เจาะลึก ไฮยาลูรอน คืออะไร ? ช่วยอะไร ? นำมาใช้ประโยชน์ด้านใดบ้าง ?

0
ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของโครงสร้างผิว โดยเฉพาะเรื่องความชุ่มชื้นและริ้วรอย ซึ่งถ้าหากร่างกายมีไฮยาลูรอนไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ไม่แข็งแรง ไม่มีความยืดหยุ่น และทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น 

ทำไมไฮยาลูรอน ถึงสำคัญกับผิวของมนุษย์ ?  ถ้าร่างกายขาดไฮยาลูรอน จะเกิดอะไรขึ้น ? ที่มาของไฮยาลูรอนและหน้าที่ของไฮยาลูรอน ช่วยอะไรบ้าง ? ในบทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับไฮยาลูรอนให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีใช้ไฮยาลูรอน ให้เห็นผล วิธีไหนดีสุด ? ติดตามอ่านพร้อมกันได้ครับ

เข้าใจเกี่ยวกับไฮยาลูรอน คืออะไร ?

ไฮยาลูรอน คืออะไร

ที่มาของไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน หรือ กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า “HA” เป็นโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ชื่อว่า Polysaccharide ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ (Polymer) ที่สามารถเชื่อมโยงองค์ประกอบทางเคมีอื่น ๆ เข้าด้วยกัน โดยสารไฮยาลูรอนนี้เป็นสารสำคัญที่มีอยู่แล้วในร่างกาย และร่างกายสามารถสร้างขึ้นในชั้นผิวหนังแท้ พบได้ทั่วไปกว่า 80% ในชั้นโครงสร้างผิวครับ

โครงสร้างและหน้าที่ของไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน คือ กรดที่ทำหน้าที่ยึดคอลลาเจนและอีลาสตินยึดเข้าไว้ด้วยกัน มีลักษณะโครงสร้างเป็นโมเลกุล เล็ก ๆ ที่มีความซับซ้อนคล้ายสายโซ่ยาว หลายหน่วยเชื่อมต่อกันจนกลายเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ เรียกว่า พอลิเมอร์ (Polymer) 

โมเลกุลเหล่านี้จะทำให้สารเคมีเกาะติดกันได้ จึงมีส่วนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น กักเก็บน้ำ และความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย ป้องกันการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น ริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยใต้ตา รวมถึงมีการนำไฮยาลูรอนมาใช้สำหรับรักษาโรคข้อต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสี เช่น ข้อต่อ ข้อเข่า 

ไฮยารูลอน คือ

แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตไฮยาลูรอนได้น้อยและช้าลง โดยค่าเฉลี่ยของคอลลาเจนจะเริ่มเสื่อมตามวัยเฉลี่ย 1.5% ต่อปีในคนที่อายุ 25 และจะเพิ่มเป็น 20-30% เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ในช่วงเวลานี้เราจะเริ่มเห็นปัญหาผิวต่าง ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ผิวขาดความยืดหยุ่น หย่อนคล้อย แห้งกร้าน ไม่เต่งตึงและกระชับเหมือนก่อน ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย จนนำไปสู่การเกิดปัญหาร่องลึกในอนาคตได้ครับ 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าไฮยาลูรอนมีความสัมพันธ์กับผิวโดยตรง โดยเฉพาะช่วยเรื่องความยืดหยุ่น กระชับ และความชุ่มชื้นของผิว ดังนั้นในทางการแพทย์จึงมีการคิดค้นสังเคราะห์ไฮยาลูรอนขึ้นมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ร่างกายสร้างขึ้นได้น้อยลง และช่วยรักษาคุณภาพของผิวไว้ ซึ่งในทางการแพทย์ได้นำไฮยาลูรอนมาใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านครับ เช่น ในด้านความงาม, รักษาโรค, สกินแคร์ รวมถึงวิตามินหรือยาต่าง ๆ 

ประโยชน์ของการใช้ไฮยาลูรอน

ประโยชน์ของการใช้ไฮยาลูรอนสามารถนำมาใช้ได้หลายด้าน ทั้งเพื่อรักษาโรค, ใช้กับหนังศีรษะ, ใช้สำหรับผิวหน้า และที่นิยมมากที่สุด คือ นำมาฉีดเพื่อปรับรูปหน้า เสริมความงามครับ 

ประโยชน์สำหรับผิวหน้า

ไฮยาลูรอน เป็นสารที่มีคุณสมบัติเด่นด้านการอุ้มน้ำ โดยสามารถอุ้มน้ำได้กว่า 1,000 เท่า ของน้ำหนักตัวสารจึงมีประโยชน์สำหรับผิวหน้า คือ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เติมน้ำให้ผิว และรักษาระดับความชุ่มชื้น เพื่อให้ผิวเนียนนุ่มและมีความยืดหยุ่น เมื่อผิวมีไฮยาลูรอนเพียงพอก็จะช่วยเรื่องความยืดหยุ่น ผิวเรียบเนียน ลดและชะลอการเกิดริ้วรอยได้ครับ

นอกจากนี้ในวงการเสริมความงามยังมีการนำสารไฮยาลูรอนมาใช้ฉีดปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย เพื่อชะลอวัย คงความอ่อนเยาว์อีกด้วยครับ ซึ่งในทางการแพทย์จะเรียกว่าฟิลเลอร์ ใครที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้า คงความอ่อนเยาว์ ในบทความนี้ได้มีการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ สามารถติดตามอ่านเพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นครับ 

ประโยชน์สำหรับผม

ไฮยาลูรอนที่นำมาใช้สำหรับผม ส่วนใหญ่จะทำมาในรูปแบบเซรัม แชมพู ครีมนวด ทรีทเมนต์ครับ ซึ่งจะนำมาใช้เพื่อป้องกันการหลุดร่วง เสริมความแข็งแรงของเส้นผม รวมถึงช่วยแก้ปัญหาผมแห้งเสีย ผมชี้ฟู แตกปลาย ลดอาการหนังศีรษะแห้งลอก เพราะขาดความชุ่มชื้น

ประโยชน์สำหรับรักษาโรค

องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติให้มีการใช้ไฮยาลูรอนเพื่อรักษาโรคได้ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม  ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่, การป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก, ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดบริเวณข้อ

รักษาตาต้อกระจก โดยไฮยาลูรอนจะเข้าไปเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสี ไม่เกิดความเสียหายจากการเสียดสีกัน 

นอกจากนี้ยังสามารถนำไฮยาลูรอนมาใช้รักษาโรคภายนอกได้ครับ เช่น นำมารักษาแผลในปาก ช่วยสมานแผลและบรรเทาอาการแผลไฟไหม้ และยาหยอดตาเพื่อ ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคืองในลูกตาสำหรับคนที่มีปัญหาตาแห้ง

ผู้ที่เหมาะสมในการเริ่มใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์

  • ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ เหมาะกับคนที่ใบหน้ามีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า มีผิวแห้งกร้าน รวมถึงมีร่องลึกจากการยุบตัวของกระดูก เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องน้ำหมาก 
  • เหมาะกับคนที่รูปหน้าไม่ได้สัดส่วน หน้าไม่สมมาตร เช่น มีคางสั้น ขมับตอบ ขมับยุบ หรือมีปัญหาปากไม่เท่ากัน 
  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ต้องการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น
  • เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก ต้องการเติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้นโดยไม่ทิ้งรอยแผล 
  • เหมาะกับคนที่ต้องการรักษาสภาพผิวให้คงความอ่อนเยาว์ และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต

วิธีการใช้ไฮยาลูรอน

1. วิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

วิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

วิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า หรือที่เราเรียกกันว่าฟิลเลอร์ คือ ไฮยาลูรอนสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อทดแทนไฮยาลูรอนที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยเติมเต็มในส่วนโครงสร้างผิว และคอลลาเจนที่ร่างกายสูญเสียไป 

จุดประสงค์ที่ใช้ในการฉีดก็เพื่อแก้ปัญหาร่องลึก ลดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือฉีดปรับรูปหน้า ฉีดคางเสริมคางยาว ฉีดปากปรับทรงปาก ฉีดขมับ ฉีดหน้าผาก ฉีดแก้มส้ม รวมถึงฉีดฟิลเลอร์    ปรับสภาพผิว บำรุงผิวชุ่มชื้นถึงผิวชั้นใน หลังฉีดผิวจะตึงกระชับ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ข้อดีของวิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า คือ หลังฉีดจะเห็นผลลัพธ์ทันที คงอยู่ได้นาน 6-24 เดือน ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น เมื่อฟิลเลอร์สลายก็สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ ซึ่งถ้าเทียบกับการทาครีมที่มีกรดไฮยาลูรอนแบบทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ดีกว่ามากครับ

ปัจจุบันมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อให้เลือกใช้ ฟิลเลอร์ยี่ห้อที่นิยม เช่น ฟิลเลอร์ Juvederm อเมริกา, ฟิลเลอร์ Restylane สวีเดน, ฟิลเลอร์ Belotero สวิตเซอร์แลนด์, ฟิลเลอร์ Definisse อิตาลี, ฟิลเลอร์ Flore Max เกาหลี เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติที่ต่างกันไปตามเทคโนโลยีและขั้นตอนการผลิต 

ดังนั้นหากถามว่าใช้ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ในเบื้องต้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุดครับ เพราะ เราไม่สามารถพิจารณาแค่คุณสมบัติทางกายภาพเพียงข้อใดข้อนึงได้ ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ว่าปัญหาผิวหน้าของเรานั้นเกิดจากการยุบตัวของผิวชั้นไหน ตำแหน่งไหน เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว แพทย์จะเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเนื้อเดิมของเรามากที่สุด ซึ่งจะเป็นการแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง เพื่อให้ผลออกมาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดครับ

Fact : ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์  ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ เพื่อช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียง อย่าง ฟิลเลอร์ เป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เน่า

2. วิธีการทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

วิธีการทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

การทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า เป็นอีกหนึ่งวิธีเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าที่ได้รับความนิยมครับ เพราะหาซื้อง่าย มีราคาไม่แพง แต่ต้องใช้ความถี่และระยะเวลาในการเห็นผลที่นานกว่าการฉีด ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบครีม เซรัม มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizers) 

สำหรับวิธีการทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า แนะนำว่าควรทาทุกวันเช้า เย็น โดยทาทั่วหน้าและลำคอ  หลังจากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้ซึมเข้าสู่ผิวไปเอง ปิดท้ายด้วยการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อล็อกความชุ่มชื้นในชั้นผิวครับ

3. วิธีการใช้ไฮยาลูรอนบนผม

ไฮยาลูรอนผม

การใช้ไฮยาลูรอนบนผม จะช่วยให้ผมดูมีน้ำหนักสุขภาพดีขึ้น เหมาะกับคนที่ผ่านการทำเคมี ยืดผม ย้อมสีผม หรือคนที่ต้องการบำรุงผมแห้งชี้ฟูให้กลับมาดูเงางาม ลดผมขาดหลุดร่วง วิธีการใช้ไฮยาลูรอนบนผมสามารถใช้ได้หลายแบบครับ ทั้งใช้ในขั้นตอนการสระผมตอนผมเปียก หรือใช้ตอนผมเปียกหมาด ๆ ใช้แบบวันเว้นวัน หรือใครที่ต้องการฟื้นฟูผมแบบขั้นสุด ก็ใช้ได้ทุกวันเพื่อผมที่เงางามมากยิ่งขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์

ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ เป็นสารที่มีความปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวังและข้อจำกัดในการใช้ครับ โดยไฮยาลูรอนฟิลเลอร์จะไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมถึงผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นเร็วกว่าปกติได้

ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ใช้ได้กับทุกสภาพผิวหรือไม่ ?

ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวและมีความจำเป็นต่อผิวหน้าในทุกเพศ ทุกวัยครับ เพราะถ้าใบหน้ามีไฮยาลูรอนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ไม่แข็งแรง ใบหน้าแห้งกร้าน ขาดน้ำ หน้าลอกเป็นขุย แต่งหน้าไม่ติด เมื่อทาครีมจะรู้สึกว่าครีมไม่ซึมลงผิว ทาครีมแล้วไม่ค่อยได้ผล ซึ่งถ้าหากเราปล่อยให้ผิวขาดไฮยาลูรอนมาก ๆ จะส่งผลให้เกิดริ้วรอย ร่องลึก และทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น

ผลการใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์เป็นอย่างไร ?

ผลการใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ หลังฉีดริ้วรอยร่องลึกจะตื้นขึ้นทันทีครับ ซึ่งคุณสมบัติของไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังสามารถฉีดฟิลเลอร์ปรับแก้ไขรูปหน้าให้สวยงามได้ เช่น ปรับคางให้ดูยาวขึ้น แก้ปัญหาคางตัด คางถอย และช่วยปรับรูปปากกระจับ ปากสายฝอ ปากสายเกา และทรงอื่น ๆ ตามต้องการได้ รวมถึงฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว เติมเต็มหลุมสิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียน เต่งตึง ชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น

สรุป

ไฮยาลูรอนจัดเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง  มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งใช้บำรุงผิวพรรณ รักษาป้องกันโรค และที่นิยมเลย คือ นำมาใช้ในวงการความงามเพื่อการชะลอวัย ซึ่งจากข้อมูลในบทความนี้จะเห็นได้ว่าไฮยาลูรอนนั้นมีหลายชนิด และมีการใช้งานต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีปัญหาแบบไหน สภาพผิวเป็นอย่างไร 

แต่สำหรับใครที่ต้องการฟื้นบำรุงผิวแบบเร่งด่วน เห็นผลทันที มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัย ในบรรดาวิธีการใช้ไฮยาลูรอนทั้งหมด การฉีดไฮยาลูรอนฟิลเลอร์จะเป็นวิธีตรงจุด เห็นผลลัพธ์คุ้มค่า คุ้มราคาที่สุดครับ

กรดไหลย้อนหายได้! รวมยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 แบบซอง ที่ดีที่สุด

0

กรดไหลย้อนเป็นปัญหาที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน โดยอาการไม่สบาย เช่น แสบร้อนกลางอกหรือเรอเปรี้ยว อาจสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหานี้ได้ การเลือกใช้ยาแก้กรดไหลย้อนที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งในปัจจุบัน ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 มีตัวเลือกยาแก้กรดไหลย้อนแบบซองจากหลายยี่ห้อ ที่สามารถซื้อได้ง่ายและสะดวกในการใช้งาน โดยยาที่จำหน่ายเหล่านี้มักจะมีสูตรที่ช่วยบรรเทาอาการได้ทันที ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างรวดเร็ว

ในบทความนี้เราจะพามารู้จักสรรพคุณของยาแก้กรดไหลย้อน พร้อมแนะนำยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 แบบซองชนิดน้ำพร้อมดื่มที่หาซื้อได้ใกล้บ้านคุณ

สรรพคุณของยาแก้กรดไหลย้อน

ยารักษากรดไหลย้อนมักถูกใช้เพื่อลดอาการที่เกิดจากกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นสภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาถึงหลอดอาหารหรือลำไส้ตรง ส่งผลให้มีอาการเจ็บแสบหน้าอกยาแก้กรดไหลย้อนมีหลายชนิด แบ่งตามตัวยาออกฤทธิ์ ได้แก่ Sodium Alginate, Sodium Bicarbonate และ Calcium Carbonate เป็นสารประกอบที่มีฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะอาหารโดยออกฤทธิ์แตกต่างกันไป สรรพคุณของยาแก้กรดไหลย้อนแบ่งออกได้ดังนี้

  • บรรเทาอาการกรดไหลย้อน เช่น แสบร้อนกลางอก จุกแน่นลิ้นปี่ รู้สึกเปรี้ยวปาก
  • บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย อาการปวดหรืออึดอัดบริเวณท้องด้านบนส่วนกลางหรือบริเวณลิ้นปี่ ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง จุกเสียด
  • บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะอาหาร สามารถบรรเทาอาการจากโรคกระเพาะได้ โดยออกฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งกรดในกระเพาะอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคกระเพาะ ยาแก้กรดไหลย้อนมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคกระเพาะเบื้องต้นได้
  • บรรเทาอาการกรดเกิน สภาวะที่มีการสร้างกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปหรือมีการไหลย้อนของกรดมากเกินไป เรอเปรี้ยว อาการปวดบวม อาหารไม่ย่อย

เมื่อมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ท่านสามารถหาซื้อยาแก้กรดไหลย้อนได้ตามร้านขายยา ร้านค้าทั่วไป หรือซื้อยาแก้กรดไหลย้อน 7 11ก็ง่ายและสะดวกดี

แนะนำยาแก้กรดไหลย้อนแบบซองใน 7-11

สำหรับใครที่อยากซื้อยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกยี่ห้อไหนดี วันนี้เรามีมาแนะนำให้ 2 ยี่ห้อยาแก้กรดไหลย้อนใน 7-11 แบบซองพร้อมทาน

Belcid Gerd (เบลสิด เกิร์ด)

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11  ยี่ห้อ Belcid GERD (เบลสิด เกิร์ด) เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Biopharm มีฤทธิ์ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อน บรรเทาอาการแสบร้อนบริเวณทรวงอก จุกเสียด ท้องอืด อาหารไม่ย่อยที่เกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร ยาลดกรดไหลย้อนชนิดน้ำรสราสป์เบอร์รี ทานง่ายได้ทุกวัย (เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป) ช่วยสร้างเจลในกระเพาะเพื่อไปยับยั้งอาการกรดไหลย้อน

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 Belcid GERD  มีส่วนประกอบสำคัญได้แก่ Sodium Alginate, Sodium Bicarbonate และ Calcium Carbonate โดยยาลดกรดชนิด Sodium Alginate และ Sodium Bicarbonateทำหน้าที่ออกฤทธิ์เร็ว บรรเทาอาการกรดไหลย้อนอย่างเฉียบพลันภายใน 5 นาทีหลังจากรับประทานยา ส่วน Calcium carbonate ช่วยให้ออกฤทธิ์นานมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาและรักษาทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารดีขึ้น

รับประทานเพียงครั้งละ 10-20 มิลลิลิตร (1-2 ซอง) วันละ 4 ครั้ง รับประทานหลังอาหาร ตัวยาเป็นชนิดน้ำควรเขย่าซองก่อนรับประทานยา ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 ต้อง Belcid GERD

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11  ยี่ห้อ Belcid GERD ราคาซองละ 19 บาท

Gaviscon Dual Action (กาวิสคอน ดูอัล แอคชั่น)

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 อีกหนึ่งยี่ห้อที่แนะนำคือ Gaviscon Dual Action (กาวิสคอน ดูอัล แอคชั่น) ผลิตภัณฑ์ยาแก้กรดไหลย้อน ผลิตโดย บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ เฮลธ์แคร์ สรรพคุณมีฤทธิ์ในการลดกรดปรับสภาพกรดในกระเพาะอาหารให้เป็นกลาง แล้วยังบรรเทาอาการอันเนื่องมาจากกรดอีกด้วย เช่น อาการแสบร้อนกลางอก อาหารไม่ย่อย โดยสูตร Dual action พิเศษกว่าคือจะมีปริมาณตัวยาที่ใช้ในการลดกรดมากกว่าสูตรปกติ มีปริมาณ 10 มิลลิลิตร รสมิ้นต์ ทานได้ตั้งแต่เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป รับประทาน 1-2 ซอง วันละ 4 เวลา หลังอาหารและก่อนนอน

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 ยี่ห้อ Gaviscon Dual Action ราคาซองละ 25 บาท

วิธีกินยาแก้กรดไหลย้อน

หลังจากที่ได้แนะนำ ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 แบบซองยี่ห้อต่าง ๆ กันไปแล้ว บางคนอาจจะยังสงสัยเกี่ยวกับวิธีกินยาแก้กรดไหลย้อนอยู่ มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน

วิธีกินยาแก้กรดไหลย้อน แบบซอง มีดังนี้

  • อ่านฉลากยาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • เขย่าซองยาก่อนใช้
  • เทยาลงในช้อนชาและรับประทานทันที
  • หากยามีรสขมหรือฝาด อาจดื่มน้ำตามได้

ปริมาณยาและระยะเวลาในการรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนแบบซองใช้รับประทานครั้งละ 1 ซอง วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10-20 มิลลิลิตร (2-4 ช้อนชา) หรือตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

ข้อควรระวังในการรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนแบบซอง

  • ไม่ควรรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนมากกว่าที่ระบุบนฉลากยา
  • ไม่ควรรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนร่วมกับยาอื่น ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ผู้ที่แพ้ยาใด ๆ ควรอ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนรับประทาน
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาแก้กรดไหลย้อน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาแก้กรดไหลย้อน

เป็นกรดไหลย้อนห้ามกินอะไร?

ผู้ที่เป็นกรดไหลย้อนควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูง อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ได้แก่ อาหารทอด อาหารมัน อาหารรสจัด เช่น ส้มตำ ยำเผ็ด ๆ อาหารที่มีเครื่องเทศมาก และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงแอลกอฮอล์

และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารจุบจิบ และรับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ควรรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ถ้ามีอาการกรดไหลย้อนสามารถหาซื้อยาแก้กรดไหลย้อนที่ 7 11

แก้อาการกรดไหลย้อนแบบเร่งด่วนอย่างไร?

ถ้าคุณกำลังประสบกับอาการกรดไหลย้อนอย่างรุนแรง เป็นกรดไหลย้อนกินยาอะไรดีถึงจะแก้ได้แบบเฉียบพลันได้นั้น คุณสามารถเลือกรับประทานยาลดกรดไหลย้อนแบบซองชนิดน้ำจะช่วยระงับการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารได้ทันที หาซื้อยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 หรือร้านขายยาทั่วไป

สรุปยาแก้กรดไหลย้อน 7-11

พฤติกรรมการกินของคนที่ชอบกินอาหารไม่ตรงเวลา กินจุบจิบตลอดทั้งวัน ชอบกินมื้อดึกตอนกลางคืนหรือกินข้าวเสร็จแล้วไม่รอให้อาหารย่อยก่อนไปนอน พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดกรดไหลย้อน เกิดความทรมานในร่างกาย อย่างอาการแสบร้อนทรวงอก เรอเปรี้ยว แน่นจุกเสียดท้อง จนต้องซื้อยาแก้กรดไหลย้อนใน 7 11 มาบรรเทาอาการ เพราะฉะนั้นการปรับพฤติกรรมการกินและการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมจะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้นได้

ปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดโรคร้าย “น้ำยาแอร์ปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

0
ปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดโรคร้าย
ปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดโรคร้าย “น้ำยาแอร์ปล่อยก๊าซเรือนกระจก”
ปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดโรคร้าย
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนที่หลายคนอาจยังไม่รู้

ปัญหาโลกร้อน

ปัญหาสุขภาพจากโลกร้อนที่เกิดจากการใช้แอร์

ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นมีแทบทุกบ้าน เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายประการ แม้แอร์บ้านจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการใช้ชีวิตของเรา แต่น้ำยาแอร์บางชนิด หรือสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนที่หลายคนอาจยังไม่รู้ นั่นเป็นเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนหนึ่งมากจากเครื่องปรับอากาศปล่อยออกมารวมกับก๊าซพิษจากเหล่าอื่นๆ มากกว่า 100 ล้านตันต่อปีทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกส่งผลกระทบกับภาวะโลกร้อน

ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน

1. การเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศ
ภาวะโลกร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอากาศทั้งในด้านของอุณหภูมิและลักษณะการเกิดฝนตก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพเกิดจากคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้อากาศยิ่งร้อนมากขึ้นตามไปด้วย อาจทำให้เกิดโรคตะคริวแดด โรคเพลียแดด และโรคลมแดด หรือฮีทสโตรกเป็นต้น
2. การแพร่กระจายของโรคติดต่อ
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอาจทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของโรคที่แพร่กระจายโดยแมลงหรือสัตว์ โรคเหล่านี้รวมถึงโรคมาลาเรียและโรคไข้เหลือง ซึ่งการแพร่กระจายของแมลงพาหะเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
3. คุณภาพอากาศที่แย่ลง
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งมลพิษทางอากาศที่เกี่ยวข้องส่งผลให้คุณภาพอากาศเสียหายอย่างหนัก ซึ่งส่งผลต่อโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ หอบหืด และโรคปอดอื่นๆ
4. ความเครียดจากสภาพแวดล้อม
ภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดผลกระทบด้านความกังวล ด้านจิตใจ และอารมณ์ เป็นผลกระทบที่ตามมา

วิธีช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการใช้แอร์บ้านได้อย่างไร

1. ควรเลือกใช้สารทำความเย็น หรือน้ำยาแอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ น้ำยาแอร์ที่มีใบรับรองมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย และด้านคุณภาพสินค้า เช่น DBB น้ำยาแอร์บ้านR22 น้ำยาแอร์R32 FORANEน้ำยาแอร์R410A เป็นต้น และสามารถเลือกสั่งซื้อได้ที่ www.fillkool.com
2.ควรล้างแอร์เป็นประจำ เป็นการลดการใช้พลังงานทำให้แอร์บ้านของคุณลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกนั่นเอง
3.ควรตรวจเช็คการรั่วไหลของน้ำยาแอร์เป็นประจำ หรือมีการซ้อมบำรุงอยู่เสมอ
ดังนั้น สำหรับการใช้งานแอร์บ้านควบคู่กับน้ำยาแอร์บ้านที่ต้องคำนึงถึงทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ น้ำยาแอร์R22 น้ำยาแอร์R32 จึงเป็นทางเลือกที่ดีและถูกใช้งานกันอย่างกว้างขวางในเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ๆ ที่ออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

โรคในห้องแอร์ และการปฏิบัติตัว

0
โรคในห้องแอร์
การอยู่ในห้องแอร์นานแล้วแอร์ไม่สะอาด หรือไม่เคยล้างเป็นเวลานาน ๆ ก็สามารถก่อโรคร้ายได้
โรคในห้องแอร์
การอยู่ในห้องแอร์นานแล้วแอร์ไม่สะอาด หรือไม่เคยล้างเป็นเวลานาน ๆ ก็สามารถก่อโรคร้ายได้

โรคในห้องแอร์

ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้หลาย ๆ บ้านต้องติดตั้งแอร์เพื่อให้บ้านเย็น แต่รู้หรือไม่ว่ายิ่งอยู่ในห้องแอร์นานแล้วแอร์ไม่สะอาด หรือไม่เคยล้างเป็นเวลานาน ๆ ก็สามารถก่อโรคร้ายให้กับตัวคุณได้

โรคที่เกิดจากการอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำ

1. โรคทางเดินหายใจ: เช่น โรคปอดจากเครื่องปรับอากาศ (Air-conditioner Lung), ภาวะระคายเคืองที่เกิดจากอากาศแห้ง, โรคไซนัส, และการติดเชื้อทางเดินหายใจ
2. ปัญหาผิวหนัง: ผิวแห้งและแตก การระคายเคือง หรือผิวหนังอักเสบ เนื่องจากการสูญเสียความชื้นในอากาศ
3. อาการภูมิแพ้: การระคายเคืองที่เกิดจากฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในตัวกรองเครื่องปรับอากาศที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ
4. อาการเหน็บชาและกล้ามเนื้อตึง: จากการที่ร่างกายต้องปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
5. ปัญหาการนอนหลับ: อุณหภูมิที่เย็นเกินไปอาจทำให้การนอนหลับถูกรบกวน และมีผลต่อคุณภาพการนอนหลับ
6. ภาวะโรคเลือดออกในจมูก: อากาศที่แห้งมากอาจทำให้เยื่อบุจมูกแห้งและเกิดการเลือดออกได้ง่ายขึ้น
7. โรคจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา: เมื่อเปิดแอร์จะต้องปิดหน้าต่างและประตู ทำให้อากาศไม่ถ่ายเทและมีเชื้อโรคสะสมอยู่เป็นจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดโรค เช่น วัณโรค อีสุกอีใส หืดหอบ ปอดบวม หรือหัดเยอรมัน ซึ่งต่างก็เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากอากาศที่ผ่านช่องแอร์

การป้องกันโรคในห้องแอร์เหล่านี้สามารถทำได้โดยการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศให้สะอาด, การตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม, การใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อเพิ่มความชื้นในห้อง, และการป้องกันร่างกายไม่ให้ถูกลมเย็นโดยตรง

ข้อควรปฏิบัติในการนอนในห้องแอร์

1. การตั้งอุณหภูมิ: ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่เย็นจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต้องปรับตัวหนักเกินไป และเพื่อส่งเสริมการนอนหลับที่ดี
2. การบำรุงรักษา: ทำความสะอาดและบำรุงรักษาแอร์บ้านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแอลเลอร์เจน
3. การกรองอากาศ: ใช้ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศภายในห้อง.
4. การใช้เครื่องทำความชื้น: อาจพิจารณาใช้เครื่องทำความชื้นในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อรักษาความชื้นในอากาศที่เหมาะสมและป้องกันการแห้งของเยื่อเมือก
5. การระบายอากาศ: ให้อากาศภายในห้องถูกระบายสลับกับอากาศภายนอกอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเข้มข้นของสารก่อภูมิแพ้และเชื้อโรคภายในห้อง
6. การหยุดพักเครื่องปรับอากาศ: หากใช้เครื่องปรับอากาศตลอดทั้งคืน ควรมีการตั้งเวลาให้เครื่องหยุดพักบ้าง เพื่อไม่ให้อากาศหนาวเย็นตลอดเวลา
7. การป้องกันร่างกาย: หมั่นใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเย็นจนเกินไปขณะนอนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
8. การตรวจสอบสุขภาพ: หากมีอาการผิดปกติเช่นไอ หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการทางผิวหนัง ควรหยุดใช้เครื่องปรับอากาศและปรึกษาแพทย์
9. ควรปิดแอร์ในช่วงกลางคืน หรือตั้งเวลาปิดหลังเที่ยงคืน: จะช่วยให้นอนหลับได้โดยไม่เย็นเกินไป และช่วยให้หลับสบายไม่มีเสียงรบกวนการหลับ

อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การนอนในห้องแอร์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งห้องแอร์ควรทำความสะอาดโดยการล้างแอร์บ้านอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และควรเลือกใช้น้ำยาแอร์บ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำยาแอร์ R22 R32 R410a หากเลือกซื้อน้ำยาแอร์คุณภาพดี ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และน้ำยาแอร์ราคาถูกเราขอแนะนำสามารถสั่งซื้อได้ที่ www.fillkool.com หรือแอดไลน์ : @520gemhc

การนอนในห้องแอร์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพจริงหรือ

0
การนอนห้องแอร์
การนอนห้องแอร์ อาจมีผลเสียต่อสุขภาพทางเดินหายใจ และยังอาจทำให้ ผิวหนัง ตา จมูก และลำคอแห้งระคายเคือง
การนอนห้องแอร์
การนอนห้องแอร์ อาจมีผลเสียต่อสุขภาพทางเดินหายใจ และยังอาจทำให้ ผิวหนัง ตา จมูก และลำคอแห้งระคายเคือง

การนอนในห้องแอร์

การนอนในห้องปรับอากาศอาจมีผลเสียต่อสุขภาพทางเดินหายใจ การย้ายจากสภาพแวดล้อมกลางแจ้งที่ร้อนไปสู่สภาพแวดล้อมในร่มที่เย็นอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและอักเสบ นำไปสู่อาการต่างๆ เช่น ไอ หายใจมีเสียงหวีด และหายใจลำบาก นอกจากนี้ การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศยังเชื่อมโยงกับภาวะการหายใจผิดปกติในการนอนหลับในผู้ใหญ่อีกด้วย แม้ว่าเครื่องปรับอากาศจะไม่เป็นอันตราย แต่สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบได้รับการดูแลอย่างดีและทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินหายใจที่ทำให้รุนแรงขึ้น

ผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นอีกประการหนึ่งของการนอนหลับในห้องปรับอากาศคือผลกระทบต่อสุขภาพผิวและระดับความชื้น เมื่อเครื่องปรับอากาศกำจัดความชื้นออกจากห้อง อาจทำให้ผิวแห้งและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยและรอยยับ สำหรับบุคคลที่มีปัญหาทางผิวหนังอยู่แล้ว เช่น โรคโรซาเซีย โรคสะเก็ดเงิน หรือกลาก เครื่องปรับอากาศอาจทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพผิวนั้นไม่เป็นสากลและอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

นอกจากผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพแล้ว การนอนในห้องปรับอากาศยังส่งผลต่อการใช้พลังงานและปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เครื่องปรับอากาศใช้พลังงาน ส่งผลให้ระดับมลพิษทางอากาศสูงขึ้นและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้เครื่องปรับอากาศอย่างมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญ และพิจารณาวิธีการทำความเย็นแบบอื่น เช่น พัดลมหรือการระบายอากาศตามธรรมชาติ เมื่อเป็นไปได้ แม้ว่าการนอนในห้องปรับอากาศโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยง การดูแลบำรุงรักษาและการทำงานของระบบอย่างเหมาะสม ตลอดจนการพิจารณาวิธีการทำความเย็นแบบอื่น สามารถช่วยลดผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้

การนอนในห้องปรับอากาศอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการใช้เวลาจำนวนมากในห้องปรับอากาศอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสภาวะสุขภาพบางอย่าง ผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ ผิวแห้ง ปัญหาระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ และเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าการสัมผัสกับเครื่องปรับอากาศเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการติดเชื้อในทางเดินหายใจ เนื่องจากความชื้นต่ำในสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องปรับอากาศอาจทำให้เยื่อเมือกของระบบทางเดินหายใจแห้ง และลดความสามารถในการดักจับและกำจัดเชื้อโรค นอกจากนี้ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศยังอาจทำให้ตา จมูก และลำคอแห้งและระคายเคืองได้

เพื่อลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับอากาศต่อสุขภาพ แนะนำให้รักษาระดับอุณหภูมิและความชื้นในห้องให้อยู่ในระดับปานกลาง และเพื่อให้แน่ใจว่ามีการระบายอากาศและการไหลเวียนของอากาศบริสุทธิ์อย่างเหมาะสม ขอแนะนำให้หยุดพักจากสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ และออกไปสัมผัสกับอากาศและแสงแดดตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือผลกระทบของเครื่องปรับอากาศที่มีต่อสุขภาพอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคลและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม วิธีที่ดีที่สุดคือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคล

รู้หรือไม่! นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค

0
นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค
นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งสำคัญคือต้องรักษาระบบเครื่องปรับอากาศให้สะอาด หลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่เย็นเกินไป
นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค
การเจ็บป่วยจากอากาศที่แห้งเกินไปหรือการเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหวัดหรือระบบทางเดินหายใจ

นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค

นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค เช่น การเจ็บป่วยจากอากาศที่แห้งเกินไปหรือการเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหวัดหรือภูมิแพ้ การใช้แอร์ควรปรับให้อุณหภูมิเหมาะสมและรักษาความชื้นในอากาศให้เพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วย

โรคที่เกิดจากการนอนห้องแอร์ทั้งวันทั้งคืน

  • โรคที่เกิดจากเครื่องปรับอากาศ: การป่วยจากเครื่องปรับอากาศเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่จากลมเย็นที่มันสร้างขึ้นโดยตรง ปัญหามักเกิดจากผลข้างเคียงของเครื่องปรับอากาศ เช่น การแพร่กระจายของไวรัสที่ได้รับการช่วยเหลือจากระดับความชื้นที่ต่ำ
  • โรคปอดจากเครื่องปรับอากาศ: อาการที่เกี่ยวข้องกับ โรคปอด ไอแห้ง เสียงหวีดในลมหายใจ อาการหายใจไม่อิ่ม ความรู้สึกอึดอัดในหน้าอก ไข้ อาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย และปวดหัว อาการเหล่านี้อาจปรากฏขึ้นหลังจากได้รับแอลเลอร์เจนประมาณสี่ถึงหกชั่วโมงและอาจคงอยู่ตั้งแต่ 12 ชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน
  • โรคไซนัสและปัญหาทางเดินหายใจ: การได้รับการสัมผัสกับเครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน โดยเฉพาะมากกว่าสี่ชั่วโมงต่อวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคไซนัสเนื่องจากการแห้งของเมือก การใช้เวลาในสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องปรับอากาศมากเกินไปอาจนำไปสู่อาการหายใจไม่สะดวก
  • การดูแลรักษาเป็นสิ่งสำคัญ: ระบบเครื่องปรับอากาศต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ตรวจสอบและทำความสะอาดเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ การละเลยการบำรุงรักษาที่เหมาะสมสามารถนำไปสู่ปัญหาการหายใจและการติดเชื้อ และการตั้งอุณหภูมิในห้องให้เย็นเกินไปมีผลเสียอื่นๆ ด้วย

เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งสำคัญคือต้องรักษาระบบเครื่องปรับอากาศให้สะอาด หลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่เย็นเกินไป และพิจารณาใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อรักษาระดับความชื้นในห้องให้มีสุขภาพดี

ข้อดีของการอยู่ในห้องแอร์

  • ความสะดวกสบาย: เครื่องปรับอากาศลดอุณหภูมิในห้องให้เย็นสบาย ช่วยให้คนอยู่อาศัยได้สบายในสภาพอากาศร้อนจัดหรือชื้นมาก
  • คุณภาพอากาศที่ดีขึ้น: ระบบกรองอากาศในเครื่องปรับอากาศสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง สารพิษ และแอลเลอร์เจนในอากาศได้
  • ลดความชื้น: เครื่องปรับอากาศช่วยลดความชื้นภายในห้อง ทำให้ลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา และไรฝุ่น
  • ช่วยในการนอนหลับ: อุณหภูมิที่เหมาะสมสามารถช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น โดยอุณหภูมิที่เย็นช่วยให้ร่างกายปล่อยสารเมลาโทนิน ซึ่งช่วยในการนอนหลับ

น้ำยาแอร์มีหลายชนิดให้เลือกใช้ตามเครื่องปรับอากาศของคุณ สามารถสั่งซื้อน้ำยาแอร์คุณภาพดี ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย MSDS และด้านคุณภาพสินค้า Specification ที่ www.fillkool.com หรือ Line@ : Fillkool

ข้อเสียของการอยู่ในห้องแอร์

  • โรคทางเดินหายใจ: การใช้เครื่องปรับอากาศอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดจากเครื่องปรับอากาศ และโรคไซนัสเนื่องจากการแห้งของเมือก
  • ปัญหาผิวหนัง: อากาศที่แห้งจากเครื่องปรับอากาศอาจทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดอาการคัน
  • การแพร่กระจายของเชื้อโรค: หากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม เครื่องปรับอากาศอาจเป็นแหล่งสะสมและการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • การใช้พลังงานสูง: เครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูง อาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การใช้เครื่องปรับอากาศอย่างถูกวิธีและการดูแลรักษาที่ดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากโทษและเพิ่มประโยชน์ที่ได้รับได้

ยาลดกรดไหลย้อนกินตอนไหนดี มีวิธีกินอย่างไรบ้าง ?

0
วิธีกินยาลดกรดไหลย้อน

วิธีกินยาลดกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่อาจพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมีสาเหตุหลักที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย ทำให้เกิดอาการปวดท้อง เป็นอาการที่สามารถรักษาได้ด้วยการกินยาลดกรดไหลย้อน หรือยาลดกรดในกระเพาะได้ ซึ่งในวันนี้ในจะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับยาลดกรดไหลย้อนให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีแก้อาการกรดไหลย้อนเบื้องต้น ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ในบทความนี้


สารบัญบทความ


ยาลดกรดไหลย้อนคืออะไร

ยาลดกรดไหลย้อนคือ ?

ยาลดกรดไหลย้อน หรือยาลดกรดในกระเพาะ คือยารักษากรดไหลย้อน เป็นยาที่ช่วยลดกรดที่อยู่ภายในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหาร ตัวยาออกฤทธิ์โดยการทำให้กรดเปลี่ยนสถานะเป็นกลาง ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ปวดแสบร้อนกลางหน้าอกให้บรรเทาเบาลงได้


ยาลดกรดไหลย้อนมีกี่ชนิด ต่างกันอย่างไร

ยาลดกรดในกระเพาะ หรือยาลดกรดไหลย้อนจะมีอยู่หลายชนิดที่อาจทำให้หลาย ๆ คนเกิดความสับสนไม่รู้ว่าเมื่อเกิดอาการกรดไหลย้อน แล้วมีอาการปวดท้อง ควรกินยาลดกรดไหลย้อนยี่ห้อไหนดี ซึ่งโดยปกติแล้วตัวยาจะแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้

ยาลดกรด (Antacids)

ยาลดกรด หรือยาลดการผลิตกรด เป็นยาที่จะถูกใช้เป็นอันดับแรก ๆ สำหรับยารักษากรดไหลย้อน ซึ่งโดยส่วนมากยาชนิดนี้มักจะถูกเลือกใช้ในเด็กเล็ก เพราะเป็นยาลดกรดไหลย้อนชนิดน้ำ โดยจะมีตัวอย่างชื่อยาที่อยู่ในกลุ่มยาชนิดนี้ เช่น

  • Cimetidine (Tagamet)
  • Nizatidine (Axid)
  • Ranitidine (Zantac)

ยายับยั้งการผลิตกรดในกระเพาะ (PPIs)

เป็นยาลดกรดที่ออกฤทธิ์ในการยับยั้งการหลั่งกรดภายในกระเพาะอาหาร ช่วยยับยั้งเอนไซม์ Proton Pump ของเซลล์ผนังกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ผลิตกรดเข้าสู่กระเพาะอาหาร มีทั้งชนิดเม็ด และยาชนิดฉีด เป็นยาลดกรดในกระเพาะที่มีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้, ปวดศีรษะ, ท้องผูก เป็นต้น โดยจะมีตัวอย่างชื่อยาที่อยู่ในกลุ่มยาชนิดนี้ เช่น

  • Rabeprazole (Aciphex)
  • Esomeprazole (Nexium)
  • Pantoprazole (Protonix)

ยาที่ใช้ร่วมกับยาลดกรดในกระเพาะ (Prokinetic Agents)

เป็นยาลดกรดไหลย้อนที่ออกฤทธิ์ทำให้หูรูดกระเพาะอาหารปิดสนิทมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรดไหลย้อน เป็นยาที่มักจะถูกใช้ร่วมกับยาลดกรด (Antacids) เป็นยาที่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ท้องเสีย, คลื่นไส้, ภาวะสับสน เป็นต้น โดยจะมีตัวอย่างชื่อยาที่อยู่ในกลุ่มยาชนิดนี้ เช่น

  • Bethanechol (Duvoid, Urecholine)
  • Cisapride (Propulsid)
  • Erythromycin (Dispertab, Robimycin)

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเกิดภาวะกรดไหลย้อน

แนะนำวิธีแก้อาการกรดไหลย้อนเบื้องต้นด้วยตัวเองง่าย ๆ แบบที่ไม่พึ่งยาลดกรดในกระเพาะ หรือยาลดกรดไหลย้อน เพราะการใช้ยาอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในบางคนได้ โดยจะมีข้อแนะนำต่าง ๆ ดังนี้

  1. ไม่ควรรับประทานจำนวนมากจนรู้สึกแน่นท้องภายในมื้อเดียว
  2. ไม่ควรนอนหลังจากรับประทานอาหารทันที ควรทิ้งช่วงเวลาสัก 2-3 ชั่วโมง
  3. งดการรับประทานอาหารที่มีรสจัดเกินไป เช่น เผ็ด, เค็ม, เปรี้ยว และอาหารที่มีฤทธิ์กระตุ้นกรดไหลย้อน เช่น หัวหอม, มะเขือเทศ, กระเทียม เป็นต้น
  4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดตอนท้องว่าง และเครื่องดื่มบางชนิด เช่น น้ำอัดลม, กาแฟ, ช็อกโกแลต เป็นต้น
  5. งดการสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หูรูดหลอดอาหารหย่อนตัวลง ทำให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นมาได้ง่ายกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่
  6. งดการสวมใส่เสื้อผ้าตัวเล็ก เสื้อผ้าที่รัดแน่น
  7. ปรับเปลี่ยนวิธีการนอนไม่ให้นอนราบมากเกินไป โดยศีรษะ และน้าออกควรอยู่สูงกว่าเท้า 6-8 นิ้ว

อาการกรดไหลย้อนเป็นวิธีที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ถ้าหากทำตามคำแนะนำแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น สามารถใช้ยาลดกรดไหลย้อนเพื่อบรรเทาอาการได้ โดยจะมีข้อแนะนำในการกินยา ดังนี้

  • ยาลดกรดไหลย้อนกินตอนไหนดี ? ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำให้กินหลังอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง วันละ 3-4 ครั้ง ผู้ใหญ่ครั้งละ 1-2 เม็ด เด็กที่มีอายุ 4-7 ปี ครั้งละ 1 เม็ด
  • วิธีกินยาลดกรดไหลย้อน ควรเคี้ยวเม็ดยาให้ละเอียดก่อนกลืน แล้วดื่มน้ำตามในปริมาณที่มาก
  • ยาลดกรดไหลย้อนไม่สามารถใช้ได้ในผู้ที่เป็นโรคประจำตัว เช่น โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ
  • ยาลดกรดไหลย้อนบางชนิดไม่สามารถใช้ร่วมกับยารักษาโรคอื่น ๆ ได้ ก่อนกินยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาลดกรดไหลย้อน

เมื่อเกิดภาวะกรดไหลย้อนควรทำอย่างไร ?

อันดับแรกควรดูแลตัวเองเบื้องต้น โดยการงดอาหารที่กระตุ้นการเกิดกรดไหลย้อน และปฏิบัติตามคำแนะนำ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรซื้อยาลดกรดไหลย้อนกับทางเภสัชกรโดยตรง หรือเข้ารับการปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง

คนท้องสามารถกินยาลดกรดไหลย้อนได้หรือไม่ ?

สามารถกินยาลดกรดไหลย้อน หรือยาลดกรดในกระเพาะได้ แต่ไม่สามารถกินยาลดกรดได้ทุกยี่ห้อ ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนผสมของแมกนีเซียม หากไม่แน่ใจควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์โดยตรง


สรุปยาลดกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อนถือเป็นโรคใกล้ตัว สามารถพบเจอได้บ่อย โดยมีสาเหตุหลังจากการรับประทานอาหาร ซึ่งมีวิธีแก้ได้ด้วยการดูแลตัวเองให้ดี และการใช้ยาลดกรดไหลย้อน หรือยาลดกรดในกระเพาะอย่างถูกวิธี เพื่อรักษาอาการได้ ซึ่งในวันนี้หลาย ๆ คนก็จะรู้จักกับยาชนิดนี้มากขึ้นแล้ว หากใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถกินยาชนิดนี้ได้ไหม ขอแนะนำให้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ


 

Thermage ราคาเท่าไหร่ ? คิดราคาแบบไหน ? ผลลัพธ์คุ้มค่าคุ้มราคาไหม ?

0
ทำ Thermage

Thermage ราคา

Thermage ราคา

Thermage ราคาเริ่มต้น 30,000.- ได้ยินราคาแล้วอาจจะรู้สึกว่าแพง แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้แล้วถือว่าคุ้มค่า ทำ 1 ครั้ง อยู่ได้นาน 1-2 ปี ช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้แน่น ตึงกระชับ เรียบเนียน โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ทำได้หลายบริเวณ ที่นิยมคือใบหน้า แก้ม ลำคอ (เหนียง) 

ราคา Thermage ของแต่ละคลินิกทำไมต่างกัน ทำ Thermage เทอร์มาจคิดราคาแบบไหน ? บทความนี้จะมาแจงรายละเอียดให้ดูกันว่าราคาแต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร ? ทำ Thermage ราคาถูก เสี่ยงเจอ Thermage ปลอมจริงไหม ? มีวิธีเช็กอย่างไร คลินิกไหนใช้เครื่องแท้ ทำแล้วเห็นผล ปลอดภัย ไม่เสี่ยงหน้าพัง 


Thermage ราคาเท่าไหร่ คิดราคาแบบไหน ?

ถ้าอยากรู้ว่า Thermage ราคาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่คลินิกเสริมความงามจะมีโปรโมชันราคาบอกไว้ที่หน้าเว็บไซต์ ให้คนไข้เข้าไปดูและวางแผนค่าใช้จ่ายในเบื้องต้น ควรเลือกทำ Thermage กับคลินิกที่แจ้งราคาอย่างเปิดเผย ไม่มีหมกเม็ด

แต่ถึงจะรู้ว่า Thermage ราคาเท่าไหร่ ก่อนทำก็จะต้องมีการ Consult กับหมอ ให้หมอประเมินอีกที ซึ่งราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ หมอจะให้คำแนะนำที่เหมาะสม และตรงกับงบประมาณคนไข้ โดยในรายละเอียดของราคาจะคิดจาก

1.ปัญหาของคนไข้ แต่ละเคสที่เข้ามาที่คลินิกมาด้วยปัญหาแตกต่างกัน เช่น 

  • หน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยร่องแก้มลึก อยากยกกระชับผิว ปรับรูปหน้าเรียวเล็ก มีกรอบหน้าชัด 
  • มีไขมันสะสมเฉพาะจุด ต้องการสลายไขมันบริเวณแก้ม ใต้คาง เหนียง 
  • มีริ้วรอยรอบดวงตา ถุงใต้ตา คิ้วตก ตาตก ต้องการยกกระชับให้รอบดวงตาเรียบเนียน เต่งตึง
  • ผิวตัวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ และมีเซลลูไลท์ เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง 
  • Skin Quality ของผิวไม่ดี ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า กระชับรูขุมขน ให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์

2.บริเวณที่ทำ ก็มีผลต่อราคา ขึ้นอยู่กับบริเวณที่คนไข้ต้องการแก้ปัญหา ถ้าทำบริเวณกว้าง จำนวนช็อตเยอะ ราคาก็จะสูงขึ้น 

  • Thermage รอบดวงตา
  • Thermage แก้ม + เหนียง
  • Thermage ทั่วหน้า
  • Thermage ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง

3.หัวยิงที่ใช้ Thermage มีหัวยิงให้แพทย์เลือกใช้หลายหัว ตามระดับความลึกของชั้นผิว 

  • หัว Eye Tip 0.25 cm2 (หัวสีเขียว) ลดริ้วรอยรอบดวงตา แก้ไขหน้าตาชั้นบนตก 
  • หัว Face Tip 4.0 cm2 (หัวสีม่วง) กระชับผิวเรียบเนียน ริ้วรอยลดลง กรอบหน้าชัดเจน
  • หัว Body Tip 16.0 cm2 (หัวสีส้ม) กระชับสัดส่วน ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง

4.จำนวนช็อต (Shot) ขึ้นอยู่กับปัญหาและบริเวณที่ทำ  

  • Thermage 450 Shot (รอบดวงตา หรือ แก้ม+เหนียง)
  • Thermage 900 Shot หรือ 1,800 Shot (ทั่วหน้า) 
  • Thermage 2,000 Shot (ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง) 
Thermage เทอร์มาจ
หมอประเมินปัญหา แนะนำหัวยิง จำนวนช็อตที่เหมาะสม

Thermage ราคาแต่ละรุ่น ต่างกันอย่างไร ?

ราคาที่แตกต่างกัน ยังขึ้นอยู่กับรุ่นของตัวเครื่อง ในช่วงปี 2003-2018 เครื่อง Thermage มีการผลิตออกมาทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ 

  • Thermage TC (2003)
  • Thermage NXT (2007)
  • Thermage CPT (2009)
  • Thermage FLX (2018) 

ปัจจุบันเครื่องที่มีใช้กันอยู่ในคลินิกเสริมความงาม จะเป็น 2 รุ่นล่าสุด คือ Thermage CPT และ Thermage FLX ซึ่งไม่แตกต่างกันเฉพาะปีที่ผลิตเท่านั้น แต่คุณสมบัติของเครื่องก็มีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ ความแม่นยำในการยิงพลังงานลงสู่ชั้นผิว ซึ่งส่งผลต่อจำนวนช็อตที่ใช้ ระยะเวลาที่ทำ ความรู้สึกเจ็บขณะทำ และผลลัพธ์ที่ได้ 

นอกจากนี้ Thermage FLX ยังเพิ่มหัวยิงใหม่ เป็นหัวสีม่วงที่เหมาะสำหรับทำบริเวณใบหน้า เหนียง และลำคอ  

Thermage FLX Thermage CPT

Thermage FLX ราคา

Thermage FLX ราคาจะสูงกว่ารุ่นก่อน ๆ หน้า เพราะตัวเครื่องมีการพัฒนาใหม่ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทั้งดีไซน์ตัวเครื่อง หน้าจอสัมผัส (Touch Screen) อัลกอริทึม (Algorithm) หรือการทำงานของเครื่องมีความแม่นยำ ตรงจุด ปรับพลังงานได้แบบเรียลไทม์ (Real-time) ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เจ็บน้อยลง 

Thermage CPT ราคา 

Thermage CPT ยังมีใช้อยู่ในบางคลินิก ถ้าเทียบราคากับ Thermage FLX พอ ๆ กัน แต่ในแง่ของประสิทธิภาพและความแม่นยำด้อยกว่า (Thermage รุ่น FLX ยิงจำนวนช็อตน้อยกว่า ใช้เวลาทำน้อยกว่า แต่ได้ผลลัพธ์มากกว่า เพราะทุกช็อตที่ยิงโฟกัสตรงจุด) ขณะทำอาจรู้สึกเจ็บมากกว่า เพราะไม่มีระบบสั่น (Vibration) และระบบปกป้องผิวด้วยความเย็น (Post Cooling) เวลาที่ยิงพลังงานลงชั้นผิว


ทำ Thermage กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม คุ้มค่าคุ้มราคาไหม ?

  • Thermage เห็นผลหลังทำ 20% 
  • เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน 
  • ทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี 

หลังทำ Thermage คนไข้สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ จะรู้สึกว่าหน้ายกกระชับขึ้น 20% ริ้วรอยลดลง เห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 2-3 เดือน ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพลังงานจะไปกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวต่อเนื่องจนถึงเดือนที่ 6 คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี 

Thermage กี่วันเห็นผล

ถ้าอยากให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ๆ คุ้มค่าคุ้มราคา คนไข้ควรดูแลตัวเองหลังทำ Thermage ร่วมด้วย เช่น เน้นทาครีมบำรุงผิว ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับใครที่ยังลังเลว่าจะผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าหย่อนคล้อย หรือว่าจะทำ Thermage ยกกระชับดี ก็ต้องดูหลาย ๆ อย่างประกอบกัน ยกตัวอย่างเคสที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจนในชั้นผิวลดน้อยลง ผิวขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย อยากยกกระชับผิวให้เต่งตึง แต่ไม่อยากให้ถึงขั้นต้องผ่าตัดดึงหน้าเพราะกลัวเจ็บ ไม่มีเวลาพักฟื้น หมอจะแนะนำให้ทำ Thermage

การทำ Thermage ไม่ใช่การผ่าตัด จึงเจ็บน้อยกว่า ที่สำคัญยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ยิ่งอายุเยอะ คอลลาเจนในชั้นผิวยิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าการผ่าตัดช่วยยกกระชับได้ แต่ไม่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ การทำ Thermage จึงให้ความคุ้มค่าในระยะยาว สามารถทำต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์ และคุณภาพผิวที่ดี


ทำ Thermage ราคาถูก เสี่ยงเจอ Thermage ปลอมจริงไหม ?

Thermage ราคาจะต้องไม่ถูกจนน่าแปลกใจ ต่อให้เป็นราคาโปรโมชันก็ตาม สามารถเช็กราคา เปรียบเทียบกับหลาย ๆ คลินิกก่อนตัดสินใจ เพราะถ้าราคาถูกมาก ๆ มีการจัดโปร Thermage บุฟเฟต์ โปรยิงเทอร์มาจไม่จำกัด Shot หรือ Thermage ราคาหลักพัน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย มีความเสี่ยงสูงที่เจอ Thermage เครื่องปลอม หัวยิงปลอม

Thermage ของแท้-ปลอม ดูอย่างไร ?

คนไข้สามารถเช็กได้ว่าเครื่อง Thermage ที่ให้บริการในคลินิกนั้น ๆ เป็นของแท้ หรือของปลอม ไม่ควรดูแค่หน้าตาเครื่องเท่านั้น เพราะอาจเจอเครื่องเลียนแบบที่ทำหน้าตาเครื่องออกมาได้เหมือนเครื่องจริงแทบจะ 100% ยังมีจุดสังเกตอื่น ๆ ที่ควรตรวจสอบเพิ่มเติม เช็กให้ชัวร์ก่อนตัดสินใจ 

เช็ก Thermage ของแท้

  • สติกเกอร์เครื่องแท้ มีสติกเกอร์สัญลักษณ์เครื่องแท้ติดไว้ที่คลินิก สามารถมองเห็นได้ง่าย ชัดเจน
  • โล่และประกาศนียบัตร มีโล่ตราสัญลักษณ์และประกาศนียบัตรที่ออกโดย SOLTA MEDICAL
  • สติกเกอร์เครื่องแท้ มีสติกเกอร์ของแท้ติดไว้ที่ด้านหน้าตัวเครื่อง

Thermage ราคาถูก ๆ ในคลินิกไม่ได้มาตรฐาน อาจทำแล้วไม่เห็นผล เสี่ยงหน้าพัง

ทำ Therrmage ไม่ควรเลือกจากราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลือกทำ Thermage กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มั่นใจว่าใช้ Thermage ของแท้ เพราะถ้าใช้เครื่องปลอม หรือหัวยิงปลอม ทำแล้วอาจไม่เห็นผล เพราะพลังงานไม่เสถียร โฟกัสได้ไม่แม่นยำ ตรงจุด หรือร้ายแรงกว่านั้น อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เสี่ยงหน้าพัง เสียโฉม เช่น

  • ผิวไหม้ ผิวอักเสบ 
  • เกิดรอยดำ รอยบุ๋ม ผิวขรุขระ 
  • ใบหน้าเสียรูปทรง

ทำ Thermage ที่ไหนดี ควรพิจารณาอะไรบ้าง ?

ก่อนทำ Thermage ที่ไหนดี นอกจากราคาที่สมเหตุสมผล ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องพิจารณา เพื่อให้หลังทำได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งต้องมาพร้อมกับความปลอดภัย โดยเรื่องหลัก ๆ ที่หมอเน้นย้ำให้คนไข้พิจารณา คือ

  • มาตรฐานของคลินิก คลินิกที่ให้บริการ Thermage ต้องเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ เปิดให้บริการถูกต้องตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข มีป้ายชื่อคลินิก และเลขใบอนุญาต 11 หลัก แสดงให้เห็นชัดเจนด้านหน้าคลินิก 
  • เครื่อง Thermage ของแท้ จะผลิตโดยบริษัท SOLTA MEDICAL ประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่าน U.S. FDA และอย.ไทย สามารถตรวจสอบได้
  • ประสบการณ์แพทย์ แพทย์ที่ทำ Thermage ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากแพทยสภา มีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้า และผ่านการอบรมการใช้เครื่อง Thermage สามารถใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้อง
  • รีวิว Thermage ก่อนทำควรดูรีวิวจากคนไข้ที่มาใช้บริการจริง ทั้งรีวิวภาพนิ่งและคลิปวิดีโอ จะได้เห็นขั้นตอนการทำ ผลลัพธ์หลังทำ ควรดูหลาย ๆ ช่องทาง ทั้งช่องทางหลักของคลินิกและช่องทางโซเชียลต่าง ๆ  

ทำ Thermage


ราคาและโปรโมชันทำ Thermage

Thermage ราคาสมเหตุสมผล ปลอดภัย ผลลัพธ์ชัดเจน มีโปรโมชัน Thermage ราคาให้เลือกหลากหลาย ในช่วงราคาตั้งแต่ 30,000-110,000.- ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละเคส ถ้าใช้จำนวน Shot มาก ราคาก็จะเพิ่มขึ้น

ถ้าคนไข้ทำ Thermage ในบริเวณที่ไม่กว้างมาก เช่น Thermage รอบดวงตา หรือแก้ม เหนียง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 30,000- (450 Shot) แต่ถ้าทำทั่วหน้า หรือต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง จะใช้ตั้งแต่ 900 Shot 1,800 Shot ไปจนถึง 1,800 Shot เนื่องจากตำแหน่งที่ทำมีบริเวณกว้าง ต้องใช้จำนวนช็อตที่มากขึ้น


สรุป 

Thermage ถือเป็นเครื่องยกกระชับระดับ Premium และเป็นเครื่องมือตัวท็อปของคลินิกเสริมความงาม ด้วยการทำงานของเครื่องที่มีความทันสมัย ใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) ปล่อยพลังงานลงลึกถึงผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutameous) ซึ่งอยู่ลึกสุดของโครงสร้างผิว อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น และมีราคาคุ้มค่า เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ 

Thermage รีวิวผลลัพธ์หลังทำ กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

0
Thermage รีวิว

Thermage รีวิว

ใครที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย อยากยกกระชับผิวแบบเร่งด่วนและเห็นผลจริง ในบทความนี้มี Thermage รีวิวผลลัพธ์หลังทำ และข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับการทำ Thermage มาแนะนำครับ เพื่อเป็นข้อพิจารณาก่อนตัดสินใจทำ เพราะปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย คอลลาเจนในผิวลดลงจากอายุที่มากขึ้น การทาครีมบำรุงและการกินวิตามินอาจไม่เพียงพอ และไม่สามารถช่วยฟื้นฟูผิวในระดับชั้นลึกได้ 

ดังนั้นการมองหาตัวเลือกอื่น ๆ อย่างการใช้ Thermage เครื่องยกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (monopolar RF) จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด และเห็นผลมากกว่าครับ สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึก ลดผิวหย่อนคล้อยได้ โดยจะเห็นผลหลังทำทันทีตั้งแต่ครั้งแรก

ประโยชน์ของการทำ thermage 

Thermage รีวิวหลังทำช่วยเรื่องอะไรบ้าง

การยกกระชับผิว

Thermage เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่ทำงานด้วยการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ยิงลงไปในชั้นผิวหนัง ตั้งแต่ผิวชั้นบนจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) พลังงานที่ปล่อยออกมาจะส่งผ่านความร้อนแบบ Column ทำให้สามารถสร้างความร้อนใต้ผิวหนังได้ลึกและทั่วถึง Thermage รีวิวหลังทำจึงช่วยในการยกกระชับผิว ลดแก้ม ลดเหนียง ปรับหน้าเรียววีเชฟ เพิ่มกรอบหน้าชัด ลดการสะสมของไขมันส่วนเกินได้ครับ

กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

พลังงานความร้อนจาก Thermage จะเข้าไปแยกโมเลกุลของน้ำออกจากเส้นใยคอลลาเจน ทำให้คอลลาเจนหดตัวทันที ส่งผลให้เส้นใยคอลลาเจนที่เคยหย่อนคล้อยกลับมามีเกลียวที่ขึงตึงขึ้น ยึดเนื้อเยื่อของผิวหนังได้ดีขึ้น และทำการจัดเรียงตัวใหม่ Thermage รีวิวหลังทำผิวจึงมีความกระชับ ยืดหยุ่น ผิวแน่น เพิ่ม skin quality ในระยะยาว 

นอกจากนี้การทำ Thermage ยังช่วยฟื้นฟูผิวหนังชั้นบนสุดให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน ในขณะที่เครื่องมือยกกระชับอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ครับ 

ความเสี่ยงและข้อจำกัดของการทำ Thermage 

การทำ Thermage ถ้าเลือกใช้บริการคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ใช้เครื่องแท้ คนไข้ก็สามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัยครับ อาจมีผลข้างเคียงบ้างเล็กน้อยและเกิดขึ้นเฉพาะบุคคล เช่น

ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้

 thermage รีวิวหลังทำคนไข้อาจมีรอยแดงหรือบวมได้เล็กน้อย ถือเป็นอาการปกติจากความร้อนครับ ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น สามารถหายได้เองใน 24 ชั่วโมง คนไข้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น แต่งหน้า ล้างหน้า ทาครีมได้เลย แต่ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ หรือใครที่ความจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง แนะนำทาครีมกันแดดทุกครั้งครับ

ผู้ที่ไม่ควรทำ Thermage 

  • หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างโรคหัวใจที่ต้องใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (pacemaker) หรือมีโลหะภายในร่างกาย

กระบวนการทำ thermage 

กระบวนการทำ thermage รีวิวแต่ละขั้นตอนไม่ได้มีความยุ่งยากและใช้เวลาไม่นานครับ โดยแต่ละขั้นตอนจะมีรายละเอียดดังนี้

thermage รีวิว ขั้นตอนการประเมินผิว

thermage รีวิวขั้นตอนการประเมินผิว

  • thermage รีวิวขั้นตอนการประเมินผิว อันดับแรกจะมีการซักประวัติคนไข้ก่อนครับ  เช่น ก่อนหน้านี้คนไข้ได้มีการทำหัตถการอะไรมาบ้าง ซึ่งถ้าหากคนไข้ได้มีการร้อยไหม หรือฉีดฟิลเลอร์มาก่อน แนะนำให้เว้นระยะห่างก่อนทำอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
  • แพทย์ประเมินปัญหาใบหน้าคนไข้ เพื่อดูว่าคนไข้มีปัญหาใบหน้าอะไรบ้าง และคนไข้มีความกังวลจุดไหนเป็นพิเศษ 
  • ถ้าหากแพทย์ประเมินแล้วว่าคนไข้สามารถทำ thermage ได้ แพทย์จะวางแผนการทำหัตถการและคำนวณจำนวน Shot ที่ใช้

thermage รีวิว ขั้นตอนการเตรียมผิว

thermage รีวิวขั้นตอนการเตรียมผิว

  • thermage รีวิวขั้นตอนการเตรียมผิว อันดับแรกจะมีการเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าคนไข้ เพื่อเตรียมแปะยาชา
  • แปะยาชาในตำแหน่งที่ต้องการทำ และรอยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30-45 นาที

thermage รีวิวกระบวนการทำ 

thermage รีวิวขั้นตอนการทำ

  • thermage รีวิวขั้นตอนการทำ แพทย์จะนำหัว Thermage มาแนบชิดกับผิวและยิงตามจำนวน shot ที่ประเมินในแต่เคส ใช้เวลาในการทำประมาณ 45-90 นาที (ระยะเวลาการรักษา ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหนังและตำแหน่งที่ยิง)
  • ระหว่างทำ คนไข้จะรู้สึกอุ่น ๆ แต่ไม่ได้เจ็บจนทนไม่ไหวครับ เพราะเครื่อง Thermage FLX  มีระบบสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ โดยในระหว่างที่เครื่องส่งความร้อนไปยังผิวชั้นลึก จะมีการปล่อยความเย็นออกมาด้วยเป็นระยะ ๆ  เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้ผิวไหม รวมถึงมี Vibration ระบบสั่น ทำให้รู้สึกสบายขณะทำมากขึ้น
  • ในระหว่างทำ Thermage แพทย์จะสอบถามความรู้สึกร้อนของคนไข้เป็นระยะ ๆ ครับ เพื่อจะได้ปรับค่าพลังงานให้เหมาะสม โดยแบ่งระดับความรู้สึกตั้งแต่ 0-4 ระดับ คือ 
    • ระดับ 0-1 คนไข้จะรู้สึกว่าผิวสั่นอย่างเดียว แต่ไม่อุ่น = ไม่เห็นผลที่ชัดเจน เห็นผลลัพธ์น้อย
    • ระดับ 2-2.5 คนไข้จะรู้สึกร้อนใต้ผิว แต่เป็นความร้อนในระดับที่ทนได้ = ให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการ หลังทำเห็นผลชัดเจนแบบวัดผลได้
    • ระดับ 3-4 คนไข้รู้สึกร้อนมากเกินไป = ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าระดับอื่น ๆ แต่ต้องแลก มาด้วยความเจ็บ ในคนไข้ที่มีผิวบอบบาง อาจมีอาการบวม ช้ำได้ง่าย

thermage รีวิว การดูแลผิวหลังทำ 

thermage รีวิว การดูแลผิวหลังทำ

  • คนไข้จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองหลังทำ Thermage จากพนักงาน และรับยาแก้ปวดรับประทานหากมีอาการปวด
  • Thermage รีวิวหลังทำทันทีอาจมีอาการผิวแดง ชมพูระเรื่อ หรือมีอาการหน้าบวมเล็กน้อย จะค่อย ๆ ดีขึ้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง 
  • สามารถใช้ครีมบำรุง หรือแต่งหน้าได้ตามปกติ
  • คนไข้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ พยายามหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ๆ หลังทำประมาณ 1 สัปดาห์ แนะนำก่อนออกแดดควรทาครีมกันแดดทุกครั้งครับ
  • งดการทำทรีทเมนท์ ขัดผิว หรือทำเลเซอร์อื่น ๆ ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อลดการระคายเคืองผิวที่อาจเกิดขึ้นได้
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผิวกลับมาหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย เช่น แสงแดด การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่ควรเลี่ยงออกกำลังกายในสภาพอากาศที่ร้อนเกินไป 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Thermage 

อายุที่เหมาะสมในการทำ Thermage 

การทำ Thermage เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีในการยืดอายุผิวให้คงความอ่อนเยาว์ได้ครับ โดยสามารถเริ่มทำได้เมื่อมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือช่วงตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป เพราะช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในผิวของเราจะลดลงเฉลี่ย 1.5% ต่อปี และจะเพิ่มเป็น 20-30% เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป   

ดังนั้นการทำ Thermage ตั้งแต่ก่อนที่จะมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ถือเป็นการช่วยรักษาระดับความหนาแน่นของคอลลาเจนให้คงที่ไปเรื่อย ๆ เสมือนเป็นการป้องกันผิวหย่อนคล้อยในอนาคต ซึ่งถ้าเทียบกับคนที่มีอายุเท่ากันและไม่เคยทำ Thermage ผิวหน้าของคนที่ทำ Thermage จะมีความแน่น กระชับ ใบหน้าดูเด็กกว่าครับ 

ราคาของการทำ Thermage  

ราคาของการทำ Thermage มีหลายราคาครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละเคส ตำแหน่งที่ต้องการทำ รวมถึงจำนวนช็อตที่ใช้ ถ้าหากต้องทำหลาย shot ราคาก็จะสูงขึ้นตามจำนวน shot ไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ราคาของการทำ Thermage จะเริ่มต้นที่ 30,000 -110,000 บาท ครับ 

thermage รีวิว ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์

thermage รีวิวระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ thermage รีวิวระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ thermage รีวิวระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์

thermage รีวิวระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ คนไข้สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังทำประมาณ 20% โดยจะรู้สึกว่าผิวยกกระชับขึ้น หน้าแน่น เห็นกรอบหน้าชัด หลังจากนั้นใน 2-3 เดือน จะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ครับ และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคอลลาเจนใต้ผิวถูกกระตุ้น จนถึงเดือนที่ 6 คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปีครับ

การเตรียมตัวก่อนการทำ 

การทำ Thermage มีวิธีการเตรียมตัวที่ไม่ยุ่งยากครับ เหมือนการทำทรีทเมนต์ผิวทั่วไป ค่อนข้างสะดวก และใช้เวลาไม่นาน ยกเว้นในกรณีที่คนไข้มีการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้ามาก่อน เช่น ร้อยไหมหรือฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เดือนก่อนทำ Thermage ครับ 

สรุป 

thermage รีวิวผลลัพธ์หลังทำ ไม่เพียงช่วยกระชับหน้า ลดความหย่อนคล้อยในผิวชั้นบนเท่านั้น แต่ยังช่วยยกกระชับถึงผิวชั้นลึก ลดการสะสมของไขมันในชั้นไขมันได้อีกด้วย คนไข้จะรู้สึกว่าหน้ายกกระชับขึ้นแบบเห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณแก้มและเหนียง ซึ่งจะสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก และคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี 

แม้การทำ thermage จะมีราคาสูงกว่าเครื่องยกกระชับอื่น ๆ  แต่หลายคนก็เลือกทำครับ เพราะเห็นผลชัดเจน อยู่ได้นาน ทำให้ผิวแน่นขึ้นและดูอ่อนเยาว์ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คุ้มราคา เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัดครับ

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน

0
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ? อยากได้ผลลัพธ์สวย ปลอดภัย ต้องเลือกคลินิกอย่างไร ?

เทรนด์ความงามแบบธรรมชาติกำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน จึงทำให้การฉีดฟิลเลอร์ได้รับความนิยมตามไปด้วย เพราะเป็นหัตถการที่สามารถปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้้น และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ พร้อม ๆ กันนี้ก็มีคลินิกความงามเปิดใหม่เป็นจำนวนมาก คนไข้มีตัวเลือกมากขึ้น แต่ก็อาจจะพลาดไปเจอคลินิกเถื่อน หมอกระเป๋าได้เช่นกัน 

ในบทความนี้มีข้อแนะนำในการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์มากฝากครับ ว่าคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ?

ความรู้เบื้องต้น สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์

ความรู้เบื้องต้น สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์

  • ฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด ฟิลเลอร์แท้ผ่านการรับรองจากอย. ว่าสามารถฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ มีความปลอดภัย สลายหมดโดยไม่มีสารตกค้าง
  • ฟิลเลอร์จะเข้าไปทดแทนส่วนที่เสื่อมสลายไปของโครงสร้างผิว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้ามีริ้วรอย ร่องลึก ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน เต่งตึง และสามารถเสริมในส่วนที่ต้องการเพื่อปรับรูปหน้า เช่น หน้าผาก คาง ขมับ
  • การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ไม่ต้องดูแลตัวเองมาก หลังฉีดเห็นผลทันที สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-24 เดือน

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ? มีวิธีเลือกคลินิกอย่างไรบ้าง ?

อย่างที่บอกไปว่าด้วยความนิยมในปัจจุบัน ทำให้มีคลินิกความงามเปิดใหม่เยอะขึ้น อาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพเข้ามาหาประโยชน์ เปิดคลินิกเถื่อน ใช้ฟิลเลอร์ปลอม หมอกระเป๋า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ก่อนฉีดควรศึกษาวิธีสังเกตคลินิกที่ได้มาตรฐาน ดังนี้ครับ

1. คลินิกได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข

คลินิกได้มาตรฐาน มีใบรับรอง

ด้านอาคาร สถานที่ 

  • ตั้งอยู่ในทำเลที่ปลอดภัย มั่นคง แข็งแรง
  • ห้องทำหัตถการมีความสว่างเพียงพอ ไม่อับทึบ มืด
  • สถานที่สะอาด มีภาชนะกำจัดขยะติดเชื้อ

ด้านบุคลากรและการบริการ

  • แพทย์มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ 
  • มีการแสดงภาพถ่าย ชื่อ และเลขที่ใบอนุญาตชัดเจน
  • มีการแสดงอัตราค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการไว้ในที่เปิดเผย
  • มีข้อความแสดงวัน เวลาเปิด-ปิด ในที่มองเห็นได้ชัด

ด้านเครื่องมือและเวชภัณฑ์ 

  • คลินิกมีเครื่องมือ อุปกรณ์ ยา และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นครบถ้วน อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

2. ใช้ฟิลเลอร์แท้ Hyaluronic Acid

ใช้ฟิลเลอร์แท้ Hyaluronic Acid

ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid เป็นสารเติมเต็มประเภทเดียวที่ได้รับการรับรองจากอย. ไทย ว่าสามารถฉีดเข้าสู่ชั้นผิวได้ ไม่ใช่สารที่ฉีดแล้วอยู่ได้ถาวร จะสลายหมดไปเองตามระยะเวลา สารเติมเต็มอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ไม่ผ่านอย. ทั้งหมดครับ 

และที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือสารจำพวกซิลิโคนเหลว พาราฟิน ฉีดแล้วเกิดอันตรายกับร่างกาย อาจทำให้เกิดการแพ้ อักเสบ เป็นก้อน ไหลย้อย ทำให้เนื้อผิดรูป การแก้ไขต้องผ่าตัดขูดออกเท่านั้น 

เพื่อให้มั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่คลินิกนำมาฉีดให้เป็นฟิลเลอร์แท้ ควรศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อในเบื้องต้น และตรวจเช็กก่อนฉีด ให้หมอแกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง

ตัวอย่าง วิธีดูฟิลเลอร์แท้ในแต่ละยี่ห้อ

วิธีดูฟิลเลอร์ ยี่ห้อ Juvederm

วิธีดูฟิลเลอร์ ยี่ห้อ Juvederm

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Restylane

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Restylane 

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Belotero

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Belotero

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Definisse

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Definisse

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Flore

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Flore

3. แพทย์มีประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์

นอกจากต้องฉีดกับแพทย์จริงที่มีใบรับรอง การฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ครับ

สาเหตุที่ประสบการณ์ของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ เป็นเรื่องของกายวิภาคบนใบหน้าคนเรา ตำแหน่งเส้นเลือดต่าง ๆ อาจจะไม่ได้อยู่ตรงกันเป๊ะ ๆ ทุกคน ดังนั้นแพทย์ที่มีประสบการณ์ ก็จะสามารถประเมินและคาดเดาตำแหน่งเส้นเลือดสำคัญได้แม่นยำมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในการฉีดฟิลเลอร์ 

ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์

ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์

อีกข้อคือแพทย์ที่มีประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์ในเคสที่หลากหลาย จะช่วยแนะนำและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด สามารถเลือกเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมคนไข้แต่ละคนได้ รวมถึงยังช่วยการันตีถึงฝีมือ มีผลลัพธ์จากเคสก่อน ๆ ให้เห็น ช่วยเพิ่มความมั่นใจก่อนทำได้ครับ

4. มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

การดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง แนะนำให้ดูจากหลาย ๆ แหล่งครับ อย่าดูแต่เคสรีวิวของคลินิกเพียงอย่างเดียว ควรดูรีวิวในเว็บไซต์ที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ เช่น Pantip, Facebook Review หรือในช่องทางอื่น ๆ ที่คลินิกไม่สามารถลบได้ หากมีเคสหลุดก็จะได้เห็นแนวทางการแก้ไขและรับผิดชอบของคลินิกด้วยครับ

มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

นอกจากนี้ก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ควรดูรีวิวทั้งแบบที่เป็นแบบคลิปวิดีโอด้วยครับ เพราะบางครั้งรีวิวแบบรูปภาพอาจจะมีการตกแต่ง มีการแต่งหน้า ทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง คลิปวิดีโอจะตกแต่งได้ยากกว่า

5. ราคาสมเหตุสมผล

พูดถึงราคาฟิลเลอร์ ในประเทศไทยจะมีบริษัทนำเข้าฟิลเลอร์แต่ละแบรนด์อยู่ครับ ใน 1 ยี่ห้อฟิลเลอร์ ก็จะมีคนนำเข้าแค่เจ้าเดียว ดังนั้นราคาในคลินิกที่ได้มาตรฐานในตลาดก็จะไม่ได้ต่างกันมาก อยู่ที่ช่วงหมื่นต้น ๆ ไปถึงหมื่นปลาย ๆ หรือสองหมื่นต่อซีซี ขึ้นอยู่กับโปรโมชัน หรือประสบการณ์ เทคนิคของแพทย์แต่ละคลินิก

ที่ต้องระวังคือฟิลเลอร์ที่ราคาถูกกว่าตลาดมาก ๆ หรือฟิลเลอร์ที่ขายกันตามออนไลน์ อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์หิ้วที่ลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านอย . ไม่แนะนำให้เสี่ยงฉีดเด็ดขาดครับ 

6. ดูแลติดตามผลหลังทำ 

สุดท้ายคือการบริการ ดูแลติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์ เป็นหน้าที่ของคลินิกและแพทย์ที่จะต้องให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีด รวมถึงการแจ้งความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงต่าง ๆ ของการทำหัตถการ นอกจากนี้คลินิกควรมีช่องทางการติดต่อที่สะดวก หากคนไข้มีปัญหา สามารถติดต่อแพทย์ได้โดยตรง เช่น เบอร์โทร, Line@

วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ 

วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ทันที อาจจะมีอาการบวม รอยแดง เขียวช้ำ หรือคันได้ในจุดที่ทำเป็นปกติ ให้หลีกเลี่ยงการแตะ เกา กดนวดในจุดนั้น ๆ จะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
  • หลังฉีดฟิลเลอร์ 1 ชม. สามารถแกะพลาสเตอร์ออกได้ หากต้องการแต่งหน้าควรเว้นบริเวณรูเข็ม 
  • หลังฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง จะเริ่มมีอาการบวมเข็มมากขึ้น แนะนำให้อยู่แต่ในที่อากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด กิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น เข้าซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ๆ ตากแดด 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่อยู่หน้าเตาร้อน ๆ อาหารที่เผ็ดมาก ๆ แสบร้อนจนหน้าแดง อาหารหมักดอง หรือหวานจัด เพราะสามารถกระตุ้นกระบวนการอักเสบได้
  • ในช่วง 7-10 วัน อาการต่าง ๆ จะดีขึ้น ฟิลเลอร์เข้าที่ 100% ประมาณ 14 วัน โดยฟิลเลอร์จะเริ่มนิ่มลงและกลืนไปกับผิว 
  • งดการทำทรีตเมนท์ เลเซอร์ร้อน ที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น RF thermage 1 เดือน
  • ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น

สรุป ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ?

การฉีดฟิลเลอร์ ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว สะดวก และมีคลินิกฉีดฟิลเลอร์จำนวนมาก พร้อมโปรโมชันล่อตาล่อใจ แต่สิ่งที่คนไข้ควรให้ความสำคัญมากที่สุด คือความปลอดภัยครับ ก่อนฉีดต้องมั่นใจว่าเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมีปัญหาให้มาแก้ไขทีหลังครับ

สำหรับใครที่สนใจการฉีดฟิลเลอร์ และยังไม่มั่นใจว่าจะฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี อยากปรึกษาหมอก่อน ที่ V Square Clinic สามารถส่งรูปให้หมอประเมินทางออนไลน์ก่อนได้ฟรี หมอจะประเมินให้เป็นรายบุคคลโดยไม่มีค่าใช้จ่ายครับ