักโขม บล็อกโคลี่ เป็นต้น ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีผลไม้หรือผักดังกล่าวแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจช่วยให้ร่างกายได้รับ สารจับออกซิเจน มากพอที่จะป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ยังมีข้อขัดแย้งอยู่ในเรื่องการดูดซึมสารไบโอฟลาโวนอยด์ สารนี้ส่วนมากจะออกมากับอุจจาระ โดยอาจมีการดูดซึมบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะไม่ใช้สารนี้เพียงแต่ร่างกายต้องการสารไบโอฟลาโวนอยด์ในชีวิตประจำวันเป็นจำนวนที่น้อยมาก สำหรับบางสถานการณ์ซึ่งร่างกายต้องการจับออกซิเจนชนิดเจาะจง แต่การสังเกตประสิทธิผลของไบโอฟลาโวนอยด์ก็ไม่สามารถจะละเลยได้ แม้ว่าปริมาณไบโอฟลาโวนอยด์ที่ร่างกายได้รับมากถึงร้อยละ 60 ไม่มีการดูดซึมและที่เหลือก็ยังไม่ทราบอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น กระนั้นก็ตามอาจเป็นได้ว่าลำพังการทำหน้าที่จับออกซิเจนในทางเดินอาหารก็น่าจะเป็นการเพียงพอแล้วที่จะสรุปได้ว่าการกินผลไม้และผักมาก ๆ สามารถป้องกันโรคมะเร็งในทางเดินอาหารได้

รูทิน

ไบโอฟลาโวนอยด์ที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือรูทิน เพราะมีการใช้รูทิน ร่วมกับวิตามินซีในทางยามากกว่า 40 ปี แล้ว การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวปรากฏว่ามีผลทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ลดความดันโลหิตและลดคอเลสเตอรอล แหล่งรูทินตามธรรมชาติที่ดีที่สุดคือ ข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่าวีท (ข้าวโพดทะเลทราย) หากใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปริมาณ 500-1500 มิลลิกรัมต่อวันก็น่าจะเพียงพอ

เฮสเพอริดิ

เป็นไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับรูทิน พบมากในผลไม้ จำพวกมะนาวและส้ม มีฤทธิ์จับออกซิเจนต่ำกว่ารูทินเล็กน้อย แต่ออกฤทธิ์ใกล้เคียงกันมากเมื่อใช่ร่วมกับวิตามินซี แนะนำให้ใช้เฉพาะเจาะจงสำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดเปราะและช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด โดยทั่วไปผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดเปราะและแตกง่ายจะเห็นได้ชัดเจนที่บริเวณแก้ม ผู้ที่มีเส้นเลือดไม่แข็งแรงอาจเป็นเพราะออกซิเจนเป็นตัวทำให้เกิดการแข็งตัวของผนังหลอดเลือดซึ่งทำให้เส้นเลือดกรอบ เปราะ (ขาดความหยุ่นตัวตามธรรมชาติ) เป็นการแข็งตัวของเส้นเลือดเทียบได้กับการเกิดสนิมของเหล็ก (การเติมออกซิเจนให้เหล็ก) อันเป็นการเปรียบเทียบที่ใกล้เคียงที่สุด จะเห็นได้จากภายในร่างกายมนุษย์ การใช้เฮสเพอริดิ 600 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินซี 500 -1500 มิลลิกรัมต่อวัน    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เควอร์เซทิน

เป็นไบโอฟลาโวนอยด์อีกชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะทางเคมีใกล้เคียงกับรูทินมาก พบในผักตระกูลกะหล่ำ ชา และเปลือกผลแอปเปิ้ล อาหารธรรมชาติที่ดีควรให้เควอร์เซทินประมาณวันละ 50-100 มิลลิกรัม เควอร์เซทิน ช่วยป้องกันปฏิกิริยาการแพ้โดยยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ของร่างกาย เควอร์เซทินเป็น สารจับออกซิเจน ที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการอักเสบที่ดีเยี่ยม หากขาดสารนี้ในอาหาร อาจทำให้เกิดโรคแพ้อากาศ ไข้ละอองฟาง หอบหืด เรือนกวางหรือโรคสะเก็ดเงิน และโรคผิวหนังผื่นคัน

เชื่อว่าไบโอฟลาโวนอยด์ชนิดนี้มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อไวรัส และเพื่อให้เควอร์เซทินทำงานร่วมกับวิตามินซี อาจช่วยป้องกันหรือบรรเทาอาการโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดธรรมดาได้ ว่ากันว่าเอนไซม์จากสับปะรดคือ โบรเมลิน ช่วยในการดูดซึมเควอร์เซทิน และจากการวิจัยยังพบต่อไปอีกว่าเควอร์เซทินมีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดโรคเนื้องอกอีกด้วย จับออกซิเจน เควอร์เซทินเป็นไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์แรงกว่ารูทิน ดังนั้น เมื่อให้รูทินแล้วไม่เห็นผลเมื่อให้เควอร์เซทิน ทั้งนี้เนื่องจากการดูดซึมเควอร์เซทินดีกว่าและต้องการการย่อยน้อยกว่ารูทินนั่นเอง จากการทดลองกับคนไข้เส้นเลือดเปราะและความดันโลหิตสูงรายหนึ่ง โดยให้เควอร์เซทินวันละ 60 มิลลิกรัม ปรากฏว่าได้ผลดีกว่าให้รูทินวันละ 400 มิลลิกรัม

มีคำถามในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้เควอร์เซทิน แต่คำถามเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นคำถามที่ไร้สาระเพราะตัวกรรมวิธีการวิจัยและการแปลผลการวิจัยที่ผิดไปจากผลที่เคยทำมาแต่เดิม ทำให้เกิดมีข้อสงสัยขึ้น ยิ่งความนิยมอาหารธรรมชาติมีการแพร่หลายมากขึ้น ฝ่ายสโตร์ก็จะไม่ยอมหยุดที่จะทำลายความเชื่อถือในการแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ เพราะข้อสงสัยสามารถนำไปสู่การใช้ยาราคาแพงซึ่งทำกำไรให้อย่างมหาศาลแก่ทางฝ่ายแพทย์และเภสัชกรรม

โพลีฟีนอล

หรือ โพลีเฟโนลิก ไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นสารเคมีที่ได้จากพืช เช่น แคเทซิน แทนนิน และโพรแอนโทซัยอะนิดิน สารนี้มีอยู่มากมายหลายชนิดในพืชทุกชนิด มีคุณสมบัติในการจับออกซิเจน หลายชนิดมีฤทธิ์กัดกร่อนและทำให้ระคายเคือง จึงจำเป็นต้องเลือกชนิดของอนุพันธ์โพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติทางชีวให้เข้ากับร่างกายมนุษย์มาใช้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สารเหล่านี้พบได้ในปริมาณสูงในเปลือกไม้บางชนิด ผลไม้บางชนิด เช่น หมาก ปุ่มใบไม้ เช่น เบญกานี ชา ซึ่งผลิตขึ้นด้วยการหมักใบชาแล้วทำให้แห้ง ไวน์แดงก็มีฟลาโวนอยด์ประเภท โพลีฟีนอลเหล่านี้เช่นกันและ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการโฆษณาคุณประโยชน์ของไวน์แดงเป็นการใหญ่ โดยอ้างว่าชาวฝรั่งเศสซึ่งกินอาหารไขมันสูง ทำให้มีโคเลสเตอรอลสูงตามไปด้วย แต่ไวน์แดงกลับช่วยป้องกันชาวฝรั่งเศสเหล่านั้นไม่ให้ได้รับผลร้ายจากอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงได้ ถ้าอย่างนั้น หากชาวอังกฤษจะดื่มน้ำชาไม่ใส่นม ชาวอังกฤษก็คงจะได้รับประโยชน์จากการดื่มของโปรดของตนเช่นกัน ถั่วเหลืองก็มี สารจับออกซิเจน ชนิดนี้อยู่ ชาวญี่ปุ่นซึ่งกินถั่วเหลืองปริมาณมากจึงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชาวฟินแลนด์ซึ่งกินถั่วเหลืองน้อยมากนั่นเอง

เรื่องปัญหาสุขภาพที่สารจับออกซิเจนช่วยได้อันมีมากมายทำให้เกิดการวิจัยค้นหาอย่างจริงจัง เพื่อที่จะได้มาซึ่งประโยชน์เฉพาะของสารจากพืชดอกงิ้ว
แม้ว่าไบโอฟลาโวนอยด์บางอย่างเช่น รูทิน เฮสเพอริดินและเควอร์เซทิน จะมีจำหน่ายอยู่ก็ตาม แต่ที่เหลืออีกประมาณ 4000 ชนิดที่ สามารถระบุได้ จึงต้องได้รับจากผลิตภัณฑ์ผสม ผลิตภัณฑ์ผสมที่ดีที่สุดคืออาหารที่ประกอบหรือปรุงเอง นอกจากนี้อาหารธรรมชาติชนิดเข้มข้นเพิ่งมีจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้เอง สารเหล่านั้นมีหลายอย่าง เช่น น้ำผึ้ง นมผึ้ง และเกสรดอกไม้ มีคุณสมบัติที่สามารถจัดวางไว้ในตำแหน่ง สารจับออกซิเจน ได้ อาจเป็นเพราะมีการยกย่องผลิตภัณฑ์เหล่านี้กันอย่างเลิศเลอ ซึ่งเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ดูเลิศหรูขึ้น

เกสรดอกไม้ (pollen)

เป็นแหล่งที่มีไบโอฟลาโวนอยด์และสารอาหารอื่น เช่น วิตามิน กรดอะมิโน และเอนไซม์ อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่การเก็บเกสรดอกไม้มาทำการค้าเป็นเรื่องยาก ดังนั้น บริษัทผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพจึงต้องพึ่งพาผึ้ง ต้องดัดแปลงทางเข้าสู่รวงผึ้งเป็นพิเศษ เพื่อแย่งชิงเอาสิ่งที่ผึ้งนำติดตัวมาจากการเที่ยวหาอาหารมาเป็นของตน ผึ้งรวบรวมเกสรดอกไม้ที่มีสารไบโอฟลาโวนอยด์ต่าง ๆ กัน แล้วแต่ว่าจะมีดอกไม้ชนิดไหนอยู่ในบริเวณที่เพิ่งออกหากิน เกสรดอกไม้ทุกชนิดมีคุณสมบัติเป็นตัวจับออกซิเจนอย่างดี และด้วยเหตุว่าเกสรดอกไม้มีเอนไซม์ธรรมชาติอยู่ด้วย จึงอาจช่วยให้ไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในสภาพที่พร้อมจะมีการดูดซึม

เกสรดอกไม้หรือเกสรผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการแนะนำกันอย่างแพร่หลายและกว้างขวางเพื่อเพิ่มพลัง เสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังหนุ่ม และป้องกันโรคที่จะเกิดแก่ต่อมลูกหมาก เมื่อไม่นานมานี้เอง เกสรผึ้งจัดได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยอดนิยมในหมู่คนแก่ โดยเชื่อว่าเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคที่เกิดจากความเสื่อมโทรมที่เป็นต้นเหตุ เช่น โรคข้ออักเสบ เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

น้ำผึ้ง

ที่มีจำหน่ายอยู่ในขณะนี้มีหลายรูปแบบ น้ำผึ้งทุกชนิดมีน้ำตาลซูโครสหรือน้ำตาลทรายเป็นส่วนประกอบหลัก น้ำผึ้งบางชนิดมีเกสรดอกไม้และขี้ผึ้ง ซึ่งเป็นแหล่งอุดมด้วย สารจับออกซิเจน มีการแนะนำกันอย่างกว้างขวางให้ใช้เพื่อบำรุงสุขภาพโดยทั่วไป และก็คงได้ประโยชน์ไม่น้อยจากสารจับออกซิเจนที่มีอยู่

นมผึ้ง

เป็นอาหารที่ผึ้งงานบรรจงปรุงเป็นพิเศษสำหรับพญาผึ้ง เป็นอาหารสุขภาพที่มีข้อกังขากันอย่างมากที่สุด การวิเคราะห์สารอาหารในนมผึ้งก็ยังไม่ให้ผลกระจ่างชัดนัก เท่าที่ทราบนมผึ้งมีกรดอินทรีย์ วิตามิน กรดอะมิโนและน้ำ แต่คุณสมบัติเป็น สารจับออกซิเจน ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายจะมีมากน้อยเพียงใดและมีคุณค่าเพียงไหน ยังคงต้องรอผลการวิจัยต่อไปในอนาคต ปัจจุบันข้อสงสัยมีอยู่ว่าคงมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะผู้ซื้อทั่วโลกยังมีการซื้อซ้ำกันอยู่

ยาง-ชัน

ผึ้งมีผลิตภัณฑ์อีกชนิดหนึ่งซึ่งอาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุดคือเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นยาฆ่าเชื้ออย่างแรง ผึ้งใช้ชันสำหรับป้องกันรวงผึ้งไม่ให้เกิดการติดเชื้อ การนำผลิตภัณฑ์จากผึ้งชนิดนี้มาใช้กับมนุษย์ปรากฏว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดคิดเป็นอันมาก แต่ปัญหาก็ยังคงมีอยู่ กล่าวคือเป็นเรื่องธรรมดาที่สารซึ่งได้จากธรรมชาติจะต้องมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันไป แม้ความเข้มข้นจะแตกต่างกันไปตามสภาวะ ประกอบกับยังมีวิธีทดสอบที่เป็นหลักเกณฑ์แน่นอน ดังนั้น ความต่างในเรื่องคุณภาพและส่วนประกอบเช่นนี้ก่อให้เกิดช่องทางแก่ผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับผลิตภัณฑ์ยาธรรมชาติ ให้หยิบยกเอาชันผึ้งที่มีคุณภาพต่ำขึ้นมาเป็นข้อโจมตีและชี้ให้เห็นปัญหาซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเกิดผิวหนังอักเสบ พวกนั้นอาจเข้าไปสู่ผลิตภัณฑ์ชันผึ้งชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าจนได้

ยางหรือชันผึ้งประกอบด้วยยางหรือชันจากต้นไม้ตามแหล่งหากินของผึ้งแต่ละรัง ส่วนประกอบสำคัญของชันผึ้ง คือ ไบโอฟลาโวนอยด์และสารเคมีตั้งต้นของสารไบโอฟลาโวนอยด์เหล่านั้น อาจเป็นกรด เช่น กรดเฟอรูลิก ซินนามิก เบนโซอิก และแคฟเฟอิก รวมทั้งเอสเตอร์ และแอลกอฮอล์ธรรมดาธรรมดา เช่น เอทิลหรือเบนซิน แอลกอฮอล์ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

จากการวิจัยยางหรือชันปรากฏผลออกมาว่ามีฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อยีสต์ ซึ่งทำให้ลิ้นเป็นฝ้า เชื้อเฮลิโคแบคเทอร์โพโลรี เชื่อกันว่ามีส่วนร่วมในการทำให้เกิดแผลอักเสบในทางเดินอาหารโดยใช้รับประทาน เมื่อทำเป็นครีมก็ใช้รักษาโรคเริมและสิวได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการหอบหืดและโรคข้ออักเสบอีกด้วย หากจะกล่าวว่าธรรมชาติรักษาโรคได้อย่างครอบจักรวาล ยางหรือชันก็มีคุณสมบัติดังกล่าว ไม่มีข้อยกเว้น ลักษณะการจับออกซิเจนของยางและชันครอบคลุมกว้างขวางมาก จึงเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐ แม้ว่าสารที่เป็นส่วนประกอบแต่ละชนิดจะให้ผลไม่มากนักก็ตาม แต่เมื่อมีสารหลายชนิดอยู่รวมกัน การออกฤทธิ์จึงเป็นการเสริมซึ่งกันและกัน และควรจะได้รับการศึกษาอย่างถี่ถ้วน เพื่อนำเอาประโยชน์ดังกล่าวมาใช้แก่ทั้งคนและสัตว์

ปัญหาสำคัญของทั้งเกสรผึ้งและชันผึ้งก็คือ การปนเปื้อนสารพิษทางเกษตรและมลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่เกิดแก่ผึ้งเลี้ยง ปัจจุบันอาจจะดีขึ้นเพราะมีกรรมวิธีที่ดีในการเก็บผลผลิตและการทำให้บริสุทธิ์ หากจะซื้อควรเลือกซื้อเฉพาะยี่ห้อที่มีการรับประกันคุณภาพเท่านั้น และทราบแหล่งที่เลี้ยงผึ้งด้วยก็จะยิ่งดี ผึ้งมักชอบทำชันจากยางของต้นพอพลาร์ รองลงมาคือ ยางจากต้นเฟอร์ ดังนั้น อีกวิธีหนึ่งในการดูคุณภาพของชันผึ้งก็คือดูฉลากว่าผึ้งนั้นเลี้ยงไว้ในบริเวณที่มีต้นไม้ชนิดใด

เปลือกต้นสน

ผึ้งทำชันผึ้งมาจากยางไม้นานาชนิดตามแต่จะหาได้ เปลือกไม้เป็นแหล่งที่มีโพลีเฟโนลิก ไบโอฟลาโวนอยด์อย่างอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่ตามชายทะเลของประเทศฝรั่งเศสด้านมหาสมุทรแอตแลนติกคือสนไพนัส มาริทิมา อุตสาหกรรมยาศึกษาและวิจัยเปลือกสนชนิดนี้เป็นพิเศษ แล้วนำเอามาสกัด ได้เป็น สารจับออกซิเจน ฤทธิ์แรงที่ชื่อว่า พิโนเจนอล

สารที่สกัดได้จากเปลือกสน มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับชัน คือมี สารจับออกซิเจน เป็นส่วนประกอบมากมายหลายชนิด ที่เหนือกว่าก็คือกรรมวิธีในการผลิต ผู้ผลิตจดสิทธิบัตรกรรมวิธีผลิตและรับประกันความสม่ำเสมอของส่วนประกอบ คุณสมบัติต่างๆ ของสารที่สกัดจากเปลือกสนมีความคล้ายคลึงกับสารไบโอฟลาโวนอยด์ชนิดอื่น ๆ จากการวิจัยอย่างละเอียดพบว่าผลิตภัณฑ์นี้ช่วยได้ในเรื่องของหลอดเลือดช่วงล่างของร่างกาย โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ขา การให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการขาเป็นตะคริว เส้นเลือดขอด ขาหัก ริดสีดวงทวารได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูเหมือนว่าสารสกัดจากพืชที่อุดมด้วยไบโอฟลาโวนอยด์จะให้ผลคล้ายกันหากได้มีการวิจัยอย่างจริงจังดังเช่นที่ทำกับเปลือกส่วนดังกล่าว พิกโนเจนอลไม่ได้เป็นสารเคมีบริสุทธิ์หรือมีสารเคมีอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ผู้ผลิตสามารถรับประกันคุณภาพได้ด้วยกรรมวิธีการผลิต พิโนเจนอลไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากับเควอร์เซทิน เฮสเพอริดิน หรือรูทินบริสุทธิ์ แต่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับยางหรือชันมากกว่าไบโอฟลาโวนอยด์อย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ

อาจจะเป็นได้ว่ามีไบโอฟลาโวนอยด์ผสมออกมาจำหน่ายอีกหลายชนิด แต่ต้องพิจารณาข้อกล่าวอ้างในเรื่องสรรพคุณของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้ดี

สมุนไพรและโภชนสารจากพืชในฐานะสารจับออกซิเจน

รายชื่อสมุนไพรที่มีคุณสมบัติจับออกซิเจนดูจะมีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องกินสมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ เป็นต้นว่า ใบแปะก๊วย โสมหรือ เอคิเนเชีย เป็น สารจับออกซิเจน เสมอไป แต่ไม่ได้หมายความว่าผลจากสมุนไพรเหล่านี้ที่มีต่อสุขภาพจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติในการจับออกซิเจนที่สมุนไพรดังกล่าวมีอยู่ ซึ่งอาจมีความสำคัญยิ่งในเรื่องประสิทธิภาพที่เจาะจงต่อสถานการณ์ สมุนไพรต่าง ๆ มีส่วนประกอบซึ่งเสริมฤทธิ์กันและกันโดยเฉพาะคุณสมบัติในการจับออกซิเจน

การรักษาด้วยสมุนไพรเป็นการรักษาในลักษณะองค์รวม ให้ผลต่อร่างกายมากกว่าการรักษาด้วยยาวิเศษโมเลกุลเดี่ยวมากมายนัก สมุนไพรส่วนใหญ่มีโพลีแซคคาไรด์ แร่ธาตุ วิตามิน ฟลาโวนอยด์ โปรตีน ไกลโคไซด์ และเซลลูโลสเป็นส่วนประกอบ ขณะที่สาร 1 หรือ 2 อย่างทำงานในลักษณะสารออกฤทธิ์ สารอื่นก็ทำหน้าที่ปรับให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล สมุนไพรอาจมีผิดพลาดน้อยกว่าเคมีอย่างมากมายก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว เพราะยาเคมีไม่มีตัวปรับสมดุลอยู่เลย เป็นเพียงสารเคมีที่มีกระบวนการผลิตราคาถูกและการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทำได้ง่ายกว่าสมุนไพร

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับใช้กับออกซิเจนที่ดีและปลอดภัยที่สุดคืออาหารและสมุนไพร ต่อไปนี้คือตัวอย่างพืชบางชนิดที่มีสารกับออกซิเจนและใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ตัวอย่างพืชบางชนิดที่มีสารกับออกซิเจนและใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ฟลาโวนไกลโคไซด์ ได้จากแปะก๊วย
ไซลิมาริน ได้จากผักโขมหนาม
ไพรแอนโทไซอะนิดิน (OPCs) ได้จากเมล็ดองุ่นสกัดและเปลือกต้นสน
แคเทซิน โพลีฟีนอล ฟลาโวนอยด์ ได้จากชาเขียว
แคพไซซิน ได้จากพริก โรสแมรี่ และขิง
ไลโคปีน ได้จากมะเขือเทศ
ลิโมนีน ได้จากผลไม้จำพวกส้ม
น้ำส้มไซเดอร์ ได้จากแอปเปิ้ล
เซซามินอล ได้จากเมล็ดงา
แอลลิซิน ได้จากกระเทียม

ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนสมุนไพรในโลก แต่ก็คงพอแสดงให้เห็นว่ามีแหล่ง สารจับออกซิเจน ซึ่งอาจนำมาใช้ป้องกันการเสื่อมของสุขภาพและนำมาใช้เสริมสุขภาพได้  [adinserter name=”navtra”]

ผู้คนทางตะวันออกของโลกพากันละเลยหรือหลงลืมสมุนไพรดี ๆ ซึ่งมีมากกว่าทางตะวันตก ไทยเรามียาบำรุงธาตุ ยาหอม ยาอายุวัฒนะ ยาเหล่านี้บางอย่างประกอบด้วยสมุนไพรมากมาย โดยมีเหตุผลว่าตัวยาสมุนไพรบางอย่างอาจออกฤทธิ์เสริมกัน บางอย่างอาจออกฤทธิ์ถ่วงดุลกัน สมุนไพรจึงเป็นยาที่ออกฤทธิ์อย่างนุ่มนวล

กรดแอลฟาไลโพอิ

เป็นสารโคเอนไซม์ชนิดหนึ่งซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในเครบส์ซัยเคิล เปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน และแอลฟาไลโพอิกเป็น สารจับออกซิเจน ที่มีฤทธิ์แรงมาก ไม่เพียงแต่จะทำลายอนุมูลอิสระด้วยตนเองเท่านั้น แต่ยังชุบชีวิตสารจับออกซิเจนชนิดอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามิน เอ ซี อี และกลูตาไธโอน ทำให้สารเหล่านี้สามารถไล่จับอนุมูลอิสระต่อไปได้อีก และเนื่องจากกรดแอลฟาไลโพอิกละลายได้ทั้งในน้ำและในน้ำมัน จึงทำหน้าที่เป็นสะพานหลักสำหรับการเชื่อมในระดับเซลล์ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันเซลล์ทั้งภายในและจากภายนอกเซลล์อีกด้วย

แม้ร่างกายจะผลิตกรดแอลฟาไลโพอิกได้เองก็ตาม แต่การเสริมด้วยสารดังกล่าววันละ 100 -200 มิลลิกรัม ก็ดูว่าจะเป็นประโยชน์มาก การได้รับกรดแอลฟาไลโพอิกในปริมาณสูง เช่นวันละ 800 มิลลิกรัม จะสามารถช่วยฟื้นสภาพของเส้นประสาทของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้ และอาหารที่เป็นแหล่งของกรดแอลฟาไลโพอิก คือมันฝรั่ง แครอท เผือก และมันเทศ

แร่ธาตุทุกชนิดต่างก็มีศักยภาพในการรับหรือให้ออกซิเจนหรือประจุไฟฟ้าซึ่งเรียกกันว่า “รีดอกซ์โพเทนเซียล
( Redox Potential )” ศักยภาพนี้วัดได้ด้วยสมรรถนะในการจับออกซิเจน แร่ที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนรุนแรงที่สุดก็คือ โซเดียมและโพแทสเซียม เมื่อแร่ทั้งสองนี้สัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ จะเกิดการเผาไหม้ขึ้นทันที จะเกิดเป็นเปลวไฟขึ้นไป ดูแล้วน่าสนุกสนานตื่นเต้นมาก จึงกล่าวได้ว่าแร่ดังกล่าวเป็นสารรับประจุไฟฟ้าลบหรือเป็นสารจับออกซิเจนอย่างแรง ดังนั้นออกซิเจนจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกาย และการได้รับสารจับออกซิเจนที่ดีที่สุดก็คือการได้รับประทานอาหารที่สมดุล ถ้าจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือคนไข้ที่กำลังพักฟื้นหลังการเจ็บป่วยก็สามารถทำได้ แต่ต้องได้อาหารจากธรรมชาติและในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ต้องทำให้อาหารโดยรวมมีความสมดุลด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติ

0
ร่างกายมีการเพิ่มภูมิคุ้มกันธรรมชาติโดยแอนติบอดี
ร่างกายมีการเพิ่มภูมิคุ้มกันธรรมชาติโดยแอนติบอดี
วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติ
ระบบภูมิคุ้มกันคือระบบที่ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยการร่วมมือกันระหว่างเซลล์ที่เป็นภูมิคุ้มกัน

ภูมิคุ้มกัน

มนุษย์เราตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ สามารถก้าวผ่านความลำบากมาได้ และมีชีวิตอยู่รอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ นั่นก็เพราะพวกเขาพยายามที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง จากการที่ต้องผจญกับภยันตรายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ หรืออื่นๆ ซึ่งเมื่อมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันจนเอาชนะสิ่งเหล่านี้มาได้ จึงสามารถมีชีวิตรอดอยู่เท่าทุกวันนี้นั่นเอง

โดยทั้งนี้ระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติจะสามารถตอบสนองกับสิ่งที่ต้องเผชิญได้อย่างไม่หยุดหย่อนเสมอ ทั้งยังมี ประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างสูงสุดอีกด้วย โดยเฉพาะกับแบคทีเรีย รา ยีสต์ และไวรัส โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบและจัดการกับสิ่งแปลกปลอมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นไปอีก ต้องบอกเลยว่าในอดีต สมัยบรรพบุรุษนั้น ไม่ได้มีการฆ่าเชื้อในอาหารเหมือนสมัยปัจจุบัน อาหารส่วนมากจึงมักจะมียีส เชื้อราและพวกแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่เสมอ ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการคิดค้นการฆ่าเชื้อขึ้นมา ทำให้มนุษย์เราไม่ได้เจอกับเชื้อโรคมากนัก และในขณะเดียวกัน ภูมิคุ้มกันธรรมชาติของเราก็ลดลงไปอีกด้วย รวมถึงสภาวะแวดล้อมปลอดเชื้อที่สร้างขึ้นมา ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลงเช่นกัน ดังนั้นจึงเล็งเห็นว่า ควรเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นไปอีก โดยสามารถทำได้ด้วยการพยายามรับสิ่งที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

ยกตัวอย่างการรับธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย ที่อยากแนะนำมากที่สุดคือ การโพรโพลิส ซึ่งก็คือสารบางอย่างที่ผึ้งได้สร้างขึ้นมาจากของเหลวและยางไม้ในยอดอ่อนของพืชนั่นเอง โดยจะมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้อย่างดีเยี่ยมทั้งยังช่วยต้านการอักเสบได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นอกจากนี้ก็มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นเช่นกัน
แอนติบอดีเป็นเหมือนขีปนาวุธโจมตีศัตรูภายนอก

แอนติบอดีในร่างกายของเรา จะมีบทบาทเป็นเหมือนกับศูนย์กลางของระบบภูมิคุ้มกันแบบฮิวมอรัล ซึ่งก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับขีปนาวุธที่พร้อมจะโจมตีศัตรูภายนอกอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย โดยกลไกการสร้างแอนติบอดี ก็มีดังนี้
เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคอะไรก็ตาม แมคโครฟาจจะเข้าจัดการเชื้อโรคนั้นทันที แล้วตามด้วยส่งสัญญาณไปยังลิมโฟไซต์ทีผู้ช่วย และส่งสัญญาณต่อไปยังลิมโฟไซต์เซลล์บี จากนั้นก็จะเกิดการสร้างแอนติบอดีขึ้นมาเพื่อเข้าจับกับเชื้อโรคในทันทีพร้อมทำลายให้สิ้นซากไป โดยทั้งนี้แอนติบอดีจะมีโครงสร้างเป็นโปรตีน ที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวอักษร Y และมีน้ำหนักของโมเลกุลประมาณ 200,000 ดาลตัน โดยแอนติบอดีจะจดจำชนิดของเชื้อโรคที่เคยเข้าสู่ร่างกายเอาไว้ หากมีเชื้อโรคตัวเดิมเข้ามาอีก ก็จะตรงเข้าจับและทำลายทันทีนั่นเอง
นอกจากนี้แอนติบอดียังมีหน้าที่อื่นอีกด้วย โดยแอนติบอดีจะมีหลากหลายชนิด ซึ่งชนด IgG จะทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคและช่วยในเรื่องของวัคซีน ส่วนแอนติบอดีชนิด IgE ก็จะทำหน้าที่ในการสร้างปฏิกิริยาการเกิดภูมิแพ้ และยังมีแอนติบอดีชนิด IgA ที่จะทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบทางเดินอาหารอีกด้วย เพราะแอนติบอดีชนิดนี้จะอยู่ในของเหลวในลำไส้เป็นส่วนใหญ่

หน้าที่หลักของภูมิคุ้มกันและการเจ็บป่วย

มนุษย์เรามีชีวิตรอดมาได้จนเท่าทุกวันนี้ จะต้องเผชิญกับเชื้อก่อโรคที่น่ากลัวมาอย่างมากมายและยาวนาน จึงได้มีการก่อภูมิคุ้มกันขึ้นมา เพื่อให้สามารถต้านกับเชื้อโรคร้ายเหล่านั้นได้อยู่เสมอ แต่นอกจากเชื้อโรคภายนอกที่ร่างกายต้องเผชิญแล้ว ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายที่จะต้องเจออีกด้วย เช่นการกลายพันธุ์ของเซลล์ ที่เปลี่ยนไปเป็นมะเร็งนั่นเอง ดังนั้นเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่รอดจากภัยคุกคามเหล่านี้ จึงต้องรวมพลังกันเพื่อปกป้องร่างกายให้พ้นจากการคุกคามของศัตรู โดยพลังที่ว่านั้นก็คือพลังภูมิคุ้มกันนั่นเอง     
สำหรับหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกัน หลักๆ เลยก็คือ จะช่วยปกป้องร่างกายให้พ้นจากการคุกคามของศัตรูภายนอก พร้อมดูแลสุขภาพและลดการเสื่อมถอยของอวัยวะภายในร่างกาย และยังป้องกันการเกิดมะเร็งรวมถึงอาการป่วยทางจิต   อย่างเช่น โรคซึมเศร้าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ระบบภูมิคุ้มกันก็ทำให้เราต้องเผชิญกับเชื้อโรคและการเจ็บป่วยแบบใหม่ที่ยังไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การแพ้ละอองเกสรดอกไม้ การเป็นผื่นแพ้ที่ผิวหนัง และอาจเกิดภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเองได้อีกด้วย ซึ่งเป็นเหตุมาจากการสูญเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน จึงทำให้ร่างกายต้องพยายามเพิ่มความแข็งแรงให้กับภูมิคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้หากเรามีพลังภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น ก็จะช่วยป้องกันไวรัสก่อโรคได้มากขึ้นไปอีก และยังช่วยฟื้นตัวจากอาการอ่อนเพลียหรือการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมอีกด้วย นอกจากนี้ก็จะทำให้เมตาบอลิซึม ( Metabolism ) ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายสามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม พร้อมกับป้องกันความเสื่อมถอยของโครงสร้างต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเซลล์มะเร็ง พบว่าร่างกายของคนเราจะมีการก่อเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมาตลอดเวลา ตกประมาณวันละ 3,000-5,000 เซลล์เลยทีเดียว ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันจึงต้องทำงานหนัก ด้วยการคอมตรวจการไปทั่วร่างกายเพื่อเข้าทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไปในทันที โดยที่เซลล์มะเร็งยังไม่ทันได้ก่อตัวเป็นเนื้อร้าย

ระบบภูมิคุ้มกันคือระบบที่ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยการร่วมมือกันระหว่างเซลล์ที่เป็นภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาว กับสารภายในร่างกาย

การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ป้องกันการติดเชื้อ  ดูแลสุขภาพ  ป้องกันความเสื่อมถอย
ป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ และแบคทีเรียก่อโรค ช่วยให้ฟื้นจากอาการอ่อนเพลีย หรือเจ็บป่วยและความเครียด เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เสริมสร้างเมแทบอลิซึม ให้สมบูรณ์ ช่วงให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี ป้องกันความเสื่อม
ถอยของโครงสร้างต่าง ๆ ภายในเซลล์

อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการสูญเสียสมดุลของภูมิคุ้มกัน

เซลล์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเพิ่มพลังภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราก็คือ เซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งพบว่าในกระแสเลือดของคนเรานั้นจะมีเม็ดเลือดขาวอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ ลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte ) แมคโครฟาจ ( Macrophage ) และแกรนูโลไซต์ ( Granulocyte ) โดยลิมโฟไซต์ก็ยังแบ่งออกได้อีกเป็น ชนิดเซลล์บี ชนิดเซลล์ทีและ ชนิดเซลล์เอ็นเค ลิมโฟไซต์ที่ไขกระดูกจะพัฒนาการไปเป็นเซลล์บี ส่วนลิมโฟไซต์ที่ต้อมไทมัสก็จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ทีและทำหน้าที่ในการสร้างแอนติบอดี นอกจากนี้เซลล์ทีก็ยังแบ่งออกได้เป็น เซลล์ทีผู้ช่วย (Helper T cell) จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างแอนติบอดี โดยมี 2 กลุ่มคือ Th- 1 และ Th- 2
Th- 1 เป็นเซลล์ที่จะทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกันแบบเซลล์ ช่วยให้มีการตอบสนองในด้านภูมิคุ้มกันในสภาวะที่มีการติดเชื้อ ซึ่งระบบก็จะปล่อยเซลล์ทีเพชรฌฆาตออกมา เพื่อเข้าจัดการกับไวรัสในทันที นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการร่วมทำงานกับเซลล์เอ็นเคเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่จะก่อตัวขึ้นทุกวันกว่า 5,000 เซลล์อีกด้วย
Th- 2 เป็นเซลล์ที่จะใช้โปรตีนในกระแสเลือดหรือที่เรียกว่า แอนติบอดี ในการก่อให้เกิดการตอบสนองของภูมิคุ้มกันแบบฮิวมอรัล เมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ โดยเซลล์ชนิดนี้จะชักนำให้เกิดการสร้างแอนติบอดีขึ้นมาในทันทีเพื่อต้านเชื้อไวรัสหรือเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญต่ออาการของโรคภูมิแพ้อีกด้วย
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า Th- 1 และ Th- 2 นั้น จะทำหน้าที่ในการรักษาความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันเหมือนกันอยู่คนละด้าน ซึ่งหากด้านใดด้านหนึ่งเกิดความเสียสมดุลไป ก็จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้หรือภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเองได้ง่าย โดยทั้งนี้ภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเอง ก็จะมีทั้งโรคต่อมไทรอยด์อักเสบฮาชิโมโต โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นสมดุลของ “แบบเซลล์” และ “แบบฮิวมอรัล”

แผนภูมิรูปภาพแสดงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
แผนภูมิรูปภาพแสดงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ถ้าทั้งสองด้านสูญเสียการทำงาน ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง ซึมเศร้า และถ้าด้านใดด้านหนึ่งทำงานเด่นกว่า นั่นก็เป็นสาเหตุของผิวหนังผื่นแพ้ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณคลิปสุขภาพดีๆจาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

ฟุจิตะ, โคอิชิโร. ภูมิคุ้มกัน บอดี้การ์ดส่วนตัว. กรุงเทพฯ : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น),2555. 1.วิทยาภูมิคุ้มกัน. I.ศักดา ดาดวง,ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 616.079 ISBN 978-974-443-517-0.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Gherardi E. The Concept of Immunity. History and Applications. Archived 2007-01-02 at the Wayback Machine. Immunology Course Medical School, University of Pavia.

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

มาทำความรู้จักผิวแต่ละประเภทกันเถอะ

0
มาทำความรู้จักผิวแต่ละประเภทกันเถอะ
ดูแลผิวพรรณให้สวยงามปราศจากริ้วรอย แลดูมีสุขภาพดีและอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ
มาทำความรู้จักผิวแต่ละประเภทกันเถอะ
เราทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์ผิวได้ แต่เราสามารถชะลอกระบวนการดังกล่าวได้

ผิวหนัง ( Skin )

ผิวพรรณ ( Skin ) ที่สวยงามปราศจากริ้วรอย แลดูมีสุขภาพดีและอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนานำมาซึ่งความพึงพอใจแก่ผู้เป็นเจ้าของและผู้พบเห็น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมากไปกับการรักษาผิวพรรณที่ล้ำสมัย การใช้เครื่องประทินผิวราคาแพง รวมไปถึงอาหารเสริมบำรุงผิวหลากหลายชนิด เพื่อรักษาผิวพรรณของตนให้สวยใสอยู่เสมอ แต่การจะได้มาซึ่งผิวที่สวยงามและอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืนได้นั้น จะต้องเรียนรู้องค์ประกอบพื้นฐานของผิว ธรรมชาติของผิว และวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้องอย่างเป็นอย่างดี นั่นคือความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผิวพรรณที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับการดูแลผิวพรรณได้อย่างถูกต้องเพื่อการมีผิวที่สวยงามอย่างยั่งยืน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ธรรมชาติของผิว

ผิวหนัง ( Skin ) เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีการคาดกันว่าหากนำผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย มาแบ่งออกจะได้พื้นที่มากกว่า 1,000 ตารางนิ้ว และมีน้ำหนักประมาณร้อยละ 16 ของน้ำหนักตัว ผิวหนังทำหน้าที่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการห่อหุ้มและปกป้องอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ปกป้องเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายหรือแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ช่วยขับถ่ายของเสีย ช่วยปกป้องรังสีอัลตราไวโอเลตไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย และเป็นปราการด่านแรกในการรับแรงกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเช่น แสงแดด ความร้อนและความเย็น เป็นต้น

เมื่อเวลาล่วงเลยไปเซลล์และเนื้อเยื่อของอวัยวะต่าง ๆ รวมไปถึง ผิวหนัง ( Skin ) จะเกิดการเสื่อมสภาพ ผิวหนังจากที่เคยเต่งตึง เปล่งปลั่ง เยาว์วัย กลับกลายเป็นผิวที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย หมองคล้ำ ไม่น่ามอง มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำตามมามากมาย กระบวนการเสื่อมสภาพของผิวหนังดังกล่าวเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งตัวการสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมดังกล่าวนั่นคือ อนุมูลอิสระ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัย 2 ประการได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก นั่นเอง

ปัจจัยภายใน คือกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในขณะที่ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ แสงแดด ความร้อน สารพิษมลภาวะ แอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือแม้แต่การดูแลผิวที่ผิดวิธี เป็นต้น

อนุมูลอิสระ คือสารประกอบใด ๆ ที่เมื่อรวมเข้ากับออกซิเจนแล้ว จะเกิดการสูญเสียอิเล็กตรอนภายในโมเลกุลไป ทำให้โมเลกุลดังกล่าวขาดความสมดุล ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน โมเลกุลนั้นจำเป็นต้องดึงอิเล็กตรอนจากโมเลกุลข้างเคียงมาไว้กับตัวทำให้โมเลกุลข้างเคียงขาดความเสถียรจนต้องแย่งอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์มาอีก ปฏิกิริยาดังกล่าวจะเกิดติดต่อกันกลายเป็นลูกโซ่ไม่จบสิ้น เราเรียกโมเลกุลที่อิเล็กตรอนหายไปว่า อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและโรคร้ายต่าง ๆ หากปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่มีการแบ่งเซลล์และถอดแบบ DNA จากเซลล์แม่ไปยังเซลล์ลูกจะก่อให้เกิดความเสียหายในระดับ DNA ของเซลล์เกิดใหม่จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

แม้ว่าเราไม่อาจหลีกเลี่ยงกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์ผิวได้ แต่เราสามารถชะลอกระบวนการดังกล่าวได้ โดยให้เกิดช้าลง ด้วยการเอาใจใส่ปัจจัยทั้งสองอย่างเท่า ๆ กัน เพื่อลดความเสื่อมโทรมที่มาจากปัจจัยภายนอก พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัด การอยู่ในสภาวะที่เป็นพิษ ไม่อยู่ในสถานที่ที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเป็นเวลานาน ๆ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และกาเฟอีน ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตลบอบอวนไปด้วยควันบุหรี่ และหมั่นดูแลผิวพรรณอย่างถูกวิธีและเหมาะสม เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สำหรับความเสื่อมโทรมที่เกิดจากปัจจัยภายใน สามารถชะลอให้เกิดช้าลงได้ ด้วยการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ในสัดส่วนที่พอเหมาะ รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้สด ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่าที่จำเป็น ควรดื่มน้ำสะอาดให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความตึงเครียดอยู่เสมอ เป็นต้น ถ้าเราดูแลผิวอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ผิวพรรณของเราก็จะคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น

ผิวสวย คือผิวแบบไหน?

หากจะถามว่าผิวลักษณะใดที่จัดว่าเป็นผิวที่สวยงาม คงมีคนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะคนไทยต่างเข้าใจว่าผิวสวยคือผิวที่มีความขาวใส ปราศจากริ้วรอย และจุดด่างดำ แต่คำตอบในประเทศยุโรปอาจจะบอกว่าผิวที่สวยงาม คือผิวที่มีสีคล้ำแดด แลดูสุขภาพดี และมองว่าคนที่มีผิวขาวนั้นซีด บ่งบอกถึงมีการมีสุขภาพที่อ่อนแอและการมีกระหรือฝ้าประปรายบนใบหน้านั้น ดูดีมีชีวิตชีวากว่าคนที่มีผิวขาวโพลนซึ่งดูเหมือนพลาสติก เป็นต้น

ด้วยรสนิยมที่แตกต่างกันทำให้ใครหลายหลายคนสับสนกับนิยามของผิวสวยที่แท้จริง ผิวที่สวยงามนั้นเป็นอย่างไร? ผิวที่ขาวใสเป็นธรรมชาติคือนิยามของผิวสวยแล้วนิยามความงามของคนมีผิวสีจะเป็นเช่นไร? พวกเขาจะไม่มีคนสวยบ้างเลยหรือ? อย่างไรก็ตามหากมองดูตามหลักของความถูกต้องแล้ว ผิวที่ถือว่าเป็นผิวสวยนั้น จะต้องมีองค์ประกอบด้วยคุณสมบัติ 6 ประการ ได้แก่ ผ่องใส ชุ่มชื่น ไร้จุดด่างดำ นุ่มนวล กระชับละเอียด และเต่งตึง หากผิวของคุณมีคุณสมบัติ ครบทั้ง 6 ประการ ขอให้ภูมิใจได้เลยว่าว่าคุณมีผิวสวยงามในอุดมคติและเพื่อที่จะตรวจสอบให้รู้ว่าผิวของคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วนหรือไม่ เรามีวิธีสังเกตนี้

ผิวขาวใส

มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้ผิวพรรณขาดความผ่องใสจนนำไปสู่ผิวที่หยาบกร้านและหมองคล้ำ ได้แก่ การตกค้างของเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ การได้รับรังสียูวีติดต่อกันเป็นเวลานาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความตึงเครียด รวมไปถึงการได้รับสารอาหารที่ไม่เหมาะสมจนนำไปสู่ความร่วงโรยและเสื่อมสภาพของผิวในที่สุด

หากคุณกำลังประสบปัญหาผิวพรรณขาดความผ่องใส การรักษาผิวให้กลับมามีความสวยงามดังเดิมนั้น จะเน้นที่การดูแลผิวในส่วนหนังแท้เป็นหลัก การกินอาหารให้ได้สัดส่วน โดยเน้นอาหารที่มีสารอาหารจำเป็นสำหรับผิวให้มาก ๆ การกินวิตามินซีเสริม อย่าเครียด หมั่นทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวี แม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม ทาครีมบำรุงผิวในช่วงเช้าและก่อนนอนเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวและปกป้องผิวจากอากาศร้อนและหนาว พักผ่อนให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หากจำเป็นต้องดื่มให้ดื่มในปริมาณน้อย ๆ และนาน ๆ ครั้ง เท่านั้น นอกจากนี้ควรขัดผิวอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไป รวมถึงการนวดผิวเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการทำงานของชั้น ผิวหนัง ( Skin )

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวชุ่มชื้น

เป็นผิวที่มีอัตราส่วนระหว่างน้ำและน้ำมันอยู่ในระดับสมดุลที่มีน้ำหล่อเลี้ยง ไม่แห้งกร้าน แลดูผ่องใส สามารถแต่งหน้าได้เรียบเนียน แป้งติดหน้าดีขึ้น ผิวนุ่มชุ่มชื้น หากใช้นิ้วกดผิวจะเด้งคืนตัวกลับมาทันที สัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าผิวขาดความชุ่มชื้น ได้แก่ ใบหน้ามีน้ำมันส่วนเกินประปราย ในขณะที่ผิวบริเวณรอบตาและรอบปากซึ่งเป็นผิวที่มีความบอบบางกลับแห้งหรือแตกเป็นขุย เมื่อทาแป้งหรือเครื่องสำอางแป้งจะร่อนไม่ติดหน้า วิธีแก้จะเน้นที่การดูแลผิวชั้นหนังแท้เป็นหลัก กินผักและผลไม้ให้มาก และดื่มน้ำสะอาดให้มากเพื่อชดเชยน้ำที่ผิวสูญเสียไป ควรใช้โลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ หรือครีมที่มีความเข้มข้นสูงและมีสรรพคุณในการรักษาระดับน้ำใต้ผิว หากพบว่าผิวบริเวณรอบดวงตาและรอบปากแห้งง่ายให้ทาอายครีมและปิโตรเลียมเจลเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวบริเวณดังกล่าวเอาไว้

ไร้จุดด่างดำ

จุดด่างดำมีลักษณะเป็นจุดสีดำกระจายตัวตาม ผิวหนัง ( Skin ) ในบริเวณที่โดนแดดบ่อย ๆ จากการรวมตัวกันของเมลานิน เมื่อผิวถูกกระตุ้นด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตที่มาพร้อมกับแสงแดดที่ร้อนแรง ในช่วงที่อายุยังน้อยเมลานินดังกล่าวจะมีความสามารถในการกระจายตัวกลับไปอยู่ที่เดิมได้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ค่อยพบจุดด่างดำในคนวัยหนุ่มสาวสักเท่าใด แต่เมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการกระจายตัวของเมลานินดังกล่าวจะลดน้อยลง ยังผลให้เกิดจุดเม็ดสีดำกระจายอยู่ตามผิวหนังอย่างถาวร วิธีที่จะป้องกันการเกิดจุดด่างดำดังกล่าวที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดโดยตรงโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป แม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม

ผิวนุ่มนวลกระชับ

เป็นผิวที่แลดูอ่อนกว่าวัย มีสัดส่วนของน้ำและน้ำมันในระดับที่สมดุล แลดูชุ่มชื้น ผ่องใสมีน้ำมีนวล มีริ้วรอยน้อย เมื่อใช้นิ้วกดลงไปผิวจะเด้งกลับมาในทันที วิธีรักษาผิวให้นุ่มนวลจะเน้นที่การรักษาในระดับหนังกำพร้าเป็นหลัก โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และแต่ละหมู่ต้องได้สัดส่วนที่เหมาะสม เน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูง ดื่มน้ำให้มาก ใช้ทรีทเม้นท์ชนิดครีมเพื่อรักษาระดับของน้ำและน้ำมันใน ผิวหนัง ( Skin ) ใช้มาส์กพอกหน้าเป็นประจำควบคู่ไปกับการใช้เครื่องสำอางที่มีสรรพคุณในการบำรุงรักษาชั้นหนังแท้ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ความร่วงโรยของผิวพรรณ เช่น แสงแดด ฝุ่นละออง อากาศที่เย็นหรือร้อนจนเกินไป ทาครีมบำรุงทั้งตอนเช้าและตอนเย็นเพื่อปกป้องผิวจากความเสื่อมโทรม ทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญแสงแดดเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากรังสียูวี  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวละเอียด

เป็นผิวที่มีระดับของน้ำและน้ำมันที่สมดุลกันดี แลดูอ่อนนุ่ม ไม่มีการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทาแป้งหรือเครื่องสำอางติดทนดี เส้นใยผิวเรียงเป็นระเบียบ และมีความมันอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ผิวหน้าละเอียดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรนนิบัติผิวชั้นหนังกำพร้าเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำเกิดการตกค้างของสิ่งสกปรกตามรูขุมขน ได้แก่ ความเครียด โภชนาการที่ไม่เหมาะสม การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่และแต่ละหมู่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เน้นหมู่ใดหมู่หนึ่งมากจนเกินไป กินผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูงมากๆ นอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ควบคุมความมันโดยเฉพาะ ใช้โลชั่นหรือครีมเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว หมั่นขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไปอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ผิวเต่งตึง

ผิวที่หย่อนยานหรือขาดความกระชับเกิดจากการที่เส้นใยในชั้นหนังแท้มีความหนาตัวขึ้น ผิวหนัง ( Skin ) จึงขาดแรงตึง ขาดความยืดหยุ่น มีการสันดาปที่น้อยลง เกิดความสับสนจนนำไปสู่การหย่อนคล้อยของผิวในที่สุด ผิวที่เต่งตึงเป็นผิวที่แลดูผุดผ่อง เนียนละเอียด ผิวหนังบริเวณปากและรอบดวงตากระชับไม่หย่อนคล้อย หนังตาและมุมปากไม่หย่อนยาน รูปหน้าโดยรวมกระชับเต่งตึง เมื่อใช้นิ้วกดแล้วผิวจะเด้งกลับมาทันที ผิวมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อที่จะรักษาความกระชับเต่งตึงของผิวเอาไว้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้การดูแลชั้นหนังแท้เป็นพิเศษ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์และถูกสัดส่วน เน้นผักผลไม้ที่มีวิตามินสูง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ใช้เครื่องสำอางที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นใยผิว ดื่มน้ำให้มากเพื่อชดเชยน้ำที่ผิวสูญเสียไป ใช้เครื่องสำอางที่มีฤทธิ์ในการรักษาสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันในผิว หมั่นขัดผิวที่ตายแล้วอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละครั้ง นวดผิวเป็นประจำเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนให้ดียิ่งขึ้น

สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นคือลักษณะในการพิจารณาผิวขั้นพื้นฐานว่าผิวเช่นไรจึงจะเรียกว่าเป็นผิวสวย เป็นที่น่าสังเกตว่าสีผิวไม่ได้ถูกจัดไว้ในเกณฑ์การพิจารณาผิวแต่อย่างใด จึงทำให้เรามั่นใจว่าแม้ว่าเราจะมีสีผิวอะไรก็ตาม เราทุกคนก็สามารถมีผิวสวยได้ด้วยกันทั้งนั้น และการกินอาหารที่ได้สัดส่วน โดยเน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูง การออกกำลังกายที่เหมาะสม การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การงดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ทุกชนิด และการไม่เครียดจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีผิวสวยอย่างยั่งยืน ดังนั้น การมีผิวสวยเราไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากไปกับเครื่องสำอางราคาแพงที่โฆษณาสรรพคุณว่ามีฤทธิ์ในการปรับสีผิวให้ขาว หรือเข้าสถานเสริมความงามเพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ยุ่งยากแต่อย่างใด ขอเพียงแค่ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐาน และข้อปฏิบัติปลีกย่อยต่าง ๆ ผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

การมีผิวที่สวยงาม ปราศจากริ้วรอย แลดูมีสุขภาพดีและอ่อนกว่าวัย ล้วนเป็นที่ต้องการของทุกคน จึงยอมเสียเงินราคาแพงเพื่อรักษาผิว รวมไปถึงอาหารเสริมบำรุงผิวทั้งหลายด้วย    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เรียนรู้เรื่องชั้นของผิว

เพื่อที่จะดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ถึงองค์ประกอบพื้นฐานให้ดีเสียก่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือชั้นของผิว ชั้นของผิวหมายถึงส่วนประกอบของผิวที่ทำหน้าที่และลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปแล้วผิวจะมีทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ ผิวชั้นนอกหรือหนังกำพร้า ( Epidermis ) ชั้นหนังแท้ ( Dermis ) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ( Fat Layer )

ผิวชั้นนอกหรือหนังกำพร้า ( Epidermis )

ผิวชั้นนอกมีความสำคัญในฐานะที่เป็นด่านแรกที่กั้นระหว่างสิ่งแวดล้อมภายนอกกับอวัยวะภายในร่างกายของเรา และยังถือว่าเป็นชั้นผิวที่มีความสำคัญในการกำหนดความสวยงามของผิวพรรณโดยรวมได้อีกด้วย แม้ว่าการมีผิวที่สวยใส แลดูอ่อนกว่าวัยจะขึ้นอยู่กับผิวทุกชั้นก็ตาม จะว่าไปแล้วผิวชั้นนอกก็ไม่ต่างอะไรกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราสวมใส่อยู่ทุกวัน เสื้อผ้าเนื้อดี มีสีสันสวยงามและตัดเย็บอย่างประณีต ย่อมทำให้ผู้สวมใส่ดูดีไปด้วย ผิวชั้นนอกหรือชั้นหนังกำพร้าประกอบไปด้วยเซลล์จำนวน 5 ชั้น ผิวชั้นนี้มีความบางมากจนสามารถเปรียบได้กับความหนาของกระดาษ 1 แผ่นเลยทีเดียว

ชั้นหนังกำพร้าเป็นบริเวณที่มีการผลิตเซลล์ผิว เป็นที่อยู่ของเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตเม็ดสีผิว
เมลานินเป็นที่เกิดกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งจะมีการทดแทนเซลล์ผิวที่ตายแล้วด้วยการผลิตเซลล์ผิวเกิดใหม่ตลอดเวลาโดยจะมีการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ไปอยู่ชั้นบนสุด ซึ่งเราเรียกผิวชั้นนี้ว่า Horny Layer หรือ Stratum Corneum ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีอายุราว 14 วัน หลังจากนั้นจะหลุดลอกออกไปในรูปของขี้ไคลและ ผิวหนัง ( Skin ) จะสร้างเซลล์ผิวใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนเซลล์ผิวเเทนหลุดลอกออกไป

ซึ่งกระบวนการในการสร้างเซลล์ผิวใหม่จะกินเวลาอีก 14 วันเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าทุก ๆ 28 วัน ผิวหนัง ( Skin ) จะมีการผลัดเซลล์ผิว 1 ครั้ง แต่ครั้งนี้ความถี่ของกระบวนการจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุเป็นหลัก ในวัยหนุ่มสาวผิวอาจมีการผลัดเซลล์ที่ดีและเร็วกว่า (ประมาณ 28-30 วันต่อครั้ง) แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการดังกล่าวจะเกิดช้าลงและห่างกัน (ประมาณ 45-50 วัน) เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังชั้นนี้จะหนาและเรียงตัวกันไม่สม่ำเสมออย่างเคย เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกว่าผิวไม่เรียบเนียนและขาดความยืดหยุ่น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ชั้นหนังแท้ ( Dermis )

ชั้นหนังแท้เป็นชั้นที่อยู่ลึกกว่าผิวชั้นนอกลงมา มีความหนามากกว่าผิวชั้นนอกประมาณ 20-40 เท่า เป็นชั้นที่มีความหนามากถึงร้อยละ 90 ของโครงสร้างผิวทั้งหมด ผิวชั้นหนังแท้ประกอบไปด้วยปลายประสาทรับความรู้สึก ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ รากขน เส้นเลือด ต่อมเหงื่อและต่อมไขมันที่อยู่ในชั้นหนังแท้จะทำหน้าที่ในการผลิตน้ำมันและเหงื่อออกมาเคลือบผิวหนังชั้นนอกไว้บาง ๆ น้ำมันดังกล่าวมีประโยชน์ในการช่วยรักษาน้ำใต้ผิวหนัง และมีฤทธิ์ในการป้องกันเชื้อโรคแบคทีเรีย และเชื้อรา แต่น่าเสียดายที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนใหญ่มีฤทธิ์ในการชะล้างสารที่มีประโยชน์เหล่านี้ออกไปจนหมดสิ้น จนทำให้เกิดผลร้ายต่อผิว ทำให้ผิวแห้งแพ้ง่าย สมดุลความเป็นกรดด่างของผิวเสียไป

นอกจากนี้ผิวชั้นหนังแท้ยังประกอบไปด้วยคอลลาเจน ( Collagen ) อีลาสติน ( Elastin ) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความยืดหยุ่นของผิวพรรณ คอลลาเจนและโปรตีนมีหน้าที่ในการเสริมสร้างความแข็งแรง และความหนาแน่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวกระชับเต่งตึง ช่วยซ่อมแซมผิวที่เป็นแผลด้วยการสร้างเนื้อเยื่อบาง ๆ มาปกคลุมไว้ เส้นใยอีลาสตินมีหน้าที่ในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ทำให้ ผิวหนัง ( Skin ) คืนรูปหลังการเคลื่อนไหว หากชั้นหนังแท้มีคอลลาเจนหรือเส้นใยอีลาสตินน้อย จะนำไปสู่การมีริ้วรอยหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอายุมากขึ้นคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินจะมีการเสื่อมสลาย ยังผลให้ผิวเกิดริ้วรอยหย่อนคล้อยและขาดความยืดหยุ่นในที่สุด

ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ( Fat Layer )

เป็นส่วนล่างสุดของโครงสร้างของ ผิวหนัง ( Skin ) เป็นชั้นที่ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยรับแรงกระแทกและสะสมพลังงาน ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยไขมันและไฟเบอร์ ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอวัยวะที่อยู่ลึกลงไป ช่วยทำให้ผิวหนาและนุ่ม ทำหน้าที่คล้ายผ้าห่มที่คอยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย สำหรับคนอ้วนจะมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนากว่าคนผอม จะขี้ร้อนและรู้สึกอบอุ่นกว่าคนผอมเมื่อฤดูหนาวมาถึง

เมื่อมีอายุมากขึ้นเซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังจะมีน้อยลง ส่งผลให้ผิวบางลง ไม่ยืดหยุ่นเหมือนก่อน และเริ่มมีริ้วรอยมากขึ้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือค่อนข้างเจ้าเนื้อจะไม่ค่อยประสบปัญหานี้มากนัก เนื่องจากมีเซลล์ไขมันที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นตัวได้ดี แต่อย่างไรก็ตามชั้นไขมันจะลดลงเมื่อกาลเวลาผ่านไป ยังผลให้ผิวหนังด้านบนมีการหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นในที่สุด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากองค์ประกอบของ ผิวหนัง ( Skin ) จะส่งผลต่อความเต่งตึงและความอ่อนเยาว์แล้ว กระดูกที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกายก็มีบทบาทต่อความอ่อนเยาว์ของผิวไม่แพ้กัน กระดูกที่แข็งแรงจะมีประสิทธิภาพในการพยุงผิวหนังให้คงตัวได้ดี ทำให้ผิวหนังสร้างความเต่งตึงไม่หย่อนคล้อยไว้ได้ ไม่ว่าผิวหนังจะพยายามพยุงตัวเองไว้สักเท่าไร หากปราศจากโครงสร้างที่แข็งแรงคอยรองรับกล้ามเนื้อของผิวหนังก็จะเสียรูป นำไปสู่การหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยในที่สุด

สีของผิว

เมื่อถูกถามเรื่องสีผิวเชื่อว่าแต่ละคนคงให้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน บ้างก็ว่าสีขาว สีขาวอมชมพู สีน้ำตาล สีแดง สีน้ำผึ้งหรือแม้แต่สีช็อกโกแลต หรือสีกาแฟใส่นมก็มี ซึ่งนั่นก็ล้วนแต่เป็นมุมมองของแต่ละคนว่ามองสีผิวของตัวเองเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตามหากพูดถึงสีผิวตามหลักการแพทย์แล้ว แพทย์ ผิวหนัง ( Skin ) แบ่งสีผิวออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ผิวขาว
( White Skin ) ผิวเหลือง ( Yellow Skin ) ผิวสีน้ำตาล ( Brown Skin ) โดยแบ่งตามจำนวนเมลานินในผิวของแต่ละคน

เมลานินคือเม็ดสี ทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดความเข้มของสีผิวในแต่ละคน บางคนอาจขาวมาก ในขณะที่บางคนอาจมีผิวคล้ำไปจนถึงดำ นอกจากนี้เมลานินยังทำหน้าที่ในการป้องกันผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตและยังเป็นตัวกำหนดความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตัวเองได้อีกด้วย

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่าสีผิวที่แตกต่างกันจะมีความต้านทานแสงแดดและความสามารถในการกลับคืนสภาพเดิมของผิวหลังจากถูกแสงแดดที่แตกต่างกัน ดังจะเห็นได้จากคนจำนวนมากแม้ว่าจะตากแดดเป็นเวลานาน แต่ผิวกลับไม่ดำหรืออาจคล้ำลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มีบางคนที่ผิวอาจกลายเป็นสีแดงทันทีแม้ว่าจะตากแดดเพียงเล็กน้อย และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตากแดดแล้วจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการกลับมาขาวอีกครั้ง ในขณะที่บางคนอาจใช้เวลานานกว่าจะกลับมาขาวได้อีก เป็นต้น

ผิวขาว

เป็นผิวที่มีเมลานินหรือเม็ดสีอยู่ในปริมาณที่น้อยหรือแทบจะไม่มีเลย จะพบในชาวคอเคเชียนที่มีผิวขาวมากไปจนถึงผิวสีเผือก ผิวขาวจะยากต่อการเปลี่ยนสี ดังจะเห็นได้จากฝรั่งจำนวนมากที่แม้ว่าจะเสียเวลานอนอาบแดดเป็นเวลานาน ผิวของพวกเค้าก็คล้ำลงเพียงเล็กน้อยและจะกลับมาขาวซีดเหมือนเดิมเพียงระยะเวลาไม่นาน เมื่อโดนแดดแรง ๆ ผิวขาวจะมีการอักเสบและแดงชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการฟื้นตัวและซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกลับมาขาวใสได้ดังเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มีการพบว่าผิวขาวสามารถตอบสนองได้ดีต่อกระบวนการเสริมความงามทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ที่มีผิวขาวเพราะไม่ว่าจะทำการผลัดเซลล์ผิวแบบง่าย ๆ หรือแม้แต่การศัลยกรรมยกกระชับใบหน้าที่มีกระบวนการที่ซับซ้อนก็รวมเข้ากันได้กับคนที่มีผิวขาวทั้งสิ้น

ผิวขาวใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เนื่องจากผิวขาวมีเมลานินหรือเม็ดสีที่ทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตอยู่น้อยหรือแทบจะไม่มีเลย ทำให้ความสามารถในการปกป้องตัวเองโดยธรรมชาติจากรังสีอันตรายไม่มีประสิทธิภาพ ผิวขาวจึงเป็นผิวที่บอบบาง ไม่มีความต้านทานแสงแดด ไวต่อแสงแดด จึงทำให้ถูกทำลาย เกิดริ้วรอย และเสื่อมโทรมได้ง่าย และสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดสำหรับคนที่มีผิวขาวคือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนผิวสีอื่น ๆ

ผิวเหลือง

นับว่าเป็นความโชคดีของคนผิวเหลือง เนื่องจากผิวเหลืองเป็นผิวที่ละเอียดเนียนนุ่ม ไม่ค่อยมีริ้วรอย มีปริมาณของ
เมลานินอยู่ในระดับกลาง ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ทำให้สีผิวมีความเข้มอยู่ในระดับกลางกลางตั้งแต่สีเบจอ่อน ๆ ไปจนถึงสีเหลืองและสีแทน จะพบในชาวมองโกลอยด์หรือชาวเอเชีย คนผิวเหลืองเป็นคนที่มีความต้านทานต่อแสงแดดได้ดีในระดับหนึ่งกล่าวคือมากกว่าคนผิวขาวแต่น้อยกว่าคนผิวสีน้ำตาลหรือสีดำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นผิวที่ดีแต่คนผิวเหลืองก็มีปัญหาอยู่บ้าง เช่น เป็นคนมีผิวที่ค่อนข้างแห้งจึงทำให้มีริ้วรอยมากกว่าคนที่มีผิวมัน นอกจากนี้ยังมีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ และมีอาการระคายเคืองง่ายอีกด้วย และมีโอกาสคล้ำหรือดำลงทีละนิดเมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานานหรืออย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะแก้ปัญหาของคนผิวเหลืองจึงได้รับการแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไป ทำให้ผิวชุ่มชื้นแลดูมีชีวิตชีวาควรหมั่นขัดผิวเป็นประจำ เพื่อรักษาสีผิวให้สม่ำเสมอและเนียนเรียบไร้ริ้วรอย

ผิวสีน้ำตาล

เป็นผิวของคนที่มีสีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำสนิท เป็นผิวที่มีเมลานินหรือเม็ดสีในปริมาณมาก พบในพวกนิกรอยด์หรือนิโกร มีความต้านทานแสงแดดสูง เป็นผิวค่อนข้างมันเพราะมีต่อมไขมันในปริมาณมาก จึงทำให้ผิวไม่ค่อยมีริ้วรอย เนื่องจากมีความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่ดีเยี่ยม จึงทำให้ผิวสีน้ำตาลมีความเรียบเนียน กระชับ เต่งตึง และแลดูอ่อนกว่าวัย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผิวสีน้ำตาลมีปริมาณของต่อมไขมันอยู่หนาแน่นมากเป็นพิเศษ จึงทำให้ประสบปัญหาเรื่องสิวอักเสบอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้หลังจากเกิดอุบัติเหตุ หรือการทำศัลยกรรมใด ๆ ผิวสีนี้จะมีโอกาสเป็นรอยแผลนูนหรือเกิดรอยดำค่อนข้างสูงอีกด้วย ผิวประเภทนี้เมื่อโดนแสงแดดจัดจะไม่ไหม้หรือหลุดลอก แต่จะยิ่งคล้ำหรือดำมากขึ้น

ประเภทของผิว

เนื่องจาก ผิวหนัง ( Skin ) ของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การดูแลผิวอย่างผิดวิธีอาจส่งผลต่อสุขภาพผิวพรรณอย่างคาดไม่ถึง จากการวิจัยพบว่าการปล่อยผิวตามธรรมชาติโดยไม่ปฏิบัติดูแลเลย ยังดีกว่าการหมั่นดูแลผิวด้วยวิธีที่ผิด ๆ เพื่อที่จะรักษาความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของผิวให้อยู่ได้ยาวนานที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะตัวและการดูแลผิวแต่ละประเภทอย่างถูกต้องให้ดีเสียก่อน

ผิวธรรมดา

ผิวธรรมดาเป็นผิวที่มีความยืดหยุ่นของเซลล์ผิวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่แห้งหรือมันจนเกินไป เนียนเรียบเกลี้ยงเกลา ไม่ค่อยมีปัญหาผิว เช่น สิว ฝ้า ตุ่ม หรือผดผื่น คนที่มีผิวธรรมดาไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลหรือการบำรุงรักษาที่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพื่อที่จะรักษาผิวให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ควรใช้วิธีการบำรุงผิวที่เรียบง่ายและสะดวกต่อการปฏิบัติให้มากที่สุด เมื่อทำความสะอาดผิวแล้ว ควรซับผิวให้หมาด บำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณน้อย

  • ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวจากสมุนไพรธรรมชาติ เพราะมีความอ่อนโยนต่อผิว ปัจจุบันออกแบบมาให้ใช้ง่าย สะดวก นั่นคือ สบู่สมุนไพรธรรมชาติ ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือกใช้ที่เหมาะกับสภาพผิว สามารถใช้ชำระล้างผิวหน้าและผิวกายได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็นได้อย่างปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ คลีนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และสารทำความสะอาดที่รุนแรง
    ควรปกป้องผิวจากรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอยของผิวด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน และไม่ควรลืมที่จะเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยการมาสก์หรือผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละครั้ง

ผิวแห้ง

ผิวแห้งเป็นผิวที่ไม่มีน้ำมีนวล แลดูไม่ชุ่มชื้น หลังจากทำความสะอาดจะรู้สึกว่าผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย และมีอาการคัน อาการแห้งของผิวมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การใช้สารเคมีบางประเภท เช่น เรตินอยด์ หรือเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • คนที่มีผิวแห้งควรมาสก์ผิวสัปดาห์ละครั้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ดื่มน้ำให้มาก ( อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ) และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องออกไปข้างนอก หรือต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆเพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมและริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
  • เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ซับผิวให้พอหมาด ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้กับผิวให้มากที่สุด ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน
  • ควรทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรธรรมชาติที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวเช่น สาร SLS,SLES นอกจากนี้สบู่สมุนไพรธรรมชาติยังมีมอยส์เจอร์ไรซ์เซอร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอีกด้วย
  • ผู้เชี่ยวชาญด้าน  แนะนำว่ามอยส์เจอไรเซอร์ที่ดีที่สามารถจัดเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้นาน ควรมีส่วนผสมของสารที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับตัวสร้างความชุ่มชื้นที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ เช่น กรดไฮยาลูโลนิก และ โซเดียม พีซีเอ นอกจากนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ให้ได้มากและยาวนานยิ่งขึ้น บริษัทเครื่องสำอางหลายแห่งได้มีการผสมสารบางตัวได้แก่ Colloidal Oatmeal เข้าไปในเครื่องสำอาง ทำให้เครื่องสำอางนั้นมีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยรักษาผิวที่แห้งให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นได้นานขึ้น

ผิวมัน

ผิวมันเป็นผิวที่มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันมากเกินไป ทำให้ผิวแลดูเป็นมันแวววาว สกปรก มีรูขุมขนกว้าง และเป็นสิวได้ง่าย แต่ข้อดีของผิวมันคือ ชุ่มชื้นอยู่เสมอ จึงไม่ค่อยเกิดริ้วรอยได้ง่ายเหมือนผิวแห้ง เนื่องจากมีลักษณะที่แตกต่างจากผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง การปฏิบัติต่อผิวมันจึงต้องมีความแตกต่างออกไปด้วย

  • หากผิวมันมาก หลังจากทำความสะอาดตามปกติ ให้เช็ดผิวด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและแอลกอฮอล์ หลาย ๆ ตำราบอกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิว แต่หากคุณเป็นคนที่มีผิวมันมาก ( ผิวยังคงมันอยู่แม้ว่าจะล้างทำความสะอาดหลายครั้งแล้วก็ตาม ) แอลกอฮอล์ กลับเป็นผลดีต่อคนผิวมัน
  • ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก หรือกรดเอเอชเอ เนื่องจากจะช่วยลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันให้น้อยลง
  • หากต้องออกไปข้างนอกหรือต้องเผชิญกับแสงแดดอย่าลืมใช้ครีมกันแดดและใช้โคลนมาส์กผิวหน้าสัปดาห์ละครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะผิวมีน้ำและน้ำมันมากเกินพอแล้ว การทามอยส์เจอร์ไรเซอร์จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมันให้แก่ใบหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ในที่สุด หากอยากใช้หรือจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
  • แต่สำหรับคนที่มีผิวมันมาก ๆ หากทำตามขั้นตอนแล้วยังพบว่าผิวยังคงมันอยู่ ให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ ซัลเฟอร์ กรดอาเซเลอิก และเรตินอยด์ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวผสม

ผิวผสมหมายถึงผิวที่มีบริเวณที่เป็นผิวแห้งและผิวมันรวมกันอยู่ โดยทั่วไปคนที่มีผิวผสมจะมีความมันบริเวณทีโซน ได้แก่ บริเวณหน้าผาก จมูก และคาง ในขณะที่ผิวบริเวณแก้มจะแห้ง ผู้ที่มีผิวผสมหลายคนอาจประสบปัญหา ผิวหนัง (Skin) อักเสบอันเนื่องมาจากการที่ผิวหนังผลิตน้ำมันมากเกินไป มีเชื้อราขึ้นบริเวณหนังศีรษะและคิ้ว ทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง รังแค และอาการดังกล่าวอาจลุกลามมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ แต่สำหรับผู้ที่มีผิวผสมทั่วไป การดูแลสภาพผิวอาจยุ่งยากหรือซับซ้อนมากกว่าคนที่มีผิวแห้ง ผิวธรรมดา หรือผิวมัน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้วิธีการดูแลผิวแห้งและผิวมันควบคู่กันไป

  • เมื่อต้องการออกไปข้างนอกหรือต้องเผชิญกับแสงแดด ให้ทาครีมกันแดดทุกครั้ง
  • ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรธรรมชาติที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวเช่น สาร SLS,SLES เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น
  • เมื่อทำความสะอาดผิวเรียบร้อยแล้ว ให้ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันในบริเวณผิวที่เเห้ง มาส์กหน้าด้วยมาส์กที่ออกแบบมาเพื่อคนผิวผสมโดยทำสัปดาห์ละครั้ง
  • เพื่อป้องกันการเกิดรังแคหรือเชื้อราบริเวณหนังศีรษะ เนื่องจากมีน้ำมันมากเกินไปให้ใช้แชมพูที่มีฤทธิ์ต่อต้านการเกิดรังแค เช่น แชมพูที่มีส่วนผสมของ Pyrithione Zinc หรือ Selenium Sulfide หรือแชมพูที่มีฤทธิ์ในการขจัดเชื้อรา เช่น Ketoconazole โดยใช้วันเว้นวันจนกว่าจะสามารถควบคุมรังแคและเชื้อราได้ หลังจากนั้นควรใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

ผิวแพ้ง่าย

เป็นผิวอีกประเภทหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ มีคนจำนวนไม่น้อยสับสนระหว่างอาการแพ้ที่เป็นปกติกับอาการแพ้ที่ผิดปกติ อาการแพ้ที่เป็นปกติคืออาการแพ้ที่เกิดจากการสัมผัสกับสารเคมี หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรด ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางหรือสารทำความสะอาดที่รุนแรง เป็นต้น อาการแพ้ดังกล่าวถือว่าเป็นอาการปกติและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ในขณะที่ผิวแพ้ง่ายคือผิวที่มีอาการแพ้ที่ผิดปกติ นอกจากจะแพ้สารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองแล้ว ผิวแพ้ง่ายยังอาจมีอาการแพ้ในสิ่งที่ไม่น่าจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ เช่น ความเย็น ความร้อน ลม เป็นต้น แต่เพื่อให้แน่ใจว่าอาการแพ้ที่เป็นอยู่มีสาเหตุมาจากสภาพผิว หรือเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองโดยไม่รู้ตัว ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ ผิวหนัง (Skin) ผู้เชี่ยวชาญ หากพบว่าอาการแพ้ที่คุณเป็นอยู่เกิดจากสภาพผิว

[adinserter name=”navtra”]

  • เมื่อต้องออกแดด ควรทาครีมกันแดดชนิดบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ เนื่องจากโทนเนอร์ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น สารทำความสะอาดที่รุนแรง แอลกอฮอล์ สารกันบูด น้ำหอม สีสังเคราะห์ เป็นต้น
  • ใช้เครื่องสำอางที่ติดทนนานให้น้อยลง และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารชะล้างที่รุนแรง
  • หากต้องแต่งหน้าควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ล้างออกได้ง่าย ๆ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์หรือน้ำแร่แทน
  • ทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง หลังจากทำความสะอาดทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดอาการอุดตันของรูขุมขนซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวได้ในที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม สาร SLS,SLES ที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

Armstrong, Wayne P. “Identification Of Major Fruit Types”. Wayne’s Word: An On-Line Textbook of Natural History. Archived from the original on November 20, 2011. Retrieved 2013-08-17.

ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการรักษาผิวให้สวยใสอ่อนกว่าวัย

0
การนวดหน้าเป็นอีกวิธีในการดูแลผิว
การนวดหน้าเป็นอีกวิธีในการดูแลผิว
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คุณเลือกดีกับผิวของคุณแล้วหรือยัง
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คุณเลือกดีกับผิวของคุณแล้วหรือยัง

ดูแลรักษาผิว

เมื่อพูดถึงเรื่องของผลิตภัณฑ์ ดูแลรักษาผิว แล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะทดลองใช้หรือปฏิบัติตามเพียงเพราะโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณว่าดีอย่างนั้นว่าดีอย่างนี้ เพราะผลที่ตามมาไม่เพียงแค่เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น แต่ผิวหน้าอาจจะเสียหายยับเยินยากเกินจะเยียวยาได้ เพราะครีมกระปุกที่คุณใช้นั้นอาจมีสารปรอทหรือสารออกฤทธิ์ที่ไม่ถูกสัดส่วนมากเกินไปจนสร้างปัญหาแก่ผิวหรือไม่ก็น้อยเกินไปจนไม่เห็นผลใด ๆ เลย ทางที่ดีที่สุดคือการทดสอบอาการแพ้ให้แน่ชัดเสียก่อน โดยตรวจสอบเอกสารกำกับหรือสอบถามรายละเอียดจากผู้ขายเสียก่อน หากคำตอบที่ได้ไม่ชัดเจนพอแนะนำว่าอย่าซื้อมาใช้เป็นดีที่สุด

การนวดหน้าเป็นประจำจะช่วยลดวัยได้จริงหรือ?

มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการนวดหน้าเป็นประจำจะช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย และแลดูอ่อนกว่าวัยได้ สถาบันเสริมความงามจำนวนมากยังหยิบยกเอาวิธีการนวดใบหน้าเพื่อความอ่อนเยาว์มาเป็นจุดขายของตนอยู่ ในขณะที่ตำราบางเล่มกลับพูดถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการนวดหน้าในสิ่งที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

ในตำราด้านความสวยความงามบางเล่มระบุไว้ว่า การนวดหน้าไม่เพียงแต่จะช่วยลบเลือนริ้วรอยหรือทำให้ใบหน้าเต่งตึงอย่างที่เข้าใจกันเท่านั้น แต่การกระตุ้นใบหน้าบ่อยครั้งจนเกินไปอย่างการนวดหน้านั้นกลับช่วยเร่งให้กล้ามเนื้อใบหน้าหย่อนคล้อยจนเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรเสียด้วยซ้ำ จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยสับสนว่าแท้จริงแล้วการนวดหน้าจะช่วย ดูแลรักษาผิว ให้ความอ่อนเยาว์หรือเป็นผลร้ายต่อความงามกันแน่

ความจริงแล้วการนวดหน้าไม่อาจ ดูแลรักษาผิว ลดริ้วรอย กระชับผิวให้เต่งตึง หรือทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนวัยได้แม้แต่น้อย ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือได้ชิ้นใดออกมาสนับสนุนความคิดที่ว่าการนวดหน้าสามารถลดวัยและกระชับใบหน้าให้เต่งตึงได้จริง

สิ่งที่การนวดหน้าสามารถทำได้คือการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ใบหน้าแลดูมีเลือดฝาดทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ในบางรายอาจรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองแลดูดีขึ้น แต่นั่นเป็นเพียงชั่วคราวและไม่อาจลบเลือนริ้วรอยให้หายไปได้แต่อย่างใด เมื่อเวลาผ่านไปใบหน้าก็จะกลับมามีสภาพดังเดิม

ในขณะเดียวกันก็มีบางตำราได้ระบุไว้ว่า การนวดหน้าอาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากในชีวิตประจำวันใบหน้าของเราถูกใช้ในการแสดงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น การยิ้ม ขมวดคิ้ว หัวเราะ ยิงฟัน และอื่น ๆ อีกมากมาย หากยิ่งไปกระตุ้นเพิ่มอีกก็จะยิ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าและพัฒนาไปสู่การหย่อนคล้อยได้ในที่สุด

ครีมบำรุงผิวที่ทำจากสารสกัดจากธรรมชาติจะดีต่อผิวมากกว่า

ไม่เป็นความจริงเสมอไปในปัจจุบันกระแสของการรักษาสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยม ผู้ผลิตสินค้าจึงพยายามหาจุดขายของตัวเองด้วยการนำสินค้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติเพื่อหวังผลทางยอดขายไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยา รักษาโรค หรือแม้แต่เครื่องสำอาง

เพื่อเป็นการตอบรับกระแสความคลั่งไคล้ธรรมชาติของผู้บริโภค ผู้ผลิตเครื่องสำอางจำนวนมากพยายามนำส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติใส่เข้าไปไว้ในเครื่องสำอางเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ในขณะที่ส่วนผสมอื่น ๆ ก็ยังเป็นสารสังเคราะห์หรือสารที่เป็นอันตรายแอบแฝงอยู่เช่นเดิม ดังนั้น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเครื่องสำอางชนิดนั้น ๆ เป็นเครื่องสำอางที่มาจากธรรมชาติ 100% หรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเครื่องสำอางที่ทำมาจากธรรมชาติ 100% ก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องสำอางดังกล่าวจะใช้ได้ผลดีกว่าเครื่องสำอางที่ได้จากสารสังเคราะห์เสมอไป สารสกัดจากธรรมชาติบางตัวไม่มีคุณภาพหรือใช้ไม่ได้ผล ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่สำคัญว่าเครื่องสำอางนั้นจะทำมาจากสารสังเคราะห์หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เครื่องสำอางที่ดีจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด หลักสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องสำอางคือ หากใช้แล้วรู้สึกดีหรือเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนแน่นอน เครื่องสำอางนั้นก็เหมาะกับคุณ

ครีมบำรุงผิวราคาแพงย่อมใช้ได้ผลดีกว่าครีมราคาถูก

เพื่อที่จะมีสภาพผิวที่ดีขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยยอมเสียเงินเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือนเพื่อซื้อเครื่องสำอางราคาแพงมาประทินผิว เพราะคิดว่าเครื่องสำอางราคาแพงจะมีประสิทธิภาพในการ ดูแลรักษาผิว ที่ดีและสามารถรักษาปัญหาผิวที่เป็นอยู่อย่างได้ผล จนทำให้ใครหลายคนต่างเรียกร้องที่จะซื้อเครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุดมาใช้อย่างไร้เหตุผล

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่แม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางที่มีราคาไม่แพงมากแต่กลับได้ผลดี กว่าผู้ที่ใช้เครื่องสำอางราคาแพงอย่างน่าตกใจ บางคนกลับไม่เห็นประสิทธิภาพของเครื่องสำอางนั้นอย่างชัดเจน ส่งผลให้คนจำนวนมากต่างสงสัยว่าแท้จริงแล้วเครื่องสำอางราคาแพงที่ใช้อยู่นั้นให้ผลดีจริงอย่างที่โฆษณาไว้หรือไม่

อาจจะจริงเป็นบางส่วน เพราะเครื่องสำอางที่ดีย่อมใช้ส่วนผสมที่ดี ซึ่งนั่นทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องสำอางบางยี่ห้อที่มีราคาแพงมากจนน่าใจหาย อาจเป็นเพราะต้นทุนในการผลิตส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังต้องทุ่มทุนให้กับค่าโฆษณาส่วนหนึ่ง จนทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ในขณะที่ประสิทธิภาพของเครื่องสำอางกลับไม่แตกต่างหรือดีกว่ายี่ห้ออื่นที่มีราคาใกล้เคียงแต่อย่างใด

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ไม่สำคัญว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ราคาถูกหรือแพงแต่สำคัญอยู่ที่วิธีใช้ผลิตภัณฑ์มากกว่า หากใช้ถูกต้องตามวิธีก็จะได้ประโยชน์ในทางกลับกัน แม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุดในท้องตลาดแต่ถ้าใช้ผิดวิธี แทนที่จะได้รับประโยชน์จากเครื่องสำอางนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอาจเป็นการสูญเสียเงินไปโดยใช่เหตุและอาจได้ผลเสียแถมมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย

การที่เครื่องสำอางชนิดใดชนิดหนึ่ง จะใช้ได้ผลดีหรือไม่นั้นมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวเครื่องสำอางเองที่ต้องทำมาจากส่วนผสมที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพในการ ดูแลรักษาผิว ที่ดีเยี่ยม นอกจากวิธีการใช้เครื่องสำอางที่ถูกต้องแล้ว ลักษณะของผิวพรรณของตัวผู้ใช้เองก็มีความสำคัญด้วย เนื่องจากลักษณะของผิวพรรณและปัญหาผิวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ผู้ชายคนหนึ่งอาจรู้สึกได้ผลดีเมื่อใช้เครื่องสำอางชนิดหนึ่ง ในขณะที่ผู้ใช้คนอื่นอาจไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเลยก็เป็นได้   

ผลิตภัณฑ์สามารถให้ผลดีได้ ถ้าไม่รู้จักใช้ให้พอเหมาะพอดีไม่มากหรือน้อยเกิดไป และการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้ถูกวิธีก็มีผลต่อการออกฤทธิ์ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องราคาแพงหรือสกัดจากธรรมชาติ

ครีมหน้าขาวใช้ได้ผลจริงหรือแค่โฆษณาชวนเชื่อ

ด้วยค่านิยมของคนในสังคมที่ชื่นชอบการมีผิวขาวใสอมชมพู ทำให้บริษัทเครื่องสำอางต่างคิดค้นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีฤทธิ์ในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นหรือที่รู้จักกันในชื่อว่าครีมหน้าขาวออกมาเอาใจผู้บริโภคกันอย่างมากมาย ครีมหน้าขาวแต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน และมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันด้วย บ้างก็ใช้ได้ผลดีบ้างก็ใช้ไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของครีมหน้าขาวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับส่วนประกอบที่มีอยู่ในครีมนั้น ๆ

ครีมหน้าขาวที่มีประสิทธิภาพจะประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความเข้มข้นที่มากพอจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปแล้วครีมหน้าขาวที่มีราคาแพงจะมีสารออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้นในปริมาณที่เข้มข้นมากพอ จะมีประสิทธิภาพในการปรับสีผิวมากกว่า ในขณะที่ครีมราคาถูกอาจมีสารออกฤทธิ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่มีความเข้มข้นมากพอ จนทำให้บางยี่ห้อใช้แล้วไม่ได้ผล

ครีมหน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งส่วนใหญ่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำหน้าที่ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยจะเริ่มทำงานตั้งแต่การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสี ทำลายเอนไซม์การสร้างเม็ดสีและยับยั้งการกระจายตัวของเม็ดสีไม่ให้กระจายตัวไปตามเซลล์ผิว นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำให้หลุดลอกออกไปอย่างรวดเร็ว

ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าการใช้ครีมหน้าขาวที่ดีและปลอดภัย ครีมจะต้องมีประสิทธิภาพในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต้องไม่เปลี่ยนสีผิวจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือเปลี่ยนเป็นคนละโทนสี นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมหน้าขาวที่ทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดธรรมชาติ เพราะครีมดังกล่าวอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตราย ซึ่งได้แก่ สารไฮโดรควิโนนหรือสเตียรอยด์ ถึงแม้ว่าครีมหน้าขาวหลายชนิดใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังมีครีมบางยี่ห้อหลอกลวงผู้บริโภคด้วยการเติมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ในการเคลือบผิวภายนอกเอาไว้ เช่น สารไทเทเนียมออกไซด์ แต่ไม่ได้ออกฤทธิ์ในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นแต่อย่างใด ผิวจะแลดูขาวขึ้นเมื่ออยู่กลางแดด แต่จะกลับมาคล้ำเหมือนเดิมเมื่ออาบน้ำหรือล้างออก

แต่เพื่อผิวพรรณที่ขาวใสขึ้น นอกจากการเลือกใช้ครีมหน้าขาวที่มีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพและมีความเข้มข้นมากพอแล้ว ควรเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิตบางอย่างควบคู่ไปด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม เช่น การหลีกเลี่ยงแดดซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการหมองคล้ำและหยาบกร้านของผิว ควรดื่มน้ำสะอาดให้มาก กินอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม ผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น

การดูแลผิวหลายขั้นตอนจะช่วยทำให้ผิวดีจริงหรือไม่

เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ปัจจุบันมีบริษัทผลิตเครื่องสำอางมากมายออกมาโฆษณาสินค้าของตัวเองที่ผลิตออกมาเป็นชุด ๆ มีชุดเล็กบ้าง ชุดใหญ่บ้าง บางชุดประกอบด้วยผลิตภัณฑ์มากกว่า 5 ชิ้นขึ้นไป เป็นต้นว่า สบู่โทนเนอร์ทำความสะอาดผิว โลชั่นกระชับผิว มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมบำรุง และอีกสารพัดครีม โดยอ้างว่าหากดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ของตนทุกขั้นตอนนี้จะทำให้ผิวสวย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณกลับออกมาเตือนถึงโทษที่เกิดจากการดูแลผิวหลายขั้นตอนว่า
การดูแลผิวที่มากเกินความจำเป็นนอกจากจะไม่ช่วย ดูแลรักษาผิว ให้ดูดีแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวพรรณได้โดยไม่รู้ตัว การทำความสะอาด หรือการดูแลผิวที่มากเกินไปจะทำให้เซลล์ผิวได้รับความเสียหาย ระคายเคืองและอาจนำไปสู่อาการแพ้ในที่สุด

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผลิตจากบริษัทเครื่องสำอางจะใช้ได้ผลดีกว่าเครื่องสำอางที่ทำขึ้นใช้เอง

ไม่แน่เสมอไป ซึ่งอาจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา หากจะเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงที่บริษัทผู้ผลิตกล่าวอ้างสรรพคุณอย่างมากมายต้องจ่ายเงินนับหมื่นบาทในแต่ละเดือน แต่อาจจะเป็นสิ่งที่แสนธรรมดายิ่งกว่าหากค้นพบว่าคุณสามารถมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งเต่งตึงและแลดูอ่อนกว่าวัยได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผสมขึ้นเองจากที่บ้าน ในขณะเดียวกันก็สามารถประหยัดเงินได้มากเมื่อเทียบกับราคาเครื่องสำอางตามเคาน์เตอร์ที่ซื้อมา การทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใช้เองที่บ้านฟังดูอาจเป็นเรื่องยุ่งยากและดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้สักหน่อย แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายหากรู้ส่วนประกอบและวิธีทำที่ถูกต้อง

เวชภัณฑ์บำรุงผิวที่ทำขึ้นเองจะมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวได้ดีกว่าเครื่องสำอางที่บริษัททำขึ้น เนื่องจากสามารถกำหนดความเข้มข้นของส่วนผสมที่เหมาะกับสภาพผิวได้ด้วยตัวเองตามความต้องการ เนื่องจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่วางขายตามท้องตลาดจำนวนมากที่แอบอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวที่ดีเยี่ยมกลับไม่มีส่วนผสมที่ช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอย หากมีก็มีความเข้มข้นที่น้อยเกินไปจนทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นตามที่โฆษณาไว้ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถตัดสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวที่เครื่องสำอางทั่วไปมีออกไปได้ เช่น หัวน้ำหอม สีสังเคราะห์ หรือสารกันบูด เนื่องจากสามารถปรุงได้เองที่บ้าน ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงมีความใหม่สดอยู่เสมอ ทำให้ส่วนผสมต่าง ๆในครีมมีประสิทธิภาพสูงสุดในการบำรุงผิว ในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมายเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อดังที่ต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลส่วนหนึ่งไปกับค่าหีบห่อที่หรูหราและค่าโฆษณา

เหตุผลสุดท้ายที่ทำให้เครื่องสำอางที่บ้านดีกว่าเครื่องสำอางตามเคาน์เตอร์นั่นก็คือ เครื่องสำอางจะใหม่สดอยู่เสมอ มีการพบว่าสารเคมีที่ไม่ว่าจะได้มาจากธรรมชาติหรือจากการสังเคราะห์จะเสื่อมสลายเมื่อเวลาผ่านไป และสารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับน้ำ อากาศ หรือแม้แต่ทำปฏิกิริยากันเองระหว่างส่วนผสมด้วยกัน เมื่อสารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอางเหล่านั้นเสื่อมคุณภาพลง นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วยังอาจส่งผลร้ายต่อผิวได้หากนำมาใช้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เครื่องสำอางที่ขายอยู่ตามเคาน์เตอร์หรือตามร้านค้าทั่วไปจะมีการผลิตออกมาแล้วหลายปี หรืออย่างเร็วที่สุดก็หลายเดือน ซึ่งในระหว่างที่เครื่องสำอางดังกล่าวถูกผลิตขึ้น ถูกเก็บไว้ในสต๊อกโรงงาน เดินทางไปที่ร้านค้าและถูกเก็บไว้บนเชลฟ์ ยังไม่รวมถึงช่วงเวลาที่คุณเก็บมันไว้ในตู้เย็นหรือหน้ากระจกอีกนานร่วมเดือนกว่าจะใช้หมด ส่วนผสมที่มีประโยชน์บางอย่างอาจเสื่อมสลายไปเรียบร้อยแล้วก็ได้และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ เมื่อคุณเปิดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นแล้ว กระบวนการเสื่อมสลายของสินค้าจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมันต้องสัมผัสกับ อากาศ น้ำรวมไปจนถึงได้รับเชื้อโรคที่ติดมากับนิ้วมือของคุณหากไม่ระมัดระวังให้ดี

ในทางตรงกันข้าม เครื่องสำอางที่ทำขึ้นเองสามารถกะปริมาณที่จะใช้ให้หมดในแต่ละครั้งด้วยตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจลงมือผสม ยังผลให้สามารถใช้ได้หมดในแต่ละครั้งโดยไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้นาน ทำให้ผิวได้รับประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในเครื่องสำอางอย่างเต็มที่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

5 ขั้นตอนสู่ความงามสำหรับผิวพรรณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

0
5 ขั้นตอนสู่ความงามสำหรับผิวพรรณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
การทำความสะอาดผิวด้วยวิธีง่ายๆไม่ยุ่งยากและเห็นผล
5 ขั้นตอนสู่ความงามสำหรับผิวพรรณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
ขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดผิวด้วยตนเองตามผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

การดูแลผิวพรรณ

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ Simple is the best ” ขั้นตอน การดูแลผิวพรรณ ที่ดีจะต้องไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นานและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม ( เพราะอย่างน้อยเราทุกคนคงไม่พอใจนักหากต้องเสียเวลานานนับชั่วโมงในการดูแลผิวหน้า ในช่วงตอนเช้าที่เร่งรีบ ) ด้วยขั้นตอนที่ง่ายและใช้เวลาเพียงน้อยนิดในแต่ละวัน คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะปรนนิบัติผิวอย่างสม่ำเสมอและได้ผลลัพธ์ในการดูแลผิวที่ดีเยี่ยม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโดยทั่วไปแล้วการดูแลผิววันละ 2 ครั้ง ถือเป็นการเหมาะสมที่สุด ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ในขณะที่การดูแลผิวที่มากจนเกินความจำเป็น เช่น การล้างหน้ามากเกินไปหรือการขัดหน้าบ่อยครั้ง อาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขั้นตอนการดูแลผิวพรรณที่ดี

บันไดขั้นที่ 1 การทำความสะอาด

โดยทั่วไปแล้ว การทำความสะอาด มีจุดประสงค์เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกจำพวกเหงื่อไคล ฝุ่นละออง เครื่องสำอางและสารเคมีออกจากผิว นอกจากนี้การทำความสะอาดยังมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผิวอีกด้วย

สำหรับการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือสารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ผิวที่สะอาดจะดูดซึมสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ดีกว่าผิวที่สกปรก เต็มไปด้วยเหงื่อไคล เครื่องสำอาง หรือสารเคมีที่เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาด ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อผิวพรรณเพียงอย่างเดียว การทำความสะอาดที่มากเกินไปหรือการทำความสะอาดผิวที่ผิดวิธีนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อผิวแล้ว ยังอาจเป็นสาเหตุของความเสียหายและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณได้อีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณแนะนำว่าในวันหนึ่ง ๆ เราควรทำความสะอาดผิววันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและก่อนเข้านอนด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์ ( ยกเว้นคนที่มีผิวมันมาก ๆ )และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวเช่น สาร SLS,SLES ผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดผิว ที่ดีต้องเหมาะสมกับสภาพผิวและมีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะคอยเก็บรักษาน้ำไว้ในผิว

ขั้นตอนการทำความสะอาดผิวที่ถูกวิธีควรเริ่มจาก
1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยนต่อผิวและไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวเช่น สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติ
2. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางของมือทั้งสองข้างถูผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ ประมาณ 30 วินาที
3. ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอย่างเบามือหลาย ๆ ครั้ง เพื่อขจัดสาร ทำความสะอาดผิว ให้หมดจด หลีกเลี่ยงการใช้มือถู บีบ หรือขยี้หน้าอย่างแรง หลีกเลี่ยงการใช้น้ำฉีดเข้าใบหน้าตรง ๆ
4. ซับหน้าด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ แค่พอหมาด หลีกเลี่ยงการถูหน้าจนแห้งสนิทเกินไป หรือถูหน้าอย่างรุนแรง
5. ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ทั่วใบหน้า เพื่อให้มอยเจอร์ไรเซอร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นเซลล์ผิวโดยใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดวนเป็นวงกลมอย่างเบามือให้ทั่วใบหน้า
6. ปิดท้ายด้วยการตบใบหน้าเบาๆ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะซึมซาบเข้าสู่ผิวหน้าได้ดียิ่งขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพผิวที่ดี นอกจากจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว การรักษาความสะอาดผิวพรรณก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ควรหมั่นรักษาความสะอาดของผิวอย่างสม่ำเสมอ เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว ไม่มีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายเช่น น้ำหอมแอลกอฮอล์ ( ยกเว้นในรายที่มีผิวมันมาก ๆ )และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวเช่น สาร SLS,SLES การทำความสะอาดผิว ที่ถูกต้องและเหมาะสม ผิวของคุณไม่เพียงจะสะอาดเท่านั้น แต่ยังคงความแข็งแรงและมีสภาพเตรียมพร้อมให้สารบำรุงจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ทาลงไปเพื่อเข้าไปบำรุงผิวที่อยู่ในชั้นลึกอย่างเต็มที่

ผิวมัน
หมายถึงผิวจะมีความมันส่วนเกิน การล้างหน้าที่บ่อยเกินไปนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้ผิวยิ่งมันวาวมากกว่าเดิมจนเกิดเป็นสิวอุดตันตามมา รวมถึงอาจเกิดอาการแห้ง แพ้ ระคายเคืองอันเนื่องมาจากการขัดถู หรือการสัมผัสกับสารเคมีรุนแรงที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดผิว บ่อยครั้งก็เป็นได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าในแต่ละวันผู้ที่มีผิวมันควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ได้แก่ เช้าและก่อนนอน และหากเป็นไปได้ให้ใช้น้ำสะอาดก็พอ

วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดความมันและสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนใบหน้าให้หลุดออกไปแล้ว ยังไม่เป็นการรบกวนผิวหรือกระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคืองอีกด้วย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวเช่น สาร SLS,SLES

ผิวผสม
ผิวผสมจะมีความมันบริเวณทีโซนมากกว่าปกติ เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผิวพรรณชนิดนี้มากเป็นพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณกลับมีความเห็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยแนะนำว่าในขณะล้างหน้าควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูผิวบริเวณทีโซนที่มากจนเกินไป ควรล้างหน้าอย่างเบามือ เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากสารเคมีที่เป็นพิษ น้ำหอม แอลกอฮอล์ สาร SLS,SLES ที่อาจทำให้ผิวหน้าระคายเคือง แพ้และแห้งกร้านได้ หากพบว่าบริเวณทีโซนยังคงมีความมันหลงเหลืออยู่หลังจากการล้างน้ำ ให้ใช้โทนเนอร์เช็ดวันเว้นวัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยทำความสะอาดคราบมันและสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าได้ดีแล้ว ยังคงความชุ่มชื้นของผิวพรรณเอาไว้อีกด้วย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ไม่หยาบกร้าน หรือระคายเคือง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวแห้งและผิวบอบบาง
เป็นผิวที่ต่อมไขมันมีการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวน้อยและมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความชุ่มชื้นและเกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ วิธี ทำความสะอาดผิว ที่ดีที่สุดสำหรับผิวทั้งสองประเภทนี้ต้องเน้นที่ความอ่อนโยนให้มาก เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มี น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ เช่น สาร SLS,SLES ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารถนอมผิว หรือครีมที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ล้างออกได้ง่ายด้วยน้ำเปล่า เพื่อลดการสัมผัสขัดหรือถูใบหน้าที่มากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่อาการระคายเคืองได้ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเย็นจัดหรือร้อนจัดเกินไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอบไอน้ำหรือการอบซาวน่าที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวได้รับความเสียหาย รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการขัดหรือถูผิว เช่น ฟองน้ำ หรือผ้า เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง ช้ำและติดเชื้อได้ง่าย

บันไดขั้นที่ 2 การใช้โทนเนอร์

มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการใช้โทนเนอร์เป็นหนึ่งในขั้นตอนการดูแลผิวที่ขาดไม่ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมีความคิดเห็นตรงกันข้าม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าโทนเนอร์ไม่มีความจำเป็นต่อการรักษาผิวพรรณ อย่างน้อยก็ไม่เสมอไป Toner เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันมาก เนื่องจากหลังจากการ ทำความสะอาดผิว ตามปกติ บ่อยครั้งที่คนผิวมันมากจะพบว่าผิวยังคงมีความมันหลงเหลืออยู่และการใช้โทนเนอร์สามารถขจัดความมันดังกล่าวได้อย่างหมดจด แต่สำหรับคนที่มีผิวประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่าย การใช้โทนเนอร์อาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ก็เป็นได้

โทนเนอร์ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือวิตซ์เฮเซล ( Witch Hazel ) ซึ่งมีคุณสมบัติในการขจัดความมันส่วนเกิน ที่อาจทำให้ผิวแห้งและมีอาการระคายเคืองได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้โทนเนอร์เช็ดผิวหลังจาก ทำความสะอาดผิว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ให้เลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของคาโมไมล์ ซึ่งจะทำให้ผิวนุ่มนวล ชุ่มชื้นและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้จะดีกว่า

แม้ว่าโทนเนอร์จะมีประสิทธิภาพในการขจัดความมันส่วนเกินได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็ยังมีการถกเถียงถึงประโยชน์ที่แท้จริงที่มีต่อผิวพรรณ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าโทนเนอร์มีฤทธิ์ในการช่วยปิดรูขุมขนทำให้รูขุมขนกระชับยิ่งขึ้นหลังจากทำความสะอาด ซึ่งนั่นจะเป็นการลดความเสี่ยงในการแทรกซึมเข้าสู่ผิวของเชื้อโรคและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ส่วนผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ กลับคิดว่า หากโทนเนอร์มีประสิทธิภาพเช่นนั้นจริง คนส่วนใหญ่นิยมทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนต่างต้องการให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวให้มากที่สุดเพื่อการบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพ แต่การใช้โทนเนอร์ก่อนการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวจะเป็นการปิดรูขุมขน ทำให้สารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวไม่อาจซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

จึงหมายความว่าการใช้โทนเนอร์ก่อนทาครีมจะทำให้ผิวไม่ได้รับการบำรุงจากสารที่ออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ นั่นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการของทุกคน นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกว่า เพื่อการมีสุขภาพผิวที่ดีสิ่งที่ต้องทำก็แค่ ทำความสะอาดผิว ตามปกติเวลาชะล้างสิ่งสกปรกคราบไคล รวมไปจนถึงเครื่องสำอางออกเท่านั้น ไม่ควรใช้โทนเนอร์เช็ดไขมันออกไปจนหมด เนื่องจากการขจัดน้ำมันบนผิวหน้าออกไปจะส่งผลให้ผิวแห้งจนเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การระคายเคืองและแพ้ง่ายในเวลาต่อมา ในขณะที่การปล่อยให้ใบหน้ามีน้ำมันเคลือบอยู่สักเล็กน้อยกลับส่งผลดีต่อผิวมากกว่า

เนื่องจากประสิทธิภาพของโทนเนอร์ยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัด การปล่อยให้ใบหน้ามีน้ำมันธรรมชาติเคลือบเพียงบาง ๆอาจส่งผลดีต่อสุขภาพผิว และใช่ว่าทุกคนจะเหมาะไปเสียหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย ดังนั้น จึงมีผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่าหากต้องการกระชับใบหน้าและรูขุมขนเอาไว้โดยปราศจากการใช้โทนเนอร์ หลังจากที่ทาครีมบำรุงผิวแล้วให้รอจนกระทั่งครีมบำรุงซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด ( วิธีนี้จะช่วยให้ผิวของคุณได้รับสารที่มีประโยชน์จากครีมบำรุงอย่างเต็มที่ ) แล้วจบลงด้วยการใช้ถุงน้ำแข็งประคบผิวเป็นเวลา 2-3 นาที แทน สำหรับผู้ที่มีตู้เย็นที่มีช่องแช่แข็งขนาดใหญ่และสะอาดมากพอ การอังใบหน้าด้วยไอเย็นจากช่องแช่แข็งดังกล่าวเป็นเวลา 5 นาที ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดและรูขุมขนหดตัว ทำให้ใบหน้าและรูขุมขนกระชับนั่นเอง

ในกรณีที่ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว หลังจากที่ล้าง ทำความสะอาดผิว ใบหน้าตามปกติเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ใบชาเขียวแช่แข็งเช็ดใบหน้าอย่างเบามือ ความเย็นจากใบชานอกจากจะช่วยปิดรูขุมขนทำให้รูขุมขนกระชับแล้ว สารกาเฟอีนและสารแทน นินที่อยู่ในใบชายังมีสรรพคุณช่วยลดอาการตาบวม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาก่อนวัยอันควร และช่วยกระชับใบหน้า ทำให้ใบหน้าของคุณกระชับแลดูอ่อนกว่าวัย นอกจากนี้สารโพลีฟีนอลที่อยู่ในใบชาเขียวยังมีฤทธิ์เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมอีกด้วย การใช้ใบชาเขียวเช็ดหน้าหลังจากทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ใบหน้าเต่งตึง ไร้ริ้วรอย แลดูอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น

บันไดขั้นที่ 3 การใช้มอยส์เจอไรเซอร์

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ และมอยเจอร์ไรเซอร์ก็มิใช่สิ่งที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพผิวที่ดีเสมอไป นอกจากนี้การทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ผิดวิธี รวมไปถึงการเลือกมอยส์เจอไรเซอร์โดยปราศจากการพิจารณาให้ดีอาจส่งผลเสียต่อผิวพรรณมากกว่าที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ มอยส์เจอร์ไรเซอร์เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวผสม ( บริเวณแก้มทั้งสองข้างซึ่งเป็นผิวแห้ง ) แต่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่มีผิวมันและผิวธรรมดา เนื่องจากผิวมันจะมีการผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณที่มากเกินพอ การทามอยส์เจอไรเซอร์ลงไปอีกอาจก่อให้เกิดโทษได้
ผิวธรรมดาจะมีการผลิตน้ำมันและสารที่ทำให้ผิวอ่อนนุ่ม รวมไปจนถึงสารที่ดึงดูดความชื้นออกมาเคลือบผิวในปริมาณที่เพียงพอ เว้นเสียแต่ในกรณีที่อากาศแห้งมาก หรือผิวสัมผัสกับน้ำมากจนเกิดอาการแห้งตึง คนที่มีผิวแห้งจึงควรทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำมัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว ทำให้ผิวทำหน้าที่เป็นปกติ ลดอาการระคายเคือง หรืออาการแพ้ ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ในขณะที่การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ผิดประเภทหรือมากเกินไป อาจทำให้ผิวมีความมันมากขึ้น จนนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน สิว ผิวหนังอักเสบ และปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ แต่ก็ช่วยได้เพียงแค่รักษาความชุ่มชื้นของผิวพรรณเท่านั้น มันไม่อาจช่วยในการป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือสัญญาณแห่งความเสื่อมโทรมของผิวได้แต่อย่างใด เพื่อแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมดังกล่าว คุณจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสรรพคุณในการรักษาโดยเฉพาะ

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงผิวส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นรวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ผิวชุ่มชื้น เนียนนุ่มน่าสัมผัสมากขึ้น คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวได้เลยทันทีโดยไม่ต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ร่วมด้วย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ปริมาณของสารให้ความชุ่มชื้นที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ก่อนแล้วตามด้วยครีมบำรุงผิว เนื่องจาก Moisturizer จะเข้าไปขัดขวางการซึมซาบของสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิว ทำให้ผิวได้รับประโยชน์จากสารที่มีประโยชน์น้อยลง

เพื่อให้ได้ประโยชน์จากส่วนผสมในครีมบำรุงผิวมากที่สุดและมีผิวพรรณที่ชุ่มชื้นพอเหมาะ หลังจากที่คุณ ทำความสะอาดผิว เรียบร้อยแล้วให้ซับผิวด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ พอหมาด ผิวที่สะอาดนุ่มและมีความชื้นจะซึมซาบสารที่มีประโยชน์จากครีมบำรุงได้ดีกว่า ให้ทาครีมบำรุงผิวลงไป ทิ้งไว้สักครู่ รอให้สารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด แล้วจึงค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ลงไปอย่างเบามือ

บันไดขั้นที่ 4 การใช้ครีมกันแดด

คนส่วนใหญ่เข้าใจกันเป็นอย่างดีว่าแสงแดดเป็นตัวทำร้ายผิวพรรณตัวฉกาจ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนยังไม่เข้าใจก็คือ ครีมกันแดดส่วนใหญ่ไม่อาจปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอยได้ การหลบแดดเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าหากคุณปรารถนาที่จะคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณเอาไว้ให้ได้นาน ๆ การหลบแดดคือทางออกทางหนึ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยได้แม้ว่าจะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม

รังสียูวีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ UVA (400 นาโนมิเตอร์) UVB ( 320 นาโนมิเตอร์ ) UVC ( 100 นาโนมิเตอร์ ) แต่รังสียูวีที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ UVA และ UVB เนื่องจากรังสีเหล่านี้สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลก และสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ผิวพรรณได้ ในขณะที่ UVC จะถูกชั้นโอโซนดูดซับเอาไว้จนไม่สามารถทะลุผ่านมายังพื้นโลกได้ ดังนั้น เราจะยังคงปลอดภัยจากรังสีดังกล่าวตราบใดที่เรายังไม่ทำลายชั้นโอโซนที่มีประโยชน์นี้ให้หมดไปเสียก่อน รังสี UVA จะมีความสามารถในการแทรกซึมลงไปถึงชั้นหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งเป็นชั้นที่ก่อให้เกิดริ้วรอยอย่างถาวรได้ ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ในขณะที่รังสี UVB แม้ว่าจะไม่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นในได้ เพราะจะถูกผิวหนังชั้นนอกดูดซับเอาไว้แต่ก็สามารถทำให้ผิวไหม้เกรียมได้ รังสียูวีทั้ง 2 ชนิดนี้ ต่างมีความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เท่าๆ กัน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ครีมกันแดดที่ดีจะต้องช่วยปกป้องผิวสวยของคุณจากรังสียูวีเอ ( UVA ) และยูวีบี ( UVB ) และป้องกันผิวไม่ให้ถูกแดดแผดเผาจนไหม้เกรียม ป้องกันการเกิดริ้วรอยและมะเร็งผิวหนัง เพื่อให้ได้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการเลือกซื้อคือดูที่ค่า SPF ( Sun Protection Factor ) ของครีมกันแดด ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงระดับในการป้องกันแสงแดดของครีมกันแดดนั้น

อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกกลางแจ้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นจากการทำลายของแสงแดดแต่อย่างใด ค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไปจะช่วยป้องกันผิวของคุณจากรังสี UVB ทำให้ผิวไม่มีรอยไหม้เมื่อต้องอยู่กลางแดดได้ในระยะหนึ่ง แต่ไม่ได้ป้องกันจากรังสี UVA ได้ ดังนั้นในการเลือกซื้อครีมกันแดด นอกจากจะดูที่ค่า SPF แล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูจำนวนเปอร์เซ็นต์ของรังสียูวีที่ครีมกันแดดสามารถป้องกันได้ ควรให้ตัวเลขแรกมากกว่าร้อยละ 90 ขึ้นไป

สารเคมีที่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสียูวีที่ผสมอยู่ในครีมกันแดดจะมีลักษณะเป็นผงละเอียด ได้แก่ ซิงค์ออกไซด์ ( Zinc Oxide ) และไทเทเนียมออกไซด์ ( Titanium Oxide ) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบี อย่างไรก็ตามในขณะนี้ได้มีการพัฒนาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีอันตรายที่มาพร้อมกับแสงแดดขึ้นมาใหม่ ได้แก่ Mexoryl และ Avobenzone หรือที่รู้จักกันในชื่อพาร์ซัล 1789 ( Parsol 1789 )  หรือ Methoxydibenzoylmethane ทั้งสองเป็นสารตัวใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในยุโรปมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสียูวีที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพยายาม ในการพัฒนาสารป้องกันแสงแดดที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสีอันตรายอย่างแพร่หลาย แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับออกมายอมรับว่าในขณะนี้ยังไม่มีครีมกันแดดตัวใดที่มีคุณสมบัติดีพอในการป้องกันรังสียูวี

มีการพบว่าครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นน้ำใส จะมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเสื่อมคุณภาพได้ง่าย และจะหมดฤทธิ์ได้เร็วเมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นาน ในขณะที่ครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นครีมข้นแม้ว่าจะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้น้อยกว่าและอยู่ได้นานกว่า แต่มันกลับทำให้ผิวแลดูสกปรก ด้าน มัน รูขุมขนอุดตัน และหลุดลอกได้ง่ายเนื่องจากไม่ซึมเข้าสู่ผิว จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการพัฒนาครีมกันแดดที่อยู่ในรูปของซิงค์ออกไซด์ให้มีลักษณะโปร่งแสง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Z-Cote ซึ่งทางผู้ผลิตอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบีได้อย่างดีเยี่ยมที่สุด ในขณะที่ออกฤทธิ์ได้นานกว่าและโปร่งแสงกว่า [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขั้นตอนการดูแลผิวพรรณที่ดีต้องไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน มีขั้นตอนไม่ยาก ใช้เวลาน้อย และให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม

ข้อจำกัดของครีมกันแดด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในการผลิตครีมกันแดดจะก้าวไกลไปสักเท่าไร และไม่ว่าครีมกันแดดนั้นจะมีความสามารถในการป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ดีสักเท่าไร ครีมกันแดดก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่บ้างดังนี้

ประการที่ 1 รังสียูวีเอสามารถทะลุทะลวงผ่านทุกสิ่งทุกอย่างได้ โดยมีการพบว่าถึงแม้จะสวมหมวก หรือหลบอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา แสงแดดที่สะท้อนเข้ามาในร่มหรือในห้องจะยังคงมีรังสียูวีหลงเหลือมากถึง 1 ใน 3 ของรังสีทั้งหมด นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะทาครีมกันแดดมาสักเท่าไร รังสียูวีเอ ที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยเหี่ยวย่นก็ยังคงมีโอกาสเล็ดลอดเข้าไปทำลายผิวชั้นในให้ได้รับความเสียหายได้อยู่วันยังค่ำ

ประการที่ 2 ก็คือ ครีมกันแดดส่วนใหญ่จะหลุดลอกออกไปได้ง่ายเมื่อโดนเหงื่อ ดังนั้น จึงเป็นการง่ายที่จะเผลอไปเช็ด หรือซับครีมกันแดดเหล่านั้นออกไปจนหมด ระหว่างที่อยู่กลางแจ้งแดดร้อนอบอ้าว ส่งผลให้ผิวของคุณเปลือยเปล่าไม่มีเกราะป้องกัน

ประการที่ 3 ก็คือ เนื่องจากฤทธิ์ของครีมกันแดดจะอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จึงไม่อาจปกป้องผิวได้ตลอดไป ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จึงจำเป็นต้องทาซ้ำอีกเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังต้องการการปกป้องจากครีมกันแดดอยู่ ด้วยความเร่งรีบและความไม่สะดวกต่าง ๆ จึงมีแนวโน้มที่จะหลงลืมหรือละเลยการทาครีมกันแดดซ้ำอีกครั้ง

เมื่อการปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความอ่อนเยาว์และการมีสุขภาพโดยรวมที่ดี และครีมกันแดดยังคงมีข้อจำกัดมากมาย การปกป้องผิวสวยด้วยอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น หมวกปีกกว้าง ร่มกันรังสียูวี แว่นตากันแดด หรือแม้แต่เสื้อผ้าแขน-ขายาวก็ยังคงเป็นทางเลือกสู่ผิวสวยที่คุณไม่ควรละเลย เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งนอกจากจะทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมแล้ว เราควรป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง กางร่ม หรือ 2 แว่นกันแดดเสมอ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการหลบเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุดจะเป็นวิธีรักษาผิวที่ดีที่สุดในขณะนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ออกมากล่าวถึงผลเสียของการหลบแดดมากเกินไป ว่าการได้รับแสงแดดที่น้อยเกินไปจะไปรบกวนวัฎจักรของการหลับและการตื่นของร่างกาย มีผลกระทบต่อการผลิตสารเคมีบางตัวของสมอง เช่น เซโรโทนิน และเมลาโทนิน ซึ่งจะนำไปสู่การมีจิตใจหดหู่ และนอนไม่หลับ นอกจากนี้ การไม่ได้รับแสงแดด ยังส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตวิตามินดีของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะขาดวิตามินดีที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะกระดูกพรุนและภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้อีกด้วย

ตารางค่า SPF ที่เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่างๆ

กิจกรรม  ค่า SPF ที่ขอแนะนำ
ทำสวนหลังบ้าน 25
ทำงานในห้องทำงาน 15
เดินทางท่องเที่ยว 20
เดินริมถนนในตอนกลางวัน 30
ยืนคุยโทรศัพท์สาธารณะ 15 นาที 20
นั่งรถเมล์ 25
ขี่มอเตอร์ไซค์กลางแจ้งไปซื้อของปากซอย 30
เล่นกีฬาทางบกกลางแจ้ง 40
เล่นกีฬาทางน้ำกลางแจ้ง 50

 

บันไดขั้นที่ 5 การผลัดเซลล์ผิว

การผลัดเซลล์ผิวที่จะกล่าวถึงนี้หมายถึงการผลัดเซลล์ผิวที่สามารถทำได้เองเป็นประจำ มิใช่การผลัดเซลล์ผิวที่ใช้สารเคมีหรือเลเซอร์ที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด การผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอจะคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ช่วยลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ตื้น ๆ ได้ดี ทำให้ผิวพรรณสดใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากนี้ยังพบว่าการผลัดเซลล์ผิวช่วยให้สารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดความมันในคนที่มีผิวมันได้อีกด้วย การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวส่วนนอกที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป หรือเอาไว้แต่ผิวเกิดใหม่ที่แข็งแรงสดใส แต่อย่างไรก็ตาม การผลัดเซลล์ผิวไม่อาจลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ลึกและชัดเจนให้หายไปได้ เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวไม่อาจเข้าลึกถึงชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของริ้วรอยได้ จึงเป็นวิธีการรักษาที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง
โดยทั่วไปแล้วผิวจะมีกระบวนการผลิตเซลล์ผิวอย่างต่อเนื่องตามธรรมชาติ หากปราศจากกระบวนการนี้ ผิวจะมีความหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ลึก ชัดเจน และมีความยากมาก เมื่ออายุยังน้อยกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น ( มากกว่า 30 ปี ) กระบวนการดังกล่าวจะช้าลง

ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับประโยชน์จากการผลัดเซลล์ผิว ผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ผู้ที่มีผิวมันรวมไปจนถึงผู้มีปัญหาผิวหน้าจะได้รับประโยชน์จากการผลัดเซลล์ผิวด้วย เนื่องจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้การสะสมของเซลล์ที่ตายแล้วมีน้อยลง ทำให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัยและมีแนวโน้มที่จะมีริ้วรอยน้อยลง นอกจากมีการผลัดเซลล์ผิวแล้ว ยังช่วยลดความมันของผิวให้น้อยลงอีกด้วย ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณมาก ๆ จะไม่ค่อยได้รับประโยชน์จากการผลัดเซลล์ผิวเท่าใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่ายเพราะการผลัดเซลล์ผิวอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดอาการระคายเคืองผิว จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 – 3 วัน ในการทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมรวมตัวกัน การผลัดเซลล์ผิวที่บ่อย หรือรุนแรงเกินไปอาจทำให้เซลล์ผิวที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับความเสียหาย เกิดอาการระคายเคืองหรือหลุดลอกออกไปจนเกิดเป็นแผลได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการผลิตเซลล์ผิวอย่างเต็มที่และไม่เกิดอันตราย ควรผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในขณะที่ผู้มีผิวมันมากควรผลัดเซลล์ผิวทุกวัน สำหรับผู้ที่ผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายควรลดความถี่ลง สิ่งที่บ่งชี้ว่าคุณผลัดเซลล์ผิวมากเกินไปคือผิวหน้าจะแห้ง มีอาการระคายเคือง หรือแพ้ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ให้คุณหยุดทำแล้วปล่อยให้ผิวได้ฟื้นฟู และลดความถี่ในการทำให้น้อยลง

เมื่อต้องผลัดเซลล์ผิวนอกจากสภาพผิวแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนลงมือทำคือวัตถุดิบที่นำมาใช้ผลัดเซลล์ผิว ขั้นตอนการทำและเทคนิคในการทำรวมไปจนถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อสภาพผิว เช่น โภชนาการ ฤดูกาลและอายุ ผู้ที่ได้รับอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะมีสุขภาพผิวที่ดีอย่างยั่งยืนและง่ายต่อการดูแลรักษามากกว่าผู้ที่เอาแต่ทาครีมบำรุง การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารจากอาหารไขมันต่ำมาเป็นอาหารที่มีไขมันมากขึ้น สามารถเปลี่ยนผิวที่แห้งให้กลายเป็นผิวธรรมดาได้ ในช่วงฤดูร้อนผิวจะมีแนวโน้มที่จะมันมากกว่าปกติ และจะแห้งยิ่งขึ้นในช่วงฤดูหนาว ผิวสีเข้มจะได้รับอันตรายจากแสงแดดน้อยกว่าคนผิวขาว  [adinserter name=”navtra”]

ดังนั้น ผู้ที่มีผิวขาวจึงจำเป็นต้องปกป้องผิวจากแสงแดดอันร้อนแรง ด้วยการเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพและบางเบามากพอที่จะทาซ้ำได้ตลอดทั้งวัน เซลล์ผิวจะมีการผลัดตัวช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น ผู้ที่อายุน้อยหรือผิวที่มีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงไม่มีความจำเป็นต้องผลัดเซลล์ผิวหรืออาจผลัดให้น้อยลง ภาวะหมดประจำเดือนอาจทำให้ผิวมันและผิวธรรมดากลายเป็นผิวแห้งได้ ดังนั้น ขั้นตอนในการ ดูแลทำความสะอาดผิว จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับปัจจัยเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

https://mahosot.com/

การดูแลซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวเมื่อมีปัญหา

0
การดูแลซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวเมื่อมีปัญหา
การมีสภาพผิวที่ดีได้นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลใส่ใจตั้งแต่ขั้นพื้นฐานในทุกๆส่วนของร่างกาย
การดูแลซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวเมื่อมีปัญหา
การมีสภาพผิวที่ดีได้นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลใส่ใจตั้งแต่ขั้นพื้นฐานในทุกๆส่วนของร่างกาย

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิว

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผิวพรรณที่ผ่องใสปราศจากริ้วรอยหรือจุดด่างดำ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาและคงปฏิเสธไม่ได้ด้วยเช่นกันว่ามีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้ในสิ่งที่ตนหวังไว้ ในขณะที่คนจำนวนมากต่างก็ประสบปัญหาผิวพรรณด้วยกันทั้งนั้น บ้างก็มีปัญหาเพียงเล็กน้อย บ้างก็มีปัญหามาก คงจะดีไม่น้อยหากสามารถ ดูแลฟื้นฟูสภาพผิว ให้ดูดีได้เท่ากันทุกส่วน เนื่องจากผิวในแต่ละส่วนมีความแตกต่างกัน การที่จะดูผิวให้ถูกต้องจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับผิวในส่วนนั้น ๆ อย่างละเอียดเสียก่อน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผิวส่วนต่าง ๆ และวิธีการแก้ปัญหาผิวที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ กรณีมีดังต่อไปนี้

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีการดูแลฟื้นฟูสภาพผิวต่างๆ

การดูแลฟื้นฟูสภาพผิวหน้าที่มัน

ผิวหน้ามันมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวมากจนเกินไปเป็นผลให้คนเรามีใบหน้ามัน รูขุมขนกว้าง จนเกิดการอุดตันของรูขุมขน เกิดสิวเสี้ยน และอาจรุนแรงจนถึงขั้นมีผิวหนังอักเสบ ( มีอาการหน้ามันมาก ในขณะที่ไรผม คิ้ว และผิวหนังข้างจมูกกับแห้งจนแตกเป็นขุย ) ตามมา มักพบในคนแถบเอเชียที่มีภูมิอากาศร้อนอบอ้าว ปัญหาหน้ามันสามารถดูแลได้ง่าย ๆ ดังนี้

ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อย ๆ นอกจากจะไม่ช่วยลดความมันบนใบหน้าแล้ว ยังอาจเป็นการทำลายไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องผิว ทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ได้ในที่สุด หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้ใช้เครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ( oil free ) เป็นหลัก

หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้า เนื่องจากธรรมชาติของผิวมันจะมีการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวในปริมาณที่มากอยู่แล้ว ยังผลให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น หากดันทุรังทาลงไปอีกจะยิ่งเพิ่มความมันให้กับผิวมากขึ้น จนอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้

สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามันมาก ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Alcohol อาจช่วยหยุดความมันส่วนเกินได้บ้าง
ควรล้างหน้าวันละ 1-2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์หรือสารที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวได้ เช่น สาร SLS,SLES

ในคนที่มีสิวแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีจำพวกเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ กรดซาลิไซลิก เนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และช่วยลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากเกินไปอาจส่งผลให้ผิวแห้งได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่รูขุมขนกว้าง

รูขุมขนกว้างเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มักพบบ่อยและสร้างความปวดหัวให้แก่ผู้ที่ประสบปัญหานี้เป็นอย่างมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาผิวในส่วนอื่น ๆ เลย มักพบรูขุมขนขนาดใหญ่บริเวณด้านข้างหรือปลายจมูก รวมไปถึงบริเวณที่มีความมัน
มาก ๆ แม้ว่ารูขุมขนขนาดใหญ่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ แต่ผู้หญิงหลายคนอาจไม่ชอบเพราะมันทำให้ผิวแลดูหยาบกร้านไม่น่ามอง
รูขุมขนเป็นทางออกของเส้นขนและไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง เราเรียกส่วนนี้ว่าไพโลซีเบเชียสยูนิต สาเหตุที่ทำให้รูขุมขนมีขนาดใหญ่คือ การที่ต่อมไขมันซึ่งเชื่อมต่อกับรูขุมขนดังกล่าวมีขนาดใหญ่และมีการผลิตน้ำมันออกมามาก

วิธีจัดการกับปัญหารูขุมขนกว้างที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้นั่นก็คือการกระชับรูขุมขนด้วยกรดวิตามินเอหรือกรดเอเอชเอในบริเวณที่มีปัญหา จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้บ้าง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทากรดเอเอชเอในตอนเช้าอย่างเบามือ แล้วทากรดวิตามินเอหรือสารผสมกรดวิตามินเอกับกรดไกลโคลิกก่อนนอน อาการรูขุมขนกว้างจะดีขึ้น

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการขัดหน้าหรือการประคบหน้าด้วยน้ำแข็งจะช่วยลดขนาดของรูขุมขนได้ แต่แท้จริงแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อาจทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงได้ การขัดหน้าเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงเท่านั้น ในขณะที่การประคบหน้าด้วยน้ำแข็งก็เพียงแต่ทำให้รูขุมขนหดตัวได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปรูขุมขนก็จะกลับมาขยายใหญ่เท่าเดิม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวหน้าที่แห้ง

อาการผิวหน้าแห้งโดยทั่วไปเกิดจากการขาดน้ำของเซลล์ผิวหนังชั้นบน หรือความสามารถในการลอกตัวของเซลล์ผิวหนังชั้นบนไม่ดีพอ การถูกแสงแดดแผดเผาเป็นเวลานาน การโดนสารเคมีที่มีความรุนแรงบ่อย ๆ สภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำ หรือแม้แต่การดูแลผิวที่มากจนเกินพอดี เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1. วิธีป้องกันมิให้ผิวแห้งคือ
ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
ปรนนิบัติผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม
หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดที่ร้อนแรงโดยตรง
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ร้อนหรือหนาวจัด
การผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี
หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดผิวแห้ง
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือผลิตภัณฑ์ถนอมผิวที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพื่อช่วยสร้างความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารที่ทำให้เกิดแรงตึงผิวอย่างอ่อน ๆ ( Mild Surfactant ) และมีค่าความเป็นกรดด่างที่ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนัง เป็นต้น

2. สำหรับคนที่ชอบแต่งหน้า
หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ปราศจากสารกันบูดหรือหัวน้ำหอม

  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายต่อผิว
  • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) มิเนอรัลออยล์ ( Mineral Oil ) และแว็กซ์ ( Wax ) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าโคลด์ครีม ( Cold Cream ) เพื่อล้างเครื่องสำอางออก และชำระล้างผิวหน้าซ้ำอีกครั้งด้วยสบู่สมุนไพรจากธรรมชาติเพื่อทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจดและสบู่สมุนไพรจากธรรมชาติยังช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์หลังล้างหน้าเพื่อบำรุงผิวทุกครั้ง

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่มีริ้วรอยรอบดวงตา

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่มีความบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าส่วนอื่น ๆ รอยเหี่ยวย่นหรือรอยหมองคล้ำที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตาจะส่งผลให้ใบหน้าแลดูทรุดโทรมได้ชัดเจนที่สุด ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดรอยย่นรอบดวงตาประกอบด้วย 4 ปัจจัยได้แก่ แสงแดด ภาวะขาดความชุ่มชื้น การกระตุ้นผิวรอบดวงตาด้วยความรุนแรงและบ่อยครั้ง หรือแม้แต่การใช้สายตามาก ๆ เป็นต้น เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรงเป็นเวลานาน ๆ หากต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นตาดำ หมวกปีกกว้าง หรือกางร่ม
  • รักษาความชุ่มชื้นรอบดวงตาด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อดวงตาโดยเฉพาะ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ถู หรือขัดผิวรอบบริเวณดวงตาอย่างรุนแรง
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายตาที่มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เกิดอาการตาบวม อันจะนำไปสู่การเกิดริ้วรอยรอบดวงตาในที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ทางสีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิ้มที่มากเกินไป เพราะการหดตัวเข้าหากันของกล้าม-เนื้อใบหน้าที่บ่อยครั้งจนเกินไปจะทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหางตาได้ง่าย
  • ควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ ทุก ๆ 1 ชั่วโมงประมาณ 10-15 นาที ควรกระพริบตาบ่อย ๆ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อตาและทำให้ลูกตาชุ่มชื้น มองออกไปไกล ๆ หรือมองสิ่งของที่เป็นสีเขียว เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อดวงตาที่อ่อนล้า หรืออาจนั่งหลับตาเพื่อให้กล้ามเนื้อดวงตาได้พักผ่อนเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์ หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ ต้องใช้สายตามากๆ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณถุงใต้ตาที่หมองคล้ำ

โดยทั่วไปแล้วปัญหาถุงใต้ตาคล้ำมี 4 ลักษณะ ได้แก่ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ จนทำให้เลือดที่ไปหล่อเลี้ยงผิวรอบดวงตาไหลเวียนไม่สะดวก การที่ผิวบริเวณเปลือกตาล่างหย่อนคล้อยเข้าหากันหรือการที่โพรงเบ้าตาลึกจนทำให้เกิดเงาใต้ตา และดูเหมือนมีถุงใต้ตาคล้ำอยู่ตลอดเวลา การที่ผิวบริเวณใต้ตามีเม็ดสีมากกว่าปกติ ซึ่งมักพบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และการที่มีเลือดสีคล้ำ ทำให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีสีคล้ำไปด้วย

วิธีการรักษาอาการถุงใต้ตาคล้ำที่ถูกต้องคือการแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการ ได้แก่ การนอนหลับให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q10 การใช้เลเซอร์ในการลบรอยดำ หรือการกินอาหารบางอย่างที่มีฤทธิ์ในการรักษาอาการผิดปกติดังกล่าวให้มากกว่าเดิม

การนอนหลับอย่างเพียงพอ นอกจากจะช่วยลดความคล้ำของผิวหนังใต้ตาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพทั่วไปให้สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย ดังจะสังเกตได้จากคนที่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มจะมีใบหน้าที่สดใสเปล่งปลั่ง ในขณะที่คนที่อดนอนบ่อย ๆ มักจะพบว่าดวงตาดำคล้ำ ใบหน้าอิดโรยแล้ว แถมสุขภาพยังไม่สู้ดีอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อป้องกันมิให้เลือดเป็นสีคล้ำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เนื่องจากเนื้อสัตว์มีฤทธิ์ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดและมีสีคล้ำขึ้น ควรกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างเพื่อช่วยปรับเลือดให้มีค่าความเป็นด่างที่สมดุล เช่น ผลไม้รสเปรี้ยวและผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุดของร่างกาย และไวต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจใช้สารเคมีหรือทำการรักษาใด ๆ กับผิวหนังใกล้ดวงตาการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณคอที่ย่น

คอย่นนอกจากจะเป็นสิ่งที่ไม่น่ามองแล้ว คอที่หย่อนยานยังเป็นสิ่งบ่งบอกถึงอายุที่มากขึ้นของผู้หญิงด้วยเช่นกัน นอกจากใบหน้าที่ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคอก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม แม้ว่าจะไม่ต้องปฏิบัติให้มากเท่ากับใบหน้าก็ตาม ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกที่ดึงกล้ามเนื้อของคอให้หย่อนยานลงในแนวดิ่งทุกวินาที

กิจกรรมที่ทำอยู่ทุกวันก็มีส่วนเร่งให้กล้ามเนื้อและผิวบริเวณคอหย่อนยานและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการนอนหนุนหมอนที่ทำให้เกิดริ้วรอยหลังคอ หรือแม้แต่การทาครีมที่ผิดวิธี เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยก่อนวัย หากเป็นไปได้ให้นอนโดยไม่ต้องหนุนหมอนและทาครีมในทิศทางที่ย้อนขึ้นหาใบหน้า หรือในทิศทางต้านแรงโน้มถ่วง หลีกเลี่ยงการทาในแนวดิ่งหรือทากลับไปกลับมา

ความเสื่อมโทรมเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคอหย่อนยานก็ถึงเวลาที่เราจะต้องพึ่งตัวช่วยบางอย่างที่นอกเหนือจากการทำใจ วิธีแก้ไขสัญญาณมี 2 วิธี เช่นการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการผ่าตัดดึงเนื้อที่หย่อนยานให้ตึง และการใช้ Botox ฉีดเข้ากระชับกล้ามเนื้อที่หย่อนยานให้กลับมาตึงอีกครั้ง

ทั้งสองวิธีนี้ต่างก็มีข้อเสียที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนต้องชั่งใจก่อนที่จะทำการผ่าตัด คนไข้ต้องเสียเลือดมาก ต้องนอนพักฟื้นเป็นเวลานานและเสียค่าใช้จ่ายมาก ในขณะที่การฉีดโบท็อกก็มีอันตรายมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากการทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวคลายตัวกลับมาตึงดังเดิม ผู้เชี่ยวชาญต้องใช้โบทอกซ์ในปริมาณที่มากกว่าที่ใช้กับใบหน้า 5-10 เท่า และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมา เช่น ทำให้การตั้งศีรษะเสียสมดุลและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคอมีรอยย่นอยู่บ้างแต่ไม่ถึงกับหย่อนคล้อยจนต้องพึ่งการศัลยกรรม รอยย่นดังกล่าวอาจเกิดจากการขาดน้ำหรือวิตามินมาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ยังผลให้ผิวบริเวณคอเหี่ยวย่น แห้งกร้านและไม่สดใสเท่าที่ควรให้แก้ด้วยการ

  • ทาครีมบำรุงอย่างเบามือทุกเช้าและก่อนนอน
  • ดื่มน้ำให้มากๆ
  • กินผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูงหรือกินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
  • บริหารคออย่างสม่ำเสมอด้วยการเงยหัวไปข้างหลัง อ้าปากให้กว้างที่สุด แล้วหุบให้สนิททันที ทำซ้ำประมาณ 10 ถึง 15 ครั้ง จะช่วยคืนความเต่งตึงและกระชับให้แก่ลำคอได้ไม่ยาก

หัวนมดำ

หัวนมดำเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงจำนวนไม่น้อย แม้ว่าแนวโน้มที่เราจะโชว์ผิวหนังส่วนนี้ให้คนอื่นเห็นจะค่อนข้างน้อยเต็มที แต่การมีหัวนมที่สวยงามย่อมสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจให้แก่ผู้หญิงหลายคนได้ไม่น้อยเช่นกัน

ความต้องการที่จะมีหัวนมเป็นสีชมพูหรือแดงแลดูเป็นธรรมชาติ จึงมีบริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากผลิตครีมหรือยาที่โอ้อวดอ้างสรรพคุณว่ามีฤทธิ์ในการปรับสีของหัวนมที่หมองคล้ำหรือดำให้มีสีจางหรือมีสีชมพูสวยได้ ยังผลให้ผู้หญิงจำนวนมากหาซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาทากันอย่างแพร่หลาย

อาการหัวนมคล้ำหรือดำเป็นอาการที่สืบเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทำให้มีการสร้างและการกระจายตัวของเมลานินเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เมลานินดังกล่าวก็มีขนาดใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีสรรพคุณในการรักษาอาการหัวนมดำหรือคล้ำกว่าปกตินั้น อาจไม่ได้ผลดีเท่าใดนัก เนื่องจากเม็ดสีที่เป็นสาเหตุของหัวนมคล้ำจะถูกสร้างขึ้นในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป และอาการหัวนมคล้ำก็เป็นอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การทายาจะช่วยให้เม็ดสีที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังตื้น ๆ จางลงไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีอีกครั้งหัวนมก็จะกลับมาคล้ำดังเดิม นั่นย่อมหมายความว่าไม่มีทางเลยที่เราจะทำให้หัวนมของเราหายหมองคล้ำได้อย่างถาวร เว้นเสียแต่ว่าเราจะพึ่งการศัลยกรรมด้วยการสักหัวนมให้เป็นสีชมพูหรือแดงระเรื่อตามที่ต้องการ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แต่เนื่องจากสีเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมจึงอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและอาการแพ้ตามมาได้ง่าย ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำเพื่อความปลอดภัยจากอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ดังกล่าว การดูแลทำความสะอาดหัวนมอย่างสม่ำเสมอ และทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิงหรือกรดเอเอชเอที่มีฤทธิ์ในการทำให้ผิวสดใสเหมือนผิวหนังส่วนอื่น ๆ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวรักแร้

อาการดำคล้ำของรักแร้โดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยอัน ได้แก่ การหย่อนคล้อยเข้าหากันของผิวหนังที่มักพบตามข้อพับต่าง ๆ เช่น คอ หรือรักแร้ ยังผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสีคล้ำมากกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเป็นกันทุกคน การเสียดสีกันไปมาของผิวหนังซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณข้อพับ และการหนาขึ้นของผิวหนังหรือที่เรียกว่า Acanthosis Nigrican ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนอ้วน ผู้ป่วยมะเร็งในช่องท้องหรือผู้ป่วยโรคเบาหวาน สิ่งเหล่านี้ถือว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่จากเดิมเคยมีลักแร้ที่ขาวนวลน่ามองแต่วันดีคืนดีกับหมองคล้ำ อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นเข้าร่วมด้วย ซึ่งจะต้องทำการสังเกตและพิจารณาถึงสาเหตุของการเกิดนั้นให้ดี
สำหรับผู้ที่มีรักแร้ดำคล้ำขึ้นมา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำวิธีแก้ไขโดยหากจำเป็นต้องขจัดขนรักแร้ให้เลือกใช้วิธีที่นุ่มนวลและสามารถขจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงอันจะก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองกับผิวหนัง การขจัดขนด้วยเลเซอร์

การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ใช้ทารักแร้และสารเคมีบางตัวที่เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้น อาจสร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวหนังทีละน้อย ๆ จนทำให้ผิวหนังดำคล้ำขึ้นมาได้

การใช้กรดเอเอชเอหรือผลิตภัณฑ์ปรับผิวขาวประเภทไวท์เทนนิงครีมทาบริเวณที่ดำจะช่วยได้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับทําให้รักแร้กลับมาขาวนวลเนียนอย่างที่โฆษณาบอกไว้

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวที่มีกรดเอเอชเอที่เข้มข้นมาก ๆ เพราะกรดที่เข้มข้นมากไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยให้รักแร้ขาวเร็วขึ้นแล้ว แต่ยังอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง อักเสบ เป็นผื่นแดง จนอาจทำให้ผิวหนังดำคล้ำยิ่งกว่าเดิมได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

คำแนะนำสุดท้ายคือการยอมรับสิ่งที่ธรรมชาติให้มา เนื่องจากรักแร้เป็นส่วนที่คล้ำมากกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ อยู่แล้ว และยังไม่มีสิ่งใดสามารถแก้ปัญหานี้ได้ การดูแลรักแร้ที่มากเกินไป ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว ยังเป็นการรบกวนผิวหนังของรักแร้ที่บอบบางให้ระคายเคืองจนเกิดอาการแพ้ อักเสบ และผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นรักแร้ที่สีคล้ำยิ่งกว่าเดิม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณข้อศอก

เมื่อตอนเราเป็นเด็กผู้ใหญ่มักตักเตือนเสมอว่าไม่ให้คลานเข่าหรือเอาศอกวางไว้ตามที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ผิวด้าน ธรรมชาติของผิวหนังจะมีการสร้างตัวเองให้มีความหนาขึ้นเพื่อป้องกันตัว หากได้รับแรงเสียดทานหรือแรงกระแทกอย่างต่อเนื่อง ยังผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวหยาบกร้าน ซึ่งจะเห็นได้จากผิวหนังบริเวณเท้าและมือ หรือตาตุ่มที่จะมีความหนามากขึ้นหากได้รับการเสียดสีหรือรับแรงกระแทกอยู่บ่อยครั้ง

เพื่อป้องกันผิวหนังด้านหรือหยาบกร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณข้อศอก หัวเข่า ตาตุ่ม หรือจุดสำคัญอื่น ๆ ในร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกหรือเสียดสีผิวหนังบริเวณดังกล่าวให้มากที่สุด เช่น ไม่วางศอกไว้ตามที่ต่าง ๆ หรือเท้าคาง ใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน เป็นต้น

การทำเช่นนี้อาจเป็นสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับคนที่เคยชินกับพฤติกรรมดังกล่าว แต่หากคุณฝึกตัวเองอยู่เป็นนิจก็จะติดเป็นนิสัย หากเวลานี้ข้อศอก หัวเข่า หรือตาตุ่มด้านแล้ว เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวและทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเนียนนุ่มยิ่งขึ้น ให้ขัดผิวหนังที่ด้านด้วยสครับที่ทำจากธรรมชาติหรือใยบวบขัดอย่างเบามือที่สุด เพื่อป้องกันอาการอักเสบหรือเกิดการบาดเจ็บเป็นแผล การขัดอย่างเบามือจะช่วยลอกผิวหนังที่หนาเกินไปออกทีละน้อย หลังจากนั้นให้ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอหรือกรดแลคติกที่มีฤทธิ์ในการลอกเซลล์ผิวให้หลุดออกไปอย่างนุ่มนวล นอกจากนั้นควรทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวเป็นประจำ ผิวที่ด้านและหยาบกร้านก็จะเริ่มเนียนนุ่มน่าสัมผัสมากขึ้น

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดสิวบริเวณแผ่นหลัง

สิวที่แผ่นหลังเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบกันบ่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเราที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น สิวเสี้ยนที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังเป็นสาเหตุจากการปล่อยให้แผ่นหลังสัมผัสความชื้น ความร้อน เป็นเวลานาน ๆ และบ่อยครั้ง
ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว บวกกับเครื่องแต่งกายที่หนา ระบายความร้อนและความอับชื้นได้ยาก มีตะเข็บและซิปที่เด่นชัด ยังผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอุดตันจนเกิดเป็นสิวตามมาในที่สุด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อขจัดปัญหานี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญกับความอับชื้น ความร้อน เหงื่อ และการเสียดสีที่มากจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่หนาหรือรัดแน่นจนทำให้รู้สึกอึดอัด ควรใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย สามารถระบายความร้อนและความอับชื้นได้ดี ใส่เสื้อชั้นในแบบไร้สาย ชุดที่ไม่มีตะเข็บเด่นชัดหรือมากจนทำให้เสียดสีกับผิวไปมา เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับและการเสียดสีที่อาจนำไปสู่การเป็นสิว ทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างทั่วถึงและหมดจดทุกครั้งที่อาบน้ำ นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมกับสภาพผิวแล้ว อาจใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในระหว่างที่อาบน้ำ เช่น แปรงถูหลัง เพื่อให้สามารถทำความสะอาดแผ่นหลังได้อย่างทั่วถึง หลีกเลี่ยงการบีบเค้นสิวหรือขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้สิวอักเสบจนเกิดเป็นรอยแผลได้ แต้มแอสตรินเจนต์ (Astringent) ตรงบริเวณที่เป็นสิวอักเสบทุกครั้งหลังอาบน้ำจะช่วยแก้ปัญหาได้ดี

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบนใบหน้าที่เกิดสิว

สิวเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮอร์โมนเพศชายในร่างกาย ระดับน้ำตาลหรือไขมันที่มากเกินไป กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานผิดปกติ การทำความสะอาดผิวที่ไม่ดีพอ ระดับฮอร์โมนขาดความสมดุล อดนอน ท้องผูก ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชายจะไปกระตุ้นทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจากไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่าโคมิโดน ( Comedone ) เมื่อรูขุมขนเกิดการอุดตันจนไม่สามารถระบายไขมันออกมาได้ ทำให้เกิดสิวหัวขาวขึ้นมาให้เห็น และอาจเกิดอาการอักเสบได้ในเวลาต่อมา หากสิวทำปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียหรือได้รับการรบกวนจากการดึง บีบหรือเค้น จนในที่สุดสิวดังกล่าวจะหายไป แต่จะเหลือรอยแผลเป็นเอาไว้แทน

วิธีรักษาสิวสามารถทำได้หลายแบบทั้งแบบที่ใช้ยากินและยาทา ยากิน ได้แก่ ยาลดอาการอักเสบ ยาปฏิชีวนะ รวมไปจนถึงวิตามินบางอย่างที่มีสรรพคุณในการซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดจากการอักเสบของสิว ยาทาสิว ได้แก่ กรดวิตามินเอชนิดทา กรดอะซีเลอิก เบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ เป็นต้น แต่ในการรักษาสิวใด ๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้รักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและประเภทของสิวที่คุณเป็นอยู่ หลีกเลี่ยงการนำยาของคนอื่นมาทาโดยพลการ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง ผิวแห้งจนถึงลอกได้ เพื่อความปลอดภัยและให้แน่ใจว่ารักษาอย่างถูกวิธี ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อเป็นสิว ทำไงดี?

  • เมื่อเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการแคะบีบ หรือแกะสิว
  • ปฏิบัติต่อผิวด้วยความระมัดระวัง เพราะผิวที่อักเสบอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่ยากต่อการรักษาในภายหลังได้
  • หลีกเลี่ยงการล้าง เช็ด หรือสัมผัสใบหน้าอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้งจนเกินไป
  • หากจำเป็นต้องแต่งหน้าให้ใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดสิว
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนังหรือต่อมไขมัน เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
  • หากจำเป็นต้องใช้ยารักษาสิว ให้ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดไม่ควรซื้อยามารักษาเองตามลำพัง

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดจากฝ้า

ฝ้าเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีมากกว่าปกติ จนทำให้ผิวหนังมีสีเข้มกว่าผิวหนังบริเวณรอบ ๆ โดยมีสาเหตุมาจากการเผชิญหน้ากับแสงแดดจัด ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานและบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากอนุมูลอิสระในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น การกินยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ การได้รับรังสียูวีเอและยูวีบีจากแสงแดด ความร้อน และมลภาวะ โดยฝ้าดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน ๆ ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม และอาจมีขนาดเล็ก ๆ เป็นจุดไปจนถึง
ปลื้นขนาดใหญ่น่าเกลียดได้ หากปราศจากการดูแลรักษาที่เหมาะสม ฝ้าอาจมีสีเข้มและมีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

มีการพบว่าคนที่อายุมากกว่า 25 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นฝ้ามากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากกระบวนการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนังด้อยประสิทธิภาพลง ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเป็นฝ้าได้ ด้วยการเผชิญกับปัจจจัยเสี่ยงดังกล่าวและการอ่อนแอลงของผิว ทำให้กระบวนการทำงานของผิวเสียสมดุลจนนำไปสู่การผลิตเมลานินที่ผิดปกติและเกิดเป็นฝ้าในที่สุด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โดยทั่วไปแล้วฝ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ฝ้าชนิดตื้น
เป็นฝ้าที่เกิดในชั้นหนังกำพร้า มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม สังเกตเห็นได้ชัดเจน พบมากบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก

2. ฝ้าชนิดลึก
เป็นฝ้าที่เกิดในชั้นหนังแท้ มีสีอ่อนกว่าชนิดแรก สังเกตไม่ค่อยเห็น ใช้เวลาในการรักษานานกว่าชนิดแรก

3. ฝ้าชนิดผสม
เป็นทั้งฝ้าชนิดตื้นและลึกที่เกิดขึ้นพร้อมกันในบริเวณเดียวกัน

การรักษาฝ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบภายนอกและแบบภายใน แบบภายนอกจะใช้วิธีทายาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินของเซลล์สร้างเม็ดสีจำพวกปรอท สเตียรอยด์ และไฮโดรควิโนนและยาที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกให้หลุดลอกออกไป เช่น กรดวิตามินเอ บีเอชเอ และกรดซาลิไซลิก รวมไปถึงการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ ในขณะที่การรักษาฝ้าแบบภายในผู้เชี่ยวชาญจะให้คนไข้กินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณปรับสมดุลของผิว เช่น อาหารเสริมที่สกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและผิวพรรณ แต่เนื่องจากการรักษาฝ้าจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับยาและสารเคมีอันตรายหลายอย่าง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น การรักษาฝ้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามอาจไม่ช่วยอะไรเลย หากยังคงดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นฝ้าอีกครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาออกมาดีเยี่ยมและป้องกันการกลับมาเป็นฝ้าอีกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยปราศจากการปกป้องผิวจากรังสีอันตราย ทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกไปกลางแจ้ง สวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นตากันแดด หรือกางร่มที่ช่วยกรองรังสียูวี เป็นต้น

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดกระ

กระเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองของผิวหนัง มีสาเหตุมาจากเซลล์สร้างเม็ดสีมากกว่าปกติเมื่อถูกแสงแดด ส่งผลให้เกิดจุดสีเข้มเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไปบนใบหน้าในชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังจะสร้างเมลานินเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้รับแสงแดดแรง ๆ เป็นเวลานานติดต่อกันเพื่อป้องกันมิให้แสงแดดเข้าไปทำร้ายผิว สามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กระสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. กระเด็ก
กระเด็กมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และจะมีสีเข้มมากขึ้นเมื่อโดนแดด มักพบในเด็กฝรั่งช่วง 3 ขวบ มักปรากฏบนผิวที่โดนแดดบ่อย ๆ เช่นใบหน้าและลำคอ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะน้อยลงตามลำดับ

2.กระแดด
กระแดดลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเรียบไม่นูนยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งมีมากขึ้น เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม มักเกิดขึ้นกับผู้ที่ตากแดดบ่อย ๆ

นอกจากกระ 2 ลักษณะนี้แล้ว ยังมีรอยดำอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับกระ เช่น กระเนื้อ กระลึก ไฝธรรมดา ปานโอตะ ปานเบกเคอร์วีนัส ขี้แมลงวัน ปานน้ำตาล ปานดำ มะเร็งผิวหนัง

การรักษากระที่นิยมทำในปัจจุบันมี 3 วิธี ได้แก่ การใช้ยาแต้ม ยาทาและการรักษาด้วยเลเซอร์ ทั้ง 3 วิธีนี้ จะทำลายเซลล์บริเวณที่เป็นกระ ทําให้กระมีสีจางและหายไปในที่สุด การรักษากระด้วยยาแต้มจะเป็นการแต้มกระด้วยสารเคมีที่มีความเป็นกรดสูง ซึ่งจะทำลายเซลล์เม็ดสีที่อยู่บนผิวหนังชั้นนอกให้หลุดลอกออกไป ส่วนการรักษากระด้วยยาทา แพทย์จะใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ในการลอกผิวชั้นนอกให้หลุดออกไป เช่น กรดวิตามินเอ กรดเอเอชเอ ทำให้เม็ดสีที่อยู่ในชั้นผิวดังกล่าวหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น แต่ยังคงเหลือเซลล์สร้างเม็ดสีที่ทำหน้าที่ในการผลิตเม็ดสีในอัตราเท่าเดิม ทำให้กระแลดูจางลง
นอกจากนั้นแพทย์อาจใช้สารเคมีที่ช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติที่จะออกฤทธิ์ในกระบวนการสร้างเม็ดสี
เช่น นิโคไรซ์ ( Licorice ) อาร์บูติน ( Arbutin ) ไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) เป็นต้น

ส่วนการรักษากระด้วยเลเซอร์จะเหมาะสำหรับกระเนื้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นเนื้อนูนขึ้นมาแต่ไม่เหมาะกับกระธรรมดา เนื่องจากความร้อนจากเลเซอร์อาจไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียงให้ได้รับอันตราย ซึ่งอาจก่อให้เกิดรอยดำยิ่งกว่าเดิม เว้นแต่แสงเลเซอร์นั้นจะถูกออกแบบมาให้เหมาะกับกระที่เป็นโดยเฉพาะ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวมุมปาก

มุมปากดำเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจทำลายความมั่นใจของใครหลาย ๆ คนให้หมดลง เพราะคงดูไม่ดีแน่ที่เมื่อคุณเอ่ยปากพูดหรือฉีกยิ้มแล้วแทนที่คู่สนทนาของคุณจะมองเห็นรอยยิ้มที่สวยงาม เขากลับสะดุดตาที่รอยดำคล้ำน่าเกลียดที่มุมปากสองข้างอย่างช่วยไม่ได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รอยดําที่มุมปากทั้งสองข้างเกิดจากการอักเสบเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งมีสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ ภาวะการขาดวิตามินดีที่นำไปสู่โรคปากนกกระจอก และการแพ้สารเคมีที่อยู่ในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่ทำให้รู้สึกคันปากยิบ ๆ ซึ่งต้องเกาปากบ่อย ๆ จนทำให้ผิวหนังบริเวณมุมปากเกิดการอักเสบ หนา และคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อรักษาอาการดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการรักษารอยดำให้จางหายไป เช่น ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ และยาประเภทฮอร์โมนหรือใช้วิธีรักษารอยดำด้วยระบบไอออนโตโฟเรซิส ซึ่งเป็นวิธีที่จะนำสารออกฤทธิ์ในยาซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไปได้ดีกว่าการทาแบบธรรมดา

ทั้งนี้การใช้ยาหรือวิธีการรักษาแบบใดก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหาซื้อยามาทานเอง เพราะนอกจากอาการจะไม่ดีขึ้นแล้วยังอาจก่อให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวริมฝีปาก

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากดำคือการใช้ลิปสติกแล้วทำความสะอาดออกไม่หมด เหลือคราบลิปสติกตามร่องของริมฝีปาก ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี จะทำให้ริมฝีปากหมองคล้ำ เหี่ยว และเห็นรอยแตกอย่างชัดเจน ส่วนการสูบบุหรี่ การเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานานและบ่อยครั้ง และการปล่อยให้ริมฝีปากแห้งขาดความชุ่มชื้นจนหมองคล้ำแห้งกร้านก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากดำด้วยเหมือนกัน

วิธีแก้ไขปัญหาริมฝีปากดําที่ดีที่สุดคือ

  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสี สารกันบูด หรือหัวน้ำหอมที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ได้
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์
  • หากมีโอกาสลองหาสครับที่ออกแบบมาเพื่อขัดริมฝีปากมาใช้ดูจะช่วยให้สามารถทำความสะอาดริมฝีปากได้ดียิ่งขึ้น
  • หมั่นทำความสะอาดริมฝีปากอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณทาลิปสติก ให้ใช้โลชั่นที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดริมฝีปากโดยเฉพาะต้องเช็ดคราบลิปสติกออกให้หมด
  • หลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วให้ทาลิปทรีตเมนต์ก่อนที่จะทาลิปบาล์มเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปากเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว หรือหากต้องทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ เพราะอากาศจะแห้งมาก
  • ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่มแปรงริมฝีปากอย่างเบามือเพื่อขจัดคราบลิปสติกรวมไปจนถึงสิ่งสกปรกอื่น ๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดคราบลิปสติกได้หมดจดแล้ว ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ส่งผลให้ปากนุ่มนวล อิ่มเอิบ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมควรทำทุกวัน
  • ทาลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารกันแดด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
  • หลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก เพราะจะยิ่งทำให้ริมฝีปากแห้งและคล้ำกว่าเดิม
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดโดยปราศจากสิ่งป้องกัน

ริมฝีปากแตกเป็นขุย

เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบเห็นกันบ่อย ๆ อาการแตกหรือแห้งเป็นขุยของริมฝีปาก มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ การดื่มน้ำน้อย การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อากาศหนาว หรืออยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือแม้แต่การแพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น

การแก้ปัญหาอาการแห้งแตกของริมฝีปากให้ใช้เบกกิ้งโซดาผสมน้ำสะอาดสักเล็กน้อยคนให้เข้ากันจนได้ส่วนผสมที่ข้นเหลวป้ายส่วนผสมลงบนริมฝีปากให้ทั่ว ใช้นิ้วถูเบาเบา ๆ ประมาณ 2-3 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดริมฝีปากจะเนียนนุ่มลื่นไม่เป็นขุย ปิดท้ายด้วยการทาวาสลีนบาง ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและเนียนนุ่มเอาไว้

อีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันและใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้นคือ การทาวาสลีนให้ทั่วริมฝีปาก ทิ้งไว้สักพักแล้วเช็ดออกด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ เช็ดขุยแห้ง ๆ ที่เกาะตามริมฝีปากออกให้หมด หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นแล้วนำมาเช็ดริมฝีปากให้ทั่วอีกครั้ง นอกจากจะช่วยขจัดขุยที่ไม่น่าดูออกไปอย่างหมดจดแล้ว ยังทำให้ริมฝีปากเนียนนุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขยามฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อให้ได้ริมฝีปากที่เนียนนุมชุ่มชื้นอย่างถาวรควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำ
  • เพื่อป้องกันอาการแพ้จากสีสังเคราะห์ เปลี่ยนยี่ห้อลิปติกทันทีที่มีอาการแพ้ ทาผลิตภัณฑ์รักษาความชุ่มชื้นที่ออกมาสำหรับริมฝีปากโดยเฉพาะ เพียงเท่านี้ริมฝีปากที่เนียนนุ่มชุ่มชื้นก็จะอยู่กับคุณไปอีกนานเท่านาน
  • ทดสอบลิปสติกที่จะใช้ก่อนทุกครั้ง หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีส่วนผสมของสี น้ำหอม หรือสารกันบูด ( หากเป็นไปได้ ) เลือกลิปสติกที่มีสีอ่อน หากต้องการได้รับประโยชน์ในการบำรุงเพียงอย่างเดียว
  • หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก เพราะจะทำให้ปากแห้งมากยิ่งขึ้น

การที่จะมีผิวในทุกๆส่วนสุขภาพดีทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละส่วนจะต้องมีวิธีการดูแลที่ต่างกัน ดังนั้นเราควรมีความรู้พื้นฐานและวิธีแก้ปัญหาให้ละเอียดเสียก่อน แล้วเราก็จะได้ผิวที่ดีครบทุกส่วนตามที่ใจปรารถนา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่แพ้เครื่องสำอาง

อาการแพ้เครื่องสำอางเกิดจากการที่ร่างกายมีอาการระคายเคือง มีอาการแพ้แสงหรือแพ้ส่วนผสมที่อยู่ในเครื่องสำอาง โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนและระคายเคืองบริเวณที่ทาเครื่องสำอาง ความรุนแรงของอาการแพ้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของความเข้มข้นและความเป็นกรดด่างของเครื่องสำอาง รวมทั้งตำแหน่งที่ทาเครื่องสำอาง โดยทั่วไปแล้วอาการแพ้เครื่องสำอางมักมีหลายรูปแบบ ได้แก่ อาการระคายเคือง อักเสบ มีสิว มีผื่นขาวเป็นลมพิษ ภูมิแพ้ และอาจรุนแรงจนถึงขั้นผมและเล็บเปลี่ยนสีได้

เมื่อเกิดอาการแพ้เครื่องสำอาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณปฏิบัติดังต่อไปนี้
ทดสอบอาการแพ้เครื่องสำอาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ลองทาเครื่องสำอางที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของอาการแพ้ลงบนท้องแขนหรือข้อพับวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 อาทิตย์ หากไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้จากเครื่องสำอางชนิดนั้นน่าจะมีน้อย

การทดสอบอาการแพ้เครื่องสำอาง อีกวิธีหนึ่งคือการทาลงบนใบหน้าด้วยเครื่องสำอางครั้งละ 1 ชนิดตามปกติ หากไม่มีอาการแพ้ใน 2 สัปดาห์ให้ใช้เครื่องสำอางนั้นได้

  • หยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันทีที่มีอาการแพ้
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่รุนแรง ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้น้ำเปล่าและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนละมุน ปราศจากสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมในการทำความสะอาด
  • งดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด มาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบการแพ้ และค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
  • วิธีสุดท้ายคือการใช้แผ่นทดสอบอาการแพ้ ( Patch Test ) มาแปะไว้ที่บริเวณต้นแขนหรือแผ่นหลังเป็นเวลา 3 วัน ไม่ให้ผิวบริเวณดังกล่าวสัมผัสน้ำ เพื่อให้เหงื่อทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่อยู่ในแผ่นทดสอบ แต่การทดสอบด้วยวิธีนี้จะต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากไม่มีอาการแพ้ภายใน 2 สัปดาห์ ให้ใช้เครื่องสำอางนั้นได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวแตกลาย

ปัญหารอยแตกลายของผิวหนังสามารถเกิดได้กับทุกที่ เป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ คนอ้วน หนุ่มสาวในช่วงวัยรุ่นที่ร่างกายจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อที่จะลดความรุนแรงของอาการดังกล่าว เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าเพราะหากเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายขาดหรือให้กลับมาดีได้ดังเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ภาวะผิวแตกลายเกิดจากการที่ผิวหนังชั้นในถูกดึงให้แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว จนเซลล์ไม่อาจแบ่งตัวตามได้ทันจึงเกิดเป็นริ้วรอยแตก มักพบบริเวณใต้ท้องแขน รอบ ๆ รักแร้ ใต้ราวนม หน้าท้อง โดยเฉพาะสีข้าง ท้องน้อย และต้นขา มีลักษณะคล้ายรอยแตกของต้นมะขาม สำหรับบางคนที่รักการกรอผิวหรือขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นนอก ที่เป็นริ้วรอยให้หลุดลอกออกไปพบว่าวิธีดังกล่าวช่วยให้อาการดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดผิวแตกลาย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์นวดบริเวณหน้าท้องด้วยครีมหรือโลชั่นชนิดใดก็ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมของผิวหนังให้คุ้นเคยกับการขยายตัว หมั่นออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้แข็งแรงอยู่เสมอก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแตกให้น้อยลงได้ด้วยเช่นกัน

หากผิวเพิ่งแตกลายควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที แพทย์จะให้ยามาทาและแนะนำให้คนไข้ออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวแข็งแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้รอยแตกดังกล่าวจางและเล็กลงบ้าง ในบางรายอาจหายไปเลยก็ได้ หากอาการดังกล่าวไม่รุนแรงมากนักและสามารถเยียวยา

ตาบวม

ตาบวมเป็นอีกอาการหนึ่งที่มักพบเห็นกันบ่อย ๆ มีสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ การอดนอนติดต่อกันหลายคืน และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนบริเวณผิวหนังรอบดวงตามากเกินไป วิธีแก้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยดูจากสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว

ข้อควรปฏิบัติในการบรรเทาอาการบวมอักเสบของตาให้ลดน้อยลง

  • ให้นำแตงกวามาฝานเป็นแว่น ๆน วางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้สักพักประมาณ 10 นาที ทำวันละหลาย ๆ ครั้ง ความเย็นชุ่มฉ่ำของแตงกวาจะช่วยลดอาการบวมอักเสบของดวงตาลงได้
  • หากอาการบวมยังไม่ทุเลาลงให้ใช้น้ำแข็งห่อด้วยผ้าขาวสะอาด นำมาวางบนเปลือกตา ความเย็นของก้อนน้ำแข็งจะช่วยลดความร้อนผ่าวที่ดวงตาได้ ทำให้ดวงตาที่บวมอักเสบมีอาการดีขึ้น
  • อีกประการหนึ่งคือการนำผ้าขนหนูสะอาดสะอาดชุบน้ำชาอ่อน ๆ พอหมาดมาประคบที่ดวงตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที
  • เพื่อหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว ควรนอนหลับให้เพียงพอ ในระหว่างทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้สายตามาก ๆ ให้พักสายตาเป็นระยะ หลีกเลี่ยงการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนบริเวณผิวหนังรอบดวงตามากเกินไป    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อควรปฎิบัติเพื่อสุขภาพของดวงตา

  • หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ การขยี้ตา หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่จะกระทบกระเทือนต่อดวงตา
  • ควรนอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มาก หมั่นรักษาความสะอาดของใบหน้าและผิวหนังรอบดวงตาด้วยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม

หลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ๆ หรือแสงแดดจ้า ๆ

  • หากพบว่ามีอาการแพ้เกิดขึ้นที่ผิวหนังรอบดวงตา ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที หลีกเลี่ยงการนำสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์บำรุงหลากหลายชนิดมาทาบริเวณผิวหนังรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่อ่อนบางและง่ายต่อการอักเสบและเกิดอันตราย
  • หากจำเป็นต้องแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางที่ผิวหนังบริเวณใกล้ดวงตา ให้แน่ใจเสียก่อนว่าเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวอ่อนโยนและปลอดภัยมากพอ
    หากทำกิจกรรมใดที่ต้องใช้สายตามาก ๆ ให้พักผ่อนกล้ามเนื้อสายตาเป็นระยะ ๆ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวส้นเท้าที่แตก

ส้นเท้าแตกเกิดจากการที่เท้าสัมผัสกับน้ำบ่อยครั้งเกินไปจนทำให้ผิวหนังที่ส้นเท้าเปื่อย อับชื้น หลุดลอก และแตกเป็นริ้ว วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว คือ การลดการสัมผัสน้ำให้น้อยลง ใส่รองเท้าบูททุกครั้งหากต้องทำงานในที่ชื้นแฉะหรือต้องสัมผัสกับสารเคมี หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรงเป็นเวลานาน ๆ ใส่รองเท้าหุ้มส้นเพื่อปกป้องส้นเท้า ซับเท้าให้แห้งเพื่อป้องกันความอับชื้น หลีกเลี่ยงการแช่เท้าในน้ำอุ่นบ่อย ๆ

สำหรับผู้ที่ส้นเท้าแตกไปแล้ว นอกจากการป้องกันมิให้ส้นเท้าสัมผัสกับสิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการลอกและแตกของส้นเท้ามากขึ้นยังต้องปฏิบัติดังนี้ด้วย

  • เลือกใช้ครีมที่มีฤทธิ์ในการลอกเซลล์ผิวที่แตกให้หลุดออกไป เช่น กรดซาลิไซลิก หรือกรดเบนโซอิก
  • บำรุงส้นเท้าด้วยครีมหรือมาเจอไรเซอร์ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของส้นเท้า ทำให้ผิวที่ส้นเท้าอ่อนนุ่ม มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงขึ้น
  • หากต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อความปลอดภัย การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป อาจทำให้ผิวส้นเท้ามีการหลุดลอกมากผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบ ระคายเคืองและยิ่งทำให้ผิวบริเวณส้นเท้าดำและลอกมากกว่าเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เท้าเหม็น

เท้าเหม็นเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำลายความมั่นใจและทำให้เสียบุคลิกภาพ อาการเท้าเหม็นหรือเท้ามีกลิ่นอับเกิดจากเหงื่อที่ออกมาจากเท้าผสมกับเชื้อแบคทีเรีย มีการหมักหมมจนเกิดเป็นกลิ่นอับขึ้นมา

วิธีแก้ปัญหาเท้าเหม็น

  • ใส่ผงระงับเหงื่อที่เท้าซึ่งจะมีลักษณะเป็นแป้งที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์
  • หมั่นนำรองเท้าออกมาตากแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อฆ่าเชื้อโรค หากรองเท้านั้นสามารถตากแดดจัด ๆ ได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ถุงเท้าหรือรองเท้าที่อับชื้น สกปรกหรือหนาจนเกินไป เลือกใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่สามารถระบายอากาศ ความร้อนและความชื้นได้ดี เพื่อลดอัตราการสะสมตัวของเชื้อแบคทีเรีย
  • หมั่นรักษาความสะอาดของเท้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่อน ๆ อย่างสม่ำเสมอและเช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้ง อย่าปล่อยให้เท้าอับชื้น เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นอับแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพมือเหี่ยว

คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าและผิวกาย โดยในแต่ละวันพวกเขาจะใช้เวลาหมดไปกับการดูแลผิวหน้าและผิวกายเป็นเวลาร่วมชั่วโมง ในขณะที่มีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความสำคัญกับผิวบริเวณมือ ทั้ง ๆ ที่มือเป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานมากที่สุด และยังเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อความสวยงามและความอ่อนเยาว์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงเป็นเหตุผลที่เพราะเหตุใดเราจึงพบคนที่แม้ว่าจะมีใบหน้าที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย แต่มีฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวไม่น่ามอง

เช่นเดียวกับฝ่าเท้า มือเป็นอวัยวะที่แทบจะไม่มีต่อมไขมันอยู่เลย ใช้ทำงานอย่างหนัก มือจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบและแห้งกร้านได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ ในแต่ละวันมือของเราต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก คลอรีน สารทำความสะอาดที่รุนแรง แอลกอฮอล์ และสารเคมีที่เป็นอันตรายจากการทำกิจวัตรประจำวัน มือที่ปราศจากการดูแลที่เหมาะสมจะแห้งกร้านและเหี่ยวย่นได้เร็วกว่าปกติ เพื่อคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของมือเอาไว้ นอกจากการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นมากเป็นพิเศษแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากต้องทำภารกิจใด ๆที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่มีความรุนแรง เช่น ซักเสื้อผ้า ล้างจาน ควรสวมถุงมือทุกครั้งเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากสารเคมีที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหมั่นนวดฝ่ามือเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นเลือดลมอย่างสม่ำเสมอ [adinserter name=”navtra”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวเหี่ยวย่น

แม้ว่าจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวเหี่ยวย่นนั้นเกิดขึ้นก่อนวัยอันควร โดยทั่วไปแล้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รอยเหี่ยวย่นในผิวชั้นนอกและรอยเหี่ยวย่นในชั้นหนังแท้ รอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นกับผิวหนังชั้นนอกเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ทำงานลดน้อยลง ยังผลให้ผิวหนังชั้นดังกล่าวมีโอกาสสะสมตัวหนาขึ้น เกิดเป็นรอยหมองคล้ำและเหี่ยวย่นในที่สุด ในขณะที่รอยเหี่ยวย่นที่เกิดในชั้นผิวหนังดังกล่าว มีสาเหตุมาจากแรงโน้มถ่วงของโลกและมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเกิดริ้วรอย เช่น ขมวดคิ้ว ยิ้ม หยีตา การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการเผชิญกับแสงแดดจ้าเป็นเวลานานและบ่อยครั้ง

เมื่อความเต่งตึงและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณต่างเป็นสุดยอดความปรารถนาของทุกคน วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเกิดริ้วรอย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ๆ หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่าลืมทาครีมกันแดด ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว เป็นต้น

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพผิว ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอซึ่งมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสลายให้หลุดลอกออกไปหรือใช้กรดวิตามินเอ หากริ้วรอยดังกล่าวเกิดจากการโดนแสงแดดทำลาย ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารที่ต่อต้านการเกิดริ้วรอย เช่น วิตามินซี วิตามินอี โคเอนไซม์ Q10 เป็นต้น

หากริ้วรอยมีมากหรือรุนแรงเกินกว่าที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะสามารถเยียวยาได้ การพึ่งนวัตกรรมทางการแพทย์อันทันสมัย เช่น การผ่าตัดศัลยกรรม การยิงแสงเลเซอร์ การทำเบบี้เฟส รวมไปจนถึงนวัตกรรมทันสมัยอื่น ๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

การดูแลผิวให้ดูอ่อนกว่าวัยอย่างยั่งยืน

0
การดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัย
การดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัย
การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำอาจทำให้เกิดริ้วรอย
การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำอาจทำให้เกิดริ้วรอย

ริ้วรอย

เราไม่อาจสร้างบ้านที่แข็งแกร่งได้หากปราศจากรากฐานที่มั่งคง กองทัพทหารไม่อาจรบชนะข้าศึกได้หากปราศจากการฝึกฝนที่ดีพอ และเช่นเดียวกันผิวของคุณไม่อาจสวยงามหรือแลดูอ่อนกว่าวัยตามที่ใจปรารถนาได้ หากคุณไม่ทราบกฎแห่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานอย่างเข้าใจเสียก่อน การละเลยกฎพื้นฐานของการดูแลผิวที่ถูกต้อง ทำให้โปรแกรมการดูแลผิวที่คุณกำลังทำอยู่นั้น ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กฎพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรักษาผิวพรรณและป้องกันการเกิด ริ้วรอย ที่ควรรู้มีดังนี้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กฎพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรักษาผิวพรรณและป้องกันการเกิดริ้วรอยที่ควรรู้

สงสัยไหมว่าริ้วรอยความเหี่ยวย่นเกิดขึ้นได้อย่างไร

มีการค้นพบว่า ริ้วรอย ความเหี่ยวย่น รวมไปจนถึงความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในหรือกระบวนการทางธรรมชาติ มีคนจำนวนมากที่ต้องการให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัย แต่กลับทำร้ายผิวพรรณของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยพฤติกรรมที่ทำกันเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย เช่นการใช้เครื่องสำอางที่มากเกินไป การตากแดดแรง ๆ การสัมผัสคลอรีนและการอาบน้ำร้อน การใช้สารทำความสะอาดที่รุนแรง การดูแลผิวที่ผิดวิธีและมากเกินไป การแสดงออกทางสีหน้า การมีน้ำหนักตัวขึ้น ๆ ลง ๆ หรือแม้แต่การดื่มน้ำหรือนอนน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วร้อยความเหี่ยวย่นทั้งสิ้น

การใช้เครื่องสำอางมากเกินไป สาเหตุการเกิดริ้วรอย

คุณสามารถมีผิวพรรณที่สวยงามแลดูอ่อนกว่าวัยได้ แม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางเพียงไม่กี่ชิ้น ขอเพียงแค่รู้จักการใช้มันอย่างถูกวิธีและใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็นับว่าเพียงพอแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มากจนเกินไป โดยเฉพาะเครื่องสําอางที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดรวมไปถึงเคาน์เตอร์เครื่องสำอางทั่วไป เพราะมักจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองแอบแฝงอยู่ เพื่อที่คุณจะมีผิวสุขภาพดีแลดูอ่อนกว่าวัยในระยะยาว แนะนำว่าควรใช้เครื่องสำอางแต่พอเหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องใช้กับผิวหนังบริเวณรอบดวงตา เพราะเป็นบริเวณที่มีความบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายที่สุด คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ติดแน่นทนนานเป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง และอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองสูงเมื่อต้องล้างออกอีกด้วย

ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้า

การแสดงออกทางสีหน้าส่งผลต่อการเกิด ริ้วรอย และความเหี่ยวย่นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การหรี่ตา การขมวดคิ้ว
ใครเลยจะรู้ว่าการแสดงออกทางสีหน้าอาจพัฒนาไปเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ถาวรบนใบหน้าได้ หากถูกแสดงออกบ่อยครั้งจนกลายเป็นความเคยชิน คงไม่มีวิธีใดที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการแสดงสีหน้าได้ดีเท่ากับการเพิ่มความระมัดระวังและหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้ตัวว่ากำลังจะเริ่มหรี่ตาหรือขมวดคิ้วอยู่ ก็ให้หยุดทำทันที ควรเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีในการผ่อนคลายใบหน้าด้วยการค้นหาสาเหตุของการแสดงออกทางสีหน้าให้แน่ชัด หากคุณมีแนวโน้มที่จะหรี่ตาทุกครั้งเมื่อเจอแสงแดดก็ให้หาแว่นตากันแดด หรือหมวกปีกกว้างมาใส่เพื่อลดอัตราการหรี่ตาให้น้อยลง หากพบว่าสาเหตุของการขมวดคิ้วมาจากการมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ชอบชักสีหน้า ก็ให้รู้จักปล่อยวาง สร้างความผ่อนคลาย หมั่นฝึกทำไปเรื่อย ๆ บ่อย ๆ จนเกิดเป็นความเคยชินก็จะช่วยลดอัตราการเกิดริ้วรอยได้อีกทางหนึ่ง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การตากแดดแรงๆ หนึ่งในสาเหตุของการเกิดริ้วรอย

ไม่เป็นการดีแน่ถ้าคุณต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ โดยตรงโดยไร้การป้องกัน รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด ริ้วรอย รอยหมองคล้ำ และความเสื่อมโทรมของผิว การเผชิญหน้ากับแสงแดดที่ร้อนแรงเป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ เช่น การเดินกลางแจ้งโดยปราศจากเครื่องกำบัง การนั่งริมชายหาด หรือการอาบแดด การทำเช่นนี้จะทำให้ผิวหมองคล้ำเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น เป็นกระ ฝ้า แถมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังให้มากขึ้นอีกด้วย ถึงแม้ว่ายังไม่มีครีมกันแดดชนิดใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดริ้วรอยจากแสงแดดที่ดีพอ แต่เป็นการดีที่จะไม่เผชิญหน้ากับแสงแดดโดยตรง จะช่วยป้องกันผิวของคุณจากการถูกแสงแดดทำลายได้บางส่วน ซึ่งร่องรอยที่เกิดจากการทำลายของแสงแดดสามารถรักษาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่าเพื่อความปลอดภัยของผิวพรรณจากการถูกแสงแดดทำลาย การหลบไม่ให้ตัวเองโดนแดดมากที่สุดยังคงเป็นวิธีที่ดี

การสัมผัสคลอรีนและการอาบน้ำที่ร้อนจัด

เป็นการดีที่คุณจะหลีกเลี่ยงการนอนแช่น้ำเป็นเวลานานหรือการอาบน้ำที่ร้อนจัดจนเกินไป เนื่องจากในน้ำประปามีการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค คลอรีนมีฤทธิ์เป็นตัวก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมของผิวพรรณ ในขณะที่น้ำร้อนก็มีผลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผิวพรรณด้วยเช่นกัน เนื่องจากน้ำยิ่งร้อนเท่าใดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อผิวพรรณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณนอนแช่น้ำร้อนเป็นเวลานานและเป็นประจำทุกวัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณก็จะยิ่งสะสมมากขึ้น จนเกิดเป็นความเสื่อมโทรมที่ยากจะเยียวยาให้หายได้ในระยะยาว ดังนั้น เพื่อสุขภาพผิวที่ดีผู้เชี่ยวชาญแนะนำทางออกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการนอนแช่น้ำร้อนว่า จากเดิมที่ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการแช่น้ำร้อน ให้เป็นวันละครั้งหรืออาจน้อยกว่านั้นหากเป็นไปได้ และควรใช้น้ำร้อนที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจำพวก ยาสระผม น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอกที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารซักฟอกชนิดไอออนนิก เพราะโมเลกุลของสารซักฟอกหลังนี้จะเกิดประจุไฟฟ้าเมื่อละลายในน้ำ และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ หากจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ใช้ในปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทางที่ดีควรหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีไอออนิก เช่น สบู่เด็ก สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิวเพราะมีความอ่อนโยนต่อผิวมาก แชมพูที่ออกแบบมาเพื่อเด็กหรือ SHAMPOO BAR สบู่สมุนไพรที่ใช้สำหรับการสระผมโดยเฉพาะ เพราะจะไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์และกลีเซอรีนแทน และควรสวมอุปกรณ์ป้องกันผิวทุกครั้งหากจำเป็นต้องสัมผัสกับสารซักฟอกที่รุนแรง เช่น สวมถุงมือทุกครั้งเมื่อซักผ้าหรือล้างจาน เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากเกินไป

แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องประทินผิวที่มากเกินความจำเป็น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามใจชอบโดยปราศจากการพิจารณาให้ดีเสียก่อนอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าผลดี และยังเป็นการสูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายตัวพร้อมกันจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการใช้ครีมบำรุงผิวบางอย่างในปริมาณที่มากกว่าที่ระบุมาในฉลากจะทำให้ผิวได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น

แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีผลิตภัณฑ์บางอย่างมีฤทธิ์ในการปิดกั้นผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่มีประโยชน์ไม่ให้ซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นเคลือบอยู่ที่ผิวด้านนอกเท่านั้นไม่สามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวที่อยู่ข้างในได้อย่างล้ำลึกตามที่ถูกออกแบบมา ทำให้ผิวไม่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกัน มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิดที่มีสารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวพรรณได้หากนำมาใช้ในปริมาณมากกว่ากำหนด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ หรือกรดเอเอชเอ หากนำมาใช้ผิดวิธี หรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไป แทนที่ผิวจะได้รับประโยชน์จากสารเหล่านี้ ผิวอาจได้รับความเสียหายและได้ความเสื่อมโทรมกลับมาแทน

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณจึงแนะนำว่าเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ต้องเสียไปและให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกครั้งควรอ่านฉลากให้ดีเสียก่อน โดยทำความเข้าใจวิธีการใช้และปริมาณที่ใช้ในแต่ละครั้งด้วย

การทำความสะอาดและขัดผิวมากเกินไป

การทำความสะอาดผิวและการขัดผิวโดยทั่วไปส่งผลดีต่อผิวพรรณ การทำความสะอาดผิวช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่จะนำไปสู่ปัญหาผิวต่าง ๆ ให้หลุดออกไป การขัดผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการสะสม ทำให้ผิวกระจ่างใสเกลี้ยงเกลาไม่มี ริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น แต่การกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวพรรณได้อย่างคาดไม่ถึงหากนำมาใช้ผิดวิธีหรือมากเกินไป การทำความสะอาดผิวที่มากเกินไปจะชะล้างน้ำมันที่ต่อมไขมันใต้ผิวผลิตขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวให้หมดไป ทำให้ผิวแห้ง ไวต่อสิ่งกระตุ้น จนนำไปสู่การเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ในภายหลัง ในขณะที่การขัดผิวบ่อยเกินไปอาจทำลายเซลล์ผิวที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ได้รับความเสียหายหรือหลุดลอกออกไปจนเกิดเป็นริ้วรอย และอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นแผลเป็นได้ในที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าการขัดผิวที่มากเกินไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวในระยะยาว และทำให้ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของผิวที่มีอยู่ตามธรรมชาติลดน้อยลงไปด้วย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีสารซักฟอกที่รุนแรงหรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่อาจทำให้ผิวแห้ง มีอาการระคายเคืองหรือแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนทำความสะอาดผิว และไม่ควรทำความสะอาดผิวมากกว่า 2 ครั้งต่อวัน   [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ปล่อยให้น้ำหนักขึ้นและลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอย

การปล่อยให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น แล้วพยายามลดลงอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยได้เร็วและง่ายพอ ๆ กับการนอนอาบแดด ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผิวขยายตัวออก แต่เมื่อใดที่คุณพยายามลดน้ำหนักตัวลง ไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังจะถูกขจัดออกไป ยังผลให้ผิวจากเดิมที่ขยายตัวยืดออกแล้วหดกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด ริ้วรอย เหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อยตามมา แต่การหย่อนคล้อยของผิวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น อายุ ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้น

มีการพบว่าเมื่อคุณปล่อยตัวให้อ้วนและลดน้ำหนักลงเมื่อมีอายุมาก ผิวจะมีแนวโน้มที่จะหย่อนคล้อยมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันมิให้ผิวหย่อนคล้อย นักโภชนาการแนะนำว่าไม่ควรปล่อยให้ตัวเองอ้วน ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ระวังเรื่องแคลอรี่ที่จะได้รับจากอาหาร ไม่ควรปล่อยตามใจปากเพราะแม้ว่าคุณจะไม่สนใจในเรื่องความสวยงามของผิวพรรณ แต่การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักก็จะส่งผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมของคุณได้เช่นกัน

ดื่มน้ำมากเกินไป

เราเคยได้ยินมาว่าการดื่มน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง แลดูมีน้ำมีนวล ซึ่งผิวที่ชุ่มชื้นมีแนวโน้มที่จะมี ริ้วรอย น้อยลง แต่การดื่มน้ำในปริมาณมากในบางเวลาก็อาจให้ผลในทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมาก 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะปริมาณน้ำที่มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการบวมน้ำในตอนเช้าได้ อาการบวมน้ำเป็นอาการที่เกิดจากการสะสมตัวของของเหลวในเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวพรรณรอบดวงตา เนื่องจากเป็นผิวพรรณที่มีความบอบบาง มีเส้นเลือดฝอยมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น และไม่มีชั้นไขมัน อาการตาบวมในตอนเช้า อันเนื่องมาจากการมีน้ำส่วนเกินมากเกินไปจะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีการยืดและหดตัว ซึ่งจะนำไปสู่การมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ในที่สุด

ริ้วรอยที่เกิดจากการนอน

เป็น ริ้วรอย ที่เกิดจากการนอนผิดพลาดเป็นเวลานาน ๆ มักเกิดขึ้นบริเวณ แก้ม มุมปาก และคาง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าริ้วรอยดังกล่าวจะเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่ออายุ 20 ปี ขึ้นไป และเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยดังกล่าว ให้หลีกเลี่ยงท่านอนที่ส่งเสริมให้เกิดริ้วรอย เช่น การนอนตะแคงข้าง การนอนคว่ำ การนอนหนุนหมอนที่ไม่พอดีกับศีรษะ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มีการพบว่าการนอนหนุนหมอนจะทำให้เกิด ริ้วรอย บริเวณหลังคอ คนที่นอนไม่หนุนหมอนมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยน้อยกว่าคนที่นอนหนุนหมอน เมื่ออายุยังน้อย ริ้วรอยดังกล่าวอาจหายไปเองหลังจากตื่นนอน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยดังกล่าวจะหายเองได้ช้า และอาจเกิดขึ้นอย่างถาวรหากยังคงนอนท่าเดิมไม่เปลี่ยน นอกจากการเปลี่ยนท่านอนจะช่วยได้บ้างแล้ว การเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้ในการนอนบางอย่างก็อาจช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้เช่นกัน ควรเลือกใช้ผ้าปูที่นอนปลอกหมอน หรือผ้าห่มที่ทำมาจากผ้าที่มีความลื่น เช่น ผ้าซาตินแทนผ้าหยาบหรือสาก หรือสวมใส่ชุดนอนที่บางเบาและลื่นแทนชุดที่หนาและหนัก

ผิวจะสวยงาม หรือแลดูอ่อนกว่าวัยได้ดังใจต้องการ ถ้ารู้จักวิธีการดูแลผิวในขั้นพื้นฐานก่อน ซึ่งวิธีดูแลผิวในขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับการรักษาผิวและป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

โภชนาการกับผิวสวย

การกินอาหารที่ดีนอกจากจะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัยแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณสวยเปล่งปลั่งแลดูอ่อนกว่าวัยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนกินอาหารที่ดีมีประโยชน์และได้สัดส่วนที่เหมาะสม แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและการกินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณสามารถทดแทนอาหารมื้อหลักได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมีความเห็นตรงกันข้าม โดยแนะนำว่าแม้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะมีสารบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพมากมายสักเพียงใด แต่สารดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะบำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง สุขภาพดี แลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างยั่งยืนเท่ากับการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

บำรุงผิวทั้งภายในและภายนอกกุญแจสำคัญสู่การมีผิวสวยที่ยั่งยืน

การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์และได้สัดส่วนที่พอเหมาะ นอกจากจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวอีกด้วย สารอาหารที่ต้องการเพื่อเสริมสร้างความสวยงามและความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวพรรณ ได้แก่ วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนรวมไปถึงสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ เพื่อคงความสวยงามและความเต่งตึง เซลล์ของร่างกายต้องการสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก ไม่มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดใดสามารถทดแทนได้ นอกจากนี้ยังมีการพบว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แม้จะมีสารอาหารบำรุงผิวในปริมาณมากก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าสารอาหารที่อยู่ในครีมเหล่านั้นสามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่หรือไม่ สารอาหารเหล่านี้อัดเคลือบอยู่แค่ผิวภายนอกและหลุดลอกออกไปเมื่อตอนอาบน้ำ

สารอาหารที่อยู่ในครีมชนิดหนึ่ง จะมีความสามารถในการซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อันได้แก่ สภาพของผิว ความเข้มข้นของส่วนผสมต่าง ๆ ที่อยู่ในครีมนั้น เทคนิคในการผลิต วิธีการทาครีมที่ถูกต้องและปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป สารอาหารที่อยู่ในครีมก็จะไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวที่อยู่ลึกภายในได้อย่างเต็มที่

ตรงกันข้ามกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาหารที่เรากินเข้าไปกลับมีประสิทธิภาพในการบำรุงเซลล์ผิวได้อย่างทั่วถึงและดีเยี่ยมมากกว่า เมื่อร่างกายรับอาหารเข้าไปแล้ว สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย นั่นหมายความว่าผิวหนังทุกส่วนของร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่ใช่แค่แขนขาหรือผิวหน้าอย่างที่ครีมบำรุงทำ ไม่เพียงแต่จะดีต่อผิวพรรณเท่านั้น การกินอาหารที่ดีและมี  ประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสมย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายที่เหมาะสม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายโดยรวม ( มิใช่แค่ผิวพรรณ ) สมบูรณ์แข็งแรงทำงานเป็นปกติไม่เสื่อมโทรมหรือร่วงโรยได้ง่ายอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาผิวพรรณ หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์คือวิธีที่สมบูรณ์พร้อมในการบำรุงผิวพรรณให้สวยงามแต่อย่างใด ทั้งนี้ เนื่องจากการกินที่ดีจะช่วยเสริมสร้างผิวพรรณให้ดูดีได้ แต่เนื่องจากการเกิด ริ้วรอย และความหย่อนคล้อยของผิวพรรณเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย และปัจจัยทางสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด ลม บุหรี่ และมลภาวะ การมีโภชนาการที่ดีจะช่วยชะลอกระบวนการเกิดริ้วรอยอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางธรรมชาติให้เกิดขึ้นช้าลง ในขณะที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงยังคงมีความสำคัญต่อการมีผิวสวย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อที่จะมีผิวสวยปราศจากริ้วรอยและความเสื่อมโทรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการกินอาหารที่ดีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปกป้องผิวจากรังสียูวีที่มาพร้อมกับแสงแดด ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเซลล์ผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งสารอาหารที่ได้รับจากการกินอาหารเข้าไปไม่อาจช่วยได้

อาหารจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่ผิวสวยต้องการ

อาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพคืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวพรรณด้วยเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังกล่าวไว้ เนื่องจากอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้ดำเนินไปได้ช้าลง เพื่อที่จะมีสุขภาพดี ร่างกายจำเป็นต้องได้รับอาหารที่ได้สัดส่วนและมีความหลากหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของร่างกาย ต่อต้านการเกิด ริ้วรอย และรักษาความเต่งตึงของผิวไว้ได้นาน ๆ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารในปริมาณมากกว่าที่มาตรฐานกำหนด อาหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับทุกคน หากไม่นับการออกกำลังกาย การผ่อนคลายความตึงเครียด การพักผ่อน หรือการควบคุมน้ำหนักแล้ว การกินอาหารถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดคุณภาพชีวิตของแต่ละคน ในขณะที่คนจำนวนมากมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายอ่อนแอ ระบบภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง หรือเป็นโรคที่เกิดจากการมีโภชนาการที่ไม่ดี เช่น โรคขาดสารอาหาร โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมไปจนถึงโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่คนในสังคมสมัยใหม่เป็นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมสมัยใหม่มีการเจริญเติบโตมากขึ้น ประชาชนตื่นตัวในความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เกษตรกรรมแบบใช้สารเคมีรวมไปจนถึงอุตสาหกรรมทางการเกษตรมีการเติบโตมากขึ้น ทำให้พฤติกรรมในการบริโภคของประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมได้มีการเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่พวกเขากินอาหารที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง ธัญพืชที่ไม่มีการแปรรูปที่ซับซ้อน กินผักและผลไม้ที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ มีการเลี้ยงปศุสัตว์ด้วยอาหารธรรมชาติ และเลี้ยงสัตว์จำนวนน้อยเพียงเพื่อกินกันเองภายในครัวเรือน หรือเพื่อการค้าขายที่ไม่มากนัก กลายเป็นการกินอาหารที่ผ่านการแปรรูปที่ซับซ้อน มีการเติมสารเคมี หรือสิ่งแปลกปลอมลงไปในอาหารเพื่อให้มีรูป รส หรือกลิ่นในแบบที่ต้องการ

มีการใช้ฮอร์โมนและสารเคมีในการเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น มีการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาจัดการอาหารการกิน การกินอาหารที่ผ่านการแปรรูป การได้รับสารเคมีและสารพิษที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับมลภาวะที่เกิดจากอุตสาหกรรมสมัยใหม่ขึ้นควบคู่ไปกับการเกิดโรคแปลก ๆ ที่มนุษยชาติไม่เคยประสบมาก่อน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตามในช่วงตอนกลางของศตวรรษ มนุษย์เริ่มตื่นตัวถึงพิษภัยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มนุษย์พบว่าการกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรตที่แปรรูปจนไม่มีสารอาหารที่จำเป็นหลงเหลืออยู่เลย สารเคมีที่ใช้ในการปรุงแต่งอาหารที่มากเกินไป รวมไปจนถึงอาหารที่ผ่านการดัดแปลงอื่น ๆ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ร่วงโรยจนเกิดโรคร้ายตามมาในที่สุด

เฟรดเดอริก แอล ฮอฟมัน แอลแอลดี ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและที่ปรึกษาทางสถิติของบริษัทประกันชีวิตพรูเดนเชียล ไลฟ์ ได้กล่าวว่าการเสียชีวิตของประชากรที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็งมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมในการบริโภคของมนุษยชาติได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารที่ดัดแปลง อาหารที่มีส่วนผสมของสารเคมี เช่น สารกันบูด สีสังเคราะห์ สารเคมีที่ช่วยรักษาความสดของอาหารให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น อาหารแช่เย็น การกินอาหารที่ไม่สด และห่างไกลจากความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ด้วยพฤติกรรมการกินที่ผิดแผกแปลกไปจากเดิม มักพบในคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอุตสาหกรรม รวมไปถึงประชากรที่อาศัยอยู่ในชนบท ที่ความเจริญก้าวหน้าของอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ไปถึง ซึ่งพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั้นเป็นสาเหตุของโรคร้ายและความเสื่อมโทรมของร่างกายที่มนุษยชาติไม่เคยพบมาก่อน

แตกต่างจากสังคมสมัยก่อน ที่มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการทำการเกษตร สัตว์เลี้ยง หรือหาของป่า มนุษย์มีชีวิตอิงแนบกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ กินผักผลไม้ที่ปลูกขึ้นเอง ดื่มน้ำจากบ่อน้ำแร่ที่สะอาด กินข้าวแดง กินเนื้อสัตว์ที่หากินผักหญ้าตามป่าเขา ปรุงแต่งอาหารด้วยสมุนไพร มนุษย์มีชีวิตกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ในขณะที่มนุษย์ในสังคมสมัยใหม่มีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บวกกับความอยากไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์กินอาหารและเครื่องดื่มที่ผ่านกระบวนการดัดแปลง หรือแปรรูปให้มีรูปรสและกลิ่นที่ผิดแปลกไปจากลักษณะดั้งเดิมที่ธรรมชาติสร้างมา กินแป้งขัดขาวบริสุทธิ์ เกลือบริสุทธิ์ น้ำตาลทรายบริสุทธิ์ เนื้อสัตว์สีแดงสด ขนมนมเนยที่หวานมัน เครื่องดื่มใส่สีฟองฟูรสชาติหวานชื่นใจ หรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบชุ่มน้ำมัน เป็นต้น

มีการพบว่าชาวโอกินาวา ( Okinawans ) ในประเทศญี่ปุ่นเป็นประชากรที่มีอายุยืนที่สุดในโลก จากการสำรวจพบว่าอาหารในแต่ละวันที่ชาวโอกินาวากิน จะประกอบไปด้วยข้าวแดง ซุปมิโซะ และสาหร่ายทะเล ผักโขมนึ่ง และชาจัสมิน เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ชาวแคนาดาซึ่งเป็นหนึ่งในประชากรที่มีอัตราเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมากที่สุดกับกินขนมเค้ก มัฟฟิน ไข่ เบคอน ไส้กรอก น้ำเชื่อม เมเปิ้ล และกาแฟเป็นส่วนใหญ่  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
นอกจากนี้ยังมีการพบอีกว่า ชาวโอกินาวามีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชาวอเมริกันถึงร้อยละ 80 และเป็นมะเร็งรังไข่น้อยกว่าชาวอเมริกาเหนือถึงครึ่งหนึ่ง ด้วยนิสัยนิยมการบริโภค ความอยากที่ไม่รู้จักพอ ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็คอยหยิบยื่นสิ่งที่เราปรารถนาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่ลงและเป็นโรคที่เกิดจากการกินมากขึ้นเรื่อย ๆ

ยิ่งเราออกห่างจากธรรมชาติอันเป็นต้นกำเนิดของชีวิตของเรามากขึ้นเท่าไร ร่างกายของเราก็ยิ่งพบกับความเสื่อมโทรม ความร่วงโรยและโรคร้ายมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในความร่วงโรยที่เราค้นพบได้ด้วยตัวเองนั่นก็คือ ความงามของผิวพรรณ การกินอาหารไม่ได้สัดส่วน อาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน อาหารขยะ รวมไปจนถึงสารอาหารที่จำเป็น ทำให้ผิวพรรณร่วงโรยก่อนวัยอันควร มักเป็นสิว ผิวพรรณหยาบกร้าน เป็นรอยกระดำกระะด่าง ขาดความกระชับเต่งตึง

ทั้งนี้ หนึ่งในสาเหตุของความเสื่อมโทรมดังกล่าว มาจากอาหารที่เรากินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง การกินอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพคือการกินอาหารที่มาจากธรรมชาติ มีความหลากหลาย และอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ได้สารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน สารอาหารที่จําเป็นต่อร่างกายได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำสะอาด สารอาหารที่ครบถ้วนจะทำให้สุขภาพแข็งแรงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และไม่อ่อนเพลียหรือล้มป่วยง่าย เมื่อปฏิบัติไปพร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอ การจัดการกับความตึงเครียดอย่างเหมาะสม และการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ระดับที่ปลอดภัย ร่างกายของเราก็จะคงความสมบูรณ์แข็งแรงได้เป็นระยะเวลายาวนาน

อาหารที่ทำให้ผิวสวยใส แลดูอ่อนกว่าวัยอย่างยั่งยืน

นักวิจัยพบว่าการกินอาหารบางอย่างส่งผลให้เรามีสุขภาพดี มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้ดำเนินไปช้าลง นักวิจัยแนะนำให้เรากินอาหารหลากหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก ผลไม้ ผัก และธัญพืช เพื่อว่าร่างกายจะได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างเพียงพอ วิตามินช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง และชุ่มชื้น รักษาเล็บและผมให้แข็งแรงและเงางาม นอกจากนี้วิตามินยังช่วยให้ร่างกายสามารถนำเอาพลังงานจากอาหารที่ร่างกายรับเข้าไปมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะที่แร่ธาตุช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติสุข  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผักและผลไม้สด

จากการศึกษาพบว่า การกินผักและผลไม้สดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผักและผลไม้ที่มีสีเข้มในปริมาณมากอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวพรรณได้ อาหารในแต่ละวันควรประกอบด้วยผักสดร้อยละ 25-30 หากไม่ชอบกินผักสด อาจปรุงผักสดด้วยการตุ๋น นึ่ง ต้ม อบโดยใช้แรงดันเพื่อรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ ผักและผลไม้มีคุณสมบัติในการช่วยลดกระบวนการร่วงโรยและความเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ รวมไปจนถึงผิวพรรณได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากผักและผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidants ) และสารฟลาโวนอยด์ ( Flavonoids ) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากผักและผลไม้อย่างเต็มที่ ควรกินผักและผลไม้ที่สด หลากหลายชนิดและหลากหลายสีสัน เม็ดสีบางชนิดที่พบในผักและผลไม้ เช่นไลโคปีน ( Lycopine ) ที่มักพบในมะเขือเทศ แตงโม และสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) ที่มักพบในบลูเบอร์รี่จะมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยป้องกันดีเอ็นเอและเซลล์จากการทำลายของสารพิษและของเสียซึ่งจะนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์ได้ในที่สุด

นักวิจัยจำนวนมากออกมาแนะนำให้ผู้ป่วยกินผักและผลไม้ 9 ชนิดต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งให้น้อยลง ในขณะที่นักโภชนาการบางท่านกล่าวว่า ความหลากหลายของผักและผลไม้ที่กินในแต่ละวัน มีความสำคัญต่อการมีสุขภาพดี เนื่องจากผักและผลไม้ที่มีความหลากหลายจะให้สารอาหารที่แตกต่างกัน ซึ่งนั่นจะช่วยเติมเต็มสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายขาดไป

มีการวิจัยพบว่า หากกินผักและผลไม้เพียงชนิดเดียวในปริมาณมาก ร่างกายจะได้รับสารอาหารเพียงไม่กี่อย่าง และวิธีที่จะช่วยทำให้มั่นใจได้ว่าได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุจากผักและผลไม้อย่างครบถ้วนคือ การกินอาหารที่มีสีสันหลากหลายคล้ายสีของรุ้งกินน้ำ

เพื่อให้ได้อาหารที่มีสีสันหลากหลายและมีสรรพคุณในการต่อต้านความเสื่อมโทรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินผักและผลไม้ที่มีสีเข้ม เช่น บร็อคโคลี มันเทศ ฟักทอง พริก พริกหวาน มะเขือม่วง กล้วย ส้ม กะหล่ำปลี ผักโขม แครอท ผลเบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ พืชผักที่น่าสนใจได้แก่ แครอท หัวหอม กะหล่ำปลี หัวไชเท้า หัวผักกาดแดง ไชเท้าเขียว ถั่วฝักยาว ผักป่าเบอร์ดอก รากบัว ผักกาดหอม แตงกวา กะหล่ำดอก บร็อกโคลี บรัสเซลสเปราต์ ผักกาดขาวปลี ผักกวางตุ้ง เห็ด เห็ดหอม แครอทเขียว ผักกาดหัวเขียว ฟักทอง ผักคะน้า ผักชีฝรั่ง ต้นกระเทียม หัวกระเทียมที่ยังไม่แก่เต็มที่ เซเลอรี ถั่วลันเตา กะหล่ำปลีม่วง ควรหลีกเลี่ยงผักเขตร้อนเว้นเสียแต่ว่าคุณอาศัยอยู่ในเขตร้อน เช่น ซุกีนี มันฝรั่ง มะเขือเทศ พริกไทยเขียว พริกไทยแดง หน่อไม้ฝรั่ง ปวยเล้ง มันเทศ หัวบีต มันฝรั่งหวาน อโวคาโด อาร์ติโชค เนื่องจากพืชผักเหล่านี้ทำให้เกิดกรด ควรกินผลไม้สด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เลือกผลไม้ตามฤดูกาลที่ปลูกในท้องถิ่น ให้กินผลไม้ในปริมาณปานกลางเป็นครั้งคราวในฤดูกาลของผลไม้นั้น ๆ ผลไม้ที่น่าสนใจได้แก่ สตรอว์เบอร์รี พรุน หม่อน เชอรี่ แอปเปิ้ล องุ่น พีช แพร์ พลัม แตงโม ส้มจีน แอปริคอต แคนตาลูป ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนควรงดหรือจำกัดปริมาณของผลไม้บางจำพวกลงได้แก่ อินทผลัม สับปะรด มะม่วง มะละกอ มะพร้าว มะเดื่อ กล้วย ส้ม และกีวี  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ธัญพืช

ควรกินธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เนื่องจากเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้สมดุล มีใยอาหารสูง มีสารอาหารที่จำเป็นอยู่อย่างครบถ้วนและมีสรรพคุณในการป้องกันโรคภัยที่เกิดจากความเสื่อมโทรมได้เกือบทุกรูปแบบ ควรกินธัญพืชหลายชนิดผสมกัน จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน เพิ่มกำลังวังชา ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานอย่างเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผิวพรรณด้วยเช่นกัน

ในอาหารที่กินประจำวันประมาณร้อยละ 50-60 ควรประกอบไปด้วยธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี อันได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด ข้าวบัควีท ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ปรุงข้าวเหล่านี้ด้วยภาชนะหุงต้มสเตนเลสที่ใช้แรงดัน เพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ อาหารจำพวกข้าวหรือธัญพืชควรกินในรูปของเมล็ดข้าวเต็ม ๆ ไม่มีการดัดแปลง หรือได้รับการบดจนกลายเป็นแป้งหรือนำไปทำเป็นขนมปัง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งแปรรูปเหล่านี้จะย่อยยากและก่อให้เกิดเมือกได้ง่ายกว่าข้าวเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ เลย ธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต และมะเร็งเต้านมให้น้อยลงได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินธัญพืชที่ไม่ผ่านการแปรรูปอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการต้านมะเร็งอย่างเต็มที่

ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวนอร์เวย์พบว่าผู้ที่กินธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปในปริมาณมากและอย่างสม่ำเสมอ จะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจลดลงเกือบร้อยละ 25 จากการทดลองที่ทำโดย Mayo Clinic ในปี 2001 พบว่าผู้ที่กินซีเรียลที่มีเส้นใยอาหารสูงมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารน้อยลง นักโภชนาการแนะนำให้ผู้ป่วยกินซีเรียลที่มีเส้นใยอาหารสูง และธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปให้มีความหลากหลาย โดยแนะนำว่าในแต่ละวันควรได้รับ Serial หรือธัญพืชดังกล่าวประมาณ 4-5 หน่วย

ถั่วและผักทะเล

จากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า การบริโภคถั่วบางชนิดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งให้น้อยลงได้ มีการพบว่าถั่วเหลืองนอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแล้ว ยังมีสรรพคุณในการลดอัตราการเกิดเนื้องอกให้น้อยลงด้วยเช่นกัน ถั่วเหลืองและถั่วบางชนิดมีสารช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในเต้านม กระเพาะอาหาร และผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีการพบว่า สาหร่ายทะเลมีสรรพคุณในการขับสารกัมมันตภาพรังสีออกจากร่างกายอีกด้วย ประมาณร้อยละ 5-10 ของอาหารประจําวันควรประกอบไปด้วย ผักทะเลและถั่ว ได้แก่ ถั่วอาซูกิ ถั่วเตอร์เติลสีขาวและดำ ถั่วเขียว ถั่วแขก ถั่วลิมา ถั่วสปลิท ถั่วแบล็กอาย ถั่วเหลือง ถั่วปินโตะ ถั่วเนวี่ ถั่วแดง วุ้น เต้าหู้ เทมเปะ มิโสะ คอมบุ ซีอิ๊วทามาริ นัตโตะ วากาเมะ เป็นต้น ธัญพืช ถั่ว หรือหัวพืชที่ฝังอยู่ในดินจะมีทั้งเส้นใยที่ละลายในน้ำ และไม่ละลายในน้ำที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบฮอร์โมนภายในร่างกายให้เป็นปกติ ปริมาณสารพิษและของเสียที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ในการป้องกันมะเร็งและความเสื่อมโทรม ให้กินข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวบัควีต และข้าวสาลี เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการก่อตัวของเนื้องอก ต้านเชื้อไวรัส และขับสารก่อมะเร็ง กินถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดป่าน เพราะมีฤทธิ์ในการต้านการก่อตัวและการกระจายตัวของเชื้อมะเร็ง นอกจากสีของถั่วจะมีประโยชน์ในการต้านการเกิดมะเร็งแล้ว ผิวของพืชตระกูลถั่วยังมีสารไฟโตเคมิคอล ( Phytochemicals ) ที่ทำหน้าที่ในการป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากสารก่อมะเร็งได้

ควรกินบร็อคโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และคะน้า เนื่องจากมีสารซัลฟอราเฟน ( Sunforaphane ) ซึ่งทำหน้าที่ในการเสริมสร้างการทำงานของตับในการขจัดสารก่อมะเร็ง หากปราศจากสารชนิดนี้ตับจะต้องทำงานอย่างหนักจนไม่สามารถขจัดสารก่อมะเร็งให้หมดไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งในที่สุด เพื่อที่จะห่างไกลจากโรคมะเร็งและความเสื่อมโทรมของร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินบร็อคโคลี กะหล่ำปลี ขิง แครอท ชาเขียว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์มะเขือเทศ บลูเบอร์รี่ ถั่วเลนทิล ถั่วลิสง ข้าวแดง และข้าวกล้องให้มาก

เนื้อสัตว์

ควรกินเนื้อปลาสีขาวหรืออาหารทะเลประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการกินปลาเนื้อแดงหรือปลาที่มีหนังสีน้ำเงิน เนื่องจากปลาเหล่านี้จะมีไขมันมากกว่าปลาเนื้อขาว นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการกินปลาน้ำจืด เนื่องจากมีสารพิษสะสมอยู่ในเนื้อมากกว่าปลาทะเล รวมถึงการหลีกเลี่ยงการกินหรือจำกัดปริมาณในการกินหากต้องกินเนื้อสัตว์จำพวกห่าน ไก่ฟ้า วัว ลูกวัว ไก่ แกะ หมู ไก่งวง เป็ด ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ เช่น ไข่ ไขมัน เนยแข็ง เนย โยเกิร์ต ไอศกรีม นม นมสกัด ครีม และเนยเทียม เป็นต้น

นอกจากอาหารจำพวกผัก ผลไม้ และธัญพืชแล้วผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้กินอาหารจำพวกโปรตีนที่มีคุณภาพให้มาก โปรตีนให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ ซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยให้แผลหายเร็ว สร้างฮอร์โมนและเอนไซม์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง หากร่างกายได้รับโปรตีนในปริมาณที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของ ร่างกายจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วย และร่างกายมีแนวโน้มที่จะกลับมาป่วยได้อีก

แหล่งโปรตีนคุณภาพดี ได้แก่ เนื้อสัตว์ไร้มัน ปลา ไก่ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ เนื้อ แหล่งของโปรตีนและกรดไขมันที่ร่างกายต้องการเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างพลังงาน เนื้อแดงมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากเนื้อวัวซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สามารถกินได้ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา ไข่ หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่วชนิดต่างๆ ก็เป็นแหล่งของโปรตีนและธาตุเหล็กคุณภาพดีที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้เนื้อวัวจะเป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่นักโภชนาการมักแนะนำให้ผู้ป่วยกินเนื้อปลา เนื้อไก่ หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่ว เช่น โปรตีนเกษตร เต้าหู้ เพื่อหลีกเลี่ยงโคเลสเตอรอลและไขมันชนิดอิ่มตัวที่มีอยู่มากเกินไปในเนื้อวัวนั่นเอง

อาหารประเภทน้ำมัน

ควรหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม รวมไปถึงไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่อยู่ในเนยเทียมและน้ำมันปรุงอาหารบางชนิด จากการศึกษาพบว่าไขมันหรือน้ำมันเป็นหนึ่งในอาหารที่ก่อให้เกิดโรคภัยและความเสื่อมโทรมมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ควรเลือกน้ำมันที่ไม่ผ่านการกลั่นหรือกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ น้ำมันปรุงอาหารที่สามารถใช้ได้ทุกวัน ได้แก่ น้ำมันเมล็ดมัสตาร์ด น้ำมันงา น้ำมันข้าวโพด แต่อย่าใช้มากจนเกินไป สำหรับน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์ เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ควรใช้เป็นครั้งคราว

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันที่ผ่านกระบวนการทางเคมี เช่น เนย น้ำมันหมู น้ำมันพืช หรือเนยเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง ไขมันให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อการเติบโตของร่างกาย การสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่และการสร้างฮอร์โมน ไขมันยังเป็นตัวช่วยละลายวิตามินบางชนิด ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน ทำให้ร่างกายสามารถดูดซับเอาวิตามินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ไขมันยังทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะจากการบาดเจ็บต่าง ๆ เมื่อร่างกายรับแคลอรี่มากเกินความต้องการ ร่างกายจะเก็บสะสมแคลอรี่ส่วนเกินนั้นไว้ในรูปของไขมัน สำหรับสงวนเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น สำหรับไขมันอีก 2 ชนิดที่เหลือ ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายโมเลกุล ซึ่งมักพบในอาหารจำพวกพืช เช่น ผัก ถั่ว ธัญพืชรวมไปถึงน้ำมันที่ทำจากถั่วเหลืองและธัญพืชบางชนิด เช่น คาโนลา ข้าวโพด และถั่วเหลือง กรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 ก็จัดว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายโมเลกุล นอกจากจะพบในผัก ถั่วและธัญพืชแล้ว ยังพบในปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำเย็น เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล งานวิจัยบางชิ้นพบว่า การกินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลเดี่ยวและชนิดหลายโมเลกุลจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลวให้ต่ำลง และยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ให้ต่ำลงอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อาหารว่างและเครื่องปรุง

ควรกินอาหารว่างหรือของหวานที่มีส่วนผสมของธรรมชาติในปริมาณปานกลาง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากอาหารว่างหรือของหวานดังกล่าวมีส่วนผสมของสารให้ความหวานหรือน้ำตาล ให้ใช้น้ำเชื่อมที่ทำมาจากข้าวบาร์เลย์ มอลต์ อามาซาเกะ น้ำแอปเปิ้ล น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ลูกเกด เกาลัดและไซเดอร์แทนน้ำตาลทรายขัดขาว ช็อกโกแลต น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลดิบ น้ำเชื่อมข้าวโพด น้ำอ้อย ฟรักโทส แซคคารีน น้ำผึ้ง น้ำตาลเทอบินาโด และน้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังสามารถใช้อาหารธรรมชาติอื่น ๆมาเป็นส่วนผสมในของหวานได้ เช่น เนยที่ทำจากงา เต้าหู้ ผัก วุ้น ที่ทำจากสาหร่ายแทนไข่ ครีม นม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากสัตว์ ควรกินถั่ว ธัญพืช และเมล็ดพืชคั่วกับเกลือหรือซีอิ๊วเป็นของว่าง หรือขนมเค้กที่ทำจากข้าวหรือธัญพืชที่ไม่มีส่วนผสมของเนย ซึ่งถั่ว ธัญพืช หรือเมล็ดพืชเหมาะสำหรับกินเป็นของว่าง ได้แก่ อัลมอนด์ เมล็ดงา วอลนัท พีแคน เมล็ดดอกทานตะวัน ถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง เป็นต้น

เลือกเครื่องปรุงที่ได้จากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีหรือผ่านกระบวนการแปรรูปใด ๆ เครื่องปรุงรสที่น่าสนใจได้แก่ เกลือทะเลมิโสะ ซีอิ๊วทามาริ โกมาชิโอะ ซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสชนิดหนึ่งที่ทำจากงาดำผสมเกลือ ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารให้มีรสจัดจ้านจนเกินไป ควรกินอาหารที่มีรสอ่อน ๆ หากเป็นไปได้ให้กินรสธรรมชาติ นอกจากเครื่องปรุงรสแล้วอาจเพิ่มรสชาติให้แก่อาหารด้วยของหมักดองบางชนิดที่ทำขึ้นเองที่บ้าน แต่ควรใช้ในปริมาณน้อยเท่านั้น เพื่อช่วยย่อยอาหาร

พืชผักที่เหมาะสำหรับนำมาทำของหมักดอง เช่น หัวไชเท้า แครอท กะหล่ำปลี ผักกาดหัวแดง ผักกาดหัว กะหล่ำดอก โดยนำมาหมักพร้อมกับเกลือทะเล ข้าวสาลี บ๊วยดอง ซีอิ๊วทามาริ มิโสะ อย่าใส่พริก น้ำตาล หรือน้ำส้มสายชู นอกจากเครื่องปรุงรสและอาหารหมักดองที่ช่วยชูรสให้กับอาหารแล้ว ยังสามารถเติมแต่งอาหารให้แลดูน่ากินเป็นครั้งคราวอีกด้วย

สำหรับไชเท้าฝอย ขิงฝอย ขิงดอง หัวผักกาดแดงฝอย มะรุม นอกจากจะช่วยแต่งเติมรสชาติและหน้าตาของอาหารให้แลดูน่ากินขึ้นแล้ว พืชผักเหล่านี้ยังมีสรรพคุณในการลดความเป็นพิษของปลาและอาหารทะเลได้อีกด้วย อีกประการหนึ่งควรแต่งเติมอาหารด้วยพืชพรรณที่มีรสเผ็ด หรือมีกลิ่นแรง เช่น น้ำส้มสายชู พริกป่น พริกไทย หรือโสมจีน เป็นต้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กินอย่างไรไม่ให้แก่ ปฏิบัติสู่การมีผิวสวยใสอ่อนวัยอย่างยั่งยืนใน 7 วัน

เป็นความจริงที่ว่าอาหารที่ดีสำหรับสุขภาพคืออาหารที่ดีสำหรับผิวด้วยเช่นกัน เนื่องจากอาหารที่ดีจะทำให้กระบวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ระบบย่อยอาหาร ระบบเผาผลาญอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบขับถ่ายดำเนินไปอย่างเป็นปกติ เมื่อร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพผิวก็ย่อมดีตามไปด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า อาหารที่ดียังมีส่วนช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้เกิดขึ้นช้าลง เพื่อคงความสมบูรณ์ของผิวพรรณ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินอาหารให้ได้สัดส่วนและมีความหลากหลาย โดยเน้นอาหารที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณเป็นหลัก ซึ่งมีตารางอาหารที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงร่างกายและผิวพรรณภายใน 1 สัปดาห์ เพียงคุณปฏิบัติตามเมนูอาหารเหล่านี้ รับรองว่าภายใน 1 สัปดาห์คุณจะพบว่าสุขภาพโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพผิวพรรณจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

วันที่ 1

มื้อเช้า ข้าวต้มปลากะพง นมแพะ
ตอนสาย น้ำแตงโม
มื้อกลางวัน แกงจืดเต้าหู้ ข้าวกล้อง สลัดผักสีรุ้ง
ตอนบ่าย เมล็ดฟักทอง น้ำแอปเปิ้ล
มื้อเย็น ปลาทูนึ่ง น้ำพริกกะปิ ผักสด ข้าวกล้อง
ตอนค่ำ นมถั่วเหลืองผสมงาดำไม่ใส่น้ำตาล

 

วันที่ 2

มื้อเช้า ข้าวกล้องต้มทะเล นมแพะ น้ำส้มคั้น
ตอนสาย น้ำฝรั่ง
มื้อกลางวัน ปลาช่อนเผา น้ำจิ้มรสเด็ดไม่จัด ผักสดหรือผักลวก ข้าวกล้อง
ตอนบ่าย เมล็ดดอกทานตะวัน ชาสมุนไพร
มื้อเย็น แกงจืดเต้าหู้สาหร่ายทะเล กุ้งนึ่งมะนาว ข้าวกล้อง สลัดผักสีรุ้ง
ตอนค่ำ ชาสมุนไพร

 

วันที่ 3

มื้อเช้า น้ำแร่ผสมน้ำมะนาวคั้นสด แซนวิซทูน่า (ขนมปังโฮวีต) นมแพะ
ตอนสาย น้ำแครอท
มื้อกลางวัน แกงส้มดอกแค ข้าวกล้อง ส้มตำรสไม่จัด
ตอนบ่าย นมถั่วเหลืองไม่ใส่น้ำตาล
มื้อเย็น สลัดทูน่า ข้าวคลุกกะปิ (ข้าวกล้อง) น้ำมะเขือเทศ
ตอนค่ำ แอปเปิ้ลเขียว หรือส้มเขียวหวาน

 

วันที่ 4

มื้อเช้า ข้าวกล้องต้มอกไก่ น้ำเต้าหู้งาดำไม่ใส่น้ำตาล ฝรั่งสด
ตอนสาย ชาสมุนไพร ลูกเกด
มื้อกลางวัน ผัดผักรวมมิตร ต้มจืดเต้าหู้อ่อน ข้าวกล้อง
ตอนบ่าย โยเกิร์ตนมแพะ น้ำแร่
มื้อเย็น สลัดผักสีรุ้ง ต้มยำทะเลรสไม่จัด ข้าวกล้อง
ตอนค่ำ แอปเปิ้ลเขียว หรือแก้วมังกรแช่เย็น

 

วันที่ 5

มื้อเช้า โจ๊กไก่ น้ำแร่บีบน้ำมะนาวคั้นสด นมเปรี้ยว
ตอนสาย ถั่วลิสง น้ำแครอท
มื้อกลางวัน ส้มตำแตงกวารสไม่จัด ก๋วยเตี๋ยวไก่ (เส้นข้าวกล้อง) น้ำมะเขือเทศ
ตอนบ่าย แคนตาลูปแช่เย็น น้ำแร่
มื้อเย็น ยำถั่วพู ปลาช่อนแป๊ะซะ ข้าวกล้อง น้ำสตรอว์เบอร์รี
ตอนค่ำ น้ำข้าวโพด หรือน้ำลูกพรุน

 

วันที่ 6

มื้อเช้า ไข่ต้ม กล้วยน้ำว้า ขนมปังโฮลวีตทาน้ำผึ้ง นมถั่วแดง ผสมงาดำ
ตอนสาย เมล็ดฟักทอง ชาสมุนไพร
มื้อกลางวัน สลัดผักสีรุ้ง น้ำแตงโม พาสต้ามะเขือเทศ
ตอนบ่าย ทอดมันข้าวโพด น้ำแครอท หรือน้ำมะเขือเทศ
มื้อเย็น สลัดผักรวมคลุกน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (ใช้ผัก 4 ชนิดขึ้นไป) ผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ ข้าวกล้อง แกงจืดตำลึงไม่ใส่หมู
ตอนค่ำ น้ำบีทรูต

 

วันที่ 7

มื้อเช้า แซนด์วิซไก่ (ขนมปังโฮลวีต) น้ำลูกเดือย
ตอนสาย เต้าหูทอด แคนตาลูปหั่นชิ้นพอคำแช่เย็น
มื้อกลางวัน ก๋วยเตี๋ยวปลาน้ำใส (เส้นโฮลวีต) สลัดผักรวมคลุกน้ำมันงา (ใช้ผัก 4 ชนิดขึ้นไป) น้ำแร่
ตอนบ่าย น้ำองุ่น หรือน้ำสับปะรด ข้าวโพดอ่อนแช่เย็น
มื้อเย็น หอยทอดใส่ไข่ แกงจืดฟักใส่เห็ดหอม ส้มเขียวหวาน
ตอนค่ำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ชาเขียว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตามการที่จะมีผิวสวยแลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างที่ใจต้องการได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง และปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือความอดทนและคุณภาพของผิวที่คุณมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่บางคนอาจได้ผลดีจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพ แต่อีกหลายคนกลับไม่พบความแตกต่าง นั่นไม่ได้หมายความว่าอาหารสุขภาพที่คุณกินเข้าไปนั้นไม่ได้ผลแต่อย่างใด มีการพบว่าคนที่มีสุขภาพดี เมื่อกินอาหารที่ดีเขาไปแล้ว สารอาหารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในอาหารเหล่านั้นได้มีโอกาสเข้าไปบำรุงผิวอย่างเต็มที่ ในขณะที่คนที่มีร่างกายทรุดโทรมสารอาหารที่ร่างกายรับเข้าไปจำเป็นต้องไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กลับมาเป็นปกติเสียก่อน จึงทำให้ไม่อาจนำไปบำรุงผิวได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การที่ผิวจะสวยใสอย่างที่ใจต้องการจึงจำเป็นต้องอาศัยความอดทนและระยะเวลาอยู่บ้าง

น้ำสะอาดกับผิวสวย

เมื่อพูดถึงในด้านความงามแล้ว ต้องถือว่าน้ำมีประโยชน์ต่อผิวพรรณหลายอย่าง เช่น ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ช่วยทำความสะอาดร่างกาย ช่วยชำระล้างของเสียและสารพิษออกจากเซลล์และเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ชุ่มชื้น มีน้ำมีนวลและลดความเสี่ยงในการเกิด ริ้วรอย อันเนื่องมาจากการมีผิวแห้งกร้านอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น น้ำยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านของสุขภาพอีกมากมาย

จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า การดื่มน้ำสะอาด จำนวน 5 แก้วต่อวัน จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึงร้อยละ 45 มะเร็งเต้านมถึงร้อยละ 80 และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะถึงร้อยละ 50 และจากการวิจัยอีกหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้วต่อวัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังตามหลังและตามข้อต่อต่าง ๆ ได้ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะทราบถึงประโยชน์ของน้ำที่มีต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาร่างกายขาดน้ำโดยพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อาการขาดน้ำจะนำไปสู่ภาวะโลหิตเป็นพิษเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยเป็นส่วนใหญ่ และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของอาการอ่อนเพลีย การเฉยชาของระบบเผาผลาญอาหาร การขุ่นมัวและหดหู่ของอารมณ์และการไม่มีสมาธิในเวลากลางวัน และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นสาเหตุสำคัญที่จะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมและร่วงโรยของผิวพรรณได้อีกด้วย

อาการขาดน้ำทำให้เลือดและของเหลวในร่างกายข้นเหนียว ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อเหี่ยวย่น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้สารพิษในร่างกายไม่ถูกชะล้างออกไป ในทางตรงกันข้ามของเสียและสารพิษต่าง ๆ กับถูกกักเก็บและสะสมอัดแน่นไว้ภายในร่างกายโดยไม่มีทางปลดปล่อยออกไป  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อร่างกายต้องรับเอาสารพิษและของเสียจากทั้งภายนอกและจากภายในที่สร้างขึ้นเองมาสะสมเอาไว้และไม่สามารถขับออกไปได้ ของเสียและสารพิษจะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณขึ้นได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ เซลล์และเนื้อเยื่อจะขยายและตื่นตัว เลือดและของเหลวต่าง ๆ ในร่างกายจะถูกจัดการและมีการไหลเวียนที่ดีขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถชะล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อและกระแสเลือดออกมาได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าคุณอยากมีความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำคือการดื่มน้ำให้มาก เพื่อละลายของเสียและสารพิษที่อยู่ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อ เพื่อเจือจางและปรับค่าพีเอชของของเสียให้มีความเป็นกลาง ก่อนที่จะขับออกไปทางระบบขับถ่าย ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ กาเฟอีน และน้ำตาล เพราะนอกจากจะไม่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำให้แก่ร่างกายแล้ว เครื่องดื่มบางชนิดยังมีฤทธิ์ในการขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดน้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้ำจะมีบทบาทสำคัญต่อการมีร่างกายที่ปราศจากสารพิษและของเสีย แต่การดื่มน้ำต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อนเพราะอาจเป็นการเพิ่มสารพิษให้แก่ร่างกายก่อให้เกิดอันตรายตามมาโดยที่คุณไม่รู้ตัวได้ เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ให้เริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำสะอาด 2 แก้ว ก่อนที่จะกินอาหารใดๆ น้ำจะช่วยชะล้างเมือกและเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารออกมาในช่วงระหว่างวัน ให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ระหว่างมื้อเช้าและมื้อกลางวัน 2-3 แก้วระหว่างมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีก และอีก 1 แก้ว ระหว่างมื้อเย็นและก่อนเข้านอน ในช่วงระหว่างมื้ออาหารให้ดื่มน้ำแยกจากอาหารที่กินต่างหาก ไม่ควรดื่มน้ำพร้อมอาหาร

นอกจากนี้ควรเลือกเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทุกวัน ให้ดื่มน้ำชา น้ำชาพื้นบ้าน กูกิชะ น้ำชาดอก แดนดีเลียน กาแฟที่ทำจากเมล็ดธัญพืช น้ำชาจากข้าวซ้อมมือ น้ำชาจากข้าวบาร์เลย์ น้ำชาจากสาหร่ายทะเล สาระแหน่ สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม คาโมไมล์ หลีกเลี่ยงชาดำ โรสฮิป กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และกาเฟอีนทุกชนิด นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ควรจะล้างสารพิษซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของความเสื่อมโทรมออกจากร่างกายด้วยน้ำสะอาด

โดยในแต่ละวันควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้ว หรือ 1.5-2 ลิตร หรืออาจมากถึง 3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยปรับของเสียหรือสารพิษที่มีความเป็นกรดจำนวนมากให้เจือจาง และมีความเป็นกลาง น้ำสะอาดจะช่วยเจือจางและชะล้างสารพิษดังกล่าวออกจากร่างกายผ่านทางไต ลำไส้และผิวหนัง น้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดเลือด ชะล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อ คืนความชุ่มชื้นสู่เซลล์ผิวและทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำที่อยู่ในอุณหภูมิห้อง บรรจุอยู่ในขวดแก้ว หลีกเลี่ยงน้ำที่เย็นจัด น้ำประปา น้ำที่บรรจุอยู่ในขวดพลาสติก หรือน้ำที่มาจากเครื่องกรองน้ำที่ไม่ได้ล้างมาหลายเดือน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เสริมสร้างความแตกต่างให้ผิวด้วยการออกกำลังกาย

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของมนุษย์จะมีการผลิตสารพิษและของเสียออกมาตลอดเวลา อันเนื่องมาจากกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นภายใน ซึ่งสารพิษและของเสียดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของร่างกาย แต่ในภาวะปกติจะถูกระบบขับถ่ายของเสียของร่างกายขับออกมาในรูปของลมหายใจ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ จึงทำให้สารพิษและของเสียดังกล่าวไม่อาจสร้างความเสียหายกับร่างกายได้

อย่างไรก็ตาม หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบการขับถ่าย ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการกับของเสียและสารพิษดังกล่าวลดน้อยลง ของเสียและสารพิษจะเกิดการสะสมตัวยังผลให้เกิดความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยขึ้นกับระบบ
ต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผิวพรรณด้วยเช่นกัน เราไม่อาจทาสีเนื้อไก่ที่กำลังเสียให้แลดูสดใหม่ได้ตลอดเวลาด้วยสีฉันใด ผิวพรรณก็ไม่อาจสวยสดใสแลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างแท้จริงด้วยการแต่งแต้มเครื่องสำอางฉันนั้น

การที่เราจะมีผิวพรรณที่สดใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัยได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ระบบภายในแข็งแรงเสียก่อน เหมือนอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านได้แนะนำไว้ว่า ผิวพรรณจะสวยงามอย่างยั่งยืนได้นั้นต้องมาจากสุขภาพภายในที่แข็งแรง

ร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้เคลื่อนไหว และของเหลวภายในร่างกายก็ได้รับการออกแบบมาให้มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ในหนังสือชื่อ Spring and Autumn Annals ที่มีการรวบรวมมานานกว่า 2,000 ปีก่อน ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า “หากร่างกายไม่เคลื่อนไหว ของเหลวที่สำคัญต่าง ๆ ภายในร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนที่ เมื่อของเหลวเหล่านั้นไม่เคลื่อนที่ พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะติดขัด และเมื่อพลังงานภายในร่างกายติดขัด ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายก็จะสูญเสียพลังงาน และสิ่งแรกที่จะได้รับผลกระทบคือความสามารถในการทำความสะอาดและซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย”

การเคลื่อนที่ของของเหลวบางอย่าง เช่น น้ำเหลือง จะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย กล่าวคือ หากร่างกายมีการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ น้ำเหลืองก็จะมีความสามารถในการเคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายหยุดนิ่ง น้ำเหลืองก็จะนิ่งหยุด กระแสเลือดจะไหลเวียนได้ช้าลง ระบบการระบายของเสียภายในร่างกายจะหยุดทำงาน ทำให้ของเสียและสารพิษมีการสะสมตัวในเลือดและเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็ว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากนี้การไม่ออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เพียงพอยังเป็นสาเหตุของการติดกันของข้อต่อ และการขาดความยืดหยุ่นของเส้นเอ็น การอุดตันของลำไส้และการลดลงของกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย การทำกิจกรรม หรือการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงอย่างสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดพลังงานและก่อให้เกิดชีวิต ในทางกลับกันความเฉื่อยชา หรือการหยุดนิ่งอยู่กับที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมและความตายในที่สุด

เนื่องจากสารพิษและของเสียจะถูกขับออกจากเซลล์และเนื้อเยื่อเข้าสู่กระแสเลือดและน้ำเหลือง เลือดและน้ำเหลืองที่มีการเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอ ย่อมระบายของเสียออกสู่อวัยวะขับถ่ายได้ดีกว่าเลือดและน้ำเหลืองที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังนั้นถ้าหากไม่คิดที่จะออกกำลังเพื่อกระตุ้นให้ของเหลวภายในร่างกายมีการไหลเวียนเสียบ้าง สารพิษและของเสียที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเนื้อเยื่อจะยังคงวนเวียนอยู่ภายในร่างกาย

เพื่อเสริมสร้างการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ควรออกกําลังกายในรูปแบบที่ไม่ต้องมีการใช้กำลังมาก ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หรือเกิดผลลัพธ์ที่ขัดขวางกระบวนการล้างพิษที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น การออกกำลังกายแบบตะวันตก การออกกำลังกายแบบตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของจีน เช่น รำไทเก๊ก โยคะ ชี่กงหรือไทชิ จะมีรูปแบบของการเคลื่อนไหวร่างกายคือเชื่องช้าและนุ่มนวล โดยเน้นไปที่การยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ขดตัวอยู่ให้คลายออก และการผ่อนคลายข้อต่อจากการถูกเสียดสีหรือถูกบดขยี้กันอย่างรุนแรง

การออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยร่างกายในการซ่อมแซมตัวเองและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่จะทำเพื่อความสนุกสนาน แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียด อาการเหนื่อยหอบ หรือก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของร่างกายแต่อย่างใด

การออกกำลังกายแบบตะวันออกจะช่วยขับสารพิษและของเสียออกไปจากเนื้อเยื่อ กระแสเลือด และน้ำเหลือง ช่วยเพิ่มพลังให้แก่ระบบต่างๆของร่างกาย มากกว่าที่จะใช้พลังงานที่ร่างกายสะสมเอาไว้ หรือทำให้ผู้ออกกำลังกายรู้สึกเหนื่อยอ่อน ช่วยเปิดเนื้อเยื่อทำให้พลังงานและเลือดมีการไหลเวียนอย่างอิสระ ช่วยให้กระบังลมเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ทำให้หายใจได้ลึกและเต็มที่ จึงทำให้กระแสเลือดและเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนในปริมาณมาก ทำให้สภาพแวดล้อมภายในร่างกายมีความเป็นด่าง ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสมแก่การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และเนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก กระบังลมจึงทำงานได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่หัวใจไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อที่จะสูบฉีดเลือดให้เต็มไปด้วยออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากของตะวันตกโดยสิ้นเชิง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การออกกำลังกายแบบตะวันตก เช่น ฟุตบอล ยกน้ำหนัก สกี เทนนิส วิ่ง เป็นรูปแบบของการออกกำลังกายที่ใช้พลังงาน ทำให้ผู้เล่นมีเหงื่อออกมามาก หายใจหอบและเร็ว มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่รวดเร็ว จนอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด และอาการบาดเจ็บขึ้นกับร่างกาย การออกกำลังกายแบบตะวันตกเป็นการออกกำลังกายเพื่อความสนุกมากกว่าที่จะเยียวยาหรือก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย รูปแบบของการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและมีการกระทบกระแทกด้วยความรุนแรงต่อร่างกายแบบนี้ทำให้กล้ามเนื้อของผู้เล่นหดและเกร็งตัว ข้อต่ออัดกันแน่นและมีการเสียดสีกันตลอดเวลา ของเหลวภายในร่างกายถูกขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างเป็นอิสระเท่าที่ควร เป็นเหตุให้ของเสียและสารพิษที่สะสมอยู่ในเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ถูกปลดปล่อยออกมา แต่ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายตลอดเวลา

ซึ่งตรงกันข้ามกับการออกกำลังกายแบบตะวันออก การออกกำลังกายแบบตะวันตกจะทำให้ผู้เล่นมีการหายใจที่เร็วและสั้น และมีอาการเหนื่อยหอบ การหายใจที่สั้นและเร็วจนเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในปริมาณน้อยในขณะที่ร่างกายไม่สามารถปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียออกไปได้มากพอ จึงทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดก๊าซออกซิเจน กระแสเลือดและเนื้อเยื่อจะมีความเป็นกรดสูงเนื่องจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในปริมาณมาก

นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างหนักยังทำให้เกิดกรดแลคติกซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอันเนื่องมาจากการออกแรงกล้ามเนื้ออย่างหนักและรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้สภาพแวดล้อมภายในร่างกายมีสภาพเป็นกรด เพื่อคงความแข็งแรงของร่างกายและความสวยงามอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ควรเลือกวิธีการออกกำลังกายแบบตะวันออกที่มีท่วงท่าที่นุ่มนวล ซึ่งจะเสริมสร้างการทำงานของร่างกายในการขับสารพิษได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นการเต้นของหัวใจในการสูบฉีดโลหิต ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับสารอาหารและออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอ ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นดีขึ้น

ผิวสวยเริ่มจากการพักผ่อนที่เหมาะสม

เชื่อว่าทุกคนต่างรู้ถึงประโยชน์ของการนอนหลับเป็นอย่างดี (อย่างน้อยก็เข้าใจว่า จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าหากได้นอนหลับอย่างเต็มที่ หลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน) มีอยู่หลายครั้งจะเห็นว่าหน้าตาของเราอิดโรย อ่อนล้า และทรุดโทรมทุกครั้งที่พักผ่อนไม่เพียงพอ และอาจล้มป่วยได้หากยังไม่หาเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ตามความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้เนื่องจากการนอนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีสุขภาพโดยรวมที่ดี รวมไปจนถึงผิวพรรณที่ดีที่มิอาจปฏิเสธได้ นอกจากจะมีแนวโน้มที่อาจจะเจ็บป่วยได้ง่ายแล้ว คนที่อดนอนบ่อย ๆ จะมีผิวคล้ำ ซูบซีด แห้งกร้าน และมีริ้วรอยง่ายกว่าคนทั่วไป  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อการมีสุขภาพผิวที่ดีจากการนอน ผู้เชี่ยววชาญกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการนอนให้เพียงพอและมีคุณภาพ แต่อย่างไรถึงจะเรียกว่าการนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพ การนอนที่เพียงพอคือจำนวนชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามจำนวนชั่วโมงในการนอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ 7 ถึง 10 ชั่วโมง สิ่งที่จะบอกให้ทราบว่าคุณได้นอนอย่างเพียงพอแล้วได้แก่

  • สามารถตื่นได้เองโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกหรือให้ใครปลุก
  • รู้สึกแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยพลังเมื่อตื่นขึ้น
  • ไม่ต้องการเพิ่มเวลาอีกซัก 10-20 นาทีเพื่อนอนต่อหลังจากนาฬิกาปลุก
  • ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องดื่มจำพวกชากาแฟ เพื่อปลุกสมองให้กระปรี้กระเปร่า
  • รู้สึกอารมณ์ดี สมองปลอดโปร่งตลอดทั้งวัน
  • ในช่วงระหว่างวัน สามารถทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า สมองลื่นไหลดี ไม่หาวหรือสัปหงก
  • สามารถตื่นได้ในเวลาเดิมทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องนอนเพิ่ม หรือนอนตื่นสายกว่าปกติแม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ตาม

นอกจากการนอนหลับที่เพียงพอแล้ว จำเป็นต้องมีการนอนที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน การนอนที่มีคุณภาพคือการหลับที่ลึกและสนิท ทางการแพทย์จะแบ่งช่วงของการหลับออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ช่วงหลับตื้น (ช่วง 2 ชั่วโมงแรกของการหลับ) และช่วงหลับลึก (หลังจาก 2 ชั่วโมงแรกผ่านไป) ช่วงหลับลึกเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมากเนื่องจากเป็นช่วงที่สมองจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ การที่หลับในช่วงเวลานี้ยาวนาน จะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสมองแจ่มใส ความจำดีเมื่อตื่นขึ้น
นอกจากนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านความงามของผิวพรรณออกมายืนยันถึงคุณประโยชน์ของการนอนที่เพียงพอ และมีคุณภาพต่อผิวพรรณอีกว่า การนอนหลับส่งผลดีต่อการฟื้นฟูของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวพรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองที่ผิวพรรณจะฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง และเต่งตึง ในช่วงที่เราหลับสนิท ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เช่น ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต และฮอร์โมนเพศซึ่งจะส่งผลต่อความสดใสเปล่งปลั่งของผิวพรรณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอจึงมีผิวพรรณที่ผ่องใส เปล่งปลั่ง และดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ

ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นถึงโทษของการละเลยช่วงเวลาทองดังกล่าวว่า สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำงานช่วงกลางคืน มีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและทรุดโทรมของผิวพรรณมากกว่าคนทั่วไปที่นอนตามเวลาปกติ เนื่องจากในช่วงที่ทำงานอยู่นั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2) จะพลาดโอกาสที่จะให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หลังจากที่ต้องเผชิญกับสภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมมาตลอดทั้งวัน เช่น มลภาวะ ความเครียด แสงแดด ความร้อน หรือแม้แต่การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุยกันในระหว่างวัน ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณแห้งกร้าน มีริ้วรอยเหี่ยวย่นหยาบและทรุดโทรมเร็วกว่าปกติ และที่สำคัญการนอนช่วงเช้าก็ไม่อาจทดแทนช่วงเวลาทองที่ผ่านไปแล้วได้ การนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อการหดเกร็งที่เกิดจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในระหว่างวัน จึงทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ช้าลง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าการนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพ ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมและสุขภาพของผิวพรรณ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาในการหลับไม่สนิท หรือหลับอย่างเพียงพอหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน 7-8 ชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อตื่นขึ้นมากับรู้สึกอ่อนเพลีย อิดโรย ราวกับไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน เพื่อการนอนหลับสนิทและยาวนานอย่างเพียงพอ การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนอนก็เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพในการนอนตลอดทั้งคืนที่ไม่ควรละเลย ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการนอนเพื่อการนอนที่มีคุณภาพและเพียงพอ ให้ตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้ให้ครบก่อนเข้านอนทุกครั้ง

  • นั่งสมาธิก่อนเข้านอนเพื่อทำใจให้สงบ
  • เปลี่ยนหลอดไฟในห้องนอนจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดามาเป็นหลอดไฟที่ให้แสงสีเหลืองนวล
  • หากต้องทำงานก่อนนอน ให้หยุดทำงานก่อนเข้านอน 10-15 นาที
  • จัดห้องนอนให้มีบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนให้มากที่สุด
  • อย่าเอางานไปทำในที่นอน หรือนำหนังสือไปอ่านบนเตียง
  • ไม่นำอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ สเตอริโอ เข้าไปไว้ในห้องนอน
  • แยกอุปกรณ์การทำงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน แฟ้มเอกสาร ฯลฯ ออกจากห้องนอน
  • นอนในห้องที่มืดสนิท
  • กินอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรธรรมชาติที่ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น
  • อย่ากินอาหารก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมากก่อนเข้านอน
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัดหรือย่อยยากก่อนเข้านอน
  • หากหิวให้ดื่มนมอุ่นๆ ผสมผงจันทร์เทศสักเล็กน้อยก่อนเข้านอน
  • เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศให้ถ่ายเทสะดวก
  • นอนบนที่นอนที่ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป
  • ชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนนอนทุกครั้ง
  • เลือกใช้อุปกรณ์ในการนอนที่ระบายความร้อนและความชื้นได้ดี
  • ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้นาฬิกาปลุกที่มีลานส่งเสียงดัง แล้วหันมาใช้นาฬิกาแบบดิจิตอลแทน
  • สร้างแสงสลัวที่สงบในห้องนอนด้วยการจุดเทียนหอม
  • เลือกใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณในการผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น เช่น ลาเวนเดอร์ ( Lavender ) มาร์จอแรม ( Marjoram ) คาโมไมล์ ( Chamomile ) เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

บุหรี่ ตัวการแห่งความเสื่อมโทรมที่ต้องหลีกเลี่ยง

บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง มีการพบว่าร้อยละ 30 ของปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่มาจากภายนอกมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่โดยพบว่า 9 ใน 10 ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดจะมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ มีจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าการสูบบุหรี่ก่อให้เกิดมะเร็งปอดแต่เพียงอย่างเดียว แท้จริงแล้วบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของมะเร็งชนิดอื่นอีกมากมายอันได้แก่ มะเร็งสมอง ระบบประสาท ผิวหนัง ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง ตับอ่อน ต่อมน้ำเหลือง ไต กระเพาะปัสสาวะ มดลูก และลำไส้ใหญ่

จากการศึกษาส่วนประกอบของบุหรี่พบว่าบุหรี่ 1 มวนมีสารประกอบทางเคมีมากกว่า 30,000 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดล้วนก่อให้เกิดโทษต่อสุขภาพทั้งสิ้น นอกจากจะมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายจำนวนมากแล้วบุหรี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของความเสียหายและความเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่ออีกด้วย

อนุมูลอิสระที่เกิดจากบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายเอนไซม์ ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งนั่นหมายรวมถึงความอ่อนเยาว์และความงามของผิวพรรณที่จะต้องถูกทำลายไปด้วย คนที่สูบบุหรี่จัดจำนวนมากพบว่าผิวพรรณที่เคยเต่งตึง เรียบเนียน และเปล่งปลั่ง ได้ร่วงโรยเหี่ยวย่นและหมองคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสูบบุหรี่

จากงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการลุกลามของมะเร็งเต้านมไปยังปอดมากกว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมแต่ไม่ได้สูบบุหรี่ นักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งศูนย์การแพทย์ดาวิส ได้ทำการตรวจสอบบันทึกการทดลองของอาสาสมัครหญิงจำนวน 87 คน ที่เป็นมะเร็งเต้านมและมีการกระจายของมะเร็งไปยังปอด นักวิจัยได้ทำการจับคู่อาสาสมัครเหล่านี้กับอาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นมะเร็งเต้านมแต่ไม่พบการกระจายของเชื้อมะเร็งไปยังปอด โดยการจับคู่กันระหว่างอาสาสมัคร 2 กลุ่ม นักวิจัยจับคู่อาสาสมัครที่มีจำนวนปีในการเป็นโรค ขนาดของเนื้องอก ฯลฯ ที่เหมือนกันเข้าด้วยกัน ด้วยผลการตรวจที่ได้

นักวิจัยเห็นพ้องต้องกันว่าการสูบบุหรี่ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการกระจายตัวของเชื้อมะเร็งจากเต้านมไปยังปอดได้ การสูบบุหรี่บั่นทอนสุขภาพ และยังก่อให้เกิดโรคภัยที่นอกเหนือจากโรคมะเร็ง เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว แผลหายช้า โรคเส้นเลือดในสมองตีบ เส้นเลือดโป่งพอง แผลเปื่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้ อสุจิไม่แข็งแรง ทารกแรกเกิดไม่แข็งแรง นัยน์ตาเป็นต้อกระจก
เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการพบว่า การหยุดสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ถึงร้อยละ 30    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณได้ออกมาเตือนสติสิงห์อมควันทั้งหลายถึงพิษภัยของบุหรี่ที่มีต่อสุขภาพและความงาม และรณรงค์ให้หยุดสูบบุหรี่โดยเร็วที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป ด้วยกระแสของการรณรงค์และความตั้งใจจริงของผู้สูบบุหรี่ คนจำนวนมากต่างออกมายอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า ความแตกต่างระหว่างช่วงที่สูบบุหรี่ และหลังจากหยุดสูบบุหรี่ไปแล้ว เมื่อหยุดสูบรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดใส เต็มไปด้วยพลังชีวิต และเหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกว่าริ้วรอยบนผิวพรรณและใบหน้าเริ่มเลือนหายลงไปเรื่อย ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะเดียวกันก็ได้สัญญาว่าจะไม่หวนกลับไปสูบบุหรี่อีกต่อไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ความเครียด ต้นตอแห่งริ้วรอยที่คุณไม่เคยรู้

ความเครียดที่มากเกินไปไม่เคยก่อให้เกิดผลดีกับใครทั้งสิ้น รวมไปถึงผิวพรรณด้วย ทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความเครียดมาแล้วทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักรู้สึกไม่ค่อยสบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ กินไม่ลง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากความตึงเครียดทั้งสิ้น และแน่นอนที่ผิวของเราก็จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่เราเครียด มักแสดงออกทางสีหน้า เช่น ขมวดคิ้ว เม้มปาก ย่นหน้าผาก เป็นต้น

ซึ่งการแสดงออกทางสีหน้าที่ทำบ่อยครั้งจะเป็นการเน้นย้ำกล้ามเนื้อให้หดเกร็ง จนเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นลึกถาวรที่ชั้นหนังแท้ วิธีเดียวที่จะป้องกันการเกิดริ้วรอยจากความตึงเครียดก็คือ การรู้จักผ่อนคลายอย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายอย่างเหมาะสม เช่น ออกกำลังกาย โทรศัพท์ ดูโทรทัศน์ พูดคุยกับเพื่อนหรือสมาชิกในบ้าน หรือนั่งวิปัสสนา กำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดสมาธิจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ จะช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดีช่วยทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย

จากการศึกษาพบว่า การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติและระบบการหลั่งฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงมีความเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจโดยตรง ฮอร์โมนเพศหญิงมีอิทธิพลต่อสภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอย ระบบการขนส่งสารอาหารไปยังผิวหนัง การสะสมไขมันที่ชั้นใต้ผิวหนัง มีการพบว่าในขณะที่เรามีอารมณ์แจ่มใส การทำงานของระบบฮอร์โมนเพศจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่งสดใสกว่าปกติ

ในทางกลับกันขณะที่เราอยู่ในสภาวะตึงเครียดระบบการไหลเวียนโลหิตแปรปรวน ยังผลระบบประสาทอัตโนมัติเสียสมดุล ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ทำให้การลำเลียงสารอาหารมายังเซลล์ผิวหนังต้องติดขัด ผิวพรรณหยาบกร้าน ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากจนทำให้เกิดปัญหาสิวตามมา มีวิธีเดียวที่จะจัดการกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ คือการรู้จักรับมือกับความเครียดอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้กลับมาอยู่ในสภาวะสมดุลและเป็นปกติอีกครั้ง [adinserter name=”navtra”]

การนั่งวิปัสสนา หนึ่งในวิธีที่จะช่วยจัดการกับความเครียดจะเป็นตัวเชื่อมร่างกายและจิตใจเข้าด้วยกัน ทำหน้าที่ในการรักษาระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาวะสมดุลและทำงานด้วยความราบรื่น ทำหน้าที่เหมือนเครื่องสูบฉีดพลังและเลือดที่เต็มไปด้วยสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของการทำงานของเซลล์และเนื้อเยื่อ การหายใจที่ดีและถูกต้องจะช่วยป้องกันและรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้ ช่วยเพิ่มความสามารถที่เกี่ยวกับไฟฟ้าให้กับเซลล์ ช่วยขยายสนามพลังงานของร่างกายทั้งหมด ช่วยปรับร่างกายและจิตใจให้มีความสอดประสานกันด้วยการปรับสมดุลของระบบพลังงานทั้งหมดของร่างกาย

นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง ช่วยลดภาวะติดสารเสพติด ช่วยลดอาการตื่นกลัว ทำให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย ช่วยทำความสะอาดเลือด การหายใจที่ถูกต้องและมีคุณภาพจะทำหน้าที่กระตุ้นเนื้อเยื่อให้ปลดปล่อยสารพิษและของเสียที่สะสมอยู่ภายในออกมา ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อสะอาด ช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดอาการเจ็บปวด ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับฮีโมโกลบิน ทำให้เลือดสะอาดและสดใหม่อยู่เสมอ

นอกจากนี้การหายใจที่ดียังทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่อโรคภัยสูงขึ้นและยังช่วยป้องกันร่างกายจากพลังงานบางชนิด เช่น คลื่นไมโครเวฟ กัมมันตภาพรังสี เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

โครงสร้าง และ ส่วนประกอบของเต้านม

0
ส่วนประกอบภายในเต้านมของผู้หญิง มีกล้ามเนื้อ ไขมัน ท่อน้ำนม เซลล์ผลิตน้ำนม ฐานนม หัวหัว
ส่วนประกอบภายในเต้านมของผู้หญิง มีกล้ามเนื้อ ไขมัน ท่อน้ำนม เซลล์ผลิตน้ำนม ฐานนม หัวหัว

เต้านม คือ

เต้านม ( Breast ) คือ อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายผู้หญิงอยู่บริเวณหน้าอกทั้งสองข้าง เต้านมของเด็กหญิงจะแบนราบ และจะพัฒนาขยายขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงเริ่มเป็นวัยรุ่น เมื่อผู้หญิงมีบุตรเต้านมจะผลิตน้ำนม ประกอบไปด้วยท่อน้ำนมต่อมน้ำนมประมาณ 15–20 ต่อม ตรงปลายของต่อมน้ำนมเล็ก ๆ จะมีถุงกระเปาะขนาดเล็กเป็นแหล่งผลิตน้ำนม ทั้งหมดจะถูกเชื่อมต่อถึงกันโดยท่อน้ำนมและจะไปสิ้นสุดที่หัวนม ส่วนบริเวณช่องว่างระหว่างต่อมน้ำนมและท่อน้ำนมจะเป็นไขมันแทรกตัวอยู่โดยมีกล้ามเนื้อรองรับเต้านมอยู่เหนือกระดูกซี่โครงอีกชั้นหนึ่งเส้นเลือดจากบริเวณกล้ามเนื้อทรวงอกมาหล่อเลี้ยง มีไขมันล้อมรอบกลายเป็นเต้านมแต่ละข้าง มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือเอ็นที่ชื่อคูเปอร์แผ่ยึดระหว่างฐานนมและผิวหนัง ทำหน้าที่ในการพยุงส่วนประกอบของเต้านมให้คงรูป นอกจากนี้เต้านมไม่ใช่เนื้อก้อนใหญ่ ๆ ก้อนหนึ่งแต่แบ่งออกเป็นกลีบ ๆ ไม่ต่างอะไรจากกลีบส้ม มีหัวนมเป็นศูนย์กลางของเต้านม ซึ่งต่อมน้ำนมทุกต่อมมีท่อน้ำนมต่อเชื่อมไปออกที่ปลายหัวนม เป็นทางระบายออกนอกร่างกายให้ทารกดื่มกิน ทั้งหมดถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดแดงจากผนังอก และท่อน้ำเหลืองที่เชื่อมไปถึงต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ และเหตุผลที่เต้านมสามารถสั่นคลอนและห้อยย้อยได้ก็เพราะว่าเอ็นคูเปอร์ไม่ได้ยึดเอาไว้แน่นนั่นเอง

โครงสร้างของเต้านม

เต้านมมีหน้าที่ เป็นอวัยวะสร้างน้ำนม เพื่อเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติสำหรับทารก

1. เส้นเลือดแดงเป็น internal mammary arteries ซึ่งประสานกับ lateral thoracic arteries
2. ท่อน้ำเหลืองติดต่อกับต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้และใต้กระดูกไหปลาร้า
3. เส้นประสาทมาจากเส้นที่ 4-6 ของ intercostal nerves ไปเลี้ยง ส่วนใหญ่ที่หัวนมและลานม

ส่วนประกอบของเต้านม

เต้านมประกอบด้วยต่อมและเนื้อเยื่อไขมันมากมายระหว่างชั้นของผิวหนัง และผนังช่องอก ซึ่งเนื้อเยื่อไขมันนี่เองที่เป็นตัวกำหนดขนาด และรูปร่างของทรวงอก ขณะที่มีบุตรต่อมดังกล่าวจะผลิตน้ำนมส่งผ่านท่อน้ำนมไปยังหัวนม ดังนั้นช่วงที่ให้นมลูก ต่อมน้ำนม และท่อต่างๆ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เต้านมยังประกอบด้วยเส้นเลือด และน้ำเหลือง โดยน้ำเหลืองจะนำของเสียที่เต้านมขับออกไปยังเนื้อเยื่อขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วที่เรียกว่า ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ซึ่งต่อมน้ำเหลืองจะทำหน้าที่กรอง และทำความสะอาดน้ำเหลือง

การเปลี่ยนขนาดของเต้านมจากฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน

  • ช่วงก่อนมีประจำเดือน จะรู้สึกคัดเค้าเต้านมหรือเต้านมขยายใหญ่ขึ้น
  • ช่วงหลังเป็นประจำเดือน ขนาดของเต้านมจะเล็กลง
  • ช่วงตั้งครรภ์เต้านมจะขยายขนาดขึ้น
  • การคุมกำเนิดโดยวิธีต่าง ๆ ซึ่งเป็นการรับฮอร์โมนเพศหญิงจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย ก็อาจทำเต้านมขยายใหญ่ขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนชนิดฉีด กิน หรือทา

ความผิดปกติที่เกิดกับเต้านม

การมีน้ำคัดหลั่งออกมาทางหัวนม ( Nipple Discharge ) ภาวะเช่นนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงของท่อน้ำนม มะเร็งเต้านม ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด และระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์หากพบว่ามีน้ำคัดหลั่งจากหัวนมไหลออกมาเองโดยไม่ได้อยู่ในช่วงของการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

เต้านมอักเสบ ( Mastitis ) เป็นการอักเสบบริเวณเต้านมที่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อยู่ระหว่างการให้นมบุตร เกิดจากการอุดตันของท่อน้ำนมจนทำให้น้ำนมสะสมตัวอยู่ภายในจนเกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย อาการที่พบคือมีก้อนที่เต้านม ปวด บวมแดง และรู้สึกเจ็บเมื่อโดนกดเต้านมบริเวณที่อักเสบ ในเบื้องต้นแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะในการรักษา แต่ถ้าพบว่ามีฝีหรือหนองอักเสบอยู่ภายในก็อาจต้องเจาะหนองหรือผ่าตัดออก

ท่อน้ำนมโป่งพอง ( Mammary duct ectasia ) เกิดกับผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน มีสาเหตุมาจากการอักเสบและอุดตันของท่อน้ำนมบริเวณใต้หัวนม ทำให้เกิดการเจ็บปวดและมีน้ำคัดหลั่งที่ข้นเหนียวสีเทาถึงสีเขียวออกมาทางหัวนม วิธีการรักษาคือให้ใช้น้ำร้อนประคบและบีบเค้นเบาๆ ให้น้ำคัดหลั่งไหลออกมาจนหาย ควบคู่กับการใช้ยาปฏิชีวนะ และหากจำเป็นก็อาจต้องทำการผ่าตัดเอาท่อน้ำนมที่อักเสบออก

ภาวะผู้ชายมีนม ( Gynecomastia ) เป็นอาการที่เนื้อเยื่อเต้านมของผู้ชายเกิดการขยายตัว ทำให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเกิดจากการมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ควบคุมลักษณะความเป็นหญิงที่มากเกินไป

ก้อนที่เต้านมชนิดไม่ร้ายแรง ( Benign Breast Lump ) โดยทั่วไปก้อนที่เต้านม มักพบในผู้หญิงช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป โดยเกิดจากสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้
• ไฟโบรซิสติค ( Fibrocystic Disease ) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำ จนมีก้อนโตขึ้นและเจ็บเต้านมก่อนจะมีรอบเดือน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสองข้างหรือข้างเดียวแต่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อรอบเดือนหมด และจะหายไปเองเมื่อผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนโดยไม่จำเป็นต้องทำการรักษา
• ไฟโปรอดีโนมา ( Fibroadenoma ) เป็นเนื้องอกไม่ร้ายแรงที่เป็นก้อนแข็งขนาดราวๆ 1 – 5 เซนติเมตร ประกอบด้วยพังผืดและเนื้อเยื่อจากต่อมน้ำนม มักไม่มีอาการเจ็บแต่อาจรู้สึกคัดเต้านมบ้าง ก่อนมีรอบดือนเวลาคลำดูจะรู้สึกว่ามันกลิ้งไปมาได้ มักเกิดในผู้หญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์ สามารถรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเอาก้อนออก
• เซลล์ไขมันในเต้านมถูกทำลาย ( Fat Necrosis ) เกิดจากการที่เต้านมได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงและมีเลือดออกในเต้านม มักเกิดในคนที่มีเต้านมใหญ่หรือเกิดจากอุบัติเหตุที่แม้แต่ผู้ป่วยเองก็อาจไม่รู้ตัว ทำให้ไขมันเกิดการอักเสบรวมกันเป็นก้อนและมีอาการช้ำซึ่งอาจจะปวดหรือไม่ก็ได้ สังเกตดูจะพบว่าผิวหนังด้านบนช้ำเลือดช้ำหนอง อาการนี้อาจหายไปได้เองหรือจะทำการผ่าตัดเอาออกก็ได้
• ซีสต์ ( Cysts ) คือเนื้องอกที่เป็นถุงน้ำ บางครั้งอาจเป็นก้อนที่อ่อนนุ่มและเกิดขึ้นก่อนมีรอบเดือน แพทย์อาจทำการรักษาโดยเจาะของเหลวออก ซึ่งหากก้อนยุบลงทันทีหลังจากเจาะและของเหลวนั้นไม่มีสีหรือออกเป็นสีเขียว ก็ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาเพิ่ม แต่ถ้าหากของเหลวมีเลือดเจือปนก็ต้องส่งไปตรวจดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ และอาจต้องใช้วิธีผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก

มะเร็งเต้านม ( Breast Cancer ) จัดเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรงของเต้านม มักไม่แสดงอาการใดๆ ในระยะเริ่มต้น แต่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้จากการเอกซเรย์เต้านมหรือที่เรียกว่าแมมโมแกรม ( Mammogram ) ร่วมกับการอัลตร้าซาวด์ของเต้านม ในระยะถัดมาผู้ป่วยจะสามารถคลำพบก้อนภายในเต้านมได้ด้วยตนเองโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด ซึ่งก้อนที่พบจะไม่เปลี่ยนแปลงขนาดไปตามระยะของการมีรอบเดือน และอาจมีของเหลวไหลออกมาจากหัวนม หรือผิวหนังเหนือเต้านมขรุขระเหมือนผิวส้ม

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

เต้านม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://th.wikipedia.org

สุขภาพของเต้านม ไม่ใช่แค่มะเร็งที่คุณต้องระวัง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.bumrungrad.com

“Breast cancer. Clinical practice guidelines in oncology”. Journal of the National Comprehensive Cancer Network : JNCCN (2): 122–92.