Home Blog Page 136

Hyaluronidases เอนไซม์ที่ช่วยจัดการเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์

0
Hyaluronidase เอนไซม์ที่ช่วยจัดการเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์
Hyaluronidases เป็นเอนไซม์ในร่างกายตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่ทำหน้าที่ทำการย่อยสลายให้ก้อนเนื้อหรือเนื้องอกที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายมีขนาดเล็กลง
Hyaluronidase เอนไซม์ที่ช่วยจัดการเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์
Hyaluronidases เป็นเอนไซม์ในร่างกายตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่ทำหน้าที่ทำการย่อยสลายให้ก้อนเนื้อหรือเนื้องอกที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายมีขนาดเล็กลง

Hyaluronidases

Hyaluronidases เป็นเอนไซม์ที่มีในร่างกายตามธรรมชาติของมนุษย์  และเป็น 1 ใน 5 เอนไซม์  ที่ทำหน้าที่จัดการกับก้อนเนื้อหรือเนื้องอกที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย  เอนไซม์กลุ่มนี้จะพุ่งตรงเข้าไปยังก้อนเนื้อหรือ เนื้องอกที่เป็นเป้าหมายเฉพาะเจาะจงของเอนไซม์แต่ละตัวและทำการย่อยสลายให้เนื้อเยื่อส่วนนั้นหายไป  หรือมีขนาดเล็กลง 

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่า Hyaluronidases ก็คือสิ่งปกติที่อยู่ในร่างกายของคนเรานั่นเอง  แต่การทำงานของ เอนไซม์ในกลุ่มนี้ค่อนข้างจำเพาะเจาะจง  ซึ่งหน้าที่หลักของ Hyaluronidases จะพุ่งเป้าไปที่การจัดการย่อยสลาย hyaluronan ( HA ) โดยเฉพาะ เพียงอย่างเดียว  ซึ่งเนื้อเยื่อในส่วนนี้  เป็นส่วนที่ทำให้กล้ามเนื้อและผิวหนังเกิดการยืดหยุ่น  แต่เมื่อมันเกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติ  หรือมีมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้  เช่น  การเกิดเป็นเนื้องอก  หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเกิดเป็น tumorigenic potential ซึ่งจะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นมะเร็งได้  ซึ่งนี่คือภารกิจหลักของเอนไซม์ Hyaluronidases ที่จะต้องจัดการกับส่วนเกินตรงนี้ให้หมดไปจากร่างกาย

ด้วยความสามารถพิเศษตรงนี้  ในวงการแพทย์จึงใช้เอนไซม์ Hyaluronidases เพื่อการรักษาโรคเนื้องอกและมะเร็ง  โดยการฉีดมันเข้าไปเพื่อสลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้น  แต่ในเวลาต่อมาเทคโนโลยีทางการแพทย์ศัลยกรรมได้มีการนำเอา Hyaluronidases มาใช้เพื่อการ ย่อยสลายเส้นใยกรดไฮยาลูโรนิคที่มากเกินไป  จากที่เคยมีเพื่อความยืดหยุ่น  แต่เมื่อมันมีจำนวนมากเกินพอดี  มันจึงกลายเป็นความหย่อนยานแทน

วิธีการนี้เราเรียกว่าการทำเมโสบำบัด ( mesotherapy ) เป็นการฉีดเอนไซม์ Hyaluronidases เข้าไปที่ผิวหนังชั้นเมโส  เพื่อให้เอนไซม์ตัวนี้  เข้าไปทำลายเส้นใยไฮยาลูโรนิคที่มากเกินไป  และมีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นเซลลูไลท์ที่ถาวร จนเป็นปัญหาของความหย่อนคล้อยของผิวหน้า  เอนไซม์ตัวนี้จะทำหน้าที่คัดเลือกและแบ่งแถบเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั้งหมด  และเลือกย่อยสลายในส่วนที่เป็น เซลลูไลท์   เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อที่มีความหนาแต่ไร้ประโยชน์เหล่านี้หมดไป  การเติมสารอาหารและวิตามินอื่นๆเข้าสู่ชั้นผิวก็ทำได้ง่ายขึ้น  และสามารถแสดงผลของการบำรุงผิวหน้าด้วยสารอาหารและวิตามินที่ผิวหนังต้องการได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ Hyaluronidases ยังสามารถจัดการกับการเติมฟิลเล่อร์ที่เกินพอดี  ในวงการศัลยกรรม  มีการใช้วิธีการเติมฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มเข้าไปที่ผิวโดยตรง  เพื่อมุ่งหวังให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่น หย่อนคล้อยบริเวณนั้นมีสภาพที่  อวบอิ่มเด้งเนียนเหมือนเดิม ฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่ที่ใช้คือ Hyaluronic Acid ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวโดยตรง  แต่การใช้สารเติมเต็มเหล่านี้  มักเจอปัญหาของการเติมจะเกินพอดี  ทำให้มีสารฟิลเลอร์หลงเหลืออยู่ที่ชั้นผิวหนัง  จากที่ต้องการเติมเต็ม  กลายเป็นล้น  และส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็นเนื้อเยื่อที่ปูดนูนออกมาจากผิวหนังปกติ  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฉีด Hyaluronidases เข้าไป  เพื่อย่อยสลายเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นปัญหาให้กลับเข้ามาสู่ผิวหน้าที่สมบูรณ์  ตามรูปทรงปกติของผิวหนัง

ทั้งหมดนี้คือการใช้ประโยชน์ของเอนไซม์  Hyaluronidases  ที่จะทำให้เราจัดการกับทุกปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าได้อย่างตรงจุด  และยาวนานกว่าการทำศัลยกรรมรูปแบบอื่นๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Pacik PT (December 2009). “Botox treatment for vaginismus”. Plastic and Reconstructive Surgery. 124 (6): 455e–56e. doi:10.1097/PRS.0b013e3181bf7f11. PMID 19952618.

กรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid ) คืออะไร แนะนำให้เข้ามาอ่านบทความนี้

0
Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิค) คืออะไรเกี่ยวอะไรกับ ฟิลเลอร์
Hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สารตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของกรดไฮยาลูโรนิคที่พบในร่างกายมนุษย์
Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิค) คืออะไรเกี่ยวอะไรกับ ฟิลเลอร์
Hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สารตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของกรดไฮยาลูโรนิคที่พบในร่างกายมนุษย์

กรดไฮยาลูโรนิค

กรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid ) เป็นสารเติมเต็มผิวหนัง ( Filler ) ที่มีผลชั่วคราว  เมื่อร่างกายของเราใช้งานมันไปจนหมด ก็ต้องมีการเติมเข้าไปอีก  เพื่อคงสภาพเดิมให้ได้มากที่สุด   เนื่องจากสารตัวนี้ เป็นสารที่ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของร่างกาย  ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร่างกายของเราจะสามารถรับและใช้งานมันได้อย่างเป็นปกติ  และสามารถทำลายให้หมดไปตามระยะเวลาที่เหมาะสม   ด้วยกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย

กรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid ) เป็นโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า polysaccharide ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น บริเวณผิวหนังและกระดูกอ่อน  สารตัวนี้สามารถรวมตัวกับน้ำและทำให้เกิดอาการบวม   แต่เมื่อมันอยู่ในสภาพปกติ  มักจะมีสภาพเป็นเจล  ซึ่งก่อให้เกิดเป็นความเรียบและยืดหยุ่น    ซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติเพราะมันสามารถดึงดูดน้ำในชั้นผิวหนังช่วยให้ผิวนุ่ม  ลื่นและยืดหยุ่น

5 คุณสมบัติที่สำคัญของไฮยาลูโรนิค

  1. การดูดความชื้น และไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านของร่างกาย
  2. สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรผิว ( filler ) ได้อย่างยอดเยี่ยม
  3. สารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง
  4. กรดไฮยาลูโรนิค สามารถใช้ทดแทนสารส่วนนี้ที่ร่างกายใช้งานไปจนเหลือน้อย โดยการฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย ที่จะสามารถแสดงประสิทธิภาพในการทำงานได้
  5. การฟื้นฟูผิวหน้า โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดศัลยกรรม

อันที่จริงแล้วสาร กรดไฮยาลูโรนิคตัวนี้อยู่ในร่างกายและทำหนาที่ของตัวเองไปตามที่สภาพร่างกายจะเอื้ออำนวย  บางคนใช้งานหนักก็หมดเร็ว  บางคนใช้อย่างรู้คุณค่าก็สามารถประคับประคองมันให้สามารถอยู่ได้นาน อันที่จริงแล้ว กรดไฮยาลูโรนิค มันทำหน้าที่จัดการกับสาร Hyaluronan ซึ่งเป็นสารที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง  เช่น กดแก้ม กดคางแล้วเด้งกลับสู่สภาพเดิม

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้  พอกดแก้มลงไปแก้มจะบุ๋มตามนิ้วไปเลยไม่คืนสภาพเดิม  แต่การที่ผิวหนังของเรามี Hyaluronan มากเกินไป เมื่อมันถูกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆแทนที่จะเป็นเพียงแค่องค์ประกอบในผิวหนังธรรมดาทั่วไป  มันกลับกลายเป็นเซลลูไลท์ที่ไร้ประโยชน์และเริ่มแบ่งแยกตัวเองออกจากผิวหนังชั้นกลาง   มาเป็นก้อนเซลลูไลท์ที่มีพื้นที่ส่วนตัว  ซึ่งเราจะเห็นเป็นก้อนเนื้อยานๆและนั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงรับไม่ได้

ปกติร่างกายมนุษย์จะมี กรดไฮยาลูโรนิค ประมาณ 15 กรัม   และมันจะอยู่ที่ชั้นผิวหนัง  50% และอยู่ที่กระดูกอ่อนและส่วนอื่นๆอีก  50%   โดยปกติรูปแบบธรรมชาติของ กรดไฮยาลูโรนิค สามารถละลายน้ำ และร่างกาย สามารถผลิตมันออกมาได้ใหม่ ด้วยการทำงานของเอนไซม์ และมันจะมีอายุยืนยาวอยู่ได้ 24 วันตามสภาพร่างกายที่ปกติ  แต่มันจะหมดอายุสั้นลงด้วยภาวะของความเครียด  และความเจ็บป่วยบางประการของร่างกาย สารตัวนี้มีความทนทานต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ฉะนั้นเม็ดเลือดขาวไม่เห็นว่าสารตัวนี้เป็นสิ่งแปลกปลอม  มันจึงไม่ถูกขับออกจากร่างกาย  นอกเสียจากว่า  มันจะเสื่อมสภาพไปเอง  และถูกดูดซึมกลับเข้ามาในร่างกาย  กลายเป็นของเสียที่จะถูกขับออกไปจากร่างกายในอนาคต  ด้วยคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมในการดูดความชื้น และไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านของร่างกาย  ทำให้โมเลกุล กรดไฮยาลูโรนิค  เป็นสารที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาตรผิว(filler)ได้อย่างยอดเยี่ยม

ถ้าจะพูดว่า กรดไฮยาลูโรนิค เป็นสารที่เกิดจากความอัจฉริยะของมนุษย์ ก็สามารถพูดได้  เพราะการที่เราสามารถศึกษาจนเข้าใจระบบการทำงานของร่างกาย  แล้วยังเข้าใจมุมกลับของร่างกาย  ที่จะสร้างตัวอื่นสารเพื่อยับยั้ง การทำงานเหล่านี้  อันเป็นความซับซ้อนและความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์  เมื่อเรารู้ความลับตรงนี้ก็ยังเอาความรู้ที่ได้ไปพัฒนาจนสามารถ  คัดเลือกเอาสาร กรดไฮยาลูโรนิค จากแหล่งอื่น  มาพัฒนาและปรับใช้กับร่างกายคน   จนสามารถฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย  ทดแทนสารส่วนนี้ที่ร่างกายใช้งานไปจนเหลือน้อยเกินกว่าที่จะสามารถแสดงประสิทธิภาพในการทำงานได้

ฉะนั้นการฉีด กรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สารตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของ กรดไฮยาลูโรนิค ที่พบในร่างกายมนุษย์  ซึ่งนอกจากมันจะทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังแล้ว  การนำเอาสารตัวนี้จะเข้าไปในชั้นผิวหนังจะช่วยทำลาย  Hyaluronan  ที่มากจนเกินไป  ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อย

แหล่งที่มาของ กรดไฮยาลูโรนิค ที่ใช้เพื่อการเติมเต็มในส่วนของผิวหนัง  เป็นสารที่ได้มาจากกการเพาะเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในห้องทดลอง  โดนการใช้โปรตีนที่ทำมาจากเนื้อของนกเป็นอาหาร  เพื่อให้ได้มาซึ่งสาร กรดไฮยาลูโรนิค ที่มีสภาพใกล้เคียงกับสารที่อยู่ในร่างกายมนุษย์มากที่สุด  และเมื่อได้สารเหล่านี้ออกมา  นักวิจัยก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบนิดหน่อยเพื่อให้ได้ กรดไฮยาลูโรนิค ที่มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น  ซึ่งโดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ ตัวนี้ 1  ครั้งสามารถอยู่ในชั้นผิวหนังได้นาน  ประมาณ 6 เดือน  แต่ด้วยเทคโนโลยีในการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมี ทำให้มันสามารถอยู่ได้นานถึง 12  เดือน

ทุกวันนี้การพัฒนารูปแบบที่มีเสถียรภาพมากขึ้นของกรดไฮยาลูโรนิค ทำให้การเสริมสร้างความสวยงามสมบูรณ์แบบบนใบหน้าได้นานขึ้น  จึงได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตจากเดิมที่ใช้เชื้อ Avian ฉีดเข้าไปในนก และเอาส่วนที่เป็นอวัยวะเป้าหมายมาสังเคราะห์เพื่อดึงเอาสารตัวนี้ออกมา   ซึ่งมักก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย  และเสื่อมสลายได้เร็วเกินไป  ส่งผลให้เกิดความสิ้นเปลือง  จึงปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตมาใช้เชื้อ  Streptococcus หรือ Staphylococcus equine bacterium และใช้การหมักโดยวิธีธรรมชาติ  ในห้องทดลอง  และเพิ่มสาร  1,4- บิวทานอล diglycidyl ether เพื่อให้เกิดเป็น กรดไฮยาลูโรนิคที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า  มีความหนืดน้อยกว่า และไม่เป็นการทารุณสัตว์อีกด้วย

Hyaluronic acid จึงเป็น ฟิลเลอร์ ผิวฉีดที่มีประสิทธิภาพสูง  ใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างมิติที่ดีกว่าได้บนใบหน้า  ทำให้ได้ใบหน้าที่กระชับได้รูปและเต่งตึง  มีความยืดหยุ่นที่พอเหมาะ เป็นการฟื้นฟูผิวหน้าโดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดศัลยกรรม  ที่นอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกกายแล้ว

ยังทิ้งร่องรอยการทำและผลข้างเคียงที่อาจตามมาอีกในอนาคต การฉีดกรดไฮยาลูโรนิคเข้าสู่ชั้นผิว  จึงเป็นการตรึงความชุ่มชื่นให้อยู่กับผิว  และความสมบูรณ์บนใบหน้าที่ดีที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Pacik PT (December 2009). “Botox treatment for vaginismus”. Plastic and Reconstructive Surgery. 124 (6): 455e–56e. doi:10.1097/PRS.0b013e3181bf7f11. PMID 19952618.

Fraser JR, Laurent TC, Laurent UB (1997). “Hyaluronan: its nature, distribution, functions and turnover”. J. Intern. Med. 242 (1): 27–33. doi:10.1046/j.1365-2796.1997.00170.x. PMID 9260563. vsquareclinic.com

Stern, edited by Robert (2009). Hyaluronan in cancer biology (1st ed.). San Diego, CA: Academic Press/Elsevier. ISBN 978-0-12-374178-3. 
Stern R (2004). “Hyaluronan catabolism: a new metabolic pathway”. Eur. J. Cell Biol. 83 (7): 317–25. doi:10.1078/0171-9335-00392. PMID 15503855.

ข้อควรรู้ก่อนการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )

0
ข้อควรรู้ก่อนผ่าตัดกราม เพื่อความงามที่มีศักยภาพสูงสุด
การตัดกราม จะช่วยปรับลักษณะของขากรรไกรและฟันให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม และทำให้หน้าเรียวขึ้น
ข้อควรรู้ก่อนผ่าตัดกราม เพื่อความงามที่มีศักยภาพสูงสุด
การตัดกราม จะช่วยปรับลักษณะของขากรรไกรและฟันให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม และทำให้หน้าเรียวขึ้น

ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )

ข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เป็นสิ่งที่เราควรศึกษาและทำความเข้าใจ  เพื่อสร้างมาตรฐานของการนำเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามขั้นตอน การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เพื่อการศัลยกรรมความงามที่ถาวร  ขั้นตอนในการทำอาจจะมีความยุ่งยากซับซ้อนและอาจเกิดผลข้างเคียงมากกว่าที่เราจะคาดเดาได้  ฉะนั้นเรื่องราวข้อควรรู้ก่อน ” ผ่าตัดกราม ” จึงมีความสำคัญมาก  และเราก็ไม่ควรละเลย 

ข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เป็นหนึ่งในสิทธิของผู้ป่วยในการสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการรักษาที่ถูกต้อง  เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้จากกระบวนการรักษา  ซึ่งการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่อยู่นอกเหนือการคุ้มครองของระบบประกันภัยทุกประเภท  เพราะฉะนั้นสิทธิต่างๆที่ผู้เข้ารับการรักษาพึงได้  จึงต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่สร้างขึ้นระหว่างแพทย์ผู้ให้การรักษา  สถานพยาบาล  และตัวผู้เข้ารับการรักษาเท่านั้น  ซึ่งถือเป็นข้อตกตง  ที่ถูกระบุเอาไว้ในหนังสือยินยอมก่อนเข้าสู่กระบวนการรักษาตามขั้นตอน

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) จะเป็นเรื่องราวที่พูดถึงผลจากการรักษาเป็นหลัก  และอาจสอดแทรกคำแนะนำในการเลือกใช้วิธีการศัลยกรรมที่เหมาะสมกับตัวเราและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด  เพื่อผลการรักษาที่ดีและปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเรา  และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )

ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) แบบเบื้องต้นที่สุดคือ  ผู้ที่จะเข้ารับการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ได้  จะต้องเป็นผู้ที่มีวัยวุฒิและสภาพร่างกายที่เหมาะสม  นั่นคือ  เป็นผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป  เพราะเป็นเกณฑ์อายุที่ร่างกายของคนส่วนใหญ่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  กระดูกและโครงสร้างต่างๆของร่างกายคงที่  ไม่มีการเจริญเติบโตในเรื่องของโครงสร้างกระดูกอีกต่อไป  อีกทั้งผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง  ไม่มีโรคประจำตัวที่ร้ายแรงและเป็นอุปสรรคในการเข้ารับการรักษา  ซึ่งอาจจะต้องทำควบคู่กับการใช้ยาชา  ยาสลบ  และยาที่ใช้เพื่อลดอาการเจ็บปวดจากการผ่าตัด

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) อาจจะส่งผลต่อการระบบการย่อยอาหารที่มีประสิทธิภาพ  เราอาจจะต้องสูญเสียสภาพของกรามและฟันบางส่วน  ซึ่งอาจจะส่งผลถึงการเคี้ยวอาหาร  การกลืน  และอาจมีอาการปวด บวม  อักเสบ อันเป็นผลมาจากการผ่าตัด  ซึ่งอาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว  และจะค่อยๆทุเลาเบาบางลงไปเรื่อย  จนกระทั่งไม่พบอาการดังกล่าว 

ในช่วงแรกๆของการปรับโครงสร้างหน้าด้วย ” การผ่าตัดศัลยกรรมกราม ” อาจจะทำให้เรายิ้มได้ยากขึ้น  หรืออาจเกิดอาการที่ริมฝีปากทำงานผิดปกติ  เช่นเปิดปากได้ยากขึ้น  ปากปิดไม่สนิท  ปากเบี้ยว  แต่ทุกอาการจะสามารถทุเลาลงได้ด้วยการกายภาพ  และการฝึกฝนกล้ามเนื้อโดยรอบ  ตามคำแนะนำของแพทย์แลพนักกายภาพบำบัด

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) อาจจะสร้างความไม่สมดุลบางประการให้เกิดกับลักษณะการเรียงตัวของฟันบน  ฟันล่างฟันหน้า  ฟันกรามและคางเราอาจจะรู้สึกเหมือนจะใช้ชีวิตได้ลำบากหลังจากการผ่าตัด  แต่ถ้าเราทำตามคำแนะนำของแพทย์จะส่งผลให้อาการต่างๆหายไปได้อย่างง่ายดาย  พร้อมกับร่างกายจะสามารถสร้างสมดุลใหม่ให้เกิดกับโครงสร้างหน้าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

และในบางสภาวะที่ร่างกายไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด  หรือผู้เข้ารับการรักษาไม่ได้แจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยาหรือโรคประจำตัว  เราอาจเกิดปัญหาหยุดหายใจในขณะที่ร่างกายหลับไปด้วยฤทธิ์ยาสลบ  ซึ่งแพทย์จะประเมินสถานการณ์เฉพาะหน้า และอาจยับยั้งการผ่าตัดเพื่อรักษาความปลอดภัยของคนไข้ได้ตามสมควร เมื่อถึงขั้นตอนนี้  มันอาจกลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแพทย์จะนำตัวเราส่งต่อไปยังส่วนอื่นเพื่อทำการรักษาในลำดับถัดไป

ข้อควรรู้ก่อนการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery )  อีกอย่างที่น่าสนใจคือรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด  แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์  จะสร้างเครื่องมือที่ทันสมัย  ซึ่งทำมีรอยแผลของการผ่าตัดเล็กที่สุดและมีวิทยาการที่จะทำให้เห็นรอยแผลน้อยที่สุด  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  การกระทำเหล่านี้  ก็ยังมีโอกาสที่จะสร้างรอยแผลเป็นเล็กๆน้อยบางประการให้เกิดกับผิวได้  และนี่เป็นสิ่งที่เราควรทำใจเอาไว้แต่แรก

การ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) อาจต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหลังการผ่าตัด1-2วันจึงจะสามารถกลับบ้านได้ในส่วนตรงนี้  อาจมีค่าใช้จ่ายในสถานพยาบาลเกิดขึ้น  ซึ่งโดยปกติ  แพทย์จะแจ้งเรื่องนี้ให้คนไข้ทราบก่อนอยู่แล้ว  และเราควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะตัดสินใจทำ  เช่น  เราควรวางแผนเคลียร์งาน  และภารกิจสำคัญๆเอาไว้ล่วงหน้า  รวมถึงการวางแผนในการลางาน  โดยรวมเวลาพักฟื้นที่บ้านไปด้วย  โดยปกติร่างกายจะกลับมาปกติและสมบูรณ์ที่สุดหลังเข้ารับการผ่าตัดไปแล้ว 3-6 สัปดาห์ในกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษาเป็นนักเรียนนักศึกษา  แนะนำให้ทำการ ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ในช่วงปิดเทอมจะเหมาะสมที่สุด  เพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นและการปรับตัว  ซึ่งอาจจะกินเวลานานเป็นเดือน  กรณีแบบนี้  ควรวางแผนการทำไว้แต่เนิ่นๆ  เพื่อรอระยะเวลาที่เหมาะสมในการเข้ารับการผ่าตัด  อย่างน้อยที่สุด  ตอนเปิดเทอมใหม่  เราจะสวยจนเพื่อนๆตะลึง  ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน

ทั้งหมดนี้คือข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่สนใจ  เพื่อที่จะได้รับทราบรายละเอียดของการเข้ารับการรักษา  ตามกระบวนการที่ถูกต้อง  ซึ่งทางการแพทย์ถือได้ว่านี่เป็นแนวการปฏิบัติที่แพทย์จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้เข้ารับการรักษาได้ทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ก่อนเพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้จากการทำการรักษา  และการได้มาซึ่งความสวยที่สมบูรณ์แบบพร้อมกับความสบายใจหลังการทำ  ว่าเราจะปลอดภัยที่สุด  และคิดไม่ผิดที่เลือกใช้บริการกับทีมศัลยแพทย์ที่มีความเป็นมืออาชีพสูงสุดนี่คือข้อดีของการทำความเข้าใจกับข้อควรรู้ก่อน ผ่าตัดกราม ( Jaw Surgery ) เพื่อความงามที่มีศักยภาพสูงสุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Morris DE, Moaveni Z, Lo LJ (2007). “Aesthetic facial skeletal contouring in the Asian patient”. Clin Plast Surg. 34 (3): 547–56. doi:10.1016/j.cps.2007.05.005. PMID 17692710.
To EW, Ahuja AT, Ho WS, et al. (2001).

“A prospective study of the effect of botulinum toxin A on masseteric muscle hypertrophy with ultrasonographic and electromyographic measurement”. Br J Plast Surg. 54 (3): 197–200. doi:10.1054/bjps.2000.3526. PMID 11254408.

เลเซอร์หลุมสิว รักษาหลุมสิว ด้วย สามวิธีขั้นเทพ

0
เลเซอร์หลุมสิว รักษาหลุมสิว ด้วย สามวิธีขั้นเทพ
การเลเซอร์หลุมสิว คือ การส่งพลังงานเข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวให้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
เลเซอร์หลุมสิว รักษาหลุมสิว ด้วย สามวิธีขั้นเทพ
หลุมสิวเป็นแผลที่เกิดจากร่องลอยหลังเป็นสิวซึ่งรักษายากมากที่สุดถ้าเทียบกับปัญหาผิวแบบอื่น

เลเซอร์ หลุมสิว

เลเซอร์ ( Laser ) คือ กระบวนการรักษาผิวหนังอย่างหนึ่งที่ช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น โดยยิงแสงเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่เกิดความผิดปกติ และลอกชั้นผิวหนังออกทีละชั้น ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการกรอผิว หรือการยิงทำลายด้วยแสงเลเซอร์

หลายคนคงสงสัยว่าหลุมสิวหายได้ไหม ในปัจจุบันมีสาๆที่สนใจใช้เลเซอร์ในการรักษาหลุมสิว กันมากขึ้น เพราะเห็นผลได้ไวและชัดเจนมากกว่าวิธีอื่นๆ แต่ก็มีสาว ๆ อีกหลายๆ คนที่คงยังมีคำถามในใจว่า จะเจ็บมากไหม จะใช้ยาชาหรือเปล่า หรือว่าหน้าเราจะคล้ำง่ายขึ้นไหม อย่างไร โพสนี้มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

หลุมสิวเกิดจากอะไร

1. เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดเป็นเม็ด ตุ่ม หรือผื่นบริเวณไรผม หน้าผาก จมูกและแก้ม
2. การล้างหน้าที่ไม่สะอาดอย่างเพียงพอ
3. การสัมผัสผิวหน้าบริเวณที่เป็นสิวบ่อย ๆ เช่น ลูบ แกะ บีบ เพราะรู้สึกกังวลใจ ก็ทำให้เกิด หลุมสิว ได้
เมื่อเกิดหลุมสิวแล้วจะเป็นอย่างไร
1. เกิดรอยจุด รอยแผลเป็นบนใบหน้า
2. เซลล์ผิวหนังหายไป มองเห็นใบหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อชัดเจน ไม่เรียบเนียน
3. ทำให้แต่งหน้าลำบาก
4. หากเป็นแล้วควรรีบรักษา มิฉะนั้น จากสิวธรรมดา ก็จะหลายเป็นสิวอักเสบ ทำให้หลุมสิวลึกและรักษายาก

ข้อดีของการใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิว

รักษารอยสิว หลุมสิว การ เลเซอร์ หลุมสิว คือ การส่งพลังงานเข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวให้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอมากขึ้น ซึ่งมีข้อดี ดังนี้
1. รอยด่างดำยุบลง
2. ผิวพรรณเรียบเนียน กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
3. แต่งหน้าง่ายขึ้น   

ข้อเสียของการเลเซอร์หลุมสิว

1. ผิวไวต่อแดด และบางรายอาจรู้สึกว่าผิวแพ้ง่ายกว่าเดิม จึงควรดูแลผิวหน้าให้มากขึ้น อาทิ การทาครีมกันแดดเป็นประจำ
2. ราคาสูง
3. หลังจากหยุดทำ เลเซอร์ไปแล้ว มีโอกาสที่ใบหน้าจะกลับมาคล้ำได้ดังเดิม

เลเซอร์หลุมสิวมีกี่แบบ

แบ่งได้เป็น 3 แบบ ดังนี้
1. Ablative laser : เลเซอร์ชนิดมีแผล
การรักษาด้วยเลเซอร์แบบนี้มักจะมีสะเก็ดบนใบหน้าประมาณ 1 อาทิตย์ หลังจากนั้น ผิวจะค่อยๆฟื้นตัวและกลับสู่สภาวะปกติ แต่วิธีนี้ต้องมีการดูแลตนเองหลังเลเซอร์ค่อนข้างมาก และมีโอกาสเกิดรอยดำและเป็นกระมากขึ้นด้วย
2. Nonablative laser : เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล
การเลเซอร์ หลุมสิว แบบนี้จะสามารถไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
3. Fractional laser :การเลเซอร์แบบนี้ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่เพื่อเติมเต็มสภาพผิวได้ดี แต่ผิวหน้าจะต้องใช้เวลาในการพักฟื้น 1 – 2 เดือน

เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปเลเซอร์หลุมสิว

1. ควรเลือกแพทย์หรือคลินิกเสริมความงามเฉพาะทาง
2. ควรหาข้อมูลการทำ เลเซอร์ และผลกระทบจากการทำไว้ให้พร้อม
3. ควรเตรียมข้อมูลตัวเอง อาทิ การทานยา – แพ้ยา การทานฮอร์โมน ประวัติการผ่าตัด หรือศัลยกรรมใบหน้าให้หมอทราบด้วย
4. ไม่ควรทายา หรือกรดผลไม้ต่าง ๆ ก่อนไปรักษา
5. ควรหยุดทายาละลายหัวสิวก่อนทำเลเซอร์
6. หยุดสูบบุหรี่
7.เลี่ยงการออกแดด หรือเจอแสงแดดแรง ๆ

วิธีดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์หลุมสิว

1. ควรล้างแผลและใส่ยาตามเวลาที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด
2. ควรระวังไม่ให้แผลสัมผัสกับสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ โฟมล้างหน้าหรือโทนเนอร์
3. ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางจนกว่าผิวหน้าจะฟื้นตัวเข้าสู่สภาวะปกติ
4. ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดและความร้อน แม้จะทาครีมกันแดดเป็นประจำก็ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดเป็นเวลานานๆ
5. ควรบำรุงเซลล์ผิวใหม่ให้ชุ่มชื้น ส่วนผู้ที่ใช้ยาทารักษาสิวอุดตันหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไกลโคลิค ต้องหยุดใช้แล้วจึงกลับมาใช้ได้อีกครั้งหลังผ่านไป 6 สัปดาห์หรือตามแพทย์สั่ง
6. ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันแสงแดดหรือค่าเอสพีเอฟ ( Sun Protection Factor, SPF ) 30 ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิวที่บางลงหลังทำเลเซอร์

เลเซอร์หลุมสิวที่ไหนดี 2019

การทำ เลเซอร์ หลุมสิว นั้นสามารถรักษาได้ทั้งที่โรงพยาบาลรัฐ และคลินิกเอกชน ส่วนค่ารักษาก็แตกต่างกันไปตามจำนวนคอร์สและชนิดของเลเซอร์ ผู้จะทำการรักษาอย่าลืมพิจารณาตรงจุดนี้ เพื่อให้เรามีผิวสวย หน้าใส ได้ในราคาที่สบายกระเป๋าด้วยล่ะค่ะ จริง ๆ ถ้า อยากจะรู้ว่า ทำเลเซอร์หลุมสิวที่ไหนดีที่สุดลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์

เลเซอร์หลุมสิวหาย 100% ไหม

อันนี้ก็พูดกันตามตรงเลยนะ ไม่อยากจะโกหกอะไร การที่เราไปเลเซอร์หลุมสิว ไม่สามารถทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นเต็ม 100 % แต่ก็ช่วยได้เยอะเลย แต่อย่างต่ำๆก็ 20 % ได้

เลเซอร์หลุมสิว
รักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์

เลเซอร์หลุมสิว
รักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์

หวังว่าบทความเกี่ยวกับเรื่อง รักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆที่กำลังที่จะตัดสินใจทำทุกคนนะจ้า หากมีอะไรผิดพลาด ขออภัย ด้วยน้า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศ.ดร.น.พ. สมศักดิ์ วรคามิน. ผิวสวย (BEAUTY SECRET THE UNTOLD STORY) กรุงเทพ: 2539 – 2560 โดยบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) © Copy Right 1996, 2017.

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

ตาสองชั้น ศัลยกรรม กรีดตาสองชั้น ราคาเบาๆ ตาสวย ดูธรรมชาติ

0
ตาสองชั้น ศัลยกรรม กรีดตาสองชั้น ราคาเบาๆ ตาสวย ดูธรรมชาติ
กรีดหนังตา ใช้มีดสำหรับการผ่าตัดกรีดเปิดหนังตา ตั้งแต่หัวตา ไปจนถึง หางตา และตัดไขมันและหนังบางส่วนออก เสร็จแล้วเย็บแผลที่กรีดให้ติดกัน
ตาสองชั้น ศัลยกรรม กรีดตาสองชั้น ราคาเบาๆ ตาสวย ดูธรรมชาติ
การทำศัลยกรรมกรีดตาสองชั้น เป็นการแก้ปัญหาตาเล็ก หางตาตก ชั้นตาหลบใน ให้มีตาที่สวยและดูคมขึ้น

ตาสองชั้น

ศัลยกรรม ตาสองชั้น เป็นอีกทางเลือกสำหรับหลายคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตาเล็ก ชั้นตาหลบใน หางตาตก ทำให้ตาดูเล็ก  ไม่เป็นประกาย คล้ายๆ ตาเศร้าๆ  ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะดวงตาบ่งบอกความในใจ ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี  ดวงตาจึงเป็นจุดสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญ   

ปัจจุบันคนที่มีปัญหาตาเล็ก หางตาตก ชั้นตาหลบใน เราจึงเห็นเทรนของการทำตาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำตารูปสระอิ  เพื่อตาดูกลมโตน่ารัก เหมือนนางเอกในการ์ตูนญี่ปุ่น  หรือใส่คอนแทรคเลนส์ เพื่อตาโตขึ้นดูมีประกาย  หรือแม้การเขียนหางตาเหมือนหางหงส์ทำให้ดวงตาดูคมขึ้น  สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้หกปิดปัญหาของดวงตา และเพิ่มให้ดวงตามีเสน่ห์ชวนมอง

นอกจากวิธีเหล่านี้แล้ว การทำ ตาสองชั้น การทำศัลยกรรม การกรีด ตาสองชั้น ยังเป็นที่นิยม เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้ การทำตาสองชั้น การกรีดตาสองชั้น มันทำได้ง่ายขึ้น และมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย สาวๆที่มีปัญหาตาเล็กสมัยนี้จึงไม่ค่อยกังวล เพราะมีหลายช่องทางที่จะช่วยให้ดวงตาดูกลมโต ตาสวย เป็นธรรมชาติได้

วิธีทำตาสองชั้นให้เหมาะกับเปลือกตา

1. ใช้การเย็บเป็นจุด โดยเย็บที่เปลือกตาประมาณ 2 – 3 จุด ทั้งนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหมือนกับการใช้มีดหรือเลเซอร์กรีด แต่ไขมันบริเวณเปลือกตาจะต้องไม่หนาหรือไม่มีความหย่อนของหนังตา ซึ่งมีข้อดีคือไม่บวมมากและแผลหายเร็ว ส่วนข้อเสียคือไหมอาจหลุดได้หากขยี้ตาแรงๆ และจะดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ

2. ใช้มีดหรือเลเซอร์กรีด เหมาะสำหรับผู้ที่มีตาชั้นเดียว มีสองชั้นแต่ไม่ชัดหลบใน มีชั้นตาไม่เท่ากันหรือไม่ชัด หรือมีไขมันที่เปลือกตามาก เป็นวิธีทำตาสองชั้นที่นิยมมากที่สุด โดยแพทย์จะตัดหนังตาที่เกินออกแบบไม่เห็นรอยแผลเป็น เพราะรอยแผลจะซ่อนอยู่ในเปลือกตา

3. กรีดตาพร้อมกับเปิดหัวตาและหางตา เหมาะกับผู้ที่มีหัวตาและหางตาปิด หมายถึงหนังของผิวตาบนลงมาปิดหัวตาหรือหางตา จึงทำให้ตาดูแคบ แต่จะใช้แค่วิธีกรีดอย่างเดียวเพื่อทำให้ตาดูกลมโตสองชั้นไม่ได้ ต้องอาศัยร่วมกับการทำศัลยกรรมหัวตาและหางตาด้วยเช่นกัน

4. การเปิดหัวตาหรือหางตาเพียงอย่างเดียว เหมาะกับผู้ที่มีชั้นตาอยู่แล้วไม่ต้องกรีด เพียงแค่ผ่าตัดเปิดหัวตาหรือหางตาก็เพียงพอแล้ว

5. ยกหางตาให้เฉียงขึ้น ข้อดีคือเหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูเปรี้ยวเฉี่ยวขึ้น สามารถทำได้ด้วยการกรีดหนังตาพร้อมๆ กับการยกหางตาขึ้นให้เหมาะกับใบหน้า ซึ่งจะเฉียงสวยเพียงใดก็ต้องขึ้นอยู่กับกระดูกเบ้าตาของแต่ละคนอีกด้วย
กรณีที่มีตาสองชั้นอยู่แล้วแต่เบ้าตาลึก สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมไขมันที่เบ้าตา และการทำตาสองชั้นยังมีอายุการใช้งานได้ประมาณ 35 – 45 ปี 

ปัญหาตาสองชั้นหลบใน

คนที่มีปัญหา ตาสองชั้น หลบใน คือ คนที่มีเปลือกตาสองชั้นอยู่แล้ว  แต่มีหนังตาชั้นบนมาปิดบังไว้  อาจจะเป็นเพราะมีไขมันบริเวณเปลือกตาเยอะจนเกินไป จึงทำให้คนที่มีตาสองชั้นหลบใน อยากจะไปทำศัลยกรรมตาสองชั้น ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เพราะการมีก็เหมือนไม่มีนี่มันเจ็บนะ

ตาหางหงส์

ตอนนี้กระแสตาหางหงส์มาแรงมาก ไม่วาจะเป็นดารา เซเลบ คนดัง ต่างนิยมทำตาหางหงส์กันทั้งนั้น  ตาหางหงส์ คือ การทำศัลยกรรมโดยการกรีดไล่ระดับชั้นตา โดยกรีดยาวเปิดหนังตา เพื่อจัดการกับไขมัน หนังส่วนเกิน ที่ทำให้ตาดูตุ่ย ดูหย่อนคล้อย ไม่เปิดรับโหงวเฮ้ง แล้วเย็บชั้นหนังแท้กับกล้ามเนื้อเปลือกตา และเย็บยกหางหงส์ ก็จะทำให้ตาดูสวย เปิดรับโหงวเฮ้งตามตำรา รับทรัพย์ รับโชค เกิดความมั่นใจ

ตาหลายชั้น ชั้นตาไม่เท่ากัน ชั้นตาไม่ชัดเจน  หรือปัญหาตาอื่นๆ ที่เกิดจากพันธุกรรม หรือไม่ว่าจะสาเหตุอะไรก็ตาม  ทำให้หลายคนกลุ้มใจ หาวิธีการต่างๆมาแก้ไข เพื่อตาดูสวย เป็นธรรมชาติ เช่น หาเทปกาว ตาสองชั้น  ทำเลเซอร์ชั้นตา  ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดแผล หรือเกิดการระคายเคือง ทำให้เป็นอันตรายต่อดวงตาได้

การทำศัลยกรรมตาสองชั้น

เป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับคนตาชั้นเดียว ตาสองชั้นหลบใน หนังตาตก ตาเล็ก  ตาไม่เท่ากัน  กลับมามีดวงตาที่กลมโตสวยเป็นธรรมชาติ ก่อนทำและหลังทำนี่ บอกตรงๆ เปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว จึงทำให้ความนิยมทำตาสองชั้น เกิดการแพร่หลายทำกันมากขึ้น  แต่ก่อนที่จะทำตาสองชั้น เราไปดูวิธีทำ ตาสองชั้น กันก่อน เพื่อให้เกิดความเข้ามากยิ่งขึ้น เพราะการทำศัลยกรรมบริเวณใกล้ดวงตาเราต้องระมัดระวังให้มาก

1. กรีดหนังตา   

คนที่มีปัญหาเนื้อบริเวณหนังตามาก หรือ เป็นคนที่มีไขมันใต้เปลือกตาเยอะ  เหมาะที่จะทำ ตาสองชั้น ด้วยวิธีการกรีดหนังตา ด้วยการ ขั้นตอนแรก ต้องกำหนดตำแหน่งชั้นตาที่สวย ที่เข้ากับใบหน้าและรูปดวงตาเดิมของแต่ละคนด้วย เมื่อกำหนดตำแหน่งเสร็จแล้ว ก็ใช้มีดสำหรับการผ่าตัดกรีดเปิดหนังตา ตั้งแต่หัวตา ไปจนถึง หางตา และตัดไขมันและหนังบางส่วนออกด้วย เสร็จแล้วก็จะทำการเย็บแผลที่กรีดให้ติดกัน ตาก็จะยกสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ตาดูโตขึ้น ดูสดใสขึ้น

2. เย็บชั้นตา

คนที่มีตาชั้นเดียว ต้องวิธีนี้เย็บชั้นตาเลยค่ะ เพราะคนที่มีตาชั้นเดียวที่มีเปลือกตาไม่เยอะ หนังตาไม่ตกมาก  คุณไม่ต้องใช้วิธีกรีดตานะคะ เพราะวิธีการกรีดตาจะเป็นการกรีดเพื่อตัดไขมันและหนังบางส่วนออก แต่คนที่มีปัญหานี้ไม่จำเป็นค่ะ แค่เย็บชั้นตา ก็เพียงพอแล้วค่ะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวฟรี และเสียเงินเพิ่มด้วย

ไปดูกันค่ะว่า การเย็บชั้นตา เขาทำกันยังไงบ้าง  การเย็บชั้นตา จะเจาะเปลือกตาให้เป็นรู แล้วทำการเย็บปมไหมไปตามแนวเส้นที่เราได้เจาะเปลือกตาไว้ จนเสร็จ  ซึ่งอาจจะมีอาการบวมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกลับต้องนอนพักรักษาตัว เรายังสามารถออกไปทำกิจกรรมต่างๆได้เหมือนเดิม แต่แผลจะเริ่มดีขึ้น และเริ่มยุบก็กินเวลาประมาณ 1 เดือน ตาก็จะสวยเข้ารูป ดูเป็นธรรมชาติ น่ามอง

3. เย็บเปลือกตาด้านใน

วิธีนี้เป็นวิธีทีใช้กันมานานมาก และก็ยังเป็นที่นิยมในปัจจุบันอยู่เช่นกัน ซึ่งเหมาะกับคนสูงวัยที่มีหนังตาเยอะๆ หรือเป็นคนหนังตาตก วิธีการทำก็คือ กำหนดความสูงของชั้นตา แล้ววัดหนังตาที่จะทำการตัดออก การตัดหนังตาจะตัดหนังตานและไขมันบางส่วนออก แล้วเย็บเปลือกตาให้ติดกับกล้ามเนื้อแนวชั้นตา

วิธีนี้นอกจากจะลดปัญหาหนังตาเยอะ หนังตาตก แล้วยังเพิ่มความสดใส กลมโตให้กับดวงตา คืนความอ่อนวัยให้กับคนสูงวัยได้ แต่ด้วยวัยอาจจะมีหนังตาหย่อนคล้อยลงมาอีก การเย็บเปลือกตาจึงอยู่ได้ 1-2 ปีเท่านั้นเอง เมื่อครบเวลาก็ต้องทำใหม่

4. ดูดไขมัน

วิธีการดูดไขมัน เป็นการทำศัลยกรรม ตาสองชั้น ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพราะเจ็บตัวน้อยกว่าวิธีศัลยกรรมตาสองชั้นวิธีอื่นๆ วิธีการทำก็คือ ดูดไขมันส่วนเกินออก ด้วยการเจาะรูเล็กที่เปลือกตาบน ด้วยเทคนิค ประมาณ 4-5 มิลลิเมตร แล้วเย็บหนังตาบนกับเนื้อตา จนเกิดเป็นตาสองชั้น  ซึ่งวิธีนี้ก็ทำให้ตาออกมาสวย ไม่เกิดรอยแผลเป็น และยังไม่มีอาการบวมช้ำ ตรงหนังตา

แน่นอนว่า วิธีการนี้เหมาะกับคนที่ดวงตามีไขมันมาก  และ คนที่ต้องการมีตาทีสวยเป็นธรรมชาติ ก็สามารถเลือก ทำตาสองชั้น ด้วยวิธีนี้ได้ 

5. เลเซอร์

การทำเลเซอร์ วิธีการจะคล้ายๆ กับการผ่าตัดด้วยมีด  แต่ข้อดีของเลเซอร์ก็คือ ช่วยลดการกระทบกระเทือนลง อาการบวมหลังการผ่าตัดก็น้อยกว่าการใช้มีดผ่า และข้อดีอีกอย่างของการทำเลเซอร์ คือ เปลือกตาจะดูเนียน ใส เต่งตึง เนื่องจากการทำเลเซอร์ไปกระตุ้นให้มีการสสร้างคอลลาเจนนั่งเองค่ะ

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด ทำตาสองชั้น

ก่อนผ่าตัดทำ ตาสองชั้น คุณจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด ก่อนการตัดสินใจ และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนและหลังการผ่าตัดทำตาสองชั้น เพราะอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้

1 ก่อนการผ่าตัดควรงดยาที่ลดการแข็งตัวของเลือก เช่น แอสไพริน อย่างน้อย 7-10 วัน

2  วันผ่าตัดตาสองชั้น ควรงดการแต่งหน้า แต่งตา หรือไม่ควรทาเครื่องสำอาง ที่ทำควรมสะอาดยาก

3 ต้องมีบุคคลคอยดูแล หลังการผ่าตัด ตาสองชั้น

4 ก่อนวันผ่าตัดตาสองชั้น ควรสระผมให้เรียบร้อย เพราะหลังการผ่าตัดจะทำให้สระผมไม่สะดวก

วิธีดูแลตนเองหลังการผ่าตัดทำตาสองชั้น

  1. ควรประคบด้วยผ้าเย็นรอบดวงตาและหน้าผาก เพื่อลดอาการบวมและเลือดซึมออกในช่วง 1 – 2 วันแรก จากนั้นวันที่ 3 – 5 ให้ประคบด้วยน้ำอุ่นเพื่อลดรอยช้ำ

2. ควรทานยาตามแพทย์สั่ง

3.  หลังผ่าตัดทำ ตาสองชั้น เสร็จไม่ควรขับรถกลับด้วยตัวเอง 

4. งดการออกกำลังกายอยากน้อยสัก 2 สัปดาห์ เพื่อให้แผลหายสนิทก่อน

5. งดแต่งหน้าจนกว่าแผลจะปิดสนิท

6. สวมแว่นก่อนออกแดดทุกครั้ง เพื่อป้องกันแสงแดดในช่วง สัปดาห์แรก

7. สระผมได้ แต่ต้องนอนให้คนอื่นสระให้

ทำตาสองชั้นมีโอกาสพลาดไหม

เป็นไงบ้างคะ คุณสาวๆ ที่มีปัญหาตาเล็ก ตาหยี๋ หนังตาตก ชั้นตาหลบใน หรือปัญหาอื่น ก็สามารถเลือกทำศัลยกรรม ทำ ตาสองชั้น ด้วยวิธีที่เหมาะกับคุณ บวกกับเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ มีผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์ มีเคสทีเคยทำศัลยกรรม ทำตาสองชั้น เคสเดียวกับเราเคยทำมก่อนยิ่งดี จะทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว เลือกวิธีทำ ตาสองชั้น ที่เหมาะกับคุณเลยค่ะ      

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“New technique changing eyes from brown to blue sparks debate”, Chencheng Zhao. Medill Reports Chicago, Northwestern University. March 8, 2016. Retrieved 5 feb 2017

Uhr, Barry W. History of ophthalmology at Baylor University Medical Center. Hi Proc (Bayl Univ Med Cent). 2003 October; 16(4): 435–438. PMID 16278761

Maguire, Stephen. “Laser Eye Surgery”. The Irish Times. “Laser Eye Surgery Suitability”. Optical Express.

“Laser procedure can turn brown eyes blue”, Peter Shadbolt. CNN. March 6, 2015. Retrieved 5 feb 2017

ปลูกผมหุ่นยนต์ รวดเร็วแม่นยำ ไร้ผลข้างเคียง สร้างผมใหม่ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต

0
ปลูกผมหุ่นยนต์ รวดเร็วแม่นยำ ไร้ผลข้างเคียง สร้างผมใหม่ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
วิธีการปลูกผมด้วยหุ่นยนต์  เป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากการศัลยกรรมปลูกผมด้วยวิธีการ FUE เป็นวิธีการเจาะลงไปโดยตรงในจุดที่มีเซลล์รากผมที่สมบูรณ์
ปลูกผมหุ่นยนต์ รวดเร็วแม่นยำ ไร้ผลข้างเคียง สร้างผมใหม่ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
วิธีการปลูกผมด้วยหุ่นยนต์  เป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากการศัลยกรรมปลูกผมด้วยวิธีการ FUE เป็นวิธีการเจาะลงไปโดยตรงในจุดที่มีเซลล์รากผมที่สมบูรณ์

ปลูกผมหุ่นยนต์

ปลูกผมหุ่นยนต์  เป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุดสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหา ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน  ที่เกิดจากทุกสาเหตุ เป็นวิธีที่ได้ผล 100 % วิธีการรักษาแบบนี้ช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษา มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น ลดปมด้อยและความกังวลในเรื่องภาพลักษณ์ที่ไม่น่ามอง ซึ่งทางจิตวิทยาถือได้ว่า การปลูกผม ทุกวิธีมีศักยภาพสูง  ที่จะช่วยเสริมความสุขให้กับคนที่มีปัญหาผมบางหรือหัวล้านได้อย่างยอดเยี่ยม และคนที่ตัดสินใจแก้ไขอาการดัง กล่าว  มักเป็นผู้ที่มีแนวโน้มจะประสพความสำเร็จ อันเกิดมาจากการมีความมั่นใจ กล้าแสดงออกมากขึ้น รวมถึงการเป็นผู้ที่รักและนับถือตัวเองอีกด้วย 

วิธีการ ปลูกผมหุ่นยนต์  เป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากการศัลยกรรมปลูกผมด้วยวิธีการ FUE ซึ่งเป็นวิธีการผ่าตัดบริเวณผิวหนังด้วยวิธีการเจาะลงไปโดยตรงในจุดที่มีเซลล์รากผมที่สมบูรณ์ เพื่อนำเอาเซลล์รากผมที่ได้ไปปลูกถ่ายเอาไว้ในผิวหนังส่วนที่มีปัญหาผมร่วงผมบาง และศีรษะล้าน วิธีการนี้มีข้อดีในเรื่องของผลการรักษาที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากเป็นวิธีการ ปลูกผม ที่ได้ผลดี และได้เส้นผมใหม่ที่ถาวรไปจนตลอดชีวิต  นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่จะสร้างความเสียหายให้กับร่างกายน้อยมาก แผลที่เกิดจากการเจาะ จะมีขนาดแผลเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร ซึ่งจะหายเป็นปกติด้วยกระบวนการตามปกติของร่างกายภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ และจะให้ผมใหม่ภายในระยะเวลา 3-4 เดือนหลังการทำ และเส้นผมเหล่านี้จะคงอยู่กับเราตลอดไป

ในช่วงแรกที่มีการใช้วิธีปลูกผมแบบ FUE แม้ว่าจะได้ผลดีมาก แต่ก็ต้องเจอกับปัญหาในการทำการรักษา เนื่องจากระยะเวลาในการทำการศัลยกรรมแบบนี้ เป็นงานที่ต้องใช้มือและสายตาที่จะต้องมองผ่านกล้องตลอดเวลา ซึ่งในการทำแต่ละครั้งกินเวลาค่อนข้างนาน 

อีกทั้งในการ ปลูกผม จะต้องเกี่ยวข้องกับเซลล์รากผมนับพันเซลล์ ต้องใช้ทั้งความละเอียด และนุ่มนวล อีกทั้งยังต้องใช้สมาธิในการปลูกผมเป็นการทำงานที่สูงมาก ความรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียย่อมเกิดกับทั้งผู้ให้การรักษา และผู้รับการรักษา เมื่อผู้ให้การรักษาเกิดอาการเหนื่อยล้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังการปลูกผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดในการทำงาน ความเสี่ยงที่จะคัดเลือกเซลล์รากผมที่ไม่มีประสิทธิภาพติดปะปนออกมาเมื่อปัญหาที่น่ากังวลเหล่านี้  สร้างความรู้สึกกังวลให้กับผู้เข้ารับการรักษา

ทีมแพทย์จึงได้คิดค้นอุปกรณ์ที่จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดระยะเวลาในการทำให้สั้นลง เพื่อผลในการรักษาที่ดียิ่งขึ้น และก่อให้เกิดความเจ็บปวดทางร่างกายน้อยที่สุด

ทีมแพทย์จึงได้พัฒนาเครื่องมืออัตโนมัติ ที่จะสามารถทำการเจาะและดึงหน่วย Follicular ทุกหน่วย ด้วยกลไกอัตโนมัติ  ซึ่งจะส่งผลให้ระยะเวลาในการเก็บเอาเซลล์รากผมมาใช้งานทำได้รวดเร็วขึ้น  อีกทั้งเครื่อง ปลูกผมหุนยนต์ ยังมีความแม่นยะสูง สามารถที่จะดึงเซลล์รากผมในจุดที่ต้องการได้อย่างยอดเยี่ยม และด้วยความรวดเร็วในการทำงาน ส่งผลให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่ได้รับความเจ็บปวดมากนัก  

ต้องยอมรับว่าในโลกปัจจุบัน  เรามีความจำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องมือเครื่องจักรที่มีความอัจฉริยะ  เช่นหุ่นยนต์  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เพื่อช่วยให้การทำงานทุกอย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น  และในการวงการของการศัลยกรรมปลูกผมก็เช่นเดียวกัน  การใช้วิธีการปลูกผมด้วยหุ่นยนต์จะช่วยให้วิธีการปลูกผมแบบ FUE ซึ่งให้ผลในการรักษาที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว  แต่การเพิ่มระบบอัจฉริยะเข้าไปในขั้นตอนการทำ จะส่งผลให้กระบวนการรักษามีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น และใช้เวลาในการทำที่สั้นลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้เข้ารับการรักษา รวมไปถึงผู้ให้การรักษาด้วย

ประโยชน์สูงสุดที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการ ปลูกผม ด้วยหุ่นยนต์คือ รอยแผลที่เกิดขึ้นมีขนาดเล็ก และไม่มีความบอบช้ำเกิดขึ้นกับบริเวณหนังศีรษะ และเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงในการเจาะและจัดเก็บเซลล์รากผมทุกเซลล์ เพื่อการนำมาใช้ปลูกถ่ายในรากผมใหม่ ผู้ป่วยจะไม่มีรอยแผลเป็นใดใดเกิดขึ้นหลังจากการทำ

และด้วยโปรแกรมที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนที่ผ่านการออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม หุ่นยนต์ปลูกผมอัตโนมัติตัวนี้  มีความแม่นยำสูงมากในเรื่องตำแหน่งของการเจาะเซลล์รากผมที่มีประสิทธิภาพ โดยผ่านการควบคุมจากศัลยแพทย์เฉพาะทางที่ทำการควบคุมเครื่องอยู่ที่หน้าจอมอนิเตอร์ ฉะนั้นมั่นใจได้ว่า ทุกการเจาะและทุกการฝังเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทุกเซลล์รากผมจะถูกปลูกถ่ายลงในผิหนังอย่างตรงจุดตามแผนการรักษา ทั้งในเรื่องของตำแหน่ง  มุมการวาง และระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อที่จะสร้างเส้นผมใหม่ที่ดกหนา สุขภาพดี และมีความสมบูรณ์ที่สุด

และที่น่าทึ่งอย่างเหลือเกิน คือ วิธีการ ปลูกผมหุ่นยนต์ นี้ จะเป็นการรักษา อาการผมร่วง ผมบางศีรษะล้าน ที่ทำเพียงแค่ครั้งเดียว แต่จะให้เส้นผมที่สวยงามเป็นธรรมชาติกับเราไปตลอดชีวิต

การปลูกผมหุ่นยนต์ เป็นเครื่องมือที่ถือได้ว่ามีมาตรฐานสูงและมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ยอดเยี่ยม เครื่องมือเหล่านี้ ได้รับการจดสิทธิบัตรอย่างถูกต้อง กลไกการทำงานที่มีความละเอียดแม่นยำถึงระดับไมครอน และแขนของหุ่นยนต์ 2 แขนที่มีขนาดของหัวเจาะที่ต่างกัน หัวหนึ่งสำหรับการเจาะและดูดเซลล์รากผม ส่วนอีกหัวหนึ่งสำหรับการเจาะแล้วปล่อยเซลล์รากผมในตำแหน่งที่เราต้องการ ปลูกผม  

อีกทั้งหัวเจาะทั้ง 2 แบบยังถูกออกแบบให้มีขนาดพอดีกับรูขุมขนของทุกคน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหัวเจาะจึงมีมากมายหลายขนาดให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม  และกลไกทุกอย่างถูกควบคุมโดยศัลยแพทย์ผู้ทำการรักษา  ที่จะควบคุมการทำงานของเครื่องผ่านจอมอนิเตอร์ ที่ฉายภาพด้วยระบบวิดีโออินเตอร์เฟซ

ซึ่งถูกออกแบบมาอย่างสลับซับซ้อน แต่ให้ภาพที่คมชัดและมีความละเอียดสูงมาก ผู้เข้ารับการรักษาจึงมั่นใจได้ว่า  ทุกขั้นตอนการทำสำหรับวิธี ปลูกผมหุ่นยนต์ จะมีความปลอดให้ และให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดจากศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการโดยตรง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

เลเซอร์ฝ้า อย่างไรให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพที่สุด

0
จะเลเซอร์ฝ้าอย่างไรให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพที่สุด
การเลเซอร์ฝ้า คือการใช้พลังงานแสงยิ่งไปที่ผิวหนังบริเวณเป้าหมาย เพื่อช่วยกระตุ้นให้คอลลาเจนผลิตเซลล์ใหม่ๆ ออกมาได้ไวขึ้น
จะเลเซอร์ฝ้าอย่างไรให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพที่สุด
ฝ้า เกิดจากเม็ดสีผิวทำงานมากเกินไป จากปัจจัยต่างๆเช่น การถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ใช้เครื่องสำอางบางชนิด การทานยาบางชนิด และฮอร์โมนในตัวบุคคล

เลเซอร์ฝ้า

สาวๆ ที่อยากจะไป เลเซอร์ฝ้า แต่กำลังกังวลใจว้าถ้าไปเลเซอร์แล้วหน้าจะบางลงไหม หรือเขาบอกว่ายิ่งเลเซอร์ฝ้าแล้วหน้ายิ่งดำ อย่างนี้จะไปเสียเงินแพงๆ ทำไม แต่อีกใจหนึ่งก็คงจะคิดสวนทางว่า เอ๊ะ! แล้วถ้ามันไม่ดี ทำไมใครๆ เขาถึงฮิตไปทำเลเซอร์ฝ้ากันนักล่ะ ก็ถูกต้องแล้วนะคะ ที่สาวๆ ต้องให้ความระมัดระวังในการเลือกวิธีรักษาผิวหน้า  จึงอาสาไปสรรหาข้อมูลดีๆ มาประกอบการตัดสินใจให้สาวๆ อีกเช่นเคยค่ะ

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าฝ้าเกิดจากอะไร

ฝ้า เกิดจากเม็ดสีผิวทำงานมากเกินไป ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การถูกแสงแดดเป็นเวลานานๆ การใช้เครื่องสำอางบางชนิด การทานยาบางชนิด และฮอร์โมนในตัวก็มีผลทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า

  • แสงแดด
  • เครื่องสำอาง
  • ฮอร์โมน
  • พันธุกรรม
  • ภาวะทุพโภชณาการ

การรักษาโดยเลเซอร์ฝ้าดีอย่างไร

การ เลเซอร์ฝ้า คือการใช้พลังงานแสงยิ่งไปที่ผิวหนังบริเวณเป้าหมาย เพื่อช่วยกระตุ้นให้คอลลาเจนผลิตเซลล์ใหม่ๆ ออกมาได้ไวขึ้น ฝ้ามี 3 แบบ คือ ฝ้าแบบลึก แบบตื้น และแบบผสม เมื่อรักษาฝ้าด้วยการเลเซอร์จะมีข้อดี ดังนี้
1. ผิวเรียบเนียนกระจ่างใส
2. ฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยลดน้อยลง
3. เห็นผลได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก

ส่วนสาวๆ ที่กังวลว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ฝ้าแล้วหน้าจะดำยิ่งขึ้นนั้น คุณหมออัจจิมา ได้กล่าวไว้ในรายการ
คุยกับหมออัจจิมา ตอน เลเซอร์ฝ้า ยิ่งรักษาทำไมยิ่งดำ ว่าการที่หน้าจะดำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่

เลือกเลเซอร์ฝ้าให้ถูก แพทย์ต้องมีความชำนาญ ปัจจัยภายในของคนไข้ และการดูแลรักษาตัวหลังจากเลเซอร์ฝ้า โดยในช่วงแรกๆ ผิวอาจจะบางลงจริง แต่ต่อมาผิวก็จะฟื้นฟูได้ตามสภาวะปกติ แต่ที่สำคัญต้องดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจริงๆ

เลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาฝ้า มีอะไรบ้าง

ตัวที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้น เลเซอร์ที่มีชื่อว่า Q-Switch เลเซอร์จำพวกนี้ จะเน้นที่เม็ดสีเป็นหลัก ส่วนมากจะนำไปใช้กับ การลบรอยสักด้วยเลเซอร์  หรือแม้กระทั่งลบ ฝ้า กระ บนใบหน้านั่นเอง

ก่อนที่จะไปทำ เลเซอร์ฝ้า สิ่งที่ควรรู้อีกเรื่องนึงก็คือ เรื่องระยะของฝ้า โดยปัจจุบันฝ้าจะมีอยู่สามชั้น นั่นคือ  ตื้น กลาง ลึก ซึ่งแต่ละระดับ ก็มักจะต้องใช้เลเซอร์ ที่แตกต่างกัน

การยิงเลเซอร์ฝ้า แบบ ตื้น ส่วนมากพอยิงเสร็จจะทำให้แผลตกสะเก็ดเป็นสีดำ และ หลังจากนั้นจะค่อยๆหลุดออกไป

การยิงเลเซอร์ฝ้า แบบ ลึก จะไม่เกิดสะเก็ต แต่ต้องทำหลายครั้ง จะไมีทิ้งรอยแผลเป็นใดๆ ทั้งสิ้น

ข้อควรรู้ก่อนทำเลเซอร์ฝ้า

1. ควรเลือก เลเซอร์ฝ้า จากแพทย์ที่มีความชำนาญ เพื่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
2. รู้จักผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การเตรียมตัวก่อนและหลังทำเลเซอร์ฝ้า
3. พยายามถามแพทย์ให้ละเอียดก่อนทำเลเซอร์ฝ้า เช่น ใช้ยาชาประเภทไหน ใช้เวลาทำนานเท่าไหร่ ต้องทานยาแก้ปวดไหม จะมีอาการข้างเคียงอะไรบ้าง แผลจะเป็นหลุมลงไป หรือเป็นสะเก็ดนานกี่วัน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
4. การรักษาจะได้ผลดีส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองด้วย เช่น โรค หรือกิจวัตรประจำวัน นอนดึก เครียดจัด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ควรเตรียมตัว และเตรียมเวลาให้พร้อมก่อนไปทำ เลเซอร์ฝ้า
5. คนที่ต้องดูแลเรื่องการปฏิบัติตัวเป็นพิเศษ เช่น คนผิวบาง คนที่เป็นแผลเป็นง่าย คนสูงอายุ เด็กเล็ก คนที่มีผิวคล้ำมากๆ หรือ คนที่มีกิจวัตรประจำวันที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ก็อาจจะได้รับผลข้างเคียงจากเลเซอร์ 

วิธีปฏิบัติตัวหลักเลเซอร์ฝ้า

1. ลดการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นโดยการทายา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
2. ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าหลังการทำเลเซอร์โดยเฉพาะ เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด
3. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น โฟมล้างหน้า หรือโทนเนอร์

ถึงแม้ว่าการป้องกันไม่ให้ฝ้าเกิดนั้นจะสำคัญที่สุด แต่หากเกิดฝ้าขึ้นมาแล้ว เราก็ใช้เลเซอร์ช่วยรักษาได้ ง่ายนิด
เดียวค่ะ สงท้ายอีกนิด การ เลเซอร์ฝ้า บนใบหน้าจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อได้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลนะจ้ะ

ข้อควรระวังมากที่สุดสำหรับการ เลเซอร์ฝ้า ก็คือ สมัยนี้มีคลินิก เปิดอย่างแพร่หลาย ก่อนจะไปตกลงทำเลเซอร์กับเขา ก็ควร ตรวจสอบ หรือ ดูรีวิวให้ดีก่อน ไม่อย่างงั้น อาจจะต้องเสียใจในภายหลังก็เป็นได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“New technique changing eyes from brown to blue sparks debate”, Chencheng Zhao. Medill Reports Chicago, Northwestern University. March 8, 2016. Retrieved 5 feb 2017

ลบรอยสักด้วยเลเซอร์จะหายจริงไหม ทำแล้วจะอันตรายหรือเปล่า โพสต์นี้ต้องอ่าน

0
ลบรอยสักด้วยเลเซอร์จะหายจริงไหม ทำแล้วจะอันตรายหรือเปล่า โพสนี้ต้องอ่าน
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้พลังงานจากเลเซอร์เข้าไปทำให้เม็ดสีใต้ผิวหนังแตกตัว กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่ร่างกายกำจัดออกไปเองได้
ลบรอยสักด้วยเลเซอร์จะหายจริงไหม ทำแล้วจะอันตรายหรือเปล่า โพสนี้ต้องอ่าน
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้พลังงานจากเลเซอร์เข้าไปทำให้เม็ดสีใต้ผิวหนังแตกตัว กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่ร่างกายกำจัดออกไปเองได้

ลบรอยสัก

บทความนี้ขอเอาใจหนุ่มๆ สาวๆ ที่กำลังลังเลใจว่าการ ลบรอยสัก ด้วยเลเซอร์จะช่วยให้หายจริงไหม ทำแล้วจะมีผลข้างเคียงใดๆ หรือเปล่า ตอนจะสักก็คิดว่าคิดมากแล้ว แต่พอตอนจะ ลบรอยสักออกกลับต้องคิดให้มากกว่าเก่า เพราะเราต้องคิดถึงอันตรายที่จะตามมาด้วย จึงมีวิธีลบรอยสักด้วยเลเซอร์ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยม เพราะได้ผลดี และไม่มีแผลเป็นมาฝากกันค่ะ

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ทำอย่างไร

การ ลบรอยสัก ด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่เห็นผลและปลอดภัยที่สุดในการลบรอยสัก ซึ่งเป็นการใช้พลังงานจากเลเซอร์เข้าไปทำให้เม็ดสีใต้ผิวหนังแตกตัว กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่ร่างกายกำจัดออกไปเองได้

ข้อดีของการลบรอยสักด้วยเลเซอร์

1. ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
2. ไม่มีรอยแผลเป็น
3. เจ็บน้อย จะบอกว่าไม่เจ็บเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่น้อยกว่าตอนไปสักแน่นอน
4. สะดวกและรวดเร็ว

ข้อจำกัดของการลบรอยสักด้วยเลเซอร์

1.ไม่สามารถ ลบรอยสัก ได้หมดในครั้งเดียว ส่วนใหญ่แพทย์จะนัดคนไข้กลับมาทำใหม่ทุก 1-2 เดือน
2.ราคาค่อนข้างสูง

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการลบรอยสักด้วยเลเซอร์

1. เลเซอร์ 1 เครื่องไม่สามารถลบรอยสักได้ทุกสี หากสักหลายสีก็ต้องใช้เลเซอร์หลายเครื่อง
2. สีที่ลบง่าย คือ สีดำ สีเขียว ส่วนสีที่ลบยาก ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีส้ม และสีเนื้อหรือสีที่ออกขาว
3. ปัจจัยที่มีผลต่อการ ลบรอยสัก ได้แก่
• สีและความลึกของสีที่สัก
• ตำแหน่งของร่างกายที่สัก เช่น บริเวณใกล้ดวงตา หากใช้เลเซอร์ก็อาจมีผลกระทบต่อดวงตาได้
• การดูแลตัวเองหลังลบรอยสัก เมื่อมาทำเลเซอร์แล้ว ควรปกปิดบริเวณที่ทำเลเซอร์ไม่ให้โดนแสงแดด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่จะตามมา เช่น รอยดำ
4. ควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะแพทย์จะเลือกเลเซอร์สำหรับการลบรอยสักโดยเฉพาะ ยิงแสงเลเซอร์ที่พอเหมาะตามจำนวนครั้งที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนตามมา
5. การสักอาจทำแค่วันเดียวเสร็จ แต่การลบรอยสักอาจต้องใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ปี เพราะหลังจากทำไปแล้ว 1 ครั้ง ต้องเว้นระยะเวลาออกไป 1 – 2 เดือน แพทย์จึงจะนัดมาทำใหม่ และต้องมาตามนัดให้ครบ เพื่อให้การ ลบรอยสัก ด้วยเลเซอร์มีประสิทธิภาพ

การดูแลตัวเองหลังใช้ลบรอยสักด้วยเลเซอร์

1. หลังจากเลเซอร์แล้ว ผิวบริเวณนั้นจะมีแผล ให้ทาครีมและห้ามโดนน้ำตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
2. แผลจะตกสะเก็ดและหลุดออกเอง ห้ามใช้มือแกะออก เพราะจะยิ่งทำให้เกิดแผล
3. หากเกิดอาการอักเสบ บวมแดง หรือเป็นแผลนูน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา
4. ควรทาครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจนกว่าจะถึงวันนัดที่จะต้องไปทำเลเซอร์อีกครั้ง

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ ทำให้เกิดแผลเป็นหรือไม่

ลบรอยสัก ด้วยเลเซอร์ จะต้องทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้อย่างแน่นอน ยังไงก็ต้องมีรอยแผลเป็นอยู่ดี เพราะการทำลบรอยสักด้วยเลเซอร์ มันคือการยิงลำแสง ไปทำลายเม็ดสี นั่นหมายความว่า ในกรณีที่ เลเซอร์ ที่มันร้อนจนเกินไป มันก็อาจจะมีผลกระทบต่อผิวหนังของเราอีกด้วย ดังนั้น การทำลบรอยสักด้วยเลเซอร์ที่ดี ควรใช้ความร้อนที่ไม่มากจนเกินไป และทำโดยเร็วที่สุด ถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน การทำเลเซอร์ลบรอยสัก นั้นจะไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ แต่สมัยนี้มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามาช่วยในส่วนนี้ เขาเรียกว่า  Pico laser หรือลองชมคลิปเพิ่มเติม ได้ เผื่อใครมองไม่เห็นภาพ จะได้เข้าใจไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ทีมงานยังขอฝากข้อคิดสะกิดใจให้หนุ่มๆ สาวๆ เพิ่มอีกนิดว่าไม่ควรไปซื้อผลิตภัณฑ์ ลบรอยสัก ในท้องตลาดมาลบรอยสักเอง เพราะบางผลิตภัณฑ์อาจไมได้มาตรฐาน ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น รอยแผลเป็น รอยนูน รอยดำ หรือทำให้สีผิวไม่เหมือนเดิมได้ง่าย ดังนั้น จึงควร ลบรอยสัก ด้วยเลเซอร์ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าค่ะ

การดูแลหลังจากลบรอยสัก

การดูแลผิวหลังจากการลบรอยสักนั้นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากผิวหนังหลังการลบรอยสักจะมีความบอบบางและมีความรู้สึกไว ซึ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อปกป้องผิว เพื่อลดการเกิดรอยแผลเป็น และป้องกันการติดเชื้อ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศ.ดร.น.พ. สมศักดิ์ วรคามิน. ผิวสวย (BEAUTY SECRET THE UNTOLD STORY) กรุงเทพ: 2539 – 2560 โดยบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) © Copy Right 1996, 2017

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303.

ศัลยกรรมปลูกผม มันคืออะไร ปลูกแล้ว มันได้ผลจริงๆหรือ

0
ศัลยกรรมปลูกผม มันคืออะไร ปลูกแล้ว มันได้ผลจริงๆหรือ
ศัลยกรรมปลูกผม คือ การย้ายรากผมจากส่วนที่แข็งแรง เอามาปลูกทดแทนในส่วนที่ไม่มีหรือขึ้นน้อย โดยรากผมที่นำมาปลูกผมส่วนมากจะนำออกมาจากบริเวณท้ายทอย
ศัลยกรรมปลูกผม มันคืออะไร ปลูกแล้ว มันได้ผลจริงๆหรือ
การทำศัลยกรรมปลูกผม เป็นทางเลือกอีกวิธีของผู้ที่ยังวิตกเรื่องผมร่วง ผมบาง โดยการย้ายเส้นผมสุขภาพดีที่มีรากผมติดอยู่จากที่หนึ่งไปปลูกอยู่ในอีกที่หนึ่งบนศีรษะของตนเอง

ศัลยกรรม ปลูกผม

วันนี้จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ศัลยกรรม ปลูกผม ว่ามันคืออะไร มีขั้นตอนการทำอย่างไร ” ปลูกผม ” แล้วมันจะเหมือนผมจริงหรือไม่ วันนี้มาฟังคำตอบกันเลยดีกว่า..

ความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ การปลูกผม 

ศัลยกรรม ปลูกผม ถ้าจะพูดแบบภาษาบ้านๆ มันก็คือ การย้ายรากผมจากส่วนที่แข็งแรง เอามาปลูกทดแทนในส่วนที่ไม่มี หรือ ขึ้นน้อย นั่นเอง โดยรากผมที่นำมาปลูกผม ส่วนมากจะนำออกมาจาก บริเวณท้ายทอย ซะส่วนใหญ่ เพราะเนื่องจากบริเวณนี้ รากผมจะมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก และ มีอายุยืนกว่าผมที่อยู่กลางศีรษะ

ปัจจุบันนี้ เรื่องการศัลยกรรมปลูกผมก็ยังคงมีปัญหาอยู่ เพราะคนส่วนมาก ยังขาดข้อมูล และ ไม่กล้าที่จะเข้ามารับการรักษา เพราะจะกลัวว่า ไหนๆ ก็ลงทุนเจ็บตัวทั้งที เสียเงินค่ารักษาตั้งมากมาย แล้วผมที่ปลูกใหม่ ที่มันงอกออกมา มันจะอยู่แบบถาวร หรือ จะหลุดร่วงอีกหรือไม่..

คำตอบ จากหลักวิชาการ คือ อาจจะได้ผลแบบถาวร หรือไม่ถาวร ก็สามารถเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ปกติรากผมที่เรานำมาจากท้ายทอย หรือ ส่วนบริจาคจะเป็นผมที่ทนทาน และ ไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า DHT  ( Dihydrotestosterone ) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วงศีรษะล้านจากพันธุกรรม

ดังนั้นเมื่อไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็จะมีอายุยืนยาวตามปกติของรากผมยังงั้นจนกลายเป็นผมถาวร เพราะปกติรากผมคนเราจะมีวงจรชีวิตที่จะต้องเข้าสู่ระยะพักทุกๆ 6 ถึง 10 ปี และระยะเวลาประมาณ 20 รอบ

นั่นแปลว่ารากที่แข็งแรงตามปกติจะต้องมีอายุประมาณ 120 ถึง 200 ปีทั้งนี้แต่ละรอบวงจรขนาด อาจจะเล็กลงไปบ้างซึ่งจะเห็นว่าผมเส้นเล็กลงบ้างตามวัยที่สูงขึ้นดังนั้นล่ะ ผมจากท้ายทอยที่ย้ายมาปลูกก็จะมีอายุตามนั้นเราอาจจะเรียกว่าเป็นผมถาวรก็ย่อมได้เพราะมันอยู่นานเกินกว่าอายุขัยของคนเราเสียอีก

มีกรณีที่ศัลยกรรมปลูกผมแล้วอยู่ไม่ถาวรหรือร่วงหายไปไหม

ตอบได้ว่ามี…ที่เป็นเช่นนี้เพราะสาเหตุหลักหลักคือ 

วงจรชีวิตของรากผมในคนๆ นั้นมีระยะสั้นซึ่งมักเกิดจากมีความเครียดหรือความกดดันอื่นๆ มากระตุ้นบ่อย เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรงเป็นประจำ มีภาวะเครียดทางจิตใจมากตลอดเวลาความคิดเหล่านี้จะทำให้วงจรชีวิตลากผมหมุนเร็วขึ้น จากที่เคยมีอายุ 6 ถึง 10 ปีก็ลดลงเป็น 2-3 ปีแต่อย่างไรก็ตามกว่าจะบางหรือล่วงไปก็มักจะเป็นช่วงอายุมากแล้ว

การปลูกผมงั้นทำได้อย่างไม่ได้มาตรฐาน

พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากมีสถาบันที่ให้บริการด้านการผ่าตัดปลูกผมมากขึ้น แต่แพทย์ที่ให้บริการไม่ได้มีความรู้และประสบการณ์เพียงพอการเลือกรากผมที่จะนำมาปลูกผิดพลาดเช่นไปผ่าตัดเลือกรากผมที่มาจากตำแหน่งที่ไม่ใช่ผมถาวรตามมาตรฐานเมื่อเวลาผ่านไปผมเหล่านั้นก็จะรวบไปตามพันธุกรรมที่อ่อนแอทำให้ได้ผลการรักษาไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น

การผ่าตัดย้ายเซลล์รากผมนั้นมีมานานมากกว่า 40 ปีแล้ว คนไข้ที่ได้เคยทำการผ่าตัดในยุคแรกๆเมื่อติดตามการรักษาก็ยังพบว่าผมที่ปลูกนั้นยังแข็งแรงดีมีแต่ผมตามธรรมชาติที่อ่อนแอทางพันธุกรรมเท่านั้นที่ล่วงหายไป

ยกตัวอย่าง

เช่นมีบ้างเหมือนกันที่ ผมปลูกบางลงตามอายุเนื่องจากเซลล์รากผมค่อยๆเสื่อมประสิทธิภาพลงแต่ก็ยังช้ามากเมื่อเทียบกับอัตราการเสื่อมของผมที่ด้านบนศีรษะหมอเองก็มีคนไข้ที่มีประวัติเคย ปลูกผม มาก่อนแล้วต้องการมาปลูกเพิ่มเนื่องจากผมเดิมล่วงไปอีกตามกาลเวลาผ่านไปผมที่ปลูกตรงง่ามยังอยู่แต่ส่วนที่เหลือล่วงหายไปหมด

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับศัลยกรรมปลูกผม

ปลูกผมแบบไม่ผ่าตัดเทคนิคที่ไม่มีจริง

การ ศัลยกรรม ปลูกผม ย้ายรากถือเป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบกรีด หรือ การปลูกผมแบบเจาะ FUT หรือ FUE ต่างก็ใช้คำว่า Surgery ซึ่งหมายถึงการผ่าตัดเหมือนกันดังนั้นการโฆษณาชวนเชื่อว่าไม่ใช่การผ่าตัดจึงไม่เป็นความจริง

การเจาะรากผมขึ้นมาใช้ปลูกหรือ FUE  ( follicular unit extraction ) จัดว่ามีการผ่าตัดผ่านชั้นผิวหนังและก่อให้เกิดแผลดังนั้นย่อมเป็นการผ่าตัดและไม่สามารถ ทำให้ลุล่วงได้โดยไม่ใช้ยาชาเพราะจะทำให้เจ็บมาก

การโน้มน้าวว่าการปลูกผม FUE เป็นวิธีที่ดีกว่าเพราะไม่ต้องผ่าตัดถือว่าเป็นการโกหกเลยทีเดียว

ปลูกผมแบบ FUE ดีกว่า FUT แบบเจาะดีกว่าแบบผ่าตัด

ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงเสมอไปเพราะจริงๆ แล้วการทำ FUE หรือการเจาะซึ่งมีพื้นที่แผลเปิดมากกว่าเทคนิค การ ปลูกผม FUT ที่เย็บปิดแผลอย่างเรียบร้อยด้วยซ้ำ โอกาสเกิดสภาวะแทรกซ้อนทั้งการติดเชื้อเสียเลือดผมร่วงเพราะขาดเลือดอาจจะมากกว่าวิธี ปลูกผม FUT ด้วย  รากผมที่ได้จากวิธีผ่าตัดจะมีอายุขัยยืนยาวกว่ารากผมจาก FUE โดยเฉลี่ย

เรื่องนี้ถ้าเป็นแพทย์ที่ผ่าตัดปลูกผมอย่างจริงจังจะสามารถบอกถึงข้อดีข้อเสียได้บางกรณีคนไข้อาจจะเหมาะกับวิธีดั้งเดิมมากกว่าโดยเฉพาะคนที่มีศีรษะล้านเป็นบริเวณกว้างแพทย์ที่มีประสบการณ์การผ่าตัดทั้ง 2 แบบย่อมสามารถให้ข้อมูลเปรียบเทียบที่แท้จริงได้

โดยเฉพาะการที่ไม่มีใจโอนเอียงไปทางเทคนิคด้านใดด้านหนึ่งจึงสามารถคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนไข้เป็นหลักถ้าพื้นฐานไม่ใช่หมอผ่าตัดก็มาจัดหาไม่เป็นและทีมงานไม่สามารถทำเทคนิค ปลูกผม FUT ได้จึงมักสนับสนุนให้เจาะ หรือ แนะนำการ ปลูกผม FUE เท่านั้นทั้งที่คนไข้อาจจะไม่เหมาะสมกับเทคนิคดังกล่าว

ปลูกผมไร้แผลเป็น

การผ่าตัดหมายความว่าต้องเกิดแผลในการ ศัลยกรรม ปลูกผม ดังนั้นต้องมีแผลเป็นแน่นอน เพียงแต่วิธีการซ่อนแผลจะเป็นรูปแบบใดเท่านั้นเช่น แผลขีดที่เย็บได้ดีมีขนาดบางเล็กก็สามารถปิดได้ง่ายด้วยผมที่เหลืออยู่หรือแผลเจาะเป็นจุดจุดกระจายกันอยู่สามารถซ่อน แม้จะตัดทรงผมให้สั้นมาก เช่น สกินเฮด รองทรงทหาร

การผ่าตัดแบบไม่มีแผลมีแต่ในเทพนิยายเท่านั้น สมาคมแพทย์ปลูกผมนานาชาติได้ออกแถลงการณ์ประณามการโฆษณาชวนเชื่อแบบนี้ออกมาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกแต่ในเมืองไทยยังตกขบวนยังตกเป็นเหยื่อของโฆษณาที่ผิดจริยธรรมอยู่มาก

ปลูกผมโดยเทคนิคเกาหลี

ขอเรียนตามตรงว่าแพทย์เกาหลีต้องเดินทางมาดูงานในประเทศไทยดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคนิคเกาหลีอีกอย่างเส้นผมคนแต่ละเชื้อชาติมีรายละเอียดแตกต่างกัน

เหมือนจมูกตาปาก ผิวหนังคนไทยไม่เหมือนคนเกาหลีเทคนิคที่ใช้ดีกับคนเกาหลีไม่ได้หมายความว่าจะ ดี และไม่ใช่เรื่องจำเป็น 

ปลูกผมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ปัจจุบันมีการใช้คำว่าเชี่ยวชาญทุกแห่งหนและเดินทางไปต่างประเทศดูงาน 3 วันก็กลับมาเป็นผู้เชี่ยวชาญเสียแล้ว

ดังนั้นผู้รับบริการควรตรวจสอบถึงใบอนุญาตหรือประกาศนียบัตรที่ถูกต้องและควรหาโอกาสปรึกษาแพทย์ด้วยตัวเองเพราะจะมาเป็นอันตรายมากหากท่านไม่ได้คุยกับแพทย์ที่จะทำการ ศัลยกรรม ปลูกผม ด้วยตนเองเนื่องจากคลินิกบางแห่งใช้การพูดคุยผ่านพนักงานขาย อย่างเดียวโดยไม่ได้คุยรายละเอียดกับแพทย์

บางแห่งอาจจะใช้พนักงานให้คำปรึกษาเรียกตัวเองว่าเป็นที่ปรึกษาความงาม ซึ่ง คนเหล่านี้อาจจะไม่ได้จบมาทางด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นผู้ให้ข้อมูล และ เชียร์แขก ดังนั้นบางครั้งก็ต้องพยายามพูดโอ้อวดเกินจริงหรือพูดในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความเข้าใจจริงหลักการผู้รับบริการควรต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

การปลูกผมแบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT ) ทำครั้งเดียวสร้างเส้นผมใหม่ที่ถาวร

0
การปลูกผมแบบ Follicular Unit Transplantation (FUT) ทำครั้งเดียวสร้างเส้นผมใหม่ที่ถาวร
การปลูกผมแบบ (FUT) คือ เทคนิคมาตรฐานในการทำศัลยกรรมปลูกผม เป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก ด้วยการนำเอาผมตรงท้ายทอยมาปลูกบริเวณที่ต้องการ
การปลูกผมแบบ Follicular Unit Transplantation (FUT) ทำครั้งเดียวสร้างเส้นผมใหม่ที่ถาวร
การปลูกผมแบบ (FUT) คือ เทคนิคมาตรฐานในการทำศัลยกรรมปลูกผม เป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก ด้วยการนำเอาผมตรงท้ายทอยมาปลูกบริเวณที่ต้องการ

ปลูกผม Follicular Unit Transplantation ( FUT )

การปลูกผมด้วยวิธี Follicular Unit Transplantation หรือเรียกแบบง่ายๆว่า การปลูกผม FUT วิธีการแบบนี้จะเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของการศัลยกรรม  จะใช้รักษาผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของการมีศีรษะล้าน  ผมร่วงรุนแรง  หรือผมบางที่มีแนวโน้มว่ากำลังจะกลายเป็นคนศีรษะล้าน  ในกรณีนี้ศัลยแพทย์  จะเป็นผู้เสนอแนะวิธีรักษาด้วยการ ปลูกผมแบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT ) สำหรับผู้เข้ารับการรักษาที่มีปัญหาศีรษะล้านหรือผมบางในบริเวณที่ค่อนข้างใหญ่  และมักจะเป็นการรักษาที่เกิดในกรณีศีรษะล้านอย่างแท้จริง  ซึ่งรูขุมขนอันเป็นที่อยู่ของเซลล์รากผมได้เปลี่ยนสภาพจนคล้ายผิวหนังในส่วนอื่นๆของร่างกายไปแล้ว 

วิธีการทำ FUT หลังจากแพทย์ประเมินความพร้อมของผู้เข้ารับการรักษาแล้ว  แพทย์จะทำการวางยาสลบ  ฉีกยาชา  และเริ่มลงมือผ่าตัดเนื้อบริเวณเหนือท้ายทอย ซึ่งประเมินแล้วว่าเป็นบริเวณที่มีผมหนาที่สุด  แพทย์จะผ่าตัดด้วยการกรีดเพียงตื้นๆ เนื่องจากต้องการแค่ส่วนของผิวหนังที่มีเซลล์รากผมเท่านั้น ขนาดแผลที่กรีด กว้าง 1- 4 เซนติเมตร ยาว ประมาณ 10-20 เซนติเมตร    หลังจากกรีดแผลเสร็จก็ใช้ตะขอขนาดเล็ก  เกี่ยวเอาเนื้อส่วนผิวหนังออก หลังจากนั้นก็ทำการดึงรั้งผิวหนังศีรษะในลักษณะบนล่าง  เพื่อเย็บปิดแผลผ่าตัดที่เกิดขึ้น

หลังจากนั้น  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการหั่นกราฟ  ซึ่งเป็นวิธีการแล่หนังศีรษะออกเป็นแผ่นบางๆ และจากแผ่นบางๆก็จะถูกแบ่งต่อเป็นกอ  ซึ่งก็คือส่วนของเซลล์รากผมนั่นเอง ขั้นตอนนี้  แพทย์จะทำงานผ่านกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขายสูง 10เท่า ใน 1 เซลล์รากผมจะประกอบไปด้วยเส้นผมตั้งแต่ 1-4 เส้น แพทย์มักจะเลือกใช้เซลล์รากผมที่มีจำนวนเส้นผมใน 1 ถุงมีผมประมาณ 2-3 เส้น  ถือได้ว่าเป็นอัตราที่เหมาะ  ในขณะที่บางเซลล์มีเส้นผม 4 เส้น  แต่นั่นอาจไม่ใช่สัญลักษณ์ที่ดีนั้นสำหรับการคัดเลือกมาปลูกถ่ายให้คนไข้  เนื่องจากเวลารากผมที่มีเส้นผม 4 เส้น  มักเป็นฟอร์มของเส้นผมที่จะมีโอกาสหลุดร่วงสูงมาก 

เมื่อแยกแล้วเซลล์รากผมทั้งหมดจะถูกแช่เอาไว้ในน้ำยารักษาสภาพ  เพื่อให้เซลล์ทุกชิ้นยังมีชีวิต  และทำงานได้ทุกเซลล์  หลังจากนั้นก็จะนำไปทำการปลูกถ่ายลงในผิวหนังในจุดที่ต้องการ

การปลูกถ่ายลงในผิวหนังบริเวณที่เป็นปัญหา  แพทย์จะฉีดยาชาในบริเวณนี้  ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการเจาะรูที่ผิวหนังบริเวณที่เป็นปัญหา เมื่อหนังศีรษะเริ่มชา  แพทย์จะทำการฉีดยาห้ามเลือดเพิ่มเข้าไปในน้ำเกลือ  เมื่อโดนยาตัวนี้  หนังศีรษะของเราจะเริ่มพองตัว  เพราะเลือดคั่ง  เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง  แพทย์จะเริ่มทำกรเจาะรูเพื่อปลูกถ่ายเซลล์รากผม  ลงบนหนังศีรษะในบริเวณที่ต้องการ  ระหว่างที่เจาะรูบนหนังศีรษะแพทย์ก็จะหนีบเอาเซลล์รากผมลงไปใส่ในรูที่เจาะไว้  ใส่ไปทีละเซลล์จนกระทั่งเสร็จ  หลังจากนั้น ก็เป็นขั้นตอนของการดูแลหลังการรักษา

ผลข้างเคียงจากการปลูกผม Follicular Unit Transplantation ( FUT )

ในช่วงแรกที่เพิ่งทำเสร็จ  ผู้เข้ารับการรักษาอาจจะมีอาการหน้าผากบวม  เพราะแผลอักเสบ  หรืออาจจะเกิดอาการชาบริเวณที่ ปลูกผม  ซึ่งเป็นอาการจากผลข้างเคียงในการทำ  ที่ไม่ได้เป็นอันตรายกับร่างกาย  และอาการเหล่านี้  จะหายไปภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์  และจะกลับมาเป็นปกติในที่สุด  และผู้เข้ารับการรักษาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ  และหลังจากครบ 24 ชั่วโมง  ก็เริ่มสระผมได้  และควรจะสระทุกวัน เพื่อรักษาความสะอาดของหนังศีรษะ  ป้องกันการติดเชื้อ  บางแห่งอาจจะดูแลผู้บ่อยที่เดินทางไปมาสะดวก  ด้วยการมีบริการสระผมให้ประมาณ 5-7 วันแผลก็จะหายสนิท

หลังผ่าตัดปลูกผมแบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT )

คุณหมอจะสอนวิธีปฏิบัติตัวในการดูและรักษาแผลหลังผ่าตัด  ซึ่งถ้าผู้เข้ารับการรักษาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  แผลต่างๆก็จะหายและกลับสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น

หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์  เส้นผมที่ติดอยู่ในเซลล์รากผมเดิม  จะหลุดร่วงแทบทั้งหมด  และภายใน 3-4 เดือน เส้นผมใหม่จึงเริ่มงอกขึ้นมา  และมีสภาพและอัตราการเจริญเติบโตเท่ากับผมปกติทุกประการ  เมื่อได้ความยาวพอที่จะตัดให้เป็นทรงที่เหมาะสมได้  ผู้เข้ารับการรักษาก็ควรตัดผมสักครั้ง  เพื่อปรับให้ผมทั้งหมดอยู่ในรูปทรงที่สวยงามกลมกลืนตามธรรมชาติ  ซึ่งนั่นหมายถึงกระบวนการรักษาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว  เส้นผมใหม่ที่เกิดขึ้นจะเป็นเส้นผมที่อยู่คงทนตลอดไป

ข้อสำคัญของการผ่าตัด ปลูกผม แบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT ) นั่นคือขั้นตอนของการผ่าตัดเพื่อเอาเซลล์รากผมออกมาและการเย็บปิดแผลผ่านั้นให้สนิท  ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่กังวลเพราะรอยแผลค่อนข้างกว้างและยาวพอสมควร  แม้แพทย์จะยืนยันว่าแผลเหล่านี้จะปิดสนิทและมองไม่เห็นจากภายนอก  แต่รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก และอาจสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เข้ารับการรักษาได้มากและนานระยะหนึ่ง

ดังนั้นเมื่อวิธีการ ปลูกผม Follicular Unit Transplantation ( FUT ) สร้างรอยแผลเป็นบริเวณศีรษะที่น่ากลัวเกินไปสำหรับใครบางคน  จึงได้มีการคิดค้นวิธีการ ปลูกผมแบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT ) ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องของรอยแผลที่เกิดจากการผ่าตัดแบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT ) ได้อย่างดีเยี่ยม  เพราะวิธีการใหม่นี้  ไม่ต้องใช้การกรีดผิวหนังเพื่อสร้างรอยแผล  แต่เป็นการเจาะลงไปตรงที่บริเวณเซลล์รากผมโดยตรง  ซึ่งถือได้ว่าเป็นการศัลยกรรมปลูกผมที่ไม่สร้างรอยแผลใดใดให้กับผู้เข้ารับการรักษาทั้งสิ้น  แต่ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่วิธีการใหม่นี้จะใช้ระยะเวลาในการทำค่อนข้างนาน  ซึ่งผู้รับการรักษาอาจจะต้องเสียเวลามากจนเกินไป

ปลูกผม FUE Vs FUT อันไหนดีกว่ากัน

ไม่ว่าจะเป็นการ ปลูกผม แบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT ) หรือแบบใหม่อย่าง Follicular Unit Extraction ( FUE ) จะเห็นได้ว่า  ทุกขั้นตอนไม่ได้มีการสร้างอันตรายให้กับผู้เข้ารับการรักษาแม้แต่น้อย  และเป็นการรักษาที่พึ่งพากระบวนการต่างๆของร่างกาย  ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ  ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมไม่ส่งผลร้ายใดใดต่อร่างกายอย่างแท้จริง

ข้อดีที่น่าสนใจของการผ่าตัดแบบ Follicular Unit Transplantation ( FUT ) คือเกิดกระบวนการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว  จะสามารถ ปลูกผม ได้สูงสุดถึง 4,000 เส้น ด้วยระยะเวลาในการทำที่สั้นกว่า และเป็นการผ่าตัดที่ไร้ความเสี่ยงที่อาจก็ให้เกิดอันตรายร้ายแรงโดยสิ้นเชิง  ทั้งนี้  ต้องขึ้นอยู่กับศัลยแพทย์ที่เป็นผู้ให้การรักษาว่าจะมีความเชี่ยวชาญมากพอที่จะจัดการกับทุกความเสี่ยงได้อย่างยอดเยี่ยม  ซึ่งสิ่งเหล่าต้องเกิดประสบการณ์ในการรักษาที่สะสมมายาวนานระยะหนึ่งเท่านั้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“New technique changing eyes from brown to blue sparks debate”, Chencheng Zhao. Medill Reports Chicago, Northwestern University. March 8, 2016. Retrieved 5 feb 2017

Uhr, Barry W. History of ophthalmology at Baylor University Medical Center. Hi Proc (Bayl Univ Med Cent). 2003 October; 16(4): 435–438. PMID 16278761

Maguire, Stephen. “Laser Eye Surgery”. The Irish Times. “Laser Eye Surgery Suitability”. Optical Express.