ลิ้นจี่ ผลไม้มากสรรพคุณป้องเหน็บชา

0
ลิ้นจี่
ลิ้นจี่ ผลไม้มากสรรพคุณป้องเหน็บชา เปลือกบางผิวเปลือกขรุขระ มีสีชมพูอมแดงหรือสีแดงสด เนื้อหนามีรสหวานฉ่ำอมเปรี้ยวเล็กน้อย
ลิ้นจี่
ผลไม้เปลือกบางผิวเปลือกขรุขระ มีสีชมพูอมแดงหรือสีแดงสด เนื้อหนามีรสหวานฉ่ำอมเปรี้ยวเล็กน้อย

ลิ้นจี่

ลิ้นจี่ (Lychee, Litchi, Lichee, Lichi) เป็นไม้ยืนต้นกึ่งเขตร้อนที่มีอายุยืนยาวผลไม้ชนิดนี้มีลักษณะเปลือกเป็นสีแดง ถูกจัดอยู่ในวงศ์เดียวกันกับลำไยและเงาะ จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE) ผลอุดมไปด้วยน้ำ 83% ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์สูง และยังมีสารอาหารสำคัญอย่างวิตามิน A, B และวิตามิน C ที่ช่วยให้หลอดเลือดและกระดูกแข็งแรง ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Litchi chinensis Sonn. และได้มีการปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทยแถบภาคเหนือ หรือในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดียตอนเหนือ บังกลาเทศ อเมริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา โดยสายพันธุ์มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่เป็นที่นิยมกันก็ได้แก่ สายพันธุ์จักรพรรดิ กิมเจ็ง และฮงฮวย เป็นต้น โดยถือเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของผลไม้สดหรือในรูปแบบแปรรูปก็ตาม

ลักษณะของลิ้นจี่

  • ลำต้น มีอายุ 5-25 ปี หรือมากกว่า เป็นไม้ไม่มีการพลัดใบ และมีความสูงขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร หรือมากกว่า ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างต่ำ กิ่งมีขนาดยาว แตกกิ่งออกจำนวนมาก ทำให้แลดูเป็นทรงพุ่มหนาทึบเป็นทรงกลม เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา เปลือกลำต้นขรุขระ
  • ใบ เป็นใบประกอบ โดยมีก้านใบหลักยาว 10-20 ซม. แต่ละก้านใบมีใบย่อยแตกออกด้านข้างเรียงสลับกัน 2-10ใบ ใบมีลักษณะเป็นรูปหอก เรียวยาว โคนใบสอบ ปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบ แผ่นใบหนา และเหนียวคล้ายหนัง ใบอ่อนหรือยอดอ่อนมีสีค่อนข้างแดง ส่วนใบแก่มีสีเขียวเข้ม และเป็นมัน ส่วนท้องใบมีสีเขียวอมเทาที่จางกว่าแผ่นใบด้านบน
  • ดอก ออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่งหรือปลายยอด มีก้านช่อดอกยาว 10-30 ซม. ก้านช่อดอกแตกแขนงกว้าง 10-30 ซม. แต่ละช่อดอกประกอบด้วยดอกจำนวนมาก ดอกมีขนาด 3-5 มม. มีก้านดอกยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกมีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ ส่วนกลีบดอกจะไม่มี สีเหลืองอมเขียว เป็นรูปถ้วย ภายในมีเกสรตัวผู้ 5-10 อัน ส่วนชั้นในสุดเป็นเกสรตัวเมียที่มีก้านชูเกสร และรังไข่ โดยรังไข่มี 2 พู แต่จะติดเป็นผลเพียง 1 พู เมื่อดอกบานจะส่งกลิ่นหอม
  • ผล มีลักษณะหลายแบบขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ทั้งผลแบบกลม ทรงรี และรูปหัวใจ โดยใน 1 ช่อ จะมีผลตั้งแต่ 1-40 ผล หรือมากกว่า ผลมีเปลือกบาง ผิวเปลือกขรุขระ มีสีชมพูอมแดงหรือสีแดงสด เปลือกผลสามารถแกะแยกออกจากเนื้อได้ง่าย เนื้อสีขาวขุ่นที่ฉ่ำไปด้วยน้ำ เนื้อให้รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย
  • เมล็ด มีลักษณะรี เปลือกเมล็ดมีสีน้ำตาลเข้ม ผิวเปลือกเรียบ และเป็นมัน ขั้วเมล็ดมีเยื่อสีขาวที่เชื่อมกับขั้วผล

สรรพคุณของลิ้นจี่

1. รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกายได้
2. ใช้ช่วยให้พลังชี่ขับเคลื่อน (เมล็ด)
3. ใช้ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ราก, เปลือกลำต้น)
4. มีฤทธิ์ช่วยแก้อาการไอเรื้อรัง
5. มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างสูง (สารสกัดจากเปลือก)
6. สามารถต้านมะเร็ง และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้อีกด้วย (สารสกัดเพอริคาร์ป)
7. เปลือกของผลใช้ทำเป็นชาชงดื่มแก้อาการหวัด (ชาจากเปลือก)
8. ใช้ช่วยแก้อาการคัดจมูก
9. มีส่วนช่วยบำรุงระบบการย่อยอาหาร
10. สามารถลดกรดในกระเพาะอาหารได้
11. สามารถช่วยบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร
12. มีฤทธิ์ช่วยป้องกันการเกิดและช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
13. ใช้ช่วยแก้การติดเชื้อในลำคอ (ชาจากเปลือก)
14. สามารถช่วยรักษาอาการท้องเดินได้
15. ช่วยลดขนาดเนื้องอก (งานวิจัยในประเทศจีน แต่ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัดว่าใช้ส่วนใด)
16. ใช้ช่วยรักษาโรคจากการติดเชื้อไวรัส (ชาจากเปลือก)
17. ช่วยแก้อาการท้องเสียชนิดไม่รุนแรงได้ (ชาจากเปลือก)
18. ใช้ช่วยปกป้องและรักษาตับ (สารสกัดของผล)
19. สามารถช่วยรักษาอาการปวดท้องได้ (เมล็ด)
20. ช่วยรักษาอาการปวดไส้เลื่อนได้ (เมล็ด)
21. มีประโยชน์ในการช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชาได้ (วิตามินบี 1)
22. รากหรือเปลือกของลำต้นนั้น ใช้แก้อาการติดเชื้อไวรัสและอีสุกอีใสได้ (ราก, เปลือกลำต้น)
23. สามารถช่วยลดอาการปวดต่าง ๆ ได้ (เมล็ด)
24. ใช้ช่วยรักษาอาการปวดบวมอัณฑะ (เมล็ด)
25. สามารถใช้ช่วยรักษาโรคไส้เลื่อน อัณฑะหย่อนยาน โดยการนำเมล็ดไปตากแห้งแล้วนำไปคั่วกับไฟอ่อน ๆ จนสุกเกรียม จากนั้นนำมาบดให้เป็นผง แล้วเอาผงที่ได้มาประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ เอามาต้มกับน้ำ หรือตัก 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำมาชงกับน้ำร้อน ดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 20 วัน (เมล็ด)

ประโยชน์ของลิ้นจี่

1. สามารถนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มช่วยแก้กระหาย และให้รสชาติที่หวานชื่นใจ
2. เป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีสำคัญต่อบ้านเราเป็นอย่างยิ่ง โดยมีการนำไปแปรรูปเป็นผลไม้กระป๋องและอบแห้งเพื่อส่งออกนั่นเอง

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ ต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 66 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต  16.53 กรัม
น้ำตาล 15.23 กรัม
เส้นใย 1.3 กรัม
ไขมัน 0.44 กรัม
โปรตีน 0.83 กรัม
วิตามินบี 1 0.011 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 2 0.065 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 3 0.603 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.1 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม 4%
วิตามินซี 71.5 มิลลิกรัม 86%
ธาตุแคลเซียม 5 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.13 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.055 มิลลิกรัม 3%
ธาตุฟอสฟอรัส 31 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโพแทสเซียม 171 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ในเนื้อผลมีสารประกอบชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการร้อนในได้ ดังนั้นไม่ควรที่จะรับประทานปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการร้อนในได้ ควรจะเลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลายเพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกายและป้องกันการเกิดอาการดังกล่าวอีกด้วย

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์หมอชาวบ้าน

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.sci.news/genetics/
2. https://vimafoods.com/en/product/lychee/

ลำไย คุณสมบัติช่วยให้เจริญอาหาร หลับสบาย

0
ลำไย
ลำไย คุณสมบัติช่วยให้เจริญอาหาร หลับสบาย ดอกสีครีมหรือขาวปนเหลือง กลิ่นหอม ผลกลมเปลือกสีน้ำตาลอ่อน เนื้อมีสีขาวหอมหวาน เม็ดในสีดำมัน
ลำไย
ดอกสีครีมหรือขาวปนเหลือง กลิ่นหอม ผลกลมเปลือกสีน้ำตาลอ่อน เนื้อมีสีขาวหอมหวาน เม็ดในสีดำมัน

ลำไย

ลําไย เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานกันเป็นอย่างมากในประเทศไทยบ้านเรา โดยจังหวัดที่ปลูกมากที่สุดคือจังหวัดลำพูน ส่วนประเทศที่ปลูกมากที่สุดคือประเทศจีน ซึ่งมีการปลูกมากถึง 26 สายพันธุ์ แต่ที่นิยมปลูกในบ้านเราจะแบ่งออกเป็น 5 พันธุ์ ชนิดแรกคือ กะโหลก ซึ่งเป็นพันธ์ุที่มีผลใหญ่ เนื้อหวานอร่อยซึ่งก็จะแบ่งแยกย่อยไปได้อีกหลากหลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์สีชมพู อีดอ อีแดง อีดำ เป็นต้น ส่วนจำพวกที่ 2-5 ก็คือ กระดูก สายน้ำผึ้ง เถา ขาว และธรรมดา ชื่อสามัญ Longan (ลองแกน) (มักเขียนผิดเป็น “ลำใย”) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Dimocarpus longan Lour. และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Euphoria longan (Lour.) Steud. จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)

คำแนะนำ : ไม่ควรจะรับประทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการร้อนใน เกิดแผลในช่องปาก และตาแฉะได้ ดังนั้นควรรับประทานแต่ในพอดี และผู้ที่มีอาการเจ็บคอ ไอมีเสมหะ มีหนองเป็นแผลอักเสบ ก็ไม่ควรที่จะรับประทานเช่นกัน

ลักษณะของลำไย

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สุง 9 – 12 เมตร เรือนยอดกลมและเป็นพุ่มทึบเปลือกขรุขระ สีน้ำตาลหรือสีเทา กิ่งค่อนข้างเปราะ เนื้อไม้มีสีแดงและแข็ง
  • ใบ เป็นใบประกอบ มีใบย่อย 2 – 5 คู่ ออกตรงข้ามหรือสลับกัน รูปร่างใบเรียวยาว สีเขียวเข้มเป็นมัน ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย
  • ดอก มีขนาดเล็ก ออกที่ปลายยอด มีสีครีมหรือขาวปนเหลือง มีกลิ่นหอม เป็นดอกสมบูรณ์เพศในช่อดอกเดียวกัน และมีดอกเพศผู้ดอกเพศเมีย
  • ผล มีรูปร่างค่อนข้างกลม เปลือกบางสีน้ำตาลอ่อน เนื้อมีสีขาวขุ่น รสหอมหวาน
  • เมล็ด ผลหนึ่งๆ มีเมล็ดเดียว รูปร่างกลม สีดำเข้มเป็นมัน ด้านบนของเมล็ดมีเนื้อเยื่อติดเป็นวงขาว ๆ ทำให้มีลักษณะคล้ายลูกตา

สรรพคุณของลำไย

1. มีส่วนช่วยให้หลับสบายและช่วยในการเจริญอาหาร
2. สามารถช่วยรักษาอาการหวัด ด้วยการนำใบมาชงกับน้ำร้อนดื่มได้
3. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาโรคมาลาเรีย โดยการนำใบสดประมาณ 20 กรัม น้ำ 2 แก้วผสมกับเหล้าอีก 1 แก้ว นำมาต้มรวมกันให้เดือดจนเหลือน้ำ 1 แก้วแล้วนำมาดื่ม
4. สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้โรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหนองได้ ด้วยการนำใบสดประมาณ 20 กรัมไปต้มกับน้ำดื่ม
5. สามารถแก้ปัญหาอาการตกขาวได้ ด้วยการนำรากมาต้มน้ำหรือเคี้ยวให้ข้น จากนั้นนำมารับประทาน
6. มีฤทธิ์ช่วยขับพยาธิเส้นด้าย ด้วยการนำรากมาต้มน้ำหรือเคี้ยวให้ค้นผสมกิน
7. มีฤทธิ์รักษาแผลที่เน่าเปื่อย บรรเทาอาการคัน ด้วยนำเมล็ดไปเผาให้เป็นเถ้าแล้วนำมาทา
8. มีฤทธิ์รักษาอาการท้องร่วง ด้วยการนำเปลือกของต้นที่มีสีน้ำตาลอ่อนนำมาต้มเป็นยา
9. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการนำใบมาชงกับน้ำร้อนสำหรับดื่ม
10. มีฤทธิ์ในการรักษาอาการปัสสาวะขัด ด้วยการนำเมล็ดมาทุบให้แตกแล้วนำมาต้มน้ำสำหรับดื่ม แต่ต้องลอกเปลือกสีดำของเมล็ดออกให้หมดก่อนนะ
11. ดอกสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ สลายก้อนนิ่วในไตได้
12. มีคุณสมบัติแก้อาการวิงเวียนศีรษะอ่อนเพลีย และเพิ่มความสดชื่น ด้วยการนำเปลือกผลที่แห้งแล้วมาต้มน้ำดื่ม
13. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษากลากเกลื้อน โดยการนำเมล็ดชุบน้ำส้มสายชูที่หมักด้วยข้าวแล้วนำมาถู แต่ทั้งนี้ต้องลอกเปลือกสีดำของเมล็ดออกก่อน
14. ใช้ช่วยรักษาแผลเรื้อรังและมีหนอง ด้วยการนำเมล็ดไปเผาเป็นเถ้า แล้วนำเอามาผสมกับน้ำมะพร้าวทาบริเวณที่เป็นแผล
15. สามารถใช้เป็นยาบำรุงม้าม เลือดลม หัวใจ บำรุงร่างกาย อาการนอนไม่หลับ อาการอ่อนเพลีย ด้วยการนำเนื้อหุ้มเมล็ดมาต้มน้ำดื่มหรือนำมาแช่กับเหล้าดื่มก็ได้เช่นกัน
16. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งอยู่
17. มีฤทธิ์ในการช่วยลดสารอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดขาวได้
18. มีสารออกฤทธิ์ที่สามารถช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
19. ใช้ช่วยรักษาแผลหกล้ม หรือแผลที่โดนมีดบาด ด้วยการใช้เมล็ดนำมาบดให้เป็นผงแล้วนำมาพอกห้ามเลือด จะช่วยแก้ปวดได้ด้วย แต่ต้องเอาเปลือกสีดำของเมล็ดออกก่อน
20. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำเปลือกผลที่แห้งแล้วเอาไปเผาเป็นเถ้าหรือบดให้เป็นผงแล้วนำมาโรยที่บาดแผล
21. มีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลมีหนอง สมานแผล ห้ามเลือด แก้ปวด ด้วยการนำเมล็ดมาต้มหรือบดเป็นผงจากนั้นก็นำมารับประทาน
22. มีสารช่วยลดการเสื่อมสลายจากข้อเข่า
23. มีวิตามินบี 12 ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง
24. มีธาตุแคลเซียมสูง มีส่วนช่วยในเรื่องของการทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
25. มีธาตุเหล็กซึ่งช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
26. มีธาตุฟอสฟอรัสที่มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดจากข้ออักเสบได้
27. มีธาตุโซเดียม ซึ่งมีส่วนช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเป็นปกติ
28. มีธาตุโพแทสเซียมที่มีส่วนช่วยให้มีสติปัญญา จิตใจร่าเริงแจ่มใสได้ โดยการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมอง
29. มีแร่ธาตุทองแดงที่มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงาน ด้วยการช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของลำไย

1. นำมารับประทานสด ๆ เป็นผลไม้ในยามว่างได้
2. น้ำมีส่วนช่วยในการเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้
3. นำมาทำเป็นอาหารก็ได้ เช่น ข้าวเหนียวเปียก ลอยแก้ว วุ้น เป็นต้น
4. มีสารที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวได้ดีกว่าการใช้สารเคมี
5. นำมาแปรรูปได้หลากหลาย เช่น การบรรจุกระป๋อง อบแห้ง น้ำ เป็นต้น
6. เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูงมาก เนื่องจากมีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่มากนั่นเอง
7. มีวิตามินซีซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณและมีสารในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยนั่นเอง
8. มีข้อมูลถึงความเป็นไปได้ว่า ในอนาคตอาจจะนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะเนื่องจากว่าไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งจะทำให้ลดขนาดการใช้ยาหรือเคมีบำบัดลงได้เป็นอย่างมาก
9. เนื้อไม้สีแดงของต้นมักนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องประดับ

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 15.14 กรัม
เส้นใย 1.1 กรัม
ไขมัน 0.12 กรัม
โปรตีน 1.31 กรัม
วิตามินบี 1 0.031 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 2  0.14 มิลลิกรัม 12%
วิตามินบี 3  0.3 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 84 มิลลิกรัม 101%
ธาตุแคลเซียม 1 มิลลิกรัม 0%
ธาตุเหล็ก 0.13 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.052 มิลลิกรัม 2%
ธาตุฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม 266 มิลลิกรัม 6%
ธาตุโซเดียม 0 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.05 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)

ลำดวน ดอกไม้กลิ่นหอมสรรพคุณบำรุงโลหิต

0
ลำดวน
ลำดวน ดอกไม้กลิ่นหอมสรรพคุณบำรุงโลหิต ดอกมีสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม ลักษณะเป็นรูปไข่ป้อม ปลายกลีบแหลม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดง และผลสุกมีสีน้ำเงินดำ รสหวานอมเปรี้ยว
ลำดวน
ดอกมีสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม ลักษณะเป็นรูปไข่ป้อม ปลายกลีบแหลม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดง และผลสุกมีสีน้ำเงินดำ รสหวานอมเปรี้ยว

ลำดวน

ต้นลำดวน White cheesewood, Devil tree, Lamdman คือ พันธุ์ไม้พระราชทานเป็นมงคลประจำจังหวัดศรีสะเกษ และดอกเป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุด้วย เพราะมีเรื่องเล่าว่า สมเด็จย่าได้เสด็จไปเยี่ยมชาวจังหวัดศรีสะเกษ ทรงทอดพระเนตรเห็นต้นออกดอกงดงามและมีกลิ่นหอม และทรงพอพระทัย หลังจากนั้นจึงกลายเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ ทำนองเดียวกับดอกมะลิที่เป็นสัญลักษณ์ของแม่นั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษอีกด้วย และมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Melodorum fruticosum Lour. จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า หอมนวล (ภาคเหนือ)

ลักษณะของลำดวน

  • ต้น หรือ ต้นหอมนวล จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ ต้นมีความสูงอยู่ประมาณ 10-15 เมตร ลำต้นตรง แตกกิ่งใบเป็นจำนวนมาก เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือเป็นรูปกรวยคว่ำ เปลือกต้นเรียบมีสีเทา แต่เมื่อลำต้นแก่เปลือกต้นจะเป็นสีน้ำตาลอมดำ มีรอยแตกตามแนวยาวของลำต้น ส่วนกิ่งอ่อนจะเป็นสีเขียวสด ยอดอ่อนและใบอ่อนเป็นสีแดง สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ชอบทั้งความชื้นสูง และแสงแดดแบบเต็มวันถึงครึ่งวัน ชอบขึ้นในที่โล่งๆ พบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทางภาคตะวันออก และภาคกลาง มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะพบได้มากในจังหวัดศรีสะเกษ เนื่องจากเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ[2],[3],[5],[6],[7]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ตรงปลายใบและโคนใบแหลมหรือสอบ ส่วนขอบใบนั้นจะเรียบ ใบมีความกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร แผ่นใบนั้นจะมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน แต่ผิวใบด้านบนเป็นมัน ส่วนด้านล่างจะมีสีอ่อนกว่า เส้นกลางใบเป็นสีออกเหลืองนูนเด่นทั้งสองด้าน ส่วนก้านใบมีความยาวประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตร[3]
  • ดอก จะออกดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อแบบกระจุกประมาณ 2-3 ดอก โดยจะออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ดอกมีสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม ลักษณะเป็นรูปไข่ป้อมถึงรูปเกือบกลม ปลายกลีบแหลม โคนกลีบกว้าง ดอกมีกลีบอยู่ 6 กลีบ กลีบดอกทั้งหนาและแข็ง สีเขียวปนเหลือง และมีขน แยกเป็น 2 วง ส่วนชั้นนอกมี 3 กลีบ กลีบแผ่แบน กลีบมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ขนาดใหญ่กว่ากลีบดอกวงใน ปลายกลีบแหลม โคนกลีบกว้าง โดยมีความกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร ส่วนกลีบดอกชั้นในจะงุ้มเข้าหากันมีลักษณะเป็นรูปโดม มีขนาดที่เล็กกว่า แต่จะหนาและโค้งกว่ากลีบชั้นนอก โดยจะมีจะความกว้างประมาณ 0.6 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 0.9 เซนติเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก มีอยู่ด้วยกัน 3 กลีบ ลักษณะของกลีบเลี้ยงเป็นรูปเกือบจะกลม ปลายกลีบมน ไม่มีขนหรืออาจจะมีขนขึ้นประปราย ส่วนก้านดอกยาวได้ประมาณ 2.5 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ขนาดเล็ก เกสรเพศผู้และรังไข่มีจำนวนมากอยู่บนฐานสั้นๆโดยจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม และแต่ละต้นจะมีช่วงที่ดอกบานอยู่ประมาณ 15 วัน[3],[5]
  • ผล เป็นผลสดแบบมีเนื้อ ออกผลเป็นกลุ่มๆ มีผลย่อยอยู่ประมาณ 15-27 ผล มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม รูปกลมรี หรือรูปไข่ ผลมีความกว้างประมาณ 0.5 นิ้ว และมีความยาวประมาณ 0.5-1 ส่วนก้านผลจะมีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เซนติเมตร ผลอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และผลสุกมีสีน้ำเงินดำและจะมีคราบสีขาวอยู่ ส่วนเมล็ดจะมีอยู่ประมาณ 1-2 เมล็ด สามารถใช้รับประทานได้ โดยจะมีรสหวานอมเปรี้ยว โดยจะออกผลในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[2],[3],[5]

สรรพคุณของลำดวน

1. ดอกแห้ง ใช้เป็นยาแก้ไข้ [3]
2. ดอกแห้ง ช่วยแก้อาการไอ [4]
3. ดอกแห้ง ช่วยบำรุงหัวใจ [1],[3]
4. ดอกแห้ง เป็นยาบำรุงโลหิต [1],[3]
5. ดอกแห้ง ใช้เป็นยาแก้ลมวิงเวียน [1],[3],[5]
6. ดอกแห้ง มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง [1],[3]
7. ดอกแห้งจัดอยู่ใน “พิกัดเกสรทั้งเก้า” ที่ประกอบไปด้วย เกสรดอกบัวหลวง ดอกกระดังงา ดอกจำปา ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกมะลิ ดอกสารภี ดอกลำเจียก และดอกลําดวน ซึ่งเป็นตำรับยาแก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยชูกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยบำรุงหัว แก้พิษโลหิต แก้ลม (ดอก)[1],[3],[4]

หมายเหตุ : ตามตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้เนื้อไม้และดอกแห้ง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงกำลัง แก้ลมวิงเวียน และเป็นยาแก้ไข้ (เนื้อไม้และดอกแห้ง)[3],[4] (แต่ตำรายาไทยจะใช้แต่ดอก) ส่วนข้อมูลจากหนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ของ ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม ระบุให้ใช้เกสรหอมนวลเป็นยา ซึ่งเกสรจะมีสรรพคุณเป็นยาชูกำลัง บำรุงหัวใจ หากนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นจะเป็นยาบำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง และเป็นยาแก้ลม (เกสร)[2]

ประโยชน์ของลำดวน

1. ผลสุก มีสีดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว ใช้รับประทานได้[3],[6]
2. ดอก สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย โดยการต้มกลั่นจะได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08[7]
3. ดอก มีกลิ่นหอม รสเย็น นอกจากจะจัดอยู่ในพิกัดเกสรทั้งเก้าแล้ว ยังใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาหอมอีกด้วย[3]
4. เนื้อไม้ของต้นมีความแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ได้ และนำมาใช้ทำฟืนได้ดี
5. ดอกมีขนาดใหญ่และงดงามกว่าดอกนมแมว จึงนิยมนำมาใช้บูชาพระและใช้แซมผม อีกทั้งหญิงไทยในสมัยก่อนก็ใช้เป็นชื่อตน[6]
6. นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปตามสวน เพราะต้นมีพุ่มใบที่สวย และดอกก็มีกลิ่นหอม และต้นยังเป็นพรรณไม้ที่ในวรรณคดีไทยหลายๆ เรื่องกล่าวถึง เช่น ลิลิตพระลอ รามเกียรติ์ สมุทรโฆษคำฉันท์ อิเหนา เป็นต้น โดยจะนิยมนำมาปลูกสวนสาธารณะร่วมกับไม้ดอกหอมชนิดอื่นๆ[5],[6]
7. ในด้านของความเชื่อคนไทย เชื่อว่าบ้านใดปลูกหรือเป็นเจ้าของ จะช่วยดึงดูดความรัก ช่วยเสริมดวงทางเสน่ห์เมตตา ทำให้มีแต่คนคิดถึงในแง่ดี ทำให้เป็นคนที่น่าจดจำ ใครๆ ก็มิอาจลืม และยังเชื่อด้วยว่ากลิ่นหอมของดอก สามารถช่วยผ่อนคลายอารมณ์ทางจิตให้สงบและมีความใจเย็นมากขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นผู้หญิงและควรปลูกในวันพุธ เพราะเป็นไม้ของผู้หญิง โดยให้ปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน[8]

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ลำดวน (Lamduan)”. หน้า 269.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ลําดวน”. หน้า 692-693.
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ลำดวน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [29 พ.ค. 2014].
4. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ลําดวน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [29 พ.ค. 2014].
5. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ลำดวน” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [29 พ.ค. 2014].
6. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 311 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. (เดชา ศิริภัทร). “ลำดวน : สัญลักษณ์แห่งไม้ใกล้ฝั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [29 พ.ค. 2014].
7. ฐานข้อมูลน้ำมันหอมระเหยไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “ลําดวน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th/essentialoils/. [29 พ.ค. 2014].
8. เว็บไซต์ไทยลาวสัมพันธ์ครั้งที่ 10. “ต้นไม้ประจำสถาบัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sa.msu.ac.th/thailao10/. [29 พ.ค. 2014].

อ้างอิงจากรูป
1.https://www.ydhvn.com/news/cay-duoc-lieu-cay-du-de-tron-cach-thu-dam-choi-fissistigma-fruticosum-lour-sinclair-melodorum-fruticosum-lour

ต้นลาน ช่วยดับพิษอักเสบ แก้อาการฟกช้ำ

0
ต้นลาน ช่วยดับพิษอักเสบ แก้อาการฟกช้ำ ผลกลมรีสีเขียว เนื้อในผลคล้ายกับลูกจากหรือลูกชิด รสชาติจืดและค่อนข้างเหนียวหนืด
ต้นลาน
ผลกลมรีสีเขียว เนื้อในผลคล้ายกับลูกจากหรือลูกชิด รสชาติจืดและค่อนข้างเหนียวหนืด

ลาน

ต้นลาน Fan palm, Lontar palm, Talipot palm เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอยู่ในตระกูลปาล์มสารพัดประโยชน์นี้ชอบดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี และสามารถปลูกกลางแจ้งได้ทนแล้ง ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Corypha umbraculifera L. และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Bessia sanguinolenta Raf., Corypha guineensis L. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม (ARECACEAE) ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อวงศ์ว่า PALMAE หรือ PALMACEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ลานบ้าน, ลานวัด, ลานหมื่นเถิดเทิง, ปาล์มพัด เป็นต้น[1],[4] มีถิ่นที่กำเนิดอยู่ทางแถบอเมริกาและในแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยทั่วไปแล้วต้นจะขึ้นในพื้นที่ที่มีอากาศชื้นเย็นและมีฝนตกค่อนข้างมาก ต้นลานทนทานต่อภัยธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ตอนต้นยังเล็กนั้นแม้ว่าจะถูกไฟไหม้แต่ก็สามารถที่จะงอกขึ้นมาใหม่ได้ เนื่องจากรากของต้นลานนั้นอยู่ลึกมาก พรรณไม้ในสกุลลานมีอยู่ด้วยกัน 6 ชนิดทั่วโลก

ชนิดต้นลานในประเทศไทย

  • ลานพรุ (gehang palm, ebang Palm) มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า Corypha utan Lam. มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงฟิลิปปินส์ และรวมไปถึงทางตอนเหนือของออสเตรเลียและในประเทศไทยด้วย ในประเทศไทยนั้นจะพบต้นไม้ชนิดนี้ได้มากในแถบภาคใต้แถว ๆ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา กระบี่ และพังงา ปาล์มชนิดนี้มักจะขึ้นตามแนวชายฝั่งแม่น้ำหรือในพื้นที่ที่ชุ่มน้ำ ลักษณะลำต้นสูงคล้ายกับต้นตาล มีความสูงประมาณ 30 เมตร ขนาดของลำต้นไม่รวมกาบใบมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 40-60 เซนติเมตร และส่วนใหญ่มักขึ้นรวมกันเป็นจำนวนมากในที่ราบท้องทุ่ง แม้ในบริเวณที่มีน้ำขัง[1],[3],[4]
  • ลานป่า หรือ ลานทุ่ง (Indochinese fan palm) มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า Corypha lecomtei Becc. Ex Lecomte พบได้ในประเทศไทยและเวียดนาม จัดอยู่ในพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของไทย จะพบได้มากที่จังหวัดปราจีนบุรี ขอนแก่น และสระบุรี และยังพบได้ทั่วไปในจังหวัดลพบุรี ตาก นครปฐม และพิษณุโลก และต้นลานป่าชนิดนี้มีขนาดใหญ่ไม่เท่าลานวัด ซึ่งมีความสูงเพียง 15 เมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม่รวบกาบใบอยู่ที่ประมาณ 45-75 เซนติเมตร[1],[3],[4]
  • ลานวัด หรือ ลานบ้าน หรือ ลานหมื่นเถิดเทิง (ทั่วไปเรียกว่า “ลาน” หรือ “ต้นลาน”) (Fan palm, Lontar palm, Talipot palm) มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า Corypha umbraculifera L. เป็นปาล์มชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศศรีลังกาและอินเดีย และยังเป็นต้นไม้ประจำชาติของประเทศศรีลังกาอีกด้วย ในประเทศไทยนั้นจะไม่พบตามธรรมชาติ แต่มักจะนำมาเพาะปลูกในภาคเหนือของไทย[1],[3],[4]

ลักษณะของต้นลาน

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง มีลำต้นตรงและแข็ง เป็นไม้ต้นเดี่ยวไม่แตกหน่อหรือกอ ส่วนเนื้อไม้จะเป็นเส้นใย ไม่มีกิ่ง ลำต้นมีกาบใบที่ติดคงทน เรียงเวียนกันอยู่โดยรอบ และมีหนามคล้ายกับฟันเลื่อยสั้น ๆ อยู่ทั้งสองข้างที่ริมขอบก้านใบ ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 80 เซนติเมตร ต้นเมื่อแก่แล้วจะมีอายุราว 20-80 ปี เมื่อตอนต้นลานอายุ 20-30 ปี ลำต้นมีความสูง 25 เมตร ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนต้นจะออกดอกและผล ซึ่งหมายถึงชีวิตช่วงสุดท้ายของต้น โดยผลเมื่อแก่แล้วจะหลุดร่วงหล่นลงพื้น เมล็ดในผลสามารถงอกเป็นต้นขึ้นมาใหม่ได้มากมาย [1],[2],[3]
  • ใบ ลักษณะใบนั้นมีขนาดใหญ่ คล้ายรูปฝ่ามือหรือรูปพัด ค่อนข้างกลมคล้ายใบตาล บางครั้งเรียกว่า “ปาล์มพัด” ใบนั้นมีสีเขียวอมเทา แผ่นใบมีขนาดประมาณ 2.5-3×2.5-3 เมตร ส่วนก้านใบเป็นสีเขียวขนาดอ้วนสั้น ยาวประมาณ 2.5-3 เมตร และขอบก้านใบมีหนามแน่นเป็นฟันคมเป็นสีดำยาวประมาณ 1 เซนติเมตร และมีเส้นโค้งกลางใบยาวอยู่ที่ประมาณ 1 เมตร แผ่นใบหยักเป็นรูปคลื่น และมีร่องแฉกแยกแผ่นใบ 110 แฉก แต่ละแฉกนั้นมีขนาดประมาณ 75-150×4.6-5 เซนติเมตร เป็นพรรณไม้ที่ทิ้งใบได้เองตามธรรมชาติและยังได้ชื่อว่าพันธุ์ไม้นี้มีใบใหญ่ที่สุดในโลก[1],[2],[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่คล้ายรูปพีระมิดตรงส่วนยอดของลำต้น มีความยาวอยู่ที่ประมาณ 6 เมตร ก้านชูช่อดอกนั้นสั้นหรืออาจไม่มี ส่วนแกนช่อดอกยาวประมาณ 6 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 35 เซนติเมตร โดยแกนช่อดอกนั้นจะมี 30 ก้าน แขนงของก้านช่อดอกย่อยมี 40 ก้าน แต่ละก้านมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 5-25 เซนติเมตร ในช่อดอกหนึ่งจะมีดอกจำนวนมาก มีดอกเป็นจำนวนถึงล้าน ๆ ดอก โดยดอกนั้นมีสีเหลืองอ่อน (บ้างก็ว่าดอกมีสีขาวครีม) และดอกส่งกลิ่นหอม ถ้านับระยะเวลาตั้งแต่เมื่อเริ่มออกช่อดอกและบานกลายเป็นผลที่สุกพร้อมรับประทาน จะใช้เวลาประมาณ 1 ปีขึ้นไป[1],[2],[3]
  • ผล มีลักษณะกลมรี สีเขียว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5-4.5 เซนติเมตร หนึ่งผลมีหนึ่งเมล็ด เมล็ดนั้นมีลักษณะกลมมีสีดำ ส่วนเนื้อภายในผลนั้นจะคล้ายกับลูกจากหรือลูกชิด นำมารับประทานได้ ผลเมื่อแก่จะร่วงหล่นลงพื้นดิน และสามารถงอกเป็นต้นเล็ก ๆ มากมาย[1],[3] ส่วนเนื้อของลูกมีลักษณะคล้ายกับลูกชิดแต่จะมีลักษณะที่กลม และมีรสชาติที่จืดและค่อนข้างเหนียวหนืด[5]

สรรพคุณของลาน

1. รากมีฤทธิ์ช่วยรักษาไข้หวัด โดยนำรากมาฝนแล้วรับประทาน [1],[2]
2. รากสามารถนำมาฝนใช้รับประทานเป็นยาแก้ร้อนในและช่วยขับเหงื่อได้ (ราก)[1],[2]
3. ลูกนำมารับประทานเป็นยารักษาโรคกระเพาะ ช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้ และช่วยระบายได้[5]
4. เปลือกของผลสามารถนำมารับประทานเป็นยาขับระบายได้เป็นอย่างดี [1]
5. ต้นนั้นมีสรรพคุณเป็นยาที่สามารถแก้พิษต่าง ๆ ได้ (ต้น)[2]
6. บางแห่งนั้นได้มีการนำใบที่เผาไฟมาใช้เป็นยาช่วยดับพิษอักเสบ แก้อาการฟกช้ำบวมได้ โดยทั่วไปจะเรียกว่า “ยามหานิล” (ใบแก่)[1],[2]

ประโยชน์ต้นลาน

1. เนื้อในของผลนั้นมักนิยมนำมารับประทานได้เช่นเดียวกัน เหมือนลูกจากหรือลูกชิด สามารถใช้ทำเป็น ลูกลานเชื่อมหรือลูกลอยแก้วได้[1],[5]
2. ทุบทั้งเปลือกแล้วเอาไปโยนลงน้ำจะช่วยทำให้ปลาเมา (แต่ไม่ถึงตาย) ทำให้จับปลาได้สะดวก[1]
3. ในส่วนของลำต้นเมื่อนำมาตัดเป็นท่อน ๆ แล้วนั้น สามารถนำมาทำเป็นที่นั่งเล่น หรือนำไปเพื่อตกแต่งหรือประดับสวนก็ได้ และยังนำมาทำฟืนเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการหุงต้ม ในทางภาคใต้บางท้องที่อาจมีการนำมาใช้ทำเป็นครกและสาก[1] นอกจากนี้ลำต้นสามารถนำมาใช้เลี้ยงด้วงได้เป็นอย่างดี ส่วนต้นที่แก่จัด ๆ ยังสามารถนำมาเลื่อยเอากาบมาใช้สำหรับทำเป็นโรงเรือนสำหรับไว้เลี้ยงสัตว์ หรือใช้ทำเป็นที่อยู่อาศัยได้[6]
4. ต้นลานป่านั้น มีลำต้นและใบที่สวยงาม จึงมักนำมาใช้สำหรับตกแต่งเป็นไม้ประดับไว้ตามสวนเพื่อใช้ปรับภูมิทัศน์ให้ดูสวยงามขึ้น[2]
5. ใบอ่อนหรือยอดอ่อน นิยมเป็นที่เขียนจารึกตัวอักษรในหนังสือพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยการใช้เหล็กแหลมจารบนใบลานแล้วใช้ยางรักทา แล้วเอาทรายมาลบ ยางรักจะแทรกอยู่ในตัวหนังสือที่จารเป็นเส้นสีดำ หรือจะนำเขม่าไฟมาใช้แทนก็ได้ โดยจะเรียกหนังสือจากใบลานนี้ว่า “คัมภีร์ใบลาน” (หรือใบลานป่าก็ใช้ได้เช่นกัน) นอกจากนี้ยังสามารถที่จะนำมาพิมพ์เป็นการ์ด หรือนามบัตร ที่คั่นหนังสือ หรือจะนำไปใช้ในงานจักสานต่าง ๆ เพื่อใช้ทำเป็น พัด หมวก กระเป๋า เสื่อ งอบ ภาชนะต่าง ๆ ในครัวเรือน รวมไปถึงการทำเป็นเครื่องประดับสำหรับใช้ในงานตกแต่งบ้าน เช่น การทำเป็นโมบายรูปสัตว์ อย่างเช่น ปลาตะเพียน[1]
6. ใบที่แก่ นำมาใช้สำหรับมุงหลังคา ทำเป็นผนังหรือฝาบ้านได้[1]
7. ก้านใบนำมาใช้ทำเป็นโครงสร้าง ไม้ขื่อ ไม้แป รวมไปถึงผนัง หรือสามารถใช้แทนเชือกเพื่อมัดสิ่งของก็ได้เป็นอย่างดีเพราะมีความเหนียวมาก[1]
8. กระดูกหรือก็คือส่วนที่ใกล้กับบริเวณหนามแหลมนั้น จะมีความแข็งและเหนียวมากกว่าก้านใบ สามารถที่จะนำมาใช้ทำเป็นคันกลดพระธุดงค์ได้ หรือนำไปใช้ทำเป็นขอบภาชนะจักสานทั่ว ๆ ไป เช่น ขอบตะกร้า ขอบกระด้ง กระบุง ตะแกรง ฯลฯ[1]
9. ทางภาคใต้นั้นจะนำยอดของลานพรุมาฉีกเป็นใบ แล้วสางออกเป็นเส้น ๆ แล้วนำไปปั่นเป็นเส้นยาวคล้ายกับด้าย สามารถนำไปใช้ต่อยอดในการทอเป็นแผ่น หรือที่เรียกว่า “ห่งอวน” หรือ “หางอวน” ทำเป็นถึงรูปสามเหลี่ยมใช้สำหรับไว้ต่อที่ปลายอวน ใช้สำหรับเป็นถุงจับกุ้ง หรือสานเป็นถุงใส่เกลือ ซองใส่ยาเส้น ซองใส่แว่นตา หรือใช้ทำเป็นเคยสำหรับทำกะปิ ฯลฯ[1]

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.เทรคกิ้งไทยดอตคอม. “เรื่องของ ต้นลาน ใบลาน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.trekkingthai.com. [2 พ.ย. 2013].
2.สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [2 พ.ย. 2013].
3.สำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ลาน พืชสืบสานวิถีชีวิตไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: oamc.ku.ac.th. [2 พ.ย. 2013].
4.หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. สวนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. (เต็ม สมิตินันทน์).
5.GotoKnow. “ลูกลาน หาทานยาก (60 ปีมีทานหนึ่งครั้ง ?)”. (เจษฎา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [2 พ.ย. 2013].
6.โรงเรียนเชียงใหญ่. “ต้นลาน”. (สุนันท์ รักช้าง). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.cy.ac.th. [2 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.rbgsyd.nsw.gov.au/plants/plant-families/arecaceae-family

ลางสาด ไม้ผลเมืองร้อนอุดมด้วยวิตามินเอ

0
ลางสาด ไม้ผลเมืองร้อนอุดมด้วยวิตามินเอ ออกเป็นช่อผลสดสีเขียว ผลสุกสีเหลือง เปลือกบาง ผิวละเอียด ผลอ่อนจะนุ่ม มียางมาก ฉ่ำน้ำ รสหวานหอมอมเปรี้ยว
ลางสาด
ไม้ผลเมืองร้อนอุดมด้วยวิตามินเอ ออกเป็นช่อผลสดสีเขียว ผลสุกสีเหลือง เปลือกบาง ผิวละเอียด ผลอ่อนจะนุ่ม มียางมาก ฉ่ำน้ำ รสหวานหอมอมเปรี้ยว

ลางสาด

ลางสาด (Langsat) เป็น ต้นไม้จากตระกูลกระท้อนอุดมไปด้วยวิตามิน เช่น ไทอามีนและไรโบฟลาวิน ซึ่งเป็นหนึ่งในการผลิตเซลล์เซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการสลายคาร์โบไฮเดรต และวิตามินเอสูง ซึ่งช่วยในการรักษาสุขภาพผิวหนัง ดวงตา ฟัน เนื้อเยื่อโครงร่าง และเยื่อเมือกให้แข็งแรง ชื่อสามัญ Lancet (ลานเสท), Langsium (ลานเซียม) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Lansium parasiticum (Osbeck) K.C.Sahni & Bennet และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Aglaia domestica (Corrêa) Pellegr., Lansium domesticum Corrêa)[1],[2],[3] จัดอยู่ในวงศ์กระท้อน (MELIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า รังสาด ลังสาด รางสาด ล า ง ส า ด (ไทย), ลาซะ ดูกู (มลายู) เป็นต้น โดยชื่อ “ลางสาด” หรือ “ลังสาด” นั้นมาจากภาษามาเลย์คำว่า “Langsat”[1],[2]

ลักษณะของลางสาด

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะมาลายู หมู่เกาะชวา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และในประเทศไทย[5] ถูกจัดให้เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก เป็นไม้ผลเมืองร้อน (ร้อนชื้น) มีลำต้นตรง สูงอยู่ที่ประมาณ 5-10 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นมุมแหลมกระจายกึ่งกลางลำต้นขึ้นไป ลักษณะปลายกิ่งตั้ง ส่วนผิวของลำต้นชั้นนอกเป็นสีเทาและมีพื้นผิวขรุขระ เปลือกไม่หลุดออก สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยหรือในดินร่วนปนทราย ชอบแสงแดด ชอบอากาศชื้นปานกลาง และน้ำปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนแบบควั่นกิ่ง การติดตา และการต่อกิ่ง[1]
  • ใบ เป็นใบประกอบ เกิดสลับซ้ายขวาอยู่ต่างระนาบกัน ก้านใบกลม ลักษณะของใบเป็นรูปไข่รีโค้งมน ปลายใบมีลักษณะเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบมีไขนวลปกคลุมอยู่ ใบเป็นสีเขียวเข้ม ด้านล่างใบมีเส้นใบนูนเด่น[1]
  • ดอก ออกเป็นช่อสีขาว ดอกเกิดไปตามลำต้นและตามกิ่ง ลักษณะของดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ[1]
  • ผล ออกเป็นช่อ ๆ ผลตอนสดเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเป็นสีเหลือง ผลมีลักษณะทรงกลมรี เปลือกค่อนข้างบาง ผิวมีความละเอียด ผลอ่อนจะนุ่ม มียางมากเป็นสีขาวขุ่น ๆ ส่วนเนื้อภายในจะนิ่ม มีความฉ่ำน้ำ มีรสชาติหวานหอมอมเปรี้ยวเล็กน้อย ในผลมีเมล็ดอยู่ประมาณ 5 เมล็ด และเมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะกลมแบนรี มีเปลือกหุ้มบาง ๆ ผิวเมล็ดเนียนเรียบ มีเนื้อในเป็นสีขาว มีรสชาติฝาดและขมจัด[1],[2]

ลองกอง ลางสาด แตกต่างกันอย่างไร

1. ลองกองมีราคาที่แพงกว่า
2. ผลจะมีลักษณะออกกลมรี ส่วนลองกองผลจะค่อนข้างกลม
3. ลองกองเปลือกจะค่อนข้างหนา
4. ลองกองผิวจะหยาบเล็กน้อย
5. ส่วนลองกองจะเป็นสีเหลืองซีด
6. ลองกองจะไม่มียางสีขาว
7. ลองกองสามารถแกะรับประทานได้ง่าย
8. ผลลองกองจะมีจุก
9. ลองกองมีเมล็ดน้อยหรือไม่มีเลย
10. ลองกองเมล็ดจะมีรสไม่ขม
11. เนื้อลองกองจะมีรสหวาน
12. ความหวานของลองกองจะมีค่าตั้งแต่ 16-19 องศาบริกซ์
13. ผลสุกแล้ว เนื้อลองกองจะแห้งและขาวใสคล้ายแก้ว
14. ลองกองเนื้อเยอะ
15. ช่อผลของลองกองค่อนข้างยาว
16. ใบของลองกองจะมีรสที่ขมจัด
17. ใบลองกองนั้นจะเป็นคลื่นใหญ่และมีร่องลึก

สรรพคุณของลางสาด

1. เมล็ดนำมาฝนกับน้ำฝนให้ข้น ใช้เป็นยาสำหรับหยอดหู แก้อาการหูอักเสบหรือเป็นฝีในหูได้ (เมล็ด)[1]
2. เปลือกต้นนั้นมีรสที่ฝาด มีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ไข้ได้ (เปลือกต้น)[2]
3. เปลือกผลนำมาใช้ช่วยแก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน โดยการนำเปลือกมาหั่นแล้วนำไปคั่วชงกับน้ำเดือด ใช้ดื่มครั้งละครึ่งถ้วย (เปลือกผล)[1]
4. สามารถนำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้ (เปลือกต้น, เมล็ด)[1],[2]
5. เปลือกต้นนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ (เปลือกต้น)[1],[2]
6. เปลือกของผลมีสารโอเลอเรซิน ซึ่งจะช่วยในการบรรเทาอาการปวดท้อง (เปลือกผล)[2]
7. ใช้ช่วยรักษาโรคเริม (เมล็ด)[1]
8. เมล็ดใช้ช่วยรักษาโรคงูสวัดได้ (เมล็ด)[1]

ประโยชน์ของลางสาด

1. โดยทั่วไปมักจะนิยมนำมาใช้รับประทานเป็นผลไม้สด ให้รสชาติที่หวานอร่อย อีกทั้งยังมีคุณค่าทางอาหาร โดยเนื้อจะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร โปรตีน ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี[1]
2. เปลือกผลที่แห้งแล้ว เมื่อนำมาเผาจะมีกลิ่นเหม็นสามารถใช้ไล่ยุงได้[1]
3. เมล็ดมีสารที่ชื่อว่า อัลคาลอยด์ (Acid Alkaloid) ซึ่งเป็นพิษกับหนอนและแมลง สามารถนำมาทำเป็นยาฉีดพ่นกำจัดแมลงได้ โดยจะใช้เมล็ดจำนวนครึ่งกิโลกรัมนำมาบดให้ละเอียด แล้วนำไปผสมกับน้ำประมาณ 20 ลิตร จากนั้นแช่ทิ้งไว้ 1 วัน หลังจากที่แช่ครบ 1 วันแล้วให้นำมากรองเอาแต่น้ำแล้วนำมาใช้ฉีดพ่นตามแปลงผักได้เลย[4]

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลลองกอง ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.longkong.ist.cmu.ac.th. [16 พ.ย. 2013].
2. รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “เรื่อง ล า ง ส า ด”. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2549. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [16 พ.ย. 2013].
3. ฐานข้อมูลการเกษตร ของประเทศไทย. อรรถาภิธานศัพท์เกษตรไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pikul.lib.ku.ac.th. [16 พ.ย. 2013].
4. OkNation. “ผลิตพืชอินทรีย์ / สมุนไพรกำจัดโรคและแมลง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.oknation.net. [16 พ.ย. 2013].
5. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skns.ac.th. [16 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://krishijagran.com/health-lifestyle/nutritious-health-values-of-langsat-fruit/
2.https://bonapeti.com/n-38692-Langsat

ละมุด ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารชั้นเยี่ยม

0
ละมุด ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารชั้นเยี่ยม เป็นไม้ยืนต้นโตช้า ผลจะมีผิวหยาบ ผลดิบมียางสีขาวรสฝาด ผลสุกเนื้อนิ่มสีน้ำตาลรสหวาน
ละมุด
ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ผลจะมีผิวหยาบ ผลดิบมียางสีขาวรสฝาด ผลสุกเนื้อนิ่มสีน้ำตาลรสหวาน

ละมุด

ละมุด (Sapodilla) เป็นไม้ยืนต้นโตช้า ผลจะมีผิวหยาบเมื่อสุกเนื้อสีน้ำตาลหวานนิ่ม อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารชั้นเยี่ยมรับประทานผลสุกช่วยให้อิ่มนานขึ้นและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ชื่อวิทยาศาสตร์ Manilkara zapota (L.) P.Royen อยู่ในวงศ์พิกุล ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ชวานิลอ สวา ละมุดฝรั่ง

ลักษณะ

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนแถวประเทศเม็กซิโก อเมริกากลาง อินเดียตะวันตก เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง พุ่มทึบ กิ่งก้านแตกออกเป็นชั้น รอบ ๆ ลำต้น มีแหล่งปลูกในประเทศไทยที่อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี สายพันธุ์ที่นิยมปลูกจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ ละมุดไทย และละมุดฝรั่ง
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเป็นกระจุกที่ตามปลายกิ่ง ท้องใบเป็นสีน้ำตาลอมเขียว
  • ดอก เป็นดอกเดี่ยว ดอกออกตามง่ามกิ่ง มีกลีบรองดอกเรียงกันอยู่ 2 ชั้น และมีกลีบดอกเชื่อมกัน ยกตั้งขึ้น มี 6 กลีบ มีสีเหลืองนวล
  • ผล มีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือที่ปลายแหลม ผิวเป็นสีน้ำตาล ผลดิบมียางสีขาว ยางมีสารที่ชื่อว่า Gutto มีรสฝาด แข็ง ผลสุกจะนิ่ม รสหวาน ไม่มียาง ในผลมีเมล็ดรูปรียาวสีดำอยู่ในเนื้อ 1 ผลมีเมล็ดประมาณ 2-6 เมล็ด

ประโยชน์ของละมุด

  • สามารถใช้ทานเป็นผลไม้ ทำไวน์ ทำเครื่องดื่ม
  • ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า
  • ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า
  • ยางสีขาวที่ทุกส่วนของลำต้นนำไปใช้ทำหมากฝรั่งกับรองเท้าบูทได้
  • ผลมีเส้นใยเยอะมาก ช่วยขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูกได้ และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
  • เปลือกลำต้น ต้มปรุงใช้เป็นยาแก้บิด (ประเทศฟิลิปปินส์)
  • สามารถนำเมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลังได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 83 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 2 0.02 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 0.2 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 5 0.252 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 6 0.037 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม 4%
วิตามินซี 14.7 มิลลิกรัม 18%
โปรตีน 0.44 กรัม
เส้นใย 5.3 กรัม
ไขมัน 1.1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 19.96 กรัม
ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1%
ธาตุโพแทสเซียม 193 มิลลิกรัม 4%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแคลเซียม 21 มิลลิกรัม 2%
ธาตุโซเดียม 12 มิลลิกรัม 1%
ธาตุฟอสฟอรัส 12 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.8 มิลลิกรัม 6%

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

วิธีการทำน้ำละมุด

  • วัตถุดิบที่ต้องเตรียมมีดังนี้ เนื้อ 1 ถ้วย, เกลือป่น 1/4 ช้อนชา, น้ำแข็งทุบ 1 แก้ว, น้ำเปล่า 1 ถ้วย
  • ปอกเปลือกผลเอาแต่เนื้อ แล้วใส่ลงในเครื่องปั่น
  • เติมเกลือ น้ำเปล่า น้ำแข็งลงไปตาม
  • ปั่นจนละเอียดให้เข้ากัน
  • เทใส่แก้ว จะได้น้ำปั่นแบบเย็นชื่นใจ

ผลไม้ชนิดนี้มีรสหวานจัด ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรบริโภคเล็กน้อยนานครั้ง ไม่ควรให้เด็กเล็กรับประทานคนเดียว ถ้าต้องการให้เด็กรับประทานควรเอาเมล็ดออกให้ก่อนและหั่นเป็นชิ้นเล็กพอคำที่เด็กจะสามารถทานได้ เพราะเมล็ดลื่น ทำให้มีโอกาสจะหลุดเข้าไปในหลอดลมได้ง่าย เฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ฟันยังไม่ครบ ควรบดให้ละเอียด และไม่ควรรีบป้อนเนื่องจากเด็กอาจจะสำลักหรือติดคอ

เคล็ดลับการเลือกซื้อ ต้องลองจับที่ผิวเบา ๆ ถ้าผิวไม่นุ่มมากคือใช้ได้ ภายนอกของผลผิวดูเกลี้ยงละกลม เป็นสีน้ำตาลเป็นธรรมชาติ ขั้วไม่หัก จะได้คุณภาพที่ดี

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สำนักหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (เต็ม สมิตินันทน์), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), โครงการจัดตั้งศูนย์วิจัยและการจัดการความรู้ทางพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, USDA National Nutrient Database for Standard เอกสารอ้างอิง

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiabiodiversity.org/
2.https://commons.wikimedia.org/wiki/

ลองกอง สุดยอดผลไม้เนื้อฉ่ำแหล่งวิตามินบี

0
ลองกอง
ผลไม้เนื้อฉ่ำแหล่งวิตามินบี ผลออกเป็นช่อแน่นติดกันกับก้านช่อ เปลือกหนา เนื้อภายในผลมีรสที่หวานหอม
ลองกอง
ผลไม้เนื้อฉ่ำแหล่งวิตามินบี ผลออกเป็นช่อแน่นติดกันกับก้านช่อ เปลือกหนา เนื้อภายในผลมีรสที่หวานหอม

ลองกอง

ลองกอง (Longkong) มีถิ่นกำเนิดในทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในหมู่เกาะชวา เกาะมลายู ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และทางภาคใต้ของประเทศไทย ในจังหวัดนราธิวาส และยังมีในประเทศทางแถบซูรินัม เปอร์โตริโก ออสเตรเลีย และฮาวายอีกด้วย โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่สามารถผลิตลองกองที่มีคุณภาพได้ดีที่สุด เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมในการปลูกที่เหมาะสม แต่พื้นที่ในการทำการปลูกลองกองได้นั้นยังมีอยู่อย่างจำกัด จึงทำให้มีผลผลิตที่น้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่งผลทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีราคาที่ค่อนข้างสูง และจัดได้ว่าเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศอีกชนิดหนึ่งอีกด้วย โดยแหล่งการเพาะปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคใต้ รองลงมาคือภาคตะวันออก ส่วนภาคเหนือและภาคกลางก็มีปลูกอยู่บ้างเล็กน้อย[1] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Lansium domesticum Corr. จัดเป็นพืชที่อยู่ในชนิดเดียวกันกับลางสาดและลูกู หรือ ดูกู (Duku) โดยจัดอยู่ในวงศ์ MELIACEAE เช่นเดียวกับกระท้อน กัดลิ้น ตะบูนขาว ตะบูนดำ และสะเดา ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ลังสาดเขา (นครศรีธรรมราช) ส่วนชื่อนั้นมาจากชื่อพื้นเมืองจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี[1],[2]

สายพันธุ์ลองกอง

สายพันธุ์ในประเทศไทยจะมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ โดยมีลักษณะที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง โดยสายพันธุ์ลองกองมีอยู่ด้วยกัน 7 สายพันธุ์ ได้แก่ ลองกองทั่วไป, ลองกองแกแลแมร์ (ลองกองแปรแมร์), ลองกองคันธุลี, ลองกองธารโต, ลองกองไม้, ลองกองเปลือกบาง, และลองกองกาญจนดิษฐ์ ซึ่งในแต่ละสายพันธุ์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ ลองกองแห้ง (เนื้อใสแห้ง รสหวาน มีกลิ่นหอม เปลือกเหลืองคล้ำและไม่มียาง), ลองกองน้ำ (เนื้อฉ่ำน้ำ สีเปลือกเหลืองสว่าง), และลองกองกะละแม (แกแลแม, ปาลาเม, แปรแมร์) (เนื้อนิ่ม กลิ่นไม่หอม เปลือกบางและมียางเล็กน้อย) ซึ่งเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมในการปลูกในทางการค้ามากที่สุด เพราะเป็นชนิดที่มีผลคุณภาพดี เนื้อมีรสที่หวานหอม มีเมล็ดน้อยหรือแทบไม่มีเลย แถมเมล็ดยังไม่ขมอีกด้วย ดังนั้นสายพันธุ์ของลองกองนั้นจึงควรมีเพียงแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ในการค้า จึงไม่จำเป็นต้องแยกชนิดพันธุ์ เพราะคุณภาพนั้นเป็นที่ยอมรับของทางตลาดอยู่แล้ว[1]

ลักษณะของลองกอง

  • ต้น ลำต้นนั้นไม่กลมมากนัก มักจะมีสันนูนและรอยเว้าอยู่บ้าง ผิวเปลือกค่อนข้างหยาบ แตกกิ่งแขนงภายในเป็นทรงพุ่มไม่กลมตรง มีแอ่งเว้าไปตามรอยของง่ามกิ่งและตามลำต้นให้เห็นเป็นระยะ ลักษณะเป็นรอยสูงต่ำ เป็นคลื่น ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ปลูกด้วย ถ้าหากปลูกภายใต้ร่มเงาทึบหรือมีไม้อื่นมาก ลำต้นก็จะสูงชะลูดและผิวเปลือกจะค่อนข้างเรียบ แต่ถ้านำไปปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงาน้อย ลำต้นมักจะแผ่เป็นพุ่มกว้าง ๆ และมีผิวเปลือกที่หยาบ การขยายพันธุ์สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งวิธีการเพาะเมล็ด การทาบกิ่ง การต่อกิ่ง หรือการเสียบยอดและเสียบข้าง และวิธีการติดตา[1]
  • ราก ระบบของรากจะแตกต่างกันออกไป โดยจะขึ้นอยู่กับชนิดสายพันธุ์นั้น ๆ แต่โดยทั่วไปแล้วรากแขนงจะมีขนาดใหญ่และหยาบ จะเจริญแผ่ไปทางแนวราบของผิวหน้าดิน เมื่อต้นมีอายุมาก ๆ จะสามารถมองเห็นรากส่วนนี้แยกจากโคนต้นที่ติดดินได้อย่างชัดเจน และต่อจากรากแขนงจะเป็นรากฝอย ซึ่งจะทำหน้าที่ในการดูดซับน้ำและอาหาร เจริญแผ่ไปตามหน้าดินตื้น ๆ[1]
  • ใบ เป็นใบรวมมี 5-9 ใบย่อย ใบกว้างประมาณ 2-6 นิ้วและยาวประมาณ 4-8 นิ้ว และมีก้านใบย่อย ใบแก่จะเป็นสีเขียวเข้ม ดำเป็นมัน และมีรอยหยักเป็นคลื่นที่หนากว่าใบของลางสาด ผิวใบด้านบนจะเข้มกว่าผิวใบด้านล่าง ลักษณะของใบเป็นแบบ elliptical โดยที่ปลายใบจะเรียวแหลม ส่วนโคนใบก็แหลมเช่นกัน ขอบใบเรียบ ลักษณะเส้นใบเป็นแบบแยกออกจากเส้นกลางใบเหมือนกับร่างแห โดยเส้นใบด้านใต้ท้องใบจะมีความเรียวเล็กนูน คมชัดกว่าใบของดูกูน้ำ[1]
  • ดอก ตาดอกมีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง มีสีน้ำตาลอมเขียว มีความยาวอยู่ที่ประมาณ 1.5 เซนติเมตร โดยส่วนนี้จะเจริญไปเป็นช่อดอกยาวเรียกว่า Spike ซึ่งอาจพบเป็นช่อดอกแบบเดี่ยว ๆ หรือเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-10 ช่อดอก โดยจะแตกออกมาตามลำต้นและกิ่งที่สมบูรณ์แล้ว ดอกเมื่อบานจะมีสีเหลืองนวล มีกลีบเลี้ยงที่มีลักษณะอวบเป็นสีเขียว และจะติดอยู่จนกระทั่งผลแก่ ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นท่อสั้น ๆ อยู่ 10 ก้าน ฐานจะหลอมรวมกัน ส่วนการบานของดอกโดยทั่วไปแล้วนั้นจะเริ่มจากบริเวณ 2 ใน 3 ของช่อดอกจากปลายช่อ บานลงมาถึงโคนช่อ จากนั้นก็จะเริ่มบานขึ้นไปถึงปลายช่อ[1]
  • ผล ออกเป็นช่อแน่นติดกันกับก้านช่อ ลักษณะผลมีทั้งทรงกลมและทรงยาวรี ซึ่งการที่มีผลในช่อแน่นนั้นอาจทำให้รูปทรงของผลแตกต่างกันออกไป ส่วนลักษณะเปลือกจะหนากว่าลางสาดอยู่มาก เนื้อภายในผลมีรสที่หวานหอม[1]
  • เมล็ด ในหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-2 เมล็ด โดยเมล็ดที่สมบูรณ์จะมีขนาดที่ใหญ่ ภายในผลส่วนใหญ่แล้วนั้นจะมีช่องอยู่ 5 ช่อง และเมล็ดมักจะลีบ ลักษณะเมล็ดเป็นรูปไข่ มีสีเขียวอมเหลือง ส่วนตัวเมล็ดจะมีรอยแตกร้าวเป็นส่วนมาก และรสชาติของเมล็ดจะไม่ขม ถ้าหากนำมาเพาะจะขึ้นหลายต้นจากเมล็ดเดียว[1]

ความแตกต่างระหว่างลองกอง ลางสาด และดูกู

เนื่องจากผลไม้ทั้งสามชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์เดียวกัน และมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก แต่มีราคาที่ไม่เท่ากัน โดยลองกองนั้นจะมีราคาแพงที่สุด ลองมาด้วยลางสาด และดูกู (ดูกูเป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยมีราคาเท่าไหร่นัก แต่ก็มักจะนิยมนำเมล็ดไปเพาะเป็นต้นตอเพื่อใช้ขยายพันธุ์ลองกองและลางสาดมากกว่า)

1. ลองกอง ลักษณะผลกลม เปลือกหนา ผิวหยาบเล็กน้อย เนื้อมีกลิ่นหอม รสหวาน ภายในผลมีเมล็ดลีบหรือไม่มีเมล็ดเลย และเมล็ดมีรสที่ไม่ขม[1]
2. ลางสาด ลักษณะผลกลมรี เปลือกบาง ผิวละเอียด ผลอ่อนและนุ่ม มียางมากเป็นสีเขียวขุ่น ๆ เนื้อมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ในผลมีเมล็ดมากและเมล็ดมีรสขมจัด[1]
3. ดูกู หรือ ลูกู ลักษณะผลกลมรี เปลือกบาง ผิวละเอียด ผลอ่อนนุ่ม เนื้อมีรสหวาน ในผลมีเมล็ดแต่เมล็ดมีรสไม่ขม[1]

การเลือกซื้อลองกอง

1. ลองกองที่มีคุณภาพดีนั้น ต้องสังเกตจากผลภายในช่อ ผลในช่อต้องแน่นแบบได้สัดส่วน ผลไม่บิดเบี้ยว และช่อยาว[1]
2. ลักษณะของเปลือกต้องเป็นสีเหลืองปนสีขาวนวล ประด้วยจุดสีน้ำตาลหรือสีดำ เปลือกหนา มียางน้อยไม่เหนียวติดมือ มีสีที่เข้มเห็นเด่นชัด ผลผิวเรียบสม่ำเสมอ และเปลือกต้องไม่มีสีเขียวให้เห็น จึงจะเรียกได้ว่าสุกเต็มที่แล้ว[1]
3. สามารถแกะเปลือกได้ง่าย ไม่มีรอยช้ำหรือรอยตำหนิ เนื้อข้างในแน่นสดสะอาดคล้ายกับแก้ว ไม่เละหรือมียาง ในผลมีเมล็ดขนาดเล็กหรือไม่มีเลย ส่วนรสชาติมีรสที่หอมหวาน[1]

สรรพคุณลองกอง

1. เมล็ด มีสารสำคัญที่ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย (เมล็ด)[1]
2. เนื้อช่วยลดความร้อนในร่างกาย หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อนได้ และแถมยังช่วยลดอาการร้อนในช่องปากได้ด้วย[1]
3. เมล็ดนำมาใช้รักษาอาการไข้ได้ (เมล็ด)[1]
4. ได้มีการนำเปลือกต้นมาสกัดเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย (เปลือกต้น)[1]
5. ใบ มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อมาลาเรียได้ถึง 50% (ใบ)[1] เมล็ดมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อมาลาเรียและยับยั้งการเจริญของปรสิตมาลาเรีย (Plasmodium falciparum) ได้ถึง 50% (เมล็ด)[1]
6. เปลือกผลถ้านำไปตากแห้งแล้วเผาให้เกิดควัน ใช้สูดดมเพื่อช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคได้ [3]
7. น้ำจากผลได้มีการนำไปใช้หยอดตาเพื่อช่วยรักษาอาการตาอักเสบอีกด้วย [3]
8. เปลือกต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาต้มกินเพื่อช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ได้[1],[2]
9. นำไปใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะ (กิ่ง)[3]
11. ใช้ในการรักษาอาการท้องเสียและอาการลำไส้เกร็ง (เมล็ด)[1]
12. เปลือกต้นและใบนำมาใช้เป็นยาต้มสำหรับรักษาโรคบิด (เปลือกต้น, ใบ)[3]
13. ในเปลือกมีสารประเภท Oleoresin จำนวนมาก จึงมีการนำมาใช้ในการรักษาโรคท้องร่วง และอาการปวดท้อง (เปลือกผล)[1]
14. เมล็ดใช้เป็นยาขับพยาธิ[1],[2]
15. สารสกัดจากเปลือกต้นนั้นสามารถช่วยแก้พิษแมงป่องได้[1]
16. เปลือกต้นนำมาใช้เป็นยาสมานแผล (เปลือกต้น)[1] ส่วนเมล็ดนั้นก็มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน (เมล็ด)[1]

ประโยชน์ลองกอง

1. โดยทั่วไปนั้น มักจะนิยมรับประทานเป็นผลไม้สด ให้รสชาติที่หวานอร่อย อีกทั้งยังมีคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย[1],[3]
2. เปลือกผลแห้งแล้ว นำมาเผาเพื่อให้ได้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย จะมีประโยชน์ในการใช้ไล่ยุงได้[1],[3]
3. สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ทำเป็นน้ำเชื่อม ลูกอม แยม กวน เครื่องดื่ม ไวน์ ผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำเชื่อม เป็นต้น[1],[2]
4. เปลือกผลและเมล็ดมีส่วนประกอบของสารที่มีความสำคัญทางการแพทย์และทางด้านอุตสาหกรรม เนื่องจากมีสาร Tannin อยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง[3]
5. มีการนำส่วนผลมาสกัดด้วยเอทานอลและละลายสารสกัด 2-5% ในโพรไพลีนไกลคอล (Propylene glycol) เพื่อนำไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายสำหรับทำเป็นเครื่องสำอางสำหรับผิวหนังที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยลดรอยด่างดำ ซึ่งจากผลการทดสอบในอาสาสมัครหญิงจำนวน 30 คน ก็ได้พบว่าสารสกัดสามารถเพิ่มความชื้นกับผิวหนังและช่วยลดรอยด่างดำได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเลยทีเดียว[1]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ100 กรัม ให้พลังงาน 66 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 15.3 กรัม
โปรตีน 0.9 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
เส้นใยอาหาร 0.3 กรัม
น้ำ 80%
วิตามินเอ 15 หน่วยสากล
วิตามินบี 1 0.08 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 1.7 มิลลิกรัม
วิตามินซี 24 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 5 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.7 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม

แหล่งที่มา : เอกสารคำสอนวิชาไม้ผลเมืองร้อน ระดับปริญญาตรี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล. (สุรชัย มัจฉาชีพ).[1]

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลลองกอง ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.longkong.ist.cmu.ac.th. [16 พ.ย. 2013].
2. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. “ลองกอง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.uru.ac.th. [16 พ.ย. 2013].
3. กรมวิชาการเกษตร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: it.doa.go.th/thaifruit/journal.php. [16 พ.ย. 2013].

บ๊วยผลไม้เมืองหนาว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

0
บ๊วยผลไม้เมืองหนาว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพู ผลสดกลมเป็นสีเขียวรสขมอมเปรี้ยวกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อนิ่ม
บ๊วย
ผลไม้เมืองหนาว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพู ผลสดกลมเป็นสีเขียวรสขมอมเปรี้ยวกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อนิ่ม

บ๊วย

บ๊วย Chinese plum, Japanese apricot, Ume เป็นผลไม้เมืองหนาว มีต้นกำเนิดในประเทศจีน และเวลาต่อมาในภายหลังก็ได้แพร่กระจายไปหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ไทย ลาว พม่า เวียดนาม ไต้หวัน ฯลฯ สำหรับในประเทศไทยนั้น จะมีการเพาะปลูกกันมาอย่างยาวนานแล้ว โดยได้รับการแพร่เข้ามาในทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงราย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Prunus mume Siebold & Zucc. จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับพลัม ลูกท้อ เชอร์รี่ อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง

พันธุ์ต้นที่นิยมมาเพาะปลูก

1. พันธุ์เชียงราย หรือ พันธุ์แม่สาย ถูกจัดให้เป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของไทย โดยมีการปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 500 เมตรขึ้นไป แต่ก็มีข้อเสียนั่นก็คือ ตัวผลมีขนาดที่เล็กไม่ตรงกับความต้องการของโรงงานแปรรูป[1],[2]
2. พันธุ์ปิงติง สายพันธุ์นี้จัดเป็นสายพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวัน เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
3. พันธุ์เจียนโถ พันธุ์นี้ก็เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวันเช่นเดียวกัน และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
4. พันธุ์บารมี 1 หรือ พันธุ์ขุนวาง 1 ในส่วนสายพันธุ์นี้นั้นจะเป็นสายพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ มีจุดเด่นก็คือ ผลที่มีขนาดใหญ่และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
5. พันธุ์บารมี 2 หรือ พันธุ์ขุนวาง 2 ในสายพันธุ์นี้จะเป็นพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่เช่นกัน นอกจากจะให้ผลที่มีขนาดใหญ่แล้ว ยังให้ผลผลิตที่สูงอีกด้วย และเหมาะสำหรับนำมาปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]

ลักษณะของบ๊วย

  • ต้น จัดเป็นไม้ผลยืนต้นที่สามารถเพาะปลูกได้ง่าย มีโรคและแมลงรบกวนน้อย และให้ผลผลิตที่สูงตามอายุและขนาดของลำต้น โดยต้องการอุณหภูมิในการปลูกอย่างต่ำประมาณ 7.2 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น สามารถที่จะเจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภท และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเสียบกิ่งหรือวิธีการปักชำ[1],[2]
  • ใบ เป็นใบขนาดเล็ก มีสีเขียวอมเทา ขอบใบเป็นหยักคล้ายกับฟันเลื่อย[4]
  • ดอก มีกลิ่นที่หอม ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพู[4]
  • ผล มีลักษณะกลมเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่เต็มที่แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทั่วไปนั้นจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร เนื้อมีรสชาติขมอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อจะนิ่ม ภายในผลมีเมล็ดแข็ง ที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันเมื่อผลแก่แล้ว จะเริ่มมีการเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ส่วนในประเทศไทยจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนเมษายน[1],[4]

โอวบ๊วย หรือ บ๊วยดำ ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า “อูเหมย” ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Smoked plum โดยการนำส่วนของผลที่ใกล้สุกมาทำเป็นยา หรือในชื่อของเครื่องยา Fructus Mume[8] (สถาบันการแพทย์แผนไทยและจีน)

สรรพคุณบ๊วยดำ

1. รสที่เปรี้ยว ฝาด และสุขุม มีฤทธิ์ในการช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ปอด ช่วยระงับอาการไอ แก้ไอแห้ง อาการไอเรื้อรัง[8]
2. มีฤทธิ์ในการช่วยเสริมธาตุน้ำ ช่วยแก้ร้อนแบบพร่อง แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้กระหายน้ำ[8]
3. ใช้ช่วยลดอาการไข้[9]
4. ใช้ช่วยสมานลำไส้ ช่วยระงับอาการท้องร่วง แก้อาการท้องร่วงเรื้อรังและมีเลือดปน บิดเรื้อรัง[8]
5. มีฤทธิ์ในการช่วยป้องกันโรคติดต่อในลำไส้ได้[9]
6. มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิ และแก้พยาธิ[8]
7. ใช้ช่วยห้ามเลือดได้ดี[8]
8. มีกรดมาลิก กรดซิตริก กรดซักซินิก ไฟโตสเตอรอล และในเมล็ดจะมีน้ำมันอยู่ มีฤทธิ์ที่สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้หลากหลายชนิด เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อบิด เชื้อวัณโรค เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อไทฟอยด์หรือไข้รากสาดใหญ่[9]

ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ประมาณ 6-12 กรัม นำมาต้มน้ำดื่ม[8]

ข้อควรระวัง : ควรระมัดระวังในการใช้กับผู้ป่วยที่มีไข้และอาการร้อนแกว่ง[8]

สรรพคุณของบ๊วย

1. ช่วยเพิ่มกำลัง และบรรเทาอาการอ่อนเพลีย เพราะเนื่องจากการที่คนเรารู้สึกมีอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ก็เนื่องจากมีกรดในเลือดที่สูง ร่างกายจึงไม่สามารถปรับสมดุลความเป็นด่างได้ทัน มีความเป็นด่างที่ค่า pH 7.35 ซึ่งใกล้เคียงกับเลือดของมนุษย์ ดังนั้นจึงช่วยถ่วงดุลความด่างได้[1],[3],[5]
2. ช่วยลดความกระหายน้ำ ช่วยลดการสูญเสียเหงื่อในร่างกายได้[1],[4]
3. ช่วยป้องกันการเป็นลมแดด สำหรับผู้ที่ทำงานหรือออกกำลังกายในที่กลางแจ้ง โดยเฉพาะแบบเค็มจะมีโซเดียมอยู่มาก จึงช่วยในการเติมเต็มเกลือแร่ให้กับร่างกาย โดยควรกินพร้อมกับการดื่มน้ำแบบค่อย ๆ จิบก็จะช่วยได้อย่างมาก[5]
4. ใช้ช่วยลดมลพิษและอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย และช่วยลดกรดในกระเพาะ[1],[4]
5. ใช้ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบ โรคฟัน และแก้ปัญหาเรื่องการเกิดกลิ่นปาก[4]
6. มีฤทธิ์ในการช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน[1]
7. มีส่วนช่วยปรับสมดุลในกระเพาะอาหารให้มีความแข็งแรงมากขึ้น[4]
8. ช่วยในการเสริมสร้างระบบการย่อยอาหาร แก้อาหารไม่ย่อย หรือถ้าหากมีอาการท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง [4]
9. ใช้ช่วยรักษาอาการท้องร่วงเรื้อรังได้[6]
10. มีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้[1]
11. ใช้ช่วยขับพยาธิบางชนิดในลำไส้ได้[1],[6]
12. ช่วยในระบบขับถ่ายน้ำในร่างกาย เพราะการรับประทานอาหารที่มีรสจัด เค็มจัด หรือเผ็ดจัด จะทำให้การขับถ่ายน้ำไม่ค่อยดี และอาจทำให้เกิดโรคในระบบการขับถ่ายน้ำตามมา เช่น โรคถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคบวมน้ำ และโรคไต เป็นต้น [5]
13. น้ำใช้ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ [6]
14. มีส่วนช่วยแก้อาการแพ้ท้องของสตรีมีครรภ์ [4]
15. ผลแช่น้ำเกลือ ถ้านำมาคั้นเอาแต่น้ำสามารถนำมาใช้ดื่มรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรีได้[7]

ประโยชน์ของบ๊วย

1. เป็นผลไม้ที่ใช้รับประทานสดไม่ได้ แต่ก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น แบบเค็ม ดอง หรือบ๊วยเจี่ย แช่อิ่ม อบแห้ง ทำแยม น้ำ ยาอม ฯลฯ หรือจะนำไปใช้ทำเป็นอาหาร เช่น ปลานึ่ง น้ำจิ้ม และซอส เป็นต้น[2],[4]
2. ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบินได้ หากเดินทางไกลอยู่บ่อย ๆ การพกติดตัวไว้จะช่วยได้มาก[4]
3. มีฤทธิ์ในการช่วยแก้อาการเมาค้างอันเนื่องมาจากการดื่มเหล้าดื่มสุรา[4]
4. ช่วยแก้อาการง่วงนอน ช่วยทำให้ผ่อนคลายจากอาการง่วงนอนได้เป็นอย่างดี[5]

ข้อควรระวังในการรับประทานบ๊วย

1. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรที่จะหลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารที่มีความเค็ม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “แบบเค็ม” เพราะความเค็มเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคชนิดนี้และอาจส่งผลทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้[5]
2. แบบหวานมีการตรวจพบว่ามีสารซัคคาริน (ขัณฑสกร) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานในอาหารแห้ง โดยตรวจพบที่ด่านแม่สายมากถึง 80% ซึ่งการได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณมาก ๆ จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ มีอาการระคายเคืองในช่องปาก และเป็นโรคกระเพาะอาหารได้[5]
3. สำหรับในคนทั่วไปแล้วนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ การรับประทานแบบเค็มในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลทำให้ร่างกายมีปริมาณของโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการกระหายน้ำ เป็นร้อนใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ไตและหัวใจทำงานหนักขึ้น จึงแนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีรสเค็มปานกลาง และลดปริมาณของอาหารที่มีโซเดียมสูง[5]

วิธีทำน้ำบ๊วย

1. อย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ได้แก่ บ๊วยดองน้ำเกลือ 10 เม็ด, น้ำตาลทราย ½-1 ถ้วยตวง, เกลือป่น 1-2 ช้อนชา, น้ำสะอาด 6 ถ้วย[7]
2. เมื่อเตรียมส่วนผสมเสร็จแล้ว ให้นำมายีเอาแต่เนื้อ จากนั้นใส่น้ำลงในหม้อและใส่น้ำตาล ตั้งไฟพอให้เดือด ใส่น้ำตาลลงไปเมื่อละลายแล้วต้มสักครู่จนน้ำมีสีเหลืองอ่อน ๆ[7]
3. ต่อมาให้ใส่เกลือแล้วคนให้ทั่ว จากนั้นชิมรสให้มีรสเปรี้ยว หวาน และเค็มเล็กน้อย เสร็จแล้วปิดฝาทิ้งไว้รอจนเย็น แล้วนำมาเทใส่ขวดและแช่ตู้เย็น เป็นอันเสร็จเรียบร้อย[7]
4. หากจะนำมาดื่ม ให้ตักน้ำแข็งใส่แก้ว แล้วเทน้ำใส่แก้ว สามารถนำมาดื่มได้ทันที[7]

สั่งซื้ออาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “บ๊ ว ย”. (บุษบา แซ่ลี). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [7 พ.ย. 2013].
2. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doa.go.th/hrc/cmroyal. [7 พ.ย. 2013].
3. KU eMagazine นิตยสารออนไลน์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “สารพัดวิธีผ่อนคลาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/e-magazin. [7 พ.ย. 2013].
4. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/บ๊ ว ย (ROSACEAE). [7 พ.ย. 2013].
5. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [7 พ.ย. 2013].
6. GotoKnow. “ประโยชน์จากน้ำผลไม้ที่คุณอาจไม่เคยรู้”. (ORAWAN). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [7 พ.ย. 2013].
7. มูลนิธิสุขภาพไทย. “น้ำ บ๊ ว ย”. อ้างอิงใน: สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข : น้ำสมุนไพร 108. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [7 พ.ย. 2013].
8. สถาบันการแพทย์ไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. “โ อ ว บ๊ ว ย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: tcm.dtam.moph.go.th. [7 พ.ย. 2013].
9. ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. “บ๊ ว ย ดำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: cul.hcu.ac.th. [7 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://commons.wikimedia.org/wiki/

ราสเบอร์รี ผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินซี

0
ราสเบอร์รี
ราสเบอร์รี ผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินซี ผลเป็นผลเดี่ยว ลักษณะทรงกรวย ด้านในกลวงคล้ายรูปหัวใจ ผิวมีปุ่มเล็กๆ ผลสุกมีสีแดงเนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยวอมหวานกลิ่นหอม
ราสเบอร์รี
ผลเป็นผลเดี่ยว ลักษณะทรงกรวย ด้านในกลวงคล้ายรูปหัวใจ ผิวมีปุ่มเล็กๆ ผลสุกมีสีแดงเนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยวอมหวานกลิ่นหอม

ราสเบอร์รี

ราสเบอร์รี (Raspberry) คือผลไม้ในสกุล Rubus ซึ่งเป็นสกุลเดียวกันกับแบล็คเบอร์รี และเป็นหนึ่งในผลไม้ที่อยู่ในตระกูลเบอร์รี โดยส่วนใหญ่มักจะจัดอยู่ในสกุลย่อย Idaeobatus สำหรับในภาษาท้องถิ่นของไทยบ้านเรานั้นจะเรียกว่า “หนามไข่ปู” ผลไม้ชนิดนี้นั้นมีถิ่นกำเนิดในแถบยุโรป ในประเทศไทยนั้นก็มีการเพาะอยู่ด้วยเช่นกัน จะพบกระจายพันธุ์อยู่บนพื้นที่ภูเขาสูง เช่น ดอยภูคา จังหวัดน่าน, ภูกระดึง จังหวัดเลย, ดอยอินทนนท์ ดอยเชียงดาว ดอนผ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น เติบโตได้ดีในทุกสภาพภูมิอากาศทั่วโลก แต่นิยมปลูกกันในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นมากกว่า เช่นทางอเมริกาและทางยุโรป ผลสุกงอมมีเข้มและความสดของสีผลเป็นหลัก มีรสชาติที่หวานมาก จึงเหมาะแก่การนำมารับประทานเป็นผลไม้ จึงเป็นผลไม้ทางการค้าที่สำคัญมากของทางยุโรป และยังนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายเลยทีเดียว โดยมีข้อมูลระบุว่าประเทศไทยนั้นได้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้ประเภทนี้ปีละหลายสิบล้านบาทเลยทีเดียว

ลักษณะของราสเบอร์รี

  • ต้น เป็นพืชที่มีอายุอยู่ได้หลายปี ลำต้นและตัวต้นนั้นมีความแข็งแรงมาก สามารถที่จะขยายพันธุ์ไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีจำกัด เพราะมันสามารถที่จะงอกลำต้นขึ้นมาใหม่จากลำต้นเดิมได้และรากก็จะเจาะลึกลงไปในดิน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้หน่อที่แทงขึ้นมาในแต่ละปีและวิธีการติดผล
  • ราก ลักษณะของรากต้นราสเบอรี่จะเป็นระบบรากตื้น รากมีลักษณะทรงกลมและมีรากฝอยหรือรากแก้วแขนงเล็กๆ แตกออกตามแนวราบ รากแทงลงในดิน มีสีน้ำตาล
  • ใบ ลักษณะของใบมีขนาดใหญ่เป็นทรงรี โดยขอบใบจะมีรอยฟันหยักเล็กๆ ก้านใบยาว มีหนามปกคลุมและมีใบย่อย 3 ใบบนก้านเดียวกัน ผิวของใบสากและใบมีสีเขียว
  • ดอก ออกเป็นช่อ มีดอกย่อย โดยดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงแตร กลีบดอกมีสีขาว กลีบเลี้ยงมีสีเขียว เกสรสีเหลือง ส่วนก้านดอกยาว ดอกออกตามซอกใบและบริเวณปลายกิ่ง
  • ผล ออกเป็นผลเดี่ยว ที่มีลักษณะรูปทรงกรวย ด้านในกลวงคล้ายรูปหัวใจ ผิวของเปลือกมีปุ่มเล็กๆ อยู่บนผลจำนวนมาก และมีขนเล็กๆ คลุมอยู่ทั่วผล ผลอ่อนจะมีสีขาว ส่วนผลสุกจะมีสีแดง เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวอมหวานหรือหวานแล้วแต่ตามสายพันธุ์ กลิ่นเบอรี่จะมีกลิ่นที่หอมชวนรับประทาน ภายในผลมีเมล็ดเล็กๆ ลักษณะทรงรี เมล็ดแข็งและมีสีน้ำตาล

สรรพคุณของราสเบอร์รี

1. มีไขมันและแคลอรีที่ต่ำ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
2. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ
3. มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านมะเร็ง เพราะอุดมไปด้วยกรดเอลลาจิก (Ellagic acid) ซึ่งในทางการแพทย์ได้มีการยอมรับว่ามันมีฤทธิ์แรงที่สุดในการช่วยป้องกันมะเร็ง และยังพบว่ากรดชนิดนี้สามารถช่วยจับสารพิษที่เป็นสารก่อมะเร็งไม่ให้จับกับดีเอ็นเอได้อีกด้วย เหตุนี้จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ และยังสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลาม ทำให้เซลล์มะเร็งนั้นเกิดภาวะตายไปตามธรรมชาติ โดยจะไม่ทำลายเซลล์ปกติเหมือนการใช้ยาเคมีบำบัด
4. สามารถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมได้
5. สามารถช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสเปิร์มได้ถึง 20% (สาเหตุอาจมาจากภาวะความเครียด)
6. มีส่วนช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศได้เป็นอย่างดียิ่ง
7. มีส่วนช่วยลดโอกาสการแท้งบุตรในเพศหญิง มีโฟเลตที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับตัวอ่อนระหว่างการตั้งครรภ์นั่นเอง
8. นำไปทำอาหารอย่างอื่นก็ได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน
9. สามารถนำมาแปรรูปทำเป็น น้ำ ปั่น เค้กแยม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือจะใช้แต่งกลิ่นสีในขนมหวานได้อย่างหลากหลาย ฯลฯ
10. อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี ที่มีส่วนช่วยในการชะลอการเกิดริ้วรอย บำรุงผิวพรรณ และช่วยสมานผิวหรือแผลต่าง ๆ ให้หายเร็วขึ้นได้อีกด้วย
11. มีแมงกานีส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ทองแดง และธาตุเหล็ก ซึ่งจะช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและช่วยควบคุมความดันโลหิต และช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงได้อีกด้วย
12. อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม วิตามินเค และวิตามินอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันได้ดียิ่งขึ้น
13. มีน้ำตาลต่ำ จึงช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้
14. สารสีแดงมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย
15. มีสารอาหารที่เอื้อต่อการมีบุตรทั้งเพศชายและเพศหญิง

ประโยชน์ของราสเบอร์รี

  • ใบนั้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นยาได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 53 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 11.94 กรัม
น้ำตาล 4.42 กรัม
เส้นใย 6.5 กรัม
ไขมัน  0.65 กรัม
โปรตีน 1.2 กรัม
วิตามินบี 1 0.032 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 2 0.038 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.598 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 5 0.329 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี 6 0.055 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 9 21 ไมโครกรัม 5%
โคลีน 12.3 มิลลิกรัม 3%
วิตามินซี 26.2 มิลลิกรัม 32%
วิตามินอี 0.87 มิลลิกรัม 6%
วิตามินเค 7.8 ไมโครกรัม 7%
ธาตุแคลเซียม 25 มิลลิกรัม 3%
ธาตุเหล็ก 0.69 มิลลิกรัม 5%
ธาตุแมกนีเซียม 22 มิลลิกรัม 6%
ธาตุแมงกานีส 0.67 มิลลิกรัม 32%
ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโพแทสเซียม 151 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.42 มิลลิกรัม 4%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ห้องปฏิบัติการณ์ระดับชาติลอว์เรนซ์ เบิร์กลีย์ ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ, www.whfoods.com, www.nutrition-and-you.com, www.trueplookpanya.com

สุดยอดคุณประโยชน์จากระกำ 7 ข้อ

0
ระกำ
ผลออกเป็นทลายขนสั้นแข็งคล้ายหนามเล็กๆ ผลอ่อนมีสีน้ำตาลเข้ม ผลสุกสีแดงอมส้ม เนื้อเป็นกลีบสีเหลืองอมส้ม เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยว กลิ่นหอม
ระกำ
ผลออกเป็นทลายขนสั้นแข็งคล้ายหนามเล็กๆ ผลอ่อนมีสีน้ำตาลเข้ม ผลสุกสีแดงอมส้ม เนื้อเป็นกลีบสีเหลืองอมส้ม เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยว กลิ่นหอม

ระกำ

ระกำ (Salacca) เป็นพืชตระกูลปาล์มและอยู่ในสกุลเดียวกับสละ เป็นพืชที่ทำรายได้ให้เกษตรกร เฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดตราด เป็นที่รู้จักในนาม “ร ะ กำ หวานเมืองตราด” ราคาจะขึ้นอยู่กับคุณภาพ ซึ่งผลไม้เปลือกหนามชนิดนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Salacca wallichiana Mart. อยู่ในวงศ์ปาล์ม

ลักษณะ

  • ต้น เป็นต้นหรือเหง้าเตี้ย ยอดจะแตกเป็นกอ ผลออกเป็นกระจุกแบบทะลาย หนึ่งทะลายประมาณ 2-5 กระปุก ที่ลำต้นมีหนามยาวประมาณ 1 นิ้ว
  • ใบ ยาวเป็นทางลักษณะยาว 2-3 เมตร
  • ผล ที่เปลือกจะมีหนามเล็ก ๆ หนึ่งผลจะมี 2-3 กลีบ ผลดิบมีรสฝาดและเปรี้ยว ผลสุกมีรสเปรี้ยวอมหวาน เนื้ออ่อน ฉ่ำน้ำ กลิ่นหอม ลักษณะจะคล้ายสละ แต่ผลจะป้อมกว่า เมล็ดใหญ่กว่า เนื้อมีสีแดงอมส้มหน่อย ๆ ถ้าเป็นสละเนื้อจะมีสีเหลืองอ่อน ๆ และจะมีเนื้อ 1-2 กลีบ
    คนไทยโบราณจะไม่นิยมปลูกในบ้าน เพราะไม่เป็นมงคล สาเหตุคงเป็นเพราะชื่อไม่เป็นมงคล เชื่อว่าถ้าปลูกในบ้านจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความชอกช้ำใจตลอดเวลา

สรรพคุณของระกำ

  • แก่นสามารถช่วยรักษาเลือดและรักษากำเดาได้
  • แก่นสามารถช่วยรักษาอาการไข้สำประชวรได้
  • สามารถช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • สามารถบรรเทาอาการกระหายน้ำได้
  • ช่วยการย่อยอาหารได้
  • ผลหรือแก่น สามารถใช้เป็นยาขับเสมหะได้
  • นำมารับประทาน ใช้เป็นยารักษาอาการไอ

ประโยชน์ของระกำ

  • ไม้ของต้นเอาหนามสามารถนำไปกั้นทำเป็นฝาบ้านได้
  • สามารถใช้รับประทานเป็นผลไม้หรือทำของหวานได้
  • เนื้อไม้อ่อนนุ่มและมีความหยุ่น สามารถนำมาทำเป็นจุกขวดน้ำ ทำของเล่น เพราะสามารถลอยน้ำได้ ใช้เป็นเครื่องประกอบดอกไม้
  • มีรสเปรี้ยวสามารถนำมาปรุงอาหารได้
  • นำผิวมาสกัดเป็นน้ำมัน

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 51 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 6 มิลลิกรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 8 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก
สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, นิดดา หงษ์วิวัฒน์)
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์