Home Blog Page 117

มะแว้ง สมุนไพรรักษาอาการไอ

มะแว้ง สมุนไพรรักษาอาการไอ
ผลสดมีฤทธิ์บรรเทาอาการไอ ทั้งในรูปแบบยาเม็ดและยาอม อุดมไปด้วยสารให้คุณประโยชน์

มะแว้ง คือ

มะแว้ง ( Brinjal ) หรือ มะแว้งต้น ( Solanum Indicum ) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า ( Solanum sanitwongsei Craib. ) เป็นพืชที่พบได้ตามท้องไร่ท้องนา หรือชาวบ้านนำมาปลูกไว้ตามบ้านเรือน และพบขึ้นเองตามธรรมชาติน้อย ซึ่งมีอายุ 2-5 ปี สูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก กลม เนื้อแข็ง สีเขียวอมเทา แตกกิ่งก้าน ทั้งต้นมีขนนุ่มสีเทาปกคลุม และมีหนามแหลม ขึ้นกระจายอยู่ทั่วต้นจะมีลูกสีเขียว และเวลาสุกจะมีสีแดง ยอดอ่อนและลูกสามารถนำมารับประทานได้ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้กันมาแต่โบราณ โดยนำยอดอ่อนมาลวกจิ้มน้ำพริก หรือนำลูกสด 5-6 ผล มาโขลกให้ละเอียดแล้วคั้นน้ำ เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยเมื่อมีอาการไอ เพื่อบรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอผลรสขมขื่นเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีอีกชนิด คือ

มะแว้งเครือ ( Solanum Trilobatum ) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า ( Solanum indicum Linn. ) เป็นไม้เลือยขนาดเล็ก อาศัยเลือยพาดไปตามพื้นดิน หรือค้างต่างๆ เช่น รั้ว และต้นไม้อื่นๆ แต่ไม่มีมือเกาะ ( มีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ คล้ายหนวด แตกออกบริเวณข้อของลำต้น ) เหมือนกับไม้เลื้อยบางชนิดเป็นพืชตระกูลเดียวกับมะเขือ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ผลทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยงเป็นมัน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ดทรงกลมแบน สีน้ำตาลอ่อน ขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก

สรรรพคุณตำรายาไทย

ผลสุก : รสขื่นขม กัดเสมหะในลำคอ แก้ไอ
ผลสด : รสขื่น ขม บำรุงน้ำดี

  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยบำรุงเลือด
  • ช่วยบำรุงน้ำดี
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยแก้พาร์กินสัน
  • ช่วยแก้วัณโรค
  • ช่วยบรรเทาอาการคัน
  • ช่วยแก้กระหายน้ำ
  • ช่วยบำรุงน้ำดี
  • ช่วยแก้ไอได้ละลายเสมหะ
  • ช่วยให้ชุ่มคอ
  • ช่วยแก้น้ำลายเหนียว
  • ช่วยขับลม
  • ช่วยแก้โรคเบาหวาน
  • ช่วยละลายก้อนนิ่ว
  • ช่วยแก้ไข้สารพัดพิษ
  • ช่วยแก้แน่นท้อง จุกเสียด
  • ช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อ
  • ช่วยขับพยาธิ

การศึกษาทางเภสัชวิทยา

มะแว้ง มีฤทธิ์ช่วยลดอาการปวด ลดไข้ ต้านการอักเสบ และกดระบบประสาทส่วนกลาง พบสารสกัดเมทานอลจากผลโดยใช้หนูทดลองทั้งเพศผู้และเพศเมีย แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว ทำการทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา 4 วิธี ได้แก่ ฤทธิ์ลดปวด ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ลดไข้ และฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง

การทดสอบฤทธิ์ลดปวดในหนูทดลอง ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยสกัดผลด้วยตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น้ำ เมทานอล เอทานอล แล้วนำสารที่สกัดได้มาทดสอบฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลอง ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดน้ำ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดกระต่ายได้หลังจากกระต่ายได้รับสารสกัดสมุนไพร 2 ชั่วโมง โดยสารสกัดสมุนไพรที่สกัดด้วยเอทานอล ลดระดับน้ำตาลได้หลังจากกระต่ายได้รับ 2  3 และ 4 ชั่วโมง จากผลการทดลองนี้แสดงว่าสารสกัดจาผล สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

คุณค่าทางโภชนาการ

ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน วิตามินซี มีสารประกอบประเภทสเตียรอยดฅ์ เช่น เบต้า-ซิโตสเตอรอล ( Beta-sitosterol )ไดออสเจนิน ( diosgenin ) สารอัลลาลอยด์โซลานีน ( solnine ) และโซลานิดีน ( solanidine )

วิธีการรับประทาน

สูตรที่ 1
ส่วนผสม และขั้นตอนการทำ
1. เตรียมผล 2 กรัม ล้างให้สะอาด
2. นําผลที่ได้ไปตากแดดจนแห้ง
3. นําผลที่ได้เด็ดขัว แล้วบดให้ละเอียด ชั่งใส่ถุงชา 2 – 2.5 กรัม หรือที่กรองชา

สูตรที่ 2
ส่วนผสม และขั้นตอนการทำ
1. เตรียมผล 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำปูนใส 1 ถ้วย โดยนําผลแก่เด็ดขัวออกให้หมด ล้างให้สะอาด
2. นําผลที่ได้ไปแช่นําปูนใสประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วผึ่งให้แห้ง
3. นําผลใส่ขวด เทนําผึ้งให้ท่วมผล ปิดฝาให้สนิท

สูตรที่ 3
ส่วนผสม และขั้นตอนการทำ
1. เตรียมผล 2 กรัม ล้างให้สะอาด และดอกเก็กฮวยแห้ง
2. นําผลที่ได้ไปตากแดดจนแห้ง
3. นําผลที่ได้เด็ดขัว บดให้ละเอียด ชั่งใส่ถุงชา 2 – 2.5 กรัม และดอกเก๊กฮวย หรือที่กรองชา

สั่งซื้อ อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มะ แว้ง ต้น (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.thaicrudedrug.com [27 มิถุนายน 2562].

มะ แว้ง ต้น (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.phargarden.com [27 มิถุนายน 2562].

มะ แว้ง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://natres.psu.ac.th [27 มิถุนายน 2562].

สาบเสือ วัชพืชมหัศจรรย์ ช่วยบำรุงหัวใจ

สาบเสือ วัชพืชมหัศจรรย์ ช่วยบำรุงหัวใจ
สาบเสือ เป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วไป มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต้านอนุมูลอิสระ ลดความดันโลหิต ลดเบาหวาน และฤทธิ์ในการสมานแผล

ต้นสาบเสือ คุณประโยชน์ สมุนไพรพื้นบ้าน

สาบเสือ ( Bitter Bush , Siam Weed ) คือ วัชพืชที่พบได้ทั่วไปในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วยเป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามากมายจนดูเป็นทรงพุ่ม มีขนนุ่มประปรายขึ้นตามลำต้นและกิ่งก้านสาขา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eupatorium odoratum L.
ชื่อพ้อง : E. odoratum (L.f.) Koster ; Chromolaena odorata (L.) King & Robins.
วงศ์ : Compositae หรือ Asteraceae
ชื่อสามัญ : Siam weed, Bitter bush, Devil weed

ลักษณะต้นสาบเสือ

ลำต้นสูงประมาณ 3-5 ฟุต ใบ สาบเสือเป็นไม้ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ มีดอกสีขาวเด่นสะดุดตา มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรค สมานแผลมาแต่โบราณ ปัจจุบันมีงานวิจัยพบว่ามีสารสกัดที่สำคัญในใบสาบเสือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต้านอนุมูลอิสระ ลดความดันโลหิต ลดเบาหวาน และฤทธิ์ในการสมานแผล

สารสำคัญที่พบในใบสาบเสือมีอะไรบ้าง

จากการศึกษาทางด้านเคมีพบสารสำคัญหลายชนิด เช่น cadiene, alphapinene, alpha-camphor, limonene, cadinol ซึ่งสารที่พบในลำต้นสาบเสือประกอบด้วย eupatol, coumarin, eupatene, lupeol, flavone, salvigenin รวมถึงในใบยังพบสาร ceryl alcohol, trihydric alcohol, tannin, isosa kulanetin, odoratin, myrecene, calamenen
geijerene, pinene เป็นตัน

สรรพคุณทางยาต้นสาบเสือ ใบสาบเสือ ดอกสาบเสือสาระพัดประโยชน์

  • ใช้ปิดแผล
  • ใช้สมานแผล
  • แก้อักเสบ
  • แก้ตาแฉะ
  • แก้ตาฟาง
  • ช่วยแก้ไข้
  • ช่วยแก้ร้อนใน
  • แก้พิษน้ำเหลือง
  • ช่วยบำรุงหัวใจ
  • ช่วยแก้กระหายน้ำ
  • แก้ริดสีดวงทวาร
  • รักษาโรคลำไส
  • ขยี้ใส่แผลช่วยห้ามเลือด
  • ช่วยชูกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย
  • รักษาแผลไฟไหม้และแผลเปื่อยพุพอง

ประโยชน์ใบสาบเสือ

สมุนไพรที่มีคุณค่าทางยาช่วยรักษาโรคได้มากมาย ใช้ได้ทั้งภายนอกและภายใน ลำต้น ใบ ดอก ราก ล้วน ชาวบ้านใช้ใบอ่อนขยี้ปิดแผล ห้ามเลือด แก้ไข้ป่า มีกลิ่นฉุน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มหัศจรรย์ต้นสาบเสือ! สมุนไพรไทยที่มากด้วยสรรพคุณ ที่คุณควรรู้ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.winnews.tv [20 สิงหาคม 2562].

วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, 2548. พจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. รวมสาส์น (1977) จำกัด. กรุงเทพมหานคร.

น้ำนมราชสีห์ สมุนไพรแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง

น้ำนมราชสีห์ สมุนไพรแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
น้ำนมราชสีห์ ( Garden spurge )เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น

น้ำนมราชสีห์ คือ

น้ำนมราชสีห์ ( Garden spurge ) เป็น พืชล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุ1ปี เป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไป ลักษณะลำต้นมีขนสีน้ำตาลปนเหลืองสูงประมาณ 15 – 40 ซม. ใบเรียงตรงข้าม ใบเดี่ยวออกทางซ้าย และขวา รูปรีปลายใบแหลมกว้าง 0.3 – 2.5 ซม. ยาวประมาณ 1 – 4 ซม. โคนใบสอบเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบหยักฟันเลื่อย ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ดอก ดอกช่อออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศ ไม่มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง ใบประดับเป็นรูปถ้วยสีเขียว เกสรตัวผู้มี 5 อัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน รังไข่รูปกลมแกมสามเหลี่ยม มีท่อรังไข่ 3 อัน ผล ผลแห้งแตกได้ 3 พู ผลกลม

ชื่อพื้นเมือง Local name : น้ำนมราชสีห์ Nam nom raatchasee, นมราชสีห์ Nom raatchasee, ผักโขมแดง Phak khom daeng (Central); หญ้าน้ำหมึก Yaa nam muek (Northern); หญ้าหลังอึ่ง Yaa-lang-ueng (Shan-Mae Hong Son)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Euphorbia hirta L.
ชื่อสามัญ : Garden Spurge
วงศ์ : EUPHORBIACEAE
นิเวศวิทยา : พบขึ้นทั่วไปตามที่รกร้าง ริมทาง พื้นที่ทำการเกษตร
ออกดอก : ออกดอกได้ตลอดทั้งปี
การขยายพันธุ์ : ใช้เมล็ด

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของน้ำนมราชสีห์

  • ต้นน้ำนมราชสีห์ จัดเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กมีอายุเพียงปีเดียว ลำต้นมีความยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร
  • ใบน้ำนมราชสีห์ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงเป็นคู่ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปไข่ รูปขอบขนาน
    หรือรูปรีแกมข้าวหลามตัดเบี้ยวเล็กน้อย ใบมีความกว้างประมาณ 0.25-2.5 เซนติเมตร
  • ดอกน้ำนมราชสีห์ ออกดอกเป็นช่อบริเวณง่ามใบ มี 1-6 ช่อ มีดอกจำนวนมากออกชิดกันแน่นเป็นกระจุก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร
  • ผลน้ำนมราชสีห์ ผลมีลักษณะกลมแกมรูปสามเหลี่ยมหรือแบบแคปซูล มี 3 พู ยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร
  • รากน้ำนมราชสีห์ รากมีลักษณะเป็นแขนงฝอยเล็กๆหงิกงอ มีประมาณ 30-50 ราก รากสีน้ำตาลแดงส่วนที่ใช้

ประโยชน์ของต้นน้ำนมราชสีห์

ต้นน้ำนมราชสีห์สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น เช่น ต้น ใบ ราก เก็บในฤดูร้อนล้างให้สะอาดตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้ หรือใช้สด หรือใช้ยางจากลำต้น

สรรพคุณทางยาของน้ำนมราชสีห์

  • ยางใช้กัดหูด ตาปลา
  • ช่วยขับน้ำนม
  • แก้ไข้มาลาเรีย
  • แก้โรคซางในเด็กเล็ก
  • แก้บิดมูกเลือด
  • แก้ขาเน่าเปื่อย
  • เป็นยาบำรุงกำลัง
  • ขับปัสสาวะ
  • แก้หอบหืด
  • แก้ไอหืด
  • ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
  • แก้เบาขัด หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด
  • แก้บาดแผลมีเลือดออก 
  • ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
  • แก้ฝีมีหนองลึกๆ
  • แก้ฝีในปอด
  • แก้ฝีที่เต้านม

หากอยากใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรชนิดใดก็ตาม ควรอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของผู้รู้จริงที่สามารถให้คำปรึกษาวิธีการใช้ที่ถูกต้อง หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพและร่างกายของท่านด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

น้ำนมราชสีห์ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.rspg.or.th [26 มิถุนายน 2562].

น้ำนมราชสีห์ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://prayod.com/ [26 มิถุนายน 2562].

ส้มกบ พืชสมุนไพรรักษาโรคดีซ่านตัวเหลือง

ส้มกบ พืชสมุนไพรรักษาโรคดีซ่านตัวเหลือง
ส้มกบ เป็น วัชพืชชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและชุ่มชื้น มีสรรพคุณทางยามากมาย

ส้มกบ คือ

ส้มกบ ( Indian sorrel , Yellow wood sorrel , Creeping lady’s sorrel ) คือ วัชพืชชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ทั่วไป เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและชุ่มชื้น มีความสูง 2-3 นิ้ว เป็นพืชขนาดเล็กชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ ขึ้นปกคลุมผิวดินเป็นกลุ่ม มีอายุหลายปี มีสรรพคุณทางยามากมาย

ชื่อสมุนไพร : ส้มกบ หรือ ผักแว่นเมืองจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oxalis corniculata L.
ชื่อวงศ์ : Oxalidaceae
การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยเมล็ด และลำต้นเลื้อยไปตามผิวดินบริเวณที่มีความชื้นสูงพบได้ทั่วไปตามสนามหญ้าทุ่งหญ้า ไร่ นา เรือนเพาะชำ มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนในแถบเอเชีย พบในประเทศอินเดีย จีน อินโดนีเซีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และไทย ในอินเดียมักพบตามทุ่งโล่ง ทุ่งหญ้า ริมแม่น้ำ ภูเขา และริมถนน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้น : เป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก หรือเป็นหญ้าคล้ายผักแว่น ลำต้นจะเลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ตามลำต้นจะมีขนอ่อน ๆ นุ่ม ๆ สีขาวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้นและใบ ลำต้นยาวประมาณ 20 นิ้ว
ใบ : เป็นไม้ใบกระกอบ ก้านหนึ่งจะมีใบอยู่ 3 ใบ ซึ่งแต่ละใบนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับรูปหัวใจสีเขียว ก้านใบจะชูใบตั้งขึ้นยาวประมาณ 1-2 นิ้ว มีสีเขียวเช่นกัน
ดอก : ออกเป็นช่อ หรือบางทีก็ออกดอกเดี่ยว มีสีเหลือง และมีกลีบอยู่ 5 กลีบ ลักษณะของกลีบเป็นรูปหัวใจ หรือบางทีก็ปลายมน กลีบเลี้ยงสีเขียวมีอยู่ 5 กลีบ ก้านดอกยาวเท่ากับก้านใบได้ เกสรมี 10 อันอยู่กลางดอก
ผล : เป็นรูปแท่งทรงกระบอก ปลายแหลม และมีอยู่ 5 เหลี่ยม ยาวประมาณ 0.5-1 นิ้วตามผลจะมีขนอ่อน ๆ ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งผล มีสีเขียวอ่อน ๆ ออกขาว ๆ ภายในผลจะมีเมล็ดอยู่จำนวนมากเป็นรูปแบนรีสีน้ำตาล เมื่อผลแก่จะแตกออกและดีดเมล็ดกระเด็นไปได้ไกล ๆ
รสชาติ : เปรี้ยว

สรรพคุณในตำรายาของส้มกบ

  • ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
  • ช่วยในการย่อยอาหารอีกด้วย
  • ใช้เป็นยาเย็นช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยแก้อาการปวดท้อง
  • ช่วยแก้อาการบิด
  • ช่วยรักษาอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือกระอักเลือด
  • ช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับ ช่วยทำให้นอนหลับได้
  • ช่วยแก้อาการหวัด
  • ช่วยแก้ฝีในลำคอ
  • ช่วยดับพิษร้อนภายใน ช่วยถอนพิษ
  • ช่วยรักษาโรคดีซ่านตัวเหลือง
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน แผลในปาก เพดาน และลิ้น
  • ช่วยแก้อาการเจ็บคอ
  • ช่วยขับเสมหะ

คุณค่าทางโภชนาการของส้มกบ

สมุนไพรส้มกบ หรือที่รู้จักในชื่ออินเดียนซอร์เรลถูกใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคมากมาย แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขข้อ โรคเกาต์ และนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ควรหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรส้มกบ เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีกรดออกซาลิกในระดับสูง รวมถึงยังมีคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี9 วิตามินซี กรดออกซาลิก แมกนีเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก โซเดียม แคลเซียม เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส ไนอาซิน น้ำ เบต้าแคโรทีน และไขมัน

องค์ประกอบทางเคมีของส้มกบ

ส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญของ Indian Sorel ได้แก่ ฟลาโวนอยด์ ไฟโตสเตอรอล ฟีนอล แทนนิน ไอโซวิเทซีน ไวเทซีน และน้ำมันระเหย สมุนไพรส้มกบยังมีกรดไขมันจำเป็นต่างๆ เช่น กรดลิโนเลอิก กรดลิโนเลนิก กรดโอเลอิก กรดปาลมิติก ทาร์ทาริก กรดมาลิก กรดสเตียริก และกรดซิตริก

การใช้ส้มกบในการทำอาหาร หรือเครื่องดื่ม

  • ใช้ใบส้มกบที่มีรสเปรี้ยวชงดื่มได้โดยการแช่ใบในน้ำร้อนประมาณ 10 นาที แล้วเติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย
  • ใส่ใบส้มกบลงในสลัดจะได้รสชาติออกเปรี้วยหรือใช้แทนมะนาว หรือใช้เพื่อให้รสเปรี้ยวกับอาหารอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน

ข้อควรระวัง

  • หญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้
  • หากใช้ยานี้ติดต่อกัน 2-3 วันแล้ว หากอาการยังไม่ดีขึ้นควรหยุดใช้และเปลี่ยนวิธีการรักษาใหม่
  • ไม่ควรรับประทานใบส้มกบในปริมาณมาก เนื่องจากกรดออกซาลิก ( Oxalic acid ) สามารถจับแคลเซียมที่ร่างกายได้รับ ซึ่งนำไปสู่การขาดสารอาหาร
    หากได้รับเข้าไปในปริมาณมากเกินไปอาการเป็นพิษจะเกิดภายหลังได้รับเพียง 1-2 วัน
  • เนื่องจากส้มกบ ( Indian sorrel) มีกรดออกซาลิก (Oxalic Corniculata) ที่มีความเข้มข้นสูง ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ โรคไขข้อ และนิ่วหรือนิ่วในทางเดินปัสสาวะจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรนี้

ผลข้างเคียง

การกินส้มกบอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกะเพาะอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ในปริมาณมากๆ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน หากมีอาการควรรีบปรึกษาแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ส้มกบ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://thailand-an-field.blogspot.com [24 มิถุนายน 2562].

ส้มกบ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://termsuk.oonvalley.com [24 มิถุนายน 2562].

สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan )

สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan )
สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan ) ผลสุกและเปลือกของสมอพิเภกมีสารแทนนินสูง หากรับประทานเกินขนาดทำให้มีอาการมึนเมา คลื่นไส้อาเจียน และทำให้หลับได้

สมอพิเภก คือ

สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan ) เป็น ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ผลัดใบ พบได้ทั่วไปตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกและภาคกลาง ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Terminalia bellirica ( Gaertn. ) Roxb. ชื่อสามัญ Beleric myrobalan อยู่ในวงศ์ตระกูล Combretaceae พบว่าในผลสุกและเปลือกของสมอพิเภกมีสารแทนนินสูงถึง 42% เป็นสาร gallic acid, ellagic acid. ส่วนที่ใช้ประโยชน์ ได้แก่ ผลอ่อน ผลแก่ เมล็ดใน ใบ ดอก เปลือก แก่น ราก การขยายพันธุ์สมอพิเภกสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ โดยการเพาะเมล็ด และการขยายพันธุ์โดยวิธีไม่อาศัยเพศ โดยการปักชำและตอนกิ่ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น
เป็นพันธ์ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีลำต้นตั้งตรง ต้นเดียวแล้วจึงแตกกิ่งก้านบริเวณส่วนยอดแผ่กว้าง บริเวณโคนต้นมักมีรากค้ำยันเป็นหลักขนาดใหญ่ เปลือกหนาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มีจุดสีขาวบริเวณรอบๆลำต้น เมื่อต้นสมอพิเภกมีอายุมากขึ้นผิวไม้ด้านนอกจะแตกเป็นร่องลึกเห็นชัด
ใบ
ใบสมอพิเภกเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับกัน รูปไข่กลับ กว้าง 2-10 เซนติเมตร ยาว 4 – 16 เซนติเมตร ปลายใบมนกลมหรือแหลม โคนใบสอบแคบ เนื้อใบค่อนข้างหนาเป็นมัน มีเส้นใบ 6 – 8 คู่ ก้านใบมีความยาว 3 – 9 เซนติเมตร และมักมีตุ่มหูดเล็กๆอยู่กลางก้านใบหรือใกล้ๆโคนใบ จะทิ้งใบในเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และเริ่มแตกใบอ่อนขึ้นมาใหม่ช่วงในเดือนมีนาคมถึงเมษายน
ดอก
ดอกสมอพิเภกมีสีเหลืองมีขนาดเล็กออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 3 – 15 เซนติเมตร เป็นดอกย่อยไม่มีก้านดอก ดอกเพศผู้จะอยู่ที่ปลายช่อ ส่วนดอกสมบูรณ์เพศจะอยู่ที่โคนช่อ มีกลีบรองดอกเชื่อมติดกัน มีขนบริเวณด้านล่าง
ผล
มีลักษณะค่อนข้างกลมหรือรูปกลมรีออกรวมกันเป็นพวงโต เปลือกของผลมีลักษณะแข็งและมีขนละเอียดขึ้นเล็กน้อย
เมล็ด มีลักษณะเรียวยาวรูปวงรี กว้าง 0.5 เซนติเมตร และยาว 1.2 เซนติเมตร โดยสมอพิเภกจะออกดอกระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน และผลจะแก่จัดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

สรรพคุณตำรายาไทย

  • ช่วยขับเสมหะ
  • ใช้เป็นยาระบาย ยาถ่าย
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูง
  • ช่วยรักษาสิว
  • ทำให้ชุ่มคอ
  • ช่วยแก้โรคตา
  • ช่วยแก้ธาตุกำเริบ บำรุงธาตุ
  • ช่วยแก้ไข้
  • ช่วยแก้ริดสีดวง
  • ช่วยแก้ท้องร่วงท้องเดิน
  • ช่วยรักษาโรคท้องมาน
  • ช่วยแก้บิด แก้บิดมูกเลือด 

ประโยชน์ทางด้านตำรายาสมุนไพร

ใบ ใช้รักษาแผลติดเชื้อ
ดอก ใช้แก้ตาเปียกแฉะ
ราก ใช้แก้พิษโลหิต ซึ่งมีอาการทำให้ร้อน
เปลือกต้น ใช้แก้โรคเกี่ยวกับปัสสาวะพิการ
แก่นไม้ ใช้แก้โรคริดสีดวง ต้มน้ำดื่ม ช่วยขับปัสสาวะ ( มีรสฝาด )
ผลอ่อน ใช้แก้ไข้ แก้ลม เป็นยาระบาย ยาถ่าย ( มีรสเปรี้ยว )
ผลแก่ ใช้แก้โรคในตา บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน ( มีรสฝาด )

การศึกษาทางพิษวิทยา

การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดผลด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ( คิดเป็น 1,515 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน ) ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ และเมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง ( LD50 ) เท่ากับ 6.156 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ข้อควรระวังในการใช้สมอพิเภก

ถ้ารับประทานสมอพิเภกเกินขนาดจะเป็นอันตรายได้ ทำให้มีอาการมึนเมา คลื่นไส้อาเจียน ผลหากใช้รับประทานมากๆ จะเป็นยาเสพติดและทำให้หลับได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.dnp.go.th [25 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก ประโยชน์ และสรรพคุณสมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://puechkaset.com [25 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก งานวิจัยและสรรพคุณ 18ข้อ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.disthai.com [24 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.qsbg.org [24 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก สรรพคุณ รสยา ประโยชน์สมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.karatbarsaec.com [25 กรกฎาคม 2562].

มะละกอผลไม้ดีท็อกซ์ เพื่อการลดน้ำหนักไม่ทำร้ายสุขภาพ

มะละกอ ผลไม้ลดน้ำหนัก และดีต่อการขับถ่าย
มะละกอ คือ ผลไม้ที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหรือนำมาแปรรูป และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

มะละกอ คือ

มะละกอ ( Papaya ) คือ มะละกอเป็นผลไม้มีเนื้อนุ่มสีเหลืองส้ม รสหวานสามารถกินได้ทั้งผลดิบ ผลสุก ผลไม้ชนิดนี้อยู่ในวงศ์ Caricaceae มีลักษณะทรงกลมอวบมีขนาดใหญ่ไปจนถึงเล็กเป็นผลไม้เมืองร้อนมะละกอมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนโดยมีต้นกำเนิดในเม็กซิโกและอเมริกาใต้อุดมด้วยสารอาหารมากมาย การกินมะละกอช่วยลดน้ำหนักได้ให้วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่จำเป็นต่อการย่อยอาหาร เมื่อระบบย่อยอาหารเริ่มทำงานได้ดีขึ้นส่งผลดีต่ออัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นและช่วยในการเผาผลาญไขมันของร่างกาย   

10 สายพันธุ์มะละกอที่ควรรู้

1. มะละกอฮอลแลนด์
2. มะละกอแขกดํา
3. มะละกอแขกนวล
4. มะละกอเรดเลดี้
5. มะละกอแขกดำศรีสะเกษ
6. มะละกอโซโล
7. มะละกอซันไรซ์
8. มะละกอพันธุ์ครั่ง
9. มะละกอโกโก้
10. มะละกอสีทอง

มะละกอมีสารอาหารสำคัญอะไรบ้าง?

มะละกอเป็นแหล่งวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินอี วิตามินเค โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ วิตามินบี9 โพแทสเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม ไลโคปีน เบตาแคโรทีน ธาตุเหล็ก โซเดียม ลูทีนและซีแซนทีน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของมะละกอ

ลำต้น เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นตั้งตรง ด้านในกลวง ส่วนใหญ่จะไม่มีกิ่งก้าน ผิวเปลือกลำต้นสีเขียวอมเทาหากกรีดจะมียางสีขาว มีรอยแผลจากการหลุดของก้านใบตลอดลำต้น
ใบ เป็นใบเดี่ยว ก้านใบยาวเป็นท่อกลวง โคนใบเว้า ใบมีหลายแฉก ขอบใบแต่ละแฉกจะหยักลึก มีเส้นกลางใบและเส้นร่างแหของใบเห็นชัดเจนทุกแฉก ผิวใบสีเขียว ท้องใบสีเขียวเช่นกันแต่สีอ่อนกว่า
ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลรบดอกสีขาวนวล กลิ่นหอม ด้านดอกยาว มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกไม่สมบูรณ์เพศ
ผล มีลักษณะยาวเรียว ปลายแหลมกว่าหัว เปลือกบาง ผิวขรุขระ รอบผลอาจจะร่องตื้นๆเป็นระยะๆ ผลสดมีเนื้อสีขาว
เปลือกสีเขียว ผลสุก เปลือกจากมีสีเหลืองส้ม หรือเขียวอมเหลือง เนื้อด้านในสีส้มสด รสหวาน มีเมล็ดเป็นจำนวนมาก
เมล็ด รูปทรงกลมรี คล้ายไข่ เมล็ดอ่อนสีขาว เมล็ดแก่สีดำ มีเมือกหุ้ม

มะละกอ คือ ผลไม้ที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหรือนำมาแปรรูป และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

มะละกอลดความอ้วนได้

มะละกอสุกมีเอนไซม์ปาเปน ( Papain ) และเส้นใยอาหารมากมายช่วยในเรื่องกายย่อยโปรตีนในร่างกาย ช่วยล้างสำไส้ให้สะอาดขจัดไขมันตามผนังของลำไส้ มะละกอสุกจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก

การลดความอ้วนด้วยผลไม้ ควรกินมะละกอช่วงไหนดีที่สุด

กินมะละกอเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ควรรับประทานมะละกอในช่วงอาหารเช้า เป็นของว่างระหว่างมื้อกลางวัน และมื้อเย็น เพราะในมะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย อีกทั้งมะละกอ อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารจะทำให้คุณอิ่มนานขึ้นช่วยลดการกินของว่างให้น้อยลงและสามารถรักษาน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ 10 ประการของมะละกอที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

1.มะละกอมีประโยชน์ไม่ย่อย
มะละกอมีเอนไซม์ปาเปนซึ่งเป็นเอนไซม์ที่หลั่งจากตับอ่อนช่วยในการย่อยโปรตีนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การกินมะละกอยังสามารถป้องกันอาการท้องผูกเพราะมีไฟเบอร์สูงช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย

2. มะละกอมีประโยชน์ต่อหัวใจ
มะละกออุดมไปด้วยวิตามินต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ซึ่งวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีมีส่วนป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดแดง นอกจากนี้มะละกอยังอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์คือกลุ่มสารอาหารที่ได้จากผัก ผลไม้ 5 สี ที่มีผลดีต่อสุขภาพมากมาย อาทิ

  • สีแดง ให้ไลโคปีน กรดเอลลาจิก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสุขภาพต่อมลูกหมาก สุขภาพดีเอ็นเอ เสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
  • สีเหลือง/ส้ม ให้เบต้าแคโรทีน เฮสเพอริดิน เสริมการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน เสริมสุขภาพดวงตา ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ รักษาความชุ่มชื้นของผิว ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างสมบูรณ์แข็งแรง
  • สีเขียว ให้อีจีซีจี ลูทีน/ซีแซนทิน ไอโซฟลาโวน ไอโซไธโอไซยาเนท ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสุขภาพของเซลล์ ส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือดแดง ส่งเสริมการทำงานของตับ และปอด
  • สีม่วง/น้ำเงิน ให้แอนโธไซยานิน เรสเวอราทรอล สารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสุขภาพหัวใจ สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง ช่วยระบบความจำ
  • สีขาว ให้อัลลิซิน เควอซิทิน ช่วยเสริมสุขภาพกระดูก เสริมสุขภาพการไหลเวียนโลหิต สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง

3. มะละกอมีประโยชน์ต่อมะเร็ง
การศึกษาพบว่าเอนไซม์ปาเปนในมะละกอสามารถป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และมีอีกหนึ่งงานวิจัยในการแพทย์อินเดียพบว่าสารสกัดเฮกเซนของเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารซูเปอร์ออกไซด์ และมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง ส่วนสารสกัดจากใบมะละกอเมื่อสัมผัสกับเซลล์มะเร็งบางชนิดผลการวิจัยพบว่าเซลล์แสดงการเติบโตของเนื้องอกที่ช้าลง

4. มะละกอมีประโยชน์ต่อประจำเดือน
ดื่มน้ำมะละกอในช่วงมีประจำเดือนจะช่วยในการกระตุ้นการไหลของประจำเดือน เนื่องจากน้ำมะละกอนั้นมีความร้อนสูงมะละกอสีเขียวหรือมะละกอที่ยังไม่สุกถือเป็นยาสามัญประจำบ้านใช้รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติได้

5. มะละกอมีประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ในเนื้อมะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย 

6. มะละกอมีประโยชน์ต่อโรคเบาหวาน
แม้ว่ามะละกอจะมีรสหวานอยู่บ้าง แต่มะละกอก็เหมาะสำหรับคนเป็นเบาหวานเพราะมะละกอมีปริมาณน้ำตาลต่ำ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อีกด้วย

7. มะละกอมีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก
หากคุณกำลังหาวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ทำร้ายสุขภาพอยู่นั้น เราของแนะนำการรับประทานมะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย อีกทั้งมะละกออุดมไปด้วยเส้นใยอาหารจะทำให้คุณอิ่มนานขึ้นช่วยลดการกินของว่างให้น้อยลงและสามารถรักษาน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

8. มะละกอมีประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ
เอนไซม์ปาเปน (Carica papaya) ที่พบในมะละกอมีประสิทธิภาพมากในการป้องกันโรคไขข้ออักเสบและโรคข้อเข่าเสื่อม นอกจากนี้ปริมาณวิตามินซีในมะละกอยังช่วยป้องกันข้อเข่าเสื่อม

9. มะละกอมีประโยชน์ต่อดวงตา
อุดมไปด้วยวิตามินเอทำให้มะละกอมีประโยชน์ต่อดวงตาช่วยบำรุงสายตาในผู้สูงอายุทำให้ดวงตาแข็งแรง

10. มะละกอมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
อย่างที่ทราบกันดีมีผลิตภัณฑ์เพื่อความงามหลายยี่ห่อนิยมนำมะละกอซึ่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายและที่สำคัญมีประโยชน์ต่อผิวพรรณช่วยลดปัญหาสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตาย ช่วยกระชับผิวลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย การทามะละกอดิบบดผสมกับน้ำผึ้งทิ้งไว้ 15 นาทีจะทำให้คุณมีผิวที่เปล่งปลั่ง

สรรพคุณของมะละกอ

  • มีฤทธิ์ต้านอักเสบ
  • ช่วยป้องกันโรคนิ่ว
  • ช่วยป้องกันไตเสื่อม
  • ช่วยในการย่อยอาหาร
  • ช่วยระบบทางเดินอาหาร
  • ช่วยบำรุงประสาทและสมอง
  • เมล็ดมะละกอใช้รักษามะเร็ง
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยรักษาแผลพุพอง แผลไฟไหม้
  • ช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน เท้าเปื่อย
  • ช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม
  • ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอยู่เสมอ
  • ช่วยกระตุ้นในการผลิตน้ำนมในมารดาได้ดี
  • ช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ลดเลือนริ้วรอยต่างๆ
  • ช่วยป้องกันโรคถุงลมปอดโป่งพอง และมะเร็งปอด
  • ใช้เป็นยาขับของเสียออกจากตับและบำรุงตับให้แข็งแรง

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของมะละกอดิบ ต่อ 100 กรัม พลังงาน 43 กิโลแคลอรี่

คาร์โบไฮเดรต 10.82 กรัม
น้ำตาล 7.82 กรัม
เส้นใย 1.7 กรัม
ไขมัน 0.26 กรัม
โปรตีน 0.47 กรัม
วิตามินเอ 47 ไมโครกรัม
เบตาแคโรทีน 274 ไมโครกรัม
ลูทีนและซีแซนทีน 89 ไมโครกรัม
วิตามินบี 10.023 มิลลิกรัม
วิตามินบี 20.027 มิลลิกรัม
วิตามินบี 30.357 มิลลิกรัม
วิตามินบี 50.191 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.038 มิลลิกรัม
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม
วิตามินซี 62 มิลลิกรัม
วิตามินอี 0.3 มิลลิกรัม
วิตามินเค 2.6 ไมโครกรัม
ธาตุแคลเซียม 20 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.25 มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม
ธาตุแมงกานีส 0.04 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 10 มิลลิกรัม
ธาตุโพแทสเซียม 182 มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม 8 มิลลิกรัม
ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม
ไลโคปีน 1,828 ไมโครกรัม

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของมะละกอสุก ต่อ 100 กรัม

โปรตีน 0.5 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
วิตามินซี 70 มิลลิกรัม
วิตามินบี 10.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี 20.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.4 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 24 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม 4 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานมะละกอสุกในปริมาณมากๆ หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้
2. สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระมัดระวังในการรับประทานมะละกอ เพราะอาจส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดได้
3. หลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับยางมะละกอ เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาต่อผิวหนังได้
4. สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอเพราะสารปาเปนที่อยู่ในมะละกออาจเป็นพิษต่อทารกน้อยในครรภ์
5. ผู้ที่มีอาการแพ้สารปาเปน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอ
6. มะละกออาจเป็นอันตรายต่อสตรีมีครรภ์เนื่องจากอากาศร้อนและอาจนำไปสู่การหดตัวของมดลูกซึ่งอาจทำให้แท้งได้

แม้ว่ามะละกอจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีอีกหลายคนที่กินแล้วมีอาการนั่นอาจเกิดจากยางของมะละกอ เมื่อผู้ที่มีอาการแพ้น้ำยางสัมผัสโดยตรงอาจเกิดอาการแพ้ ได้แก่ คัน ลมพิษ คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล บางรายที่แพ้มากๆ อาจทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก และหายใจลำบาก ส่วนใหญ่อาการจะเริ่มภายในไม่กี่นาทีหลังจากสัมผัสกับน้ำยางของมะละกอ แต่พบได้น้อยมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

14 สรรพคุณ…ประโยชน์ของมะละกอ แคลอรี่ต่ำ ประโยชน์สูง (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://sukkaphap-d.com [26 กรกฎาคม 2562].

มะละกอ ต้านอนุมูลอิสระ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.doctor.or.th [26 กรกฎาคม 2562].
สรรพคุณและประโยชน์ของมะละกอ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://sites.google.com [26 กรกฎาคม 2562].

อย่าทิ้งเด็ดขาด!!! ประโยชน์ของเมล็ดมะละกอ ของดีที่เรามองข้าม น่าเสียดายที่ทิ้งไปตั้งเยอะ!!! https://www.tnews.co.th [26 กรกฎาคม 2562].

ส้มแขก สมุนไพรขึ้นชื่อเรื่องลดน้ำหนัก

ส้มแขก สมุนไพรขึ้นชื่อเรื่องลดน้ำหนัก
ผลไม้ขนาดเล็กที่มีรสเปรี้ยว เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Guttiferae สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและลดความอยากอาหาร

ส้มแขก

สมุนไพรส้มแขก ( Garcinia ) เป็นสมุนไพรที่มีจุดเด่นคือ ลดความอ้วน ลดน้ำหนักได้อย่างดี เพราะมีสารสำคัญที่มีชื่อว่า Hydroxycitric acid ( HCA ) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเอนไซม์ในกระบวนการสร้างไขมัน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ดอก ผล ราก ใบ ลักษณะทั่วไป่ของผลมีขนาดเล็กที่มีรสเปรี้ยวเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางในวงศ์ Guttiferae เปลือกของต้นจะมีสีน้ำตาลดำ ลักษณะของใบจะเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ผลมีผิวเรียบ สีเขียว เมื่อแก่จะมีสีเหลือกแก่

ส้มแขก มีชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia atroviridis ชื่อสามัญ Garcinia ชื่อวงศ์ Guttiferae ชื่อตามท้องถิน ส้มควาย ส้มมะวน ชะมวงช้าง เป็นพืชสมุนไพรขนาดเล็กมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย และในประเทศไทยมีปลูกมากทางภาคใต้ ผลมีรสเปรี้ยวใช้ปรุงอาหาร ซึ่งพบสารสกัดจากธรรมชาติ คือ กรดไฮดรอกซีซิตริกอยู่มากกว่า 70% ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเป็นสมุนไพรที่มี HCA ในปริมาณที่มาก นอกจากนี้สารสกัดตัวนี้ยังสามารถละลายน้ำได้ 100% ทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและลดความอยากอาหาร นิยมนำมาเป็นส่วนผสมของอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของส้มแขก

ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใย ทรงพุ่ม เป็นไม้เนื้อแข็ง หากเป็นต้นอ่อนจะมีสีเขียว หากแก่แล้วจะมีสีน้ำตาลอมดำ มียางสีเหลือง สูงประมาณ 5 – 14 เมตร
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับกันซ้ายขวา รูปวงรีขนาดใหญ่ ใบเรียบผิวมัน ปลายแหลม ใบอ่อนสีแดงอมส้ม ใบแก่เป็นสีเขียวเข้ม
ดอก มีทั้งดอกตัวผู้และตัวเมียในต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ด้านในสีแดง ด้านนอกมีสีเขียวมีเกสรเพศผู้เรียงอยู่บนฐานรองดอก ส่วนดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยวแทงออกจากปลายกิ่ง มีขนาดเล็กกว่า ดอกเพศผู้ รังไข่มีรูปทรงกระบอก
ผล เป็นผลเดี่ยวผิวเรียบสีเขียว เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแก่ มีขนาดใกล้เคียงกับผลกระท้อน เปลือกของผลเป็นร่องตามแนวขั้วไปยังปลายผล

การขยายพันธุ์ : สามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การแตกหน่อ การติดตา และการต่อยอด
การแปรรูป : สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่ การแปรรูปเป็นแบบแห้ง ( ผงส้มแขก ) การแปรรูปทำเป็นน้ำส้มแขกพร้อมดื่ม

สรรพคุณทางด้านสมุนไพร

  • ช่วยบรรเทาอาการไอ
  • ช่วยรักษาเบาหวาน
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ช่วยลดความดัน
  • ช่วยฟอกเลือด
  • ช่วยแก้กระษัย
  • ช่วยแก้ท้องผูก
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย
  • ใช้เป็นยาระบายอย่างอ่อน
  • ช่วยลดอาการปวด ลดอาการคลื่นไส้ในสตรีที่มีครรภ์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ส้มแขก ( Garcinia ) (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://clib.psu.ac.th [24 กรกฎาคม 2562]
ส้มแขก ไม้ยืนต้น มากคุณค่า กว่าที่คิด (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://phuketjournal.com [24 กรกฎาคม 2562]

หม่าล่า มีดีอย่างไร

พริกหม่าล่า มีดีอย่างไร
หม่าล่า ( พริกไทยเสฉวน ) คือ เครื่องเทศรสเผ็ดที่มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลเสฉวน มีลักษณะคล้ายเม็ดพริกไทยดำ กินแล้วชา ๆ ที่ปลายลิ้น

หม่าล่า คือ

หม่าล่า ( MaLa ) หรือ พริกไทยเสฉวน คือ เครื่องเทศรสเผ็ดที่มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีลักษณะคล้ายเม็ดพริกไทยดำ แต่รสชาติแตกต่างกัน พริกชนิดนี้เขียนเป็นภาษาจีนกลางว่า 麻辣 ( má là ) อ่านว่า หม่าล่า หรือที่คนจีนเสฉวนท้องถิ่นเรียกว่า ฮวาเจียว ( 花椒 / huā jiāo ) ถูกจัดอยู่ในหมวดของพริกหอมในวงศ์ Zanthoxylum

สำหรับในประเทศไทย ก็มีเครื่องเทศสมุนไพรที่ใกล้เคียงกับ ” พริกหม่าล่า ” เหมือนกัน เป็นเครื่องเทศทางภาคเหนือที่เรียกว่า ” มะแขว่น ” มีลักษณะรูปร่างคล้ายกันมาก กินแล้วชา ๆ ที่ปลายลิ้นเหมือนกัน แต่มีกลิ่นและรสชาติต่างกัน และไม่มีความเผ็ดสักเท่าไหร่ ปัจจุบันคนไทยรู้จัก ” พริกหม่าล่า ” กันมากขึ้น และนิยมกินกันมากในหมู่สาวๆ ที่ชอบอาหารรสชาติจัดจ้าน

ความหมายของว่า หม่าล่า

คำว่า หม่าล่า ในบางที่อาจออกเสียงว่า “หมาร่า” หรือ “มะหล่า” ซึ่งคำนี้มาจากภาษาจีนว่า 麻辣 / (má​là) ที่มีความหมายว่า เผ็ดชา นั่นเอง (麻 ( หม่า ) แปลว่า อาการชา ส่วน 辣 ( ล่า ) แปลว่า เผ็ด)

ประโยชน์ของหม่าล่า

1. ช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการอักเสบในลำคอ
2. หม่าล่ามีสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร
3. หม่าล่าช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด ลดความดันโลหิต
4. รสเผ็ดและชาที่ลิ้นของหม่าล่า ช่วยให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น
5. หม่าล่ามีฤทธิ์ช่วยขับระดูในสตรี ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
6. หม่าล่า อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านเชื้อราและเชื้อไวรัสในร่างกาย แก้อักเสบ
7. กลิ่นหอมฉุนของหม่าล่า ใช้สูดดมแก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้หวัด คัดจมูก
8. ช่วยแก้ไข้ ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แต่ต้องกินในปริมาณที่พอดี
9. หม่าล่ามีธาตุเหล็กสูง ช่วยบำรุงเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แก้โลหิตจาง
10. หม่าล่ามีธาตุสังกะสี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยง่าย

หม่าล่านิยมกินยังไง?

หม่าล่า สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด และปิ้งย่าง
1. หม่าล่าทัง ( ซุปหม่าล่า )
เป็นเมนูที่เมืองไทยยังไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก แต่ถ้าคุณเดินทางไปประเทศจีนแผ่นดินใหญ่จะเห็นมีขายตามร้านอาหารทั่วไปแทบทุกร้าน ส่วนใหญ่นิยมทำเป็นซุปปลาหม่าล่า หรือหม้อไฟชาบูที่ใช้น้ำซุปแบบหม่าล่า ทั้งเผ็ดร้อนทั้งชาลิ้น แต่ก็อร่อยกลมกล่อมไม่แพ้ชาบูชนิดอื่นๆ เลย
2. ปิ้งย่างหม่าล่า
ปิ้งย่างหม่าล่า เมนูอาหารที่นิยมนำหม่าล่ามาปรุงซึ่งช่วยเพิ่มความอร่อย เผ็ดร้อน ให้กับเมนูปิ้งย่างบาร์บีคิวแบบเดิมๆ ให้อร่อยแซ่บได้มากขึ้น เคล็ดลับคือ ไม่ใช่ใส่แค่พริกหม่าล่าเพียงอย่างเดียว แต่ให้ผสมส่วนผสมสมุนไพรอื่นๆ ลงไปด้วย เช่น พริกแห้ง พริกไทยดำ กระเทียม ยี่หร่า ขิง ผงพะโล้ เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อม จะได้ไม่มีแต่รสเผ็ดๆ ชาๆ เพียงอย่างเดียว
3. หม่าโฝโต้วฟุ ( เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน )
เป็นเมนูสุดฮิตตามภัตตาคารใหญ่ ๆ ทั้งในเมืองไทย เมืองจีน ฮ่องกง หรือแม้แต่ในสิงคโปร์ ก็ต้องมีเมนูเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน ซึ่งความเผ็ดและชาของพริกหม่าล่าเข้ากับเต้าหู้ได้เป็นอย่างดี พร้อมน้ำซุปแบบคลุกคลิก กินกับข้าวสวยร้อนๆ ( แต่ไม่นิยมปรุงรสเผ็ดเกินไป แต่ใส่พริกหม่าล่าเพิ่มความหอมในการชูกลิ่นให้เมนูน่ากินยิ่งขึ้น )

วิธีการทำผงพริกหม่าล่าเอง

ส่วนประกอบพริกหม่าล่า

  1. ช่วงเจียป่น ( ทำให้รู้สึกลิ้นชาเวลาทาน )  3 ช้อนโต๊ะ
  2. พริกป่นแดง  3 ช้อนโต๊ะ
  3. ผงปรุงรส (รสหมู)  1½  ช้อนโต๊ะ
  4. ยี่หร่าป่น  1½  ช้อนโต๊ะ
  5. งาขาวคั่ว  1 ช้อนโต๊ะ

ผสมทั้งหมดลงในถ้วยแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ก็จะได้ผงพริกหม่าล่ารสชาติจัดจ้านในแบบฝีมือตัวเอง ( สูตรสามารถปรับได้ตามความชอบนะคะ )

วิธีทำซอสหม่าล่าสำหรับปิ้งย่าง

ส่วนผสมซอสหม่าล่า

  1. ผงพริกหม่าล่า  1 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำตาลทรายแดง  1 ช้อนโต๊ะ
  3. ซีอิ้วขาว  2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมันงา  2 ช้อนโต๊ะ

ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดลงถ้วยแล้วคนให้น้ำตาลทรายแดงละลาย ก็จะได้ซอสหม่าล่าสำหรับปิ้งย่าง ( ใช้ไม่หมดสามารถเก็บแช่ตู้เย็นไว้ได้นะคะ )

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“หม่าล่า” กับประโยชน์ดีๆ ที่ได้มาพร้อมรสชาติเผ็ดจนชาที่ปลายลิ้น (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.sanook.com [13 มิถุนายน 2562].

สารพัดประโยชน์ “พริกหม่าล่า” กินแก้หวัด บำรุงหัวใจ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.thairath.co.th [13 มิถุนายน 2562].

มะกรูด ( Kaffir Lime ) คุณประโยชน์ทางยาที่ไม่ควรมองข้าม

มะกรูด ( Kaffir Lime ) คุณประโยชน์ทางยาที่ไม่ควรมองข้าม
มะกรูด ( Kaffir Lime ) คือ สมุนไพรที่มีผิวขรุขระ มีรสเปรี้ยวกลมกล่อม และมีกลิ่นหอม น้ำมันจากผิวมะกรูดมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา

มะกรูด คือ

มะกรูด ( Kaffir Lime ) คือ สมุนไพรที่มีผิวขรุขระ มีรสเปรี้ยวกลมกล่อม และมีกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยจัดอยู่ในตระกูลส้ม นิยมใช้กันมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ ใช้ในการประกอบอาหาร ใช้สระผมช่วยบำรุงสุขภาพเสริมความงาม ซึ่งผิวมะกรูดจะมีสารซิโตรเนลลา ( Citronellal ) จะอยู่ในส่วนของน้ำมันจากผิวมะกรูด มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา มักจะนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์แชมพู มะกรูดเป็นพืชสมุนไพรโบราณที่มีคุณประโยชน์มากมายจริง ๆ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะกรูด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus hystrix DC.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Kaffir lime” “Leech lime” “Mauritius papeda”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะขุน มะขูด” ภาคใต้เรียกว่า “ส้มกรูด ส้มมั่วผี” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “มะขู”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ส้ม (RUTACEAE)

ลักษณะของมะกรูด

มะกรูด มีถิ่นกำเนิดในประเทศลาว อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ใบ : ใบเป็นใบประกอบชนิดลดรูปเรียงสลับกัน ใบสีเขียวแก่ พื้นผิวใบเรียบเกลี้ยงเป็นมันและค่อนข้างหนา มีกลิ่นหอมมากเพราะมีต่อมน้ำมันอยู่ โดยใบด้านบนมีสีเข้ม ส่วนใต้ใบสีอ่อน
ดอก : ออกดอกเป็นกระจุก กลีบดอกสีขาว ดอกร่วงง่ายและมีกลิ่นหอม
ผล : มีผลสีเขียวเข้มคล้ายมะนาว ผิวเปลือกนอกขรุขระ ขั้วหัวท้ายของผลเป็นจุก ผลมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่ที่ผิว (hesperidium) ผลอ่อนมีสีเขียวแก่ เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด พันธุ์ที่มีผลเล็กผิวจะขรุขระน้อยกว่าและไม่มีจุกที่ขั้ว
เมล็ด : มีเมล็ดจำนวนมาก

สรรพคุณของมะกรูด

รากมะกรูด : มีรสจืดเย็น สามารถช่วยแก้อาการไข้ ถอนพิษสำแดง แก้ลมจุกเสียด กระทุ้งพิษไข้ แก้พิษฝีภายใน และช่วยอาการเสมหะเป็นพิษ
ใบมะกรูด : ช่วยแก้ไอ แก้อาการอาเจียนเป็นเลือด ช่วยแก้อาการช้ำใน ช่วยในการชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง และช่วยต่อต้านมะเร็งบางชนิดได้
ผลมะกรูด : ช่วยแก้อาการไอ ขับเสมหะ ช่วยฟอกโลหิต ช่วยแก้อาการปวดท้องในเด็กอ่อน ช่วยขับระดู ขับลมในลำไส้ แก้อาการน้ำลายเหนียว แก้เถาดานในท้อง
ผิวมะกรูด : ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ขับลมในลำไส้ แก้อาการจุกเสียด ท้องอืด แน่นท้อง และขับสารพิษที่อยู่ในร่างกาย

การนำไปใช้ประโยชน์ของมะกรูด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารอย่างแกงไทยทั้งหลาย ผัดเผ็ดต่าง ๆ น้ำพริกมะกรูด หรือนำมาทำเป็นน้ำมะกรูด ใบของมะกรูดมีกลิ่นหอมที่ช่วยให้รสอาหารกลมกล่อมขึ้น ดับกลิ่นคาวในอาหาร หรือใช้แทนน้ำมะนาว
2. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร ใช้เป็นยาสมุนไพรพวกยาดองมะกรูดหรือเป็นส่วนประกอบของยาที่มีรสมะกรูด
3. ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสระผม ใช้มะกรูดเป็นส่วนผสมในยาสระผมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นมะกรูด
4. ปลูกประดับความมงคลของบ้าน ในสมัยก่อนมีความเชื่อว่ามะกรูดเป็นไม้มงคลที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขหากปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
5. เป็นยาสระผมของคนโบราณ คนสมัยโบราณนิยมนำมะกรูดมาสระผม
6. ใช้ในพระราชพิธีสำคัญ “พระราชพิธีโสกันต์” ซึ่งระบุไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือนไว้ว่าจะต้องมีผลมะกรูดและใบส้มป่อยประกอบในพิธีด้วย
7. ใช้เป็นยาไล่ยุงและแมลง มีการผลิตน้ำมันหอมระเหยในรูปแบบแคปซูลเพื่อใช้ไล่แมลงและหนอนสำหรับเกษตรกร

ประโยชน์ของมะกรูด

  • ช่วยทำความสะอาดเส้นผม ทำให้ผมแข็งแรง ดกดำเงางาม นุ่มลื่น
  • ขจัดรังแค ชันนะตุ ช่วยบำรุงหนังศีรษะไม่ให้แห้ง
  • ลดอาการคันศีรษะ และปรับสมดุลให้หนังศีรษะ
  • แก้ปัญหาผมร่วง ที่เกิดจากสารเคมีที่มีฤทธิ์
  • ทำลายรูขุมขน และต่อมสร้างเส้นผม
  • ลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผมได้ เมื่อใช้ต่อเนื่อง
  • จะช่วยให้เซลล์รากผมแข็งแรงขึ้น กระตุ้นให้เกิด
  • การงอกขึ้นมาใหม่ของเส้นผมได้อย่างรวดเร็ว
  • ช่วยล้างสารเคมีตกค้างบนเส้นผม
  • และหนังศรีษะ จากการย้อมผมและการดัดผม
  • ทำให้ผมหงอกช้า
  • มะกรูดเป็นสมุนไพรธรรมชาติ จึงไม่ต้องกลัวแพ้เหมือนแชมพูที่ทำจากสารเคมี
  • มะกรูดมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรค
  • ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์     
  • ใบมะกรูดและน้ำมะกรูดสามารถใช้ดับกลิ่นคาวในอาหารได้
  • วิตามินซีและกรดธรรมชาติสามารถช่วยบำรุงผิวหน้าได้ ( แต่ไม่ควรพอกทิ้งไว้นานเกินไป )
  • ลดการก่อตัวของไบโอฟิล์มซึ่งเป็นคราบแบคทีเรียในช่องปากได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์

แจกสูตร มะกรูดเชื่อม

1. มะกรูด 30 ลูก
2. น้ำตาลทราย 500 กรัม
3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
4. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย

วิธีทำมะกรูดเชื่อม

1. นำมะกรูดลูกที่มีจุกไม่แก่มาล้างน้ำให้สะอาด แล้วปอกเอาเปลือกสีเขียวออกให้หมด ให้เหลือเนื้อสีขาว (เปลือกเก็บไว้ใช้ทำอย่างอื่นต่อได้)
2. หั่นครึ่งมะกรูด แล้วคั้นน้ำและแยกเม็ดออก จากนั้นแบะเอาตรงกลางออกเพื่อจะได้ไม่เป็นเสี้ยน
3. จากนั้นนำไปขยำเกลือล้างน้ำ3-5 ครั้ง เพื่อให้ได้มะกรูดใส สีสวย หรือบางคนจะล้างแล้วแช่น้พปูนใส 1 คืนแล้วคั้นน้ำออกให้แห้งก็ได้ค่ะ
4. นำมะกรูด น้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลทรายแดง เกลือ และน้ำเปล่า ใส่กระทะ เคี่ยวประมาณ 30 นาที (ถ้าใช้น้ำตาลทรายแดงจะเป็นสีน้ำตาล)
5. เมื่อมะกรูดเปลี่ยนสีให้เคี่ยวต่อไปจนน้ำตาลซึมเข้าเนื้อมะกรูดจนเหนียว เป็นอันใช้ได้
6. จากนั้นนำมะกรูดพักให้เย็นแล้วใส่ภาชนะปิดฝาให้สนิท หากแช่ตู้เย็นจะเก็บไว้ทานได้เป็นปี

สูตรขจัดรังแค และแก้คันศีรษะด้วยมะกรูด

  • นำมะกรูดเผาไฟให้พอมีน้ำมันซึมออกมาจากผิว และมีกลิ่นหอม แล้วนำมาผ่าครึ่ง
  • บีบน้ำมะกรูดมาชโลมให้ทั่วหนังศีรษะ หมักไว้ประมาณ 15-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรแชมพูเพื่อผมนิ่ม ลื่น และรักษาอาการคันศีรษะ

  • นำมะกรูดผ่าครึ่ง ต้มกับน้ำเล็กน้อย สัดส่วน น้ำ : มะกรูด คือ 2 : 1 ตั้งไฟพอเดือดยกลง ปิดฝาทิ้งไว้ จากนั้นนำมาคั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง
  • นำน้ำมะกรูดที่ได้มาชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ ใช้ทำความสะอาดเส้นผมแทนแชมพู หรือใช้เคลือบเส้นผมแทนครีมนวดผมก็ได้

สูตรทำแชมพูสมุนไพรใช้เอง

สูตร 1
ส่วนผสม

1. มะกรูด 3-5 ผล
2. หญ้าปักกิ่ง 1 ถ้วย

วิธีทำ

  • มะกรูดผ่าตามขวางเป็นสองซีก หญ้าปักกิ่งทั้งต้นล้างน้ำให้สะอาดใช้ทั้งราก ทั้งใบ
  • ใส่มะกรูด หญ้าปักกิ่ง น้ำซาวข้าว รวมในหม้อ ตั้งไฟปานกลาง รอให้เดือดประมาณ 20 นาที ปิดฝายกลง
  • รอจนน้ำเย็น สังเกตสีของน้ำจะคล้ำขึ้น ใช้มือคั้นกากทิ้ง
  • กรองน้ำด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง เก็บใส่ขวดไว้ใช้สระผมแทนแชมพู

สูตร 2
ส่วนผสม   

1. มะกรูด 3-5 ผล
2. ใบหมี่ 10 ใบ
3. น้ำซาวข้าวเหนียว 1 ลิตร

วิธีทำ

  • มะกรูดผ่าตามขวางเป็นสองซีก ตั้งน้ำพอเดือด ใส่มะกรูดและใบหมี่ลงไปในหม้อที่มีน้ำซาวข้าวเหนียว
  • รอให้เดือดต่อประมาณ 10 นาที ยกลงแล้วปิดฝาทิ้งไว้รอจนเย็น
  • ใช้ผ้าขาวบางกรองเอากากออก แล้วเก็บใส่ขวดไว้ใช้สระผมแทนแชมพู

สูตรผิวขาวด้วยมะกรูด

  • ให้นำมะกรูด 1 ลูกมาผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ มาผสมกับนมสด 1 ถ้วย ข้าวโอ๊ต 1 ถ้วย และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี
  • นำมาขัดลงบนผิวจนทั่ว เน้นจุดที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก หัวเข่าและข้อพับ
  • ปล่อยไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วนำใยบวบชุบน้ำมะกรูดมาขัดผิวอีกครั้งอย่างเบามือ เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า
  • จากนั้นล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด ผิวก็จะดูขาวใส
  • ทำเป็นประจำ สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง ควบคู่กับการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

ข้อควรระวัง

การใช้น้ำมันหอมระเหยมะกรูดมาใช้ทาภายนอกหลังจากทาแล้วภายใน 4 ชั่วโมง ไม่ควรให้ผิวหนังบริเวณที่ทานั้นสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เพราะอาจจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นไหม้ได้ เพราะในน้ำมะกรูดมีสารออกซิเพดามิน ( oxypedamin ) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้เมื่อโดนแสงแดด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มะกรูด ประโยชน์ของมะกรูด สมุนไพรหลากสรรพคุณคู่ครัวไทย (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://health.kapook.com [ 5 สิงหาคม 2562].
มะกรูด สมุนไพรกลิ่นหอม เสริมสุขภาพและบำรุงความงาม (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com [ 5 สิงหาคม 2562].
Kaffir Lime (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://theepicentre.com [ 5 สิงหาคม 2562].

สับปะรด ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยป้องกันโรคไต สร้างภูมิคุ้มกัน

สับปะรด ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยป้องกันโรคไต สร้างภูมิคุ้มกัน
สับปะรด ( Pineapple) เป็น พืชล้มลุก มีประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ และ มีเอนไซม์ที่ช่วยจัดการกับโปรตีน

สับปะรด คือ

สับปะรด ( Pineapple) เป็น พืชล้มลุกมีลำต้นเดี่ยวกลม ๆ อยู่ใต้ดิน ทรงพุ่มใหญ่ เปลือกแข็งและเหนียว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ananas comosus ( L ) Merr. มีชื่อสามัญว่า Pineapple อยู่ในวงศ์ Bromeliaceae มีถิ่นกำเนิดมาจากแถวทวีปอเมริกาใต้ ชื่อเรียกตามภูมิภาคของไทย ได้แก่ ภาคกลาง เรียกว่าสับปะรด ภาคอีสาน เรียกว่าบักนัด ภาคเหนือ เรียกว่ามะนัด มะขะนัด บ่อนัด ภาคใต้ เรียกว่าย่านัด ย่านนัด ขนุนทอง

สายพันธุ์ของสับปะรด

สายพันธุ์ที่พบได้บ่อยและนิยมนำมาปลูกสายพันธุ์พันธุ์ภูแล สายพันธุ์อินทรชิต หรืออินทรชิตแดง พันธุ์ขาว พันธุ์สวี และพันธุ์ปัตตาเวีย สับปะรดเป็นพืชชอบแสงแดดจัดขึ้นได้ในดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินปนลูกรัง ดินทรายชายทะเล และชอบที่ลาดเท ปลูกง่ายโตเร็วใช้น้ำน้อยทนต่อสภาพอากาศร้อน อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ประมาณ 24 – 30 องศาเซลเซียส

สารอาหารและแร่ธาตุในสับปะรด

สับปะรด มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งได้แก่ คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสีเป็นต้น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของสับปะรด

ลำต้น ลักษณะลำต้นเป็นข้อป้องอยู่ใต้ดินความยาวประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร ส่วนลําต้นที่อยู่เหนือดินจะตั้งตรง
ใบ เป็นพืชใบเดี่ยวลักษณะเรียวยาวซ้อนสลับกันเป็นวงกลมรอบลำต้น ส่วนปลายใบโค้งแหลม มีหนามแหลมอยู่บริเวณขอบใบทั้ง 2 ข้าง ไม่มีก้านใบ
ดอก จะออกดอกตรงแกนกลางของช่อดอก มีดอกย่อยประมาณ 100 – 200 ดอก ดอกย่อยแต่ละดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศเกสรตัวเมียมีความยาวมากกว่าเกสรตัวผู้เล็กน้อยและมีขนาดสั้นกว่ากลีบดอกเล็กน้อย กลีบดอกมีสีขาวที่โคนและมีสีม่วงอมฟ้าที่ส่วนปลาย
ผล มีลักษณะทรงกระบอก มีเปลือกแข็ง มีตารอบผล มีสีเขียวปนสีเหลือง หรือสีเหลือง มีเนื้อข้างในสีเหลือง มีรสชาติหวาน กลิ่นหอม
เมล็ด จะมีหลายเมล็ดในผล เมล็ดมีลักษณะยาวรี เล็กๆ มีสีดำ
ราก ระบบรากของสับปะรดเป็นแบบระบบรากฝอยจำนวนมาก ซึ่งจะกระจายอยู่ใต้ผิวดินตื้นๆ รากสามารถหยั่งลึกลงไปในดินได้มากกว่า 75 เซนติเมตรขึ้นอยู่กับชนิดของดินที่ใช้ในการปลูก

ประโยชน์ และสรรพคุณของสับปะรด

ส่วนที่ใช้ประโยชน์ ได้แก่ ใบ ผลดิบ หนาม และราก
ใบ : ยาถ่าย หนาม ใช้แก้ฝีต่างๆ ฆ่าพยาธิ
ผลดิบ : ใช้ห้ามเลือด ใช้ขับประจำเดือน
หนาม : ใช้แก้ฝีต่างๆ 
ราก : บำรุงไต ไตอักเสบ แก้กระษัย

  • ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆในระบบทางเดินอาหาร
  • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
  • ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยลดคอแห้ง แก้กระหายน้ำ
  • ช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง
  • ช่วยลดเนื้อเยื่อแผลอักเสบ
  • ช่วยแก้หลอดลมอักเสบ
  • ช่วยระบบขับปัสสาวะ
  • ช่วยป้องกันโรคเหงือก
  • ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยรักษาแผลหนอง
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนัง
  • ช่วยชะลอความแก่ชรา
  • ช่วยรักษาส้นเท้าแตก
  • ช่วยป้องกันเบาหวาน
  • ช่วยลดไขมันในเลือด
  • ช่วยลดอาการเจ็บคอ
  • ใช้รักษาแผลอักเสบ
  • ช่วยลดความอ้วนได้
  • ช่วยลดอาการปวด     
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ
  • ช่วยป้องกันหวัด
  • ช่วยแก้ร้อนใน
  • ช่วยแก้โรคนิ่ว
  • ช่วยย่อยอาหาร
  • ช่วยระบายท้อง
  • ช่วยแก้ท้องผูก
  • ช่วยล้างสารพิษ
  • ช่วยลดน้ำหนัก
  • ช่วยแก้บวมน้ำ
  • ช่วยแก้นิ้วล็อค
  • ช่วยแก้โรคบิด

คุณค่าทางโภชนาการของสับปะรดต่อ 100 กรัม

พลังงาน 50 กิโลแคลอรี
เส้นใยอาหาร 1.4 กรัม
ไขมัน 0.12 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 13.12 กรัม
น้ำตาล 9.85 กรัม
โปรตีน 0.54 กรัม
วิตามินบี 1 0.079 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.032 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.5 มิลลิกรัม
วิตามินบี 5 0.213 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.112 มิลลิกรัม
วิตามินบี 9 18 ไมโครกรัม
วิตามินซี 47.8 มิลลิกรัม
โคลีน 5.5 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.29 มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม
ธาตุแมงกานีส 0.927 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม
ธาตุโพแทสเซียม 109 มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม
ธาตุสังกะสี 0.12 มิลลิกรัม

สับปะรด มีเอนไซม์ที่ช่วยจัดการกับโปรตีนที่เรียกว่า บรอมีเลน ( bromelain ) ซึ่งพบได้ในแกนและเหง้าของสับปะรดนั่นเอง คุณสมบัติพิเศษของสารชนิดนี้ก็คือ ช่วยสลายลิ่มเลือดและสมานแผล ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และที่สำคัญที่สุดช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ลักษณะทางพฤกษศาสตรของสับปะรด (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.phetchaburi.doae.go.th [ 31 กรกฎาคม 2552 ].
สับปะรด (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.thai-thaifood.com/th [ 31 กรกฎาคม 2552 ].
สับปะรด (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://pirun.ku.ac.th [ 31 กรกฎาคม 2552 ].