แนวทางการรักษาไตวายเรื้อรัง: เข้าใจอาการ ป้องกัน และฟื้นฟูอย่างครบวงจร

0
การฟอกเลือดหรือล้างไต จะช่วยลดอาการคั่งของเกลือและของเสียในร่างกาย

ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและขับถ่ายออกทางปัสสาวะ หากไตทำงานผิดปกติจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “ไตวายเรื้อรัง” ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่ตำแหน่งของไต หน้าที่ของไต อาการของโรคไตวาย ไปจนถึงแนวทางการดูแลรักษาทั้งเชิงป้องกันและบำบัด

ตำแหน่งของไตและหน้าที่สำคัญในร่างกาย

ตำแหน่งของไต: ไตทั้งสองข้างตั้งอยู่บริเวณหลังช่องท้อง ส่วนบนของไตจะอยู่ระดับเดียวกับกระดูกซี่โครงที่ 11–12 โดยไตขวาจะอยู่ต่ำกว่าไตซ้ายเล็กน้อยเนื่องจากการวางตำแหน่งของตับ

หน้าที่ของไตหลักๆ ได้แก่:

  • กรองของเสียออกจากเลือด

  • ควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่

  • ผลิตฮอร์โมนควบคุมความดันโลหิตและกระตุ้นไขกระดูก

  • รักษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย

หากไตเสื่อมหรือทำงานผิดปกติ ร่างกายจะคั่งของเสีย ส่งผลต่อหลายระบบ อาการต่างๆ จึงเริ่มแสดงชัดเจน

อาการและระยะของไตวายเรื้อรัง

ไตวายเรื้อรังมีการแบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยวัดจากค่าการกรองของไต (GFR)

ระยะโรค GFR (มล./นาที) ลักษณะโรค
ระยะที่ 1 > 90 ไตเริ่มผิดปกติ ไม่มีอาการ
ระยะที่ 2 60–89 อาจเริ่มมีโปรตีนในปัสสาวะ
ระยะที่ 3 30–59 มีของเสียคั่ง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ระยะที่ 4 15–29 ต้องเตรียมเข้าสู่การบำบัดไต
ระยะที่ 5 <15 ไตล้มเหลว ต้องล้างไตหรือปลูกถ่าย

สาเหตุของไตวายเรื้อรัง

  1. โรคเรื้อรัง: เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์

  2. การติดเชื้อเรื้อรัง: ทางเดินปัสสาวะอักเสบ

  3. นิ่วในไต: อุดตันทางเดินปัสสาวะนานๆ

  4. การใช้ยาบางชนิด: NSAIDs, ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม, สมุนไพรเข้มข้น

  5. พันธุกรรม: เช่น โรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease)

การวินิจฉัยโรคไตวาย

  1. ตรวจเลือดหาค่า BUN, Creatinine

  2. ตรวจ GFR (อัตราการกรองของไต)

  3. ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ (Urine Albumin-Creatinine Ratio)

  4. อัลตราซาวด์หรือ CT Scan ดูขนาดและรูปร่างไต

แนวทางการรักษาไตวายเรื้อรัง

1. การรักษาแบบประคับประคอง (Conservative)

  • ควบคุมความดันและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์

  • ปรับอาหาร ลดโซเดียม โพแทสเซียม ฟอสเฟต โปรตีน

  • หลีกเลี่ยงยาและสารที่มีพิษต่อไต

  • ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก

  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3–6 เดือน

2. การบำบัดทดแทนไต (Renal Replacement Therapy)

หากผู้ป่วยเข้าสู่ระยะที่ 4–5 และการรักษาประคับประคองไม่สามารถควบคุมอาการได้ แพทย์จะพิจารณาวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 3 วิธี:

▪ การฟอกเลือด (Hemodialysis)

ใช้เครื่องกรองเลือดเพื่อลดของเสีย ปกติทำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง

▪ การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

ล้างของเสียผ่านเยื่อบุช่องท้อง ผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้

▪ การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant)

เป็นการเปลี่ยนไตใหม่เพื่อให้ไตทำงานปกติ แต่ต้องใช้ยากดภูมิต้านทานตลอดชีวิต

การดูแลตัวเองเพื่อชะลอไตวาย

  • เลือกกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง แต่ไม่มากเกินไป

  • ลดการกินเค็ม งดอาหารหมักดอง ไขมันสูง ของทอด

  • เลี่ยงสมุนไพรที่ไม่มีการรับรองความปลอดภัย

  • ดื่มน้ำให้พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป

  • หมั่นตรวจสุขภาพไตทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว

วัคซีนที่ควรฉีดในผู้ป่วยไตวาย

  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (3 เข็ม)

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (ปีละครั้ง)

  • วัคซีนป้องกันปอดบวมในบางรายที่มีความเสี่ยง

การติดตามอาการโรคไตเรื้อรัง

ระยะโรค ความถี่ในการตรวจ หมายเหตุ
ระยะ 1–2 ทุก 6–12 เดือน ตรวจ GFR, ความดัน
ระยะ 3 ทุก 6 เดือน ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ, ไขมัน
ระยะ 4 ทุก 3 เดือน เตรียมการล้างไต
ระยะ 5 ทุกเดือน พบแพทย์เฉพาะทางไต (Nephrologist)

ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการในการรักษาได้ โดยมีสิทธิเบิกค่ายา ค่าล้างไต และค่าปลูกถ่ายไตตามเกณฑ์ที่แต่ละระบบประกันกำหนดไว้ ผู้ป่วยควรศึกษาสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ไตวายเรื้อรังเกิดจากอะไรเป็นหลัก?
A: สาเหตุหลักมาจากโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน โรคเกาต์ รวมถึงการใช้ยาที่มีพิษต่อไตและอาหารที่มีสารตกค้าง

Q2: ไตวายต้องล้างไตตลอดชีวิตหรือไม่?
A: ถ้าเข้าสู่ระยะที่ 5 แล้วต้องล้างไตต่อเนื่อง หรือเลือกปลูกถ่ายไตเพื่อให้ไม่ต้องล้างไตอีก

Q3: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยไตมีอะไรบ้าง?
A: อาหารเค็มจัด โปแตสเซียมสูง เช่น กล้วย มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว อาหารแปรรูป และของทอด

Q4: การล้างไตกับการปลูกถ่ายไต แบบไหนดีกว่า?
A: การปลูกถ่ายไตถือว่าดีกว่าในระยะยาว แต่ต้องใช้ยากดภูมิตลอดชีวิต มีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนการล้างไตเป็นทางเลือกที่สามารถเริ่มได้ทันทีและเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้

Q5: ผู้ป่วยไตวายสามารถออกกำลังกายได้ไหม?
A: ออกกำลังกายแบบแอโรบิคเบาๆ และการฝึกกล้ามเนื้อเป็นประจำจะช่วยเสริมสุขภาพและลดความเครียด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง [/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Deerfield, Illinois: Baxter International Inc. 2002-08-07

National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse (2011).

[/vc_column][/vc_row]

สาเหตุของมะเร็ง: ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และพันธุกรรมที่ควรรู้

0
โรคมะเร็งปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม
ผู้ที่มีพันธุกรรมดีอาจเป็นโรคมะเร็งได้ ถ้ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม

มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน เราสามารถตรวจพบและป้องกันโรคนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ “สาเหตุของมะเร็ง” และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่:

  • ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต (Environmental & Lifestyle Factors)
  • ปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม (Genetic Factors)

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต (Environmental & Lifestyle Factors)

จากงานวิจัยขนาดใหญ่โดยศูนย์มะเร็งเอ็มดีแอนเดอร์สัน (MD Anderson Cancer Center) มหาวิทยาลัยแห่งเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 2008 พบว่า:

มากกว่า 90–95% ของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก เกิดจาก “ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรม” ขณะที่ “พันธุกรรม” มีบทบาทเพียง 5–10% เท่านั้น

1. พฤติกรรมการบริโภคอาหาร (30–35%)

อาหารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นหรือยับยั้งการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง หรือผ่านกระบวนการแปรรูปมากเกินไป เช่น:

  • ไนไตรต์/ไนโตรซามีน: พบในเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แหนม เบคอน
  • อะฟลาท็อกซิน: พบบ่อยในถั่วลิสง พริกป่น ข้าวโพดขึ้นรา
  • ไดออกซิน: สารปนเปื้อนจากฟาร์มสัตว์ เช่น หมู นม ไก่
  • อาหารปิ้งย่าง/ไหม้เกรียม: สะสมสารพีเอเอช (PAHs) ซึ่งก่อกลายพันธุ์ในระดับดีเอ็นเอ

2. การสูบบุหรี่ (25–30%)

บุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตจากมะเร็ง โดยเฉพาะ:

  • มะเร็งปอด
  • มะเร็งกล่องเสียง
  • มะเร็งช่องปาก

สารเคมีในบุหรี่กว่า 70 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogens) โดยตรง เช่น Benzopyrene และ Formaldehyde

3. การติดเชื้อ (15–20%)

  • ไวรัส HPV: ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก ทวารหนัก คอหอย ฯลฯ
  • ไวรัสตับอักเสบ B/C: มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งตับ
  • แบคทีเรีย Helicobacter Pylori: เพิ่มโอกาสมะเร็งกระเพาะอาหาร

4. โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน (10–20%)

ไขมันส่วนเกินจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน เช่น อินซูลิน และเอสโตรเจนในระดับสูง ซึ่งอาจเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

5. แอลกอฮอล์ (4–6%)

การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเร่งในมะเร็งหลายชนิด เช่น:

  • มะเร็งตับ
  • มะเร็งหลอดอาหาร
  • มะเร็งช่องปาก
  • มะเร็งเต้านม (ในเพศหญิง)

6. ปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ (10–15%)

  • มลพิษทางอากาศ (PM2.5)
  • รังสี UV จากแสงแดดจัด
  • ความเครียดสะสม
  • การไม่ออกกำลังกาย

ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเลยมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 30% จากค่าปกติ

ปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม (Genetic Risk Factors)

แม้จะพบเพียง 5–10% ของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ก็เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย

ยีนควบคุมการแบ่งเซลล์มะเร็ง (Tumor Suppressor Genes)

ยีนกลุ่มนี้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ อาจทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็ง ตัวอย่างเช่น:

  • BRCA1/BRCA2: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและรังไข่
  • TP53: เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด

มะเร็งที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม ได้แก่:

  • มะเร็งเต้านมชนิดกรรมพันธุ์
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิด FAP หรือ Lynch syndrome
  • มะเร็งรังไข่ในกลุ่มที่ตรวจพบ BRCA mutation

การรับมือปัจจัยทางพันธุกรรม

  1. ตรวจสุขภาพประจำปี และทำ Genetic Testing หากมีประวัติครอบครัว
  2. ปรับวิถีชีวิต: หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงแม้จะไม่มีประวัติครอบครัว
  3. ทำใจให้สงบ: ความเครียดกระตุ้นภูมิคุ้มกันลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้เร็วขึ้น

สถิติชี้ว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 1 มีโอกาสหายขาดได้สูงถึง 70–90% หากรักษาทันท่วงที

ตาราง: ปัจจัยเสี่ยงและอัตราเกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดต่าง ๆ

ปัจจัยเสี่ยง อัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง (%)
อาหารแปรรูป 30–35%
บุหรี่ 25–30%
การติดเชื้อไวรัส/แบคทีเรีย 15–20%
โรคอ้วน 10–20%
แอลกอฮอล์ 4–6%
พฤติกรรมเฉื่อย (ไม่ออกกำลังกาย) 10–15%
พันธุกรรม 5–10%

สรุป: ทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง?

  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและเนื้อย่างไหม้เกรียม
  • งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • นอนหลับให้เพียงพอ และควบคุมความเครียดในชีวิตประจำวัน

FAQ: สาเหตุของมะเร็งและปัจจัยเสี่ยง

1. มะเร็งเกิดจากกรรมพันธุ์จริงหรือไม่?
ไม่ทั้งหมด ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต (90–95%) ส่วนกรรมพันธุ์เป็นเพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งการถ่ายทอดยีนผิดปกติอาจเพิ่มความเสี่ยง แต่ไม่ใช่ปัจจัยตัดสินว่าต้องเป็นมะเร็งแน่นอน

2. การกินอาหารมีผลทำให้เป็นมะเร็งได้อย่างไร?
อาหารบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป อาหารที่มีสารกันบูด สารตกค้างจากยาฆ่าแมลง หรืออาหารไหม้เกรียม ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง

3. บุหรี่และแอลกอฮอล์มีผลต่อการเกิดมะเร็งจริงหรือ?
จริง บุหรี่มีสารก่อมะเร็งกว่า 70 ชนิด และแอลกอฮอล์สามารถเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอของเซลล์ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด เช่น ปอด ตับ หลอดอาหาร ช่องปาก และเต้านม

4. คนสุขภาพดีที่ไม่มีพันธุกรรมเสี่ยง ยังเป็นมะเร็งได้ไหม?
ได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่ออกกำลังกาย เครียดสะสม กินอาหารไม่ดี หรือสัมผัสสารพิษจากสิ่งแวดล้อมบ่อยๆ จึงควรตรวจสุขภาพประจำปีแม้ไม่มีประวัติครอบครัว

5. ป้องกันมะเร็งได้อย่างไร?
ลดความเสี่ยงด้วยการ:

  • รับประทานอาหารสดใหม่ ปราศจากสารพิษ

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำโดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัว

  • หลีกเลี่ยงมลพิษและแสงแดดโดยตรง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Complementary and alternative therapies for cancer”. Oncologist  (1): 80–9.

“Cancer”. National Cancer Institute. 11 August 2016.

“Screening for Prostate Cancer”. U.S. Preventive Services Task Force. 2008. Archived from the original on 31 December 2010.

[/vc_column][/vc_row]

ประกันสุขภาพรักษาโรคไต: สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ ครบจบในที่เดียว

0
การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา และปลูกถ่ายไต
การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา ปลูกถ่ายไต ปัจจุบันผู้ป่วยไตวายที่ถือบัตรทอง สามารถรับบริการล้างไตทางหน้าท้องได้ฟรี ผู้ป่วยรายใหม่ ไม่เกิน 15000 บาทต่อเดือน

ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้นตาม พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อให้ประชาชนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ และไม่มีอุปสรรคทางด้านการเงิน โดยมีกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ

สิทธิประกันสุขภาพที่ประชาชนไทยพึงมี

ประเภทของสิทธิที่ให้บริการ

  1. สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง / สิทธิ 30 บาท)
  2. สิทธิประกันสังคม (สำหรับผู้ประกันตน)
  3. สิทธิข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ / พนักงานท้องถิ่น

คุณสมบัติผู้มีสิทธิบัตรทอง

  • มีสัญชาติไทย
  • มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
  • ไม่อยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพอื่น ๆ เช่น ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ

ช่องทางตรวจสอบสิทธิ

  • ติดต่อหน่วยบริการด้วยตนเอง
  • โทรสายด่วน สปสช. 1330
  • เว็บไซต์: www.nhso.go.th
  • แอปพลิเคชัน สปสช.

สิทธิในการรักษาไตวายและปลูกถ่ายไต

1. การล้างไตทางช่องท้อง (CAPD)

  • บัตรทอง: ครอบคลุมค่าใช้จ่ายไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน
  • สิทธิข้าราชการ / ประกันสังคม: ครอบคลุมตามระดับฮีมาโตคริต

2. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD)

  • บัตรทอง: ได้เฉพาะผู้ป่วยเก่าก่อน 1 ต.ค. 2551 และผู้มีข้อห้ามล้างไตทางช่องท้อง
  • ค่ารักษา: รัฐจ่าย 1,500–1,700 บาท/ครั้ง, ผู้ป่วยร่วมจ่าย 500 บาท/ครั้ง

3. การปลูกถ่ายไต

ค่าบริการแบ่งเป็น:

  • ค่าตรวจเตรียมผู้ให้ / ผู้รับไต: ไม่เกิน 40,000 บาท/ราย
  • ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต: ไม่เกิน 292,000 บาท/ราย (ภาวะปกติ)
  • ค่าดูแลหลังผ่าตัด:
    • เดือนที่ 1–6: เดือนละ 30,000 บาท
    • เดือนที่ 7–12: เดือนละ 25,000 บาท
    • ปีที่ 2: เดือนละ 20,000 บาท
    • ปีที่ 3: เดือนละ 15,000 บาท
  • ภาวะแทรกซ้อน: เบิกได้สูงสุดไม่เกิน 493,000 บาทภายใน 60 วัน

ค่ายาและค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวาย

ค่ายากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (EPO)

ระดับฮีมาโตคริต ค่ารักษาที่เบิกได้
≤ 36% สูงสุด 1,125 บาท/สัปดาห์
36–39% เข็มละ 50 บาท ไม่เกิน 750 บาท/สัปดาห์
> 39% ไม่มีสิทธิเบิก

ขั้นตอนการใช้สิทธิ์

สำหรับบัตรทอง

  1. ยื่นบัตรประชาชนและบัตรทองที่โรงพยาบาลตามสิทธิ
  2. โรงพยาบาลส่งรายชื่อไปยังคณะกรรมการระดับจังหวัด
  3. หากอนุมัติ จะได้รับการลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบการรักษา

สำหรับผู้ประกันตน (ประกันสังคม)

เอกสารประกอบการยื่นเบิกค่ารักษา:

  • แบบคำขอ สปส. 2-18
  • สำเนาผลตรวจ BUN, Creatinine
  • ใบรับรองแพทย์ว่าเป็นไตวายระยะสุดท้าย
  • รูปถ่าย และสำเนาบัตรประชาชน

สิทธิข้าราชการและหน่วยงานรัฐอื่น

  • เบิกค่าฟอกเลือดในศูนย์ไตเทียมเอกชน: ไม่เกิน 2,000 บาท/ครั้ง (จ่ายก่อนแล้วนำใบเสร็จมาเบิก)
  • ค่าตรวจเลือดและเนื้อเยื่อ: 15,000 – 20,000 บาท
  • ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต:
    • รพ.รัฐบาล: ประมาณ 200,000 บาท
    • รพ.เอกชน: ประมาณ 300,000 บาท

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: สิทธิบัตรทองสามารถล้างไตทางช่องท้องได้ฟรีจริงหรือไม่? A: ได้จริง โดยรัฐสนับสนุนค่าล้างไตทางช่องท้องในผู้ป่วยรายใหม่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน

Q: สิทธิประกันสังคมครอบคลุมการปลูกถ่ายไตหรือไม่? A: ครอบคลุมทั้งค่าตรวจเตรียมผู้บริจาค/ผู้รับ ค่าผ่าตัด และค่ารักษาหลังการปลูกถ่ายตามอัตราเหมาจ่าย

Q: ข้าราชการสามารถฟอกเลือดกับศูนย์ไตเทียมเอกชนได้หรือไม่? A: ได้ โดยสามารถเบิกได้ไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ต้องจ่ายก่อนแล้วนำใบเสร็จมาเบิกเงิน

Q: วิธีตรวจสอบสิทธิหลักประกันสุขภาพทำอย่างไร? A: โทร 1330 กด 2 ตามด้วยเลขบัตรประชาชน 13 หลัก หรือผ่านเว็บไซต์ www.nhso.go.th

Q: ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการขอเบิกค่ารักษาผู้ป่วยไต? A: ต้องใช้แบบคำขอ สปส. 2-18, สำเนาผลตรวจไต, ใบรับรองแพทย์, สำเนาบัตรประชาชน และรูปถ่าย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ สปสช. คือ
www.sso.go.th   และ   www.nhso.go.th

โทรถามสายด่วนบัตรทอง 1330 หรือที่ สปสช. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
หรือดูเว็บไซต์ของชมรมโรคไต คือ www.thaikidneyclub.org
หรือดูเว็บไซต์กองทุนโรคไตวาย http://Kdf.nhso.go.th

[/vc_column][/vc_row]

อาการมะเร็งเบื้องต้นที่คุณควรรู้: วิธีสังเกต สาเหตุ และสัญญาณเตือนมะเร็งชนิดต่าง ๆ

0
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็ง
อาการของโรคมะเร็งจะแสดงออกมาจากกันตามตำแหน่งที่เกิดก้อนเนื้อ

มะเร็ง (Cancer) เป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกทุกปี แต่หากสามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น การรู้จักสังเกต อาการมะเร็งเบื้องต้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งอาการเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากมีความผิดปกติเรื้อรังและต่อเนื่อง ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว

ทำไมต้องรู้จักอาการมะเร็งเบื้องต้น?

เพราะการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้สูงขึ้นมากถึง 70–90% ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง การรักษาในระยะเริ่มต้นยังส่งผลข้างเคียงน้อย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในระยะลุกลาม

วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้น

การตรวจหาโรคมะเร็งสามารถทำได้หลากหลายวิธี ทั้งที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโดยตรง และที่ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง ได้แก่:

  1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ
  2. การตรวจทางพยาธิวิทยา เช่น การขูดเซลล์จากปากมดลูก ตรวจชิ้นเนื้อ
  3. การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี เช่น X-ray, อัลตร้าซาวด์, แมมโมแกรม
  4. การส่องกล้อง เช่น ตรวจลำไส้ใหญ่, กระเพาะอาหาร, ช่องคลอด
  5. การใช้เครื่องมือขั้นสูง เช่น CT scan, MRI, PET scan

10 อาการเตือนภัยมะเร็งที่ควรใส่ใจ

แม้บางอาการอาจเป็นเพียงความผิดปกติเล็กน้อย แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือผิดปกติกว่าปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เช่น:

  1. แผลเรื้อรังไม่หาย โดยเฉพาะในช่องปาก ลิ้น หรือผิวหนัง
  2. ก้อนเนื้อผิดปกติ บริเวณเต้านม รักแร้ หรือท้องน้อย
  3. ไฝเปลี่ยนลักษณะ ขนาด สี หรือขอบไม่เรียบ
  4. ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่
  5. น้ำหนักลดรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ มากกว่า 5 กก. ในเวลาอันสั้น
  6. ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง หรือมีเลือดปนในอุจจาระ
  7. เลือดออกผิดปกติจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะ หรือช่องคลอด
  8. กลืนอาหารลำบาก เสียดท้องเรื้อรัง
  9. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ
  10. ต่อมน้ำเหลืองโตแบบไม่เจ็บ โดยเฉพาะที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ

อาการมะเร็งตามอวัยวะ: สังเกตอย่างไร?

มะเร็งเต้านม

  • ก้อนเนื้อบริเวณเต้านมหรือรักแร้
  • หัวนมบอดหรือมีเลือดไหล

มะเร็งปากมดลูก

  • เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
  • ตกขาวมีกลิ่นแรง สีคล้ำ

มะเร็งรังไข่

  • ปวดท้องน้อยเรื้อรัง
  • คลำเจอก้อนบริเวณท้องน้อย

มะเร็งตับ

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ปวดชายโครงขวา น้ำหนักลด

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

  • ถ่ายมีเลือดปน
  • ปวดท้องเรื้อรัง รู้สึกถ่ายไม่สุด

มะเร็งกระเพาะอาหาร

  • ท้องอืด แน่นท้อง เบื่ออาหาร
  • อาเจียนหรือถ่ายดำ

มะเร็งปอด

  • ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก
  • หายใจมีเสียงดังหรือเหนื่อยง่าย

มะเร็งผิวหนัง

  • แผลเรื้อรัง แผลไหม้ที่ไม่หาย
  • ไฝเปลี่ยนสี ขนาด รูปร่าง

มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)

  • ซีด ฟกช้ำง่าย
  • ไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

  • มีก้อนที่คอหรือรักแร้ ไม่เจ็บ แต่โตขึ้นเรื่อย ๆ
  • ไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคมะเร็ง

การเกิดมะเร็งมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ได้แก่:

ปัจจัยเสี่ยงภายนอก

  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • อาหารปิ้งย่าง หมักดอง หรือมีสารกันบูดไนไตรท์
  • การสัมผัสสารเคมีหรือรังสี
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV, HCV

ปัจจัยภายใน

  • พันธุกรรม (เช่น มะเร็งเต้านมในครอบครัว)
  • ฮอร์โมนหรือภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  • อายุที่เพิ่มขึ้น

การป้องกันโรคมะเร็ง: เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้

  1. รับประทานอาหารที่ดี: ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ลดเนื้อแดง
  2. งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 150 นาทีขึ้นไป
  4. พักผ่อนเพียงพอ ลดความเครียด
  5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำปี และคัดกรองตามอายุ เช่น
    • ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป: ตรวจมะเร็งปากมดลูก
    • ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป: ตรวจแมมโมแกรม
    • ผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป: ตรวจ PSA มะเร็งต่อมลูกหมาก

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: อาการเบื้องต้นของมะเร็งคืออะไร?
A: เช่น น้ำหนักลดแบบไม่ตั้งใจ ไอเรื้อรัง มีแผลไม่หาย หรือก้อนเนื้อผิดปกติ

Q: มะเร็งสามารถรักษาหายได้หรือไม่?
A: หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก หลายชนิดสามารถรักษาหายขาดได้

Q: มะเร็งเกิดจากกรรมพันธุ์ทั้งหมดหรือไม่?
A: ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม เช่น มะเร็งเต้านม

Q: ต้องตรวจสุขภาพบ่อยแค่ไหน?
A: ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยขึ้นตามความเสี่ยงส่วนบุคคล

Q: ไฝแบบไหนเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง?
A: ไฝที่เปลี่ยนขนาด สี ขอบไม่เรียบ หรือมีเลือดซึมควรพบแพทย์ทันที

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Cancer mortality and morbidity patterns in the U. S. population: an interdisciplinary approach. Berlin: Springer. ISBN 0-387-78192-7.

“Breast cancer”. Am D Health Syst Pharm  (15): 2472–9.

[/vc_column][/vc_row]

อาหารผู้ป่วยมะเร็ง: เลือกกินอย่างไรให้ได้สารอาหารครบ ลดผลข้างเคียง เพิ่มโอกาสฟื้นตัว

0
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
การเลือกทานอาหารของผู้ป่วยจึงมีความสำคัญมาก ต้องเลือกอาหารที่มีประโยชน์และเน้นกรดอะมิโนเป็นสำคัญ

การดูแลสุขภาพเริ่มต้นได้จากอาหารที่เรากินทุกวัน การเลือกอาหารที่เหมาะสม ไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมีผลอย่างมากในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย การปรับพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง จึงเป็นวิธีง่ายที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ทันที

สารอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง: พลังธรรมชาติที่เราควรรู้จัก

อาหารหลายชนิดอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง เช่น:

  • ไฟโตนิวเทรียนท์ จากผักใบเขียว, หัวกะหล่ำ, บร็อกโคลี
  • ไลโคปีน จากมะเขือเทศและแตงโม
  • ไอโซฟลาโวน จากถั่วเหลือง
  • โพลีฟีนอล จากชาเขียว

หลักการเลือกกินอาหารเพื่อต้านมะเร็ง

  1. ลดการบริโภคเนื้อสัตว์สีแดงและแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก
  2. กินผักผลไม้หลากสี เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระครบถ้วน
  3. เลี่ยงอาหารทอดหรือไหม้เกรียม ซึ่งก่อสารพิษประเภทไนโตรซามีน
  4. เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต
  5. จำกัดการบริโภคน้ำตาล เพราะน้ำตาลสูงสัมพันธ์กับภาวะอ้วนและมะเร็ง

อาหารที่ควรเลี่ยง: เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง

  • อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม
  • อาหารดองเค็มหรือรมควัน เช่น กุนเชียง ปลาร้า
  • อาหารที่มีสารกันเสียหรือสีสังเคราะห์มากเกินไป
  • อาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน เช่น ถั่วลิสงเก่า พริกป่นที่เก็บไว้นาน
  • อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะลาบเลือด ก้อยปลา ที่เสี่ยงต่อพยาธิใบไม้ในตับ

การกินอย่างมีสติ: เพื่อผู้ป่วยมะเร็งและผู้ที่ต้องการป้องกัน

  • กินครบ 5 หมู่ แต่เน้นโปรตีนไขมันต่ำและคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี
  • ปรุงอาหารให้สะอาด ปลอดเชื้อ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ
  • มีอาหารว่างที่ดีไว้ใกล้ตัว เช่น ผลไม้ โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้
  • เลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกกับอาหารร้อนหรืออุ่นไมโครเวฟ

หลักโภชนาการ 12 ข้อเพื่อต้านมะเร็ง

5 ข้อเพื่อป้องกัน:

  1. เพิ่มการบริโภคไฟเบอร์: ธัญพืช ผัก ผลไม้
  2. เน้นผักและผลไม้สีจัด: เบต้าแคโรทีน วิตามินซีสูง
  3. เลือกโปรตีนคุณภาพ: ถั่ว ปลา ไข่ไก่
  4. ลดไขมันและควบคุมน้ำหนัก
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

7 ข้อลดความเสี่ยง:

  1. เลี่ยงอาหารไขมันสูง
  2. หลีกเลี่ยงเชื้อราในอาหารแห้ง เช่น ถั่ว พริก
  3. งดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ
  4. งดอาหารกึ่งสุกดิบ เช่น ลาบเลือด ก้อยปลา
  5. งดบุหรี่และควันพิษ
  6. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  7. หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน

สรุป

อาหารมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่เสี่ยง รวมถึงการดูแลสุขภาพองค์รวม เช่น ออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ และลดความเครียด จะช่วยให้ห่างไกลโรคร้ายได้มากขึ้น

จงเริ่มต้นดูแลตนเองวันนี้ ด้วยการเลือกอาหารที่ดี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ผู้ป่วยมะเร็งสามารถกินโปรตีนได้หรือไม่?

A1: ได้แน่นอน ผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับโปรตีนมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากร่างกายต้องการซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายและสร้างภูมิคุ้มกัน โปรตีนจากแหล่งคุณภาพสูง เช่น ไข่ขาว ซอยย์โปรตีน หรือเวย์โปรตีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ

Q2: ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดเมื่อป่วยเป็นมะเร็ง?

A2: ควรเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูงแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม อาหารหมักดอง หรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบที่อาจมีการปนเปื้อนของพยาธิหรือแบคทีเรีย

Q3: ผู้ป่วยที่เบื่ออาหารควรทำอย่างไร?

A3: ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ บ่อยครั้ง และเลือกอาหารที่มีพลังงานและโปรตีนสูง เช่น โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ หรือผลไม้สด เพื่อเสริมพลังงานและสารอาหารโดยไม่สร้างภาระต่อการย่อยมากเกินไป

Q4: อาหารแบบใดที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยมะเร็ง?

A4: อาหารเย็นและอาหารแห้ง เช่น แครกเกอร์ น้ำแข็ง โยเกิร์ต หรือผลไม้เย็น ๆ ช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดี ควรเลี่ยงอาหารรสจัดหรือกลิ่นแรง

Q5: การดื่มน้ำสำคัญอย่างไรต่อผู้ป่วยมะเร็ง?

A5: การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ (วันละ 8–10 แก้ว) ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ลดอาการท้องผูก ป้องกันภาวะขาดน้ำ และสนับสนุนการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Food for cancer”. cancer.gov. National Cancer Institute. March, 2015.

“Food Cancer”. National Cancer Institute. 10 June 2014.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งเกิดจากอะไร? รวมสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และแนวทางตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง

0
“มะเร็ง” เกิดจากอะไร ? (Causes of Cancer)
มะเร็งเกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในร่างกายโดยจะไปทำให้ DNA ภายในเซลล์กลายพันธุ์

โรคมะเร็ง (Cancer) เป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกมากที่สุดในแต่ละปี โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 8 ล้านคนทั่วโลก และในประเทศไทยเองก็มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งกว่า 60,000 คนต่อปี ซึ่งแซงหน้าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้วเสียอีก แม้ว่าในปัจจุบันการรักษาจะก้าวหน้ามากขึ้น แต่การป้องกันและรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงยังคงเป็นกุญแจสำคัญที่สุด

มะเร็งคืออะไร?

มะเร็งคือภาวะที่เซลล์ของร่างกายมีการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรม (DNA) ทำให้เกิดการแบ่งตัวผิดปกติ เติบโตอย่างรวดเร็วและควบคุมไม่ได้ โดยเซลล์เหล่านี้อาจแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียงและอวัยวะอื่น ๆ ผ่านทางกระแสเลือดและระบบน้ำเหลือง ในที่สุดจะกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายหรือที่เรียกว่า “มะเร็ง (Malignant Tumor)”

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ปัจจัยภายใน (Internal Factors) และปัจจัยภายนอก (External Factors)

ปัจจัยภายใน (Internal Factors)

คิดเป็นเพียง 5–10% ของกรณีทั้งหมด ได้แก่:

1. พันธุกรรม (Hereditary Cancer)

  • ยีนที่ก่อมะเร็ง (Oncogene)
  • ยีนต้านมะเร็ง (Tumor Suppressor Gene)
  • ยีนซ่อมแซม DNA (DNA Repair Gene)

เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับอ่อน ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งหลายคน

2. การกลายพันธุ์ขณะอยู่ในครรภ์

  • มาจากการติดเชื้อไวรัส (เช่น หัดเยอรมัน)
  • ได้รับสารพิษหรือรังสี
  • ขาดวิตามินหรือสารอาหารขณะตั้งครรภ์

3. อายุที่เพิ่มขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น โอกาสเกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ก็จะเพิ่มขึ้นตามวัย และการสะสมของอนุมูลอิสระก็ยิ่งทำให้เซลล์เสื่อมและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

ปัจจัยภายนอก (External Factors)

มีอิทธิพลต่อการเกิดมะเร็งถึง 90–95% ได้แก่:

1. อาหารและโภชนาการ

  • ไขมันสูง เช่น อาหารทอด ฟาสต์ฟู้ด
  • อาหารหมักดอง / มีสารไนไตรท์ เช่น ไส้กรอก กุนเชียง
  • อาหารไหม้เกรียมจากการย่าง/ทอด
  • การบริโภคผักผลไม้ไม่เพียงพอ

2. มลพิษสิ่งแวดล้อม

  • ควันจากท่อไอเสีย รถยนต์ โรงงาน
  • ควันบุหรี่ (ทั้งสูบเองและมือสอง)
  • รังสีอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดด

3. สารเคมีและรังสี

  • ยาฆ่าแมลงและสารตกค้างในอาหาร
  • โลหะหนัก เช่น เบนซิน แคดเมียม
  • การทำงานในอุตสาหกรรมที่สัมผัสสารเคมีโดยตรง

4. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • พักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียดเรื้อรัง
  • ไม่ออกกำลังกาย
  • การใช้ยาคุมกำเนิดต่อเนื่องเกิน 5 ปี
  • การใช้ฮอร์โมนทดแทนโดยไม่ควบคุม

มะเร็งเริ่มต้นอย่างไร?

โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะมีการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์อย่างเป็นระบบ เมื่อเซลล์เก่าเสื่อมสภาพ ก็จะมีเซลล์ใหม่มาแทนที่ แต่หากระบบนี้ทำงานผิดพลาด เช่น มีการกลายพันธุ์ของ DNA เซลล์จะเริ่มแบ่งตัวผิดปกติจนเกิดเป็นเนื้องอก ซึ่งถ้าเนื้องอกนั้นไม่แพร่กระจาย จะเรียกว่า “เนื้องอกธรรมดา (Benign Tumor)” แต่หากแพร่กระจาย จะเรียกว่า “มะเร็ง (Malignant Tumor)”

ลักษณะเฉพาะของเซลล์มะเร็ง (Hallmarks of Cancer)

เซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติดังนี้:

  1. แบ่งตัวได้เองอย่างไม่จำกัด
  2. ไม่ตอบสนองต่อกลไกควบคุมการเจริญเติบโต
  3. แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้
  4. สร้างเส้นเลือดใหม่เลี้ยงตนเอง (Angiogenesis)
  5. หลบเลี่ยงการถูกทำลายจากระบบภูมิคุ้มกัน

ชนิดของมะเร็งที่พบบ่อย

กลุ่ม มะเร็งที่พบมาก
เพศชาย มะเร็งปอด, มะเร็งตับ, มะเร็งลำไส้ใหญ่
เพศหญิง มะเร็งเต้านม, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งรังไข่
เด็ก มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia), มะเร็งสมอง

การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยมะเร็งเบื้องต้น

1. ตรวจร่างกาย

  • ตรวจเต้านมด้วยตนเอง (BSE)
  • ตรวจช่องปาก ลำคอ ต่อมน้ำเหลืองโดยแพทย์

2. ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers)

  • AFP, CEA, CA125, PSA

3. การตรวจด้วยภาพ

  • เอกซเรย์, อัลตร้าซาวด์, CT Scan, MRI

4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • เจาะเลือด, ปัสสาวะ, ส่องกล้อง, ตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy)

แนวทางป้องกันมะเร็งเบื้องต้น

  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปหรือหมักดอง
  • รับประทานผักผลไม้หลากหลาย
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี
  • เลิกบุหรี่และลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีรุนแรงโดยตรง

FAQ: คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับมะเร็ง

Q1: เป็นมะเร็งเพราะกินน้ำตาลมากจริงหรือไม่?
A: ไม่จริงโดยตรง แต่น้ำตาลสูงเกินไปอาจเพิ่มภาวะอักเสบและอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง

Q2: คนในครอบครัวเป็นมะเร็ง ฉันจะเป็นด้วยไหม?
A: โอกาสมีแค่ประมาณ 5–10% เท่านั้น และสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับพฤติกรรม

Q3: ควรตรวจมะเร็งบ่อยแค่ไหน?
A: ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และประวัติครอบครัว โดยทั่วไปแนะนำตรวจปีละครั้งหรือ 2 ปีครั้งสำหรับบางมะเร็ง

Q4: มะเร็งรักษาหายได้ไหม?
A: หากตรวจพบในระยะแรกเริ่ม เช่น ระยะที่ 0–1 มีโอกาสหายสูงถึง 90% ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและอวัยวะที่เป็น

Q5: มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่?
A: ได้ หากยังมีเซลล์มะเร็งหลงเหลือ หรือหากยังคงพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ จึงควรตรวจติดตามหลังการรักษา

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“What Is Cancer?”. National Cancer Institute.  17 August 2009.

National Cancer Institute (Dec 2012). “Targeted Cancer Therapies”. www.cancer.gov.  9 March 2014.

Loomis, D; Grosse, Y; Bianchini, F; Straif, K (2016) . “Body Fatness and Cancer — Viewpoint of the IARC Working Group”. N Engl J Med. 375:794-798. doi:10.1056/NEJMsr1606602. 

[/vc_column][/vc_row]

อาหารต้านมะเร็ง กินอย่างไรให้ห่างไกลโรคร้าย แนวทางป้องกันด้วยโภชนาการ

0
กินอย่างไรห่างไกลมะเร็ง
การได้รับอาหารที่ดีจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมีกำลังต่อสู้กับมะเร็ง

การดูแลสุขภาพเริ่มต้นได้จากอาหารที่เรากินทุกวัน การเลือกอาหารที่เหมาะสม ไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมีผลอย่างมากในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย การปรับพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง จึงเป็นวิธีง่ายที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ทันที

สารอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง: พลังธรรมชาติที่เราควรรู้จัก

อาหารหลายชนิดอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง เช่น:

  • ไฟโตนิวเทรียนท์ จากผักใบเขียว, หัวกะหล่ำ, บร็อกโคลี
  • ไลโคปีน จากมะเขือเทศและแตงโม
  • ไอโซฟลาโวน จากถั่วเหลือง
  • โพลีฟีนอล จากชาเขียว

หลักการเลือกกินอาหารเพื่อต้านมะเร็ง

  1. ลดการบริโภคเนื้อสัตว์สีแดงและแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก
  2. กินผักผลไม้หลากสี เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระครบถ้วน
  3. เลี่ยงอาหารทอดหรือไหม้เกรียม ซึ่งก่อสารพิษประเภทไนโตรซามีน
  4. เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต
  5. จำกัดการบริโภคน้ำตาล เพราะน้ำตาลสูงสัมพันธ์กับภาวะอ้วนและมะเร็ง

อาหารที่ควรเลี่ยง: เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง

  • อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม
  • อาหารดองเค็มหรือรมควัน เช่น กุนเชียง ปลาร้า
  • อาหารที่มีสารกันเสียหรือสีสังเคราะห์มากเกินไป
  • อาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน เช่น ถั่วลิสงเก่า พริกป่นที่เก็บไว้นาน
  • อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะลาบเลือด ก้อยปลา ที่เสี่ยงต่อพยาธิใบไม้ในตับ

การกินอย่างมีสติ: เพื่อผู้ป่วยมะเร็งและผู้ที่ต้องการป้องกัน

  • กินครบ 5 หมู่ แต่เน้นโปรตีนไขมันต่ำและคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี
  • ปรุงอาหารให้สะอาด ปลอดเชื้อ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ
  • มีอาหารว่างที่ดีไว้ใกล้ตัว เช่น ผลไม้ โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้
  • เลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกกับอาหารร้อนหรืออุ่นไมโครเวฟ

หลักโภชนาการ 12 ข้อเพื่อต้านมะเร็ง

5 ข้อเพื่อป้องกัน:

  1. เพิ่มการบริโภคไฟเบอร์: ธัญพืช ผัก ผลไม้
  2. เน้นผักและผลไม้สีจัด: เบต้าแคโรทีน วิตามินซีสูง
  3. เลือกโปรตีนคุณภาพ: ถั่ว ปลา ไข่ไก่
  4. ลดไขมันและควบคุมน้ำหนัก
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

7 ข้อลดความเสี่ยง:

  1. เลี่ยงอาหารไขมันสูง
  2. หลีกเลี่ยงเชื้อราในอาหารแห้ง เช่น ถั่ว พริก
  3. งดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ
  4. งดอาหารกึ่งสุกดิบ เช่น ลาบเลือด ก้อยปลา
  5. งดบุหรี่และควันพิษ
  6. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  7. หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน

สรุป

อาหารมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่เสี่ยง รวมถึงการดูแลสุขภาพองค์รวม เช่น ออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ และลดความเครียด จะช่วยให้ห่างไกลโรคร้ายได้มากขึ้น

จงเริ่มต้นดูแลตนเองวันนี้ ด้วยการเลือกอาหารที่ดี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: อาหารประเภทไหนที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้ดีที่สุด?
A1: อาหารที่ต้านมะเร็งได้ดี ได้แก่ ผักตระกูลกะหล่ำ (เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี), เห็ดญี่ปุ่น, ถั่วและธัญพืช, ผลไม้สีส้ม–แดงที่อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน และอาหารที่มีวิตามินซีและไฟเบอร์สูง เช่น มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม

Q2: คนทั่วไปควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างไรเพื่อป้องกันมะเร็ง?
A2: ควรลดการกินอาหารทอด ปิ้งย่าง อาหารดิบ อาหารที่ถนอมด้วยดินประสิว หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีฉูดฉาด และควรเลือกกินอาหารสดใหม่ ปรุงสุก สะอาด พร้อมลดน้ำตาล ไขมัน และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

Q3: ผู้ป่วยมะเร็งสามารถกินโปรตีนได้หรือไม่?
A3: ได้ ผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับโปรตีนที่เพียงพอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควรเลือกโปรตีนจากเนื้อปลา ไข่ ถั่ว และหลีกเลี่ยงเนื้อแดงหรือเนื้อแปรรูป

Q4: การกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างไร?
A4: เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ และลดความเสี่ยงของการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง โดยพบได้ในผักผลไม้สีส้ม เหลือง และเขียวเข้ม เช่น แครอท ฟักทอง บร็อกโคลี

Q5: ต้องกินอาหารต้านมะเร็งติดต่อกันนานแค่ไหนถึงเห็นผล?
A5: การกินอาหารต้านมะเร็งไม่ใช่ทางลัด แต่เป็นการสร้าง “พฤติกรรมสุขภาพระยะยาว” ที่ต่อเนื่องอย่างน้อย 3–6 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผลต่อภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการกลายพันธุ์ของเซลล์

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Food Cancer”. National Cancer Institute. 10 June 2014.

Haefliger, Denise Nardelli; Moskaitis, John E.; Schoenberg, Daniel R.; Wahli, Walter (October 1989). “Amphibian albumins as members of the albumin, alpha-fetoprotein, vitamin D-binding protein multigene family”. Journal of Molecular Evolution.

[/vc_column][/vc_row]

การติดตามประเมินผลการควบคุมเบาหวาน: วัดน้ำตาลอย่างไรให้แม่นยำและปลอดภัย

0
การติดตามประเมินผลการควบคุมเบาหวาน
การหาดรรชนีสามารถบอกค่าของน้ำตาลในเลือดและช่วยให้แพทย์ประเมินผลการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

ความสำคัญของการประเมินผลการควบคุมโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และหากควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีในระยะยาว อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวานขึ้นตา ไตเสื่อม เท้าเน่า หรือโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การประเมินผลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์และผู้ป่วยร่วมกันวางแผนการดูแลรักษาได้ตรงจุด

วิธีประเมินระดับน้ำตาลในเลือด

1. ระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar – FBS)

  • คือการตรวจเลือดหลังจากงดอาหาร 8 ชั่วโมง
  • ค่าที่แสดงถึงโรคเบาหวาน: FBS ≥ 126 มก./ดล. (2 ครั้ง)
  • เป็นค่าที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามอาหารหรือกิจกรรมที่เพิ่งผ่านมา จึงควรใช้ร่วมกับดัชนีอื่นในการประเมินระยะยาว

2. การตรวจระดับน้ำตาลหลังอาหาร (Postprandial Blood Sugar)

  • ตรวจหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง
  • ค่าปกติควรไม่เกิน 140 มก./ดล.
  • ใช้ดูการตอบสนองของร่างกายต่ออาหารแต่ละประเภท

3. ไกลโคซิเลตฮีโมโกลบิน (HbA1c)

  • เป็นตัวชี้วัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยย้อนหลัง 2–3 เดือน
  • ไม่ขึ้นกับการกินอาหารก่อนตรวจจึงแม่นยำกว่า FBS
  • ค่าที่ใช้ประเมิน:
    • <7%: ควบคุมได้ดี
    • 7–8%: พอใช้ได้
    • 8%: ควบคุมได้ไม่ดี
  • เปรียบได้กับการวัด “ความหวานโดยเฉลี่ย” ของกล้วยแช่น้ำเชื่อม ไม่ใช่แค่ความหวานของน้ำเชื่อม ณ เวลานั้น

การตรวจน้ำตาลด้วยตนเองที่บ้าน

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้ผู้ป่วยสามารถตรวจระดับน้ำตาลด้วยตัวเองผ่าน:

1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

  • ตรวจได้ก่อนและหลังอาหารเพื่อดูแนวโน้มระดับน้ำตาลรายวัน
  • อุปกรณ์ทันสมัย ราคาจับต้องได้ และแม่นยำ
  • ควรจดบันทึกผลทุกครั้ง เพื่อใช้ร่วมกับแพทย์ในการปรับยา

2. การตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะ

  • เป็นการประเมินทางอ้อม
  • น้ำตาลจะปรากฏในปัสสาวะเมื่อระดับในเลือด >180–200 มก./ดล.
  • ข้อจำกัด: ถ้าไตมีขีดจำกัดในการขับน้ำตาลได้ดี อาจไม่พบแม้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
  • ไม่สามารถตรวจระดับน้ำตาลต่ำได้

3. การตรวจระดับคีโตนในปัสสาวะ (เฉพาะเบาหวานชนิดที่ 1)

  • ควรตรวจเมื่อมีอาการไข้ คลื่นไส้ อาเจียน หรือระดับน้ำตาล >250 มก./ดล.
  • คีโตนสูงสะท้อนถึงการใช้ไขมันเป็นพลังงานแทนน้ำตาล มีความเสี่ยงต่อภาวะกรดคั่งในเลือด (Diabetic Ketoacidosis)

แนวทางการติดตามประเมินผลแบบองค์รวม

1. ตรวจสุขภาพเป็นระยะ

  • ทุก 3 เดือน ตรวจ HbA1c
  • ตรวจจอประสาทตา ไต และระบบประสาทส่วนปลายทุกปี

2. ประเมินพฤติกรรมและการใช้ชีวิต

  • การควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอหรือไม่
  • การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
  • การรับประทานยาและการใช้ยาอินซูลินถูกต้องหรือไม่

3. ประเมินอารมณ์และสุขภาพจิต

  • ผู้ป่วยที่เครียดหรือซึมเศร้ามักมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการดูแลตนเอง
  • ควรส่งเสริมด้านจิตใจ ควบคู่กับการรักษาด้านร่างกาย

4. การให้ความรู้แก่ผู้ป่วย

  • การเข้าใจโรคและแผนการรักษาช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตัวเองมากขึ้น
  • การบันทึกผลน้ำตาลทุกวันเป็นการสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้ใส่ใจสุขภาพ

การเปรียบเทียบการประเมินผลแต่ละแบบ

วิธีประเมิน บอกค่าอะไร ระยะเวลาที่สะท้อน ความแม่นยำ ข้อควรระวัง
FBS ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร ณ เวลานั้น ปานกลาง ขึ้นกับมื้ออาหารก่อนหน้า
หลังอาหาร 2 ชม. น้ำตาลหลังรับประทานอาหาร เฉพาะหลังมื้ออาหาร ปานกลาง ไม่เหมาะใช้เดี่ยวๆ
HbA1c ค่าเฉลี่ยน้ำตาลใน 2–3 เดือน ระยะยาว สูง ต้องใช้วิธีเดิมตลอดการติดตาม
ตรวจเลือดที่บ้าน การเปลี่ยนแปลงรายวัน ปัจจุบัน สูง อาจคลาดเคลื่อนถ้าใช้อุปกรณ์ผิดวิธี
ตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ ประเมินน้ำตาลทางอ้อม ไม่ระบุชัดเจน ต่ำ ให้ผลลบแม้ระดับน้ำตาลสูงได้

บทสรุป

การประเมินผลการควบคุมโรคเบาหวานควรทำหลายรูปแบบร่วมกัน ไม่พึ่งค่าใดค่าหนึ่งเพียงลำพัง โดยเฉพาะค่า HbA1c เป็นตัวชี้วัดหลักที่แพทย์ใช้สำหรับประเมินการดูแลโดยรวมของผู้ป่วยในช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ การตรวจด้วยตนเองเป็นประจำ การเข้าใจโรค และความร่วมมือของผู้ป่วยล้วนเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้การควบคุมเบาหวานได้ผลดีอย่างยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลเบาหวาน

Q1: ค่าฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) ควรตรวจบ่อยแค่ไหน?

A: ควรตรวจทุก 3 เดือน หากควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี หรือทุก 6 เดือน หากควบคุมได้ดีและระดับ HbA1c คงที่ เพื่อให้แพทย์ประเมินการรักษาได้แม่นยำ

Q2: ค่า HbA1c ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไร?

A: ควรอยู่ต่ำกว่า 7% ถือว่าควบคุมได้ดี, 7–8% พอใช้ได้, และหากมากกว่า 8% แสดงว่าควบคุมได้ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน

Q3: การตรวจ FBS กับ HbA1c ต่างกันอย่างไร?

A: FBS เป็นค่าระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร ให้ข้อมูลระยะสั้น ส่วน HbA1c เป็นค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดย้อนหลัง 2–3 เดือน ให้ภาพรวมที่แม่นยำกว่าในการประเมินระยะยาว

Q4: จำเป็นต้องตรวจระดับน้ำตาลด้วยตนเองที่บ้านหรือไม่?

A: สำหรับผู้ที่ใช้ยาอินซูลินหรือมีระดับน้ำตาลแปรปรวนสูง ควรตรวจเองที่บ้านเป็นประจำ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องยา อาหาร และกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

Q5: การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะยังจำเป็นอยู่หรือไม่?

A: ยังมีประโยชน์ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจเลือดได้ แต่มีข้อจำกัดมาก เช่น อาจไม่พบแม้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และไม่สามารถตรวจน้ำตาลต่ำได้ ควรใช้ควบคู่กับวิธีอื่น

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Diabetes Programme”. World Health Organization. Archived from the original on 26 April 2014. Retrieved 22 April 2014.

“Pancreas Transplantation”. American Diabetes Association. Archived from the original on 13 April 2014. Retrieved 9 April 2014.

[/vc_column][/vc_row]

อาหารเช้าสำคัญแค่ไหน? ลดอ้วน คุมเบาหวาน สมองไบรท์ แค่เริ่มต้นวันให้ถูก

0
รับประทานอาหารเช้าช่วยป้องกันโรคอ้วนได้
อาหารเช้า ถือเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน เพราะถือเป็นการเริ่มต้นวันทำให้สดชื่อและสุขภาพดี

มื้อเช้าไม่ใช่เพียงมื้อแรกของวัน แต่เป็นกุญแจสำคัญในการเริ่มต้นกระบวนการเผาผลาญและปรับสมดุลร่างกายหลังจากการอดอาหารข้ามคืน (overnight fast) แม้ว่าวันนี้เราจะเร่งรีบ แต่การงดอาหารเช้า หรือเลือกทานผิดประเภท อาจส่งผลเสียที่แฝงอยู่ในระยะยาว โดยเฉพาะ โรคอ้วน และภาวะเมตาบอลิกซินโดรมต่างๆ

“การไม่ทานอาหารเช้า ทำให้ระดับฮอร์โมนคุมความอยากอาหารยุ่งเหยิง สมองหลั่งนิวโรเปปไทด์ Y (NPY) กระตุ้นความอยากอาหารจนกินจุกกินจิกในมื้อถัดไป”

นี่คือเหตุผลที่คนไม่ทานอาหารเช้ามักมีแนวโน้มอ้วนมากกว่า 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ทานอาหารเช้าปกติ นอกจากนี้ การกินอาหารเช้ายังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย

ทำไมอาหารเช้าจึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้?

• เติมพลังงานให้สมองและร่างกาย

หลังตื่นนอน ร่างกายใช้กลูโคสทั้งหมดที่สะสมไว้ ทำให้ระดับพลังงานลดลง สมองจึงโหยหา “แหล่งพลังงานใหม่” ถ้าไม่ทานอาหารเช้า ระบบจะสั่งสมพลังงานจากไขมันสำรอง และส่งสัญญาณหิวเรื้อรังเมื่อตื่นสาย ในมื้อกลางวันจึงอาจกินมากเกินจำเป็น

• ลดการกินจุกจิกของวัน

ยิ่งลำไส้ปรับตัวให้หิวตลอดเวลา หลังอดมากกว่า 8–12 ชม. ฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) พุ่งขึ้น และคอร์ติซอล (Cortisol) เพิ่ม เช่นเดียวกับ NPY ที่กระตุ้นให้กินจุกจิก ซึ่งนำไปสู่วัฏจักรอ้วน-ท้องอืด

• สร้างสมดุลระบบเผาผลาญ

อาหารเช้าที่เหมาะสม ดึงพลังงานมาใช้อย่างสม่ำเสมอ ลดการเก็บไขมัน เพิ่มอัตราเผาผลาญพื้นฐานได้เล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าครบสารอาหารหลัก

• ป้องกันโรคเรื้อรัง

การวิจัยทางระบาดวิทยา ชี้ว่าคนกินอาหารเช้าประจำ จะมีระดับคอเลสเตอรอล LDL ต่ำ ความดันโลหิตดี และมีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดต่ำ ซึ่งล้วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและเบาหวาน

อาหารเช้าที่เหมาะสม: สมดุล สร้างพลังได้ยาวนาน

หลักการคือ “ครบ 3 แกนสารอาหารหลัก” แต่ละแกนช่วยเติมเต็มระบบดังนี้:

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

พบใน ธัญพืชไม่ขัดสี – ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ข้าวไรซ์เบอร์รี
▪ ย่อยช้า คงระดับน้ำตาล ไม่พุ่ง
▪ ให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอ
▪ มีใยอาหารช่วยให้อิ่มนาน

โปรตีน

พบใน ไข่ นม โยเกิร์ต ถั่ว ไก่ ปลา
▪ สร้างกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูเซลล์
▪ เพิ่มความอิ่ม ลดหิว
▪ เสริมประสิทธิภาพสมอง (กรดอะมิโนสร้างสารสื่อประสาท)

ไขมันดี & แคลเซียม

พบใน อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์ นมไขมันต่ำ
▪ ไขมันไม่อิ่มตัว ลดการอักเสบ
▪ แคลเซียมช่วยการเผาผลาญไขมัน

กากใย + น้ำ

ในผัก ผลไม้ โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้
▪ เติมความอิ่ม ลดแคลอรี
▪ เพิ่มจุลินทรีย์ตัวดีในลำไส้

เมนูเช้าที่ตัวอย่างได้

เมนู ส่วนประกอบหลัก ปริมาณแคลอรีโดยประมาณ
ข้าวโอ๊ต + นมถั่วเหลือง + ผลไม้รวม คาร์บ + โปรตีน + ใยอาหาร + แคลเซียม ~300 kcal
ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น + อะโวคาโดบด + ไข่ลวก คาร์บ + ไขมันดี + โปรตีน ~350 kcal
โยเกิร์ตไขมันต่ำ + กราโนล่า + เมล็ดเจีย โปรตีน + ใย + Omega-3 ~280 kcal
มิลค์เชคผลไม้ (กล้วย, เบอร์รี) + โปรตีนผง คาร์บ, โปรตีน, วิตามิน ~320 kcal
สไลซ์อกไก่ต้ม + ผักสด + ข้าวกล้อง โปรตีน + คาร์บ + ใย ~400 kcal

เคล็ดลับการกินเช้าในชีวิตจริง

  1. เตรียมไว้ล่วงหน้า

    • ข้าวโอ๊ตแช่ข้ามคืน (overnight oats)

    • ต้มไข่ + สไลซ์ผักไว้ในคืนก่อน

  2. จัดเวลาให้ 15–20 นาที
    เสียเวลาเล็กน้อยแต่ได้สุขภาพดี–สมาธิดี–เริ่มวันอย่างโปรด

  3. เลือกวันละเมนูไม่ซ้ำกัน
    ลดความเบื่อ เลือกวัตถุดิบหมุนเวียน บำรุงหลากสาร

  4. เลี่ยงอาหารแปรรูปมากเกินไป
    เช่น ซีเรียลน้ำตาลสูงแพง หรือขนมปังขาวผสมไขมันทรานส์

  5. ดื่มน้ำร่วมด้วย
    เติม 300–500 มล. หลังตื่น เพื่อช่วยระบบทางเดินอาหารและสมดุลน้ำในร่างกาย

งานวิจัยสนับสนุนประโยชน์ของอาหารเช้า

  • The American Journal of Clinical Nutrition: ผู้ที่ทานอาหารเช้ามีดัชนีมวลกาย (BMI) -1.5 หน่วย ต่ำกว่าคนไม่กิน

  • Journal of Nutrition & Metabolism: การทานข้าวโอ๊ตลดความดันและคอเลสเตอรอลภายใน 4–8 สัปดาห์

  • Circulation: ธัญพืชไม่ขัดสี ชะลอการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

สรุป

  • อาหารเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุดต่อระบบเผาผลาญ

  • ช่วย ควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคเรื้อรัง

  • วางแผนให้ครบสารอาหารหลักและใยอาหาร

  • เลี่ยงแปรรูป เลือกวัตถุดิบธรรมชาติ

  • มีงานวิจัยสนับสนุนมากมาย

เริ่มต้นรับประทานอาหารเช้าให้เป็นประจำวันนี้ เพื่อชีวิตที่สมดุล สุขภาพดีในระยะยาว และน้ำหนักที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

หากคุณยังไม่เคยเริ่มจากมื้อเช้า สัปดาห์นี้ลองเพิ่มเมนูง่าย ๆ ลงไป และสังเกตการเปลี่ยนแปลงในร่างกายต่อไปครับ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: อาหารเช้าต้องหนักแค่ไหน?
A: ปริมาณ ~300–400 แคลอรี (13–20% ของพลังงานต่อวัน) เช่น ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น + อะโวคาโด + ไข่ 1 ฟอง

Q2: ถ้าไม่หิวตอนเช้าจะทำอย่างไร?
A: ปรับรูปแบบ เช่น สมูทตี้โยเกิร์ต/ข้าวโอ๊ตแช่เย็น หรืออาหารที่ให้อิ่มเร็ว เช่น ไข่ต้ม

Q3: ทานอาหารเช้า แต่ไม่ลดน้ำหนักทำยังไงดี?
A: ตรวจโปรไฟล์สารอาหารแนวทาง – ไม่เน้นไขมันและน้ำตาลเช้า พร้อมปรับแนวทางและออกกำลังกายควบคู่

Q4: อาหารเช้าที่จะช่วยลดเบาหวานควรเป็นอย่างไร?
A: เน้นแฟเบอร์ต่ำ GI เช่น ข้าวโอ๊ต เนื้อปลา โปรตีนสูง ปรุงน้อยหวาน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Obesity and overweight http://www.who.int.

Waist-hip ratio. http://en.wikipedia.org/wiki.

[/vc_column][/vc_row]

โรคอ้วนคืออะไร? สาเหตุ ปัจจัย อาการ และผลกระทบที่คุณควรรู้!

0
สาเหตุ ปัจจัย และอาการของโรคอ้วนคืออะไร?
โรคอ้วน เกิดจากภาวะที่ร่างกายมีปริมาณไขมันมากเกินกว่าปกติ มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน

โรคอ้วนเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรเมืองและประเทศที่มีการบริโภคแบบตะวันตกเป็นหลัก โรคนี้ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และแม้แต่มะเร็งบางชนิด ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจลึกถึง สาเหตุของโรคอ้วน ปัจจัยเสี่ยง อาการที่ต้องระวัง รวมไปถึงแนวทางการป้องกันก่อนที่สุขภาพจะพังแบบไม่รู้ตัว

โรคอ้วนคืออะไร?

โรคอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว วัดจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) หากมีค่ามากกว่า 25 ถือว่าอยู่ในระดับน้ำหนักเกิน และถ้าเกิน 30 จะจัดเป็นโรคอ้วนทันที

การคำนวณค่า BMI:

BMI = น้ำหนักตัว (กก.) ÷ ส่วนสูง (เมตร)^2
ตัวอย่าง: น้ำหนัก 70 กก. / ส่วนสูง 1.65 เมตร → BMI = 25.7 (อ้วนระดับ 1)

สาเหตุของโรคอ้วน

ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

กรรมพันธุ์

หากพ่อแม่หรือคนในครอบครัวเป็นโรคอ้วน โอกาสที่ลูกจะอ้วนก็สูงถึง 80%

เพศ

ผู้หญิงมีแนวโน้มอ้วนง่ายกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าทำให้ใช้พลังงานน้อย

อายุ

เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญช้าลง กล้ามเนื้อลดลง ทำให้ไขมันสะสมง่ายขึ้น

ฮอร์โมน

ฮอร์โมนเกรลิน และเลปติน มีบทบาทสำคัญต่อการหิว-อิ่ม หากทำงานผิดปกติ จะนำไปสู่ความอยากอาหารเกินปกติ

อัตราการเผาผลาญพลังงาน

บางคนเผาผลาญช้าโดยธรรมชาติ หรือมีภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย

ปัจจัยที่ควบคุมได้

พฤติกรรมการกิน

การบริโภคอาหารแคลอรีสูง ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และอาหารแปรรูปมากเกินไป

การไม่ออกกำลังกาย

ใช้ชีวิตแบบนั่งทำงาน ไม่เคลื่อนไหว ส่งผลให้พลังงานไม่ได้ถูกใช้ และสะสมเป็นไขมัน

ความเครียด

เมื่อเครียด ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งออกมา กระตุ้นให้ร่างกายอยากกินของหวานหรือแป้ง

การนอนไม่พอ

นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง/วัน จะทำให้ฮอร์โมนหิวเพิ่ม และอัตราการเผาผลาญลดลง

การเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็ก

ครอบครัวที่เลี้ยงลูกตามใจเรื่องอาหาร มักส่งผลให้เด็กเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีภาวะอ้วน

รูปแบบของโรคอ้วน: ไขมันสะสมในตำแหน่งต่าง ๆ บอกอะไร?

ตำแหน่งอ้วน สาเหตุ
อ้วนช่วงบน บริโภคน้ำตาล-เครื่องดื่มหวานมากเกินไป
อ้วนกลางลำตัว ฮอร์โมนความเครียดสูง เช่น คอร์ติซอล
อ้วนด้านหลัง ขาดการเคลื่อนไหว ไม่ออกกำลังกาย
อ้วนช่วงล่าง พันธุกรรม-ตั้งครรภ์-กลูเตน
พุงบวม ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย
อ้วนขา ทานเค็ม โซเดียมสูง

อาการเตือนภัยของโรคอ้วน

  • เหนื่อยง่าย แม้เคลื่อนไหวน้อย

  • ปวดเข่า-ข้อเสื่อมจากน้ำหนักกดทับ

  • หายใจไม่สะดวก หอบง่าย

  • ผิวหนังอับชื้นตามข้อพับ

  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

  • รอบเอวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โรคแทรกซ้อนที่มากับโรคอ้วน

โรคหัวใจและหลอดเลือด

เนื่องจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง

โรคเบาหวานชนิดที่ 2

เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินในร่างกาย

โรคมะเร็ง

มะเร็งเต้านม, ลำไส้ใหญ่, ต่อมลูกหมาก และรังไข่สัมพันธ์กับโรคอ้วน

โรคหยุดหายใจขณะหลับ

ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจจากไขมันบริเวณลำคอ

โรคข้อเสื่อม

โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพกเนื่องจากน้ำหนักกดทับ

โรคเกาต์ และนิ่วในถุงน้ำดี

เกิดจากการเผาผลาญผิดปกติ และลดน้ำหนักเร็วเกินไป

ความสัมพันธ์ระหว่างการนอนหลับกับโรคอ้วน

ปัจจัย ผลกระทบ
นอนน้อย เพิ่มฮอร์โมนหิว → กินมากขึ้น
นอนดึก ความไวของอินซูลินลดลง → เสี่ยงเบาหวาน
นอนไม่เป็นเวลา การเผาผลาญแปรปรวน ไขมันสะสมง่าย

คำแนะนำ:
ควรนอนอย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง และเข้านอนก่อน 22.00 น.

ทำไมต้องลดความอ้วน?

การมีน้ำหนักตัวเกิน ไม่ได้หมายความว่าแค่รูปร่างไม่สวย แต่เป็นการเปิดประตูให้กับโรคร้ายหลายชนิด

  • ลดภาระการทำงานของหัวใจ

  • ลดความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2

  • เพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม

  • หายใจโล่งขึ้น หลับสนิทขึ้น

  • เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากขึ้น

วิธีป้องกันโรคอ้วน

  1. ควบคุมอาหารให้เหมาะสม

    • ลดน้ำตาล ไขมันทรานส์ และอาหารแปรรูป

    • เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี

  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

    • เดินวันละ 30 นาที

    • ยืดเหยียด สควอท หรือว่ายน้ำอย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์

  3. นอนหลับให้พอ

    • ควบคุมนาฬิกาชีวิตให้สมดุล

  4. ตรวจสุขภาพประจำปี

    • วัด BMI, รอบเอว, ความดัน, น้ำตาล และไขมันในเลือด

  5. ลดความเครียด

    • ฝึกสมาธิ ทำกิจกรรมผ่อนคลาย

สรุป

โรคอ้วนไม่ใช่เรื่องของรูปร่างเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาด้านสุขภาพระดับโลกที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอีกหลายชนิด สาเหตุของโรคอ้วนมีทั้งจากพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เราควบคุมได้ การรับประทานอาหารที่เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอจึงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันโรคอ้วน หากคุณเริ่มรู้สึกว่าควบคุมน้ำหนักไม่ได้ อย่ารอให้เกิดโรคแทรกซ้อน รีบหันมาดูแลสุขภาพวันนี้ก่อนที่จะสายเกินไป

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ดัชนีมวลกาย (BMI) เท่าไหร่ถึงเรียกว่าอ้วน?
A: หาก BMI ≥ 25 ถือว่าเริ่มมีภาวะน้ำหนักเกิน และหาก BMI ≥ 30 จะจัดเป็นโรคอ้วน

Q: โรคอ้วนมีผลต่อการมีบุตรหรือไม่?
A: ใช่ครับ โรคอ้วนส่งผลต่อฮอร์โมนเพศ ทำให้มีบุตรยากในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

Q: การอดอาหารช่วยลดอ้วนได้ไหม?
A: ไม่แนะนำ เพราะจะทำให้ระบบเผาผลาญพัง และอาจเกิดโยโย่เอฟเฟกต์

Q: อ้วนแต่สุขภาพดีมีอยู่จริงหรือไม่?
A: มีอยู่ในบางกรณีที่ร่างกายไม่มีโรคแทรกซ้อน แต่ระยะยาวมีโอกาสเกิดโรคได้มากขึ้น

Q: ออกกำลังกายแต่ไม่ลดน้ำหนัก เกิดจากอะไร?
A: อาจเป็นเพราะอาหารยังเกินความต้องการ หรือร่างกายเริ่มสร้างกล้ามเนื้อซึ่งหนักกว่าไขมัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Body mass index. http://en.wikipedia.org/wiki/Body_mass_index [2014,March6].

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย.

ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.

[/vc_column][/vc_row]