ความคิดผิดหลงผิดจากโรคสมองเสื่อมเป็นอย่างไร

0
ความคิดผิดหลงผิดจากโรคสมองเสื่อมเป็นอย่างไร
โรคจิตเภท เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด ส่งผลให้การรับรู้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง
ความคิดผิดหลงผิดจากโรคสมองเสื่อมเป็นอย่างไร
โรคจิตเภท เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด ส่งผลให้การรับรู้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง

โรคสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อม เป็นโรคที่มีความลับซับซ้อนซ่อนอยู่อีกมากมาย ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปมากจนทำให้เราได้เข้าใจส่วนประกอบและความเปลี่ยนแปลงของสมองมากขึ้นแล้ว

แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทั้งหมดนั่นได้สักครึ่งหนึ่งของความลับในสมองหรือยัง ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมมากขึ้นหลายคนไม่รู้สึกว่าโรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่แปลกใหม่หรือหาได้ยากอีกแล้ว แต่กลับมีคนจำนวนไม่มากเท่าไรที่เข้าใจถึงรูปแบบของโรคสมองเสื่อมอย่างแท้จริง เพราะสัญญาณหรืออาการที่แสดงออกของผู้ป่วยไม่แน่นอน แถมยังทับซ้อนกับโรคอื่นๆ อย่างเช่น อัลไซเมอร์ จิตเภท พาร์กินสัน เป็นต้น ต้องเป็นคนที่ศึกษาด้วยความสนใจหรือคลุกคลีอยู่ในวงการแพทย์เท่านั้นเองถึงจะแยกแยะได้จริงๆ ว่าอาการของผู้ป่วยนั้นอยู่ในกลุ่มของโรคไหน

อาการของความคิดผิดหลงผิด ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างโรคสมองเสื่อมและจิตเภท หลายคนเข้าใจว่ามันคือโรคเดียวกันด้วยซ้ำ

ซึ่งในสมัยก่อนก็ต้องยอมรับว่าการดูแลรักษาหรือการวินิจฉัยนั้นสองโรคนี้แทบจะไม่ต่างกันเลย แต่ตอนนี้เรามีองค์ความรู้ทางการแพทย์เพิ่มมากขึ้นแล้ว จึงได้รู้ว่าที่แท้โรคสมองเสื่อมกับโรคจิตเภทนั้นต่างกันมาก และยังต้องมีรายละเอียดในการรักษาที่แตกต่างกันอีกด้วย

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคจิตเภท

โรคจิตเภท  ( Schizophrenia ) เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด ส่งผลให้การรับรู้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงและก่อให้เกิดปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งโรคจิตเภทนั้นมีสาเหตุการเกิดได้ทั้งทางร่ายกายและจิตใจ ทางร่างกายได้แก่ พันธุกรรม สารเคมีในสมองผิดปกติ เป็นต้น ในทางจิตใจส่วนใหญ่เกิดจากความเครียดหรือได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ความคิดผิดหลงผิดในกลุ่มโรคจิตเภทจึงเป็นไปในลักษณะที่มีความเชื่ออย่างสนิทใจในเรื่องที่ผิดไปจากความจริง ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขกันด้วยเหตุผลได้ด้วย เช่น คิดไปเองว่าจะมีคนอื่นมาทำร้าย คิดว่าตนเองกำลังจะถูกวางยาพิษ คิดว่าตนเองมีอำนาจหรือพลังพิเศษ

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคจิตเภทยังสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของอาการได้อีก 5 กลุ่ม คือ

1. Erotomanic Type คือ กลุ่มที่คิดว่าบุคคลอื่นหลงรักตนเอง หรือคิดว่าคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักนั้นเป็นคนรักของตนเอง โดยที่ผู้ป่วยจะ ปิดบังไว้หรือเปิดเผยออกมาก็ได้

2. Grandiose Type คือ กลุ่มที่คิดว่ามีพลังความสามารถเกินความเป็นจริง เช่น คิดว่ามีทรัพย์สินมากมายล้นฟ้า คิดว่ามีความรู้ในระดับที่สูงมากๆ เป็นต้น

3. Jealous Type คือ กลุ่มที่ระแวงว่าคนรักนอกใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกลุ่มที่แยกได้ยากเสียด้วยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นอาการป่วยกันแน่

4. Persecutory Type คือ กลุ่มที่คิดว่าถูกปองร้าย หรือคนใกล้ชิดอย่างคนในครอบครัวกำลังอยู่ในอันตราย

5. Somatic Type คือ กลุ่มที่คิดว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง หรือคิดว่าอวัยวะของตนไม่ปกติ เช่น ใหญ่หรือเล็กเกินไป เป็นต้น

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อมเกิดจากมีความเสียหายบางอย่างในเนื้อเยื่อสมอง ผู้ที่มีอาการความคิดผิดหลงผิดสำหรับกรณีที่เกิดจากภาวะสมองเสื่อม มีที่มาจากเกิดพยาธิสภาพที่ส่วนของสมองอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง เช่น บริเวณสมองกลีบหน้า บริเวณของปมประสาท บริเวณสมองกลีบขมับ บริเวณเนื้อสมองส่วนอมิกดาลา เป็นต้น ซึ่งอาการที่แสดงออกมาก็มีหลายหลายเช่นเดียวกัน และมักจะพบในผู้ป่วยสมองเสื่อมที่อยู่ในระยะกลางเท่านั้นขึ้นไปเท่านั้น ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยสมองเสื่อม

  • มีความกลัวว่าสมบัติที่มีจะถูกขโมยไปด้วยวิธีการต่างๆ ( Delusion of Theft )
  • มีความกลัวว่าคู่รักของตนนอกใจไปกับคนอื่น ( Delusion of Infidelity )
  • มีความกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายอยู่ตลอดเวลา ( Persecutory Delusion ) 

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อมยังเชื่อมโยงกับการเห็นภาพหลอน เช่น มองเห็นปีศาจที่ไม่มีอยู่จริง มองเห็นสัตว์ป่าจะเข้ามาทำร้าย เป็นต้น และหูแว่ว เช่น ได้ยินเสียงผิดปกติแบบเดิมซ้ำๆ หรือได้ยินเสียงที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย เป็นต้น ทำให้เกิดอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรงและไม่สามารถควบคุมระดับอารมณ์ของตนเองได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการของความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อมนี้จึงมักมีความก้าวร้าวรุนแรงร่วมด้วยเสมอ

นอกจากนี้ยังมีอาการความคิดผิดหลงผิดในโรคเกี่ยวกับสมองที่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดโรคสมองเสื่อมด้วย นั่นก็คือ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่หลายคนเหมารวมให้กลายเป็นโรคสมองเสื่อมไปเรียบร้อย ทั้งที่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย อัลไซเมอร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงที่จะต่อยอดไปเป็นโรคสมองเสื่อมเท่านั้น

สำหรับอาการความคิดผิดหลงผิดในอัลไซเมอร์ จะเป็นกลุ่มของการแยกแยะที่ผิดพลาด ( Misidentification Syndrome ) คือ มีอาการ Picture Sign แยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งที่มองเห็นเป็นจริงเท็จอย่างไร เช่น กรณีที่ดูโทรทัศน์อยู่ ผู้ป่วยก็อาจเข้าใจผิดว่าสิ่งที่มองเห็นในโทรทัศน์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จริงๆ ในจุดที่ตัวเองอยู่ ถ้าเห็นเป็นคนไล่ยิงกัน ก็จะเข้าใจว่ามีคนไล่ยิงกันอยู่ในบ้านของตัวเองจนเกิดความหวาดกลัว เป็นต้น และอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มของการระบุบุคคลที่ผิดพลาด ( Capgras Syndrome ) ผู้ป่วยจะสามารถจดจำใบหน้าบุคคลใกล้ชิดหรือคนที่รู้จักคุ้นเคยได้ทั้งหมด ไม่ได้หลงลืม แต่กลับเข้าใจว่าคนเหล่านั้นเป็นตัวปลอม เช่น ถ้าผู้ป่วยมีครอบครัว มีสามีหรือภรรยาที่อยู่ด้วยกัน ก็จะจำได้ว่าตนเองมีสามีหรือภรรยาชื่ออะไร หน้าตาแบบไหน แต่เมื่อมองก็คิดว่าเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวมา หรือมีอีกคนอยู่ในร่างของสามีหรือภรรยานั่นเอง ส่งผลให้มีความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา เพราะเหมือนอยู่กับคนที่ไม่รู้จักเลยแถมไม่เห็นหน้าที่แท้จริงอีกด้วย อาจบานปลายไปถึงการทำร้ายร่างการสามีหรือภรรยาของตนเองเลยก็ได้

ระยะของอาการความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อม

ระยะต้น : ช่วงแรกนี้ในผู้ป่วยบางรายแทบไม่มีสิ่งผิดปกติที่แสดงออกมาเลย ด้วยหลายสาเหตุคือ ผู้ป่วยยังมีอาการไม่มากนักและยังไม่กระทบกับการใช้ชีวิตของเขา กับอีกกรณีคือเขาปิดบังไว้ไม่ยอมบอกใคร แต่ก็พอมีจุดให้คนใกล้ชิดสังเกตได้อยู่เหมือนกัน เพราะผู้ป่วยจะซึมเศร้าบ่อยครั้งกว่าปกติ มีช่วงจังหวะที่เฉยเมยต่อสิ่งรอบข้าง หงุดหงิดบ่อยแต่ก็ยังสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้อยู่แม้ว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าปกติก็ตาม

ระยะกลาง : ช่วงนี้ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด ความถี่ของความแปรปรวนในอารมณ์มีมากขึ้น เห็นภาพหลอนหรือมีอาการหูแว่วบ่อยๆ ขี้ตกใจและหวาดระแวง

ระยะรุนแรง : มีการแสดงออกให้เห็นได้ชัดมากขึ้นถึงอารมณ์ที่หงุดหงิด อาจมีขว้างปาข้าวของให้เห็นบ้าง เริ่มด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง สลับกับซึมเศร้าเป็นพักๆ ช่วงท้ายๆ ของระยะนี้อาจไปไกลถึงขั้นทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วย

ระยะติดเตียง : ตอนนี้ผู้ป่วยจะมีปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกาย และจินตนาการเองไม่ได้แล้วเพราะสมองเสียหายอย่างหนัก แต่ยังคงมีอารมณ์หงุดหงิดและก้าวร้าวรุนแรงขึ้น

การดูแลรักษาอาการความคิดผิดหลงผิด

แน่นอนว่าขั้นแรกต้องมีการซักประวัติและตรวจสอบขั้นพื้นฐานก่อนว่าผู้ป่วยนั้นมีอาการความคิดผิดหลงผิดจริง แล้วแยกแยะว่ามีสาเหตุมาจากโรคจิตเภทหรือโรคสมองเสื่อมกันแน่ เพราะจะช่วยให้ทำการรักษาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ตัวเลือกในการรักษามีอยู่ 2 รูปแบบ คือ รักษาด้วยยาและรักษาด้วยการบำบัด

1. การรักษาด้วยการใช้ยา

ยากลุ่มนี้จะเป็นยาระงับประสาทในเบื้องต้น เพื่อผ่อนคลายให้ผู้ป่วยลดความตึงเครียดและความกังวลลง ซึ่งต้องติดตามผลและปรับปริมาณหรือชนิดของยาไปตามอาการที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถปรับเปลี่ยนยาได้เองแม้ว่าจะสามารถหาซื้อมาได้จากแหล่งอื่น แต่ทั้งหมดต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อยู่ตลอด

2. การรักษาด้วยการบำบัด

การบำบัดจะเน้นไปที่ลดหรือตัดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ป่วยกับสิ่งเร้า เช่น ถ้าผู้ป่วยกังวลว่าตนเองมีร่างกายที่ผิดปกติและมักจะส่องกระจกเพื่อสำรวจความผิดปกตินั้นตลอดเวลา ก็ให้เอากระจกออกไปจากห้องของผู้ป่วย แต่ไม่ถึงกับเก็บกระจกทั้งหมดในบ้านออกไป เพราะผู้ป่วยจะยิ่งรู้สึกผิดปกติและเกิดความขุ่นข้องหมองใจเพิ่มอีก พร้อมกับพยายามแทรกเรื่องราวความเป็นจริงให้กับผู้ป่วยในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย เช่น ขณะที่ผู้ป่วยส่องกระจกแล้วบ่นกับผู้ดูแลว่าแขนตัวเองผิดปกติ ผู้ดูแลก็สามารถบอกว่าเป็นปกติดี ไม่มีอะไร แต่ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์อารมณ์ของผู้ป่วยและต้องไม่เป็นการบีบคั้นจนเกินไปด้วย

อันที่จริงแล้วการรักษาจำเป็นต้องกระทำร่วมกันทั้ง 2 รูปแบบ คือทั้งให้ยาตามอาการและบำบัดทางจิตไปพร้อมกัน หากมีอาการร่วมในโรคสมองเสื่อมก็ต้องทำการรักษาในส่วนนั้นไปด้วยอีกทาง ปัญหาอย่างหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยก็คือ มากกว่าครึ่งไม่ยอมรับว่าตนเองนั้นป่วย จึงปฏิเสธการรักษาอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ตัวเขาเองจะรู้สึกว่าอาการความคิดผิดหลงผิดต่างๆ เริ่มกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันแล้วก็ตาม แต่ก็หาเหตุผลให้ไม่กลายเป็นคนป่วยได้อยู่ดี สิ่งสำคัญในการรักษาจึงเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้ดูแลใกล้ชิดและแพทย์ที่ทำการรักษา ทางฝ่ายของแพทย์ นอกจากจะต้องทำหน้าที่วินิจฉัย รักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ยังต้องสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ป่วย เพราะถ้าสามารถทำให้เกิดความไว้วางใจระหว่างกันได้จริงๆ แล้ว ต่อให้ผู้ป่วยยังไม่เชื่อว่าตนเองป่วยจริงๆ ก็จะยอมให้ทำการรักษาต่อไปได้ ในฝ่ายของผู้ดูแลใกล้ชิดก็ต้องเข้าใจว่าทั้งหมดที่ผู้ป่วยกระทำเป็นผลของโรค เป็นความผิดปกติของร่างกาย ไม่ใช่ความตั้งใจที่แท้จริง และระวังการใช้อารมณ์ตอบโต้กลับ พร้อมกับหมั่นสังเกตสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

วิธีการดูแลผิวที่กำลังได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง

0
วิธีการดูแลผิวที่กำลังได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง?
วิธีในการดูแลความงามของผิวพรรณด้วยวิธีธรรมชาติ ด้วยผักผลไม้ใกล้ตัว
วิธีการดูแลผิวที่กำลังได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง?
นวดหน้าด้วยคลื่นไฟฟ้าเป็นการรักษาปัญหาต่างๆบนผิวหน้าที่เห็นผลอีกวิธี และได้รับความนิยมอย่างมาก

วิธีการดูแลผิว

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง นับตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบันมนุษย์ได้คิดค้นกรรม วิธีการดูแลผิว และความงามของผิวพรรณมากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรายเนื้อละเอียดขัดตามผิวเพื่อคงความกระจ่างใสของผิวพรรณ ซึ่งเป็นวิธีที่เรียบง่ายไปจนถึงการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและใช้ทุนสูง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

สวยด้วยแพทย์ นวัตกรรมสมัยใหม่ในการดูแลผิวพรรณและความงาม

0
สวยด้วยแพทย์ นวัตกรรมสมัยใหม่ในการดูแลผิวพรรณและความงาม
นอกจากการดูแลผิวด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วการมีแพทย์เข้ามาช่วยดูแลรักษาผิวก็จะยิ่งทำให้ผิวมีความงามยิ่งขึ้น
สวยด้วยแพทย์ นวัตกรรมสมัยใหม่ในการดูแลผิวพรรณและความงาม
นอกจากการดูแลผิวด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วการมีแพทย์เข้ามาช่วยดูแลรักษาผิวก็จะยิ่งทำให้ผิวมีความงามยิ่งขึ้น

การดูแลผิวพรรณและความงาม

ความสวยงามดูดีและความอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน ล้วนเป็นสุดยอดความปรารถนาของคนทุกเพศทุกวัยและทุกเชื้อชาติ
จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เพราะเหตุใดเราจึงใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการดูแลตนเองให้ดูดีอยู่เสมอ (อย่างน้อยในตอนเช้าเราต้องแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ สระผม) นอกจากการดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารที่ดี การพักผ่อนที่เพียงพอ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการใช้เครื่องสำอางในการแต่งแต้ม หรือลบเลือนจุดบกพร่องต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้าน การดูแลผิวพรรณและความงาม ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับความงามมากขึ้นจากเดิมที่จำกัดอยู่ในวงการสุขภาพเท่านั้น ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมในการ การดูแลผิวพรรณและความงาม ขึ้นมากมาย บางอย่างก็ให้ผลเป็น ที่น่าพึงพอใจ ในขณะที่บางอย่างก็ส่งผลร้ายต่อผิวจนก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ซึ่งการตัดสินใจเลือกใช้วิธีใดนั้น ผู้บริโภคจำเป็นต้องพิจารณาและเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน

ด้วยการสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปจนถึงผู้ที่เคยเข้าทำการรักษามาแล้ว ถึงผลลัพธ์และผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาเพราะทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งหนึ่งอาจใช้ได้ดีกับบางคน แต่อาจก่อให้เกิดผลร้ายอย่างคาดไม่ถึงกับอีกหลายคน

นวัตกรรมในการดูแลผิวพรรณที่กำลังได้รับความนิยม

1. การฉีดโบท็อกซ์

โบท็อกซ์เป็นชื่อย่อของยี่ห้อยาคลายกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง เป็นวิธีการรักษาริ้วรอยที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีสะดวกปลอดภัย ไม่เสี่ยงหากเปรียบเทียบกับการรักษาริ้วรอยโดยการผ่าตัดแบบอื่น ๆ ทำโดยการฉีดสารโบลิทูนัมทอกซิน ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์สกัดจากแบคทีเรียที่ใช้ในวงการแพทย์มานานร่วม 50 ปี แต่เพิ่งได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในวงการความงามได้

วิธีการรักษาผิวพรรณด้วยโบท็อกซ์

วิธีการใช้โบทอกซ์เพื่อรักษาริ้วรอยทำได้โดยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณที่มีริ้วรอย โบท็อกซ์จะคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งออก ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นเรียบเนียนขึ้น โดยส่วนใหญ่นิยมฉีดเพื่อลบริ้วรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก ริ้วรอยข้างมุมปากที่เกิดจากการยิ้มและหัวเราะ ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยบริเวณหัวคิ้ว ซึ่งกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจะมีการหดเกร็ง เนื่องจากการทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนกล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างถาวร มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าโบท็อกซ์จะช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึงได้ แท้จริงแล้วโบท็อกซ์จะช่วยลดเลือนริ้วรอยเท่านั้น ไม่อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้ายกตัวกระชับ หรือแก้ไขปัญหาผิวหย่อนยานได้แต่อย่างใด และการฉีดโบท็อกซ์ไม่อาจทำให้ริ้วรอยหายไปในพริบตา เพราะสารเคมีที่ฉีดเข้าไปจำเป็นต้องใช้เวลา 1 – 2 สัปดาห์ในการออกฤทธิ์  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อดีของการรักษาด้วยโบทอกซ์

จะแตกต่างจากการทำศัลยกรรม การลบเลือนริ้วรอยด้วยโบท็อกซ์จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที (ประมาณ 10 นาที) ผิวเป็นร่องลึกจะเรียบตึงดังเดิม ยังผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ลง บางรายอาจอ่อนเยาว์ลงได้ถึง 10 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าการฉีดโบท็อกซ์ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่ผู้เข้ารับการรักษาแต่อย่างใด คนไข้ไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาลหรือต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้าน อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดบาดแผลแต่อย่างใดเพราะโบท็อกซ์จะหมดฤทธิ์เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น หากไม่พอใจในผลลัพธ์ของการรักษา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามสามารถกลับมาทำใหม่ได้อีกเมื่อยาหมดฤทธิ์แล้ว

ข้อเสียของการรักษาด้วยโบท็อกซ์

ทุกอย่างบนโลกใบนี้ จะต้องมีด้านที่ดีและด้านไม่ดี แม้ว่าโบท็อกซ์จะช่วยในเรื่องของ การดูแลผิวพรรณและความงาม ได้มาก จนผู้หญิงหลาย ๆคนต่างตั้งสมญานามให้ว่า Magic Bottel แต่มันก็มีข้อเสียอยู่บ้างบางประการเหมือนกัน โดยโบท็อกซ์ไม่อาจลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นให้หายได้ตลอดไป สารเคมีที่ฉีดเข้าไปจะหมดฤทธิ์เมื่อเวลาผ่านไป 3-4 เดือน หลังจากนั้นริ้วรอยเหี่ยวย่นจะกลับมาเหมือนเดิม เพื่อที่จะรักษาความเนียนเรียบของผิวหนังเอาไว้ จำเป็นต้องย้อนกลับมาฉีดซ้ำบ่อย ๆ สนนราคาในการฉีดแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน หากริ้วรอยมีจำนวนมากหรือลึกมากก็จำเป็นต้องฉีดมาก ซึ่งนั่นก็อาจทำให้ค่ารักษาแพงตามไปด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีราคาค่อนข้างสูง ( 5,000 บาท ขึ้นไป) เนื่องจากจำเป็นต้องนำยาเข้ามาจากต่างประเทศ แม้ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะทำได้ง่ายและไม่มีความเสี่ยง ถ้าเปรียบเทียบกับการเสริมความงามประเภทอื่น ๆ ที่ต้องมีการผ่าตัดใหญ่ แต่การฉีดโบท็อกซ์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น คนไข้แต่ละคนแม้ว่าจะมีริ้วรอยอย่างเดียวกันแต่ขั้นตอนในการรักษาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านร่างกายและวิจารณญาณของแพทย์ผู้ให้การรักษาเป็นสำคัญ

2. การฉีดคอลลาเจน

เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โบท็อกซ์ช่วยลบเลือนริ้วรอยตื้น ๆ บนใบหน้า คอลลาเจนนอกจากจะช่วยลดริ้วรอยดังกล่าวให้หายไปแล้วยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้ออกมาตรงตามใจต้องการได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน

ความจริงแล้ว การแก้ไขรูปหน้าเดิมที่มีการใช้สารเคมีหลายชนิด เช่น พาราฟิน ซิลิโคนหรือน้ำมันเทียมที่นิยมกันมากที่สุดในขณะนี้นั่นก็คือคือคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารสกัดจากคอลลาเจนของวัว การฉีดคอลลาเจนสามารถแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณต่าง ๆ ได้ เช่น ช่วยแก้ไขริ้วรอยเหี่ยวย่น ร่องแก้ม แผลที่เกิดจากสิว นอกจากนี้คอลลาเจนยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้ได้อย่างที่ต้องการแต่อยู่ได้เพียงชั่วคราว เช่น เติมคางให้ยาวขึ้น เติมแก้มให้อวบอิ่มขึ้น เป็นต้น

เช่นเดียวกับการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะฉีดคอลลาเจนลงไปในผิวบริเวณที่มีปัญหา เนื่องจากคอลลาเจนมีผลข้างเคียงน้อยและได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา ทำให้คอลลาเจนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับพาราฟินหรือซิลิโคน ซึ่งเป็นสารเคมีที่เคยนำมาใช้เพื่อแก้รูปหน้าในอดีตที่ถูกห้ามให้ใช้ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูงหรืออยู่ติดกับร่างกายเป็นการถาวร ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่งในระยะยาว

ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน

คอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปในร่างกายจะอยู่ได้นาน 6 เดือน ถึง 2 ปี แล้วจะสลายตัวไปเอง จึงเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายในระยะยาว เนื่องจากคอลลาเจนได้รับจากสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายน้อยและมีความปลอดภัยสูงมาก

ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน

เนื่องจากคอลลาเจนจะสลายตัวเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คนไข้จึงจำเป็นต้องไปรับการฉีดอยู่บ่อย ๆ นอกจากจะต้องเสียเงินจำนวนมากหลาย ๆ ครั้งแล้ว คอลลาเจนยังก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายอีกด้วย โดยพบว่าร้อยละ 3 ของผู้ที่ฉีดคอลลาเจนจะมีอาการแพ้ ดังนั้น ก่อนที่จะฉีดคอลลาเจนแพทย์ผู้ชำนาญจะทำการทดสอบคอลลาเจนกับร่างกายของคนไข้เพื่อความปลอดภัยเสียก่อนเสมอ คอลลาเจนไม่สามารถลบรอยแผลเป็นให้หายไปได้ ดังนั้น จึงมีอยู่บ่อยครั้งที่แพทย์ผู้ขาดความเชี่ยวชาญจะฉีดคอลลาเจนให้คนไข้มากจนเกินไป จนทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวบวมนูนขึ้นมาได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3. ไฮยาลูโรนิก

ไฮยาลูโรนิกผลิตมาจากไฮยาลูโรนัน มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับคอลลาเจน ต่างกันตรงที่ไฮยาลูโรนิกไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างที่คอลลาเจนเป็น เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่พบในผิวหนังของมนุษย์ ร่างกายจึงไม่แสดงปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด

วิธีการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก

รักษาเช่นเดียวกับคอลลาเจน แพทย์จะทำการฉีดไฮยาลูโรนิกลงไปยังบริเวณผิวที่มีปัญหา ช่วยในการกระชับโครงหน้า ทำให้หน้าเต่งตึงอุ้มน้ำได้ดีทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่นดี และแลดูอ่อนกว่าวัย ช่วยแก้ไขใบหน้าให้ได้รูป ฉีดริมฝีปากให้อวบอิ่ม เติมเต็มร่องแก้ม ลบเลือนรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก ริมฝีปากร่อง ปีกจมูก รักษารอยแผลเป็นให้เต็มตื้นขึ้น และจะสลายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ถึง 1 ปี

ข้อดีของการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก

เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ไฮยาลูโรนิกจึงไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด และเนื่องจากไม่อยู่ในร่างกายตลอดไป จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวแก่ร่างกายอย่างซิลิโคนหรือพาราฟิน

ข้อเสียของการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก

แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาริ้วรอยที่ดีเยี่ยม แต่ไฮยาลูโรนิคอาจสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่บางคนที่ปรารถนาจะมีความเต่งตึงและรูปหน้าที่กระชับได้รูปอยู่ไปชั่วกาลนาน เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ถึง 1 ปีมันจะสลายไปได้เอง

4. การฉีดไขมัน

เนื่องจากการเติมสารสังเคราะห์ภายในร่างกายอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงและเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงมีความคิดที่จะนำไขมันมาช่วยลบเลือนริ้วรอยและแก้ไขรูปหน้าให้ดีขึ้น เนื่องจากไขมันเป็นสารที่ได้จากร่างกาย เมื่อถูกฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ร่างกายจึงไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน

แพทย์จะนำไขมันของคนไข้ฉีดกลับลงไปยังริ้วรอยหรือบริเวณที่ต้องการในปริมาณมาก เช่น แก้ม เพื่อให้แลดูอวบอิ่ม เป็นต้น

ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน

เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายของคนไข้ผลิตขึ้นมาเอง จึงหมดปัญหาเรื่องอาการแพ้ไปได้เลย นอกจากนี้ยังพบว่าไขมันมีประสิทธิภาพในการเติมเต็มได้ยาวนานกว่าคอลลาเจนอีกด้วย

ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน

หลังจากการฉีดผิวหนังอาจเกิดอาการช้ำ คนไข้ต้องนอนพักที่บ้านสัก 1 – 2 อาทิตย์ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างเคร่งครัดอีกด้วย หากฉีดไม่ดีอาจเกิดก้อนตะปุ่มตะป่ำขึ้น หรืออาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยก็ได้

5. การผลัดเซลล์ผิว

เป็นนวัตกรรมในการดูแลรักษาผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีความเสี่ยง สะดวก ปลอดภัย ราคาไม่แพง และไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือใช้กระบวนการทางการแพทย์ชั้นสูงหรือเทคโนโลยีซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีหลายวิธีที่สามารถทำได้เองที่บ้าน การผลัดเซลล์ผิวช่วยแก้ปัญหาผิวที่พบโดยส่วนใหญ่ได้ดี เช่น ผิวหมองคล้ำ สิว จุดด่างดำ ริ้วรอยตื้น ๆ ผิวไม่สดใส ทำให้เซลล์ผิวที่เกิดใหม่แข็งแรง สดใสแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีริ้วรอยลึกหรือผิวที่มีความหย่อนคล้อย

การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยรักษาผิวหน้าระดับใดได้บ้าง?

เมื่อกล่าวถึงการผลัดเซลล์ผิว คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วหรือที่เรียกกันว่าชั้นขี้ไคลออกไปเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเราสามารถแบ่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวออกเป็น 3 ระดับ ได้ดังต่อไปนี้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 1 เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด เนื่องจากเห็นผลเร็ว ปลอดภัยและไม่เสียเวลามาก เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัย คนไข้สามารถทำเองได้ที่บ้าน นอกจากจะเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง นับเป็นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่อยู่ชั้นบนสุด ซึ่งเป็นเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อรวมตัวกับฝุ่นละอองและคราบเหงื่อไคลจะกลายเป็นขี้ไคล เซลล์ผิวชั้นนี้จัดเป็นสาเหตุของความหมองคล้ำ การมีแผลเป็นจาง ๆ ไม่ลึกมากนัก การมีจุดด่างดำขนาดเล็ก หรือการมีรอยตื้น ๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะหายไปด้วยการใช้กรดผลไม้ (เอเอชเอ) ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวออกไป

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นวิธีที่สะดวกและเห็นผลได้เร็ว แต่เพื่อให้ได้ผลจากการรักษาที่ดีที่สุด คนไข้ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวน 6 ครั้ง ทุก ๆ 2 – 3 อาทิตย์ วิธีการรักษาดังกล่าวไม่อาจทำให้สภาพผิวหน้ากลับมาดีได้อย่างถาวร หากหยุดทำใบหน้าก็จะกลับมาหมองคล้ำอีกเช่นเคย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีที่สุดและคงความสวยใสของผิว นอกจากการเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอแล้ว คนไข้ต้องใส่ใจในเรื่องอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อ การดูแลผิวพรรณและความงาม ขอผิวด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่า เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน การดื่มน้ำ การหลบเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำลายเซลล์ผิว เช่น แสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ เป็นต้น

ด้วยประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวของกรดเอเอชเอที่ดีเยี่ยม บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากได้เพิ่มความน่าสนใจให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยการผสมกรดเอเอชเอลงไป ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อน ๆ ทำให้ผิวสวยใสและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างช้า ๆ โดยทั่วไปแล้วกรดที่ผสมลงไปจะมีความเข้มข้นอยู่ที่ร้อยละ 1 – 15 ซึ่งเป็นความเข้มข้นอ่อน ๆ ( เมื่อเปรียบเทียบกับความเข้มข้นที่ใช้ในคลินิกทั่วไปซึ่งจะอยู่ที่ร้อยละ 15 – 20 ซึ่งเป็นระดับที่มีความเข้มข้นมากกว่าและผลัดเซลล์ผิวได้มากกว่า ) ยังผลให้ประสิทธิภาพการผลัดเซลล์ผิวน้อยลงไปด้วย
แต่ถ้ามองในแง่ของความปลอดภัยแล้ว ที่ระดับความเข้มข้นนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเพราะเราจะนำมาใช้เอง หากต้องการความเข้มข้นมากและได้ประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวที่ดียิ่งขึ้น ต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากใช้อย่างไม่เหมาะสมแล้ว อาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าผลดี

การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 2 เป็นกระบวนการรักษาเซลล์ผิวที่อยู่ลึกกว่าการผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 1 ปัญหาผิวที่มักเกิดขึ้นกับผิวชั้นนี้คือ จุดด่างดำ แผลเป็นและรอยตีนกา วิธีแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การใช้กรดทีซีเอ (TCA) (Trichloroacetic Acid) ช่วยในการผลัดเซลล์ กรดทีซีเอเป็นกรดที่มีความเข้มข้นมากกว่ากรดเอเอชเอและสามารถซึมลึกลงสู่ผิวได้ดีกว่าเอเอชเอ จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่อยู่ลึกลงไปได้ดีกว่า การผลัดเซลล์ผิวในระดับที่ลึกลงไปจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญอย่างเข้มงวด เราไม่สามารถทำได้เองที่บ้านเพราะอาจเกิดอันตรายตามมาภายหลังได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กรดทีซีเอเป็นกรดที่มีความเข้มข้นสูง จึงทำให้สามารถรักษาปัญหาผิวในตำแหน่งที่ลึกขึ้น ซึ่งกรดเอเอชเอธรรมดาไม่อาจทำได้ ในระหว่างที่เข้ารับการรักษาคนไข้อาจรู้สึกเจ็บปวด และอาการดังกล่าวอาจกินเวลาในการรักษานานขึ้นอีก 1-2 วัน เนื่องจากผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อเข้ารับการรักษาคนไข้จำเป็นต้องผ่านการรักษาในระดับที่ 1 ก่อน เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของผิว หากไม่มีปัญหาใด แพทย์จะเพิ่มความเข้มข้นของสารเคมีไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้นกระบวนการ เพื่อความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้คนไข้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผิว เช่น แสงแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 5 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าผิวอยู่ในสภาพที่ดีแล้ว มิฉะนั้น ผิวอาจจะหมองคล้ำยิ่งกว่าเดิมได้

การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 3 เป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ลึกที่สุด ปัญหาผิวที่มักเกิดขึ้นกับผิวชั้นนี้คือ จุดด่างดำ ริ้วรอยที่มีความลึกและแผลเป็นขนาดใหญ่ แพทย์ผู้ทำการรักษาจะใช้สารฟีนอลมาช่วยรักษาปัญหาผิวในชั้นนี้ สารฟีนอลมีฤทธิ์ในการทำลายเมลาโนไซต์ใต้ผิวหนังที่บรรจุเม็ดสีเอาไว้ ยังผลให้ผิวที่ผ่านการรักษาระดับนี้ขาวสว่างใสเกือบถาวร แต่กระบวนการรักษาในระดับนี้อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดได้หลังจากการทำ ผิวของคนไข้จะแดงเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ( ประมาณ 3 – 4 เดือน)

เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวในระดับที่ 2 และ 3 จะมีการใช้สารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ที่เข้มข้นมากกว่าระดับแรกมาก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวมีมากไปด้วย ยังผลให้ผิวที่ผ่านการผลัดมีความสดใสและขาวกว่าผิวเดิมอย่างเห็นได้ชัด ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า 2 วิธีหลังจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวขาวมากกว่า เนื่องจากผิวที่ผลัดใหม่กับผิวดั้งเดิมจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ในขณะที่ผู้ที่มีผิวคล้ำอาจเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

ยกตัวอย่างเช่น หากผลัดเซลล์ผิวที่หน้า ผิวหน้าจะขาวขึ้นในขณะที่ผิวกายยังคล้ำเช่นเดิม ซึ่งการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี (เพราะอย่างน้อยก็สูญเสียความมั่นใจไปแล้ว) เพื่อเป็นการป้องกันผิวที่ผ่านการรักษาให้ปลอดภัย และช่วยให้การรักษาประสบความสำเร็จมากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้คนไข้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของผิว เช่น แสงแดด ฝุ่น ควันและมลภาวะต่าง ๆ เนื่องจากผิวที่เกิดขึ้นมาใหม่ยังบอบบางและง่ายต่อการถูกทำร้าย หากคนไข้จำเป็นต้องออกไปทำธุระข้างนอก อย่าลืมทาครีมกันแดดและหาอุปกรณ์กันแดด เช่น ร่มหรือหมวกปีกกว้างติดตัวไปด้วยเสมอ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดเป็นเวลานาน มิฉะนั้น จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไป หนำซ้ำหากโชคร้ายผิวที่เกิดใหม่อาจมีสภาพแย่กว่าเดิมก็ได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อควรระวังในการผลัดเซลล์ผิว

แม้ว่าการผลัดเซลล์ผิวจะมีประโยชน์ในด้าน การดูแลผิวพรรณและความงาม เป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับกระบวนการนี้ สำหรับบางคนการผลัดเซลล์ผิวอาจก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี ซึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนทำการผลัดเซลล์ผิวมีดังต่อไปนี้

ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวหากมีความจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้งตลอดเวลา หรือมีแนวโน้มว่าจะต้องโดนแดด หรือโดนมลภาวะที่ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของเซลล์บ่อยครั้ง

หากคุณเป็นคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำ ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวเพราะจะเห็นความแตกต่างระหว่างผิวที่ทำและไม่ทำอย่างชัดเจน หากเป็นคนผิวคล้ำ การขัดผิวจะช่วยรักษาปัญหาผิวได้ดีกว่าการผลัดเซลล์ผิว สำหรับคนที่มีผิวขาว การผลัดเซลล์ผิวจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีกว่าการขัดผิว

หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวหากมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลเป็นได้ง่ายและมีทีท่าว่าจะเป็นแผลเป็นชนิดนูน เพราะกระบวนการผลัดเซลล์ผิวบางอย่างอาจก่อให้เกิดแผลเป็นได้ง่าย

หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวหากเป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจหรือโรคไต เพราะกระบวนการผลัดเซลล์ผิวบางอย่างอาจมีการใช้สารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อโรคดังกล่าว เช่น ฟีนอล เป็นต้น

เพื่อการรักษาปัญหาผิว เช่น รอยแผลเป็น ร่องรอยที่เกิดจากสิว หรือรอยเหี่ยวย่นบริเวณริมฝีปาก การขัดผิวจะช่วยรักษาปัญหาดังกล่าวได้ดีกว่าการผลัดเซลล์ผิวเฉย ๆ

6. การขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

เป็นวิธี การรักษาผิว ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ช่วยรักษาปัญหาผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวที่หมองคล้ำ จุดด่างดำ สิว รอยแผลเป็น ผิวแพ้เครื่องสำอางให้กลับมาผ่องใส แข็งแรง และเรียบเนียนได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีทำการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

แพทย์จะนำเกร็ดอัญมณีที่มีความละเอียดสูงมาขัดผิวในบริเวณที่มีปัญหา โดยการรักษาแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที คนไข้ต้องทำสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลา 2 – 12 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลอย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามจำนวนครั้งในการทำจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพของผิวและปัญหาที่คนไข้มีเป็นหลัก หากคนไข้มีปัญหาผิวมาก อาจต้องใช้เวลาในการรักษามากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นหลัก

ข้อดีของการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

เป็นขั้นตอนการรักษาปัญหาผิวที่ทำได้ง่าย สะดวก ใช้เวลาไม่มากนักและมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ดีเยี่ยม ไม่ก่อให้เกิดแผลเป็นตามมา ไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวแดงหรือผิวคล้ำหลังจากการทำ มีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าการต้องไปขัดผิวบ่อย ๆ เมื่อเทียบกับการผลัดเซลล์ผิวระดับ 2

ข้อเสียของการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

มีราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เมื่อทำเสร็จแล้วจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสื่อมโทรมแก่ผิวที่เกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด เนื่องจากผิวที่เกิดใหม่จะมีความอ่อนแอ อาจเกิดความเสียหายได้ง่ายหากได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยเสี่ยงอาจทำให้มีปัญหาผิวใหม่ตามมา

7. การรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์

เป็นการรักษาปัญหาผิวพรรณที่กำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยการใช้เลเซอร์ CO2 ในการรักษาปัญหาจุดด่างดำ ริ้วรอยรอบดวงตา แผลเป็น กระชับผิวหน้า เป็นต้น เลเซอร์จะทำหน้าที่ในการเผาเซลล์ผิวที่มีปัญหาและจะเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน

ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์

การรักษาผิว ด้วยเลเซอร์ แพทย์สามารถกำหนดขอบเขตความลึกในการรักษาที่แน่นอนได้ จึงไม่ทำให้เซลล์ข้างเคียงที่ไม่มีปัญหาได้รับความเสียหายไปโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังพบอีกว่าเลเซอร์มีฤทธิ์ในการเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่เซลล์ผิวใหม่ ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ยังผลให้ผิวเกิดใหม่มีความยืนหยุ่นและแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้เลเซอร์ยังช่วยให้สีของเซลล์ผิวใหม่กลับมาเรียบเนียนสม่ำเสมอกับเซลล์ดั้งเดิมอีกด้วยเมื่อเวลาผ่านไป 6 – 16 สัปดาห์ จึงเป็นวิธีการรักษาผิวที่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มีแผลเป็นหรือมีริ้วรอยมาก ๆ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์

แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวพรรณที่ดีเยี่ยม แต่ การรักษาผิว ด้วยเลเซอร์มีข้อเสียที่ต้องระวังอยู่บ้างเช่นกัน การรักษาด้วยเลเซอร์จะเป็นการใช้แสงเลเซอร์ในการเผาเซลล์ผิวที่มีปัญหาเพื่อสร้างผิวใหม่ อาจก่อให้เกิดแผลขึ้นหลังการรักษา จนคนไข้ต้องหยุดพักและปรนบัติผิวอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ผิวมีอาการรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ ( ประมาณ 1 สัปดาห์ ) แผลดังกล่าวจะตกสะเก็ด

ในช่วงระหว่างที่รอให้แผลตกสะเก็ดอยู่นั้น คนไข้จำเป็นต้องดูแลผิวให้ดีเป็นพิเศษ ห้ามแต่งหน้า หลบเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ผิวที่ผ่านการรักษาเสื่อมโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด เพราะอาจทำให้ผิวที่ผ่านการรักษามีความไม่สม่ำเสมอ

สำหรับผู้ที่ต้องออกไปทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ วิธีรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่สะดวกนัก เนื่องจากเลเซอร์จะทำหน้าที่เผาเซลล์เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงทำให้ผิวเป็นแผลและรู้สึกแสบร้อนหลังการรักษา ทำให้ใครหลายคนต้องคิดอย่างหนักก่อนล้มเลิกความคิดที่จะรักษาผิวด้วยวิธีนี้ เพราะกลัวทนความเจ็บปวดไม่ไหว

8. การรักษาปัญหาผิวด้วยเลเซอร์เย็น

เนื่องจาก การรักษาผิว โดยใช้เลเซอร์แบบเดิมอาจก่อให้เกิดบาดแผลและอาการระคายเคืองหลังจากการรักษาได้ จึงทำให้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการใช้เลเซอร์เพื่อการรักษาปัญหาผิว นวัตกรรมดังกล่าวคือการใช้เลเซอร์เย็น ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขจัดปัญหาผิวพรรณที่มีปัญหาได้ดีในขณะที่ไม่ก่อให้เกิดบาดแผลหรืออาการระคายเคืองหลังการรักษาอย่างที่การใช้เลเซอร์แบบเดิมเป็นแต่อย่างใด

วิธีรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น

วีธีรักษาจะทำเหมือนกับการรักษาสิวด้วยเลเซอร์แบบเดิม ต่างกันตรงที่การรักษาด้วยเลเซอร์เย็น นอกจากจะมีการฉายเลเซอร์ลงไปบนผิวบริเวณที่มีปัญหาแล้ว แพทย์จะฉีดสเปรย์เย็นเข้าไปด้วย ทำให้ผิวบริเวณที่ใช้แสงมีอุณหภูมิอยู่ที่ -5 องศาเท่านั้น ในขณะที่ Lazer จะวิ่งผ่านลงไปยังผิวที่อยู่ลึกลงไปทันที การรักษาสิวด้วยเลเซอร์เย็นนอกจากจะช่วยแก้ไขลักษณะผิดปกติของผิวพรรณได้เป็นอย่างดีแล้ว มันยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ไม่เผาผิวจนไหม้เกรียม ทำให้ผิวตึง รูขุมขนกระชับ แผลเป็นตื้นขึ้น รอยย่นค่อย ๆ เลือนหายไป ไม่ทำลายผิวชั้นนอก จึงไม่ทำให้เกิดแผลเป็นและไม่ก่อให้เกิดอาการแสบร้อนภายหลังการรักษา ทำให้ผิวที่เกิดใหม่สดใส ยืดหยุ่นดี การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อดีของรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น

ข้อดีจะแตกต่างจากการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิมเดิม การรักษาสิวด้วยเลเซอร์เย็นเป็นวิธี การรักษาผิว ที่ทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็วและใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที คนไข้ไม่มีอาการปวดหลังจากการรักษาหรือมีบาดแผล หลังจากการรักษาคนไข้อาจมีรอยแดงที่ผิวหนังประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง รอยแดงดังกล่าวจะหายไปได้เอง คนไข้ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวสามารถกลับไปทำงานได้เลยทันทีและสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

ข้อเสียของรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น

แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ได้ผลดีเยี่ยมและไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงหรือรอยแผลเป็นอย่างที่เลเซอร์แบบเดิม ๆ แต่การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นคนไข้ต้องปรนนิบัติผิวให้ดีเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน หลีกเลี่ยงการเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผิวเกิดใหม่ไปสู่ความเสื่อมโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ โดยตรงเนื่องจากผิวเกิดใหม่ยังมีความบอบบางและอาจถูกทำลายได้ง่ายหากไม่ปรนนิบัติหรือป้องกันให้ดี หลังจากการทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์

9. วิธีการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

ขั้นตอนการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

การรักษาปัญหาผิวด้วยไอพีแอลเป็นการใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ช่วยรักษาปัญหาฝ้า กระ รอยแดงและจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไอพีแอลช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระชับรูขุมขนให้เล็กลง ช่วยลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและรอยแดง โดยอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อผ่านไป 3 – 5 ครั้ง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีเยี่ยมคนไข้ควรเข้ารับการรักษา 3 – 5 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งควรห่างกัน ประมาณ 3- 4 สัปดาห์

ข้อดีของการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

การรักษาผิว ด้วยไอพีแอล คนไข้จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับผิวได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ไอพีแอลมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ดีเยี่ยม คนไข้จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ นอกจากนี้ไอพีแอลยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือมีแผลเป็นหลังจากการรักษาอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อเสียของการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

ไอพีแอลไม่ได้มีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไอพีแอลยังมีข้อบกพร่องบางอย่างด้วยเช่นกัน โดยไอพีแอลไม่สามารถรักษาปัญหาผิวที่อยู่ในชั้นผิวที่ลึกลงไปให้หายไปได้ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำด้วยว่าผู้ที่มีผิวคล้ำมาก ๆ ไม่ควรรักษาด้วยไอพีแอล เพราะอาจจะทำให้เกิดแผลไหม้หลังการรักษาได้ นอกจากนี้หลังจากการรักษาคนไข้ต้องหลบแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดผลร้ายต่อเซลล์ผิวที่เกิดใหม่ได้

10. การทำศัลยกรรมดึงหน้า

เป็นการรักษาความอ่อนเยาว์เอาไว้ให้ได้นานที่สุด เหมาะสำหรับผิวอายุมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่จะทำให้ผิวหนังที่หย่อนยานและมีริ้วรอยที่ไม่อาจเยียวยาด้วยวิธีใด ๆ ให้กลับมาเต่งตึงหรือเรียบเนียนได้อีกครั้ง

วิธีทำศัลยกรรมดึงหน้า

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตัดเอาผิวหนังส่วนเกินซึ่งเป็นสาเหตุของการหย่อนคล้อย ริ้วรอยที่ส่วนใหญ่มักพบบริเวณหนังตา ใบหน้า หน้าผาก ลำคอ เป็นต้น ออกไป แล้วทำการยกกระชับให้ตึงแล้วนำผิวหนังมาเย็บเก็บไว้ที่ด้านหลังหูหรือตีนผมซึ่งเป็นจุดลับตาแล้วจึงทำการเย็บเก็บให้เรียบร้อย

ข้อดีของการทำศัลยกรรมดึงหน้า

เห็นผลทันตาจากผิวที่หย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอยมาก จะกลายเป็นเรียบเนียน เต่งตึงสมใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือมีผิวหนังที่หย่อนคล้อยที่รักษาหรือเยียวยาด้วยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว

ข้อเสียของการทำศัลยกรรมดึงหน้า

การเจ็บตัวอาจเป็นข้อเสียข้อแรกที่ทำให้คนไข้ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนานหยุดสักหน่อย เพราะการผ่าตัดศัลยกรรมไม่ได้หมายถึงการใช้เคมีหรือเลเซอร์กับผิวหนัง แต่หมายถึงการต้องลงมีดหมอและการเสียเลือดเนื้อ อันเนื่องมาจากการเย็บเก็บ อาจทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน จนทำให้บางรายสูญเสียความมั่นใจแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ลับตาแล้วก็ตาม [adinserter name=”navtra”]

นอกจากนี้การกระชับผิวด้วยการผ่าตัดนี้หากทำในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ หากทำเร็วเกินไปอาจทำให้รูปหน้าผิดไปจากธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เสียบุคลิกได้ง่าย ๆ นอกจากเป็นการผ่าตัดใหญ่คนไข้จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมามากมาย หากดูแลรักษาบาดแผลไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้คนไข้ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานานหลังจากการรักษาอีกด้วย

11. การร้อยไหมแอบทอส

เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการคืนความเต่งตึงให้แก่ผิวพรรณแต่กลัวการผ่าตัด ใบหน้าของคนไข้จะกลับมาเต่งตึงริ้วรอยที่หย่อนคล้อยจะหายไปแม้ว่าจะไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่ก็ตาม

วิธีทำการร้อยไหมแอบทอส

แอบทอสเป็นไหมชนิดหนึ่งที่ใช้ในการผ่าตัด มีลักษณะคล้ายก้างปลาแพทย์จะนำไหมแอบทอสสอดเข้าไปเพื่อยกกระชับผิวหน้า ไหมจะจับเกาะเนื้อเยื่อและชั้นโครงสร้างใต้ผิว ทำให้ใบหน้าของคนไข้ยกตัวกระชับขึ้นเองโดยไม่ต้องผ่าตัด

ข้อดีของการร้อยไหมแอบทอส

ข้อดีคือคุณไม่ต้องเจ็บตัวหรือเสียเลือดมาก เป็นลักษณะพิเศษของไหมแอบทอสที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับองค์การทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้ามากที่สุด ไม่เพียงเท่านั้นไหมแอบทอสยังก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยมาก ไม่ทำให้เกิดแผลเป็น ใช้เวลาในการทำน้อย (ประมาณ 5 – 10 นาทีเท่านั้น) สำหรับการยกกระชับเพียงบางส่วน อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาที นอกจากนี้คนไข้ยังไม่ต้องเสียเวลานอนพักรักษาตัวสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติทันทีหลังการรักษา

ข้อเสียของการร้อยไหมแอบทอส

ไหมแอบทอสมีข้อจำกัดหลายประการ ไหมแอบทอสเหมาะสำหรับคนไข้บางคนเท่านั้น คือผู้ที่มีผิวที่ไม่หย่อนยานหรือเหี่ยวย่นมากนักหรือผู้ที่มีผิวเริ่มหย่อนยาน ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวตึงหรือหย่อนคล้อยมากเกินไป นอกจากนี้ไหมแอบทอสยังไม่สามารถรักษาความเต่งตึงให้แก่ผิวได้ตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไป 1 – 2 ปี ใบหน้าก็จะกลับมาหย่อนคล้อยตามเดิม

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

https://kellyplasticsurgery.com/

การดูแลผิว ในแต่ละวัยอย่างผู้เชี่ยวชาญ

0
วิธีการดูแลผิวในแต่ละวัยอย่างผู้เชี่ยวชาญ
สภาพผิวจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัยการทำให้การดูแลผิวในแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน
วิธีการดูแลผิวในแต่ละวัยอย่างผู้เชี่ยวชาญ
วัยแต่ละวัยแต่ละเพศมีสภาพผิวที่ต่างกันดังนั้นการดูแลที่แตกต่างกันตามความเหมาะสม

การดูแลผิว

เพื่อการมีผิวสวยอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน เราต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและวิธีการปรนนิบัติผิวตามประเภทของผิวแต่ละคน ซึ่งจำเป็นต้องมี การดูแลผิว ตามวัยอีกด้วย เนื่องจากในแต่ละช่วงเวลาระบบต่าง ๆ ของร่างกายรวมไปถึงผิวพรรณจะมีการเติบโตและเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน การปรนนิบัติผิวที่ได้ผลดีในช่วงเวลาหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลเมื่อเวลาผ่านไปด้วยการปรนนิบัติผิวอย่างถูกต้องเหมาะสม เราสามารถรักษาความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้ได้อย่างยาวนาน ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณได้ทำการแบ่งประเภทของผิวพรรณและวิธีการดูแลเอาไว้ 8 กลุ่มตามลักษณะของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างดังต่อไปนี้

ประเภทของผิวพรรณและวิธีการดูแลตามลักษณะของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง

การดูแลผิว ช่วงวัยแรกเกิด – 1 ปี

ผิวในช่วงอายุนี้เป็นผิวที่เเห้ง แพ้ง่ายและมีความบอบบางเป็นที่สุด จึงควรหลีกเลี่ยงการขัดถูอย่างแรง อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารทำความสะอาด สบู่หรือสารเคมีที่รุนแรงเพราะอาจทำให้ผิวได้รับความเสียหาย ระคายเคืองและแพ้ง่าย เนื่องจากยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ต่อมน้ำมันและต่อมเหงื่อยังไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมายหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ปัญหาที่พบได้บ่อยในผิวช่วงอายุนี้ ได้แก่ ปัญหาผดผื่นที่เกิดจากต่อมเหงื่อบวม ผิวได้รับความเสียหาย มีอาการระคายเคืองจากการขัดถูอย่างรุนแรง เนื่องจากการสัมผัสสารเคมีที่รุนแรง ผิวแห้ง แพ้ง่าย มีอาการคันที่เกิดจากการติดเชื้อราที่มีสาเหตุมาจากความอับชื้น เป็นต้น

การดูแลผิว ช่วงวัย 2 – 6 ปี

ผิวในช่วงนี้เริ่มแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิม ต่อมน้ำมันและต่อมเหงื่อทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปัญหาผิวบางอย่างลดน้อยลง เช่น การติดเชื้อรา ต่อมเหงื่อบวม ผดผื่นคัน อย่างไรก็ตามผิวหนังในช่วงนี้ยังเติบโตไม่เต็มที่ยังคงมีปัญหาผิวใหม่ ๆ ตามมาอีก เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้นตื้น ๆ ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน อาการผิวไหม้เนื่องจากการสัมผัสกับแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน

การดูแลผิว ช่วงวัย 7-11 ปี

โครงสร้างของผิวในช่วงอายุนี้มีการเจริญเติบโตและแข็งแรงขึ้นมาก ปัญหาผิวต่าง ๆ เริ่มลดน้อยลง แต่เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตสูง มีการออกไปทำกิจกรรมข้างนอกมากกว่าช่วงก่อน เช่น ไปโรงเรียน ไปเล่นกลางแจ้งกับเพื่อน ๆ ทำให้ผิวมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ผิวอาจมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น ผิวไหม้จากการโดนแดดจัดเป็นเวลานาน กลาก เกลื้อน เชื้อราบนหนังศีรษะ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่มีผลสืบเนื่องมาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทั้งสิ้น

การดูแลผิว ช่วงวัย 12-19 ปี

ช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว ผิวมีการพัฒนาเติบโตอย่างเต็มที่ ปัญหาผิวที่พบบ่อยในช่วงนี้คือ สิว วิธี การดูแลผิว ในช่วงนี้คือการหมั่นดูแลทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของ สารซักฟอก สบู่ แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีที่รุนแรง หลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกา หรือบีบสิว พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าเครียด ปรนนิบัติผิวอย่างอ่อนโยน กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน แต่อย่ามากจนเกินไป ในบางครั้งอาจพบว่ามีหน้ามันมากให้ทำความสะอาดด้วยโฟมหรือสบู่อ่อน ๆ หลีกเลี่ยงการเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งตึง ระคายเคือง และแพ้ง่าย ทำให้แลดูแก่เกินวัย

การดูแลผิว ช่วงวัย 20-26 ปี

ช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ปัญหาสิวเริ่มลดน้อยลง ยกเว้นในบางคนที่ยังมีปัญหาสิวอยู่ เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศมากและมีปัญหาผิวอย่างอื่นตามมา เช่น ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากผิวในช่วงนี้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเสื่อมโทรมจึงควรระมัดระวังผิวเอาไว้เสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันมิให้ผิวเสื่อมโทรมก่อนวัยอันควร หลีกเลี่ยงการทำงานกลางแสงแดดโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน หลีกเลี่ยงการตากแดดให้มากที่สุด ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ปรนนิบัติผิวอย่างนุ่มนวลและถูกต้องตามประเภทของผิว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะเน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูง

การดูแลผิว ช่วงวัย 27-48 ปี

ผิวในช่วงอายุนี้จะเริ่มเสื่อมสภาพมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เช่น ผิวไม่สดใส หรือเปล่งปลั่งอย่างเคย มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก มุมปาก หางตา มีกระ ริ้วรอยใต้ตาและฝ้า โดยสาเหตุของความเสื่อมโทรมดังกล่าว 2 ประการ ได้แก่ ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นตามอายุ เนื่องจากกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกายทำงานได้น้อยลง ในขณะที่ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับเซลล์และเนื้อเยื่อกลับมีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอก เช่น โภชนาการ ความเครียด การพักผ่อน การแสดงสีหน้า การออกกำลังกาย แรงโน้มถ่วงของโลกและความเสื่อมโทรมที่เกิดจากแสงแดดซึ่งเป็นตัวทำลายความเต่งตึง เรียบเนียนกระชับของผิวพรรณ เพื่อที่จะปรนนิบัติผิวอย่างถูกต้อง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่านอกจากการเอาใจใส่ด้านโภชนาการ การพักผ่อน การจัดการกับความเครียดและการออกกำลังกายแล้ว การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวก็มีส่วนช่วยรักษาผิวพรรณไม่ให้เสื่อมโทรมมากไปกว่าเดิม นอกจากการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ให้ถูกต้องตามประเภทของผิวแล้ว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสรรพคุณในการต้านการเกิดริ้วรอยและลดรอยเหี่ยวย่น

การดูแลผิว ช่วงวัย 49-62 ปี

ช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ผิวจึงมีความเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ผิวจึงแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวน้อยลง ขาดความยืดหยุ่น และอ่อนแอ เพื่อคงความแข็งแรงของผิวพรรณและชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมให้ดำเนินไปอย่างช้าลง นอกจากการทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธีแล้ว ควรปรนนิบัติผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ช่วยต้านและลดการเกิดริ้วรอยที่เหมาะกับสภาพผิว นอกจากปัญหาผิวที่คนในช่วงนี้ต้องให้ความสนใจแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคนในวัยนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ให้หมั่นสังเกตการผิดปกติของผิวพรรณอย่างใกล้ชิด หากสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ เช่น ไฝที่มีขนาดรูปร่าง หรือสีที่เปลี่ยนแปลงไป ไฝมีเลือดออก ผิวหนังมีผื่นและตกสะเก็ดเป็นขุย ๆ มีผื่นแดงอักเสบ หรือแผลเรื้อรังที่ไม่หายสักที โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ เช่น ใบหน้า คอ แขน หรือขา ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วนเพื่อหาวิธีรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ

การดูแลผิว ช่วงวัย 63 ปี ขึ้นไป

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผิวหนังมีความเสื่อมโทรมมากที่สุด เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ ระดับฮอร์โมนน้อยลง เกิดจุดด่างดำและมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น ผิวหนังบางลง ต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีการผลิตน้ำมันที่มีประโยชน์ออกมาน้อยลง ยังผลให้ผิวหนังแห้งกร้านขาดความชุ่มชื้นและอ่อนแอ การปรนนิบัติผิวในช่วงอายุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณด้วยการดื่มน้ำสะอาดให้มาก ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากสารเคมีหรือสารซักฟอกที่รุนแรง แอลกอฮอล์ หรือสบู่จะทําให้ผิวที่เเห้งอยู่แล้วเกิดการระคายเคือง แพ้ และอักเสบได้ในที่สุด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อผิวแห้งโดยเฉพาะ ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาระดับน้ำของผิวพรรณเอาไว้ เสริมฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ หมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่ต้องสัมผัสแดดเป็นประจำ เช่น ใบหน้า คอ แขน หรือขา หากพบอาการผิดปกติที่คาดว่าจะเป็นสัญญาณของมะเร็งผิวหนัง ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

อาการปวดหัวเข่าที่มีสาเหตุมาจากอะไร

0
อาการปวดเข่าที่มีสาเหตุมาจากอะไร?
อาการปวดเข่าพบในกลุ่มผูัสูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และนักกีฬาที่ใช้ขาและเข่ามาก
อาการปวดเข่าที่มีสาเหตุมาจากอะไร?
อาการปวดเข่าพบในกลุ่มผูัสูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และนักกีฬาที่ใช้ขาและเข่ามาก

ปวดเข่า

ปวดเข่า คืออาการปวดที่เกิดขึ้นบริเวณข้อต่อซึ่งเชื่อมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้รองรับน้ำหนักของร่างกาย มีหน้าที่ช่วยในการเคลื่อนไหวของขาให้สามารถยืดและงอได้ หัวเข่าเป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อาการปวดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มเสี่ยงมักเป็นผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับการดูแลเข่า นอกจากเข่าเกิดอาการบาดเจ็บจึงจะทำการดูแลรักษา ซึ่งการที่ทำการดูแลเฉพาะเวลาที่เกิดการบาดเจ็บขึ้นแล้ว  นั้น เข่าก็อาจจะไม่สามารถกลับมาใช้ได้ดังเดิม

โครงสร้างของเข่ามีอะไรบ้าง

เข่าจัดเป็นข้อที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายมนุษย์ เข่าประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้

1.กระดูก กระดูกที่เป็นส่วนประกอบของข้อเข้ามีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วน คือ ส่วนปลายของกระดูกต้นขา ส่วนหน้าของกระดูกหน้าแข้ง และกระดูกสะบ้าส่วนด้านหน้า

2.กระดูกอ่อนและกระดูกอ่อนครึ่งวงกลม ที่ทำหน้าที่ในการรองรับแรงกระแทกและแรงเสียดสีระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง

3.กล้ามเนื้อ เข่าจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 2 ส่วนด้วยกันคือ

3.1 กล้ามเนื้อต้นขาในส่วนหน้า ทำหน้าที่ยึดเข่าด้วยกล้ามเนื้อทั้งหมด 4 มัด กล้ามเนื้อเป็นกล้ามเนื้อที่สร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่า ช่วยให้เข่าสามารถเหยียด ยึดให้เข่าอยู่ในลักษณะตรงได้ โดยที่เอ็นกล้ามเนื้อจะยึดติดกับกระดูกสะบ้าและไปยึดติดกับปุ่มกระดูกหน้าแข้ง ถ้ากล้ามเนื้อกลุ่มนี้มีอาการเกิดภาวะอ่อนแรง จะส่งผลให้เวลาเดินหรือยืนเข่าจะไม่สามารถยืดเป็นเส้นตรงได้ จึงเกิดอาการเข่างอหรืออาจจะล้มขณะเดินก็ได้ และถ้ามีอาการนี้เกิดขึ้นนานจะส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อมอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างร่างกายเกิดการผิดปกติ เข่าโก่งทั้งเวลายืนและเดิน อาจจะส่งผลให้มีความเจ็บปวดตามมาด้วย

3.2 กล้ามเนื้อต้นขาในส่วนด้านหลัง กล้ามเนื้อส่วนนี้จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ทั้งหมด 3 มัด ทำหน้าที่ในการยึดกระดูกนห้าแข้งบริเวณด้านหลัง คอยทำการพับและงอให้กับข้อเข่า และยังเป็นส่วนที่ช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของเข่าให้มากขึ้น ทั้งยังช่วยรักษาสมดุลระหว่างเข่าด้านหน้าและเข่าด้านหลังให้มีความสมมาตร แต่ว่ากล้ามเนื้อด้านหลังนี้เมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อด้านหน้าแล้วจะมีความแข็งแรงเพียงแค่ร้อยละ 60 ของกล้ามเนื้อด้านหน้าเท่านั้น ถ้ากล้ามเนื้อด้านหลังเกิดอาการอ่อนแรงจะทำให้การทรงตัวทางด้านหลังไม่ดี เวลายืนหรือเดินจะหงายไปด้านหลัง

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

4.บุกข้อเข่า เป็นอวัยวะส่วนที่ทำหน้าที่ในการผลิตไขหรือน้ำหล่อลื่นให้กับข้อ ซึ่งผลิภัณฑ์ที่ได้จากบุกข้อเข่าจะมีลักษณะเป็นของเหลว เคลือบอยู่ที่ผิวของกระดูกอ่อน เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวของข้อเข่าให้มีการเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี

5.ถุงน้ำ ถุงน้ำที่ข้อเข่าจะอยู่ระหว่างกระดูกกับส่วนของเอ็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยึดกระดูก ซึ่งถุงน้ำที่ข้อเข่าจะมีอยู่เป็นจำนวนมาก ถุงน้ำมีหน้าที่คล้ายหมอนรองที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูกและเส้นเอ็น
อวัยวะทุกส่วนของข้อเข่ามีความสำคัญเท่ากันหมด ไม่ว่าอวัยวะใดเกิดการเสื่อมหรือการสึกหรอก็จะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดกับร่างกายทั้งสิ้น

อาการที่บ่งบอกว่าเข่ามีปัญหาเกิดขึ้นคืออะไรบ้าง

1.ความเจ็บปวดเข่า เมื่อเข่าเริ่มมีความปวดเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย นั่นแสดงว่าข้อเข่าเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว

2.อาการเข่าบวม อาการบวมที่ข้อเข่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีเลือดออกที่ภายในข้อเข่า อาการบวมอาจจะแสดงให้เห็นในทันทีหรืออาจจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะการออกของเลือดว่ามีมากหรือน้อย เมื่ออาการบวมจะส่งผลเกิดความผิดปกติของอวัยวะส่วนต่างในข้อเข่าตามไปด้วย

3.เข่ายึด หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเข่าฝืด คือ อาการที่เข่าเกิดการสะดุดหรือเดินติดขัด มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หยุดการใช้เข่าไปสักระยะ เช่น หลังตื่นนอน หลังจากที่นั่งนาน

4.เข่าอ่อน เป็นอาการที่เข่างอหรือเหยียดเข่าไม่ได้ต้องใช้เวลานานกว่าที่จะยึดเข่าออกมาได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเข่า

1.การออกกำลังกาย การเล่นกีฬาเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของข้อเข่าได้ แต่ว่าถ้าการเล่นกีฬาที่หนักเกินไปก็จะส่งผลให้เอ็นกล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาด อักเสบได้

2.น้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ คนที่มีน้ำหนักตัวมากจะส่งผลให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมากตามได้ด้วย ทำให้มีแรงเสียดสีระหว่างกระดูกทั้งสองข้างมีค่าสูง กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพเร็วขึ้นจึงทำให้ข้อเข่าเกิดอาการปวด

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

3.การอยู่กับที่ การนั่งพับเพียบ นั่งคุกเข่า นั่งสมาธิเป็นเวลานาจะส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงเส้นเลือดที่ข้อเข่าได้น้อยลงจึงส่งผลให้เข่าเสื่อมสภาพได้มากขึ้น

อาการบาดเจ็บเข่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากเข่าเป็นส่วนที่ต้องรับน้ำหนักของร่างกายส่วนบนทั้งหมด ถ้าเรามีรูปร่างหรือน้ำหนักตัวที่สูงเกินมาตรฐานก็จะส่งผลให้เข่าต้องรับน้ำหนักมาก และการเดินมาก การเดินขึ้นลงบันไดบ่อย ก็ทำให้เกิดการเสียดสีที่ส่วนของข้อเข่าสูงตามไปด้วย เข่าจึงเกิดความเสื่อมได้สูงขึ้น เป็นที่มาของอาการปวดเข่า

อาการและแนวทางการรักษาข้อเข่าที่พบได้บ่อยในคนไทย

1.เอ็นฉีดขาดหรือข้อเข่าแพลง

มักเกิดจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ ที่มีแรงกระแทกสูง ทำให้ข้อเข่ามีอาการปวดบวม แดงร้อนเนื่องจากการอักเสบ ซึ่งเมื่ออาการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจะต้องทำการประคบเย็นเพื่อลดอาการอักเสบในช่วง 3 วันแรก และหลังจากนั้นให้ทำการประคบร้อน พร้อมทั้งพันผ้าไว้รอบ ๆ ข้อเข่าเพื่อลดการใช้งานของข้อเข่าให้น้อยลง เมื่อมีอาการดีขึ้นให้ทำการยืด เหยียดช้า ๆ และเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเบาเบา

2.ข้อเข่าเกิดการเสื่อมสภาพ

เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวสูงเกินมาตรฐานทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักมากจึงเกิดการเสื่อมได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสาเหตุอื่น อาการข้อเสื่อมจะเริ่มจากมีอาการติดขัด ได้ยินเสียงเสียดสีของกระดูก ข้อกระดูกเคลื่อนไหวได้น้อยลงทั้งการยืด การเหยียด และเกิดขาโกงในที่สุด ในการรักษาต้องทำการเคลื่อนไหวข้อเข่าให้ได้ทุกองศาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการเสื่อมของข้อเข่า

3.การบาดเจ็บของกระดูกอ่อน

เกิดจากการที่ข้อเข่าได้รับแรงกระแทกขณะที่กำลังงอเข่าอยู่ ซึ่งจะพบได้มากในนักกีฬามืออาชีพที่ต้องทำการเคลื่อนไหวในขณะทำการแข่งขัน ส่งผลมีอาการบวมที่ข้อเข่าไม่สามารถทำการเหยียดข้อเข่าได้ ต้องทำการประคบเย็นเพื่อลดอาการอักเสบ แต่ถ้ามีการขาดหรือฉีกของกระดูกจะต้องทำการผ่าตัดเอากระดูกส่วนที่ขาดออก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำการออกกำลังกายข่อเข่าอยู่เป็นประจำโดยการเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเป็นประจำ เพื่อช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับข้อข่าและยังช่วยลดอาการบาดเจ็บของข้อเข่าได้เป็นอย่างดี บางรายต้องทำการเข่าเฝือกพร้อมทั้งออกกำลังไปพร้อมกัน

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

4.โรคอัสกู๊ดซลาต์เตอร์

คือ การที่กระดูกปุ่มหน้าที่ส่วนของหน้าแข็งอักเสบ อาการนี้จะเกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายที่มีข้อเข่าเกิดการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ มีขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วในเด็กผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬาหรือออกกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้เส้นเอ็นหรือเยื่อหุ้มกระดูกมีการอักเสบและปวดเกิดขึ้น ถ้ามีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วต้องทำการหยุดพักการใช้งานข้อเข่า และพยายามไม่ให้ข้อเข่าได้รับแรงกระแทกซ้ำเข้าไปที่บริเวณข้อเข่าเพิ่มอีก โรคอัสกู๊ดซลาต์เตอร์รักษาได้ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่ส่วนของข้อเข่า ด้วยการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ลดการเล่นกีฬาที่สร้างแรงกระแทกกับส่วนของข้อเข่า

5.การที่กระดูกสะบ้ามีการเคลื่อนตำแหน่ง

อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุจนส่งผลกระทบให้เอ็นยึดกระดูกสะบ้ามีการฉีกขาดหรือเกิดการหย่อน ซึ่งสามารถทำให้กระดูกสะบ้าเข้าที่ได้ด้วยการเหยียดเข่าให้เป็นเส้นตรง ใช้ผ้าเย็นประคบเพื่อช่วยลดอาการบวมที่ข้อเข่า พร้อมทั้งการใส่เฝือกอ่อนเพื่อให้กระดูกไม่เกิดการเคลื่อนที่ออกมาอีก แต่ในบางรายที่กระดูกสะบ้าเกิดการหลุดออกมาบ่อย ต้องทำการผ่าตัดเพื่อจัดกระดูกสะบ้าให้เข้าที่และยึดให้แน่น และผู้ป่วยก็ควรที่จะทำการฝึกกล้ามเนื้อที่ข้อเข่าให้มีความแข็งแรงจะได้ทำหน้าที่ยึดกระดูกสะบ้าให้อยู่กับที่ไม่สามารถเคลื่อนหลุดมาจากเบ้าได้

6.อาการคอนโดรมาเลเซีย

คือ อาการเสื่อมของกระดูกอ่อนที่ส่วนสะบ้าหัวเข่า อาการนี้พบได้มากในผู้ที่มีอายุน้อยเช่นเดียวกับโรคโรคอัสกู๊ดซลาต์เตอร์ นั่นคือเกิดกับผู้ที่มีอายุน้อยและต้องใช้ข้อเข่าในการเล่นที่ต้องออกแรงสูง ส่งผลให้กระดูกอ่อนที่อยู่บริเวณสะบ้ากับกระดูกส่วนต้นขามีการเสียดสีและกระแทกกันมากจนส่วนทั้งสองเกิดการสึกหรอและเสื่อมลง หรือมีกระดูกสะบ้ามีการเคลื่อนที่จากข้อเข่าเกิดขึ้นร่วมด้วย ทำให้มีอาการปวดเข่าที่ส่วนของกระดูกสะบ้าในเวลาที่ทำการเหยียดเกร็งให้เข่าตรง หรือมีการใช้งานข้อเข่าที่มีอาการเสื่อมเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อก็จะเกิดความล้าได้มากกว่าปกติจนทำให้เกิดการปวดขึ้น การรักษาต้องทำการหยุดการใช้งานข้อเข่าชั่วคราว พร้อมทั้งพันผ้ายืดรอบเข่าและทำการประคบร้อนอย่างต่อเนื่อง

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

7.ข้อเข่าเสื่อมเนื่องจากการอักเสบ

ข้อเข่าเป็นอวัยวะที่มีการอักเสบเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นเป็นประจำจะส่งผลให้เกิดการอักเสบชนิดเรือรัง ซึ่งการอักเสบเรือรังนี้จะส่งผลให้ข้อเข่าเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมของข้อเข่าได้ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีอาการอักเสบที่ข้อเข่าอย่าปล่อยให้หายเองโดยไม่ทำการรักษา ต้องทำการรักษาอาการอักเสบให้หายสนิทก่อนที่จะทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ารับแรกกระแทกสูง เพราะการไม่รักษาการอักเสบให้หายสนิทจะทำให้เกิดอาการอักเสบชนิดเรือรังที่จะส่งผลเสียให้เกิดโรคที่เป็นอันตรายต่อข้อเข่าอย่างรุนแรง

8.การปวดเนื้อเยื่อด้านหน้าของข้อเข่า

เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านหน้าของข้อเข่าจะมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ เอ็นกล้ามเนื้อ เอ็นข้อต่อ ถุงน้ำ เนื้อเยื่อ ซึ่งเมื่อมีการใช้งานในการทำกิจกรรมต่างอาจจะส่งผลให้ส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดการฉีกขาดได้ การฉีกขาดของเนื้อเยื่อที่อยู่ในส่วนด้านหน้าของข้อเข่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด เมื่อเกิดการฉีกขาดถึงแม้ร่างกายจะสามารถทำการรักษาได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อหายแล้วจะทำให้เกิดพังผืดที่ข้อเข่า ทำให้เกิดสามารถเกิดการฉีกขาดซ้ำได้เนื่องจากการเกิดพังผืดจะทำให้ความยืดหยุ่นของข้อเข่าลดลง ดังนั้นเมื่อต้องทำการเคลื่อนไหวที่รุนแรงก็จะส่งผลให้เกิดการฉีกขาดซ้ำเดิมได้ ดังนั้นถ้ามีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำการรักษาด้านการทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันการเกิดพังผืดร่วมกับการออกกำลังกายและการกินยาลดความปวด

จะเห็นว่าโรคที่เกิดขึ้นกับข้อเข่าส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากการที่ข้อเข่าไม่มีความแข็งแรงพอที่จะรองรับแรงกระแทกเข้ามาสู่บริเวณข้อเข่านั้นเอง ดังนั้นทางที่ดีที่จะป้องกันโรคที่จะเกิดกับข้อเข่านั่นคือ การออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่า การออกกำลังที่เหมาะสมกับข้อเข่าไม่ควรเป็นการออกกำลังกายที่รุนแรงหรือมีการส่งแรกกระแทกเข้าสู่ข้อเข่าโดยตรง การออกกำลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ข้อเข่าควรเริ่มทำตามลำดับจากท่าแรกจนถึงท่าสุดท้าย ควรออกกำลังกายทุกวันจะเห็นผลมากกว่าการออกไม่ต่อเนื่อง และควรเริ่มทำจากจำนวนครั้งที่น้อยก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนครั้งในการออกกำลังกายครั้งต่อไป อย่าออกกำลังกายหักโหมตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มออกกำลัง เพราะแทนที่จะทำให้ข้อเข่าแข็งแรงแต่กลับจะทำให้ข้อเข่าเกิดการเสื่อมหรือบาดเจ็บได้

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

ท่าบริหารข้อเข่าให้แข็งแรง ด้วยตนเองง่ายๆ

1.ท่านอนกดเข่า

เริ่มจากการนอนหงายพร้อมทั้งหาหมอนขนาดเล็กมาหนุนใต้เข่าทั้งสองข้างสูงขึ้นมาจากพื้นเล็กน้อย เหยียดขาตรง ยืดมือทั้งสองข้างมาจับกล้ามเนื้อที่ต้นขาเหนือเข่าของขาข้างใดข้างหนึ่ง ทำการยกขาข้างที่จับขึ้นและเกร็งกล้ามเนื้อกับลูกสะบ้าให้หยุดนิ่ง ประมาณ 5 นาที วางขาลงบนหมอน ทำซ้ำข้างละ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

2.ท่านอน นอนเหยียดและยกขา

เริ่มจากนอนราบกับพื้น ชันเข่าข้างขวาขึ้นทำมุม 45 องศากับพื้น ยกขาข้างซ้ายขึ้นจากพื้นประมาณ 1 ฟุต เหยียดขาซ้ายให้ตรง อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 นาที ลดขาลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ และสลับขาซ้ายวางบนพื้นและยกขาขวาขึ้นแทน

3.ท่านอนกดส้นเท้า

เริ่มจากนอนราบบนพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น กดส้นเท้ากับพื้นและยักเข้าขึ้นพร้อมทั้งเกร็งกล้ามเนื้อด้านหลังข้อเข่า อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

4.ท่านั่งเหยียดเข่า

เริ่มจากนั่งบนเก้าอี้ วางเท้าลงบนพื้นหลังพิงพนังเก้าอี้ในท่าสบาย ค่อยยกขาทั้งสองข้างขึ้นให้ยืดตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้ เกร็งกล้ามเนื้อขา อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

5.ท่านอนคว่ำ งอเข่า

เริ่มจากนอนคว่ำกับพื้น ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง งอเข่าเข้าหาลำตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยู่ในท่านี้ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

6.ท่านอนคว่ำ งอเข่าโดยมีตุ้มน้ำหนักถ่วง

เริ่มจากนอนคว่ำกับพื้น สองมือยึดกับขอบโต๊ะหรือที่ยึดให้มั่น นำตุ้มน้ำหนักมายึดติดกับข้อเท้า ตุ้มน้ำหนักครั้งแรกควรหนัก 0.5 และสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ในครั้งต่อไปเป็น 1.0 ,1.5,2.0 และสูงสุดไม่ควรเกิน 5 กิโลกรัม และค่อย ๆ งอเข่าเข้าหาลำตัว อยู่ในท่านี้ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

7.ท่านั่งเหยียดขาพร้อมติดตุ้มน้ำหนัก

เริ่มจากท่านั่งบนเก้าอี้ นำตุ้มน้ำหนักมาติดที่ข้อเท้า ยังขาทั้งสองข้างขึ้นช้า ๆ เกร็งขาไว้ 5 นาที แล้วลดขาลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ ตุ้มน้ำหนักสามารถเพิ่มน้ำหนักได้จนถึง 5 กิโลกรัม

8.ท่าขึ้นลงบันได

นำเก้าอี้ไม้หรือแผ่นไม้ที่สูงประมาณ 2 นิ้ว เริ่มจากยืนตัวตรง ก้าวเท้าข้างที่ปวดวางบนแผ่นไม้ อยู่ในท่านี้ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

9.ย่อตัวและลดตัวลง

เริ่มจากท่ายืนหลังชิดกำแพงหรือเก้าอี้ ทำการย่อตัวลงด้วยการงอเข่าทั้งสองข้างช้า ๆ จนเข่าวางลงบนพื้น ทำการลุกขึ้นด้วยการยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน ทำซ้ำ 5 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

10.ท่านั่ง ดัดเข่างอ

เริ่มจากนั่งบนที่เตียงนอนหรือเก้าอี้ที่มีความสูงประมาณเข่า ทำการนำขาข้างที่ไม่มีอาการปวดมาวางทับขาข้างที่มีอาการปวดเข่า กดขาข้างที่ปกติลงเพื่อที่เข่าที่มีอาการปวดจะสามารถทำการงอลงไปได้ เป็นการบริหารเข่าข้างที่ปวดโดยที่ไม่ต้องออกแรงที่เข่ามากเกินไป

11.นั่งดัดเข่า

เริ่มจากนั่งราบกับพื้น ยืดขาตรงเท่าที่จะทำได้ นำมือทั้งสองข้างมาจับที่เข่าแต่ละข้าง ทำการกดเข่าลงให้ขายืดเป็นเส้นตรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อรู้สึกเจ็บหรือตึงมากให้หยุด และยกขากลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น

[adinserter name=”oralimpact”]

12.ย่อเข่าเพื่อดัดเข่างอ

เริ่มจากท่ายืน สองมือจับโต๊ะหรือที่ยึดให้มั่น ยืดขาข้างที่เข่ามีความผิดปกติไปด้านหน้า 1 ก้าว และทำการโน้มตัวไปข้างหน้าและทิ้งน้ำหนักตัวลงบนขาข้างที่เข่าเจ็บช้า ๆ เข่าจะเกิดการงอตัวลง ข้างไว้ประมาณ 5 นาที ยกตัวขึ้น ทำซ้ำ 5 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

ทั้งหมดนี่คือท่าที่ช่วยในการบริหารกล้ามเนื้อและกระดูกเข่าให้มีความแข็งแรง การบริหารควรเริ่มจากการทำครั้งละ 1-2 รอบก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในการทำครั้งแรกอาจจะรู้สึกเจ็บมาก อย่าฝืนทำต่อไปให้หยุด และกลับมาทำซ้ำในวันต่อไป และควรทำเรียงลำดับจากท่าที่ 1 มาจนถึงท่าสุดท้าย อย่าข้ามอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะเกิดอันตรายกับกล้ามเนื้อและกระดูกได้

การดูแลเข่าด้วยการบริหารกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นสิ่งที่ป้องกันการเสื่อมและโรคข้อเข่าได้ก็จริง แต่บางครั้งอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจก็ส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บกับเข่าได้ ซึ่งเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเราก็ต้องทำการรักษาด้วยแพทย์เข้ามาช่วย ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยว่าโรคข้อเข่าที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียวหรือมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย พร้อมทั้งทำการเอ็กซเรย์ว่ามีกระดูกส่วนใดบางที่เกิดความผิดปกติจึงจะสามารถบอกได้ว่าต้องทำการรักษาด้วยวิธีใดบ้าง เช่น การผ่าตัด การฉีดยา การรับประทานยา เป็นต้น หลังจากที่ทำการรักษาจนมีอาการดีขึ้น คนไข้ต้องทำการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของข้อเข่าให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติอีกครั้ง ซึ่งการทำการภาพบำบัดในช่วงแรกต้องอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เมื่อคนไข้ทำได้จนมีการพัมนาการของกล้ามเนื้อที่ดีแล้ว คนไข้สามารถทำกายภาพบำบัดได้เองที่บ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อเข่ามีความแข็งแรงไม่เกิดการเสื่อมกลับมาอีก เราจะได้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวอย่างที่ใจนึก เพียงคุณใส่ใจสักนิดกับเข่าคุณก็ไม่ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ทำการขยับเข่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5.

https://www.medicinenet.com/knee_pain_facts/article.htm

สาเหตุและอาการสำคัญของโรคสมองเสื่อม

0
สาเหตุและอาการสำคัญของโรคสมองเสื่อม
สมองเสื่อม เป็นอาการที่เกิดจากระบบการทำงานของสมองเสื่อมลงหรือมีความบกพร่องในการใช้ความคิด ความจำ
สาเหตุและอาการสำคัญของโรคสมองเสื่อม
สมองเสื่อม เป็นอาการที่เกิดจากระบบการทำงานของสมองเสื่อมลงหรือมีความบกพร่องในการใช้ความคิด ความจำ

อาการสมองเสื่อม

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นจนล่วงเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ นอกจากโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน ความดัน และอาการเจ็บปวดตามข้อต่อต่างๆ แล้ว ก็เห็นจะมีโรคสมองเสื่อมนี่แหละที่หลายคนวิตกกังวลกันมากพอสมควร เพราะหากมีอาการสมองเสื่อมไม่ว่าทางใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น ถ้าโชคดีหน่อยอาจจะมีแค่อาการหลงๆ ลืม ความทรงจำเลอะเลือนไปบ้าง แต่ถ้าโชคร้ายก็มีสิทธิเป็นอัมพาตเดินเหินไม่ได้อีกเลย พอเริ่มแก่ตัวลงหลายคนจึงเริ่มกลัวว่าตัวเองนั้นเสี่ยงจะเข้าใกล้โรคสมองเสื่อมมากไปทุกที ในขณะที่ความจริงช่วงอายุเป็นเพียงแค่ปัจจัยเดียวเท่านั้นเองที่จะเพิ่มโอกาสให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้มากขึ้น ยังมีต้นเหตุอย่างอื่นอีกตั้งมากมาย นั่นจึงทำให้โรคสมองเสื่อมเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ในช่วงวัยไหนก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้สูงวัยเท่านั้น

โรคสมองเสื่อม คือโรคที่เกิดจากความเสื่อมหรือเสียหายของสมอง จำแนกกลุ่มอาการได้ตามตำแหน่งที่สมองมีความผิดปกติเกิดขึ้น เพราะสมองแต่ละส่วนมีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของร่างกายที่แตกต่างกันไป เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่เราสามารถใช้ในการจำกัดขอบเขตของการวินิจฉัยว่า พฤติกรรมการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเกิดมาจากความบกพร่องของสมองส่วนใดได้บ้าง ส่วนใหญ่โรคสมองเสื่อมมากกว่าร้อยละ 90 จะเกิดกับกลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังมีภาวะสมองเสื่อมก่อนวัยในคนที่อายุน้อยๆ ด้วย ที่พบบ่อยจะเป็นช่วงอายุ 45-55 ปี นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของพันธุกรรมหรืออุบัติเหตุ

ปัจจัยเสี่ยงของอาการสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อมมีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งแบบที่สามารถป้องกันได้และแบบที่ป้องกันไม่ได้ ตัวอย่างของความเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่

  • อายุ : ช่วงอายุที่มากก็ย่อมมีความเสื่อมของร่างกายตามธรรมชาติ และส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ยังอายุน้อยอยู่ด้วย
  • ประวัติอาการป่วยของครอบครัว : แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการส่งต่อทางพันธุกรรมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จากสถิติก็จะพบผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมที่เคยมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมมาก่อนมากกว่าครอบครัวที่ไม่เคยมีประวัติเลย
  • ดื่มสุราหรือใช้สารเสพติดเรื้อรัง : แน่นอนว่าของเหล่านี้ทำลายระบบในร่างกายอย่างรุนแรงอยู่แล้ว รวมถึงส่วนของสมองด้วย
  • ได้รับอันตรายเกี่ยวกับสมอง : อย่างเช่นภาวะเลือดคั่งในสมอง หรือเคยเกิดอุบัติเหตุทำให้สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
  • มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ : สมองต้องการเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ถึงจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หากหลอดเลือดหัวใจมีปัญหาก็จะส่งผลต่อสมองด้วย
  • มีอาการเกี่ยวกับโรคทางระบบประสาท
  • ติดเชื้อ HIV

อย่างไรก็ตามเราก็ไม่อาจระบุแน่ชัดว่าสมองเสื่อมจะเกิดจากจุดไหนได้แบบชัดเจนจริงๆ คนที่ดูเหมือนมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่นก็อาจจะไม่เป็นโรคสมองเสื่อมเลยก็ได้ เพราะสมองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องไขความลับกันต่อไปอีก

อาการสมองเสื่อมมีกี่ระยะ ?

โดยปกติแล้วระยะของโรคสมองเสื่อมสามารถแบ่งได้หลายแบบ และอาจแบ่งได้มากถึง 7 ระยะตามอาการที่ใช้เป็นจุดสังเกต แต่ครั้งนี้เราจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ให้พอมองเห็นภาพเพียงแค่ 4 ระยะเท่านั้น ได้แก่ ระยะต้น ระยะกลาง ระยะรุนแรง และระยะติดเตียง โดยในแต่ละระยะจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. อาการสมองเสื่อมระยะต้น ( Mild ) ระยะนี้เป็นช่วงที่สังเกตได้ยากมากผู้ป่วยมักมีอาการเพียงเล็กน้อยจนญาติผู้ดูแล หรือแม้แต่ตัวผู้ป่วยเองไม่สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเลย หลายครั้งอาการเหล่านั้นถูกมองว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของแต่ละช่วงวัยไปแทน ทำให้คนส่วนมากไม่ได้รับการรักษาในจุดเริ่มต้นนี้ แต่หากจะบอกว่าไม่มีอะไรที่เป็นจุดสังเกตเสียเลยก็คงไม่ใช่ เพียงแต่ต้องใช้ความละเอียดในการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยสักหน่อย ผู้ป่วยมักจะมีอาการเบื่อง่าย ชอบเก็บตัวทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มหลงๆ ลืมๆ แบบที่ไม่ได้รุนแรงนัก เช่น ลืมว่าคนที่เคยรู้จักแต่ไม่เจอกันนานนั้นชื่ออะไร ลืมว่าเมื่อวานมื้อเช้าทานอะไรเข้าไป เป็นต้น บางรายอยู่ในรูปของการย้ำคิดย้ำทำ และเริ่มหงุดหงิดอารมณ์เสียที่ตัวเองทำไม่ได้อย่างที่ใจต้องการเหมือนแต่ก่อน โรคสมองเสื่อมในระยะต้นนี้อาจกินเวลายาวนานถึง 5 ปีก่อนจะเข้าสู่ระยะกลาง

2. อาการสมองเสื่อมระยะกลาง ( Moderate ) จังหวะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มมีการแสดงออกที่ผิดแปลกออกไปจากเดิมค่อนข้างชัดเจนแล้ว ต่อให้ไม่สังเกตเลยคนรอบข้างก็จะรู้สึกได้อยู่ดี มักจะเป็นระยะที่ญาติพาผู้ป่วยมาหาหมอ เพราะผู้ป่วยจะเริ่มหลงลืมมากขึ้น มีอารมฉุนเฉียวรุนแรง ก้าวร้าว มีปัญหาในการใช้ภาษาและการสื่อสาร และอาจได้เห็นความบกพร่องในการเคลื่อนไหวร่วมด้วย เช่น ก้าวเดินไม่สมดุล กลับตัวช้า เป็นต้น แต่ก็มีเหมือนกันที่ผู้ป่วยแสดงอาการออกมาในรูปแบบของการเห็นภาพหลอน อีกทั้งญาติผู้ดูแลก็เห็นคล้อยตามไปในทางเดียวกันจนกลายเป็นหันไปพึ่งความเชื่อทางไสยศาสตร์แทนที่จะเข้ามารับการรักษาอย่างถูกต้อง

3. อาการสมองเสื่อมระยะรุนแรง ( Severe ) หากยังไม่ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะกลาง ช่วงนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการดำเนินชีวิตแล้ว บางรายสูญเสียความทรงจำบางส่วนไปเลย การคิดคำนวณและการตัดสินใจไม่มีประสิทธิภาพเช่นเดิม สับสนเรื่องเวลาและสถานที่ เริ่มหลงทางในเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ เริ่มผิดนัดหมายด้วยความหลงลืมที่เกิดขึ้น คนที่ไม่ได้พบหน้าก็มักจะลืมเลือนไป แต่ส่วนใหญ่จะยังคงจดจำคนในครอบครัวและคนที่อยู่ใกล้ชิดได้อยู่ ภาวะอารมณ์ก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ก้าวร้าวมากขึ้น หงุดหงิดง่ายขึ้น และในบางครั้งกลับซึมเศร้าอย่างหนัก

4. อาการสมองเสื่อมระยะติดเตียง ( Profound ) ทักษะการเคลื่อนไหวเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดในช่วงนี้ ผู้ป่วยเริ่มเคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่การลุกขึ้นมานั่งเฉยๆ เพราะสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวเสียหายไป สูญเสียความทรงจำแทบทั้งหมด ลืมแม้กระทั่งการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น การนอน อาบน้ำ ทานข้าว เป็นต้น จำเป็นต้องมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดในทุกๆ ด้าน

การรักษาอาการสมองเสื่อม

ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการรักษาอย่างจริงจังได้ ต้องเริ่มจากการวินิจฉัยก่อนว่าสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายที่ส่วนไหน มีสาเหตุมาจากอะไร และมีอาการแทรกซ้อนหรือโรคประจำตัวอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เพราะแนวทางในการรักษาโรคสมองเสื่อมจะแปรผันไปตามอาการของผู้ป่วยและตำแหน่งความเสียหายของสมอง ไม่ได้มีลำดับขั้นตอนที่เป็นแบบแผนกำหนดไว้ชัดเจน เพียงแค่มีกรอบกว้างๆ ว่ามีทางเลือกไหนใช้ทำได้บ้างเท่านั้น
การรักษาโรคสมองเสื่อมจะเป็นการรักษาทั้งจุดต้นตอของโรค และส่วนอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันอยู่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ การรักษาโรคสมองเสื่อม การรักษาโรคที่เกิดร่วมกับโรคสมองเสื่อมนั้น การป้องกันความทุพพลภาพ การส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง และการดูแลให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ในสังคมปกติ แต่ถ้าเจาะจงไปที่การรักษาโรคสมองเสื่อมเท่านั้น ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นคือ การรักษาด้านสติปัญญา และการรักษาด้านจิตเวชและพฤติกรรม

1. การรักษาด้านสติปัญญา : ส่วนใหญ่เป็นการใช้ยาหรือสารออกฤทธิ์เพื่อกระตุ้นให้สมองทำงานได้ตามปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือชะลออาการให้คงที่ไม่ทรุดลงไปมากกว่าเดิม ต้องเข้าใจก่อนว่าโรคสมองเสื่อมนั้นไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ เพราะเราไม่สามารถกู้เนื้อเยื่อที่เสียหายไปแล้วให้กลับคืนมาได้นั่นเอง ดังนั้นดีที่สุดจึงเป็นการรักษาระดับที่เป็นอยู่ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องใส่ใจและคอยสังเกตอาการของโรคสมองเสื่อมของคนใกล้ตัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หากเจอความผิดปกติและนำผู้ป่วยมารักษาได้เร็ว ก็จะเป็นผลดีอย่างมากต่อผู้ป่วย กลับมาที่การใช้ยาหรือสารออกฤทธิ์ ไม่มียาตัวไหนที่ให้ผลลัพธ์เหมือนกันในแต่ละคน ยาที่ใช้กับคนหนึ่งได้ผลดี พอมาใช้กับอีกคนอาจไม่ได้ผลอะไรเลย ตลอดการรักษาด้วยยาจึงต้องติดตามเพื่อวัดผลเป็นระยะๆ และปรับเปลี่ยนยาไปเรื่อยๆ ตามอาการ

2. การรักษาด้านจิตเวชและพฤติกรรม : การรักษาในส่วนนี้ยังแบ่งย่อยได้อีกเป็นการใช้ยาและไม่ใช้ยา ถ้าเป็นการใช้ยาก็จะเป็นกลุ่มยารักษาโรคจิตต่างๆ ซึ่งก็ต้องติดตามผลของอาการเช่นเดียวกับการรักษาด้านสติปัญญา แต่ถ้าเป็นการรักษาแบบที่ไม่ต้องใช้ยา จะเน้นไปที่การจัดสภาวะแวดล้อมเพื่อจูงใจให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายและค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้น ตัวอย่างของการรักษาแบบนี้ได้แก่

  • การจัดสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้เหมือนเดิมอยู่เสมอ และจัดการปรับเปลี่ยนส่วนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยด้วย
  • การจัดกิจกรรมประจำวัน โดยให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรเป็นกิจกรรมง่ายๆ และผ่อนคลาย ไม่กดดันจนผู้ป่วยเกิดภาวะเครียด
  • ลดสิ่งกระตุ้นอารมณ์ฉุนเฉียวหรือความก้าวร้าว ญาติผู้ดูแลต้องหมั่นสังเกตว่าสิ่งใดทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่ไม่ปกติ แล้วให้ลดหรือตัดสิ่งนั้นออกไป
  • ปรับเปลี่ยนการพูดคุย ผู้ป่วยจะมีปัญหาในการใช้ภาษาและสื่อสารอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลที่จะต้องใจเย็นและให้ความเคารพผู้ป่วยเช่นเดียวกับที่เคยเป็นมา ไม่ดุด่าว่ากล่าวและใช้อารมณ์
  • ดูแลสุขอนามัย ร่างกายที่มีสุขอนามัยที่ดีก็จะช่วยส่งเสริมให้จิตใจดีไปด้วย จึงต้องใส่ใจเรื่องความสะอาด อาบน้ำ แต่งตัว และตรวจสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยด้วย
  • ลดปัญหาการนอนไม่หลับ ผู้ป่วยจะมีอาการหลับยากหรือต้องการหลับในเวลาที่ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว จึงต้องกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมช่วงบ่ายๆ เพื่อให้ร่ากายได้ออกแรง และจัดห้องนอนให้เหมาะสมต่อการเข้านอน ไม่มีสิ่งรบกวนทั้งแสงและเสียง   
  • น้ำสะอาดนั้นสำคัญ ถึงแม้มันจะส่งผลให้ผู้ป่วยต้องเข้าห้องน้ำบ่อย แต่ร่างกายก็ยังต้องการน้ำอย่างเพียงพออยู่เสมอ ญาติจึงต้องดูแลให้ได้ดื่มน้ำสะอาดเป็นระยะตลอดทั้งวัน ลดเว้นพวกชากาแฟด้วย

การป้องกันอาการสมองเสื่อม

อย่างที่เราได้รู้ไปแล้วว่าปัจจัยการเกิดอาการสมองเสื่อมนั้นมีหลากหลาย ทั้งที่ควบคุมได้และไม่ได้ ดังนั้นการป้องกันโรคสมองเสื่อมจึงเป็นการตัดความเสี่ยงเฉพาะส่วนที่จัดการได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน งดสารเสพติดต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ก็เป็นเหมือนการดูแลสุขภาพทั่วไป คือ ทานอาหารให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ การออกกำลังกายอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส เมื่อมีผู้สูงอายุในบ้านก็ต้องช่วยกันกระตุ้นให้ผู้สูงอายุเหล่านั้นได้ทำกิจกรรมที่ชะลอความเสื่อมของร่างกายบ่อยๆ ตลอดจนทำกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองในด้านความคิดความจำด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

สารอาหารชะลอวัยต่อต้านการเสื่อมโทรมของร่างกาย

0
พบกับสารอัศจรรย์ อาวุธสำคัญในการต่อต้านริ้วรอยและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณ
สารสำคัญที่ช่วยต่อต้านริ้วรอยและความเสื่อมโทรมของผิวที่สำคัญคือวิตามินต่างๆ
พบกับสารอัศจรรย์ อาวุธสำคัญในการต่อต้านริ้วรอยและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณ
สารสำคัญที่ช่วยต่อต้านริ้วรอยและความเสื่อมโทรมของผิวที่สำคัญคือวิตามินต่างๆ

สารอาหาร

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารในปัจจุบันแตกต่างจากอาหารสมัยก่อนมาก อาหารปัจจุบันส่วนใหญ่ได้รับการแปรรูปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมของอาหารนั้นเอาไว้ เช่น แป้งขัดขาว นมพาสเจอร์ไรส์ น้ำตาลทรายขาว เกลือบริสุทธิ์ อาหารกระป๋อง ด้วยกรรมวิธีในการแปรรูปดังกล่าว สารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุจำเป็นที่อยู่ในอาหารได้สูญหายไปสิ้น จึงทำให้การกินอาหารที่แม้เราจะมั่นใจว่าเรากินอาหารในสัดส่วนที่พอเหมาะกลับแน่ใจไม่ได้ว่าร่างกายของเราจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นมากเพียงพอหรือไม่ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการให้ร่างกายได้รับ สารอาหาร ที่มากกว่าปกติเพื่อต่อสู้กับกระบวนการเสื่อมโทรมของร่างกาย ดังนั้น นอกจากการกินอาหารตามปกติแล้ว จึงจำเป็นต้องกินอาหารเสริมเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่มากพอกับความต้องการและมากพอที่จะช่วยชะลอกระบวนการเกิดริ้วรอยให้เกิดขึ้นช้าลง

อาหารเสริมที่ช่วยชะลอกระบวนการเกิดริ้วรอย

บีคอมเพล็กซ์ ( B-complex )

บีคอมเพล็กซ์ ( B-complex ) ประกอบไปด้วยวิตามินบี 1 ( ไธอามีน ) บี 2 ( ไรโบเฟลวิน ) บี 3 ( ไน-อาซิน ) บี 5 ( แพนโทเธเนท ) บี 6 ( เพอริดอกซิน ) บี 12 ( ไวยาโนโคบาลามีน ) และโฟเลต วิตามินบี 1 และบี 2 มีความสำคัญต่อการสร้างพลังงานของเซลล์ ช่วยป้องกันโรคผิวหนังอักเสบ การขาดวิตามินบี 1 และบี 2 จะส่งผลกระทบการทำงานของผิวหนังมีความผิดปกติ ผู้ที่กินอาหารที่ผ่านการแปรรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งธัญพืชแปรรูปหรือมันฝรั่งมีแนวโน้มที่จะขาดวิตามินบี 1 และบี 2 มากกว่าคนทั่วไป

เพื่อที่จะเสริมสร้างระบบการทำงานของผิวหนังให้เป็นปกติและลดอันตรายอันเกิดจากภาวะขาดวิตามินบี 1 และบี 2 รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายที่มีการเติมวิตามินบี 1 และบี 2 ลงไปในอาหารที่ทำจากแป้งขาว เพื่อให้ชาวอเมริกันได้รับวิตามินบี 1 และบี 2 ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย นักโภชนาการแนะนำให้กินอาหารที่มีความสมดุลที่หลากหลายควบคู่ไปกับการรับวิตามินเสริม

อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการกินวิตามินบี 1 และบี 2 ในปริมาณที่มากเป็นพิเศษจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินที่มีต่อร่างกายให้มากยิ่งขึ้น แท้จริงแล้วผู้เชี่ยวชาญกลับบอกว่าการกินวิตามินที่มากเป็นพิเศษ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เพิ่มขึ้นเลย วิตามินบี 12 มีความสำคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์สารต่าง ๆ ภายในเซลล์ ภาวะการขาดวิตามินบี 12 จะนำไปสู่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาท การทำงานของเซลล์ผิวหนังและการแบ่งตัวของเซลล์ หรือแม้แต่ความรู้สึกหดหู่

วิตามินบี 12 จะพบในเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา ไข่ นม รวมไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม โฟเลต มีส่วนช่วยในกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายให้ดำเนินไปอย่างเป็นปกติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการแบ่งเซลล์ การทำงานของเซลล์ผิวหนัง ภาวะขาดโฟเลตอาจไม่มีแสดงอาการที่เด่นชัดเท่าใดนัก คนที่ขาดโฟเลตอาจมีแค่อาการหดหู่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น โฟเลตมักพบในผักใบเขียว ตับ และถั่ว เพื่อให้ร่างกายได้รับโฟเลตอย่างเพียงพอ นักโภชนาการแนะนำให้กินผักสดหรือผักที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงด้วยความร้อนในระยะเวลาสั้น ๆ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิตามินเอ ( Retinol )

มีความสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ผิวหนัง การขาดวิตามินเอทำให้ผิวแห้งกร้าน อ่อนแอและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าปกติ ริ้วรอยที่เกิดจากการขาดวิตามินเอจะยากต่อการรักษาให้หาย ภาวะการขาดวิตามินเอมักพบในประเทศที่กำลังพัฒนา ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะพบประชากรที่ขาดวิตามินเอน้อยมาก วิตามินเอมักพบในเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ นมผลิตภัณฑ์จากนม แครอท บร็อคโคลี ตับ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการได้รับวิตามินเอจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการมีผิวพรรณที่ดี แต่วิตามินเอที่มากเกินไป ( ทั้งที่มาจากการกินอาหารมื้อปกติ และการกินอาหารเสริม ) ก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ ดังนั้น ก่อนที่จะกินวิตามินใด ๆ นอกจากจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว การอ่านฉลากก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย

เบต้าแคโรทีน ( Beta-carotene )

เบต้าแคโรทีน ( Beta-carotene ) ช่วยทำให้ผิวสวย ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเยื่อบุผิวให้เป็นปกติ ทำให้แลดูมีเลือดฝาดช่วยเสริมสร้างเยื่อบุเซลล์ พบมากในผักและผลไม้ที่มีสีส้ม เช่น แครอท ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินวันละ 60 มิลลิกรัม สำหรับผู้ที่ต้องออกไปทำธุระข้างนอก หรือต้องไปเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนฝรั่งหรือคนที่มีผิวขาวมาก ๆ จะได้รับคำแนะนำให้กินเบต้าแคโรทีนในรูปของแคปซูลก่อน เพื่อปกป้องผิวไม่ให้ได้รับความเสียหายจากรังสีอันตรายที่มาพร้อมกับแสงแดด

เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการรักษาและปกป้องผิวที่ดีเยี่ยม บริษัทเครื่องสำอางและอาหารเสริมต่างผลิตเบต้าแคโรทีน ออกมาในรูปแบบแคปซูลมากมาย จึงช่วยตัดปัญหาการขาดเบต้าแคโรทีนได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย ก่อนที่จะกินเบต้าแคโรทีนในรูปของอาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน

วิตามินซี ( Ascorbic Acid )

วิตามินซี ( Ascorbic Acid ) หรือกรดแอสคอร์บิก ช่วยเสริมสร้างการสังเคราะห์คอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ผิวหนังทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นเต่งตึงไม่หย่อนคล้อยก่อนวัยอันสมควร ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของผิวหนัง ทำให้บาดแผลหายเร็วยิ่งขึ้น ช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวี ลดปัญหาผิวไหม้แดด ทำให้คนที่มีปัญหาฝ้า กระ รอยด่างดำ มีผิวที่ขาวใสขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวกระชับ ลดรอยเหี่ยวย่นให้เบาบางลง เมื่อร่างกายขาดวิตามินซี ผิวหนังจะขาดความยืดหยุ่น ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองลดน้อยลงและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าปกติ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ไม่เพียงเท่านั้น การขาดวิตามินซียังส่งผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย เช่น การเป็นโรคลักปิดลักเปิด ( เลือดออกตามไรฟันเนื่องจากร่างกายขาดวิตามินซี ) ร่างกายเจ็บป่วย เป็นหวัดได้ง่าย ผิวหนังมีเลือดออก เป็นต้น

วิตามินซี ( Ascorbic Acid ) มีอยู่ในผักและผลไม้จำพวก ส้ม มะนาว ฝรั่งองุ่น บร็อกโคลี คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง ผักบุ้ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิตามินซีจะดีต่อผิวพรรณและสุขภาพโดยรวม แต่การได้รับวิตามินซีที่มากเกินไปหรือนำมาใช้อย่างผิดวิธี นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วอาจยังก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน

โคเอนไซม์คิวเทน ( Coensyme Q10 )

แม้จะมีการศึกษาถึงประโยชน์ของ โคเอนไซม์คิวเทน ( Coensyme Q10 ) ที่มีต่อผิวพรรณน้อยมาก แต่นักวิทยาศาสตร์กับพบว่าโคเอนไซม์คิวเทนมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ โคเอนไซม์คิวเท็นเป็นหนึ่งในสารที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นได้เอง เป็นส่วนประกอบของระบบการหายใจของเซลล์ซึ่งอยู่ในไมโตรคอนเดรียและเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม โคเอ็นไซม์คิวเท็นมีฤทธิ์ในการปรับระดับและเพิ่มประสิทธิภาพของการสร้างพลังงานภายในเซลล์และป้องกันไมโตรคอนเดียจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งพบว่า โคเอนไซม์คิวเทน ( Coensyme Q10 ) มีส่วนช่วยยืดอายุของหนูทดลองให้ยาวขึ้นถึงร้อยละ 50 หนูทดลองที่ได้รับโคเอนไซม์คิวเทนจะกระตือรือร้น มีผิวพรรณสดใสแลดูอ่อนเยาว์กว่าหนูที่ไม่ได้รับสารดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบอีกว่าโคเอนไซม์คิวเทนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว โรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ ภาวะความดันโลหิตสูง ภูมิคุ้มกันลดต่ำและภาวะกล้ามเนื้อฝ่อลีบอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการทดลองถึงประสิทธิภาพของโคเอนไซม์คิวเทนที่มีต่อผิวพรรณอยู่น้อยนิด แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อมั่นว่าด้วยประสิทธิภาพในการช่วยเพิ่มระดับการผลิตพลังงานของเซลล์และการทำหน้าที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ โคเอนไซม์คิวเทนจึงมีประโยชน์ต่อผิวพรรณอย่างแน่นอน มีการพบว่าเมื่อเราแก่ตัวลง ปริมาณของ
โคเอนไซม์คิวเทนที่ร่างกายผลิตขึ้นจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ ยังผลให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับสารดังกล่าวลดประสิทธิภาพในการทำงานลงไปด้วยและหนึ่งในระบบเหล่านั้นคือระบบการทำงานของผิวหนังนั่นเอง

เพื่อที่จะทดแทนโคเอนไซม์คิวเทนที่ลดน้อยลงไปทุกที ได้มีการผลิต โคเอนไซม์คิวเทน ( Coensyme Q10 ) ในรูปของอาหารเสริมและครีมต่อต้านริ้วรอยขึ้น แหล่งที่อุดมไปด้วยโคเอนไซม์คิวเทน ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน หัวใจ ตับ ไต เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากถั่วและรำข้าว นักโภชนาการกล่าวว่า เพื่อให้ได้ประโยชน์จากโคเอนไซม์คิวเทนที่อยู่ในอาหารอย่างเต็มที่ ควรกินพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากโคเอนไซม์คิวเทนละลายได้ดีในน้ำมัน ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ไลโปอิกเอซิด ( Lipoic Acid )

มีฤทธิ์ในการเสริมสร้างการทำงานของเซลล์ในการผลิตพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
ในภาวะปกติร่างกายมีความสามารถในการผลิตไลโปอิกเอซิดขึ้นใช้เองอย่างเพียงพอ แต่บางครั้ง ไลโปอิกเอซิด ( Lipoic Acid ) ที่ร่างกายผลิตขึ้นอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียดหรือล้มป่วย มีการพบว่าประสิทธิภาพในการผลิตไลโปอิกเอซิดของร่างกายจะลดลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น นอกจากจะช่วยผลิตพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตแล้ว จากการทดลองพบว่าไลโปอิกเอซิดเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ที่จะคอยป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการรวมตัวเข้ากับไอออนของโลหะ เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม เหล็ก หรือทองแดงที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระเป็นสารประกอบได้เป็นอย่างดี ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อไม่ได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระดังกล่าว ทำให้กระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ผิวหนังดำเนินไปได้ช้าลง นอกจากนี้ด้วยประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่ดีเยี่ยมทำให้ ไลโปอิกเอซิด ( Lipoic Acid ) กลายเป็นตัวขัดขวางกระบวนการ Glycelation Cross-Linking ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่การร่วงโรยแห่งวัยและการเกิดริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

ซิสเทอีนและเมธิโอนีน

ทำหน้าที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของระบบการขับถ่ายพิษของร่างกาย ทั้ง ซิสเทอีนและเมธิโอนีน ต่างก็เป็นกรดอะมิโนที่มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ ทำให้สามารถขับสารพิษประเภทโลหะหนักออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซิสเทอีนเป็นส่วนหนึ่งของกลูต้าไธโอน ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์ ในขณะที่เมธิโอนีนเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ แต่ต้องรับจากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้น ร่างกายจึงจะสามารถสังเคราะห์ซิสเทอีนและเมธิโอนีน

จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อให้หนูทดลองกินอาหารที่มีส่วนผสมของกรดอะมิโนทั้ง 2 ชนิด หนูจะมีอายุยืนยาวขึ้น นอกจากนี้การรักษาระดับของกรดอะมิโนทั้ง 2 ให้คงที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ลดอัตราการเสื่อมโทรมของร่างกายให้เกิดขึ้นได้ช้าลง อีกทั้งยังทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการพบว่าเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นปริมาณของซิสเทอีนและเมธิโอนีนจะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิตามินอี

มีหน้าที่ในการป้องกันไลปิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและอันตรายที่เกิดจากปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระ ไลปิดเป็นส่วนประกอบของผนังเยื่อหุ้มเซลล์ รวมไปถึงโครงสร้างที่สำคัญต่าง ๆ ภายในเซลล์ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า วิตามินอี มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจให้ลดน้อยลง ช่วยชะลอการร่วงโรยของเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณเสื่อมโทรมและหย่อนคล้อยช้าลง เนื่องจากไขมันบอบบางต่อกระบวนการออกซิเดชั่นมาก จนกระทั่งสามารถสลายหายไปได้เองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหากถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง

วิตามินอี จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ไขมัน ทำให้เซลล์มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า วิตามินอีมีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูผิวจากรอยฟกช้ำ รอยแดง ผิวแตกเป็นสะเก็ด ผิวไม่เรียบเนียน และรอยอักเสบที่เกิดจากสิว ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังอันเนื่องมาจากแสงแดด เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ช่วยลดริ้วรอยและความหยาบกร้านของผิว ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นรวมถึงรักษาอาการอักเสบของผิวหนังอันเนื่องมาจากการโดนแสงแดดที่ร้อนแรง

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าวิตามินอีมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันไลโปโปรตีนและโครงสร้างที่มีส่วนประกอบของไขมัน เช่น ผิวหนัง เนื่องจากผิวหนังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณมาก นอกจากนี้ยังมีการพบว่า ภาวะขาดวิตามินอีอย่างรุนแรงสามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าวิตามินอีจะมีประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกาย แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการได้รับวิตามินอีจากอาหารที่กินในมื้อประจำวันก็นับว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว การได้รับวิตามินอีที่มากเกินไปไม่อาจทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากขึ้นแต่อย่างใด หนำซ้ำยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้อีกด้วย มักพบวิตามินอีในน้ำมันพืช เมล็ดพืช แป้งสาลี เนื้อสัตว์ เนยเทียม ข้าวโพด ถั่ว นม และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม ในวันหนึ่ง ๆ ควรรับวิตามิน 500 I.U.

วิตามินเค

เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือด การได้รับวิตามินเคในปริมาณที่พอเหมาะ นอกจากจะดีต่อสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังดีต่อผิวพรรณด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหาใต้ตาดำคล้ำตลอดเวลา อันมีสาเหตุมาจากการมีเลือดไปขังอยู่บริเวณผิวหนังใต้ตาเป็นจำนวนมากทำให้แลดูเหนื่อย ไม่สดใสเท่าที่ควร การได้รับ วิตามินเค ในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ดี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ประโยชน์จากวิตามินเคอย่างเต็มที่และปลอดภัย ในวันหนึ่ง ๆ เราควรได้รับวิตามินเค 40 มิลลิกรัม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

คอลลาเจนและอีลาสติน ( Collagen and Elastin )

เมื่ออายุมากขึ้น  คอลลาเจนและอีลาสติน ( Collagen and Elastin ) ที่อยู่ในผิวของเรามีแนวโน้มที่จะสลายไปเรื่อย ๆ ผิวที่ขาดคอลลาเจนและ
อีลาสตินจะเกิดริ้วรอยหย่อนคล้อยได้ง่าย เพื่อคงความกระชับเต่งตึงของผิวพรรณเอาไว้ มีบริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากต่างผลิตเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนและอีลาสตินออกมาเอาใจผู้บริโภคอย่างมากมาย บ้างก็โฆษณาว่ามีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้มีมากขึ้น

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังกับค้นพบความจริงที่ดูเหมือนว่าจะตรงข้ามกัน มีการพบว่าคอลลาเจนและอีลาสติน ( Collagen and Elastin ) มีอยู่ในโครงสร้างผิวตามธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสลายไปเองตามธรรมชาติเมื่อมีอายุมากขึ้น การทาครีมไม่อาจกระตุ้นให้มีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาอีก เหนือสิ่งอื่นใดคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ในครีมบำรุงผิวไม่อาจซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีโมเลกุลที่ใหญ่เกินกว่าจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวที่อยู่ลึกลงไปได้ จึงทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ในครีมเหล่านั้นทำได้ดีที่สุดก็คือเคลือบที่ผิวภายนอก เมื่อโดนน้ำก็พร้อมที่จะละลายไป

คอลลาเจนเป็นโปรตีนคุณภาพสูงที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนมากถึง 200 ชนิด หน้าที่ในการปกป้องและเชื่อมอวัยวะภายในเข้าด้วยกัน เป็นโครงสร้างหลักของผิวพรรณ กระดูก ข้อต่อ เส้นผม คอลลาเจนที่อยู่ในชั้นหนังแท้จะทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ชุ่มชื้น แลดูอ่อนกว่าวัย กระชับ มีความยืดหยุ่นสูง ผิวที่มีคอลลาเจนสูงจะกระชับ เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น หรือมีริ้วรอย จากการทดสอบพบว่าเมื่อ ( 30 ปี ขึ้นไป ) โดยคิดเป็นร้อยละ 1 ทุก ๆ ปี เพื่อคงความกระชับเรียบเนียนของผิวพรรณเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึงชุ่มชื้นและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้น้อยลง

แม้ว่าเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องสำอางในปัจจุบันจะมีการพัฒนามากขึ้น ผู้ผลิตหลายรายออกมาบอกว่าครีมคอลลาเจนและอีลาสตินของพวกเขามีประสิทธิภาพในการซึมซับเข้าสู่ผิวภายใน รวมถึงกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน ( Collagen and Elastin ) ใต้ผิวได้จริง เนื่องจากได้มีการพัฒนาขนาดของโมเลกุลของครีมให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก็ยังคงยืนยันว่าครีมเหล่านั้นไม่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินแต่อย่างใด ครีมเหล่านั้นมีประสิทธิภาพเพียงแค่รักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังเอาไว้เท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกว่าในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินสิ่งที่จะกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้มากขึ้นได้จริงก็แค่กรด เอเอชเอ บีเอชเอและกรดวิตามินเอเท่านั้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ฟลาโวนอยด์ ( Flavonoid )

เป็นกลุ่มของเม็ดสีของพืชที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ฟลาโวนอยด์ ( Flavonoid ) ทำหน้าที่ในการแสดงสีสันของผัก ผลไม้ รวมไปถึงดอกไม้ เพื่อดึงดูดแมลงและสัตว์ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันพืชจากสภาพแวดล้อม ทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยของเซลล์และเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่การมีริ้วรอยในที่สุด นอกจากนี้สารฟลาโวนอยด์บางประเภทยังทำหน้าที่เป็นสารต้านโรคภูมิแพ้ ต้านมะเร็ง ต้านอาการอักเสบและต้านไวรัสได้อีกด้วย

กรดวิตามินเอ ( Vitamin A acid )

มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า กรดวิตามินเอ ( Vitamin A acid ) และเรตินนอลคือสารชนิดเดียวกัน แต่ความจริงกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ กรดวิตามินเอจัดว่าเป็นยามากกว่าที่จะเป็นเครื่องสำอาง เมื่อนำมาใช้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเข้มงวด เนื่องจากมีความเข้มข้นสูงและต้องมีการควบคุม หากนำมาใช้อย่างผิดวิธี อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ผิวแห้งจนหลุดลอกออกหรือเกิดรอยผื่นแดงหรือถ้าใช้ในขณะตั้งครรภ์อาจทำให้เด็กมีความผิดปกติได้

เมื่อพูดถึงในด้านของความงามกรดวิตามินเอช่วยลบเลือนริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว เป็นคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมของกรดวิตามินเอในการดูแลผิว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเอามาผสมลงในเครื่องสำอางได้ บริษัทเครื่องสำอางจึงได้ผลิตเรตินอลซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอขึ้นมา เรตินอลมีคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่มีฤทธิ์บางเบากว่ากรดวิตามินเอและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างที่กรดวิตามินเอเป็น

สำหรับกรดวิตามินเอแล้ว กรดวิตามินเอ ( Vitamin A acid ) จะช่วยปรับเซลล์ที่มีความผิดปกติให้กลับสู่สภาพปกติ ช่วยลดการสร้างน้ำมันส่วนเกิน จึงมีคนจำนวนมากใช้คุณสมบัติข้อนี้ในการรักษาปัญหาสิวอุดตันที่เกิดจากการผลิตน้ำมันมากเกินไปของต่อมน้ำมันใต้ชั้นผิวหนัง โดยทั่วไปแล้ว กรดวิตามินเอจะขจัดปัญหาผิวให้หายไป และทำให้ผิวคืนสู่สภาพปกติภายใน 10 สัปดาห์ เมื่อหยุดใช้แล้วควรทาครีมกันแดดและปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาผิวดังกล่าวย้อนกลับมาอีก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผลข้างเคียงที่เกิดจากใช้กรดวิตามินเอ คือจะทำให้ผิวแห้งลอกและอาจมีอาการแพ้แดง ซึ่งเป็นอาการในช่วงแรกที่เริ่มใช้ จึงทำให้มีคนเข้าใจว่ากรดวิตามินเอมีฤทธิ์ในการลอกผิว ซึ่งนั่นถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดและหากอาการแพ้ดังกล่าวรุนแรง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที

สังกะสี

สังกะสี เป็นหนึ่งในธาตุที่นอกจากจะมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพผิวพรรณด้วยเช่นกัน สังกะสีช่วยให้เซลล์ใต้ผิวหนังเติบโตและทำงานตามปกติ ช่วยเสริมสร้างและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่ในการเร่งกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวและกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ การขาดสังกะสีจะนำไปสู่อาการอักเสบของชั้นผิวหนัง เล็บเปราะ ผมร่วงและสิว เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรักษาผิวสวยและอ่อนเยาว์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเราควรได้รับ สังกะสี วันละ 60 มิลลิกรัม

อัลฟา ไฮดรอกซี เอซิด ( เอเอชเอ : Alfa-Hydroxy Acid )

เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวที่ดีเยี่ยมและมีความปลอดภัยสูง เริ่มนำมาใช้ในประเทศไทยกันอย่างแพร่หลายในช่วงปี พ.ศ.2535 ในปัจจุบันเราสามารถสังเคราะห์ อัลฟา ไฮดรอกซี เอซิด ( เอเอชเอ : Alfa-Hydroxy Acid ) ขึ้นมาใช้ได้เอง แต่เชื่อกันว่าเอเอชเอที่มาจากธรรมชาติจะมีประสิทธิภาพในการผลัดลอกเซลล์ผิวที่ดีกว่า และก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้น้อยกว่า เอเอชเอมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไปอย่างนุ่มนวล ช่วยเผยผิวเกิดใหม่ที่สดใสแข็งแรง ทำให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียน ช่วยลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ และตื้น ๆ ทำให้ริ้วรอยดังกล่าวจางลงและตื้นขึ้น ลบรอยหมองคล้ำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

เอเอชเอมีแหล่งที่มาหลายแห่ง เช่น กรดซีตริก (Citric Acid) สกัดได้จากมะนาวและสับปะรด กรดแลคติก (Lactic Acid) สกัดจากนมเปรี้ยว มะเขือเทศ กรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid) สกัดได้จากองุ่น มะขาม และเหล้าไวน์ กรดมาลิก (Malic Acid) สกัดได้จากแอปเปิ้ล ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการใช้เอเอชเออย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ยังผลให้ผิวมีปริมาณของคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสตินเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ไม่หย่อนคล้อยง่าย     [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เบต้า ไฮดรอกซี เอซิด ( บีเอชเอ-Beta-Hydroxy Acid )

กรดบีเอชเอ คือกรดซาลิไซลิก ( Salicylic Acid ) ไม่ใช่สารใหม่แต่อย่างใดสำหรับวงการแพทย์และเครื่องสำอาง เนื่องจากเป็นสารที่แพทย์ใช้ในการรักษาปัญหาผิว เช่น ตาปลา สิว รังแค เชื้อรา รวมไปจนถึงโรคผิวหนังที่มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมมาแล้วเป็นเวลานาน บีเอชเอเป็นสารเคมีที่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์เสียเป็นส่วนใหญ่ กรดบีเอชเอจะออกฤทธิ์ในชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไป ละลายได้ดีในน้ำมัน ช่วยผลัดลอกเซลล์ผิวได้มากกว่ากรดบีเอชเอ โดยไม่ส่งผลกระทบเป็นเกราะป้องกันเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ แต่ไม่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินอย่างที่กรดเอเอชเอทำได้แต่อย่างใด การใช้ เบต้า ไฮดรอกซี เอซิด ( บีเอชเอ-Beta-Hydroxy Acid ) ที่ค่าความเป็นกรดด่างต่ำ ( PH 2.1-2.98 ) จะช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง หรือเป็นอันตรายต่อผิว ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ

ในวงการเครื่องสำอางมักมีการนำเอาบีเอชเอที่มีค่าความเป็นกรดด่างต่าง ๆ เช่นนี้ไปผสมในเครื่องสำอาง ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกวันโดยไม่ก่อให้เกิดโทษแต่อย่างใด แต่สำหรับบีเอชเอที่ความเข้มข้นสูงจะมีประสิทธิภาพในการผลัดลอกเซลล์ผิวที่ดีและล้ำลึกยิ่งขึ้น แต่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ และจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ชาเขียว ( Green Tea )

เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวเพื่อรักษาอาการไข้หวัด อาหารไม่ย่อย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวและขับของเสีย จากการศึกษาส่วนประกอบพบว่า ชาเขียว ( Green Tea ) มีสารโพลีฟีนอล ( Polyphenol ) และคาเตชิน ( Catechin ) ในปริมาณสูง สารโพลีฟีนอลมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมที่ทรงพลัง มีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า ช่วยป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยต้านความร่วงโรย ทำให้ผิวพรรณผ่องใส เปล่งปลั่ง กระชับและเนียนเรียบ

บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากได้นำเอาคุณสมบัติอันโดดเด่นนี้ของชาเขียวไปเป็นหนึ่งในส่วนผสมของเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าชาเขียวมีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลที่ดีเยี่ยม ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจให้น้อยลง ลดอัตราการจับตัวเป็นก้อนของตะกอนไขมันที่ผนังหลอดเลือด จึงช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือดช่วยชะล้างสารพิษอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ ช่วยต้านมะเร็ง ช่วยยับยั้งการจับตัวเป็นก้อนของลิ่มเลือด [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สารคาเตชินที่อยู่ใน ชาเขียว ( Green Tea ) มีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต ช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี ( HDL ) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เพื่อให้ได้ประโยชน์จากชาเขียวอย่างเต็มที่จึงควรดื่มชาเขียวทุกวัน แต่เนื่องจากการดื่มชาเขียวทุกวันอาจส่งผลทำให้ท้องผูกได้ จึงได้มีการผลิตชาเขียวในรูปแบบของแคปซูลออกมาเพื่อง่ายต่อการกิน ทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากชาเขียวอย่างเต็มที่โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้ได้ประโยชน์จากชาเขียวทั้งในด้านของสุขภาพและความงาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินชาเขียว 100 มิลลิกรัมทุกวัน

อาหารปัจจุบันส่วนใหญ่ได้รับการแปรรูปจนแทบไม่เหลือ สารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุจึงอาจทำให้ได้รับสารอาหารได้ไม่เพียงพอ

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ( Grape Seed Extract )

มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม มีประสิทธิภาพในการจัดการกับอนุมูลอิสระดีกว่าวิตามินอี ซี หรือเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อในการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ป้องกันความเสียหายของคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักในการเพิ่มความยืดหยุ่นและพยุงผิว อันเกิดจากอนุมูลอิสระทำให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ เรียบเนียน ไม่หมองคล้ำ กระชับ เต่งตึงเป็นเวลานาน

โสม ( Ginseng )

มีสรรพคุณในการบำรุงสุขภาพและเสริมสร้างกำลังวังชา เนื่องจาก โสม ( Ginseng ) มีการรวมเอาพลังงานอินทรีเข้ามาไว้ในตัวตลอดช่วงการเจริญเติบโต โสมประกอบด้วยสารซาโปนิน ( Saponin ) อย่างน้อย 12 ชนิด กรดอะมิโน 14 ชนิด เปปไทด์ โซเดียม ทองแดง น้ำมันหอมระเหย โพแทสเซียม เหล็ก แมงกานีส แคลเซียม แมกนีเซียม กรดโสม น้ำตาลโสม วิตามิน กรดนิโคติน สังกะสี เจอร์มาเนียม ( Germanium )

สารสกัดจากโสมมีคุณสมบัติในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ เสริมสร้างเม็ดเลือดขาวและเซลล์น้ำเหลือง เมื่อมีการทดลองคุณสมบัติของโสมในการต่อต้านเซลล์มะเร็งกับสัตว์ทดลอง พบว่าโสมแดงมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งอย่างดีเยี่ยม ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ยังพบอีกว่า สารโพลีแซคคาไรด์ ( Polysaccharride ) ที่สกัดได้จากโสมมีคุณสมบัติในการบำรุงตับและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย   [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ถั่วเหลือง ( Soybean )

ถั่วเหลือง ( Soybean ) มีสรรพคุณในการช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งให้ช้าลง ผลจากการทดลองในห้องทดลองพบว่า ถั่วเหลืองมีคุณสมบัติในการยับยั้งการกระจายตัวของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งผิวหนังและมะเร็งชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า เปลือกถั่วเหลืองช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้น้อยลงอีกด้วย นักวิจัยจำนวนมากเชื่อว่า โดยทั่วไปแล้วถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าเนื้อแดงหรือผลิตภัณฑ์จากนมถั่วเหลืองไม่มีคอลเลสเตอรอล ไม่มีฮอร์โมนแปลกปลอมที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกายอย่างที่เนื้อสัตว์ปีกหรือเนื้อวัวมี ถั่วเหลืองจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดที่จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลจากโรคมะเร็งและโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากความเสื่อมโทรมของร่างกาย

ถั่วเหลือง ( Soybean ) รวมไปถึงพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ มีสรรพคุณในการชะลอการเจริญเติบโตและยับยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง มีสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อโรค ต้านเชื้อราและทำให้เลือดแข็งตัว นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นและ สารอาหาร ที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เหล็ก แมกนีเซียม ทองแดง ซีลีเนียม แมงกานีส โมลิบดินัม สังกะสี เป็นต้น

หนึ่งในอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายคือเต้าหู้ เต้าหู้อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกาย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแข็งตัว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รักษาภาวะโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก ต้านมะเร็ง การปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ดีต่อคนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วนและโรคหัวใจ

แพทย์แผนจีนเชื่อว่าเต้าหู้มีสรรพคุณในการช่วยปรับธาตุให้เป็นกลาง เพิ่มความชุ่มชื้น ดับร้อน ดับกระหาย แก้อาการท้องเสีย มีคุณค่าทางอาหารสูง ประกอบด้วยโปรตีนคุณภาพดีร้อยละ 7.4 ไขมันร้อยละ 3.1 น้ำตาลร้อยละ 2.7 ในเต้าหู้ 100 กรัมจะมีแคลเซียม 277 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม เหล็ก 2.1 มิลลิกรัม

นอกจากนี้เต้าหู้ยังมีวิตามินบี1 บี2 และบี3 เป็นจำนวนมาก เต้าหู้มีซีลีเนียมสูง จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าจีเนียสที่อยู่ในเต้าหู้มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 500 เท่า จึงทำให้เต้าหู้เป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารที่ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง ป้องกันอันตรายที่เกิดจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ถั่วเหลืองมีแคโรทีนอยด์ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในภายหลัง ซึ่งมีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระ ปรับภูมิคุ้มกันและช่วยต้านมะเร็ง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ถั่วเหลือง ( Soybean ) มีเซลลูโลสสูง ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระ กระตุ้นลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหวอย่างเป็นปกติ ทำให้กากอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ถูกขับออกได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้ ช่วยลดการไหลเวียนของกรดน้ำดีให้น้อยลง วิธีนี้จะช่วยให้สิ่งที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ที่จะนำไปสู่โรคมะเร็งลดน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากเต้าหู้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย สารอาหาร ที่อยู่ในเต้าหู้สามารถย่อยสลายได้มากถึงร้อยละ 92 – 96

เต้าหู้มีน้ำตาลต่ำจึงเหมาะกับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่ระบบการย่อยอาหารทำงานไม่เต็มที่ นอกจากนี้เต้าหู้ยังมีประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไปที่มีร่างกายแข็งแรง และยังเหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องจำกัดปริมาณน้ำตาลอีกด้วย

สารสกัดจากเกลือแร่เดดซี 

ทะเลเดดซีได้ชื่อว่าเป็นทะเลที่เค็มที่สุดในโลก โดยมีความเข้มข้นของเกลือแร่มากถึงร้อยละ 25 เกลือแร่ที่ได้จากทะเลเดดซีจะประกอบด้วยแร่ธาตุสำคัญ ๆ ที่มีความเข้มข้นสูง ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ซัลเฟอร์ โปรไมนด์ ในแง่ของความสวยความงามแล้ว มีคนจำนวนมากเชื่อว่าแร่ธาตุที่มีความเข้มข้นจากทะเลเดดซีมีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณอย่างดีเยี่ยม ช่วยยืดอายุเซลล์ผิวให้เสื่อมช้าลง ช่วยลบเลือนริ้วรอยบนใบหน้า จนทำให้บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากพยายามผสมแร่ธาตุที่สกัดได้จากทะเลดังกล่าวลงไปในเครื่องสำอางของตัวเองเพื่อสร้างจุดขาย

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะขึ้นชื่อในด้านของความงาม แต่ในขณะนี้ก็ยังไม่มีผลการวิจัยที่น่าเชื่อถือได้ชิ้นใดออกมายืนยันถึงประโยชน์ของสารสกัดจากเกลือแร่เดดซีที่มีต่อผิวพรรณและความงามแต่อย่างใด

สารสกัดจากสาหร่ายทะเล

สาหร่ายทะเล มีแร่ธาตุมากกว่าพืชพรรณที่อยู่บนบกเกือบ 20 เท่า มนุษย์ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของสาหร่ายทะเล มีการนำมาทำเป็นอาหารและยาเป็นเวลานับพันปี สาหร่ายทะเลอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ มีเส้นใย ในขณะที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำ สาหร่ายทะเลอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินเค วิตามินเอ วิตามินบี เหล็ก แคลเซียม ไอโอดีนและทองแดง

สาหร่ายทะเลมีสรรพคุณในการเพิ่มกำลังวังชา อุดมไปด้วยโปรตีนเส้นใยที่ละลายน้ำได้ มี สารอาหาร ที่จำเป็นสูง ช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ เพิ่มกำลังทางเพศ นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังมีสรรพคุณในการล้างพิษ โดยมีคุณสมบัติคล้ายกับยาขับปัสสาวะ ทำให้ลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ ดีต่อต่อมไทรอยด์ช่วยชะล้างสารกัมมันตรังสีออกจากร่างกาย ทำให้ระบบเผาผลาญน้ำของร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การแพทย์จีนแผนโบราณใช้สาหร่ายในทะเลในการช่วยปรับน้ำในร่างกาย ช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินอาหาร ช่วยทำความสะอาดระบบน้ำเหลือง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเนื่องจากอุดมไปด้วยไอโอดีนและซีลีเนียม ช่วยทำให้เนื้อเยื่อและกระแสเลือดมีความเป็นด่าง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำให้ปอดและระบบย่อยอาหารแข็งแรง

เมื่อกล่าวในแง่ของความสวยงามแล้ว สารสกัดจากสาหร่ายทะเลมีคุณสมบัติในการรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงไม่แห้งกร้าน ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อที่ดีเยี่ยม

น้ำมันมะกอก ( Olive Oil )

น้ำมันมะกอก ( Olive Oil ) อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ในผลของมะกอกประกอบไปด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนและสารต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่มีชื่อว่า โพลีฟีนอล น้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL-C ) และช่วยลดระดับความเข้มข้นของโคเลสเตอรอลชนิดเลว ( LDL-C )

มีการพบว่านอกเหนือจากน้ำมันมะกอกแล้ว การกินน้ำมันข้าวโพดและนำมันดอกคำฝอยก็มีสรรพคุณในด้านการต้านอนุมูลอิสระด้วยเช่นกัน แถมยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวอีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากน้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณไม่ได้รับความเสียหายจากอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระดังกล่าว

สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส ( French Maritime Pine Bark )

จากการศึกษาคุณสมบัติของเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส ผู้เชี่ยวชาญพบว่าสารสกัดจากเปลือกสนชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อ รวมถึงการร่วงโรยแห่งวัย และการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความเรียบเนียนให้แก่ผิวพรรณ ช่วยลดปริมาณการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า โดยทำให้ความเข้ม ขนาดของฝ้าและรอยหมองคล้ำต่าง ๆ ลดน้อยลง

เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของ สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส ( French Maritime Pine Bark ) ที่มีต่อผิวพรรณและความงาม ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการทดลองโดยนำอาสาสมัครผู้หญิง จำนวน 30 คน ที่มีช่วงอายุระหว่าง 28 – 60 ปีที่มีปัญหาเรื่องฝ้าให้รับสารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศสวันละ 75 มิลลิกรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน พบว่าความเข้มข้นและขนาดของฝ้าบนใบหน้าของอาสาสมัครเหล่านั้นลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังพบอีกว่า สารสกัดดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่เป็นอันตรายแต่อย่างใดต่อร่างกาย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สารสกัดจากยีสต์ ( Yest Extract )

คุณสมบัติในด้านความงามของยีสต์เป็นที่ประจักษ์กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยคนสมัยก่อนนิยมนำยีสต์มาผสมกับโยเกิร์ตแล้วนำมาพอกหน้า เชื่อว่ายีสต์จะช่วยเติมออกซิเจนให้แก่ผิวทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อแข็งแรง เปล่งปลั่ง สดใส ไม่เสื่อมโทรมหรือร่วงโรยง่าย ยีสต์เป็นเชื้อราประเภทหนึ่งเชื่อกันว่า สารสกัดจากยีสต์ ( Yest Extract )มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยชะลอการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อ ช่วยยืดอายุของเซลล์ผิวให้ยาวนานยิ่งขึ้นและยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ได้รับความเสียหายให้กลับมาแข็งแรงได้อีกด้วยด้วย คุณสมบัติที่ดีเยี่ยมด้านความงามนี้จึงทำให้บริษัทเครื่องสำอางหัวใสจำนวนมากต่างนำสารสกัดจากยีสต์ไปผสมลงในเครื่องสำอางของตัวเอง พร้อมกับอ้างว่าเครื่องประทินผิวของตัวเองสามารถรักษาผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง ไร้ริ้วรอยและแลดูอ่อนกว่าวัยเสมอ

โปรตีนจากปลาทะเล

ปลาทะเลเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพดี เนื่องจากไม่มีคอเลสเตอรอล ย่อยง่าย ไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารระคายเคือง มีการพบว่าเนื้อปลาทะเลบางชนิดที่ได้จากทะเลแถบฟินแลนด์ยังมีสารสำคัญที่อยู่ในกลุ่มโปรทีโอไกลแคน ( Proteoglycans ) หรือไกลโคซามีโนไกลแคน ( Glycosaminoglycans ) ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อกระดูก เล็บ เส้นผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวพรรณในปริมาณสูงมากเป็นพิเศษในภาวะปกติร่างกายจำเป็นต้องใช้ สารอาหาร เหล่านี้เพื่อทำให้กระบวนการทำงานของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติสุข

โดยร่างกายจะนำสารนี้ไปใช้ในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจำเป็นต่อความกระชับเต่งตึงของผิวพรรณ ช่วยเสริมสร้างกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้สมบูรณ์แข็งแรง เมื่อร่างกายขาด สารอาหาร เหล่านี้จะทำให้เกิดอาการบกพร่องเกี่ยวกับผิวพรรณ ทำให้มีแนวโน้มเกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวพรรณเหี่ยวย่น ภาวะเส้นเลือดเปราะแตกง่าย ผมและเล็บเปราะหักง่าย

สารสกัดจากเมล็ดงา ( Sesami Extract )

เมล็ดงา อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทองแดงแคลเซียม ใยอาหารโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน สังกะสี นอกจากนี้ยังพบว่าในงามีสารเซซามิน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ทำให้เนื้อเยื่อไม่เสื่อมโทรมหรือร่วงโรยได้ง่าย ช่วยป้องกันตับจากการทำลายของสารพิษ ทำให้ตับสามารถทำหน้าที่ในการชะล้างสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยังผลให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างปกติ มีฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระที่มีต่อผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ริ้วรอยหรือความเหี่ยวย่นน้อยลง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตามแม้ว่าสารเซซามินในเมล็ดงาจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะผิวพรรณเป็นอย่างมาก แต่จากการศึกษาส่วนประกอบของเมล็ดงาพบว่า เมล็ดงาแต่ละเมล็ดจะมีสารเซซามินในปริมาณที่น้อยมาก (มีเพียงร้อยละ 0.2 – 0.5 เท่านั้น) นอกจากนั้นสารดังกล่าวยังไวต่อสภาพแวดล้อมมาก โดยจะสลายตัวไปเมื่อโดนความร้อนโดยตรงนอกจากนี้ยังพบอีกว่าร่างกายไม่อาจนำสารเซซามินจากเมล็ดงามาใช้ประโยชน์ผ่านการกินโดยตรง เนื่องจากร่างกายไม่อัดย่อยเมล็ดงาที่มีโครงสร้างไฟเบอร์ห่อหุ้มเอาไว้ได้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสารเซซามินดังกล่าว เราจำเป็นต้องรับสารเซซามินในรูปของสารสกัดที่ผ่านกระบวนการผลิตที่พิเศษเท่านั้น

กลูต้าไธโอน ( Glutathione )

มีคุณสมบัติในการปรับสารพิษให้มีสภาพเป็นกลาง ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายไม่ได้รับอันตราย ก่อนที่ร่างกายจะขับสารพิษดังกล่าวทิ้งไป เพื่อควบคุมการสังเคราะห์เมลานิน ทำให้ผิวขาวใสและช่วยลบเลือนริ้วรอยให้จางลง ช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินซีและอี ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เร็วและสะดวกยิ่งขึ้น แหล่งที่พบกลูต้าไธโอน ได้แก่ เนื้อ สาหร่ายสไปรูลิน่า ปลา วอลนัต หน่อไม้ฝรั่ง

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ( Evening Primrose )

สกัดจากเมล็ดอีฟนิ่งพริมโรสมีกรดไขมันจำเป็นกลุ่มโอเมก้า-6 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไลโนเลอิกและแกมมาไลโนเลนิก กรดไขมันโอเมก้า-6 ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหลอดเลือดตีบตัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณยืดหยุ่น ไม่แห้งกร้านหรือมีริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณนวลเนียน เต่งตึง กระชับ บรรเทาอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน ช่วยปรับระดับฮอร์โมนในหญิงวัยเจริญพันธุ์และวัยหมดประจำเดือนให้อยู่ในระดับที่สมดุลและช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

กระเทียม ( Garlic )

กระเทียม ( Garlic )เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษามะเร็งที่ดีเยี่ยม จากการทดลองพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ในการต้านการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและต่อสู้กับเชื้อโรค ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีภูมิต้านทานต่ำเนื่องจากการติดเชื้อ การทำเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีโรคแทรกเนื่องจากการติดเชื้อ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

น้ำมันกระเทียมช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับมะเร็ง ช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งบริเวณจมูก คอ ตับและปากมดลูก ช่วยทำลายองค์ประกอบของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้เซลล์มะเร็งตายในที่สุด
นอกจากนี้กระเทียมยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งการสังเคราะห์สารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ช่วยป้องกันและรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งทางเดินอาหาร ช่วยรักษามะเร็งผิวหนัง ช่วยรักษาโรคเนื้องอกชนิดร้ายแรงได้หลายชนิด ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการคุกคามของเปอร์ออกไซด์ในการทำลายเยื่อหุ้มเซลล์

การกินหอมและกระเทียมในปริมาณมากอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารให้น้อยลง และยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยต้านเชื้อโรค ช่วยต้านการเกิดโรค ต้านการเกิดเนื้องอก และลดอัตราของเปอร์ออกไซด์ที่กระทำต่อเยื่อหุ้มเซลล์

จากการศึกษาส่วนประกอบพบว่า กระเทียม ( Garlic ) มีสารที่ต้านการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกล็ดเลือดลื่นไม่จับตัวกันเป็นก้อน นอกจากนั้นกระเทียมยังมีสารซีลีเนียมที่มีคุณสมบัติในการเป็นตัวตามปฏิกิริยาออกซิเดชัน ป้องกันไม่ให้ออกซิเจนหลุดออกจากเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยขจัดของเสียออกจากเลือด ทำให้เลือดบริสุทธิ์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้สะดวก ยังผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสไม่หมองคล้ำง่าย

สาหร่ายสไปรูลิน่า ( Spirulina )

สาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นพืชเซลล์เดียวที่เติบโตบนพื้นผิวของแหล่งน้ำที่สะอาด ซึ่งอยู่ตามเทือกเขาและป่าลึก ปราศจากการปนเปื้อนของของเสียหรือสารพิษ เป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่งที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่เกิดขึ้นบนโลกเมื่อ 2,000 ล้านปีก่อน สาหร่ายสไปรูลิน่า 100 แคปซูล จะให้โปรตีนบริสุทธิ์ที่ได้จากพืชซึ่งง่ายต่อการย่อย 58 กรัม คลอโรฟิลล์ธรรมชาติอีก 2.1 กรัม สาหร่ายสไปรูลิน่าจะมีคลอโรฟิลล์ที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ มีเบต้าแคโรทีนสูง มีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ในการเยียวยาบาดแผล ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยงามและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

นอกจากโปรตีนและคลอโรฟิลล์แล้ว สาหร่ายสไปรูลิน่ายังอุดมไปด้วยวิตามินบี ซึ่งจำเป็นต่อการล้างพิษและการเยียวยาร่างกายและเหนือสิ่งอื่นใด สาหร่ายสไปรูลิน่ายังเป็นแหล่งวิตามินบี12 ซึ่งเป็นวิตามินที่หาไม่ได้ในพืชผัก หรืออาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ วิตามินบีมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูและการปรับสมดุลของสมอง ตับ และระบบประสา เนื่องจากแหล่งวิตามินบีคือธัญพืชและเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดกรดขึ้นภายในร่างกายที่เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงในช่วงล้างพิษ เพื่อให้ได้วิตามินดังกล่าว สาหร่ายสไปรูลิน่าจึงเป็นทางเลือกที่ดี อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดกรดหรือของเสียขึ้นภายในร่างกายอีกด้วย [adinserter name=”navtra”]

GF ( Growth Factor ) สารยุคใหม่แห่งโลกอนาคต

สาร GF ( Growth Factor ) คือสารที่เป็นส่วนประกอบของน้ำเลี้ยงเซลล์ที่ใช้ในกระบวนการเพาะเลี้ยงเซลล์เพื่อปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของวงการวิทยาศาสตร์ในการรักษาอวัยวะที่ได้มาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรงที่สุด สาร GF ( Growth Factor )มีฤทธิ์ในการเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์และเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์

ด้วยคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมต่อเซลล์ บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากได้นำสาร GF ( Growth Factor ) มาประยุกต์เข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวให้มีการเจริญเติบโต เสริมสร้างกระบวนการฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองของเซลล์และเนื้อเยื่อในระดับรากลึก ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อแข็งแรง ไม่ทรุดโทรมและสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ ไม่ร่วงโรยไปตามวัย เมื่อนำมาใช้กับผิวแล้วพบว่าสาร GF ( Growth Factor ) ช่วยปรับสภาพผิวให้เนียนนุ่ม ลบเลือนริ้วรอย มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการหย่อนคล้อย หรือเสื่อมโทรมของผิวอย่างดีเยี่ยม เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไปที่ขายอยู่ตามท้องตลาด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

การฉายรังสีรักษามะเร็งมีผลข้างเคียงต่อการมองเห็นอย่างไร

0
การฉายรังสีรักษามะเร็งมีผลกระทบอะไรต่อการมองเห็น
ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาและการมองเห็นจากการเกิดเส้นประสาทตาเสื่อมหลังจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง
การฉายรังสีรักษามะเร็งมีผลกระทบอะไรต่อการมองเห็น
ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาและการมองเห็นจากการเกิดเส้นประสาทตาเสื่อมหลังจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง

มะเร็งรักษาด้วยการฉายรังสีกระทบต่อการมองเห็น

การฉายรังสีเพื่อทำการรักษา โรคมะเร็ง ที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง ในการรักษาอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาและ การมองเห็น เนื่องจากการเกิดเส้นประสาทตาเสื่อมภายหลังการฉายรังสีรักษามะเร็ง ( radiation-induced optic neuropathy / RION ) ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นผลที่มีความรุนแรงค่อยข้างสูงและสามารถเกิดขึ้นได้อย่าง รวดเร็ว ถึงแม้ว่าผลกระทบที่เกิดนี้จะพบได้น้อยมากก็ตาม ดังนั้นก่อนที่จะทำการรักษาแพทย์ต้องทำการกำหนดค่าขอบเขต ( Constraint ) ของส่วน Optic Apparatus เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการข้างเคียงข้างต้น ความผิดปกติของสายตาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีแล้วประมาณ 2.5 ปีเป็นต้นไป ซึ่งการประเมินการมองเห็นของผู้ป่วยสามารถทำได้ 2 วิธี คือ

1. การประเมินโดยใช้ค่า Visual Acutiy ( VA ) คือค่าระยะที่ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ โดยคนทั่วไปจะสามารถมองเห็นได้ที่ระยะ 100 ฟุต ซึ่งในการรายงานจะรายงานเป็นค่าที่สามารถมองเห็นได้ของผู้ป่วย/ค่าที่คนทั่วไปมองเห็น เช่น 20/100 หมายความว่าผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ที่ระยะ 20 ฟุต เป็นต้น

2. การตรวจลานสายตา คือ การตรวจปริมาณหรือระยะที่ผู้ป่วยมะเร็งเห็นได้จริง เทียบกับปริมาณหรือระยะที่ผู้ป่วยมะเร็งควรจะต้องมองเห็นได้
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับดวงตาที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทตาจะทำให้เกิดสูญเสีย การมองเห็น ของตาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ( Monocular ) แต่ถ้าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นอยู่ใกล้เคียงกับส่วนของ Optic Chiasm จะส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นของตาทั้งสองข้าง เพราะว่าการเกิดการบาดเจ็บที่บริเวณนี้ที่ตาข้างใดข้างหนึ่งแล้วจะส่งผลกระทบไปสู่ตาอีกข้างหนึ่งได้ด้วยการฉายรังสีรักษามะเร็งแบบ Pitutitary Adenoma จะส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บที่ส่วนของ Inferior Central Optic chiasm ซึ่งเมื่ออาการบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นผู้ป่วยจะมีการมองเห็นแบบลานตา ( VF ) ซึ่งลักษณะความผิดปกติจะเป็นแบบ Bilateral Upper Outer Quadrant แต่ทว่าถ้าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดกับส่วนของ Proximal Optic Tract จะทำให้ข้างที่เป็น Optic Tract สูญเสีย การมองเห็น ไป แต่ก็จะเกิดขึ้นกับข้างที่เป็น Optic Tract เท่านั้น ส่วนตาอีกข้างจะไม่เกิดผลกระทบนี้

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาหลังการรักษามะเร็งไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Retina หรือ Optic nerve หรือ Optic หรือ Occipital Lobes ต่างก็สร้างผลกระทบต่อการมองเห็นของดวงตาทั้งสิ้น และการแบ่งระยะของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการได้รับรังสีเข้าสู่บริเวณ Optic Nerve หรือ Chiasm ก็ไม่สามารถแบ่งออกได้อย่างชัดเจน เพราะว่าปัญหา การมองเห็น ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนี้อาจจะเกิดเนื่องจากสาเหตุอื่นร่วมด้วยได้ เช่น การเป็นต้อกระจก ภาวะตาแห้ง เป็นต้น แต่เราก็

สามารถระบุผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้

1. ตำแหน่งที่มีรอยโรค ( Lesion ) เกิดขึ้นอยู่ที่บริเวณของ Chiasm โดยตรง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Bilateral Temporal VF

2. ตำแหน่งที่มีรอยโรค ( Lesion ) เกิดขึ้นอยู่ที่บริเวณส่วนหลังของ Chiasm จะส่งผลกระทบต่อลานสายตา (VF) ทั้งสองข้างของผู้ป่วย

3. ตำแหน่งที่มีรอยโรค ( Lesion ) เกิดขึ้นอยู่ที่ส่วนด้านหน้าของ Chiasm จะส่งผลกระทบทำให้ลานสายตาของผู้ป่วยในข้างที่มีอาการเกิดขึ้น

มะเร็งกับคำนิยาม Volume ของส่วน Optic Apparatus

ตั้งแต่ส่วนหลังของเส้นประสาทตา ( Optic nerve ) ของตรงกลางของ Globe ผ่านมายังส่วนของตรงกลางของ Orbit โดยที่กล้ามเนื้อตาจะพุ่งผ่านขึ้นมา Opticcanals ที่อยู่ในตำแหน่ง Medial ที่มีต่อ Anterior Clinoid Process ของส่วนกระดูกปีกเล็กของกระดูกสฟีนอยด์ ( Lesser Wings ) ในส่วนของ Sphenoid และยังสามารถแบ่งเป็นเส้นประสาททั้งส่วนซ้ายและขวา และตรงกับตำแหน่งของส่วนไขว้เส้นประสาท (Optic Chiasm ) และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ medial Fibers จะทำการข้ามไปยังส่วนของเส้ในประสาทตา ( Optic Tract ) ของตาที่อยู่ในด้านตรงข้าม ซึ่งในตอนที่ Lateral fibers จะคงมีอยู่ที่ Tract ที่อยู่ในส่วนของข้างเดียวกันกับ Optic Chiasm ที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับตัวอักษร X ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ในตำแน่งเหนือต่อจาก Sella Turcica และส่วนของเส้นประสาทตาจะพาดผ่านไปส่วนหน้าต่อ Pituitary Stalk ที่อยู่ด้านข้างและมีการล้อมรอบโดย Internal Carotid Arteries ซึ่งจากการทำ Ct หรือ MRI ทให้เห็นว่า Optic Tract อยู่ทางด้านหลังของ Optic Chiasm ก่อนที่ Fibers ที่อยู่อย่างกระจัดกระจายจะมีลักษณะกลืนไปกับส่วนของเนื้อสมอง ซึ่งส่วนของตัว optic Nerve นั้นจะมี ความหนาอยู่ประมาณ 2-5 มิลลิเมตรเท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่บางมาก ดังนั้นในการทำ MRI เพื่อที่จะได้เห็นอย่างชัดเจนใน T1 และ T2 แล้ว ควรตัดให้มีระยะน้อยกว่า 3 มิลลิเมตรจะเป็นระยะที่ดีที่สุด เพราะจะสามารถเห็นได้ตลอดทั้งแนวของส่วน Optic Apparatus ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องทำการ Contour อย่างต่อเนื่องเพราะว่าถ้าหากมีการพลาดช่วงใดช่วงหนึ่งไปแล้วจะทำให้การประมวลผล Dose

Volume Histogram มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อการรักษาผู้ป่วย
Dose-Volume Data

พบว่าจากการศึกษาเกี่ยวกับการเกิดสภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เกิดขึ้นกับผู้ป่วยทีทำการรักษาด้วยการฉายรังสีทั้งที่ทำการฉายแบบ Single fraction และแบบ Multiple fraction ซึ่ง

ผู้ป่วยมะเร็งจะมีปัญหาทางด้านสายตาและการมองเห็น หรืออาจทำให้สูญเสียการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เนื่องจากเส้นประสาทตาเกิดการเสื่อมหลังจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง

1. Single Fraction Therapy

จากการรายงานการศึกษาของ Tishler พร้อมกับคณะของเขา พบว่าการทำ Radiosurgery จะส่งผลให้เกิด Optic Nerve Injury ขึ้น และยังพบว่าค่าปริมาณรังสีที่ Optic nerve จะสามารถทนได้มีค่าปริมาณรังสีที่ประมาณ 8 Gy และปริมาณรังสีที่น้อยที่สุดคือ 9.7 Gy จึงจะส่งผลให้เกิด OPTIC Neuropathy
ต่อมา Stafford กับคณะได้ทำการรายงานผลการศึกษาจากการศึกษาสภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy (RION) พบว่าในผู้ป่วยจำนวนทั้งหมด 215 คน มีผู้ป่วยที่เกิดสภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy (RION) จำนวน 4 คน การฉายรังสีศัยกรรม (Radiosurgery) เข้าสู่ผู้ป่วยโดยมีปริมาณรังสีเฉลี่ยที่เข้าสู่ optic chiasm ได้รับเท่ากับ 10 Gy จะพบว่า โอกาสการเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ที่ Dmax ต่าง ๆ สามารถสรุปได้ดังนี้

  • Dmax น้อยกว่า 8 Gy โอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีค่าประมาณร้อยละ 1.7
  • Dmax อยู่ระหว่าง 8-10 Gy โอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีค่าประมาณร้อยละ 1.8
  • Dmax อยู่ระหว่าง 10-12 Gy นั้นจะไม่มีโอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION )
  • Dmax มากกว่า 12 Gy โอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีค่าประมาณร้อยละ 6.9

2. Multiple Fractions Therapy

ได้มีการศึกษาถึงปริมาณรังสีที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถตาบอดได้ โดย Emami กับคณะได้ทำการรายงานว่าผู้ป่วยที่มีโอกาสตาบอดคือผู้ป่วยที่ได้รับปริมาณรังสีที่ 50 Gy จะมีโอกาสตาบอดได้ประมาณร้อยละ 5 แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับรังสีที่ปริมาณมากกว่า 60-65 Gy จะมีโอกาสตาบอดได้มากถึงร้อยละ 50 ทีเดียว และเมื่อมีการศึกษาต่อมาพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับปริมาณรังสีที่มี Dmax ต่ำกว่า 59 Gy หรือได้รับรังสีที่เข้าที่ส่วนของ Chiasm ประมาณ 53.7 Gy หรือได้รับรังสีที่ Optic nerve ปริมาณ 56.8 Gy ผู้ป่วยที่ได้รับรังสีดังที่กล่าวมาจะไม่มีการเกิดภาวะ เกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เลย แต่ถ้ามีการได้รับรังสีเข้าสู่ส่วนของ Optic Nerve ที่ Dmax ที่มีปริมาณรังสีมากกว่า 64 Gy และปริมาณรังสีโดยรวมสูงกว่า 60 Gy แล้วร้อยละ 25 ของผู้ป่วยจะมีผลกระทบข้างเคียงที่ตาเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง ซึ่งผลกระทบข้างเคียงที่เกิดขึ้นนี้จะมีค่าลดลงเมื่อผ่านไปนานกว่า 10 ปี

ต่อมา Hoppe ได้ทำการกำหนดค่า Dmax ของ Optic Nerve ให้มีค่าไม่เกิน 50 Gy แต่ว่า Martel ได้ทำการกำหนดค่า Contraint ว่าควรมีค่าไม่เกิน 60 Gy และต่อมา Daly ได้ทำการกำหนดค่าทั้งสอง คือ ปริมาณรังสีที่ Optic Nerve ควรมีค่าไม่เกิน 54 Gy และปริมาณรังสีที่ Optic Chiasm ไม่ควรมีค่าเกิน 45Gy ซึ่งในผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ( Pitutiary Tumor ) พบว่าเส้นประสาทตาจะสามารถทนต่อปริมาณรังสีได้ลดลง และระยะที่จะทำให้เกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ก็มีระยะเวลาที่ลดลงด้วยเช่นกัน เพราะผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีที่ประมาณ 46 Gy จะส่งผลให้เกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ในระยะเวลาเพียงแค่ 10-11 เดือนหลังจากที่ได้รับการฉายรังสี

นอกจากปริมาณรังสีที่ได้รับทั้งหมดแล้ว ยังพบอีกว่าการเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ยังขึ้นอยู่กับ Fraction Size อีกด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับรังสีที่ปริมาณ 60-70 Gy และมีการให้ Dose/fraction อยู่ที่ ≥ 1.9 Gy จะมีความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) สูงถึงร้อยละ 50 แต่ถ้ามีการให้ Dose/fraction อยู่ที่ < 1.9 Gy Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) จะน้อยลงเหลือเพียงแค่ร้อยละ 11 เท่านั้น นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีแบบ Hyperfraction ที่ได้รับการให้ครั้งละ 1.2Gy / Fraction ทั้งเช้าและเย็นนั้นไม่พบการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เลยแม้แต่น้อย จึงพบว่าการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีจำนวนที่ลดลงเมื่อลดการฉายรังสีให้เหลือเพียงวันละ 2 ครั้ง

ปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความเสี่ยงกับการเกิด Radiation Induced Optic Neuropathy ( RION )

ปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) นอกจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ได้รับแล้วก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก คือ

1. อายุ ผู้ป่วยที่มีอายุสูงจะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) สูงกว่าผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า จากการศึกษาของ Persons กับคณะจากผู้ป่วย 3 กลุ่ม คือ

  • ผู้ป่วยกลุ่มที่ 1 ที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี ที่ได้รับรังสีมากกว่า 60 Gy มีบริเวณ Optic Nerve ร้อยละ 58 กับการได้รับรังสีที่บริเวณ Optic nerve มากกว่า 70 Gy จะการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ประมาณร้อยละ 4
  • ผู้ป่วยกลุ่มที่ 2 ที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี พบว่าเมื่อได้รับรังสีมากกว่า 60 Gy ประมาณร้อยละ 26 กับผู้ป่วยที่ได้รับรังสีที่ปริมาณมากกว่า 70 Gy ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13
  • ผู้ป่วยกลุ่มที่ 3 ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป พบว่าเมื่อได้รับรังสีมากกว่า 60 Gy ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14

ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13
นั้นแสดงว่าผู้ป่วยที่มีอายุมากเมื่อทำการรักษาด้วยการฉายรังสีแล้วจะมีความเสี่ยงในการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มากกว่าผู้ป่วยที่มีอายุน้อยนั่นเอง

2. โรคประจำตัว ถ้าผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอยู่ก่อนที่จะทำการรักษาด้วยการฉายรังสีแล้ว โอกาสที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะแทรกซ้อน Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ขึ้นก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

Dose Volume limits ที่มีการแนะนำสำหรับผู้ป่วย

อาการตาบอดเป็นผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยจะได้รับหลังจากที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสี แต่ถ้าปริมาณรังสีที่ได้รับมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 50 Gyหรือที่ Dmax มีค่าต่ำกว่า 55 Gy แล้วโอกาสที่จะเกิดอาการข้างเคียงจนทำให้ตาบอดเกิดขึ้นได้น้อยมากหรือแทบไม่เกิดขึ้นเลย แต่ในทางกลับกันซึ่งปริมาณรังสีที่สามารถสร้างผลกระทบต้องมีปริมาณมากกว่า 55 Gy ขึ้นไปและถ้าทำการให้ fraction size ที่ต่ำกว่า 2 Gy ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 3-7 เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าผู้ป่วยมีการได้รับรังสีที่ปริมาณมากกว่า 60 Gy ความเสี่ยงในการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) จะเพิ่มขึ้นอีกร้อนละ 8-20 เลยทีเดียว

แต่ในการรักษาเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองนั้นมีการแนะนำให้ทำการตั้งค่า Constranit โดนที่ Dmax ควรมีค่าไม่เกิน 46 Gy เท่านั้น และต้องใช้ 1.8 Gy / Fraction จึงจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วย และการใช้เทคนิค Stereotactic Radiosurgery ในการฉายรังสีเพียงแค่ครั้งเดียวจะทำให้ค่า Dmax ต่ำกว่า 8 Gy ซึ่งจะส่งผลให้การเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เกิดขึ้นได้น้อยลงไปอีก แต่ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ถ้ามีการเพิ่มปริมาณรังสีในการรักษา ซึ่งสามารถทำการสรุปได้ดังตาราง

อวัยวะ ปริมาตร เทคนิคการฉายรังสี EndPoint Dose (Gy), or dose/volume parameters Rate (%) หมายเหตุ
Optic nerve/ chiasm   Whole organ

Whole organ  Whole organ

3D-CRT

3D-CRT  3D-CRT

Optic neuropathy

Optic neuropathy  Optic neuropathy

Dmax < 55

Dmax < 55-60  Dmax > 60

< 3 3-7 >7-20

–      –

Whole organ SRS
(single fraction)
Optic neuropathy Dmax < 12 < 10

การรักษาด้วยรังสีย่อมมีผลกระทบเกิดขึ้นได้ แต่ว่าการกำหนดค่าปริมาณรังสี วิธีการฉายรังสีและการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยก่อนที่จะทำการฉายรังสี จะสามารถช่วยให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้น้อยลง โดยเฉพาะการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ที่สามารถทำให้ผู้ป่วยตาบอดได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง 

อิ่มใจ ชิตาพนารักษ์. ผลกระทบจากการรักษาโรคมะเร็ง. เชียงใหม่: ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2557.

Lessell S. Friendly fire:Neurogenic visual loss from radiation therapy. J Neuroophthalmol. 24:243-250, 2004.

Jiang GL, Tucker SL, Guttenbenberger R, et al. Radiation-induced injury to the visual pathway. Radiother Oncol. 30:17-25, 1994.

Klin LB, Kim JY, Ceballos R. Radiation opticneuropathy. Ophthalmol.92:1118-1126, 1985.

White Blood Cell (WBC) คืออะไร? การตรวจและบทบาทของเม็ดเลือดขาวต่อภูมิคุ้มกัน

0
เซลล์เม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดขาวเป็นเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งคอยป้องกันร่างกายจากเชื้อก่อโรคและสารแปลกปลอมต่างๆ
การตรวจเม็ดเลือดขาววัดค่าอะไรได้บ้าง
เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งคอยป้องกันร่างกายจากเชื้อก่อโรคและสารแปลกปลอมต่างๆ

White Blood Cell (WBC) คืออะไร?

เม็ดเลือดขาวหรือ White Blood Cell (WBC) เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอม บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับบทบาทของเม็ดเลือดขาว วิธีการตรวจ การแปลผล และการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

บทบาทของเม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันคืออะไร?

เม็ดเลือดขาวเป็นกองกำลังหลักของระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่ป้องกันและต่อสู้กับการติดเชื้อ รวมถึงกำจัดสิ่งแปลกปลอมและเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย

เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่อะไรในร่างกาย?

เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่หลักในการ:

  • ตรวจจับและทำลายเชื้อโรค
  • สร้างแอนติบอดีเพื่อต่อต้านการติดเชื้อ
  • กำจัดเซลล์ที่ตายแล้วและสิ่งแปลกปลอม
  • ช่วยในกระบวนการหายของบาดแผล

เม็ดเลือดขาวมีกี่ประเภท และแต่ละประเภททำหน้าที่อะไร?

เม็ดเลือดขาวมี 5 ประเภทหลัก:

  • นิวโทรฟิล (Neutrophils): ต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
  • ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes): สร้างแอนติบอดีและทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส
  • โมโนไซต์ (Monocytes): กำจัดเซลล์ตายและสิ่งแปลกปลอม
  • อีโอซิโนฟิล (Eosinophils): ต่อสู้กับปรสิตและตอบสนองต่อภูมิแพ้
  • เบโซฟิล (Basophils): ตอบสนองต่อการอักเสบและภูมิแพ้

เม็ดเลือดขาวทำงานอย่างไรเมื่อมีการติดเชื้อหรืออักเสบ?

เมื่อมีการติดเชื้อหรืออักเสบ เม็ดเลือดขาวจะ:

  • เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • เคลื่อนที่ไปยังบริเวณที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบ
  • ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม
  • ปล่อยสารเคมีเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

การตรวจนับเม็ดเลือดขาว (White Blood Cell Count) คืออะไร?

การตรวจนับเม็ดเลือดขาวเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count – CBC) ซึ่งวัดจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือด

วิธีการตรวจ WBC ทำได้อย่างไร?

การตรวจทำโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการด้วยเครื่องนับเม็ดเลือดอัตโนมัติ

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนตรวจค่า WBC หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ สามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ควรแจ้งแพทย์หากกำลังรับประทานยาใดๆ

ค่าปกติของ WBC ในเลือดควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ WBC อยู่ในช่วง 4,500-11,000 เซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ WBC?

ค่า WBC ที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรค ภาวะทางสุขภาพ หรือปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่า WBC ต่ำ (Leukopenia)?

สาเหตุของค่า WBC ต่ำ ได้แก่:

  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
  • โรคเกี่ยวกับไขกระดูก
  • โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

อะไรเป็นสาเหตุของค่า WBC สูง (Leukocytosis)?

สาเหตุของค่า WBC สูง ได้แก่:

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การอักเสบเรื้อรัง
  • โรคเลือดบางชนิด
  • ความเครียด

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อระดับเม็ดเลือดขาวในร่างกายมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อระดับ WBC ได้แก่:

  • การออกกำลังกายหนัก
  • ความเครียด
  • การตั้งครรภ์
  • การสูบบุหรี่
  • การใช้ยาบางชนิด

การแปลผลค่า WBC บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า WBC ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า WBC ต่ำสัมพันธ์กับโรคอะไรบ้าง?

ค่า WBC ต่ำอาจบ่งชี้ถึง:

  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
  • โรคเกี่ยวกับไขกระดูก
  • โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด

ค่า WBC สูงสามารถชี้ไปที่ภาวะหรือโรคอะไรได้บ้าง?

ค่า WBC สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การอักเสบเรื้อรัง
  • โรคเลือดบางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • ภาวะเครียดทางร่างกาย

ค่าผิดปกติของ WBC ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่า WBC ผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ติดตามอาการและตรวจซ้ำตามที่แพทย์กำหนด

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ WBC

ค่า WBC ที่ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคและภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคติดเชื้อมีผลต่อระดับ WBC อย่างไร?

โรคติดเชื้อมักทำให้ระดับ WBC สูงขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรีย ในขณะที่การติดเชื้อไวรัสบางชนิดอาจทำให้ WBC ต่ำลง

โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน (เช่น HIV, Lupus) ส่งผลต่อ WBC อย่างไร?

โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันมักส่งผลให้ WBC ต่ำลง เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเม็ดเลือดขาวหรือรบกวนการผลิตเม็ดเลือดขาว

มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) เกี่ยวข้องกับค่า WBC อย่างไร?

มะเร็งเม็ดเลือดขาวมักทำให้ WBC สูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการผลิตเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติและมากเกินไป

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับ WBC อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาระดับ WBC ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

อาหารที่ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาวมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาว ได้แก่:

  • ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
  • อาหารที่มีโปรตีนคุณภาพดี
  • อาหารที่มีสังกะสีและซีลีเนียม
  • โยเกิร์ตและอาหารหมักที่มีโปรไบโอติก

การออกกำลังกายมีผลต่อระดับ WBC อย่างไร?

การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

วิธีลดความเสี่ยงต่อภาวะเม็ดเลือดขาวผิดปกติคืออะไร?

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • รักษาสุขอนามัยที่ดี
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตราย
  • จัดการความเครียด
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่า WBC?

การสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า WBC ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • มีไข้เรื้อรังหรือติดเชื้อบ่อย
  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่าย
  • ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
  • ปวดกระดูกหรือข้อต่อโดยไม่ทราบสาเหตุ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่า WBC สูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่า WBC ผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า WBC และการทำงานของร่างกายอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อโรคหรือสิ่งที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ
  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่ใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจนับเม็ดเลือดขาว (WBC) เป็นการตรวจที่สำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวมและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การเข้าใจถึงบทบาทของเม็ดเลือดขาว การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับ WBC ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

หากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติเกี่ยวกับค่า WBC ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รักษาสุขอนามัยที่ดี และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของร่างกาย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล,พลเอก. คู่มือแปล ผลเลือด เล่มแรก: กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์, 2554. 372 หน้า: 1.เลือด-การตรวจ. I. ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-48-7.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0.

“A Snapshot of Leukemia”. NCI. Archived from the original on 4 July 2014. Retrieved 18 June 2014.

Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation, American Association of Blood Banks, retrieved 25 July 2014.

ค่า ESR คืออะไร? ตัวบ่งชี้การอักเสบและโรคที่เกี่ยวข้อง

0
ค่า ESR บอกสัญญาณอะไรในร่างกาย เรียนรู้เพื่อการป้องกันโรค
สารตรวจคุณสมบัติพิเศษของเลือดมีอะไรบ้าง
การใช้สารตรวจเพื่อหาสิ่งผิดปกติในร่างกายจากการตกตะกอนของเลือดแดงที่จะบอกถึงความร้ายแรงของโรค

ค่า ESR คืออะไร?

ค่า ESR (Erythrocyte Sedimentation Rate) หรืออัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง เป็นการตรวจวัดที่ช่วยบ่งชี้ภาวะการอักเสบในร่างกาย บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับบทบาท วิธีการตรวจ การแปลผล และการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่า ESR

บทบาทของค่า ESR ในร่างกายคืออะไร?

ค่า ESR เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญในการประเมินภาวะการอักเสบและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ค่า ESR มีความสำคัญต่อการตรวจวินิจฉัยอย่างไร?

ค่า ESR ช่วยในการตรวจคัดกรองและติดตามโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ โดยเฉพาะโรคอักเสบเรื้อรังและโรคแพ้ภูมิตัวเอง

ค่า ESR เกี่ยวข้องกับการอักเสบในร่างกายอย่างไร?

ค่า ESR ที่สูงขึ้นมักบ่งชี้ถึงการอักเสบในร่างกาย เนื่องจากโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจะทำให้เม็ดเลือดแดงจับตัวกันและตกตะกอนเร็วขึ้น

ค่า ESR มีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่?

ค่า ESR มีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกัน โดยค่าที่สูงขึ้นอาจบ่งชี้ถึงการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ในโรคแพ้ภูมิตัวเอง

การตรวจค่า ESR ทำได้อย่างไร?

การตรวจค่า ESR เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทำได้ง่ายและให้ผลรวดเร็ว

วิธีการตรวจ ESR คืออะไร?

การตรวจ ESR ทำโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน แล้วนำเลือดมาใส่ในหลอดทดลองพิเศษ วัดระยะทางที่เม็ดเลือดแดงตกตะกอนในเวลา 1 ชั่วโมง

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจค่า ESR หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์หากกำลังรับประทานยาใดๆ เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลต่อค่า ESR

ค่าปกติของ ESR ในเลือดควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ ESR แตกต่างกันตามอายุและเพศ โดยทั่วไป:

  • ผู้ชาย: 0-15 มม./ชั่วโมง
  • ผู้หญิง: 0-20 มม./ชั่วโมง
    ค่าอาจสูงขึ้นเล็กน้อยในผู้สูงอายุ

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ ESR?

ค่า ESR ที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรค ภาวะทางสุขภาพ หรือปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่า ESR สูง?

สาเหตุของค่า ESR สูง ได้แก่:

  • โรคอักเสบเรื้อรัง
  • โรคติดเชื้อ
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง
  • มะเร็งบางชนิด
  • การตั้งครรภ์

อะไรเป็นสาเหตุของค่า ESR ต่ำ?

ค่า ESR ต่ำพบได้น้อยกว่าและมักไม่ค่อยมีความสำคัญทางคลินิก แต่อาจพบในภาวะ:

  • โรคโลหิตจางบางชนิด
  • ภาวะเม็ดเลือดแดงผิดรูปร่าง

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อระดับค่า ESR มีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่า ESR ได้แก่:

  • อายุและเพศ
  • การตั้งครรภ์
  • ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด
  • ภาวะโภชนาการ

การแปลผลค่า ESR บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า ESR ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า ESR สูงสามารถชี้ไปที่โรคหรือภาวะใดได้บ้าง?

ค่า ESR สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • โรคลูปัส
  • โรคติดเชื้อเรื้อรัง
  • มะเร็งบางชนิด

ค่า ESR ต่ำมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร?

ค่า ESR ต่ำมักไม่ค่อยมีความสำคัญทางคลินิก แต่อาจพบในภาวะโลหิตจางบางชนิด

ค่าผิดปกติของ ESR ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่า ESR ผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ติดตามอาการและตรวจซ้ำตามที่แพทย์กำหนด

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ ESR

ค่า ESR ที่ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคและภาวะสุขภาพหลายอย่าง

ค่า ESR สูงเกี่ยวข้องกับโรคอักเสบเรื้อรังหรือไม่?

ค่า ESR สูงมักพบในโรคอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

โรคติดเชื้อมีผลต่อค่า ESR อย่างไร?

โรคติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อเรื้อรัง มักทำให้ค่า ESR สูงขึ้น

ค่า ESR มีความสัมพันธ์กับโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Diseases) อย่างไร?

โรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น โรคลูปัส หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มักทำให้ค่า ESR สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับค่า ESR อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยควบคุมการอักเสบและรักษาระดับค่า ESR ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

อาหารที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมค่า ESR มีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยลดการอักเสบ ได้แก่:

  • ผักและผลไม้สด
  • ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง
  • ถั่วและเมล็ดพืช
  • น้ำมันมะกอก

การออกกำลังกายมีผลต่อระดับค่า ESR หรือไม่?

การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลให้ค่า ESR ลดลงในระยะยาว

วิธีลดความเสี่ยงต่อภาวะอักเสบและค่า ESR ที่ผิดปกติคืออะไร?

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และลดการอักเสบ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • จัดการความเครียด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่า ESR?

การสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า ESR ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • มีไข้เรื้อรัง
  • ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อที่ไม่ทราบสาเหตุ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่า ESR สูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่า ESR ผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า ESR และการทำงานของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และลดการอักเสบ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • จัดการความเครียด
  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่ใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจค่า ESR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินภาวะการอักเสบในร่างกาย การเข้าใจถึงความสำคัญของค่า ESR การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อควบคุมการอักเสบจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและสามารถป้องกันหรือจัดการกับโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าค่า ESR เป็นเพียงหนึ่งในตัวบ่งชี้ของสุขภาพ และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับค่า ESR หรือสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถควบคุมค่า ESR และรักษาสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล,พลเอก. คู่มือแปล ผลเลือด เล่มแรก: กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์, 2554. 372 หน้า: 1.เลือด-การตรวจ. I. ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-48-7.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0.

Napolitano, LM.American College of Critical Care Medicine of the Society of Critical Care, Medicine; Eastern Association for the Surgery of Trauma Practice Management, Workgroup (Dec 2009).

American Association of Blood Banks (24 April 2014), “Five Things Physicians and Patients Should Question”, Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation, American Association of Blood Banks, retrieved 25 July 2014.