Home Blog Page 12

Ultraformer III คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? เจ็บไหม ? อยู่ได้นานแค่ไหน ?

0
Ultraformer III

Ultraformer III

Ultraformer III

Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับ ปรับหน้าเรียว ที่ได้รับความนิยมในคลินิกความงาม มีรีวิวเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนทำ-หลังทำชัดเจน และยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง ทำให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับราคาแล้วคุ้มค่า ทำ 1 ครั้งอยู่ได้นาน 5-6 เดือน ถ้าดูแลตัวเองตามที่หมอแนะนำ ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานถึง 1 ปี  

สำหรับใครที่ทำ Ultraformer III ครั้งแรก ยังไม่มีคลินิกประจำ ควรหาข้อมูลก่อนครับ เพื่อให้มั่นใจทั้งผลลัพธ์และความปลอดภัย Ultraformer III คืออะไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง ? เหมาะกับใคร ? ขั้นตอนการทำ เจ็บไหม ? ต่างจากเครื่องยกกระชับ Ultraformer III / Ulthera / Thermage อย่างไร ? ทำ Ultraformer 3 ดีไหม ? ราคาเท่าไหร่ ? หมอรวบรวมข้อมูลไว้ในบทความนี้

Ultraformer III คืออะไร ?

Ultraformer III คือ เครื่องยกกระชับผิวด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูง (High Intensity Focus Ultrasound) ชื่อเต็ม ๆ คือ Hifu Ultraformer III ใช้เทคโนโลยี MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) ปล่อยพลังงานเข้าใต้ชั้นผิวในแต่ละชั้น ทำให้ผิวเกิดการหดตัว กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ และกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้นผิว เป็นเครื่องรุ่นที่ดีที่สุดรองจาก Ulthera (อัลเทอร่า)

เครื่อง Ultraformer III ของแท้ ผ่านการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจาก FDA ของยุโรป, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี และไทย มีจุดเด่นหลัก ๆ คือ สามารถยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย ยกกระชับสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม และไม่ต้องการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น เป็นเครื่องมือที่ดาราและ CeLebrity นิยมทำ เพราะหลังทำสามารถใช้หน้าได้ตามปกติ 

นอกจากประสิทธิภาพของตัวเครื่องแล้ว Ultraformer III ยังมีหลายหัวยิงให้แพทย์เลือกใช้ สามารถปรับระดับความลึก ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้ตรงจุด

  • 1.5-2.0 mm ใช้กับผิวชั้นบน ช่วยเรื่องริ้วรอย ร่องลึกในระดับที่ไม่ลึกมาก
  • 2.0 mm Cherry Pink ใช้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอยร่องแก้ม ยกคิ้ว ยกหนังตาตก 
  • 3.0 mm ใช้กับผิวชั้นกลาง ช่วยลดไขมันและเซลลูไลท์ กระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย
  • 4.5 mm ใช้กับผิวชั้น smas ที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้าให้กระชับ สามารถยกแก้ม เหนียง และลำคอ
  • 9-13 mm ใช้ยกกระชับสัดส่วน ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง สะโพก

Ultraformer 3

แพทย์ประเมินใบหน้าก่อนทำ

Ultraformer III ช่วยอะไรได้บ้าง ?

  • ยกผิวหย่อนคล้อย   
  • ลดริ้วรอยทั่วหน้า รอบดวงตา 
  • ยกหนังตาตก ยกคิ้ว 
  • ลดเหนียง กรอบหน้าชัด
  • ยกกระชับสัดส่วน ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง สะโพก

ทำไม ? Ultraformer III ยิ่งทำต่อเนื่องยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

–  Ultraformer III ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี –

เมื่ออายุประมาณ 20+ ผิวหน้าจะเริ่มหย่อนลง เพราะอิลาสตินในผิวเริ่มยืดออก การทำ Ultraformer III สามารถป้องกันความหย่อนคล้อยได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ครับ หากเริ่มทำ Ultraformer III ตั้งแต่ก่อนที่จะมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย จะช่วยรักษาระดับความหนาแน่นของคอลลาเจนให้คงที่ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผิวหน้าดูเด็กกว่า เมื่อเทียบกับคนอายุเท่ากัน ที่ไม่เคยทำ Ultraformer III มาก่อน

ทำ Ultraformer III

ทำ Ultraformer III ช่วยป้องกันผิวหย่อนคล้อย

Ultraformer III เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวใบหน้าหย่อนคล้อย แก้มหย่อน คิ้วตก หนังตาตก มีถุงใต้ตา
  • ผู้ที่มีผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก 
  • ผู้ที่ต้องการกรอบหน้าชัด ลดเหนียง
  • ผู้ที่ต้องการกระชับสัดส่วนและสลายไขมันบริเวณต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง สะโพก

Ultraformer III / Ulthera / Thermage ต่างกันอย่างไร ?

ปัจจุบันเครื่องยกกระชับ นอกจาก Ultraformer III ยังมี Ulthera / Thermage ที่ถึงแม้ว่าจะมีจุดเด่นในเรื่องยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่ด้วยพลังงานที่ใช้ ค่าพลังงาน ขนาดจุดโฟกัสที่ลงลึกในชั้นผิวของแต่ละเครื่องมีความแตกต่างกัน ทำให้ผลลัพธ์ ระยะเวลาอยู่ได้นาน และราคาแตกต่างกันไปด้วย หมอจะประเมินปัญหา สภาพผิว และแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสม ตรงกับงบประมาณของคนไข้ให้ครับ   

  • Ultraformer III ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ยิงลงไปในผิวชั้น SMAS ขนาดจุดโฟกัส 0.5-1 mm คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 5-6 เดือน ราคาถูกกว่า Ulthera / Thermage 
  • Ulthera ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ยิงลงลึกได้ถึงผิวชั้น SMAS ขนาดจุดโฟกัส 1 mm ตัวเครื่องมีหน้าจอแสดงระดับความลึก ทำให้แพทย์ยิงพลังงานได้แม่นยำ คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี 
  • Thermage ใช้คลื่นวิทยุ ยิงลงลึกถึงขั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว  ขนาดจุดโฟกัส 3-4 cm2 กระจายครอบคลุมเป็นวงกว้าง นอกจากยกกระชับยังช่วยสลายไขมัน คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี 

Ultraformer III / Ulthera / Thermage

Ultraformer III / Ulthera / Thermage

ขั้นตอนการทำ Ultraformer III

  • ก่อนทำ Ultraformer III จะมีการแปะยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ช่วยลดความเจ็บขณะทำ
  • ขณะทำ Ultraformer III จะรู้สึกอุ่น ๆ ปวด ๆ ใต้ผิวบริเวณที่ทำ บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บ เพราะพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิว
  • ใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 30-50 นาที (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำ)

ขั้นตอนการทำ Ultraformer III

ขณะทำ Ultraformer III

Ultraformer III เจ็บไหม ?

ทำ Ultraformer III ให้ได้ผลลัพธ์ดี จะรู้สึกอุ่น ๆ ปวด ๆ ใต้ผิว ก่อนทำจะมีการแปะยาชา ทำให้ขณะทำคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย บางคนผิวไวต่อความรู้สึก รู้สึกเจ็บ เนื่องจากมีการยิงคลื่นเสียงความเข้มข้นสูงเข้าถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ SMAS เพื่อยกกระชับผิว แต่เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ 

Ultraformer III อยู่ได้นานแค่ไหน ?

Ultraformer 3 เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที 20% เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์และป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก ๆ 6 เดือน

หลังทำ Ultraformer III ดูแลตนเองอย่างไร ?

หลังทำ Ultraformer III ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และควรให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง เพื่อให้ผิวหลังทำ Ultraformer III ได้รับการฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

  • ทาครีมบำรุงผิวหน้า และครีมกันแดด SPF สูง ๆ  
  • งดออกแดดแรง ๆ หรืออยู่กลางแจ้ง 1-2 สัปดาห์ 
  • หากมีอาการเมื่อยหรือรู้สึกตึง ๆ ผิว รับประทานยาแก้ปวดได้
  • งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ 
  • ดื่มน้ำเปล่า 8-10 แก้ว/วัน (1.5-2 ลิตร) 

Ultraformer III ที่ไหนดี ?

การทำ Ultraformer III ไม่ควรเลือกทำ  Ultraformer III จากราคาเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่อง Ultraformer III ของแท้ ผลิตโดย  Classys Inc. ประเทศเกาหลี นำเข้าโดยบริษัท ควอนตั้ม เฮล์ทเเคร์ (ไทยเเลนด์) จำกัด คนไข้สามารถเช็กรายชื่อคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ได้ที่เว็บไซต์ https://qhtaesthetics.com/search.php 

นอกจากนี้แพทย์ที่ทำต้องมีประสบการณ์ ใช้เครื่อง Ultraformer III ประเมินใบหน้าและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด สามารถดูรีวิวของคลินิกนั้น ๆ ประกอบการตัดสินใจได้ครับ จะได้มั่นใจทั้งผลลัพธ์และความปลอดภัยครับ

Ultraformer III ราคาเท่าไหร่ ?

Ultraformer III ราคาเริ่มต้น 100 Line 3,999 บาท มีความคุ้มค่าเมื่อเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ หากใช้จำนวนไลน์มากขึ้น ราคาก็จะเพิ่มขึ้นครับ หมอจะต้องประเมินปัญหาของคนไข้ ตำแหน่งที่ทำ และกำหนดจำนวนไลน์ (Line) ที่เหมาะสม และตรงกับงบประมาณ 

หมอจะแนะนำจำนวนไลน์โดยประมาณ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมตัว ดังนี้

  • แก้ม หรือ เหนียง ประมาณ 100 Line
  • แก้ม + เหนียง ประมาณ 300 Line
  • ใต้ตา + ร่องแก้ม ประมาณ 300 Line
  • ทั่วหน้า หรือ ต้นแขน ประมาณ 600 Line
  • ทั่วหน้า + คอ หรือ ต้นขา ประมาณ 1,000 Line 

ไม่ควรเลือกที่ราคาถูกมาก ๆ หรือทำโปรโมชันยิงบุฟเฟต์ ยิงไม่จำกัดจำนวนไลน์ เพราะเสี่ยงเป็นเครื่องปลอม อาจเกิดผลข้างเคียง หน้าไหม้จากเครื่องปลอมที่ปล่อยพลังงานออกมาไม่สม่ำเสมอ จนเกิดความร้อนสะสมใต้ผิวที่มากเกินไป    

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III  กับนิโคลเทริโอ  

รีวิว Ultraformer III กับแอนดี้ เขมพิมุก 

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III

Ultraformer 3 ดีไหม ?

ทำ Ultraformer 3 มีข้อดีหลายข้อครับ หลัก ๆ คือ ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ถ้าคนไข้ไม่อยากผ่าตัด เพราะกลัวเจ็บ และไม่อยากฉีดหน้า การใช้เครื่องยกกระชับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยครับ ที่สามารถยกกระชับผิว ยกแก้มห้อยย้อย ลดเหนียง ปรับรูปหน้าเรียว ลดริ้วรอยได้อย่างเห็นผล และสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนต่อเนื่อง  ช่วยให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ดูอ่อนเยาว์ ให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีราคาที่คุ้มค่าครับ     

สรุป Ultraformer III

Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับผิว ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าเรียวที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลลัพธ์ดี มีความปลอดภัย และคุ้มค่าคุ้มราคาครับ แต่ก่อนทำ Ultraformer III ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนครับว่าคลินิกได้มาตรฐานหรือไม่ ใช้เครื่องแท้ที่มีคุณภาพหรือไม่ แพทย์มีประสบการณ์ ประเมินปัญหาและจำนวนไลน์เหมาะสมหรือไม่ 

V Square Clinic เป็นคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ ใช้เครื่อง Ultraformer III ของแท้ ตรวจสอบได้ มีบริการปรึกษาออนไลน์ คนไข้สามารถส่งรูปหน้ามาให้หมอประเมินก่อนได้ในเบื้องต้น ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือนัดคิวเข้ามาปรึกษาได้ที่คลินิกทั้ง 24 สาขาครับ

เสริมจมูกแบบโอเพ่น คืออะไร ข้อดีข้อเสีย ทำไมราคาสูง ต่างกับ Close ยังไง ?

0
เสริมจมูกopen

เสริมจมูกopen

การเสริมจมูก เป็นการศัลยกรรมที่หลายคนมองว่า สามารถเปลี่ยนให้จมูกโด่งเหมือนชาวต่างชาติได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การเสริมจมูกยังมีอีกหลายแนวทาง หลายแขนง ที่เมื่อเปลี่ยนแล้วยังสามารถเปลี่ยนใบหน้าของเราให้ดูดีขึ้นได้ โดยวิธีการ เสริมจมูกแบบโอเพ่น ก็เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นการปรับแต่งโครงสร้างจมูก อีกทั้งยังเป็นวิธีการแก้จมูกที่มีปัญหาได้ เราจึงต้องมาดูกันว่า เสริมจมูกโอเพ่น แท้จริงคืออะไร

เสริมจมูกแบบโอเพ่น คืออะไร

เสริมจมูกแบบโอเพ่น ในแบบที่เข้าใจง่าย ๆ คือการศัลยกรรมผ่าตัดจมูกแบบเปิด ซึ่งเป็นการเสริมจมูกปรับโครงสร้างพื้นฐานทรงจมูกที่แม่นยำและตรงจุด เป็นวิธีการที่แก้ไขรูปทรงจมูกที่ละเอียดที่สุด โดยวิธีการจะเป็นการเปิดแผลตำแหน่งปลายจมูกออกมาทั้งสองด้าน ด้วยวิธีการเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากในประเทศเกาหลี ซึ่งภาพรวมของการรับบริการเสริมจมูกopen หลายคนชอบที่ทำให้ทรงจมูกดูเป็นธรรมชาติ

เสริมจมูกแบบโอเพ่น VS เสริมจมูกแบบปิด ต่างกันยังไง ?

ข้อแตกต่างระหว่างการเสริมจมูกแบบปิดและการเสริมจมูกแบบโอเพ่น นั้น สามารถดูข้อมูลเบื้องต้นได้ตามตาราง ดังนี้

การเสริมจมูกแบบปิด การเสริมจมูกแบบโอเพ่น
  • ใช้การผ่าตัดภายในรูจมูก ไม่มีแผลภายนอก
  • ใช้การผ่าตัดบริเวณใต้จมูก ช่วงระหว่างรูจมูกทั้งสองข้าง มีแผลภายนอกแต่อยู่ในตำแหน่งที่สังเกตยาก
  • สามารถทำได้เพียงแค่เสริมความโด่งของดั้ง ไม่สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้
  • สามารถแก้ไขรูปทรงจมูกได้หลากหลาย เช่น แก้ไขรูปกระดูก หรือแก้จมูกที่เคยศัลยกรรมไปแล้ว เป็นต้น
  • มีโอกาสทะลุจากการเสริมซิลิโคนจมูก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อจมูกหนา
  • เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาได้หลายอย่างจึงมีโอกาสเกิดการทะลุน้อยกว่า
  • ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 1-2 ชั่วโมง
  • ใช้เวลาผ่าตัด 3-5 ชั่วโมง
  • ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เนื่องจากไม่ต้องใช้ยาสลบและซับซ้อนน้อย
  • ค่าใช้จ่ายสูงกว่า เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ยาสลบและมีขั้นตอนในการทำหัตถการซับซ้อนมากกว่า

ข้อดีของเทคนิคเสริมจมูกแบบโอเพ่น

เสริมจมูกโอเพ่น

ข้อดีของการทำจมูกแบบโอเพ่นคือการเข้าไปปรับรูปจมูกไปถึงโครงสร้าง ซึ่งเป็นข้อดีของการเสริมจมูกแบบโอเพ่น ที่วิธีอื่นอาจจะทำได้ไม่ละเอียดเท่า อีกทั้งยังเป็นวิธีการสำหรับการแก้หรือปรับปัญหาจมูกได้ทุกแบบ ไม่ว่ารูปจมูกเราจะ

เป็นแบบไหน ก็ตกแต่งให้ได้ตามใจ ทั้งทรงจมูกสายฝอ, ทรงจมูกบาร์บี้, ทรงจมูกเกาหลี หรือทรงหยดน้ำก็ทำได้ โดยวิธีการทำจมูกโอเพ่น จะให้ความปลอดภัยในระยะยาว เพราะปรับโครงสร้างเสริมด้วยวัสดุที่ตรงจุด

ข้อจำกัดของเทคนิคเสริมจมูกแบบโอเพ่น

การเสริมจมูกแบบโอเพ่น มีราคาที่ค่อนข้างสูง และเป็นขั้นตอนการเสริมที่ต้องใช้แพทย์ผู้ชำนาญการสูงมาก ดังนั้นจึงต้องปรึกษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีเทคนิคเฉพาะทาง

เสริมจมูกแบบโอเพ่นเหมาะกับใคร

ทำจมูกopen

การเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นวิธีการที่ค่อนข้างเหมาะกับทุกคนที่ต้องการปรับรูปจมูก ไม่ว่าเราจะมีเนื้อจมูกน้อย หรือต้องการแก้ทรงจมูก ขั้นตอนของการทำจมูกโอเพ่นคือขั้นตอนการผ่าตัดที่ปรับเข้าไปถึงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจมูกสั้น, จมูกหมู, จมูกผิดรูป, จมูกเบี้ยว หรือจมูกที่ประสบปัญหาเช่นรูปจมูกที่เกิดจากอุบัติเหตุ การเสริมจมูกopen ก็จะช่วยให้จมูกกลับมาเป็นรูปทรงเดิมได้ ตามที่เราและแพทย์ให้คำปรึกษา

ศัลยกรรมเสริมจมูกแบบโอเพ่น กี่เดือนเข้าที่ ?

หลังจากเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกแบบโอเพ่นแล้ว เบื้องต้นเราจะมีอาการบวม ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการดูแลหลังการผ่าตัดให้เคร่งครัด หากทำตามอย่างถูกต้องอาการบวมจะลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นดูอาการต่ออีก 14 วันหลังช่วงบวมจากการเสริมจมูกโอเพ่น ซึ่งภายใน 14 วัน จมูกก็จะยุบลง หลังจากนั้น ก็จะอยู่ในช่วงรอให้จมูกเข้าที่ อย่าลืมไปพบแพทย์ตามที่นัดหมาย เพื่อติดตามผลเพิ่มเติม

หลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น ต้องดูแลตัวเองยังไง

  • หลังจากที่เราไปทำจมูกแบบโอเพ่น ในช่วงแรกให้เน้นการประคบเย็น จะช่วยลดอาการบวม
  • งดการแตะ สัมผัส บริเวณจมูกที่เราได้ทำการเสริมจมูกแบบโอเพ่น รวมไปถึงการนอนให้นอนในท่าที่ไม่กระทบกับจมูก
  • สามารถประคบอุ่นได้ เน้นการลดรอยช้ำ เมื่อแผลปิดสนิทแล้ว
  • ห้ามการกระทำกับจมูกที่รุนแรงเกินไป เช่นการสั่งน้ำมูกแรง ๆ หรือสวมแว่นบนสันจมูก
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, บุหรี่ และอาหารร้อน

หลังเสริมจมูกห้ามกิน และ ควรกินอะไรได้บ้าง

แม้แต่อาหารการกินภายหลังเสริมจมูกก็มีความสำคัญไม่น้อยเลย เพราะอาหารบางชนิดก็ช่วยให้แผลหลังเสริมจมูกหายสนิทเร็วยิ่งขึ้น ส่วนอาหารบางชนิดก็ส่งผลให้อาการบวมหลังเสริมจมูกรุนแรงมากกว่าเดิม นอกจากนี้อาหารบางหลังเสริมจมูกควรกินอะไร และห้ามกินอะไรชนิดยังอาจทำให้แผลหลังเสริมจมูกเกิดการติดเชื้อได้อีกด้วย ดังนั้นในหัวข้อนี้จึงจะมาแนะนำอาหารที่ควรกินและไม่ควรกินหลังเสริมจมูกให้อ่านกันว่ามีอะไรบ้าง

  1. ปลาร้า ของหมักดอง – ปลาร้านับเป็นหนึ่งในเมนูหมักดอง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อ และการรับประทานอาหารประเภทนี้มักทำให้บวม มีน้ำมูก คัดจมูก ซึ่งทำให้แผลติดเชื้อหรืออักเสบได้
  2. อาหารทะเล – อาทิ กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก เป็นต้น เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดอาการบวม หรือแพ้ได้
  3. บุหรี่ / แอลกอฮอล์ – แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเดือนแรกแอลกอฮอล์จะไปทำลายเซลล์ที่จะมาช่วยในการรักษาแผล ทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
  4. อาหารดิบ หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ – อาหารประเภทนี้มีพยาธิ หรือสิ่งเจือปนที่ทำให้แผลหลังจากทำศัลยกรรมเสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อได้ นอกจากนี้ยังอาจก่อให้เกิดอาการท้องร่วงได้อีกด้วยครับ

เลือกคลินิกเสริมจมูกแบบโอเพ่นที่ไหนดี

1.คลินิกที่มีใบอนุญาตและใบรับรองมาตรฐาน

สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย จะต้องมีการออกใบรับรอง เพราะคลินิกต้องมีมาตรฐานทั้งเครื่องมือทางการแพทย์ ยา และความสะอาดปลอดเชื้อในตัวสถานที่ โดยเฉพาะห้องที่ทำการผ่าตัดเสริมจมูกแบบโอเพ่น  เครื่องมือ-อุปกรณ์ที่ใช้นั้นต้องมีความสะอาด ผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งป้องกันการติดเชื้อที่อาจจะเข้าปะปนจากภายนอกได้ พร้อมทั้งมีการดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัย มีอุปกรณ์ที่เตรียมพร้อมต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เครื่องวัดความดันโลหิต เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อนในระหว่างการผ่าตัดได้นั้นเอง

ซึ่งเรามีสิทธิที่จะตรวจสอบหรือสอบถามคลินิกที่เราไปทำศัลยกรรมได้ ว่ามีการรับรองหรือไม่

2.ศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ ได้รับใบอนุญาต

weclinic-facilities

ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูกแบบโอเพ่น หรือการแก้จมูกแบบโอเพ่น ก็ต้องผ่านศัลยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวแพทย์ต้องมีใบอนุญาตในการทำบริการศัลยกรรม เพราะหากเราไม่ได้เสริมจมูกกับแพทย์เฉพาะทาง อาจจะเสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก เบื้องต้นให้เราตรวจสอบชื่อของแพทย์ผู้ให้บริการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกopenได้จากเว็บไซต์ แพทยสภา อย่างแรกที่เราควรพิจารณาคือความสามารถของทีมแพทย์หรือคลินิกนั้นๆ สามารถแก้ไข เสริมหรือปรับแต่งจมูกในแบบที่เราชอบได้หรือไม่ แก้แล้วออกมาเป็นอย่างไร ตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ ที่สำคัญคือฝีมือของแพทย์ได้รับการยอมรับมากน้อยเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้น ในการพูดคุยให้คำปรึกษานั้นทีมแพทย์สามารถทำได้อย่างตรงจุด อธิบายขั้นตอนการปรับแต่งและผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และตอบคำถามของเราได้ชัดเจนหรือไม่ เพราะอย่างไรจมูกของเราก็มีเพียงหนึ่งเดียว จะปรับแต่งหลายรอบคงไม่ดี จึงควรศึกษาส่วนนี้ให้มากเข้าไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดซึ่งหมอจาก We Clinic เราจะพูดคุยปรึกษาและปรับแก้ไขจมูกตามที่คนไข้คาดหวังได้ด้วยแทคนิคการผ่าตัดแบบ Open ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถปรับแก้ทรงจมูกทั้งหมดได้ในการผ่าตัดครั้งเดียว การันตีด้วยผลงานมากมาย สามารถเข้าชมได้ทาง www.facebook.com/weclinicclub

3.การดูแลหลังทำศัลยกรรม

โดยพื้นฐานแล้ว คลินิกต้องมีการติดตามผลของผู้เข้ารับการศัลยกรรม โดยคลินิกต้องมีการนัดเราเพื่อดูผลลัพธ์หลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น และนำมาปรับปรุงแก้ไขในส่วนของการรักษาตัว สำคัญคือบริการหลังทำศัลยกรรมจะเป็นการนัดให้คำปรึกษาเพิ่มเติม พร้อมให้แนวทางที่ถูกต้องสำหรับลูกค้าเป็นบุคคลไป

4.รีวิวจากผู้รับบริการ

ถือเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบันแล้ว สำหรับการรีวิวจมูกโอเพ่นก็เช่นกัน เราจะต้องลองศึกษารีวิวจากผู้รับบริการจริง ว่าคลินิกมีบริการอย่างไร ผลลัพธ์ของการทำศัลยกรรม เป็นไปตามที่ผู้รีวิวต้องการหรือไม่

ก่อนหลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น

รีวิวเสริมจมูกแบบโอเพ่น

จมูก open recon จมูก open ยืดผนั้งกั้นจมูก

5.ราคาที่สมเหตุสมผล

เป็นปัจจัยขั้นสุดท้าย หากคลินิกที่เราต้องการไปเสริมจมูกแบบโอเพ่น ผ่านเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อก่อนหน้านี้แล้ว การมองหาคลินิกที่มีราคาสมน้ำสมเนื้อ เพื่อการเสริมจมูกแบบโอเพ่นราคาดี ๆ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องตรวจสอบ ซึ่งในการผ่าตัดแบบโอเพ่นนี้ นับเป็นการช่วยแก้ไขปรับทรงจมูกอย่างครบเครื่องเรียกว่าปัญหาตั้งสันจมูก ปลายจมูกไปจนถึงปีกจมูก สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว ไม่จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมอีก เรียกว่า ผ่าตัดครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียวและจ่ายเพียงครั้งเดียว ได้ผลลัพธ์คุ้มค่าอย่างแน่นอน ซึ่งในบางที อาจจะมาด้วยโปรโมชั่นเพิ่มเติมที่ทำให้การเสริมจมูกแบบโอเพ่นถูกลงอีกด้วย

ทำไมแก้จมูกแบบโอเพ่นถึงราคาสูงกว่า การเสริมจมูกแบบโอเพ่นครั้งแรก

แก้จมูกแบบโอเพ่น

สาเหตุที่การแก้จมูกโอเพ่น มีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่า ผู้ที่เริ่มเสริมจมูกแบบโอเพ่นอันเนื่องมาจาก ขั้นตอนการผ่าตัดและการแก้จมูก มีความซับซ้อน และทำยากกว่า และมีราคาที่แรงมากขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาของการแก้ไขจมูกเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการแก้ไขปรับโครงสร้างจมูกด้วยเทคนิค Open ยืดผนังกั้นจมูกนั้น จะได้รับความนิยมสูงกว่าการเสริมจมูกด้วยเทคนิดปิด แม้ว่าจะมีราคาที่สูงกว่าแต่สามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาโครงสร้างจมูกได้ดีกว่า แพทย์สามารถเปิดเข้าไปแก้ไขโครงสร้าง ปรับฐาน ตอกฐาน ตั้งแกน ยืดผนังกัน รวมถึงสามารถเปิดเข้าไปเคลียร์ปัญหาข้างในได้หมด ไม่ว่าคนไข้จะมีปัญหาจมูกงุ้มตก ฮัพม์สูง จมูกใหญ่ หรือการลดขนาดจมูก ในการผ่าตัดแก้จมูกโอเพ่นก็สามารถแก้ให้จบ แก้ให้ตรงจุดได้

สรุป

การเสริมจมูก เป็นการศัลยกรรมที่ต้องการความเชี่ยวชาญและเครื่องมือที่เพียบพร้อม โดยเฉพาะการเสริมจมูกแบบโอเพ่น ที่เป็นการปรับโครงสร้างจมูก มีรายละเอียดเยอะ ต้องการคำปรึกษา และการดูแลหลังเข้ารับการผ่าตัด ดังนั้น คลินิกที่ให้บริการเสริมจมูกโอเพ่นจึงควรผ่านเกณฑ์ตามที่เราได้กล่าวมาทุกข้อเสมอ

มารู้จักกับ ” กรดแอสพาร์ติก ” กันเถอะ

0
เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของกรดอะมิโนไม่จำเป็น เพราะร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ อาหารจำพวกที่อุดมไปด้วยโปรตีนต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อปลา
กรดแอสพาร์ติก
เป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็น เพราะร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ อาหารจำพวกที่อุดมไปด้วยโปรตีนต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อปลา

กรดแอสพาร์ติก

กรดแอสพาร์ติก (Aspartic Acid) คือ กรดอะมิโนชนิดหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของกรดอะมิโนไม่จำเป็น เพราะร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ ถ้าร่างกายขาดก็จะทำให้มีความต้านทานต่อความเหนื่อยล้าลดลงไป ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะทำกิจกรรมหรือในขณะที่ออกกำลังกายก็ตาม โดยแหล่งอาหารที่ผสมกรดอะมิโนชนิดนี้ก็จะมีอาหารจำพวกที่อุดมไปด้วยโปรตีนต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อปลา และยังสามารถพบได้ในผลมะเม่าอีกด้วย เป็นต้น

กรดแอล-แอสพาร์ติก คือ รูปธรรมชาติ ซึ่งจะมีจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบของเม็ด จะมีปริมาณตั้งแต่ 250 มิลลิกรัมไปจนถึง 500 มิลลิกรัม โดยขนาดที่แนะนำให้รับประทานนั้น โดยทั่วไปแล้วก็คือปริมาณ 500 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1-3 เวลา พร้อมน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ก็ได้ แต่ก็มีข้อแม้คือห้ามรับประทานร่วมกับโปรตีนอื่น ๆ

ประโยชน์ของกรดแอสพาร์ติก

1. มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยเพิ่มความทนทานต่อความอ่อนล้าของร่างกาย ถ้านักกีฬาได้เกลือแอสพาร์ติก ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความแข็งแกร่งให้อึดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
2. ช่วยส่งเสริมกระบวนการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงานภายในเซลล์ได้อีกด้วย
3. เป็นส่วนสำคัญของแอสพาร์แตม (Aspartame) ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล และให้แคลอรีต่ำอีกด้วย
4. ช่วยในการขับแอมโมเนียที่เป็นสารอันตรายออกมาจากร่างกาย เพราะการที่แอมโมเนียเข้าสู่เส้นเลือดนั้น จะกลายเป็นสารที่มีพิษสูงมากเลยทีเดียว
5. ช่วยปกป้องระบบประสาทส่วนกลางอีกด้วย
6. มีบทบาทหน้าที่ในการช่วยผลิตฮอร์โมน และการทำงานของระบบประสาท
7. มีความสำคัญต่อการทำงานของ DNA และ RNA อีกด้วย
8. มีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์แอนติบอดี ซึ่งมีหน้าที่ในการช่วยตรวจจับ และช่วยในการทำลายฤทธิ์สิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้ ยกตัวอย่างเช่นแบคทีเรียและเชื้อไวรัสต่าง ๆ เป็นต้น

แหล่งอ้างอิง
หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์)

เกลือแร่ ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกาย

0
เกลือแร่
เกลือแร่ ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกาย เป็นองค์ประกอบของอาหารส่วนที่เหลือเป็นเถ้าหลังจากการเผาไหม้สารอินทรีย์ทั้งหมดในเนื้อเยื่อพืชและสัตว์ ไม่ให้พลังงาน
เกลือแร่
เป็นองค์ประกอบของอาหารส่วนที่เหลือเป็นเถ้าหลังจากการเผาไหม้สารอินทรีย์ทั้งหมดในเนื้อเยื่อพืชและสัตว์ ไม่ให้พลังงาน

เกลือแร่

เกลือแร่ หรือ แร่ธาตุ (Minerals) คือ สารประกอบอนินทรีย์ที่เป็นองค์ประกอบของอาหารส่วนที่เหลือเป็นเถ้าหลังจากการเผาไหม้สารอินทรีย์ทั้งหมดในเนื้อเยื่อพืชและสัตว์ และเป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ร่างกายจึงต้องการในปริมาณที่ไม่มาก แต่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน โดยเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในด้านของการช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและควบคุมการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อในทุก ๆ อวัยวะ ช่วยควบคุมการทำงานฮอร์โมน และรักษาสมดุลของกระบวนการออสโมซิส และอีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของเซลล์ เนื้อเยื่อและเส้นประสาท รวมไปถึงเอนไซม์ ฮอร์โมน และวิตามิน โดยร่างกายของเรานั้นจะมีอยู่ประมาณ 4% ของน้ำหนักตัวนั่นเอง

ชนิดของเกลือแร่

แร่ธาตุพบได้ในอาหารนั้นมีอยู่ด้วยกันประมาณ 60 ชนิด และที่จำเป็นต่อร่างกายจะมีประมาณ 17 ชนิด มีอยู่ในร่างกายและในอาหารที่รับประทาน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

  1. แร่ธาตุหลัก (Macro minerals) ที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก ซึ่งจะมีอยู่ในร่างกายมากกว่าร้อยละ 0.01 ของน้ำหนักตัว หรือมีมากกว่า 5 กรัม และร่างกายของเราจะต้องการเกลือแร่เหล่านี้จากอาหารต่อวันเป็นปริมาณตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมขึ้นไป เช่น แคลเซียม (Calcium), ฟอสฟอรัส (Phosphorous), แมกนีเซียม (Magnesium), โพแทสเซียม (Potassium), โซเดียม (Sodium), คลอไรด์ (Chloride), และกำมะถันหรือซัลเฟอร์ (Sulfur)
  2. แร่ธาตุรอง (Trace minerals) ที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย ซึ่งจะมีอยู่ในร่างกายเพียงเล็กน้อย หรือน้อยกว่า 5 กรัม และร่างกายของเราต้องการเกลือแร่เหล่านี้จากอาหารต่อวันน้อยกว่า 100 มิลลิกรัมอีกด้วย เช่น ธาตุเหล็ก (Iron), ซีลีเนียม (Selenium), โคบอลต์ (Cobalt), โครเมียม (Chromium), ทองแดง (Copper), แมงกานีส (Manganese), โมลิบดีนัม (Molybdenum), ฟลูออไรด์ (Fluoride), วาเนเดียม (Vanadium), สังกะสี (Zinc), และไอโอดีน (Iodine)

ประโยชน์ของเกลือแร่

1. ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท และช่วยในการแข็งตัวของเลือดได้
2. มีความเกี่ยวข้องและเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟันอีกด้วย (แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และฟลูออรีน)
3. ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อต่าง ๆ (แคลเซียม) ได้อีกด้วย
4. สามารถช่วยควบคุมความสมดุลของของเหลวชนิดเกลือแร่ (Electrolyte) ในร่างกาย เช่น โพแทสเซียม (Potassium), โซเดียม (Sodium) เป็นต้น
5. บางชนิดนั้น มีบทบาทเกี่ยวกับการรับส่งความรู้สึกของเส้นใยประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปสู่อีกเซลล์หนึ่ง (โพแทสเซียม โซเดียม) ได้อีกด้วย
6. ช่วยรักษาความสมดุลของกรดและด่างภายในร่างกายได้ เพราะเกลือแร่ที่ร่างกายได้รับมาจากการรับประทานอาหารจะมีทั้งเกลือแร่ชนิดที่ทำให้เกิดกรดและเบส ซึ่งกลไกของร่างกายก็จะทำหน้าที่ปรับภาวะเพื่อรักษาความสมดุลความเป็นกลางเอาไว้ เพื่อช่วยให้เซลล์สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ (โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัส)
7. ทำหน้าที่ช่วยควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย เนื่องจากการเคลื่อนย้ายของเหลวภายในร่างกายนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของเกลือแร่ในบริเวณนั้น ๆ ด้วย ซึ่งร่างกายจะมีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 60
8. เกลือแร่ถือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมี ยกตัวอย่างเช่น ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ช่วยส่งเสริมการดูดซึมอาหารและวิตามิน เป็นตัวเร่งในกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ทำให้กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และพลังงาน เป็นต้น (สังกะสี ทองแดง โครเมียม)
9. เกลือแร่ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น ไอโอดีนในฮอร์โมนส์-ไทรอกซิน เอนไซม์ โคเอนไซม์ เป็นต้น และแถมยังเป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของสารประกอบต่าง ๆ ภายในร่างกายอีกด้วย เช่น กรดอะมิโน และฟอสโฟลิปิด ได้แก่ กำมะถัน และฟอสฟอรัส หรือเป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของฮีม คือ ธาตุเหล็ก เป็นต้น
10. ประโยชน์ด้านการถนอมอาหารนั้นก็มี คือ ใช้เพื่อการถนอมอาหารจะแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ช่วยป้องกันการเน่าเสียของอาหาร (เช่น เกลือแกง ไนไตรต์ ซัลไฟต์) และกลุ่มที่ช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีของอาหาร
11. ในด้านกลิ่น รส สี และการชูรส ซึ่งทำหน้าที่ได้ดีเลยทีเดียว แถมมีอยู่หลายชนิด มีทั้งจากธรรมชาติและสารสังเคราะห์ เช่น โซเดียมคลอไรด์ มีรสเค็มและใช้เป็นส่วนผสมในขนมปัง ทำหน้าที่ชูรสชาติอาหารก็มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) เป็นต้น และในเรื่องของสีนั้น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์มักจะมีปัญหามีสีคล้ำเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ดูเหมือนขาดความสดใหม่ การปรับพีเอชของสัตว์ให้อยู่ในเกณฑ์ 6-6.6 จะช่วยรักษาสีของเนื้อสัตว์ไว้ได้นานขึ้น โดยที่นิยมนำมาใช้กันก็คือ โซเดียมโพลีฟอสเฟตนั่นเอง
12. มักมีการใช้เกลือซัลไฟต์และกรดซัลฟูรัส ในการช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เพื่อช่วยรักษากลิ่นรส สี และวิตามินซีในน้ำผลไม้อีกด้วย
13. ประโยชน์ในด้านการฟอกสีแป้ง แป้งสาลีที่ผ่านการขัดสีใหม่ ๆ มักจะมีสีเหลืองอ่อน เมื่อนำมาทำขนมปัง แป้งที่นวดได้จะมีความเหนียว เมื่อนำไปอบจะทำให้ขนมปังมีคุณภาพที่ไม่ดี แต่เมื่อเก็บแป้งไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะค่อย ๆ ขาวขึ้นมา และเกิดกระบวนการปรับปรุงคุณภาพแป้งโดยธรรมชาติ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สิ้นเปลืองเวลา ในทางปฏิบัติจึงได้มีการนำสารเคมี เช่น คลอรีน คลอรีนไดออกไซด์ มาเร่งกระบวนการเหล่านี้ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อใช้ในการฟอกสีและปรับปรุงคุณภาพแป้งเอาไว้นั่นเอง
14. ประโยชน์ในด้านการปรับปรุงเนื้อสัมผัส ทำหน้าที่ปรับปรุงลักษณะเนื้อสัมผัสของอาหารเป็นจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับสารเจือปนอื่น ๆ โดยได้นำไปใช้กับเนื้อสัตว์ แป้ง ผักและผลไม้ โดยใช้กับเนื้อสัตว์จะประกอบไปด้วย เตตระโซเดียมไพโรฟอสเฟต ไดโซเดียมออร์โทฟอสเฟต โซเดียมไตรโพลีฟอสเฟต โซเดียมแอซิดไพโรฟอสเฟต และโซเดียมเฮกซาเมตาฟอสเฟต ซึ่งการใส่เกลือแร่เหล่านี้ลงไปก็จะช่วยทำให้เนื้อสัตว์มีความนุ่มมากยิ่งขึ้น หรือการใส่เกลือแร่บางชนิดลงในผักและผลไม้ก็จะทำให้เนื้อผักหรือผลไม้มีความแข็งมากขึ้น แม้จะได้รับความร้อนก็ไม่อ่อนนุ่ม (มักพบได้มากในผลไม้แช่อิ่ม มะม่วงดอง มะเขือเทศกระป๋อง เป็นต้น และมักมีการใช้เกลือแคลเซียมเพื่อเพิ่มความแข็งกรอบให้กับผักและผลไม้อีกด้วย จึงช่วยทำให้โครงสร้างของเซลล์คงรูปอยู่ได้นานนั่นเอง)
15. ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอาหารที่มีน้ำมันและไขมันนั้น ถือเป็นสาเหตุการเหม็นหืน ในกระบวนการทำน้ำมันและไขมันได้ จึงต้องมีขั้นตอนการฟอกสีและกำจัดโลหะหนักที่เป็นตัวเร่งของปฏิกิริยาออกซิเดชั่น นอกจากนี้แถมยังต้องทำการแยกกรดไขมันอิสระออกด้วย และมีการใช้สารคีเลต ซึ่งสารพวกนี้นั้นจะไปรวมตัวกับโลหะได้เป็นสารประกอบเชิงซ้อน จึงเป็นการลดสารเร่งปฏิกิริยาให้น้อยลงได้ หรือทำให้ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นเกิดช้าลง และวิธีเดียวกันนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อป้องกันการเปลี่ยนสีของเนื้อปูได้อีกด้วย โดยใช้สารคีเลต อีดีทีเอ นั่นเอง
16. บางชนิดนั้น นอกจากจะทำให้อาหารมีรสที่กลมกล่อมมากขึ้นแล้ว ยังทำหน้าที่ในการเป็นสารโปร่งฟูอีกด้วย โดยเกลือแร่ที่นิยมนำมาใช้กันมากก็ได้แก่ แคลเซียมอะซิเตต โซเดียมอะซิเตต โพแทสเซียมซีเตรต ฯลฯ เป็นต้น

ปริมาณของที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

  • โพแทสเซียม 3,500 มิลลิกรัม (มักพบได้ในผักและผลไม้)
  • คลอไรด์ 3,400 มิลลิกรัม (มักพบได้ในอาหารธรรมชาติเกือบทุกชนิด และพบได้มากที่สุดในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ)
  • โซเดียม 2,400 มิลลิกรัม (มักพบได้มากในนมโค)
  • แคลเซียม 800 มิลลิกรัม (มักพบได้ในอาหารจำพวกธัญชาติและนม)
  • ฟอสฟอรัส 800 มิลลิกรัม (มักพบได้มากในนมโค ธัญชาติ เนื้อสัตว์ และไข่)
  • แมกนีเซียม 350 มิลลิกรัม (มักพบได้ในผักใบเขียว)
  • ธาตุเหล็ก 15 มิลลิกรัม (มักพบได้มากในตับ ไต หอย ไข่แดง โกโก้ ผักสีเขียว ผลไม้เปลือกแข็ง แป้งจากธัญพืชทั้งเมล็ด ส่วนนมพบว่ามีธาตุเหล็กเพียงเล็กน้อยเท่านั้น)
  • สังกะสี 15 มิลลิกรัม (มักพบได้มากในหอยนางรม นม รำข้าว จมูกข้าวสาลี และสามารถพบได้บ้างในผัก ขนมปัง
  • เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ธัญพืช และผลไม้ที่มีเปลือกแข็ง)
  • แมงกานีส 3.5 มิลลิกรัม (มักพบได้มากในผลไม้เปลือกแข็ง นม ไข่ และธัญพืช ส่วนเนื้อสัตว์ปีก และอาหารทะเลนั้นจะมีแมงกานีสในปริมาณน้อย)
  • ฟลูออไรด์ 2 มิลลิกรัม (มักพบได้ในน้ำ ในอาหารทะเล และเนื้อสัตว์)
  • ทองแดง 2 มิลลิกรัม (มักพบได้มากใน หอยนางรม สมองสัตว์ ตับ ไต โกโก้ ผลไม้เปลือกแข็ง ลูกท้อ องุ่น)
  • โมลิบดีนัม 10 ไมโครกรัม (มักพบได้ในตับ ไต ธัญพืช พืชน้ำมัน และผักกินใบ)
  • ไอโอดีน 150 ไมโครกรัม (มักพบได้ในอาหารทะเลและน้ำดื่ม)
  • ซีลีเนียม 70 ไมโครกรัม (มักพบได้มากในยีสต์ ขนมปัง ผักและผลไม้แทบทุกชนิด)
  • โคบอลต์ (มักจะพบได้มากในผักกินใบ เนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงส่วนของตับและไต ส่วนนมโค แป้ง และธัญพืชจะมีโคบอลต์ในปริมาณน้อย)
  • โครเมียม 130 ไมโครกรัม

หมายเหตุ : ปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (Thai Recommended Daily Intakes – Thai RDI) สำหรับผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี

ข้อควรรู้เกี่ยวกับแร่ธาตุ

แร่ธาตุนั้นสามารถสูญเสียออกจากอาหารได้ในระหว่างการแยกส่วนหรือการล้าง เช่น การขัดสีของเมล็ดข้าว การขัดเอารำออกจากธัญพืชต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ข้าวกล้องที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสีจะมีแคลเซียม 12 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 10 มิลลิกรัม แต่ข้าวขาวจะมีแคลเซียมเพียง 8 มิลลิกรัม และมีธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัมเท่านั้น

เอกสารอ้างอิง
มหาวิทยาลัยแม้โจ้. “เกลือแร่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: coursewares.mju.ac.th. [25 มิ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.efrankhopkins.com/philadelphia-seafood.html

หงอนไก่ไทย รากมีสรรพคุณรักษาลมอัมพฤกษ์

0
หงอนไก่ไทย
หงอนไก่ไทย รากมีสรรพคุณรักษาลมอัมพฤกษ์ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกขนาดเล็กเป็นละออง ดอกบิดจีบม้วนคล้ายกับหงอนไก่ ดอกสีเหลือง หรือสีแดง หรือสีขาว หรือสีชมพู
หงอนไก่ไทย
ไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกขนาดเล็กเป็นละออง ดอกบิดจีบม้วนคล้ายกับหงอนไก่ ดอกสีเหลือง หรือสีแดง หรือสีขาว หรือสีชมพู

หงอนไก่ไทย

หงอนไก่ไทย เป็นพืชปลูกในประเทศในเขตอบอุ่น ส่วนประเทศไทยพบตามชายป่า และริมถนน ชื่อสามัญ คือ Common cockscomb, Wild Cockcomb, Crested celosin, Cockcomb ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Celosia cristata L., Celosia argentea var. cristata (L.) Kuntze อยู่วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE) มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น โกยกวงฮวย (จีนแต้จิ๋ว), ซองพุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), หงอนไก่ไทย (ภาคกลาง), หงอนไก่ฝรั่ง (ภาคกลาง), หงอนไก่ดอกกลม (ภาคกลาง), สร้อยไก่ (ภาคเหนือ), ดอกด้าย (ภาคเหนือ), จีกวนฮวา (จีนกลาง), แชเสี่ยง (จีนแต้จิ๋ว), หงอนไก่ดง (นครสวรรค์), กระลารอน (เขมร-ปราจีนบุรี), ชองพุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), พอคอที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หงอนไก่เทศ (ภาคกลาง), หงอนไก่ฟ้า (ภาคกลาง), หงอนไก่ (ภาคเหนือ), ด้ายสร้อย (ภาคเหนือ) [1],[5],[8]

ลักษณะของหงอนไก่ไทย

  • ต้น เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 20 นิ้ว ไม่มีแก่น ต้นหงอนไก่เป็นพรรณไม้ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้บางต้นมักไม่เป็นสีเขียว อาจเป็นสีแดง สีเขียวอ่อน สีขาว เป็นต้น แล้วแต่พันธุ์ของต้น ขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเมล็ด เติบโตได้ดีในที่ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี เป็นไม้กลางแจ้ง ต้นหงอนไก่จะชอบแสงแดดจัด เติบโตง่าย งอกงามเร็ว [1]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเป็นกลุ่มที่ตามข้อลำต้น ใบเป็นรูปหอก รูปทรงมนรี รูปรี ที่โคนใบจะสอบ ส่วนที่ปลายใบจะแหลม ขอบใบเรียบไม่มีหยัก แผ่นใบมีลักษณะเป็นสีเขียว ใบกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร สามารถยาวได้ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ที่ผิวใบด้านบนจะเป็นสีเขียว หรือสีม่วงแดง จะย่นนิดหน่อย เส้นกลางใบจะเป็นสีชมพู[1],[5],[8]
  • ดอก มีขนาดเล็กเป็นละออง ออกติดแน่นเป็นช่อเดียวกันคล้ายหงอนไก่ ขนาดประมาณ 2-4 นิ้ว ช่อดอกบิดจีบม้วนไปมาในช่อดูคล้ายกับหงอนไก่ แต่ละดอกมีกลีบเลี้ยงอยู่ 3 กลีบ และมีกลีบดอก 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปปลายแหลม มีขนาดยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ดอกจะมีเกสรเพศผู้ 5 อัน และมีเกสรเพศเมีย 1 อัน ที่ปลายจะมีรอยแยก 2 รอยตื้น สีดอกแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างเช่น สีเหลือง สีแดง สีขาว สีชมพู สีผสม เมื่อช่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร[1],[5],[8]
  • ผล เป็นผลแห้ง ผลเป็นรูปทรงกลม มีเมล็ดอยู่ในผล เมล็ดเป็นรูปกลมแบน ที่เปลือกนอกเมล็ดจะมีลักษณะเป็นสีดำแข็ง เป็นมัน[1],[5]

ข้อห้ามในการใช้หงอนไก่

  • ห้ามให้ผู้ที่เป็นโรคตาบอดใสทานสมุนไพรหงอนไก่[4]
  • ห้ามให้สตรีที่อยู่ระหว่างการมีประจำเดือนทานสมุนไพรหงอนไก่[1]

ประโยชน์หงอนไก่ไทย

  • ปลูกเป็นไม้ตัดดอกทำดอกไม้แห้ง[5]
  • ปลูกเป็นไม้ประดับแปลงทั่วไป ปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกริมทางเดิน ปลูกตามขอบแปลง [5]

สรรพคุณหงอนไก่ไทย

1. ใบจะมีสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการคันเพราะยางของต้นรักได้ (ใบ)[9]
2. สามารถนำลำต้นอ่อนมาตำให้ละเอียด แล้วใช้เป็นยาพอกแก้ตะขาบกัดได้ (ลำต้น)[1]
3. สามารถนำใบกับก้านมาตำใช้พอกรักษาบาดแผลที่มีเลือดออกได้ (ใบกับก้าน)[1]
4. สามารถช่วยแก้มุตกิดตกขาวของสตรีได้ โดยนำดอกสดประมาณ 30-60 กรัม (แห้งใช้ 15-30 กรัม) มาต้มทาน หรือนำดอกมาต้มกับเหล้าขาวทาน (สามารถใช้ได้ทั้งดอกหงอนไก่ไทยและหงอนไก่เทศ)[1],[3],[8]
5. สามารถใช้แก้ริดสีดวงทวารได้ (ดอก,เมล็ด)[3],[5]
6. ดอกสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ (ดอก)[7]
7. ในตำรายาแผนไทยจะนำเมล็ดมาใช้เป็นยาแก้ท้องร่วงได้ (เมล็ด)[7]
8. สามารถช่วยแก้อาการท้องอืดได้ (ราก)[5]
9. สามารถนำเมล็ดมาต้ม แล้วเอาไปใช้กลั้วรักษาแผลในช่องปาก (เมล็ด)[7]
10. สามารถใช้เป็นยาแก้เสมหะได้ (ราก)[2],[3],[5]
11. สามารถใช้เป็นยารักษาโรคตาแดง เยื่อตาอักเสบ ทำให้ตาสว่าง ตาปวด โดยนำดอกสดประมาณ 30-60 กรัม (แห้งใช้ 15-30 กรัม) มาต้มทาน (ดอก)[1],[3],[4]
12. สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ที่มีอาการในทางเดินอาหารร่วม อย่างเช่น ไข้อาหารเป็นพิษ ไข้ท้องอืดเฟ้อ แก้ไข้เพื่อลม ไข้พิษได้ (ราก)[2],[3],[5],[6]
13. ก้าน ดอก ใบหงอนไก่เทศ จะมีรสชุ่มเป็นยาเย็น จะออกฤทธิ์กับตับ ไต มีสรรพคุณที่ทำให้เลือดเย็น (ก้าน, ใบ,ดอกหงอนไก่เทศ)[8]
14. เมล็ดจะมีรสขม เป็นยาเย็น จะออกฤทธิ์กับตับ สามารถใช้เป็นยาแก้ร้อนในตับ และสามารถช่วยขับลมร้อนในตับได้ (เมล็ด)[4]
15. สามารถใช้เป็นยาแก้ความดันโลหิตสูงได้ โดยนำเมล็ดหงอนไก่แห้งประมาณ 4.5-9 กรัม มาต้มทานหรือใช้ทำยาเม็ดทาน (เมล็ดแห้ง)[1],[4],[5]
16. รากจะมีรสขมเฝื่อน จะมีสรรพคุณที่เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก)[2],[3],[5]
17. ดอกสามารถใช้รวมกับพืชชนิดอื่น ๆ เป็นยาบำรุงกำลังได้ (ดอก)[9]
18. ในตำรายาไทยจะนำรากหงอนไก่เป็นยาแก้โลหิตเป็นพิษ (ราก)[2],[3]
19. สามารถช่วยแก้เลือดลมไม่ปกติได้ (ดอก)[7]
20. สามารถช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์ได้ (ราก)[6]
21. สามารถใช้แก้อาการปวดศีรษะได้ โดยนำดอกสดที่มีรสฝาดเฝื่อนประมาณ 30-60 กรัม ถ้าใช้ดอกแห้งให้ใช้ประมาณ 15-30 กรัม มาต้มทาน (ดอก)[1],[3],[4]
22. สามารถช่วยแก้ตาฟางในเวลากลางคืนได้ โดยนำเมล็ดแห้งประมาณ 4.5-9 กรัม มาต้มทานหรือทำยาเม็ดทาน (เมล็ดแห้ง)[1]
23. สามารถช่วยแก้อาการไอ และไอเป็นเลือดได้ โดยนำดอกหงอนไก่เทศสดประมาณ 30-60 กรัม มาต้มทาน ถ้าใช้ดอกแห้งให้ใช้ประมาณ 15-30 กรัม (ดอก)[1],[8]
24. สามารถใช้เป็นยาแก้หืดได้ (ราก)[2],[3],[5]
25. สามารถใช้เป็นยาแก้โรคท้องเสียได้ โดยนำลำต้นสดมาต้มทาน (ลำต้น)[1]
26. สามารถใช้เป็นยาระบายได้ นำใบสดกับก้านประมาณ 30-60 กรัม มาต้มหรือคั้นเอาน้ำทาน (ก้านและใบ)[1]
27. สามารถช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือดได้ (ดอกหงอนไก่เทศ)[8]
28. สามารถใช้แก้ประจำเดือนมามากผิดปกติ และแก้ประจำเดือนไม่ปกติได้ โดยนำดอกสดประมาณ 30-60 กรัม (ถ้าใช้ดอกแห้งให้ใช้ 15-30 กรัม) มาต้มทาน (ดอก)[1],[5]
29. สามารถใช้เป็นยาห้ามเลือด และแก้เลือดไหลไม่หยุดได้ (ก้านและใบ,ดอก,เมล็ดแห้ง)[1],[3],[4],[5],[8]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • จากการที่รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงในช่วง 160-220 / 100-135 มม. ปรอท ด้วยการทำการรักษาโดยนำเมล็ดหงอนไก่แห้งประมาณ 30 กรัม มาต้มสกัดเอาน้ำ 2 ครั้ง แบ่งทาน 3 ครั้งต่อวัน ผลการทดลองปรากฏว่า หลังจากที่ได้รับประทานไปแล้ว 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีความดันลดลงอยู่ในช่วง 125-146 / 70-90 มม. ปรอท[1] จากการนำมาทดลองกับสัตว์ ปรากฏว่าเมล็ดหงอนไก่ช่วยลดความดันโลหิตได้[4]
  • พบสาร โพแทสเซียมไนเตรด, กรดไขมัน, Celosiaol, Nicotinic acid, Oxalic acid ในเมล็ด และพบน้ำมันระเหยอีกหลายชนิด[4]
  • น้ำมันระเหยที่ได้จากเมล็ดหงอนไก่ จะมีฤทธิ์ที่สามารถทำให้ม่านตาดำขยายตัว[4]
  • สารสกัดจากเมล็ดและดอก เมื่อนำมาทดลอง ปรากฏว่ามีฤทธิ์ที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อ Trichomonas vaginalis ได้ดี เชื้อชนิดนี้เมื่อเอามาต้มด้วยความร้อนสูงเป็นเวลา 5-10 นาทีก็จะตายไป[1]

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หงอนไก่”. หน้า 794-796.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หงอนไก่ไทย”. หน้า 65.
3. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “หงอนไก่ไทย (Ngonkai Thai)”. หน้า 312.
4. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หงอนไก่ไทย”. หน้า 570.
5. สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “หงอนไก่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [06 ก.ค. 2014].
6. หนังสือประมวลสรรพคุณยาไทย. (สมาคม ร.ร.แพทย์แผนโบราณ). “หงอนไก่”.
7. ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “หงอนไก่ เมล็ดกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www. thairath.co.th. [06 ก.ค. 2014].
8. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หงอนไก่เทศ (หงอนไก่ฝรั่ง)”. หน้า 572.
9. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “หงอนไก่ไทย”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชสมุนไพร เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [06 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://travaldo.blogspot.com/
2. https://travaldo.blogspot.com/
3. https://medthai.com/

พริกขี้หนู ช่วยลดระดับไขมันในเลือด

0
พริกขี้หนู ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบเดี่ยวปลายใบแหลม ดอกสีขาว สีเหลืองอ่อนอมเขียว หรือสีเขียวอ่อน ปลายผลแหลม ผลสดสีเขียว ผลสุกสีส้มแดงหรือสีแดง รสเผ็ด
พริกขี้หนู
ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบเดี่ยวปลายใบแหลม ดอกสีขาว สีเหลืองอ่อนอมเขียว หรือสีเขียวอ่อน ปลายผลแหลม ผลสดสีเขียว ผลสุกสีส้มแดงหรือสีแดง รสเผ็ด

พริกขี้หนู

พริกขี้หนู ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาเขตร้อน มักขึ้นร่วมกับวัชพืชชนิดอื่น สามารถพบได้ในทุกภาคของประเทศไทย ชื่อสามัญ Bird pepper, Chili pepper, Cayenne Pepper, Tabasco pepper[1],[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Capsicum annuum L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Capsicum frutescens L., Capsicum frutescens var. frutescens, Capsicum minimum Mill.) จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)[1] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ พริกแด้ พริกแต้ พริกนก พริกแจว พริกน้ำเมี่ยง (ภาคเหนือ), หมักเพ็ด (ภาคอีสาน), พริก พริกชี้ฟ้า (ภาคกลาง), ดีปลีขี้นก พริกขี้นก (ภาคใต้), พริกมะต่อม (เชียงใหม่), ปะแกว (นครราชสีมา), มะระตี้ (สุรินทร์), ดีปลี (ปัตตานี), ครี (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร), ลัวเจียะ (จีนแต้จิ๋ว), ล่าเจียว (จีนกลาง), มือซาซีซู, มือส่าโพ[1],[3]

ลักษณะของพริกขี้หนู[1],[3],[4],[5]

  • ต้น
    – เป็นไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มขนาดเล็ก
    – ต้นมีความสูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร
    – มีอายุได้ถึง 1-3 ปี
    – แตกกิ่งก้านสาขามาก
    – กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว
    – กิ่งแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด
    – เติบโตได้ดีในดินร่วนปนเหนียว ดินร่วนระบายน้ำดี
    – ไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง
  • ใบ
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกใบเรียงสลับตรงข้ามกัน
    – ใบมีรูปร่างเป็นรูปไข่ รูปกลมรี หรือรูปวงรี
    – ปลายใบแหลม โคนใบเฉียงหรือสอบ และขอบใบจะเรียบ
    – ใบมีความกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 3-8 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเรียบ มีสีเขียวมันวาว
    – ก้านใบยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ
    – ในแต่ละช่อจะมีประมาณ 2-3 ดอก
    – มีกลีบดอกประมาณ 5-7 กลีบ
    – กลีบดอกเป็นสีขาว สีเหลืองอ่อนอมเขียว หรือสีเขียวอ่อน
    – เกสรเพศผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน จะขึ้นสลับกับกลีบดอก
    – เกสรเพศเมียจะมีอยู่เพียง 1 อัน
    – มีรังไข่ประมาณ 2-3 ห้อง
  • ผล
    – ผลมีรูปร่างยาวรี
    – ปลายผลแหลม
    – ผลมีความกว้างประมาณ 3-5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร
    – ผลสดจะเป็นสีเขียว
    – ผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงหรือเป็นสีแดงปนสีน้ำตาล
    – ผลมีผิวที่ค่อนข้างลื่น
    – ภายในผลจะกลวงและมีแกนกลาง
    – รอบ ๆ แกนจะมีเมล็ดเป็นสีเหลืองเกาะอยู่มาก
    – เมล็ดมีรูปร่างแบนเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนและมีรสเผ็ด
    – เมล็ดมีขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  1. สารสำคัญที่พบได้แก่[1]
    – acetic acid
    – alanine,phenyl
    – ascorbic acid
    – butyric acid
    – butyric acid
    – caffeic acid
    – caproic acid
    – capsaicin
    – chlorogenic acid
    – ferulic acid
    – hexanoic acid
    – lauric acid
    – protein
    – novivamide
    – valeric acid
    – vanillyl amine
    – zucapsaicin
  2. เมื่อปี ค.ศ.1982 ที่ประเทศอินเดีย[1]
    – ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากพริก
    – ผลการทดลองพบว่าสารสกัดที่ได้สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้
  3. เมื่อปี ค.ศ.2001 และปี ค.ศ.2004 ที่ประเทศจาเมกา ได้ทำการทดลองในสุนัข[1]
    – ช่วยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลจากทางเดินอาหาร
    – ช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน จึงสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้
  4. สารสกัดที่ต้มด้วยน้ำ[3],[4]
    – สามารถใช้ในการฆ่าแมลงได้
  5. สาร Capsaicin[3],[4]
    – ช่วยยับยั้งเชื้อ Bacillis cereus
    – ช่วยฆ่าเชื้อ Bacillus subtilis
  6. จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น จากการกินพริก 10 กรัม[10]
    – ทำให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกาย โดยจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 30 นาที
  7. การนำสารสกัดจากพริกมาใช้ทาลงบนผิวหนัง[3],[4]
    – ทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดการขยายตัว
    – ทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้น
    – หากใช้มากเกินไปจะทำให้ระคายเคืองต่อผิว ทำให้ผิวหนังเป็นแผลพุพองและแสบร้อนได้
  8. สาร Capsaicin[3]
    – ช่วยทำให้เจริญอาหาร
    – ช่วยกระตุ้นทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารสุนัขเพิ่มขึ้น
  9. น้ำที่สกัดได้จากพริก[3]
    – จะลดการบีบตัวของลำไส้เล็กส่วนปลาย ilieum ของหนูตะเภาที่เกิดจากอะเซทิลโมลีนและฮีสตามีน
  10. Capsaicin[3]
    – จะเพิ่มการบีบตัวของลำไส้เล็กส่วนปลาย ileum ของหนูตะเภา
  11. การรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยพริกแก่สีแดงเป็นเวลา 3 สัปดาห์[3]
    – พบว่าสารในกลุ่มคอร์ติโซนในพลาสมาจะเพิ่มขึ้น และจะขับออกมาทางปัสสาวะเพิ่มขึ้นด้วย
  12. สารสกัดที่นำมาฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักรทดลอง[3]
    – มีฤทธิ์กดประสาท ทำให้หนูทดลองเดินเซเล็กน้อยและชักตายได้
  13. สารสกัดที่นำมาฉีดเข้าทางหลอดเลือด[3]
    – มีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาทรับความรู้สึกทั่วไป
    – มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูขาวทดลอง
  14. สาร Capsaicin[10]
    – สามารถลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือดได้
  15. จากการศึกษาในคนที่ได้รับประทานพริกสด 5 กรัมที่สับละเอียดพร้อมกับน้ำ 1 แก้ว[10]
    – จากการวัดค่าการจับกลุ่มของเกล็ดเลือดหลังกินทันทีจนถึงหนึ่งชั่วโมง พบว่าจะมีการยืดระยะเวลาของการจับกลุ่มของเกล็ดเลือดออกไปภายใน 30 นาทีหลังกินพริก
    – จากการศึกษาในระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าการจับกลุ่มของเกล็ดเลือดมีการยืดระยะเวลาออกไปอีกเช่นกัน
  16. จากการศึกษาโดยให้หนูกินพริกและ Capsaicin เข้าไป[10]
    – ช่วยทำให้ระดับไขมันในเลือดลดลง
  17. การศึกษาในคนที่มีไขมันในเลือดสูง โดยทำการแบ่งกลุ่มให้กิน5 กรัม ร่วมกับอาหารปกติ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์[10]
    – ในกลุ่มที่ไม่กินพริกมีระดับไขมันคอเลสเตอรอล ไขมันเลว และไขมันดีสูงขึ้น
    – ในกลุ่มที่กินพริกมีระดับไขมันทั้งหมดและไขมันเลวไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไขมันดีสูงขึ้น
  18. จากการศึกษาผลการลดระดับน้ำตาลในเลือดกับหญิงวัยหมดประจำเดือนจำนวน 10 ราย โดยทำการทดลองเปรียบเทียบระดับน้ำตาลในเลือด[10]
    – ในวันแรกให้ดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม เพียงอย่างเดียว แล้วเจาะเลือด ในเวลาก่อนกินและหลังกินที่เวลา 15, 30 และ 60 นาที
    – ในวันที่สองให้ดื่มน้ำตาลกลูโคสเช่นเดียวกับวันแรก แต่กินร่วมกับพริกและทำการเจาะเลือด ในเวลาก่อนกินและหลังกินที่เวลา 15, 30 และ 60 นาที
    – จากนั้นนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังการดื่มน้ำตาลพร้อมพริก 30 นาที จะต่ำกว่าน้ำตาลในเลือดในวันแรกที่ไม่ได้กินพริกประมาณร้อยละ 20

สรรพคุณของพริกขี้หนู

  • ช่วยกระตุ้นให้ผมงอก[9]
  • ช่วยรักษาโรคเกาต์ ช่วยลดอาการไขข้ออักเสบ ลดอาการปวดบวม[1],[3],[8]
  • ช่วยรักษาอาการตะคริวได้ ช่วยทำให้บริเวณผิวที่ทามีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และกระตุ้นทำให้บริเวณที่ทารู้สึกร้อน[8],[9]
  • ช่วยลดอาการปวดบวมอันเนื่องจากลมชื้นหรือจากความเย็นจัด[3],[4]
  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามตัว ขับลมชื้นตามร่างกาย[4]
  • ช่วยรักษาอาการปวดตามเอวและน่อง[3]
  • ช่วยรักษาอาการบวม ฟกช้ำดำเขียว ปวดตามข้อ เคล็ดขัดยอก[3],[4]
  • ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น[3,[4]
  • ช่วยแก้พิษตะขาบและแมงป่องกัด[6]
  • ช่วยต้านแบคทีเรียและอนุมูลอิสระ[8]
  • ช่วยรักษาโรคหิด กลากเกลื้อน[3]
  • ช่วยป้องกันการเป็นผื่นแดงเนื่องจากแพ้อากาศเย็น[9]
  • ช่วยขับน้ำคาวปลาของสตรี[6]
  • ช่วยรักษาโรคบิด[3]
  • ช่วยแก้อาการเจ็บคอ เสียงแหบ[6]
  • ช่วยรักษาอาการอาเจียน[3]
  • ช่วยสลายเมือกในปอด ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง ช่วยป้องกันหลอดลมอักเสบและถุงลมโป่งพอง[8],[9],[10]
  • ช่วยแก้ไข้หวัด ลดน้ำมูก บรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ[2],[10]
  • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด และทำให้อารมณ์แจ่มใส[10]
  • ช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือด[10]
  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยสลายลิ่มเลือด[8]
  • ช่วยลดความดันโลหิตได้ เพราะทำให้หลอดเลือดอ่อนตัวและช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปได้ด้วยดี[9]
  • ช่วยเร่งการสันดาปและเร่งเมตาบอลิซึม ช่วยใช้แคลอรีให้หมดไป จึงทำให้น้ำหนักลด[8],[10]
  • ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และไขมันเลว[8],[10]
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด[1]
  • ช่วยแก้ตานซางซึ่งเป็นโรคที่มักพบได้ในเด็ก[2]
  • ช่วยกระตุ้นทำให้เจริญอาหาร และช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย[1],[2],[4]
  • ช่วยแก้เท้าแตก[6]
  • ช่วยแก้เส้นเอ็นพิการ แก้ปวดเมื่อยตามตัว แก้ปวดบวม[3],[6]
  • ช่วยขับปัสสาวะ[6]
  • ช่วยรักษาอาการบวม ฟกช้ำดำเขียว ปวดตามข้อ เคล็ดขัดยอก[6]
  • ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น[6]
  • ช่วยแก้มดคันไฟกัด[6]
  • ช่วยรักษาแผลสดและแผลเปื่อย[6]
  • ช่วยแก้อาการคัน[1]
  • ช่วยแก้หวัด[11]
  • ช่วยเจริญอาหาร เพิ่มน้ำลาย และช่วยขับลม[8]

ประโยชน์ของพริกขี้หนู

  • พริก สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบที่อยู่ในสเปรย์ป้องกันตัวได้ เมื่อฉีดเข้าตาโดยตรงอาจจะทำให้มองไม่เห็นประมาณ 2-3 นาที[10]
  • การรับประทานพริกเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดลมอักเสบได้[9]
  • สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในยาขี้ผึ้งทาถูนวดได้[2],[9],[10]
  • สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในยาธาตุ ยาแก้ปวดท้องได้[2],[9],[10]
  • ยอดและใบอ่อน ช่วยในการบำรุงประสาทและบำรุงกระดูก[6]
  • ยอดและใบอ่อน สามารถนำมาประกอบอาหารได้อีกหลายเมนู เช่น แกงเลียง แกงอ่อม ทอดกับไข่[5]
  • เมล็ดอ่อนหรือเมล็ดแก่ สามารถนำไปปรุงรสเผ็ดในอาหาร เช่น ต้ม ลาบ น้ำพริกได้[5]
  • มีความนิยมนำมาใช้ในการปรุงรสชาติอาหารสำหรับคนไทย[3]

คุณค่าทางโภชนาการ

ปริมาณพริก100 กรัมให้ พลังงาน 76 กิโลแคลอรี [5],[10]

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
น้ำ 82 กรัม
โปรตีน 3.4 กรัม
ไขมัน 1.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 12.4 กรัม
ใยอาหาร 5.2 กรัม
วิตามินเอ 2,417 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.29 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.11 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.5 มิลลิกรัม
วิตามินซี 44 มิลลิกรัม
แคลเซียม 4 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 14 มิลลิกรัม

(ข้อมูลจาก : กองโภชนาการ กรมอนามัย)

ข้อควรระวังในการรับประทาน

  • สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับประทานเผ็ด แล้วมารับประทานอาจจะทำให้ชักตาตั้งได้[9]
  • การรับประทานพริกมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการแสบท้อง ทำให้หน้าเป็นสิวได้[9]
  • หากผิวหนังถูกพริกอาจจะทำให้เกิดอาการแสบร้อนได้[9]
  • หากรับประทานพริกที่เผ็ดมากเข้าไป การดื่มนมตามจะช่วยลดความเผ็ดลงได้ เนื่องจากน้ำนมจะมีสาร Casein ที่ช่วยละลายความเผ็ด[8]
  • ผู้ที่มีอาการกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร และผู้ที่เป็นวัณโรคหรือริดสีดวงทวาร ไม่ควรรับประทานพริก[4]

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “พริกขี้หนู”. หน้า 113-114.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “พริกขี้หนู Cayenne Pepper”. หน้า 72.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พริกขี้หนู”. หน้า 535-538.
4. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “พริก”. หน้า 368.
5. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “พริกขี้หนู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [26 ส.ค. 2014].
6. สารศิลปยาไทย ฉบับที่ ๑๘, สมาคมผู้ประกอบโรคศิลปแผนไทย (เชียงใหม่). “พริกขี้หนู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.oocities.org/thaimedicinecm/. [26 ส.ค. 2014].
7. ไทยเกษตรศาสตร์. “พริกขี้หนู สรรพคุณทางยา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [26 ส.ค. 2014].
8. รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “ไผ่และพริก”. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2546. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.psu.ac.th. [26 ส.ค. 2014].
9. หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 452, วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2552. “เจาะตลาด”. (ประสิทธิ์ศิลป์ ชัยยะวัฒนะโยธิน).
10. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 305 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก. (ดร.พัชราณี ภวัตกุล). “พริกขี้หนู กับปัจจัยเสี่ยง ของโรคหัวใจและหลอดเลือด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [26 ส.ค. 2014].
11. หนังสืออาหารจากสมุนไพร อร่อย สุขภาพดี. (จำลองลักษณ์ หุ้นชิ้น, จิรนาฏ วีรชัยพิเชษฐ์กุล, รุ่งทิพย์ พรหมทรัพย์, อภิสิทธิ์ ประสงค์สุข). “พริกขี้หนู”.

รูปอ้างอิง
https://medthai.com/

ต้นติ้วขน สรรพคุณยังยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว

0
ติ้วขน
ต้นติ้วขน สรรพคุณยังยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไม้ยืนต้นผลัดใบ ยอดและกิ่งอ่อนมีขนหนาแน่น ดอกช่อกระจุกสีชมพูอ่อนถึงแดง กลิ่นหอมอ่อนๆ ผลแห้งปลายแหลม ผิวมีคราบสีนวล
ติ้วขน
ไม้ยืนต้นผลัดใบ ยอดและกิ่งอ่อนมีขนหนาแน่น ดอกช่อกระจุกสีชมพูอ่อนถึงแดง กลิ่นหอมอ่อนๆ ผลแห้งปลายแหลม ผิวมีคราบสีนวล

ติ้วขน

ติ้วขน มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชียภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่าพบได้ในจีนตอนใต้อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมักพบขึ้นตามป่าผลัดใบและป่าเบญจพรรณ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 200-1,000 เมตร ชื่อวิทยาศาสตร์ Cratoxylum formosum subsp. pruniflorum (Kurz) Gogelein[1],[3] วงศ์ติ้ว (HYPERICACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ติ้ว(กาญจนบุรี), แต้ว(จันทบุรี), ติ้วเหลือง(ภาคกลาง), ติ้วยาง ติ้วเลือด(ภาคเหนือ), ติ้วหนาม เป็นต้น[1],[3],[5]

หมายเหตุ
สายพันธุ์นี้ไม่สามารถใช้รับประทานได้ และเป็นพืชคนละชนิดกับต้นติ้วขาว หรือผักติ้ว

ลักษณะของติ้วขน

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ จะมีความสูงอยู่ที่ 8-15 เมตร เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลม แตกกิ่งก้านโปร่ง มีขนขึ้นอย่างแน่นหนาบริเวณยอดและกิ่งอ่อน เปลือกนอกของลำต้นมีสีน้ำตาลผสมกับดำ ตามแนวยาวแตกเป็นสะเก็ด เปลือกภายในเป็นสีน้ำตาลผสมเหลือง และมียางเหนียวสีเหลียงปนแดงอยู่ด้วย กิ่งของลำต้นขนาดเล็ก และจะถูกเปลี่ยนเป็นหนามแข็ง [1],[3],[5]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่เรียงตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับไปถึงรูปขอบขนาน โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ มีขนขึ้นทั้งสองฝั่งของแผ่นใบ โดยหลังใบจะเป็นขนสาก ส่วนท้องใบจะเป็นขนนุ่มอยู่รวมกันอย่างแน่นหนา ใบมีความกว้างอยู่ที่ 3-5 เซนติเมตร ส่วนความยาวจะอยู่ประมาณ 3-13 เซนติเมตร ใบอ่อนมีสีแดงหรือชมพู และใบแก่จะเป็นสีแดงในช่วงก่อนผลัดใบ [1],[3]
  • ดอก เป็นดอกช่อกระจุก ออกบริเวณกิ่งด้านบนของรอยแผลใบ ดอกมีสีชมพูอ่อนถึงแดง ดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกมีขนสีขาวขึ้นที่บริเวณขอบกลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงจะมีขนขึ้นอยู่บริเวณด้านนอกประปราย มีเกสรเพศผู้มากแบ่งออกมา 3 กลุ่ม ส่วนรังไข่จะมีลักษณะเกลี้ยงเป็นรูปทรงรี[1],[3]
  • ผล เป็นผลแห้ง ลักษณะเป็นรูปรี ปลายผลแหลม มีความกว้างอยู่ที่ 0.4-0.6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวผลมีลักษณะแข็ง ตามผิวจะมีคราบสีนวล ๆ อยู่ มีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่เกินครึ่งของผล เมื่อผลแห้ง ผลจะแตกออกเป็นพู 3 พู มีสีน้ำตาล และมีเมล็ดจำนวนมากอยู่ภายใน เมล็ดมีลักษณะเป็นขอบขนาน ดอกจะออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม[1],[3],[5]

ประโยชน์ติ้วขน

  • เนื้อไม้มีคุณสมบัติ ไม่มีกลิ่น มีขี้เถ้าน้อย และให้ความร้อนได้ดี จึงมีการนำมาทำเป็นฟืน[2]
  • สามารถใช้เปลือกต้นมาสกัดเพื่อทำสีย้อมผ้าได้ ซึ่งจะให้เป็นสีน้ำตาลเข้ม[2]
  • นำมาใช้ในการก่อสร้าง ทำโครงบ้าน รั้ว เสาเข็ม ฯลฯ ได้ เนื่องจากเนื้อไม้มีความทนทานมาก และเนื้อไม้มีน้ำยางอยู่ทำให้ปลวกไม่กิน[2],[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ค่าความเป็นพิษต่อเซลล์ม้ามของสารสกัด คือ IC50 93.31 มก./มล. ซึ่งไม่มีผลต่อการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกันโดยตรง แต่จะไปทำการลดอัตราการเพิ่มจำนวนของทีเซลล์และบีเซลล์
  • พืชชนิดนี้มีสารในกลุ่มเป็นแทนนิน คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ อัลคาลอยด์ และฟลาโวนอยด์ เป็นองค์ประกอบ อีกทั้งยังสามารถช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อไวรัสโรคเริม Herpes simplex virus type 1 ต้านเชื้อแบคทีเรีย V. cholerae และ S. aureus ไม่มีฤทธิ์กลายพันธุ์ในภาวะที่ไม่มีหรือมีเอนไซม์ แต่จะให้ฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ในภาวะที่มีเอนไซม์ทำงานร่วมอยู่

(ข้อมูลจากการศึกษาสารสกัดจากลำต้นด้วย 50% แอลกอฮอล์)[5]

สรรพคุณติ้วขน

1. ช่วยในการรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ โดยนำเปลือกและใบมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็น(เปลือกและใบ)[2]
2. ส่วนใบใช้แทนพลาสเตอร์ปิดแผลได้(ใบ)[2]
3. มีการนำรากมาทำเป็นยาเพื่อช่วยในการขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด[1]
4. ช่วยรักษาอาการปวดท้องได้ โดยการนำรากและใบมาต้มกับน้ำกิน(รากและใบ)[2]
5. มีการศึกษาว่าสารสกัดจากกิ่ง มีสารที่จะช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือดขาวได้ ซึ่งจะส่งผลให้เซลล์มะเร็งค่อยๆ สลายตัวจากภายใน และไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียง (ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา)[4]
6. มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการคันได้(ยาง)[2]
7. มีการใช้น้ำยางจากต้น มาทำเป็นยาในการสมานแผลและช่วยห้ามเลือด[2]
8. ช่วยแก้อาการปวดท้องได้ โดยใช้กิ่งและลำต้นมาต้มกับน้ำดื่ม(กิ่งและลำต้น)[5]
9. สามารถใช้แก้ธาตุพิการได้(เปลือกต้น)[2]

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติ ภาคเหนือ. “ติ้วขน”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้าที่ 117.
2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “ติ้วขาว, ติ้วขน”. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 6 (ก่องกานดา ชยามฤต). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [15 ม.ค. 2014].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. “ติ้วขน”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1, หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [15 ม.ค. 2014].
4. ASTV ผู้จัดการออนไลน์. “แสงซินโครตรอนยืนยัน ติ้วขน-สนสามใบ ทำเซลล์มะเร็งทำลายตัวเองได้”. (ภญ.รศ.ดร.นาถธิดา วีระปรียากูร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [15 ม.ค. 2014].
5. โครงการจัดทำฐานข้อมูลพืชสมุนไพรที่สำรวจและวิจัยภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “ติ้วขน หรือ ติ้วหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: home.kku.ac.th/orip2/thaiherbs/. [04 พ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://inaturalist.ca/
2. https://www.nparks.gov.sg/
3. https://medthai.com/

ต้นโคกกระสุน สรรพคุณบำรุงร่างกาย

0
ต้นโคกกระสุน สรรพคุณบำรุงร่างกาย เป็นพืชล้มลุกมีขนตามลำต้น หลังใบและท้องใบมีขนนุ่ม ดอกมีสีเหลืองสด ผลทรงกลม เปลือกผลที่แข็งเป็นรูปห้าเหลี่ยม มีหนามแหลม
โคกกระสุน
เป็นพืชล้มลุกมีขนตามลำต้น หลังใบและท้องใบมีขนนุ่ม ดอกมีสีเหลืองสด ผลทรงกลม เปลือกผลที่แข็งเป็นรูปห้าเหลี่ยม มีหนามแหลม

โคกกระสุน

โคกกระสุน พบได้บ่อยในพื้นที่เช่นทางรถไฟ พื้นที่รกร้าง สวนผลไม้ ทุ่งนา และทุ่งหญ้าทั่วไป ชื่อสามัญ Bindii, Bullhead, Caltrop, Caltrops, Devil’s eyelashes, Devil’s weed, Goathead, Small caltrops, Puncture vine, Puncture weed, Tackweed[1],[3],[5] ชื่อวิทยาศาสตร์ Tribulus terrestris L. อยู่ในวงศ์โคกกระสุน (ZYGOPHYLLACEAE)[1] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ หนามดิน (ตาก), หนามกระสุน (ลำปาง), ชื่อจี๋ลี่ (จีนกลาง), กาบินหนี, โคกกะสุน (ไทย), ไป๋จี๋ลี่ (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[3],[4]

ลักษณะของโคกกระสุน

  • ต้น เป็นพืชไม้ที่มีลักษณะล้มลุก และเติบโตตามพื้นดิน ความยาวของต้นสามารถถึง 160 เซนติเมตร พืชชนิดนี้เป็นพืชหญ้าและมีอายุประมาณ 1 ปี พวกมันจะกระจายอยู่ทั่วพื้นดินโดยยอดและดอกของต้นจะยื่นขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีขนขึ้นตามลำต้น พืชชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เมล็ด จะเติบโตได้ดีในดินทรายที่แห้งและมีระบบระบายน้ำดี โตได้ดีในช่วงฤดูฝน[1],[2],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบประกอบที่คล้ายกับขนนกเล็กๆ จำนวนใบย่อยประมาณ 4-8 คู่ และมีก้านใบยาวประมาณ 6-15 มิลลิเมตร ใบเรียงตามลำต้นและข้อโดยมีลักษณะการเรียงแบบสลับตรงข้ามกัน ใบมีรูปร่างที่ขอบขนาน โดยปลายใบจะมีลักษณะมน และโคนใบเบี้ยว มีรูปร่างหูใบที่คล้ายใบหอก ส่วนขอบใบเป็นระดับและเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 8-10 มิลลิเมตร หลังใบและท้องใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน [1],[2],[4]
  • ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อสั้นตามซอกใบหรือตามข้อของลำต้นก็ได้ ดอกมีสีเหลืองสดและประกอบด้วยกลีบรองดอกและกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกมักจะมีรูปไข่กลับ รูปรี หรือรูปไข่ปลายหอก และมีสีเหลืองสด ดอกมีเกสรเพศผู้ที่มีจำนวน 10 อัน ก้านดอกมีความยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร หลังจากดอกบานแล้ว ขนาดของดอกจะมีความกว้างราวๆ 1-2 เซนติเมตร [1],[2],[4]
  • ผล ลักษณะทรงกลมและเปลือกผลที่แข็งแรงมีรูปร่างเป็นรูปห้าเหลี่ยม ทั่วผลจะมีหนามแหลมขนาดเล็กกระจายอยู่ และจะมีหนามแหลมขนาดใหญ่อยู่ 1 คู่ ผลจะแบ่งเป็น 5 ช่อง ซึ่งแต่ละช่องจะมีเมล็ดอยู่ 2-3 เมล็ด หลังจากผลแห้ง ผลจะแตกออกได้ [1],[4]

ประโยชน์โคกกระสุน

  • สามารถใช้ในการเสริมสร้างฮอร์โมนเจริญพันธุ์ทั้งในชายและหญิงได้[9]
  • ช่วยลดอาการก่อนและระหว่างมีประจำเดือนของเพศหญิง[9]
  • ทำให้อาการวัยทองในผู้หญิงลดลง[9]
  • บรรเทาอาการซึมเศร้า กังวล และอาการนอนไม่หลับ[9]
  • ช่วยทำให้ผู้หญิงมีบุตรได้ง่ายขึ้น โดยจะไปทำให้รอบการตกไข่เป็นปกติ[9]
  • ช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศทั้งชายและหญิง[9]
  • สามารถใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง[9]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • มีการฉีดสารสกัดจากต้นด้วย 95% เอทานอล เข้าทางช่องท้องของหนูขาวพบว่าทำให้สัตว์ทดลองตายมากกว่าครึ่งคือ 56.42 กรัมต่อกิโลกรัม[5]
  • ข้อมูลทางเภสัชวิทยาพบว่า ต้นมีฤทธิ์ในการลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ละลายก้อนนิ่ว ขับปัสสาวะ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย[5]
  • พบว่ามีสารจำพวก Flavonoid glycoside ,Kaempferide, Kaempferitrin, Tribuloside, Potassium, Kaempferol-3-glucoside และพบ Alkaloid, Diosgenin, Gitogenin, Chlorogenin Harmol ในใบและราก ส่วนเมล็ดจะพบสารจำพวก Harmine Harman เป็นต้น[4]
  • มีการทดลองในจีนเมื่อปี ค.ศ.2006 โดยทำการให้สารสกัดกับกระต่าย 50 ตัว ผลการทดลองพบว่าการให้สารสกัดในขนาดต่ำและสูง สามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดของกระต่ายได้[5]
  • พบว่าสารสกัดที่สกัดจากแอลกอฮอล์ สามารถลดความดันโลหิตในสัตว์ทดลองได้เล็กน้อย[4]
  • สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์นั้น มีฤทธิ์ในการขับเสมหะ บรรเทาหืดหอบ และแก้ไอ[4]

สรรพคุณโคกกระสุน

1. สามารถใช้ทำเป็นยาป้องกันอาการชักบางชนิดได้ โดยให้นำผลแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม (ผลแห้ง) [7]
2. ใช้เป็นส่วนผสมของยาลูกกลอนที่ใช้แก้ผดผื่นคันได้(ต้น)[4]
3. นำผลมาทำเป็นยาฝาดสมานได้(ผล)[5]
4. มีสรรพคุณเป็นยากระจายลมในตับ(ทั้งต้น)[4]
5. ผงของเมล็ดแก่ สามารถช่วยในการช่วยกระตุ้นกำหนัด รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ส่งเสริมระบบสืบพันธุ์(เมล็ด)[8]
6. สามารถช่วยแก้โรคหนองในได้(ผลแห้ง, ทั้งต้น)[1],[2],[3],[6],[7]
7. ช่วยในการขับระดูขาวในสตรี(ผลแห้ง, ทั้งต้น)[1],[2],[3],[6],[7]
8. ราก สามารถทำเป็นยาแก้ปวดฟันได้ โดยให้นำมาฝนกับน้ำและถูกับฟันบริเวณที่เกิดอาการปวด(ราก)[4]
9. มีฤทธิ์ทำให้ตาสว่าง (ทั้งต้น)[4]
10. ใช้เป็นยาแก้ไข้ทับระดูได้ โดยจะให้รสเค็มขื่นเล็กน้อย(ทั้งต้น)[1]
11. ทำเป็นยารักษาอาการหน้ามืด ปวดศีรษะ วิงเวียนได้(ทั้งต้น)[1],[4]
12. การนำโคกกระสุนทั้งต้น 1 กำมือ มาต้ม โดยให้ต้มน้ำ 3 แก้วจนเหลือเพียง 1 แก้ว จากนั้นกรองเอาแต่น้ำมาดื่มวันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว เช้าเย็นก่อนอาหาร จะทำให้อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย บรรเทาลง(ทั้งต้น)[8]
13. ทั้งต้นสามารถใช้รักษาอาการคันตามตัว ลมพิษ และผดผื่นคันต่างๆ ได้(ทั้งต้น)[4]
14. นำมาใช้เป็นยาในการแก้โรคเกี่ยวกับทางปัสสาวะหรือใช้เป็นยารักษาโรคไตพิการก็ได้(ทั้งต้น)[1],[2],[3],[5],[6]
15. ผลแห้งที่นำมาต้มกับน้ำ มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงตับ ไต สายตา และกระดูก (ผลแห้ง)[7]
16. ช่วยในเรื่องของการระงับน้ำกามเคลื่อนได้ (ทั้งต้น)[1]
17. มีสรรพคุณทำให้สามารถคลอดบุตรได้ง่าย โดยให้นำผลแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม(ผลแห้ง)[7]
18. สำหรับเมล็ดนั้นจะสามารถนำมาทำเป็นยารักษาอาการผอมแห้งได้ (เมล็ด)[5] ทั้งต้นจะเป็นยาที่ใช้ในการขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ และแก้นิ่ว[1],[2],[3],[4],[5],[6]
19. มีสรรพคุณที่จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบภายในช่องปากได้(ทั้งต้น)[1]
20. ช่วยในการขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบ และบรรเทาอาการไอ(ทั้งต้น)[4]
21. ใช้เป็นยาแก้อาการน้ำตาไหลผิดปกติ อาการตาแดง และอาการความดันโลหิตสูงได้ โดยให้นำผลโคกกระสุน 15 กรัม ,ชะเอม 6 กรัม, ชุมเห็ดเทศ 30 กรัม และเก๊กฮวย 20 กรัม นำมาต้มรวมกับน้ำทาน(ผล)[4],[7]
22. การนำเมล็ดตากแห้งมาทำเป็นยาลูกกลอนกิน จะสามารถช่วยในการบำรุงร่างกายได้(เมล็ด)[8]

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “โคกกระสุน (Kok Kra Sun)”. หน้า 85.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “โคกกระสุน”. หน้า 105.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “โคกกะสุน,โคกกระสุน”. หน้า 206.
4. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “โคกกระสุน”. หน้า 166.
5. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “หนามกระสุน” หน้า 193.
6. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หนามกระสุน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [11 ม.ค. 2015].
7. ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (ไพร มัทธวรัตน์). “โคกกระสุน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : clgc.rdi.ku.ac.th. [11 ม.ค. 2015].
8. กลุ่มรักษ์เขาใหญ่. “โคกกระสุน เจ็บแท้ แต่เพิ่มกระสุน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rakkhaoyai.com. [11 ม.ค. 2015].
9. กรีนคลินิก. “หนามกระสุน (Tribulus terrestris)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.greenclinic.in.th. [11 ม.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://shop.theherbshoppepdx.com/
2.https://www.cultivatornatural.com/
3. https://medthai.com/

ต้นเครือปลาสงแดง สรรพคุณรักษาวัณโรค

0
เครือปลาสงแดง
ต้นเครือปลาสงแดง สรรพคุณรักษาวัณโรค เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อย ดอกเป็นดอกช่อ สีขาวหรือสีเหลืองนวลๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฝักคู่ทรงกระบอกปลายฝักแหลม
เครือปลาสงแดง
เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อย ดอกเป็นดอกช่อ สีขาวหรือสีเหลืองนวลๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฝักคู่ทรงกระบอกปลายฝักแหลม

เครือปลาสงแดง

เครือปลาสงแดง พบพืชชนิดนี้ได้ตามป่าโปร่ง ป่าพรุ ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณผสม และตามที่โล่งทั่วไป ชื่อวิทยาศาสตร์ Ichnocarpus frutescens (L.) W.T.Aiton อยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)[1],[2]
ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เครืออีโม้ เครืออีม้อ(ภาคกลาง), เถายอดแดง (อ่างทอง), เครือเจ็น (เชียงใหม่), เต่าไห้ (ตราด), หัวขวาน (ชลบุรี), หุนน้ำ (สระบุรี), ปอต่อไห้ (จันทบุรี), เถาโก (ประจวบคีรีขันธ์), ชัยสง (เลย),เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของเครือปลาสงแดง

  • ต้น เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยชนิดหนึ่ง แตกกิ่งก้านสาขาออกมามาก มีความยาว 2-8 เมตร มีเถาสีน้ำตาลแดง มีขนสั้นๆขึ้นอยู่ตามบริเวณเถาหรือกิ่งอ่อน ซึ่งขนก็มีสีน้ำตาลแดงเช่นกัน มัก[1],[2]
  • ใบ ออกเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือขอบขนาดแกมใบหอก โคนใบมนเป็นรูปลิ่ม ปลายใบแหลม และขอบใบเรียบ ใบมีความกว้างอยู่ที่ 3-5 เซนติเมตรและยาว 7-11 เซนติเมตร ลักษณะของแผ่นใบจะมีความหนาและเรียบ มีสีเขียวเข้ม ตามเส้นใบจะมีขนขึ้นส่วนหลังใบจะเกลี้ยง มีเส้นใบหลักอยู่ 5-7 คู่ และก้านใบจะมีความยาวอยู่ที่ 1-2 เซนติเมตร[1],[2]
  • ดอก เป็นดอกช่อ ออกแยกแขนงตามซอกใบและปลายกิ่งโดยจะมีดอกย่อยอยู่ราวๆ 11-80 ดอก ดอกมีสีขาวหรือสีเหลืองนวลๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ความยาวของก้านดอกประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ซึ่งก้านดอกจะมีขนสั้นหนานุ่มอยู่ กลีบดอกเรียงบิดเวียนขวา และปลายกลีบบิด ส่วนโคนของกลีบจะเชื่อมติดกันเป็นหลอดลักษณะเป็นรูปถ้วยโดยมีความกว้างอยู่ราวๆ 1-2 มิลลิเมตร และยาว 2-3 มิลลิเมตร ส่วนปลายแยกเป็นกลีบดอกจะแบ่งออกเป็น 5 กลีบ ลักษณะเป็นแฉกมนคล้ายรูปไข่ มีความกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร มีใบประดับดอกอยู่ 2 อัน ลักษณะเป็นรูปไข่ ขอบเรียบ กว้างประมาณ 0.5 มิลลิเมตรและยาว 1-2 มิลลิเมตร โดยใบประดับจะคอยรองรับช่อดอกย่อยอยู่ มีเกสรเพศผู้สีเหลืองผิวเกลี้ยงและมีเกสรเพศเมียที่ติดอยู่เหนือวงกลีบ ดอกออกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม[1],[2]
  • ผล ออกเป็นฝักคู่ ผลมีลักษณะคล้ายรูปทรงกระบอก มีความกว้าง 2-5 มิลลิเมตรและยาว 3-11 เซนติเมตร ปลายฝักแหลมฝักจะแตกออกเมื่อแห้ง โดยจะแตกเป็นตะเข็บเดียวซึ่งจะมีเมล็ดสีน้ำตาลซ่อนอยู่ในฝัก ส่วนปลายของเมล็ดจะมีขนขึ้นกระจุกอยู่อย่างเห็นได้ชัด[1],[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ในลำต้น พบสาร epi-friedelinol, amyrin, friedelin, beta-sitosterol, lupeol[2]
  • พบสาร quercetin-3-O-beta-D-glucopyranoside, quercetin ในดอก[2]
  • ในรากพบสาร beta-sitosterol [2]
  • ใบ มีสาร proanthocyanidin, kaemferol-3-galactoside (trifolin), สารฟลาโวน apigenin, isovitexin, kaemferol, synapic acid, protocatechuic acid, phenolic acids, ursolic acid acetate, vanillic, syringic และสารอื่น ๆ[2]

สรรพคุณ และประโยชน์เครือปลาสงแดง

1. ทั้งต้นสามารถนำมาใช้เป็นยาแก้อาการลมชักได้[2]
2. ทุกส่วนของลำต้นสามารถนำมาใช้เป็นยาแก้หัดได้(ทั้งต้น)[2]
3. นำมาใช้เป็นยาในการรักษาโรคผิวหนังได้(ราก)[2]
4. สามารถนำทั้งต้นมาทำเป็นยารักษาอาการม้ามโตได้(ทั้งต้น)[2]
5. รากมีสรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ รักษานิ่วในกระเพาะปัสสาวะ โดยรากจะเป็นยาเย็น(ราก)
6. ใช้เป็นยาแก้บิด(ทั้งต้น)[2]
7. สามารถนำมาใช้เป็นยาบรรเทาอาการไอได้(ทั้งต้น)[2]
8. นำมาทำเป็นยาแก้อาการลิ้นอักเสบ และเลือดออกที่บริเวณเหงือกได้(ทั้งต้น)[2]
9. ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน(ทั้งต้น)[2]
10. ใช้รักษาโรคเพ้อคลั่ง(ทั้งต้น)[2]
11. มีการนำมาใช้เป็นยารักษาเบาหวานในบังกลาเทศ(ราก)[2]
12. มีการนำมาใช้แก้อาการปวดเมื่อย โดยอิงจากตำรับยาพื้นบ้านอีสาน(ราก)[1],[2]
13. ช่วยในการรักษาอาการปวดจากแมลงกัดได้(ทั้งต้น)[2]
14. ทำยาแก้หิดได้ โดยใช้ใบและลำต้นมาต้ม(ใบและลำต้น)[2]
15. สามารถนำใบมาใช้เป็นยารักษาบาดแผลได้(ใบ)[2]
16. สามารถนำมาทำยาแก้ปัสสาวะเป็นเลือดได้(ทั้งต้น)[2]
17. ทั้งต้นมีสรรพคุณช่วยแก้เนื้องอกที่เกิดในช่องท้องได้(ทั้งต้น)[2]
18. ส่วนราก สามารถนำมาทำยาแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้(ราก)[2]
19. มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ (ราก, ใบและลำต้น)[2]
20. ใบสามารถนำมาใช้ป้องกันฟันผุได้(ใบ)[2]
21. มีการนำมาใช้ทำเป็นยาเพื่อแก้อาการปวดศีรษะ(ใบ)[2]
22. ในอินเดียมีการนำมาใช้เป็นยารักษาวัณโรค (ทั้งต้น)[2]
23. สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปได้

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “เครือ ปลา สง แดง”. หน้า 103.
2. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เครือปลาสงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [14 ม.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.flickr.com/photos/xylopia/4383871289
2. https://www.biolib.cz/cz/image/id237079/
3. https://medthai.com/

โคโรคคืออะไร? สรรพคุณของโคโรคที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

0
โคโรคคืออะไร? สรรพคุณของโคโรคที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
โคโรค
ก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นในถุงน้ำดีของวัวที่เกิดจากการอักเสบผ่านระยะเวลาที่แห้งแล้งจนกลายเป็นหินแข็ง มีฤทธิ์เย็นรสขม

โคโรค

โคโรคเป็นสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในแพทย์แผนตะวันออก มีสรรพคุณทางยาฤทธิ์เย็นและรสขม บางครั้งถุงนิ่วอาจหลุดออกจากการไอของวัวที่เป็นโรค ซึ่งถือเป็นสิ่งมีค่าและราคาแพงมาก จึงมีการผลิตจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญคือ Ox gallstone หรือ Bos calculus ชื่อทางเภสัชกรรมคือ Calculus Bovis และชื่อสัตววิทยาคือ Bos taurus domesticus Gmelin ส่วนชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ได้แก่ นิ่ววัว, หนิวหวง (จีนกลาง) เป็นต้น

ลักษณะสำคัญ

โคโรค คือ นิ่วที่เกิดขึ้นในถุงน้ำดีของวัวที่เกิดจากการอักเสบผ่านระยะเวลาที่แห้งแล้งจนกลายเป็นหินแข็ง รูปร่างเป็นรูปไข่มีลักษณะเบาและเปราะ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.3 ถึง 3 ซม. ผิวด้านนอกมีสีน้ำตาลทองหรือเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในวัวที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป การดูว่าวัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ จะสังเกตได้จากการที่วัวมีรูปร่างผอม ดื่มน้ำมาก ทานอาหารน้อย ไม่มีแรงจะเดิน

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ข้อมูลทางเภสัชวิทยามีวิตามินดี ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ แต่หากทานมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการตัวเหลืองเนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย[1],[3]
  • สารที่พบ เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุทองเหลือง แคลเซียม Alanine, Aspartic acid, Arginine, Vitamin D, Leucine, Glycine, Cholesterol, Cholic acid, Fatty acid, Methionine, Taurine, Lecithin เป็นต้น[1]
  • จากการทดลองพบว่าสามารถช่วยให้หัวใจของหนูทดลองที่ได้กินกาแฟ หรือการบูรเข้าไปจนหัวใจเต้นเร็ว กลับมาเต้นเป็นปกติ และทำให้จิตใจของหนูสงบลงอีกด้วย[1]
  • พบว่ากรดโคลิก สามารถช่วยในการบำรุงหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหลอดเลือดหดตัว[3]

สรรพคุณ และประโยชน์โคโรค

1. สามารถนำมาทำเป็นส่วนผสมในการทำยาแก้น้ำลายเหนียว ขับเสมหะ และลมชักในเด็กได้[1]
2. ช่วยในการรักษาอาการบวมตามอวัยวะต่างๆ ได้[1],[2]
3. ใช้ในการทำเป็นยารักษาดีซ่าน และอาการตับอักเสบได้[1]
4. ใช้กินเป็นยาแก้เสมหะแห้ง น้ำลายเหนียวติดลำคอ และช่วยขับเสมหะ[1],[2]
5. ใช้ทำเป็นยาในการขับพิษร้อนถอนพิษไข้ อาการชักในเด็ก ไข้สูง ตัวร้อน ไข้หมดสติ และอาการเพ้อพูดจาเพ้อเจ้อ[1],[3]
6. ทำเป็นยาในการบำรุงกำลังได้[2]
7. ช่วยแก้อาการเจ็บคอ และการเป็นแผลที่ลิ้นได้ โดยการนำมาเป่าคอหรือป้ายลิ้น[1]
8. สามารถใช้ในการรักษาฝีภายในและภายนอกได้[1]
9. สามารถนำมาหยอดตา แก้อาการเจ็บตา ตาฟาง ตาแฉะ[2]
10. เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ต่อหัวใจและตับ สามารถทำเป็นยาสงบจิต และแก้อาการตกใจง่าย มีรสขมชุ่ม[1]
11. ทางจีนใต้มีการนำมาขาย เป็นสินค้าทางยา อีกทั้งยังได้ราคาที่แพงมาก[2]

การใช้

  • จะใช้ครั้งละ 0.2-0.4 กรัม สามารถนำมาบดเป็นผงชงดื่ม ทำเป็นยาลูกกลอนทาน หรืออาจนำมาทาภายนอกก็ได้[1]

ข้อควรระวัง

  • สำหรับผู้ที่มีอาการกระเพาะอาหารม้ามเย็นพร่อง และสตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้[1],[3]

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “โค โรค (ox-gall-stone)”. หน้า 170.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “โค โรค”. หน้า 211.
3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 97 คอลัมน์ : อาหารสมุนไพร. (วิทิต วัณนาวิบูล). “วัว สัตว์ที่มนุษย์ยกย่อง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [10 ม.ค. 2015].
4. https://medthai.com/