ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่ ? แต่ละยี่ห้อราคาต่างกันอย่างไร ?

0

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 11,000-18,000.-/1 cc ถือว่าราคามีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ครับ เพราะช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างหลากหลายและเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น

สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่ ? ทำไมแต่ละคลินิกราคาต่างกัน ? ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ? ยี่ห้อไหนที่ได้รับความนิยม ? ราคาเท่าไหร่ ? สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ

เริ่มต้นทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ใต้ตา

ก่อนอื่นอยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ใต้ตากันให้มากขึ้นครับว่า ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ? เนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสำหรับเติมใต้ตาเป็นแบบไหน ? เพื่อที่จะได้เข้าใจการเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ ยี่ห้อฟิลเลอร์ ซึ่งจะมีผลต่อราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา (Under-eye filler) คือ หัตถการทางการแพทย์ที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตา เช่น ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา เบ้าตาลึกด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid หรือ HA ที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของเรา เข้าไปยังบริเวณใต้ตาที่มีปัญหา เป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด เห็นผลไว ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และได้รับความนิยมในปัจจุบัน

ลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับเติมใต้ตา

ฟิลเลอร์ 3 ประเภท

ฟิลเลอร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามคุณสมบัติของฟิลเลอร์ คือ ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และฟิลเลอร์เนื้อละเอียด โดยเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับการเติมฟิลเลอร์ใต้ตา จะเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่นกับฟิลเลอร์เนื้อละเอียดครับ

  • ฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นลึกในเคสที่มีปัญหากระดูกใต้ตายุบตัว ช่วยทดแทนในส่วนของผิวที่ยุบตัวลง
  • ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นตื้นในเคสที่มีปัญหาใต้ตาบริเวณข้างเคียงร่วมด้วย ช่วยเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ รอบเบ้าตา ให้ดูเรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

การเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับระดับปัญหาใต้ตาของคนไข้ บางเคสอาจต้องใช้เนื้อฟิลเลอร์ทั้งสองชนิดร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ 11,000.-/ 1 cc ขึ้นอยู่กับปัญหา ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้และประสบการณ์ของแพทย์

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร ? ทำไมแต่ละคลินิกราคาต่างกัน ?

ทำไมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแต่ละคลินิกต่างกัน ? ราคาขึ้นอยู่กับอะไร ? แบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยดังนี้ครับ

  • ระดับปัญหาใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ cc ? ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาใต้ตาของเรา แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเป็นรายเคสไปครับ โดยทั่วไปแล้วจะใช้อยู่ที่ประมาณ 2-4 cc หรือถ้ามีปัญหาน้อยใช้ 1 cc ก็สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้แล้วครับ แต่ถ้ามีปัญหาในระดับมาก เช่น กระดูกใต้ตาทรุดตัวลงมาก ๆ ก็อาจจะต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากกว่านั้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามจำนวน cc ที่ใช้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร (1)

  • รุ่น/ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้

ด้วยเทคโนโลยีและกระบวนการการผลิตที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติเด่นและอายุการใช้งานที่ต่างกัน ซึ่งมีตั้งแต่ 6-24 เดือน จึงมีส่วนให้ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นมีราคาที่ต่างกัน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร

  • เทคนิคการฉีดและประสบการณ์ของแพทย์

หลายคนอาจเกิดความสงสัยครับว่า ทำไมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีราคาสูงกว่าการฉีดจุดอื่นอย่างบริเวณร่องแก้ม ขมับ 

เพราะว่าใต้ตาเป็นจุดที่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะในการฉีดฟิลเลอร์ ผู้ที่ฉีดจึงต้องเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์หลากหลายเคส สามารถวิเคราะห์ปัญหา ประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม และมีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและดูเป็นธรรมชาติ เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน และมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย ดังนั้นประสบการณ์และเทคนิคของแพทย์จึงส่งผลต่อราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร

สรุปแล้วหากใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ราคาฟิลเลอร์ใต้ตาของแต่ละคลินิกจะไม่ต่างกันมากครับ 

หากเจอคลินิกที่มีราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ถูกเกินไปถึงแม้ว่าอยู่ในช่วงโปรโมชัน แนะนำว่าควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่า คลินิกแห่งนั้นใช้ฟิลเลอร์ของแท้หรือว่าฉีดโดยแพทย์จริงหรือไม่ เพราะอาจจะใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์ปลอม หรือฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์จริง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายตามมาหลังฉีดฟิลเลอร์ เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล หรือร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้เลยครับ

ยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่ได้รับความนิยม มียี่ห้อไหนบ้าง ? ราคาเท่าไหร่ ?

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสำหรับเติมใต้ตา จะแนะนำให้ใช้ฟิลเลอร์ 3 ยี่ห้อ คือ Juvederm Restylane และ Belotero เป็นฟิลเลอร์แบรนด์ดังที่คลินิกมาตรฐานชั้นนำหลายแห่งนิยมใช้กันครับ ได้รับรองจากอย.อเมริกา และอย. ไทย มีความปลอดภัยสูง โดยแต่ละรุ่น/ยี่ห้อมีราคาดังนี้

ยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ ระยะเวลา ราคา / 1 cc
Juvederm Voluma 18 เดือน 14,000 บาท
Juvederm Volite 8-12 เดือน 14,000 บาท
Juvederm Volux 18-24 เดือน 18,000 บาท
Restylane Vital light 6-12 เดือน 14,000 บาท
Restylane Perlane lyft 12 เดือน 14,000 บาท
Restylane Defyne 18 เดือน 14,000 บาท
Restylane Classic 12 เดือน 14,000 บาท
Belotero Volume 18 เดือน 11,000 บาท
Belotero Revive 6-9 เดือน 14,000 บาท

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้เห็นผลชัดเจน ปลอดภัย มีขั้นตอนอย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาไม่นาน โดยขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายมีดังนี้ครับ

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน และวิธีการตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ของแต่ละยี่ห้อเพื่อความปลอดภัยครับ
  • งดยาแอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. John’s Wort, Ginkgo Biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng และ Vitamin E เป็นเวลา 7 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์
  • งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

การประเมินปัญหาก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ประเมินปัญหาก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คนไข้จะได้เข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาและแจ้งความต้องการของคนไข้ รวมถึงหากมีประวัติการแพ้ ยาที่แพ้หรือโรคประจำควรเตรียมข้อมูลไว้แจ้งแพทย์ด้วยครับ

โดยแพทย์จะเริ่มทำการประเมินสภาพผิวและระดับปัญหาใต้ตาของคนไข้ เพราะปัญหาใต้ตาเกิดได้จากสาเหตุครับ บางเคสอาจทำหัตถการอื่นแล้วเห็นผลชัดเจนกว่า หรือต้องทำหัตถการอื่นร่วมด้วย แต่ถ้าหากประเมินแล้วว่าปัญหาใต้ตาของคนไข้สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ได้ แพทย์จะทำการเลือกยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ ปริมาณที่ควรใช้ให้เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ทำความสะอาดใบหน้า
  • แปะยาชาและรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที
  • ก่อนทำการฉีด แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า คนไข้สามารถตรวจสอบได้
  • แพทย์เริ่มฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา โดยขณะฉีดต้องอยู่ในท่านั่งหรือนอนเอียงที่ระดับหัวอยู่สูงกว่าหัวใจ เพื่อไม่ให้เลือดออกมาก
  • แพทย์แนะนำข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อลดอาการบวม ป้องกันอาการอักเสบ และให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้ไว

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำครับ โดยอาจมีอาการบวมในจุดที่ฉีดเป็นปกติ ให้เลี่ยงการกด นวด ถูบริเวณใต้ตา อาการเหล่านี้จะหายได้เองใน 7-14 วัน
  • ควรอยู่ในที่มีอากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • งดการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้อาการบวมให้ช้าลง
  • งดเลเซอร์ร้อนลงชั้นผิวเป็นเวลา 1 เดือน
  • ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ ประมาณ 1.5-2 ลิตร/วัน จะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำฟูสวยและอยู่ได้นานขึ้น

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา เห็นผลมากแค่ไหน ?

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2-4 cc เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลได้อย่างเต็มที่หลังทำ 2 สัปดาห์ เมื่อฟิลเลอร์เข้าที่ดีแล้ว

Screenshot 2023-11-02 115147

       รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 cc + Midface 1 cc                          รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 3 cc

Screenshot 2023-11-02 115358

                  รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 3 cc                            รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 4 cc + ร่องแก้ม 2 cc

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาต่างจากการทำหัตถการแบบอื่นไหม ? 

  • โบท็อกใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 5,999.- ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกและปริมาณยูนิตที่ใช้ แต่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาได้เพียงอย่างเดียว ถ้าหากมีถุงใต้ตาไม่แนะนำให้ใช้โบท็อกครับ เพราะจะยิ่งทำให้บริเวณใต้ตากล้ามเนื้อหย่อนลง เห็นถุงใต้ตาได้ชัดมากขึ้น
  • Hifu Ultraformer ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 9,900.- สามารถช่วยยกกระชับผิวรอบดวงตาที่หย่อนคล้อยให้เต่งตึงขึ้น โดยใช้เวลาเห็นผลเต็มที่ 2-3 เดือน สำหรับปัญหาถุงใต้ตา Hifu สามารถช่วยยกกระชับได้แต่จะเห็นผลไม่ชัดเจนเท่าการฉีดฟิลเลอร์
  • Thermage ริ้วรอยรอบดวงตา ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 29,999.- สามารถช่วยยกกระชับผิว ลดไขมันบริเวณถุงใต้ตาได้เล็กน้อย และมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหัตถการอื่น ดังนั้นหากจะทำเพื่อแก้ไขปัญหาใต้ตาเพียงอย่างเดียว อาจไม่คุ้มค่าครับ
  • เลเซอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2000.-/ครั้ง สามารถช่วยทำลายเม็ดสี ปรับสภาพผิวบริเวณใต้ตาให้กลับมาสว่างขึ้นได้ แต่อาจจะมีอาการเจ็บปวดระหว่างทำ และจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูกได้ครับ
  • ฉีดไขมันใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 10,000.- คล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ครับ แต่เป็นการใช้ไขมันตัวเองที่ดูดมาจากบริเวณอื่น ข้อดีคือมีโอกาสแพ้ได้น้อยเพราะใช้ไขมันตัวเอง แต่ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยอาจต้องทำหลายครั้งถึงเห็นผลชัดเจน หรือเสี่ยงผิวเป็นคลื่น ผิวไม่เรียบได้
  • ผ่าตัดถุงใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 18,000.- เป็นการผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาออก ช่วยให้ถุงไขมันใต้ตาลดลง ผิวเรียบเนียนขึ้น แต่หลังทำจะมีอาการบวมช้ำ หรือเกิดอาการอักเสบหรือติดเชื้อได้หากไม่ได้ดูแลอย่างถูกวิธี รวมถึงต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานครับ

ทั้งฟิลเลอร์ใต้ตา และหัตถการความงามข้างต้นล้วนมีจุดเด่น จุดด้อยที่ต่างกันครับ ราคาก็มีความต่างกันไป จะเลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีไหนดี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ประเมินรูปหน้า และแนะนำวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคนไข้ครับ

สรุป

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับระดับปัญหา ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรศึกษาข้อมูล และเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ราคามีความสมเหตุสมผล ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ได้มาตรฐาน ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะทำให้ได้ผลลัพธ์หลังทำที่ชัดเจน ดูเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย

Hifu รีวิว (2023) ยกกระชับปรับรูปหน้า กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน เหมาะกับใครบ้าง ?

0
(ลักษณะการทำงานของเครื่อง HIFU ยิงยกกระชับได้ถึงชั้น SMAS)

Hifu รีวิวผลลัพธ์หลังทำ 

Hifu รีวิว

ปัจจุบันการทำ Hifu (ไฮฟู่) ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมีการทำ Hifu รีวิวจากหลาย ๆ คนที่เคยเข้าใช้บริการแล้วลงความเห็นว่าดี รวมถึงมีหลายคลินิกทำโปรโมชันออกมาแข่งขันกัน พร้อมรีวิวผลลัพธ์ ก่อน-หลังออกมาให้เห็น ทำให้ความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการยกกระชับหน้า มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย อยากหน้าเด็ก ผิวเด็กเต่งตึงขึ้น แต่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด 

ใครที่สนใจและกำลังอยากได้ข้อมูล Hifu รีวิวผลลัพธ์หลังทำ วิธีการดูแลตัวเอง ในบทความนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับการทำ Hifu และตัวอย่างเคสรีวิวมาฝากแบบละเอียดยิบ สามารถติดตามอ่านได้เลย 


Hifu และการทำงานของเทคโนโลยี Hifu (High-Intensity Focused Ultrasound)

เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับการทำ Hifu และสามารถเลือกทำ Hifu ได้อย่างเหมาะสม เราควรรู้ก่อนว่า Hifu ที่หลายคนเรียก ๆ กัน คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? รวมถึงเครื่อง Hifu ที่หน้าตาต่างกัน มีประสิทธิภาพเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?

Hifu คืออะไร ? จริง ๆ แล้ว Hifu คือ ชื่อเรียกของเทคโนโลยีความงาม High-Intensity Focused Ultrasound ที่สามารถยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้

หลักการทำงานของ Hifu - Hifu รีวิว (2023) ยกกระชับปรับรูปหน้า กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน เหมาะกับใครบ้าง ?
(ลักษณะการทำงานของเครื่อง HIFU ยิงยกกระชับได้ถึงชั้น SMAS)

การทำงานของเทคโนโลยี HIFU

ลักษณะการทำงานของเทคโนโลยี Hifu -High-intensity focused ultrasound จะเป็นการทำงานด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ ที่พัฒนามาจากการอัลตราซาวด์ดูครรภ์ทางการแพทย์ (ไม่ทำให้เกิดแผล หรือเสียเลือด) โดยสามารถยิงเข้าไปได้ถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (SMAS – Superficial Musculo Aponeurotic system) เรียงกันเป็นจุดไข่ปลา (ตามตัวอย่างรูปด้านบน) เสมือนกับการเย็บที่เนื้อ ส่งผลให้ผิวหนังชั้น SMAS หดตัว ผิวจึงยกกระชับ และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เรียกว่านอกจากผิวจะกระชับแล้ว ยังฟูและเต่งตึงขึ้นอีกด้วย 

การทำ Hifu ช่วยอะไรได้บ้าง ? เป้าหมายหลักของการทำ Hifu คือแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอย มีปัญหาร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รวมถึงร่องใต้ตา 

นอกจากนี้ยังช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้น รูขุมขนดีขึ้น ผิวเนียนนุ่ม และหน้าเรียบเนียนใสขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเครื่อง Hifu ทุกเครื่อง ทุกยี่ห้อในตลาดความงามจะมีประสิทธิภาพเหมือนกัน แถมปัจจุบันเครื่องปลอมก็มีเยอะ ดังนั้นก่อนตัดสินใจ Hifu ที่ไหน ต้องรู้ว่าเครื่อง Hifu ที่ทำคือเครื่องยี่ห้อใด 

สำหรับเครื่อง Hifu ยี่ห้อที่ดีและมีความคุ้มค่า คุ้มราคา ที่สุด คือ ยี่ห้อ Ultraformer III ซึ่งเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพ เหนือกว่า Hifu ธรรมดา เพราะเป็นนวัตกรรม MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) 

Hifu UltraformerIII

แล้ว นวัตกรรม MMFU ดีอย่างไร ? นวัตกรรม MMFU สามารถช่วยยกกระชับได้ทั้งผิวหน้า พร้อมกับ สลายไขมัน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว 

เครื่อง Hifu ยี่ห้อ UltraformerIII จะปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงได้อย่างเฉพาะเจาะจง (Selective delivery of acoustic energy depth) สามารถยิงลงได้ลึก แม่นยำกว่า และเสถียรกว่าเครื่อง Hifu อื่น ๆ เป็นรองแค่เครื่อง Ulthera แม้จากเป็นระบบ macrofocus เหมือนกัน แต่รอบพลังงานของเครื่อง Ulthera จะไวที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ สามารถใช้พลังงานได้สูงเต็มที่ และระหว่างยิงพลังงานจะคงที่กว่า แต่ราคาการทำก็สูงกว่ามากเช่นกัน

รีวิวHifu ยี่ห้อ UltraformerIII
( รีวิวทำ Hifu ยี่ห้อ UltraformerIII ยกกระชับหน้า )
รีวิวHifu Ulthera
( รีวิวทำ Ulthera ยกกระชับหน้า )

ดังนั้นใครที่ต้องการความคุ้มค่า มีงบจำกัดแนะนำ Hifu ยี่ห้อ UltraformerIII ถ้าใครมีงบมากหน่อย ก็สามารถ Ulthera เป็นหลัก และใช้ UltraformerIII เก็บรายละเอียดเพื่อ save cost หรือถ้าใครมีงบแบบไม่จำกัด ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด เครื่องที่ดีที่สุด ก็สามารถทำ Ulthera อย่างเดียวได้ 

ความแตกต่างระหว่าง Hifu กับเทคนิคอื่น ๆ ในการดูแลผิวพรรณ

ปัจจุบันหัตถการความงามที่สามารถยกกระชับหน้าได้ ยังมีอีกหลายหัตถการ ซึ่งมีขั้นตอนและความเหมาะสมกับลักษณะปัญหาที่แตกต่างกัน 

  • HIFU

จุดประสงค์หลักของการทำ Hifu คือการยกกระชับ ต้องการให้หน้าตึง ลดความหย่อนคล้อย โดยไม่มีบาดแผล หรือเสียเวลาพักฟื้น 

การทำ Hifu

  • ร้อยไหมดึงหน้า- ยกหน้า 

เป็นการใช้เข็มนำเส้นไหมละลายที่มีเงี่ยงสอดลงในชั้นผิวหนัง แล้วยกดึงขึ้น เงี่ยงของเส้นไหมจะช่วยพยุงให้ผิวหน้ายกกระชับ เหมาะสำหรับคนที่ไม่กลัวเข็ม ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็วและมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ

  • ฟิลเลอร์ยกหน้า ปรับรูปหน้า

การฉีดฟิลเลอร์ยกหน้า เป็นเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ (HA) เพื่อเติมเต็มริ้วรอยลึก ปรับรูปหน้าให้ยกกระชับ และสร้างมิติให้แก่ใบหน้า โดยมีการฉีดหลายตำแหน่ง ส่วนใหญ่จะเป็นการเติมเต็มบริเวณร่องแก้ม ร่องใต้ตา และร่องมุมปาก หลังทำใบหน้าจะยกขึ้น หลังฉีดเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน

  • Thermage ยกกระชับใบหน้า 

การทำ Thermage เป็นการยิงยกกระชับผิวด้วยพลังความร้อนคลื่นความถี่วิทยุ RF ลงใต้ผิวหนังจนถึงชั้นไขมัน ช่วยกระตุ้นการทำงานของผิวหนังชั้นใต้คอลลาเจน ทำให้ผิวหนังแข็งแรงยืดหยุ่น ริ้วรอยลดลง ช่วยปรับรูปหน้า ลดการสะสมของไขมัน และยังช่วยให้ผิวเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้นได้

  • ผ่าตัดดึงหน้า 

การผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า เป็นการแก้ไขใบหน้าที่หย่อนคล้อยให้ตึงกระชับ เหมาะกับคนที่ปัญหามาก ๆ ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวการผ่าตัด และมีเวลาพักฟื้นหลังทำ 

ยกกระชับหน้าโดยแพทย์
(แพทย์ประเมินปัญหาและแนะนำหัตถการที่เหมาะสม)

ในกรณีที่ต้องการยกหน้าให้เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย เพื่อให้ดูอ่อนกว่าวัย วิธีที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนมีข้อดีต่างกัน การเลือกทำแต่ละหัตถการแพทย์จะช่วยประเมินความเหมาะสม ร่วมกับความต้องการของคนไข้ โดยบางหัตถการก็ยังสามารถทำร่วมกันได้ด้วย

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Hifu

ในส่วนของประโยชน์จากการทำ Hifu ที่ออกแบบมาให้ช่วยยกกระชับผิวโดยเฉพาะแล้ว ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้ 

ประโยชน์ Hifu

  • สามารถกระตุ้น Collagen ได้ในทุกชั้นของผิว ช่วยให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ หลัก ๆ คือเซลล์ Fibroblasts ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันรอยเหี่ยวย่น สมานแผล โดยเนื้อเยื่อที่สร้างใหม่นี้จะแน่นกว่าของเดิม กระชับกว่าเดิม 
  • ช่วยกระชับรูขุมขน ผิวเนียนนุ่มขึ้น ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ช่วยลดปัญหาชั้นไขมันใต้คาง ลดเหนียง ลดคาง 2 ชั้น และริ้วรอยบริเวณคอได้
  • ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ทำให้คิ้วยกขึ้น ช่วยป้องกันความหย่อนคล้อยของผิวในอนาคตได้

จุดเด่นและข้อจำกัดของ Hifu

“ยกกระชับ ดึงหน้า โดยไม่ต้องศัลยกรรม” 

  • จุดเด่น 

Hifu Ultraformer III เป็นเทคโนโลยีที่สามารถยกกระชับที่ให้ผลลัพธ์คล้ายศัลยกรรมดึงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด และยังทำได้หลายส่วน เช่น ลำคอ เหนียง รวมทั้งต้นแขน ต้นขา เนื่องจากมีหัวยิงหลายหัว แพทย์สามารถเลือกใช้จัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับชั้นผิวได้ 

  • หัวยิงความลึก 1.5-2.0 mm ใช้กับผิวหนังชั้นบน ช่วยเรื่องริ้วรอย ร่องลึกในระดับที่ไม่ลึกมาก เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา หว่างคิ้ว และหน้าผาก
  • หัวยิงความลึก 3.0 mm ใช้กับผิวหนังชั้นกลาง ช่วยลดไขมันและเซลลูไลท์ กระชับใบหน้า กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณแก้ม ลดความหย่อนคล้อยของผิว
  • หัวยิงความลึก 4.5 mm ใช้กับผิวหนังชั้น SMAS ที่ปกติจะใช้ผ่าตัดดึงหน้าให้กระชับ ช่วยยกแก้ม เหนียง ลำคอ และเก็บกรอบหน้า

หัวยิง Hifu

ในส่วนของขั้นตอนในการทำก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพราะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ต้องเตรียมตัวมากนัก และหลังทำก็ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

  • ข้อจำกัด 

การทำ Hifu ไม่มีข้อห้าม หรือข้อจำกัด สามารถทำได้ทุกวัย ทำได้ตั้งแต่วัยรุ่น ไปจนถึงวัยทำงาน และผู้สูงวัย ยิ่งทำต่อเนื่องยิ่งได้ผลดีสะสม ช่วยป้องกันริ้วรอยร่องลึกในอนาคตได้ 

อายุมากขึ้นคอลลาเจนจะลดลง


ตัวอย่าง Hifu รีวิว แต่ละตำแหน่ง 

การทำ Hifu สามารถยิงได้ทุกบริเวณที่เราต้องการให้ผิวยกกระชับขึ้น เช่น Hifu ใต้ตา, Hifu ลดแก้ม , Hifu ลดเหนียง และ Hifu ทั่วทั้งตัว

ตัวอย่าง Hifu รีวิว ลดแก้มหลังทำทันที

Hifu รีวิวลดแก้ม (1)

ตัวอย่าง Hifu รีวิว ลดแก้มหลังทำ 26 วัน

Hifu รีวิวลดแก้ม

ตัวอย่าง Hifu รีวิวบริเวณใต้ตา

Hifu รีวิวใต้ตา

ตัวอย่าง Hifu รีวิวลดเหนียง

Hifu รีวิวเหนียง


ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Hifu

ใครที่ยังกังวัลเรื่องความปลอดภัย ไม่ต้องกลัวไป เพราะตัวเครื่อง Hifu ที่ได้มาตรฐาน นับว่าเป็นเทคโนโลยียกกระชับที่มีความปลอดภัยสูง เพราะไม่ทำร้ายผิวหนังบริเวณชั้นนอก อีกทั้งยังเป็นคลื่นเสียงที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผิว รวมถึงสายตา 

ความปลอดภัยของเทคโนโลยี Hifu -Ultraformer III

สำหรับ Hifu ยี่ห้อ Ultraformer III จัดอยู่ในกลุ่มเครื่อง Hifu คุณภาพสูง ที่มีความปลอดภัย เป็นที่เครื่องที่ผลิตโดย Classys Inc. ประเทศเกาหลี ซึ่งได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาในหลายประเทศ เช่น ไทย เกาหลี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รวมถึงประเทศในยุโรป เป็นเทคโนโลยี MMFU ที่ผ่านมาตรฐานจากประเทศทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ

ประสิทธิภาพของ Hifu Ultraformer III เมื่อเปรียบเทียบกับเทคนิคอื่น

ประสิทธิภาพของ Hifu

ด้านประสิทธิภาพของเครื่อง Hifu Ultraformer III เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยกกระชับ Hifu แบบอื่น ๆ จะต่างตามค่าพลังงาน, ตามชนิดของหัวยิง, ตามประเทศผู้ผลิต และแบ่งตามยี่ห้อของเครื่อง Hifu ตัวอย่างเช่น 

  • Ulthera SPT

Ulthera SPT เป็นเครื่องผลิตพลังงานอัลตราซาวด์ที่ได้มาตรฐานสากลทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. FDA รวมถึงจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทยด้วย ถือเป็นเครื่อง Original ของ Hifu และเป็นยี่ห้อที่ดีที่สุด มีหลักการทำงานโดยใช้คลื่นอัลตราซาวด์เหมือน กับ Hifu Ultraformer III แต่จะมีพลังงานสูงกว่า ถึง 2 เท่า ทำให้คงผลลัพธ์ได้นานกว่า

Ulthera SPT

Ulthera SPT สามารถแก้ปัญหาผิวได้ลงลึกครอบคลุมทุกชั้น โดยมีหัวให้ใช้ยิงลงลึกได้ถึง 3 ระดับ ที่เหมาะกับปัญหาและชั้นผิวที่แตกต่างกัน 

ระดับความลึกในการยิง ของหัว Ulthera SPT

  • ลึก 1.5 mm สำหรับริ้วรอยผิวชั้นบน
  • ลึก 3 mm สำหรับกระชับชั้นไขมัน
  • ลึก 4.5 mm สำหรับยิงชั้น smas

นอกจากนี้ยังมีหน้าจอในการดูระดับความลึกของจุดที่ยิงลงไปแบบ Real time อีกด้วย 

แต่ล่าสุดเครื่อง Hifu Ultraformer III ก็ได้พัฒนาหัวยิงออกมาเพิ่ม คือหัวยิงพิเศษ Cherry Pink เป็นหัวยิงความลึก 2.0 mm และมีการปรับลักษณะรูปทรง ให้เป็น narrow shape ที่ เล็ก เรียว บาง ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

HIFU Ultraformer III Cherry Pink

  • HIFU ธรรมดา 

นอกจาก Ulthera SPT และ Hifu Ultraformer III แล้วยังมี Hifu ยี่ห้ออื่น ๆ ซึ่งจะมีระบบการทำงานเพียงแค่ Micro Focused Ultrasound เท่านั้น และในบางยี่ห้อหัวยิงจะส่งพลังงานได้ไม่คงที่ ทำให้ต้องยิงค่าพลังแบบไม่สูงมาก เพราะหากยิงพลังงานสูง ๆ อาจเสี่ยงเกิดปัญหาผิวไหม ผิวเบิร์นได้ แต่เมื่อยิงพลังงานต่ำ ๆ ก็จะทำให้หลังยิงมักไม่ค่อยเห็นผล หรือคงผลลัพธ์ได้ไม่นาน

ข้อควรรู้ : ปัจจุบันมีเครื่อง Hifu ปลอม เข้าสู่ตลาดความงามจำนวนมาก เพราะราคาต้นทุนต่ำ สามารถทำโปรโมชันราคาถูก ๆ เหมา ๆ Hifu บุฟเฟต์ โดยหน้าตาของเครื่องจะแตกต่างกันไป ซึ่งบางเครื่องก็พยายามทำลอกเลียนแบบเครื่องจริง ทำให้ยากต่อการสังเกต 

กรณีพบราคาถูก ๆ เหมา ๆ ไม่จำกัด Line ต้องระวัง เพราะในความเป็นจริงหัวที่ยิง Hifu มีต้นทุนราคาตามจำนวน Line ที่ใช้ เมื่อใช้หมดต้องทิ้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่คลินิกนั้น ๆ จะยอมขาดทุน ทำ Hifu บุฟเฟต์ ไม่จำกัด Line ในราคาถูก


ผลลัพธ์หลังทำ Hifu กี่วันชัดเจน ? 

หากใครได้ลองหารีวิวผลลัพธ์หลังทำ จะเห็นว่ามีรีวิวแตกต่างกัน เห็นผลบ้าง ไม่เห็นผลบ้าง กรณีนี้ต้องดูด้วยว่า เครื่องที่ใช้เป็น Hifu แบบไหน ใช้เครื่องแท้ไหม ถ้า Hifu Ultraformer III แท้จะมีผลลัพธ์ดังนี้ 

  • ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันที

สามารถเห็นผลได้ทันทีประมาณ 20% จากนั้นผิวหน้าจะค่อย ๆ ยกกระชับมากขึ้น 

  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

สิ่งที่สามารถคาดหวังได้หลังทำ Hifu Ultraformer III คือ ผิวยกระชับ หน้าดูเรียว ริ้วรอยลดลง และสลายไขมันได้บางส่วน กรอบหน้าชัดขึ้น

  • ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์

หลังทำไฮฟู่แล้ว ชั้นผิวจะหดตัวจากความร้อนที่ Focus ลงใต้ผิว และจะค่อย ๆ กระชับขึ้นใน 1-2 เดือน และจะเห็นผลเต็มที่ในระยะ 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 5-6 เดือน

ตัวอย่างการทำ Hifu รีวิว การเปลี่ยนแปลงตลอด 1 เดือน 

Hifu รีวิว 1 เดือน


การดูแลตัวเองหลังทำ Hifu เพื่อผลลัพธ์ดีที่สุด

  • หลังทำสามารถทาครีมบำรุงผิวหน้าได้ตามปกติ แต่แนะนำให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ เสริมจากเดิมเพื่อป้องกันแสงแดด
  • ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดกลางแจ้ง 1-2 สัปดาห์ เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูของคอลลาเจนใต้ผิว
  • ใครที่หลังทำแล้วมีอาการเมื่อย ๆ หรือตึง ๆ ผิว โดยเฉพาะแนวสันกราม สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
  • ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้าแรง ๆ
  • ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง

การดูแลหลังทำ Hifu

Hifu ควรทำซ้ำหรือไม่ ?

หากอยากให้ได้ผลมากยิ่งขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น หลังจากทำครั้งแรกควรกลับมาทำซ้ำ ในช่วง 3 เดือน เพื่อให้เซลล์ Fibroblast สร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ก่อน และหลังจากนั้นค่อยกลับมาทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน เพื่อป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคตและคงสภาพผลลัพธ์ไว้

ควรทำ Hifu กี่ครั้ง ?

หลังทำ Hifu 1 ครั้ง จะคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 5-6 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ชัดเจนขึ้น สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก ๆ 3 เดือน ตามที่กล่าวมา

การรักษาผลลัพธ์

โดยทั่วไปการทำ Hifu จะอยู่ได้ 5-6 เดือน แต่ก็สามารถทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1 ปีได้ ขึ้นอยู่กับว่าใช้พลังงานในการทำสูงเพียงพอไหม (พลังงานสูงขึ้น เจ็บขึ้น) และอีกส่วนคือเราดูแลตัวเองดีหรือไม่ ใครที่ไม่ดูแลตัวเอง ออกแดดบ่อย ๆ สูบบุหรี่ ดื่มน้ำน้อย หรือทำพฤติกรรมที่ทำให้ผิวสูญเสียคอลลาเจนเร็ว การรักษาผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้สั้นลง


สรุป 

มาถึงตรงนี้ เมื่อรู้ทั้งข้อมูล และเห็นตัวอย่าง Hifu รีวิว ทั้งก่อนและหลังทำแล้ว ใครที่สนใจการทำ Hifu ในเบื้องต้น แนะนำให้เลือกทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และตรวจเช็กข้อมูลก่อนทำด้วยว่าเครื่อง Hifu ที่ใช้ ได้มาตรฐานหรือไม่ เป็นเครื่อง Hifu ยี่ห้ออะไร และทำกับใคร เพราะการทำ Hifu จำเป็นต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ สามารถประเมิน และวางแผนการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป


เอกสารอ้างอิง

ปลูกผม ราคาจับต้องได้ หาคลินิกครบวงจรไม่ยากอย่างที่คิด

0
ปลูกผม ราคาจับต้องได้

ปลูกผม ราคาจับต้องได้

ใครที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วง หัวล้าน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน อายุเท่าไร ความกังวลนี้สามารถคลายไปด้วยการมองหาวิธีการรักษา และคุณจะพบว่าการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี คงหนีไม่พ้นการปลูกผมนั้นเอง จากนั้นก็จะมีคำถามต่อว่าปลูกผม ราคาแพงไหม ปลูกผม ราคาเท่าไหร่ คำตอบคือ ปลูกผม ราคาไม่แพงอย่างที่คิด เป็นราคาที่สามารถจับต้องได้อย่างแน่นอน

อัปเดตราคาปลูกผมล่าสุด 2023

การปลูกผม ราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับความคุ้มค่าที่ได้รับ การปลูกผมนั้นดูแล้วเหมือนราคาสูง หากลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย 69,000 บาท ระหว่างการปลูกผมกับการใช้ยาปลูกผมแล้ว การรับประทานยาปลูกผมสามารถซื้อได้เพียงแค่ 2 ปี เมื่อหยุดรับประทานแล้วผมก็จะหลุดร่วงไป ไม่คงอยู่ถาวร แต่การปลูกผมนั้น ผมจะค่อย ๆ เจริญเติบโต เกิดการร่วง และงอกขึ้นใหม่ได้ตามธรรมชาติ

ในปัจจุบันการปลูกผม ราคาอยู่ในช่วงกว้างมากระหว่าง 69,000 – 250,000 บาท แต่ละสถาบันปลูกผมจะมีราคาแตกต่างกันออกไป รวมถึงแต่ละเคสก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่มากเช่นกัน ดังนั้นราคาปลูกผมจึงแบ่งได้เป็นช่วงต่าง ๆ ดังนี้

ปลูกผม กราฟท์ละเท่าไหร่

ราคาเริ่มต้นปลูกผมกราฟท์ละ 75 บาท แต่ทั้งนี้การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟท์ เทคนิคการปลูกผม และความยากง่ายของเคส ซึ่งมักจะแบ่งคอร์สปลูกผมออกเป็นช่วงปลูกผม 1,000 กราฟท์ ราคาจะอยู่ประมาณ 69,000 – 200,000 บาท โดยทั่วไปมักจะมีการแนะนำคอร์สปลูกผม 1,000 กราฟท์ ส่วนช่วงปลูกผม 2,000 กราฟท์ ราคาประมาณ 70,000 – 300,000 บาท และช่วงปลูกผม 3,000 กราฟท์ ราคาประมาณ 90,000 บาท เป็นต้นไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคลินิกปลูกผม รวมไปถึงเทคนิคของหมอด้วยเช่นกัน

ส่วนปลูกผมราคาเหมานั้นหมายความว่า เราจะปลูกผมกี่กราฟท์ก็จ่ายในราคาเดียว อาจจะต้องตัดสินใจให้ดี ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราต้องปลูกผมกี่กราฟท์ แล้วราคาเหมานั้นคุ้มหรือไม่ หรือถ้าให้ดีควรดูราคาตามจำนวนกราฟท์ดีที่สุด และยังมีการปลูกผมบางเทคนิค เช่น การปลูกผมยาวในผู้หญิงที่ราคาอาจจะสูงหน่อย เนื่องจากเป็นการปลูกผม FUE ราคาสูงประมาณ 100,000 – 200,000 บาท ในช่วง 1,000 กราฟท์ โดยจะไม่มีการโกนผม เรียกว่า Long hair MicroTRIM FUE ทำให้ยังคงความสวยงามอยู่เหมาะสำหรับผู้หญิงเป็นอย่างยิ่ง

ทำไมปลูกผมแต่ละคลินิก ราคาแตกต่างกัน

ปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมราคาปลูกผมแต่ละคลินิกจึงแตกต่างกัน มาดูกันว่าการปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง

1.เทคนิคการปลูกผม

การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับเทคนิคการปลูกผมเป็นส่วนมาก โดยเทคนิคที่ใช้ในการปลูกผม ได้แก่ FUE (Follicular Unit Extraction) เป็นการย้ายเซลล์รากผมจากด้านหลังศีรษะบริเวณเหนือกกหู (Donor Area) ออกมาทีละกราฟท์หรือเป็นกอ แล้วนำไปปลูกบริเวณที่ต้องการ หรืออีกวิธีคือ FUT (Follicular Unit Transplantation) เป็นการตัดผิวหนังชั้นบนออกมาพร้อมกับเซลล์รากผมแล้วนำเซลล์รากผมมาแบ่งเป็นกราฟท์และไปปลูกบริเวณที่ต้องการ ส่วนวิธี Long Hair FUE เป็นวิธีที่มีความคล้ายกับ FUE แต่จะใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อให้ได้ผมยาวมาปลูกต่อ

2.จำนวนกราฟท์

การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟท์ด้วยเช่นกัน ยิ่งมีจำนวนกราฟท์เยอะมากเท่าไหร่ ก็จะต้องมีความยากกว่าและใช้เวลานานกว่า หากเป็นวิธีการปลูกผมที่มีการผ่าตัดหนังศีรษะด้วยแล้ว ก็จะต้องมีการเย็บแผล นำเซลล์รากผมไปเป็นกอ โดยใช้ปากกาปลูกผมช่วยนำส่งกอผมได้อย่างมีสภาพสมบูรณ์

3.คุณภาพของเครื่องมือและอุปกรณ์ 

การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องมือและอุปกรณ์ ในบางกรณีอาจต้องมีการใช้ปากกาปลูกผม  (Implanter) เพื่อรักษาเซลล์รากผมให้เกิดความบอบช้ำน้อยที่สุด ส่งผลให้ผมนั้นปลูกติดหรือทำให้ปลูกติดได้ง่ายมากขึ้น

4.บริการดูแลหลังปลูกผม

การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับบริการดูแลหลังปลูกผม ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน คลินิกปลูกผมที่ดีควรจะมีการดูแลหลังการรักษา ไม่ว่าจะเป็น การใช้ Treatment, การฉีด PRP หรือเกล็ดเลือดเข้มข้นจุดที่ผมร่วงหรือผมบาง เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผม, การใช้เลเซอร์ LLLT ยิงเมื่อกระตุ้นเซลล์รากผม ให้สารอาหารมาเลี้ยง ทำให้แผลสมานเร็ว ลดการอักเสบและยังทำให้ผมร่วงลดลงด้วย, การฉายแสง Laser Hair Growth ทำให้เลือดมาหล่อเลี้ยงมากยิ่งขึ้น ทำให้ผมแข็งแรง เส้นใหญ่ ไม่ขาดง่ายเปราะบาง ทำให้ผมหนาขึ้นมาได้ เป็นต้น

5.ความเชี่ยวชาญของแพทย์

การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ หากเลือกพบแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญก็จะทำให้การปลูกผมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดแผลเป็นน้อย อัตราการงอกของผมสูง รูปทรงของแนวผมก็จะมีส่วนรับกับคนไข้เอง ให้ผลเป็นที่พึงพอใจ

แนะนำ “Dr.Tarinee Hair Clinic”คลินิกปลูกผมราคาดี 

Dr.Tarinee Hair Clinic คลินิกปลูกผม ราคาดี

หากคุณกำลังมองหาคลินิกปลูกผม ราคาดี มีคุณภาพ อาจใช้เวลาสักหน่อยในการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อจะได้พิจารณา ว่าคลินิกใดมีความคุ้มค่ามากที่สุด สำหรับคลินิกปลูกผมคุณภาพอย่าง “Dr.Tarinee Hair Clinic” เป็นคลินิกที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องมือทันสมัยและการรักษาที่เป็นไปตามมาตรฐาน ราคาอยู่ในช่วงที่จับต้องได้ ในส่วนของตัวคุณหมอนั้นมีความเชี่ยวชาญทางโรคผิวหนัง โรคเส้นผม และยังมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านการปลูกผม ที่สำคัญคุณหมอยังเป็นเจ้าของคลินิกเอง ดูแลเองทุกขั้นตอน จึงสามารถที่จะควบคุมคุณภาพและมาตรฐานได้

นอกจากความมืออาชีพแล้ว คุณหมอยังเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย ใส่ใจคนไข้อย่างเต็มที่ เป็นคลินิกที่สามารถให้การรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ นอกจากนี้ยังมีการดูแลหลังการผ่าตัดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น การติดตามผลการรักษา นัดดูแผลพร้อมกับทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ มีการรักษาผมบางร่วมด้วย เช่น การให้ยารับประทาน, การฉีด Premium PRP, การทำ Hair Treatment, การฉายแสงไม่จำกัดจำนวนครั้ง และมีการตรวจประเมินโดยแพทย์ทุกครั้ง

ปลูกผมคืออะไร? รวมข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกผม

0
ปลูกผม

 

ปลูกผม

ผมบาง ศีรษะล้าน เป็นปัญหาที่พบบ่อย และเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กรรมพันธ์ ความเครียด ขาดวิตามิน ความเจ็บป่วยไม่สบาย การปลูกผม เป็นรักษาผมบางศีรษะล้านที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลดี และเราควรจะเลือกปลูกผมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและผลการรักษาที่ดี

เนื่องจากการปลูกผมเป็นหัตถการรักษาที่อาศัยความชำนาญด้านศัลยกรรมปลูกผม และมีข้อควรระวังที่ทุกคนควรทราบก่อนเข้ารับการปลูกผม ซึ่งต่อจากนี้จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับการปลูกผมเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน รวมถึงสามารถนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่อยากปลูกผม รักษาศีรษะล้านให้เส้นผมกลับมาขึ้นเหมือนเดิม


ทำความรู้จัก “ปลูกผม”  

hair transplant คือ

ปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน มีการรักษามาตรฐานได้ด้วยยารับประทาน ยาทา หรือจะเสริมการรักษาด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น แต่เมื่อรากผมฝ่อไปแล้ว จะไม่สามารถกระตุ้นได้ด้วยยารับประทาน หรือยาทา คุณหมอจะแนะนำการปลูกผมเป็นการรักษาที่ช่วยให้คนไข้มีความมั่นใจกลับคืนมาได้

ปลูกผม คืออะไร

ปลูกผม หรือ Hair Transplant คือ นำกอผมที่มีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่มาปลูกบริเวณที่ผมบางศีรษะล้าน โดยเซลล์ที่นำมาปลูกผมจะมาจากส่วนของท้ายทอยเนื่องจากมีความแข็งแรง และไม่ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมน DHT หลังจากที่ปลูกผมลงบริเวณที่มีเส้นผมเบาบางแล้วผมก็จะเริ่มยาวออก ซึ่งผมตรงส่วนที่เราปลูกถ่ายก็จะมีการหลุดร่วงและงอกใหม่ตามวงจรปกติ

ผลลัพธ์ของศัลยกรรมปลูกผมจะคงอยู่ถาวร ไม่ว่าเราจะตัดหรือโกนมันออกก็ตาม นอกจากการปลูกผมจะช่วยแก้ปัญหาผมบางศีรษะล้านแล้ว ยังสามารถนำมาประยุกต์เพื่อกลบรอยแผลบริเวณคิ้วหรือหนังศีรษะได้อีกด้วย

ปลูกผม มีขั้นตอนการทำอย่างไร

การปลูกผมมีรูปแบบวิธีการรักษาเส้นผมหลุดร่วงอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ คือ ปลูกผม FUE และปลูกผม FUT ซึ่งวิธีการทั้งสองมีการนำกอผมออกมาจากท้ายทอยแตกต่างกัน แต่การปลูกที่เหมือนกัน รวมถึงปลูกผม FUE ยังมีเทคนิคย่อย ๆ แยกออกไปอีกต่างหาก แต่ตรงนี้จะเป็นการอธิบายขั้นตอนการปลูกผมให้ทุกคนเข้าใจง่าย ๆ มาเริ่มดูกันเลยดีกว่าว่าแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร

ปลูกผม FUE เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่เป็นแผลยาว และสามารถนำเซลล์รากผมไปปลูกบริเวณที่ต้องการด้วยเครื่องเจาะไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยขั้นตอนปลูกผมแบบ FUE สามารถสรุปได้ดังนี้

  1. แพทย์ทำการวาดออกแบบแนวเส้นผมตามโครงหน้าของคนไข้ ก่อนจะคำนวณกราฟต์สำหรับการปลูกผม
  2. หลังจากคำนวณเรียบร้อย แพทย์จะทำการคัดเลือกเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอย ก่อนจะทำการฉีดยาชาพร้อมโกนผมบริเวณดังกล่าวออก
  3. นำเครื่องเจาะไฟฟ้า 0.8-1.0 มิลลิเมตร เจาะบริเวณผิวหนัง เพื่อดึงเซลล์รากผมก่อนนำไปเก็บรักษาไว้ในน้ำเลี้ยงเซลล์โดยเฉพาะ
  4. ฉีดยาชาบริเวณที่เส้นผมบางพร้อมด้วยยาห้ามเลือด จากนั้นแพทย์จะทำการปลูกถ่ายเส้นผมโดยอุปกรณ์ปากกานำส่งรากผม เพื่อถนอมกอผมให้สมบูรณ์ที่สุด

ปลูกผม FUT เป็นวิธีการปลูกผมที่จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อแยกเซลล์รากผมออกมา โดยแพทย์จะทำการคัดเลือกเซลล์รากผมที่แข็งแรงก่อนนำไปปลูกบริเวณที่ศีรษะล้าน แผลจากการผ่าตัดจะมีลักษณะเป็นแผลยาวทรงสี่เหลื่อมผื่นผ้านาว 15-20 เซนติเมตร กว้าง 1.5/2 เซนติเมตร แผลผ่าตัดใช้เวลาพักฟื้นหลังเย็บแล้ว 7-10 วัน จึงจะตัดไหมออก ขั้นตอนปลูกผมแบบ FUT สามารถสรุปได้ดังนี้

  1. แพทย์ทำการวาดออกแบบแนวเส้นผมตามโครงหน้าของคนไข้ ก่อนจะคำนวณกราฟต์สำหรับการปลูกผม
  2. จากนั้นแพทย์จะทำการฉีดยาชาพร้อมโกนผมออก และเริ่มผ่าตัดบริเวณท้ายทอยเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อทำการคัดเลือกเซลล์รากผม 
  3. หลังจากที่คัดเลือกเซลล์สำหรับปลูกผมเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะปิดแผลด้วยเทคนิคพิเศษ Trichophytic Closure ซึ่งทำให้ไม่เกิดแผลเป็น และผมสามารถงอกจากแผลเหมือนปกติ
  4. เมื่อได้หนังศีรษะจากการผ่าตัดแล้วแพทย์จะนำมาเก็บไว้ในน้ำเลี้ยงเซลล์ เพื่อคัดแยกเซลล์รากผมที่แข็งแรงมีคุณภาพ
  5. สุดท้ายแพทย์จะทำการฉีดยาชาบริเวณหนังศีรษะที่ต้องการรักษาผมร่วง พร้อมด้วยยาห้ามเลือด จากนั้นแพทย์จะทำการปลูกถ่ายเส้นผมโดยอุปกรณ์ปากกานำส่งรากผม เพื่อถนอมกอผมให้สมบูรณ์ที่สุด

ปลูกผม เจ็บไหม

สำหรับคนที่กังวลว่าปลูกผมแล้วจะเจ็บตอนระหว่างที่แพทย์เจาะลงมาบนหนังศีรษะ ในขั้นตอนนี้แพทย์จะมีการฉีดยาชาเฉพาะจุดให้กับคนไข้ โดยจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บในระหว่างขั้นตอนการปลูกผม


ประโยชน์ของการปลูกผม  

ก่อนจะทำการปลูกผมก็ควรทราบถึงข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน รวมถึงประโยชน์ของการรักษาผมร่วงด้วยวิธีปลูกผมด้วย ซึ่งการเห็นถึงประโยชน์ของการปลูกผมก็จะช่วยให้เราสามารถพิจารณา และตัดสินใจได้ว่าตัวของเราเองควรจะรักษาผมร่วงด้วยวิธีการดังกล่าวดีหรือไม่ โดยประโยชน์ของการปลูกผมสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

  • รักษาอาการผมร่วงที่เกิดจากกรรมพันธุ์ ผมบางตามวัย หรือ อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ
  • หากมีรอยแผลบริเวณคิ้ว หรือหนังศีรษะก็สามารถปลูกผมเพื่อกลบรอยแผลได้
  • ช่วยปรับโครงหน้าตามแผนที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนออกแบบเอง
  • ผมที่ปลูกไปแล้วมีคุณสมบัติเหมือนเส้นผมจริง คือ มีการหลุดร่วงและงอกใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ผมที่ปลูกสามารถงอกใหม่ได้ตลอด โดยที่ไม่จำเป็นต้องรักษาซ้ำ ๆ หลายครั้ง

ปลูกผม มีระยะพักฟื้นนานไหม

สำหรับการพักฟื้นหลังจากปลูกผมแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีตามรูปแบบหัตถการที่เรารักษากับทางแพทย์ กรณีของการปลูกผมแบบ FUE แผลมีขนาดเล็กสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้ตามปกติเพียงระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ หรือนำมือไปแกะบริเวณแผล ส่วนปลูกผมแบบ FUT แผลเย็บขนาดเล็กๆเป็นเส้นยาว และต้องรอตัดไหม7-10วัน เมื่อแผลหายผมยาวลงมาปิดเแผลได้


แนะนำคลินิกปลูกผม Dr.Tarinee Hair Clinic

คลินิกปลูกผม

ส่วนคนที่เจอกับปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน ต้องการแก้ไขผมเถิก หรือปรับกรอบรูปหน้า อยากปลูกผมแต่ไม่รู้ว่าจะไปพบแพทย์ที่ไหนดี เราขอแนะนำ Dr.Tarinee Hair Clinic โดยแพทย์หญิง ธาริณี ก่อวิริยกมล (คุณหมอแก้ว) เป็นแพทย์ที่มีความชำนาญด้านโรคที่เกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ รวมถึงศัลยกรรมปลูกผมด้วย โดยทางคลินิกจะมีแพทย์คอยดูแลคนไข้ทุกเคสเลย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ใกล้คุณ

คุณหมอแก้วและคลินิกผ่านประสบการณ์การทำงานมาตลอด 15 ปี มีการดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความทันสมัย แนะนำ Dr.Tarinee Hair Clinic


ปลูกผมกับคลินิกสยบปัญหาผมบางศีรษะล้าน

หากเจอปัญหาผมบางศีรษะล้าน ผมเถิก สนใจเรื่องการปลูกผม แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอแก้ว เพราะนอกจากจะดูแลเรื่องปลูกผมแล้ว ยังช่วยดูแลให้ผมอยู่กับเราไปได้นานนาน คุณหมอรักษาทั้งผมร่วง ผมบางศีรษะล้าน ด้วยยา และการผ่าตัดเป็นแบบองค์รวม


ปลูกผม FUE รักษาศีรษะล้านอย่างได้ผล ไร้รอยแผลเป็น

0
ปลูกผม FUE ราคา

ปลูกผม FUE ราคา

ปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เป็นเรื่องหนักใจ สำหรับผู้มีความจำเป็นต้องพบปะกับผู้คนอยู่เป็นประจำ ยิ่งการติดต่อเจรจาทางธุรกิจแล้ว ยิ่งต้องมีภาพลักษณ์ที่ดีอยู่เสมอ หลายคนที่เกิดปัญหาศีรษะล้าน จึงหันไปพึ่งการทำศัลยกรรมปลูกผม FUE เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ด้วยนวัตกรรมการปลูกผม FUE ในปัจจุบัน ได้พัฒนาไปไกลมาก สามารถแก้ไขปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านได้อย่างตรงจุด เห็นผลได้ดี ใช้เวลาทำไม่นาน และยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ซึ่งนวัตกรรมนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการปลูกผม FUE ราคาไม่แพง และให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ หากคุณกำลังเป็นผู้ประสบกับปัญหาดังกล่าว การปลูกผม FUE คือคำตอบ อย่ารอช้ารีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข

เทคนิคปลูกผม FUE คืออะไร

การปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) คือเทคนิคการปลูกผมด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดผม โดยใช้ Micropunch หรือเครื่องมือทางการแพทย์ขนาดเล็ก ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.6 – 1.0 มิลลิเมตร นำมาเจาะเอากอผมที่มีเซลล์ผมต้นกำเนิดออกทีละกอ จากนั้นนำกอผมไปปลูกถ่ายบริเวณที่เกิดปัญหา โดยใช้อุปกรณ์พิเศษอย่าง Forceps หรือปากกาปลูกผม เจาะฝังกอรากผมลงไปอย่างตรงจุด หลังจากปลูกผมเสร็จ ผมก็จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง

จุดเด่นของการปลูกผม FUE

สิ่งที่ทำให้การปลูกผม FUE ได้รับความนิยม นอกจากจะเป็นวิธีที่มีความปลอดภัย และเห็นผลได้ดีแล้ว ยังมีข้อดีอีกมากมาย โดยจุดเด่นของการปลูกผม FUE คือ

  1. การปลูกผม FUE ไร้รอยแผลเป็น เนื่องจากรอยเจาะปลูกผมมีขนาดเล็กมาก
  2. เจ็บน้อย หายเร็ว เพราะเป็นการเจาะปลูกผม ไม่ได้ผ่าตัดหนังศีรษะ จึงทำให้ไม่เกิดรอยแผลเป็นยาว เจ็บน้อย และไม่ใช้เวลาพักฟื้นนาน
  3. ผมที่เกิดขึ้นใหม่มีความแข็งแรง ดูเป็นธรรมชาติ
  4. สามารถปลูกผมทับบริเวณที่ศีรษะล้าน ผมแหว่ง หรือรอยแผลเป็นได้
  5. รักษาปัญหา ผมบาง ศีรษะล้านที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้

ใครควรปลูกผม FUE บ้าง

ปลูกผม FUE ไม่ขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนต้องการทำศัลยกรรมปลูกผม FUE คือการเสริมความงาม สร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดจากปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน หัวเถิก ซึ่งการปลูกผมจะช่วยปรับกรอบรูปหน้าให้สวยงาม ผมที่ขึ้นใหม่ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งวิธีการปลูกผม FUE เหมาะกับผู้ที่ประสบกับปัญหาเหล่านี้

  • ผู้ที่มีรอยแผลเป็นและต้องการปลูกผมเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นดังกล่าว
  • ผู้มีปัญหาศีรษะล้าน ผมบางที่เกิดจากกรรมพันธุ์
  • ผู้ที่มีปัญหาหัวเถิก หน้าผากกว้าง หรือผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้า ให้แนวผมรับกับใบหน้า ดูสวยงามมากขึ้น ตลอดจนเสริมโหงวเฮ้ง
  • ผู้ที่รักษาผมบางจากกรรมพันธุ์ด้วยยาแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ
  • ผู้ที่ต้องการใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน หายเร็ว และประหยัดเวลาในการรักษา

ความแตกต่างของการปลูกผม FUE กับเทคนิคอื่น ๆ

เทคนิคการปลูกผมในแต่ละรูปแบบย่อมมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนไข้ โดยหัวข้อนี้เราจะพาคุณไปหาคำตอบกันว่าการปลูกผม FUE มีความแตกต่างกับการปลูกผมด้วยเทคนิคอื่นอย่างไร

  • การปลูกผม FUT คือการปลูกผมยอดนิยมอีกรูปแบบหนึ่ง สามารถแก้ไขปัญหาศีรษะล้านได้อย่างเป็นอย่างดี โดยวิธีนี้จะใช้การผ่าตัดหนังศีรษะออกเป็นแถบกว้างประมาณ 1.5 – 2 เซนติเมตร ยาว 10 – 15 เซนติเมตร นำมาแยกเซลล์ต้นกำเนิดผ่านกล้องจุลทรรศน์ ก่อนนำเซลล์รากผมที่แข็งแรง ไปปลูกบริเวณที่ต้องการ ซึ่งจะแยกจำนวนกราฟผมได้มากกว่าการปลูกผม FUE ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่า แต่มีรอยแผลเป็น ลักษณะเป็นเส้นยาว ๆ เล็ก ๆ
  • การปลูกผมแบบ DHI คือการปลูกผมโดยใช้อุปกรณ์ช่วยนำส่งกอผมลงไปบริเวณที่เราต้องการปลูกผม หรือปลูกคิ้ว ด้วยเครื่องมือปากกา Implanter ที่ต้องอาศัยฝีมือแพทย์ที่มีความชำนาญโดยเฉพาะ หลังทำจะมีแผลเป็นขนาด 0.5 – 0.9 มิลลิเมตรซึ่งมีขนาดเล็ก ส่วนการปลูกอีกแบบ FUE คือการ ใช้เครื่องมือ Forceps ในการปลูกผม ซึ่งทั้งสองแบบได้ผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกัน ขึ้นกับความชำนาญของแพทย์ผู้ปลูก

แนะนำคลินิกปลูกผม FUE “Dr.Tarinee Hair Clinic”

การปลูกผม FUE คือวิธีแก้ไขปัญหาผมบาง หัวเถิก ศีรษะล้าน ที่ได้ผลดี ใช้เวลาการผ่าตัดไม่นาน หลังจากนั้นคนไข้สามารถกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านได้เลย ซึ่งผมที่ปลูกใหม่จะใช้เวลาในการเจริญเติบโตประมาณ 1 – 1.5 ปี เจ็บน้อย การปลูกผม FUE จะได้ผมที่ขึ้นใหม่ดูเป็นธรรมชาติ ดกดำ สวยงาม

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาคลินิกรักษาปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน หรือต้องการปรับกรอบรูปหน้าให้สวยงาม เพิ่มโหงวเฮ้ง ขอแนะนำ Dr.Tarinee Hair Clinic ผู้เชี่ยวชาญทุกปัญหาเรื่องผม ปลูกผม FUE ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย พร้อมทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ดูแลคนไข้มาแล้วกว่า 3,000 ราย สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเส้นผมและหนังศีรษะได้อย่างตรงจุด คืนความมั่นใจให้กับคุณอีกครั้ง สนใจสอบถามขอรับคำปรึกษาฟรีได้ที่

  • Website : Dr.Tarinee Hair Clinic
  • Line : @drtarinee
  • Facebook : Dr.Tarinee Hair Clinic ปลูกผม รักษา ผมร่วง ผมบาง

ข้อเข่าเสื่อม โรคใกล้ตัว อันตรายที่ควรป้องกัน

0
โรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นปัญหาทางด้านสุขภาพที่สามารถพบได้ในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากการใช้งานเข่าสะสมมาเป็นเวลานาน แต่โรคนี้ไม่ได้เกิดเพียงกับผู้สูงอายุเท่านั้น แม้แต่ในกลุ่มผู้อายุน้อยเอง สามารถเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำหนักตัวที่มากเกินเกณฑ์ การใช้ข้อเข่าผิดธรรมชาติหรือรุนแรง อุบัติเหตุ การไม่ถนอมการใช้งาน จนทำให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติที่ควรเป็น ในบทความนี้จะพาเพื่อนๆ มารู้จักกับโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น เพื่อรับการป้องกัน การดูแลและการรักษาอย่างถูกวิธี


ข้อเข่าเสื่อม 

อาการข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นอาการของโรคข้ออักเสบของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่า สาเหตุเกิดจากการใช้งานข้อเข่าอย่างหนักเป็นเวลานาน จนเกิดความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ เมื่อกระดูกอ่อนที่ควรห่อหุ้มเข่าบางลงหรือไม่มี กระดูกจึงเกิดการชนกันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการปวดหรือบาดเจ็บ อีกทั้งเข่ายังเป็นส่วนที่มีการใช้งานหนัก รองรับน้ำหนักของร่างกายโดยตรง ทำให้กระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่าเสื่อมเกิดการสึกหรอจากการเสียดสีเป็นเวลานาน ฉีกขาด และเสื่อมสภาพลง รวมถึงปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น การออกกำลังกาย หรือการกระทำอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่า เช่น การนั่งยอง เมื่อกระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าเสื่อมมีอาการสึกหรอมากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการปวดเข่าและการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเวลาขยับเข่า อีกทั้งยังทำให้มีอาการติดแข็ง งอเข่า-เหยียดได้ไม่สุด ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน


ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม 

โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากการสะสมของการใช้ข้อเข่าเป็นระยะเวลานาน จนทำให้กระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่าเสื่อมสภาพและมีอาการรุนแรงมากขึ้นตามเวลา ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อโรคข้อเข่าเสื่อม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. การเสื่อมแบบปฐมภูมิ คือการเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นการเสื่อมของกระดูกอ่อนตามวัย ส่วนใหญ่พบในคนที่มีอายุเฉลี่ย 40-50 ปีขึ้นไป พบในเพศหญิงมากกว่าเพญชาย 2-3 เท่า เนื่องจากฮอร์โมนภายในเพศหญิงเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ หรือปัจจัยอื่นร่วม เช่น น้ำหนักที่เกินมาตรฐาน การเคลื่อนไหวท่าทางที่ส่งผลกระทบแรงกดต่อข้อเข่า เช่น การนั่งยอง การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ หรือความบกพร่องของส่วนประกอบของข้อที่เกิดจากกรรมพันธุ์
  2. การเสื่อมแบบทุติยภูมิ คือการเสื่อมโทรมของสภาพผิวข้อเข่าที่ทราบสาเหตุ เป็นการเสื่อมจากผลกระทบอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บเรื้อรัง กีฬา การทำงาน โรคข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคต่อมไร้ท่อ ข้ออักเสบ กระดูกหัวเข่าแตก หรือมีอาการติดเชื้อ

ระดับความรุนแรงโรคข้อเข่าเสื่อม

1. ระยะแรก

  • ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดบริเวณเข่า เจ็บข้อเข่าหากเคลื่อนไหวในท่าทางที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่า เช่น การนั่งยอง การขัดสมาธิ การพับเพียบ การเดินหรือวิ่งเป็นระยะเวลานาน การเดินขึ้น-ลงบันได
  • ขยับข้อเข่าไม่สะดวกหลังจากตื่นนอน หรืองอเข่าได้ไม่สุด
  • อาการปวดอยู่เพียงไม่นานและสามารถหายได้เมื่ออยู่ในท่าทางที่ไม่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่า

2. ระยะปานกลาง

  • มีเสียงดังกรอบแกรบในบริเวณข้อเข่าเสื่อมเมื่อทำการเคลื่อนไหว รู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูก
  • งอเข่าไม่สะดวก ทำให้ลุก-นั่งได้ลำบาก
  • เมื่อใช้มือกดลงแรงแล้วมีอาการเจ็บ หรือบริเวณข้อเข่าเสื่อมมีอาการบวม
  • เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าบริเวณเข่าอุ่น 
  • ต้องใช้ยาแก้ปวดในการดำเนินชีวิตประจำวัน

3. ระยะรุนแรง

  • มีอาการปวดรุนแรงมากขึ้นแม้จะไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อเข่าหรือมีอาการปวดอยู่ตลอดเวลา
  • หากสัมผัสบริเวณข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการบวม หรือมีกระดูกบางส่วนงอผิดปกติ
  • เหยียดหรืองอเข่าได้ไม่สุด
  • มีการตรวจพบน้ำในช่องข้อ ข้อเข่าบิดเบี้ยวผิดรูป
  • ใช้ชีวิตประจำวันได้ลำบาก 

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม

ผู้เสี่ยงข้อเข่าเสื่อม

  • ผู้สูงอายุ มีโอกาสเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 40-50 ปีขึ้นไป โดยผู้หญิงมีโอกาสเกิดมากกว่าผู้ชายเนื่องจากฮอร์โมนทางเพศ มวลกระดูก และกล้ามเนื้อ
  • ผู้อายุน้อย เช่น ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุ ผู้มีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ส่งผลต่อเข่าที่รับน้ำหนักมากขึ้น ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลกระทบต่อไขข้อ

การตรวจอาการข้อเข่าเสื่อม

แพทย์ต้องทำการประเมินเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยขั้นต้น เพื่อวิเคราะห์และวินิจฉัยโรค โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้

  • ทำการตรวจพื้นฐานและทำแบบประเมิน เพื่อประเมินเบื้องต้น
  • ตรวจโดยการเอกซเรย์ช่องว่างระหว่างกระดูกบริเวณข้อเข่าเสื่อม หาจุดที่มีแนวโน้มว่าเกิดการเสียดสีของปุ่มกระดูกหรือหาบริเวณที่มีกระดูกงอก หรือการทำ MRI เพิ่มเพื่อความชัดเจนของภาพ ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณข้อเข่า
  • การเจาะเลือด เพื่อหาโรคที่เกี่ยวข้อง
  • แพทย์รับผลและประเมินความรุนแรงของอาการข้อเข่าเสื่อมเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม

วิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมเบื้องต้น

วิธีรักษาข้อเข่าเสื่อม

1. การรักษาที่ไม่ใช้ยา

การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต เพื่อลดหรือบรรเทาอาการและความเสี่ยงที่จะปวดข้อเข่าเสื่อม เช่น การลดน้ำหนัก การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กายบริหาร การใช้งานเข่าอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการนั่งคุกเข่า ขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ การยกของหนัก การเดินขึ้น-ลงบันได

2. การกายภาพบำบัด

การฟื้นฟูบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าเพื่อลดหรือบรรเทาอาการปวดบริเวณข้อเข่าเสื่อม การใช้ความร้อน การทำอัลตราซาวด์ การใช้เลเซอร์ การใช้เฝือก

3. การใช้ยา

แบบยารับประทานหรือแบบฉีดตามที่ผู้ป่วยสะดวก เพื่อบรรเทาอาการปวดและอาการข้อเข่าเสื่อม ช่วยลดการอักเสบและอาการปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ยาที่ไม่ใช้สารสเตียรอยด์ ยาพยุงหรือลดความเสื่อม หากเป็นยาที่มีสารสเตียรอยด์ แม้จะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ แต่ไม่ควรฉีดเป็นประจำ โดยยาแต่ละตัวเป็นยาที่ต้องได้รับการดูแลและสั่งจ่ายภายใต้คำปรึกษาของแพทย์


วิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยการผ่าตัด

1. ผ่าตัดโดยวิธีส่องกล้อง

การผ่าตัดข้อเข่าเสื่อมรูปแบบใหม่จะใช้กล้องวิดิโอขนาดเล็กสอดเข้าไปในบริเวณข้อเข่า เพื่อให้เห็นส่วนต่างๆ ภายในข้อเข่าได้อย่างชัดเจน ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาหมอนรองข้อเข่าขาด เอ็นข้อเข่าขาด กระดูกอ่อนแตก ข้อเข่าล็อค ซึ่งมีการผ่าตัดหลายวิธี

  • การผ่าตัดเพื่อให้ผิวข้อเข่าเข้ามาชิดกัน
  • การาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเสื่อม
  • การตัดเปลี่ยนแนวกระดูก

2. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมจะช่วยลดอาการปวดของข้อเข่า ทำให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกมากขึ้นด้วยข้อเข่าเทียมที่มาทดแทน ในปัจจุบันสามารถทำได้ 2 วิธีคือ 

  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเสื่อมทั้งหมด
  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเสื่อมบางส่วน 

การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม

  • หลีกเลี่ยงการกระทำท่าทางที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่าเสื่อม เช่น การนั่งพับเพียบ คุกเข่า นั่งขัดสมาธิ นั่งยอง หรือการเล่นกีฬาที่ส่งผลให้ข้อเข่าทำงานหนัก
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • การควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากน้ำหนักตัวจะส่งผลต่อแรงที่กระทำต่อข้อเข่า เซลล์ไขมันส่งผลกระทบต่อเซลล์กระดูก
  • ไม่ใช้หมอนรองใต้เข่าเวลานอน ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด
  • จัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางเดิน หากต้องเดินขึ้น-ลงบันไดให้จับราวบันได ใช้วัสดุกันลื่น

ข้อสรุป

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นอาการของโรคข้ออักเสบที่ไม่ได้พบบ่อย ส่วนใหญ่พบในเพียงกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้นแต่ปัจจุบันในกลุ่มผู้อายุน้อยเองก็มีการพบผู้ป่วยที่มีอาการนี้มากขึ้น เนื่องจากการใช้งานข้อเข่าที่มากเกินไป การยกของหนัก น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น การออกกำลังกายผิดสุขลักษณะ การรับประทานอาหารไม่ตรงตามโภชนาการ อุบัติเหตุ และสาเหตุอื่นๆ ประกอบ

เนื่องจากข้อเข่าเป็นอวัยวะที่รับน้ำหนักจากร่างกายทั้งหมด จึงเป็นส่วนสำคัญที่ควรให้ความใส่ใจและดูแล เมื่อเกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดบริเวณเข่า หรือเจ็บขณะเคลื่อนไหว มีเสียงดังกรอบแกรบ งอเข่าไม่สะดวก ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์และทำการรักษาเบื้องต้น เพื่อไม่ให้อาการบาดเจ็บรุนแรงมากกว่านี้ โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมหรือเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์โรงพยาบาลสมิติเวช ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-118-7893 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือผ่านทางไลน์โรงพยาบาล @samitivejchinatown


Ulthera คืออะไร ? เหมาะกับใคร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง อยู่ได้นานแค่ไหน ?

0
Ulthera

Ulthera

Ulthera

การทำ Ulthera เป็นทางเลือก สำหรับผู้ที่มองหาวิธีการที่ดีที่สุดในการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้นครับ ปัจจุบัน Ulthera เป็นเทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะช่วยแก้ปัญหาได้หลายด้าน ทั้งปรับรูปหน้าเรียว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน รวมถึงยกหางตา ยกคิ้ว ลดเลือนริ้วรอยได้ด้วยการทำเพียง 1 ครั้ง สามารถให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจนาน 1 ปี

Ulthera คืออะไร ? 

Ulthera คืออะไร

Ulthera (อัลเทอร่า) หรือ Ultherapy คือ เทคโนโลยียกกระชับแบบ Original ที่ทำงานด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์แบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) 

ในการทำงานของเครื่อง Ulthera แพทย์จะยิงพลังงานจากตัวเครื่องส่งไปยังใต้ผิว เพื่อให้เกิดความร้อน ขนาด 60-70°C โดยพลังงานที่ยิงสามารถลงได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) ด้วยจุดพลังงานขนาด 1 mm. ลักษณะเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว จึงช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย ผิวยกกระชับขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัดครับ

Ulthera มีกี่หัว แต่ละหัวช่วยเรื่องอะไร ? 

หัว Ulthera จะมีทั้งหมด 3 แบบครับ โดยแต่ละหัวจะลงลึกถึงชั้นผิวในระดับที่ต่างกัน เพื่อแก้ปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละชั้นผิว

หัวยิง Ulthera SPT

  • หัวยิงความลึก 1.5 mm. ใช้กับผิวชั้นบน ช่วยเรื่องริ้วรอย ร่องลึกในระดับที่ไม่ลึกมาก
  • หัวยิงความลึก 3.0 mm. ใช้กับผิวชั้นกลาง กระชับชั้นไขมัน ลดเซลลูไลท์ กระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อยของผิว
  • หัวยิงความลึก 4.5 mm. ใช้กับผิวชั้น smas ที่ปกติจะใช้ผ่าตัดดึงหน้าให้กระชับ สามารถยกแก้ม เหนียง และลำคอ เก็บกรอบหน้า

 Ulthera ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

Ulthera ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

  • กระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวผิวจากชั้นลึก กระชับรูขุมขน ผิวแน่น กระชับขึ้น ปรับผิวเรียบเนียน  ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ปรับรูปหน้า ยกกระชับผิว เก็บกรอบหน้า ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย 
  • ลดเหนียง เก็บคางสองชั้น กระชับผิวบริเวณลำคอให้ตึงขึ้น
  • ลดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา
  • ช่วยยกหางคิ้วและหางตา
  • ช่วยกระชับผิวบริเวณต้นแขน หน้าท้อง ลดความย้วยและความหย่อนคล้อยของผิว

Ulthera เหมาะกับใคร ?

Ulthera เหมาะกับใคร

  • คนที่มีใบหน้าหย่อนคล้อยอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น ผิวขาดคอลลาเจน  
  • คนที่มีริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องน้ำหมาก มีแก้มห้อย
  • คนที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา หางตา 
  • คนที่มีปัญหาหนังตาตก หางตาตก คิ้วตก แต่ยังไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า และไม่มีเวลาพักฟื้น การทำ Ulthera สามารถช่วยยกคิ้ว ยกหนังตาเห็นผลได้ดี โดยไม่ทำให้โครงสร้างบนใบหน้าเปลี่ยนแปลง
  • คนที่มีไขมันที่แก้มไม่เยอะมาก ต้องการปรับหน้าเรียว มีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น เห็นแนวกราม ลดเหนียง
  • คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับ รูขุมขนเล็กลง เรียบเนียน เพราะการทำ Ulthera สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชั้นลึกได้ โดยทำเพียงปีละครั้ง ก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

Ulthera ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? 

Ulthera ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง

  • ใบหน้า ยกกระชับผิวหน้า ยกแก้มหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน ผิวดูอิ่มฟูขึ้น 
  • รอบดวงตา ใต้ตา ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดถุงใต้ตา 
  • คิ้ว หางตา ยกคิ้ว ยกหางตา หนังตาตก ทำให้ตาโตขึ้น 
  • ใต้คาง เหนียง ลำคอ ลดเหนียง ลดคางสองชั้น กระชับผิวบริเวณลำคอให้ตึงขึ้น
  • กรอบหน้า ปรับรูปหน้าเรียววีเชฟ เพิ่มกรอบหน้าชัด   
  • ร่องแก้ม มุมปาก ลดริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องน้ำหมาก ยกมุมปากตก
  • ท้องแขน หน้าท้อง สะโพก หลังมือ เพิ่มความกระชับ ลดความย้วยและหย่อนคล้อยของผิว

Ulthera อันตรายไหม ?

เครื่องยกกระชับ Ulthera จะใช้เทคโนโลยี MFU-V ที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล มีหน้าจอแสดงผลแบบ  เรียลไทม์ ทำให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวขณะยิงแก้ปัญหาผิวได้แม่นยำ ตรงจุด เจ็บน้อย เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำร้ายผิวหนังบริเวณชั้นนอก ผ่านการรับรองคุณภาพ และความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของยุโรป และ อย.ไทย มั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัยครับ

Ulthera กี่วันเห็นผล ?

หลังทำ Ulthera จะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังทำทันทีประมาณ 30% ครับ โดยชั้นผิวจะหดตัวจากความร้อนที่ Focus ลงใต้ผิว จากนั้นผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามคอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้นมา ผิวจะกระชับขึ้น เห็นผลลัพธ์ในช่วง 1-2 เดือน และเมื่อผ่านไป 2-3 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ

การปฏิบัติตัวก่อนและหลังUlthera

การปฏิบัติตัวก่อนทำ Ulthera

การทำ Ulthera เป็นหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวมากครับ หลัก ๆ จะมีข้อปฏิบัติดังนี้ครับ

  • คนไข้มาปรึกษาแพทย์ แจ้งข้อกังวลต่าง ๆ ที่อยากแก้ไข  
  • แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับ โรคประจำตัว 
  • แจ้งประวัติการผ่าตัด หรือเคยมีการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้า
  • เมื่อแพทย์ประเมินใบหน้าและปัญหาคนไข้ จะวิเคราะห์ได้ว่าคนไข้เหมาะกับการทำ Ulthera  หรือไม่ จากนั้นแพทย์ จะวางแผนการปรับรูปหน้า แจ้งจำนวน Line ในการยิงที่เหมาะสมครับ

การปฏิบัติตัวหลังทำ Ulthera

การปฏิบัติตัวหลังทำ Ulthera

  • หลังทำ Ulthera  คนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่งหน้า ทาครีมได้
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือความร้อน เช่น สตรีม ซาวด์น่า ภายหลังทำ 4-5 วัน
  • ก่อนออกแดด หรือกลางแจ้งควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
  • ไม่ควรนวด กด ใบหน้าแรง ๆ เพื่อลดการระบมและการบวมหลังทำ 
  • ในกรณีที่มีอาการบวม สามารถประคบเย็นได้ 
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งหลังทำ 2 อาทิตย์
  • งดเข้าซาวน่า สตรีม 2 อาทิตย์
  • งดเลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึกทุกชนิดใน 1 เดือนหลังทำ

Ulthera มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง ?

Ulthera ข้อดี

  • เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที 30% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น ตามคอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้น ผิวยกกระชับขึ้นใน 1-2 เดือน และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 เดือน 
  • ทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี
  • ใช้เทคโนโลยี MFU-V ที่มีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ ทำให้มองเห็นได้ถึงผิวชั้นลึก สามารถแก้ปัญหาผิวได้แม่นยำ ตรงจุด เจ็บน้อย เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
  • เป็นโปรแกรมยกกระชับใบหน้าที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล เพราะปัญหาผิวของแต่ละคนต่างกัน ทำให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ปัญหาแต่ละชั้นผิวได้ตรงจุด
  • ลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิว รวมถึงชั้น SMAS ที่เป็นผิวชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า
  • ช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์ ลดความหย่อนคล้อย และริ้วรอยเล็ก ๆ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน ที่การผ่าตัดศัลยกรรมทำไม่ได้
  • สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า กรอบหน้า เหนียง ลำคอ และเนินอก
  • ช่วยฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับเปล่งปลั่ง รูขุมขนเล็กลง เรียบเนียน 
  • ข้อเสียพบได้น้อย คือจะมีความเจ็บระหว่างที่ยิงพลังงาน (แต่ละคนมีระดับที่รับความเจ็บได้ไม่เท่ากันครับ เพราะคนไข้บางคนสามารถทนได้ และไม่เจ็บเลย)

Ulthera ราคาเท่าไร ?

Ulthera ราคาจะต่างกันไปแต่ละคลินิกครับ แต่ถ้าเป็นคลินิกที่ใช้เครื่อง Ulthera แท้ ราคาจะไม่ต่างกันมาก เพราะมีราคาต้นทุนเครื่องที่นำเข้ามาจากบริษัทเดียวกัน โดยส่วนใหญ่ Ulthera ราคาจะเริ่มต้นที่ 20,000.- ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำและจำนวน Line ที่ใช้ครับ โดยแพทย์จะประเมินจำนวน line ที่ใช้ยิงอย่างเหมาะสม หากจุดที่ต้องใช้ปริมาณ line มากขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้น

แต่หากพบ Ulthera ราคาถูกมาก ๆ อาจจะต้องระวังครับ เพราะเสี่ยงเจอเครื่อง Ulthera ปลอม ที่ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงผิวไหม้ หน้าพัง หรือเปลี่ยนรูปได้ การทำ Ulthera ที่ปลอดภัย และเห็นผลจะต้องใช้เครื่องแท้ ทำโดยแพทย์มีประสบการณ์เท่านั้น เพราะการทำ Ulthera ไม่ใช่เพียงแต่ยิงให้ทั่วหน้า แต่ต้องใช้หัวที่ถูกต้อง ยิงให้ถูกชั้นผิวและใช้พลังงานที่เหมาะสมครับ

Ulthera ที่ไหนดี เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัยได้มาตรฐาน

ทำ Ulthera ที่ไหนดี

  • คลินิกได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดไว้ในบริเวณที่ที่เปิดเผยและเห็นได้ชัดเจน 
  • ใช้เครื่อง Ulthera แท้ มีคุณภาพ สามารถตรวจสอบจากบริษัทนำเข้าได้
  • แพทย์มีประสบการณ์ สามารถวางแผนและแก้ไขปัญหาได้เหมาะสมตรงจุด มีความชำนาญในการใช้เครื่องยกกระชับ
  • มีการนัดหมายเพื่อติดตามผลคนไข้ในภายหลัง และมีการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวทั้ง ก่อน – หลังทำ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้คนไข้เข้าใจเป็นอย่างดี 
  • คลินิกควรมีช่องทางไว้สำหรับติดต่อได้สะดวก โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Line@ คนไข้จะได้สามารถสอบถามข้อสงสัยกับคุณหมอที่ทำเคสของตนเองได้โดยตรงอย่างทันการณ์

ที่ V Square Clinic ใช้เครื่อง Ulthera SPT แท้ได้มาตรฐาน นำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetics ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากประเทศไทย (อย.) และประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) ครับ คนไข้สามารถเช็คคลินิกที่ใช้ เครื่อง Ulthera แท้ ได้ที่ www.merzclubthailand.com

สรุป

Ulthera เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยยกกระชับผิว ปรับรูปหน้าที่เห็นผลดี ทำ 1 คร้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า คอและลำตัว หลังทำจะเห็นผลว่าผิวยกกระชับ ริ้วรอยลดลง ผิวแน่น เฟิร์ม ดูสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ขึ้น แต่การทำ Ulthera ที่จะให้ผลดีและอยู่ได้นาน ควรใช้เครื่องของแท้เท่านั้น และต้องเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ทำกับแพทย์มีประสบการณ์ จึงจะได้ผลคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายครับ

ข้อควรรู้ก่อนฉีดโบท็อก คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? อันตรายไหม ?

0
โบท็อก

โบท็อก

โบท็อก

ก่อนฉีดโบท็อก การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการเป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะจะช่วยให้เราได้ผลลัพธ์การรักษาตามที่คาดหวังไว้ เห็นผลได้ชัดเจน และมีความปลอดภัย

ในบทความนี้หมอจึงได้รวบรวมข้อควรรู้ก่อนฉีดโบท็อก ช่วยเรื่องอะไร ? อันตรายไหม ? หลังฉีดโบท็อกมีข้อห้ามอะไรบ้าง ? และฉีดโบท็อกที่ไหนดี ควรเลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ? 


โบท็อก คืออะไร ? 

โบท็อก (Botox) คือ สารโปรตีนที่มีชื่อว่า Botulinum Toxin Type A สกัดมาจากแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ซึ่งมีผลออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงเป็นเวลาชั่วคราว และช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลงได้

โบท็อก คืออะไรเมื่อนำ botox มาใช้ในวงการความงาม สามารถช่วยในเรื่องของการลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า ปรับสภาพผิวครับ ส่วนในทางการแพทย์ยังสามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคตาเข หนังตากระตุก รักษาโรคออฟฟิศซินโดรม หรือฉีดเพื่อลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นต้น


ฉีดโบท็อก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

ฉีดโบท็อก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

  • ฉีดโบท็อกกราม ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ปรับให้หน้าเรียววีเชฟ
  • ฉีดโบท็อกริ้วรอย ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว รอยย่นสันจมูก รอยตีนกา
  • ฉีดโบท็อกลดโหนกแก้ม ช่วยปรับหน้าเรียว ให้รูปหน้าดูมีมิติมากขึ้น
  • ฉีดโบท็อกปีกจมูก ช่วยลดขนาดปีกจมูกให้แคบลง แก้ปัญหาปีกจมูกบาน
  • ฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้า ช่วยยกกระชับใบหน้าให้ดูมีมิติ กรอบหน้าชัดขึ้น โดยนิยมทำควบคู่กับการฉีดโบท็อกกราม
  • ฉีดโบท็อกกระชับรูขุมขน ช่วยลดรูขุมขนให้มีขนาดเล็กลง ผิวหน้าดูเรียบเนียน
  • ฉีดโบท็อกลดเหงื่อ ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ โดยนิยมฉีดลดเหงื่อบริเวณรักแร้ แก้ปัญหากลิ่นตัว และฉีดลดเหงื่อบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า
  • ฉีดโบท็อกไมเกรน ช่วยแก้ปัญหาอาการปวดหัวไมเกรนเรื้อรัง ลดการรับประทานยาแก้ปวด
  • ฉีดโบท็อกออฟิศซินโดรม ช่วยแก้อาการปวดกล้ามเนื้อต้นคอ บ่า ไหล่ หลังเรื้อรัง
  • ฉีดโบท็อกแขน โบท็อกน่อง ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อน่อง ให้ดูเรียวเล็กลง

เรื่องที่ควรรู้ก่อนฉีดโบท็อก อันตรายไหม ?

โบท็อกอันตรายไหม

หลายคนอาจยังมีความกังวลกันอยู่ครับว่า ฉีดโบท็อกอันตรายไหม ?

การฉีด botox ถือได้ว่าเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยและได้ยอมรับจากทั่วโลก แต่สิ่งสำคัญคือควรใช้โบท็อกที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรองจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ปรับรูปหน้า ก็จะไม่เป็นอันตรายอย่างที่กังวลกันครับ

ส่วนใหญ่การฉีดโบท็อกแล้วเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ อย่างเช่น หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว หนังตาตกจนปิดบังการมองเห็น มักเกิดจากการที่ฉีดโบท็อกโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์จริง หรือหมอกระเป๋านั่นเองครับ และเกิดจากการใช้โบท็อกปลอมที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้หลังฉีดไม่เห็นผล หรือเกิดการอักเสบติดเชื้อจากตัวยาที่มีการเก็บรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน

นอกจากนี้หากฉีดโบท็อกปลอมอย่างต่อเนื่อง สามารถทำให้ดื้อโบท็อกได้ในอนาคต ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาอาการดื้อโบท็อกให้หายขาดได้ครับ

อันตรายจากโบท็อกปลอม


ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์

  1. เห็นผลลัพธ์การรักษาได้ค่อนข้างรวดเร็ว
  2. เป็นหัตถการที่มีราคาไม่สูงมาก มีโบท็อกให้เลือกใช้หลายยี่ห้อจากหลายประเทศ
  3. ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
  4. มีความปลอดภัยสูง หากใช้โบท็อกของแท้ สลายได้ 100%

ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์

  1. ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวร เมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์ต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
  2. หากฉีดโบท็อกบ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดการดื้อโบท็อกซ์
  3. หากฉีดกับหมอกระเป๋า แพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว หนังตาตก หน้าตึงดูไม่เป็นธรรมชาติ

ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล ?

โบท็อกกี่วันเห็นผล

ฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดครับ เพราะแต่ละจุดมีจำนวนมัดกล้ามเนื้อและขนาดกล้ามเนื้อที่ต่างกัน ส่งผลต่อระยะเวลาการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้

  • โบท็อกริ้วรอยเฉพาะจุด เริ่มเห็นผล 3-4 วัน และเห็นผลเต็มที่ 2 สัปดาห์
  • โบท็อกลดกราม เริ่มเห็นผล 14 วัน และเห็นผลเต็มที่ 2-3 เดือน
  • โบท็อกลิฟท์กรอบหน้า เริ่มเห็นผล 3-4 วัน และเห็นผลเต็มที่ 1-2 สัปดาห์

ฉีดโบท็อก เป็นก้อนเกิดจากอะไร ?

ฉีดโบท็อกเป็นก้อน สามารถพบได้ในเคสที่ฉีดโบท็อกกรามแล้วโบท็อกไม่ได้กระจายตัวไปทั่วกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อกรามยังยุบลงไม่หมดครับ โดยอาจเห็นเป็นก้อนปูดตอนเคี้ยวข้าวหรือกัดฟัน ซึ่งจะหายไปได้เองเมื่อโบท็อกกระจายตัวทั่วแล้ว แต่ถ้ารอประมาณ 2-4 สัปดาห์แล้วยังไม่หาย สามารถกลับมาพบแพทย์เพื่อฉีดโบท็อกบริเวณกล้ามเนื้อที่ตัวยากระจายไม่ถึง


ฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดี ?

ฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดีฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดี ? ควรเลือกโบท็อกที่ได้รับรองจาก อย.ไทย ซึ่งในบทความนี้หมอจะแนะนำเป็น 6 ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ได้รับรองจากอย.ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วและคลินิกชั้นนำหลายแห่งนิยมใช้กันครับ

  • โบท็อกอเมริกา Allergan

โบท็อก Allergan คือ โบท็อกยี่ห้อแรกของโลกจากประเทศอเมริกา ถือว่าเป็นต้นแบบของโบท็อกหลาย ๆ ยี่ห้อในปัจจุบันครับ จุดเด่นคือ มีความบริสุทธิ์สูง ตัวยามีการกระจายตัวแคบที่สุด ให้ผลการรักษาที่แม่นยำ และอยู่ได้นานที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ

  • โบท็อกอังกฤษ Dysport

โบท็อก Dysport จากประเทศอังกฤษ มีจุดเด่นคือ ตัวยากระจายกว้าง ไม่กระจุกเป็นจุดแคบ ๆ เหมาะสำหรับฉีดลิฟท์กรอบหน้าด้วยเทคนิค dermolift และฉีดลดริ้วรอย ลดเหงื่อ ลดต้นแขน และลดน่อง

  • โบท็อกเยอรมัน Xeomin

โบท็อก Xeomin จากเยอรมัน เป็นโบท็อกที่มีการพัฒนาด้วยการนำข้อดีของ Allergan กับ Dysport มารวมกัน มีจุดเด่นคือ มีความบริสุทธิ์สูง ตัวยาไม่กระจุกตัวแคบ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และยังเป็นยี่ห้อโบท็อกซ์ที่สามารถใช้ในเคสที่ดื้อยาโบท็อกซ์ได้

  • โบท็อกเกาหลี Nabota

โบท็อก Nabota คือ โบท็อกเกาหลียี่ห้อแรกที่ได้รับรองจาก อย. อเมริกา (U.S.FDA approved 2018) ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% มีจุดเด่นคือ ออกฤทธิ์ไว เห็นผลลัพธ์ค่อนข้างเร็ว เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลแบบเร่งด่วน

  • โบท็อกเกาหลี Aestox

โบท็อก Aestox เป็นโบท็อกจากเกาหลีที่ได้รับรองจากอย.ไทย ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง อ่อนโยน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยนิยมนำมาฉีดเพื่อลดริ้วรอยบริเวณหางตา ระหว่างคิ้ว หน้าผาก และปรับรูปหน้าเรียว

  • โบท็อกเกาหลี Neuronox

โบท็อก Neuronox เป็นโบท็อกอีกยี่ห้อที่ได้รับรองจากอย.อเมริกา มีการนำ Botulinum Toxin Type A สายพันธุ์ออริจินัล (Hall A-hyper) มาใช้ในการผลิตตัวยา ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับโบท็อก allergan จากอเมริกา ตัวยามีการกระจายตัวแคบ ให้ผลการรักษาที่แม่นยำ และดูเป็นธรรมชาติ


โบท็อกซ์ ราคาเท่าไร ?

ฉีดโบท็อกซ์ เป็นหัตถการที่ราคาไม่แพงครับเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ ราคาจะขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีดว่าใช้ปริมาณยูนิตเท่าไร และใช้โบท็อกยี่ห้อไหน โดยถ้าหากใช้โบท็อกเกาหลี 100 ยูนิต ราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 6,900 บาท ส่วนโบท็อกอเมริกาจะมีราคาที่สูงขึ้น แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่าประมาณ 20% ครับ 

ทั้งนี้ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินจำนวนยูนิตและยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าคุ้มราคาครับ


ฉีดโบท็อกที่ไหนดี เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัยได้มาตรฐาน ?

ฉีดโบท็อกทีไหนดี

  1. คลินิกที่มีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลอย่างถูกกฎหมาย มีเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานความสะอาดพร้อมให้บริการคนไข้ ภายในคลินิกแบ่งสัดส่วนชัดเจน ไม่คับแคบ แออัด
  2. แพทย์มีประสบการณ์การปรับรูปหน้า สามารถให้คำปรึกษา ประเมินปัญหาและวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด เลือกยี่ห้อโบท็อก จำนวนยูนิตที่ใช้ที่เหมาะสมกับปัญหาของต่ละบุคคล
  3. ใช้โบท็อกของแท้ ที่ได้รับรองจากอย.ไทย แพทย์ควรแกะกล่องและเปิดขวดใหม่ให้ดูต่อหน้า และสามารถนำกล่องกลับบ้าน เพื่อตรวจสอบของแท้กับทางบริษัทนำเข้าได้
  4. มีรีวิวโบท็อก ภาพเปรียบเทียบก่อน-หลังฉีดโบท็อก และวิดีโอขณะทำหัตถการ แสดงให้เห็นความชำนาญของแพทย์ขณะทำหัตถการ และผลลัพธ์หลังทำซึ่งตัดต่อได้ยากกว่าแบบรูปภาพครับ
  5. มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกหลายช่องทาง เช่น เบอร์โทรศัพท์, Line@ หรือ Facebook เมื่อคนไข้มีข้อสงสัยหรือปัญหาสามารถสอบถามทางคลินิกได้อย่างรวดเร็ว

ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังฉีดโบท็อก

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกและการปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและอยู่ได้นานขึ้นครับ 

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบท็อก

  1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำหัตถการเบื้องต้น รวมวิธีตรวจสอบโบท็อกซ์ของแท้
  2. พิจารณาเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ดูแลรักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ปรับรูปหน้า
  3. งดกลุ่มยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น NSAIDs, แอสไพริน, วิตามิน E และน้ำมันปลา เป็นเวลา 14 วันก่อนฉีด
  4. งดการสครับหน้า ขัดหน้าก่อนทำ 2-3 วัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการบวมช้ำมากหลังทำ
  5. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนฉีดโบท็อก
  6. สามารถเริ่มรับประทานอาหารที่มีธาตุสังกะสี (Zinc) แต่ไม่ควรเกิน 20 mg/วัน จะช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ไวขึ้น
  7. หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่รับประทานอยู่ประจำ ควรเตรียมข้อมูลไว้แจ้งแพทย์ก่อนฉีดโบท็อก

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบท็อก

  1. หลังฉีดโบท็อกควรบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง เช่น ยักคิ้ว ขมวดคิ้ว ยิ้มเยอะ ๆ
  2. ถ้าฉีดโบท็อกกรามให้เคี้ยวหมากฝรั่งเป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้ตัวยากระจายตัวได้ดี
  3. กินอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) แต่ไม่ควรเกิน 20 mg/วัน จะช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น

ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก

ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก

  1. ในช่วง 3 ชั่วโมงแรก งดนอนราบ นอนคว่ำ ก้มหัวต่ำกว่าอก
  2. ไม่ควรประคบเย็นเพราะจะขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาท
  3. หลีกเลี่ยงความร้อนโดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก ๆ ตากแดด เข้าซาวน่า เลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึก เป็นต้น
  4. งดการรับประทานอาหารที่มีรสจัด อาหารหมักดอง
  5. งดการสูบบุหรี่ และงดการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์

สรุป

ฉีดโบท็อกซ์ เป็นหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอยที่เห็นผลได้เร็ว ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น มีความปลอดภัยสูง จึงได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

ที่ V Sqaure clinic ฉีดโบท็อกโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ปรับรูปหน้า 5-10 ปี ใช้โบท็อกของแท้นำเข้าอย่างถูกต้อง ตรวจสอบได้ มีนัดติดตามผลหลังทำ โดยคนไข้สามารถส่งรูปหน้ามาให้หมอประเมินก่อนได้ในเบื้องต้น ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือเข้ามาปรึกษาหมอได้โดยตรงที่คลินิกทั้ง 24 สาขาครับ

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic acid) มีประโยชน์อย่างไร ช่วยเรื่องอะไร ใช้แบบไหนดี ?

0
ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน

ในปัจจุบันจะเห็นคำว่า “ ไฮยาลูรอน ” อยู่ในส่วนของประกอบของผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ชนิด รวมถึงฟิลเลอร์ ที่นำมาฉีดเพื่อปรับรูปหน้า ลดริ้วรอยร่องลึก 

จริง ๆ แล้วไฮยาลูรอน หรือ Hyaluron คืออะไร ? ทำงานอย่างไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? ในบทความนี้ หมอมีข้อมูลมาฝากครับ 

ไฮยาลูรอน คืออะไร ?

ไฮยาลูรอน (Hyaluron) หรือกรดไฮยาลูโรนิก แอซิด(Hyaluronic Acid) คือ โมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า polysaccharide ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย เป็นสารที่ร่างกายเราผลิตขึ้นได้เองตามธรรมชาติครับ 

กรดไฮยาลูโรนิก

กรดไฮยาลูโรนิก แอซิด 

ไฮยาลูรอนมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะด้านผิวพรรณ และการรักษาป้องกันโรค เนื่องจากไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำ กักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว มีผลทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไฮยาลูรอน จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างระหว่างคอลลาเจนและอิลาสตินทำให้เกิดการยึดเกาะกันได้ดียิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ไฮยาลูรอนยังช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มมากขึ้นด้วยครับ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ไร้ริ้วรอย เรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ แต่ร่างกายของเราก็ไม่สามารถผลิตสาร Hyaluronic Acid ได้ตลอดเวลา เพราะเมื่ออายุยิ่งมากขึ้น ก็จะผลิตได้น้อยลงครับ

และเมื่อร่างกายผลิตสารไฮยาลูรอนได้น้อยลง ก็จะส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพ มีริ้วรอย ขาดความยึดหยุ่น ผิวดูหย่อนคล้อย และแห้งลงครับ

โครงสร้างผิว

ดังนั้นในทางการแพทย์จึงมีการคิดค้นและผลิตไฮยาลูรอนสังเคาระห์ขึ้นมาทดแทน โดยนำมาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น ครีมทาผิว มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เซรั่ม รวมถึงการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid หรือ HA (Filler) เพื่อช่วยแก้ปัญหาร่องลึกต่าง ๆ 

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? 

  • ด้านความงาม 

ไฮยาลูรอน สามารถช่วยจัดการริ้วรอย ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มีผลทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ผิวหน้าเด้ง อิ่มฟูดูกระชับ จึงถูกนำมาไฮยาลูรอนใช้ในวงการความงามเพื่อการชะลอวัย ในหลายรูปแบบ เช่น ใช้เป็นส่วนผสมหลักของ ครีม เซรั่ม เอสเซนส์ แม้กระทั่งเครื่องสำอาง วิตามินสำหรับรับประทาน และรูปแบบของสารฉีดเติมเต็ม (Filler) ที่นิยมเป็นอย่างมากในคลินิกความงามครับ

ประโยชน์จาก ไฮยาลูรอน

  • ด้านการรักษาและป้องกันโรค 

ไฮยาลูรอน ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคได้หลายชนิดเช่นกันโดยมาในรูปแแบบยาฉีดบำบัดรักษาโรค
เช่น 

  • โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis of the knee)
  •  ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่ (Scapulohumeral periarthritis)
  •  การป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
  •  ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดบริเวณข้อ

นอกจากนี้ ทาง FDA หรือองค์การอาหารและยาสหรัฐ ยังได้อนุมัติให้มีการใช้ Hyaluronic Acid ระหว่างการผ่าตัดดวงตา ซ่อมแซมจอประสาทตาถลอก รวมถึง

  • รักษาตาต้อกระจก 
  • รักษาแผลในปาก 
  • ช่วยสมานแผลและบรรเทาอาการแผลไฟไหม้
  • ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยเร่งให้บาดแผลหายเร็วขึ้น 
  • ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง เป็นต้น 

ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้ไฮยาลูรอน ?

ไฮยาลูรอนสังเคราะห์ทั้งรูปแบบของครีม เซรั่ม รวมถึงฟิลเลอร์แบบฉีด เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิว ดังนี้

  • ผิวแห้ง แตก ขาดความชุ่มชื้น
  • ผิวมีริ้วรอย ความหย่อนคล้อย
  • มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก 
  • ผู้ที่อยากรักษาสภาพผิวให้คงความอ่อนวัย และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย

นอกจากนี้ยังเหมาะกับมีปัญหารูปหน้าต้องการเสริมคาง หน้าผาก ขมับ ด้วยฟิลเลอร์โดยไม่ต้องผ่าตัด

ผลิตภัณฑ์จากไฮยาลูรอน อันตรายไหม ? 

ไฮยาลูรอน ที่ถูกสร้างเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติมีความปลอดภัยครับ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ร่วมด้วย ทั้งในรูปแบบการทา และการฉีดเข้าสู่ร่างกาย เพราะหากใช้ไม่เหมาะสม ก็อาจมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง เนื่องจาก Hyaluronic Acid สังเคราะห์ ได้มาจากการสกัดแบคทีเรียที่ชื่อว่า Bacillus subtilis ซึ่งผู้ใช้บางรายอาจมีอาการแพ้ยาจากโปรตีนของแบคทีเรียที่นำมาใช้สังเคราะห์ตัวสารนี้ได้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นเร็วกว่าปกติ

สารเติมเต็มไฮยาลูรอนหรือฟิลเลอร์ในคลินิกความงามปลอดภัยจริงไหม ? 

ในส่วของสารเติมเต็มไฮยาลูรอนหรือฟิลเลอร์ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน หากเป็นฟิลเลอร์แท้ (hyaluronic acid : HA) จะสามารถสลายหมด 100% ตามธรรมชาติ และเมื่อฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน ก็จะที่มีความปลอดภัยสูงครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ (HA) มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง ? 

ข้อดี 

  • ฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่นิยม เพราะมีความปลอดภัย และแพทย์ความงามให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง 
  • ฟิลเลอร์สามารถนำมาใช้เติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า ฟื้นฟูและชะลออายุผิวให้ดูอ่อนเยาว์
  • ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย
  • เป็นวิธีที่สะดวก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก หลังฉีดเห็นผลทันที 
  • มีฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่นให้แพทย์เลือกใช้แก้ปัญหาให้กับคนไข้ 
  • ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ตรงจุด สวยงาม และดูเป็นธรรมชาติ 
  • หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล (ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น มีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ หายได้เอง) 
  • สามารถเติมได้เรื่อย ๆ ปรับแต่งได้ (ถ้าไม่ชอบก็สามารถฉีดสลายออกได้ 100%)

ข้อเสีย 

  • ผลลัพธ์จะไม่ได้อยู่ถาวร สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้
  • หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ผลลัพธ์อาจไม่สวย ไม่เป็นธรรมชาติ เสี่ยงเกิดผลข้างเคียง เช่น ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน 
  • ถ้าฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ไฮยาลูโรนิก แอซิด ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว อาจไม่เห็นผลหรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น ฟิลเลอร์อักเสบ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เน่า 

ไฮยาลูรอนมีผลข้างเคียงแบบไหนบ้าง ? 

ไฮยาลูรอนที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบไฮยาลูรอนที่นำมาใช้ด้วย หมอแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ

  • ไฮยาลูรอนแบบทา ควรเลือกใช้แบบที่มีความเข้มข้นของไฮยาลูรอนต่ำกว่า 2% เพราะเป็นปริมาณที่มีประสิทธิภาพในการซึมซาบเพื่อฟื้นบำรุงผิวและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ หากมากกว่านั้นอาจเกิดการแพ้ เช่น มีอาการบวม หรือผื่นแพ้หลังใช้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง

ไฮยาลูรอนแบบทา

  • ไฮยาลูรอนแบบฉีด หรือฟิลเลอร์ ถ้าฉีดไฮยาลูรอนของแท้ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลครับ ผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น อาการบวม รอยแดง รอยเข็ม เป็นอาการปกติครับ สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่ที่สำคัญคือก่อนฉีด ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ และฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นครับ 

ฉีดไฮยาลูรอนฟิลเลอร์โดยแพทย์

  • ไฮยาลูรอนแบบกิน เช่น วิตามินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน สามารถซื้อหาได้จากหลายช่องทาง ที่ควรระวังคือการซื้อจากช่องทางออนไลน์  ซึ่งอาจมีบางร้าน บางทุกยี่ห้อที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นก่อนซื้อต้องพิจารณาดี ๆ หรือขอคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกรครับ 

ไฮยาลูรอนแบบกิน

ข้อควรรู้ การฉีด Hyaluronic Acid (HA)

ปัจจุบันการฉีด Hyaluronic Acid (HA) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ถือเป็นหัตถการยอดฮิตในคลินิกเสริมความงาม และถึงแม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะไม่ใช่หัตถการที่อันตรายหรือมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องมีการศึกษาหาข้อมูลก่อนฉีดครับ

ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และเลือกใช้บริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐาน หมอมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ มีเทคนิคการฉีด มีรีวิวผลลัพธ์จากผู้ที่เคยใช้บริการจริง รวมถึงควรรู้วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อต่าง ๆ ร่วมด้วย เพื่อความปลอดภัยสูงครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน แล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร ? 

โดยปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน จะเห็นผลได้ทันทีครับ ในกรณีที่ไม่เห็นผล มักจะเกิดจากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ เลือกยี่ห้อ เลือกรุ่นไม่เหมาะสม ไม่รู้เทคนิคการฉีด หรือคำนวณปริมาณไฮยาน้อยเกินไป ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผล

สรุป 

ไฮยาลูรอน นับว่ามีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยต่อต้านริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น และยังช่วยรักษาบาดแผล เพิ่มความยืดหยุ่นของผิวได้ สำหรับใครที่สนใจ ใช้ไฮยาลูรอน ในการดูแลผิว ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานอย.รับรอง ในส่วนของไฮยาลูรอนแบบฉีดทั้งที่เป็นยาฉีดรักษาโรค และฟิลเลอร์ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้นครับ

เจาะลึก ฉีดฟิลเลอร์คาง ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี ?

0
ฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง

ในคนที่มีคางสั้น คางตัด หน้าดูกลม หากต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม คางเรียวยาวขึ้น การฉีดฟิลเลอร์คาง ถือเป็นวิธีแก้ไขที่ตรงจุดและตอบโจทย์ที่สุดครับ โดยหลังฉีดคางจะดูยาวขึ้น ใบหน้าเรียวขึ้นทันที หากฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะปลอดภัย และได้ผลดีไม่แพ้การผ่าตัดเสริมคางครับ 

สำหรับผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์คาง หมอมีข้อมูลแบบเจาะลึกมาแนะนำครับ ฟิลเลอร์คางคืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เหมาะกับใคร ? ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี ? ฉีดฟิลเลอร์คาง กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน ? ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้กี่ CC ? ทุกข้อสงสัยหมอจะมาให้คำตอบในบทความนี้ครับ 

ฟิลเลอร์คาง คืออะไร ?

ฟิลเลอร์คาง คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ การเติมสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณคาง เพื่อเสริมคางให้เรียวสวย ใบหน้าวีเชฟขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด หลังฉีดเห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น ใช้เวลาในการทำไม่นาน หากฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะปลอดภัย ได้ผลดีไม่แพ้การผ่าตัดเสริมคางครับ ใช้ฟิลเลอร์เพียง 1-2 CC ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

ฟิลเลอร์คาง ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์คาง ช่วยเรื่องอะไร

  • แก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางไม่เท่ากันให้ได้สัดส่วนมากขึ้น 
  • ช่วยเสริมคางให้ยาวขึ้น หน้าเรียววีเชฟ
  • เสริมคางให้มีรูปทรงสวยงาม หวานละมุน ดูเป็นธรรมชาติรับกับใบหน้า ช่วยเพิ่มเสน่ห์ และความมั่นใจได้
  • ช่วยเสริมโหงวเฮ้งคางที่ดีตามหลักโหงวเฮ้ง บ่งบอกถึงการมีโชค มีวาสนาดี มีกินมีใช้มีความสุข 

การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับใคร ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับใคร

  • คนที่มีปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางไม่เท่ากัน มีใบหน้ากลม ต้องการเสริมคางยาว ปรับรูปหน้าเรียว ดูมีมิติมากขึ้น
  • คนที่ต้องการเสริมคางยาวแบบเร่งด่วน 
  • คนที่ไม่อยากรับความเสี่ยงจากการผ่าตัดและไม่มีเวลาพักฟื้น
  • คนที่ไม่ได้ต้องการเสริมคางให้ยาวมาก ๆ เพราะการฉีดฟิลเลอร์คางไม่สามารถฉีดให้คางยาวเกิน 1 cm. ได้ (ถ้าหมอฉีดแล้วได้คางยาวมากกว่า 1cm. แสดงว่าฟิลเลอร์บางส่วนซ้อนทับในเนื้อคางชั้นตื้น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์คางไหลไปรวมเป็นก้อนในภายหลัง)

ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี

การฉีดฟิลเลอร์คาง

  • การฉีดฟิลเลอร์คาง มีข้อดีคือไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล เห็นผลเร็ว
  • สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเป็นสารไฮยาลูรอนิคที่มีความปลอดภัยสูง สลายได้หมด ไม่ตกค้างในร่างกาย และเมื่อสลายก็สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ 
  • ไม่ต้องเสี่ยงจากการวางยาสลบเหมือนการผ่าตัด 
  • หากไม่พอใจในผลลัพธ์ก็สามารถปรับแก้ไขได้ง่ายด้วยการฉีดสลายออกได้ 
  • ฉีดแล้วอยู่ได้นาน 9-24 เดือน ไม่คงผลลัพธ์ถาวร
  • ไม่สามารถทำให้คางยาวขึ้นได้มากเกินกว่า 1 เซนติเมตร เหมาะกับคนที่มีฐานคางเดิมอยู่แล้ว ต้องการเสริมเพียงเล็กน้อย

การผ่าตัดเสริมคาง

  • เป็นการเสริมคางด้วยซิลิโคน หลังทำจะไม่เห็นผลในทันที โดยจะเห็นผลในช่วง 1-3 เดือน
  • มีความเสี่ยงจากการผ่าตัดได้ เช่น มีแผล เสี่ยงติดเชื้อ และระหว่างผ่าตัดควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด 
  • หลังผ่าตัดต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน 
  • หากทำมาแล้วไม่พอใจในผลลัพธ์จะปรับแก้ไขรูปทรงได้ยาก ต้องทำการผ่าตัดเพื่อถอดซิลิโคน และเสิมใหม่อีกรอบ 
  • ควรทำกับแพทย์ที่ฝีมือดี มีประสบการณ์สูง จึงจะได้รูปทรงตามต้องการและดูเป็นธรรมชาติ
  • สามารถเสริมคางให้ยาวขึ้นมากกว่า 1 cm. ได้ 
  • ถ้าหมอประเมินทรงคางไม่ดีพอ จะทำให้ Silicone ไม่รับกับแนวกราม อาจทำให้เกิดร่องมุมปาก แก้มดูห้อย คางยาวขึ้น แต่หน้าไม่เรียว
  • คงผลลัพธ์ได้ถาวร

ถ้าให้เปรียบเทียบการฉีดฟิลเลอร์คาง กับ การผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหน ? หมอแนะนำให้ดูจากความต้องการของคนไข้เป็นหลัก รวมถึงพื้นฐานทรงคางเดิมของคนไข้ด้วยครับ ถ้าคนที่มีคางไม่สั้นมาก และไม่ต้องการเสริมคางยาวมากกว่า 1 cm. อยากเห็นผลลัพธ์เร็ว ไม่มีเวลาพักฟื้น การฉีดฟิลเลอร์คางก็จะตอบโจทย์มากกว่า

แต่ในคนที่มีคางตัด คางสั้นมาก ๆ ต้องการเสริมคางให้ยาวมากกว่า 1cm. การผ่าตัดเาริมคางก็จะเหมาะ กว่าครับ  เพราะการฉีดฟิลเลอร์คางจะต้องฉีดลงในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูก ฟิลเลอร์ที่เป็นเนื้อเจล จะไม่สามารถทำให้คางยาวขึ้นได้มากเกิน 1 cm. ได้ 

ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นวิธีเสริมคางที่ไม่อันตรายครับ เนื่องจากสารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเป็นสารไฮยาลูรอนิค แอซิดที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้ว และฟิลเลอร์แท้ก็สามารถสลายได้หมด ไม่ตกค้างในร่างกาย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็จะมีความปลอดภัยสูงครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม

สิ่งที่ต้องระวังในการฉีดฟิลเลอร์คาง คือ บริเวณคางจะมีกล้ามเนื้อที่ชื่อ mentalis ซึ่งกล้ามเนื้อ mentalis นี้เป็นจุดที่แพทย์ต้องระวัง ถ้าฉีดฟิลเลอร์ไม่ลึกพอแล้วไปโดนกล้ามเนื้อมัดนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อดึงฟิลเลอร์ให้มากองรวมกัน ทำให้คางเสียรูป ยิ้มเป็นก้อน ดูไม่ธรรมชาติได้

ฉีดฟิลเลอร์คาง ยี่ห้อไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ยี่ห้อไหนดี

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดคางมีหลายยี่ห้อครับ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อเติมคางจะต้องฉีดเสริมที่กระดูก ไม่ใช่เติมที่เนื้อคาง ดังนั้นควรเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง เพื่อให้ปั้นเป็นทรงได้สวย ยี่ห้อฟิลเลอร์คางที่นิยม เช่น 

  • Juvederm voluma (ฟิลเลอร์อเมริกา) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำได้ดี เนื้อฟูปานกลาง อยู่ได้ 18 เดือน
  • Juvederm Volux (ฟิลเลอร์อเมริกา) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ขึ้นรูปได้ง่ายปั้นทรงสวย ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ดีที่สุด อยู่ได้ 18-24 เดือน
  • Restylane perlane Lyft (ฟิลเลอร์สวีเดน) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ไม่ฟู สามารถคงรูปได้ดี ใช้สำหรับเสริมทดแทนกระดูกและยังคงความเป็นธรรมชาติ อยู่ได้ 12 เดือน
  • Belotero Intense (ฟิลเลอร์สวิตเซอร์แลนด์) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนังได้ดี อยู่ได้ 18 เดือน
  • Difinisse Core (ฟิลเลอร์อิตาลี) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า เติมคาง mid-face กรอบหน้า อยู่ได้ 18 เดือน
  • Flore Max (ฟิลเลอร์เกาหลี) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาในไขมันชั้นลึก คาง ขมับ อยู่ได้ 9-12 เดือน      

คุณสมบัติของฟิลเลอร์แต่ละรุ่นจะต่างกันไป ก่อนฉีดหมอจะประเมินปัญหาและความต้องการของคนไข้ เพื่อแนะนำฟิลเลอร์ยี่ห้อที่เหมาะสมให้ในแต่ละเคสครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้กี่ CC 

ในการฉีดฟิลเลอร์คางโดยส่วนใหญ่จะใช้ปริมาณฟิลเลอร์อยู่ที่ 1-2 cc ครับ ซึ่งถือเป็นปริมาณที่พอเหมาะ หลังฉีดสามารถเห็นผลผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่ก่อนฉีดหมอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อช่วยประเมินปริมาณฟิลเลอร์และยี่ห้อที่เหมาะสมของแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง กี่วันเห็นผล ?

หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีประมาณ 70-80% ครับ คนไข้จะสังเกตคางดูยาวขึ้น ใบหน้าดูเรียววีเชฟ จากนั้นใน 2 สัปดาห์จะเห็นผลชัดเจน 100%  ฟิลเลอร์จะเข้าที่ เรียบเนียนไปกับผิว ใบหน้าโดยรวมได้สัดส่วนขึ้นครับ 

ฉีดฟิลเลอร์คาง อยู่ได้นานแค่ไหน ?

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 9-24 เดือนครับ ขึ้นอยู่กับรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คางร่วมด้วย หากเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ฟิลเลอร์คางสลายเร็ว ก็จะช่วยให้ฟิลเลอร์คางอยู่ได้นานขึ้นครับ

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ดูแลตัวเองอย่างไร

  • ห้ามบีบ กด นวด หรือปั้นทรงเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียทรง
  • หลีกเลี่ยงการใส่หมวกกันน็อคที่รัดแน่น การนั่งเท้าคาง หรือการนอนคว่ำหน้า
  • เลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งและความร้อน รวมทั้งอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ
  • งดอาหารรสเผ็ดจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารหมักดอง อาหารกึ่งดิบกึ่งสุก    
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

ฉีดฟิลเลอร์คาง ที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คางที่ไหนดี

  • เลือกคลินิกได้มาตรฐาน เปิดให้บริการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดแบบแสดงรูปถ่ายและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิก สะอาด ปลอดภัย
  • แพทย์ที่ทำหัตถการจะต้องมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์และปรับรูปหน้า และต้องเป็นแพทย์จริง โดยสามารถตรวจสอบจากชื่อ-นามสกุลของแพทย์ท่านนั้น คนไข้สามารถตรวจสอบข้อมูลบนเว็บไซต์ของแพทยสภาได้ ที่นี่
  • ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อย. นำเข้าและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง 
  • คนไข้สามารถตรวจสอบเลข Lot. ได้ โดยก่อนฉีดควรให้แพทย์แกะกล่อง และหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า และหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรเก็บกล่องและหลอดฟิลเลอร์กลับบ้าน เพื่อตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้จริง ๆ ครับ 
  • มีรีวิวจากแหล่งที่เป็นกลาง เชื่อถือได้ และไม่สามารถลบออกได้ เช่น รีวิวติดดาวบน Facebook Fanpage, Pantip Review, Google Maps และต้องเป็นรีวิวที่อัปเดตเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะแสดงถึงความนิยม มีผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นหัตถการที่ช่วยเสริมคางให้ยาวขึ้น ปรับใบหน้าให้เรียววีเชฟ ดูละมุน มีมิติ เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หากแพทย์ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีและสวยงามไม่แพ้การผ่าตัด ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการปรับรูปหน้าครับ

สำหรับคนไข้ท่านใดที่สนใจฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถเข้ามาปรึกษาหมอก่อนได้ครับ ที่ V Square Clinic ทีมแพทย์มีประสบการณ์สูง ใช้ฟิลเลอร์แท้แบรนด์ดังระดับโลก ฉีดฟิลเลอร์คางด้วยเทคนิคเฉพาะและใช้ศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ (Fine Art Of Filler) วิเคราะห์และออกแบบรูปทรงคางให้เข้ากับใบหน้า ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม คุ้มค่า ปลอดภัยครับ