ดาวเรืองฝรั่ง ดอกเป็นยา ช่วยบำรุงผิว ลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล

0
ดาวเรืองฝรั่ง
ดาวเรืองฝรั่ง ดอกเป็นยา ช่วยบำรุงผิว ลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล ดอกสีเหลืองหรือสีเหลืองปนส้ม รากมีรสจืด ใบมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกับเครื่องเทศ

ดาวเรืองฝรั่ง

ดาวเรืองฝรั่ง

ดาวเรืองฝรั่ง เป็นพรรณไม้ล้มลุกอายุประมาณ 1 – 2 ปี เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของยุโรปตอนใต้ เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ทานตะวัน เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของยุโรปตอนใต้ที่มีดอกสีเหลืองหรือสีเหลืองปนส้ม ทำให้ดูสวยงามและสดใสชวนให้น่ามอง ส่วนของรากมีรสจืดและเป็นยาสุขุม ส่วนของใบมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกับเครื่องเทศ สามารถนำมาใช้ทำอาหารได้เหมือนผักชนิดหนึ่ง กลีบดอกใช้ฉีกใส่ในซุปและเป็นสมุนไพรชั้นดี นอกจากนั้นยังเป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Calendula officinalis L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Calendula” “Common marigold” “Cape marigold” “English marigold” “Garden marigold” “Scottish marigold” “Marigold” “Pot marigold” “Ruddles”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “ดาวเรืองหม้อ” จีนกลางเรียกว่า “จินจ่านจวี๋” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “กิมจั้วเก็ก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)

ลักษณะของดาวเรืองฝรั่ง

ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขามากที่โคนต้น ทั้งต้นมีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย ตามกิ่งและก้านจะมีร่องเหลี่ยม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่น ไม่มีก้านใบ ใบที่อยู่ตรงโคนก้านจะมีขนาดใหญ่เรียงกันขึ้นไปหาเล็ก แผ่นใบมีสีเขียวอ่อน
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุกบริเวณปลายต้น ดอกมีสีเหลืองหรือสีเหลืองปนส้ม กลีบดอกมีขนาดเล็ก ลักษณะเป็นรูปแกมขอบขนานเรียงซ้อนกันเป็นชั้นหลายชั้น หรือเรียงซ้อนกันเป็นวงหลายวง วงนอกเป็นดอกเพศเมีย ส่วนวงในเป็นดอกเพศผู้ ปลายดอกแยกออกเป็นแฉก กลีบดอกทั้งหมดจะมีขนแข็งติดอยู่ที่โคน บริเวณใต้ดอกมีกลีบเลี้ยงอยู่ 1 – 2 ชั้น
ผล : เป็นผลแห้ง ผลมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานโค้ง มีขนเล็กน้อยหรืออาจเกลี้ยง

สรรพคุณของดาวเรืองฝรั่ง

  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาธาตุ เป็นยาแก้อาการอักเสบของตา เป็นยาแก้ไข้ ขับเหงื่อ เป็นยาขับพยาธิ เป็นยาห้ามเลือด ทำให้เลือดเย็น เป็นยารักษาแผลทั้งภายนอกและภายใน เป็นยาแก้พุพอง ช่วยบำรุงผิว ช่วยสมานผิว
    – ลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล แก้ไข้ทรพิษ แก้โรคหัด ด้วยการนำดอกมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – เป็นยาขับลม ขับกระษัยลม แก้โรคดีซ่าน ด้วยการนำดอก 1 กำมือ มาต้มกับน้ำดื่ม
    – รักษาอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ด้วยการนำดอกสด 10 – 15 ดอก มาต้มกับน้ำตาลกรวดทาน
    – แก้ปวดฟกช้ำ แก้แมลงกัดต่อย ด้วยการนำดอกมาถูบริเวณที่เป็น
  • สรรพคุณจากต้น ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับเหงื่อ แก้คลื่นเหียนอาเจียน เป็นยาขับพยาธิ เป็นยาแก้โรคดีซ่าน รักษาแผลเรื้อรังและแก้เส้นเลือดพอง
  • สรรพคุณจากราก ออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม เป็นยาฟอกเลือด ช่วยกระจายเลือดลมที่อุดตัน เป็นยารักษาซีสต์ในมดลูกของสตรี เป็นยาห้ามเลือด ทำให้เลือดเย็น
    – เป็นยาขับลม ขับกระษัยลม ด้วยการนำรากสดประมาณ 50 – 80 กรัม มาต้มในน้ำที่ผสมกับเหล้าอย่างละเท่ากัน แล้วนำมาทาน
    – แก้ปวดกระเพาะเนื่องจากกระเพาะชื้นเย็นและพร่อง ด้วยการนำรากประมาณ 30 – 50 กรัม มาต้มกับน้ำหรือนำมาดองกับเหล้า
  • สรรพคุณจากใบ แก้โรคต่อมน้ำเหลืองในเด็ก
    – แก้อาการท้องผูก ด้วยการนำใบมาคั้นเอาแต่น้ำทาน

ประโยชน์ของดาวเรืองฝรั่ง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบมีกลิ่นหอมอ่อนคล้ายเครื่องเทศ จึงนำมาใช้ทำอาหารได้เหมือนผักชนิดหนึ่ง หรือใช้ใส่ในซุปให้ได้กลิ่นและรสพิเศษ กลีบดอกใช้ฉีกใส่ในซุปได้
2. เป็นส่วนประกอบของยา ใบนำมาตากแห้งแล้วบดให้เป็นผงให้ใช้เป็นยานัตถุ์ได้
3. ปลูกเป็นไม้ตัดดอก ก้านดอกตรงยาวใช้ปลูกเป็นไม้ตัดดอกได้ดี
4. เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง มีความสำคัญสำหรับทารก โดยนำมาใช้ผสมในแป้งสำหรับโรยตัวเด็ก ผสมในน้ำสำหรับอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย

ดาวเรืองฝรั่ง เป็นต้นที่มีดอกเป็นยาสมุนไพรและเป็นส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย สามารถนำมาประกอบอาหาร เป็นส่วนประกอบของยา ปลูกเป็นไม้ตัดดอก และเป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง สรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงผิว ลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล แก้โรคดีซ่าน เป็นยาขับลมและแก้อาการท้องผูกได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ดาวเรืองฝรั่ง”. หน้า 224.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ดาวเรืองฝรั่ง”. หน้า 287-288.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ดาวเรืองฝรั่ง” หน้า 84.
ไทยเกษตรศาสตร์. “ดาวเรืองหม้อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [23 ธ.ค. 2014].
หนังสือสมุนไพรธรรมชาติและประโยชน์ทางเครื่องสำอาง. (กลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา). “สมุนไพรธรรมชาติที่ใช้ในเครื่องสำอาง”. หน้า 2.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.herbaldynamicsbeauty.com/blogs/herbal-dynamics-beauty/the-benefits-of-calendula-for-skin

ถั่วมะแฮะ ช่วยบำรุงกระดูกและเส้นเอ็น ดีต่อระบบลมและระบบเลือด

0
ถั่วมะแฮะ
ถั่วมะแฮะ ช่วยบำรุงกระดูกและเส้นเอ็น ดีต่อระบบลมและระบบเลือด นิยมนำฝักมาตากแห้งแกะเอาเมล็ดออกมาใช้ปรุงเป็นอาหาร ยอดอ่อนและดอกถั่วแระเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์

ถั่วมะแฮะ

ถั่วมะแฮะ

ถั่วแระต้น หรือถั่วแฮะ นิยมนำฝักมาตากแห้งแกะเอาเมล็ดออกมาใช้ปรุงเป็นอาหาร เป็นต้นที่อยู่ในตำรายาพื้นบ้านและตำรายาไทย ชาวปะหล่องถือว่ายอดอ่อนและดอกถั่วแระเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ในการอนุรักษ์ดินและน้ำได้ด้วย เป็นต้นที่มีคุณค่าทางโภชนาการในส่วนของเมล็ดสูง ค่อนข้างเป็นต้นที่ดีในการช่วยลดเบาหวาน หรือพวกไขมันในเลือด และความดันเลือดได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของถั่วมะแฮะ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cajanus cajan (L.) Millsp.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Pigeon pea” “Angola pea” “Congo pea”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ถั่วแระ ถั่วแระผี ถั่วแม่ตาย” ภาคเหนือเรียกว่า “มะแฮะ มะแฮะต้น ถั่วแระต้น” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ถั่วแฮ” จังหวัดชุมพรเรียกว่า “ถั่วแรด” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “พะหน่อเซะ พะหน่อซิ” ไทลื้อเรียกว่า “มะแฮะ” ชาวปะหล่องเรียกว่า “ย่วนตูแฮะ” ชาวขมุเรียกว่า “เปล๊ะกะแลง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Cajanus indicus Spreng.

ลักษณะของถั่วมะแฮะ

ถั่วแระ เป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดย่อมอายุฤดูเดียวหรือหลายฤดู มักจะพบขึ้นในที่โล่งแจ้งชายป่าเบญจพรรณ
ลำต้น : เป็นไม้พุ่ม ลำต้นสูงประมาณ 1.5-2 เมตร มีอายุ 2-3 ปี
ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง กิ่งแผ่ออกด้านข้างเป็นคู่ ผิวของลำต้นเกลี้ยงเป็นสีเขียวหม่น มีทั้งถั่วแระขาวและถั่วแระแดง
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 3 ใบ ใบย่อยจะแตกออกมาตามลำต้น หรือตามกิ่งประมาณ 3 ใบ ลักษณะของใบย่อยมีขนาดเล็กเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอก ปลายใบแหลม ผิวใบทั้งสองด้านมีขนสีขาวนวล
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะ มีดอกย่อยประมาณ 8 – 14 ดอก มักจะออกตามซอกใบ ลักษณะของดอกเป็นรูปดอกถั่ว กลีบดอกเป็นสีเหลืองมีขอบสีน้ำตาลแดง ใบประดับมีขน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นถ้วย ปลายแยกเป็น 4 – 5 แฉก
ผล : ลักษณะของผลเป็นฝักแบนยาวสีม่วงเข้มปนเขียว เป็นห้องและมีขน ฝักหนึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 – 4 ห้อง
เมล็ด : ภายในมีเมล็ดลักษณะกลมหรือแบนเล็กน้อย ห้องละ 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเหลือง สีของเมล็ดเป็นสีเหลือง ขาว และสีแดง

สรรพคุณของถั่วมะแฮะ

  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาบำรุงกำลัง รักษาไข้ ถอนพิษ เป็นยาบำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น
    – ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ด้วยการนำเมล็ดมาต้มทานเป็นของกินเล่น
  • สรรพคุณจากทั้งฝัก เป็นยาบำรุงร่างกาย เป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น
  • สรรพคุณจากราก รักษาไข้ ถอนพิษ เป็นยาขับผายลม ตำรายาไทยนำรากปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ปัสสาวะแดงขุ่น แก้ปัสสาวะน้อย ช่วยละลายนิ่วในไต
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้อาการไอ น้ำคั้นจากใบใช้ใส่แผลในปากหรือหู เป็นยาขับลมลงเบื้องต่ำ เป็นยาขับผายลม เป็นยาแก้ท้องเสีย เป็นยารักษาบาดแผล เป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ
  • สรรพคุณจากต้น เป็นยาขับลมลงเบื้องต่ำ เป็นยาขับผายลม เป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ
  • สรรพคุณจากรากและเมล็ด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะเหลืองหรือแดง แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาน้ำเบาเหลืองและแดงดังสีขมิ้น แก้น้ำเบาออกน้อย
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – รักษาอาการตกเลือด แก้ไข้ทับระดู โดยตำรายาพื้นบ้านนำทั้งต้น 1 กำมือ มาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง

ประโยชน์ของถั่วมะแฮะ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำฝักมาตากแห้งแกะเอาเมล็ดออกมาใช้ปรุงเป็นอาหาร ชาวปะหล่อง ขมุ และกะเหรี่ยงเชียงใหม่นำผลถั่วแระมารับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก
2. เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวปะหล่องถือว่ายอดอ่อนและดอกถั่วแระเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ จึงนำมาใช้ประพรมน้ำมนต์หรือใช้ในพิธีปลูกเสาเอกของบ้าน
3. ใช้ในการเกษตร ถั่วแระเป็นพืชที่นำมาใช้ในการเลี้ยงครั่งได้ดี เนื่องจากต้นถั่วแระสามารถเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งแห้งแล้ง ปลูกง่าย ทนแล้ง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี ให้โปรตีนสูง ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน ปลูกถั่วแระเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ ช่วยลดการพังทลายของหน้าดินจากน้ำฝน

คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดถั่วมะแฮะ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 343 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 62.78 กรัม
ใยอาหาร 15 กรัม
ไขมัน 1.49 กรัม
โปรตีน 22.7 กรัม
วิตามินบี1 0.643 มิลลิกรัม (56%)
วิตามินบี2 0.187 มิลลิกรัม (16%)
วิตามินบี3 2.965 มิลลิกรัม (20%)
วิตามินบี5 1.266 มิลลิกรัม (25%) 
วิตามินบี6 0.283 มิลลิกรัม (22%)
วิตามินบี9 456 ไมโครกรัม (114%)
วิตามินซี 0 มิลลิกรัม (0%) 
วิตามินอี 0 มิลลิกรัม (0%)
วิตามินเค 0 ไมโครกรัม (0%)
แคลเซียม 130 มิลลิกรัม (13%)
ธาตุเหล็ก 5.23 มิลลิกรัม (40%)
แมกนีเซียม 183 มิลลิกรัม (52%)
แมงกานีส 1.791 มิลลิกรัม (85%)
ฟอสฟอรัส 367 มิลลิกรัม (52%)
โพแทสเซียม 1,392 มิลลิกรัม (30%)
โซเดียม 17 มิลลิกรัม (1%)
สังกะสี 2.76 มิลลิกรัม (29%)

ถั่วแระหรือถั่วแฮะ เป็นถั่วที่คนทั่วไปนิยมทานในเมนูอาหาร หรือนำมาทานเล่นแก้หิวได้ ทว่าต้นนั้นถือเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเกษตรในการเลี้ยงครั่ง และเพิ่มธาตุอาหารในดิน รวมถึงลดการพังทลายของหน้าดินจากน้ำฝนด้วย ถั่วแระมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเมล็ด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกาย เป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น ช่วยขับลม ขับปัสสาวะ และที่สำคัญเลยคือ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ถั่วแระต้น”. หน้า 331-332.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ถั่วแระต้น” หน้า 96-97.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ถั่วแระต้น”. หน้า 85-86.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ถั่วแฮ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [14 ธ.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ถั่วแระ, ถั่วมะแฮะ”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [14 ธ.ค. 2014].
ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “ต้นถั่วแระ ทางเลือกใหม่ในการเลี้ยงครั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phtnet.org. [14 ธ.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://indiabiodiversity.org/observation/show/16168983
2.https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Cajanus_cajan,_flowers.jpg
3.https://gardenerspath.com/plants/vegetables/grow-pigeon-peas/

พาร์สลี่ย์ รสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอม สรรพคุณช่วยต้านมะเร็งเต้านม

0
พาร์สลี่ย์
พาร์สลี่ย์ รสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอม สรรพคุณช่วยต้านมะเร็งเต้านม คล้ายต้นผักชี เมล็ดมีรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอม นิยมนำใบหยิกมาใช้ประดับตกแต่งในจานอาหาร

พาร์สลี่ย์

พาร์สลี่ย์

พาร์สลี่ย์ เป็นพืชขนาดเล็กคล้ายต้นผักชี ทั้งต้นและเมล็ดมีรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอม ส่วนเมล็ด ใบและทั้งต้นเป็นยาสมุนไพรชั้นดี ในเมล็ดมีน้ำมันระเหยที่พบวิตามินและแร่ธาตุมากมาย นิยมนำใบหยิกมาใช้ประดับตกแต่งในจานอาหารให้ดูน่ารับประทาน ผลแก่แห้งใช้เป็นเครื่องเทศ เป็นต้นที่มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระและสามารถต้านมะเร็งเต้านมได้ ช่วยลดปัญหากลิ่นปากและช่วยลดสิวได้ด้วย ถือเป็นต้นที่ดีสำหรับสาว ๆ ในการนำมาทาน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของพาร์สลี่ย์

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Petroselinum crispum (Mill.) Fuss
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Parsley”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “ว่านเยาวพาณี” คนไทยเรียกว่า “ขึ้นฉ่ายฝรั่ง เทียนเยาวพาณี” จีนกลางเรียกว่า “ฉินช่าย โอวโจว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
ชื่อพ้อง : Apium crispum Mill., Apium petroselinum L., Carum petroselinum (L.) Benth. & Hook.f., Petroselinum hortense Hoffm., Petroselinum sativum Hoffm.

ลักษณะของพาร์สลี่ย์

พาร์สลี่ย์ เป็นพืชขนาดเล็กคล้ายต้นผักชีอายุประมาณ 2 ปี
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง แตกกิ่ง
ใบ : ก้านมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม แทงขึ้นมาจากเหง้าใต้ดิน เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ใบย่อยแตกเป็นแฉกแบบขนนก 2 – 3 ชั้น ขอบใบหยักคล้ายผักชีใบเล็ก ก้านใบย่อยสั้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบก้านซี่ร่ม มีดอกย่อยประมาณ 10 – 12 ดอก ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาว สีเหลือง หรือสีเหลืองอมเขียว มีเกสรเพศผู้ 5 อัน ติดอยู่บนฐานดอก
เมล็ด : เป็นเมล็ดแห้งรูปไข่ หรือรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก สีน้ำตาลแดงสลับขาว และมีกลิ่นหอม

สรรพคุณของพาร์สลี่ย์

  • สรรพคุณจากพาร์สลี่ย์ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ต้านการเกิดนิ่ว ขับปัสสาวะ ขับน้ำลม ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านยีสต์ เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ลดการปวดโรคข้ออักเสบ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระของส่วนที่เป็นพลาสมาในเลือด ต้านมะเร็งเต้านม ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต ขับปัสสาวะ ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง แก้โรคหอบหืด ลดอาการไอ ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารและแก๊สในทางเดินอาหารดี ลดอาการปวดเสียด บรรเทาอาการปวดประจำเดือนของสตรี
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ด้วยการนำเมล็ดแห้ง 7.5 กรัม มาแช่กับน้ำร้อนนาน 5 – 10 นาที ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • สรรพคุณจากทั้งต้นและเมล็ด เป็นยาขับเสมหะและละลายเสมหะ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นยาช่วยขับลมในท้อง แก้อาการจุกเสียด ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยทำให้มดลูกของสตรีหลังคลอดบุตรเข้าอู่เร็วขึ้น ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดตามข้อเนื่องจากลมชื้นเกาะติด
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาแก้อาการสะอึก แก้ฟกช้ำ แก้เคล็ดขัดยอก แก้แมลงกัดต่อย ช่วยแก้อาการนมคัดของสตรีมีครรภ์
    – แก้อาการเคล็ดขัดยอก แก้ฟกช้ำดำเขียว ด้วยการนำใบใช้ตำพอก

ประโยชน์ของพาร์สลี่ย์

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบนำมาใช้ประดับตกแต่งในจานอาหารให้ดูน่ารับประทาน หรือนำมาสับใส่แต่งอาหารในขั้นสุดท้ายของการปรุง นำมาผสมแต่งกลิ่นและรสในน้ำสลัดและซอส ใช้ผสมในเครื่องหมักเนื้อ ใช้กับอาหารประเภทยำ ชุบแป้งหรือชุบไข่ทอด หรือนำมารับประทานสด ใบใช้เป็นผักปรุงรสและหุงต้มอาหารและนำมาชุบแป้งทอด ผลแก่แห้งใช้เป็นเครื่องเทศ ใช้โรยหน้าอาหารเพื่อดับกลิ่นคาว
2. ช่วยในการดับกลิ่นปาก ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปาก
3. ใช้ในด้านบำรุงผิว ช่วยลดอาการอักเสบของสิว ด้วยการนำใบพาร์สลี่ย์มาสับให้ละเอียด แล้วเรียงลงไปในถาดน้ำแข็งใส่น้ำให้เต็มรอให้เย็นเป็นก้อน ห่อด้วยผ้าบาง แล้วนำมาประคบบริเวณที่เป็นสิวบวม อักเสบ แดง ประมาณ 20 วินาที ทุกเช้าเย็น

คุณค่าทางโภชนาการของใบพาร์สลี่ย์สด

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 36 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 6.33 กรัม
น้ำตาล 0.85 กรัม
ใยอาหาร 3.3 กรัม
ไขมัน 0.79 กรัม
โปรตีน 2.97 กรัม 
วิตามินเอ 421 ไมโครกรัม (53%)
เบต้าแคโรทีน 5,054 ไมโครกรัม (47%)
ลูทีนและซีแซนทีน 5,561 ไมโครกรัม 
วิตามินบี1 0.086 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี2  0.09 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี3 1.313 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี5 0.4 มิลลิกรัม (8%) 
วิตามินบี6 0.09 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี9 152 ไมโครกรัม (38%)
วิตามินซี 133 มิลลิกรัม (160%) 
วิตามินอี 0.75 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินเค 1,640 ไมโครกรัม (1,562%) 
แคลเซียม 138 มิลลิกรัม (14%)
ธาตุเหล็ก 6.2 มิลลิกรัม (48%) 
แมกนีเซียม 50 มิลลิกรัม (14%)
แมงกานีส 0.16 มิลลิกรัม (8%)
ฟอสฟอรัส 58 มิลลิกรัม (8%)
โพแทสเซียม 554 มิลลิกรัม (12%)
โซเดียม 56 มิลลิกรัม (4%)
สังกะสี 1.07 มิลลิกรัม (11%)

พาร์สลี่ย์ เป็นส่วนที่พบได้มากในอาหารต่างประเทศจำพวกพาสต้า ทั้งต้นและเมล็ดมีรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอม สามารถนำมาใช้ในการดับกลิ่นปากได้ และยังช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้เช่นกัน พาร์สลี่ย์มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเมล็ด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต แก้ฟกช้ำและช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เทียนเยาวพาณี”. หน้า 278.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เทียนเยาวพาณี Parsley”. หน้า 215.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “เทียนเยาวพานี”. หน้า 93-94.
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). (ศรัญญา เหล่าวิทยางค์กูร ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ). “พาร์สลีย์ ไม่ใช่แค่ผักประดับจาน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaihealth.or.th. [05 ธ.ค. 2014].
เดอะแดนดอทคอม. “พาร์สเลย์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.the-than.com. [05 ธ.ค. 2014].
นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 369. “พาร์สลีย์ ต้านมะเร็งคุณผู้หญิง”.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

นุ่น ขนปุยใช้ยัดหมอน ส่วนของเปลือก ราก และใบเป็นยาชั้นดี

0
นุ่น
นุ่น ขนปุยใช้ยัดหมอน ส่วนของเปลือก ราก และใบเป็นยาชั้นดี ดอกสีขาวแกมเหลือง ยางไม้มีรสฝาดเมา ชาวอีสานนำฝักอ่อนมารับประทานสดหรือแกง
นุ่น
นุ่น ขนปุยใช้ยัดหมอน ส่วนของเปลือก ราก และใบเป็นยาชั้นดี ดอกสีขาวแกมเหลือง ยางไม้มีรสฝาดเมา ชาวอีสานนำฝักอ่อนมารับประทานสดหรือแกง

นุ่น

นุ่น เป็นไม้ยืนต้นในฤดูแล้งที่มีดอกสีขาวแกมเหลือง ส่วนของยางไม้มีรสฝาดเมา เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรในประเทศฟิลิปปินส์ ชาวมาเลย์ สิงคโปร์ และเป็นยาพื้นบ้านของชาวอีสาน นิยมนำฝักอ่อนมารับประทานสดหรือใส่ในแกง เมล็ดสามารถนำมาใช้สกัดทำเป็นน้ำมันพืชได้ ภายในเมล็ดจะมีน้ำมันอยู่ประมาณ 20 – 25% และเป็นส่วนที่มีขนติดอยู่ที่เมล็ดซึ่งเรียกว่า “นุ่น” ซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาใช้ยัดหมอนได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของนุ่น

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ceiba pentandra (L.) Gaertn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “White silk cotton tree” “Ceiba” “Kapok” “Java cotton” “Java kapok” “Silk – cotton”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ง้าว งิ้วสาย งิ้วสร้อย งิ้วน้อย” คนเมืองเรียกว่า “งิ้ว” ชาวม้งเรียกว่า “ปั้งพัวะ” ไทลื้อเรียกว่า “นุ่น” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “ต่อเหมาะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชบา (MALVACEAE)

ลักษณะของต้นนุ่น

ต้นนุ่น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง ปลูกมากในเขตร้อนทั่วไปเพื่อใช้ปุยจากผลมาทำหมอนและที่นอน
ลำต้น : ลำต้นสูงใหญ่เป็นเปลาตรง ตรงยอดแผ่เป็นพุ่มกว้าง ลำต้นเป็นสีเขียวและมีหนามขึ้นอยู่ทั่วไปบริเวณโคนต้น
ใบ : เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือออกเรียงสลับกัน มีใบย่อยประมาณ 5 – 11 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอกหรือรูปหอกเรียวแหลม ปลายใบและโคนใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียว ก้านใบและเส้นก้านใบเป็นสีแดงอมน้ำตาล
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณซอกใบ ดอกย่อยมีจำนวนมาก ช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 1 – 5 ดอก ลักษณะของดอกเป็นรูปถ้วย ปลายดอกแยกออกเป็น 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาวแกมเหลืองติดกันที่ฐาน กลีบด้านนอกเป็นสีขาวนวลและมีขน ด้านในกลีบเป็นสีเหลือง กลางดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 5 – 6 อัน ก้านเกสรเพศเมียไม่แยก มักจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปยาววงรี ปลายและโคนผลแหลม เปลือกแข็ง เมื่อแห้งจะแตกออกเป็น 5 พู ภายในผลจะมีนุ่นสีขาวเป็นปุยอยู่ และมีเมล็ดจำนวนมาก
เมล็ด : เมล็ดเป็นสีดำ มีเส้นใยสีขาวคล้ายเส้นไหมยาวหุ้มเมล็ดเป็นปุยนุ่นอยู่

สรรพคุณของนุ่น

  • สรรพคุณจากราก ช่วยทำให้อาเจียน เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้บิด แก้บิดเรื้อรัง แก้ลำไส้อักเสบ เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยาแก้พิษแมงป่อง
    – บำรุงกำลัง ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้โรคเบาหวาน ด้วยการนำรากสดมาคั้นเอาน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากยางไม้ เป็นยาบำรุงกำลัง เป็นยาแก้ท้องร่วง ช่วยแก้ระดูขาวที่มากเกินไปของสตรี เป็นยาฝาดสมาน
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาแก้ร้อนใน เป็นยาแก้หวัดในเด็ก ช่วยทำให้อาเจียน ชาวฟิลิปปินส์ใช้เป็นยาโป๊ ต้มดื่มแก้หืด เป็นยาบำรุงกำหนัด
    – แก้ไข้ ด้วยการนำเปลือกผสมกับยาอื่นปรุงเป็นยา
    – แก้บิด แก้อาหารเป็นพิษ โดยตำรายาพื้นบ้านอีสานนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – เป็นยาขับปัสสาวะ โดยชาวชวานำเปลือกต้นมาผสมกับหมาก ลูกจันทน์เทศ และน้ำตาลทำเป็นยา
  • สรรพคุณจากต้น เป็นยาแก้ไข้ เป็นยาแก้ไอ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาแก้ไอ
    – เป็นยาแก้ไข้ ด้วยการนำทั้งต้นต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาแก้โรคเรื้อน ตำพอกแก้ฟกช้ำ
    – แก้ไข้ โดยชาวมาเลย์นำใบมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ ด้วยการนำใบมาตำผสมกับหัวหอม และขมิ้น ผสมกับน้ำดื่มเป็นยา
    – แก้ไอ แก้หวัดลงคอ แก้เสียงแหบห้าว โดยชาวสิงคโปร์นำใบมาตำผสมกับหัวหอม ขมิ้น และน้ำ แล้วดื่มวันละ 3 ครั้งเป็นยา
    – เป็นยาพอกฝีให้แตกหนอง ด้วยการนำใบมาเผาไฟผสมกับขมิ้นอ้อยและข้าวสุก
  • สรรพคุณจากดอกแห้ง เป็นยาแก้ไข้ เป็นยาแก้ปวด
  • สรรพคุณจากน้ำมันจากเมล็ด เป็นยาระบาย เป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากผลอ่อน เป็นยาฝาดสมาน
  • สรรพคุณจากใบอ่อน เป็นยาแก้เคล็ดบวม

ประโยชน์ของนุ่น

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ฝักที่ยังอ่อนมากจนเนื้อในผลยังไม่เป็นปุยนุ่นใช้เป็นอาหารได้
2. ใช้ในการเกษตร เมล็ดใช้สกัดทำเป็นน้ำมันพืช กากที่เหลือนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ไส้นุ่นนำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้ นิยมนำมาปลูกเป็นพืชสวนเพื่อเก็บผลมาใช้ประโยชน์
3. เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรม ขนที่ติดอยู่ที่เมล็ดซึ่งเรียกว่า “นุ่น” หรือ “เส้นใยนุ่น” สามารถนำมาใช้ยัดหมอน ฟูก และที่นอนได้ เนื้อไม้ใช้ทำกระสวยทอผ้า เยื่อกระดาษ ส้นรองเท้า และนำมาบดทำไส้ในไม้อัด

นุ่น เป็นเส้นใยที่ทุกคนรู้จัก และเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันอย่างหมอนที่เราใช้นอน นอกจากนั้นต้นนุ่นยังใช้ทำอาหารได้ และเป็นส่วนประกอบในยาสมุนไพร อีกทั้งยังเป็นน้ำมันได้ด้วย นุ่นมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกและราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้บิด แก้ไข้ บำรุงกำลัง แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ และเป็นยาขับปัสสาวะ นุ่นถือเป็นต้นที่มีสรรพคุณที่ดีต่อระบบขับถ่ายเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาในเรื่องของปัสสาวะหรือลำไส้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “นุ่น”. หน้า 400-401.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “นุ่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [01 ธ.ค. 2014].
พืชให้เส้นใย, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “นุ่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/use/fiber1.htm. [01 ธ.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “นุ่น”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [01 ธ.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.itslife.in/gardening/trees/silk-cotton-tree

ผักเบี้ยใหญ่ ยาสมุนไพรต่อเด็ก แก้เด็กเป็นไข้สูง แก้เด็กหัวล้าน แก้เด็กท้องร่วง

0
ผักเบี้ยใหญ่
ผักเบี้ยใหญ่ ยาสมุนไพรต่อเด็ก แก้เด็กเป็นไข้สูง แก้เด็กหัวล้าน แก้เด็กท้องร่วง เป็นวัชพืชตามริมถนนตามพื้นดิน เบี้ยใหญ่มีรสเปรี้ยว นิยมนำมาทานเป็นผักสดหรือแกง

ผักเบี้ยใหญ่

ผักเบี้ยใหญ่

ผักเบี้ยใหญ่ เป็นผักที่มีการกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อน มักจะพบตามพื้นดิน ตามชายฝั่งริมน้ำที่โล่ง ดินทราย ที่ชื้นแฉะ ที่รกร้างทั่วไป หรือเป็นวัชพืชตามริมถนน สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย เบี้ยใหญ่มีรสเปรี้ยว นิยมนำมาทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก หรือนำมาต้มในแกง แถมยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย เหมือนจะเป็นผักที่พบได้ทั่วไป แต่มีประโยชน์มากมาย แถมต่างประเทศทางยุโรปยังนำมาใช้เป็นไม้ประดับด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักเบี้ยใหญ่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Portulaca oleracea L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Purslane” “Common purslane” “Common garden purslane” “Pigweed purslane”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักเบี้ยดอกเหลือง” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ผักตาโค้ง” จังหวัดอุบลราชธานีเรียกว่า “ผักอีหลู ตะก้ง” ชาวเงี้ยวแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ผักอีหลู” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “แบขี่เกี่ยง ตือบ้อฉ่าย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักเบี้ย (PORTULACACEAE)

ลักษณะของผักเบี้ยใหญ่

ผักเบี้ยใหญ่ เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ขึ้นได้เองอายุปีเดียวที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย มักจะพบตามชายฝั่งริมน้ำที่โล่ง ดินทราย ที่ชื้นแฉะ ที่รกร้างทั่วไป เป็นวัชพืชตามริมถนนและข้างทางเดิน
ลำต้น : ลำต้นเตี้ยเลื้อยทอดไปตามพื้นดิน แตกกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไป ลำต้นอวบน้ำเป็นสีเขียวอมแดง ก้านกลม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นรูปลิ่ม รูปไข่กลับ คล้ายรูปช้อนหรือรูปลิ้น ปลายใบมนมีรอยเว้าเข้าเล็กน้อย โคนใบเรียวเล็กลงจนไปติดกับลำต้น แผ่นใบหนา ผิวใบเรียบเป็นมัน หลังใบเป็นสีเขียวแก่ ท้องใบเป็นสีแดงเข้ม
ดอก : ออกดอกเดี่ยว หรือออกเป็นช่อ ไม่มีก้านดอก ดอกมี 2 เพศ อยู่ในดอกเดียวกัน ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองสด มักออกเป็นกลุ่ม 3 – 5 ดอก กลีบเลี้ยง 4 – 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กซ้อนกันเป็นคู่ กลีบดอกมี 5 กลีบ สีเหลืองสด แต่ละกลีบเป็นรูปไข่กลับหรือหัวใจคว่ำลง ปลายกลีบมีรอยเว้าเข้า ก้านสั้นมีขนหรือเยื่อบาง ๆ
ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมหรือรูปวงรี เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลแล้วแตกออก
เมล็ด : ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก เป็นรูปกลมหรือรูปไต สีดำหรือสีเทาดำเป็นเงา บนเปลือกเมล็ดมีจุดกระ

สรรพคุณของผักเบี้ยใหญ่

  • สรรพคุณจากใบ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แก้ถูกไฟไหม้ แก้น้ำร้อนลวก แก้อักเสบบวม แก้ไฟลามทุ่ง เป็นยาแก้อาการอักเสบและแผล
    – แก้อาการกระหายน้ำ แก้ไอแห้ง แก้ขัดเบา ด้วยการนำใบมาคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำผึ้งและน้ำตาล
    – แก้ริดสีดวงทวารปวดบวม ด้วยการนำใบสดผสมกับส้มกบอย่างละเท่ากัน พอน้ำอุ่นใช้ชะล้างวันละ 2 ครั้ง
  • สรรพคุณจากน้ำคั้นของต้น เป็นยาฟอกโลหิต ช่วยแก้อาการปวดหู แก้ปวดฟัน ช่วยกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก แก้หนองใน แก้ปัสสาวะขัด รักษาแผลจากแมลงกัดต่อย
    – แก้เจ็บคอ แก้เหงือกบวม ช่วยทำให้ฟันทน ด้วยการนำน้ำคั้นมาผสมกับน้ำมันกุหลาบ ใช้อมเป็นยา
  • สรรพคุณจากต้น แก้เด็กไอกรน
    – แก้เด็กหัวล้าน ด้วยการนำต้นมาเคี่ยวให้ข้น แล้วเอาไปผิงกับไฟให้แห้ง บดให้เป็นผงผสมกับไขหมู ทำการทาบริเวณที่มีอาการ
    – แก้เด็กเป็นไข้สูง ด้วยการนำต้นสดมาตำพอกวันละ 2 ครั้ง
    – แก้บิดถ่ายเป็นเลือด ป้องกันบิด ด้วยการนำต้นสด 550 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด เอาไปนึ่ง 3 – 4 นาที ตำคั้นเอาน้ำมา 150 ซี.ซี. ใช้ทานครั้งละ 50 ซี.ซี. วันละ 3 ครั้ง หรือนำต้นสด 1 กำมือ ผสมปลายข้าว 3 ถ้วย นำมาต้มเป็นข้าวต้มทาน
    – แก้เด็กท้องร่วง ด้วยการนำต้นสด 250 – 500 กรัม มาต้มกับน้ำใส่น้ำตาลพอประมาณ กินเรื่อย ๆ จนหมดใน 1 วัน กินติดต่อกัน 2 – 3 วัน หรือนำต้นสดมาล้างให้สะอาด ผิงไฟให้แห้งแล้วบดเป็นผงกินครั้งละ 3 กรัม กับน้ำอุ่น วันละ 3 ครั้ง
    – แก้ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ด้วยการนำต้น 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด เอาน้ำประมาณ 30 ซี.ซี. ผสมกับน้ำเย็นจนเป็น 100 ซี.ซี. ใส่น้ำตาลพอประมาณ ใช้ทานครั้งละ 100 ซี.ซี. วันละ 3 ครั้ง
    – ช่วยแก้บวม รักษาแผลเน่าเปื่อยเป็นหนองเรื้อรัง ด้วยการนำต้นสดมาตำคั้นเอาน้ำมาต้ม เมื่อเย็นแล้วนำมาใช้ทา
    – รักษาฝีประคำร้อย ด้วยการนำต้นมาผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เผาให้เป็นถ่าน บดเป็นผงผสมกับไขหมู แล้วชะล้างบาดแผล เช็ดให้แห้ง แล้วทำการพอกวันละ 3 ครั้ง
    – แก้แผลกลาย แก้มีก้อนเนื้องอก แก้เลือดออกเรื่อย ๆ แก้แผลลามไปเรื่อย ด้วยการนำต้น 500 กรัม มาเผาให้เป็นถ่าน บดเป็นผงผสมกับไขหมูทาบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ดีต่อฟัน ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ร้อน ดับพิษ ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยรักษาริดสีดวงทวารแตกเลือดออก
  • สรรพคุณจากเมล็ด แก้กระหายน้ำ แก้อาการไอ เป็นยาระบายอ่อน ๆ เป็นยาถ่ายพยาธิ เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา

ประโยชน์ของผักเบี้ยใหญ่

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ทานเป็นผักสด ผักสลัด นำมาต้มลวกทานร่วมกับน้ำพริก ใช้ใส่ในแกงจืด ชาวยุโรปนำมาดองใส่เกลือและน้ำส้ม
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ทวีปยุโรปปลูกต้นผักเบี้ยใหญ่เป็นไม้ประดับ

คุณค่าทางโภชนาการของผักเบี้ยใหญ่

คุณค่าทางโภชนาการของผักเบี้ยใหญ่ ต่อ 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
โปรตีน 2.2 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 7.9 กรัม 
ใยอาหาร 1.1 กรัม
น้ำ 87.5% 
แคลเซียม 115 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.4 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 2,200 หน่วยสากล 
วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.14 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.8 มิลลิกรัม 
วิตามินซี 21 มิลลิกรัม

ผักเบี้ยใหญ่ เป็นต้นยอดนิยมของชาวยุโรปทั้งในด้านการนำมาทาน และนำมาปลูกเป็นไม้ปลูกประดับ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ค่อนข้างที่จะเป็นยาดีในเด็ก ผักเบี้ยใหญ่มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาฟอกโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาทาภายนอก แก้เจ็บคอ แก้เด็กเป็นไข้สูง แก้เด็กหัวล้าน และแก้เด็กท้องร่วงได้ เป็นยาที่มีสรรพคุณต่อเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ผักเบี้ยใหญ่”. หน้า 498-499.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ผักเบี้ยใหญ่”. หน้า 104.
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักเบี้ยใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [17 พ.ย. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ผักเบี้ยใหญ่”. อ้างอิงใน : หนังสือ พรรณไม้น้ำบึงบอระเพ็ด. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [17 พ.ย. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 2 คอลัมน์ : สมุนไพรน่ารู้. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). “ผักเบี้ยใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [17 พ.ย. 2014].
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ระงับปวดและอักเสบของผักเบี้ยใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [17 พ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.plantsofthemiddleeast.com/directory/bahrain/portulaca_oleracea/index.htm
2.https://gardenerspath.com/plants/herbs/grow-purslane/

ข้าวโพด พืชมากประโยชน์ โภชนาการสูง บำรุงอวัยวะสำคัญในร่างกาย

0
ข้าวโพด พืชมากประโยชน์ คุณค่าทางโภชนาการสูง บำรุงอวัยวะสำคัญในร่างกาย สามารถนำมาแปรรูปทำเป็นแป้งข้าวโพด น้ำข้าวโพด และของทานเล่น

ข้าวโพด

ข้าวโพด

ข้าวโพด เชื่อว่าเป็นฝักที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นพืชผลที่นิยมใช้ในอาหารกันอย่างแพร่หลาย เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ สามารถนำมาใช้ในการเกษตรได้ และสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นแป้งข้าวโพดได้ด้วย นอกจากนั้นยังนิยมนำมาทำน้ำข้าวโพดขาย แต่ที่นิยมที่สุดในไทยคงจะไม่พ้น “ข้าวโพดผัดเนย” เป็นแน่ เพราะความหวานของข้าวโพดนั้นตัดกับ ความเค็มของเนยได้ดี และอีกเมนูก็คือ ข้าวโพดคั่ว นั่นเอง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของข้าวโพด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zea mays Linn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Corn” “Indian corn” “Maize”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ข้าวสาลี เข้าสาลี สาลี” ภาคใต้เรียกว่า “โพด” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ข้าวแช่” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “บือเคส่ะ” คนไทยเรียกว่า “เข้าโพด” ชาวม้งเรียกว่า “เป๊ากื่อ” ชาวลัวะเรียกว่า “แผละลี” ชาวเงี้ยว ฉานและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ข้าวแข่” คนจีนเรียกว่า “เง็กบี้ เง็กจกซู่” จีนกลางเรียกว่า “ยวี่หมี่ ยวี่สู่สู่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)

ลักษณะของข้าวโพด

ข้าวโพด เป็นไม้ล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้
ลำต้น : ลำต้นอวบกลม ตั้งตรงแข็งแรง ผิวต้นเรียบ เนื้อภายในคล้ายกับฟองน้ำ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบเรียวยาวเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบมีขนอ่อนสีขาว ก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ในต้นเดียวกัน มักจะออกระหว่างกาบของใบและลำต้น เรียงเป็น 2 แถว มีประมาณ 8 – 18 ดอก
ผล : ออกผลเป็นฝัก ผลถูกหุ้มด้วยกาบบางหลายชั้น ฝักอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีนวล ฝักเป็นรูปทรงกระบอก ในหนึ่งฝักมีเมล็ดอยู่รอบฝัก
เมล็ด : เมล็ดเกาะอยู่เป็นแถว 8 แถว แต่ละแถวมีประมาณ 30 เมล็ด มีสีแตกต่างกันไป

สรรพคุณของข้าวโพด

  • สรรพคุณจากข้าวโพด ช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยบำรุงปอดและหัวใจ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยแก้อาเจียน ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหาร เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ระคายเคือง
  • สรรพคุณจากเกสรเพศเมีย แก้ความจำเสื่อมหรือลืมง่าย เป็นยาสุขุมที่ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะลำไส้และทางเดินปัสสาวะ ขับความร้อนชื้น แก้อาการกระหายน้ำ ช่วยแก้โลหิตกำเดา แก้ไอเป็นเลือดหรือตกเลือด ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นโลหิต ช่วยแก้โพรงจมูกอักเสบ แก้จมูกอักเสบเรื้อรัง แก้เหงื่อในผู้ป่วยโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ช่วยแก้เต้านมเป็นฝี เป็นยาขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลัน ช่วยแก้โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับนิ่วในถุงน้ำดี กระตุ้นให้น้ำดีขับเคลื่อน แก้ถุงน้ำดีอักเสบ แก้มะเร็งในถุงน้ำดี ช่วยบำรุงน้ำดี ช่วยบำรุงตับ แก้ตับอักเสบ แก้ตับอักเสบเป็นดีซ่าน แก้ดีซ่าน แก้ไตอักเสบ แก้โรคไตอักเสบเรื้อรัง ช่วยแก้อาการบวมน้ำ เป็นยาพอกแผล
  • สรรพคุณจากยอดเกสรเพศเมียและฝอย แก้เบาหวาน ช่วยแก้โรคความดันโลหิตสูง
  • สรรพคุณจากต้น ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยแก้ไข้ทับระดู เป็นยาแก้นิ่ว ขับนิ่ว
  • สรรพคุณจากฝอย ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยรักษาไต
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นโลหิต เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยาแก้นิ่ว ขับนิ่ว
  • สรรพคุณจากซัง แก้บิด แก้อาการท้องร่วง เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยแก้ปัสสาวะขัด เป็นยาบำรุงม้าม ช่วยแก้อาการบวมน้ำ แก้ผิวหนังเลือดออกในเด็ก
  • สรรพคุณจากลำต้น ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ เป็นยาแก้นิ่ว ขับนิ่ว

ประโยชน์ของข้าวโพด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ข้าวโพดนำมาต้ม นึ่ง หรือปิ้งให้สุก ใส่ในน้ำเกลือหรือเนย ทำขนมข้าวโพด ข้าวโพดเปียก ข้าวโพดอบเนย ข้าวโพดคั่ว หรืออาจนำมาแปรรูปทำเป็นแป้งข้าวโพด นม เหล้า เบียร์ น้ำตาลผง น้ำหวาน น้ำเชื่อม ฝักอ่อนนำมาประกอบอาหาร ในแกงเลียงข้าวโพดอ่อน แกงป่า แกงแค เป็นต้น เมล็ดข้าวโพดแก่และแห้ง ใช้ทำแป้งข้าวโพดได้ ทำน้ำมันข้าวโพด
2. ใช้ในอุตสาหกรรม ใช้ในอุตสาหกรรมสบู่สี เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยางเทียม ทำน้ำมัน ทำเป็นเนยเทียม เป็นต้น น้ำเชื่อมข้าวโพดนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและใช้ทำขนมหวาน นอกจากนั้นยังใช้ในอุตสาหกรรมอาหารพวก ฝักแช่แข็ง เมล็ดแช่แข็ง เมล็ดข้าวโพดกระป๋อง ป๊อปคอร์น ข้าวโพดอบกรอบ เป็นต้น แถมยังใช้ทำสบู่ น้ำหอม น้ำมันใส่ผม กระดาษ และอื่น ๆ อีกมากมาย ฝัก ใบและลำต้นนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ปุ๋ย กระดาษ วัตถุฉนวนไฟฟ้า ส่วนของใบและลำต้นข้าวโพดแห้งนำมาผลิตเป็นเอทานอลได้ ซังข้าวโพดใช้ในอุตสาหกรรมยาง ทำเป็นเสื่อน้ำมัน
3. ใช้ในการเกษตร ข้าวโพดใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ ต้นช่วยในการย่อยสลายพีเอเอชที่ปนเปื้อนในดิน
4. ใช้ทำสิ่งของทั่วไป เปลือกฝักข้าวโพดชั้นในนำมาใช้สำหรับมวนบุหรี่สูบ หรือทำเป็นกระดาษได้

ข้าวโพด เป็นพืชมากคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม มีงานวิจัยว่าข้าวโพดคั่วเป็นอาหารว่างที่มีประโยชน์ที่ทำขึ้นจากธัญพืชโดยไม่ผ่านการแปรรูปใด ๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน ข้าวโพดมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเกสรเพศเมีย มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ความจำเสื่อม แก้เบาหวาน ช่วยแก้โรคความดันโลหิตสูง แก้บิด แก้นิ่ว บำรุงม้าม บำรุงตับ บำรุงกระเพาะอาหาร ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยบำรุงปอดและหัวใจได้ ถือว่าเป็นพืชผลที่ช่วยบำรุงอวัยวะสำคัญในร่างกายแทบทั้งหมด

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ข้าวโพด (Khao Pod)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 64.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. “ข้าวโพด”. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). หน้า 62-64.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ข้าวโพด”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 128.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ข้าวโพด”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 114-120.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “ข้อมูลของข้าวโพด”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [05 เม.ย. 2014].
จดหมายข่าวผลิใบ ก้าวใหม่การวิจัยและพัฒนาการเกษตร, กรมวิชาการเกษตร. “ธัญพืชมากประโยชน์…ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: it.doa.go.th/pibai/. [05 เม.ย. 2014].
ศูนย์พัฒนาและประกันคุณภาพการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “ข้าวโพดสุกต้านโรคมะเร็ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qa.msu.ac.th/msu_blog/. [05 เม.ย. 2014].
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ข้าวโพด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/ข้าวโพด. [05 เม.ย. 2014].
เดลินิวส์ออนไลน์. “เชื่อหรือไม่? ไหมข้าวโพดเป็นยาได้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dailynews.co.th. [05 เม.ย. 2014].
กลุ่มงานเคหกิจเกษตร กองพัฒนาการบริหารงานเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร. “อาหารจากข้าวโพด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doae.go.th/library/html/detail/cornn/. [05 เม.ย. 2014].
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “ข้าวโพด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th/kp6/. [05 เม.ย. 2014].
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันอาทิตย์ ที่ 7 มีนาคม 2553. “คุณประโยชน์ข้าวโพด”. (นพ.กฤษดา ศิรามพุช).
สปริงนิวส์. “ทึ่ง! ข้าวโพดคั่วมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผักผลไม้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: news.springnewstv.tv. [05 เม.ย. 2014].
เกษตรแสงอาทิตย์. “เอทานอลจากต้นข้าวโพด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.eco-agrotech.com. [05 เม.ย. 2014].
ข่าวสด. “มข.วิจัยสีผสมอาหารจากซังข้าวโพด เน้นมีประโยชน์ปลอดภัยต่อเด็ก ช่วยเกษตรกร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.khaosod.co.th. [05 เม.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ผักคราดหัวแหวน ต้นรสเผ็ดร้อน รักษากระดูกหัก ดีต่อระบบขับถ่าย

0
ผักคราดหัวแหวน
ผักคราดหัวแหวน ต้นรสเผ็ดร้อน รักษากระดูกหัก ดีต่อระบบขับถ่าย เป็นได้ทั้งอาหารและเป็นทั้งยาสมุนไพร ช่วยบรรเทาอาการ

ผักคราดหัวแหวน

ผักคราดหัวแหวน

ผักคราดหัวแหวน เป็นไม้ล้มลุกที่มักจะพบตามที่รกร้างทั่วไป เป็นผักที่เป็นทั้งอาหารและเป็นทั้งยาสมุนไพรที่ยอดเยี่ยม แต่หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทานเด็ดขาด ส่วนของใบเป็นผักสดที่นำมาแกล้มกับอาหารคาวเพื่อช่วยดับกลิ่นและช่วยเพิ่มรสชาติอาหารได้ เป็นยาในตำราของหมอแผนไทย คนไทยส่วนมากอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไหร่ และไม่รู้ด้วยว่าผักชนิดนี้สามารถบรรเทาอาการ หรือเป็นสรรพคุณได้มากเพียงใด

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักคราดหัวแหวน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acmella oleracea (L.) R.K.Jansen
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Para cress” “Tooth – ache plant” “Toothache plant” “Brazil cress toothache plant” “Pellitary” “Spot flower”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักคราด หญ้าตุ้มหู ผักเผ็ด” ภาคใต้เรียกว่า “ผักตุ้มหู” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “อึ้งฮวยเกี้ย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)
ชื่อพ้อง : Spilanthes acmella var. oleracea (L.) C.B.Clarke, Spilanthes oleracea L.

ลักษณะของผักคราดหัวแหวน
ผักคราดหัวแหวน เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุปีเดียว ที่มีถิ่นกำเนิดในบราซิลเขตร้อนและอเมริกา เป็นวัชพืชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และปาปัวนิวกินี
ลำต้น : มีลำต้นตั้งตรง ลักษณะกลมและอวบน้ำ ต้นมีสีเขียวม่วงแดงปนเข้ม ต้นทอดไปตามดินเล็กน้อย ลำต้นอ่อนมีขนปกคลุมเล็กน้อย
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน เป็นรูปสามเหลี่ยม รูปไข่ รูปใบหอกแกมรูปไข่ ขอบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อยแบบหยาบ ผิวใบมีขนสาก ตรงปลายใบแหลม และโคนใบสอบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ซอกใบ เป็นกระจุกสีเหลืองเป็นรูปไข่ ปลายแหลมคล้ายหัวแหวน ดอกย่อยมี 2 วง นั่นก็คือ วงนอกเป็นดอกตัวเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ
ผล : เป็นผลแห้ง ลักษณะเป็นรูปไข่ มี 3 สัน ตรงปลายเว้าเป็นแอ่งเล็กน้อย

สรรพคุณของผักคราดหัวแหวน

  • สรรพคุณ เป็นอาหารบำรุงธาตุสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรและมีอาการวิงเวียนศีรษะ แก้ไข้จับสั่น แก้ตัวร้อน รักษาแผลเรื้อรังหายยาก รักษากระดูกหัก แก้กระดูกแตก แก้อักเสบ ช่วยบำรุงเลือดลมของสตรีให้ทำงานอย่างเป็นปกติ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านไวรัส ต้านยีสต์ ช่วยยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ เพิ่มฤทธิ์ของฮิสตามีนในการทำให้ลำไส้หดเกร็ง ช่วยลดความดันโลหิต ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ชัก แก้อาการปวด ลดความแรงและความถี่ของการบีบตัวของหัวใจห้องบน ช่วยยับยั้งการหดตัวของมดลูก
    สรรพคุณจากต้น ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยแก้พิษตานซาง ช่วยแก้ไข้ แก้ฝีในคอ แก้ปวดฟัน ช่วยรักษาต่อมน้ำลายอักเสบ ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับลมในลำไส้ แก้ปวดประจำเดือน ช่วยรักษาริดสีดวง ช่วยแก้ไฟลามทุ่ง เป็นยาห้ามเลือด
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยในการเจริญอาหาร ช่วยกระตุ้นและเรียกน้ำลาย ช่วยรักษารำมะนาด ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ช่วยแก้ลมตะกังหรืออาการปวดหัวข้างเดียว ช่วยป้องกันโรคมาลาเรีย เป็นยาขับน้ำลาย ช่วยแก้โรคในคอ รักษาแผลในปากและคอ ช่วยแก้หรือลดอาการปวดฟันและฟันผุ ช่วยรักษาแมงกินฟัน ช่วยแก้โรคลิ้นเป็นอัมพาต ช่วยรักษาโรคติดอ่างในเด็ก ช่วยแก้องคชาตตาย
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ช่วยแก้พิษตานซาง ช่วยแก้เด็กร้องไห้ แก้ซางวันจันทร์ รักษาซางน้ำ ช่วยรักษาดีซ่าน ช่วยแก้อาการผอมเหลือง ช่วยแก้อาการเด็กตัวร้อน ช่วยแก้ไข้ ช่วยแก้อาการหอบไอ ระงับอาการหอบ ช่วยแก้อาการไอ แก้ไอหวัด แก้ไอกรน ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ช่วยแก้ปอดบวม ช่วยแก้อาการชอกช้ำภายในทรวงอก แก้คออักเสบ แก้อาการคันคอ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ช่วยแก้ฝีในคอ ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยแก้อาการปวดเหงือกปวดฟัน ช่วยแก้คอตีบตัน ช่วยแก้บิด ช่วยแก้ท้องเดิน ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษาริดสีดวง ช่วยรักษาเริม ช่วยแก้อาการตับอักเสบ ช่วยรักษาผิวหนังเป็นฝีหรือเป็นตุ่มพิษ ช่วยแก้อาการคัน แก้พิษปวดบวม แก้แผลบวม แก้งูพิษกัด แก้พิษสุนัขกัด แก้ตะมอย ช่วยรักษาไขข้ออักเสบ แก้ไขข้ออักเสบจากลมขึ้น ช่วยลดอาการปวดบวมกล้ามเนื้อ แก้ปวดกระดูก แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำบวม ช่วยแก้อาการเจ็บปวดสีข้าง แก้อาการปวดท้องหลังคลอด
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้พิษตานซาง ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาการปวดฟัน แก้อาการอักเสบในช่องปาก แก้อาการอักเสบ แก้เจ็บคอ เป็นยาถ่าย เป็นยาระบาย ช่วยแก้อาการท้องผูก เป็นยาแก้ระดูมาไม่ปกติของสตรี ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการคัน
  • สรรพคุณจากใบ แก้ซางแดง ช่วยแก้อาการผอมเหลือง ช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ ช่วยแก้อาการตาฟาง ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้มึน ช่วยแก้อาการเด็กตัวร้อน ช่วยฆ่าเชื้อปรสิตที่อยู่ในกระแสเลือดอย่างเชื้อมาลาเรีย ช่วยป้องกันโรคมาลาเรีย เป็นยาแก้ปวดฟัน ช่วยแก้อาการสำรอกในเด็ก เป็นยาถ่ายสำหรับเด็ก เป็นยาผายลมในเด็ก ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยแก้พิษตามทวาร ช่วยรักษาริดสีดวง ช่วยแก้อาการตกเลือด ช่วยแก้ฝีดาษ ช่วยแก้ไฟลามทุ่ง ช่วยรักษาแผล ช่วยแก้แผลพุพอง ช่วยแก้อัมพฤกษ์ แก้อัมพาต แก้อาการเหน็บชา
  • สรรพคุณจากผล แก้ร้อนใน
  • สรรพคุณจากเมล็ด แก้อาการปากแห้ง เป็นยาขับน้ำลาย

ประโยชน์ของผักคราดหัวแหวน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบนำมาใช้ทานเป็นผักแกล้มกับอาหารคาว ยอดอ่อนและดอกอ่อนใช้ลวกทานร่วมกับน้ำพริก ใส่ในแกงแค อ่อมปลา
2. เป็นส่วนประกอบของยา เป็นส่วนประกอบในลูกประคบหมอแผนไทย ทั้งต้นและดอกทำเป็นยา
3. ใช้ในการเกษตร ทั้งต้นเป็นยาฆ่าตัวอ่อนของยุง ใช้ในการเบื่อปลา ทดแทนการใช้สารเคมีทางการเกษตร

ผักคราดหัวแหวน เป็นผักมากสรรพคุณอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าภายนอกจะพบตามที่รกร้างบนพื้นดิน แต่กลับเป็นพืชผักที่มีประโยชน์ได้มากมาย ทั้งการนำมาเป็นผักสดทาน หรือการนำมาเป็นวัตถุดิบในการวิจัย เช่น ทำยาชา เป็นต้น ผักคราดหัวแหวนมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยทำให้เจริญอาหาร รักษากระดูกหัก ช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ ดีต่อระบบขับถ่ายเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [5 พ.ย. 2013].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [5 พ.ย. 2013].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [5 พ.ย. 2013].
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพรไม้พื้นบ้าน (3) (นันทวัน บุณยะประภัศร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th. [5 พ.ย. 2013].
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). “ยาชา ยาแก้อักเสบจากผักคราดหัวแหวน“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [5 พ.ย. 2013].
สถาบันการแพทย์แผนไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ittm-old.dtam.moph.go.th. [5 พ.ย. 2013].
ฟาร์มเกษตร. “สมุนไพรผักคราดหัวแหวน“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.farmkaset.org. [5 พ.ย. 2013].
สมาคมผู้ประกอบโรคศิลปแผนไทย (เชียงใหม่). อ้างอิงใน: สารศิลปยาไทย ฉบับที่ 36. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.oocities.org/thaimedicinecm. [5 พ.ย. 2013].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 15 คอลัมน์: อื่น ๆ. “มะขามและผักคราดหัวแหวน”. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [31 ต.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.mayernikkitchen.com
2.https://indiabiodiversity.org

สบู่ดำ วัตถุดิบน้ำมันที่สำคัญในอนาคต สรรพคุณต้านมะเร็ง แก้โรคผิวหนัง ฟอกเลือด

0
สบู่ดำ
สบู่ดำ น้ำมันในอนาคต ต้านมะเร็ง แก้โรคผิวหนัง ฟอกเลือด พืชน้ำมันชนิดหนึ่งที่มี ยางสีขาวที่ผิวลื่นเป็นฟองคล้ายกับสบู่ เป็นยาสมุนไพรชั้นยอด

สบู่ดำ

สบู่ดำ

สบู่ดำ เป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่งที่มีจุดเด่นอยู่ที่ต้นจะมียางสีขาวที่ผิวลื่นเป็นฟองคล้ายกับสบู่ และส่วนของเมล็ดมีสีดำ จึงเป็นที่มาของชื่อ เป็นพืชต้นที่มีอายุยืนมาก เป็นยาสมุนไพรชั้นยอด และกำลังเป็นวัตถุดิบที่น่าจับตามองของโลก ในด้านของการนำมาผลิตในอุตสาหกรรมอย่างสบู่ เป็นน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล อุตสาหกรรมย้อมสีและฟอกหนัง และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมยังใช้ในการเกษตรได้อีกด้วย แต่ว่าผลและเมล็ดของสบู่ดำนั้นมีพิษมาก ก่อนนำมาใช้จึงควรระมัดระวังและกำจัดพิษออกเสียก่อน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของสบู่ดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jatropha curcas L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Black soap” “Physic nut” “Purging nut” “Barbados nut” “Kuikui pake” “Pignon d’inde”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ละหุ่งรั้ว สบู่หัวเทศ สลอดป่า สลอดดำ สลอดใหญ่ สีหลอด” ภาคเหนือเรียกว่า “ มะเยา หมักเยา มะหัว มะหุ่งฮั้ว มะโห่ง หกเทก” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “มะเยา หมากเย่า สีหลอด” ภาคใต้เรียกว่า “หงส์เทศ มาเคาะ” ชาวหม่าเรียกว่า “แจ้ทซู” ชาวเมขรเรียกว่า “ทะวอง” แต้จิ๋วเรียกว่า “มั่วฮองซิว” จีนกลางเรียกว่า “หมาฟ่งสู้” ญี่ปุ่นเรียกว่า “บูราคีรี”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)

ลักษณะของสบู่ดำ

สบู่ดำ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลางที่อายุยืน เป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้
ลำต้น : ลำต้นเรียบ ที่เนื้อไม้ไม่มีแก่น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบหยักตื้นและค่อนข้างกลมหรือเป็นไข่ป้อม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ มีรอยหยัก 3 – 5 หยัก ฐานใบเว้าเป็นรูปหัวใจ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอดและง่ามใบ ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองและมีกลิ่นหอม ในช่อมีดอกตัวผู้มากกว่าดอกตัวเมีย ดอกตัวเมียมีกลีบรองดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด ภายในหลอดมีขน เกสรตัวผู้มี 10 อันที่เรียงเป็นวง 2 วง
ผล : มีลักษณะกลมเป็นพู 3 พู มีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผลมีอายุ 60 – 90 วัน
เมล็ด : เมล็ดมีสีดำกลมวงรี ที่ผิวเกลี้ยง สีตรงปลายเมล็ดมีจุดสีขาวขนาดเล็ก

สรรพคุณของสบู่ดำ

สรรพคุณจากยางจากก้านใบ ช่วยรักษาโรคปากนกกระจอก ช่วยแก้อาการปวดฟัน แก้อาการลิ้นเป็นฝ้าขาวละออง ใช้ห้ามเลือด
สรรพคุณจากใบ เป็นยาฟอกเลือด ช่วยแก้ธาตุพิการในเด็ก ช่วยทำให้เหงือกแข็งแรง ช่วยแก้อาการปากและลิ้นเปื่อยพุพอง ช่วยลดอาการไข้ แก้อาการไอ ช่วยแก้พิษซาง ถอนพิษที่ทำให้ตัวร้อน ช่วยแก้ท้องร่วง แก้ท้องเสีย ช่วยแก้บาดแผล รักษาแผลเรื้อรัง แก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน แก้คัน แก้หิด รักษาฝีและช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยแก้อาการปวดบวม ช่วยแก้กระดูกหัก แก้อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก แก้ฟกช้ำบวม ช่วยขับน้ำนมของสตรี ช่วยฆ่าเชื้อโรคภายหลังการคลอดบุตรของสตรี ลดน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอล
สรรพคุณจากยาง เป็นสารต้านมะเร็ง ช่วยแก้อาการปากและลิ้นเปื่อยพุพอง ช่วยสมานแผลสด แก้แผลจากมีดบาด แก้แผลปากเปื่อย ช่วยต่อต้านเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย รักษาโรคผิวหนังบางชนิด รักษาตาแดง ช่วยแก้อาการคัน
สรรพคุณจากกิ่งก้าน ช่วยแก้อาการเหงือกบวมอักเสบ
สรรพคุณจากเนื้อไม้ ช่วยแก้อาการปากและลิ้นเปื่อยพุพอง ช่วยแก้พิษซาง ถอนพิษที่ทำให้ตัวร้อน
สรรพคุณจากลำต้น แก้ซางตานขโมยในเด็ก ช่วยแก้โรคพุพอง
สรรพคุณจากราก ช่วยทำให้อาเจียน เป็นยาแก้ท้องเสีย เป็นยาระบาย แก้อาการปวดตามข้อ
สรรพคุณจากผล เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้บิด ช่วยแก้ท้องเสีย เป็นยาถ่ายพยาธิ
สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาถ่ายพยาธิ แก้บาดแผล แก้อาการปวดบวม แก้กระดูกหัก แก้อาการเคล็ดขัดยอก แก้ฟกช้ำบวม แก้อาการปวดท้อง
สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาถ่าย ทำให้อาเจียนด้วย ช่วยรักษาตับอักเสบ ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน แก้คัน แก้หิด ช่วยแก้อาการบวมแดง แก้อาการคัน รักษาโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์
สรรพคุณจากน้ำยางจากต้น ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ใช้ห้ามเลือด ช่วยแก้โรคผิวหนังบางชนิด
สรรพคุณจากน้ำยาง รักษาแผลไฟไหม้ รักษาแผลจากน้ำร้อนลวก
สรรพคุณจากต้น รักษาโรคไหม้ แก้โรคหิด แก้แผลที่เป็นสะเก็ด
สรรพคุณจากน้ำมันสบู่ดำ แก้อาการปวดในคนที่เป็นโรครูมาติสซั่ม
สรรพคุณจากน้ำมันจากเมล็ด แก้อาการปวดตามข้อ ช่วยแก้อาการคัน แก้อาการปวดเมื่อย รักษาบาดแผลเล็กน้อย

ประโยชน์ของสบู่ดำ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ทำเป็นอาหารและทำเครื่องดื่ม ชาวเมี่ยนนำยอดอ่อนมาทานกับลาบ ใบอ่อนนำมานึ่งหรือต้มทานได้
2. ใช้ในการเกษตร เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ ดอกนำมาใช้เลี้ยงผึ้งเพื่อผลิตน้ำผึ้งได้ ต้นใช้ทำเป็นยาเบื่อปลา เป็นยาสำหรับรักษาสัตว์ได้ ทำเป็นยาฆ่าแมลง เมล็ดใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ กากเมล็ดส่วนที่เหลือจากการหีบเอาน้ำมันไปใช้ สามารถนำมาอัดเป็นก้อนใช้ทำปุ๋ยได้ ปลูกเพื่อป้องกันการถูกชะล้างพังทลายของหน้าดินและใช้เก็บกักน้ำได้ น้ำมันจากเมล็ดนำมาใช้ทำเป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้ มีการนำสบู่ดำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์กำจัดลูกน้ำยุงและแมลงวัน
3. เป็นส่วนผสมของยา ต้น เมล็ด ใบ และเปลือกไม้นำมาสกัดทำเป็นยาพื้นบ้านได้
4. ใช้ในด้านความงาม เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงรากผม ก้านเป็นส่วนผสมในการทำเป็นสบู่ได้
5. ใช้ในด้านอุตสาหกรรม น้ำมันจากเมล็ดนำมาผลิตเป็นน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลได้ ผลแก่นำมาผ่าครึ่งใช้น้ำยางจากผลจุดตะเกียงแทนน้ำมันได้ กากเมล็ดนำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องสตีมเทอร์ไบน์ นำมาใช้ทำเป็นน้ำมันหล่อลื่นและเทียนไข เปลือกไม้ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมสีและฟอกหนัง เส้นใยใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้าได้ ต้นสบู่ดำใช้ทำเป็นกระดาษและทำเป็นไม้อัด ใช้ทำเป็นเครื่องมือทำการเกษตรและอุตสาหกรรมครัวเรือน ใช้ทำเป็นฟืนและถ่าน ใช้ทำเป็นวัสดุก่อสร้าง กิ่งก้านและต้นนำมาผลิตเป็นถ่าน เมล็ดนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรือครีมถนอมผิว
6. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นร่มเงา

สบู่ดำ เป็นวัตถุดิบที่กำลังมาแรงในด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน เพราะทุกวันนี้เชื้อเพลิงน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลกลายเป็นสิ่งหายาก และเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่จำเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสำคัญต่อการเกษตรอีกด้วย สบู่ดำมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านมะเร็ง แก้ท้องเสีย ช่วยรักษาตับอักเสบ แก้โรคผิวหนัง ช่วยแก้กระดูกหัก แก้ปวดบวมและเป็นยาฟอกเลือดได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
สื่อการสอนครู โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: tc.mengrai.ac.th. [19 ต.ค. 2013].
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า. “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสบู่ดำ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.crma.ac.th. [19 ต.ค. 2013].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง ( องค์กรมหาชน ). อ้างอิงใน: พจนานุกรมสมุนไพรไทย (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม), สมุนไพรไทยตอนที่5 ฝ่ายพฤกษศาสตร์ป่าไม้ กองบำรุง กรมป่าไม้ (ลีนา ผู้พัฒนพงศ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [19 ต.ค. 2013].
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล. “สบู่ขาวหรือสบู่ดำ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [19 ต.ค. 2013].
สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. “สรรพคุณทางยาของสบู่ดำมีอะไรบ้าง ?“. อ้างอิงใน: หนังสือสบู่ดำพืชพลังงานสารพัดประโยชน์ (ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: siweb.dss.go.th. [19 ต.ค. 2013].
สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “สารสกัดที่มีฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์จากส่วนต่าง ๆ ของสบู่ดำ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rdi.ku.ac.th. [19 ต.ค. 2013].
กระทรวงสาธารณสุข. “สธ.ชี้อันตรายเมล็ดสบู่ดำมีสารพิษห้ามกินอย่างเด็ดขาด พิษอาจถึงตาย“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.moph.go.th. [19 ต.ค. 2013].
สำนักงานเกษตรอำเภอสองแคว จังหวัดน่าน. “สบู่ดำกับน้ำมันดีเซล“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: songkhwae.nan.doae.go.th. [19 ต.ค. 2013].
biogang. อ้างอิงใน: www.stks.or.th. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.biogang.net. [19 ต.ค. 2013].
POSITIONING. “สบู่ดำจากพืชพื้นบ้าน…สู่พืชพลังงานทดแทนน้ำมัน“. อ้างอิงใน: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (21 เมษายน 2548). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.positioningmag.com. [19 ต.ค. 2013].
Oknation. “เดินตามรอยเท้าพ่อ…..สบู่ดำ…..ทางเลือกของพลังงานทดแทน“. อ้างอิงใน: วารสารรักษ์พลังงาน ฉบับที่ 47 เดือน เมษายน 2551. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.oknation.net. [19 ต.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.sciencephoto.com
2.https://www.gardeningknowhow.com

ลูกยอ สรรพคุณนับไม่ถ้วน เป็นวัตถุดิบในแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่

0
ลูกยอ
ลูกยอ สรรพคุณนับไม่ถ้วน เป็นวัตถุดิบในแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่ ผลจะมีรสชาติเผ็ดและมีกลิ่นแรงนิยมนำมาทำเป็นน้ำ เป็นผลที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

ลูกยอ

ลูกยอ

ลูกยอ เป็นพืชที่นิยมนำมาทำเป็นน้ำลูกยอมากกว่าที่จะทานสด ส่วนของผลจะมีรสชาติเผ็ดและมีกลิ่นแรง เป็นยาสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นผลที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ นอกจากการนำมาใช้ทานและเป็นยาแล้วนั้น ส่วนของรากยังนำมาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้าได้อีกด้วย เป็นพืชผลที่สำคัญในการนำมาใช้การแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของลูกยอ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Morinda citrifolia L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Great morinda” “Tahitian noni” “Indian mulberry” “Beach mulberry”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ยอบ้าน” ภาคเหนือเรียกว่า “ตาเสือ มะตาเสือ” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “แย่ใหญ่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เข็ม (RUBIACEAE)

สรรพคุณของลูกยอ

  • สรรพคุณจากลูกยอ ช่วยแก้วัณโรค ช่วยปรับสภาพเซลล์ให้มีความสมดุลและแข็งแรง และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ช่วยลดปริมาณสารพิษในร่างกาย ทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ เซลล์ในร่างกายอ่อนเยาว์ลง ช่วยซ่อมแซมและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและเนื้องอก ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ใหม่ในร่างกายเจริญเติบโตและทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงสมอง ช่วยเสริมสร้างความจำ ทำให้มีสมาธิดีขึ้น มีฤทธิ์กล่อมประสาท มีส่วนช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น แก้หัวสิว ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้จุกเสียดแน่นท้อง ช่วยระบายท้อง ทำให้ขับถ่ายได้สะดวก ช่วยลดอาการท้องผูก ช่วยกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่มีการบีบตัวเพิ่มขึ้น รักษาแผลถลอก แก้ส้นเท้าแตก แก้อาการเคล็ดขัดยอก
  • สรรพคุณจากลูกยอสด เป็นยากล่อมประสาทแบบอ่อน ช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วยบำรุงธาตุไฟ ช่วยทำให้ระบบโลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ ช่วยขับประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
    สรรพคุณจากน้ำลูกยอ ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงหนังศีรษะและผม ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ช่วยขยายหลอดเลือดที่หดตัว ทำให้ความดันโลหิตลดลงจนเป็นปกติ ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน
  • สรรพคุณจากน้ำสกัดจากใบยอ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร ช่วยแก้อาการปวดท้อง ช่วยรักษาอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร ช่วยรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ แก้อาการไส้เลื่อน แก้อาการปวดตามข้อนิ้วมือนิ้วเท้า แก้อาการปวดเนื่องจากโรคเกาต์
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้วัณโรค ช่วยแก้กระษัย ช่วยบำรุงและรักษาสายตา แก้อาการตาบอดตอนกลางคืน ช่วยรักษาโรคมาลาเรีย ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ แก้อาการท้องร่วง รักษาอาการผิดปกติของประจำเดือน รักษาแผลถลอก แก้ตุ่ม แก้ฝีฝักบัว ช่วยรักษาแผลพุพอง แก้พิษจากการถูกปลาหินต่อย แก้กระดูกแตก แก้กล้ามเนื้อแพลง แก้อาการเคล็ดขัดยอก กำจัดเหา
  • สรรพคุณในรูปแบบแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่ บำบัดและรักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคเกี่ยวกับสมอง รักษาโรคติดสุราหรือยาเสพติด ลดอาการแพ้ รักษาโรคหอบหืด รักษาโรคเบาหวาน รักษาโรคเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจ รักษาโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร รักษาโรคเซลล์เจริญเติบโตนอกมดลูก รักษาโรคภูมิคุ้มกันต่ำ รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคเส้นโลหิตตีบ รักษาโรคโปลิโอ รักษาไซนัส รักษาอาการอักเสบ แก้ปวดบวม แก้ปวดในข้อ แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้กระษัย รักษาอาการผิดปกติของประจำเดือน แก้แผลอักเสบรุนแรง
  • สรรพคุณจากดอก รักษากุ้งยิง
  • สรรพคุณจากลูกยอสุก ช่วยแก้ไข้ ช่วยรักษาอาการปากและเหงือกอักเสบ ช่วยแก้อาการปวดฟัน ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้ลำไส้ดูดซึมได้ง่าย ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหาร แก้อาการอาหารไม่ย่อย ฆ่าเชื้อโรคผิวหนัง รักษาบาดแผลและอาการบวม
  • สรรพคุณจากลูกยอโตเต็มที่แต่ไม่สุก ช่วยแก้เหงือกเปื่อยเป็นขุยบวม
  • สรรพคุณจากลูกยอดิบ รักษาอาการเจ็บหรือแผลตกสะเก็ดรอบปากหรือในปาก ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ช่วยแก้เสมหะ
  • สรรพคุณจากน้ำมันสกัดจากลูกยอ ช่วยแก้อาการปวดกระเพาะ
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับตับ ช่วยรักษาโรคดีซ่าน
  • สรรพคุณจากลูกยอแก่ ช่วยขับพยาธิ
  • สรรพคุณจากน้ำมันสกัดจากเมล็ดยอ ลดอาการอักเสบ ช่วยป้องกันแมลง ช่วยลดการเกิดสิว กำจัดเหา

ประโยชน์ของลูกยอ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ลูกยอสุกจิ้มกับเกลืออร่อยมาก ใบอ่อนนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกหรือใช้ทำแกง แถมยังใช้รองกระทงห่อหมกได้ด้วย ส่วนของลูกใช้ทำน้ำลูกยอได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า รากใช้ทำสีย้อมผ้า โดยให้สีแดงและสีน้ำตาลอ่อน เปลือกให้สีแดง เนื้อเปลือกให้สีเหลืองเพื่อย้อมผ้าบาติก รากใช้แกะสลักหรือทำรงควัตถุสีเหลืองได้ด้วย
3. ใช้ในการเกษตร ใบสดนำมาใช้ทำเป็นอาหารสัตว์หรือเลี้ยงตัวหนอนไหม ลูกยอสุกเป็นอาหารหมู ทำเป็นยารักษาสัตว์

ลูกยอ เป็นพืชมากประโยชน์ที่ถือว่าเป็นวัตถุดิบทางการแพทย์สมัยใหม่ และยังเป็นน้ำสมุนไพรที่มีการนำมาแปรรูป ส่วนของใบและผลนำมาใช้ทานได้ แถมส่วนของรากยังให้สี ซึ่งจะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า ลูกยอมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของลูกหรือผล มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร รักษาโรคเกี่ยวกับตับ รักษาอาการผิดปกติของประจำเดือน รักษาสายตา รักษาโรคเบาหวาน ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยชะลอวัย บำรุงผิว ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ช่วยบำรุงสมองและช่วยทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์, หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.charpa.co.th/articles/noni.asp
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com

ฝอยทอง เมล็ดคือยาชั้นยอด ดีต่ออวัยวะเพศชาย บำรุงร่างกาย

0
ฝอยทอง
ฝอยทอง เมล็ดคือยาชั้นยอด ดีต่ออวัยวะเพศชาย บำรุงส่วนสำคัญในร่างกาย ลำต้นเป็นเส้นกลมสีเหลืองทองเหมือนกับขนมไทยโบราณ จัดอยู่จำพวกกาฝาก

ฝอยทอง

ฝอยทอง

ฝอยทอง เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ผักบุ้ง ไม่ใช่ขนมไทยที่เรารู้จักกัน ทว่าส่วนของลำต้นเป็นเส้นกลมสีเหลืองทอง จึงคาดว่าเป็นที่มาของชื่อ “ฝอยทอง” เพราะมีลักษณะเป็นเส้นเหมือนกับขนมไทยโบราณ เป็นพรรณไม้จำพวกกาฝากที่มักจะพบตามสวน ริมถนน หรือพื้นที่รกร้าง ทว่าส่วนต่าง ๆ ของต้น โดยเฉพาะเมล็ดนั้นเป็นยาสมุนไพรชั้นยอด สามารถนำลำต้นมาปรุงสุกแล้วทานในรูปแบบของผักสดได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของฝอยไหม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cuscuta chinensis Lam.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Dodder”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ฝอยไหม” จังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “ผักไหม” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “ซิกคิบ่อ ทูโพเคาะกี่” ชาวไทใหญ่และขมุเรียกว่า “เครือคำ” ชาวลัวะเรียกว่า “บ่ะเครือคำ” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “กิมซีเช่า โท้วซี” จีนกลางเรียกว่า “ทู่ซือ ทู่ซือจื่อ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)

ลักษณะของฝอยทอง

ฝอยทอง เป็นพรรณไม้จำพวกกาฝากขึ้นเกาะอายุประมาณ 1 ปี ที่ดูดน้ำกินจากต้นไม้อื่น ต้องการความชื้นมาก มักจะพบตามบริเวณพุ่มไม้ที่ชุ่มชื้นทั่วไป ตามสวน เรือนเพาะชำ ริมถนน พื้นที่รกร้าง
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะเป็นเส้นกลม อ่อน แตกกิ่งก้านสาขามากเป็นเส้นยาวสีเหลืองทอง
ใบ : ใบเป็นเกล็ดขนาดเล็ก รูปสามเหลี่ยม มีจำนวนไม่มาก
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ดอกย่อยมีจำนวนมาก มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก รูปกลมวงรี ดอกมีขนาดเล็กสีขาว กลีบดอกที่โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบมน แยกออกเป็น 5 แฉก กลางดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 2 อัน
ผล : ผลเป็นรูปกลมแบนสีเทา
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2 – 4 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดค่อนข้างกลมวงรี เมล็ดเป็นสีเหลืองอมเทา ผิวเมล็ดหยาบ

สรรพคุณของฝอยทอง

  • สรรพคุณจากฝอยทอง เป็นส่วนผสมในตำรับยารักษาโรคเอดส์ ยับยั้งการก่อเกิดมะเร็งผิวหนัง ลดการอักเสบ
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยทำให้ตาสว่าง แก้ตามัว แก้อาการเวียนศีรษะ ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ เป็นยาขับลม ขับเหงื่อ แก้ปัสสาวะกะปริบกะปรอย แก้น้ำกามเคลื่อน บำรุงน้ำอสุจิในเพศชาย แก้สมรรถภาพทางเพศชายเสื่อม
    – เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงไต ด้วยการนำเมล็ดแห้ง 10 – 15 กรัม มาต้มกับน้ำกิน หรือนำเมล็ดมาบดละเอียดทำเป็นยาเม็ดหรือยาผง
    – รักษากลากบริเวณคิ้ว ด้วยนำเมล็ดมาคั่วให้เกรียม แล้วบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำมันมะพร้าวใช้เป็นยาทา
    – แก้อาการปวดเมื่อยตามอวัยวะต่าง ๆ ปวดหลัง ปวดเอว หรือปวดตามขาและน่อง แก้รู้สึกชาไม่มีกำลัง ด้วยการนำเมล็ดแห้งประมาณ 30 กรัม หรือ 1 ชาม มาแช่ในเหล้านาน 3 – 5 วัน เอาเมล็ดมาตากแห้ง แล้วบดให้ละเอียด ใช้กินครั้งละ 6 กรัม วันละ 3 ครั้ง
  • สรรพคุณจากลำต้น แก้โรคดีซ่าน แก้พิษ แก้ร้อนในกระหายน้ำ รักษาผิวหนังเป็นปื้นขาวหรือเป็นด่างขาว
    – แก้อาการร่างกายอ่อนเพลีย ด้วยการนำลำต้นแห้ง 10 – 12 กรัม มาต้มกับน้ำผสมกับเหล้า หรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา
    – รักษาอาการตัวเหลืองจากโรคดีซ่าน โดยคนเมืองนำลำต้นมาต้มกับน้ำอาบ
    – แก้โรคตาแดงหรือเจ็บตา ด้วยการนำลำต้นสดมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำใช้ทารอบขอบตา
    – แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ไอเป็นเลือด แก้เลือดกำเดาไหล แก้อุจจาระเป็นเลือด แก้ตกเลือด ด้วยการนำลำต้นแห้ง 10 – 15 กรัม มาต้มกับน้ำกินเป็นยา
    – แก้บิด ด้วยการนำลำต้นมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
    – รักษาลำไส้อักเสบ แก้บิดแบคทีเรีย ด้วยการนำลำต้นสดประมาณ 30 กรัม หรือ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำผสมกับขิงสด 7 แว่น แล้วเอาน้ำมากินเป็นยา
    – ช่วยแก้ปัสสาวะขัด ด้วยการนำลำต้นสด 1 กำมือ มาต้มกับเหง้ากูไฉ่สดประมาณ 60 กรัม แล้วใช้ล้างหน้าท้องน้อย
    – แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ช่วยรักษาระดูขาวตกมากผิดปกติ แก้น้ำกามเคลื่อน ด้วยการลำต้นแห้ง 10 – 12 กรัม มาต้มกับน้ำผสมเหล้าหรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา
    – แก้ฝ้า แก้ผดผื่นคัน แก้ผดผื่นคันจากอากาศร้อน แก้แผลเรื้อรัง ห้ามเลือด ด้วยการนำลำต้นมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาหรือพอกบริเวณที่มีอาการ
    สรรพคุณจากทั้งต้น
    – เป็นยาถ่ายพยาธิ ด้วยการนำทั้งต้นมามัดเป็นก้อนแล้วต้มดื่มน้ำ ทาน 1 – 2 ครั้ง
    – แก้อาการตัวบวม ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกินและอาบ
  • สรรพคุณจากเมล็ดสุก บำรุงไต ช่วยควบคุมการหลั่งของน้ำอสุจิ รักษากลุ่มอาการของระบบไตพร่อง บำรุงตับ รักษากลุ่มอาการของระบบตับและไตอ่อนแอ ทำให้ตาสว่าง ช่วยหยุดถ่าย บำรุงมดลูก ป้องกันการแท้งลูก
    – ช่วยเพิ่มฤทธิ์บำรุงไต บำรุงครรภ์ เหมาะสำหรับผู้ที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัว แก้ฝันเปียก แก้ตกขาว แก้ปัสสาวะบ่อย ด้วยการนำเมล็ดสุกมาผัดน้ำเกลือ
    – เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเมื่อยเอวและเข่า แก้กระหายน้ำ แก้หูอื้อตามัว ด้วยการนำเมล็ดสุกผสมเหล้าอัดเป็นแผ่น
    – เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเอวเนื่องจากไตพร่อง แก้อาการหลังปัสสาวะแล้วยังมีปัสสาวะเหลืออยู่ ด้วยการนำเมล็ดสุกมาผัด

ประโยชน์ของฝอยทอง

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ลำต้นนำมาต้มหรือลวกทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ใช้ยำใส่มะเขือ นำมาชุบแป้งทอดทานร่วมกับน้ำพริกกะปิ

ฝอยทอง เป็นไม้กาฝากที่ขึ้นทั่วไป ดูเหมือนเป็นพืชที่ไม่ได้พิเศษนัก แต่ส่วนของเมล็ดจากต้นคือยาสรรพคุณชั้นดีที่ห้ามมองข้าม โดยเฉพาะคุณผู้ชายทั้งหลาย เพราะเมล็ดฝอยทองจะช่วยเพิ่มกำลัง และบำรุงน้ำอสุจิในเพศชายได้ สามารถนำลำต้นมาปรุงสุกใช้ทานเป็นผักได้ด้วย ฝอยทองมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเมล็ด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงน้ำอสุจิในเพศชาย แก้สมรรถภาพทางเพศชายเสื่อม บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงมดลูก ดีต่อระบบขับถ่ายอีกด้วย เป็นพืชที่มีสรรพคุณต่ออวัยวะที่สำคัญของร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ฝอยทอง”. หน้า 513-515.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ฝอยทอง” หน้า 127-128.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ฝอยทองเมล็ด”. หน้า 360.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ฝอยทอง”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [14 พ.ย. 2014].
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ต้นฝอยทอง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [14 พ.ย. 2014].
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ต้านกระดูกพรุนจากเมล็ดของพืชฝอยทอง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [14 พ.ย. 2014].
สถาบันการแพทย์ไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้. “โท่วซีจี้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : tcm.dtam.moph.go.th. [14 พ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://indiabiodiversity.org
2.https://commons.wikimedia.org