Home Blog Page 6

ตะไบฮัมพ์คืออะไร ทำไมหลายคนจึงนิยมทำ เพื่อเสริมความงาม

0
ฮัมพ์จมูก

ฮัมพ์จมูก

เพราะความงามเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ โดยเฉพาะค่านิยมของคนไทยที่จมูกจะต้องโด่งเป็นสัน เรียบเนียน ทำให้ใครหลาย ๆ คนเริ่มไม่มั่นใจในตนเอง ด้วยปัญหาจมูกที่โหนกจมูกเด่นขึ้นสะดุด หรือที่เรียกว่า จมูกฮัมพ์ ซึ่งในปัจจุบัน วงการเสริมความงาม โดยเฉพาะการเสริมจมูกได้มีเทคนิคตะไบฮัมพ์ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะ เพื่อให้ทุกคนได้มีจมูกที่โด่งเป็นสัน เรียบเนียน ส่งผลให้ใบหน้าดูละมุนมากยิ่งขึ้น

ตะไบฮัมพ์จมูก คือ อะไร ?

ตะไบฮัมพ์คือ การทำศัลยกรรมหรือผ่าตัด เพื่อแก้ไขโหนกจมูก โดยโหนกจมูก คือ โหนกหรือกระดูก และกระดูกอ่อนส่วนเกินบนดั้งจมูกที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งมักจะทำให้จมูกดูใหญ่ ไม่เท่ากัน หรือไม่ได้สัดส่วน

โดยการตะไบจมูกคือกระบวนการเสริมความงามแบบหนึ่ง สำหรับการเสริมจมูก เพื่อปรับรูปร่างของจมูก ศัลยแพทย์จะทำการตัดหรือปรับรูปร่างของกระดูกและกระดูกอ่อนส่วนเกินออกจากดั้งจมูกอย่างระมัดระวัง เพื่อปรับโครงสร้างจมูกด้านล่างให้ได้รูปทรงที่สวยงามยิ่งขึ้น

ดังนั้น การตะไบฮัมพ์ หรือ ตะไบจมูกจึงถือว่าเป็นศัลยกรรมความงามประเภทหนึ่งที่มีความละเอียดอ่อน เพื่อปรับภาพรวมของใบหน้ามีความสมดุลและสวยงาม ดังนั้น จึงควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด

ฮัมพ์จมูกอยู่ตรงไหน

ตะไบฮัมพ์

จมูกฮัมพ์ หรือที่เรียกว่า โหนกจมูก จะตั้งอยู่บนดั้งจมูก มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนหรือกระดูกและกระดูกอ่อนส่วนเกินที่ยื่นออกมาจากดั้งจมูก ทำให้เห็นว่า จมูกไม่เรียบหรือนูนออกมา โดยฮัมพ์จมูกนี้ จะมีขนาด รูปร่าง และตำแหน่งที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเสริมจมูกหรือตะไบฮัมพ์

ลักษณะจมูกแบบไหนเหมาะกับการตะไบฮัมพ์จมูก

จมูกฮัมพ์

การตะไบฮัมพ์เหมาะสำหรับผู้ที่มีโหนกจมูกสูงและต้องการแก้ไข การทำหัตถการนี้มักทำกับบุคคลที่มีจมูกโด่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นโหนกนูนที่ดั้งจมูก ทำให้จมูกดูไม่เรียบเนียน แต่ทั้งนี้ ในการตะไบจมูกจะต้องปรึกษากับศัลยแพทย์ เพื่อประเมินปัจจัยต่าง ๆ คือ โครงสร้างจมูกโดยรวม และความหนาของผิวหนัง เพื่อพิจารณาว่าการตะไบฮัมพ์นั้น เหมาะสมหรือไม่

ทำไมถึงต้องตะไบฮัมพ์ ?

การทำศัลยกรรมตะไบฮัมพ์นั้น มีสาเหตุหลายประการ ขึ้นอยู่กับความกังวลของแต่ละคน โดยส่วนใหญ่แล้ว นิยมเข้ารับการรักษา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • เพื่อความสวยงามและความมั่นใจในตัวเอง เพราะจมูกฮัมพ์หรือโหนกจมูกที่สูง ส่งผลต่อภาพรวมของใบหน้า ทำให้จมูกดูใหญ่ ไม่สมดุล หรือไม่สมส่วนได้ การตะไบจมูกจะทำให้โครงจมูกดูนุ่มนวลขึ้นและใบหน้าดูสวยงามขึ้น
  • เพื่อความสมดุลให้กับจมูก ทำให้จมูกได้สัดส่วน ส่งผลให้ใบหน้ามีความละมุนและกลมกลืนมากยิ่งขึ้น
  • แก้ไขความผิดปกติของจมูก เช่น เยื่อบุโพรงจมูกคด กระดูกอ่อนไม่สมส่วน เป็นต้น การตะไบฮัมพ์ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้พร้อม ๆ กัน

การตะไบฮัมพ์จมูกมีขั้นตอนอะไรบ้าง

การตะไบฮัมพ์มีรายละเอียดขั้นตอนในระหว่างการผ่าตัดเสริมจมูก ดังนี้

  1. เข้าพบศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อทำการปรึกษาหารือ โดยชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมระบุความต้องการ โดยศัลยแพทย์จะทำการประเมินลักษณะโครงสร้างของจมูกและจมูกฮัมพ์ เพื่อแนะนำแนวทางรักษาที่ดีที่สุด
  2. เมื่อสรุปแนวทางรักษาเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำการนัดวันเพื่อผ่าตัดตะไบฮัมพ์ ทั้งนี้ ควรแจ้งประวัติการรักษา รวมถึงยาที่รับประทานเป็นประจำ
  3. ในวันผ่าตัด แพทย์จะให้ยาสลบ หรือยาชาเฉพาะที่พร้อมยาระงับประสาท ก่อนเริ่มตะไบฮัมพ์
  4. ศัลยแพทย์จะทำการตัดหรือปรับรูปร่างของกระดูกและกระดูกอ่อนส่วนเกินที่ประกอบกันเป็นโหนกอย่างระมัดระวัง โดยอาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การตะไบ หรือการจัดกระดูก (osteotomies) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่วางแผนไว้
  5. หลังจากตะไบฮัมพ์ ศัลยแพทย์จะจัดตำแหน่งเนื้อเยื่อของจมูกและผิวหนัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยในการผ่าตัดนี้ อาจจะมีการเสริมความงามอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การปรับแต่งปลายจมูก การปรับโครงสร้างจมูกให้สมดุล เป็นต้น
  6. ศัลยแพทย์จะเย็บแผล เพื่อปิดบาดแผลจากการผ่าตัด ซึ่งถ้าหากเลือกใช้ไหมละลายก็ไม่จำเป็นต้องดึงออก
  7. หลังจากที่ผ่าตัดตะไบฮัมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำข้อปฏิบัติที่ควรทำตามอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งนัดหมายติดตามผลในการรักษา

ทั้งนี้ ขั้นตอนการตะไบฮัมพ์อาจมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ศัลยแพทย์เลือกใช้และลักษณะโครงสร้างจมูกของแต่ละคน

ขั้นตอนดูแลเองหลังตะไบฮัมพ์จมูก

ตะไบฮัมพ์-คือ

หลังการผ่าตัดตะไบฮัมพ์เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่สำคัญลำดับถัดมา คือ การปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการและลดโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียง ดังนี้

  • หากมีอาการบวม แนะนำให้ประคบเย็นและอุ่นอย่างน้อย 3 วัน เพื่อบรรเทาอาการปวด บวมและช้ำ ซึ่งการประคบจะช่วยให้ยุบบวมเร็วขึ้น
  • แนะนำให้นอนหมอนสูงเพื่อลดอาการบวม
  • หมั่นรักษาความสะอาดในบริเวณผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์
  • ควรใช้คลีนซิ่งหรือน้ำเกลือทำความสะอาดใบหน้า
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารระคายเคืองที่อาจส่งผลต่อบาดแผลหรือเพิ่มอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูจมูกมากเกินไป
  • งดกิจกรรมที่จะเกิดกระแทกต่อจมูก เช่น การออกกำลังกายอย่างหนัก การเล่นกีฬาที่ต้องสัมผัส หรืออะไรก็ตามที่อาจกระทบกระเทือนใบหน้าอย่างรุนแรง การก้มตัว การยกของหนัก เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันหรือฝุ่นละออง
  • หลีกเลี่ยงการสวมแว่นตาหรือแว่นกันแดดที่กดทับดั้งจมูก
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดทานอาหารรสจัด อาหารดอง และอาหารทะเล
  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ใช้ยาตามคำสั่งของศัลยแพทย์ ทั้งยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และยาอื่น ๆ ที่แพทย์จ่ายมาให้จนครบตามกำหนด
  • เข้าพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามความคืบหน้าของการรักษา รวมถึงการถอดไหมที่เย็บออกหากจำเป็น หรือปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

คำถามที่พบบ่อย

แม้ว่า การตะไบฮัมพ์จะเป็นการศัลยกรรมที่มีความปลอดภัยภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง แต่หลาย ๆ คนก็ยังมีข้อกังวลและสงสัยเกี่ยวกับการตะไบจมูก ดังนี้

1. เสริมจมูกอย่างเดียว ไม่ตะไบฮัมพ์ได้ไหม ?

คำถามยอดฮิต คือ เสริมจมูกไม่ตะไบฮัมได้ไหม ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า การตะไบฮัมพ์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมจมูก ด้วยเป็นขั้นตอนในการปรับรูปร่างจมูก เพื่อแก้ไขลักษณะที่ผิดปกติต่างๆ ของจมูก ถ้าหากเราไม่มีปัญหาเกี่ยวกับจมูกฮัมพ์ หรือโหนกจมูกไม่ได้ส่งผลต่อการเสริมจมูกก็สามารถเว้นได้

แต่ว่า การตะไบฮัมพ์จะช่วยในการเสริมจมูกคือ ป้องกันไม่ให้ซิลิโคนเอียงหรือไหลได้ รวมถึงในการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน เราก็สามารถเหลาซิลิโคนให้รับกับรูปจมูกฮัมพ์ที่นูนขึ้นมาได้เลย ดังนั้น ถ้าหากโหนกจมูกที่เรามี ไม่ได้สูงจนเกินไป หรือมีปัญหา ก็สามารถเสริมจมูกได้ โดยที่ไม่ต้องตะไบจมูก

ทั้งนี้ ในการศัลยกรรมทั้งการเสริมจมูก หรือตะไบฮัมพ์ เราควรจะปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ประเมินโครงสร้างจมูกของเรา ว่าสามารถปรับให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการหรือไม่ เพื่อให้ได้แนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

2. ตะไบฮัมพ์ บวมกี่วัน?

หลังจากที่ผ่าตัดตะไบฮัมพ์มาแล้ว เราอาจจะมีอาการบวมเกิดขึ้นได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเริ่มบรรเทาลงภายใน 2 – 3 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด แต่อาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่อาการบวมจะหายสนิท ซึ่งในวันแรกหลังจากที่ผ่าตัดมา จะมีอาการบวมอย่างมาก จนถึงวันที่ 3 หลังการผ่าตัด อาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงในสัปดาห์และเดือนต่อ ๆ ไป

แต่ทั้งนี้ อาการบวมหลังการตะไบฮัมพ์อาจแตกต่างกันไปตามสุขภาพของแต่ละคน รวมถึงระยะเวลาของการบวม ก็อาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ร่วมด้วย เช่น

  • สุขภาพของคนไข้
  • เทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัด
  • ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของศัลยแพทย์

3. ตะไบฮัมพ์จมูกเจ็บไหม

หากเป็นในช่วงที่กำลังผ่าตัดตะไบฮัมพ์ จะมีการใช้ยาชา เพื่อให้เราไม่รู้สึกเจ็บ แต่หลังการผ่าตัด จะมีรู้สึกเจ็บ ตึง หรือปวดบริเวณที่ผ่าตัด รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขูดจมูกอยู่ แต่ทั้งนี้ ความเจ็บปวดหรือระดับความรุนแรงก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ซึ่งศัลยแพทย์จะให้ยาแก้ปวด เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้น รวมถึงการประคบเย็น เพื่อลดอาการบวม และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเพิ่มความเจ็บปวดด้วย

สรุป

การตะไบฮัมพ์คือ การศัลยกรรม เพื่อแก้ไขโหนกจมูกที่สูงเด่นสะดุดตา ส่งผลให้จมูกดูใหญ่ ไม่เท่ากัน หรือไม่ได้สัดส่วน ซึ่งการตะไบจมูกนี้ จะช่วยให้ใบหน้าดูละมุน มีความกลมกลืนมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องเข้ารับการรักษาภายใต้การดูแลของศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการและลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงขึ้น

เสริมจมูกใช้กระดูกหลังหูคืออะไร ราคาเท่าไหร่ มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?

0
เสริมจมูกใช้กระดูกหลังหู คืออะไร

เสริมจมูกใช้กระดูกหลังหูคืออะไร ราคาเท่าไหร่ มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?

เป็นไหม? อยากได้ปลายจมูกพุ่งสวย แต่ดูไม่โป๊ะ อยากให้เสริมจมูกออกมาแล้วดูเป็นธรรมชาติ แต่จะใส่ซิลิโคนจมูกทั้งทีก็กลัวผลลัพธ์จะไม่เป็นตามที่หวัง แต่ทราบหรือไม่ว่ายังมีการเสริมจมูกอีก 1 วิธีที่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติตามที่ต้องการได้ แถมไปยังพุ่งตรงตามบรีฟอีกด้วย วันนี้จะขอพาไปรู้จักกับการเสริมจมูกโดยใช้กระดูกหลังหู แล้วกระดูกอ่อนหลังหูที่กล่าวถึงนี้คืออะไร เหมาะกับใคร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง  ทุกข้อสงสัย WE Clinic พร้อมเฉลยให้คุณในบทความนี้!

กระดูกหลังหู คือ

กระดูกหลังหู หรือกระดูกอ่อนหลังหู เป็นกระดูกที่ลักษณะโค้งงอเล็กน้อย มีขนาดประมาณ 2 ซม. อยู่บริเวณแอ่งกึ่งกลางของใบหู (Concha) เป็นกระดูกอ่อนที่มีความแข็งแรง ทนทาน แต่ไม่มีความสำคัญกับโครงสร้างของใบหู หรือประสิทธิภาพในการได้ยินของหูมากนัก จึงสามารถผ่าตัดออกมานำมาตัดแต่งให้เป็นรูปวงกลม เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู ทำให้ปลายจมูกดูสวยงามขึ้น และทรงจมูกดูเป็นธรรมชาติ

เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูเหมาะกับใคร

ใครบ้างที่เหมาะกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู มาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

  • ผู้ที่มีลักษณะจมูกสั้น จมูกดูเตี้ย
  • ผู้ที่มีเนื้อจมูกน้อย ปลายจมูกบาง
  • ผู้ที่เสริมจมูกแล้วอาจเกิดความเสี่ยงปลายทะลุได้ในอนาคต
  • ผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์หลังทำให้มีความโด่ง อยากได้จมูกทรงสโลปปลายพุ่งแต่ยังดูธรรมชาติ

ข้อดี – ข้อจำกัด ของการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู

ก่อนที่จะสวยดูดีมีความมั่นใจ ด้วยจมูกปลายพุ่งที่เป็นธรรมชาติจากการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู เรามาดูศึกษาข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจทำกันบ้างค่ะว่ามีอะไรบ้าง

ข้อดี

  • ลดความเสี่ยงที่ปลายจมูกจะเกิดการทะลุในอนาคต
  • ทำให้ได้ผลลัพธ์หลังเสริมจมูกที่โด่งพุ่งอย่างเป็นธรรมชาติ
  • มีความปลอดภัย ลดโอกาสที่ร่างกายจะปฏิเสธเพราะเป็นวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกจากร่างกายของเราเอง
  • ช่วยลดการเสียดสีระหว่างผิวบริเวณจมูกและซิลิโคน

ข้อจำกัด

  • การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูอาจเกิดการทรุดตัวลงได้ในอนาคต เมื่อเวลาผ่านไปนานประมาณ 30-40 ปี
  • หลังเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูจะมีแผลผ่าตัดบริเวณหลังหูด้วย จึงทำให้ต้องดูแลและทำความสะอาดด้วยเช่นกัน และยังต้องใช้เวลาในการพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์

ทำจมูกและรองปลายกระดูกอ่อนหลังหูอันตรายไหม

การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูนั้นแม้ว่าจะเป็นวัสดุจากร่างกายของตัวเราเอง แต่หลายคนก็กังวลกันว่าการเสริมด้วยวิธีนี้จะเป็นอันตรายหรือไม่ จริงๆ แล้วการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูนั้นมีความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่ทราบกันว่ากระดูกอ่อนหลังหูเป็นเนื้อเยื่อจากร่างกายของเราเองโอกาสที่ร่างกายจะปฏิเสธหรือเข้ากันไม่ได้ก็เกิดขึ้นได้น้อย แถมกระดูกหลังหูยังช่วยป้องกันปลายจมูกทะลุได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญขนาดของกระดูกอ่อนหลังหูที่นำมาเสริมจมูกนั้นยังเป็นชิ้นเล็กๆ ที่นอกจากจะช่วยให้จมูกสวยแล้ว บริเวณหูที่มีการนำกระดูกหลังหูออกมาก็ไม่เกิดการเสียรูปอีกด้วย และหากเลือกเสริมกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์เป็นเวลานานก็ยิ่งมั่นใจในผลลัพธ์หลังทำรวมไปถึงความปลอดภัยได้อีกด้วย

เตรียมตัวก่อนเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู

ก่อนการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู นอกจากจะต้องศึกษาข้อมูลมาอย่างครบถ้วนแล้ว จะต้องมีการเตรียมความพร้อมที่ดี ด้วยการทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยมีการเตรียมตัวดังนี้

  • ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการเสริมจมูก และกระดูกหลังหูให้เข้าใจอย่างครบถ้วน
  • ปรึกษา พูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูกับแพทย์ให้เข้าใจตรงกันก่อนเริ่มทำ
  • หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานอยู่ ไปจนถึงประวัติการแพ้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • งดรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงอาหารเสริมบางชนิด เช่น ยากลุ่ม NSAID ยาแอสไพริน อาหารเสริมวิตามินอี ใบแปะก๊วย อีฟนิ่งพริมโรส เป็นต้น
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ก่อนเข้ารับการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • งดแต่งหน้าก่อนเข้าผ่าตัดเสริมจมูก
  • ก่อนเข้าผ่าตัดเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ควรงดรับประทานอาหารเครื่องดื่มทุกชนิด

วิธีดูแลตัวหลังเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู

ใครที่เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ เห็นแบบนี้แล้ว WE Clinic เลยขอแจกลิสต์วิธีดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูแบบง่ายๆ ที่ทำตามแล้วฟื้นตัวเร็ว สวยไวแน่นอน จะมีอะไรบ้างมาดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ

  • รับประทานยาแก้อักเสบที่แพทย์จ่ายให้ครบ
  • หลังเสริมจมูกควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ นอนตะแคง โดยแนะนำให้นอนยกศีรษะสูง ใช้หมอนรองคอ หนุนหมอนให้สูง
  • ในช่วงแรกควรประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการบวมหลังเสริมจมูกกระดูกหลังหู
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้แผลหายช้า ไม่ว่าจะเป็นอาหารแสลง อาหารทะเล ของหมักดอง อาหารรสจัด
  • เพื่อให้แผลหลังเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูสามารถสมานเข้าที่ได้เป็นอย่างดี ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ประมาณ 1 เดือน
  • แนะนำให้ดื่มน้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบกเพื่อบรรเทาอาการบวม ฟกช้ำให้ดียิ่งขึ้น
  • หากมีอาการรู้สึกปวดบริเวณแผลที่ทำจมูก ปวดบริเวณใบหน้า แนะนำให้รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดค่ะ
  • งดแคะ แกะ เกาบริเวณจมูก รวมไปถึงการจาม การสั่งน้ำมูกแรงๆ
  • งดทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง ใช้พลังเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังหนักๆ ยกของหนัก

อ่านบทความดีๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก ต้องบทความนี้ : หลังเสริมจมูก 14 วัน กินอะไรได้บ้าง?

วิธีทำความสะอาดแผลที่หลังหู หลังเสริมจมูก

สำหรับการทำความสะอาดแผลที่หลังหูนั้น แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลบริเวณดังกล่าวโดนน้ำเป็นเวลา 7 วัน เพื่อให้แผลแห้ง และหายเร็ว หลังจากนั้นเข้ามาติดตามอาการและตัดไหมแผลบริเวณหลังหูกับแพทย์ค่ะ

เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูที่ไหนดี ?

เสริมจมูกที่ไหนดี? จะเสริมจมูกทั้งทีเมื่อถึงเวลาเลือกคลินิกก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน วันนี้ใครที่กำลังจะเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูทั้งที มาดูวิธีเลือกคลินิกกันดีกว่าควรเลือกยังไงบ้าง

  • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ความปลอดภัย และน่าเชื่อถือได้ โดยคลินิกจะต้องมีใบอนุญาต 11 หลัก
  • เสริมจมูกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในด้านนี้โดยตรง นอกจากนั้นยังสามารถนำรายชื่อแพทย์ไปตรวจสอบผ่านเว็บไซต์แพทยสภาได้ว่าเป็นแพทย์จริง
  • สถานที่สะอาด มีห้องผ่าตัดที่ปลอดเชื้อ พร้อมอุปกรณ์การแพทย์ที่ครบครัน
  • มีรีวิวที่น่าเชื่อถือก่อนและหลังศัลยกรรมจากผู้เข้ารับบริการจริง
  • ให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมา
  • ประเมินปัญหาจมูกก่อนศัลยกรรมโดยแพทย์
  • คลินิกเดินทางง่าย เดินทางสะดวก

เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู ที่ WE Clinic ดีกว่า

เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูที่ WE Clinic ไม่เหมือนใคร เพราะที่นี่เราเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเรื่องการเสริมจมูกหลากหลายเทคนิคโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในด้านนี้โดยตรง ที่ได้รับความไว้วางใจจากคนไข้หลายท่านให้เราช่วยเนรมิตจมูกที่สวยเป็นธรรมชาติ โดยแพทย์วิเคราะห์ปัญหาอย่างเข้าใจ และประเมินจมูกแบบเคสต่อเคส เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ของเราเอง พร้อมด้วยมาตรฐานความปลอดภัย ที่เลือกทำจมูกกับเราแล้วหายกังวล ที่สำคัญเรามีรีวิวจากคนไข้ที่เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูจำนวนมากที่ให้ความไว้วางใจ และอยากบอกต่อผลลัพธ์หลังทำที่สุดปังที่เห็นแล้วต้องอยากรีบจองคิว

สำหรับใครที่สนใจอยากเป็นลูกสาว WE Clinic ต้องห้ามพลาดบทความนี้ : รีวิวเสริมจมูก

คำถามที่พบบ่อย

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหู

1. ผ่าตัดกระดูกหลังหูเจ็บไหม

หากใครที่มีความกังวลว่าการผ่าตัดกระดูกหลังหูจะเจ็บสบายใจได้เลยค่ะ เพราะการผ่าตัดกระดูกหลังหูนั้นจะมีการฉีดยาชาเฉพาะจุดในบริเวณที่จะผ่าตัดนำกระดูกอ่อนหลังหูออกมา ซึ่งการฉีดยาชาจะช่วยทำให้รู้สึกชาบริเวณดังกล่าว และระงับความเจ็บ ทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บในระหว่างการผ่าตัดนำกระดูกหลังหูออกมาเพื่อใช้เสริมจมูกค่ะ

2. ทำจมูกด้วยกระดูกหลังหู อยู่ได้กี่ปี

สำหรับการทำจมูกด้วยกระดูกหลังหูเมื่อแผลหายดี และจมูกเข้าที่แล้วผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 40 ปี อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่เทคนิคของแพทย์ที่ใช้ในการเสริมจมูกด้วยค่ะ เพราะหากแพทย์มีเทคนิคที่ดี การเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถอยู่ได้นานกว่าเดิม ลดความกังวลที่จะเกิดการทรุดตัวในอนาคตได้ค่ะ

3. เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู กี่วันแผลถึงจะหายดี

สำหรับแผลเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูจะดีขึ้นในประมาณ 7-14 วัน และจะหายดีอย่างเต็มที่ประมาณ 3 เดือนขึ้นไปค่ะ

4. กระดูกหลังหูอยู่ตรงไหน

หลายคนสงสัยว่าแล้วกระดูกหลังหูที่นำมาเสริมจมูกนั้นอยู่บริเวณไหนของหูกันแน่ จริงๆ แล้วกระดูกหลังหูอยู่บริเวณกึ่งกลางของใบหู ใกล้กับรูหู แต่สามารถผ่าตัดนำกระดูกหลังหูออกมาเสริมจมูกหลังหูได้ โดยที่จะไม่เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างของใบหู หรือระบบการได้ยินแต่อย่างใด

5. เสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหู มีโอกาสจมูกทะลุไหม

การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูนั้นหากเลือกเสริมกับแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ เคยเจอมาหลากหลายเคส การเสริมด้วยวิธีนี้จะมีความปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องโอกาสที่จมูกจะทะลุ แต่ถ้าแพทย์ที่เสริมให้ยังไม่เชี่ยวชาญพอ ก็อาจเกิดโอกาสที่จะทะลุได้เช่นกัน เนื่องจากอาจมีการเย็บกระดูกอ่อนหลังหูติดกับซิลิโคนไม่ดี จึงอาจทำให้เกิดการเคลื่อนจนเสี่ยงทะลุได้ค่ะ ฉะนั้นจะเลือกเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูทั้งที เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ มั่นใจได้ไม่มีทะลุ

6. กระดูกอ่อนหลังหูงอกใหม่ได้มั้ย

สำหรับกระดูกอ่อนหลังหูที่เมื่อผ่าตัดมาเสริมจมูกแล้วจะไม่สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้อีก ฉะนั้นใครที่เข้าใจผิดว่าหากนำกระดูกอ่อนหลังหูออกมาแล้ว จะมีกระดูกงอกขึ้นมาแทนที่ใหม่ได้นั้นเป็นความเชื่อที่เข้าใจที่ผิดค่ะ

สรุป

การเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิค ที่ช่วยทำให้ปลายจมูกพุ่งโด่งอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงปลายจมูกทะลุ เหมาะสำหรับคนที่มีเนื้อจมูกน้อยหรือปลายจมูกบาง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาจมูกได้ดี เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหู อาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นวิธีที่ตอบโจทย์และปลอดภัยต่อร่างกายที่ให้ผลลัพธ์ที่ถูกใจทุกคน

ฉีดเมโสแฟต ช่วยลดไขมันส่วนเกินได้อย่างไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผล ?

0
ฉีดเมโสแฟต

ฉีดเมโสแฟต

ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินในจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แก้ม เหนียง ต้นขา หรือต้นแขน จนทำให้สูญเสียความมั่นใจ แม้จะออกกำลังกาย หรือควบคุมอาหารแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ การฉีดเมโส แฟต ถือเป็นหนึ่งในวิธีลดสัดส่วนที่ตอบโจทย์ครับ เพราะเห็นผลชัดเจน เจ็บตัวน้อย และไม่มีรอยแผลเป็น เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากดูดไขมัน หรือมีงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการฉีดเมโสแฟตครับ ไม่ว่าจะเป็น ฉีดเมโสแฟต ช่วยลดสัดส่วนได้อย่างไร ? ตัวยามีส่วนประกอบอะไรบ้าง ? สามารถฉีดจุดไหน ? ใช้กี่ CC ? มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ? เจ็บไหม ? ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล และอยู่ได้นานไหม ? พร้อมแนวทางในการดูแลตัวเองหลังฉีด ที่ช่วยให้เห็นผลไว และคงผลลัพธ์เมโสแฟตให้อยู่ได้นาน 

ฉีดเมโสแฟต คืออะไร ? ช่วยสลายไขมันได้อย่างไร ?

ฉีดเมโสแฟต ช่วยลดสัดส่วนได้อย่างไร ?

ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) คือ วิธีสลายไขมัน และลดเซลลูไลท์ในร่างกาย (Lipolysis) ด้วยการฉีดตัวยาเข้าไปในผิวชั้นไขมันโดยตรงครับ ตัวยาจะเข้าไปทำปฏิกิริยาให้เซลล์ไขมันแตกตัว หรือกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญ และดึงไขมันออกจากเซลล์ หลังจากนั้นร่างกายจะขับออกผ่านระบบหายใจและระบบขับถ่าย ทำให้ไขมันในบริเวณที่ฉีดลดลง ทั้งนี้การฉีดเมโสแฟตจะเป็นวิธีลดสัดส่วนเท่านั้น ไม่ใช่การลดน้ำหนักครับ

ยาเมโสแฟต มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ? 

ปัจจุบันเมโสแฟตมีด้วยกันหลายยี่ห้อครับ แต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมที่แตกต่างกันออกไป แต่สารหลักในตัวยาเมโสแฟต จะเน้นไปที่กระตุ้นให้เซลล์ไขมันแตกตัว หรือกระตุ้นให้ร่างกายนำไขมันไปใช้ได้มากขึ้น เพื่อลดการสร้าง และสะสมไขมันใหม่ เช่น 

  • Artichoke Extract (Cynara scolymus) ช่วยให้ร่างกายลดเนื้อเยื่อไขมัน และลดการสังเคราะห์กรดไขมันเพิ่มเติม เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือต้องการลดไขมันและเซลลูไลท์เฉพาะจุด 
  • Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไลเปส (Lipase) รวมถึงลดการสร้างไตรกลีเซอไรด์ และคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  • L-carnitine ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมัน ที่สะสมจากจุดต่าง ๆ มาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น 

ฉีดเมโสแฟต จุดไหนได้บ้าง ? ใช้กี่ CC ?

ฉีดเมโสแฟต จุดไหนได้บ้าง ?

เมโสแฟตสามารถฉีดสลายไขมันส่วนเกินได้ทั้งบริเวณใบหน้า และร่างกายครับ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินจำนวน CC ที่ใช้ให้เหมาะกับบริเวณที่ฉีด และปริมาณไขมันที่สะสมในจุดนั้น ๆ เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก สำหรับจุดที่สามารถฉีดเมโสแฟตได้ มีดังนี้ 

  • เมโสแฟตแก้ม การฉีดเมโสแฟตแก้มจะใช้ประมาณ 6 CC ขึ้นไป ถือเป็นจุดที่ได้รับความนิยมมาก สามารถใช้ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวย ใช้แก้ปัญหาแก้มเยอะ หน้ากลม หรือหน้าอ้วน ที่เกิดจากการสะสมไขมัน โดยสามารถสังเกตได้จากเวลากัดฟันแล้วคลำแก้มจะเจอเป็นเนื้อนิ่ม ๆ ครับ

ในกรณีที่กัดฟันแล้วพบกล้ามเนื้อกรามเด้งขึ้นมา แพทย์จะแนะนำให้ฉีดเมโสแฟตร่วมกับโบท็อกลดกราม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะเมื่อกล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง เนื้อบริเวณแก้มก็จะดูเล็กลงตามไปด้วย

  • เมโสแฟตเหนียง มักเกิดจากการสะสมไขมัน และผิวหย่อนคล้อย รวมถึงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดรอยพับใต้คาง ทำให้ดูเหมือนมีคางสองชั้นครับ การฉีดเมโสแฟตเหนียงจะใช้ประมาณ 6 CC ขึ้นไป แต่สำหรับใครที่ปริมาณไขมันค่อนข้างเยอะ แพทย์จะแนะนำให้ทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ครับ เช่น โบท็อกลิฟท์กรอบหน้า, Hifu, Ulthera หรือ Thermage 
  • เมโสแฟตสลายก้อนไขมันใต้รักแร้ และปีกหลัง เวลาใส่เสื้อกล้าม หรือชุดว่ายน้ำ หลายคนอาจมีปัญหาเนื้อปลิ้นบริเวณใต้รักแร้ ที่เรียกว่า นมน้อย หรือเนื้อปลิ้นที่ด้านหลังจนมองคล้ายปีกหลัง มักเกิดจากน้ำหนักตัวเกิน ถือเป็นจุดที่ผู้หญิงหลายคนนิยมฉีดเมโสแฟต เพื่อเสริมความมั่นใจเวลาใส่เสื้อผ้าตัวโปรดครับ 
  • เมโสแฟตต้นแขน การฉีดเมโสแฟตต้นแขนจะใช้ข้างละ 20-40 CC ขึ้นไป ช่วยปรับให้แขนดูเรียวสวย แต่จำเป็นต้องตรวจสอบว่าปัญหาแขนใหญ่เกิดจากการสะสมไขมันหรือกล้ามเนื้อครับ เพราะถ้าเป็นกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อกแขนจะช่วยปรับให้แขน และบ่าดูเล็กลง ซึ่งทำให้ตัวดูเล็กลงไปด้วยครับ
  • เมโสแฟตต้นขา ถือเป็นจุดที่มีการสะสมไขมันเป็นจำนวนมาก แต่ลดได้ยากครับ ทำให้บางคนมีปัญหาขาใหญ่ ขาเบียด ผิวเปลือกส้ม หรือน่องขาใหญ่ โดยการฉีดเมโสแฟตต้นขาจะใช้ข้างละประมาณ 40 CC ขึ้นไป เพื่อปรับให้ขาดูเรียวสวยได้

แต่ในกรณีที่มีปัญหาน่องขาใหญ่จากกล้ามเนื้อ เช่น การใส่ส้นสูงบ่อย ๆ การปั่นจักรยาน หรือการยืนนาน ๆ แพทย์จะแนะนำให้ฉีดโบท็อกลดน่องร่วมด้วยครับ

  • เมโสแฟตหน้าท้อง หรือสะโพก การฉีดเมโสแฟตหน้าท้องหรือสะโพกจะใช้ประมาณ 40-80 CC ช่วยแก้ปัญหาพุงใหญ่ ท้องย้อย หรือสะโพกใหญ่ ทั้งนี้จะไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกิน หรือรูปร่างอ้วนมาก (ค่า BMI > 35)

การฉีดเมโสแฟตในจุดที่มีพื้นที่กว้าง หรือมีการสะสมไขมันในปริมาณมาก เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก จำเป็นต้องใช้ปริมาณยาค่อนข้างมาก และอาจต้องทำหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แพทย์อาจแนะนำให้ทำ CoolScupting ซึ่งเป็นวิธีสลายไขมันด้วยความเย็น และกำจัดเซลล์ไขมันได้ถาวร โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือวิธีดูดไขมันในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (ค่า BMI > 35)  

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับวิธีลดสัดส่วนรูปแบบใด หรือต้องใช้ให้หัตถการใดบ้าง เพื่อให้ได้รูปร่างในฝัน ควรปรึกษากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ ที่จะช่วยประเมินถึงความต้องการ และแนะนำวิธีการที่ตอบโจทย์ที่สุดครับ

ฉีดเมโสแฟต มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง ?

ฉีดเมโสแฟต ข้อดี

ฉีดเมโสแฟต ข้อดี

  • การฉีดเมโสแฟต สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกิน เช่น แก้ม เหนียง ใต้รักแร้ หรือปีกหลัง ซึ่งเป็นจุดที่อาจไม่เห็นผลลัพธ์จากการออกกำลังกาย หรือการคุมอาหาร
  • การฉีดเมโสแฟตสามารถทำได้ในหลายตำแหน่ง ที่มีการสะสมไขมันส่วนเกิน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นเลือดและเส้นประสาท
  • การฉีดเมโสแฟต มีความปลอดภัย เพราะตัวยาสกัดมาจากธรรมชาติที่สามารถสลายได้เอง
  • ใช้เวลาทำหัตถการไม่นาน หลังฉีดเมโสแฟตสามารถกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการดูดไขมัน
  • การดูแลตัวเองก่อนและหลังทำหัตถการไม่วุ่นวาย เพราะไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีอะไรที่ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
  • เห็นผลเร็ว หลังฉีดเมโสแฟตสามารถลดไขมันได้ครั้งละ 10-15% และสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • การฉีดเมโสแฟต ไม่ใช่การผ่าตัดเปิดแผล จึงเหลือเพียงแค่รอยเข็มหลังทำ ซึ่งจะสามารถหายได้เอง และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
  • การฉีดเมโสแฟต เป็นการสลายไขมันที่ราคาไม่แพง และสามารถทยอยทำได้ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

ฉีดเมโสแฟต ข้อเสีย

  • เนื่องจากการฉีดเมโสแฟตเป็นการใช้ปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์ไขมัน จึงหวังผลได้ไม่แน่นอน และอาจจำเป็นต้องฉีดหลายครั้ง สำหรับผู้ที่มีการสะสมไขมันปริมาณมาก หรือในเคสที่อ้วนมาก ๆ (ค่า BMI>35) การดูดไขมันจะตอบโจทย์มากกว่า
  • หลังฉีดเมโสแฟตจะมีอาการบวมตามปริมาณของยาที่ฉีดเข้าไป แต่จะสามารถยุบบวมได้เองใน 3-4 ชั่วโมง
  • หลังฉีดเมโสแฟตจะไม่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีเหมือนการดูดไขมันครับ จำเป็นต้องรอให้ตัวยาทำปฏิกิริยา และร่างกายขับเซลล์ไขมันออก โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
  • ผลลัพธ์ของการฉีดเมโสแฟตจะอยู่ได้ไม่ถาวรครับ จำเป็นต้องออกกำลังกายและคุมอาหารร่วมด้วย

ฉีดเมโสแฟต เจ็บไหม ?

การฉีดเมโสแฟต เจ็บเล็กน้อยในตอนที่แพทย์ลงเข็มกับเดินยาเข้าผิวหนังครับ โดยอาจจะรู้สึกแสบ ๆ ซึ่งจะมีการประคบน้ำแข็ง และแปะยาชาให้ ผู้ที่กลัวเจ็บมาก ๆ ไม่ต้องกังวลครับ

ฉีดเมโสแฟต กี่วันเห็นผล ?

ฉีดเมโสแฟต ข้อดี

การฉีดเมโสแฟตจะเห็นผลประมาณ 1-3 สัปดาห์หลังฉีดครับ ซึ่งผลลัพธ์ที่ชัดเจน จะขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ยี่ห้อและปริมาณของยาเมโสแฟตที่ฉีด ปริมาณไขมันเดิม และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคน โดยถ้าฉีดเมโสแฟตในปริมาณที่เหมาะสม จะสามารถสังเกตเห็นว่าไขมันลดลงไปจากเดิม 10-15%

สำหรับใครที่อยากให้ผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น สามารถกลับมาฉีดเมโสแฟตซ้ำได้ตามคำแนะนำและการประเมินของแพทย์ครับ ซึ่งจะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน

ฉีดเมโสแฟต กี่ครั้งเห็นผล ?

การฉีดเมโสแฟต สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ถ้าใช้ปริมาณยาที่เหมาะสมครับ โดยจะสามารถสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ใน 1-3 สัปดาห์ ว่าไขมันและสัดส่วนบริเวณที่ฉีดจะลดลงไป 10-15% สำหรับใครที่อยากให้ไขมันส่วนเกินลดลงอีก หลังครบ 7 วัน ก็สามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ฉีดเพิ่มได้ครับ

ฉีดเมโสแฟต อยู่ได้นานไหม ?

การฉีดเมโสแฟต โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 2-3 เดือนครับ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคนร่วมด้วย เนื่องจากตัวยาเมโสแฟตจะช่วยลดปริมาณไขมันเฉพาะที่ แต่ไม่ได้ป้องกันการสะสมไขมันใหม่ ถ้าหลังฉีดเมโสแฟตแล้ว ยังกินอาหารที่มีไขมันสูง ติดหวาน หรือไม่ออกกำลังกายเลย อาจทำให้ไขมันกลับมาสะสมได้

ดังนั้นสำหรับใครที่อยากให้การฉีดเมโสแฟตเห็นผลเต็มที่ และคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน แนะนำให้ออกกำลังกาย และควบคุมอาหารร่วมด้วย เพราะช่วยลดการสะสมของไขมันใหม่ได้ครับ

หลังฉีดเมโสแฟต ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลังฉีดเมโสแฟต ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลาย ๆ คนจะเห็นว่า การฉีดเมโสแฟตให้เห็นผลเต็มที่ และคงผลลัพธ์หลังการฉีดให้อยู่ได้นานนั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดร่วมด้วย ซึ่งแนวทางการดูแลตัวเองก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ เช่น

  • หลังฉีดเมโสแฟตอาจมีอาการบวม หลีกเลี่ยงการกดหรือนวดในจุดที่ฉีด โดยตัวยาจะค่อย ๆ ซึมและผิวจะยุบได้เอง
  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขับไขมันและของเสียได้ดียิ่งขึ้น
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อไม่ให้ไขมันส่วนเกินกลับมา เช่น หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ไม่กินอาหารมื้อดึก และออกกำลังกายเป็นประจำ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชั่วโมง เพราะจะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังช่วยให้ไม่หิวตอนกลางคืนอีกด้วย

ตัวยาเมโสแฟต 1 ขวด มีกี่ CC ?

ตัวยาเมโสแฟตยี่ห้อมาตรฐานส่วนใหญ่ 1 ขวด จะบรรจุยา 10 CC ครับ โดยก่อนฉีดไม่ต้องผสมน้ำเกลือ ส่วนปริมาณที่ฉีดในแต่ละครั้ง แพทย์จะเป็นผู้ประเมินจากปริมาณไขมันสะสม และจุดที่ฉีดในคนไข้แต่ละคน

สรุป

การฉีดเมโสแฟตถือเป็นหนึ่งในวิธีลดสัดส่วน หรือเซลลูไลท์ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเห็นผลลัพธ์ไว ปลอดภัย และไม่จำเป็นต้องดูดไขมัน สามารถฉีดเมโสแฟตเพื่อลดไขมันส่วนเกินได้ในหลายจุดของร่างกาย เช่น แก้ม ต้นแขน เหนียง หรือต้นขา

สำหรับใครที่อยากฉีดเมโสแฟต ควรเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ แพทย์ที่มากประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด

Sculptra ตัวช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน! อยู่ได้นาน 2 ปีจริงหรือ ? ต้องฉีดกี่ครั้ง ?

0
รีจูรัน และ Sculptra ต่างกันอย่างไร

Sculptraเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น หลาย ๆ คนจะพบเจอกับปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยร่องลึก เนื่องจากโครงสร้างผิวมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น สำหรับใครที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระชับ และกลับมาดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง Sculptra ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมฟื้นฟูผิวที่กำลังได้รับความนิยมมากครับ

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Sculptra ว่าคืออะไร ? มีการกระบวนการทำงานอย่างไร ? อันตรายไหม ? มีผลข้างเคียงไหม ? เหมาะกับใครบ้าง ? และต้องฉีดกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล ? พร้อมขั้นตอนการฉีด และแนวทางดูแลตัวเองหลังฉีด เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

ทำความรู้จัก! Sculptra คืออะไร ?

Sculptra คือ นวัตกรรมฟื้นฟูผิว โดยใช้อนุภาคของสาร Poly-L-Lactic Acid หรือ PLLA ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากพืช และเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติตัวแรกของโลก (The First & Original Collagen Biostimulator) ที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA)

สำหรับสาร PLLA ของ Sculptra จะเป็นอนุภาค PLLA-SCA ซึ่งได้จากกระบวนการผลิตที่จดสิทธิบัตรของบริษัทกัลเดอร์มาเท่านั้น ทำให้ได้สารที่สามารถฉีดเข้าชั้นผิวอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวครับ 

Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างไร ?

Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างไร ?

คอลลาเจนเป็นโปรตีน ที่มีความสำคัญกับโครงสร้างผิวหนังของร่างกาย เมื่ออายุเพิ่มขึ้นอัตราการสร้างคอลลาเจนจะลดลง และอัตราการสูญเสียจะเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย หรือแห้งกร้านได้ 

Sculptra จะช่วยทดแทนคอลลาเจนที่ร่างกายเสียไป และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว (Collagen Stimulator) ให้เพิ่มมากขึ้นได้ถึง 66.5% ครับ โดยจะฉีด Sculptra ในผิวชั้นลึก (Subcutaneous) จึงช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว และทำให้ผิวแข็งแรงจากภายใน ผิวหนังจึงดูอิ่มฟู กระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงยังดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

กระบวนการทำงานของ Sculptra

  • Sculptra ที่ผสมกับน้ำกลั่นปราศจากเชื้อ (Sterile Water) เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวชั้นลึก จะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดดูอิ่มฟูขึ้นทันทีในช่วง 2-3 วันแรกครับ เพราะโมเลกุลของน้ำที่ฉีดเข้าไปเติมเต็มในส่วนนั้น ๆ
  • หลังจากนั้นร่างกายจะดูดซึมน้ำ จนเหลือแต่ผลึกของสาร PLLA ซึ่งเป็นผลึกของ Sculptra ไว้ในบริเวณที่ฉีด บางรายจึงอาจสังเกตเห็นร่องริ้วรอยเริ่มกลับมาได้
  • Sculptra จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนผ่านระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะส่งสัญญาณให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์มารวมกันและเพิ่มจำนวน เนื่องจากเซลล์นี้มีหน้าที่สำคัญในการสร้างเส้นใยคอลลาเจนครับ ทำให้บริเวณที่ฉีดมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวจึงดูยกกระชับ อิ่มฟู และโครงสร้างชั้นผิวแข็งแรงขึ้น
  • เมื่อเวลาผ่านไป Sculptra จะค่อย ๆ สลายจนหมด จนบริเวณที่ฉีดเหลือแต่เส้นใยคอลลาเจนที่สร้างขึ้น ซึ่งจะทำหน้านี้ยกพยุงโครงสร้างผิวให้แข็งแรงได้ในระยะยาว ผิวหนังจึงฟื้นฟู และยกกระชับ โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี

Sculptra อันตรายไหม ?

Sculptra ไม่อันตรายครับ เพราะเป็นสารที่ใช้เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว (Collagen Stimulator) มาตั้งแต่ในปีค.ศ.1999 และตัวยาได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก U.S. FDA นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ระบุว่ามีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย จึงทำให้มีการใช้งาน Sculptra มาอย่างต่อเนื่อง

Sculptra มีผลข้างเคียงไหม ?

ถ้าฉีด Sculptra โดยใช้ตัวยาของแท้ และฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ หลังฉีดจะมีผลข้างเคียงที่ไม่อันตราย ดังนี้ 

  • อาการบวม ปวด หรือรอยแดง ในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดจากการบวมเข็ม โดยรอยจะค่อย ๆ หายได้เองใน 2-3 วัน 
  • ก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงแรก แนะนำให้นวดบริเวณที่ฉีดตามขั้นตอน และคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดครับ โดยก้อนจะค่อย ๆ ยุบหายไปเอง

Sculptra ฉีดได้ทุกคนไหม ? เหมาะกับใครบ้าง ?

Sculptra เหมาะกับใคร

Sculptra เหมาะกับใคร

Sculptra ถือเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากโครงสร้างภายใน จึงสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ดังนี้

  • เหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป เพราะหลังจากอายุ 25 ปี ร่างกายจะมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนเฉลี่ย 1.5% ต่อปี และเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี การสร้างคอลลาเจนจะลดลงเหลือเพียง 20-30% ทำให้ผิวหนังขาดความกระชับ เริ่มหย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยได้ง่าย
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวขาดความกระชับ และขาดความยืดหยุ่น การฉีด Sculptra จะช่วยยกกระชับผิว ปรับให้ผิวแน่น ดูอิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์ลงครับ
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ที่เกิดจากผิวหย่อนคล้อย Sculptra ช่วยเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิว ผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้าจึงยกขึ้น และทำให้ใบหน้ากลับมาเรียวสวยได้รูป
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอย เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือร่องน้ำหมาก ที่เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มองเห็นร่องริ้วรอย หรือรอยพับเหล่านี้ได้ชัดเจน แม้จะไม่เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบนใบหน้า
  • เหมาะกับผิวที่ขาดการดูแลเป็นเวลานาน เพราะการฉีด Sculptra จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้นถึง 66.5% และช่วยฟื้นฟูผิวจากโครงสร้างภายใน 
  • เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าคลินิกบ่อย ๆ เพราะผลลัพธ์การฉีด Sculptra สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี ซึ่งแตกต่างจาก Skin Booster ตัวอื่น ๆ ที่มักจะมีอายุเฉลี่ยไม่ถึง 1 ปี 

Sculptra ไม่เหมาะกับใคร

Sculptra มีข้อควรระวังสำหรับการฉีดในบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีเงื่อนไขสุขภาพ ดังนี้

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงมาก และจำเป็นต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษครับ แนะนำให้รอให้พ้นจากช่วงนี้ไปก่อน
  • ผู้ที่มีประวัติอาการแพ้ ทั้งในผู้ที่เคยมีภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) หรือผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของ Sculptra เช่น PLLA (Poly-L-lactic acid), CMC (Carboxymethylcellulose) และ Non-pyrogenic Mannitol รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
  • ผู้ที่มีโรคหรือยาประจำตัวบางชนิด เช่น กลุ่มโรคประจำตัวภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune, SLE) ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือยากลุ่มสเตียรอยด์
  • ผู้มีการติดเชื้อหรืออักเสบ ที่ตำแหน่งที่จะทำ แนะนำให้รอผิวหนังบริเวณนั้น ๆ กลับเป็นปกติก่อนครับ

สำหรับใครที่อยากฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับ Sculptra หรือไม่ ? หรือควรทำควบคู่กับหัตถการใดบ้าง ? เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แนะนำให้ประเมินสภาพผิวกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด และมีความปลอดภัยในการทำหัตถการครับ

ขั้นตอนการฉีด Sculptra

ขั้นตอนการฉีด Sculptra

  • ปรึกษาและประเมินสภาพผิว ควรพบกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยประเมินสภาพผิว ปัญหาที่คนไข้กังวลใจ และให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับหัตถการครับ รวมถึงแนวทางในการดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีด Sculptra อีกด้วย
  • เตรียมผิวบริเวณที่จะฉีด คลินิกจะแปะยาชาเป็นเวลาประมาณ 45 นาทีในจุดที่ฉีด เพื่อระงับความเจ็บปวดระหว่างทำหัตถการ และช่วยให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลาย
  • เตรียมสารที่จะฉีด ตัวยา Sculptra จะมาในรูปแบบผงบรรจุอยู่ในขวด แพทย์จึงจำเป็นต้องผสมน้ำกลั้นปราศจากเชื้อ (Sterile Water) เพื่อเตรียมตัวยาให้อยู่ในรูปแบบ Active Form ก่อนนำไปฉีด
  • ฉีด Sculptra แพทย์จะใช้เข็มทู่ขนาด 22-25 G ฉีดตัวยาที่ผสมเรียบร้อยแล้ว ลงใต้ชั้นผิวความลึกประมาณ 1.5-2 cm เพื่อเป็นการฉีดในผิวชั้นลึก
  • นวดหน้า หลังฉีด Sculptra เสร็จแล้ว จำเป็นต้องนวดหน้าต่อครับ เพื่อให้ยากระจายตัวได้ทั่วถึง และกระตุ้นคอลลาเจนในบริเวณที่ต้องการ

Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง หลังฉีดกี่วันเห็นผล ?

แนะนำให้ฉีด Sculptra ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 1 เดือนครับ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลในสัปดาห์ที่ 3 และเห็นผลชัดเจนใน 3 เดือน ถ้าฉีดต่อเนื่องจะช่วยคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 2 ปี

สำหรับปริมาณการฉีด Sculptra ต่อครั้งจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนครับ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณยาในแต่ละครั้ง โดยใน 1 ขวดของ Sculptra จะมีตัวยาประมาณ 10 CC ครับ

  • ผู้ที่อายุไม่ถึง 30 ปี ส่วนใหญ่เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสูญเสียคอลลาเจนมากขึ้น ทำให้เริ่มเกิดปัญหาผิว เช่น ริ้วรอยขนาดเล็ก ผิวไม่กระชับ ผิวเริ่มหย่อนคล้อย หรือเริ่มเกิดริ้วรอยใหม่ ๆ ได้ง่ายมากขึ้น สามารถฉีดเพียง 1 ขวด หรือ 10 CC ต่อครั้งก็เพียงพอแล้วครับ
  • ผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสูญเสียคอลลาเจนมากขึ้น แต่อัตราการผลิตจะลดลงเรื่อย ๆ จึงมักมีปัญหาผิวค่อนข้างมาก เช่น ร่องแก้มลึกชัดเจน หรือกรอบหน้าหย่อนคล้อย แนะนำฉีดครั้งละ 2 ขวด

Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน ?

Sculptra แนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง ระยะเวลาห่างกัน 1 เดือนครับ ซึ่งจะช่วยปรับสภาพผิว กระตุ้นให้โครงสร้างผิวมีคอลลาเจน และคงสภาพผิวไปได้ประมาณ 2 ปี หรือ 25 เดือน แต่ถ้าฉีด Sculptra เพียงครั้งเดียว ไม่กลับมาฉีดซ้ำ ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 2-4 เดือน

ดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra

ดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra

  • นวดหน้าตามหลัก Triple 5 เพื่อช่วยให้อนุภาค PLLA กระจายตัวได้ทั่วใบหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า และทาครีมในบริเวณรอยเข็ม รวมถึงงดการอบซาวน่า และอบไอน้ำ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง การสัมผัสแสงแดด และรังสียูวี จนกว่าอาการบวมแดงจะหายไป
  • งดการทำหัตถการอื่น ๆ บริเวณใบหน้าเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์

การนวดหลังฉีด Sculptra สำคัญอย่างไร ? มีขั้นตอนอะไรบ้าง ?

การนวดหลังฉีด Sculptra จะช่วยให้อนุภาค PLLA กระจายได้ทั่วใบหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งจะเรียกว่าเทคนิค Triple 5 คือ การนวดวันละ 5 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน โดยจะมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  • ขั้นตอนที่ 1 กำมือเป็นกำปั้นหลวม ๆ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง และใช้ส่วนกำปั้นค่อย ๆ นวด เลื่อนจากบริเวณหน้าผากไปทางขมับด้านข้าง
  • ขั้นตอนที่ 2 กำมือหลวม ๆ โดยยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นในท่าคล้ายการกดไลก์ แนบลงบริเวณแก้มทั้งสองข้าง และใช้มือกดเบา ๆ ค่อย ๆ เลื่อนจากหน้าแก้มออกไปบริเวณข้างแก้มช้า ๆ
  • ชั้นตอนที่ 3 ใช้บริเวณอุ้งมือกดบริเวณข้างแก้ม แล้วค่อย ๆ นวดไล่จากแก้มด้านล่างขึ้นไปด้านบน จนถึงส่วนของโหนกแก้ม ทำซ้ำไปมาหลาย ๆ ครั้ง จะช่วยกระชับผิวหน้า
  • ขั้นตอนที่ 4 ทำมือรูปแบบเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แต่เปลี่ยนมานวดบริเวณคาง และค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นไปตามแนวกราม

สรุป

ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง แต่ต้องการแก้ปัญหาผิวอย่างเร่งด่วน และผลลัพธ์อยู่ได้นาน Sculptra ถือว่าตอบโจทย์มากครับ เพราะช่วยฟื้นฟูผิวในชั้นลึก และช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรงจากภายใน ผิวหนังจึงมีความกระชับ ริ้วรอยดูจางลง และปรับให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการฉีดต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ สามารถคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานถึง 2 ปี

สำหรับใครที่ต้องการฉีด Sculptra ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และมีความปลอดภัย แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ แพทย์ที่มากประสบการณ์ และตรวจเช็กตัวยาเป็นของแท้ทุกครั้งก่อนฉีดครับ

รีจูรัน Skin Booster สร้างผิวกระจก! ช่วยอะไรบ้าง ? แบบฉีดดีกว่าแบบทาอย่างไร ?

0
รีจูรัน

รีจูรัน

หลาย ๆ คนที่อยากฟื้นฟูผิวให้มีความแข็งแรง หรืออยากได้งานผิวแบบผิวกระจก ที่ดูฉ่ำวาว เนียนเด้ง และสุขภาพดี คงจะนึกถึงการฉีดรีจูรันกัน ซึ่งเป็นอีกนวัตกรรมปรับสภาพผิว ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ครับ

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับรีจูรันให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รีจูรันคืออะไร ? ฉีดกี่ครั้งเห็นผล ? ฉีดตรงไหนได้บ้าง ? เจ็บไหม ? รีจูรันแบบฉีด vs แบบทา ควรเลือกวิธีไหนดี ? พร้อมเปรียบเทียบหัตถการงานผิวแต่ละตัวว่า เหมือนหรือต่างกับรีจูรันอย่างไร ?

รีจูรัน คืออะไร ?

รีจูรัน (Rejuran) คือ นวัตกรรมชะลอและฟื้นฟูผิว ซึ่งตัวสารมีส่วนประกอบหลักเป็น Polynucleotide (PN) บริสุทธิ์ ความเข้มข้น 2% ที่สกัดได้จากชิ้นส่วนของ DNA Salmon ในทะเลธรรมชาติ ซึ่งถือว่ามีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% ครับ

การฉีดรีจูรันเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้โดยตรง จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ และฟื้นฟูเซลล์ผิวเดิมที่ถูกทำลายครับ จึงนิยมใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอย ลดรอยแผลจากสิว เสริมความแข็งแรงให้ผิว และปรับสภาพผิวให้มีความฉ่ำวาว ตามเทรนด์ผิวกระจก (Glass Skin)

Polynucleotide (PN) ในรีจูรัน มีข้อดีอะไรบ้าง ? 

  • Polynucleotide (PN) ในรีจูรันเป็นสารสกัดธรรมชาติ ที่ได้มาจากเซลล์อสุจิของปลาแซลมอนในทะเลธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีที่ได้รับสิทธิบัตรเฉพาะ เรียกว่า DOT™ 
  • PN ในรีจูรันเป็นสารที่ผ่านการพิสูจน์ว่าเข้ากันได้ดีกับผิวหนังของมนุษย์ครับ เพราะมีลำดับเบสใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ มีน้ำหนักโมเลกุล และความหนืดที่เหมาะสม
  • PN บริสุทธิ์ในรีจูรัน ผ่านการกำจัดแอนติเจนและโปรตีนที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้ตัวสารมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน หรืออาการแพ้
  • PN ในรีจูรันเป็นสารละลายลักษณะใส และไม่มีสี หลังฉีดสารจะเข้าสู่ผิว และค่อย ๆ กลืนไปกับร่างกาย และช่วยซ่อมแซมผิวหนัง

รีจูรัน ช่วยอะไรบ้าง ?

รีจูรัน ช่วยอะไรบ้าง ?

  • ฟื้นฟูผิว รีจูรันจะเข้าไปแทนที่เซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ซึ่งสามารถเกิดจากทั้งอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือการถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระ และรีจูรันจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นจากสิว หรือริ้วรอยบริเวณใบหน้าและลำคอดูจางลง รวมถึงช่วยแก้ปัญหารอยแดง รอยคล้ำ และรูขุมขนกว้างอีกด้วย
  • เพิ่มความยืดหยุ่น รีจูรันกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และเซลล์ไฟโบรบลาสต์ใหม่ จึงช่วยซ่อมแซมผิว และเติมความชุ่มชื้น ปรับให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และยืดหยุ่น เมื่อผิวมีความกระชับเพิ่มขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนผิวจึงดูจางลงครับ
  • ปรับสีผิว รีจูรันมีส่วนช่วยในการลดเม็ดสีเมลานินในเซลล์ผิว ทำให้รอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือรอยแผลจากสิวดูจางลง สีผิวจึงดูสม่ำเสมอ และดูกระจ่างใสขึ้น การฉีดรีจูรันจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวใส เรียบเนียน และฉ่ำเหมือนผิวกระจก ทำให้แต่งหน้าง่าย เครื่องสำอางติดทนครับ
  • ปกป้องผิวจากการทำลายของแสงแดดหรือสารเคมี รีจูรันทำให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ครับ ผิวจึงมีความแน่นหนามากขึ้น และเซลล์ผิวใหม่จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสงแดด หรือสารเคมี ได้ดีขึ้น การฉีดรีจูรันจึงเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง หรือออกแดดบ่อย ๆ เป็นอย่างมาก 
  • เติมหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น รีจูรันช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์เนื้อเยื่อได้ดีและรวดเร็วครับ จุดที่เป็นหลุมสิวจึงดูเต็มขึ้น และผิวจะดูเรียบเนียน รวมถึงรูขุมขนจะมีขนาดเล็กลง
  • ลดความเหี่ยวย่นของลำคอและหลังมือ นอกจากช่วยเรื่องริ้วรอยบนใบหน้าแล้ว การฉีดรีจูรันยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเต่งตึงให้กับผิวในจุดที่ฉีด สามารถทำให้ผิวหนังบริเวณลำคอ และหลังมือดูเรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ลง

รีจูรันควรใช้แบบไหน ? ฉีดมือ vs เครื่องฉีด vs ทา

รีจูรันควรใช้แบบไหน ? ฉีดมือ vs เครื่องฉีด vs ทา

หลาย ๆ คนที่กำลังสนใจรีจูรัน คงจะเคยเห็นบริการในคลินิกความงามที่แตกต่างกัน ทั้งรูปแบบการฉีดรีจูรันด้วยมือกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ หรือการใช้เครื่องฉีดอัตโนมัติ (MESO Gun) นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์รีจูรันรูปแบบทาให้เลือกอีกด้วย ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างของการใช้งานรีจูรันในรูปแบบต่าง ๆ ครับ

  • รีจูรันแบบฉีดมือ แพทย์จะใช้เข็มฉีดรีจูรันลงลึกถึงผิวชั้นหนังแท้ โดยจะฉีดเป็นจุด ๆ ทั่วใบหน้า ห่างกัน 0.5 cm ครับ เพื่อให้ยากระจายตัวได้ดี ข้อดีคือแพทย์จะสามารถลงรายละเอียด หรือออกแบบให้ยาออกฤทธิ์ไปยังเซลล์เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ จึงช่วยรักษาและแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด
  • รีจูรันแบบฉีดด้วยเครื่อง แพทย์จะใช้เครื่องฉีดอัตโนมัติ (MESO Gun) ครับ อาจทำให้ตัวยาที่ฉีดไม่เข้าสู่ชั้นผิวที่ต้องการ และตัวยาติดอยู่ปลายเข็ม ทำให้คนไข้ได้รับรีจูรันไม่เต็มโดสได้ นอกจากนี้อาจจะเกิดรอยแผล หรือรู้สึกเจ็บได้มากกว่าการทำด้วยมือครับ เพราะแรงดันเครื่อง
  • รีจูรันแบบทา แม้จะมีส่วนผสมที่คล้ายคลึงกัน แต่รีจูรันรูปแบบทาจะเหมือนกับการใช้สกินแคร์ทั่วไปครับ จำเป็นต้องทาตัวครีมอย่างต่อเนื่อง ถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็มมาก ๆ และมีงบประมาณจำกัดครับ

จะเห็นได้ว่า การฉีดรีจูรันด้วยมือจะถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดครับ เพราะแพทย์สามารถออกแบบให้เหมาะสม และมีความเฉพาะกับแต่ละบุคคลได้ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี รวมถึงยังได้ยาครบโดส โดยไม่ติดค้างอยู่ที่ปลายเข็มเหมือนการใช้เครื่องฉีดอีกด้วย

ฉีดรีจูรันกี่ครั้ง เห็นผลเร็วแค่ไหน ?

การฉีดรีจูรันให้ได้ผลลัพธ์เต็มประสิทธิภาพ แนะนำให้ฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 4 ครั้งครับ โดยให้เว้นห่างกันทุก 2-3 สัปดาห์ในการฉีด 4 ครั้งแรก หลังจากนั้นเมื่อผิวฟื้นฟูอย่างเต็มที่แล้ว สามารถเว้น 3-6 เดือน ในการฉีดครั้งที่ 5 และครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยคงผลลัพธ์การฉีดรีจูรันได้ครับ

  • หลังฉีดครั้งที่ 1 ในช่วง 3-5 วันแรก เป็นช่วงที่ผิวหนังเริ่มฟื้นฟู เวลาสัมผัสผิวจะเรียบเนียน และนุ่มขึ้นครับ
  • หลังฉีดครั้งที่ 2 ในช่วง 2-4 สัปดาห์ ผิวจะแน่นและกระชับขึ้น ทำให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลง และรูขุมขนกระชับขึ้น
  • หลังฉีดครั้งที่ 3 ในช่วง 4-6 วัน ผิวดูเต่งตึง และยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ผิวยังดูมีความชุ่มชื้นมากขึ้น และความมันของผิวลดลง
  • หลังฉีดครั้งที่ 4 ในช่วง 6-8 วัน จะสามารถเห็นผลลัพธ์โดยรวมชัดเจน และผิวดูสุขภาพดีขึ้น คือ ผิวมีความกระชับ และเรียบเนียน สีผิวดูสม่ำเสมอ รูขุมขนมีขนาดเล็กลง ริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง

รีจูรัน ผ่านอย.ไทยไหม ?

รีจูรัน ผ่านอย.ไทยไหม ?

รีจูรันที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศไทย (อย.ไทย) และจำหน่ายภายในประเทศ จะมีด้วยกัน 3 รุ่น คือ

  • Rejuran Healer หรือ Rejuran Rejuvenation (pn) คือ รีจูรันกล่องสีดำ หรือรุ่นคลาสสิก  เหมาะกับการบำรุงผิวทั่วทั้งใบหน้า มีคุณสมบัติช่วยปรับให้ผิวเนียนใส และดูฉ่ำวาว
  • REJURAN s คือ รีจูรันกล่องสีน้ำเงิน เป็นสูตรที่เหมาะกับการรักษาหลุมสิว หรือรอยแผลเป็น
  • REJURAN i คือ รีจูรันกล่องสีขาว เป็นสูตรบางเบา นิยมใช้เพื่อฟื้นฟูผิวรอบดวงตา

ฉีดรีจูรันตำแหน่งไหน ใช้กี่ CC ? 

รีจูรันสามารถฉีดได้หลายจุดของร่างกายครับ ซึ่งแต่ละตำแหน่งจะใช้ปริมาณแตกต่างกัน โดยทั่วไปปริมาณของ Rejuran Healer จะมีหน่วยเป็น ml. ซึ่ง 1 หลอดมี 2 ml. ใน 1 กล่องจะบรรจุ 2 หลอด รวมเป็น 4 ml. ฉีดแต่ละครั้งจะใช้รีจูรันประมาณ 2-4 ml.

  • รีจูรันใบหน้า ทั่วทั้งใบหน้าจะใช้ 4 ml. ครับ นิยมฉีดเพื่อปรับสภาพผิวให้มีความเต่งตึง คืนความอ่อนเยาว์ และเติมเต็มริ้วรอยต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น เช่น ริ้วรอยหางตา ร่องแก้ม หน้าผาก หรือใต้ตา นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการงานผิวกระจก ปรับให้ผิวดูฉ่ำวาว และเนียนเด้ง
  • รีจูรันคอ ใช้ 2 ml. สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอย และปรับให้ผิวบริเวณลำคอดูอิ่มน้ำมากขึ้นครับ โดยทั่วไปจะได้รับความนิยมมากในกลุ่มที่อายุ 40 ปีขึ้นไป
  • รีจูรันมือ ใช้ 2 ml. จะฉีดบริเวณหลังมือ ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี และหลังมือดูไม่แห้งกร้านครับ

ฉีดรีจูรัน เจ็บไหม ? 

การฉีดรีจูรันจะคล้ายกับการฉีดเมโสหน้าใสครับ ในระหว่างการฉีดจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือรู้สึกแสบผิวในตอนที่เดินยา โดยสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการประคบเย็นขณะทำหัตถการ หรือหากใครที่กังวลเรื่องเจ็บมาก ๆ ก็สามารถแจ้งให้ทางคลินิกความงามแปะยาชาก่อนเริ่มฉีดได้ครับ

นอกจากนี้ในการฉีดรีจูรัน จะใช้เข็มขนาดเล็ก ที่มีลักษณะบางเฉียบและคม ช่วยให้ปล่อยตัวยาผ่านเข็มได้ง่าย และสามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกเจ็บลงได้ครับ รวมถึงยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลังการฉีดอีกด้วย

รีจูรันกับหัตถการอื่นต่างกันอย่างไร ?  รีจูรัน vs เมโสหน้าใส vs Skin Booster vs Sculptra 

สำหรับใครที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอย จุดด่างดำ หรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างเร่งด่วน อาจจะสงสัยว่า รีจูรันกับหัตถการอื่น ๆ เช่น เมโสหน้าใส, Sculptra, หรือ Skin Booster นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร ? เนื้อหาในส่วนนี้จะเปรียบเทียบตัวช่วยบำรุงแต่ละตัวครับ 

รีจูรัน vs เมโสหน้าใส

รีจูรัน และเมโสหน้าใส ต่างกันอย่างไร

รีจูรันจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเมโสหน้าใส ซึ่งจะช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณเช่นเดียวกัน แต่ทั้ง 2 หัตถการจะแตกต่างกันที่ส่วนผสม และกลไกการทำงานครับ คือ

  • รีจูรัน เป็นการฉีดสาร PN เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ผิวเดิมที่ถูกทำลาย รวมถึงยังมีจุดเด่นในเรื่องการปรับสภาพผิวให้มีความฉ่ำวาว และอิ่มน้ำ
  • เมโสหน้าใส เป็นการฉีดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเข้าสู่ผิวโดยตรง ซึ่งจะเน้นในเรื่องการบำรุง และซ่อมแซมเซลล์ผิวเดิมครับ นิยมฉีดเพื่อลดปัญหาสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือเพิ่มความกระจ่างใส ซึ่งเมโสหน้าใสจะมีด้วยกันหลายสูตร เพื่อให้ตอบโจทย์กับสภาพผิว หรือปัญหาผิวที่แตกต่างกัน

หลาย ๆ คนอาจจะมีคำถามว่า การฉีดรีจูรันผสมกับเมโสหน้าใส อันตรายไหม ? โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ฉีดแยกกันครับ เพื่อให้สามารถประเมินประสิทธิภาพได้ เพราะหากฉีดทั้ง 2 ตัวยาผสมกันแล้วเกิดอาการแพ้ แพทย์จะวินิจฉัยหาสาเหตุได้ยาก นอกจากนี้การฉีดผสมกันยังอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการแพ้ หรือการอักเสบอีกด้วย

รีจูรัน vs Skin Booster

รีจูรัน และ Skin Booster ต่างกันอย่างไร

การฉีดรีจูรันถือเป็นตัวเลือกในการฟื้นฟูผิว ซึ่งจะมีจุดประสงค์คล้ายกับ Skin Booster แต่ทั้ง 2 หัตถการจะมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน คือ 

  • รีจูรัน ส่วนประกอบหลักจะเป็นสาร PN ซึ่งเป็น DNA Nucleotide จึงมีคุณสมบัติในด้านการต่อต้านกระบวนการชราของผิวหนัง (Anti-aging) ซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพครับ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และสุขภาพดี
  • Skin Booster เช่น ฟิลเลอร์ Belotero Revive, Restylane Vital light และ Juvederm Volite ส่วนประกอบหลักจะเป็นกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างผิว และมีคุณสมบัติกักเก็บน้ำ เพื่อปรับให้ผิวกระชับ ดูเรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยเป็นหลัก

ทั้ง 2 หัตถการสามารถทำร่วมกันได้ครับ แต่แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์ เพื่อลำดับการทำ และเว้นระยะเวลาให้พอดี เนื่องจากทั้งรีจูรันและ Skin Booster มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการอุ้มน้ำทั้งคู่ การฉีดพร้อมกันอาจทำให้เกิดปัญหาใบหน้าบวม ซึ่งเป็นความกังวลใจของใครหลายคนครับ

รีจูรัน vs Sculptra

รีจูรัน และ Sculptra ต่างกันอย่างไร

รีจูรันและ Sculptra จะใช้แก้ปัญหาผิว และใช้เทคนิคการฉีดที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

  • รีจูรัน จะฉีดในผิวชั้นหนังแท้ โดยฉีดกระจายเป็นจุดห่างกัน 0.5 cm ทั่วใบหน้า มีจุดประสงค์เพื่อทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน รวมถึงยังช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวดูเรียบเนียน สามารถอยู่ได้นาน 1 เดือน แนะนำให้ฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 4 ครั้ง ห่างกัน 2-3 สัปดาห์
  • Sculptra ส่วนประกอบหลักเป็นสารสกัด PLLA จากพืช จะฉีดในผิวชั้นลึกครับ โดยฉีดบริเวณขมับ กรอบหน้า หรือ Midface มีจุดประสงค์เพื่อทำให้ผิวแน่น อิ่มฟู ยกกระชับ และปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี แนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 2-3 ครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ 

หลาย ๆ คนจะเห็นว่า ทั้งรีจูรัน, เมโสหน้าใส, Skin Booster และ Sculptra เป็นหัตถการที่ให้ผลลัพธ์ไว แต่ก็มีจุดเด่น และเหมาะกับการแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกันครับ สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับหัตถการใด หรือต้องการทำหลาย ๆ หัตถการร่วมกัน แนะนำให้ปรึกษาและประเมินสภาพผิวกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยให้คำแนะนำได้อย่างตรงจุด และช่วยวางแผนการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึ่งพอใจครับ

สรุป

รีจูรันถือเป็นหัตถการที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย จึงนิยมฉีดเพื่อฟื้นฟูผิว และปรับผิวให้กระจ่างใส เรียบเนียน และฉ่ำวาวเหมือนผิวกระจก รวมถึงยังช่วยเสริมเกราะปกป้องไม่ให้ผิวถูกทำลายด้วยแสงแดดหรือสารเคมีอีกด้วย

สำหรับใครที่ต้องการฉีดรีจูรันให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึ่งพอใจ และมีความปลอดภัย แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ใช้ตัวยาของแท้ที่ตรวจสอบได้ และฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์

Hifu ราคาเท่าไหร่ ? ราคาต่อ Line/Shot แพงไหม ? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนทำ

0
Hifu ราคาเท่าไหร่

Hifu ราคาเท่าไหร่

Hifu ราคา

Hifu ราคา ไม่แพงเมื่อเทียบกับเครื่องยกกระชับอื่น ๆ ที่ใช้คลื่นเหมือนกัน ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการยกกระชับ ปรับหน้าเรียว ลดเหนียง ลดแก้มห้อย แต่กลัวการผ่าตัด กลัวเข็ม หลังทำเห็นผลทันที 20% ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำได้บ่อย เพราะเป็นคลื่นเสียงที่มีความปลอดภัยสูง ไม่มีทำร้ายผิว หลายคนรวมถึงดาราและเซเลปจึงเลือกทำ Hifu เป็นอย่างแรก ๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวครับ

Hifu คืออะไร ? ทำ Hifu ราคาคุ้มค่า ดีจริงไหม ?

Hifu คืออะไร ? ทำ Hifu ราคาคุ้มค่า ดีจริงไหม

Hifu (High Intensity Focus Ultrasound) คือ นวัตกรรมยกกระชับผิวที่ทำงานด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อให้เกิดความร้อน 65-70°C  ทำให้ผิวแต่ละชั้นรวมถึงชั้น SMAS เกิดการหดตัว ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับ หน้าเรียวขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม เห็นผลลัพธ์ทันที 20% ตั้งแต่ครั้งแรก ยิ่งทำซ้ำ ยิ่งเห็นผลต่อเนื่อง

หลังทำ Hifu ผิวดูยกกระชับ ริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปากตื้นขึ้น ช่วยลดเหนียง ลดแก้มห้อย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว และช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยในอนาคต ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าไม่สามารถทำได้ การทำ Hifu จึงเป็นหัตถการที่คุ้มค่า คุ้มราคา และเห็นผลลัพธ์ดีครับ 

Hifu ราคาแต่ละตำแหน่ง ราคาต่อ Line/Shot แพงไหม ? 

Hifu ราคาแต่ละตำแหน่ง ราคาต่อ Line/Shot ไม่แพงเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ครับ ซึ่ง Hifu ราคาแต่ละตำแหน่งจะแตกต่างกันตามจำนวนไลน์ สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า เหนียง คอ แม้แต่ต้นแขน และต้นขา ซึ่ง Hifu ราคาแต่ละตำแหน่งโดยประมาณ จะมีราคาดังนี้ครับ

  • แก้ม หรือ เหนียง 100 line 3,999.-
  • แก้ม หรือ เหนียง 200 line 6,000.-
  • แก้ม และ เหนียง 300 line 9,900.-
  • ใต้ตา และ ร่องแก้ม 300 line 9,900.-
  • ทั่วหน้า หรือ ต้นแขน 600 line 18,000.-
  • ทั่วหน้า+คอ หรือ ต้นขา 1,000 line 25,000.-

* Hifu ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชันของแต่ละคลินิก ก่อนตัดสินใจทำควรติดต่อสอบถามข้อมูลกับทางคลินิก เพื่อจะได้ตรวจสอบ Hifu ราคาที่แน่ชัดครับ

ทำ Hifu กี่ Line เห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ?

การทำ Hifu กี่ไลน์ถึงจะเห็นผล ขึ้นอยู่กับปัญหาใบหน้าของแต่ละบุคคลครับ แพทย์จะประเมินจากปริมาณไขมัน ความหย่อนคล้อยและสภาพผิว โดยเฉลี่ยจะใช้จำนวน Line ดังนี้

  • แก้ม หรือ เหนียง ประมาณ 100 line
  • แก้ม และ เหนียง ประมาณ 300 line
  • ใต้ตา และ ร่องแก้ม ประมาณ 300 line
  • ทั่วหน้า หรือ ต้นแขน ประมาณ 700 line
  • ทั่วหน้า + คอ หรือ ต้นขา ประมาณ 1,000 line 

ส่วนผลลัพธ์หลังทำ Hifu จะอยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน และสามารถมีระยะเวลาถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับว่าสามารถทนเจ็บได้หรือไม่ รวมไปถึงสภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละบุคคลครับ 

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้หลังทำ Hifu เห็นผลแค่ไหน ?

หลังทำ Hifu เห็นผลแค่ไหน

การทำ Hifu สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังทำได้ตั้งแต่ครั้งแรกครับ ผิวจะดูยกกระชับขึ้น เห็นกรอบหน้าชัดประมาณ 20% หลังจากนั้นภายใน 1-2 เดือน จะค่อย ๆ เห็นผลกระชับมากขึ้น และเห็นผลเต็มที่ใน 3-4 เดือน 

หากต้องการให้ผิวกระชับขึ้นอีก สามารถทำ Hifu เพิ่มได้ทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้เซลล์ Fibroblast สร้าง Collagen ได้เต็มที่ถึงจะคุ้มค่าครับ จากนั้นค่อยกลับมาทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์และป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต

ทำไฮฟู่ราคาถูก Hifu บุฟเฟต์ ได้ผลจริงไหม ?

เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นคลินิกบางแห่งออกโปรไฮฟู่เหมา ๆ  Hifu บุฟเฟต์กับมาบ้างแล้ว ซึ่งถ้าถามว่าทำไฮฟู่ราคาถูก Hifu บุฟเฟต์ ได้ผลจริงไหม ? ก่อนอื่นต้องบอกอย่างนี้ครับว่า หัวยิง Hifu แต่ละหัวนั้นมีต้นทุนตามจำนวน Line ที่ใช้ยิง เช่น เมื่อทางคลินิกยิงครบ 20,000 line จะต้องทิ้งแล้วซื้อหัวใหม่เท่านั้น โดยส่วนตัวมองว่าเป็นไปไม่ได้เลยว่า hifu บุฟเฟ่ต์ราคาถูก ๆ 3,000-6,000 บาท จะได้ผลดีและอยู่ได้นาน

ดังนั้นหากเจอ Hifu ราคาเหมา ๆ หรือ hifu บุฟเฟ่ต์ไม่จำกัดช็อต ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นเครื่อง Hifu ปลอม หรือเครื่องเลียนแบบ คุณภาพต่ำเพื่อลดต้นทุนในส่วน ซึ่งเครื่อง hifu ประเภทนี้หัวยิงจะปล่อยพลังงานไม่คงที่ นอกจากจะทำแล้วไม่เห็นผล ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานแล้ว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ หน้าบวม ปากเบี้ยวได้ครับ

เปรียบเทียบ Hifu ราคาถูก-แพง ให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร ?

เปรียบเทียบ Hifu ราคาถูก-แพง ให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร

ปัจจุบันเครื่อง Hifu ที่ออกมาวางขายตามท้องตลาดนั้นมีหลายยี่ห้อ หลายเกรด หลายประเทศ ทั้งอเมริกา เกาหลีและจีนที่มีหน้าตาของเครื่อง รวมถึงเทคโนโลยีและต้นทุนที่ใช้ต่างกันออกไป แน่นอนว่าส่งผลให้ Hifu ราคาต่างกันไปตามแต่ละเกรด โดยมีราคาต่อ Line/Shot ตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน ไปจนถึงหลักหมื่นครับ

ถ้าถามว่า ทำ Hifu ราคาถูก กับ Hifu ราคาแพง จะให้ผลลัพธ์ต่างกันไหม ? ขอตอบว่าให้ผลลัพธ์ต่างกันครับ การทำ Hifu หากต้องการเห็นผลลัพธ์ดี การเลือกยี่ห้อเครื่อง Hifu ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะเห็นผลมากหรือน้อยนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับฝีมือของแพทย์แล้ว ยังขึ้นอย่กับคุณภาพของเครื่อง Hifu ด้วย ดังนั้นเครื่อง hifu ที่ดี คุณภาพสูงจึงมักมีราคาสูงกว่าเครื่อง Hifu ทั่วไป 

ส่วนเครื่อง Hifu ธรรมดา เครื่อง Hifu จีน หรือแม้แต่ Mini Hifu ที่เป็นเครื่องยกกระชับแบบใช้งานที่บ้าน (Home use HIFU) ตัวเครื่องจะมีจุดพลังงานขนาดเล็ก ไม่มีความสม่ำเสมอและไม่เสถียร จึงไม่ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าเครื่อง hifu ตามคลินิกครับ ต้องทำซ้ำหลายครั้งและทำต่อเนื่องจึงจะเห็นผล ที่สำคัญบางยี่ห้อยังไม่มีมาตรฐานรองรับ จึงไม่สามารถการันตีคุณภาพและความปลอดภัยได้ครับ

“ Fact : เครื่อง Hifu แต่ละยี่ห้อจะมีการใช้เทคโนโลยี คลื่นพลังงานและขนาดจุดโฟกัสที่ต่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อผลลัพธ์และระยะเวลา หากต้องการยกกระชับให้เห็นผล ควรเลือกทำ Hifu เครื่องคุณภาพดี เช่น HIfu ยี่ห้อ Ultraformer III หรือ Ulthera และควรให้หมอประเมินปัญหาผิวหน้า เพื่อจะได้เลือกเครื่องยกกระชับที่เหมาะสมกับปัญหาที่กังวล

ข้อห้าม และการดูแลตัวเองหลังทำ Hifu เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่าคุ้มราคา

หลังทำ Hifu เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่าคุ้มราคา

  • หลังทำ Hifu สามารถทาครีมบำรุงผิวหน้าได้ตามปกติ แนะนำให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ เสริมจากเดิมเพื่อป้องกันแสงแดด
  • หลีกเลี่ยงการออกแดดกลางแจ้งสัก 1-2 สัปดาห์ เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูของคอลลาเจนใต้ผิว
  • หากมีอาการเมื่อยหรือตึงผิวก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ แต่ควรเลี่ยงยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของเพรดนิโซโลน
  • ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้าแรงๆ
  • ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง

Hifu ของแท้-ของปลอม ดูอย่างไร ? 

สำหรับเครื่อง Hifu ยี่ห้อ Ultraformer III (HIFU) ของแท้ จะต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งของไทย (อย.) และ สหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) แล้วเท่านั้น สามารถเช็กลักษณะเครื่อง Ultraformer III แท้ ได้ดังนี้ 

  • เมื่อเปิดเครื่อง หน้าจอตรงกลางมีคำว่า ULTRAFORMER III ปรากฎอยู่
  • มีโลโก้คำว่า Ultraformer IIl  และ CCLASSYS ประกับอยู่ที่ตัวเครื่องและหัวยิง
  • สามารถค้นหาคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ผ่านเว็บไซต์ WWW.GHTAESTHETICS.COM
  • มี QR Code ติดไว้ข้างๆ หน้าจอ สำหรับสแกนตรวจสอบเครื่องแท้
  • มีสติกเกอร์ซีลเครื่องจากบริษัทผู้นำเข้า  QuantumHealthcare แปะติดอยู่รอบ ๆ ตัวเครื่อง

เลือกทำ Hifu ราคาอย่างไรให้เหมาะสม พิจารณาอะไรบ้าง ? 

เลือกทำ Hifu ราคาอย่างไรให้เหมาะสม

  • คลินิกได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบการให้ประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดไว้ในบริเวณที่ที่เปิดเผยและเห็นได้ชัดเจน 
  • ใช้เครื่อง Hifu แท้ มีคุณภาพ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. FDA และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ไทย
  • แพทย์มีประสบการณ์ สามารถวางแผนและแก้ไขปัญหาได้เหมาะสมตรงจุด มีความชำนาญในการใช้เครื่อง hifu 
  • มีการนัดหมายเพื่อติดตามผลคนไข้ในภายหลัง และมีการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวทั้ง ก่อน – หลังทำไฮฟู่ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้คนไข้เข้าใจเป็นอย่างดี 
  • คลินิกควรมีช่องทางไว้สำหรับติดต่อได้สะดวก โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Line@ เพื่อจะได้สามารถสอบถามข้อสงสัยกับคุณหมอที่ทำเคสของตนเองได้โดยตรงอย่างทันการณ์

สรุป

 Hifu ราคาคุ้มค่า เมื่อเทียบผลลัพธ์ที่ได้ครับ  Hifu Ultraformer III เป็นหัตถการที่เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยน้อย ๆ มีร่องใต้ตา ร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด จึงเป็นตัวเลือกที่ดี มีความปลอดภัยสูง 

ทั้งนี้ปัญหาความหย่อนคล้อยของปแต่ละคนจะมีไม่เท่ากัน ควรให้แพทย์ช่วยประเมิน เพื่อแนะนำ Hifu ราคาและจำนวนไลน์ที่เหมาะสม ทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นธรรมชาติครับ

ฉีดเมโสหน้าใส ราคาเท่าไหร่ ? เลือกฉีดที่ไหน ให้ผลลัพธ์ดี ราคาคุ้มค่า และปลอดภัย ?

0
ฉีดเมโสหน้าใส ราคา

ฉีดเมโสหน้าใส ราคา

การฉีดเมโสหน้าใส เป็นวิธีการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง จึงช่วยแก้ปัญหาผิวโทรม และฟื้นฟูผิวอย่างเร่งด่วน เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว และไม่มีเวลาทาสกินแคร์เป็นประจำ หลาย ๆ คนที่กำลังหาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำหัตถการนี้ อาจสงสัยว่า การฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานอยู่ที่เท่าไหร่ ?

บทความนี้จะพาทุกคนไปดูครับ ว่าเมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อ ราคาควรอยู่ที่เท่าไหร่ ? ราคาแบบไหนที่ควรระวัง ? พร้อมแนวทางพิจารณาเลือกสถานที่ฉีดเมโสหน้าใส ราคาคุ้มค่า และมีความปลอดภัย


ฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานอยู่ที่เท่าไหร่ ?

ฉีดเมโสหน้าใส ราคาเท่าไหร่

ฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานจะเริ่มต้นที่ประมาณ 2,500 บาทครับ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาก็มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น

  • ราคาของคอร์ส / จำนวนครั้งที่ฉีด โดยทั่วไปการฉีดเมโสหน้าใสราคาจะนับเป็นจำนวนครั้งครับ เพราะตัวยาแต่ละยี่ห้อจะมีปริมาณ CC ต่อขวดไม่เท่ากัน และบางยี่ห้อจำเป็นต้องผสมตัวยาก่อนฉีด ซึ่งราคาฉีดเมโสหน้าใสในคลินิกความงามจะมีทั้ง 1 ครั้ง 5 ครั้ง หรือ 10 ครั้ง โดยส่วนใหญ่ถ้าเลือกซื้อแบบคอร์ส ราคาฉีดเมโสหน้าใสต่อครั้ง ก็จะถูกลงตามไปด้วยครับ
  • ค่ามือหมอ หรือค่าประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีดครับ ซึ่งแพทย์ที่มากประสบการณ์ และได้รับความไว้วางใจจากคนไข้ จะมีเทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสที่ดี และมือเบา ทำให้ช่วยลดโอกาสเกิดอาการบวมช้ำที่ไม่จำเป็น รวมถึงยังสามารถให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา และปรับสูตรยาให้เหมาะสมกับปัญหาใบหน้าของคนไข้แต่ละคนอีกด้วย ทำให้หลังฉีดได้ผลลัพธ์ที่ดี
  • ราคาต้นทุนยา เมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อจะมีราคาต้นทุนการผลิต และการนำเข้าที่แตกต่างกัน เพราะส่วนผสมของตัวยาบางยี่ห้อจะใช้สาร HA ที่พรีเมียมกว่า หรือสารตัวอื่น ๆ ที่มีงานวิจัย ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ราคาเมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อจะไม่เท่ากัน แม้จะฉีดในปริมาณที่เท่ากันครับ
  • โปรโมชันการตลาด บางคลินิกจะมีการจัดโปรโมชันคืนกำไรให้ผู้ใช้บริการ หรือการทำการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาล ทำให้การซื้อคอร์สในช่วงนั้น ๆ ราคาฉีดเมโสหน้าใสจะถูกลงมา

จะเห็นได้ว่า การฉีดเมโสหน้าใส ราคาในแต่ละคลินิกแตกต่างกันครับ แต่หากเปรียบเทียบราคาฉีดเมโสหน้าใส ที่ยี่ห้อเดียวกัน และปริมาณการฉีดเท่ากัน ในคลินิกความงามชั้นนำแต่ละแห่งราคาจะไม่แตกต่างกันมากครับ ดังนั้นถ้าพบราคาที่ถูกกว่าหลายเท่าตัว หรือราคาเริ่มต้นที่หลักร้อยหรือหลักพันต้น ๆ จะมีความเสี่ยงที่ตัวยาไม่ใช่ของแท้ และไม่ได้มาตรฐาน จึงควรหลีกเลี่ยงครับ


ฉีดเมโสหน้าใส ราคาต่างกัน ให้ผลลัพธ์ต่างกันจริงไหม ?

การฉีดเมโสหน้าใสราคาต่างกัน สามารถให้ผลลัพธ์ และความพึงพอใจที่ต่างกันได้ครับ รวมถึงมีระดับความปลอดภัยในการทำหัตถการต่างกันอีกด้วย เนื่องจากในการฉีดเมโสหน้าใส ราคาจะขึ้นอยู่กับต้นทุนของตัวยาแต่ละยี่ห้อ และค่าประสบการณ์ของแพทย์ร่วมด้วย ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลลัพธ์ต่างกัน มีดังนี้

  • ผู้ฉีดไม่ใช่แพทย์ สำหรับใครที่อยากฉีดเมโสหน้าใสราคาถูกมาก และไม่อยากเสียค่ามือหมอ เป็นไปได้ว่าอาจเสี่ยงฉีดกับหมอกระเป๋า ซึ่งจะทำให้ขาดเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง อาจฉีดผิดชั้นผิว ทำให้หลังฉีดไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อตามมา เพราะขั้นตอนและสถานที่ทำหัตถการไม่สะอาดเพียงพอครับ

นอกจากนี้ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ จะไม่สามารถซื้อตัวยาของแท้ได้ ทำให้หลังฉีดเสี่ยงต่อการระคายเคือง หรือแพ้ตัวยาตามมาได้อีกด้วย

  • ตัวยาของปลอม การฉีดเมโสหน้าใสราคาถูกมาก ๆ จะเสี่ยงพบเจอกับตัวยาของปลอม ที่นำเข้าไม่ได้มาตรฐาน หรือใส่สารสเตียรอยด์ หรือฮอร์โมน ทำให้หลังฉีดในช่วงแรก ผิวจะดูขาวเนียนนุ่ม และเห็นผลลัพธ์ไวครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะส่งผลเสียต่อผิว เช่น ผิวติดสาร ผิวอักเสบ บวมแดง หรือผิวไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ และจุดต่างดำได้ง่าย ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการรักษานาน และหายขาดได้ยาก

ฉีดเมโสหน้าใส ราคาเท่าไหร่ ? เลือกยี่ห้อไหนดี ?

ฉีดเมโสหน้าใส ราคาเท่าไหร่ ? จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่แต่ละคนเลือกครับ โดยตัวยาเมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่น และสามารถใช้แก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไปได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีด แนะนำให้ปรึกษา และประเมินสภาพผิวกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีหลังฉีดครับ สำหรับตัวยาเมโสหน้าใสยี่ห้อที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

ฉีดเมโสหน้าใส Made Collagen ราคา

ฉีดเมโสหน้าใส Made Collagen ราคา

Made Collagen คือ ยาเมโสหน้าใสจากประเทศอิตาลีครับ ตัวยาของยี่ห้อนี้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ประกอบด้วยแร่ธาตุ วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และเอนไซม์ ที่มีคุณสมบัติช่วยขับสารพิษตกค้างในชั้นผิว ฟื้นฟูเซลล์ผิว และชะลอการสูญเสียคอลลาเจน

นิยมฉีด Made Collagen เพื่อลดสิว และผดผื่น นอกจากนี้ยังสามารถฉีดเมโสหน้าใสยี่ห้อนี้ในผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย หรือผิวไม่แข็ง ที่ต้องการบำรุงผิวแบบเร่งด่วน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณดูกระจ่างใสขึ้นครับ

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานของ Made Collagen จะอยู่ที่ประมาณ

  • จำนวน 1 ครั้ง ราคา 2,500 บาท
  • คอร์ส 5 ครั้ง ราคา 9,900 บาท

ฉีดเมโสหน้าใส Filorga ราคา

ฉีดเมโสหน้าใส Filorga ราคา

Filorga คือ ยาเมโสหน้าใสที่มีส่วนผสมของวิตามิน และกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA: Hyaluronic Acid) โมเลกุลเดี่ยวที่ไม่เชื่อมพันธะ (Non Cross-Linked) ทำให้ตัวสารมีลักษณะเป็นของเหลว และกระจายตัวได้ดีใต้ผิว

นิยมฉีดเพื่อแก้ปัญหาผิวขาดน้ำ ปรับให้ผิวดูอิ่มฟู และมีสุขภาพดีขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงแก้ปัญหาริ้วรอยขนาดเล็ก และใต้ตาคล้ำ เหมาะกับผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ต้องการแก้ปัญหาผิวโทรม ผิวแห้งกร้าน หรือใต้ตาคล้ำให้เห็นผลลัพธ์เร็ว

สำหรับผู้ที่ต้องารฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานของ Filorga จะอยู่ที่ประมาณ

  • จำนวน 1 ครั้ง ราคา 9,000 บาท
  • คอร์ส 5 ครั้ง ราคา 39,000 บาท

ฉีดเมโสหน้าใส Revs ราคา

ฉีดเมโสหน้าใส Revs ราคา

Revs คือ ยาเมโสหน้าใสจากประเทศเกาหลี มีส่วนผสมที่สำคัญหลายอย่าง เช่น HA วิตามินรวมเข้มข้น และสารต้านอนุมูลอิสระกว่า 50 ชนิด จึงมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว ลดฝ้า และปรับให้ผิวดูอิ่มน้ำ

นิยมฉีดในกลุ่มที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน และขาดการบำรุง ที่ต้องการฟื้นฟู และซ่อมแซมผิวอย่างเร่งด่วน รวมถึงยังสามารถฉีดเพื่อรักษาหลุมสิวขนาดเล็กได้อีกด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานของ Revs จะอยู่ที่ประมาณ

  • จำนวน 1 ครั้ง ราคา 6,000 บาท
  • คอร์ส 5 ครั้ง ราคา 25,000 บาท

ฉีดเมโสหน้าใส Tensonez ราคา

ฉีดเมโสหน้าใส Tensonez ราคา

Tensonez คือ ตัวยาเมโสหน้าใสจากประเทศเกาหลี มีส่วนผสมของสารที่เป็นประโยชน์ ต่อการบำรุงผิวหลายชนิด เช่น HA, Glutathione, Collagen, Multipeptide และ Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline) จึงมีคุณสมบัติเด่นในการบำรุงผิวให้กระจ่างใส ลดรอยดำจากฝ้า กระ และจุดด่างดำ รวมถึงช่วยฟื้นฟูสภาพผิว เสริมความแข็งแรง เติมความชุ่มชื้น และปรับให้ผิวดูเรียบเนียน สุขภาพดี

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานของ Tensonez จะอยู่ที่ประมาณ

  • จำนวน 1 ครั้ง ราคา 3,500 บาท
  • คอร์ส 5 ครั้ง ราคา 15,000 บาท

ฉีดเมโสหน้าใส Neo-Glutanex Glow ราคา

ฉีดเมโสหน้าใส Neo-Glutanex Glow ราคา

Neo-Glutanex Glow คือ ตัวยาเมโสหน้าใสที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการปรับให้ผิวดูขาวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ และช่วยแก้ปัญหารอยแดงที่เกิดจากสิว นิยมฉีดเพื่อบำรุงให้ผิวใส เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มน้ำ และกระชับรูขุมขน ด้วยส่วนผสมและอาหารผิวที่สำคัญหลายชนิด เช่น กลูตาไธโอนบริสุทธิ์, คอลลาเจน, PDRN, HA และวิตามินอื่น ๆ กว่า 20 ชนิด

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานของ Neo-Glutanex Glow จะอยู่ที่ประมาณ

  • จำนวน 1 ครั้ง ราคา 3,500 บาท
  • คอร์ส 5 ครั้ง ราคา 15,000 บาท

ฉีดเมโสหน้าใส Alpha Arbutin ราคา

ฉีดเมโสหน้าใส Alpha Arbutin ราคา

Alpha Arbutin คือ ตัวยาเมโสหน้าใส ซึ่งส่วนผสมเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ได้จากใบของพืชเมืองหนาว เช่น Bearburry, Cranburry, Mulberry และ Blueburry มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึงซ่อมแซมและกระตุ้นการเกิดใหม่ของเซลล์ผิว

นิยมฉีดเพื่อปรับให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียน สีผิวดูสม่ำเสมอ และลดเลือนรอยดำจากฝ้า จุดด่างดำ และรอยดำจากสิว รวมถึงยังช่วยให้รูขุมขนมีขนาดเล็กลง ลดความมันบนใบหน้า และช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ลง

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานของ Alpha Arbutin จะอยู่ที่ประมาณ

  • จำนวน 1 ครั้ง ราคา 3,500 บาท
  • คอร์ส 5 ครั้ง ราคา 15,000 บาท

อยากฉีดเมโสหน้าใส ราคาคุ้มค่า ปลอดภัย เลือกที่ไหนดี ?

ฉีดเมโสหน้าใส ราคาคุ้มค่า เลือกที่ไหนดี

สำหรับใครที่อยากฉีดเมโสหน้าใส ราคาคุ้มค่า และการบริการมีความปลอดภัย แนะนำให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้

  • คลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ต้องมีใบอนุญาต 11 หลักแปะไว้ด้านหน้าของคลินิก ซึ่งคลินิกเหล่านี้จะมีความสะอาด และมีอุปกรณ์ในกรณีฉุกเฉินครบครัน ทำให้การใช้บริการมีความปลอดภัยมากครับ นอกจากนี้ควรเลือกคลินิกที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกสบาย เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือใกล้ระบบขนส่งสาธารณะอีกด้วย
  • บริการก่อนและหลัง ก่อนการฉีดเมโสหน้าใสควรประเมินสภาพผิวกับแพทย์เจ้าของเคสโดยตรงครับ ซึ่งจะแนะนำสูตรตัวยาเมโสหน้าใสที่ตอบโจทย์ได้ มากกว่าการซื้อคอร์สกับพนักงานขายเพียงอย่างเดียว และควรมีนัดติดตามผลลัพธ์หลังฉีด นอกจากนี้ถ้าคลินิกมีช่องทางการติดต่อที่ง่ายและสะดวก สามารถสอบถามข้อสงสัย หรือปัญหาหลังการทำหัตถการได้ก็จะยิ่งดีเลยครับ
  • แพทย์ที่มากประสบการณ์ สามารถตรวจสอบได้จากรีวิวครับ ถ้าแพทย์มีเคสต่อเนื่อง และรีวิวในทางบวกเป็นจำนวนมาก แสดงว่าได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการ รวมถึงควรนำชื่อไปตรวจสอบกับเว็บไซต์ของแพทยสภาอีกด้วย
  • ราคามาตรฐาน การฉีดเมโสหน้าใส ราคามาตรฐานจะเริ่มต้นที่ประมาณ 2,500 บาทต่อครั้งครับ ซึ่งต่อให้มีโปรโมชันในคลินิกชั้นนำ ราคาก็จะไม่แตกต่างกันมาก ดังนั้นถ้าพบเจอการฉีดเมโสหน้าใสที่ราคาต่ำมาก เช่น หลักร้อย หรือหลักพันต้น ๆ ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจเป็นตัวยาเมโสหน้าใสที่ไม่ได้มาตรฐานครับ
  • ยาของแท้และนำเข้าถูกต้อง ตัวยาเมโสหน้าใสที่ผ่านอย.ไทย จะนำเข้าอย่างถูกต้อง และจำเป็นต้องสั่งจากบริษัทที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น นอกจากนี้ควรศึกษาวิธีเช็กตัวยาเมโสหน้าใสของแท้ของแต่ละยี่ห้อ และควรให้แพทย์แกะกล่อง และผสมยาให้ดูต่อหน้าก่อนฉีด
  • รีวิวที่น่าเชื่อถือ ควรเป็นรีวิวที่เขียนโดยผู้ใช้บริการจริง และสามารถตรวจสอบได้ครับ รวมถึงรีวิวเหล่านี้ควรอยู่ในแหล่งที่เป็นกลาง ซึ่งคลินิกความงามไม่สามารถลบออกได้เอง เช่น Facebook Fanpage และ Pantip

สรุป

หลาย ๆ คนคงจะได้คำตอบกันไปแล้วว่า ฉีดเมโสหน้าใสราคาเท่าไหร่ ? ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปตามยี่ห้อตัวยาที่เลือกใช้ โปรโมชันของคลินิกความงาม และค่าประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำหัตถการครับ แต่ถ้าฉีดในคลินิกความงามชั้นนำ ราคาก็จะไม่แตกต่างกันมาก

ฉีดเมโสหน้าใส ตัวช่วยบำรุงผิวกระจ่างใสแบบเร่งด่วน ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดี แบบวัดผลได้

0
ฉีดเมโสหน้าใส

ฉีดเมโสหน้าใส

ฉีดเมโสหน้าใส

ปัจจุบันเทรนด์งานผิวฉ่ำน้ำ กระจ่างใสดูสุขภาพกำลังมาแรงอย่างมาก การฉีดเมโสหน้าใส เป็นหนึ่งในวิธีบำรุงผิวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีวิธีการทำไม่ยาก ช่วยเปลี่ยนผิวคล้ำเสียผิว ให้กลับมากระจ่าง เรียบเนียน ดูสุขภาพขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว มีราคาย่อมเยา หากฉีดในคลินิกที่ได้มาตรฐานก็จะมีความปลอดภัยสูง


ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร ?

ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร

ฉีดเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) คือ การทำทรีตเมนต์บำรุงผิวรูปแบบหนึ่งที่นำวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น Vitamin A, B, C, E Transamin, Glutatione, คอลลาเจน, โคเอนไซม์ มาฉีดเข้าสู่ผิวชั้นกลาง (Dermis) โดยตรง จึงเป็นวิธีช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวได้เร่งด่วน เห็นผลไวกว่าการทาครีมที่เป็นการบำรุงเพียงผิวชั้นนอก และต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลชัดเจนครับ


ฉีดเมโสหน้าใส ช่วยเรื่องผิวด้านใดบ้าง ?

  • ฉีดเมโสหน้าใสช่วยบำรุงผิวให้ผิวกลับมาแข็งแรง ยืดหยุ่น ดุเปล่งปลั่ง
  • ฉีดเมโสหน้าใสช่วยปรับสีผิวให้ดูกระจ่างใสอย่างสม่ำเสมอ ฟื้นฟูผิวคล้ำเสียจากแสงแดด
  • ช่วยเติมความชุ่มชื้น บำรุงผิวล้ำลึก แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน แต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางไม่ติดทน
  • ช่วยกระชับรูขุมขน ปรับใบหน้าให้ดูเรียบเนียน
  • กระตุ้นการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนัง
  • ช่วยลดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำสิว
  • ขับสารพิษที่ตกค้าง ลดการอักเสบของผิว ลดสิว ผดผื่น บำรุงผิวให้แข็งแรง ดูสุขภาพดี
  • ฟื้นฟูเซลล์ผิวและชะลอการเสื่อมของคอลลาเจนในผิว

ฉีดเมโสหน้าใส เหมาะกับใครบ้าง ?

ฉีดเมโสหน้าใส เหมาะกับใคร

  • คนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ มีรูขุมขนกว้าง
  • คนที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวอักเสบ เป็นสิวมีผดผื่น ผิวไม่แข็งแรง ต้องการบำรุงผิวให้แข็งแรง ดูสุขภาพดี
  • คนที่สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีรอยดำสิว ฝ้า กระ
  • คนที่ต้องการปรับผิวใส ผิวขาวขึ้น
  • คนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง พักผ่อนน้อย ขี้เกียจทาครีม ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าแบบเร่งด่วน

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด vs 16 จุด ต่างกันอย่างไร ?

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใส มีทั้งแบบฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด และการฉีดเมโสหน้าใส 16 จุด ซึ่งด้วยเทคนิคการฉีดที่ต่างกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันครับ

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด จะเป็นการใช้เข็มฉีดตัวยาให้กระจายเป็นจุดเล็ก ๆ บนผิวหนังชั้นตื้นทั่วทั้งหน้า ตัวยาจะซึมเข้าใสชั้นผิวหนังได้ดี แต่มีผลข้างเคียง คือ มีรอยแดง รอยช้ำจากเข็ม ซึ่งหากขั้นตอนในการฉีดไม่สะอาดเพียงพอ จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ เทคนิคนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมครับ

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด จะเป็นการฉีดตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง ซึ่งข้อดีของเทคนิคนี้ คือ มีรอยแดง รอยช้ำจากเข็มน้อยกว่า เจ็บน้อยกว่า และตัวยาออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่าผลลัพธ์ดีกว่า ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ดีครับ


ฉีดเมโสหน้าใสมีกี่สูตร ยี่ห้อไหนดี ?

เมโสหน้าใสมีหลายยยี่ห้อให้เลือกใช้ครับ แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติในการแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน เมโสยี่ห้อไหนดี หมอจะประเมินและเลือกสูตรเมโสที่เหมาะสม ดังนี้

ฉีดเมโสหน้าใสมีกี่สูตร ยี่ห้อไหนดี

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Made Collagen

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Made Collagen ตัวยาจะประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อผิว เด่นในเรื่องการขับล้างสารพิษออกจากผิวด้วยกลไก Homeopathy Enzyme ร่วมกับ Lymphatic drainage system ที่เป็นการกระตุ้นให้เซลล์ผิวขับสารพิษออกทางระบบน้ำเหลือง และกระจายสารอาหารไปหล่อเลี้ยงผิว เน้นลดสิว ลดผื่น ช่วยขับสารพิษ บำรุงผิวให้แข็งแรง

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Filorga / Revs

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Filorga / Revs  เป็นตัวยาที่มีส่วนผสมของวิตามินต่าง และ HA แบบโมเลกุลเดี่ยว (Non Cross-Linked) ที่ไม่เชื่อมหรือเกาะกัน จึงกระจายตัวได้ง่าย มีจุดเด่นในการบำรุง ฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวให้ชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำแบบเร่งด่วน ช่วยรักษาหลุมสิวขนาดเล็ก เสริมสร้างคอลลาเจน และปกป้องเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ เน้นผิวขาวใส ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ

เมโสหน้าใสยี่ห้อTensonez

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Tensonez ตัวยาจะมีส่วนผสมของสารที่มีประโยชน์และช่วยบำรุงผิวหลายชนิด เช่น Hyaluronic acid, Glutathione, Collagen, Multipeptide และ Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline) ที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวหน้ากระจ่างใส ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้ดูเรียบเนียนสดใส ฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความชุ่มชื้น แข็งแรงขึ้น เน้นลดปัญหาฝ้าบนใบหน้า ให้หน้าขาวใส

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Neo Glutanex Glow

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Neo Glutanex Glow ตัวยามีส่วนผสมของกลูต้าไธโอนบริสุทธิ์ และวิตามินมากกว่า 20 ชนิด ช่วยบำรุงผิวใส ลดริ้วรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดงสิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มน้ำ กระชับรูขุมขน และยังสามารถฉีด Neo-Glutanex Glow ใต้ตาเพื่อฟื้นฟูใต้ตาคล้ำให้กลับมาสดใส  เน้นหน้าขาวใส กระตุ้นคอลลาเจน

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Alpha arbutin

เมโสหน้าใสยี่ห้อ Alpha arbutin เป็นยี่ห้อเมโสหน้าใสที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี (Melanin) จึงเด่นในการปรับสีผิวให้กระจ่างใส ลดฝ้า จุดด่างดำ สีผิวดูสม่ำเสมอ รอยดำสิวจางลง เน้นลดฝ้าโดยตรง

เมโสหน้าใสแต่ละสูตรจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นก่อนเลือกฉีดเมโสหน้าใสยี่ห้อไหนดี คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินปัญหาผิวหน้า และเลือกสูตรเมโสหน้าใสที่เหมาะสมครับ


ฉีดเมโสหน้าใส อันตรายไหม ? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

ตัวยาเมโสหน้าใสของแท้จะเป็นตัวยาที่สกัดมาจากธรรมชาติ ปลอดภัย สลายหมด ไม่มีสารตกค้าง หลังฉีดไม่มีผลข้างเคียง มีเพียงรอยแดงจากเข็มเล็ก ๆ และตุ่มนูนจากตัวยา ต้องรอให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิว ประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็จะหายเป็นปกติครับ

ส่วนผลที่เกิดผลข้างเคียง เช่น ฉีด Meso แล้วสิวขึ้นเยอะกว่าเดิม เกิดการอักเสบ บวมแดง หรือมีผื่นแพ้ขึ้น อาการประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเกิดจากการฉีดเมโสของปลอมที่มีสิ่งเจือปน อย่างพวกสเตียรอยด์ ฮอร์โมน พบได้บ่อยกรณีซื้อเมโสจากอินเทอร์เน็ตมาฉีดเองฉีด ฉีดกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดกับหมอกระเป๋าครับ


ฉีดเมโสหน้าใส กี่วันเห็นผล ต้องฉีดบ่อยแคไหน ?

ฉีดเมโสหน้าใส จะเริ่มเห็นผลว่าผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สุขภาพดีขึ้นประมาณ 3 วัน เห็นผลเต็มที่ใน 7-14 วัน แต่ถ้าไม่ฉีดต่อเนื่องและไม่ดูแลตัวเอง ผิวก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมครับ แนะนำให้ฉีดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ในเดือนแรก และหลังจากนั้นฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์เพื่อคงสภาพผิวไว้ครับ

การฉีดเมโสหน้าใสไม่มีแบบฉีดแล้วเห็นผลถาวรครับ เพราะตัวยาสกัดมาจากธรรมชาติ สามารถสลายได้หมด 100% ไม่มีสารตกค้าง ถ้าเจอคลินิกที่บอกว่าฉีดแล้วอยู่ได้นาน เห็นผลถาวร เลี่ยงได้เลี่ยงครับ


ฉีดเมโสหน้าใส อยู่ได้นานแค่ไหน ?

Meso หน้าใสจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือนครับ ถ้าการดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใสที่ดี ไม่ทำพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว เช่น ตากแดดจัด พักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มแอลกอฮอลล์หรือสูบบุหรี่ ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้นานขึ้น


วิธีดูแลหลังฉีดเมโสหน้าใส เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและอยู่ได้นาน

วิธีดูแลหลังฉีดเมโสหน้าใส

  • งดการกด นวด ถูผิวบริเวณที่ฉีดเมโสหน้าใส
  • งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน เพื่อป้องกันการระคายเคือง
  • หากเกิดรอยแดง รอยช้ำจากเข็มบริเวณที่ฉีด สามารถประคบเย็นได้ตามคำแนะนำของแพทย์
  • แนะนำให้อยู่ในอากาศเย็น ช่วยลดการบวมเข็มได้ครับ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผิว เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
  • ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิว ไม่ให้ผิวคล้ำเสีย
  • รับประทานผักและผลไม้ เพื่อเสริมสร้างวิตามิน
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

สรุป

การฉีดเมโสหน้าใส ถือว่าเป็นตัวช่วยบำรุงผิวที่คุ้มค่าถ้าเทียบกับการทาครีมราคาแพงแต่ได้ผลลัพธ์ช้ากว่ามาก เมื่อฉีดไปแล้วอยากรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น ก็สามารถฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ ไม่เป็นอันตรายครับ แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ไม่ควรฉีดเมโสปลอม เมโสที่รับฉีดตามบ้าน หรือสั่งซื้อเองทางออนไลน์ เพราะเป็นตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้แล้วอาจมีอาการแพ้ เป็นผื่น ทำให้ผิวบางหรือเกิดการอักเสบได้

สิ่งสำคัญหลังฉีดเมโสหน้าใส คือ การดูแลตัวเอง และไม่ทำพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และงดสูบบุหรี่ ซึ่งจะช่วยให้การฉีดเมโสหน้าใสได้ผลดี และเห็นผลไวครับ

Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera – Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

0

image3 - Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera - Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

Thermage FLX 

Thermage FLX เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด ใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย หรือมีไขมันส่วนเกินสะสม อยากกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวแน่นกระชับ เรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ หรืออยากยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียว สามารถทำเทอร์มาจได้ครับ ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาทำไม่นาน เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี  

มาทำความรู้จักเครื่องเทอร์มาจ FLX ให้มากขึ้น Thermage FLX คืออะไร ? ดีไหม ? ต่างจาก Thermage รุ่นอื่น ๆ และ Ulthera-Hifu อย่างไร ? ทำเทอร์มาจ FLX เจ็บไหม ? อันตรายไหม ? เหมาะกับใคร ? ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ใช้กี่ช็อต ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ราคาเท่าไร ? ทำ Thermage FLX ที่ไหนดี ? และวิธีตรวจสอบเทอร์มาจ FLX เครื่องแท้ ปลอดภัย ติดตามได้ในบทความนี้ครับ  


Thermage FLX คืออะไร ? 

Thermage FLX คือ เทคโนโลยียกกระชับ สลายไขมัน ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ยิงก้อนพลังงานความร้อนลงในชั้นผิว ครอบคลุมทุกชั้นผิวและชั้นไขมัน ทำให้ผิวเกิดการหดตัว ลดไขมัน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวแน่นกระชับ ตึง เหมือนการดึงหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น 

เทอร์มาจมีหัวยิงหลายหัวครับ เพื่อให้แพทย์เลือกใช้แก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล  

  • หัว EYE Tip 0.25 cm2 ลดริ้วรอยรอบดวงตา แก้หนังตาตก        
  • หัว Face Tip 4.0 cm2 ผิวเรียบเนียน กระชับ ริ้วรอยลดลง กรอบหน้าชัด       
  • หัว BODY Tips 16.0 cm2 กระชับสัดส่วน ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก ต้นขา 

Thermage FLX ดีไหม ? 

Thermage FLX ให้ผลลัพธ์ดีและมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับงบประมาณ ถ้ามีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย อยากให้ผิวกลับมาเนียน แน่นกระชับ แต่ไม่อยากผ่าตัด เพราะกลัวเจ็บ ไม่มีเวลาพักฟื้น การทำเทอร์มาจสามารถยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยให้คุณภาพผิว (Skin Quality) ดีขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นครับ  


Thermage FLX, Ulthera, Hifu ช่วยยกกระชับเหมือนกัน มีข้อแตกต่างกันอย่างไร ? 

ในกลุ่มเครื่องยกกระชับ ทั้ง Thermage FLX, Ulthera, Hifu เป็นเครื่องที่ได้รับความนิยม แม้จะมีจุดเด่นในการยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่หากเจาะลึกการทำงานของตัวเครื่องมีความแตกต่างกันครับ 

อย่าง Thermage FLX ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เทอร์มาจจะยิงเป็นบริเวณกว้าง ไม่โฟกัสเป็นจุด ๆ ถ้าเทียบจุดกัน Ulthera กับ Hifu ขนาดจุดโฟกัสประมาณ 1 mm แต่ Thermage จะประมาณ 2 cm ซึ่งใหญ่กว่าประมาณ 100 กว่าเท่า พลังงานจึงครอบคลุมออกไปได้กว้าง ได้ทั้งชั้นหนังแท้ ที่มีคอลลาเจนและอิลาสติน และชั้นไขมัน

image4 - Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera - Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

ผลที่ได้จากการทำ Thermage FLX เด่น ๆ คือ เรื่องของงานผิว ผิวเนียน ผิวนุ่ม ผิวละเอียด บวกกับทำให้ไขมันบางส่วนกระชับขึ้น เล็กลง ในคนที่หน้าใหญ่ ชั้นไขมันเยอะ ๆ Thermage จึงให้ผลในเรื่องของหน้าเรียวด้วยครับ และยังช่วยในเรื่องริ้วรอยเล็ก ๆ รูขุมขนกระชับขึ้นด้วย 

ส่วนถ้าใครที่อยากได้เรื่องงานผิว หมอจะแนะนำเป็น Hifu โดยจะเน้นหัวยิงสำหรับผิวชั้นตื้นเยอะ ๆ ซึ่งก็ให้ผลลัพธ์ดีและคุ้มค่าเหมือนกันครับ แต่ถ้าผิวชั้นลึกก็จะเหมาะกับ Ulthera เพราะมีเทคโนโลยีหัวสแกน มีหน้าจอให้มองเห็นระดับความลึก จึงทำให้ยิงได้แม่นยำครับ 


จุดเด่นของ Thermage FLX ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? 

  • ยกกระชับผิว
  • ลดแก้ม ลดเหนียง หน้าเรียว 
  • ผิวเนียนขึ้น แน่นกระชับ 
  • กระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย 
  • ใบหน้าดูอ่อนเยาว์

Thermage FLX เหมาะกับใครบ้าง ? 

  • คนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าชัด 
  • คนที่มีปัญหาไขมันสะสมบริเวณแก้ม ใต้คาง เหนียง
  • คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย บริเวณใบหน้า คอ หน้าท้อง ต้นแขน หลังมือ
  • คนที่มีปัญหาเซลลูไลท์บริเวณต้นขาและก้น
  • คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า กระชับรูขุมขน ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์

Thermage FLX ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? แต่ละตำแหน่งใช้กี่ Shot / Line

การทำ Thermage ทำได้หลายตำแหน่งที่ต้องการยกกระชับ เช่น  

  • ใบหน้าและลำคอ (แก้ม เหนียง กรอบหน้า)
  • รอบดวงตา (หนังตา เปลือกตา คิ้ว)          
  • ลำตัว (ต้นแขน หลังมือ หน้าท้อง สะโพก ต้นขา) 

แต่ละตำแหน่งจะใช้จำนวน Shot ไม่เท่ากันครับ หน่วยการยิง Thermage จะเรียกเป็น Shot (ช็อต)  เริ่มทำได้ตั้งแต่ 450-2,000 Shot หมอจะต้องประเมินปัญหาและสภาพผิวของคนไข้ก่อน เพื่อประเมินจำนวน Shot ที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดครับ

  • รอบดวงตา 450 Shot 
  • แก้ม + เหนียง 450 Shot 
  • ทั่วหน้า 900 shot 1,800 Shot 
  • ลำตัว 2,000 Shot

image7 - Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera - Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?


ความพิเศษที่ทำให้ Thermage FLX ต่างจาก Thermage รุ่นอื่น ๆ คืออะไร ? 

ตั้งแต่ปี 2003-2018 เครื่อง Thermage พัฒนาออกมาหลายรุ่นครับ เช่น Thermage TC, Thermage NXT, Thermage CPT และ Thermage FLX ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่พัฒนาขึ้นในปี 2018 และมีประสิทธิภาพที่สุด โดยความพิเศษของเทอร์มาจรุ่นนี้จะระบุไว้ในชื่อรุ่น FLX ดังนี้  

  • F (FASTER) : มี New Total Tip 4.0 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะช่วยให้ปล่อยพลังงานความร้อนได้ครอคลุมพื้นที่มากขึ้นถึง 33% และเร็วกว่ารุ่นเดิม 25%
  • L (ALGORITHM) : มีเทคโนโลยี AccuREPTM Technology แบบ Real-time ทำให้ทุก Shot พลังงานที่ยิงมีความเหมาะสม สม่ำเสมอ มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูง
  • X (EXPERIENCE) : มี Advanced Comfort Pulse Technology และระบบ Cooling effect และพลังงานสั่น (Multi-Directional Vibration) ช่วยควบคุมอุณหภูมิผิวในขณะที่ปล่อยพลังงาน ทำให้รู้สึกสบายและเจ็บน้อยลง 

วิธีตรวจสอบเครื่อง Thermage FLX แท้

เครื่อง Thermage FLX ต้องนำเข้าจากอเมริกา ราคาต่อเครื่องสูงครับ ทำให้มีเทอร์มาจเครื่องปลอม เครื่องจีนออกมา ดีไซน์ตัวเครื่องเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออกครับ แต่ประสิทธิภาพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ก่อนทำ Thermage คนไข้จึงควรรู้วิธีตรวจสอบเทอร์มาจเครื่องแท้ ซึ่งมี 3 จุดใหญ่ ๆ ให้สังเกต   

image2 - Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera - Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

  • เทอร์มาจเครื่องแท้ ต้องมีสติกเกอร์เครื่องแท้ติดอยู่หน้าคลินิก 
  • มีโล่ และประกาศนียบัตร ที่ออกโดย SOLTA MEDICAL 
  • มีสติกเกอร์เครื่องแท้ ติดไว้ด้านหน้าตัวเครื่อง

นอกจากวิธีตรวจสอบเทอร์มาจเครื่องแท้ข้างต้น เพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์และความปลอดภัย ควรเลือกทำ Thermage FLX กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์แกะกล่องหัวยิงให้ดูต่อหน้า จะได้มั่นใจใช้เครื่องแท้ ใช้หัวยิงของแท้ และเป็นหัวใหม่ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อยิงครบจำนวน Shot ครับ 


Thermage FLX มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง ? 

ข้อดี Thermage FLX 

  • ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • เห็นผลหลังทำ 20% เห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 2-3 เดือน 
  • ใช้เวลาทำไม่นานประมาณ 40-90 นาที 
  • ครอบคลุมทุกชั้นผิวและชั้นไขมัน 
  • ทำได้ทั้งหน้าและตัว
  • คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ข้อเสีย Thermage FLX 

  • มีรอยแดงหลังทำ หายได้เองใน 1-2 ชั่วโมง 
  • ผิวไหม้ (Burn) กรณีใช้ Thermage เครื่องปลอม ไม่ได้มาตรฐาน ยิงพลังงานได้ไม่สม่ำเสมอ หรือยิงพลังงานความร้อนสะสมนานเกินไป 
  • ปากเบี้ยว ใบหน้าเบี้ยว เพราะยิงพลังงานไปกระทบกับเส้นประสาทบนใบหน้า 

ทำ Thermage FLX เจ็บไหม ? อันตรายไหม ?

การทำ Thermage จะรู้สึกเจ็บ แต่เป็นความเจ็บที่ทนได้ ตัวเครื่องมีระบบปล่อยความเย็นออกมาเป็นระยะ ๆ ช่วยควบคุมอุณหภูมิผิวในขณะที่ปล่อยพลังงาน และยังมีระบบสั่น Vibration ช่วยทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น เจ็บน้อยลง และระหว่างทำ Thermage แพทย์จะสอบถามความรู้สึกร้อนของคนไข้เป็นระยะ ๆ เพื่อปรับค่าพลังงานให้เหมาะสม 

ส่วนเรื่องอันตรายนั้น ถ้าใช้ Thermage FLX เครื่องแท้ นำเข้าโดยบริษัท ซอลต้า เมดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด มั่นใจได้ในความปลอดภัยครับ เพราะเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผ่านการรับรองจาก U.S.FDA และอย.ไทย 

H2 : Thermage FLX กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ต้องทำซ้ำไหม ?

หลังทำ Thermage คนไข้สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที จะรู้สึกว่าผิวยกกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง ประมาณ 20% เห็นผลชัดเจนมากขึ้นในช่วง 2-3 เดือน 

ผลลัพธ์หลังทำเทอร์มาจจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ เพราะผิวเกิดการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนที่ 6 ทำให้ผิวยกกระชับขึ้นไปอีกครับ คงผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุของคนไข้ และการดูแลตัวเองหลังทำเทอร์มาจ ถ้าต้องการคงผลลัพธ์ต่อเนื่องสามารถทำซ้ำได้ครับ หมอแนะนำให้ทำปีละครั้ง  

image5 - Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera - Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

image6 - Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera - Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?


ข้อควรทราบ และข้อควรปฏิบัติก่อน-หลังทำ Thermage FLX

ก่อนทำ Thermage FLX ขั้นตอนการเตรียมตัวไม่ยุ่งยากครับ ยกเว้นในกรณีที่คนไข้มีการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้ามาก่อน เช่น การร้อยไหมหรือการฉีดฟิลเลอร์ ควรเว้นอย่างน้อย 1 เดือนก่อนทำเทอร์มาจครับ

ก่อนทำ Thermage FLX 

  • เลือกคลินิกทำ Thermage ที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องแท้ 
  • ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินปัญหา สภาพผิว และจำนวน Shot ที่เหมาะสม
  • เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำ Thermage FLX  
  • แปะยาชาก่อนทำ Thermage FLX ประมาณ 30 นาที 
  • แพทย์ออกแบบตำแหน่งในการยกกระชับผิว และเริ่มขั้นตอนการทำเทอร์มาจ 
  • ใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 40-90 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวน Shot และตำแหน่งที่ทำ

หลังทำ Thermage FLX 

  • หลังทำ Thermage สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
  • สามารถใช้ครีมบำรุง หรือแต่งหน้าได้ตามปกติ
  • เน้นทาครีมบำรุงผิว ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
  • เน้นทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป
  • หลีกเลี่ยงการโดดแดดจัด ๆ หลังทำประมาณ 2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น สตีม ซาวน่า 2 อาทิตย์
  • งดทำทรีตเมนต์/เลเซอร์ร้อน/RF ลงผิวชั้นลึก ประมาณ 1 เดือน

Thermage FLX รีวิว

 

หน้ากลมแก้มเยอะ อยากลดแก้มทำอย่างไร ?

วิธีลดแก้ม ลดเหนียง แบบเร่งด่วน

image1 - Thermage FLX คืออะไร ? ต่างจาก Ulthera - Hifu อย่างไร ? เหมาะกับใคร ?


ทำ Thermage FLX ราคาเท่าไร ? ที่ไหนดี ? ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ? 

ราคา Thermge FLX ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว ความต้องการ และงบประมาณของคนไข้ เริ่มต้น 450 Shot อยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท ถ้าต้องทำหลาย shot ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย และยังขึ้นอยู่กับโปรโมชันส่วนลด ของแถม ของแต่ละคลินิก 

เลือกคลินิกทำเทอร์มาจไม่ควรดูที่ราคาอย่างเดียวครับ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ให้ต้องพิจารณา ดังนี้ 

  • คลินิกเปิดให้บริการถูกต้องตามกฎหมาย ได้มาตรฐาน 
  • ใช้ Thermage FLX เครื่องแท้ ตรวจสอบได้ 
  • ทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้า ผ่านการอบรม Thermage FLX Physician Training ใช้เครื่องมือเป็น สามารถแก้ปัญหาได้แม่นยำ ตรงจุด  

สรุป

Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับผิวให้ผลลัพธ์ดี คุ้มค่ากับงบประมาณครับ ใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีไขมันสะสมบนใบหน้า กรอบหน้าไม่ชัด อยากยกกระชับผิวแน่น หน้าเรียว หน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถทำ Thermage FLX กระตุ้นคอลลาเจนได้ 

แต่เนื่องจากปัญหาผิวหย่อนคล้อยมีหลายระดับ และเครื่องมือยกกระชับก็มีหลายตัว เช่น Thermage FLX, Ulthera, Hifu ก่อนทำควรให้แพทย์ประเมินปัญหาและสภาพผิว เพื่อเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุด ตรงกับงบประมาณของคนไข้ 

ปัจจุบันคลินิกความงามส่วนใหญ่มีบริการปรึกษาออนไลน์ สามารถส่งรูปหน้าให้แพทย์ประเมินก่อนได้ในเบื้องต้น ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ        

 

ฟิลเลอร์ (Filler) อันตรายไหม ฉีดจุดไหนช่วยอะไรบ้าง เห็นผลทันทีไหม ?

0
ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์

สำหรับคนที่กำลังสนใจฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เพื่อเติมเต็มหรือปรับรูปหน้าให้สวยงามขึ้น อาจมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ 

ในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์ คืออะไร ? อันตรายไหม ? ฟิลเลอร์แท้ดูอย่างไร ? ฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย.ไทย 2023 มียี่ห้อไหนบ้าง ? ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนได้บ้าง ? แต่ละจุด ใช้กี่ CC ? จุดฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่แนะนำ รวมถึงเทคนิคการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์


ฟิลเลอร์ คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ คืออะไร

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA ที่ถูกสร้างขึ้นมาเลียนแบบสารที่อยู่ในร่างกาย นำมาใช้ในการฉีดเพื่อทดแทนหรือเติมเต็มผิว บริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า รวมถึงผิวหนังส่วนอื่นของร่างกาย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่เป็นร่องลึก หรือเสริมส่วนบกพร่อง ปรับรูปหน้า ปรับโหงวเฮ้ง ลดเลือนริ้วรอย ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีความชุ่มชื้นขึ้น


ฟิลเลอร์ อันตรายไหม ? 

ฟิลเลอร์แท้ประเภท Hyaluronic Acid ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อ.ย ไทย ไม่อันตราย หากฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง รู้วิธีการฉีดไม่ให้เข้าเส้นเลือด สามารถออกแบบ ปรับรูปหน้าให้กับคนไข้ในแต่ละเคสได้อย่างเหมาะสม จะทำให้การฉีดฟิลเลอร์มีความปลอดภัย หลังทำเห็นผลลัพธ์ที่ดี ดูเป็นธรรมชาติ


วิธีดูฟิลเลอร์แท้ 

สำหรับฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ในเบื้องต้น ดังนี้ 

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Juvedermวิธีดูฟิลเลอร์แท้ Juvederm

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Restylane

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Restylane

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Belotero

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Belotero

 วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Definisse

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Definisse

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Flore

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ Flore

ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความโปร่งใสในการแกะกล่องฟิลเลอร์ให้คนไข้ดูต่อหน้า และอนุญาตให้ถ่ายรูปตัวยาหรือนำกล่องตัวยากลับบ้านได้ เพื่อให้เราสามารถนำไปตรวจสอบแล้วมั่นใจได้ว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นของแท้ค่ะ


ฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย.ไทย 2023

นอกจากตรวจสอบฟิลเลอร์ให้แน่ใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้แล้ว อีกอย่างที่ควรตรวจสอบคือฟิลเลอร์แท้ที่ใช้นั้น ผ่านอย.ไทย ในปีนั้น ๆ หรือไม่ด้วย ซึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่าน อ.ย ในปี 2023 มีอยู่ 10 รุ่น ดังนี้

ฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. 2023

  1. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm จากประเทศอเมริกา
  2. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  3. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane จากประเทศสวีเดน
  4. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ  Neobelle จากประเทศเกาหลี
  5. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse จากประเทศอิตาลี
  6. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Revanesse จากประเทศแคนาดา
  7. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis จากประเทศเกาหลี
  8. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Yvoire จากประเทศเกาหลี
  9. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ e.p.t.q จากประเทศเกาหลี
  10. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore จากประเทศเกาหลี 

ฟิลเลอร์ปลอม คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ปลอม คืออะไร

ฟิลเลอร์ปลอม คือ ฟิลเลอร์ที่ผลิตออกมาเพื่อเลียนแบบฟิลเลอร์แท้ ด้วยการใช้สารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมาเป็นส่วนประกอบในการผลิตฟิลเลอร์ เช่น พาราฟิน ไบโอพลาสติก ซิลิโคนเหลว ซึ่งสารเหล่านี้ไม่ผ่าน อย.ไทย เนื่องจากฉีดแล้วไม่สามารถสลายได้เอง เกิดเป็นสารตกค้างอยู่ในผิว ทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดการอักเสบ หากต้องการแก้ไขต้องผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น


หากพลาดไปฉีดฟิลเลอร์ปลอม มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง ?

ผลข้างเคียงอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม

  • อาจเกิดอาการฟิลเลอร์เน่า
  • ฟิลเลอร์ไหลย้อยผิดทิศทาง
  • ฟิลเลอร์อักเสบ ติดเชื้อ
  • ฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน ทำให้ใบหน้าผิดรูป
  • ฟิลเลอร์ไม่สลายตามธรมชาติ
  • เส้นประสาทถูกทำลาย
  • เนื้อตาย หรือ ตาบอด 

ดังนั้น ก่อนฉีดฟิลเลอร์ควรศึกษาข้อมูลคลินิกที่สนใจเข้ารับบริการอย่างละเอียดทุกครั้ง ว่าใช้ฟิลเลอร์แท้ประเภท Hyaluronic Acid เพื่อความปลอดภัย ไม่พลาดไปฉีดฟิลเลอร์ปลอมที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายดังที่ระบุไว้ในข้างต้นค่ะ


ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับใคร ? 

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวอักเสบติดเชื้อ หรือเป็นสิว บริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในภาวะเลือดไหลไม่หยุด (Bleeding Disorders) 
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือ กำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ข้อต่อ หรือเส้นเอ็น ในกรณีฉีดฟิลเลอร์มือ

H2 : ฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร ? 

  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ ดูอวบอิ่ม ไม่เป็นร่องลึก
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้มีมิติ เพิ่มความสมดุลของใบหน้า
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องการพักฟื้นนาน

ฉีดฟิลเลอร์ช่วยอะไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนได้บ้าง

เนื่องจากฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็ม จึงสามารถใช้ในการฉีดได้หลายตำแหน่ง ส่วนใหญ่นิยมใช้ในการฉีดเพื่อลดร่องลึก ปรับรูปหน้า รวมถึงเติมความชุ่มชื้นให้ผิวตามบริเวณต่าง ๆ ดังนี้ค่ะ

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

ช่วยลดร่องลึกบริเวณใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา ทำให้ผิวเรียบเนียน ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสขึ้น

  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม 

ช่วยลดร่องแก้มลึกให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน ดูสดใส ไม่เหนื่อยโทรม

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก 

ช่วยให้ปากอิ่มน้ำ ไม่แห้ง รวมถึงสามารถปรับทรงปากได้หลายทรง เช่น ปากกระจับ ปากทรงเกาหลี ปากสายฝอ เป็นต้น เพื่อเพิ่มเสน่ห์ เปลี่ยนลุคให้กับใบหน้า

  • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ 

ช่วยเติมแก้มตอบ แก้มตก แก้มแบน ยกกระชับใบหน้าให้ดูอิ่ม มีมิติ หน้าดูเด็กลง

  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ 

ช่วยเติมขมับตอบ ปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน มีโหงวเฮ้งที่ดีมากยิ่งขึ้น 

  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ช่วยเติมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ บุ๋ม เสริมโหงวเฮ้งให้ดูดีขึ้น

  • ฉีดฟิลเลอร์คาง 

ช่วยเสริมคางได้โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถแก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางเบี้ยว ปรับรูปหน้าให้สมส่วน ดูเรียว วีเชฟขึ้น

  • ฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า 

ช่วยยกกระชับผิวข้างแก้ม เก็บกรอบหน้า ให้กรอบหน้าชัดขึ้น ดูเด็กลง 

  • ฉีดฟิลเลอร์มือ 

ช่วยแก้ปัญหามือเหี่ยวย่น มือแห้งกร้าน ทำให้ผิวกลับมาเปล่งปลั่ง


H2 : ฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานกี่เดือน ?

หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีประมาณ 70-80% จากนั้นภายใน 2 สัปดาห์ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ เข้าที่ เรียบเนียนไปกับผิว เห็นผลลัพธ์ชัดเจน 

ทั้งนี้ ในช่วง 2 – 3 วันแรกหลังทำ อาจมีผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ คือ รอยแดงและอาการบวมจากเข็มเพียงเล็กน้อย สามารถยุบหายไปได้เอง เป็นอาการทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้ค่ะ  

ส่วนระยะเวลาคงผลลัพธ์ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์ ดังนี้ 

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา      อยู่ได้นาน 6-24 เดือน
  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม  อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
  • ฉีดฟิลเลอร์คาง        อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ       อยู่ได้นาน  12-24 เดือน
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก        อยู่ได้นาน 6-18 เดือน
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก  อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • ฟิลเลอร์กรอบหน้า    อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
  • ฟิลเลอร์มือ              อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

ฉีดฟิลเลอร์ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์สามารถทำร่วมกับการทำหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น ฉีด Botox ลดริ้วรอย , ร้อยไหมยกหน้าเรียว , ยกกระชับผิวด้วยเครื่อง Hifu , Ulthera , Thermage เป็นต้น

ตัวอย่างรีวิวก่อน-หลังทำหัตถการอื่น ๆ ร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม

ฉีดฟิลเลอร์ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม


ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุด ใช้กี่ CC ?

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก คาง แก้มส้ม มือ : ใช้ประมาณ 1 – 2 CC
  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม : ใช้ประมาณ  1 – 3 CC
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ขมับ กรอบหน้า : ใช้ประมาณ  2 – 4 CC
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก : ใช้ประมาณ  3 – 5 CC 

จุดฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่แนะนำ

สำหรับจุดฉีดฟิลเลอร์ที่ควรระวัง เนื่องจากเป็นจุดที่มีเส้นเลือดอยู่มาก หากศึกษาข้อมูลและดูรีวิวไม่ละเอียดมากพอ อาจมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงสูง ทำมาแล้วไม่คุ้มค่า ซึ่ง 2 จุดหลัก ๆ ที่แพทย์ไม่ค่อยแนะนำ ได้แก่ 

  • ฟิลเลอร์หน้าอก

ถึงแม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์หน้าอก เป็นหนึ่งในทางเลือกของคนที่ต้องการเสริมหน้าอกซึ่งกลัวการผ่าตัดและไม่ต้องการพักฟื้นนาน แต่ความเป็นจริงแล้ว การฉีดฟิลเลอร์หน้าอกนั้นอันตรายมาก ทำแล้วอาจมีความเสี่ยงทำให้หน้าอกเกิดการอักเสบ กลายเป็นก้อนเข็ง ๆ และเกิดพังผืด ทำให้หน้าอกเสียทรงได้ ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องการมีหน้าอกอิ่มสวย จะแนะนำให้ทำศัลยกรรมหน้าอกดีกว่าค่ะ 

  • ฟิลเลอร์อวัยวะเพศ

ฟิลเลอร์อวัยวะเพศ มีจุดประสงค์ในการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มขนาดและเพิ่มความอวบอิ่มให้กับอวัยวะเพศ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม เนื่องจากอันตรายมาก เพราะบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเส้นประสาทและใกล้กับท่อปัสสาวะรวมถึงอวัยวะส่วนอื่น ๆ หากฉีดผิดตำแหน่ง ฉีดลึกเกินไป จะเสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อ ทำให้อวัยวะเน่าเปื่อยได้เลยค่ะ 


การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์

  • งดยาและวิตามินบางชนิดก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
  • งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ 3 วัน
  • งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
  • แพทย์พิจารณาให้ทานยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวม (ในบางเคส) เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ
  • หากต้องการแปะยาชา หรือ ฉีดยาชา สามารถแจ้งหมอก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี

✔ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากสธ. และมีใบอนุญาตเลข 11 หลัก 

✔ เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ เป็นแพทย์จริง ผ่านการฉีดฟิลเลอร์มาหลายเคส 

✔ เลือกฉีดฟิลเลอร์แท้ ตรวจสอบได้ มีราคาสมเหตุสมผล

✔ เลือกฉีดกับคลินิกที่มีรีวิว ก่อน-หลังทำให้ดู โดยรีวิวต้องไม่ผ่านการแต่งภาพ

✔ เลือกคลินิกที่เข้าถึงง่าย เดินทางสะดวก จองคิวล่วงหน้าได้


ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

  • เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อประเมินใบหน้าจุดที่ต้องการแก้ไข จากนั้นแพทย์จึงค่อยแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์และปริมาณ CC ที่เหมาะสมให้
  • เจ้าหน้าที่ประจำคลินิกทำความสะอาดใบหน้าให้ด้วยการเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนฉีด 
  • แพทย์แกะกล่องตัวยาฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อให้คนไข้ตรวจสอบและมั่นใจได้ว่าเป็นของแท้ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 
  • แพทย์ทำการฉีดฟิลเลอร์ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ประคบน้ำแข็งให้กับคนไข้ เพื่อลดความเจ็บ
  • หลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว หมอจะแนะนำวิธีดูแลตัวเอง จากนั้นสามารถกลับบ้านได้

หลังฉีดฟิลเลอร์ ดูแลตัวเองอย่างไร ?