Home Blog Page 5

มาเด้คอลลาเจน ตัวช่วยลดสิว ลดผื่น ขับสารพิษ กู้หน้าพัง จากประเทศอิตาลี!

0
มาเด้คอลลาเจน

มาเด้คอลลาเจน

ปัจจุบันการรักษาสิวเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้มีวิธีการรักษาสิวที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งการฉีด “มาเด้คอลลาเจน” เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ลดผิวอักเสบ ลดผื่นแพ้ ลดสิว แบบเห็นผลลัพธ์เร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาทาครีมบำรุงผิวเป็นเวลานาน 

ก่อนตัดสินใจฉีดมีข้อควรรู้อะไรบ้าง ในบทความนี้ มีข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดมาเด้คอลลาเจน คืออะไร ? ช่วยอะไร เหมาะกับใคร ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างไร แตกต่างจากเมโสหน้าใสไหม และข้อควรรู้อื่น ๆ มาบอกต่อค่ะ

มาเด้คอลลาเจน ยี่ห้อเมโสหน้าใสจากอิตาลี คืออะไร ?

มาเด้คอลลาเจน คืออะไร

มาเด้คอลลาเจน (made collagen) เป็นชื่อยี่ห้อยาฉีดของประเทศอิตาลีที่ใช้ในการทำเมโสหน้าใส โดยจะฉีดด้วยเทคนิคพิเศษ มาเด้ 16 จุดทั่วใบหน้า โดยมีจุดเด่นคือช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ลดผิวอักเสบ ลดผื่นแพ้ ลดสิว และช่วยให้หน้าขาวกระจ่างใสขึ้น

มาเด้คอลลาเจน มีส่วนประกอบของสารอาหารที่สำคัญต่อผิวหน้า ได้แก่

  • วิตามินรวม ที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและชะลอการเสื่อมของคอลลาเจนในผิว
  • แร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการบำรุงผิวหน้า
  • อาร์จินีน ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • ไกลซีน ที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว
  • ลิวซีน ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ผิว

เมื่อฉีดมาเด้คอลลาเจน สารอาหารเหล่านี้จะถูกส่งตรงเข้าสู่ชั้นผิว เพื่อช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวดูกระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ลดริ้วรอย และกระชับรูขุมขน

นอกจากนี้ มาเด้คอลลาเจนยังช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ทำให้ผิวสะอาด ปราศจากสิว ฝ้า กระ และช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรง ทนต่อมลภาวะยิ่งขึ้น

ทำไมต้องเลือกมาเด้คอลลาเจน ?

เหตุผลที่มาเด้คอลลาเจนได้รับความนิยมในการทำเมโสหน้าใส มาจากความเป็นสารสกัดธรรมชาติที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การฉีดมาเด้คอลลาเจนเข้าไปในผิวหนังช่วยให้สารบำรุงเข้าถึงชั้นผิวได้ลึกและกระจายตัวได้ดี ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เห็นได้ชัดเจนและรวดเร็วกว่าการใช้ครีมหรือการรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริม

ประโยชน์และข้อดีการฉีดมาเด้คอลลาเจน

มาเด้คอลลาเจน ช่วยอะไร

✓ ลดสิว ลดผดผื่น 

ช่วยให้ต่อมไขมันทำงานลดลง ลดการอักเสบ ลดสิว ขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว

✓ ช่วยให้ผิวขาวใส เติมความชุ่มชื้นให้ผิว 

ด้วยส่วนผสมของวิตามิน เช่น Vitamin A B C E, Transamin, Glutathione

✓ ช่วยปรับสมดุลผิวให้แข็งแรงขึ้น 

ด้วยส่วนผสมของคอลลาเจนและโคเอนไซม์ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวฟูขึ้น กระชับรูขุมขน บำรุงผิวใส พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน 

มาเด้คอลลาเจน เหมาะกับใคร ?

มาเด้คอลลาเจน เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวให้กระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหาผิว ดังนี้

  • มีสิวเรื้อรัง: มาเด้คอลลาเจนมีส่วนผสมของสารที่ช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ทำให้ผิวสะอาด ปราศจากสิว ฝ้า กระ และช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อมลภาวะ
  • ผิวแพ้ง่าย : มาเด้คอลลาเจนเป็นสูตรธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้
  • ผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น : มาเด้คอลลาเจนมีส่วนผสมของวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อผิว ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เนียนนุ่ม เต่งตึง ส่งผลให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น
  • ผิวมีริ้วรอย : มาเด้คอลลาเจนมีส่วนผสมของคอลลาเจน ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลง
  • ผิวมีรูขุมขนกว้าง : มาเด้คอลลาเจนมีส่วนผสมของสารที่ช่วยกระชับรูขุมขน ส่งผลให้รูขุมขนดูเล็กลง

วิธีการใช้งานและขั้นตอนฉีดมาเด้คอลลาเจน

การฉีดมาเด้คอลลาเจนต้องผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง และต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์เท่านั้น โดยทั่วไปจะมีการฉีดเข้าไปในจุดต่าง ๆ บนใบหน้า 16 จุด ซึ่งจะช่วยให้ตัวยากระจายตัวได้อย่างทั่วถึงและเข้าถึงต่อมน้ำเหลืองได้ดี

กระบวนการออกฤทธิ์ของตัวยามาเด้คอลลาเจน 

กระบวนการออกฤทธิ์ของตัวยามาเด้คอลลาเจน

กระบวนการออกฤทธิ์ของตัวยามาเด้คอลลาเจน แบ่งออกเป็น 4 เฟส ดังนี้

Phase ที่ 1: กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง

เมื่อฉีดมาเด้คอลลาเจนเข้าสู่ผิว สารอาหารในยาจะกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองในชั้นผิว ทำให้ผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผิวดูกระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น

Phase ที่ 2: ยับยั้งอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระในมาเด้คอลลาเจนจะช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และผิวหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์

Phase ที่ 3: เติมสารอาหารให้ผิว

สารอาหารในมาเด้คอลลาเจนจะช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวดูสุขภาพดี

Phase ที่ 4: ขับสารพิษออกจากผิว

สารที่ช่วยขับสารพิษในมาเด้คอลลาเจนจะช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ทำให้ผิวสะอาด ปราศจากสิว ฝ้า กระ และช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อมลภาวะ

กระบวนการออกฤทธิ์ของตัวยามาเด้คอลลาเจนข้างต้น จะส่งผลดีต่อผิวโดยรวม ทำให้ผิวดูกระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ร่องลึก กระชับรูขุมขน และขับสารพิษออกจากผิวได้ค่ะ

มาเด้คอลลาเจน แตกต่างจากเมโสหน้าใสไหม ?

แตกต่างกันค่ะ มาเด้คอลลาเจน เป็นหนึ่งในยี่ห้อของเมโสหน้าใส โดยทั่วไปแล้ว เมโสหน้าใส เป็นชื่อเรียกรวม ๆ ของการฉีดสารอาหารเข้าสู่ผิวชั้นกลางด้วยเข็มขนาดเล็ก เพื่อช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส เต่งตึง และชุ่มชื้น มีหลากหลายสูตรให้เลือกตามความต้องการ เช่น สูตรหน้าขาวใส สูตรลดริ้วรอย สูตรลดฝ้า กระ เป็นต้น

ส่วนมาเด้คอลลาเจน เป็นสูตรลดสิว ยี่ห้อของเมโสหน้าใสจากประเทศอิตาลีที่มีจุดเด่น คือ 

  • ช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว
  • ลดผิวอักเสบ ลดผื่นแพ้ ลดสิว
  • ช่วยให้หน้าขาวกระจ่างใสขึ้น

มาเด้คอลลาเจน กับ เมโสหน้าใส ต่างกันอย่างไร

มาเด้คอลลาเจน อันตรายไหม ?

หากใช้ตัวยามาเด้คอลลาเจนแท้และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะมีความปลอดภัยสูงค่ะ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ, โรคไต หรือโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีดมาเด้คอลลาเจน

แต่ในบางกรณีอาจเกิดอันตรายจากการฉีดมาเด้คอลลาเจนได้ โดยเฉพาะหากใช้ยาปลอมหรือฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญ ดังนี้:

  • อาการแพ้: อาจเกิดอาการแพ้จากสารในยา เช่น ผื่นคัน, บวม, หายใจลำบาก ในกรณีเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • การติดเชื้อ: บริเวณที่ฉีดอาจติดเชื้อได้ โดยปกติพบได้น้อยมาก และมักเกิดจากการใช้เข็มที่ไม่สะอาดหรือเทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง ควรเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่สะอาดและมีมาตรฐาน
  • ผลข้างเคียงอื่น ๆ: เช่น รอยเข็ม, อาการบวมแดง, อาการปวด เป็นต้น

ดังนั้น การฉีดมาเด้คอลลาเจนควรดำเนินการภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์มากประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ

วิธีการตรวจสอบมาเด้คอลลาเจนของแท้ 

วิธีการตรวจสอบมาเด้คอลลาเจนของแท้ มีดังนี้

  • ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ของมาเด้คอลลาเจนแท้จะมีสติกเกอร์ซีลที่ฝากล่องด้านข้าง (ต้องเปิดตามรอยปรุที่กลางกล่อง) มีบาร์โค้ดระบุชื่อคลินิกหรือบริษัทที่ซื้อ ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์ครบถ้วนถูกต้อง
  • ตรวจสอบตัวยา มาเด้คอลลาเจนแท้จะมีสีใส ไม่มีตะกอน 
  • ปรึกษาแพทย์ ก่อนฉีดมาเด้คอลลาเจน ควรปรึกษาแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย 

ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจว่ามาเด้คอลลาเจนที่ได้รับเป็นของแท้หรือไม่ ควรสอบถามอย่างละเอียดกับคลินิกกับแพทย์ให้แน่ใจก่อนค่ะ 

วิธีลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายจากการฉีดมาเด้คอลลาเจน 

เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายจากการฉีดมาเด้คอลลาเจน มีวิธีการที่ควรปฏิบัติดังนี้:

  • เลือกผลิตภัณฑ์และคลินิกที่มีคุณภาพ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้ผลิตภัณฑ์มาเด้คอลลาเจนแท้และเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองมาตรฐาน
  • ตรวจสอบประวัติการแพ้: ก่อนทำการฉีด ควรแจ้งประวัติการแพ้ของตัวเองกับแพทย์เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ส่วนประกอบของยา
  • ปรึกษากับแพทย์มากประสบการณ์: ก่อนทำการฉีดควรปรึกษากับแพทย์เก่งประสบการณ์สูงเพื่อประเมินความเหมาะสมและให้คำแนะนำที่เหมาะสม
  • ติดตามผลหลังการฉีดอย่างใกล้ชิด: หลังการฉีดควรติดตามผลและสังเกตอาการผิดปกติ เช่น การบวมรุนแรงหรือผื่นคัน และควรรีบติดต่อแพทย์ทันทีหากพบอาการผิดปกติ
  • งดการใช้สารกระตุ้นผิวหลังการฉีด: หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่อาจกระตุ้นผิวหรือก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวในช่วงแรกหลังการฉีดมาเด้คอลลาเจน
  • การรักษาความสะอาดและเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง: ให้แน่ใจว่าการฉีดมาเด้คอลลาเจนดำเนินการโดยแพทย์มากประสบการณ์ที่ใช้เทคนิคที่ถูกต้องและใช้เข็มที่สะอาด ถูกสุขอนามัย

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดอันตรายจากการฉีดมาเด้คอลลาเจนค่ะ

การเตรียมตัวก่อนการฉีดมาเด้คอลลาเจน

ก่อนที่จะทำการฉีดมาเด้คอลลาเจน การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญ ควรงดการทานวิตามินที่ทำให้เลือดออกง่าย ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่อาจทำให้เกิดการแพ้หรืออักเสบ และควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้หรือสภาพผิวปัจจุบัน เพื่อประเมินความเสี่ยงและคำแนะนำที่เหมาะสม

คำแนะนำหลังการฉีดมาเด้คอลลาเจน 

หลังฉีดมาเด้คอลลาเจน ควรมีการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม อาทิเช่น การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง, การใช้ครีมกันแดด, การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้ยาวนานและเห็นผลที่ดีที่สุด

การบำรุงผิวหลังการฉีดมาเด้คอลลาเจน

การบำรุงผิวหลังการฉีดมาเด้คอลลาเจนถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่ควรละเลย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนและไม่มีสารระคายเคือง เพื่อไม่ให้ผิวหน้าที่ได้รับการบำรุงจากมาเด้คอลลาเจนถูกทำลาย 

โดยสามารถใช้โลชั่นหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของอาหารผิว เช่น วิตามินซี ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid HA : HYA) หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว 

ผลข้างเคียงและการป้องกัน หลังฉีดมาเด้คอลลาเจน

แม้ว่ามาเด้คอลลาเจนจะเป็นสารสกัดธรรมชาติและมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น การบวมหรือแดงที่จุดฉีด การป้องกันผลข้างเคียงสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังการฉีด

การรักษาผลลัพธ์หลังฉีดมาเด้คอลลาเจนให้อยู่ได้นาน 

การฉีดมาเด้คอลลาเจน เป็นหัตถการที่ควรได้รับการฉีดอย่างสม่ำเสมอ และดูแลอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดการบำรุงผิวหลังจากการฉีดเพียงครั้งเดียว เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ยั่งยืน ผิวหน้าดูสุขภาพดีค่ะ 

การดูแลตัวเองหลังการฉีดมาเด้คอลลาเจน

การดูแลตัวเองหลังการฉีดมาเด้คอลลาเจน

หลังจากการฉีดมาเด้คอลลาเจน เป็นสิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ โดยสามารถดูแลตัวเองได้ ดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงการกด นวดผิว บริเวณที่ทำทันที ในช่วง 1-2 คืนแรก
  • งดทาครีมบริเวณที่ทำมาเด้ 1 คืน เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบ
  • ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ 2 ลิตรต่อวัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดและมลภาวะ หมั่นทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เป็นประจำ
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ อาหารหมักดอง ของมัน ของทอด และอาหารรสจัด
  • ทานยาแก้ปวดและประคบเย็นได้ หากมีอาการปวด บวม หรือช้ำบริเวณที่ทำ

ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดมาเด้คอลลาเจน

ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดมาเด้คอลลาเจนจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยปกติแล้ว จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงประมาณ 3 วันหลังฉีด และเห็นผลเต็มที่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ว่าผิวดูกระจ่างใสขึ้น เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ริ้วรอย ร่องลึก ดูจางลง รูขุมขนดูเล็กลง รอยสิวดูจางลง

อย่างไรก็ตาม การได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้นต้องอาศัยการดูแลอย่างต่อเนื่องและเป็นประจำ

มาเด้คอลลาเจน ควรฉีดบ่อยแค่ไหน ?

การฉีดมาเด้คอลลาเจน แนะนำให้ฉีด 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกัน 4-6 ครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้จะชัดเจนขึ้นภายใน 1-2 เดือนหลังการฉีด หรือหากต้องการคงผลลัพธ์ให้ยาวนานขึ้น สามารถฉีดซ้ำได้ โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม 

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการฉีดมาเด้คอลลาเจนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพผิว อายุ การดูแลผิว ถ้าต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาในการฉีดมาเด้คอลลาเจน ควรปรึกษากับแพทย์ในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่สนใจ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมาเด้คอลลาเจน

Q: การฉีดมาเด้คอลลาเจนเจ็บไหม ?

A: ในขณะที่แพทย์ทำการฉีดมาเด้คอลลาเจนอาจมีความรู้สึกแสบ ๆ ไม่สบายเล็กน้อยจากตัวยา แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เนื่องจากมีการแปะยาชาก่อนการฉีดหรือประคบน้ำแข็งให้ในระหว่างหมอฉีด

Q: ผลลัพธ์จากการฉีดมาเด้คอลลาเจนจะอยู่ได้นานแค่ไหน ?

A: ผลลัพธ์จากการฉีดมาเด้คอลลาเจนจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ปริมาณยาที่ฉีด เทคนิคการฉีด การดูแลผิวหลังฉีด และความถี่ในการทำ 

ทั้งนี้หากดูแลผิวไม่ดี ผลลัพธ์ก็อาจอยู่ได้สั้นลงเช่นกัน

ดังนั้น เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น ควรดูแลผิวให้ดี ดังนี้

  • ทาครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันผิวจากรังสียูวี
  • ล้างหน้าให้สะอาดเป็นประจำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ

หากต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น สามารถกลับมาฉีดมาเด้คอลลาเจนซ้ำได้ โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม

Q: ฉีดมาเด้คอลลาเจนมีผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงใด ๆ หรือไม่ ?

A: ผลข้างเคียงจากการฉีดมาเด้คอลลาเจนมักเป็นเพียงเล็กน้อย เช่น บวมและแดงที่จุดฉีด แต่โดยทั่วไปแล้วไม่อันตราย อาการเหล่านี้สามารถหายไปเองได้ภายใน 1-3 วัน 

สรุป 

มาเด้คอลลาเจนจากประเทศอิตาลี ถือเป็นตัวเลือกยี่ห้อเมโสหน้าใสที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ต้องการบำรุงผิว ลดสิว ลดผื่นและขับสารพิษออกจากผิวแบบเร่งด่วน แต่เพื่อความปลอดภัย แนะนำให้ทำการศึกษาข้อมูลของคลินิกที่สนใจอย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจฉีดมาเด้คอลลาเจน เพราะหากมีการใช้มาเด้คอลลาเจนที่ไม่มีคุณภาพหรือปลอม อาจนำไปสู่อาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ค่ะ 

Ulthera ราคาแต่ละตำแหน่งเท่าไหร่ ? ใช้กี่ไลน์ ? แพงไหม ?

0
Ulthera ราคา

Ulthera ราคา

Ulthera ราคา

ในโลกของการดูแลความงามคงความเยาว์วัย การยกกระชับผิวด้วย Ulthera ได้กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Ulthera โดดเด่นไม่เพียงแต่เป็นเพราะผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน แต่ยังรวมถึงวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น

แต่เนื่องจาก Ulthera ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธียกกระชับอื่น ๆ ในปี 2024 Ulthera ยังเป็นหัตถการที่คุ้มค่าที่จะทำไหม ? ยกกระชับผิวด้วย Ulthera ดีกว่าวิธีอื่นอย่างไร ? ในบทความนี้จะมาเจาะลึกในประเด็นเหล่านี้กันครับ


รู้จักเครื่องยกกระชับผิว Ulthrera มีหลักการทำงานอย่างไร ? ให้ผลลัพธ์คุ้มค่าคุ้มราคาไหม ?

หลักการทำงานของ Ulthera
Ulthera หรือ Ultherapy เป็นเทคโนโลยีต้นแบบของ Hifu หลาย ๆ ยี่ห้อที่ใช้กันในปัจจุบัน โดยใช้หลักการทำงานของคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูง (High Intensity Focused Ultrasound) ยิงลงลึกถึงชั้นผิว SMAS ในลักษณะจุดไข่ปลา 1 mm เรียงกันเป็นเส้นตรง เพื่อให้เกิดความร้อนที่ 60-70 โดยความร้อนจะทำให้ชั้นผิวเกิดการหดตัวและยกกระชับขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว

การทำ Ulthera ให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทั้งในด้านยกกระชับผิวหย่อนคล้อย ยกหางตาและหางคิ้ว ลดริ้วรอยร่องแก้ม ร่องใต้ตา ไปจนถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวเรียบเนียน อิ่มฟูดูเป็นธรรมชาติ ชะลออายุผิว และลดโอกาสเกิดริ้วรอยในอนาคต เห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน จึงทำให้เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน


Ulthera ช่วยแก้ปัญหาตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Ulthera สามารถใช้ได้กับหลายตำแหน่งบนร่างกายเพื่อยกกระชับผิวและลดริ้วรอย โดยตำแหน่งที่สามารถทำ Ulthera ได้แก่

  1. บริเวณใบหน้า : ช่วยลดริ้วรอยและเพิ่มความกระชับทั่วใบหน้าทั้งบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก และข้างแก้ม ทำให้ผิวกระชับ ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  2. บริเวณลำคอ : ช่วยลดเลือนริ้วรอยและผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
  3. บริเวณกรอบหน้าและเหนียง : Ulthera สามารถช่วยยกกระชับผิวกรอบหน้าและผิวหย่อนคล้อยใต้คางหรือเหนียง เพื่อให้กรอบหน้ายกกระชับและดูเรียวขึ้น
  4. บริเวณหน้าอก : ลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณหน้าอก
  5. บริเวณอื่น ๆ บนร่างกาย : สามารถใช้ได้กับบางพื้นที่อื่น ๆ บนร่างกายที่ต้องการการยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย ความย้วยของผิว เช่น บริเวณแขน ท้อง หรือขา

Ulthera ราคาแต่ละตำแหน่ง เท่าไหร่ ? แพงไหม ?

โดยทั่วไปแล้ว Ulthera ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2x,xxx ไปจนถึง 1xx,xxx คิดตามจำนวนไลน์ที่ใช้ในการแก้ปัญหาซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละตำแหน่ง โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินตามความเหมาะสม เนื่องจากแต่ละคนมีสภาพผิวและปัญหาความหย่อนคล้อยที่ต่างกัน

จำนวนไลน์ที่เหมาะสมและราคาในแต่ละตำแหน่งโดยประมาณ

  • รอบดวงตา     200 line  ราคาประมาณ 19,999.-
  • แก้ม              300 line  ราคาประมาณ 29,999.-
  • แก้ม+เหนียง  500 line  ราคาประมาณ 49,999.-
  • ทั่วหน้า          700 line  ราคาประมาณ 69,999.-
  • ทั่วหน้า คอ    1,000 line ราคาประมาณ 99,999.-

ทั้งนี้ Ulthera ราคาอาจแตกต่างกันตามโปรโมชันของแต่ละคลินิก แนะนำให้เปรียบเทียบราคาและหาข้อมูลเกี่ยวกับโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจหลาย ๆ ที่ อย่าเลือกคลินิกใดคลินิกหนึ่งเพียงเพราะราคาถูกที่สุด ควรพิจารณามาตรฐานและความน่าเชื่อถือเป็นหลัก เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัย ลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์


เช็กก่อนทำ Ulthera เหมาะ-ไม่เหมาะกับใคร ?

Ulthera เป็นวิธียกกระชับผิวที่ได้รับความนิยม แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับทุกคน โดยการทำ Ulthera จะเหมาะ-ไม่เหมาะกับเราหรือไม่ มาเช็กกันครับ

Ulthera เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง : ใบหน้าหย่อนคล้อย มีร่องแก้ม ร่องมุมปาก มีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา หนังตา หางตาตก มีรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ หน้าอก ต้องการยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ผู้ที่ไม่พร้อมหรือไม่ต้องการผ่าตัด : Ulthera เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้วิธีผ่าตัดยกกระชับที่มีระยะเวลาพักฟื้นยาวนาน
  • อายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป : โดยทั่วไปแล้ว Ulthera มักได้ผลดีกับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของผิวเนื่องจากวัย
  • ผู้ที่ไม่มีข้อจำกัดทางด้านสุขภาพ : ไม่มีปัญหาสุขภาพที่อาจทำให้การรักษาด้วย Ulthera ไม่ปลอดภัย เช่น กลุ่มโรคผิวหนัง ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ เป็นต้น

Ulthera ไม่เหมาะกับใคร ?

การทำ Ulthera อาจไม่เหมาะสมกับความต้องการของบางคนหรือในกลุ่มคนที่มีข้อกำจัดทางด้านร่างกายและสุขภาพ ได้แก่

  • ผู้ที่มีการติดเชื้อผิวหนัง : ผู้ที่มีการติดเชื้อผิวหนังหรือมีบาดแผลเปิด มีแผลผ่าตัดที่ยังไม่หายดี ในบริเวณที่จะรักษา ควรหลีกเลี่ยงการทำ Ulthera ไปก่อนครับ
  • ผู้ที่มีโลหะหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในร่างกาย : ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) หรือโลหะฝังในบริเวณที่จะทำการรักษา
  • ผู้ที่มีปัญหาเลือดไม่แข็งตัว : ผู้ที่มีปัญหาด้านการแข็งตัวของเลือดหรือใช้ยาที่อาจทำให้การแข็งตัวของเลือดลดลง
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ : ควรหลีกเลี่ยงการทำ Ulthera เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยสำหรับทารกในครรภ์
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังรุนแรง : เช่น แผลเป็นคีลอยด์ อาจมีความเสี่ยงที่จะตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี
  • ผู้ที่มีสภาวะผิวหนังบางประเภท : เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคเริม
  • ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์การยกกระชับที่รวดเร็ว : หลังทำ Ulthera สามารถเห็นผลลัพธ์การยกกระชับประมาณ 30% และจะเห็นผลได้อย่างเต็มที่หลังทำ 2-3 เดือน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทันทีหลังทำ

เทียบกับวิธียกกระชับผิวอื่น ทำ Ulthera คุ้มค่ากว่าอย่างไร ?

แม้ปัจจุบันจะมีนวัตกรรมออกมาอย่างหลากหลาย แต่ Ulthera ก็มีจุดเด่นที่หัตถการอื่นไม่สามารถทำได้ทำให้ยังได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

จุดเด่น Ulthera

  • เครื่อง Ulthera มีการอัปเกรดเทคนิคที่เรียกว่า SPT (See Plan Treat) ทำให้แพทย์สามารถออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลด้วยเทคโนโลยี MFU-V มีหน้าจอที่แสดงให้เห็นชั้นผิวแบบ Real Time แพทย์ยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำ หลีกเลี่ยงจุดที่จะทำให้รู้สึกเจ็บ ยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หน้าจอแสดงชั้นผิวแบบ Real Time
หน้าจอแสดงชั้นผิวแบบ Real Time

  • ยกกระชับครอบคลุมทุกชั้นผิว สามารถยิงพลังงานลงได้ลึกถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ผ่าตัดดึงหน้า
  • พลังงานของเครื่อง Ulthera มีขนาดจุดโฟกัสที่ใหญ่กว่า Hifu ทำให้มีประสิทธิภาพในการยกกระชับที่มากกว่าและอยู่ได้นานกว่า
  • ยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม ทำให้ไม่มีรอยแผล และไม่ต้องพักฟื้น
  • ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินจากภายใน
  • ทำร่วมกับหัตถการอื่น เช่น โบท็อก ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ได้อย่างปลอดภัย โดยจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเห็นผลไวมากขึ้น
  • หลังจากการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่มีระยะเวลาพักฟื้น
  • ได้รับการอนุมัติจาก US FDA การันตีเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย
  • ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึงปีหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและลักษณะของผิว

การยกกระชับผิวด้วย Ulthera ก็ยังเป็นหัตถการที่มีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่ยาวนาน ไม่ต้องกลับมาทำบ่อยเท่า โดยการทำ Ulthera เพียงปีละครั้งก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจได้แล้วครับ


วิธีปฏิบัติก่อน-หลังทำ Ulthera ที่ควรรู้ไว้ เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน

การปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังทำ Ulthera เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูผิวเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ

วิธีเตรียมตัวก่อนทำ Ulthera

ปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Ulthera

การทำ Ulthera ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมาก สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิว ระดับปัญหาหย่อนคล้อย และแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัว ประวัติการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้า

วิธีดูแลตัวเองหลังทำ Ulthera

  • เลี่ยงการกด นวด ถูบริเวณที่ทำ และเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความรุนแรงต่อผิว หรือการทำการรักษาผิวอื่นๆ ที่อาจรบกวนผิวในช่วงสัปดาห์แรกหลังการรักษา
  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงในช่วงหลังการรักษาและใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี
  • พักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยในกระบวนการฟื้นฟูและการซ่อมแซมผิว
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนหรือเหงื่อออกมากในช่วงสองถึงสามวันแรกหลังการรักษา
  • ควรสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง หากรู้สึกเจ็บมากหรือมีอาการบวมผิดปกติ ควรติดต่อแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อขอคำแนะนำ

โดยทั่วไปแล้ว Ulthera เป็นการรักษาที่มีการพักฟื้นน้อยมากและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา แต่การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างดีที่สุด


การเลือกคลินิกทำ Ulthera ให้ได้ผลลัพธ์คุ้มราคา ปลอดภัย ไม่เสี่ยงเจอเครื่องปลอม

การเลือกคลินิกทำ Ulthera ให้ได้ผลลัพธ์คุ้มราคา

การเลือกคลินิกทำ Ulthera ไม่ควรเน้นแค่เรื่องราคาอย่างเดียว ควรพิจารณาถึงเรื่องดังต่อไปนี้ด้วย

  • คลินิกที่ได้มาตรฐาน : มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลที่ได้รับจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกกฎหมาย สภาพแวดล้อมภายนอก-ภายในคลินิกมีความสะอาด ปลอดภัย เดินทางสะดวก และมีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย
  • คลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ : มีชื่อเสียงดีและมีรีวิวจากคนไข้ที่พึงพอใจ โดยสามารถอ่านรีวิวและข้อเสนอแนะจากผู้ที่เคยรับการรักษาจริงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ คลินิกไม่สามารถแก้ไขหรือลบเองได้
  • ทีมแพทย์มีประสบการณ์ : มีแพทย์ที่ได้รับการอบรมและมีประสบการณ์ในการใช้เครื่อง Ulthera สามารถประเมินปัญหาและจำนวนไลน์ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยการทำ Ulthera เป็นหัตถการที่ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถให้คนอื่นเช่น ผู้ช่วยแพทย์ หรือเซลล์ทำแทนได้
  • ใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ : คลินิกใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย และ อย.อเมริกา ในไทยนำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetic Thailand สามารถเช็กรายชื่อคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ได้ที่ www.merzclubthailand.com

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับทำ Ulthera เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและมั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย


Q&A ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Ulthera

Q. ทำ Ulthera ดีไหม ?

การทำ Ulthera เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวและลดริ้วรอยบริเวณใบหน้าและร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด เช่น การอักเสบติดเชื้อ รอยแผลเป็น และไม่จำเป็นต้องมีระยะเวลาพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที

นอกจากนี้ Ulthera ยังเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับและมีความปลอดภัยสูงเมื่อทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก US FDA (สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา)

Q. Ulthera เจ็บไหม ?

การทำ Ulthera เป็นการยิงพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวในระดับลึกและมีจุดพลังงานขนาดใหญ่ ขณะทำทำให้อาจรู้สึกปวด ๆ หน่วง ๆ ได้ โดยจะมีการแปะยาชาเพื่อบรรเทาความเจ็บก่อนทำ ซึ่งในบางคนอาจรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือไม่เจ็บเลย ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเจ็บมาก ขึ้นอยู่กับความอดทนต่อระดับความเจ็บของแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว Ulthera ถือว่ามีความเจ็บปวดน้อยมากเมื่อเทียบกับการรักษาด้านความงามอื่นๆ ที่ต้องผ่าตัด

Q. ทำ Ulthera กี่ไลน์ถึงเห็นผล ?

ทำ Ulthera กี่ไลน์ถึงเห็นผลนั้นขึ้นอยู่กับอายุและสภาพผิว และบริเวณที่ต้องการยกกระชับ แต่ส่วนใหญ่หากต้องการเห็นผลลัพธ์การยกกระชับทั่วใบหน้า แพทย์จะแนะนำให้เริ่มต้นใช้ที่ 300 ไลน์ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3X,XXX บาทขึ้นไป

Q. Ulthera กี่วันหายบวม ?

หลังทำ Ulthera อาจจะมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติจากกระบวนการในการยกกระชับผิว โดยระดับความบวมและระยะเวลาของการบวมอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลและบริเวณที่ทำ แต่เป็นเพียงอาการชั่วคราวและไม่รุนแรงมาก โดยทั่วไปอาการบวมจะค่อยๆ ลดลงและหายไปภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากการรักษา


สรุป

Ulthera ราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าคุ้มค่า ด้วยการใช้เทคนิคที่ล้ำสมัยด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ เพื่อช่วยให้ผิวหน้าและลำคอของเราดูอ่อนเยาว์ขึ้นโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น จึงทำให้ในปัจจุบัน Ulthera ก็ยังคงเป็นวิธีการยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง

โดยก่อนทำ Ulthera สิ่งสำคัญคือควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง มีแพทย์ที่มีประสบการณ์ให้คำปรึกษาแนะนำ รวมถึงศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการอย่างละเอียดก่อนทำ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีเป็นไปตามที่คาดหวั

Ulthera SPT ยกกระชับหน้าได้แบบ Customized จริงหรือ ? ต่างจากเครื่องยกกระชับอื่นอย่างไร ?

0

Ulthera SPT

สำหรับใครที่อยากแก้ปัญหาริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบนใบหน้า แต่ไม่อยากผ่าตัด หรือฉีดสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย Ulthera SPT ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากครับ เพราะเป็นเครื่องยกกระชับ ที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ จึงไม่ก่อให้เกิดบาดแผลบนผิวชั้นนอก และยังมีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบการรักษาให้มีความเฉพาะกับปัญหาผิวของคนไข้แต่ละคนได้ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

โดยบทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Ulthera SPT ให้มากขึ้น ว่า Ulthera SPT คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? สามารถทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ใช้กี่ไลน์ ถึงจะเห็นผล ? มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ? และแตกต่างจากเครื่องยกกระชับอื่น ๆ อย่างไร ?


Ulthera SPT คืออะไร ?

Ulthera SPT คืออะไร

Ulthera SPT คือ เครื่องมือยกกระชับผิว รูปแบบไม่ใช้เข็มหรือมีดผ่าตัด (Non-Invasive Skin Tightening & Lifting Treatment) ที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และอย.ไทย โดยเครื่องจะส่งคลื่นอัลตราซาวนด์ลงไปในชั้นผิว เพื่อทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวนั้น ๆ หดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ช่วยปรับให้ผิวกระชับ และริ้วรอยดูจางลงครับ

จุดเด่นของการทำ Ulthera SPT คือ สามารถออกแบบการรักษาให้มีความเหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าและสภาพผิวของคนไข้แต่ละคนได้ครับ จึงช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด แม่นยำ และลดโอกาสยิงพลังงานพลาดไปยังบริเวณกล้ามเนื้อ หรือกระดูก ซึ่ง SPT ย่อมาจาก

  • S – See Ulthera SPT มีหน้าจอแสดงผล เพื่อให้แพทย์สามารถมองเห็นปัญหาของทุกชั้นผิวได้อย่างชัดเจน และติดตามการรักษาได้แบบ Real Time ทำให้สามารถยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
  • P – Plan ช่วยให้แพทย์วิเคราะห์ปัญหาผิวในแต่ละชั้นได้ดียิ่งขึ้น จึงสามารถออกแบบการรักษา ที่มีความเฉพาะกับคนไข้แต่ละคนได้ ทำให้ผลลัพธ์การยกกระชับด้วยเครื่อง Ulthera SPT มีประสิทธิภาพมาก
  • T – Treat เทคโนโลยี MFU-V (Microfocus Ultrasound with Visualization) ซึ่งส่งคลื่นอัลตราซาวนด์พลังงานสูงเข้าไปยังผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี 

หลักการทำงานของเครื่อง Ulthera SPT 

หลักการทำงาน Ulthera SPT

เครื่อง Ulthera SPT ยิงคลื่นอัลตราซาวนด์ที่มีความจำเพาะเจาะจง (Micro focused Ultrasound) ลงไปยังชั้นผิวในระดับความลึกต่าง ๆ ด้วยลักษณะพลังงานที่เป็นจุดขนาด 1 mm เรียงต่อกันเป็นเส้นคล้ายจุดไข่ปลา ทำให้เกิดความร้อน 60-70°C คอลลาเจนในชั้นผิวจึงหดตัว และผิวยกกระชับขึ้นประมาณ 30% หลังทำ นอกจากนี้ความร้อนยังทำลายคอลลาเจนบางส่วน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวขึ้นมาใหม่ เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 เดือน ผิวจึงยิ่งแน่นและกระชับมากขึ้นครับ 

โดย Ulthera SPT จะโฟกัสการยิงพลังงานในชั้นผิวที่มีคอลลาเจนมากที่สุดครับ ซึ่งสามารถยิงพลังงานกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ในทุกชั้นผิว ไม่ใช่การยกกระชับในผิวชั้น SMAS เพียงอย่างเดียว ทำให้เป็นเทคโนโลยีการยกกระชับผิว และลดเลือนริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่ง Ulthera SPT มีหัวยิงที่หลากหลาย เพื่อใช้แก้ปัญหาผิวในชั้นที่แตกต่างกัน คือ

  • หัว 1.5 mm สามารถใช้ส่งพลังงานไปที่ยังชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นหนังกำพร้า นิยมใช้เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยในผิวชั้นบน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับให้ผิวแน่นมากขึ้น
  • หัว 3 mm สามารถใช้ส่งพลังงานลงไปที่ชั้นไขมัน (Subcutanious Tissue) ซึ่งมีคอลลาเจนแนวตั้ง จึงช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณกรอบตาและหน้าผากได้ นอกจากนี้ในบริเวณใบหน้าที่ชั้นผิวบาง ยังสามารถใช้หัว 3 mm เพื่อยกกระชับที่ผิวชั้น SMAS ได้อีกด้วย
  • หัว 4.5 mm สามารถใช้ส่งพลังงานไปที่ผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นผิวชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า เมื่อผิวชั้นนี้ตึงกระชับ ก็จะส่งผลให้ผิวชั้นบนดูเต่งตึงไปด้วย จึงถือเป็นชั้นผิวที่มีความสำคัญต่อการยกกระชับเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้หัว 4.5 mm ในการยกกระชับบริเวณแก้ม เหนียง หรือลำคอได้อีกด้วย

Ulthera SPT ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Ulthera SPT ตำแหน่งไหนได้บ้าง

Ulthera SPT ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ ซึ่งเป็นคลื่นที่ใช้งานในทางการแพทย์มาอย่างยาวนานครับ และมีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก รวมถึงยังไม่ทำอันตรายต่อดวงตาอีกด้วย จึงสามารถใช้เครื่อง Ulthera SPT ได้ทั่วทั้งบริเวณใบหน้า และจุดอื่น ๆ ในร่างกาย โดยตำแหน่งที่ได้รับความนิยมมีดังนี้

  • Ulthera SPT รอบดวงตา นิยมใช้เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา ลดถุงใต้ตา และยกคิ้ว รวมถึงยังสามารถแก้หนังตาตก สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ทำให้ดวงตาดูโตขึ้น และดูสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ
  • Ulthera SPT แก้มและกรอบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม เก็บกรอบหน้าให้ชัด และยังช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวได้รูปวีเชฟ 
  • Ulthera SPT ผิวทั่วหน้า นิยมใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยทั่วใบหน้า เช่น ร่องแก้ม หรือร่องมุมปาก รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับให้ผิวดูอิ่มฟู และดูสุขภาพดีขึ้น
  • Ulthera SPT คางและลำคอ ใช้เก็บคางสองชั้น ทำให้เหนียงดูลดลง และยังช่วยกระชับผิวบริเวณลำคอ ให้เรียบเนียน
  • Ulthera SPT หน้าอก ท้องแขน และหน้าท้อง ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ให้กลับมากระชับขึ้น 

Ulthera SPT ใช้กี่ช็อต (Shot) / กี่ไลน์ (Line) ถึงจะเห็นผล ?

Ulthera SPT นิยมนับเป็นไลน์ (Line) ครับ เพราะเครื่องจะส่งพลังงานที่มีลักษณะเป็นจุดขนาดเท่า ๆ กัน เรียงต่อกันเป็นเส้นคล้ายจุดไข่ปลา โดยใน 1 ไลน์ จะมีความยาวประมาณ 2.5 cm และประกอบไปด้วยจุดพลังงานจำนวน 15-25 จุด 

การทำ Ulthera SPT ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องใช้จำนวนไลน์ให้เหมาะสมกับจุดที่ต้องการแก้ไขครับ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพผิว และความคาดหวังของคนไข้แต่ละคน โดยทั่วไปในแต่ละตำแหน่งจะใช้จำนวนไลน์ ดังนี้

  • Ulthera SPT รอบดวงตา ใช้  200 Line
  • Ulthera SPT แก้ม ใช้ 300 Line
  • Ulthera SPT แก้มและเหนียง ใช้ 500 Line
  • Ulthera SPT ทั่วใบหน้า ใช้ 700 Line
  • Ulthera SPT ทั่วใบหน้าและลำคอ ใช้ 1000 Line

Ulthera SPT มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ?

Ulthera SPT ข้อดี

Ulthera SPT ข้อดี

  • หลังทำ Ulthera SPT สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีประมาณ 30% และผิวจะยกกระชับมากขึ้นใน 2-3 เดือน เมื่อร่างกายได้สร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ขึ้นมา
  • Ulthera SPT เป็นการยกกระชับที่ไม่ก่อให้เกิดบาดแผลบริเวณผิวชั้นนอก ซึ่งไม่ใช่การผ่าตัดหรือการฉีดสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังทำ และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้การทำ Ulthera SPT ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต ซึ่งการผ่าตัดทำไม่ได้
  • Ulthera SPT สามารถใช้ทำได้ทั่วทั้งใบหน้า และร่างกาย
  • การทำ Ulthera SPT เพียง 1 ครั้ง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 1 ปี สำหรับใครที่ต้องการยกกระชับผิวให้มากขึ้น สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก 3 เดือนครับ จึงถือเป็นหัตถการที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าคลินิกบ่อย ๆ
  • สามารถทำ Ulthera SPT ร่วมกับหัตถการหรือเครื่องมืออื่น ๆ ได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และชัดเจนมากขึ้น เช่น Hifu, Thermage หรือฉีดฟิลเลอร์ ทั้งนี้แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ก่อน ซึ่งจะช่วยวางแผน และจัดลำดับหัตถการได้อย่างเหมาะสม
  • Ulthera SPT สามารถออกแบบโปรแกรมการรักษาให้มีความเฉพาะกับแต่ละบุคคล และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เพราะเครื่องมีหน้าจอแสดงปัญหาผิวแต่ละชั้นครับ
  • Ulthera SPT มีหน้าจอแสดงผลแบบ Real Time แพทย์จะปรับระดับพลังงานได้อย่างเหมาะสม และแม่นยำ ลดโอกาสยิงพลังงานพลาดไปโดนกล้ามเนื้อ หรือกระดูก จึงช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างทำลงได้

Ulthera SPT ข้อเสีย

  • บางคนอาจรู้สึกเจ็บระหว่างทำ Ulthera SPT แต่เป็นความเจ็บในระดับที่สามารถทนไหวครับ โดยทางคลินิกความงามจะทายาชาให้ก่อนทำ สำหรับใครที่ทนความเจ็บไม่ไหว สามารถปรับลดพลังงานของเครื่องลง และทำหัตถการให้บ่อยขึ้นแทนได้ครับ
  • หลังทำ Ulthera SPT อาจเกิดรอยแดงหรืออาการบวมในตำแหน่งที่ทำได้ แต่อาการเหล่านี้สามารถหายได้เองใน 1 ชั่วโมง
  • บางคนอาจมีอาการผิวบวมหรือระบมเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์หลังทำ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิมของแต่ละคนด้วยครับ

Ulthera SPT vs Ulthera vs Hifu Ultraformer III vs Thermage FLX แตกต่างกันอย่างไร ?

หลาย ๆ คนที่กำลังมองหาเครื่องยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม (Non-Invasive Skin Tightening & Lifting Treatment) อาจจะสงสัยว่า Ulthera SPT แตกต่างจากเทคโนโลยียกกระชับอื่น ๆ อย่างไร ? ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้จะเปรียบเทียบเครื่อง Ulthera SPT กับเครื่องยกกระชับยอดนิยมอื่น ๆ เช่น Hifu Ultraformer III และ Thermage FLX 

Ulthera SPT vs Ulthera

Ulthera SPT

ในความเป็นจริงแล้ว เครื่อง Ulthera จะมีเพียง 1 รุ่นเท่านั้น คือ เครื่อง Ulthera SPT ครับ หรือบางคนอาจรู้จักในชื่อ New Ulthera การเรียกเครื่องว่า Ulthera SPT จึงเป็นการเน้นย้ำถึงหลักการทำงานของเครื่อง ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นปัญหาผิวในทุกชั้นแบบ Real Time จึงสามารถวางแผน และออกแบบการรักษาผิวของคนไข้แต่ละคน ได้อย่างตรงจุด และแม่นยำ เพื่อการยกกระชับผิวอย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่อง Ulthera SPT ของแท้ที่มีความปลอดภัย จะผ่านการรับรองจาก U.S. FDA และ อย.ไทย รวมถึงยังมีใช้ไปกว่า 75 ประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยจะนำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ (Merz Aesthetics) สามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกความงามที่ใช้เครื่องแท้ได้จากเว็บไซต์ของบริษัท หรือโทร. 02-229-9696

Ulthera SPT vs Hifu Ultraformer III

Ulthera SPT ต่างจาก Hifu Ultraformer III

Ulthera SPT และ Hifu Ultraformer III มีหลักการทำงานของเครื่องเช่นเดียวกันครับ โดยจะส่งคลื่นอัลตราซาวนด์ ที่จุดพลังงานเรียงต่อกันเป็นเส้นคล้ายจุดไข่ปลาลงลึกได้ถึงผิวชั้น SMAS แต่ความแตกต่างจะอยู่ที่ขนาดของจุดพลังงาน ระยะเวลาของผลลัพธ์หลังทำ และความแม่นยำครับ ซึ่งจะมีรายละเอียดดังนี้

  • Ulthera SPT จุดพลังงานมีขนาด 1 mm ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่า ทำให้ผลลัพธ์หลังทำอยู่ได้นานถึง 1 ปี นอกจากนี้ยังมีหน้าจอที่แสดงระดับความลึกของผิวแต่ละชั้น จึงยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำมากกว่า และออกแบบการรักษาให้มีความเฉพาะกับโครงสร้างผิวของแต่ละคนได้
  • Hifu Ultraformer III จุดพลังงานระหว่าง 0.5-1 mm ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้เพียง 6 เดือน โดยในการยิงพลังงานของคนไข้ทุกคนจะเหมือนกันครับ ทั้งนี้ราคาค่าบริการของ Hifu Ultraformer III จะมีความย่อมเยามากกว่า Ulthera SPT

Ulthera SPT vs Thermage FLX

Ulthera SPT ต่างจาก Thermage FLX

Ulthera SPT และ Thermage FLX เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิว ที่ก่อให้เกิดความร้อนในชั้นผิวทั้งคู่ครับ แต่จะใช้พลังงาน และมีหลักการทำงานของเครื่องที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • Ulthera SPT ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ ส่งจุดพลังงานลงไปในชั้นผิวที่ระดับความลึกต่าง ๆ โดยสามารถลงได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS สำหรับการยิงในแต่ละไลน์ พลังงานจะโฟกัสทีละชั้นผิวตามหัวยิงที่เลือกใช้
  • Thermage FLX ใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) โดยจะปล่อยพลังงานตั้งแต่ผิวชั้นหนังกำพร้าลงลึกถึงชั้นไขมันในการยิงแต่ละช็อต (Shot) เครื่อง Thermage FLX จะมีจุดเด่นในเรื่องการลดไขมันส่วนเกิน และเพิ่มคุณภาพผิว ปรับให้ผิวดูสุขภาพดีมากกว่าการยกกระชับ

หลาย ๆ คนจะเห็นว่า เทคโนโลยียกกระชับแต่ละเครื่องจะมีหลักการทำงานที่แตกต่างกัน สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับหัตถการใด แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยประเมินสภาพผิว และปัญหาบนใบหน้าที่ต้องการแก้ไข รวมถึงช่วยเลือกหัตถการที่เหมาะสม และสอดคล้องกับงบประมาณของแต่ละคนได้


สรุป

Ulthera SPT ซึ่งใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ในการยกกระชับผิว ถือเป็นนวัตกรรมที่เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด หรือไม่อยากฉีดสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกายเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้ที่ไม่มีเวลาเข้าคลินิกความงาม เพราะการทำ Ulthera SPT เพียง 1 ครั้ง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี 

สำหรับใครที่ต้องการทำ Ulthera SPT ให้มีประสิทธิภาพ แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ใช้เครื่องของแท้ และทำหัตถการกับแพทย์หรือ Specialist ที่ผ่านเทรนนิงการใช้งานเครื่องอย่างถูกต้อง

เปรียบเทียบ Coolsculpting Elite Vs รุ่นเดิม แตกต่างกันอย่างไร ? แบบไหนคุ้ม!

0
Coolsculpting Elite

Coolsculpting Elite

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในวงการความงามไม่เคยหยุดนิ่ง และล่าสุดกับ “Coolsculpting Elite รุ่นใหม่” กำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในหมู่ผู้ที่ต้องการสลายไขมันด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่รุ่นใหม่นี้มีดี แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร ? ทำแล้วคุ้มค่าหรือไม่ ? บทความนี้จะพาทุกคนไปค้นหาคำตอบค่ะ


ทำความรู้จัก CoolSculpting Elite

CoolSculpting Elite

CoolSculpting Elite คือเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น รุ่นล่าสุดจาก Zeltiq Aesthetics ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ในปี 2022 ว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ชัดเจน


หลักการทำงาน CoolSculpting Elite

หลักการทำงาน CoolSculpting Elite

CoolSculpting Elite ใช้หลักการทำงานเหมือนกับรุ่นเดิม คือทำงานโดยการปล่อยพลังงานความเย็นในระดับ -11 ถึง -13 องศาเซลเซียส เข้าไปยังชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เซลล์ไขมันเกิดการตายและถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกระบวนการทางธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่น ๆ ในร่างกาย


ข้อดี CoolSculpting Elite

CoolSculpting Elite มีข้อดีหลายข้อ ได้แก่:

✔ มีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยสามารถลดปริมาณไขมันได้ประมาณ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง

✔ เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นภายใน 3-4 สัปดาห์ และจะเห็นผลลัพธ์สูงสุดภายใน 3 เดือน

✔ ใช้เวลาในการทำเพียง 35-75 นาทีต่อบริเวณ ทำให้สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างรวดเร็ว

✔ ไม่ก่อให้เกิดแผล รอยช้ำ หรืออาการบวมช้ำ เนื่องจากเป็นการสลายไขมันด้วยความเย็น

✔ ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำ CoolSculpting Elite สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที

✔ หัวแอปพลิเคเตอร์ให้เลือกใช้งานถึง 7 ชนิด ออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระของร่างกายแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

✔ มีหัวแอปพลิเคเตอร์แบบ 2 in 1 สามารถทำงานพร้อมกันได้ 2 จุด ทำให้ลดระยะเวลาในการสลายไขมันลงได้


สิ่งที่ Coolsculpting Elite พัฒนาขึ้นจาก Coolsculpting รุ่นเดิม

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติ Coolsculpting รุ่นเดิม Vs Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด

คุณสมบัติ

Coolsculpting รุ่นเดิม

Coolsculpting Elite

หลักการ สลายไขมันด้วยความเย็น

(Cryolipolysis)

สลายไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis)
อุณภูมิที่ใช้ในการสลายไขมัน -11°C -11°C ถึง – 13°C
หัวแอปพลิเคเตอร์ เล็กกว่าและมี 5 หัว ใหญ่ขึ้น 18% และมี 7 หัว
รูปทรงหัวแอปพลิเคเตอร์ เรียบ โค้งเว้า
ระบบควบคุมอุณหภูมิ แม่นยำ แม่นยำยิ่งขึ้น
ประสิทธิภาพ กำจัดไขมันได้ กำจัดไขมันได้มากขึ้น
ลดอาการบวมช้ำ ดี ดีขึ้น
ลดความเสี่ยง

ในการเกิดผลข้างเคียง

ดี ดีขึ้น
ราคา ต่ำกว่า สูงกว่า

 

จากตารางโดยสรุปแล้ว Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด พัฒนาขึ้นจาก Coolsculpting รุ่นเดิม มีอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ คือ

  1. หัวดูดไขมัน (Applicator): ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น 18% เมื่อเทียบกับ Coolsculpting รุ่นเดิม ทำให้สามารถครอบคลุมบริเวณที่กว้างขึ้นได้ และมีรูปทรงโค้งเว้ามากขึ้น ช่วยให้แนบสนิทกับผิวและครอบคลุมบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึงได้ดีขึ้น มีให้เลือกถึง 7 แบบเมื่อเทียบกับ Coolsculpting รุ่นเดิมที่มี 5 แบบ ทำให้สามารถครอบคลุมบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้หลากหลายมากขึ้น
    • หัวดูดไขมัน (Applicator) Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด 7 แบบ:

หัวแอปพลิเคเตอร์ Coolsculpting  Elite  รุ่นล่าสุด

    1. Curve 80 หัวแอปพลิเคเตอร์ ช่วยสลายไขมันบริเวณเหนือหัวเข่า นมน้อย และเหนียง
    2. Curve 120 หัวแอปพลิเคเตอร์ ช่วยสลายไขมันบริเวณต้นขาด้านใน แขน หน้าท้อง รักแร้ลงมาถึงเอว
    3. Curve 150  หัวแอปพลิเคเตอร์ ช่วยสลายไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง บั้นท้าย
    4. Curve 240  หัวแอปพลิเคเตอร์ ช่วยสลายไขมัน ลดสัดส่วนให้กระชับมากยิ่งขึ้น
    5. Flat 125 หัวแอปพลิเคเตอร์ ช่วยสลายไขมันส่วนเกินในบริเวณ ต้นขาด้านใน แขน และใบหน้า
    6. Flat 165 หัวแอปพลิเคเตอร์ ช่วยกำจัดเซลล์ไขมันได้ในบริเวณหน้าท้องส่วนบน และส่วนล่าง
    7. Surface 150 หัวแอปพลิเคเตอร์ ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง และต้นขาด้านนอก
  1. อุณหภูมิ: Coolsculpting Elite สามารถส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13 °C เมื่อเทียบกับ Coolsculpting รุ่นเดิมที่ส่งความเย็นในระดับ -11 °C ทำให้สามารถกำจัดไขมันได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้น โดยรวมแล้ว Coolsculpting Elite มีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันมากขึ้น และครอบคลุมบริเวณที่กว้างขึ้น เมื่อเทียบกับ Coolsculpting รุ่นเดิม


Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด กับ Coolsculpting รุ่นเดิม เหมาะกับใคร ?

Coolsculpting Elite และ Coolsculpting รุ่นเดิม ต่างก็เป็นเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

แต่ Coolsculpting Elite อาจมีข้อดีเหนือกว่าในด้านประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันและครอบคลุมบริเวณที่กว้างขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมบริเวณที่กว้างขึ้น และปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีไขมันสะสมในบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึง เช่น บริเวณหน้าท้องด้านข้าง ต้นแขนด้านหลัง ต้นขาด้านใน เป็นต้น

ส่วน Coolsculpting รุ่นเดิม ยังคงมีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันที่ดี เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด หรือต้องการกำจัดไขมันในบริเวณที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น บริเวณหน้าท้องด้านหน้า ต้นแขนด้านหน้า ต้นขาด้านหน้า เป็นต้น

ดังนั้น การเลือกว่าจะทำ Coolsculpting รุ่นใดนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณเป็นหลัก เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของแต่ละบุคคล ควรเข้าไปปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อประเมินสัดส่วนและวิเคราะห์ปัญหาไขมันสะสม


ผลลัพธ์หลังการทำ CoolSculpting Elite

หลังการทำ CoolSculpting Elite เซลล์ไขมันที่โดนความเย็นจะเข้าสู่กระบวนการตายอย่างช้า ๆ ร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้วออกไปตามระบบน้ำเหลือง ผลลัพธ์ของการทำ CoolSculpting จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-4 สัปดาห์ และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 3 เดือน

ทั้งนี้ ผลลัพธ์หลังการทำ CoolSculpting Elite อาจแตกต่างจาก CoolSculpting รุ่นเดิมเล็กน้อย เนื่องจากมีการพัฒนาหัวดูดไขมันและระบบความเย็นในการกำจัดไขมัน

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่เคยทำ Coolsculpting รุ่นเดิมมาแล้ว และเห็นผลลัพธ์ที่พอใจ ก็อาจไม่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่ม เพื่อทำ Coolsculpting Elite รุ่นใหม่ก็ได้ เพราะแม้ว่า Coolsculpting Elite รุ่นใหม่จะพัฒนาขึ้นจากเดิมด้วยการอัปเกรดอุปกรณ์เพิ่มขึ้นมา แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ ก็ถือว่าต่างจากรุ่นเดิมเพียงเล็กน้อย


รีวิว ผลลัพธ์หลังทำ Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด Vs Coolsculpting รุ่นเดิม

รีวิว ผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด

รีวิว Coolsculpting Elite

 รีวิว ผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ coolsculpting รุ่นเดิม

รีวิว Coolsculpting
จากรีวิวข้างต้น จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์หลังทำ Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด และรุ่นเดิม จะใกล้เคียงกัน โดยสามารถลดไขมันได้ประมาณ 20-25% ต่อการทำ 1 ครั้ง ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ถาวร ยกเว้นในกรณีที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก เซลล์ไขมันใหม่อาจกลับมาสะสมในบริเวณที่ทำ Coolsculpting ได้


ผลข้างเคียงหลังทำ CoolSculpting Elite

ผลข้างเคียงหลังทำ CoolSculpting Elite ก็จะเหมือนกับรุ่นเดิมเช่นกัน คือจะมีอาการปวดระบม คล้าย ๆ การปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย และอาจมีรอยเขียวช้ำเล็กน้อย ในคนที่ผิวช้ำง่าย หรือชาบริเวณที่ทำ เนื่องจากผิวหนังได้รับความเย็นติดลบและแรงดูดจากเครื่อง อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2-3 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงหลังทำ CoolSculpting Elite รุ่นล่าสุดหรือรุ่นเดิม สามารถลดน้อยลงได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด


ความปลอดภัยของ CoolSculpting Elite

CoolSculpting Elite ยังคงมาตรฐานความปลอดภัยไว้เหมือนกับเครื่อง CoolSculpting รุ่นเดิม คือการมีระบบตรวจจับความเย็นในชั้นผิว (Freeze Detect Technology) ที่แม่นยำมากขึ้น หากระบบพบว่ามีความเย็นบนชั้นผิวมากเกินไปจะหยุดการทำงานของเครื่องทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผิวไหม้จากความเย็น

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีเครื่องเลียนแบบ CoolSculpting เกรดต่ำยี่ห้ออื่น ๆ อย่างแพร่หลายในท้องตลาด ก่อนตัดสินใจทำแนะนำให้ระมัดระวังและตรวจสอบให้ดีว่าเป็น CoolSculpting ของแท้ได้มาตรฐานหรือไม่  เนื่องจากมีความเสี่ยงอันตรายจากผลข้างเคียงเรื่องผิวไหม้จากความเย็นได้ง่ายค่ะ


การเตรียมตัวก่อนทำ Coolsculpting Elite

สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปทำ Coolsculpting Elite ไม่มีขั้นตอนอะไรมาก สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และแต่งกายสบาย ๆ ที่สามารถถอดออกได้ง่าย เพื่อพร้อมสำหรับการทำ


ขั้นตอนการทำ CoolSculpting Elite

ขั้นตอนการทำ CoolSculpting

ขั้นตอนการทำของ CoolSculpting Elite จะเหมือนตอนทำกับรุ่นเดิมทุกอย่าง ดังนี้

  1. ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสัดส่วนและวิเคราะห์ปัญหาไขมันสะสม
  2. แพทย์ทำความสะอาดบริเวณที่จะทำ CoolSculpting เพื่อสุขอนามัยที่ดี
  3. แพทย์วางหัวแอปพลิเคเตอร์ บนบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน
  4. แพทย์เริ่มทำ CoolSculpting หัวแอปพลิเคเตอร์จะปล่อยความเย็นลงไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ในอุณหภูมิ -11°C ถึง -13°C เป็นเวลา 35-75 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณที่ทำ
  5. แพทย์ถอดหัวดูดไขมัน (Applicator) ออก
  6. แพทย์นวดก้อนไขมันที่โดนแช่แข็งเพื่อให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย

การดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting Elite

  • ทานยาแก้ปวด หากหลังทำมีอาการบวม แดง ปวด
  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอประมาณ 8 แก้วต่อวัน และงดออกกำลังกายประมาณ 1-2 สัปดาห์
  • อาจปวดบริเวณที่ทำ 2-3 วันแรก หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ดีขึ้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • งดแป้ง งดหวาน งดของทอด ของมัน หรืออาหารที่ทำให้ไขมันสะสม
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและอาการทุกอย่างดีขึ้น

เลือกทำ CoolSculpting Elite ที่ไหนดี ?

เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย การเลือกทำ CoolSculpting Elite ที่ไหนดีนั้น ควรศึกษาข้อมูลคลินิกและข้อมูลเกี่ยวกับ Coolsculpting Elite อย่างรอบคอบ ได้แก่

  1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิก ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกจากเว็บไซต์ รีวิว แหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของคลินิก
  2. ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงในการทำ CoolSculpting Elite มาอย่างยาวนานเพื่อประเมินสัดส่วนและวิเคราะห์ปัญหาไขมันสะสม จากนั้นจึงวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของแต่ละคนเปรียบเทียบราคาและโปรโมชัน ของแต่ละคลินิกก่อนตัดสินใจ
  3. เปรียบเทียบราคาและโปรโมชัน ของแต่ละคลินิกก่อนตัดสินใจ
  4. สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเครื่อง CoolSculpting Elite ว่าคลินิกเลือกใช้เครื่อง CoolSculpting Elite ของแท้ ผ่านอย. และนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา กับตัวแทนจำหน่ายของประเทศไทยโดยตรง
  5. สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการทำและผลลัพธ์ ที่คาดว่าจะได้รับหลังทำ CoolSculpting Elite
  6. สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียง ที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ CoolSculpting Elite
  7. อ่านรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อประกอบการตัดสินใจ

สรุป

Coolsculpting Elite รุ่นล่าสุด เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันมากขึ้น และครอบคลุมบริเวณที่กว้างขึ้น เมื่อเทียบกับ Coolsculpting รุ่นเดิม แต่ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านผลลัพธ์หลังทำ ก็ถือว่ามีความใกล้เคียงกัน หากใครต้องการกำจัดไขมันส่วนเกิน และมีงบประมาณจำกัด Coolsculpting รุ่นเดิม ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีความคุ้มค่า

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำ Coolsculpting รุ่นไหนดี ควรให้แพทย์ประเมินสัดส่วน ปัญหาไขมันสะสม เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของแต่ละบุคคลมากที่สุดค่ะ

ฟิลเลอร์ Biohyalux สัญชาติจีน อันตรายไหม ? ฉีดตรงไหนได้บ้าง ? เช็กของแท้อย่างไร ?

0
ฟิลเลอร์ Biohyalux

ฟิลเลอร์ Biohyalux

ในปัจจุบันมีฟิลเลอร์ให้เลือกหลายยี่ห้อ และหลายราคาครับ สำหรับใครที่กำลังมองหาฟิลเลอร์ราคาย่อมเยา อาจจะเคยได้ยินชื่อฟิลเลอร์ Biohyalux กันมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นยี่ห้อฟิลเลอร์น้องใหม่จากประเทศจีน และมีราคาใกล้เคียงกับฟิลเลอร์เกาหลี 

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ Biohyalux ให้มากขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ Biohyalux มีจุดเด่นอย่างไร ? อันตรายไหม ? มีกี่รุ่น ? ฉีดตรงไหนได้บ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ? อยู่ได้นานแค่ไหน ? ราคามาตรฐานเท่าไหร่ ? และเช็กฟิลเลอร์ของแท้อย่างไร ?

ทำความรู้จัก! ฟิลเลอร์ Biohyalux คืออะไร ?  

ฟิลเลอร์ Biohyalux

ฟิลเลอร์ Biohyalux คือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA: Hyaluronic Acid) ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Biobalance Technology (BioBT™) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของบริษัท Bloomage Biotech จากประเทศจีน ทำให้ได้สาร HA ที่มีคุณภาพสูง คงรูปได้นาน และย่อยสลายช้าลงครับ 

หลังฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux เนื้อฟิลเลอร์สามารถผสานกับผิวได้เป็นอย่างดี ผิวจึงดูเรียบเนียน และไม่เป็นก้อน รวมถึงยังแทบไม่มีอาการบวมน้ำ หรือมีอาการบวมน้อยมาก ทำให้แพทย์สามารถประเมินผลได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องรอยุบบวม

ฟิลเลอร์ Biohyalux อันตรายไหม ?

หลาย ๆ คนอาจมีความกังวลใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์ Biohyalux เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์น้องใหม่ ที่เพิ่งใช้งานในประเทศไทยไม่นาน และมีราคาที่ค่อนข้างต่ำกว่ายี่ห้อฝั่งยุโรป 

แต่ขอชี้แจงว่า ฟิลเลอร์ Biohyalux ถือเป็นยี่ห้อที่มีความปลอดภัยครับ ด้วยเหตุผลดังนี้  

  • ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ Biohyalux ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.ไทย), คณะกรรมการยุโรปสำหรับคุณภาพของยาและการดูแลสุขภาพ (EDQM ), และมาตรฐาน CE (European Conformity) รวมถึง การรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งชาติจีน (CFDA: China Food and Drug Administration) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ผ่านได้ยากที่สุดในโลกอีกด้วย
  • ตัวสาร HA ของฟิลเลอร์ Biohyalux ผ่านการรับรองรองความปลอดภัย จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA)
  • ฟิลเลอร์ Biohyalux ผลิตโดยบริษัท Bloomage Biotech ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตสาร HA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตสารดังกล่าวมายาวนานกว่า 20 ปี
  • มีศูนย์วิจัย (R&D Research Facilities) ที่รองรับการวิจัยผลิตภัณฑ์ และยังมีทีมวิจัยกว่า 800 คนอีกด้วย
  • ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์ความงามในหลายประเทศทั่วโลก เช่น โปแลนด์ เยอรมัน สเปน ตุรกี ฮังการี จีน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย อิตาลี กรีซ รัสเซีย และไทย โดยในปีค.ศ. 2023 ได้มีใช้งานฟิลเลอร์ Biohyalux ไปกว่า 8 ล้านหลอดทั่วโลก

ฟิลเลอร์ Biohyalux มีจุดเด่นอะไรบ้าง ? แตกต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นอย่างไร ?

ฟิลเลอร์ Biohyalux ใช้เทคโนโลยี Biobalance Technology (BioBT™) หรือ Technoloy-Issoosmosis Gel for Better Precision ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของบริษัท Bloomage Biotech ทำให้ได้ฟิลเลอร์ที่มีจุดเด่น ดังนี้

  • ใช้เทคนิค Crosslink 1 Step ทำให้สาร HA ของฟิลเลอร์ Biohyalux มีโครงสร้างเป็น 3D Network ที่มีคุณสมบัติเด่นในการคงรูปได้นาน และสลายตัวได้ช้าลง โดยฟิลเลอร์ Biohyalux จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอย่างน้อย 9 เดือน
  • ฟิลเลอร์ Biohyalux เป็นสาร HA รูปแบบเชื่อมพันธะ (Cross-linked) คุณภาพสูง และมีความใกล้เคียงกับ HA ที่ผลิตขึ้นตามธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และสามารถทนต่อการย่อยสลายของเอนไซม์ตามธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถย่อยสลายได้หมดโดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกายอีกด้วย
  • เนื้อฟิลเลอร์ Biohyalux อยู่ในสถานะไอโซโทนิก (Isotonic) ซึ่งมีความเข้มข้นเท่ากับสารน้ำในร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวหนังยังสามารถคงสภาพเดิมไว้ได้ หลังฉีดฟิลเลอร์จึงแทบไม่มีอาการบวมน้ำ หรือมีน้อยมาก ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินการรักษาได้แม่นยำมากขึ้น โดยไม่ต้องรอยุบบวม
  • สาร HA ของฟิลเลอร์ Biohyalux เป็น Biphasic Filler คือ มีทั้ง Non Cross-linked HA ซึ่งเป็นเนื้ออ่อน และ Cross-linked HA เนื้อแข็งผสมกันอยู่ ทำให้เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถจัดรูปทรงได้ง่าย แต่ยังสามารถผสานกับผิวได้เป็นอย่างดี ผิวจึงดูเรียบเนียน และไม่เป็นก้อน

นอกจากนี้ฟิลเลอร์ Biohyalux ยังมีการบรรจุฟิลเลอร์มากถึง 1.1 CC ทุกกล่อง และมีให้เลือกหลายรุ่น เพื่อให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาบนใบหน้าที่หลากหลาย

ฟิลเลอร์ Biohyalux มีกี่รุ่น ? กี่สี ? แตกต่างกันอย่างไร ?

ฟิลเลอร์ Biohyalux มีกี่รุ่น

ฟิลเลอร์ Biohyalux มีด้วยกัน 4 รุ่นครับ ซึ่งทุกรุ่นได้ผ่านการรับรองจากอย.ไทยแล้ว แม้ทุกรุ่นจะผลิตด้วยเทคโนโลยี BioBT™ เช่นเดียวกัน แต่ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายครับ โดยแต่ละรุ่นจะใช้สีบรรจุภัณฑ์ ดังนี้

  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX FINE LINES (กล่องสีฟ้า) เหมาะสำหรับการฉีดแก้ไขปัญหาในผิวชั้นตื้น หรือเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์แก้มส้ม และฟิลเลอร์หน้าผาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำได้อีกด้วย
  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX LIPS (กล่องสีชมพู) เป็นรุ่นที่ออกแบบมาใช้กับบริเวณริมฝีปากโดยเฉพาะ สามารถฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อสร้างขอบปากให้ชัด เพิ่มความชุ่มชื้น หรือเติมเนื้อปากให้ดูอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปากให้ดูมีรอยยิ้ม แก้ปัญหามุมปากตก
  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX DERM LINES (กล่องสีม่วง) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และมีความยืดหยุ่น เป็นรุ่นที่เหมาะกับการฉีดเติมเต็มริ้วรอยที่มีความลึกระดับปานกลาง และปรับให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียน เช่น ริ้วรอยร่องแก้ม หน้าผาก ระหว่างคิ้ว หางคิ้ว และหางตา
  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX DEEP DERMIS (กล่องสีทอง) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น สามารถฉีดเพื่อยกกระชับ หรือฉีดเติมในผิวชั้นลึก เช่น เสริมจมูก เติมขมับ เสริมคาง ปรับรูปหน้า และสร้างกรอบหน้าให้ชัด

ฟิลเลอร์ Biohyalux อยู่ได้นานแค่ไหน ?

เนื่องจากฟิลเลอร์ Biohyalux จะใช้เทคโนโลยี BioBT™ ในทุกรุ่น ทำให้เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติในการคงรูปได้นาน และสลายตัวได้ช้าลง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • BIOHYALUX FINE LINES (กล่องสีฟ้า) อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
  • BIOHYALUX LIPS (กล่องสีชมพู) อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
  • BIOHYALUX DERM LINES (กล่องสีม่วง) อยู่ได้นาน 9-12 เดือน
  • BIOHYALUX DEEP DERMIS (กล่องสีทอง) อยู่ได้นาน 9-12 เดือน

จะเห็นได้ว่า ฟิลเลอร์ Biohyalux จะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 9 เดือนครับ สำหรับใครที่ต้องการให้ผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วครับ

ฟิลเลอร์ Biohyalux ฉีดตรงไหนได้บ้าง ?

ฟิลเลอร์ Biohyalux ฉีดตรงไหนได้บ้าง

ฟิลเลอร์ Biohyalux มีให้เลือกถึง 4 รุ่นครับ จึงสามารถใช้ฉีดเพื่อแก้ปัญหาบนใบหน้าได้หลาย ๆ จุด ซึ่งจุดที่นิยม มีดังนี้

  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX FINE LINES (กล่องสีฟ้า) ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์แก้มส้ม และฟิลเลอร์หน้าผาก
  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX LIPS (กล่องสีชมพู) ฟิลเลอร์ปาก และฟิลเลอร์ยกมุมปาก
  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX DERM LINES (กล่องสีม่วง) ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก ฟิลเลอร์หน้าผาก และฟิลเลอร์ริ้วรอยรอบดวงตา
  • ฟิลเลอร์ BIOHYALUX DEEP DERMIS (กล่องสีทอง) ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์คาง และฟิลเลอร์กรอบหน้า

ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้เข้าประเมินสภาพผิวกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ครับ ซึ่งจะช่วยเลือกรุ่น และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ในงบประมาณที่ต้องการได้

ฟิลเลอร์ Biohyalux มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์ Biohyalux ข้อดี

ฟิลเลอร์ Biohyalux ข้อดี

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux แล้วไม่บวม หรือมีอาการบวมน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้นครับ จึงสามารถประเมินผลได้ทันที โดยไม่ต้องรอยุบบวม
  • การฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux จะใช้เพียงแค่เข็มฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในจุดที่ต้องการปรับแก้ ไม่ใช่การใช้มีดผ่าตัด จึงไม่เหลือรอยแผลเป็น และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน ๆ 
  • ฟิลเลอร์ Biohyalux เป็น Biphasic Filler ทำให้สามารถปั้นแต่งทรงให้เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคนได้ และผสานเข้ากับผิวหนังได้เป็นอย่างดี หลังฉีดจึงให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • ฟิลเลอร์ Biohyalux ผลิตด้วยการใช้เทคโนโลยี BioBT™ ทำให้เนื้อฟิลเลอร์คงตัวได้ดี ย่อยสลายได้ช้าลง และมีอายุเฉลี่ยอย่างน้อย 9 เดือน
  • ฟิลเลอร์ Biohyalux ปลอดภัยครับ เพราะได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยาในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก และตัวสารสามารถย่อยสลายได้เองจนหมด โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย
  • ฟิลเลอร์ Biohyalux มีราคาย่อมเยาใกล้เคียงกับฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี จึงตอบโจทย์กับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า แต่มีงบประมาณที่จำกัดครับ

ฟิลเลอร์ Biohyalux ข้อเสีย

  • ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux จะไม่คงอยู่ถาวรครับ เพราะฟิลเลอร์สามารถย่อยสลายได้หมด โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย แต่ก็สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ โดยไม่เป็นอันตรายเช่นกัน
  • หลังฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux จะมีรอยแดงเล็ก ๆ จากเข็มในจุดที่ฉีด ซึ่งสามารถหายได้เองใน 2-3 วัน

ฟิลเลอร์ Biohyalux ที่ไหนดี ? เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย ?

ฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux ที่ไหนดี

  • คลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ควรเลือกคลินิกความงามที่แสดงชื่อและเลขใบอนุญาต 11 หลักติดไว้บริเวณด้านหน้าอย่างชัดเจนครับ รวมถึงควรตั้งอยู่ในสถานที่ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก และมีด้วยกันหลายสาขา 
  • แพทย์ที่มากประสบการณ์ เช็กได้จากเคสรีวิว หรือใบรับรอง (Certificate) ที่เกี่ยวข้องกับหัตถการครับ โดยสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของคลินิกความงาม ที่แพทย์ประจำอยู่ นอกจากนี้ควรนำชื่อ-นามสกุลของแพทย์ไปตรวจสอบกับเว็บไซต์แพทยสภาอีกด้วย 
  • ฟิลเลอร์ของแท้ ควรศึกษาวิธีเช็กฟิลเลอร์ Biohyalux ของแท้ครับ ก่อนฉีดควรให้แพทย์แกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า รวมถึงควรถ่ายรูปทุกซอกทุกมุมของบรรจุภัณฑ์ และขอกล่องฟิลเลอร์กลับไป
  • ราคามาตรฐาน โดยราคาฟิลเลอร์ Biohyalux เริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาทต่อ 1 CC ครับ แม้จะมีโปรโมชันสนับสนุนการขาย แต่ถ้าเป็นคลินิกความงามชั้นนำจะมีราคาไม่แตกต่างกันมาก

ฟิลเลอร์ Biohyalux เช็กของแท้ยังไง ? 

การเช็กฟิลเลอร์ Biohyalux ว่าเป็นของแท้ และนำเข้ามาอย่างถูกต้องนั้น ถือว่ามีความสำคัญมากครับ เพราะถ้าเก็บรักษาฟิลเลอร์ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม หรือขนส่งไม่ถูกวิธี จะทำให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพได้ ฉีดแล้วไม่เห็นผล หรืออาจเกิดปัญหาตามมา โดยวิธีการเช็กฟิลเลอร์ Biohyalux มีดังนี้

  • จากบรรจุภัณฑ์ บริเวณฝากล่องจะมีสติกเกอร์ป้องกันการเปิด ในกล่องจะต้องมีเลขทะเบียน อย.และเอกสารกำกับภาษาไทย รวมถึงเลข Lot. ที่บรรจุภัณฑ์ในทุกจุดจะต้องเป็นเลขเดียวกัน และตรงกับข้อมูลที่สแกนได้จาก QR Code ครับ
  • สแกน QR Code บริเวณหน้ากล่องจะมีสติกเกอร์ Hologram เมื่อสแกนแล้วจะแสดงข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับฟิลเลอร์ Biohyalux กล่องนั้น ๆ เช่น สถานะว่าฟิลเลอร์เปิดใช้งานหรือยัง ชื่อคลินิกที่สั่งซื้อ และเลข Lot. การผลิต รวมถึงวันผลิต วันหมดอายุ และวันนำเข้ามาอีกด้วย
    โดยผู้ผลิตฟิลเลอร์ Biohyalux คือ Bloomage Biotechnology Corp., Ltd. และผู้นำเข้า SOE Medical Co.,Ltd เท่านั้นครับ
  • โทรศัพท์สอบถามเลข Lot. ที่บริษัท โซว เมดิคอล จำกัด โทร. 065-692-8987

ฟิลเลอร์ Biohyalux ราคาเท่าไหร่ ?

ราคามาตรฐานของฟิลเลอร์ Biohyalux จะอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาทต่อ 1 CC ครับ ซึ่งถือว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ราคาถูกกว่าของฝั่งยุโรป เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าในงบประมาณที่จำกัด ทั้งนี้ราคาค่าบริการการฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux ในแต่ละคลินิกจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ปริมาณ CC ที่ใช้ จุดที่ฉีด และโปรโมชันสนับสนุนการขาย

สรุป

แม้ฟิลเลอร์ Biohyalux จะเป็นฟิลเลอร์น้องใหม่ ที่มาในราคาที่ย่อมเยา แต่ก็เป็นฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัย และมีจุดเด่นมากมายครับ เช่น ปั้นทรงได้ง่าย สลายตัวช้า และแทบไม่มีอาการบวมน้ำหลังฉีด ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าในงบประมาณที่จำกัด

สำหรับใครที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ Biohyalux อย่างปลอดภัย แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ปรึกษากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ และตรวจเช็กฟิลเลอร์ว่าเป็นของแท้ทุกครั้งก่อนฉีด

Coolsculpting ราคาเท่าไหร่ ? ก่อนตัดสินใจทำควรรู้อะไรบ้าง ?

0
Coolsculpting ราคา

Coolsculpting ราคา

Coolsculpting ราคาเท่าไหร่ ? คุ้มค่าไหม ? ทำแล้วเห็นผลจริงไหม ? ในบทความนี้เราได้รวบรวมทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ Coolsculpting ทั้งในเรื่องของราคา หลักการทำงาน ข้อดี-ข้อเสีย ครอบคลุมไปถึงการเตรียมตัวก่อน-หลังทำ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการเลือกคลินิกทำ Coolsculpting อย่างไร ให้ได้ผลดี คุ้มค่า ปลอดภัย ไปดูกันเลย!


Coolsculpting ราคาเท่าไหร่ ?

การสลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting ราคาจะคิดเป็นจุดหรือหนีบ (พื้นที่ 1 ฝ่ามือ) ตามที่หัวของเครื่องหยิบเข้าไป โดยทั่วไป Coolsculpting ราคาต่อจุดจะเริ่มต้นที่ 8,500.-/ 1 หนีบ ขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณไขมันของตำแหน่งที่ทำ รวมทั้งโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก


ทำ Coolsculpting ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Coolsculpting สลายไขมันส่วนเกิน สามารถทำได้หลายตำแหน่ง ได้แก่ บริเวณหน้าท้อง, เอว, ปีกหลัง, ขาใน, ใต้ก้น, หน้าอก (ผู้ชาย), ต้นแขน, สะโพก, ต้นขาด้านนอก, หัวเข่า และเหนียง โดยแต่ละจุดจะใช้หัว Applicator และจำนวนหนีบที่แตกต่างกัน

ตำแหน่งทำ Coolsculpting


ทำ Coolsculpting แต่ละตำแหน่งใช้กี่หนีบ ?

การทำ CoolSculpting แต่ละตำแหน่งจะใช้จำนวนหนีบแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ปริมาณไขมันสะสม และลักษณะของชั้นผิว สำหรับจำนวนหนีบที่ใช้ในเบื้องต้น มีดังนี้

  • CoolSculpting สลายไขมันต้นแขน โดยทั่วไปใช้ข้างละ 1 หนีบ
  • CoolSculpting สลายไขมันต้นขา โดยทั่วไปใช้ข้างละ 1หนีบ
  • CoolSculpting สลายไขมันหน้าท้อง โดยทั่วไปใช้ 2-4 หนีบ
  • CoolSculpting สลายไขมันเอวด้านข้าง โดยทั่วไปใช้ข้างละ 1หนีบ
  • CoolSculpting สลายไขมันสะโพก โดยทั่วไปใช้ข้างละ 1หนีบ
  • Coolsculpting สลายไขมันเหนียง โดยทั่วไปใช้ 1หนีบ

หลักการทำงานของ Coolsculpting

หลักการทำงานของ Coolsculpting

หลักการทำงานของ Coolsculpting เป็นการใช้ความเย็นส่งผ่านผิวหนังลงไปชั้นไขมัน โดยใช้หัว Applicator หนีบชั้นไขมันเข้าไปในหัว แล้วปล่อยความเย็น -11 ถึง -13°C นาน 35 นาที เพื่อ Freeze เซลล์ไขมันให้เป็นน้ำแข็ง จากนั้นจะใช้นวดให้ก้อนไขมันแตกละเอียดและตาย โดยที่ร่างกายจะค่อย ๆ ย่อยสลายเซลล์ไขมันที่ตายแล้วและขับออกไปเองตามธรรมชาติ ทำให้ไขมันในบริเวณนั้นลดลง


Coolsculpting เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินระดับปานกลาง (BMI < 35) ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย
  • ผู้ที่พยายามลดสัดส่วนด้วยการออกกำลังกายและคุมอาหารแล้วแต่ไม่เห็นผล
  • ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว ลดไขมันส่วนเกินได้ในระยะเวลาสั้น ๆ 
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่อยากกระชับสัดส่วน ปรับรูปร่างให้เข้าที่เร็ว
  • ผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ ด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย
  • ผู้ที่ไม่อยากเจ็บตัวจากการดูดไขมัน ไม่อยากให้ผิวมีรอยช้ำ ไม่มีเวลาพักฟื้น 
  • ผู้ที่ต้องการสลายไขมันแบบถาวร แต่ไม่อยากฉีด ไม่อยากผ่าตัด

Coolsculpting ไม่เหมาะกับใคร ?

Coolsculpting จะไม่เห็นผลทันทีเหมือนการดูดไขมัน ต้องรอเวลา ให้ร่างกายกำจัดเซลล์ไขมันออกไปก่อน จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลหลังทำทันที เพราะ Coolsculpting ต้องรอให้ไขมันค่อย ๆ ถูกกำจัดออก ใช้ระยะเวลา 1-3 เดือน 

นอกจากนี้ Coolsculpting ยังไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้ความเย็น เช่น ลมพิษจากความเย็น โรคกลัวความเย็น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ


ข้อดี-ข้อเสียของการทำ Coolsculpting

ข้อดี Coolsculpting

  • เป็นวิธีสลายไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีรอยแผล มีความปลอดภัยและได้รับได้ US FDA approved ไม่ต้องการเสี่ยงกับผลข้างเคียงของการดูดไขมัน
  • กำจัดเซลล์ไขมันได้ถาวร โดยไขมันจะลดลงครั้งละ 25% ในจุดที่ทำ หรือ 60-70 CC/1หนีบ ต่างจาก Slimming treatment แบบอื่น ๆ ที่เน้นการลดขนาดของเซลล์หรือเร่งระบบการเผาผลาญของร่างกาย
  • มีระบบเซนเซอร์ตรวจจับกรณีที่พบว่าผิวหนังเย็นเกินไป และจะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติ ลดความเสี่ยงในการเกิดผิว burn จากความเย็นจัด
  • หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องใช้ยาชาหรือยาสลบ
  • สามารถทยอยทำในแต่ละจุดที่ต้องการเน้นได้

ข้อเสีย Coolsculpting

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่อ้วนมาก ๆ BMI มากกว่า 35 เนื่องจากต้องกำจัดไขมันออกในปริมาณมาก ต้องทำซ้ำหลายครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน จึงแนะนำให้ดูดไขมันมากกว่าครับ
  • ผู้ที่มีผิวช้ำง่าย อาจจะเกิดรอยเขียวช้ำได้จากการที่หัวดูดผิวเพื่อแยกชั้นไขมันขึ้นมา ซึ่งรอยช้ำจะหายไปได้เองภายในระยะเวลา 2- 3 สัปดาห์
  • อาจมีอาการบวมหลังทำประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นช่วงที่รอให้ร่างกายเรากำจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้วออกไป
  • ราคาค่อนข้างสูง Coolsculpting ราคาต่อจุดจะเริ่มต้นที่ 8,000.- ขึ้นไปต่อ 1 หนีบ

ทำ Coolsculpting เจ็บไหม ?

หลังทำ Coolsculpting สลายไขมันแล้ว ในช่วง 5-10 นาทีแรกอาจมีอาการปวดจากความเย็นบ้าง และจะมีอาการคล้ายการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายหนักในช่วง 1-2 สัปดาห์ โดยอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเอง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ


การเตรียมตัวก่อนทำ Coolsculpting

การทำ CoolSculpting จะคล้ายกับการทำทรีทเมนท์ทั่วไป ไม่ได้เป็นการผ่าตัด หรือการฉีดสลายไขมัน ดังนั้นการเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพียงนอนพักผ่อนให้เพียงพอ สามารถแต่งหน้า รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย และดื่มน้ำได้ตามปกติ 


ขั้นตอนการทำ Coolsculpting

วิธีการทำ Coolsculpting มีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาไม่นาน สามารถเข้าไปปรึกษาหมอที่คลินิกเพื่อทำการตรวจประเมินว่าสามารถสลายไขมันด้วยการทำ Coolsculpting ได้หรือไม่ หากทำได้ หมอจะนัดคิวและสามารถทำได้เลย โดยมีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. แพทย์ และ Specialist ตรวจประเมินปริมาณไขมันในจุดที่ต้องการทำ ประเมินจำนวนหนีบ (Applicator) ค่าใช้จ่าย รวมถึงปรึกษา-ซักถามข้อมูลก่อนทำ
  2. เมื่อตัดสินใจทำ Specialist จะเลือกใช้ Applicator ให้เหมาะสมกับจุดที่ต้องการทำ เลือกหัวที่มีจุดเว้า จุดโค้งตามสรีระของแต่ละคน
  3. เริ่มวางหัว Applicator และให้เครื่องทำงาน โดยในแต่ละหนีบ จะใช้เวลาประมาณ 35 นาที  
  4. เมื่อครบเวลา Specialist จะทำการนวดจุดที่ทำ เพื่อให้ไขมันแตกตัวได้ดียิ่งขึ้น โดยจะใช้เวลาการนวดประมาณ 2 นาที 
  5. หลังทำเสร็จ สามารถกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องพักฟื้น และให้ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์

ขั้นตอนการทำ-Coolsculpting-scaled


ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Coolsculpting

การทำ Coolsculpting ไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือเป็นอันตราย เพราะระบบของเครื่องมีความเสถียรและได้มาตรฐานระดับสากล มีระบบที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Coolsculpting ป้องกันไม่ให้ผิวหนังชั้นบนเย็นจนไหม้ (Freeze detect) ขณะทำ

นอกจากนี้ ผลข้างเคียงอื่นที่สามารถเกิดได้แต่มีโอกาสเกิดน้อยมาก (อัตรา 1:20,000 เคส) ได้แก่

  • การเกิด paradoxical adipose hyperplasia คือก้อนไขมันใหญ่ขึ้นหลังทำ ไม่ยุบลง ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ทางบริษัท Allergan บริษัทผู้ผลิต Coolsculpting มีระบบรับประกัน จะรับผิดชอบแก้ไขให้ฟรี
  • เกิดรอยดำที่ผิวชั่วคราว ซึ่งจะหายไปได้เองใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน

การดูแลหลังทำ Coolsculpting

หากต้องการคงสภาพผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน หลังทำ Coolsculpting แนะนำให้ดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารแปรรูป น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ ทำให้ไขมันกลับมาสะสมซ้ำอีก


ทำ coolsculpting เห็นผลจริงไหม ?

การทำ coolsculpting สามารถเห็นผลลัพธ์ได้จริง การันตีคุณภาพโดยงานวิจัยทางการแพทย์กว่า 70 ฉบับ ว่าสามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันส่วนเกินในชั้นผิวหนังบริเวณที่ทำได้อย่างถาวร ไขมันลดลงได้ถึง 25% ต่อการทำ 1 ครั้ง 


Coolsculpting ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?

ผลลัพธ์หลังทำ coolsculpting ต้องทำกี่ครั้ง ขึ้นอยู่กับความต้องการและปริมาณไขมันของแต่ละคน หากต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ก็สามารถกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ทุก ๆ 2 สัปดาห์ ตามคำแนะนำของแพทย์  เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น


Coolsculpting ราคาถูก – แพง ให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไหม ?

หากลองเปรียบเทียบราคาทำ CoolSculpting ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ราคาจะไม่แตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกในขณะนั้นด้วย 

ในปัจจุบัน หลายคลินิกมีการโฆษณาการทำ CoolSculpting ราคาถูกมาก ๆ โดยใช้เครื่องปลอม เครื่องเลียนแบบที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อลดต้นทุน และใช้แรงจูงใจจากราคาถูก ๆ เพื่อเรียกลูกค้า ซึ่งค่อนข้างอันตรายหากเราตัดสินใจพลาดเข้าไปใช้บริการ

หากเจอ CoolSculpting ราคาถูกจนผิดสังเกตให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นของปลอม มีความเสี่ยงสูง เพราะระบบการทำงานของเครื่องปลอมมักจะไม่เสถียร ไม่ได้มาตรฐาน ถ้าเครื่องส่งความเย็นในระดับที่ติดลบมากเกินไป หรือนานเกินไปโดยไม่มีระบบเซนเซอร์ตรวจจับความเย็น จะเสี่ยงต่อการเกิด freeze burn (ผิวไหม้จากความเย็น) เกิดแผลเป็นที่รักษาได้ยาก

แตกต่างจากเครื่อง CoolSculpting แท้ จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเย็น หากพบว่าผิวหนังเย็นเกินไป ระบบจะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติ ทำแล้วเห็นผล ปลอดภัย ไม่มีอาการเจ็บ ไม่มีแผล ไม่ไหม้เบิร์น ไม่มีร่องรอยใด ๆ และไม่จำเป็นต้องพักฟื้น 


ทำ Coolsculpting ที่ไหนดี ?

ก่อนตัดสินใจเลือกทำ coolsculpting ที่ไหนดี ไม่ควรดูที่ราคาเพียงอย่างเดียว แนะนำให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วสามารถพิจารณาได้จากเช็กลิสต์ ดังนี้

  • คลินิกได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ต้องมีใบรับรองที่ถูกต้อง ห้องทำหัตถการกว้างขวาง สะอาด สว่าง ไม่คับแคบ
  • ใช้เครื่อง coolsculpting ของแท้ มีคุณภาพ สามารถเช็กกับบริษัทนำเข้าได้
  • ดูแลโดยแพทย์และ Specialist สำหรับทำ Coolsculpting โดยเฉพาะ
  • มี Review จากผู้ใช้บริการจริง จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น Facebook, Wongnai, Pantip
  • Coolsculpting ราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงหรือถูกเกินไป หากพบเจอเครื่อง Coolsculpting ราคาถูกเกินไปอาจเป็นเครื่องปลอม หรือเลียนแบบได้

ทำ coolsculpting ที่ไหนดี - Coolsculpting ราคาเท่าไหร่ ? ก่อนตัดสินใจทำควรรู้อะไรบ้าง ?


สรุป

Coolsculpting ราคาไม่แพงถ้าเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ การันตีประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากงานวิจัยทั่วโลก ยืนยันผลการรักษาว่า CoolSculpting สามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันบริเวณที่ทำได้ 25% ต่อการทำ 1 ครั้ง สามารถแก้ปัญหา ต้นแขนใหญ่ ต้นแขนห้อยย้อย แขนย้วย ต้นขาใหญ่ น่องใหญ่ มีเหนียง หน้าท้องไม่กระชับ ปรับรูปร่างให้กลับมาสัดส่วนสมดุลและดูดียิ่งขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องลงเข็ม ไม่ต้องใช้ยาสลบ และไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ 

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ก่อนตัดสินใจทำ Coolsculpting ข้อสำคัญคืออย่าลืมตรวจสอบให้ดีว่าเครื่องที่ใช้เป็นเครื่องแท้หรือเครื่องปลอม และนอกจากราคาแล้วก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คุณภาพของเครื่องที่ใช้ ประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำ และมาตรฐานของคลินิกที่เข้าไปใช้บริการ

ฉีดสลายไขมันเมโสแฟต ราคาเท่าไหร่ ? ควรฉีดบ่อยแค่ไหน กี่ครั้งเห็นผล ?

0
เมโสแฟต ราคา

เมโสแฟต ราคา

หากว่าใครกำลังสนใจฉีดเมโสแฟต แต่ไม่รู้ว่าควรฉีดเมโสแฟตราคาเท่าไหร่ ? ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีตามความคาดหวังและมีความปลอดภัย เพราะมีหลายราคา หลายโปรโมชันให้เลือกสรร จนไม่รู้ราคามาตรฐานที่แท้จริงของการฉีดเมโสแฟต 

ในบทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวเมโสแฟตราคามาตรฐาน ของแต่ละยี่ห้อ แต่ละบริเวณมาไว้ให้แล้ว พร้อมทั้งเรื่องน่ารู้อื่น ๆ ก่อนตัดสินใจไปฉีดเมโสแฟต เช่น ปริมาณ CC ที่ควรใช้ในแต่ละจุด ไปจนถึงวิธีการดูแลตัวเองก่อน-หลังทำ สามารถติดตามอ่านได้ด้านล่างค่ะ 

เมโสแฟตราคาเท่าไหร่ ?

เมโสแฟตราคา

โดยทั่วไปแล้ว เมโสแฟตราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000.- บาท ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบฉีดเป็นครั้ง กับแบบฉีดเป็นคอร์ส 6 ครั้ง ราคา 9,000.- บาท ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ 

  • ยี่ห้อเมโสแฟต โดยเมโสแฟตแต่ละยี่ห้อจะมีราคาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารออกฤทธิ์ คุณภาพ และความปลอดภัย
  • ปริมาณเมโสแฟต ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการสลายไขมันและปริมาณไขมันสะสม หากใช้ปริมาณเมโสแฟตที่เพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ราคาสูงขึ้นด้วยเช่นกัน 
  • จำนวนครั้งที่ฉีด ปกติแล้วแพทย์จะแนะนำให้ฉีดเมโสแฟต 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือฉีดประมาณ 5 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานขึ้น โดยจำนวนครั้งในการฉีดจะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันสะสมและความพึงพอใจของคนไข้

ทั้งนี้ ก่อนฉีดเมโสแฟต แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำโดยประเมินจากปัญหา ปริมาณไขมัน และงบประมาณของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีตามความต้องการ หากยังไม่แน่ใจว่าเมโสแฟตราคาเท่าไหร่ แนะนำให้เข้าไปสอบถามหรือปรึกษาแพทย์กับคลินิกที่สนใจ เพื่อเช็กราคาการฉีดเมโสแฟตก่อนได้ค่ะ 

ผู้ที่เหมาะกับการฉีดเมโสแฟต 

เมโสแฟต จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมส่วนเกิน และมีเซลลูไลท์ในบริเวณที่ลดได้ยาก เช่น แก้ม เหนียง บริเวณต้นขา และต้นแขน โดยเมโสแฟตจะเข้าไปสลายไขมันให้เป็นไขมันเหลว และขับออกมาในรูปแบบของเสีย ช่วยให้รูปร่างกระชับขึ้น 

วิธีการทำงานเมโสแฟต

รวมข้อดีของการฉีดเมโสแฟต

เห็นผลเร็ว จะเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด

ปลอดภัย เป็นวิธีการสลายไขมันแบบไม่ผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น

เหมาะกับคนที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น เหนียง แก้ม ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก 

ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น

ค่าใช้จ่ายไม่สูง เมื่อเทียบกับการผ่าตัด

ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

ช่วยให้ผิวบริเวณที่ฉีดกระชับขึ้น

ลดการเกิดเซลลูไลท์

เมโสแฟตราคามาตรฐาน ของแต่ละยี่ห้อ 

เมโสแฟตราคามาตรฐาน ของยี่ห้อ Phytobella 

เมโสแฟต Phytobella ราคา

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศเกาหลี มีส่วนประกอบหลักเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ อาร์ติโช้ค ฟอสฟาทิดิลโคลีน แอลคาร์นิทีน และกรดดีออกซีโคลิก มีคุณสมบัติในการสลายไขมันและเซลลูไลท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการยกกระชับผิว ฉีดแล้วยุบดี ไม่บวมแดงอีกด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสแฟตราคามาตรฐานของยี่ห้อ Phytobella จะอยู่ที่ประมาณ 

  • จำนวน 6 CC > ราคา 2,000.- / ครั้ง  และ ราคา 9,000.- / คอร์ส 6 ครั้ง 
  • จำนวน 10 CC เหมา 1 ขวด >  ราคา 3,200 .- / ครั้ง 
  • จำนวน 12 CC > ราคา 3,500 .- / ครั้ง  และ ราคา 15,000.- / คอร์ส 6 ครั้ง 
  • จำนวน 18 CC > ราคา 5,000 .- / ครั้ง  และ ราคา 20,000.- / คอร์ส 6 ครั้ง 

เมโสแฟตราคามาตรฐาน ของยี่ห้อ  Babi Neo One

เมโสแฟต Babi Neo one ราคา

เมโสแฟตยี่ห้อ Babi Neo One เป็นเมโสแฟตพรีเมียมจากประเทศเกาหลี มีส่วนผสมหลักเป็นสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิด ปลอดภัยสูง มีคุณสมบัติในการช่วยสลายไขมันและเซลลูไลท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ลดการสะสมของไขมัน กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด พร้อมช่วยยกกระชับผิว นอกจากนี้ยังฉีดแล้วยุบดี ไม่มีอาการบวมแดง

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสแฟตราคามาตรฐานของยี่ห้อ Babi Neo One จะอยู่ที่ประมาณ 

  • จำนวน 6 CC > ราคา  2,500.- / ครั้ง  และ ราคา 9,900.- / คอร์ส 6 ครั้ง 
  • จำนวน 10 CC เหมา 1 ขวด >  ราคา 4,000 .- / ครั้ง 
  • จำนวน 12 CC > ราคา 4,500 .- / ครั้ง  และ ราคา 18,000.- / คอร์ส 6 ครั้ง 
  • จำนวน 18 CC > ราคา 6,500 .- / ครั้ง  และ ราคา 25,000.- / คอร์ส 6 ครั้ง 

เมโสแฟตราคามาตรฐาน ของยี่ห้อ FNC30

เมโสแฟต FNC30 ราคา

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC30 ก็เป็นหนึ่งในเมโสแฟตพรีเมียมจากประเทศเกาหลีอีกหนึ่งยี่ห้อเช่นกัน โดยยี่ห้อนี้จะเหมาะกับคนแก้มเยอะ เนื่องจากใน FNC 30 มีกลไกสลายไขมันด้วย Special Peptides จึงช่วยสลายเซลล์ไขมันให้แตกตัวและขจัดการสะสมของชั้นไขมัน พร้อมยกกระชับหน้า ปรับสมดุลต่อมน้ำเหลืองได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสแฟตราคามาตรฐานของยี่ห้อ FNC30 จะอยู่ที่ประมาณ 

  • จำนวน 6 CC > ราคา  2,500.- / ครั้ง  และ ราคา 9,900.- / คอร์ส 6 ครั้ง 
  • จำนวน 10 CC เหมา 1 ขวด >  ราคา 4,000 .- / ครั้ง 
  • จำนวน 12 CC > ราคา 4,500 .- / ครั้ง  และ ราคา 18,000.- / คอร์ส 6 ครั้ง 
  • จำนวน 18 CC > ราคา 6,500 .- / ครั้ง  และ ราคา 25,000.- / คอร์ส 6 ครั้ง

เมโสแฟต แต่ละจุด ใช้ปริมาณกี่ CC ?

ปริมาณ CC ที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตแต่ละจุด 

บริเวณใบหน้า

  • แก้ม เหนียง ใช้ประมาณ 6-18 CC

บริเวณลำตัว 

  • ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก ใช้ประมาณ 20-80 CC

ทั้งนี้ ปริมาณ CC ที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตแต่ละจุดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันสะสมและขนาดของบริเวณที่ต้องการฉีด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณที่เหมาะสมให้กับแต่ละเคส

เมโสแฟตราคามาตรฐาน ตามบริเวณที่ฉีด 

เมโสแฟตราคามาตรฐาน แต่ละจุด

เมโสแฟตราคาตามบริเวณที่ฉีด โดยทั่วไปแล้วหากฉีดบริเวณลำตัวจะมีราคาสูงกว่าบริเวณใบหน้า เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีไขมันสะสมมากกว่า จึงต้องใช้ปริมาณ CC เพิ่มมากขึ้น ซึ่งราคาการฉีดเมโสแฟตแต่ละจุด มีดังนี้ 

  • เมโสแฟตลดแก้ม  6CC-18CC (ประมาณ 1-2 ขวด)
    ราคาเริ่มต้น 2,000-5,000.- / ครั้ง
  • เมโสแฟตลดเหนียง 6CC-18CC (ประมาณ 1-2 ขวด)
    ราคาเริ่มต้น 2,000-5,000.- / ครั้ง
  • เมโสแฟตต้นแขน ใช้ข้างละ 20-40 CC (ประมาณ 4-8 ขวด)
    ราคาเริ่มต้น 5,000-9,000 / ครั้ง
  • เมโสแฟตหน้าท้อง 40-80 CC (ประมาณ 4-8 ขวด)
    ราคาเริ่มต้น 5,000-9,000.- / ครั้ง
  • เมโสแฟตต้นขา ใช้ข้างละ 40 CC (ประมาณ 8 ขวด)
    ราคาเริ่มต้น 18,000.- / ครั้ง

ทั้งนี้ ราคาขึ้นอยู่กับขนาดไขมันของแต่ละบุคคล  โดย (20cc / พื้นที่1ฝ่ามือ / ครั้ง) ยี่ห้อเมโสแฟตที่ใช้ จำนวนครั้งในการฉีด และโปรโมชันของแต่ละคลินิก

เมโสแฟต 1 ขวด มีกี่ CC ? กี่บาท ? 

เมโสแฟต 1 ขวดมีประมาณ 10 CC หรือ 10 ml (1cc และ 1ml มีปริมาตรเท่ากัน) และราคาต่อ 1 ขวดเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 บาท 

เมโสแฟต 1 ขวด มีกี่ CC ?

เมโสแฟต ราคาในแต่ละคลินิกต่างกันไหม ?

เมโสแฟตราคาแต่ละคลินิก

หากลองศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาฉีดเมโสแฟตจากคลินิกต่าง ๆ จะเห็นว่ามีราคาแตกต่างกันค่ะ มีตั้งแต่ฉีดเมโสแฟตราคาถูกมาก ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักพันขึ้นไป 

สิ่งที่ควรทำหากต้องการผลลัพธ์ที่ดีคือ ไม่ควรพิจารณาเลือกฉีดกับคลินิกฉีดเมโสแฟตราคาถูก แต่ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ทำโดยแพทย์มากประสบการณ์ ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ที่มีคุณภาพสูง พร้อมกับมีราคาฉีดเมโสแฟตที่สมเหตุสมผล ไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป 

เมโสแฟต ราคาแพง ราคาถูก ต่างกันอย่างไร ?

เมโสแฟต ราคาแพง ราคาถูก ต่างกันอย่างไร

เมโสแฟตราคาแพง กับราคาถูก ต่างกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ

> คุณภาพของตัวยาเมโสแฟต โดยเมโสแฟตที่มีคุณภาพสูง จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติ เข้มข้น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการสลายไขมันสูง ส่วนเมโสแฟตราคาถูก อาจมีการผสมสารอื่น ๆ ลงไป เช่น สเตียรอยด์ หรือยาชา ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้

> ปริมาณยาที่ใช้ ในการฉีดเมโสแฟตแต่ละครั้ง มีผลต่อผลลัพธ์ที่ได้ หากฉีดด้วยปริมาณยาที่มาก ก็จะยิ่งเห็นผลได้ชัดเจนมากขึ้น ส่วนเมโสแฟตที่จัดโปรโมชันราคาถูกมาก อาจฉีดด้วยปริมาณยาที่น้อย หรือถูกเจือจาง อาจทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงตามความคาดหวัง 

อย่างไรก็ตาม ควรเลือกปริมาณยาที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นธรรมชาติ ไม่ดูผิดรูป

โดยสรุปแล้ว เมโสแฟตราคาแพงมีโอกาสให้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกว่าเมโสแฟตราคาถูก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละคลินิกในแต่ละช่วงด้วย สิ่งสำคัญคือควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือ มั่นใจได้ว่าใช้ตัวยาเมโสแฟตของแท้ ทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามความคาดหวังค่ะ 

หลังฉีดเมโสแฟต กี่วันเห็นผล ?

หลังฉีดเมโสแฟต ถ้าเป็นตัวยาที่ได้คุณภาพ ฉีดในปริมาณที่เหมาะสม จะเริ่มเห็นผลประมาณ 5-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ 2-3 สัปดาห์ อยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน 

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปริมาณไขมันบริเวณที่ต้องการฉีด พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงความถี่ในการฉีดด้วยค่ะ 

เมโสแฟต ควรฉีดบ่อยแค่ไหน ?

สำหรับคนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น การฉีดเมโสแฟตช่วงแรกอาจจะฉีดทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใน 1 เดือน หลังจากนั้นค่อยลดลงมาฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์ หรือถ้าปริมาณไขมันลดลงจนพอใจแล้วค่อยเว้นระยะฉีดต่อเนื่องเป็นเดือนละ 1 ครั้งค่ะ 

วิธีการเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสแฟต 

  • พบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาและตรวจสภาพผิว
  • แจ้งความกังวล ว่ามีจุดไหนบ้างที่คนไข้ต้องการแก้ไข เพื่อให้หมอวิเคราะห์ คำนวณการใช้ตัวยาเมโสแฟตให้เหมาะสม
  • แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว
  • งดยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด วิตามิน และอาหารเสริมต่าง ๆ ที่ทำให้เลือดหยุดไหลช้า ก่อนฉีดเมโสแฟต 48 ชั่วโมง 

ข้อควรปฏิบัติและการดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต 

  • ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะช่วยในการขับไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้มากขึ้น
  • งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน หากมีรอยแดง รอยช้ำจากเข็มสามารถประคบเย็นได้ใน 48 ชั่วโมงแรก
  • ล้างหน้าและแต่งหน้าได้ตามปกติ 
  • หลีกเลี่ยงการนวด อบซาวน่า งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดการทำทรีทเม้นต์ต่าง ๆ หลังฉีดเมโสแฟต เพื่อให้อาการบวมยุบลงเร็วขึ้น
  • ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร ลดการทานอาหารรสเค็ม แป้ง ไขมัน น้ำตาล เพื่อลดการสะสมไขมันไม่ให้กลับมาอีก 

ข้อห้ามในการฉีดเมโสแฟต

  • ไม่ควรฉีดเมโสแฟตหากกำลังตั้งครรภ์รวมไปถึงอยู่ระหว่างให้นมบุตร
  • ไม่ควรฉีดเมโสแฟตหากกำลังป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  • ไม่ควรฉีดเมโสแฟตหากกำลังป่วยเป็นโรคหัวใจและทำการรักษาด้วยยาหลายแขนง
  • ไม่ควรฉีดเมโสแฟตหากมีโรคติดเชื้อหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

รีวิวผลลัพธ์หลังฉีดเมโสแฟต 

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดแก้ม ลดเหนียง

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดแก้ม ลดเหนียง 

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดต้นแขน

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดต้นแขน

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดต้นขา

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดต้นขา

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดหน้าท้อง

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดหน้าท้อง

สรุป 

เมโสแฟตราคามาตรฐาน เริ่มต้นควรอยู่ในช่วงราคาครั้งละประมาณ 2,000 บาทขึ้นไป หากพบโปรโมชันฉีดเมโสแฟตที่มีราคาต่ำกว่าราคาดังกล่าว ควรศึกษาอย่างละเอียดว่าคลินิกที่จัดโปรโมชันนั้นได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ และให้แพทย์เป็นผู้ทำหัตถการหรือไม่ เพื่อความปลอดภัย ฉีดแล้วไขมันลดลง เห็นผลลัพธ์ที่ดี

ฉีดฟิลเลอร์ Belotero เพิ่มความสวย ควรเริ่มจากตรงไหนดี ?

0
ฟิลเลอร์ Belotero

ฟิลเลอร์ Belotero

หากพูดถึงยี่ห้อฟิลเลอร์ที่กำลังเป็นกระแสและได้รับความนิยมมากที่สุดในวงการเสริมความงามตอนนี้ คงหนีไม่พ้นฟิลเลอร์ Belotero จากสวิตเซอร์แลนด์อย่างแน่นอน ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จัก Belotero ฟิลเลอร์ ว่ามีข้อดีอย่างไร มีกี่สี กี่รุ่น แต่ละรุ่นแตกต่างกันอย่างไร ฉีดส่วนไหนได้บ้าง ก่อนและหลังฉีดควรปฏิบัติตัวอย่างไร ตามมาดูข้อมูลดี ๆ กันเลย


ฟิลเลอร์ Belotero คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ Belotero (เบโลเทโร) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องโดย อย. สหรัฐอเมริกา ยุโรปและไทย นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด

นวัตกรรมนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในไทยและต่างประเทศ เนื่องจาก ฟิลเลอร์ Belotero มีส่วนประกอบหลักคือ ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic acid) หรือที่เรียกกันว่า HA ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่สร้างขึ้นโดยเลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในร่างกาย มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว

การฉีด Belotero ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มปริมาณไฮยาลูรอนิคในส่วนที่ร่างกายต้องการและช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมดุลและสวยงามได้อย่างเป็นธรรมชาติ


ฟิลเลอร์ Belotero มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นแตกต่างกันอย่างไร เหมาะฉีดจุดไหน ?

  • Belotero Soft (สีเหลือง)

เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากผิวชั้นนอก หรือผิวที่ไม่ได้มีปัญหาร่องลึกมาก เช่น บริเวณริ้วรอยใต้ตา รอยตีนกา ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยหน้าผาก ปากตกร่อง จุดเด่นของฟิลเลอร์กล่องสีเหลืองนี้คือเนื้อฟิลเลอร์จะมีโมเลกุลเล็ก ช่วยเก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ดี

  • Belotero Balance (สีส้ม)

เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาริ้วรอยระดับลึกถึงปานกลาง เช่น เติมเต็มแก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอยย่นระหว่างคิ้ว และร่องปาก มีจุดเด่นคือช่วยปรับร่องลึกให้ดูตื้น ใบหน้าดูเต็ม ริ้วรอยเหี่ยวย่นดูจางลง หรือใช้ฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม

  • Belotero Volume (สีม่วง)

เหมาะสำหรับแก้ปัญหาผิวหน้าในระดับลึก คือปัญหาหาที่เกิดจากการทรุดตัวของกระดูกครับ เช่น ฉีดใต้ตา คาง โหนกแก้ม ขมับ จุดเด่นคือเนื้อฟิลเลอร์จะมีความยืดหยุ่นสูง และมีความคงตัว ช่วยฉีดเสริมส่วนที่ตอบ และปรับรูปหน้าได้ดี

  • Belotero Intense (สีชมพู)

เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าที่ค่อนข้างลึกมาก ๆ มีสาเหตุมาจากการยุบตัวของผิวหนังหรือเนื้อเยื่อจากอายุที่มากขึ้น เช่น ร่องแก้มเติมแก้มตอบ จุดเด่นของฟิลเลอร์รุ่นี้คือมีความคงตัวสูง เนื้อยืดหยุ่น ฉีดแล้วเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน

  • Belotero Revive (สีเขียว)

เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ต้องการกระชับปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น จุดเด่นของรุ่นนี้คือการผสานกันระหว่างสารไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) และกลีเซอรอล (Glycerol) ที่จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมโทรมและถูกทำลาย พร้อมเติมน้ำให้ผิวมีความนุ่มชุ่มชื้น ถือเป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก

  • Belotero lips (สีแดง) 

เหมาะสำหรับฉีดปากโดยเฉพาะ เป็นฟิลเลอร์รุ่นใหม่ล่าสุดของ Belotero ใน 1 เซ็ตจะมาด้วยกัน 2 รุ่นคือ Belotero lips shape สำหรับเพิ่มวอลลุ่ม เติมความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก และ Belotero lips contour สำหรับปรับรูปทรงปาก เพิ่มความคมชัดของขอบปาก เน้นเก็บขอบปากให้มีมิติ

การเลือกใช้ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นของ Belotero ฟิลเลอร์ ควรพิจารณาตามลักษณะปัญหาหรือจุดที่ต้องการปรับปรุงของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรทำการปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ก่อนจึงจะดีที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย ตรงกับความต้องการและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด


ฟิลเลอร์ Belotero ดีอย่างไร ?

ฟิลเลอร์ Belotero ผลิตด้วยนวัตกรรมขั้นสูง ลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ Belotero อย่างเทคโนโลยี CPM® (Cohesive Polydensified Matrix) ทำให้เนื้อเจลเรียบเนียน กลืนไปกับผิวหน้า ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัย ได้รับรองมาตรฐานและผ่านการขึ้นทะเบียนทั้งจาก อย.อเมริกา (US FDA) อย.ไทย (TH FDA) และจากยุโรป (CE Mark) เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ทั่วโลก


ฟิลเลอร์ Belotero อยู่ได้นานกี่เดือน ?

ระยะเวลาการคงผลลัพธ์หลังฉีดของฟิลเลอร์ Belotero จะขึ้นอยู่กับรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ตำแหน่งที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีดของแต่ละบุคคล หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็จะสามารถยืดอายุของฟิลเลอร์ให้อยู่ได้นานขึ้น

โดยทั่วไประยะเวลาการคงผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ Belotero แต่ละรุ่น มีดังนี้

  • Belotero Soft อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Belotero Balance อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
  • Belotero Volume อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Belotero Intense อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Belotero Revive อยู่ได้นาน 9 เดือน
  • Belotero lips อยู่ได้นาน 6-18 เดือน

ฟิลเลอร์ Belotero ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาฟิลเลอร์ Belotero จะแตกต่างกันไปตามรุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ ตำแหน่งและปริมาณที่ฉีด เทคนิคการฉีดของแพทย์ รวมทั้งโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกในขณะนั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 9,xxx.-/1 CC ทั้งนี้ก่อนฉีดควรสอบถามราคาให้ชัดเจนและไม่ควรเลือกฟิลเลอร์ที่มีราคาถูกเกินไป เพราะเสี่ยงอาจเจอของปลอม ฉีดแล้วเป็นอันตรายได้


วิธีเช็กฟิลเลอร์ Belotero แท้

เพื่อความปลอดภัยก่อนฉีดฟิลเลอร์ Belotero ควรตรวจสอบให้มั่นใจก่อนว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้ โดยสามารถเช็กได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองในเบื้องต้น ดังนี้

  • กล่องฟิลเลอร์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปิดสนิททั้ง 2 ด้าน
  • มีเลขทะเบียน อย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
  • ในฉลากมีระบุข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ข้อมูลผู้ผลิต ข้อมูลผู้นำเข้า เลขที่ผลิตหรือหมายเลข Lot เลขอ้างอิง วันที่ผลิต วันหมดอายุ
  • 1 กล่องมี 2 CC และเลข Lot ต้องตรงกัน 3 จุด คือ
    • เลข Lot ที่กล่อง
    • เลข Lot ที่สติกเกอร์
    • เลข Lot ที่หลอด
  • สามารถโทรเช็กเลข Lot และคลินิกได้ที่ บริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ โทร. 02 229 9696

ข้อควรระวังในการฉีดฟิลเลอร์ Belotero

  • ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติการแพ้สารไฮยาลูรอนิคแอซิด
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหยุดไหลของเลือกควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
  • ควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรฉีดกับหมอกระเป๋า
  • ต้องฉีดโดยใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่าน อย.ไทยเท่านั้น ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์หิ้ว ฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ซื้อจากอินเทอร์เน็ต

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ Belotero

สำหรับขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ Belotero นั้นไม่ได้แตกต่างจากการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ เลย นั่นคือควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ พักผ่อนให้เพียงพอและเตรียมตัวให้พร้อม โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Belotero

  • ศึกษาข้อมูลที่จำเป็น ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน การเลือกหมอ เทคนิคในการทำ รวมไปถึงวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า
  • มียาและวิตามินบางชนิดที่ควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์ แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. John’s Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
  • งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
  • แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ
  • สามารถแจ้งเพื่อขอแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้ และหมอจะฉีดยาชาในจุดนั้น ๆ ให้ด้วย

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ Belotero

หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ Belotero การดูแลตัวเองนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เราจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลตนเอง เพื่อให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และคงสภาพอยู่ได้นานมากที่สุด สามารถปฏิบัติตามได้ ดังนี้

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ Belotero

  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้นและอยู่ได้นานขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสและการกดทับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงความร้อน งดทำเลเซอร์/RF 1 เดือน และงดซาวน่า 48 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหลังฉีด 24 ชั่วโมง ป้องกันการระคายเคือง

ฉีดฟิลเลอร์ Belotero ที่ไหนดี ? พิจารณาเลือกคลินิกฉีดอย่างไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ Belotero ที่ไหนดี ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัย ก่อนฉีดต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้

  • คลินิกเปิดให้บริการอย่างถูกต้อง มีการแสดงภาพถ่าย ชื่อ และเลขที่ใบอนุญาตของผู้ประกอบการให้เห็นชัดเจน
  • แพทย์ประจำคลินิก มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า รู้เทคนิคและตำแหน่งที่ฉีดอย่างเหมาะสม
  • ใช้ฟิลเลอร์ Belotero แท้ มีคุณภาพ ผ่านการรับรองจาก อย. นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกต้อง
  • มีความน่าเชื่อถือ สามารถดูรีวิวจากผู้รับบริการจริงในช่องทางต่าง ๆ เช่น Facebook Fanpage, Pantip หรือ Wongnai เพื่อให้เห็นฝีมือหมอและผลลัพธ์ของเคสนั้นจริง ๆ
  • มีการนัดติดตามผล หลังฉีดฟิลเลอร์ มีช่องทางการติดต่อที่สะดวก รวดเร็ว หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย สามารถสอบถามกับแพทย์เจ้าของเคสโดยตรง

สรุป

ฟิลเลอร์ Belotero มีหลายรุ่นให้เลือกใช้ตามความต้องการ ผ่านการรับรองมาตรฐานและประสิทธิภาพจากหลายประเทศทั่วโลก สามารถมั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัย ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ปรับสภาพผิว ลดริ้วรอย เติมเต็มร่องลึกให้กลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ช่วยให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

ทั้งนี้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์จะช่วยประเมินปัญหาและเลือกรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

รวมเรื่องควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้า เพิ่มความยาวให้คางเรียวสวย

0
ทรงคาง ฉีดฟิลเลอร์คาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง(1)

หากใครกำลังมองหาการปรับรูปหน้า เสริมคาง ให้คางเรียวสวย โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือใช้เวลานานในการฟื้นตัวหลังทำ “การฉีดฟิลเลอร์คาง” อาจเป็นตัวช่วยที่คุณกำลังมองหาอยู่ เพราะเป็นวิธีที่ทำง่าย เห็นผลลัพธ์เร็วและปลอดภัย 

ส่วนจะมีข้อควรรู้อะไรก่อนทำบ้าง ในบทความนี้มีมาบอก เช่น  ฉีดฟิลเลอร์คาง คืออะไร ? ช่วยอะไร มีขั้นตอนการทำอย่างไร กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน ใช้กี่ CC เหมาะ-ไม่เหมาะกับใคร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร อันตรายไหม ทรงคางที่กำลังฮิต โหงวเฮ้งคาง


ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์คาง 

ฉีดฟิลเลอร์คาง คือ 

การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ การใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid) ฉีดเข้าไปในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูกบริเวณคาง เพื่อปรับรูปทรงคางให้ดูยาวขึ้น เรียวขึ้น หรือปรับให้คางสมมาตรขึ้น เหมาะกับคนที่มีปัญหาคางสั้น คางถอย คางบุ๋ม คางเบี้ยว ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น หรือเสริมโหงวเฮ้ง

ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์คาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง ช่วยอะไร

  • ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวย วีเชฟมากขึ้น 
  • แก้ปัญหาคางสั้น คางตัด หน้ากลม
  • ช่วยเสริมคางให้ยาวขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ
  • แก้ปัญหาคางไม่เท่ากัน คางบุ๋ม ให้ได้สัดส่วน 
  • ช่วยเสริมคางเพื่อปรับโหงวเฮ้ง 

ยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คาง 

ยี่ห้อ_รุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คาง

  • Juvederm Voluma ฟิลเลอร์เนื้อแน่นและฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นความโค้งมนของคาง สามารถเติมคางได้อย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm Volux ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ขึ้นรูปได้ง่าย ปั้นทรงสวย ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
  • Restylane Perlane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ไม่ฟู ใช้สำหรับเสริมทดแทนกระดูกและยังคงความเป็นธรรมชาติ สามารถคงรูปได้ดี อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Belotero Intense ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง มีจุดเด่นในการใช้แก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง อยู่ได้นาน  18 เดือน
  • Definisse Core ฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า เติม mid-face คาง กรอบหน้า อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Flore Max ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาในไขมันชั้นลึก คาง/ขมับ อยู่ได้นาน  9-12 เดือน

ฉีดฟิลเลอร์คาง ควรใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติอย่างไร ?

ลักษณะฟิลเลอร์ที่ฉีดฟิลเลอร์คาง ควรมีคุณสมบัติดังนี้

  1. มีความคงตัวสูง : เพื่อให้สามารถคงรูปทรงคางได้ยาวนาน
  2. มีความยืดหยุ่นสูง : เพื่อให้สามารถปรับรูปทรงคางได้ตามต้องการ
  3. ไม่เป็นก้อน : เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
  4. ไม่แข็งกระด้าง : เพื่อให้สัมผัสนุ่มนวล ไม่รู้สึกระคายเคือง

ราคาการฉีดฟิลเลอร์คาง 

ราคาฟิลเลอร์คางโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/รุ่นของฟิลเลอร์ และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ ซึ่งราคาฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ต่อปริมาณ 1CC มีดังนี้

  • Juvederm Voluma,Volux  เริ่มต้นที่ 14,000-18,000 บาท/ซีซี
  • Restylane Perlane Lyft  เริ่มต้นที่ 12,000 บาท/ซีซี
  • Definisse Core  เริ่มต้นที่ 16,000 บาท/ซีซี
  • Belotero Intense เริ่มต้นที่ 9,900 บาท/ซีซี
  • Flore Max เริ่มต้นที่ 7,900 บาท/ซีซี

ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์คาง

ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์คาง

  1. แพทย์ประเมินปัญหาคาง ปริมาณ CC ที่เหมาะสม และเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์คาง
  2. ทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์คาง
  3. แปะยาชาหรือฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์คาง
  4. แพทย์ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณคาง
  5. แพทย์ปั้นทรงคาง ปรับทรงคาง 
  6. เห็นผลลัพธ์ทันที หลังฉีดฟิลเลอร์คาง

ผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์คาง

หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์ คงอยู่ได้นานประมาณ 9-24 เดือน หลังจากนั้นฟิลเลอร์จึงจะค่อย ๆ สลายไปเองตามธรรมชาติ หากต้องการคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ 

ปริมาณ CC ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์คาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้ปริมาณกี่ CC

ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดคางนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาคางของแต่ละบุคคล เช่น

  • ผู้ที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางถอย อาจต้องใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 cc
  • ผู้ที่มีปัญหาคางบุ๋ม อาจต้องใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-1.5 cc
  • ผู้ที่มีปัญหาคางไม่เท่ากัน อาจต้องใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 0.5-1 cc 

อย่างไรก็ตาม ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดคางนั้น แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและพิจารณาตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงรูปหน้า โครงหน้า และปัญหาคางของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและดูเป็นธรรมชาติ

ฉีดฟิลเลอร์คาง ควรใช้ปริมาณ CC เยอะ ๆ ไหม ?

ส่วนใหญ่แพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์คางในปริมาณที่มากเกินกว่า 2cc ค่ะ เนื่องจากอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ ดูย้วย เป็นคางมะม่วง หรือคางแม่มด ไม่สมดุลกับใบหน้าส่วนอื่น ๆ สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความยาวคางมาก ๆ อาจจะต้องพิจารณาการผ่าตัดเสริมคางค่ะ 

ฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะ-ไม่เหมาะกับใคร ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับ

การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม คางเบี้ยว หรือเนื้อคางไม่เท่ากัน โดยผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ และสามารถปรับรูปทรงและความยาวได้ตามความต้องการของคนไข้ ผู้ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์คาง มีดังนี้

  • ผู้ที่มีฐานคางเดิมอยู่แล้ว ต้องการการปรับรูปทรงให้ดูเรียวยาว มีมิติสวยงามขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาคางบุ๋ม คางตัด คางสั้น เนื้อคางไม่เท่ากัน
  • ผู้ที่ต้องการเสริมคางเพื่อปรับโหงวเฮ้ง

ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับ 

  • ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาคางสั้นมาก การฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อเพิ่มความยาวคางมากเกิน 1 เซนติเมตร อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ คางดูยาวแหลม ผิดรูป 
  • ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาคางถอยมาก การฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อปรับคางให้ยื่นออกมามากเกิน อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ คางดูใหญ่ ผิดรูป 
  • ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาคางเบี้ยวมาก การฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อปรับคางให้ตรง อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ คางดูบิดเบี้ยว
  • ไม่เหมาะกับคนที่วางแผนจะผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคนในอนาคต
  • ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์คางจะสลายไปเองตามธรรมชาติ ต้องมาฉีดซ้ำ

นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์คางยังอาจไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาสุขภาพ ดังต่อไปนี้

ข้อห้ามฉีดฟิลเลอร์คาง

  1. คนที่มีการติดเชื้อบริเวณที่ฉีด
  2. คนที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม HA 
  3. คนที่มีประวัติแพ้ยา
  4. คนที่อยู่ในภาวะเลือดไหลไม่หยุด
  5. คนที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

หากมีปัญหาคางหรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงด้านการปรับรูปหน้า  เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัด  
  • ใช้เวลาทำไม่นาน
  • หลังทำไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ 
  • เห็นผลลัพธ์ได้ทันที
  • ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากใช้สารเติมเต็มที่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.)
  • เนื้อฟิลเลอร์สามารถสลายได้ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย 

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • เพิ่มความยาวคางได้ไม่เกิน 1 เซนติเมตร 
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 9-24 เดือน ไม่อยู่นานถาวร
  • อาจมีอาการบวมจากเข็ม 2-3 วันแรก แล้วหายไปได้เอง  

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์คางให้เข้าใจก่อน
  • เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน สำหรับการฉีดฟิลเลอร์คาง
  • เลือกคลินิกที่มีแพทย์มากประสบการณ์เป็นผู้ทำหัตถการ
  • แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ
  • งดยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด และวิตามิน ที่ทำให้เลือดไหลเวียนดี

อย่างน้อย 3-7 วัน

  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 วัน

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

  • ปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • อยู่ในที่อากาศเย็น ๆ เพื่อช่วยให้อาการบวมหายเร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส จับ บีบ หรือปรับทรงคางเอง หลังทำ
  • หากปวดบริเวณที่ฉีดมาก สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้หน้าสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือนวดหน้า
  • งดการออกกำลังกายอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • 2-3 คืนแรก งดนอนตะแคง และควรนอนหมอนสูง ๆ โดยใช้หมอนหนุนที่ศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ 
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ฟิลเลอร์ทำงานได้ดีและอยู่ได้นานขึ้น

ผลข้างเคียงหลังจากฉีดฟิลเลอร์คาง 

หลังฉีดฟิลเลอร์คางอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยเข็มเล็ก ๆ หรืออาการบวมใน 2-3 วันแรก เพราะเนื้อฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปยังไม่เข้าที่ดี เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คาง อาการเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ หายไปเองโดยไม่ต้องเป็นกังวลค่ะ


ความปลอดภัยและความเสี่ยงของการฉีดฟิลเลอร์คาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม

คาง เป็นจุดฉีดฟิลเลอร์ที่ต้องใช้เทคนิคการฉีดในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูก เพื่อทำให้กล้ามเนื้อ mentalis ซึ่งเป็นชั้นใต้กล้ามเนื้อลึกลงไปไม่ดึงฟิลเลอร์คางมารวมเป็นก้อน จนอาจทำให้คางย้อยเสียรูปเมื่อพูดหรือยิ้ม ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์คาง จึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ดูเป็นธรรมชาติ รวมถึงต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ ผ่านอย. และทำในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น จึงจะมีความปลอดภัย

ปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์คาง ที่สามารถเกิดขึ้นได้

ปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์คางที่สามารถเกิดขึ้นได้ หากทำกับแพทย์ปลอม หมอเถื่อน หมอกระเป๋า หรือพยาบาล ที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้เทคนิคการฉีด ฉีดฟิลเลอร์คางในผิวชั้นตื้นเกินไป โดยใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือแม้แต่ฉีดฟิลเลอร์แท้ก็ตาม เช่น 

  • การอักเสบ ติดเชื้อ – อาจเกิดขึ้นได้หากสุขอนามัยในการฉีดไม่ดี ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน
  • ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง คางไม่เป็นธรรมชาติ และคางผิดรูป คางเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง คางเบี้ยว เมื่อพูดหรือยิ้ม – อาจเกิดขึ้นได้หากฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือฉีดฟิลเลอร์คางมากเกินไป 
  • ฟิลเลอร์สลายตัวไม่หมด คางบวมใหญ่ผิดปกติ และฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด ทำให้ตาบอด เนื้อตาย – อาจเกิดขึ้นได้หากฉีดฟิลเลอร์ปลอม 

ทั้งนี้ ผลข้างเคียงอันตรายของการฉีดฟิลเลอร์คางดังกล่าว สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง และใช้ฟิลเลอร์แท้กับคลินิกที่มีมาตรฐาน 

วิธีแก้ไขหากเกิดปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์คาง 

หากเกิดปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์คาง เช่น การอักเสบติดเชื้อ ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง คางผิดรูป คางเคลื่อน ที่เกิดจากผิดพลาดในการฉีดฟิลเลอร์คางกับแพทย์ไม่มีประสบการณ์อย่างหมอเถื่อน หมอกระเป๋า หรือพยาบาล 

แพทย์ที่มีประสบการณ์อาจทำการแก้ไขโดยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ หรืออาจต้องฉีดสารละลายไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase : HYAL) เพื่อสลายฟิลเลอร์ออก ในกรณีใช้ฟิลเลอร์แท้ หรืออาจต้องผ่าตัดแก้ไข ในกรณีใช้ฟิลเลอร์ปลอมมาก่อน

ฉีดสลายฟิลเลอร์

การป้องกันการเกิดปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

  • เลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ประสบการณ์สูงในการฉีดฟิลเลอร์
  • สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่จะใช้ ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ ปลอดภัย ผ่าน อย.หรือไม่
  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาคางที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้แพทย์ประเมินและแนะนำปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ หรืออยู่ในที่อากาศเย็น ๆ เพื่อให้อาการบวมหายเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ควพิจารณาปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล เช่น ประวัติแพ้ยา ประวัติโรคประจำตัว หรือประวัติการแพ้ฟิลเลอร์มาก่อน หากมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการฉีดฟิลเลอร์


วิธีการเลือกคลินิกสำหรับการฉีดฟิลเลอร์คาง 

เกณฑ์การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์คาง ประกอบไปด้วยปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้

  • เลือกฉีดฟิลเลอร์คางกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือ

คลินิกฉีดฟิลเลอร์คางที่ได้มาตรฐาน ควรได้รับเลขใบอนุญาต 11 หลักอย่างถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุข มีแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์คางโดยเฉพาะ สถานที่สะอาด ปลอดภัย เครื่องมือและอุปกรณ์ได้รับการรับรองมาตรฐาน

  • เลือกฉีดฟิลเลอร์คางกับคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์แท้ ผ่านอย.

ในการฉีดฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์ที่ใช้ควรเป็นฟิลเลอร์แท้ ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เช่น Juvederm, Restylane, Belotero, Definisse, Flore เพื่อความปลอดภัย โดยฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อจะมีข้อดีข้อเสียและระยะเวลาการคงอยู่ที่แตกต่างกัน หากในคลินิกใดมียี่ห้อฟิลเลอร์ที่สนใจ และมั่นใจได้ว่าใช้ฟิลเลอร์ของแท้ ผ่านอย. รวมถึงอนุญาตให้ตรวจสอบหรือนำกล่องกลับบ้านได้ สามารถเข้าไปปรึกษาแพทย์ได้ก่อนทำ

  • เลือกฉีดฟิลเลอร์คางกับคลินิกที่มีราคาฉีดฟิลเลอร์สมเหตุสมผล

ราคาการฉีดฟิลเลอร์คาง จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ รวมถึงประสบการณ์ของแพทย์ หากคลินิกไหนกำหนดราคาถูกผิดปกติ เมื่อเทียบกับคลินิกที่น่าเชื่อถือคลินิกอื่น ๆ ควรตรวจสอบอย่างละเอียด ว่าฟิลเลอร์ที่คลินิกนั้นใช้เป็นฟิลเลอร์ประเภท HA ของแท้หรือไม่ 

  • เลือกฉีดฟิลเลอร์คางจากรีวิวผู้ที่เคยใช้บริการ

ก่อนทำสามารถพิจารณารีวิวฉีดฟิลเลอร์คางจากผู้ที่เคยใช้บริการคลินิกนั้น ๆ บนช่องทาง  Pantip, Facebook Review ,Google Maps, Lemon8, Twitter, Tiktok เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ก่อนไปฉีดฟิลเลอร์คางได้

นอกจากนี้ ยังสามารถพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น

  • สถานที่ตั้ง เดินทางสะดวกหรือไม่ ใกล้บ้านไหม ?
  • การนัดหมาย จองคิว ดีไหม ?
  • โปรโมชั่นน่าสนใจหรือไม่ ?

โดยสรุป การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์คาง ควรพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและปลอดภัยมากที่สุด


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับคางเพิ่มเติม ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คาง

ทรงคางที่กำลังอิต ปี 2023 

ทรงคาง ฉีดฟิลเลอร์คาง

คางทรงเกาหลี หรือคางทรงวี (V-line)

คางทรงเกาหลี มีลักษณะเรียวยาวเป็นทรงวี (V-line) ปลายคางแหลมคมเล็กน้อย มีลักษณะสมดุลกับใบหน้าส่วนอื่น ๆ โดยสัดส่วนที่เหมาะสมคือ 1:1:0.8 หมายถึง ความยาวของหน้าผาก จมูก และคางควรมีความใกล้เคียงกัน โดยคางควรยาวประมาณ 1/8 ของความยาวใบหน้าทั้งหมด

ลักษณะคางทรงเกาหลีที่ชัดเจน ได้แก่

  • ความยาวของคางควรยาวกว่าหน้าผากเล็กน้อย
  • ปลายคางควรแหลมคมเล็กน้อย แต่ไม่แหลมมากเกินไป ยังคงมีความมน ความละมุนอยู่
  • ความกว้างของคางควรสมดุลกับใบหน้าส่วนอื่น ๆ

ทั้งนี้ คางทรงเกาหลีเป็นที่นิยมอย่างมากในเกาหลีใต้และทั่วโลก เนื่องจากทำให้ใบหน้าดูเรียวยาว อ่อนหวาน และดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างดาราเกาหลีที่มีคางทรงเกาหลี ได้แก่ ไอยู, ซูจี, แทยอน, เจนนี่ BLACKPINK, ลิซ่า BLACKPINK

อย่างไรก็ตาม คางทรงเกาหลีอาจไม่เหมาะกับทุกคน เนื่องจากต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น รูปหน้า และโครงหน้าโดยรวมของบุคคลนั้น ๆ หากต้องการฉีดฟิลเลอร์คางทรงเกาหลีควรปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อขอคำแนะนำ

ฉีดฟิลเลอร์คาง เลือกทรงคางได้ไหม ? ทำยากไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถเลือกทรงคางได้ โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงจะเป็นผู้ประเมินรูปหน้าและปัญหาคางของคนไข้อย่างละเอียด จากนั้นจะแนะนำทรงคางที่เหมาะสมกับใบหน้าของแต่ละบุคล โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น รูปหน้า โครงหน้า ปัญหาคาง ความต้องการ จากนั้นจึงใช้เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและดูเป็นธรรมชาติ

โดยปกติแล้ว การฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อปรับรูปทรงคางให้เรียวยาวเป็นทรงวี (V-line) นั้น สามารถทำได้ค่อนข้างง่าย เนื่องจากแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูงจะสามารถมองเห็นบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างชัดเจน 

ฉีดฟิลเลอร์คาง

อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อแก้ไขปัญหาคางบุ๋มหรือคางไม่เท่ากันนั้น อาจมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากแพทย์ต้องประเมินตำแหน่งที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมส่วนและดูเป็นธรรมชาติ

ดังนั้น ในการฉีดฟิลเลอร์คาง สิ่งที่สำคัญคือควรเลือกทำกับแพทย์ผู้มากประสบการณ์ เพื่อให้แพทย์ประเมินรูปหน้าและปัญหาคางอย่างละเอียด และสามารถฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดีค่ะ

โหงวเฮ้งคางดี-ไม่ดี  

โหงวเฮ้งคาง

ลักษณะคางดี ถูกโหงวเฮ้ง 

  • คางกลมมน บุคลิกโอบอ้อมใจดี สมถะถ่อมตัว มีสมรรถภาพ
  • คางนูน ไม่ใช่นูนด้วยกระดูก แต่นูนด้วยเนื้อ เป็นคนมีวาสนามั่งมีทรัพย์ สติปัญญาสูง มักเป็นที่รักใคร่แก่คนทั่วไป และเป็นที่สนใจต่อเพศตรงข้าม

ลักษณะคางไม่ดี ผิดโหงวเฮ้ง

  • คางสองชั้น อาจจะดูเป็นคนเกียจคร้าน นิยมวัตถุมากกว่าความรับผิดชอบของตน เป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นน้อย
  • คางแหลม ไม่ค่อยประนีประนอม
  • คางหลบ คางสั้น ไม่ค่อยเข้าสังคม ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ มีลับลมคมใน มักขี้กังวล ลูกน้องบริวารไม่จริงใจ ขาดความอดทน ขี้เกรงใจ

สรุป 

การฉีดฟิลเลอร์คาง นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ต้องการปรับรูปทรงคางให้เรียวยาว แก้ปัญหาคาง รวมถึงเสริมโหงวเฮ้ง ที่เน้นความธรรมชาติและความปลอดภัย ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่อยากเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากการผ่าตัด 

หลังเสริมจมูกควรปฏิบัติตัวอย่างไร เทคนิคดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรมจมูก

0
ดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก

หลังเสริมจมูก

การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญโดยเฉพาะช่วงแรกในการทำศัลยกรรม คนไข้ควรที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนอนหลับหรือการทานอาหาร และควรระมัดระวังในการทำกิจกรรมต่างๆ หลังการเสริมจมูก เพื่อป้องกันการเกิดผลแทรกซ้อนหลังทำจมูก และทำให้ทรงจมูกสวยเข้ารูปตามที่ต้องการ

อาการ และ ผลข้างเคียงหลังเสริมจมูก

อาการและผลข้างเคียงหลังเสริมจมูก แบ่งเป็นระยะได้ดังนี้

  • หลังเสริมจมูก 24 ชั่วโมง บริเวณใบหน้าและจมูกจะยังมีอาการบวมตึงจากฤทธิ์ของยาชา แผลที่ผ่าตัดใส่ซิลิโคนที่จมูก อาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ในช่วงแรกควรที่จะประคบเย็นอย่างน้อย 3-5 วันสม่ำเสมอเพื่อลดอาการบวม และทานยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • หลังเสริมจมูก 7 วัน อาการปวด บวมช้ำที่บริเวณใบหน้าและจมูกจะลดลงแต่จะยังบวมช้ำอยู่ ให้หมั่นประคบเย็นบริเวณที่บวมรอบที่ทำจมูก และทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย
  • หลังเสริมจมูก 14 วัน ในระยะนี้อาการปวด บวมหลังเสริมจมูกจะลดน้อยลงมาก รอยต่างๆ ที่เกิดจากการศัลยกรรมจะเริ่มค่อยๆ จางลง และแพทย์จะนัดเข้าไปทำการตัดไหม

เทคนิคการดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก

ดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก

หลังจากผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกคนไข้ควรที่จะปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยแนวทางในการดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกมีดังนี้

  • การนอนหลับ ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังการเสริมจมูก ควรที่จะนอนในลักษณะยกศีรษะสูงหรือนั่งหลับ การนอนแบบยกศีรษะสูงจะช่วยทำให้เลือดหรือน้ำเหลืองไหลกลับสู่หัวใจได้ดีขึ้น
  • ควรใช้แผ่นเจลที่แพทย์ให้ ประคบเย็นอย่างสม่ำเสมอภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังทำจมูก บริเวณรอบจมูกและใบหน้า เพื่อเป็นการลดบวม ไม่ให้เลือดคั่ง หรือเกิดพังผืด,พั้งผืดขึ้นหลังเสริมจมูก เมื่อมีอาการปวดบริเวณจมูกให้ทานยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบควรทานอย่างต่อเนื่อง
  • ไม่ควรล้างหน้าในช่วง 3 วันแรกหลังทำจมูก หลีกเลี่ยงการโดนน้ำ เนื่องจากจะทำให้แผลบริเวณด้านในจมูกที่เกิดจากการผ่าตัดศัลยกรรมเกิดอาการอักเสบหรือติดเชื้อได้ ควรทำความสะอาดบริเวณใบหน้าโดยการนำสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดใบหน้าแทน หากมีเลือดหรือน้ำเหลืองซึมบริเวณแผลที่ผ่าตัดให้นำคอตตอนบัดชุบน้ำเกลือทำความสะอาดภายในโพรงจมูก
  • อาหารที่ควรรับประทานในช่วงแรกหลังเสริมจมูก ควรเป็นอาหารอ่อนๆ เช่น ซุป ข้าวต้ม หรือโจ๊ก ฯลฯ และหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด รสเค็ม และอาหารทะเลหรืออาหารแสลง ซึ่งจะทำให้แผลหายช้าหรือเกิดผลข้างเคียงได้ รวมไปถึงงดเครื่องดื่มดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ควรสูบบุหรี่ แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและทำให้แผลหายเร็วมากยิ่งขึ้น
  • หลังเสริมจมูก การพักฟื้นในบางเคสอาจต้องใช้ระยะเวลานาน แนะนำให้คนไข้ลางานประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อพักฟื้นตัว และมาตามนัดที่แพทย์จะนัดตรวจเพื่อประเมินอาการ
  • ในช่วง 1 เดือนแรกหลังเสริมจมูก ไม่แนะนำให้ใส่แว่นตา เนื่องจากตัวแป้นของแว่นตาจะไปกดทับบริเวณจมูกทำให้เกิดรอยช้ำได้ หากจำเป็นที่จะต้องใช้สายตา ควรใส่คอนแทกต์เลนส์แทนการใส่แว่นตา
  • งดออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องใช้แรงมากประมาณ 4-6 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนที่จะส่งผลไปบริเวณแผลผ่าตัดศัลยกรรมจมูก

1. หลังเสริมจมูกทันที

ที่บริเวณใบหน้าและจมูกจะมีอาการตึง ปวด บวมช้ำ หลังจากการเสริมจมูก ในช่วงสัปดาห์แรกควรนอนหงาย ยกศีรษะสูง พร้อมกับหมอนรองคอ เพื่อเป็นการล็อกไม่ให้เปลี่ยนท่านอนโดยไม่รู้สึกตัว ที่อาจจะทำให้เกิดการกระแทกบริเวณจมูก ส่งผลให้จมูกเบี้ยวเอียงได้

รับประทานแก้อักเสบ ยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง ใช้แผ่นเจลประคบเย็นบริเวณใบหน้า รอบๆ จมูกครั้งละ 10-15 นาที พยายามประคบเย็นบ่อยๆ เพื่อลดอาการบวมช้ำหลังการผ่าตัดเสริมจมูก ห้ามแคะ แกะ เกาบริเวณโพรงจมูก ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ

หากจำเป็นต้องจาม ควรจามเบาๆ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการนำคอตตอนบัดจุ่มน้ำเกลือเช็ดล้างทำความสะอาด ไม่ควรล้างหน้าใน 2-3 วันแรก ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำโดนหน้าเนื่องจากจะทำให้แผลไม่สมาน หายช้า และมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อหลังเสริมจมูก

2. อาการหลังเสริมจมูก 7 วัน

อาการบวมจะยุบลงเล็กน้อย อาจจะยังบวม มีรอยช้ำอยู่บ้างบริเวณใบหน้าและจมูก ให้ใช้แผ่นเจลประคบเย็น สลับกับการประคบร้อน เพื่อลดอาการปวด บวมช้ำที่เกิดขึ้น ในช่วงแรกนี้จมูกอาจจะยังไม่เข้าที่ อาจดูสันจมูกสูงหรือเบี้ยว เนื่องจากที่จมูกยังดูไม่เข้าทรงเกิดจากอาการบวมหลังเสริมจมูก อาจต้องใช้ระยะเวลาสักพักจนกว่าจะเห็นทรงจมูกที่ชัดเจน และสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

3. อาการหลังเสริมจมูก 14 วัน

จมูกจะมีอาการบวม รอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นหลังเสริมจมูกจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จมูกจะยุบลงจนเริ่มมองเห็นทรงจมูกชัดเจน แต่อาการบวมก็อาจยังมีอยู่ หากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดหรือหนองไหล ควรแจ้งไปทางแพทย์โดยทันที ในระยะนี้แพทย์จะนัดตรวจและตัดไหม และสามารถที่จะล้างหน้า อาบน้ำ สระผม ทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามปกติ

4. อาการหลังเสริมจมูก 1 เดือน

ทรงจมูกจะเป็นสัน เข้าที่ประมาณ 60% เริ่มมองเห็นทรงจมูกได้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น อาการปวด บวม รอยฟกช้ำจะหายไป ซึ่งในระยะนี้สามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้ปกติ สามารถสวมแว่นตาและออกกำลังกายเบาๆ ว่ายน้ำได้ แต่ยังไม่ควรทำงานที่ใช้แรงค่อนข้างมาก

วิธีทำความสะอาดใบหน้าหลังเสริมจมูก

วิธีดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก

เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกอย่างมาก หากต้องการทำความสะอาดใบหน้าหลังเสริมจมูก มีคำแนะนำดังนี้

  1. ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังทำจมูก หากคนไข้ต้องการล้าง ทำความสะอาดใบหน้า ไม่แนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าโดยตรง ให้ใช้ทิชชูเปียก หรือสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดบริเวณใบหน้าอย่างเบามือ ไม่ควรขัดถูใบหน้าอย่างรุนแรง
  2. หลังเสริมจมูก หากคนไข้ต้องการสระผม ไม่แนะนำให้สระผมด้วยตนเอง ควรที่จะสระผมที่ร้านทำผมหรือใช้ Dry Shampoo
  3. การแปรงฟัน ควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดหัวเล็ก เพื่อความสะดวกในการแปรงฟัน และควรแปรงฟัน และบ้วนน้ำช้าๆ อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการขยับใบหน้าอย่างรุนแรง

หลังเสริมจมูกห้ามทำอะไรบ้าง

สิ่งที่เป็นข้อห้ามหลังทำศัลยกรรมเสริมจมูก ถ้าไม่อยากจมูกพัง มีดังนี้

  1. ไม่ควรลูบ แคะจมูก หรือจับจมูกบ่อยๆ ในช่วงแรกหลังเสริมจมูก โครงสร้างของจะจมูกจะอ่อนแอและยังไม่เข้าที่ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณจมูก รวมไปถึงการบิดจมูก ดันจมูกเล่น อาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้จมูกเบี้ยวเอียง เกิดอาการอักเสบ ปลายจมูกบางใส มีความเสี่ยงที่ปลายจมูกจะทะลุ
  2. ไม่ควรจามหรือสั่งน้ำมูกแรง หากจำเป็นจะต้องจามหรือสั่งน้ำมูกควรที่จะจาม สั่งน้ำมูกให้เบาที่สุด และให้ทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยการนำคอตตอนบัดชุบน้ำเกลือเช็ด หลังการสั่งน้ำจมูกทุกครั้ง
  3. ไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดร้อน อาหารทะเล และอาหารแสลง เช่น ของหมักดอง ส้มตำ, อาหารสุกๆ ดิบๆ , ปลาร้า เป็นต้น จะทำให้เกิดอาการอักเสบ แผลหายช้า และยังเสี่ยงติดเชื้อที่แผลผ่าตัดในโพรงจมูกหรือมีอาการบวมแดงที่ใบหน้าหลังเสริมจมูก
  4. ไม่ควรออกกำลังกาย ทำงานใช้แรงที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงบริเวณจมูก
  5. หลีกเลี่ยงการล้างหน้า พยายามไม่ให้น้ำสัมผัสโดนใบหน้าโดยตรง ควรใช้สำลีแผ่นชุบน้ำเกลือแล้วเช็ดทำความสะอาดบริเวณใบหน้าอย่างเบามือ
  6. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ มีฝุ่นควัน เนื่องจากจะทำให้แผลผ่าตัดศัลยกรรมจมูกเกิดการติดเชื้อ หากจำเป็นควรที่จะสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
  7. หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหลังเสริมจมูก เนื่องจากจะทำให้ซิลิโคนจมูกไหลขณะนอนหลับ ทำให้ทรงจมูกเกิดการเบี้ยวเอียงได้

ท่านอนหลังเสริมจมูกที่แนะนำ

ท่านอนที่เหมาะสมสำหรับหลังเสริมจมูก แนะนำเป็นท่านอนหงายแบบยกหัวสูง ควรใช้หมอนรองคอด้วย เพื่อเป็นการล็อกท่าในการนอน ไม่เผลอนอนตะแคงหรือเปลี่ยนท่านอนที่อาจจะทำให้ส่งผลกระทบไปยังบริเวณแผลผ่าตัดศัลยกรรมจมูกโดยไม่รู้ตัวขณะนอนหลับ

อาหารที่ทานได้ และ ไม่ควรทานหลังเสริมจมูก

อาหารหลังทำจมูก

หลังการเสริมจมูกควรที่จะรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ซุป ก๋วยเตี๋ยว นม ไข่ และน้ำผลไม้ เป็นต้น อาหารที่ไม่ควรรับประทาน เช่น อาหารรสจัด อาหารรสเผ็ด อาหารทะเลและอาหารแสลง จำพวก ส้มตำ ของหมักดอง อาหารเสริมจำพวกวิตามินที่ส่งผลทำให้เลือดไม่แข็งตัว

รวมถึงงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงการสูบบุหรี่ เนื่องจากแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มหรือสารนิโคติน มีผลต่อเซลล์เนื้อเยื่อภายในร่างกายทำให้แผลหลังเสริมจมูกหายช้า

คำถามที่พบบ่อย

ข้อปฏิบัติหลังเสริมจมูก

1. หลังเสริมจมูกกี่วันนอนตะแคงได้

ในช่วง 1 สัปดาห์แรกไม่ควรที่จะนอนตะแคง แนะนำให้นอนตะแคงได้หลังทำจมูก 1 สัปดาห์ขึ้นไป

2. หลังเสริมจมูกหายใจไม่สะดวก ทำยังไงดี

เป็นเรื่องปกติหลังเสริมจมูก เนื่องจากเนื้อเยื่อภายในโพรงจมูกยังมีอาการบวมจากการผ่าตัดเสริมจมูก แนะนำให้ทานยาลดบวมและประคบเย็นหลังทำจมูกอย่างสม่ำเสมอ

3. หลังเสริมจมูกกินน้ำอัดลมได้ไหม

ไม่ควรดื่มน้ำอัดลมในช่วง 1 เดือนแรก เนื่องจากในน้ำอัดลมมีสารกระตุ้นการสูบฉีดของเลือด ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและการแข็งตัวของเลือด ทำให้แผลหลังเสริมจมูกอาจหายได้ช้า

4. หลังเสริมจมูก ออกกำลังกายได้ไหม

ไม่ควรที่จะออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนแรกหลังเสริมจมูก เนื่องจากจะทำให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณจมูก อาจส่งผลให้ทรงจมูกไม่เข้ารูปตามที่ต้องการ

5. หลังเสริมจมูกต้องกินพาราได้ไหม

แนะนำให้ทานยาพาราในเฉพาะเวลาที่รู้สึกปวดบริเวณแผลผ่าตัดหลังเสริมจมูกเท่านั้น และไม่ควรทานยาพาราเกินวันละ 8 เม็ดต่อวัน

สรุป

การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำศัลยกรรม เพื่อที่จะสามารถฟื้นตัวหลังผ่าตัดเสริมจมูก และทำให้แผลหายไว ควรที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยหรือมีอาการผิดปกติใดๆ จะต้องรีบแจ้งไปยังแพทย์ทันที และรับคำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อให้หลังเสริมจมูกได้ผลลัพธ์ที่ดี ตามที่คนไข้ต้องการ

ทั้งนี้ควรเลือกทำศัลกรรมจมูกกับแพทย์เฉพาะทาง สถานพยาบาลที่มีการรับรองตามมาตรฐานความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้