Home Blog Page 4

เมโสแฟต ฉีดสลายไขมันเร่งด่วน คืออะไร ? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนฉีด

0
เมโสแฟต

เมโสแฟต

เมโสแฟต หรือการฉีดสลายไขมัน เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมาก ในคนที่ต้องการลดไขมันเฉพาะส่วนแบบเร่งด่วน โดยไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดหรือดูดไขมัน มีผลข้างเคียงน้อย และไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน 

ในบทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับเมโสแฟตให้มากขึ้น ก่อนตัดสินใจไปฉีด ว่ามีข้อควรรู้อะไรบ้าง ? เช่น เมโสแฟต คืออะไร ช่วยอะไร มีขบวนการทำงานอย่างไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้าง ควรเลือกเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี 2024 ใช้กี่ CC กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน ? 

อะไรคือเมโสแฟต ?

เมโสแฟต คืออะไร ?

เมโสแฟต เป็นการฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินในพื้นที่ที่ต้องการ โดยตัวยาที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตมีสารออกฤทธิ์หลัก ๆ ที่ช่วยในการสลายไขมัน คือ 

  • สารสกัด Artichoke extract (Cynara scolymus) ที่ช่วยกระตุ้นการผลิตโคเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับกระบวนการสร้างและเติบโตของเซลล์ ช่วยลดไขมันในร่างกาย และลดการสร้างกรดไขมัน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไขมันส่วนเกิน ต้องการลดไขมันส่วนเฉพาะจุด เช่น ลดแก้ม ลดเหนียง หรือลดเซลลูไลท์
  • Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นให้เอนไซม์ที่ช่วยย่อยไขมันทำงานมากขึ้น ช่วยลดการสร้างไตรกลีเซอไรด์และควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอลในเนื้อเยื่อ
  • L-carnitine ช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานได้มากขึ้น โดยเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน ซึ่งช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน

ทำไมต้องฉีดเมโสแฟต ? 

ทำไมต้องฉีดเมโสแฟต

การฉีดเมโสแฟตเป็นวิธีการลดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัด เป็นการใช้ตัวยาเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสลายไขมันในจุดที่เราไม่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่ออกกำลังกายยังไงก็ไม่หายไป วิธีนี้เป็นวิธีที่มีการเลือกใช้กันอย่างแพร่หลายมากในปัจจุบัน เพราะ

  • เร็วและง่าย ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการใช้มีดผ่าตัด จึงไม่มีแผลหรือต้องพักฟื้น
  • เจ็บน้อย การฉีดจะเจ็บเพียงเล็กน้อยจากการลงเข็ม สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เลยหลังฉีด
  • ลดไขมันเฉพาะจุดได้ดี สามารถเลือกลดไขมันได้ตามจุดที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแก้ม เหนียง ท้อง ขา หรือแขน 
  • ผิวกระชับขึ้น นอกจากลดไขมันแล้ว ยังช่วยให้ผิวในบริเวณนั้นดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น

ฉีดเมโสแฟตแล้วช่วยอะไร ?

การฉีดเมโสแฟตคือการฉีดตัวยาเมโสแฟตเข้าไปในพื้นที่ที่มีไขมันสะสม เพื่อช่วย

  • สลายไขมัน ทำให้ไขมันในบริเวณที่ฉีดสลายและลดลง
  • กระชับผิว  หลังจากไขมันลดลง ผิวในบริเวณนั้นจะดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น
  • ปรับสัดส่วน ช่วยให้รูปร่างและสัดส่วนดูดีขึ้นตามพื้นที่ที่เราต้องการ

เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินแบบเฉพาะจุด บริเวณแก้ม เหนียง หน้าท้อง ขา หรือแขน 

กระบวนการทำงานของเมโสแฟต 

กระบวนการทำงานของการฉีดสลายไขมันเมโสแฟต คือ การใช้ตัวยาช่วยให้ไขมันแตกตัว หรือสลายตัว หลังจากนั้นไขมันจะถูกขับออกทางระบบขับถ่าย ทำให้ไขมันบริเวณที่ฉีดลดลง ดังนี้ 

  1. กระบวนการสลายไขมัน: เมโสแฟต ใช้สารสกัดธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อช่วยลดไขมันในส่วนที่ต้องการ ตัวยาหลักที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตจะอยู่ในกลุ่มของ Phosphatidylcholine, Deoxycholate, Dexpanthenol, L-carnitine, กรดอะมิโน และแร่ธาตุ ซึ่งมาจากแหล่งธรรมชาติอย่างถั่วเหลือง ไข่แดง และวิตามินหลายชนิด โดยที่สารเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมันและสลายเซลล์ไขมัน
  2. กระบวนการกำจัดไขมัน :ไขมันที่ถูกสลายจากตัวยาจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบขับถ่าย การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยเร่งการขับไขมันออกจากร่างกาย
  3. กระบวนการการเห็นผลลัพธ์ :ทำให้บริเวณที่ฉีดเมโสแฟตมีไขมันลดลง ทำให้ผิวดูกระชับและรูปร่างดูดีขึ้น จำนวนครั้งในการฉีด ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่สะสม

ข้อดีของเมโสแฟต 

✔ ลดไขมันส่วนเกิน เมโสแฟตช่วยละลายไขมันในส่วนที่เราไม่ต้องการ ทำให้รูปร่างดูดีขึ้น
✔ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้มีดผ่าตัดหรือเข้าโรงพยาบาล ทำให้ไม่มีแผลหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
✔ ฟื้นตัวเร็ว  หลังฉีดเสร็จสามารถกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นนาน
✔ เจ็บน้อย มีความเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัด ไม่ต้องดูแลตัวเองยุ่งยากหลังทำ
✔ ผิวกระชับ-เรียบเนียน  นอกจากช่วยลดไขมันแล้ว ยังช่วยให้ผิวในบริเวณที่ฉีดดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น
✔ รูปร่าง -สัดส่วนดีขึ้น ช่วยให้สัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดูสมส่วนและมีรูปร่างที่ดูดีขึ้น
✔ เหมาะสำหรับการลดไขมันเฉพาะจุด เช่น ลดไขมันที่แก้ม เหนียง หน้าท้อง ขา หรือแขน ที่อาจลดยากแม้ออกกำลังกาย
✔ ประหยัดงบ ไม่ต้องไปดูดไขมันที่มีราคาสูง เหมาะกับคนที่มีงบจำกัด เพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก 

ข้อเสียเมโสแฟต 

แม้ว่าเมโสแฟตจะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาเช่นกัน  คือ

  • ผลลัพธ์ที่อาจอยู่ได้ไม่นานถาวร หากขาดการดูแล ควบคุมน้ำหนักและไม่มีการออกกำลังกาย ไขมันสามารถกลับมาสะสมใหม่ได้
  • ในคนที่มีไขมันสะสมมาก อาจต้องฉีดหลายครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ 
  • อาจมีผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แต่จะหายไปได้เอง ในช่วงอาทิตย์แรก ๆ หลังทำ
  • เมโสแฟตไม่ใช่ยาลดน้ำหนัก ไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักตัวโดยรวมได้

ฉีดเมโสแฟต ยี่ห้อไหนดี 2024 

ตัวยาเมโสแฟตมีหลายยี่ห้อที่ใช้กันในตลาด แต่ละยี่ห้อมีส่วนผสมและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างยี่ห้อเมโสแฟตที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน 2024 ได้แก่ 

1. เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella 

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella

จุดเด่น

ฉีดแล้วยุบดี ไม่บวมแดง ไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย มีตัวยาที่สกัดจากธรรมชาติ ทั้งสำหรับลดไขมัน ลดเซลลูไลท์ ยกกระชับผิว และลดอาการบวมน้ำ ใช้ฉีดได้หลายส่วนของร่างกาย เช่น เหนียงใต้คาง แก้ม ต้นขา สะโพกและน่อง

2. เมโสแฟตยี่ห้อ FNC30 

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC30

จุดเด่น

ยี่ห้อเมโสแฟตพรีเมียม ฉีดแล้วยุบดี รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีแก้มและเหนียงเยอะจากไขมันส่วนเกิน ตัวยามีกลไกสลายไขมันให้แตกตัว (Special Peptides) ช่วยในการยกกระชับหน้า ปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง และลดการสะสมของชั้นไขมัน

3. เมโสแฟตยี่ห้อ Babi Neo one 

เมโสแฟตยี่ห้อ Babi Neo one

จุดเด่น

เป็นยี่ห้อเมโสแฟตแบบพรีเมียมที่ฮิตมาก ฉีดแล้วแสบน้อยที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย เนื่องจากตัวยามีประสิทธิภาพในการสลายไขมันพร้อมทั้งช่วยยกกระชับผิว ทำให้นิยมใช้ฉีดเพื่อลดแก้ม ลดเหนียง และช่วยให้รูปหน้าดูเรียวขึ้น เห็นผลลัพธ์เร็วภายใน 3 วัน

4. เมโสแฟตยี่ห้อ Vline 

เมโสแฟตยี่ห้อ Vline

จุดเด่น

เป็นเมโสแฟตทางเลือกใหม่จากเกาหลี ที่ช่วยลดเซลลูไลท์ ทำให้ผิวกระชับขึ้น และเร่งให้ไขมันส่วนเกินยุบได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับยี่ห้อ FNC แต่อาจทำให้รู้สึกแสบมากกว่าขณะฉีด

เตือน! ระวังเมโสแฟตปลอม 

เมโสแฟตปลอม

เมโสแฟตปลอม คือ ตัวยาหรือสารที่ลักลอบนำมาใช้แทนตัวยาเมโสแฟตจริงเพื่อฉีดสลายไขมัน แต่ไม่ผ่านมาตรฐานคุณภาพ เนื่องจากอาจมีสารปนเปื้อนหรือสารอันตรายที่ไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (อย.) เช่น สเตียรอยด์ (Steroid) และ ยาสลายฟิลเลอร์ (hyaluronidase)

บางคลินิกจะใช้สารเหล่านี้ ในวิธีที่ผิด ด้วยการนำมาฉีดเพื่อสลายไขมันในปริมาณมาก ๆ ช่วงแรกอาจเห็นผลเร็ว แต่เมื่อผ่านไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ถึงขั้นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ทำให้หน้าบวมกว่าเดิม เสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น หรือส่งผลให้เนื้อยุบลงอย่างรวดเร็ว ผิวเสื่อมสภาพ รวมถึงเกิดริ้วรอยก่อนวัย และผิวหย่อนคล้อย  

ดังนั้น ก่อนเลือกฉีดเมโสแฟต ควรตรวจสอบยี่ห้อเมโสแฟต ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย 

วิธีสังเกตเมโสแฟตแท้-ปลอม 

เมโสแฟตแท้ ✅ 

เมโสแฟตปลอม ❌

แหล่งที่มา
  • คลินิกซื้อตัวยาจากบริษัทผู้นำเข้ายี่ห้อเมโสแฟตนั้น ๆ โดยตรง และมีใบรับรองอย่างถูกต้อง
  • สามารถตรวจสอบจากเลข Lot.บริษัทนำเข้า หรือ QR Code ที่หลังกล่องได้
  • ซื้อจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน มักซื้อขายออนไลน์ และผู้ซื้อไม่ใช่แพทย์ 
ลักษณะของบรรจุภัณฑ์
  • มีฉลากภาษาไทยที่ชัดเจน
  • ข้อมูลบนฉลากตรงกับตัวยาจริง
  • บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพดี
  • ไม่มีฉลากภาษาไทย หรือมีฉลากที่ไม่ชัดเจน
  • ข้อมูลบนฉลากไม่ตรงกับตัวยาจริง
  • บรรจุภัณฑ์ไม่มีเลขทะเบียน อย.
  • บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยมีร่องรอยการแกะ
ผลหลังฉีด
  • เกิดอาการบวมจากตัวยาเพียงเล็กน้อย สามารถหายได้เอง
  • ค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์
  • ไขมันสะสมลดลง
  • รูปหน้าเรียวขึ้น
  • เกิดอาการบวมแดง อักเสบ รุนแรง
  • ผิวหนังเป็นรอยบุ๋ม
  • ติดเชื้อ
  • ผิวหนังบาง
  • เส้นเลือดโป่ง
  • อาการแพ้รุนแรง

เมโสแฟต ซื้อมาฉีดเองได้ไหม ? 

เมโสแฟต ซื้อมาฉีดเองได้ไหม ?

เมโสแฟต ไม่สามารถซื้อมาฉีดเองได้ เนื่องจากเมโสแฟตเป็นตัวยาควบคุม การซื้อตัวยาต้องซื้อโดยแพทย์เท่านั้น เพราะมีกฎหมายควบคุม กรณีที่ซื้อมาฉีดเองได้ การันตีได้ว่าตัวยาที่ซื้อมาเป็นยาปลอม ไม่ได้มาตรฐาน บวกกับนำมาฉีดเอง โดยที่ไม่มีความรู้ กระบวนการฉีดไม่เหมาะสม เสี่ยงเกิดอันตรายได้  

การฉีดเมโสแฟตต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญเท่านั้น เพราะต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะทาง แพทย์จะวิเคราะห์ปริมาณยาและจุดฉีดที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล กรณีการฉีดเองโดยไม่มีความรู้และประสบการณ์อาจโอกาสเสี่ยง อักเสบ ติดเชื้อสูง 

ข้อควรรู้ : การฉีดเมโสแฟตควรทำกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้  กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการ เพื่อความปลอดภัยและการเห็นผลลัพธ์ที่ดี

เมโสแฟต อันตรายไหม ?

เมโสแฟต ปลอดภัย หากได้รับการฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน 

อย่างไรก็ตาม ความอันตรายอาจเกิดขึ้นได้ถ้าใช้เมโสแฟตที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปลอม ซึ่งอาจมีสารปนเปื้อนหรือสารอันตรายที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย.  

นอกจากนี้ การฉีดโดยแพทย์ผู้ที่ขาดประสบการณ์ เช่น หมอกระเป๋า หมอเถื่อน พยาบาล อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ อักเสบ หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่ตามมาได้ 

เมโสแฟตเหมาะกับใคร – ไม่เหมาะกับใคร ? 

เมโสแฟต เหมาะกับ

  • ผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น แก้ม เหนียง หน้าท้อง แขน ขา 
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันในจุดที่ลดยาก แม้จะพยายามออกกำลังกายแล้ว
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันเร่งด่วน ด้วยงบจำกัด
  • ผู้ที่ไม่อยากผ่าตัดหรือดูดไขมัน เพราะกลัวความเจ็บ 

เมโสแฟต ไม่หมาะกับ 

  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง  เช่น โรคหัวใจ, โรคตับ, โรคไต หรือโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด เช่น ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือมีประวัติการเกิดลิ่มเลือด
  • ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร  เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้สารที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟต 
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบที่บริเวณที่จะทำการฉีด ควรรักษาให้หายก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ
  • ผู้ที่มีโรคผิวหนังหรือปัญหาทางผิวหนังที่บริเวณที่จะฉีด เช่น โรคสะเก็ดเงินหรือเอ็กซีมา
  • ผู้ที่มีมะเร็งหรือประวัติของโรคมะเร็ง  เนื่องจากการกระตุ้นการไหลเวียนอาจส่งผลต่อสภาวะของโรค

เมโสแฟตฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

เมโสแฟตสามารถฉีดได้ที่หลายจุดบนร่างกายที่ต้องการลดไขมัน ได้แก่ 

เมโสแฟตฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

  • แก้ม สำหรับคนที่ต้องการลดขนาดแก้มให้เล็กลง
  • คาง ลดไขมันส่วนเกินใต้คาง เหนียง
  • หน้าท้อง ช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง
  • ต้นขา ลดไขมัน ลดเซลลูไลท์ บริเวณต้นขาให้ดูกระชับขึ้น
  • แขน ช่วยให้แขนดูเล็กลง กระชับขึ้น
  • หลัง ลดไขมันส่วนเกินบริเวณหลัง
  • สะโพก ช่วยปรับรูปสะโพกให้ดูมีสัดส่วน เอว S

ฉีดเมโสแฟต สลายไขมันแต่ละจุด ใช้กี่ CC ? 

เมโสแฟต (Meso Fat) โดยส่วนใหญ่แล้ว จะมาในขวดละ 10 CC การฉีดแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ที่พิจารณาจากความเหมาะสม ความต้องการของคนไข้ และจำนวนไขมันที่ต้องการลดในบริเวณนั้น ๆ 

ปริมาณที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตแต่ละจุด โดยประมาณ มีดังนี้ 

  • 6-24 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดแก้ม
  • 6-24 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดเหนียง
  • แขนข้างละ 20-40 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดต้นแขน
  • ขาข้างละ 40 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดต้นขา
  • 40-80 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดหน้าท้อง 

ฉีดเมโสแฟตเจ็บมากไหม ? 

การฉีดเมโสแฟตเจ็บมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณยาที่ใช้ เทคนิคการฉีดของแพทย์ และการแปะยาชา 

โดยปกติแล้ว การฉีดเมโสแฟตจะรู้สึกตึง ๆ และเจ็บเล็กน้อย คล้ายกับการถูกมดกัด ในขณะที่แพทย์กำลังเดินยา ซึ่งจะมีการประคบน้ำแข็งให้ด้วยระหว่างฉีด  

สำหรับใครที่กลัวเจ็บมาก ๆ สามารถแจ้งแพทย์ได้ก่อนทำ เลือกคลินิกที่มีบริการแปะยาชา หรือฉีดยาชา และทานยาแก้ปวดก่อนฉีดเมโสแฟตได้ ไม่ต้องกังวล

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสแฟต

  1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเลือดออกหรือช้ำ เช่น แอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ
  2. ดื่มน้ำมาก ๆ ในวันก่อนทำ เพื่อช่วยให้ร่างกายและผิวพร้อมสำหรับการฉีดเมโสแฟต
  3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดช้ำและบวม

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสแฟตเป็นอย่างดี จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีหลังการฉีดเมโสแฟตและลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงได้ 

ขั้นตอนการฉีดเมโสแฟต 

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปริมาณไขมัน และจำนวน CC ที่จะใช้ในการฉีดเมโสแฟต
  2. เตรียมผิวบริเวณที่จะฉีดเมโสแฟต ด้วยการทำความสะอาดและแปะยาชาก่อนทำ 30 นาที เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีด 
  3. ฉีดเมโสแฟตเข้าไปในบริเวณที่ต้องการลดไขมันส่วนเกิน 
  4. นวดบริเวณที่ฉีดเสร็จ เพื่อช่วยให้ตัวยาเมโสแฟตกระจาย
  5. แพทย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต
  6. นัดติดตามผลหลังฉีด เพื่อประเมินผลลัพธ์หลังทำ

ผลข้างเคียงหลังฉีดเมโสแฟต 

หลังจากฉีดเมโสแฟต อาจเจอผลข้างเคียงทั่วไป คือ 

  • มีรอยเขียวเล็ก ๆ เกิดจากเข็มที่ใช้ฉีดเมโสแฟต ในบางคนที่ผิวบางหรือช้ำง่ายอาจทำให้รอยเขียวเห็นได้ชัดเจน แต่จะหายไปได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมง
  • อาการบวม เนื่องจากเมโสแฟตทำงานโดยการแตกตัวไขมันส่วนเกิน บริเวณที่ฉีดอาจบวมขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณและยี่ห้อของเมโสแฟตที่ใช้ 

ส่วนผลข้างเคียงที่ไม่ควรเกิด แต่อาจเจอได้ คือ 

  • อาการแพ้ พบได้น้อยมาก เพราะเมโสแฟตมีความปลอดภัยเพราะทำมาจากสารสกัดธรรมชาติ แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ต่อสารในเมโสแฟตได้
  • อาการปวดหรืออักเสบ หากขั้นตอนการฉีดไม่สะอาดหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจนำเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราเข้าสู่บริเวณที่ฉีด ทำให้เกิดการอักเสบหรือปวดได้

ทำไมฉีดเมโสแฟตแล้วหน้าบวม บวมกี่วัน ?

หลังฉีดเมโสแฟต จะมีอาการบวมประมาณ ประมาณ 3-4 ชั่วโมงหลังการฉีด เนื่องจากเมโสแฟตทำปฏิกิริยากับเซลล์ไขมัน โดยทำให้ไขมันแตกตัว ส่งผลให้เกิดอาการบวมขึ้น เป็นเรื่องปกติ 

ฉีดเมโสแฟต กี่ครั้งถึงเห็นผล ?

หลังฉีดเมโสแฟต จะค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนใน 1-3 สัปดาห์ โดยไขมันจะเริ่มสลายตัว 10-15% ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและการดูแลตัวเองของแต่ละคน หากต้องการให้ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสแฟตชัดเจนและอยู่ได้นานมากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีไขมันสะสมค่อนข้างมาก ควรฉีดต่อเนื่องประมาณ 4-5 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้

เมโสแฟตฉีด เห็นผลในกี่วัน

ฉีดเมโสแฟต อยู่ได้นานกี่เดือน ? 

เมโสแฟตอยู่ได้นาน 2-3 เดือน หรือมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยูู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีด หากฉีดแล้วไม่ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย ไขมันก็อาจจะกลับมาสะสมเหมือนเดิมได้

วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต 

  1. ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยขับไขมันที่เมโสแฟตสลายออกมาได้ดีขึ้น 
  2. ควรควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารทอดและไขมันสูงเพื่อไม่ให้ไขมันสะสมใหม่ 
  3. ควรออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดินเร็ว หรือแอโรบิก อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อเร่งการลดไขมัน หลังฉีดเมโสแฟต 
  4. นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานปกติและลดไขมันได้ดีขึ้น 

หลังฉีดเมโสแฟตไม่ควรทำอะไร ?

หลังฉีดเมโสแฟต สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นหรือหยุดการแต่งหน้า แต่มีข้อควรระวังเพียงไม่กี่อย่าง คือ 

  1. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า 1 อาทิตย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการบวมหรือฟกช้ำเพิ่ม
  2. ไม่ควรขัดหน้าหรือทำทรีทเม้นต์ผิว และหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดรอยช้ำ
  3. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 3 วัน เพื่อลดอาการบวมช้ำ
  4. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันและน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันไขมันสะสมใหม่

หลังฉีดเมโสแฟต ห้ามกินอะไร ?

หลังฉีดเมโสแฟต ห้ามกินอะไร

หลังฉีดเมโสแฟต สามารถกินอาหารได้ตามปกติ ไม่มีข้อจำกัดเฉพาะ แต่สำหรับอาหารหมักดอง แม้ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด แต่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจมีสารที่ทำให้บวมหรือกระตุ้นการอักเสบ ถ้าจำเป็นต้องกิน ก็ไม่ได้ถือเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดโอกาสบวม

ฉีดเมโสแฟต ราคาเท่าไหร่ ?

ฉีดเมโสแฟต ราคาเริ่มต้นที่

  • 2,000 – 2,500 บาท / 6 CC 
  • 3,200 – 4,000 บาท  / แบบเหมาขวด 10 CC 
  • 9,000 –  9,900 บาท / 5 ครั้ง 6 CC

ทั้งนี้ ราคาเมโสแฟต ยังขึ้นอยู่กับปริมาณ CC ที่ใช้ ยี่ห้อเมโสแฟตที่เลือกใช้ และจำนวนครั้งในการฉีด หากต้องการทราบราคาฉีดเมโสแฟตอย่างชัดเจน แนะนำให้สอบถามข้อมูลกับคลินิกที่สนใจโดยตรง หรือเข้าไปปรึกษากับแพทย์ก่อนได้ 

ฉีดเมโสแฟต ที่ไหนดี ? เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ในด้านความสะอาด ความปลอดภัย 
  • เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ผ่านการฉีดมาหลายเคส เป็นผู้ฉีดเมโสแฟต 
  • เลือกคลินิกที่ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ มีการเปิดตัวยาให้เช็กก่อนฉีด 
  • เลือกคลินิกที่มีรีวิวก่อน-หลังฉีดเมโสแฟต ให้ดูทั้งแบบรูปและคลิป รวมถึง Comment รีวิวที่พูดถึงคลินิกบนช่องทางสื่อต่าง ๆ 
  • เลือกคลินิกที่เดินทางได้สะดวก ใกล้บ้าน มีหลายสาขา มีที่จอดรถเพียงพอ
  • เลือกคลินิกที่ติดต่อได้สะดวก มีหลากหลายช่องทาง
  • เลือกคลินิกที่มีพนักงานบริการดี สุภาพ ไม่ยัดเยียดคอร์ส

สรุป เมโสแฟต 

สำหรับใครต้องการปรับรูปหน้า ลดแก้มลดเหนียง หรือต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินออกยากด้วยการออกกำลังกาย การฉีดเมโสแฟตถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่ช่วยลดไขมันได้อย่างรวดเร็ว ฉีดแล้วเห็นผลลัพธ์ภายใน 1-3 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนฉีดเมโสแฟต ควรหาข้อมูลอย่างรอบคอบ และเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ต้องมั่นใจว่าใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มากประสบการณ์เท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึกอย่างตรงจุด! เลือกยี่ห้อไหนดี ? ใช้กี่ CC ? ราคาเท่าไหร่ ?

0
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ริ้วรอยร่องแก้มเป็นหนึ่งในจุดที่สามารถสังเกตได้ง่าย และส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย จนหลาย ๆ คนเสียความมั่นใจเวลาพูดหรือยิ้ม การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีที่ช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม และปรับให้ผิวบริเวณแก้มเรียบเนียนได้อย่างตรงจุด จึงได้รับความนิยมมากทั้งในผู้ชายและผู้หญิง

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ? ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้อย่างไร ? ใช้กี่ CC ? เลือกยี่ห้อไหนดี ? ราคาเท่าไหร่ ? กี่วันเห็นผล ? และสามารถทำคู่กับหัตถการใดได้บ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ การแก้ปัญหาร่องแก้มลึกด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจล และมีความคงตัว เข้าไปทดแทนโครงสร้างกระดูก หรือเนื้อเยื่อที่ยุบตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร

การฉีด Filler ร่องแก้ม เป็นการแก้ปัญหาร่องแก้มได้อย่างตรงจุด หลังฉีดสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ผิวบริเวณร่องแก้มตื้นขึ้น ลดเลือนริ้วรอยร่องแก้มได้รวดเร็วและเป็นธรรมชาติ และยังช่วยทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดเรียบเนียนขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการเก็บกักเก็บความชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จึงทำให้ผิวดูสุขภาพดี ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

ริ้วรอยร่องแก้ม เกิดจากสาเหตุใด ? 

เพื่อสามารถแก้ปัญหาร่องแก้มได้อย่างตรงจุด การรู้สาเหตุของริ้วรอยร่องแก้มว่าเกิดจากสาเหตุใด ก็จะสามารถวางแผนการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง

1. ริ้วรอยร่องแก้มลึก ที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูกร่องแก้ม

ปัญหาร่องแก้มลึก อย่างเห็นได้ชัด มักพบในคนที่มีอายุ สาเหตุจากเมื่ออายุมากขึ้นโครงสร้างผิวและกระดูกที่เคยยกพยุงใบหน้าจะเริ่มทรุดตัวลง รวมถึงเส้นเอ็นบริเวณใบหน้าเริ่มหย่อน ตามแรงโน้มถ่วงของโลก จึงส่งผลให้ ไขมันชั้นลึกบริเวณหน้าแก้มเปลี่ยนตำแหน่ง เคลื่อนตัวจากบนลงล่าง หรือกองบริเวณข้างร่องแก้ม ใบหน้าส่วนล่างจึงหย่อนคล้อย ใบหน้าโดยรวมดูหน้าตก แก้มตก มองเห็นร่องแก้มลึกได้อย่างชัดเจน 

ร่องแก้มลึกจากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้ม

สาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เข้าไป ทดแทนการทรุดตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้ม เพื่อยกใบหน้าให้ดูกระชับขึ้น ทำให้ริ้วรอยร่องแก้มตื้นขึ้น ใบหน้าดูเล็กลง 

2. ร่องแก้มลึกจากกระดูกบริเวณใต้ตาทรุดตัวลง 

ปัญหาร่องแก้มลึกสามารถเกิดได้จากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตาเช่นกัน ส่งผลทำให้เนื้อแก้มด้านบนหย่อนคล้อยลงมากองอยู่เหนือร่องแก้ม และร่องแก้มดูลึกขึ้น สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์เช่นกัน แต่หากฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเพียงอย่างเดียว จะทำให้ยิ่งมีเนื้อกองมากขึ้น และใบหน้าดูอูม ดูอ้วน ผิดธรรมชาติได้

ร่องแก้มลึกจากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา

การแก้ไขจึงจำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในชั้นกระดูกก่อนเพื่อดึงโครงสร้างผิวโดยรวมขึ้นไปด้านบน จะช่วยให้เนื้อที่กองเหนือร่องแก้มลดลง และร่องแก้มดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากนั้นค่อยฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม  ก็จะได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ 

3. ร่องแก้มลึกจากการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ 

ร่องแก้มลึกจากการแสดงสีหน้า

เมื่อเราแสดงสีหน้าบ่อย ๆ เช่น การยิ้ม หรือหัวเราะ สามารถทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงรั้งร่องแก้มแข็งแรงมากเกินไปได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาร่องแก้มเร็วขึ้น แม้อายุยังไม่มาก

วิธีการสามารถฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเทคนิค Myomodulation ซึ่งเป็นการฉีดฟิลเลอร์กดกล้ามเนื้อ หรือการฉีดหนุน เพื่อควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วน รวมกับการฉีดโบท็อก เทคนิค Dermotoxin ซึ่งจะฉีดโบท็อกในปริมาณน้อยมาก เพื่อคลายกล้ามเนื้อบางจุดที่แข็งมาก ๆ ให้คลายตัวลง ก็จะช่วยให้ร่องแก้มตื้นและเต็มเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

4. ร่องแก้มลึกจากผิวแห้ง ขาดการบำรุง 

ร่องแก้มลึกจากผิวแห้ง

ในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน เพราะต้องเจอกับมลภาวะ และแสงแดดบ่อย ๆ แต่ขาดการบำรุงที่เหมาะสมก็จะส่งผลให้ชั้นผิวบนใบหน้าแห้งและบางลง จึงทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น โดยส่วนใหญ่จะสังเกตเห็นเป็นริ้วรอยร่องแก้มตื้น ๆ หรือเป็นริ้ว ๆ บนชั้นผิว 

ปัญหานี้สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเช่นกัน แต่จะเป็นการฉีดเพื่อเติมความชุ่มชื้นลงในชั้นผิวโดยตรง และเพิ่มการกักเก็บน้ำ นิยมเลือกฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก และเนื้อละเอียด เพื่อให้เรียบเนียนไปกับผิว หลังฉีดแล้วไม่เป็นก้อน ผิวฟู ผิวอิ่มน้ำ ดูสุขภาพดีได้ 

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้กี่ CC ?

ปริมาณ CC ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแต่ละเคส แต่ละสาเหตุ จะไม่เท่ากัน ตัวเองเช่น 

  • เคสทั่วไป ในกลุ่มที่อายุไม่มาก แต่เริ่มมองเห็นริ้วรอยร่องแก้ม หากต้องการปรับผิวให้ดูเรียบเนียน และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต ใช้ฟิลเลอร์ 1-2 CC ในการเติมร่องแก้มทั้ง 2 ข้าง ก็เพียงพอแล้ว 
  • เคสที่อายุมาก ในกลุ่มที่อายุมาก และริ้วรอยร่องแก้มลึก แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ 3-4 CC ครับ และทำร่วมกับหัตถการอื่น เช่น Hifu และร้อยไหม เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ยี่ห้อไหนดี ? อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ยี่ห้อไหนดี

ในปัจจุบันมีฟิลเลอร์ให้เลือกหลายยี่ห้อ โดยยี่ห้อที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม และผ่านการรับรองมาตรฐานและความปลอดภัย จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.ไทย)  มียี่ห้อที่ได้ความนิยม ดังนี้ 

  • Juvederm Ultra Plus (อยู่ได้นาน 12 เดือน) เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และฟูมาก เป็นรุ่นที่มีความยืดหยุ่นสูง และทนต่อการขยับได้ดี เหมาะกับการแก้ปัญหาร่องแก้มลึก จากการเปลี่ยนแปลงตามวัย
  • Juvederm Voluma (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ฟูปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูง นิยมใช้เติมเต็มร่องลึก เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
  • Juvederm Volift (อยู่ได้นาน 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ที่มีความละเอียดมาก สามารถใช้ฉีดเติมร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้น ในเคสที่ผิวบางครับ 
  • Juvederm Volux (อยู่ได้นาน 18-24 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น โมเลกุลขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูง และคงรูปได้ดีที่สุด เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มในชั้นลึก 
  • Restylane Volyme (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูงมาก หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะเรียบเนียนไปกับผิวได้ดี ไม่เป็นก้อน
  • Belotero Intense (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น และยืดหยุ่นได้ดี นิยมใช้ฟื้นฟูหรือเพิ่ม Volume ของชั้นผิว เหมาะกับการแก้ปัญหาร่องแก้มลึก ที่เกิดจากการยุบตัวของผิวหนัง หรือการเสื่อมสภาพตามวัย
  • Definisse Restore (อยู่ได้นาน 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความหนาแน่นปานกลาง เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก หรือความหย่อนคล้อยตามช่วงวัย
  • Definisse Touch (อยู่ได้นาน 8-12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เนียนละเอียด แต่ขึ้นรูปได้ดี หลังฉีดจะกลืนไปกับผิว เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ บริเวณร่องแก้ม
  • Flore AQUA-S (อยู่ได้นาน 6 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น เหมาะกับการฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือเก็บรายละเอียดในผิวชั้นตื้นบริเวณร่องแก้ม 

ยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้มที่ยกตัวอย่างมา เป็นเพียงยี่ห้อ/รุ่น ที่สามารถฉีดเติมบริเวณร่องแก้มได้เท่านั้น ส่วนใครจะเหมาะกับยี่ห้อไหน รุ่นใดจำเป็นต้องประเมินใบหน้า และสภาพผิวกับแพทย์เสียก่อนเพื่อแนะนำฟิลเลอร์รุ่นที่ตอบโจทย์มากที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเท่าไหร่ ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 7,000 – 18,000 บาท ต่อ 1 CC ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงโปรโมชันในคลินิกความงามที่รับบริการ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กี่วันเห็นผล ? กี่วันเข้าที่ ?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กี่วันเห็นผล

หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ร่องลึกดูตื้นขึ้น และผิวดูเรียบเนียน ประมาณ 70-80 % โดยในช่วงแรกอาจมีอาการบวมจากรอยเข็ม และเนื้อฟิลเลอร์ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เนื้อฟิลเลอร์จะเข้าที่ดี และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้ 

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ทำคู่กับอะไรได้บ้าง ? จับคู่กับหัตถการไหนดี ? 

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ ช่วยให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

  • ร้อยไหมดึงร่องแก้ม เหมาะกับในเคสที่มีปัญหาหย่อนคล้อยมาก ๆ สามารถทำการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้าขึ้น รวมกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า และเป็นธรรมชาติมากขึ้น 
  • ฉีดโบท็อกบริเวณร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม จากกล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป สามารถฉีดโบท็อก ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าบางส่วน ในปริมาณเล็กน้อย รวมกับฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อทำให้ยิ้มแล้วหน้าไม่แข็งมากเกินไป 
  • Hifu / Ulthera / Thermage ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาร่องแก้ม ผิวหย่อนคล้อยจากคอลลาเจนที่ลดลง สามารถใช้เครื่องมือยกกระชับ ทั้ง Hifu หรือ Ulthera ช่วยยกกระชับใบหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนก่อน และใช้การฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเติมเต็มในตำแหน่งที่มีปัญหาร่องแก้มลึก ก็จะช่วยให้ใช้ปริมาณฟิลเลอร์น้อยลง ใบหน้าเข้ารูป ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยลำดับการทำต้องเว้นระยะการทำก่อนหลัง ตามที่แพทย์แนะนำในแต่ละเคส

ในแต่ละเคสอาจเลือกทำหัตถการที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ปัญหา แนะนำให้ปรึกษาและประเมินใบหน้ากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ เพื่อช่วยเรียงลำดับการทำหัตถการที่จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้อย่างตรงจุด เห็นผล ช่วยปรับให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ  หลังทำสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า ปลอดภัย ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น  

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้หน้าผากแบน ปรับโหงวเฮ้งดี ต่างจากการผ่าตัด-เติมไขมันอย่างไร ?

0
ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ตามตำราโหงวเฮ้ง เชื่อว่า ผู้ที่มีหน้าผากกว้าง เกลี้ยงเกลา และปราศจากตำหนิ จะเป็นคนที่ได้รับการอุปถัมภ์จากทั้งในเรื่องการงานและความรัก เรียกได้ว่า Lucky in love, lucky in game. เลยครับ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ถือเป็นวิธีเพิ่มความโหนกนูน และปรับรูปทรงหน้าผากให้รับกับใบหน้าที่หลายคนเลือกใช้ เพราะไม่จำเป็นต้องผ่าตัด และยังเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด

บทความนี้ได้รวบรวมข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์หน้าผากมาฝากครับ ไม่ว่าจะเป็น ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร ? อันตรายไหม ? ใช้กี่ CC ? พร้อมเปรียบเทียบการแก้โหงวเฮ้งหน้าผากวิธีต่าง ๆ ทั้งการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก การเติมไขมันหน้าผาก และการผ่าตัดเสริมซิลิโคนหน้าผาก


ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร ?

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คือ วิธีเสริมหน้าผากด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีความปลอดภัย และได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะช่วยเพิ่มความโหนกนูน ปรับแก้จุดที่เป็นกังวลบริเวณหน้าผากได้ เช่น ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม หน้าผากเป็นแอ่ง รวมถึงแก้ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ บริเวณหน้าผากได้ ช่วยให้หน้าผากโหนกนูน เรียบเนียน ตรงตามตำราโหงวเฮ้งหน้าผากที่ดีได้

โหงวเฮ้งหน้าผากที่ดี เป็นอย่างไร ?

โหงวเฮ้งหน้าผากที่ดี ตามตำราชาวจีนมาแต่โบราณ เชื่อว่า หน้าผาก หรือ กัวล๊กเก็ง เป็นตำแหน่งที่สัมพันธ์กับการงาน ธุรกิจ รวมถึงความรัก การอุปถัมภ์ โดยลักษณะของโหงวเฮ้งหน้าผากที่โหนกนูนพอดี ๆ ไม่บุบ ใส เกลี้ยงเกลา ดูอิ่มเอิบ จะถือว่าโหงวเฮ้งที่ดี บ่งบอกว่าชะตาชีวิตจะดี การงานดี ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ถ้าเป็นหญิงเชื่อว่าจะได้คู่ครองที่ดี ร่ำรวย คอยดูแล

โหงวเฮ้งหน้าผาก

ในขณะเดียวกันลักษณะหน้าผากที่บุ๋ม ยุบ เป็นแอ่ง มีริ้วรอย ไม่เรียบ กระดูกโปน ถือเป็นลักษณะด้อย โดยเชื่อว่าจะมีชะตาชีวิตที่ไม่สุขสบาย การงานติดขัด ขาดคนอุปถัมภ์ หรือเจ้านายไม่สนับสนุนครับ

หากใครต้องการมีหน้าผากที่โหนกนูน มีโหงวเฮ้งหน้าผากที่ดี การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นตัวช่วยหนึ่งที่สามารถช่วยปรับรูปทรงหน้าผากให้สวยงาม โหนกนูน อิ่มเต็มได้โดยที่ไม่ต้องผ่าตัดเสริมหน้าผาก


ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ถือตัวเลือกที่ดี ในการปรับรูปทรงหน้าผากให้สวยงามขึ้น แต่ก็ต้องขึ้นกับฝีมือและความสามารถของแพทย์ผู้ฉีดด้วย

หากใครสนใจฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ก่อนตัดสินใจฉีด คนไข้ควรเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย เพื่อประเมินว่าตรงตามความต้องการของคนไข้หรือไม่

ข้อดี ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

  • เห็นผลเร็ว : หลังการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีครับ หน้าผากดูโหนกนูนขึ้น ผิวหน้าผากดูเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ไม่ต้องพักฟื้นนาน ๆ : หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติครับ
  • ปรับลดความโหนกนูนได้ตามต้องการ : หลังจากฟิลเลอร์หน้าผาก หากต้องการเพิ่มความโหนกนูนมากขึ้น สามารถปรึกษากับแพทย์ เพื่อปรับเพิ่มได้ หรือหากต้องการลดขนาดลงก็สามารถทำได้เช่นกัน ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีรอยแผลเป็น : เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ใช้เข็ม จึงไม่มีรอยแผลเป็นที่ต้องกังวลใจ  หลังฉีดมีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ ซึ่งสามารถหายได้เอง ในช่วง 2-3 วัน
  • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ : การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นการปรับแก้รูปทรงหน้าผากให้เข้ากับรูปหน้าของเรามากที่สุดครับ หากฉีดด้วยเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง จากแพทย์ที่มีประสบการณ์ ฉีดฟิลเลอร์ในชั้นเยื่อหุ้มกระดูก ก็จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และหน้าผากเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน
  • ปลอดภัย ไม่ทิ้งสารตกค้าง : ฟิลเลอร์ของแท้สามารถย่อยสลายได้หมดโดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย

ข้อเสีย ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร : หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก  สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปีขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกครับ สามารถกลับมาฉีดเติมใหม่ได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย
  • จำเป็นต้องฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ : การฉีดฟิลเลอร์ไม่ว่าจะตำแหน่งใด จำเป็นต้องฉีดโดยแพทย์เท่านั้น โดยเฉพาะฟิลเลอร์หน้าผากที่ต้องอาศัยฝีมือและเทคนิคเฉพาะในการฉีด จึงควรเลือกฉีดกับแพทย์ประสบการณ์สูง ๆ เพื่อให้ได้หน้าผากที่โหนกนูนสวยงาม ไม่เป็นก้อน เป็นคลื่น

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เหมาะกับใคร แก้ปัญหาใดได้บ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเหมาะกับผู้ที่ต้องปรับรูปทรงหน้าผากแบบไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากเจ็บตัว หรือเสียเวลาพักฟื้น โดยการฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดปรับแก้ทรงหน้าผากได้หลายสาเหตุ ดังนี้

ปัญหารูปทรงหน้าผาก

  • หน้าผากแบน-หน้าผากแคบ : ในเคสที่มีปัญหาหน้าผากแบน สามารถฉีดฟิลเลอร์เติมได้ โดยคนไข้สามารถเช็กได้ด้วยตัวเองว่าหน้าผากแบนหรือไม่ จากการดูด้านข้าง ถ้าบริเวณหน้าผากถึงคิ้ว มองเห็นเป็นเส้นตรง แสดงว่ามีหน้าผากแบน ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมโทรม ขาดมิติ ขาดความสดใส
  • หน้าผากยุบ : เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กระดูกและไขมันบริเวณหน้าผากยุบตัวลง จนมองเห็นโหนกคิ้วชัดเจนขึ้น ส่งผลให้โครงหน้าดูเหมือนคนมีอายุ ใบหน้าดูดุ หรือดูแข็งได้ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจึงนิยมฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อแก้ปัญหานี้ครับ
  • หน้าผากมีรอยตำหนิ : เช่น ริ้วรอยและรอยย่นบริเวณหน้าผาก รอยแผลเป็นต่าง ๆ ทำให้ใบหน้าขาดความสดใส เพราะหน้าผากเป็นจุดรวมสายตา และอยู่กึ่งกลางใบหน้า
  • หน้าผากไม่เท่ากัน : เกิดจากอุบัติเหตุ หรือกรรมพันธุ์เดิมของแต่ละคน ส่งผลให้ใบหน้าดูเบี้ยว การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยเติมส่วนที่ขาดหายไป และปรับให้หน้าผากดูสมมาตรได้มากขึ้น
  • หน้าผากเป็นคลื่น : ในเคสที่เคยเข้ารับการฉีดไขมันกับแพทย์ที่ขาดความชำนาญ ทำให้ไขมันยุบตัวในแต่ละจุดไม่เท่ากัน จนหน้าผากมองเห็นเป็นคลื่น ผิวดูไม่เรียบเนียน สามารถฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเพื่อปรับทรงให้ดูสวยงามและเป็นทรงมากขึ้นได้

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก อันตรายไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นหัตถการที่มีปลอดภัยครับ เมื่อฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ ประเภทสารไฮยาลูรอนิก แอซิด และฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า

ในส่วนของความอันตราย หรือผลข้างเคียงหลังจากฉีดฟิลเลอร์หน้าผากที่หลายคนกังวล มักมีสาเหตุจาก

  • แพทย์ขาดเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง : ฉีดผิดตำแหน่ง ฉีดในชั้นผิวที่ตื้นเกินไป หรือชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้หลังฉีด เวลาใช้มือแตะหน้าผากจะสัมผัสกับเนื้อฟิลเลอร์นิ่ม ๆ เมื่อเวลาผ่านไปกล้ามเนื้อที่ใช้ยักคิ้วจะดึงฟิลเลอร์มากองรวมกันเป็นก้อน หรือมองเห็นเป็นคลื่น ผิวไม่เรียบเนียนครับ

อีกกรณีคือใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป หรือเลือกเนื้อไม่เหมาะสม จะทำให้หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแล้วเป็นก้อน คือ หน้าผากดูโหนกนูนเกินพอดี หรือดูปูดเหมือนกับหัวของปลาทอง

  • แพทย์ขาดประสบการณ์ หรือผู้ฉีดไม่ใช่แพทย์ : กรณีนี้อันตรายมากครับ และมีโอกาสสูงที่จะเกิดความผิดพลาดระหว่างการฉีด ทั้งฉีดผิดตำแหน่ง ฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด เสี่ยงเกิดการอุดตันบริเวณหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากมีอาการตาพร่ามัว หรือเสี่ยงตาบอดได้ครับ
  • ฟิลเลอร์ของปลอม – ฟิลเลอร์เถื่อน : ที่ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน ที่หลังฉีดมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดพังผืด เกิดการอักเสบ ไหลย้อย ผิดรูปได้ จำเป็นต้องขูดหรือผ่าตัดออกเท่านั้น

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก อันตรายไหม


อยากเสริมหน้าปรับโหงวเฮ้งหน้าผาก ทำวิธีไหนอีกได้บ้าง ?

สำหรับคนที่มีปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ เป็นแอ่ง อยากเสริมหน้าผากให้โหนกนูน นอกจากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ยังมีวิธีการอื่น ๆ ดังนี้

การฉีดเติมไขมันหน้าผาก

การฉีดเติมไขมันหน้าผาก คือ การฉีดไขมันเข้าไปเติมเต็ม ที่หน้าผาก โดยใช้ไขมันจากตัวคนไข้เอง ด้วยการดูดไขมันของตัวคนไข้ในบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา น่อง แล้วนำมาปั่นแยกสกัดเพื่อเอาเฉพาะเซลล์ไขมัน จากนั้นนำมาฉีดเติมบริเวณหน้าผาก ถือเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กเพราะต้องใช้ท่อดูดไขมันส่วนเกินออกมาก่อน ซึ่งจะมีแผลบริเวณที่ดูดไขมันประมาณ 3-5 mm

เติมไขมันหน้าผาก

  • ข้อดี : ลดโอกาสเกิดอาการแพ้ เพราะเป็นสารเติมเต็มจากร่างกายตัวเองครับ
  • ข้อเสีย : อาจเกิดแผลเป็นในจุดที่ดูดไขมัน มีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่าการฉีดฟิลเลอร์ และมักจะต้องทำ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

ผ่าตัดเสริมซิลิโคนหน้าผาก

การผ่าตัดเสริมซิลิโคนหน้าผาก คือ การผ่าตัดเปิดแผลบริเวณไรผม และใส่แผ่นซิลิโคนที่มีรูปร่างโค้งงอคล้ายหน้าผากเข้าไป สามารถใช้ได้ทั้งซิลิโคนสำเร็จรูป หรือซิลิโคนที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล นิยมใช้แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หรือเพิ่มความโค้งมนให้หน้าผากรับกับใบหน้าโดยรวม

ผ่าตัดเสริมซิลิโคนหน้าผาก

  • ข้อดี : ผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร
  • ข้อเสีย : เนื่องจากเป็นการผ่าตัด อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้ มีอาการบวมช้ำ หลังทำต้องอาศัยระยะเวลาในการพักฟื้น ในกรณีที่ต้องการปรับแก้ความโหนกนูนของหน้าผาก จำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไขเท่านั้นครับ

ทั้ง 2 วิธีนี้สามารถช่วยปรับแก้รูปทรง และเสริมหน้าผากให้รับกับใบหน้าได้ครับ แต่ต้องแลกมากับความเจ็บ สำหรับใครที่ต้องการเสริมหน้าผากแบบไม่ต้องเจ็บตัวมาก ไม่อยากมีแผล ต้องการผลลัพธ์เร็ว และมีความปลอดภัย การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ครับ


ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ใช้กี่ CC ?

ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อปรับรูปทรงหน้าผากโดยทั่วไป จะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 CC  สามารถแก้ปัญหา หน้าผากยุบ หน้าแบนได้ แต่ในกรณีที่ต้องการความโหนกนูน หรือปัญหาหน้าผากยุบ เป็นแอ่งมาก ๆ จำเป็นต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากขึ้น 3-5 CC ขึ้นไป กรณีนี้แนะนำให้ทยอยฉีดครั้งละไม่เกิน 5 CC ครับ เพื่อป้องกันอาการบวม หรือการกดทับเนื้อเยื่อมากเกินไป


หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ดูแลตัวเองอย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์เสริมหน้าผากเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น หรือต้องดูแลตัวเองมากนัก หลังฉีดสามารถใช้ชีวิตประจำได้ตามปกติ เพียงแต่หลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อให้ผลลัพธ์หลังทำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแรง ๆ หรือกดทับบริเวณหน้าผาก
  • หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า รวมถึงการใส่หมวกกันน็อกแบบรัดแน่นบริเวณหน้าผาก
  • งดการทำเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด อย่างน้อย 1 เดือน
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ การดื่มแอลกอฮอล์ และกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 3 วันหลังทำ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานกินยาที่ทางคลินิกจ่ายให้อย่างครบถ้วน เช่น ยาแก้ปวด ยาลดบวม หรือยาแก้อักเสบ เป็นต้น
  • ควรดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และช่วยยืดอายุของให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น

หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก


สรุป

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นตัวเลือกที่ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับทรงหน้าผาก ให้โหนกนูน โค้งมน แก้ปัญหาหน้าผากยุบ เป็นแอ่ง หรือปัญหาหน้าผากแคบได้แบบไม่ต้องเจ็บตัว เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว ที่สำคัญมีความปลอดภัยสูงเมื่อฉีดฟิลเลอร์แท้ กับแพทย์ที่มีประสบการณ์

สำหรับใครที่สนใจฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ก่อนตัดสินใจฉีดที่ไหน แนะนำให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อช่วยให้ได้ผลลัพธ์หลังฉีดสวยงาม ปลอดภัย ช่วยเสริมโหงวเฮ้งดีได้ตามที่ต้องการครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? 9 วิธีเช็กคลินิกความงาม บริการปลอดภัย ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

0
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนสงสัยครับ เพราะทุกคนที่ตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ล้วนคาดหวังบริการที่ปลอดภัย คุ้มค่าราคา และผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปตามแก้ให้วุ่นวาย

บทความนี้จะพาทุกคนไปตอบคำถามว่า ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนก็ได้จริงไหม ? และควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? พร้อมเปิด 9 จุดสังเกตของคลินิกความงามที่ควรเลือก


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนก็ดีเหมือนกันจริงหรือ ?

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม

ไม่จริงครับ!

ก่อนทำหัตถการ ทุกคนควรให้ความสำคัญว่า จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? เนื่องจากกายวิภาคบริเวณรอบดวงตามีความซับซ้อนมากครับ เช่น มีทั้งผิวชั้นลึกและชั้นตื้น ผิวหนังใต้ตาค่อนข้างบอบบาง และมีเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงดวงตา

นอกจากนี้ในบางเคสจำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์หลายชนิดร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น การฉีดฟิลเลอร์เนื้อแน่นในชั้นลึก เพื่อทดแทนโครงสร้างกระดูก ร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์เนื้อละเอียดในผิวชั้นตื้น เพื่อเก็บรายละเอียดรอบดวงตา

ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนก็ได้ จึงสามารถส่งผลเสีย และก่อให้เกิดอันตรายต่าง ๆ ตามมาได้มากกว่าที่หลายคนคาดคิด ยกตัวอย่างเช่น

  • อันตรายจากผู้ฉีด เช่น ใช้เทคนิคการฉีด หรือเลือกเนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม จะทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดดูไม่เป็นธรรมชาติ และเกิดปัญหาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน ไหลย้อยได้

นอกจากนี้ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์จะขาดความเข้าใจกายวิภาคในจุดที่ฉีด จึงเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเนื้อตาย หรือตาบอดครับ หากฉีดฟิลเลอร์พลาดแล้วเกิดการอุดตันหลอดเลือดบริเวณใต้ตา

  • อันตรายจากฟิลเลอร์ของปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว และพาราฟิน สารเหล่านี้จะไม่สามารถย่อยสลายได้หมดเหมือนกับฟิลเลอร์ของแท้ครับ เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะสร้างพังผืดขึ้นมารอบสารตกค้างเหล่านี้ ทำให้เกิดอาการบวม อักเสบ หรือฟิลเลอร์ไหลย้อยไปยังจุดอื่น ๆ ได้ ส่งผลให้ใบหน้าผิดรูป

สำหรับการแก้ไขฟิลเลอร์ปลอม จำเป็นต้องขูด หรือผ่าฟิลเลอร์ออกเท่านั้นครับ ไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสได้

  • อันตรายจากคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับหมอกระเป๋า หรือในคลินิกที่ไม่ผ่านมาตรฐานนั้น สถานที่และขั้นตอนจะมีความสะอาดไม่เพียงพอ จึงสามารถเกิดการปนเปื้อนระหว่างทำหัตถการได้ ส่งผลให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อตามมาครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? คลินิกแบบไหนที่ควรเลือก ?

สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? เนื้อหาในส่วนนี้ได้รวบรวมปัจจัยที่จะทำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และไม่มีปัญหาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน หรือเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเนื้อตาย หรือตาบอดตามมา

1. คลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี คลินิกที่ได้มาตรฐาน
สิ่งแรกที่ควรให้ความสำคัญในการเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? คือ เลือกคลินิกความงามที่มีใบอนุญาตถูกต้องครับ เพราะคลินิกที่ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนถูกต้องจะมีความสะอาด และมีเครื่องมือกรณีฉุกเฉินอย่างครบครัน ทำให้การใช้บริการมีความปลอดภัยมากครับ

โดยคลินิกความงาม ที่ผ่านการคัดกรองจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว จะแสดงป้ายชื่อสถานพยาบาล และเลขใบอนุญาต 11 หลักไว้ที่ด้านหน้า

2. สถานที่ตั้งเดินทางสะดวก

แม้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด แต่ยังจำเป็นต้องประเมินใบหน้ากับแพทย์ก่อนการฉีด และติดตามผลลัพธ์หลังการฉีดครับ ดังนั้นในการตัดสินใจว่าจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? ควรเลือกคลินิกความงามที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น คลินิกความงามใกล้บ้าน คลินิกความงามในห้างสรรพสินค้า หรือคลินิกความงามใกล้กับระบบรถไฟฟ้า

นอกจากนี้ถ้าคลินิกความงามมีหลายสาขาก็จะยิ่งดีครับ เพราะแสดงว่าคลินิกนั้น ๆ ได้รับความไว้วางใจ และมีลูกค้าใช้งานอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจจึงเติบโตและสามารถเปิดให้บริการได้อย่างทั่วถึงในหลายพื้นที่

3. คลินิกความงามมีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย

ควรเลือกคลินิกความงามที่มีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย และติดต่อได้แบบเรียลไทม์ (Real Time) เช่น Facebook, Line, และ Instagram เพื่อให้สามารถสอบถามข้อสงสัยก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือติดต่อได้ง่ายในกรณีที่เกิดปัญหาหลังทำหัตถการครับ

4. มีบริการก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี มีบริการก่อนและหลัง

  • บริการก่อนทำหัตถการ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจำเป็นต้องปรึกษาและประเมินปัญหากับแพทย์เจ้าของเคสโดยตรงครับ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงคลินิกความงามที่ให้ซื้อคอร์สผ่านพนักงานขายเพียงอย่างเดียว
  • บริการหลังการทำหัตถการ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเสร็จ จะมีอาการบวมแดง หรือเขียวช้ำ ซึ่งเกิดจากอาการบวมเข็มครับ ทำให้ไม่สามารถประเมินผลลัพธ์ได้ทันที จำเป็นต้องรอให้ยุบบวม และฟิลเลอร์เข้าที่ก่อน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน

ดังนั้นควรเลือกคลินิกความงามที่มีนัดติดตามผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อประเมินความพึงพอใจครับ

5. บริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่มากประสบการณ์

ผู้ที่ทำหัตถการการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะต้องเป็นแพทย์จริง ๆ และมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมครับ โดยสามารถนำชื่อ-นามสกุลไปตรวจสอบกับเว็บไซต์แพทยสภาได้

นอกจากนี้ควรเลือกแพทย์ที่มากประสบการณ์ในด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครับ ซึ่งสามารถดูเคสรีวิว และใบรับรอง (Certificate) ที่เกี่ยวข้องของแพทย์ท่านนั้น ๆ ได้จากโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ของคลินิกความงาม ที่แพทย์เจ้าของเคสทำงานประจำอยู่ได้

6. คลินิกมีตัวเลือกฟิลเลอร์ที่หลากหลาย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี มีตัวเลือกฟิลเลอร์ที่หลากหลาย
ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและรุ่นจะมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน จึงสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อแก้ปัญหาที่แตกต่างกันครับ ดังนั้นในการตัดสินใจว่าจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? จึงควรเลือกคลินิกความงามที่มียี่ห้อฟิลเลอร์ให้เลือกอย่างหลากหลาย

โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากอย.ไทย และนิยมฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตา มีดังนี้

  • ฟิลเลอร์อเมริกา Juvederm มีจุดเด่นอยู่ที่โมเลกุลของฟิลเลอร์ยึดเกาะกันได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง และทนต่อแรงขยับ เมื่อฉีดแล้วจะเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน และผลลัพธ์อยู่ได้นานหลังฉีด ด้วยเทคโนโลยีการผลิต Hylacross Technology และ Vycross Technology

นำเข้าโดยบริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด โดยรุ่นที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ Juvederm Voluma, Juvederm Volite และ Juvederm Volux

  • ฟิลเลอร์สวีเดน Restylane มีจุดเด่นอยู่ที่เนื้อเจลมีทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ รวมถึงมีคุณสมบัติที่หลากหลาย จึงสามารถฉีดได้ในหลายจุดบนใบหน้า เช่น ฟิลเลอร์จมูก ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ปาก และฟิลเลอร์ขมับ

นำเข้าโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด โดยรุ่นที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ Restylane Defyne, Restylane Vital Light, Restylane Vital, Restylane Perlane Lyft และ Restylane Classic

  • ฟิลเลอร์สวิตเซอร์แลนด์ Belotero มีจุดเด่นอยู่ที่ฟิลเลอร์เนื้อเนียน ที่มีความยืดหยุ่นสูง และยึดเกาะได้ดี ด้วย CPM Technology เมื่อสัมผัสจะเรียบเนียนไปกับผิว และไม่เป็นก้อน

นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยรุ่นที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ Belotero Volume, Belotero Revive และ Belotero Soft

  • ฟิลเลอร์เกาหลี Flore มีจุดเด่นอยู่ที่โมเลกุลของฟิลเลอร์มีขนาดเท่ากัน และมีความยืดหยุ่น ทำให้ฉีดและปั้นทรงได้ง่าย แต่คงรูปได้ดี และยังสลายตัวได้ช้าลง ด้วยเทคโนโลยีการผลิต HCCL™ และ PP-Process

นำเข้าโดยบริษัท บอน-ชอง จำกัด โดยรุ่นที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ Flore AQUA-S

สำหรับการเลือกยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ฉีดใต้ตา แพทย์จะเป็นผู้แนะนำรุ่นที่เหมาะสมกับสภาพผิว และปัญหาใต้ตาที่ต้องการแก้ไขของแต่ละคนครับ

7. ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่นำเข้าถูกต้อง

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ใช้ฟิลเลอร์ของแท้

ฟิลเลอร์จะต้องเก็บในอุณหภูมิ 0-25 °C ตลอดเวลา เพื่อป้องกันตัวยาเสื่อมคุณภาพครับ การใช้ฟิลเลอร์ของแท้ แต่เป็นยาหิ้ว ที่เก็บรักษาและขนส่งไม่เหมาะสม สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ฉีดแล้วไม่เห็นผล อายุการใช้งานของฟิลเลอร์สั้นลง หรือเกิดอาการแพ้

ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรให้แพทย์แกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า และถ่ายรูปเก็บไว้ทุกซอกทุกมุม หรือขอกล่องกลับไปเช็กอีกรอบหลังฉีดครับ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ฉีดฟิลเลอร์ของแท้ และนำเข้ามาอย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีเช็กฟิลเลอร์ของแท้แต่ละยี่ห้ออาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่โดยรวมจะมีวิธีเช็ก ดังนี้

  • เช็กจากบรรจุภัณฑ์ รูปลักษณ์ภายนอกของกล่องจะตรงกับรูปโฆษณาครับ ในบางยี่ห้อจะมีรอยปรุสำหรับการเปิด หรือมีสติกเกอร์โมโนแกรมแปะอยู่ที่กล่อง โดยภายในกล่องจะมีเลขทะเบียนอย. และเอกสารกำกับการใช้ยาภาษาไทย นอกจากนี้เลข Lot. ในทุกจุดของฟิลเลอร์ทั้งกล่องและหลอดยาจะต้องเป็นเลขเดียวกันครับ
  • เช็กผ่านแอปพลิเคชัน เช่น ฟิลเลอร์ Restylane สามารถสแกน QR Code ที่ข้างกล่อง ผ่านแอปพลิเคชัน Eztracker เพื่อตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้
  • โทรศัพท์สอบถามผู้นำเข้า สามารถนำเลข Lot. ของฟิลเลอร์ หรือชื่อคลินิกความงาม โทรไปสอบถามกับบริษัทผู้นำเข้าฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้น ๆ ได้ครับ
  • ตรวจสอบชื่อคลินิกจากเว็บไซต์บริษัทผู้นำเข้า ในเว็บไซต์ของบริษัทที่นำเข้าฟิลเลอร์ จะมีหน้าค้นหาคลินิกความงามที่มีสินค้าของบริษัทอยู่ครับ

สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่า ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? สามารถนำชื่อคลินิกความงามที่สนใจ ไปค้นหาในหน้า “ค้นหาคลินิก” หรือ “Find a Clinic” ในเว็บไซต์ของบริษัทผู้นำเข้าได้ เช่น เว็บไซต์ของแอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) หรือเว็บไซต์ของเมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย)

8. ราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นไปตามราคามาตรฐาน

ราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในแต่ละคลินิกความงาม อาจแตกต่างกันไปบ้างจากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณ CC ที่ใช้ ยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือก ค่ามือหมอ หรือโปรโมชันส่งเสริมการขายของคลินิก แต่โดยทั่วไปถ้าเป็นคลินิกความงามชั้นนำ ราคาค่าบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะไม่ได้แตกต่างกันมาก

  • ฟิลเลอร์พรีเมียม ราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเริ่มต้นที่ 11,000 – 20,000 บาท ต่อ 1 CC
  • ฟิลเลอร์เกาหลีหรือจีน ราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเริ่มต้นที่ 7,000 -10,000 บาท ต่อ 1 CC

แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ราคาค่าบริการถูกมากเกินไป หรือมีโปรโมชันลดแลกแจกแถมหัตถการมากเกินไปครับ เพราะจะมีความเสี่ยงเป็นฟิลเลอร์ของปลอมได้

9. คลินิกมีรีวิวที่น่าเชื่อถือ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี คลินิกมีรีวิวที่น่าเชื่อถือ

  • อัปโหลดรีวิวสม่ำเสมอ คลินิกความงามควรอัปเดตรีวิวใหม่เป็นประจำ และต่อเนื่องครับ เพราะแสดงว่าได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ทำให้มีผู้มาใช้บริการไม่ขาดสาย
  • รีวิวอยู่ในเว็บไซต์ที่เป็นกลาง ควรหารีวิวจากแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง ซึ่งคลินิกความงามไม่สามารถลบออกได้เอง เช่น ความคิดเห็นในสื่อโซเชียลมีเดีย ในแอปพลิเคชันรีวิว หรือเว็บไซต์ตั้งกระทู้
  • รีวิวอยู่ในรูปแบบสื่อที่หลากหลาย รีวิวควรมีทั้งแบบรูปภาพ และคลิปวิดีโอครับ เพราะคลิปวิดีโอจะสามารถตัดต่อ และปรับแต่งได้ยากกว่า
  • เปรียบเทียบความแตกต่างของภาพก่อน-หลัง ทั้งเรื่องของแสง และการแต่งหน้าของเคสรีวิวครับ บางคลินิกความงามอาจเลือกใช้ภาพก่อนทำเป็นภาพหน้าสด แต่ภาพหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแต่งหน้าเต็ม และปรับแสงภายในห้อง ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ดูดีเกินจริงได้
  • รีวิวจากผู้ใช้จริง แนะนำให้ดูรีวิวจากกลุ่มบุคคลที่หลากหลาย ทั้งผู้ที่ใช้บริการเอง และอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อเปรียบเทียบรีวิวคลินิกว่าไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ นอกจากนี้สำหรับใครที่มีเพื่อนสนิท ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วออกมาดูสวย และดูเป็นธรรมชาติ ควรถามบุคคลเหล่านี้ ว่า ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ?

สรุป

ใครที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ได้ผลลัพธ์ดี สามารถนำแนวทางและจุดสังเกตว่า ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? ที่บทความนี้นำมาฝากไปปรับใช้ได้ รับรองว่าจะได้บริการที่ปลอดภัย และผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หมดกังวลปัญหาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน หรือฟิลเลอร์ไหลย้อยครับ

Ulthera ที่ไหนดี ? 12 Checklist คลินิกได้มาตรฐาน บริการปลอดภัย ยกกระชับมีประสิทธิภาพ

0
Ulthera ที่ไหนดี

Ulthera ที่ไหนดี

Ulthera คือ นวัตกรรมยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ ที่กำลังได้รับความนิยมครับ เพราะสามารถแก้ปัญหาริ้วรอย หนังตาตก หรือเก็บกรอบหน้าได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด

สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำ Ulthera ที่ไหนดี ? บทความนี้ได้รวบรวม 12 เช็กลิสต์ ในการเลือกคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่มากประสบการณ์ รีวิวที่น่าเชื่อถือ และเครื่อง Ulthera ของแท้ รับรองว่าทุกคนจะได้รับบริการที่ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดีหลังทำ

1. คลินิกความงามมีใบอนุญาตถูกต้อง

ก่อนตัดสินใจว่าจะทำ Ulthera ที่ไหนดี ? แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุขครับ เพราะคลินิกจะมีความสะอาด มีเครื่องมือกรณีฉุกเฉินครบถ้วน และปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐาน การใช้บริการจึงมีความปลอดภัยมาก

โดยคลินิกความงามจะแสดงป้ายชื่อสถานพยาบาล และเลขใบอนุญาต 11 หลักติดไว้ที่ด้านหน้าของคลินิก นอกจากนี้หากคลินิกมีหลายสาขาก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือครับ เพราะแสดงว่าได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก จึงสามารถเปิดบริการให้ครอบคลุมในหลายพื้นที่ได้

2. คลินิกความงามที่ใช้เครื่อง Ulthera SPT 

Ulthera ที่ไหนดี ใช้เครื่อง Ulthera SPT

ในปัจจุบันเครื่อง Ulthera จะมีเพียงรุ่นเดียวครับ ซึ่งเป็นรุ่นที่อัปเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อน คือ เครื่อง Ulthera SPT หรือในคลินิกความงามแต่ละแห่งอาจเรียกว่า New Ulthera โดยเทคโนโลยี SPT ที่เป็นจุดเด่นของเครื่อง ย่อมาจาก

  • S – See มีหน้าจอแสดงปัญหาของทุกชั้นผิวแบบ Real Time ช่วยให้แพทย์สามารถติดตามการรักษา และยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำ ลดโอกาสยิงพลังงานพลาดไปยังกล้ามเนื้อ หรือกระดูก
  • P – Plan แพทย์สามารถออกแบบการรักษา และเลือกเทคนิคการยิงพลังงาน ที่มีความเฉพาะกับโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละคนได้ครับ จึงช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด 
  • T – Treat เครื่อง Ulthera SPT สามารถส่งคลื่นอัลตราซาวนด์พลังงานสูงได้แม่นยำถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ด้วยเทคโนโลยี MFU-V (Microfocus Ultrasound with Visualization) จึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ตรวจสอบได้

Ulthera ที่ไหนดี ใช้เครื่องแท้

อีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในการตัดสินใจทำ Ulthera ที่ไหนดี ? คือ การเลือกคลินิกความงามที่ใช้เครื่องแท้ครับ เพราะเป็นเครื่องที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.ไทย) รวมถึงยังมีใช้งานอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก สำหรับวิธีการตรวจสอบเครื่องแท้ มีดังนี้

  • ตรวจสอบจากตัวเครื่อง เครื่อง Ulthera ของแท้จะมีหน้าตาเหมือนกับภาพโฆษณา และมี Logo คำว่า Ulthera ที่เป็นอักษรนูน นอกจากนี้ที่ตัวเครื่องจะมีสติกเกอร์รับรอง 2 ชิ้น คือ สีส้ม Ultherapy Authentic ซึ่งรับรองเครื่องแท้ และสีทอง MERZ Aesthetic รับรองจากบริษัทที่นำเข้าครับ
  • ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ของบริษัทนำเข้า เครื่อง Ulthera นำเข้าไทยโดยบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ (Merz Aesthetics) ครับ สามารถนำชื่อคลินิกความงามที่สนใจไปค้นหาในหน้า “ค้นหาคลินิก” ของเว็บไซต์ได้
  • ตรวจสอบจากโล่หรือใบรับรอง คลินิกความงามที่ใช้เครื่องแท้ จะได้รับโล่และใบรับรอง (Certificate) ที่ระบุชื่อสถานพยาบาล จากบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์  

4. มีแพทย์ประจำคลินิก

ควรเลือกคลินิกความงามที่มีแพทย์ประจำ (Full Time) เพื่อให้สะดวกต่อการขอคำปรึกษา และติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแพทย์ประจำจะพยายามรักษาชื่อเสียงของคลินิกมากกว่าแพทย์ฟรีแลนซ์อีกด้วย 

โดยทั่วไป รูปถ่ายและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพภายในคลินิกความงาม จะติดแสดงอยู่ที่ด้านหน้าคลินิกร่วมกับป้ายชื่อสถานพยาบาลครับ สามารถนำชื่อ-นามสกุลของแพทย์ไปค้นหาในเว็บไซต์แพทยสภาได้ ซึ่งจะแสดงข้อมูลทั้งชื่อ-นามสกุล รูปถ่าย และปีที่แพทย์ท่านนั้นได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม

5. ให้บริการ Ulthera กับแพทย์ที่ผ่านเทรนนิง

Ulthera ต้องทำกับแพทย์ ที่ผ่านเทรนนิงการใช้งานเครื่องเท่านั้นครับ เพราะมีความเข้าใจหลักการทำงานของเครื่องเป็นอย่างดี มีเทคนิคการใช้งานเครื่องที่ถูกต้อง อ่านค่าภาพอัลตราซาวนด์ได้แม่นยำ และปรับระดับความลึกในการยิงของหัว Ulthera ให้เหมาะสม ทำให้ใช้งานเครื่องได้อย่างปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้อย่างชัดเจนหลังทำ

โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเทรนนิง หรือใบรับรอง (Certificate) ที่เกี่ยวข้อง เช่น Certificate of Attendance: Ultherapy Physician Training by MERZ Aesthetics และ Certificate of Attendance: Ultherapy Training by MERZ Aesthetics ได้จากเว็บไซต์ของคลินิกความงาม ที่แพทย์ท่านนั้นประจำอยู่ครับ 

6. มีบริการประเมินใบหน้ากับแพทย์ที่มากประสบการณ์

Ulthera ที่ไหนดี ประเมินใบหน้ากับแพทย์มากประสบการณ์

แต่ละคนมีปัญหา และโครงสร้างใบหน้าที่แตกต่างกันออกไปครับ ก่อนทำ Ulthera จำเป็นต้องประเมินจำนวนการยิง (Line) กับแพทย์ที่มากประสบการณ์ เพื่อวางแผนและออกแบบการรักษา ที่ตอบโจทย์กับปัญหา และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

ในการตัดสินใจทำ Ulthera ที่ไหนดี ? ควรหลีกเลี่ยงคลินิกความงาม ที่ให้ซื้อคอร์สผ่านพนักงานขายเพียงอย่างเดียว เพราะอาจได้จำนวนการยิงที่น้อย หรือมากเกินไปได้ครับ

  • ใช้จำนวนไลน์น้อยเกินไป หลังทำ Ulthera อาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง และการยกกระชับไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร ส่งผลให้จำเป็นต้องเพิ่มความถี่ในการทำบ่อยขึ้น และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็น โดยทั่วไปผลลัพธ์การทำ Ulthera จะอยู่ได้ 1 ปี ต่อการทำ 1 ครั้งครับ
  • ใช้จำนวนไลน์มากเกินไป หากใช้จำนวนการยิงมากกว่าที่ผิวต้องการ สามารถทำให้ผิวระบม หรือบวมแดงมากกว่าปกติหลังทำ Ulthera ได้ รวมถึงยังเสี่ยงเกิดปัญหาผิวไหม้ตามมาอีกด้วย

7. มีบริการหลังทำ Ulthera ที่ดี

อีกสิ่งที่ควรมองหาในคลินิกความงาม คือ บริการหลังการทำ Ulthera ครับ ทั้งในกรณีที่เกิดปัญหา และการนัดหมายเพื่อประเมินผลลัพธ์

  • บริการหลังการทำหัตถการ ควรเลือกคลินิกความงาม ที่สามารถติดต่อได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ในกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง หรือมีความผิดปกติหลังทำ Ulthera 
  • บริการประเมินความพึงพอใจกับแพทย์ หลังทำ Ulthera ยังไม่สามารถประเมินผลลัพธ์ได้ทันทีครับ แต่จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง และผิวยกกระชับขึ้นประมาณ 30% เพราะชั้นผิวหดตัวจากความร้อนของเครื่อง โดยจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในเวลา 3 เดือน คือ ผิวจะแน่นมากขึ้น และริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ผลลัพธ์หลังทำอยู่ได้นาน 1 ปี

สำหรับใครที่ต้องการให้ผิวยกกระชับมากขึ้น หรืออยากยืดอายุผลลัพธ์หลังการทำ สามารถปรึกษากับแพทย์เจ้าของเคส เพื่อนัดทำ Ulthera ซ้ำได้ โดยทั่วไปนิยมทำ 1 ครั้งต่อปี หรือทำซ้ำทุก 3 เดือนครับ

8. คลินิกมีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย

ควรเลือกคลินิกความงามที่สามารถติดต่อได้ง่าย และมีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย เช่น เบอร์โทรศัพท์, Line, Facebook, หรือ Instagram เพื่อให้สามารถสอบถามข้อมูลและจองคิวก่อนทำ Ulthera รวมถึงติดต่อได้แบบเรียลไทม์ ในกรณีเกิดปัญหาหลังทำ

9. คลินิกมีความสะอาด

Ulthera ที่ไหนดี คลินิกมีความสะอาด

ในการทำหัตถการปรับรูปหน้า ไม่ว่าจะเป็น ทำ Ulthera, ฉีดฟิลเลอร์, หรือฉีดโบท็อกซ์ ควรเลือกคลินิกความงามที่มีความสะอาด และมีขั้นตอนปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อลดโอกาสเกิดการปนเปื้อนในระหว่างทำหัตถการ และผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์หลังทำ

รวมถึงควรเลือกคลินิกความงามที่มีบรรยากาศปลอดโปร่ง มีไฟส่องสว่าง ไม่แออัด และจัดแบ่งห้องทำหัตถการเป็นสัดส่วน

10. ราคา Ulthera สมเหตุสมผล

ราคามาตรฐานของคอร์ส Ulthera เริ่มต้นที่ 10,000 บาท ต่อ 100 ไลน์ (Line) ครับ

ในการตัดสินใจว่าจะทำ Ulthera ที่ไหนดี ? ข้อควรระวังในเรื่องราคา มีดังนี้

  • ราคาถูกมาก แม้จะมีโปรโมชันส่งเสริมการขาย แต่ราคาในคลินิกความงามจะไม่ต่างกันมากครับ หากพบคอร์ส Ulthera ที่ราคาถูกกว่าราคามาตรฐานหลายเท่าตัว มีความเสี่ยงเป็นเครื่องปลอม ที่ส่งพลังงานไม่เสถียร ในบางจุดอาจเบาเกินไปจนไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง หรืออาจแรงเกินไปจนเสี่ยงผิวไหม้ และใบหน้าผิดรูปได้
  • ราคาบุพเฟ่ต์ไม่จำกัดไลน์ หัวยิงของ Ulthera มีราคาต้นทุนครับ เพราะเมื่อยิงครบจำนวนแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวใหม่ หากพบคอร์ส Ulthera บุพเฟ่ต์ไม่จำกัดไลน์ มีความเสี่ยงว่าอาจใช้เครื่องปลอม หรือปรับพลังงานเบามาก จึงไม่มีประสิทธิภาพในการยกกระชับ

11. มีรีวิว Ulthera ที่น่าเชื่อถือ

Ulthera ที่ไหนดี รีวิวน่าเชื่อถือ

  • อัปเดตรีวิวสม่ำเสมอ สำหรับใครที่ส่องรีวิวในอินเทอร์เน็ต เพื่อตัดสินใจว่าจะทำ Ulthera ที่ไหนดี ? ควรเลือกคลินิกความงามที่ลงรีวิวการทำหัตถการอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องครับ เพราะแสดงว่าคลินิกได้รับความไว้วางใจ และมีผู้ใช้บริการเป็นประจำ
  • มีรูปแบบการรีวิวที่หลากหลาย ทั้งรูปภาพและวิดีโอ ยิ่งถ้าเป็นคลิปเปรียบเทียบใบหน้าซ้าย-ขวาระหว่างการทำหัตถการยิ่งดีครับ เพราะคลิปวิดีโอสามารถตัดต่อหรือปรับแก้ได้ยากกว่ารูปภาพ
  • ในรีวิว Ulthera ระบุจำนวนไลน์ที่ใช้ การทำ Ulthera ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องใช้จำนวนการยิงให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ทำ และปัญหาที่ต้องการแก้ไขครับ หากในรีวิวระบุจำนวนไลน์ไว้ชัดเจน จะช่วยให้เราสามารถประเมินความพร้อมของตัวเองได้ในเบื้องต้น
  • เปรียบเทียบความแตกต่างของภาพก่อน-หลัง ทั้งการแต่งหน้าของเคสรีวิว หรือการจัดแสงภายในห้อง ในบางคลินิกความงามอาจใช้ภาพ After เป็นเคสรีวิวที่แต่งหน้าจัดเต็มเปรียบเทียบกับภาพ Before ที่เป็นหน้าสด สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผลลัพธ์หลังการทำดูดีเกินกว่าความเป็นจริงได้
  • รีวิวจากผู้ใช้งานจริง แนะนำให้ดูรีวิวจากกลุ่มผู้ใช้บริการที่หลากหลาย ทั้งผู้ใช้งานจริงที่จ่ายเงินเอง ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ครับ ว่าไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ? นอกจากนี้หากมีคนรู้จักที่เคยทำ Ulthera แล้วได้ผลลัพธ์ดี แนะนำให้ลองถามคนเหล่านี้ว่า ควรเลือกทำ Ulthera ที่ไหนดี ? 
  • แหล่งรีวิวที่เป็นกลาง ควรเลือกแหล่งรีวิวที่คลินิกความงาม ไม่สามารถลบความคิดเห็นของผู้โพสต์ได้เอง เช่น แอปพลิเคชันรีวิว คอมเมนต์ใน Facebook เว็บไซต์ตั้งกระทู้ หรือรีวิวใน Google Map รวมถึงสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ 

12. คลินิกความงามที่เดินทางสะดวก

ปัจจัยที่หลายคนอาจมองข้ามในการเลือกทำ Ulthera ที่ไหนดี ? คือ การเลือกคลินิกความงามที่เดินทางสะดวกครับ เช่น คลินิกสาขาใกล้บ้าน คลินิกติดระบบรถไฟฟ้า หรือคลินิกในห้างสรรพสินค้า เพราะในกระบวนการทำ Ulthera อาจจำเป็นติดต่อคลินิกความงามมากกว่า 1 ครั้ง ด้วยเหตุผลดังนี้

  • การประเมินใบหน้าก่อน-หลัง ก่อนทำ Ulthera จำเป็นต้องประเมินใบหน้าและสภาพผิว เพื่อกำหนดจำนวนการยิง (Line) ที่เหมาะสมครับ และหลังจากทำ Ulthera แพทย์จะมีนัดหมาย เพื่อติดตามผลลัพธ์อีกครั้งหนึ่ง
  • วินิจฉัยหาสาเหตุของปัญหา ในกรณีที่เกิดข้อสงสัย หรือปัญหาหลังทำ Ulthera สามารถเดินทางไปให้แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ และรักษาได้อย่างทันท่วงที
  • คงผลลัพธ์หลังทำ Ulthera ผลลัพธ์ของการทำ Ulthera ไม่คงอยู่ถาวร แต่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามคอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่ครับ แนะนำให้ทำต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทำซ้ำทุก ๆ 3 เดือน ซึ่งการเลือกคลินิกที่เดินทางสะดวก ช่วยให้สามารถไปทำหัตถการได้อย่างสม่ำเสมอ

สรุป

ในการเลือกทำ Ulthera ที่ไหนดี ? ควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ มีแพทย์ที่มากประสบการณ์ และใช้เครื่อง Ulthera SPT ของแท้ครับ โดยทุกคนสามารถนำ 12 เช็กลิสต์ที่บทความนี้แนะนำไปปรับใช้ได้ รับรองว่าจะได้รับบริการที่ปลอดภัย ผลลัพธ์การยกกระชับที่มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าราคาอย่างแน่นอน

โรงงานผลิตอาหารเสริมมาตรฐานคุณภาพ บริการอย่างครบวงจร

0
โรงงานผลิตอาหารเสริม

โรงงานผลิตอาหารเสริม

สมัยนี้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ให้ความใส่ใจกัน ยิ่งในโลกออนไลน์ก็มีการแชร์ถึงวิธีการดูแลตนเองที่หลากหลาย แต่หนึ่งในวิธีการดูแลการดูแลตนเองที่สำคัญหนีไม่พ้นในเรื่องการใส่ใจเรื่องการกินอาหาร ไม่ว่าจะอาหารเพื่อสุขภาพ ผัก ผลไม้ รวมไปถึงการเลือกรับประทานอาหารเสริมด้วยเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการเริ่มธุรกิจอาหารเสริมจึงเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจที่น่าสนใจโดยเฉพาะในยุคที่คนรักสุขภาพแบบนี้ ยิ่งไปกว่านัันสำหรับที่เริ่มต้นธุรกิจก็มีตัวช่วยอย่างโรงงานผลิตอาหารเสริม ที่มีบริการอย่างครบครันในที่เดียว แล้วการเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดีมีเกณฑ์การพิจารณาอย่างไรบ้าง บทความนี้จะขอพาไปสำรวจถึงเทคนิคการเลือกโรงงานรับผลิตอาหารเสริม พร้อมกับสาระดี ๆ เกี่ยวกับธุรกิจอาหารเสริมมาฝากผู้อ่านทุกท่าน


สารบัญบทความ


6 ขั้นตอนสำหรับมือใหม่ สั่งผลิตอาหารเสริมแบบง่าย ๆ

ก่อนจะเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของธุรกิจมือใหม่ จำเป็นต้องทราบขั้นตอนเกี่ยวกับการผลิตอาหารเสริมอะไรบ้าง วันนี้เราได้รวบรวม 6 ขั้นตอนสำหรับมือใหม่ที่จะเริ่มสั่งผลิตอาหารเสริมง่าย ๆ ดังนี้

  • สำรวจผลิตภัณฑ์เพื่อออกแบบแบรนด์ : ข้อแรกที่มือใหม่ควรรู้ คือ การสำรวจผลิตภัณฑ์เพื่อออกแบบแบรนด์ โดยควรสำรวจว่าในท้องตลาด คู่แข่ง หรือเทรนด์ในช่วงนี้มีแนวโน้มไปในทิศทางไหนบ้าง เพื่อให้สามารถนำข้อมูลการสำรวจดังกล่าวมาผลิตสินค้าได้ตรงตามกระแสของตลาดนั่นเอง
  • ตรวจสอบใบเสนอราคา พร้อมอ่านรายละเอียด : เมื่อมีการสำรวจผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะผลิตแล้ว ขั้นตอนต่อมา คือ ตรวจสอบใบเสนอราคาที่ทางโรงานอาหารเสริมส่งมาให้เรียบร้อย
  • โรงงานผลิตอาหารเสริมนำส่งตัวอย่างทดลอง : เมื่อตกลงผลิตภัณฑ์ที่ต้องการผลิตได้แล้ว และได้มีการแจ้งรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการผลิตเรียบร้อย ทางโรงงานจะเริ่มทำตัวอย่างสินค้า และส่งให้ทางเจ้าของธุรกิจตรวจสอบว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่
  • ชำระมัดจำครึ่งแรก : หากสินค้าตัวอย่างที่ส่งมาให้ทดสอบเป็นไปตามสูตรที่ต้องการ ขั้นตอนต่อมาจะเป้นการชำระเงินมัดจำครึ่งแรกให้กับทางโรงงานผลิตอาหารเสริม
  • ทำเรื่องขออย.สินค้า : ในระหว่างนี้ทางโรงงานผลิตอาหารเสริมจะทำเรื่องประสานขออย.สินค้าให้ด้วย เพื่อให้ผ่านการรับรองว่าเป็นอาหารเสริมที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัยในการบริโภค
  • เริ่มต้นกระบวนการผลิต : เมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นเรียบร้อย ทางโรงงานผลิตอาหารเสริมจะเริ่มต้นกระบวนการผลิตสินค้าตามที่ได้มีการตกลงกันไว้
  • ดำเนินการขอขึ้นทะเบียนสินค้า : อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่มือใหม่ควรทราบ คือ การดำเนินการขอขึ้นทะเบียนสินค้า โดยในขั้นตอนนี้หากเป็นโรงงานที่มีบริการครบวงจร ทางโรงงานก็จะดำเนินเรื่องให้กับสินค้าเลย
  • ชำระเงินมัดจำส่วนที่เหลือ :  เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะมาถึงในส่วนที่สำคัญคือการชำระเงินมัดจำที่เหลือ 50% กับทางโรงงานผลิตอาหารเสริม
  • จัดส่งสินคินค้า :  หลังจากที่เจ้าของธุรกิจได้ชำระเงินมัดจำเป็นที่เรียบร้อย ทางโรงงานจะนัดหมายวันเวลาและสถานที่ เพื่อนัดรับสินค้าที่สั่งผลิต เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นขั้นตอนการสั่งผลิตอาหารเสริม

ช่วงเวลาขาขึ้นของธุรกิจอาหารเสริม

ทำแบรนด์อาหารเสริม

ในยุคที่คนให้ความใส่ใจในการดูแลสุขภาพเช่นนี้เรียกได้ว่า เป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจอาหารเสริมมากกว่าครั้งไหน เพราะด้วยการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่มีการแชร์เรื่องราวลงในโลกออนไลน์มากขึ้น จึงทำให้ผู้คนที่รักสุขภาพเริ่มมีการแชร์ไลฟ์สไตล์การดูแลตนเอง ตั้งแต่การออกกำลังกาย การใส่ใจในการรับประทานอาหาร ไปจนถึงการใส่ใจในการเลือกอาหารเสริม

เพราะด้วยการแชร์ไลฟ์สไตล์การดูแลสุขภาพของตนเองให้โลกออนไลน์ได้เห็นมากขึ้นในยุคนี้ แน่นอนว่าเกิดการกระตุ้นทำให้หลายคนเกิดความสนใจ และมีความต้องการในการดูแลตนเองเยอะขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ใครที่ต้องการจะทำธุรกิจอาหารเสริมสุขภาพถือได้ว่าเป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจที่ต้องรีบเริ่มต้นลงมือทำ และยิ่งมีการวางแผนธุรกิจที่ดี ออกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่รักสุขภาพ ก็จะยิ่งทำให้ธุรกิจอาหารเสริมมีการเติบโต ทำกำไรได้ตามที่วางแผนไว้


โรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดีควรต้องเป็นอย่างไร?

อย่างที่ได้ทราบถึงช่วงขาขึ้นของธุรกิจอาหารเสริมไปแล้วเบื้องต้น มาถึงในส่วนเนื้อหาสำคัญที่เจ้าของธุรกิจอาหารเสริมไม่ควรพลาด โดยเฉพาะสำหรับใครที่กำลังมองหาโรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดีอยู่ คงเกิดความสงสัยไม่น้อยว่าควรพิจารณาจากอะไรบ้าง วันนี้เราได้รวบรวมเทคนิคการเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดี ดังต่อไปนี้

มีช่องทางออนไลน์ให้ติดต่อ

ยุคสมัยนี้ต้องยอมรับเลยว่าช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางที่ใช้ในการติดต่อได้อย่างรวดเร็วสุด โดยเฉพาะการทำธุรกิจก็ยิ่งต้องการช่องทางที่สามารถพูดคุยสื่อสารเพื่อดำเนินเรื่องต่างๆให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดีจึงจำเป็นจะต้องมีช่องทางออนไลน์ให้ติดต่อ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น สามารถสั่งผลิตอาหารเสริมได้อย่างไม่มีสะดุดนั่นเอง

มีทีมผู้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชี่ยวชาญ

เมื่อพูดถึงช่องทางติดต่อสื่อสารทางออนไลน์ไปแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่โรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดีควรมี คือ ทีมผู้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในด้านนี้โดยตรง เพื่อช่วยให้อาหารเสริมที่ผลิตออกมานั้นมีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

มีประสบการณ์รับผลิตอาหารเสริมมาอย่างยาวนาน

การมีประสบการณ์ ในการรับผลิตอาหารเสริมมาอย่างยาวนานก็เป็นอีกหนึ่งในข้อพิจารณาการเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริม เพราะการมีประสบการณ์ในการรับผลิตจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจได้รับคำปรึกษาที่ดี เพราะด้วยประสบการณ์ของโรงงานที่เราผลิตอาหารเสริมจะเข้าใจลักษณะการตลาดอาหารเสริมว่ามีรูปแบบอย่างไร ควรทำการตลาดอย่างไรหรือแม้กระทั่งผลิตอาหารเสริมรูปแบบจึงจะได้รับความนิยมและทำกำไรได้เป็นอย่างดี

รับผลิตอาหารเสริมครบวงจร

เลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่มีบริการครบวงจร ตั้งแต่บริการให้คำปรึกษา, บริการการผลิตแบบ OEM & ODM, การออกแบบบรรจุภัณฑ์, การขึ้นทะเบียนสิทธิบัตร, การขึ้นเครื่องหมายการค้า หรือการขึ้นอย. เป็นต้น

มีมาตรฐานโรงงาน GMP

ข้อสุดท้ายของการเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมที่ดีคือจำเป็นจะต้องเป็นโรงงานที่รับผลิตอาหารเสริมที่ได้มาตรฐาน มีมาตรฐานโรงงาน GMP รวมไปถึงมาตรฐานสากลอื่น ๆ เช่น ฮาลาล, ISO 9001, ISO 22716 เป็นต้น

ฉะนั้นใครที่กำลังเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริมเพื่อธุรกิจของตนเอง อย่าลืมพิจารณาตามเช็คลิสต์ข้างต้น เพื่อให้สินค้าออกมาได้มาตรฐาน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค


 

รู้จักโบท็อกซ์ริ้วรอย! 9 คำถามยอดฮิต ฉีดจุดไหนได้บ้าง ? กี่วันเห็นผล ? ยี่ห้อไหนดี ?

0
โบท็อกซ์ริ้วรอย

โบท็อกซ์ริ้วรอย

ปัญหาริ้วรอย ทำให้ใบหน้าขาดความสดใส หรือดูมีอายุ ถือเป็นหนึ่งในความกังวลใจของใครหลายคนครับ การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถแก้ปัญหารอยพับได้ในหลายจุดบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยหางตา หรือริ้วรอยระหว่างคิ้ว รวมถึงยังเห็นผลลัพธ์รวดเร็วอีกด้วย

บทความนี้ได้รวบรวมคำตอบของคำถามยอดฮิต ที่หลาย ๆ คนอยากรู้ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยมาฝากกัน ไม่ว่าจะเป็น โบท็อกซ์ริ้วรอย คืออะไร ? ช่วยลดริ้วรอยได้อย่างไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ? ใช้กี่ยูนิต ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? มีขั้นตอนอย่างไร ? ยี่ห้อไหนดี ? และราคาเท่าไหร่ ?


1. โบท็อกซ์ริ้วรอย คืออะไร ? ช่วยลดริ้วรอยได้อย่างไร ?

โบท็อกซ์ริ้วรอย คือ

โบท็อกซ์ริ้วรอย คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) ซึ่งเป็นสารที่สกัดจากแบคทีเรียคลอสตริเดียม โบลูทินัม (Clostridium Botulinum) ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เมื่อฉีดเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และขยับได้ลดลง ส่งผลให้

  • ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น รอยหางตาและรอยย่นบริเวณสันจมูกเวลายิ้ม หรือรอยพับบริเวณหน้าผากเวลาเลิกคิ้ว หลังจากฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย กล้ามเนื้อบริเวณนี้จะขยับได้ลดลง หรือไม่ขยับเลย ทำให้ไม่เกิดรอยพับบนผิวเวลาแสดงสีหน้าครับ
  • ริ้วรอยเล็ก ๆ บนชั้นผิวดูตื้นขึ้น หลังจากร่างกายผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ จะช่วยชดเชย และเติมเต็มร่องริ้วรอย ที่เกิดในตอนที่กล้ามเนื้อยังทำงานได้เต็มที่อยู่ ริ้วรอยเล็ก ๆ จึงดูจางลง และผิวดูเรียบเนียน
  • ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต ในระหว่างที่โบท็อกซ์ริ้วรอยยังออกฤทธิ์ จะช่วยป้องกันการเกิดรอยพับใหม่บนชั้นผิวได้ครับ

จะเห็นได้ว่า การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า และริ้วรอยเล็ก ๆ บนชั้นผิวได้เป็นอย่างดีครับ แต่สำหรับใครที่ปัญหาริ้วรอยเกิดจากการยุบตัวของกระดูก จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น


2. โบท็อกซ์ริ้วรอย อันตรายไหม ?

โบท็อกซ์ริ้วรอย อันตรายไหม

โบท็อกซ์ริ้วรอย ไม่เป็นอันตรายครับ ถ้าใช้ตัวยาที่เป็นของแท้ และนำเข้ามาอย่างถูกต้อง เพราะ

  • ตัวยาโบท็อกซ์สามารถใช้รักษาโรค ก่อนที่ตัวยาโบท็อกซ์จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในด้านความงาม นิยมฉีดโบท็อกซ์ เพื่อบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อเกร็งผิดปกติ เช่น โบท็อกซ์ออฟฟิศซินโดรม และโบท็อกซ์ไมเกรน
  • โบท็อกซ์ริ้วรอยสามารถย่อยสลายได้ ตัวยาโบท็อกซ์ของแท้สามารถย่อยสลายได้เองจนหมด โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย
  • โบท็อกซ์ได้รับการรับรอง โบท็อกซ์หลายยี่ห้อได้รับการรับรองมาตรฐานและความปลอดภัยจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ไทย) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เกาหลีใต้ (KFDA)
  • ไม่เสี่ยงดื้อโบท็อกซ์ โบท็อกซ์ของแท้จะมีความบริสุทธิ์ของตัวยาสูงครับ จึงช่วยลดโอกาสเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์ หรือการฉีดโบท็อกซ์แล้วไม่เห็นผล นอกจากนี้ควรเช็กว่าโบท็อกซ์นั้น ๆ นำเข้ามาถูกต้องหรือไม่ เพราะตัวยาโบท็อกซ์จะต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิ 2-8 °C ตลอดเวลา เพื่อป้องกันตัวยาเสื่อมสภาพครับ 

จะเห็นได้ว่า ตัวยาของโบท็อกซ์ริ้วรอย ที่เป็นของแท้และนำเข้าถูกต้องนั้นจะมีความปลอดภัยมากครับ แต่อีกสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ คือ การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ เพราะมีความเข้าใจกายวิภาคของจุดที่ฉีดเป็นอย่างดี ทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยดูเป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาตามมา เช่น ตาแข็ง คิ้วตก หรือยิ้มแล้วดูไม่เป็นธรรมชาติ


3. โบท็อกซ์ริ้วรอย ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

โบท็อกซ์ริ้วรอย ฉีดจุดไหนได้บ้าง

โบท็อกซ์ริ้วรอย สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ในหลายจุดของใบหน้า โดยจะนิยมใช้กับผิวที่เกิดรอยพับ เวลาแสดงสีหน้า หรือแก้ปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ เช่น ระหว่างคิ้ว ใต้ตา หางตา ตีนกา ร่องแก้ม หน้าผาก และคอ โดยจุดที่นิยมฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย มีดังนี้

  • โบท็อกซ์ริ้วรอยหน้าผาก นิยมใช้แก้ปัญหาริ้วรอย หรือรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก ที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น เวลาเลิกคิ้ว การขมวดคิ้ว หรือการยิ้ม หากปล่อยทิ้งไว้ ริ้วรอยบริเวณนี้จะยิ่งลึกขึ้น และสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้หลาย ๆ คนสูญเสียความมั่นใจได้
  • โบท็อกซ์ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยระหว่างคิ้ว มักเกิดจากการขมวดคิ้ว หรือย่นคิ้วบ่อย ๆ ถือเป็นอีกจุดที่สามารถสังเกตได้ง่าย และเป็นจุดรวมสายตาของคู่สนทนาครับ ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่สดใส หรือดูมีอายุได้ 
  • โบท็อกซ์ริ้วรอยรอบดวงตา เป็นจุดที่มักเกิดริ้วรอยเล็ก ๆ หรือรอยย่นได้ง่ายมากครับ รวมถึงในบางรายอาจมีปัญหาถุงใต้ตาร่วมด้วย ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรม ขาดความสดใส หรือดูมีอายุได้ สามารถแก้ปัญหาด้วยการฉีดโบท็อกซ์หางตา โบท็อกซ์ตีนกา หรือโบท็อกซ์ใต้ตา ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวชั่วคราว ริ้วรอยต่าง ๆ จึงดูลดลง
  • โบท็อกซ์ริ้วรอยร่องแก้ม สามารถใช้แก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ที่เกิดกับคนที่ยิ้มหรือหัวเราะบ่อย ๆ ทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงรั้งร่องแก้มแข็งแรงมากเกินไป โดยจะนิยมฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเทคนิค Myomodulation ซึ่งเป็นการฉีดฟิลเลอร์กดหรือหนุนกล้ามเนื้อ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูธรรมชาติ เวลายิ้มไม่ดูแข็ง
  • โบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้า จะนิยมฉีดเพื่อให้ผิวบริเวณโดยรอบของกรอบหน้ากระชับขึ้น ปรับให้ใบหน้าดูเรียว และดูมิติมากขึ้น โดยการฉีดลิฟท์กรอบหน้าเทคนิค Nefertiti Lift ซึ่งฉีดโบท็อกซ์ที่กล้ามเนื้อบริเวณลำคอ (Platysma) สามารถช่วยลดริ้วรอยที่คอได้อีกด้วยครับ

4. โบท็อกซ์ริ้วรอย ใช้กี่ยูนิต (Unit) ?

โบท็อกซ์ริ้วรอยจะเริ่มต้นที่ 25 U ทั้งนี้ในแต่ละจุดที่ฉีดจะใช้ปริมาณยูนิตที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และการประเมินของแพทย์ร่วมด้วยครับ สำหรับการฉีดโบท็อกซ์แต่ละจุด จะใช้ปริมาณดังนี้

  • โบท็อกซ์ริ้วรอยหน้าผาก 30 ยูนิต
  • โบท็อกซ์ริ้วรอยระหว่างคิ้ว 25 ยูนิต
  • โบท็อกซ์ริ้วรอยตีนกา หรือโบท็อกซ์ริ้วรอยหางตา 25 ยูนิต
  • โบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้า 30-50 ยูนิต

5. โบท็อกซ์ริ้วรอย กี่วันเห็นผล ?

โบท็อกซ์ริ้วรอย กี่วันเห็นผล

ผลลัพธ์หลังการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  • ผลลัพธ์ส่วนของกล้ามเนื้อที่ขยับ เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผากเวลาเลิกคิ้ว หรือริ้วรอยหางตาเวลายิ้ม ในส่วนนี้จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ใน 3-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 14 วันครับ ทั้งนี้ก่อนการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย สามารถแจ้งความต้องการกับแพทย์ได้เลยครับ ว่าต้องการให้กล้ามเนื้อขยับน้อยลง หรือไม่ขยับเลยเวลาแสดงสีหน้า
  • ผลลัพธ์ในด้านการลดเลือนริ้วรอย จะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ว่าริ้วรอยเล็ก ๆ บนชั้นผิวดูจางลงใน 4-6 สัปดาห์ครับ เพราะต้องรอให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ ขึ้นมาชดเชยและเติมเต็มร่องที่เกิดตั้งแต่ในช่วงที่กล้ามเนื้อยังทำงานเต็มที่ก่อน 

โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับอัตราการสร้างคอลลาเจนใหม่ในแต่ละคนร่วมด้วย กล่าวคือในเคสที่อายุค่อนข้างมาก จำเป็นต้องรอนานขึ้นครับ เพราะอัตราการสร้างคอลลาเจนของร่างกายจะลดลงเหลือ 20-30% เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป


6. โบท็อกซ์ริ้วรอย อยู่ได้นานไหม ?

ผลลัพธ์โบท็อกซ์ริ้วรอยจะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ร่วมด้วยครับ สำหรับใครที่ต้องการคงผลลัพธ์ให้นานยิ่งขึ้น แนะนำให้กลับมาฉีดซ้ำ โดยเว้นจากการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยครั้งก่อนอย่างน้อย 3 เดือน แต่ไม่ควรเว้นระยะนานเกิน 5-6 เดือนครับ


7. โบท็อกซ์ริ้วรอย มีขั้นตอนอย่างไร ?

โบท็อกซ์ริ้วรอย มีขั้นตอนอย่างไร

  • ประเมินความเหมาะสม พบแพทย์ที่มากประสบการณ์ ซึ่งจะประเมินสภาพผิว และปัญหาบนใบหน้าที่คนไข้ต้องการแก้ไข รวมถึงให้คำแนะนำในการเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์ และปริมาณยาที่เหมาะสมครับ 

นอกจากนี้แนะนำให้ทุกคนเตรียมข้อมูลสุขภาพของตัวเองมาด้วย เช่น โรคและยาประจำตัว ประวัติการแพ้อาหารและยา และประวัติการทำหัตถการต่าง ๆ 

  • เตรียมผิวบริเวณที่จะฉีด ทำความสะอาดผิวในจุดที่จะฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย รวมถึงทายาชา หรือประคบน้ำแข็ง เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
  • เตรียมตัวยาที่จะฉีด โบท็อกซ์จะมาในรูปแบบผลึกของแข็งเคลือบอยู่ที่ก้นขวดยา ก่อนฉีดจำเป็นต้องผสมน้ำเกลือลงไปก่อนครับ แนะนำให้ดูแพทย์แกะกล่องใหม่ และผสมตัวยาต่อหน้า
  • ฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย แพทย์จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กฉีดลงไปบริเวณกล้ามเนื้อ ในจุดที่ต้องการแก้ไข และใช้ปริมาณที่เหมาะสม 
  • ขยับกล้ามเนื้อทันทีหลังฉีด 1-2 ครั้ง เพื่อให้เซลล์ประสาทดูดซึมตัวยาโบท็อกซ์เข้าไปให้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้โบท็อกซ์ริ้วรอยอยู่ได้นานมากขึ้น

8. โบท็อกซ์ริ้วรอย ยี่ห้อไหนดี ?

โบท็อกซ์ริ้วรอย ยี่ห้อไหนดี

โบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่น และคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันครับ จึงเหมาะกับแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยให้คำแนะนำในการเลือกโบท็อกซ์ริ้วรอยยี่ห้อที่เหมาะสมครับ สำหรับโบท็อกซ์ยี่ห้อที่ผ่านการรับรองจากอย.ไทย และนิยมฉีดเพื่อลดเลือนริ้วรอย มีดังนี้

  • โบท็อกซ์อเมริกา Allergan เป็นโบท็อกซ์ต้นแบบ ความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% จึงช่วยลดโอกาสดื้อโบท็อกซ์ได้ เป็นยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ให้ผลการรักษาแม่นยำ เพราะการกระจายตัวยาแคบ สามารถฉีดมัดกล้ามเนื้อขนาดเล็กได้ 
  • โบท็อกซ์อังกฤษ Dysport เป็นโบท็อกซ์ที่กระจายตัวกว้าง นิยมฉีดในพื้นที่กว้าง ๆ ให้ผลลัพธ์ดูธรรมชาติ ถ้าฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยจะตึงประมาณ 50% 
  • โบท็อกซ์เยอรมัน Xeomin ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง จุดเด่นอยู่ที่รวมเอาข้อดีของโบท็อกซ์ Allergan และโบท็อกซ์ Dysport เข้าด้วยกัน ตัวยาสามารถกระจายตัวได้กว้างกว่ายี่ห้อ Allergan แต่แคบกว่ายี่ห้อ Dysport ผลลัพธ์ดูธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป และได้ผลดีกับเคสดื้อโบท็อกซ์ ที่หยุดฉีดมาอย่างน้อย 2-3 ปี
  • โบท็อกซ์เกาหลี Nabota เป็นยี่ห้อเดียวของเกาหลีที่ผ่านการรับรองจากอเมริกา (U.S. FDA) จุดเด่น คือ ออกฤทธิ์ไว และเห็นผลเร็วกว่าโบท็อกซ์เกาหลียี่ห้ออื่นเล็กน้อย
  • โบท็อกซ์เกาหลี Aestox พัฒนาให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับโบท็อกซ์ Allergan ข้อดีคือมีความบริสุทธิ์สูง เห็นผลไว และอ่อนโยน ให้ผลลัพธ์หลังฉีดดูเป็นธรรมชาติ ฉีดแล้วหน้าไม่ตึงหรือแข็ง แต่ผลลัพธ์จะสั้นกว่าของโบท็อกซ์ Allergan
  • โบท็อกซ์เกาหลี Neuronox ใช้โบทูลินัม ท็อกซิน เอ สายพันธุ์ Hall A-Hyper ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับโบท็อกซ์ Allergan จุดเด่นคือตัวยากระจายตัวแคบ ผลลัพธ์แม่นยำ ลดโอกาสดื้อโบท็อกซ์ แต่ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่ายี่ห้อ Allergan เล็กน้อย

9. โบท็อกซ์ริ้วรอย ราคาเท่าไหร่ ?

โบท็อกซ์ริ้วรอย แต่ละยี่ห้อจะราคามาตรฐาน ดังนี้

  • โบท็อกซ์อเมริกา Allergan ราคา 19,000 บาท / 100 U
  • โบท็อกซ์อังกฤษ Dysport ราคา 19,000 บาท / 300 U
  • โบท็อกซ์เยอรมัน Xeomin ราคา 18,000 บาท / 100 U
  • โบท็อกซ์เกาหลี Nabota ราคา 9,000 บาท / 100 U
  • โบท็อกซ์เกาหลี Aestox ราคา 9,000 บาท / 100 U
  • โบท็อกซ์เกาหลี Neuronox ราคา 9,500 บาท / 100 U

สรุป

หลังจากอ่านบทความนี้จบ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้คำตอบที่เคยสงสัยเกี่ยวกับโบท็อกซ์ริ้วรอยกันไปแล้ว สำหรับใครที่ต้องการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยให้ได้ผลลัพธ์ดี แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อ ฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ และตรวจเช็กโบท็อกซ์ว่าเป็นของแท้และนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้ง เพียงเท่านี้ก็หมดกังวลฉีดโบท็อกซ์แล้วหน้าแข็ง หนังตาตก มุมปากเบี้ยว และยิ้มไม่สุดแล้ว

Ulthera ราคาเท่าไหร่ ? ยกกระชับผิวด้วย Ulthera ดีอย่างไร ? ให้ผลลัพธ์คุ้มค่าคุ้มราคาไหม ?

0
Ulthera-ราคา

Ulthera-ราคา

Ulthera ราคา

Ulthera ราคาเท่าไหร่ ? ทำไมถึงมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับวิธียกกระชับผิวอื่นๆ ? ในบทความนี้เราจะมาพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อราคาการยกกระชับผิวด้วยว่า ทำไม Ulthera ถึงมีราคาที่ค่อนข้างสูง ? ถ้าเลือกทำ Ulthera ราคาถูก ราคาแพง จะให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างไร ? ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Ulthera คุ้มค่าไหม ? ทำไมถึงควรทำ ?


Ulthera ราคาเท่าไหร่ ?

ยกกระชับผิวด้วย Ulthera ราคาเท่าไหร่

Ultherapy หรือ Ulthera เป็นวิธีการรักษายอดนิยมในด้านการยกกระชับผิวหน้าและลำคอโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งโดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง และเนื่องจากเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาของ Ulthera จึงมักจะสูงกว่าวิธีการยกกระชับผิวอื่น ๆ หลายคนอาจจะเคยเห็นราคาแบบแพกเกจหรือโปรโมชันกันมาบ้างแล้ว ซึ่งจะมีตั้งแต่ราคาหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน 

โดยทั่วไปแล้ว Ulthera ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 100-150 บาท/ไลน์ ราคาจะสูงขึ้นตามจำนวนไลน์ที่ใช้ ขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้ประเมินตามระดับปัญหาความหย่อนคล้อยและบริเวณที่ทำ

Ulthera แต่ละตำแหน่ง ใช้กี่ไลน์ ? ราคาเท่าไหร่ ?

Ulthera สามารถยกกระชับผิวได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว ซึ่งจำนวนไลน์ที่ใช้ในแต่ละตำแหน่ง อาจมีการปรับเพิ่ม-ลดตามความเหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของผู้รับการรักษาแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด

ตัวอย่างจำนวนไลน์ที่ใช้ในแต่ละตำแหน่งโดยประมาณ มีราคาดังนี้

บริเวณที่ทำ จำนวนไลน์ที่ใช้ ราคาโดยประมาณ
Ulthera รอบดวงตา  200 Line 19,999.-
Ulthera  แก้ม 300 Line  29,999.-
Ulthera แก้มและเหนียง  500 Line 49,999.-
Ulthera ทั่วใบหน้า  700 Line  69,999.-
Ulthera  ทั่วใบหน้าและลำคอ 1000 Line 99,999.-

 


ยกกระชับผิวด้วย Ulthera ดีอย่างไร ? ทำไมถึงควรทำ ?

Ulthera คือ การยกกระชับผิวบนใบหน้า ลำคอ บริเวณหน้าอก โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด วิธีนี้มุ่งเน้นที่การกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยให้ผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยกลับมาเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้น โดยการยกกระชับผิวด้วย Ulthera ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากสามารถมอบผลลัพธ์ที่ดูธรรมชาติและเป็นวิธีการที่มีความปลอดภัยสูง

หลักการทำงานของเครื่อง Ulthera 

หลักการทำงานของเครื่อง Ulthera

สามารถยิงพลังงานลงถึงชั้นผิว SMAS ชั้นเดียวกันกับที่ใช้ผ่าตัดดึงหน้า

เครื่อง Ulthera ทำงานโดยการปล่อยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูงที่มีความเฉพาะเจาะจง (High Intensity Focused Ultrasound) ลงไปในชั้นผิวหนังลึกถึงชั้น SMAS ในรูปแบบจุดโฟกัสขนาด 1 มิลลิเมตรที่เรียงต่อกันเป็นเส้นตรง (line*) เพื่อสร้างความร้อนที่ประมาณ 60-70°C ทำให้ชั้นผิวหนังหดตัว เป็นผลให้ผิวยกกระชับขึ้นได้ทันทีหลังทำ 

นอกจากนี้ความร้อนยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ในชั้นผิวหนัง ผิวจึงดูแน่นและกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

*1 line คือ 1 เส้น ประกอบด้วยจุด 1 mm เรียงกัน 15-25 จุด เส้นนึงยาวประมาณ 2.5 cm (1 line = 1 เส้น) ดังนั้น 1 line = 15-25 จุดเรียงกัน

ทำ Ulthera ช่วยอะไรได้บ้าง ?

Ulthera ช่วยอะไรได้บ้าง

  • ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอที่หย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม กรอบหน้า และเหนียง
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกบนผิวหน้า ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
  • ช่วยลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยรอบดวงตา ยกหางตา หางคิ้วตก ให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในผิวหนัง ซึ่งช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และความเต่งตึง
  • ปรับปรุงโครงสร้างผิว ช่วยให้โครงสร้างผิวดูแข็งแรงและมีสุขภาพดีขึ้น

Ulthera มีข้อดีอย่างไร ทำไมถึงควรทำ ?

  • ยกกระชับผิวหย่อนคล้อยได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ ๆ ในอนาคต
  • เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายในชั้นผิว ช่วยให้ผิวหน้าและลำคอดูยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 
  • หลังการรักษาไม่จำเป็นต้องมีระยะเวลาพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที
  • ได้รับการอนุมัติจาก US FDA ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษา
  • เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการทำศัลยกรรมผ่าตัด ไม่มีเวลาในการพักฟื้น
  • ผลลัพธ์สามารถเห็นได้ชัดเจนหลังจากการรักษาเพียงไม่กี่ครั้งและสามารถอยู่ได้นาน ไม่ต้องทำบ่อย

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Ulthera คุ้มค่าไหม ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ?

หลังจากทำการรักษาด้วย Ulthera สามารถเห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีประมาณ 30% โดยจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ประมาณ 2-3 เดือนหลังทำ เมื่อร่างกายมีการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใหม่ ๆ ใต้ชั้นผิว

โดยผลลัพธ์จากการทำ Ulthera สามารถอยู่ได้นานถึงประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิวเดิม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และการดูแลผิว สามารถกลับมาทำซ้ำอย่างน้อยปีละครั้งได้เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้ยาวนาน

 

รีวิว ulthera รอบดวงตา

ตัวอย่างผลลัพธ์หลังทำ Ulthera ยกกระชับผิว ลดริ้วรอยรอบดวงตา 90 วัน

รีวิว ulthera ใบหน้า

ตัวอย่างผลลัพธ์หลังทำ Ulthera ยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยทั่วใบหน้า 60 วัน


การดูแลตัวเองหลังทำ Ulthera เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน

เคล็ด(ไม่)ลับที่ทุกคนสามารถทำได้หลังจากทำ Ulthera ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ และอยู่ได้นาน

  • ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงหลังการรักษา และใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเพื่อป้องกันผิวจากรังสี UVA และ UVB
  • ควรดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นจากภายในและช่วยกระบวนการฟื้นฟูผิวทำงานได้ดีขึ้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวในช่วงแรกๆ หลังการรักษา
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยในกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนหรือเหงื่อออกมากในช่วงสองถึงสามวันแรกหลังการรักษา

เหตุผลที่ทำให้การยกกระชับผิวด้วย Ulthera มีราคาสูงกว่าวิธีอื่น

Ulthera อาจมีราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการรักษาด้านความงามอื่นๆ โดยปัจจัยที่ทำให้ Ulthera มีราคาสูง ได้แก่

  • เทคโนโลยีขั้นสูง : เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเฉพาะทาง โดย Ulthera ใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ที่มีความเฉพาะเจาะจงและขั้นสูง เพื่อยกกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
  • เทคนิค SPT : อาจรู้จักกันในชื่อ Ulthera SPT หรือ New Ulthera เป็นเทคนิคที่มีการอัปเกรดใหม่ล่าสุด สามารถออกแบบการรักษาให้มีความเหมาะสมของแต่ละเฉพาะบุคคล (Customized Ultherapy) 

โดยแพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวได้จากหน้าจอแสดงผลแบบ Real-Time ด้วยเทคโนโลยี MFU-V จึงช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ เลี่ยงจุดที่จะทำให้รู้สึกเจ็บ และลดโอกาสยิงพลังงานพลาดไปยังกล้ามเนื้อ หรือกระดูก

หน้าจอแสดงผลแบบ Real Time

  • ประสบการณ์และความชำนาญ : แพทย์ผู้ให้บริการ Ulthera ต้องได้รับการฝึกอบรมเฉพาะด้านและมีความชำนาญ เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • มีความปลอดภัยสูง : เป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (US FDA) และองค์การอาหารและยาจากประเทศไทย (อย.)

ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้ Ulthera มีราคาที่สูง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ได้ ถือว่าคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับผิวที่มีประสิทธิภาพและยาวนาน


Ulthera ราคาถูก ราคาแพง ต่างกันอย่างไร ?

Ulthera ราคาถูก ราคาแพง ต่างกันอย่างไร

จากเหตุผลที่กล่าวไปก่อนหน้าในเรื่องของเทคโนโลยีการยกกระชับขั้นสูง ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ Ulthera มีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ถึงอย่างนั้น Ulthera ก็ยังเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงทำให้มีเครื่องปลอม เครื่องลอกเลียนแบบเกิดขึ้นอย่างมากมาย รวมไปถึงมีการตั้งราคาที่ถูกเพื่อล่อตาล่อใจให้คนทำ

ดังนั้น Ulthera ราคาถูก หรือราคาแพงอาจบ่งบอกได้ถึงคุณภาพเครื่องที่ใช้ หรือประสบการณ์ของผู้ให้บริการ โดยราคาเครื่องอัลเทอร่าตามคลินิกที่ได้มาตรฐานและใช้เครื่องแท้จะไม่ต่างกันมากนัก เนื่องจากต้นทุนของเครื่อง Ulthera ที่นำเข้ามาอย่างถูกต้องมีราคาค่อนข้างสูงครับ 

การตั้งโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจที่มีราคาถูกมากเกินไปจึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างยาก อาจเสี่ยงเจอกับเครื่องปลอมหรือเครื่องที่ไม่มีคุณภาพ ทางที่ดีควรตรวจสอบคลินิกที่ใช้บริการให้มั่นใจว่าใช้ของแท้หรือไม่

โดยที่เห็นตามข่าวว่า ทำ Ulthera แล้วผิวไหม้ หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการใช้เครื่องปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน มีการส่งพลังงานที่ไม่เสถียร ใช้พลังงานสูงมากเกินไปจนทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้นนั่นเอง


Ulthera ราคาไม่จำกัดไลน์ อันตรายไหม ?

Ulthera ราคาไม่จำกัดไลน์ Ulthera โปรบุฟเฟ่ต์ หรือทำ Ulthera ราคาไม่ถึงหมื่น มีความเสี่ยงสูงที่จะเจอกับเครื่องปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำแล้วอาจจะไม่เห็นผลหรือเกิดอันตรายได้ 

โดยการตัดสินใจทำ Ulthera ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่เห็นแก่ราคาถูก แต่ควรคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยครับ


เช็กก่อนทำ เครื่อง Ulthera ของแท้ดูอย่างไร ?

ไม่ว่าคลินิกแห่งนั้นจะมีราคา Ulthera เท่าไหร่ การตรวจสอบคลินิกที่ใช้บริการและเช็กเครื่อง Ulthera แท้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเพื่อความปลอดภัย โดยการตรวจสอบคลินิกที่ใช้เครื่อง Ulthera แท้มีขั้นตอนที่ไม่ยาก ดังนี้ 

  • เครื่อง Ulthera ของแท้ต้องผ่านการรับรองจาก US FDA และนำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetic Thailand เท่านั้น โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ได้ที่เว็บไซต์ https://www.merzclubthailand.com/

ตรวจสอบรายชื่อคลินิกใช้เครื่อง Ulthera ของแท้

  • ก่อนทำสามารถสแกนสติกเกอร์ Merz Check ที่หน้าจอเครื่อง Ulthera เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเครื่องแท้หรือไม่
  • สังเกตคลินิกที่ใช้บริการต้องมีโล่เพชร และใบประกาศนียบัตรรับรองใช้เครื่อง Ulthera ของแท้จากบริษัท Merz Aesthetics และหลังเข้ารับบริการต้องได้รับใบ Certificate จากทางคลินิกว่าได้รับการรักษาโดยเครื่อง Ulthera ของแท้แน่นอน

ทำ Ulthera ราคาคุ้มค่า เห็นผลชัดเจน ที่ไหนดี ?

ทำ Ulthera ที่ไหนดี

การเลือกคลินิกสำหรับทำ Ulthera ควรพิจารณาให้รอบคอบ โดยไม่ควรมองเพียงราคาเท่านั้น แต่ควรคำนึงถึงประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำการรักษา ความน่าเชื่อถือของคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ให้บริการด้วยดังนี้

  • ประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำการรักษา

เลือกคลินิกที่มีแพทย์ที่ได้รับการเทรนนิง มีประสบการณ์และความชำนาญในการใช้เครื่อง Ulthera ที่สำคัญควรเป็นแพทย์ที่สามารถประเมินปัญหา จำนวนไลน์ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล เพราะถ้าหากใช้จำนวนไลน์ที่ไม่เหมาะสม ใช้มากเกินไปอาจทำให้หน้าบวมและระบมมากผิดปกติ หรือเสี่ยงผิวไหม้ ถ้าใช้น้อยเกินไปก็จะทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ หรือผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร

  • ใช้เครื่อง Ulthera ของแท้

เลือกคลินิกที่มีเครื่องมือ Ulthera ของแท้ นำเข้าอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบได้

  • รีวิวและความพึงพอใจของลูกค้า

ดูรีวิวหรือความคิดเห็นจากผู้ที่เคยรับการรักษาด้วยเครื่อง Ulthera ที่คลินิกแห่งนั้นจากหลาย ๆ แหล่ง แนะนำว่าควรอ่านรีวิวจากแหล่งที่เป็นกลางโดยที่คลินิกไม่สามารถลบได้ เช่น เว็บไซต์รีวิวที่น่าเชื่อถือ, wongnai, รีวิวใน Google map เป็นต้น

  • ความน่าเชื่อถือและสภาพแวดล้อมของคลินิก

เลือกคลินิกที่เปิดให้บริการอย่างถูกกฎหมาย มีใบอนุญาตจัดตั้งสถานพยาบาล 11 หลักที่ได้รับจากกระทรวงสาธารณสุขติดแสดงไว้ที่หน้าคลินิกอย่างชัดเจน และควรตั้งอยู่ในที่ ๆ มีสภาพแวดล้อมที่ดี สะอาด ปลอดภัย เดินทางสะดวก

  • ราคาที่โปร่งใส

ควรเลือกคลินิกที่ให้รายละเอียดราคาและโปรโมชันอย่างชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายที่ซ่อนเร้น และไม่มีการยัดเยียดขายคอร์สที่ทำให้น่าอึดอัดใจ

  • การบริการและการดูแลหลังการรักษา

คลินิกที่มีนัดติดตามผลหลังทำ ให้คำแนะนำหลังการรักษาอย่างดี มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกโดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ เช่น Messegger หรือ Line@  เมื่อมีคำถามหรือข้อสงสัยสามารถสอบถามแพทย์เจ้าของเคสได้โดยตรง


สรุป Ulthera ราคา

Ulthera ราคาแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ระดับปัญหา จำนวนไลน์ที่ใช้ บริเวณที่ต้องการรักษา  โดยส่วนมากราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 2X,XXX บาทขึ้นไป ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยตามโปรโมชันของแต่ละคลินิก

การเลือกทำ Ulthera นอกจากพิจารณาถึงความคุ้มค่าของผลลัพธ์และราคา แต่ยังควรคำนึงถึงความปลอดภัย ก่อนทำควรศึกษาข้อมูล เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ ให้บริการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการใช้เครื่อง และที่สำคัญเครื่อง Ulthera ที่ใช้ควรเป็นเครื่องแท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง

sculptra ตัวช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายใน! แตกต่างจากการกระตุ้นคอลลาเจนวิธีอื่นอย่างไร ?

0
sculptra(1)

sculptra(1)

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายของเราจะมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยครับ ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา เช่น ผิวหย่อนคล้อย ผิวแห้งกร้าน และผิวเกิดริ้วรอยได้ง่าย สำหรับใครที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายใน ขอแนะนำ sculptra นวัตกรรมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวให้เพิ่มขึ้นถึง 66.5% 

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ sculptra ให้มากขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็น sculptra คืออะไร ? มีกระบวนการทำงานอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? และมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ? พร้อมเปรียบเทียบ sculptra กับตัวช่วยงานผิวอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว, Rejuran, Hifu / Ulthera,  Thermage, Exosome และ Gouri 


sculptra คืออะไร ? 

sculptra

sculptra คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติตัวแรกของโลก (The First & Original Collagen Biostimulator) โดยใช้อนุภาคของสาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ฉีดเข้าผิวชั้น Subcutaneous ครับ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก และปรับให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น ผิวจึงมีความกระชับ อิ่มฟู และยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น

โดย sculptra จะใช้อนุภาค PLLA-SCA ซึ่งผ่านกระบวนการผลิต ที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของบริษัทกัลเดอร์มา รวมถึงยังได้รับการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาในประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) อีกด้วย


sculptra มีกระบวนการทำงานอย่างไร ? 

  • sculptra จะมาในรูปแบบ sculptra power อยู่ในก้นขวดครับ ก่อนการฉีดจำเป็นต้องผสมกับน้ำกลั่นปราศจากเชื้อ (Sterile Water) ก่อน เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวชั้นลึก โมเลกุลของน้ำจะเข้าไปเติมเต็มผิวในจุดนั้น ๆ ทำให้ผิวหนังดูอิ่มฟูขึ้นทันที
  • หลังจากในช่วง 2-3 วันแรก บางรายอาจสังเกตเห็นร่องริ้วรอยกลับมาบนใบหน้าได้ เนื่องจากร่างกายได้ดูดซึมน้ำ จนเหลือแต่ผลึกของสาร PLLA หรือผลึกของ sculptra ในจุดที่ฉีดเท่านั้นครับ
  • ผลึกของ sculptra ที่เหลืออยู่ในผิวชั้นลึก จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้นผ่านระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการรวมตัวกันและเพิ่มจำนวนของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน เมื่อโครงสร้างชั้นผิวมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวจึงดูกระชับ และอิ่มฟูขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติครับ
  • เมื่อ sculptra สลายจนหมดแล้ว เส้นใยคอลลาเจนที่สร้างขึ้นยังคงอยู่ จึงช่วยพยุงโครงสร้างผิวในระยะยาว และคงผลลัพธ์หลังฉีด sculptra ให้อยู่ได้นานถึง 2 ปี

คอลลาเจน สำคัญอย่างไร ? ทำไมต้องฉีด sculptra ?

ทำไมต้องฉีด-sculptra-scaled

คอลลาเจน คือ โปรตีนสายยาว ที่มีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกายครับ เพราะเป็นโครงสร้างหลักในเนื้อเยื่อของมนุษย์ เช่น ผิวหนัง เส้นเอ็น และหลอดเลือด มีคุณสมบัติทำให้เนื้อเยื่อยืดหยุ่น แข็งแรง และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนเพิ่มขึ้น แต่ผลิตได้ลดลงครับ ส่งผลให้บริเวณผิวหนังที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบถึง 75% เริ่มหย่อนคล้อย แห้งกร้าน และไม่กระชับเท่าเดิม

ดังนั้น การฉีด sculptra ในผิวชั้นลึก ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นถึง 66.5% จึงช่วยทดแทนและฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น และปรับผิวให้ดูอ่อนเยาว์


sculptra เหมาะกับใครบ้าง ?

sculptra เหมาะกับใครบ้าง

  • เหมาะกับผู้ที่อายุมากกว่า 25 ปี เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนเพิ่มขึ้น และอัตราการสร้างจะลดลงครับ ทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา เช่น ผิวหย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยได้ง่าย โดยทั่วไปหลังอายุ 25 ปี อัตราการสูญเสียคอลลาเจนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% ต่อปี และอายุ 30 ปีขึ้นไป การสร้างคอลลาเจนจะลดเหลือเพียง 20-30%
  • เหมาะกับผู้ที่ผิวขาดความยืดหยุ่น ผิวไม่กระชับ หรือผิวหย่อนคล้อย การฉีด sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความแน่น ดูอิ่มฟู และกระชับมากขึ้นได้ รวมถึงช่วยปรับให้ผิวดูอ่อนเยาว์ลง
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็บกรอบหน้า เมื่อผิวหย่อนคล้อยจะทำให้รูปทรงของใบหน้าเปลี่ยนไป เช่น ใบหน้าบานออก หรือมีเหลี่ยมมุมมากกว่าเดิม การฉีด sculptra จะทำให้ผิวเต่งตึง ผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้าจึงยกขึ้นครับ และปรับให้ใบหน้ากลับมาเรียวได้รูปวีเชฟ
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย เมื่ออายุเพิ่มขึ้น บางรายสามารถสังเกตเห็นริ้วรอยต่าง ๆ แม้ไม่ได้แสดงสีหน้า เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือร่องน้ำหมาก การฉีด sculptra จะปรับให้ผิวกระชับ ผิวแน่นขึ้น และริ้วรอยเหล่านี้จะดูจางลงครับ
  • เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยดูแลผิว หรือผิวที่ขาดการบำรุงเป็นเวลานาน sculptra จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้มากถึง 66.5% และช่วยฟื้นฟูผิวจากโครงสร้างภายใน
  • เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาเข้าคลินิกบ่อย ๆ ผลลัพธ์ของ sculptra สามารถอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี แตกต่างจากสกินบูสเตอร์ตัวอื่น ๆ ที่มักมีอายุอยู่ได้ไม่ถึง 1 ปี

เปรียบเทียบ sculptra กับนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนวิธีอื่น

ในปัจจุบันมีหลายหัตถการ และเทคโนโลยี ที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ครับ ซึ่งจะมีหลักการทำงาน และให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยเนื้อหาในส่วนนี้จะเปรียบเทียบ sculptra กับนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนยอดนิยม เช่น ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว, Rejuran, Hifu / Ulthera, Thermage, Exosome และ Gouri ว่าแตกต่างกันอย่างไร ?

sculptra vs ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว

sculptra-แตกต่างจากฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว-อย่างไร-scaled

  • sculptra จะใช้สาร PLLA เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนด้วยกระบวนการธรรมชาติ และฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน ผิวจึงมีความยืดหยุ่น และเรียบเนียน ริ้วรอยจึงดูจางลงครับ ทั้งนี้จะไม่ใช่การเน้นเติมปริมาตรเพียงอย่างเดียว 

นอกจากนี้ sculptra จะเริ่มเห็นผลหลังจากการฉีดไปแล้ว 3 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานถึง 25 เดือน

  • ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว เช่น Belotero Revive, Juvederm Volite และ Restylane Vital Light จะใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิดแบบเชื่อมพันธะ (Cross-linked HA) ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก และเนื้อละเอียด เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิว จะช่วยเติมร่องริ้วรอยให้ตื้นขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น และปรับให้ผิวฉ่ำวาวได้ 

โดยฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด แต่ระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ซึ่งมีอายุเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือนครับ

sculptra vs Gouri

sculptra แตกต่างจาก Gouri อย่างไร

  • sculptra อนุภาค PLLA จะมาในรูปแบบของแข็งครับ จำเป็นต้องผสมน้ำกลั่นปราศจากเชื้อก่อนถึงจะนำมาฉีดได้ โดยใน 1 ขวด สามารถฉีดได้ถึง 10 CC และผลลัพธ์ของการฉีด sculptra สามารถอยู่ได้ 2 ปี
  • Gouri เป็น Collagen Biostimulator เช่นเดียวกันครับ แต่จะใช้สาร PCL ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับไหมละลาย ที่ใช้ร้อยไหมยกกระชับใบหน้า โดย Gouri จะมาในรูปแบบของเหลว สามารถฉีดเข้าสู่ชั้นผิวได้เลย แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

sculptra vs Rejuran

sculptra แตกต่างจาก Rejuran อย่างไร

  • sculptra สาร PLLA ของ sculptra จะสกัดมาจากพืชครับ ทำให้มีโอกาสแพ้น้อย การฉีด sculptra จะเน้นในเรื่องกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับให้ผิวกระชับ อิ่มฟู และลดเลือนริ้วรอยร่องลึก
  • Rejuran สารประเภท Polynucleotide (PN) จากพันธุกรรมปลาแซลมอน ซึ่งมีลำดับเบสใกล้เคียงกับ DNA มนุษย์ครับ นิยมใช้เพื่อกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และฟื้นฟูเซลล์เดิมที่ถูกทำลาย รวมถึงเสริมเกราะป้องกันให้ผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการงานผิวกระจก ที่รูขุมขนดูเล็กลง ผิวดูกระจ่างใส และฉ่ำวาว

sculptra vs Exosome

sculptra แตกต่างจาก Exosome อย่างไร

  • sculptra การฉีด sculptra จะฉีดที่ผิวชั้นลึก เพื่อฟื้นฟู และปรับให้ผิวมีความแข็งแรงจากภายในครับ เมื่อโครงสร้างของผิวมีคอลลาเจนมากขึ้น ก็จะทำให้ผิวแน่น กระชับ และดูอิ่มฟูขึ้น
  • Exosome คือ นวัตกรรมฟื้นฟูผิวที่ประกอบไปด้วยสารชีวโมเลกุลที่สำคัญต่อผิวกว่า 1,000 ชนิด เช่น Growth Factor, Peptides, Amino Acids, Coenzymes และ Hyaluronic Acids เป็นหัตถการที่เน้นกระตุ้นและซ่อมแซมผิวชั้นบน ปรับผิวให้เนียนใส และช่วยลดเลือนรอยดำได้

sculptra vs Hifu / Ulthera

sculptra-แตกต่างจาก-Ulthera-อย่างไร-scaled

  • sculptra การฉีดสาร PLLA เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์สร้างคอลลาเจนใหม่ และฟื้นฟูโครงสร้างของผิว จึงมีจุดเด่นอยู่ที่ช่วยเรื่องคุณภาพผิว และปรับให้ผิวมีความกระชับมากขึ้นครับ ทั้งนี้หลังการฉีด sculptra จะมีรอยเข็มในจุดที่ฉีด แต่ก็สามารถหายได้เองครับ
  • Hifu / Ulthera เป็นนวัตกรรมที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ในการยกกระชับ และกระตุ้นคอลลาเจนครับ โดยสามารถส่งพลังงานได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS มีจุดเด่นในเรื่องการยกกระชับ และแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยเป็นหลัก นิยมใช้กับทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย ทั้งนี้การทำ Hifu หรือ Ulthera จะไม่ก่อให้เกิดบาดแผลที่ผิวชั้นนอกครับ

sculptra vs Thermage

sculptra แตกต่างจาก Thermage อย่างไร

  • sculptra เป็นหัตถการที่ใช้เข็มฉีดสาร PLLA ลงไปในผิวชั้นลึก จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ผิวจึงแน่นกระชับ ริ้วรอยจางลง แต่การฉีด sculptra จะไม่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในชั้นผิว
  • Thermage ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ที่จะปล่อยพลังงานตั้งแต่ผิวหนังชั้นบนจนถึงชั้นไขมัน โดยไม่ก่อให้เกิดบาดแผลภายนอก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะแยกโมเลกุลของน้ำออกจากเส้นใยคอลลาเจนครับ ทำให้คอลลาเจนหดตัว ผิวจึงแน่นกระชับขึ้น แต่เครื่อง Thermage จะเด่นเรื่องลดไขมันส่วนเกิน และเพิ่มคุณภาพผิว ปรับให้ริ้วรอยจางลง และรูขุมขนเล็กลง

หลาย ๆ คนจะเห็นว่า แต่ละนวัตกรรมที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันครับ สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับวิธีใด แนะนำให้ประเมินสภาพผิว และปัญหาบนใบหน้า กับแพทย์ที่มากประสบการณ์ ซึ่งจะให้คำแนะนำ และเลือกหัตถการที่ตอบโจทย์กับความต้องการของแต่ละคนได้ครับ


ขั้นตอนการฉีด sculptra

ขั้นตอนการฉีด-sculptra-scaled

  • พบแพทย์ที่มากประสบการณ์ จะช่วยประเมินปัญหาและสภาพผิว ว่าเหมาะสมกับการฉีด sculptra หรือไม่ รวมถึงควรแจ้งข้อมูลสุขภาพของตัวเองให้ครบถ้วน เช่น โรคและยาประจำตัว ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร และประวัติการทำหัตถการอื่น ๆ
  • เตรียมผิวบริเวณที่ทำหัตถการ จะทำความสะอาดผิว และแปะยาชาประมาณ 30-40 นาที 
  • เตรียม sculptra ให้อยู่ในรูป Active Form ตัวยาจะมาในรูปแบบ sculptra powder ที่เป็นของแข็ง จำเป็นต้องผสมน้ำกลั่นปราศจากเชื้อ (Sterile Water) ก่อน ถึงจะนำมาฉีดในจุดต่าง ๆ ได้ โดย sculptra 1 ขวดสามารถฉีดได้ 10 CC
  • ฉีด sculptra แพทย์ใช้เข็มที่มีขนาดเล็ก ฉีดตัวยาที่ผสมเรียบร้อยแล้วลงในผิวชั้นลึก จะนิยมฉีดบริเวณขมับ หน้าแก้ม หรือกรอบหน้า โดยอาจมีความรู้สึกเล็กน้อยในระหว่างเดินยา แต่จะไม่เจ็บครับ
  • นวดหน้าหลังฉีด sculptra เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ตัวยากระจายตัวได้ทั่วถึง และกระตุ้นคอลลาเจนในบริเวณที่ต้องการได้อย่างเต็มที่

สรุป

sculptra เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึก ซึ่งจะช่วยปรับและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวมีความกระชับ อิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์ลง เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าคลินิกความงาม หรือผิวที่ขาดการบำรุงมาอย่างยาวนาน เพราะ sculptra สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้นถึง 66.5% และคงผลลัพธ์ได้นาน 2 ปี

สำหรับใครที่ต้องการฉีด sculptra ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ และศึกษาวิธีการเช็ก sculptra ของแท้ร่วมด้วย

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? เจ็บไหม ? อยู่ได้นานแค่ไหน ?

0
ฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการใช้สารเติมเต็มเพื่อลดริ้วรอย เติมร่องลึก ปรับรูปหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างรวดเร็ว เห็นผลได้ภายในไม่กี่วัน โดยไม่ต้องผ่าตัด 

แต่ฟิลเลอร์คืออะไรกันแน่ ? ช่วยอะไร ? เหมาะกับใครบ้าง ? เจ็บไหม ? ฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน ? ในบทความนี้ มีข้อมูลและคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ เพื่อให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์มากขึ้นก่อนตัดสินใจทำค่ะ


ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ? 

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร

ฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีการแก้ไขริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า โดยใช้สารเติมเต็มประเภท ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง 

ซึ่ง ไฮยาลูโรนิค แอซิด เป็นสารที่สร้างขึ้นเลียนแบบสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ

คุณสมบัติของไฮยาลูโรนิค แอซิด 

✔ อุ้มน้ำได้ดี: มากกว่าน้ำถึง 1,000 เท่า ช่วยให้ผิวเก็บกักความชุ่มชื้น ดูอิ่มฟู และเรียบเนียน

✔ อ่อนโยนต่อผิว: ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

✔ สลายตัวตามธรรมชาติ: ภายใน 1-2 ปี ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย


ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ 

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  • หลังฉีดฟิลเลอร์เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น
  • ให้ผลลัพธ์สวย เป็นธรรมชาติ กว่าการเติมเต็มด้วยวิธีอื่น ๆ
  • ปลอดภัยผ่านการรับรองจาก อย.
  • เหมาะกับบริเวณใบหน้าที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม คาง 
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีรอยแผลเป็น
  • ไม่มีความเสี่ยงในการวางยาสลบ
  • สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดใหม่และปรับแต่งได้เรื่อย ๆ 
  • หากเกิดข้อผิดพลาดก็แก้ไขได้ง่าย เพียงฉีดสลายฟิลเลอร์

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ 

  • อาจเกิดผลข้างเคียง บวม แดง ช้ำ จากรอยเข็ม
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-24 เดือน ไม่ถาวร
  • ไม่เหมาะกับทุกคน เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือ ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง 

ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรได้บ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ไขและปรับปรุงใบหน้าของเราได้ในหลายด้าน โดยประโยชน์ของฟิลเลอร์ มีดังนี้

ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรได้บ้าง _

✔ ช่วยลดริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึก: ฟิลเลอร์มีความสามารถในการลดริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า เช่น รอยย่นรอบดวงตา ร่องแก้ม และริ้วรอยบริเวณหน้าผาก

✔ ช่วยปรับรูปหน้า: สามารถปรับรูปหน้าในบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าได้ เช่น การเติมแก้มให้ดูอิ่มเอิบ การปรับรูปทรงของคาง หรือเติมเต็มปากให้ดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น

✔ ช่วยปรับสมดุลของใบหน้า: ช่วยปรับสมดุลและสัดส่วนบนใบหน้า เช่น การปรับความสมดุลระหว่างแก้มหรือบริเวณคาง

✔ ช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพดี: ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดี อิ่มน้ำ และดูสดใสมากขึ้น

✔ ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย: สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่ผิวเริ่มสูญเสียความยิดหยุ่น


ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ใช่หัตถการที่อันตราย และมีความเสี่ยงน้อย หากทำโดยแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูง ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน  และใช้ฟิลเลอร์แท้

หลังฉีดฟิลเลอร์ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น มีเพียงอาการบวมจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปในช่วงแรก หรือเป็นรอยจากเข็ม ซึ่งมักจะหายไปได้เองภายใน 3-7 วัน 

ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก เช่น เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์อุดตันหลอดเลือด เนื้อตาย ตาบอด เป็นผลมาจากการฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์เถื่อน หมอปลอม หมอกระเป๋า ที่ไม่มีประสบการณ์ ทำในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน และใช้ฟิลเลอร์ปลอม 


ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร ?

ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร

ฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น

  • มีถุงใต้ตา ขอบตาคล้ำ ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส
  • มีร่องแก้มลึก ริ้วรอยร่องแก้ม ใบหน้าดูโทรม แก่กว่าวัย
  • ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน เช่น คางสั้น หน้าผากแบน ขมับตอบ แก้มตอบ
  • มีริ้วรอย ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
  • มีริมฝีปากบาง ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก
  • ต้องการปรับโหวงเฮ้งใบหน้า

โดยผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ควรมีอายุ 20 ปีขึ้นไป และควรปรึกษาแพทย์ประสบการณ์สูงก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง

ข้อควรระวังก่อนฉีดฟิลเลอร์

  • หากบริเวณผิวที่ฉีดมีการอักเสบติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อน
  • ผู้ที่อยู่ในภาวะ เลือดไหลไม่หยุด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
  • ควรมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง 
  • ผู้ที่แพ้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด หรือสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา หรือรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด

7 ตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์ เติมร่องลึก ปรับรูปหน้า 

จุดฉีดฟิลเลอร์ที่นิยมทำกัน 7 จุดหลัก ๆ ส่วนใหญ่ คือ

7 จุดฉีดฟิลเลอร์ เติมร่องลึก ปรับรูปหน้า

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา 

นิยมใช้ฉีดเพื่อแก้ปัญหาใต้ตาลึก ถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำ หรือริ้วรอยใต้ตา ที่เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น อายุที่มากขึ้น มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี พันธุกรรม ไปจนถึงโรคประจำตัว อย่างเช่น ภูมิแพ้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น และทำให้ใบหน้าดูสดใสและมีชีวิตชีวา

  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม 

การมีร่องแก้มเป็นหนึ่งในสัญญาณของวัย เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังจะเสื่อมสภาพ หย่อนคล้อยลง ทำให้ร่องแก้มลึกและชัดขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า เศร้าหมอง และดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเต็มและอ่อนเยาว์ขึ้น

  • ฟิลเลอร์คาง 

ปัญหาคาง ไม่ว่าจะเป็นคางสั้น คางถอย คางบุ๋ม คางเบี้ยว ล้วนส่งผลต่อใบหน้าในหลาย ๆ ด้าน ทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล ดูกลม ดูแบน ไม่มีมิติ อีกทั้งยังทำให้มีโหงวเฮ้งที่ไม่ดี การฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวยาว สมส่วน และเสริมโหงวเฮ้งคางให้ดีขึ้น 

  • ฟิลเลอร์ขมับ 

ปัญหาขมับ ไม่ว่าจะเป็นขมับยุบ ขมับตอบ ขมับลึก จะทำให้โหนกแก้มสูง ดูเด่น ส่งผลให้ใบหน้าดูตอบดูแข็ง ไม่อ่อนหวาน และดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมเต็มขมับให้เต็มขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใส

  • ฟิลเลอร์ปาก

ปากที่บาง แห้ง ลอก เป็นขุย และมีรอยเหี่ยวย่น จะทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส อ่อนเพลีย ทำให้รอยยิ้มดูไม่สวย ทาลิปสติกแล้วตกร่อง ดูขาดเสน่ห์ การฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้อวบอิ่มและเซ็กซี่ ปรับแต่งรูปทรงปากให้ได้รูปสวย และแก้ปัญหาปากบาง ให้กลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียน 

  • ฟิลเลอร์แก้มส้ม

เมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างใบหน้าจะเปลี่ยนแปลงไป กระดูกและไขมันใต้ผิวหนังยุบตัวลง ทำให้ใบหน้าดูแบน หย่อนคล้อย และไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มจะช่วยเติมเต็มบริเวณแก้มให้เต็มอิ่มขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติ อ่อนเยาว์ และสดใสขึ้น

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก 

ปัญหาหน้าผากแคบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม จะทำให้ใบหน้าขาดมิติ ดูไม่สมดุล อีกทั้งในด้านโหงวเฮ้งยังส่งผลต่อสติปัญญา การงาน วาสนา การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ มีโหงวเฮ้ง และสวยงามขึ้น


ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ 

ยี่ห้อฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นและข้อดีแตกต่างกันไป แพทย์จะเป็นผู้แนะนำยี่ห้อ/รุ่น และปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการที่มีของแต่ละบุคคล

8 ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย 

  • Restylane : เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลกที่ผลิตจากประเทศสวีเดน ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต มีหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาผิวหลากหลายบริเวณ ฉีดแล้วให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ 

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane

    • Restylane Perlane lyft มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ไม่ฟู มีความคงตัวสูง คงรูปได้ดี
    • Restylane Vital Light มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เนื้อเจลอนุภาคเล็ก มีความละเอียดที่สุด
    • Restylane Vital มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ให้ผลลัพธ์เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ
    • Restylane Volyme มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ใช้เติมเต็มผิวส่วนที่โหลลึกหรือตอบให้อิ่มฟูขึ้น
    • Restylane Defyne มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความนิ่มปานกลางและยืดหยุ่นสูง ใช้ฉีดแทนกระดูกที่ยุบตัวในผิวชั้นลึก
    • Restylane Refyne มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่น ใช้เติมริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากการยิ้ม
    • Restylane Classic มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น เจลอนุภาคใหญ่ ใช้แก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลาง-มาก
    • Restylane Kysse มีคุณสมบัติเป็นเนื้อละเอียด มีความคงตัวสูง ออกแบบมาสำหรับเติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ
  • Juvederm : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต และผลิตโดยบริษัท Allergan (บริษัทเดียวกับโบท็อกยี่ห้อ Allergan) มีให้เลือกใช้หลายรุ่น ฉีดได้หลายบริเวณ อุ้มน้ำได้ดี ยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขยับของผิวหน้า

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm

    • Juvederm Ultra Plus XC มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความฟูมาก
    • Juvederm Voluma มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง
    • Juvederm Volbella มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม โมเลกุลมีความละเอียดมากที่สุด
    • Juvederm Volift มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม โมเลกุลมีความละเอียดมากกว่ารุ่น ultra plus เหมาะกับคนที่ผิวบาง
    • Juvederm Volite มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
    • Juvederm Volux มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง คงรูปได้ดีที่สุด ปั้นทรงได้สวย
  • Belotero: เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวและยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น มีส่วนผสมของยาชา มีให้เลือกหลายรุ่น 

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero

    • Belotero Intense  มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง ใช้แก้ปัญหาร่องลึกจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง
    • Belotero Volume มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง
    • Belotero Soft มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีโมเลกุลเล็ก
    • Belotero Revive มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้น บำรุงผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และลดริ้วรอยเล็ก ๆ
  • Definisse : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศอิตาลี มีเทคโนโลยี XTR™ Technology ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวและยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น ฉีดแล้วไม่บวมหรือบวมน้อย มีความบริสุทธิ์สูง ปราศจากสารเติมแต่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse

    • Definisse Restore มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความแข็งปานกลาง ใช้เติมริ้วรอยร่องลึก ริ้วรอยหย่อนคล้อยตามวัย
    • Definisse Core มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า
    • Definisse Touch มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เนียนละเอียด แต่ขึ้นรูปได้ดี
  • Flore : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศเกาหลีใต้ ราคาย่อมเยา มีโมเลกุลเล็ก ฉีดแล้วกระจายตัวได้ดี มีเทคโนโลยี Biphasic HA ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวและยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์ขึ้นรูปได้ดี ปั้นทรงง่าย ไม่ไหล ไม่เป็นก้อน

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore

    • Flore Max มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ
    • Flore AQUA-S มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น
  • Biohyalux : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศจีน ผลิตด้วยเทคโนโลยี BioBalanceTechnology ที่ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ในสถานะไอโซโทนิก ฉีดแล้วแทบไม่บวมน้ำหรือบวมเล็กน้อยหลังฉีด ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ มีส่วนผสมของยาชา 

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Biohyalux

    • Biohyalux Derm lines มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่น ใช้เติมริ้วรอยร่องลึกระดับเล็ก-ปานกลาง
    • Biohyalux Deep dermis มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีโมเลกุลใหญ่ ใช้ฉีดเติมเต็มผิวชั้นลึก ฉีดยกกระชับ (Lifting) หน้า
  • Teoxane : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากสวิตเซอร์แลนด์ มีความคงตัวสูง เนื้อสัมผัสนุ่มนวล กระจายตัวได้ดี ไม่เป็นก้อน มีให้เลือกหลายรุ่น แต่ละรุ่นมีความเหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีดที่แตกต่างกัน

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane 

    • TEOXANE RHA 2 มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ยืดหยุ่น ทนต่อแรงขยับได้ดี
    • TEOXANE Ultra Deep มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ปั้นทรงง่าย มีความคงตัวสูง ใช้ปรับโครงสร้างใบหน้าได้ดี
  • Neuramis : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศเกาหลีใต้ มีราคาไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ มีเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย สามารถเลือกได้ตามความต้องการ 

รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis

    • Neuramis Volume มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น กลืนกับผิวได้ดี มีความยืดหยุ่น คงตัว ขึ้นทรงได้สวย
    • Neuramis Deep มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์แนื้อแน่น ใช้เติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ขมับ แก้มตอบ ร่องแก้ม แก้ม คาง ปาก หน้าผาก ใต้ตา

ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

  1. ปรึกษากับแพทย์: เพื่อวิเคราะห์ปัญหา สภาพผิว จำนวน CC ที่จะใช้ รวมถึงซักประวัติเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่เคยกิน รวมถึงหัตถการที่เคยทำมาก่อน เพื่อวางแผนการฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล 
  2. ทำความสะอาด: เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  3. ฉีดฟิลเลอร์: แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์ตามจุดที่ได้ตกลงไว้ โดยใช้เทคนิคที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัย
  4. ดูแลตัวเองหลังการฉีด: เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีด การงดการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือการหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
  5. ติดตามหลังการฉีด: หลังการฉีดฟิลเลอร์ อาจมีการนัดติดตามเพื่อดูผลลัพธ์และตรวจสอบหากมีอาการผิดปกติ

ฉีดฟิลเลอร์ เจ็บไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์ไม่เจ็บมากค่ะ เพราะแพทย์จะมีการแปะยาชา หรือ ฉีดยาชาบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ก่อน เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บ 

ทั้งนี้ ระดับความเจ็บในการฉีดฟิลเลอร์แต่ละบุคคลอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ

  • ยี่ห้อของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ผสมอยู่ด้วย
  • บริเวณที่ฉีด: บริเวณที่มีเส้นประสาทเยอะ อาจจะมีความรู้สึกเจ็บมากกว่า
  • ความไวต่อความเจ็บของแต่ละบุคคล

ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนเจ็บที่สุด ?

จุดที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วเจ็บสุด คือ บริเวณที่มีเส้นเลือดเยอะ เช่น บริเวณใต้ตา ขมับ ริมฝีปาก บริเวณเหล่านี้มีเส้นเลือดที่ใกล้กับผิวหนังมากกว่าบริเวณอื่น ๆ จึงทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าได้

หากใครกลัวว่าฉีดฟิลเลอร์แล้วจะเจ็บมาก สามารถปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดได้ แพทย์อาจใช้ยาชาที่แรงขึ้น หรือฉีดยาชาในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อช่วยลดอาการเจ็บ


ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเห็นผล ?

การฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลทันทีหลังฉีด แต่อาจมีอาการบวมหรือระคายเคืองบริเวณที่ฉีดได้ อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปภายใน 3-7 วัน และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเข้าที่ใน 2 สัปดาห์หลังฉีด


ฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน ? 

ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์มีระยะเวลาที่ต่างกัน โดยทั่วไปจะอยู่ได้ระหว่าง 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ พื้นที่ที่ทำการฉีด และการดูแลรักษาผิวหลังการฉีด

ฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน

ฉีดฟิลเลอร์หลาย CC ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานจริงไหม ? 

ไม่จริงค่ะ การฉีดฟิลเลอร์จำนวนมากไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น เพราะอายุการคงทนของฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ จุดที่ฉีด วิธีการฉีดของแพทย์ และระดับการสลายตัวของฟิลเลอร์ในแต่ละคน 

นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ปริมาณหลาย CC ในครั้งเดียว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น บวม แดง ช้ำ ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ไม่ดี และเสี่ยงต่อการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนได้

ดังนั้น แพทย์ที่มีประสบการณ์สูง จะเป็นผู้พิจารณาปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น หรือค่อย ๆ ทยอยฉีดตามปัญหาและความต้องการของคนไข้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย


ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดควรใช้กี่ CC จึงจะเหมาะสม 

โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดแต่ละจุด มีดังนี้

ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดใช้กี่ CC

  • ร่องแก้ม ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-3 CC
  • ใต้ตา ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 2-4 CC 
  • คาง ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-2 CC 
  • ขมับ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 2-4 CC 
  • ริมฝีปาก ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-2 CC 
  • แก้มส้ม ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-2 CC
  • หน้าผาก ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 3-5 CC

ปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับการฉีดในแต่ละจุดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข ความพึงพอใจของแต่ละบุคคล ฯลฯ 

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ 

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์

  • หลังฉีดฟิลเลอร์จะมีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ เท่านั้น 
  • สามารถแต่งหน้าไปทำงานได้เลย ตามปกติ
  • เห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังฉีดฟิลเลอร์ภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติ 
  • สามารถกลับมาเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ 

หลังฉีดฟิลเลอร์ ดูแลตนเองอย่างไร ?

ด้านการปฎิบัติตัว หลังฉีดฟิลเลอร์

หลังฉีดฟิลเลอร์

  • ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยห้ฟิลเลอร์ฟูและอยู่ได้นานขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด
  • งดกิจกรรมหรือออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น การทำเลเซอร์ / RF 1 เดือน / ซาวน่า 48 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหลังฉีด 24 ชั่วโมง 

ด้านการรับประทานอาหาร หลังฉีดฟิลเลอร์

หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามกินอะไร

อาหารที่ควรงด หลังฉีดฟิลเลอร์ อาหารที่ทานได้ หลังฉีดฟิลเลอร์
❌ งดอาหารหมักดอง ช่วง 2 อาทิตย์แรกหลังทำ

❌ งดอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด โซเดียมสูง 

❌ งดอาหารร้อน พวกปิ้งย่าง ชาบู เนื่องจากส่งผลต่อการเข้าที่ของฟิลเลอร์

❌ งดอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อ / อักเสบได้ 

❌ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ช่วง 2 อาทิตย์แรกหลังทำ 

❌ งดอาหารหมักดอง ช่วง 2 อาทิตย์แรกหลังทำ

✅ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ วันละ 1.5 – 2 ลิตร 

✅ ทานผัก ผลไม้ ที่มีรสเปรี้ยว วิตามินซีสูง

✅ ทานอาหารที่มีโปรตีนสูง อย่างเช่น ไก่ ปลา ไข่ขาว ธัญพืช


เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ?

การเลือกสถานที่ในการฉีดฟิลเลอร์ควรพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ดังนี้

  1. เลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง: เลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความน่าเชื่อถือและได้มาตรฐาน
  2. เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์: ควรฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของใบหน้าเป็นอย่างดี
  3. เลือกคลินิกที่มีการให้คำปรึกษาก่อนการฉีดฟิลเลอร์: คลินิกที่ดีควรมีบริการให้คำปรึกษาก่อนการทำ เพื่ออธิบายข้อมูลและประเมินความต้องการของคนไข้
  4. เลือกจากรีวิวและผลงาน: ตรวจสอบรีวิวและผลงานของคลินิกหรือแพทย์ สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้บริการได้
  5. เลือกคลินิกที่มีสภาพแวดล้อมและความสะอาด: ภายในห้องหัตถการกว้างขวาง แยกเป็นสัดส่วน มีไฟสว่าง อากาศถ่ายเท และมีการจัดการขยะติดเชื้อที่เหมาะสม
  6. เลือกคลินิกที่มีการให้บริการติดตามผล: ควรเลือกคลินิกที่มีการติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์ พร้อมให้คำแนะนำหรือความช่วยเหลือหากเกิดปัญหา

อยากฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาการฉีดฟิลเลอร์ในประเทศไทย เริ่มต้นที่ประมาณ 6,xxx บาทขึ้นไป ต่อซีซี แต่ราคานี้อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละโปรโมชันของคลินิกแต่ละแห่ง ดังนั้น การสอบถามข้อมูลโดยตรงกับคลินิกหรือแพทย์ประสบการณ์สูงจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลราคาฉีดฟิลเลอร์ที่แน่นอนยิ่งขึ้นค่ะ

ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่

  • ยี่ห้อของฟิลเลอร์: ราคาของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ/รุ่นที่ใช้ จะมีความแตกต่างกันไป
  • ปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้: ราคาอาจขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ บางครั้งการฉีดหลายจุดหรือใช้ปริมาณมากอาจมีราคาที่สูงขึ้น
  • เทคนิคการฉีด: แน่นอนว่าฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายจุด ซึ่งแต่ละจุดจะมีความยากง่ายในการฉีดฟิลเลอร์แตกต่างกัน ในจุดที่ต้องใช้ความระมัดระวังและมีความละเอียดสูง แพทย์อาจต้องใช้เทคนิคพิเศษซึ่งอาจมีผลต่อราคาการฉีดฟิลเลอร์
  • ความชำนาญของแพทย์: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงหรือมีชื่อเสียงอาจมีราคาการฉีดฟิลเลอร์ที่สูงกว่า
  • ทำเลและคุณภาพของคลินิก: คลินิกที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีอาจมีราคาที่สูงขึ้น

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์

การดูรีวิวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ดีในการประเมินผลลัพธ์และความพึงพอใจหลังทำ โดยสามารถดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  • ค้นหาในเว็บไซต์: ที่มีรีวิวเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ หาข้อมูลจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ
  • ดูรีวิวจากโซเชียลมีเดีย: โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งที่ดีในการหารีวิว โดยเฉพาะ Instagram หรือ Facebook ที่ผู้ใช้บริการมักจะแชร์ประสบการณ์และภาพก่อน-หลังการฉีดฟิลเลอร์
  • ดูภาพก่อน-หลังการฉีด: เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จริง
  • อ่านรีวิวและความคิดเห็น: จากผู้ที่เคยใช้บริการ เพื่อประเมินความพึงพอใจและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
  • ดูวิดีโอรีวิว: ใน YouTube หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อให้เราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างชัดเจน
  • พิจารณาถึงแพทย์และคลินิก: ในการดูรีวิว ควรพิจารณาถึงแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์และคลินิกที่ให้บริการด้วย เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อผลลัพธ์ที่ได้

การใช้วิธีในการดูรีวิวต่าง ๆ ข้างต้น ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ จะช่วยให้มีความมั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่คาดหวังหลังฉีดฟิลเลอร์ และเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการได้ค่ะ


สรุป 

การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นวิธีการเสริมความงามที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่ควรเลือกฉีดกับแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูง ใช้ฟิลเลอร์แท้ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

สำหรับผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลและข้อควรระวังอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีดทุกครั้ง เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของตนเองมากที่สุด