[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
แบบทดสอบผิวก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง
การเลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับประเภทผิวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการมีผิวสวยและอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การพิจารณาประเภทของผิวอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก มีคนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาผิวหน้ามากเกินกว่าที่จะวิเคราะห์หาประเภทของผิวที่แท้จริงได้ ในขณะที่คนอีกจำนวนไม่น้อยสับสน ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีสภาพผิวอย่างไรกันแน่ บางครั้งพบว่าผิวของตนแห้งมากเมื่อล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ แต่แล้วกลับมีน้ำมันผลิตออกมามากในเวลาต่อมา เพื่อที่จะทราบประเภทของผิวที่แน่นอน การขอคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อคุณได้ทราบประเภทที่แน่นอนของผิวของคุณแล้ว ทำให้สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีการบำรุงรักษาผิวที่ถูกต้องและเหมาะสมได้สะดวกยิ่งขึ้นในคราวต่อไป สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นแบบทดสอบสภาพผิวที่จะทำให้ทราบถึงประเภทผิวอย่างคร่าว ๆ ซึ่งจะช่วยคุณในการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้บ้าง โดยให้ตอบ “ ใช่ ” ในคำตอบที่ตรงกับสภาพผิวของคุณ
ลำดับ |
สภาพผิว |
1 |
ผิวมักมีตุ่มอักเสบ |
2 |
ผิวแพ้ง่ายกว่าปกติ |
3 |
ผิวด้าน หยาบ หมองคล้ำ |
4 |
ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย |
5 |
ผิวหยาบกร้าน |
6 |
ผิวมีรูขุมขนกว้าง |
7 |
ผิวคล้ำง่ายเวลาโดนแดดแรง ๆ |
8 |
ผิวเป็นสีแดงเวลาเจอแสงแดด ลม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางชนิด |
9 |
ผิวแต่งตึง ไม่มีถุงใต้ตาหรือริ้วรอยหย่อนยาน |
10 |
ผิวเปลี่ยนแปลงสภาพได้ง่ายเวลาเจอความเครียด |
11 |
ผิวลื่น ชุ่มน้ำ น่าสัมผัส |
12 |
ผิวไวต่อการสัมผัส |
13 |
ผิวสว่าง สดใส เต่งตึง และยืดหยุ่นดี |
14 |
ผิวแห้ง และมันทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผิวผสม |
15 |
มีสิวเสี้ยนเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นอยู่บ่อย ๆ |
16 |
ปรากฏริ้วรอยเล็ก ๆ ขึ้นๆ ขึ้นอยู่เต็มไปหมด |
17 |
เมื่อออกแรงดึงผิว ผิวจะคลายตัวและกลับมาอยู่ในสภาพเดิมทันที |
18 |
หน้าแดงเวลาเปลี่ยนแปลงอารมณ์ |
[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ตอบ “ ใช่ ” 1-5 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวธรรมดา เป็นผิวที่ดูแลง่ายไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่อง การดูแลผิว มากนัก มีขนาดของรูขุมขนปานกลาง แต่บริเวณจมูกและคางอาจมีรูขุมขนกว้างอยู่สักหน่อย ยังผลให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีน้ำมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ผิวมีความยืดหยุ่นอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่แห้งหรือมันจนเกินไป ผิวเนียนเรียบ เกลี้ยงเกลา ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลหรือการบำรุงที่ยุ่งยากซับซ้อน ผิวมีความสว่างใสพอสมควรและจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ กล่าวคือในช่วงที่มีอากาศหนาวหรือแห้งแล้ง ผิวจะแห้งกร้านกว่าเดิมเล็กน้อย ในขณะที่อากาศร้อนอบอ้าวผิวจะมันยิ่งกว่าเดิม
ควรใช้วิธีการบำรุงผิวที่เรียบง่ายและสะดวกต่อการดูแลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำความสะอาดผิวใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ 2 ครั้งต่อวัน หลีกเลี่ยงการใช้คลีนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สบู่ หรือสารซักฟอกที่รุนแรง ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณน้อย เมื่อต้องออกไปทำธุระกลางแจ้ง อย่าลืมทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสีอันตราย
ตอบ “ ใช่ ” 6-10 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวแห้ง ไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องสิว ผิวมีรูขุมขนที่เล็กมาก ผิวเนียนเรียบ ไม่มีปัญหาผิวมัน แต่มีปัญหาเรื่องผิวขาดความสดใส ไร้ชีวิตชีวา แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น หลังจากทำความสะอาดจะรู้สึกแห้งตึง ผิวเป็นขุย และมีอาการคัน
การดูแลผิว แห้งควรทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ แอลกอฮอล์ หรือสารซักฟอกที่รุนแรงและเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโลนิก และโซเดียมพีซีเอ ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูง หรือแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือแบบที่มีสารกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส
ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังเช่น Colloidal Oatmeal ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยรักษาผิวที่แห้งให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นได้นานขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกที่รุนแรง และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดทุกครั้ง เมื่อต้องออกไปข้างนอก หรือต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ เพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมของริ้วรอยที่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
ตอบ “ ใช่ ” 10-14 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวที่แพ้ง่าย เป็นผิวอีกประเภทหนึ่งที่ต้องได้รับ การดูแลผิว อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง สบู่แอลกอฮอล์ หรือมีสารซักฟอกที่รุนแรงต่อผิว ทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง หลังจากทำความสะอาด ทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวได้ในที่สุด [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
เมื่อต้องการออกแดด ให้ทาครีมกันแดดชนิดบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คาดว่าจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น สารซักฟอกที่รุนแรง แอลกอฮอล์ สารกันบูด น้ำหอม สีสังเคราะห์ เป็นต้น หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ เนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่าง ๆ ใช้เครื่องสำอางที่ติดทนนานให้น้อยลง
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารชะล้างที่รุนแรง หากต้องแต่งหน้า ควรเลือกเครื่องสำอางที่สามารถล้างออกได้ง่าย ๆ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองดังกล่าว เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ หรือน้ำแร่แทน
ตอบ “ ใช่ ” 15 ข้อขึ้นไป
ผิวของคุณเป็นผิวมัน เป็นผิวที่มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันออกมามากเกินไป ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก หรือกรดเอเอชเอ เนื่องจากจะช่วยลดการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมันให้น้อยลง หากผิวมันมาก หลังจากทำความสะอาดตามปกติ ให้เช็ดผิวด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะผิวของคุณมีน้ำและน้ำมันมากเกินพอแล้ว หากทามอยส์เจอไรเซอร์จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมันให้แก่ผิวหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ในที่สุด ถ้าอยากใช้หรือจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
หากต้องออกไปข้างนอกหรือเผชิญกับแสงแดด อย่าลืมใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่มีผิวมันมาก ๆ หากทำตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้นแล้วพบว่าผิวยังมันอยู่เช่นเดิม ให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ ซัลเฟอร์ กรดอาเซเลอิก และเรตินอยด์ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
เคล็ดลับการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้ผิวสวย
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ผู้ใช้จำเป็นต้องรู้จักวิธีการทาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เพราะหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของผิวพรรณ นอกจากกระบวนการทางเคมีและผิวแต่ละคนที่แตกต่างกันแล้ว วิธีทาครีมก็มีความสำคัญต่อความสวยงามของผิวด้วยเช่นกัน ด้วยวิธีการทาที่แตกต่างกัน ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกันแม้ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ว่าจะเป็น ครีม เจล หรือโลชั่น จะมีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน อันได้แก่ สารออกฤทธิ์ ซึ่งอาจเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติหรือสารสังเคราะห์ก็ได้ ที่จะทำปฏิกิริยากับผิวและสารที่ไม่ออกฤทธิ์ ซึ่งจะเป็นสารที่ไม่ทำปฏิกิริยา แต่จะทำหน้าที่ในการป้องกันหรือส่งเสริมสารออกฤทธิ์ให้ทำปฏิกิริยากับผิวได้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลิตภัณฑ์สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีและมากพอ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกซื้อและวิธีการทาผลิตภัณฑ์ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ขั้นตอนในการทาผลิตภัณฑ์ให้ได้ผลดีที่สุด
ความสามารถในการดูดซึมของผิวหนังจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิความชื้น สภาพแวดล้อม และปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะทำให้ส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ในครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้มากที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้งเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก หรือสารเคมีที่เคลือบอยู่บนผิว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดก่อนที่จะทำการ ดูแลผิว ทุกครั้ง ไม่ว่าจะทาครีม การมาสก์หน้า ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้ทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้ง ครีมบำรุงผิวจะซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดีที่สุดเมื่อคุณพึ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ ๆ เนื่องจากในช่วงนั้นผิวของคุณจะอุ่น มีความชุ่มชื้นและสะอาด ทำให้ครีมสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะช่วยรักษาปริมาณน้ำที่อยู่ในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม เนื่องจากครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบได้ดีเมื่อผิวอุ่น หากผิวของคุณเย็นให้ประคบผิวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นก่อน หลีกเลี่ยงการประคบผิวด้วยน้ำร้อน น้ำที่ร้อนเกินไปจะทำให้ผิวระคายเคืองได้รับความเสียหายและมีแนวโน้มที่จะเหี่ยวย่นได้เร็วอีกด้วย
หลังจากทำความสะอาดผิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ซับน้ำส่วนเกินออก อย่าเช็ดผิวจนแห้ง ควรปล่อยให้ความชื้นหลงเหลืออยู่ที่ผิวบ้าง ทาครีมบำรุงผิวในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวจะซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีเมื่อมันถูกทำให้ละลาย
ผิวด้านบนสุดเป็นส่วนของหนังกำพร้าที่ตายแล้ว การปล่อยให้เซลล์ส่วนนี้เกิดการสะสมตัวจนหนา จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอย หยาบกร้าน และทำให้ความสามารถในการซึมซาบเข้าสู่ผิวของสารออกฤทธิ์ลดน้อยลงไปด้วย
วิธีผลัดเซลล์ผิวส่วนบนที่ขอแนะนำคือการขัดผิวเบา ๆ ด้วยสครับที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เพราะเป็นวิธีที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย ราคาถูกและสามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกไปอย่างนิ่มนวล ทำให้ผิวสดใสแลดูอ่อนกว่าวัย
เมื่อต้องทาครีมให้ใช้วิธีลูบไล้อย่างเบามือด้วยนิ้วกลางและนิ้วนาง เนื่องจากเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อยที่สุด อย่าถูไปมาแรง ๆ หรือดึงผิวให้ตึงก่อนทา เมื่อทาเสร็จแล้ว ให้ใช้นิ้วมือตบผิวเบา ๆ เป็นเวลาครึ่งนาทีเพื่อกระตุ้นให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ปริมาณของครีมที่ใช้ในแต่ละครั้งควรมีปริมาณที่เหมาะสม หากน้อยเกินไปจะทำให้ผิวไม่ได้รับสารออกฤทธิ์อย่างเพียงพอ ทำให้ผิวไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควร ในขณะที่การใช้ครีมที่มากเกินไปจะทำให้ผิวมันและเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในแต่ละครั้งควรเท่ากับผลเชอรี่ขนาดกลาง 1 ผล
เมื่อต้องทาครีมบนใบหน้า ให้แต้มครีม 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก จมูก แก้มทั้ง 2 ข้างและคาง แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยครีมให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หรือถูกลับไปมาเพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดริ้วรอยตามมาได้
หากต้องทาครีมรอบดวงตาให้ใช้นิ้วนางแต้มครีมประมาณ 1 เม็ดถั่วเขียวไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา จะเริ่มจากหัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ตามความถนัด แล้ววนครีมรอบรอบดวงตาให้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง อย่าถูกลับไปมา เพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้
สำหรับผิวกายให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะอย่าใช้มากหรือน้อยจนเกินไป ลูบไล้ครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ จนรู้สึกว่าครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวดีแล้วจึงค่อยลงไปที่ส่วนขา
สำหรับคอ ให้ใช้ครีมปริมาณเท่าที่ใช้กับใบหน้า ลูบไล้เนื้อครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วคอทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยจากแรงโน้มถ่วง
สำหรับขา ให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณผลเชอรี่ขนาดกลาง 2 ผล) ลูบไล้ครีมให้ทั่วทั้งขา โดยเริ่มจากต้นขาก่อนแล้วค่อยไล่ลงไปที่หน้าแข้ง ทาอย่างเบามือ พึงระลึกไว้เสมอว่าเพื่อความเปล่งปลั่งสวยงามไร้ริ้วรอย จำเป็นต้อง ดูแลผิว ทุกส่วนด้วยความอ่อนโยนเน้นบริเวณหน้าแข้ง เนื่องจากเป็นบริเวณที่ต้องเจอสภาพแวดล้อมมากกว่าต้นขา จึงมีแนวโน้มที่จะแห้งกร้านได้ง่ายกว่า
สำหรับเท้า ควรใช้ครีมแต่พอประมาณ ทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า เนื่องจากเท้าเป็นจุดศูนย์รวมของปลายประสาท การนวดเบา ๆ บริเวณฝ่าเท้าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและช่วยสร้างความผ่อนคลายได้ดี
สำหรับแขน ให้เริ่มทาจากท้องแขนขึ้นไปอย่างเบามือ แล้วลูบไล้ขึ้นไปตั้งแต่ข้อมือไล่ไปจนถึงหัวไหล่
สำหรับมือ ให้บีบครีมประมาณ 1 ผลเชอรี่ขนาดกลาง ลูบไล้ครีมให้ทั่วมือ ทั้งฝ่ามือและหลังมือ นวดจากปลายนิ้วไปจรดโคนนิ้ว นวดทีละนิ้วใช้หัวแม่มือคลึงบนข้อต่อแต่ละข้อเป็นวงกลม หงายฝ่ามือขึ้น นวดฝ่ามือทีละครึ่งฝ่ามือจนทั่ว แล้วหมุนข้อมือไปมา 2-3 รอบ นอกจากจะช่วยบำรุงผิวที่มือแล้วการทำเช่นนี้ยังกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
สำหรับคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบาง ควรทามอยส์เจอไรเซอร์หลังอาบน้ำ ในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพราะนอกจากจะทำให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีแล้ว ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ได้อีกด้วย หากผิวแห้ง ให้พรมน้ำให้ผิวชื้นก่อนทาจะทำให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางมาก ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อครีมบำรุงผิวชนิดใด ๆ ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนเสมอ โดยการทาครีมที่ผิวทิ้งไว้สักพัก หากไม่พบอาการคันหรือรอยผื่นแดง หรืออาการผิดปกติใด ๆ ในบริเวณดังกล่าว จึงค่อยตัดสินใจซื้อ
สำหรับผู้ที่มีผิวผสม การใช้ครีมบำรุงผิวต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าผิวประเภทอื่น เนื่องจากผิวจะประกอบไปด้วยส่วนที่มันและแห้งรวมกันอยู่ หากไม่ระวังให้ดี ครีมที่ใช้อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาโดยไม่รู้ตัว หลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงกับผิวบริเวณที่บอบบางและอาจทำให้ผิวเสียได้
สำหรับผู้ที่มีผิวมัน ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวเลยก็ว่าได้ แต่หากต้องการจะใช้จริง ๆ ให้เลือกชนิดที่บางเบา และปราศจากน้ำมันจึงจะดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ครีมดังกล่าวเพิ่มความมันให้แก่ผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวอุดตันได้ในเวลาต่อมา
สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ให้ใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงและใช้ครีมกันแดด หากต้องออกไปกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าครีมที่คุณทาลงไปสามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวของคุณได้อย่างล้ำลึกอย่างเต็มที่หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ทราบว่าครีมดังกล่าวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ล้ำลึกและเต็มที่หรือไม่นั้น ให้สังเกตจากความรู้สึกของผิวหากรู้สึกเย็นซ่าหลังจากทาผลิตภัณฑ์บำรุงที่ทำมาจากธรรมชาติ นั่นก็หมายความว่าครีมดังกล่าว สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นชั้นเป้าหมายที่ต้องการให้สารออกฤทธิ์ทำปฏิกิริยาเต็มที่แล้ว
เพื่อที่จะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยอย่างที่ใจปรารถนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ดูแลผิว อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสียหายที่มิอาจเยียวยาให้กลับมาดูดีได้ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ตรวจสอบอายุของผิวสบายดีไหม
ประโยคที่ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงเรามี 2 อายุ ซึ่งได้แก่ อายุจริงที่ซ่อนอยู่ใต้ผิว กับอายุที่ฟ้องด้วยริ้วรอย ดูเหมือนเป็นความจริงเพราะมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือว่าวัยสาวแต่สภาพของผิวกลับร่วงโรย เสื่อมโทรมจนน่าตกใจ ในขณะที่ผู้หญิงบางคนแม้ว่าจะมีอายุมากแล้วแต่กลับมีผิวที่เต่งตึงเรียบเนียน ไร้ริ้วรอยไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวเลย ซึ่งมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อความร่วงโรยของผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการ การพักผ่อน การออกกำลังกาย ความเครียด บุหรี่ แอลกอฮอล์ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือแสงแดดและมลภาวะ
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แสงแดดและมลภาวะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัยอันสมควร หากเราไม่เคยเผชิญกับแสงแดดหรือมลภาวะที่เป็นพิษเลย ริ้วรอยเส้นแรกจะปรากฏเมื่อเราอายุ 50 ปี จากความจริงข้อนี้ทำให้เราทุกคนต่างตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ต่างพบว่าริ้วรอยที่ปรากฏนั้นมาก่อนช่วงเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงมาก ( บางรายอาจมีตั้งแต่ตอนวัยรุ่นเสียด้วยซ้ำ ) ริ้วรอยแต่ละเส้นที่ปรากฏบนผิวพรรณเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เห็นถึงความร่วงโรยที่เกิดขึ้นกับผิวทั้งสิ้น
เนื่องจากวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันเอื้ออำนวยต่อความเสื่อมโทรมของผิวพรรณมากยิ่งขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงจากต่างประเทศ แม้ว่าจะเป็นครีมที่มีประสิทธิภาพในการถนอมผิวที่ดีเยี่ยม แต่ผิวพรรณกลับเสื่อมโทรมลงอย่างน่าประหลาดใจ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าครีมบำรุงผิวอาจมีส่วนช่วยในการบำรุงและช่วยชะลอความร่วงโรยของผิวได้บ้างในระยะหนึ่ง แต่เป็นไปไม่ได้ที่ครีมเหล่านั้นจะป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยเมื่อเวลาอันสมควรมาถึง
อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงที่ใช้อยู่นั้น จะกลายเป็นของมีค่าไปในทันที หากยังดำรงชีวิตอยู่บนความเสี่ยงที่เป็นต้นเหตุของความเสื่อมโทรมและริ้วรอยอยู่อย่างเคย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวเสริมอีกว่า มีกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจําวันบางอย่างที่ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของผิวอย่างรุนแรงโดยคาดไม่ถึงมาก่อน ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นโปรแกรมการบำรุงผิวใด ๆ ควรสำรวจตัวเองถึงปัจจัยเสี่ยงอันนำไปสู่ภาวะเสื่อมโทรม ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
เพื่อที่จะทราบว่ามีความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิวเร็วกว่าปกติหรือไม่ให้ตอบคำถามต่อไปนี้ตามความเป็นจริง
ลำดับ |
ความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิว |
1 |
ฉันสูบบุหรี่เป็นประจำ |
2 |
ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องแอร์ |
3 |
ฉันนอนดึกเป็นประจำ |
4 |
ฉันอาบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หรือแทบจะทุกวัน |
5 |
ในวันหนึ่ง ๆ ฉันต้องเผชิญกับแสงแดดเสียเป็นส่วนใหญ่ |
6 |
ฉันมักตื่นมากลางดึก |
7 |
ฉันนอนไม่ค่อยหลับลึกหลับไม่สนิทบ่อย ๆ |
8 |
ฉันไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย |
9 |
ฉันต้องแต่งหน้าทุกวัน |
10 |
ฉันกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ |
11 |
ฉันกินอาหารให้ถูกสัดส่วน |
12 |
ฉันสัมผัสกับกระดาษหรือสิ่งพิมพ์บ่อย ๆ |
13 |
ฉันไม่ค่อยมีเวลา ดูแลผิว ตัวเองสักเท่าไร |
14 |
ฉันเข้านอนโดยไม่ได้ล้างหน้าอยู่บ่อย ๆ |
15 |
ฉันรู้สึกเหนื่อยและเครียดกับการทำงานที่ทำเสมอ |
16 |
ฉันรู้สึกว่ามีภาระมากเกินกว่าที่ฉันจะแบกรับได้ |
17 |
ฉันมาทำงานอยู่ท่ามกลางมลภาวะเสมอ |
18 |
เมื่อตื่นนอน ฉันรู้สึกอ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่เสมอ |
19 |
ฉันดื่มน้ำน้อย |
20 |
ฉันรู้สึกว่าฉันมีริ้วรอยมากกว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน |
21 |
ฉันชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง |
22 |
ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายและเหน็ดเหนื่อยทุกครั้งที่วันจันทร์มาถึง |
23 |
ฉันชอบกินขนมนมเนยและของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาล แป้งและเกลือสูง |
24 |
ฉันไม่ค่อยชอบกินธัญพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเมล็ดถั่วทุกชนิด |
25 |
ฉันไม่มีแรงบันดาลใจในการกระตือรือร้นหรือมีพลังในการทำงาน |
26 |
ฉันไม่สามารถระบายความทุกข์หรือความลำบากที่ฉันมีให้คนอื่นรับรู้ได้ |
27 |
ฉันมักอยู่ในสถานที่สกปรกมีควันพิษ ฝุ่นละออง และมีเสียงดังหนวกหู |
[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
หากคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ “ใช่” นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังทำร้ายผิวพรรณของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากคุณยังคงดันทุรังดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิม โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น นอกจากสุขภาพโดยรวมของคุณจะเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติแล้ว ผิวพรรณของคุณยังมีแนวโน้มที่จะร่วงโรยเร็วกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เพื่อหยุดยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณและสุขภาพ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่และหันมา ดูแลผิว ตัวเองให้มากขึ้น เอาใจใส่ในปัจจัยที่มีผลต่อความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอยให้มากขึ้นด้วยความใส่ใจที่มากขึ้น คุณจะพบว่าความเสื่อมโทรมที่เป็นอยู่จะได้รับการเยียวยาและสามารถฟื้นตัวได้ในเร็ววัน
ผิวของคุณแก่เร็วแค่ไหน
ความเสื่อมโทรมของผิวเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถชะลอได้ด้วยการปรนนิบัติผิวของเราอย่างถูกต้องและเหมาะสม กระบวนการเสื่อมโทรมตามธรรมชาติของผิวก็จะดำเนินไปอย่างช้าลง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือตารางแสดงลำดับความเสื่อมโทรมตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณ ด้วยการเปรียบเทียบอายุจริง คุณจะทราบว่าในขณะนี้ผิวพรรณมีลักษณะเป็นเช่นไร ริ้วรอยหรือความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เราทราบว่าถึงเวลาแล้วที่ควรหันมาใส่ใจผิวพรรณอย่างถูกวิธีเสียที
อายุน้อยกว่า 15 ปี
สภาพผิว ผิวสวยใส เรียบเนียน กระชับเต่งตึงไม่หย่อนคล้อยและมีรูขุมขนเล็ก
อายุ 15-25 ปี
สภาพผิว มีความมันขึ้นประปราย รูขุมขนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มมีริ้วรอยตื้น ๆ เกิดขึ้นบ้างแต่เล็กน้อย
อายุ 25-45 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น ริ้วรอยเริ่มลึกกว่าเดิมเริ่มเกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา มีรอยย่นบริเวณหน้าผาก ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ผิวเริ่มหยาบขาดความชุ่มชื้น ในบางรายอาจพบสิวประปราย
อายุ 45-55 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น มีรอยบวมรอบ ๆ ดวงตา รูขุมขนขยายตัว มีริ้วรอยรอบดวงตาและแก้ม ความเปล่งปลั่งของผิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเริ่มซีดเหลือง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
อายุ 55 ปีขึ้นไป
สภาพผิว ร่องรอยแห่งวัยเพิ่มมากขึ้นและลึกยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความกระชับเต่งตึงของผิวหายไป ผิวเริ่มหย่อนยาน มีรอยบวมใต้ตา มีกระและจุดด่างดำบนผิวหนัง ผิวใต้ตามีสีคล้ำลงเรื่อย ๆ ความเรียบเนียนของผิวหายไป รอยย่นที่คอ ผิวหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีรอยย่นรอบริมฝีปาก
เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิว
เมื่อพูดถึงความร่วงโรยและความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิวนั้น เกิดจากปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก อาทิ แสงแดด มลภาวะในอากาศ การสูบบุหรี่ การใช้เครื่องสำอางและ การดูแลผิว ที่ผิดวิธี ในขณะที่ปัจจัยความเสื่อมโทรมที่มาจากภายใน ได้แก่ การเสื่อมของผิวตามกาลเวลา ฮอร์โมนที่ลดน้อยลง การหยุดสร้างเซลล์ผิวและการลดลงของภูมิคุ้มกันโรค ด้วยปัจจัยทั้งสองประการนี้ ผิวจะมีการเผชิญกับปัจจัยดังกล่าวมากขึ้น ผิวพรรณก็จะร่วงโรยมากกว่าคนอื่น ๆ วิธีที่จะรักษาความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้ให้ได้นานที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ให้มากที่สุด การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว ที่มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์ต่อผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการปรนนิบัติผิวที่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมบํารุงผิวมิได้หมายความว่าจะสามารถหยุดกระบวนการเกิดริ้วรอยได้อย่างถาวร กระบวนการเกิดริ้วรอยและความเสื่อมโทรมจะยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ว่าสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวมีส่วนช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าวให้ดำเนินไปได้ช้าลงเท่านั้น
มอยส์เจอไรเซอร์ ( Moisturizer )
มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ขั้นพื้นฐานที่ทุกคนมีและใช้กันเป็นประจำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถึงแม้มอยส์เจอไรเซอร์จะดีต่อสุขภาพผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มน่าสัมผัส ช่วยลดอาการระคายเคือง อาการแพ้ และลดการเกิดริ้วรอยอันเนื่องมาจากการมีผิวแห้ง แต่มอยส์เจอไรเซอร์กลับมิใช้ผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวผสม ( ทาบริเวณแก้มทั้งสองข้างที่เป็นผิวแห้ง ) ร่วมไปจนถึงผู้ที่มีผิวธรรมดา ( เฉพาะช่วงอากาศแห้งหรือเฉพาะช่วงเวลาที่ผิวแห้งตึงเท่านั้น ) แต่กลับไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันและคนที่มีผิวธรรมดาทั่วไป ซึ่งการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ผิดวิธีและไม่เหมาะกับสภาพผิวก็อาจนำมาซึ่งผลเสียที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน
ปัจจุบันมีการผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ออกมาจำหน่ายมากมาย แต่ละยี่ห้อต่างก็มีการโฆษณาถึงสรรพคุณที่ดีต่อผิวพรรณและมีราคาที่แตกต่างกัน ในการเลือกซื้อมอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นต้องดูที่ประเภทของผิวและชนิดของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ต้องการเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังต่อไปนี้ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
มอยเจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนม
เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน เนื่องจากน้ำและน้ำมันจะไปรวมตัวกันและจะแยกชั้นกันตลอดเวลา แม้ว่าจะพยายามเขย่าหรือผสมให้เข้ากันสักเพียงใดก็ตาม ซึ่งการเขย่าด้วยความแรงเป็นเวลานานพอสมควร น้ำและน้ำมันจะแตกตัวกลายเป็นเม็ดของเหลวเล็ก ๆ ลอยไปมาผสมกันอยู่ แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้สักพัก ของเหลวทั้ง 2 ชนิดก็จะแยกตัวออกจากกันอย่างชัดเจนเหมือนเดิม เมื่อผสมของเหลวทั้งสองให้เป็นเนื้อเดียวกัน จึงเป็นการเติมตัวประสานลงไป ตัวประสานจะทำหน้าที่ในการกระจายหยดน้ำและหยดน้ำมันให้รวมตัวเข้ากันเป็นเนื้อเดียว Moisturizer แบบน้ำนมจะมีประโยชน์ในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นที่ผิวเอาไว้ จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งจะมีการผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน
มอยส์เจอร์ไรเซอร์มีอยู่ 2 แบบ แบบที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าน้ำ ซึ่งจะมีความเข้มข้นสูง และแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมากกว่าน้ำมัน ซึ่งจะมีความเบาบางมากกว่า คนที่มีผิวแห้งมาก ๆ จะเหมาะกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบแรก แต่จะไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน และผิวธรรมดาเพราะความเหนียวเหนอะหนะของมอยส์เจอร์ไรเซอร์อาจทำให้ผิวที่มีน้ำมันตามธรรมชาติอยู่แล้วเกิดการอุดตันและเกิดเป็นสิวในที่สุด
มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันหรือน้ำมัน
เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวมัน เนื่องจากผิวของคนเหล่านี้จะมีการผลิตน้ำมันและสารดูดซับความชื้นออกมาอย่างเพียงพอแล้ว แต่อาจมีบางช่วงที่ผิวเหล่านี้อาจต้องการสารให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น เช่น ในช่วงหน้าหนาวที่มีอาการแห้ง หรือผิวถูกน้ำชะล้างเป็นเวลานาน จนผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและแห้งตึง มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันจะมีส่วนผสมของสารดูดซับความชื้น ( Humectants ) เช่น Collagen, Colloidal Oatmeal, Hyaluronic Acid, Glycerin, Sodium PCA และ Propylene Glycol ซึ่งเป็นสารที่ช่วยดักและกักเก็บโมเลกุลของน้ำให้อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มโดยไม่มีน้ำมันส่วนเกินปรากฏให้เห็น
มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบเคลือบผิว
ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำไว้ที่ผิว ด้วยการสร้างแผ่นฟิล์มบาง ๆ มาเคลือบผิวเอาไว้ ทำให้น้ำไม่สามารถระเหยออกจากผิว ส่วนผสมที่ทำหน้าที่ในการเคลือบผิว ได้แก่ ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Vaseline, Dimethicone, Cyclomethicone, Mineral Oil และ Siloxanes เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำหน้าที่ในการเคลือบผิว จึงอาจทำให้เกิดปัญหารูขุมขนอุดตันจนเกิดปัญหาสิวและปัญหาผิวพรรณอื่น ๆ ตามมาได้ มอยส์เจอไรเซอร์แบบสครับผิวจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมากจนไม่สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมได้ แม้ว่าคุณจะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมลงไปสักกี่ครั้ง ผิวของคุณก็ยังคงแห้งกร้านอยู่เช่นเดิม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อที่จะได้ประโยชน์จะมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดนี้ให้มากที่สุด เมื่ออาบน้ำอุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำส่วนเกินออก ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ อยู่ มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะสร้างฟิล์มบาง ๆ จัดเก็บอนุภาคของน้ำไว้ใต้ผิวทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสเป็นเวลานาน [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบติดทนนาน
เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งมาก ๆ จนมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบธรรมดาไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้นานเป็นพิเศษ ( 1-2 ชั่วโมง ) ซึ่งทนนานและดีกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดธรรมดา และจำเป็นต้องทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ นอกจากจะมีส่วนประกอบของสารเก็บความชื้นแล้ว มอยส์เจอไรเซอร์ ชนิดติดทนนานยังมีส่วนผสมของสารสร้างความชื้น สารดูดความชื้นและสารเคลือบผิวบางประเภทเช่น (Sodium PSA), Glycerin, Dimethicone, Hyaluronic Acid, และ Colloidal Oatmeal
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์
เนื่องจากปัจจุบันความต้องการในการลดริ้วรอยแห่งวัยและการมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยจากผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว มีเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับความต้องการในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวพรรณ บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงมีการผสมสารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยและช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงลงไปในครีมบำรุงผิวด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและป้องกันปัญหาผิวหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง
ผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสม ผิวทำการผลิตไขมันและสารดูดซับความชื้นออกมาในปริมาณที่มากพอ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นเพียงพออยู่แล้ว จึงควรหยุดใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แล้วหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยเพียงอย่างเดียว เพื่อป้องกันการมีน้ำมันบนผิวมากเกินไป สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งให้เลือกผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ในปริมาณที่มากพอสมควร เพื่อรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื่นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยควบคู่ไปกับมอยส์เจอไรเซอร์ โดยให้ทาครีมลบเลือนริ้วรอยลงไปก่อน รอให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด ( ประมาณ 2-3 นาที ) แล้วจึงค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ตบท้ายเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ วิธีนี้จะทำให้ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ได้รับประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมลบเลือนริ้วรอยอย่างเต็มที่ในขณะที่ผิวพรรณคงความชุ่มชื้นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ
ในสภาวะปกติผิวของเราจะมีสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันในตัวอยู่แล้ว โดยถูกควบคุมด้วยชั้นไขมันที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง แต่ด้วยปัจจัยบางประการ อันได้แก่ สภาพแวดล้อมและอายุที่เป็นตัวทำให้สมดุลดังกล่าวถูกทำลาย ยังผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งกร้านและแตกเป็นขุย ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะเป็นตัวปรับสมดุลดังกล่าว ให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่ม
Occlusive
เป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการรักษาระดับน้ำในผิวมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) มิเนอรัลออย ( Mineral Oil ) ไซโครเมธิโคน ( Cyclomethicone ) ลาโนลิน ( Lanolin ) ทำหน้าที่ในการเคลือบผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสมหรือผิวที่ค่อนข้างมัน สำหรับสารออกฤทธิ์ที่ใช้กันมานานและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมมากที่สุดคือ ปิโตรลาทัม แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดอาการอุดตันของผิวได้ง่ายเช่นกัน
Emollient
ทำหน้าที่ในการเพิ่มความนุ่มลื่นให้แก่ผิว เช่น โจโจ้บาออย ( Jojoba Oil ) กลีเซอรีลสเตียเรต ( Glyceryl Stearate ) โพรไพลีนไกลคอล ( Propylene Glycol ) เป็นต้น แต่ไม่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวแต่อย่างใด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งที่เมื่อสัมผัสผิวแล้วสากมือ
Humectant
ทำหน้าที่ในการเพิ่มน้ำให้แก่ผิว เช่น ยูเรีย ( Urea ) เจลาติน ( Gelatin ) กลีเซอริน ( Glycerin ) โซเดียมแล็ตเตต ( Sodium Lactate ) แอมโมเนียแล็กแตต ( Ammonium Lactate ) กรดไฮยาลูโรนิก ( Hyaluronic Acid ) เป็นต้น โดยจะดึงน้ำจากสิ่งแวดล้อมและจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้นเป็นเวลานาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวธรรมดาและผิวมัน
คลีนเซอร์ ( Clenser )
คลีนเซอร์มีหน้าที่ในการทำความสะอาดผิวพรรณ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
Wipe off Cleanser
มีความเข้มข้นมาก ส่วนมากจะอยู่ในรูปของครีมเข้มข้นหรือน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง
Cleansing Wipe
มักอยู่ในรูปของผ้าเช็ดหน้า ผลิตมาเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน สามารถพกพาได้สะดวก ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ประจำวัน เพราะอาจมีสารเคมีตกค้างบนผิว หลังจากใช้แล้วให้ล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเพื่อชะล้างสารเคมีที่ตกค้างออกให้หมด [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
Water Soluble
มักอยู่ในรูปของสบู่ก้อน โลชั่น ครีม เจล หรือโฟม ละลายน้ำและล้างออกด้วยน้ำสะอาดได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวมัน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งที่ต้องการ การดูแลผิว เป็นพิเศษ
Eye Make-Up Remover
มีส่วนผสมของ Silicon หรือ Oil Bese ถูกออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคลีนเซอร์ที่ดีควรละลายน้ำได้ดี สามารถชะล้างสิ่งสกปรกและสารเคมีได้อย่างหมดจด โดยไม่เหลือสารอันตรายตกค้างอยู่บนผิวซึ่งอาจสะสมตัวจนก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาภายหลัง
ควรเลือกคลีนเซอร์โดยยึดประเภทของผิวเป็นหลัก มีค่าความเป็นกรดด่างที่ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างตามธรรมชาติของผิว ( ประมาณ 4.5-5 ) ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ หลีกเลี่ยงคลีนเซอร์ที่ผสมสารเคมีอื่น ๆ ที่นอกจากสารทำความสะอาด เช่น สารสร้างความชุ่มชื้น สารเคมีที่ช่วยปิดรูขุมขนหรือสารที่ช่วยทำให้ผิวลื่น เรียบเนียน เพราะสารเคมีที่ตกค้างอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวในภายหลังได้
สครับ ( Scrub )
สครับหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เมื่อแบ่งตามประเภทของสารขัดผิวแล้ว จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่
1. ประเภทที่ใช้สารสครับ อาจทำมาจากถั่ว เมล็ดข้าวบด ซิลิคอน ( Silicon Bead ) หรือโพลียูริเธน ( Polyurethane Bead )
2. ประเภทที่ใช้สารเคมี ได้แก่ เอเอชเอ และบีเอชเอ
3. ประเภทเอนไซม์จากพืชผัก เช่น มะละกอหรือสับปะรด
4. ประเภทมาสก์ที่มีส่วนผสมของดินชนิดพิเศษ
5. ประเภทเครื่องมือต่าง ๆ เช่น แปรงหมุน ครีมกรอหน้าด้วยอัญมณี
สครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อยู่ด้านบนให้หลุดลอกออกไป เหลือเอาไว้แต่ผิวเกิดใหม่ที่สดใสและเปล่งปลั่ง สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์สดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเซลล์ผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว และขัดผิวอย่างเบามือ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
โทนเนอร์ ( Toner )
โทนเนอร์มีชื่อเรียกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเอสตริเจนต์ รีเฟรชเชนเนอร์หรือโทนิก ทำหน้าที่ในการขจัดคราบสิ่งสกปรก ไขมัน หรือสารเคมีที่ตกค้างหลังจากทำความสะอาดให้ออกไปอย่างหมดจด ช่วยลอกเซลล์ผิว ช่วยปรับค่าความเป็นกรดด่างของผิวหลังจากการล้างหน้า ทำให้ครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีขึ้น
หากแบ่งตามความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมหลักแล้ว จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ รีเฟรชเชนเนอร์ แคลิฟายอิงโลชั่น และเอสตริเจนต์
แคลิฟายอิงโลชั่น ( Cali Fying Lotion )
เป็นโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ปานกลาง มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันที่เคลือบผิวออกไปบ้าง แต่ไม่รุนแรงมากจนทำให้ผิวแห้งเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวผสม
เอสตริเจนต์ ( Estringent )
มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าแคลิฟายอิงโลชั่น จึงทำให้มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันส่วนเกิน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมไปถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวได้มากกว่า เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน คนที่ประสบปัญหาต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป
รีเฟรชเชนเนอร์ ( Refreshener )
เป็นโทนเนอร์ที่เหมาะสำหรับผู้มีผิวแห้ง เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุของการแห้ง ระคายเคือง และแพ้ของผิว เนื่องจากปราศจากแอลกอฮอล์ที่จะคอยชะล้างน้ำมันที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตขึ้นมา ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล น่าสัมผัส
การดูแลผิว รอบดวงตา
อายครีมหรือครีมบำรุงรอบดวงตา ( Eye Cream ) มีประสิทธิภาพในการช่วยลดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเส้นเลือดใต้ผิวรอบดวงตาหรือเม็ดสีใต้ผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตา เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์ที่ไปยับยั้งการเคลื่อนไหวซ้ำไปมาของกล้ามเนื้อรอบดวงตาอันเป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการบวมของถุงน้ำใต้ตา อันมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยทั่วไปแล้วอายครีมจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เจล ครีมน้ำนม และครีมเข้มข้น [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
เจล
ทาเพื่อลดอาการบวมและลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตาให้ค่อย ๆ จางหายไป มีประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื้นและความเย็นแก่ผิวหนัง มีลักษณะบางเบา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งผิวจะมีกระบวนการผลิตน้ำมันออกมามากเกินพอ
ครีมน้ำนม
ช่วยมอบความชุ่มชื่นให้แก่ผิวรอบดวงตา และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน มีฤทธิ์ในการบำรุงผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวไม่แห้งมาก
ครีมเข้มข้น
มีลักษณะเป็นครีมข้นที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ เนื้อครีมที่มีประสิทธิภาพในการลบเลือนริ้วรอย รอยหมองคล้ำบริเวณผิวหนังรอบดวงตา มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง เนื่องจากมีความเข้มข้นและความมันสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ
เดย์ครีม ( Day Cream )
ทำหน้าที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสไม่หยาบกร้าน มีส่วนผสมของสารกันแดด ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอันตรายในยามกลางวันได้เป็นอย่างดี มีความบางเบาจึงเหมาะสำหรับทาตอนกลางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องทำกิจกรรมในระหว่างวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าวหรือหนาวจนเกินไป หากใช้ครีมที่มีความเข้มข้น อาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายผิวได้ง่าย และอาจนำไปสู่ปัญหาผิวในเวลาต่อมา
ไนท์ครีม ( Night Cream )
มีคุณสมบัติเหมือนกับเดย์ครีมทุกประการ คือทำหน้าที่ในการมอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง มีส่วนผสมของอาหารผิวและสารออกฤทธิ์ในปริมาณที่มากกว่าเดย์ครีม เหมาะสำหรับกลางคืน เนื่องจากเป็นช่วงที่เราพักผ่อนทำให้ผิวหน้าได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ โดยทั่วไปแล้วเดย์ครีมกับไนท์ครีมไม่ค่อยต่างกันมากนัก ครีมทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันตรงที่เดย์ครีมจะมีส่วนผสมของสารกันแดด ในขณะที่ไนท์ครีมไม่มี เดย์ครีมจะมีความบางเบามากกว่าไนท์ครีม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เราสามารถใช้ครีมกระปุกเดียวกันได้ด้วยซ้ำ โดยไม่จำเป็นต้องแยกซื้อให้เสียเงินมากมาย เพียงแต่ว่าหลีกเลี่ยงการทาเดย์ครีมในช่วงกลางคืนเท่านั้น เพราะผิวอาจเกิดการระคายเคืองจากสารกันแดดที่ผสมอยู่ในครีมได้ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ครีมหน้าขาว ( Whitening Cream )
โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์ของการใช้ครีมหน้าขาว ดูแลผิว หน้ามีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ การทำให้ผิวขาวใสขึ้นและการทำให้สีผิวเสมอกัน ช่วยลดจุดด่างดำและทำให้ฝ้าจางลง ครีมหน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งครีมมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยจะออกฤทธิ์ตั้งแต่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์การสร้างเม็ดสี ทำลายเอนไซม์ การสร้างเม็ดสี ต้านการกระจายตัวของเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นแล้วมิให้กระจายไปตามเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ยังกระตุ้นมิให้เซลล์ผิวหนังพัฒนาไปเป็นจุดด่างดำ ให้หลุดลอกออกไปเร็วขึ้น
โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่นิยมใส่ลงไปในครีมหน้าขาวจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
1. สารยับยั้งระหว่างกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ แอสคอร์บิค เอซิด ( Ascorbic Acid ) แอสคอร์บิค เอซิด พาลมิเทต ( Ascorbic Acid Palmitate ) อาร์บูติน ( Arbutin ) อาเซเลอิก เอซิด ( Azelaic Acid )
2. สารยับยั้งหลังกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ เรติโนอิก เอซิด ( Retinoic Acid ) แล็กติก เอซิด ( Lactic Acid ) มิลค์ เอกซแทรคต์ ( Milk Extract ) ไลโนเลอิก เอซิด ( Linoleic Acid )
3. สารยับยั้งก่อนกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ ไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) เตรติโนอิน ( Tretinoin )แต่อย่างไรก็ตามครีมหน้าขาวชนิดใดชนิดหนึ่งจะช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดขึ้นในผิวชั้นตื้นตื้นเท่านั้น และการใช้ได้ผลดีหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาผิวที่เป็นอยู่ ส่วนผสมและปริมาณความเข้มข้นของสารที่ใช้ในครีม
ครีมชนิดหนึ่งอาจมีการโฆษณาว่ามีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ส่วนผสมดังกล่าวมีปริมาณความเข้มข้นไม่เพียงพอจนไม่อาจออกฤทธิ์เพื่อรักษาปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาผิวดังกล่าวเกิดขึ้นในชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไปด้วยแล้ว ไม่ว่าครีมหน้าขาวชนิดนั้นจะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพดีและเข้มข้นเพียงใดก็ไม่สามารถรักษาอาการดังกล่าวให้หายดีดังเดิมได้
ครีมต่อต้านริ้วรอย ( Anti-aging Cream )
เป็นครีมที่ใช้ ดูแลผิว อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรและดูเหมือนว่าจะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด นั่นก็คือความต้องการที่จะดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอนั่นเอง จึงทำให้ครีมต่อต้านริ้วรอยขึ้นแท่นเครื่องสำอางอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคเรียกต้องการมากที่สุด [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมต่อต้านริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
สารกลุ่มวิตามิน
มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจนและขจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรม ความร่วงโรยของเซลล์และเนื้อเยื่อและการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยขจัดปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ อย่างได้ผลชัดเจน แต่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ตัวอย่างเช่น วิตามินอี วิตามินซี อัลฟาไลโปอิก เอซิด ( Alphalipoic Acid ) เรตินอล ( Retinal ) ไนอาซินาไมด์
สารออกฤทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติ
มีหน้าที่ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอย มีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดริ้วรอยมากกว่ารักษา เมื่อริ้วรอยนั้นเกิดขึ้นแล้ว จะออกฤทธิ์แบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจนเหมือนสารกลุ่มแรก ตัวอย่างเช่น เคอร์คูมิน ( Curcumin ) กรีนที ( Green Tea ) เอลลาจิก เอซิด ( Ellagic Acid ) ไฮเปอร์ไรซิน (Hypericin)
สารที่ออกฤทธิ์ควบคุมเซลล์
ออกฤทธิ์ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยของผิวพรรณมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดริ้วรอย มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเสียมากกว่าตัวอย่าง เช่น
กลุ่มสารสกัดจากชีวภาพ จะทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณไปยังเซลล์ เพื่อยับยั้งการทำลายคอลลาเจนและเสริมสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ เพื่อยับยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและกระบวนการเกิดริ้วรอยให้เกิดขึ้นได้ช้าลง
กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งประสาท เป็นสารที่สกัดได้จากพืชหลายชนิด ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้มีมากขึ้น ยังผลให้ผิวพรรณเต่งตึงกระชับ ไม่เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
ครีมยกกระชับผิว ( Lifting Cream )
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับครีมยกกระชับผิวอย่างผิด ๆ พวกเขาเข้าใจว่าครีมยกกระชับผิวจะช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อยของตนให้กลับมาเต่งตึงเหมือนเดิมได้ทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แท้จริงแล้วครีมยกกระชับผิวจะอาศัยหลักแรงตึงตัวของผิวในการกระชับผิวให้ตึงตัวแบบชั่วคราว ครีมยกกระชับผิวจะมีสารเคมีบางตัวซึ่งเป็นโพลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่จะช่วยยกกระชับผิว ทำให้เกิดแรงตึงตัวคล้ายการใช้ไข่ขาวมาทาหน้า ไข่ขาวจะทำให้แรงตึงตัวอย่างเห็นได้ชัดแต่แรงตึงตัวที่ได้จากครีมเหล่านี้ จะเกิดเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ถาวรอย่างที่ใคร ๆ หลายคนเข้าใจกัน [adinserter name=”sesame”]
โดยครีมดังกล่าวจะออกฤทธิ์ในการยกกระชับผิวให้เต่งตึงภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผิวจะกลับมาสู่สภาพเดิม ดังนั้น จึงต้องทำใหม่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าครีมยกกระชับผิวจะใช้ไม่ได้ผลถาวร แต่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่ามันเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระชับเต่งตึงแบบง่าย ๆ และไม่ยุ่งยาก โดยในวันหนึ่งๆ สามารถทำใหม่ได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ต้องการให้ผิวคงความเต่งตึงกระชับ ดังจะเห็นได้จากบางคนที่จำเป็นต้องเพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิว เช่น นางแบบหรือคนทำงานที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองก่อนออกไปทำงานนอกบ้าน ก็จะหันมาใช้ครีม ดูแลผิว ชนิดนี้ เนื่องจากสามารถทำให้ผิวกระชับเต่งตึงขึ้นจริงในเวลาอันสั้น แต่เมื่อสารที่ช่วยยกกระชับผิวหมดฤทธิ์ลงก็ต้องทำใหม่อีกครั้ง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง