Home Blog Page 7

อันตรายจากเครื่อง Ulthera ปลอม เครื่องแท้เช็กอย่างไร ? ทำ Ulthera ที่ไหนดี ?

0

Ulthera-scaled

ปัจจุบันการทำ Ulthera หรือ Ultherapy ยกกระชับผิวได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีเครื่องปลอมระบาดอย่างหนักตามความนิยมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเครื่อง Ulthera ปลอมสามารถลอกเลียนแบบได้ค่อนข้างคล้ายเครื่องแท้หากไม่ได้สังเกตดี ๆ โดยในบทความนี้มี 4 วิธีสังเกตเครื่อง Ulthera ของแท้ที่ทำได้ด้วยตนเอง เพื่อความปลอดภัย ผลลัพธ์ออกมาคุ้มค่าคุ้มราคาค่ะ


หลังทำ Ulthera มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ? อันตรายไหม ?

หลังทำ-ulthera-มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

หลังทำ Ulthera อาจพบอาการบวมซึ่งเกิดจากการที่ผิวของเราได้รับความร้อนขณะยิงพลังงานลงชั้นผิว หากพบอาการเหล่านี้ไม่ต้องกังวลค่ะ ไม่เป็นอันตราย เป็นผลข้างเคียงที่พบได้เป็นปกติและสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน

หรือในบางรายที่มีผิวบาง ผิวบวมช้ำง่าย อาจมีอาการระบมใต้ผิว ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 1-2 อาทิตย์ค่ะ ในระหว่างนี้แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ และดูแลตัวเองหลังทำตามข้อควรปฏิบัติเพื่อให้อาการบวมยุบได้เร็วขึ้น


อันตรายจากเครื่อง Ulthera ปลอม มีอะไรบ้าง ?

เครื่อง Ulthera ของปลอม หรือเครื่องหิ้ว เป็นเครื่องที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และไม่มีการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ทำขึ้นมาเลียนแบบเครื่องแท้ ซึ่งเครื่องของปลอมเหล่านี้จะมีการปล่อยพลังงานที่ไม่เสถียร ส่งพลังงานได้ไม่สม่ำเสมอ และไม่สามารถเห็นชั้นผิวได้แบบเดียวกับเครื่องของแท้ จึงมีความเสี่ยงสูงที่ทำแล้วจะเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

1. ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่เหมือนกับการใช้เครื่องอัลเทอร่าของแท้ 

เครื่อง Ulthera ของแท้มีพลังงานที่เสถียร ยิงลงได้ถึงชั้นผิว SMAS การใช้เครื่องปลอมที่มีพลังงานไม่เสถียร ต้องทำให้ผู้ทำปรับพลังงานให้เบาลงเพื่อป้องกันผิวไหม้ ระหว่างทำจะไม่รู้สึกเจ็บ และทำเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับยิงพลังงานด้วยเครื่อง Ulthera ของแท้

2. ไม่เห็นผลหรือผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร

ปกติแล้วผลลัพธ์จากการทำ Ulthera จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำประมาณ 30% และเห็นผลได้อย่างเต็มที่หลังทำ 2-3 เดือน โดยผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ถ้าใช้เครื่องปลอม จะทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์การยกกระชับ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือผลลัพธ์ไม่เป็นดังที่คาดหวังไว้ อยู่ได้นานไม่เท่าที่ควร

3. เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

  • อาการบวมช้ำใต้ผิวรุนแรง รู้สึกเจ็บระบมใต้ผิว มีอาการปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ บริเวณที่ทำ ซึ่งเกิดจากการยิงพลังงานไม่เสถียร
  • หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว จากการยิงพลังงานโดนเส้นประสาท
  • ผิวมีรอยไหม้ หน้าเบิร์น จากการใช้คลื่นพลังงานที่สูงเกินไป

วิธีสังเกตเครื่อง Ulthera ปลอม

วิธีสังเกตเครื่อง-Ulthera-ปลอม-scaled

สถานบริการไหนใช้เครื่อง Ulthera ปลอม หรือเครื่องที่หิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน มักมีราคาการทำ Ulthera ที่ถูกจนผิดปกติเมื่อเทียบกับคลินิกหลาย ๆ แห่ง ซึ่งเป็นไปได้ค่อนข้างยากมาก เนื่องจากต้นทุนของเครื่อง Ulthera ของแท้และหัวยิงมีราคาที่ค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่แล้วราคาต่อไลน์จะอยู่ที่ประมาณ 100-150 บาท 

ทั้งนี้ต่อให้ทางสถานบริการแจ้งว่ามีราคาถูกเนื่องจากเป็นเครื่องที่เช่ามา หรือนำเข้าเองโดยตรงก็ไม่ได้ค่ะ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเครื่องปลอมมาก ๆ ไม่ควรเสี่ยงเพราะอาจทำให้หน้าพัง ไม่คุ้มเลยค่ะ


วิธีสังเกตเครื่อง Ulthera ของแท้ ดูได้ไม่ยาก

วิธีเช็กเครื่อง Ulthera ของแท้(3)

วิธีเช็กเครื่อง Ulthera ของแท้

วิธีเช็กเครื่อง Ulthera ของแท้(1)

4 ขั้นตอนเช็กเครื่อง Ulthera ของแท้ด้วยตนเอง

  • ตรวจสอบรายชื่อคลินิกก่อนเข้ารับบริการว่าใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ที่นำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetic Thailand หรือไม่ ด้วยการพิมพ์ชื่อคลินิกและค้นหาที่ https://www.merzclubthailand.com/
ตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ใช้เครื่องอัลเทอร่าของแท้
ตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ใช้เครื่องอัลเทอร่าของแท้
  • คลินิกที่ใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ จะได้รับโล่เพชรและใบประกาศนียบัตรรับรองว่าใช้เครื่อง Ulthera ของแท้จากบริษัท Merz Aesthetic Thailand โดยต้องระบุชื่อคลินิกไว้อย่างชัดเจน
  • สามารถสแกนสติกเกอร์ QR code ที่เครื่องก่อนทำเพื่อความมั่นใจ
  • หากใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ หลังรับบริการจะได้ใบประกาศรับรองจากบริษัท Merz Aesthetics ว่าได้รับการรักษาด้วยเครื่อง Ulthera ของแท้ มีความปลอดภัยแน่นอน

ทำ Ulthera ที่ไหนดี ให้ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ?

ทำ-Ulthera-ที่ไหนดี

  1. คลินิกที่ได้มาตรฐาน มีป้ายชื่อสถานพยาบาลและเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก ติดไว้ที่หน้าคลินิก ตั้งอยู่ในทำเลที่ปลอดภัย เดินทางสะดวก ภายในคลินิกมีการแบ่งสัดส่วนห้องหัตถการชัดเจน ไม่แออัด เครื่องมือ อุปกรณ์มีความสะอาด ปลอดเชื้อ และควรมีช่องทางที่ติดต่อสะดวก เมื่อมีข้อสงสัยสอบถามสามารถสอบทางคลินิกได้ทันที
  2. แพทย์มีประสบการณ์ ดูแลและทำการรักษาโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ มีความรู้และประสบการณ์ในการใช้เครื่อง สามารถประเมินถึงปัญหาและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล
  3. ใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ นำเข้าจากอเมริกา ผ่านการรับรองจากอย. อเมริกา (US FDA) อย.ไทย (TH FDA) และยุโรป ซึ่งในไทยตอนนี้ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าเครื่อง Ulthera ของแท้เข้ามาในประเทศไทยมีเพียงบริษัทเดียวคือ บริษัท Merz Aesthetics Thailand 
  4. มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง มีรีวิวแสดงความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการต่อผลลัพธ์ที่ได้  ความคิดเห็นหรือความประทับใจต่อผู้ให้บริการ สถานที่ ความชำนาญของแพทย์ รวมถึงรีวิวภาพก่อน-หลังทำที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง

สรุป Ulthera

Ulthera เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง ช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อย ลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน หากใช้เครื่อง Ulthera ของแท้และทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์การใช้เครื่อง 

ดังนั้นก่อนทำสวยต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนนะคะว่าคลินิกที่ใช้บริการเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกกฎหมาย ใช้เครื่อง Ulthera ของแท้ และทำการรักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ออกมาตรงความต้องการ

 

ฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่ ? แต่ละยี่ห้อ แต่ละตำแหน่งราคาเท่ากันไหม ? อัปเดต 2023

0
ฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่

ฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่

ฟิลเลอร์ราคา 

เชื่อว่าในขั้นตอนการตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ มีหลายคนที่เลือกดูฟิลเลอร์ราคาก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจได้ง่าย ใครที่กำลังส่องราคาฟิลเลอร์แต่ละตัวอยู่ บทความนี้จะมาอัปเดตฟิลเลอร์ราคา แต่ละยี่ห้อ แต่ละตำแหน่ง ฉบับ 2023 พร้อมบอกทริค เลือกฉีดฟิลเลอร์ราคาอย่างไรให้เหมาะสม และวิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้-ฟิลเลอร์ปลอม


ฟิลเลอร์ราคา แต่ละยี่ห้อ อัปเดต 2023 !

สำหรับคนที่ต้องการเปรียบเทียบฟิลเลอร์ราคา แต่ละยี่ห้อก่อนตัดสินใจ ในหัวข้อนี้ได้รวบรวมราคา Filler แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นไว้ให้ดังต่อไปนี้ครับ

ฟิลเลอร์ Juvederm ราคา

ฟิลเลอร์ราคา-ยี่ห้อ-Juvederm-scaled

  • Juvederm Ultra Plus ราคาเริ่มต้น  11,000.-/ 1 CC
  • Juvederm Voluma ราคาเริ่มต้น  14,000.-/ 1 CC
  • Juvederm Volbella ราคาเริ่มต้น  13,000.-/ 1 CC
  • Juvederm Volift ราคาเริ่มต้น  14,000.-/ 1 CC
  • Juvederm Volite ราคาเริ่มต้น  14,000.-/ 1 CC
  • Juvederm Volux ราคาเริ่มต้น  18,000.-/ 1 CC   

ฟิลเลอร์  Restylane ราคา

ฟิลเลอร์ราคา-ยี่ห้อ-Restylane-scaled

  • Restylane Vital Light ราคาเริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC
  • Restylane Perlane Lyft ราคาเริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC
  • Restylane Volyme ราคาเริ่มต้น 11,000.-/ 1 CC
  • Restylane Defyne ราคาเริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC
  • Restylane Vital ราคาเริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC
  • Restylane Refyne ราคาเริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC
  • Restylane Classic ราคาเริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC
  • Restylane Kysse ราคาเริ่มต้น 16,000.-/ 1 CC  

ฟิลเลอร์ Belotero ราคา

ฟิลเลอร์ราคา-ยี่ห้อ-Belotero-scaled

  • Belotero Intense ราคาเริ่มต้น 9,900.-/ 1 CC
  • Belotero Volume ราคาเริ่มต้น 13,000.-/ 1 CC
  • Belotero Revive ราคาเริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC

ฟิลเลอร์ Difinisse ราคา

ฟิลเลอร์ราคา ยี่ห้อ Difinisse_

  • Difinisse Restore ราคาเริ่มต้น 15,000.-/ 1 CC
  • Difinisse Core ราคาเริ่มต้น 18,000.-/ 1 CC

ฟิลเลอร์ Flore ราคา

ฟิลเลอร์ราคา ยี่ห้อ Flore

  • Flore Max ราคาเริ่มต้น 7,900.-/ 1 CC 
  • Flore AQUA-S ราคาเริ่มต้น 9,900.-/ 1CC

ฟิลเลอร์ Biohyalux ราคา

ฟิลเลอร์ Biohyalux ราคา

  • Biohyalux Derm lines ราคาเริ่มต้น……/1CC
  • Biohyalux Deep dermis ราคาเริ่มต้น……/1CC

* ฟิลเลอร์ราคา แต่ละยี่ห้อ อาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชันของแต่ละคลินิก ก่อนตัดสินใจฉีดควรติดต่อสอบถามข้อมูลกับทางคลินิก เพื่อจะได้ตรวจสอบฟิลเลอร์ราคาที่แน่ชัดครับ


ฟิลเลอร์ราคา แต่ละตำแหน่ง เท่ากันไหม ? ใช้กี่ cc เห็นผล ? 

ฟิลเลอร์ราคา แต่ละตำแหน่ง

ฟิลเลอร์ราคา แต่ละตำแหน่งจะไม่เท่ากันครับ เหตุผลเพราะแต่ละตำแหน่งจะใช้เทคนิคการฉีดที่ต่างกัน อย่างฟิลเลอร์เฉพาะจุด เช่น ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์กรอบหน้า ฟิลเลอร์จมูก หรือฟิลเลอร์เปลือกตา จะต้องใช้เทคนิคขั้นสูงในการปั้นทรงฟิลเลอร์ให้ออกมาสวยงาม เข้ากับใบหน้า 

จึงเป็นคำตอบที่ว่าทำไมแต่ละคลินิกจึงมีการเก็บค่าฝีมือแพทย์จากคนไข้เพิ่มเติม ยิ่งเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีชื่อเสียง เป็นที่นิยม ราคาฉีดฟิลเลอร์ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ

สำหรับฟิลเลอร์ ราคาแต่ละตำแหน่งโดยประมาณจะมีราคาดังนี้ครับ

  • ฟิลเลอร์ใต้ตาราคา เริ่มต้น 13,000.-/ 1 CC ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 CC
  • ฟิลเลอร์ปากราคา เริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 CC
  • ฟิลเลอร์คางราคา เริ่มต้น 7,900.-/ 1 CC ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 CC
  • ฟิลเลอร์ขมับราคา เริ่มต้น 7,900.-/ 1 CC ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 CC
  • ฟิลเลอร์หน้าผากราคา เริ่มต้น 14,000.- / 1 CC ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 3-5 CC
  • ฟิลเลอร์ร่องแก้มราคา เริ่มต้น 9,900.-/ 1 CC ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 CC
  • ฟิลเลอร์แก้มส้มราคา เริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-3 CC
  • ฟิลเลอร์จมูกราคา เริ่มต้น 14,000.-/ 1 CC   ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ  1   CC

Fact : ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้แต่ละตำแหน่ง จะแตกต่างกันไปตามปัญหาของแต่ละคน ก่อนฉีดแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและคำนวณปริมาณที่เหมาะสมให้เป็นรายเคสครับ


ระวัง ! ฉีดฟิลเลอร์ราคาถูก เสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอม

ฟิลเลอร์ราคา ถูก เสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอม

ทำไมฟิลเลอร์ราคาถูก มักเป็นฟิลเลอร์ปลอม ? นั่นก็เพราะว่าฟิลเลอร์ราคาถูกมักมีต้นทุนในการผลิต การนำเข้า การจัดเก็บและการขนส่งที่ถูกกว่าฟิลเลอร์แท้ครับ 

ฟิลเลอร์แท้จะมีต้นทุนในขั้นตอนการผลิตที่ค่อนข้างสูง เพราะใช้เทคโนโลยีเฉพาะรวมถึงขั้นตอนการขนส่งก็ยังมีค่าใช้จ่ายด้วย เนื่องจากต้องเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม ถ้าร้อนหรือเย็นมากก็จะทำให้เนื้อฟิลเลอร์เสื่อมสภาพลง ย่อยสลายไว จากผลลัพธ์ที่ควรอยู่ได้ 1 ปี อาจอยู่ได้เพียง 3-4 เดือนเท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบฟิลเลอร์ราคาของแแท้กับของปลอม ยังไงแล้วฟิลเลอร์แท้ก็คุ้มค่า คุ้มราคามากกว่าอยู่ดีครับ

แต่ถ้าถามว่าหากเจอฟิลเลอร์ราคาถูก ฟันธงได้เลยไหมว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม ขอตอบตามตรงว่าไม่เสมอไปครับ ปัจจุบันมีฟิลเลอร์บางยี่ห้อ บางสัญชาติก็มีราคาถูก อย่างฟิลเลอร์เกาหลี ฟิลเลอร์จีนราคาก็ไม่ได้สูงมาก สามารถจับต้องได้ ถ้าจะให้ดีดูที่ฟิลเลอร์ราคาเหมาะสมจะดีกว่าครับ ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป เพราะสิ่งสำคัญที่สุดจะอยู่ที่การตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ครับ

วิธีสังเกต ฟิลเลอร์ปลอม

  •  ฟิลเลอร์ปลอมส่วนใหญ่จะเป็นสารเติมเต็มจำพวกซิลิโคนเหลว พาราฟิน ฉีดแล้วแข็งเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล เป็นพังผืด ไม่สามารถสลายได้
  • เป็นฟิลเลอร์นำเข้าแบบผิดกฎหมาย ไม่ผ่าน อย.
  • ไม่มีการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม 
  • ราคาถูกจนเกินไป พบได้ตามคลินิกเถื่อน และมักฉีดโดยหมอกระเป๋า
  • กล่องฟิลเลอร์มีฉลากไม่ชัดเจน ผ่านการแกะกล่องมาแล้ว

วิธีสังเกต ฟิลเลอร์แท้

  • เป็นฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid ฉีดแล้วสามารถสลายได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ  
  • ถูกเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยจะต้องเก็บในอุณหภูมิ 0-25 องศาเซลเซียส ถ้าร้อนหรือเย็นมากก็จะทำให้เนื้อฟิลเลอร์เสื่อมสภาพลง
  • ฟิลเลอร์แท้ต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทย
  • กล่องฟิลเลอร์ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปิดสนิท ไม่มีรอยเปิด
  • บนกล่องระบุราคา วันหมดอายุ และเลข Lot. ไว้ชัดเจน
  • เลข Lot. ตรงกันทั้งหมด ทั้งบนกล่องและหลอดฟิลเลอร์
  • สามารถโทร.เช็กเลข Lot. ได้จากบริษัทนำเข้าโดยตรง

เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจอฟิลเลอร์ปลอม แนะนำให้ศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อต่าง ๆ อย่างละเอียดและควรขอให้หมอแกะกล่อง แกะหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อที่เราจะได้สังเกตจุดต่าง ๆ ว่าเป็นฟิลเลอร์ของแท้จริง ๆ


ทำไมฟิลเลอร์ราคา ถึงไม่เท่ากัน ?

  • ปัจจัยที่ทำให้ฟิลเลอร์ราคา แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน เป็นเพราะต้นทุนทางเทคโนโลยีในการผลิตมีราคาที่ต้องจ่ายต่างกันครับ ซึ่งจะส่งผลต่อความคงทน ค่าความอุ้มน้ำ ความคงที่ การ กระจายตัว ความยืดหยุ่น และระยะเวลาผลลัพธ์
  • ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ฟิลเลอร์ราคาต่างกันครับ ซึ่งการคิดราคาฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะคิดราคาต่อ 1 CC หากเราใช้จำนวน CC เยอะก็ต้องจ่ายเยอะขึ้นเป็นธรรมดา
  •  ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ฟิลเลอร์ราคา ไม่เท่ากัน คือ โปรโมชันของแต่ละคลินิกครับ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลเราจะเห็นว่าคลินิกต่าง ๆ ทำโปรโมชันฟิลเลอร์ราคาออกมาแข่งกันเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า 

แต่ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าหากคลินิกไหนที่ใช้ฟิลเลอร์แท้ ส่วนใหญ่จะตั้งฟิลเลอร์ราคาไม่ต่างกัน เท่าไหร่ครับ เพราะซื้อฟิลเลอร์มาจากบริษัทนำเข้าเจ้าเดียวกัน จึงทำให้มีต้นทุนฟิลเลอร์ราคาเท่า ๆ กัน แต่ถ้าเจอฟิลเลอร์ราคาถูกมาก ๆ ไม่แนะนำให้ฉีดเด็ดขาดครับ เพราะอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์หิ้ว

  • ประสบการณ์ของแพทย์ก็ส่งผลต่อราคาฟิลเลอร์ด้วยเช่นกัน ยิ่งเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีเทคนิคฉีดฟิลเลอร์เฉพาะตัว ก็จะทำให้ฟิลเลอร์ราคาสูงกว่าคลินิกทั่วไป

รวมทริค! วิธีเลือกฟิลเลอร์ราคา อย่างไรให้เหมาะสม 

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นอย่างละเอียด เพื่อจะได้เข้าใจถึงคุณสมบัติของฟิลเลอร์แต่ละตัว รวมถึงระยะเวลาคงผลลัพธ์ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการ สภาพผิว และงบประมาณของเราได้
  • เปรียบเทียบฟิลเลอร์ราคาจากหลาย ๆ คลินิก อย่างที่ได้บอกไปในข้างต้นว่าฟิลเลอร์ราคาแต่ละคลินิกจะต่างกันไปตามโปรโมชัน ณ ขณะนั้น เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่า
  • เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง  คลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐานส่วนใหญ่จะเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้เพราะไม่อยากเสื่อมเสียชื่อเสียงในแง่ลบ แน่นอนว่าไม่คุ้มกับชื่อเสียงแน่ และควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพื่อจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ไม่มีผลข้างเคียง ดูเป็นธรรมชาติ
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์  หากไม่แน่ใจว่าเราเหมาะกับฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหน ลองปรึกษากับแพทย์ก่อนได้ครับ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมซึ่งจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจและคุ้มค่า

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ครับ สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง แล้วแต่ว่ามีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก หรือต้องการเสริมบริเวณไหนบ้าง หลังฉีดจะเห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น จึงไม่แปลกที่การฉีดฟิลเลอร์จะเป็นหัตถการยอดนิยมที่คนเลือกทำเป็นอย่างแรก ๆ 

แต่ก่อนตัดสินใจฉีด ควรตรวจสอบคลินิกว่าได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ และไม่ควรเลือกเฉพาะฟิลเลอร์ราคาถูกเพียงอย่างเดียว ต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพราะแต่ละจุดมีเทคนิคการฉีดที่ต่างกัน ต้องอาศัยความสามารถของหมอ เพื่อให้ผลลัพธ์หลังการฉีดออกมาดี เป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัยสูงสุดครับ

Hifu Ultraformer III ต่างจาก Hifu รุ่นอื่นอย่างไร ? มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง เหมาะกับใคร ?

0
Ultraformer III

Ultraformer III

Hifu Ultraformer III

Ultraformer III เป็นเครื่อง Hifu ที่ถูกยอมรับในวงการแพทย์ว่ามีคุณภาพ และมีความปลอดภัยสูง ช่วยให้ผิวยกกระชับ หน้าเรียวขึ้นหลังทำประมาณ 20% โดยไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด หลังทำสามารถใช้หน้าได้เลย ไม่ต้องพักฟื้น เป็นหนึ่งในเครื่องยกกระชับผิวที่ยิ่งทำ ยิ่งได้ผลลัพธ์ดีที่ หน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นครับ

สำหรับคนที่มีข้อสงสัยว่า Hifu Ultraformer III คืออะไร ? ต่างจาก Hifu รุ่นอื่นอย่างไร ? มีจุดเด่นอะไรบ้าง ? ข้อควรรู้ก่อน-หลังทำ Hifu เหมาะกับใคร ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ? ราคาเท่าไร ? ทำ Ultraformer III ที่ไหนดี ? ในบทความนี้หมอได้รวบรวมคำตอบมาไว้ให้แล้วครับ


Ultraformer III คืออะไร ?

Ultraformer III คืออะไร

Ultraformer III คือหนึ่งในยี่ห้อของเครื่อง Hifu ที่ได้รับความนิยมในวงการเสริมความงามทั่วโลก ทำงานโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ยิงลงไปใต้ชั้นผิว เพื่อให้ผิวเกิดการหดตัว คล้าย ๆ กับการเย็บเนื้อผ่าตัดดึงหน้า หลังทำผิวดูยกกระชับ ริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปากตื้นขึ้น ช่วยลดเหนียง ลดแก้มห้อย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าไม่สามารถทำได้ครับ


Ultraformer III  แตกต่างจาก Hifu รุ่นอื่น ๆ อย่างไร ?

Ultraformer III ต่างจาก Hifu รุ่นอื่นอย่างไร

Ultraformer III แตกต่างจาก Hifu รุ่นอื่น ๆ ในหลายด้านครับ ทั้งค่าพลังงาน เทคโนโลยี รวมถึงระดับความลึกของหัวยิง

Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับ ที่ใช้พลังงานแบบ High Intensity Focus Ultrasound (Hifu Macrofocus) ให้พลังงานคงที่ ยิงเป็นเส้นตรง แพทย์สามารถใช้พลังงานสูงได้โดยไม่ทำร้ายผิวหนังชั้นนอก ไม่เสี่ยงผิวไหม้ เพราะพลังงานมีความสม่ำเสมอ เสถียร และมีรอบพลังงานไวที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นตามท้องตลาด และ Ultraformer III ผ่านการรับรองมาตรฐานจากยุโรปครับ

ส่วน Hifu รุ่นอื่น ๆ ที่หลายคนนิยมใช้ เช่น  Mini Hifu หรือ มินิไฮฟู จะเป็นเครื่องยกกระชับแบบ Home use เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวก เพราะสามารถใช้งานที่บ้านได้เลย และมีราคาถูก แต่ถ้าเทียบประสิทธิภาพของเครื่องแล้ว Mini Hifu ไม่สามารถเทียบเท่า Ultraformer III ได้ครับ

เหตุผลเพราะ Mini Hifu จะปล่อยพลังงานเบากว่า ไม่สามารถลงลึกได้ทุกชั้นผิว ทำให้เห็นผลลัพธ์ช้าหรืออาจไม่เห็นผล เพราะจุด focus ของพลังงานมีขนาดเล็กเพียง 0.3-0.5 mm. จึงทำให้ก้อนพลังงานไม่คงที่ บางจุดร้อน บางจุดไม่ร้อน พลังงานไม่มีความเสถียร ต้องยิงซ้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้หน้าเกิดการระบม เขียว ช้ำ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน และ Mini Hifu ยังไม่มีมาตรฐานรองรับ จึงไม่สามารถการันตีคุณภาพและความปลอดภัยได้ครับ

Ultraformer III นับว่าเป็นเครื่องยกกระชับผิวที่ดีที่สุดรองจาก Ulthera ที่ V Square Clinic ใช้ยี่ห้อ Ultraformer lll เครื่องแท้ เกรดสูง ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี และ อย.ไทย มั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัยครับ


Ultraformer III ข้อดี – ข้อเสีย อย่างไรบ้าง ?

Ultraformer III ข้อดี

  • เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอยแต่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด
  • หลังทำ Ultraformer III ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล สามารถแต่งหน้า ทาครีมได้ตามปกติ
  • ช่วยยกกระชับหน้าพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนทุกชั้นผิว รวมถึงชั้น SMAS ที่เป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า
  • ช่วยยกกระชับหน้า พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ลดปัญหาผิวหน้าโทรมในเวลาเดียวกันได้
  • มีหัวยิงหลากหลาย สามารถเลือกใช้ได้ตามระดับความลึกของผิวในบริเวณนั้น ๆ
  • เห็นผลทันทีประมาณ 20% เห็นผลเต็มที่ใน 3-4 เดือน ยิ่งทำซ้ำ ยิ่งเห็นผลต่อเนื่อง
  • ช่วยชะลออายุผิว และลดโอกาสเกิดริ้วรอยในอนาคตได้
  • หากต้องการให้ผิวกระชับขึ้น สามารถทำ Hifu เพิ่มได้ทุก ๆ 3 เดือน และสามารถทำร่วมกับหัถการอื่นได้
  • Hifu Macrofocus เป็นคลื่นที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำร้ายผิว ไม่เป็นอันตรายต่อสายตา จึงสามารถช่วยเน้นกระชับผิวบริเวณใต้ตาและรอบดวงตาได้โดยตรง

Ultraformer III ข้อเสีย

  • รู้สึกเจ็บ ขณะทำเล็กน้อย (ก่อนทำมีการแปะยาชา) การทำ Hifu ที่ได้ประสิทธิภาพนั้น ขณะทำต้องมีความรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ บริเวณใต้ชั้นผิว
  • หลังทำอาจมีรอยแดงเล็กน้อย แต่จะหายไปได้เองภายใน 1-2 ชั่วโมง คนไข้สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

Ultraformer III เหมาะกับใคร ?

  • คนที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ ต้องการปรับสภาพผิวหน้า กระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว คงความอ่อนเยาว์
  • คนที่มีแก้มตก แก้มห้อย หน้าไม่ได้รูป
  • คนที่มีริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม ริ้วรอยมุมปาก ร่องน้ำหมาก
  • คนที่มีเหนียงใต้คาง มีคางสองชั้น ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย มีกรอบหน้าชัดขึ้น
  • คนที่ต้องการปรับรูปหน้า แต่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น

Ultraformer III ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง แต่ละตำแหน่งใช้กี่ Shot / Line ?

Ultraformer III ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง

Hifu Ultraformer III สามารถทำได้หลายตำแหน่งครับ ตำแหน่งที่นิยมทำ ได้แก่

  • แก้ม หรือ เหนียง ประมาณ 100 line
  • แก้ม และ เหนียง ประมาณ 300 line
  • ใต้ตา และ ร่องแก้ม ประมาณ 300 line
  • ทั่วหน้า หรือ ต้นแขน ประมาณ 700 line
  • ทั่วหน้า + คอ หรือ ต้นขา ประมาณ 1,000 line

เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี ควรเลือกทำกับหมอที่มีประสบการณ์ สามารถคำนวณจำนวนไลน์ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม แม่นยำ และแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดครับ


Ultraformer III รีวิว

ตัวอย่างผลการปรับรูปหน้าด้วย Hifu โดยทีมแพทย์ V Square Clinic

Ultraformer III รีวิว

Ultraformer III รีวิว

รีวิว hifu ย้อนวัยให้หล่อ ดูดี มีเสน่ห์แบบพี่ชาคริต ที่ V Square Clinic

รีวิว Hifu กับนิโคลเทริโอ ทำไม ? จึงไว้ใจ V Square Clinic


หลังทำ Ultraformer III ดูแลตัวเองอย่างไร ?

  • หลังทำ Hifu Ultraformer III สามารถล้างหน้า แต่งหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ และควรทาครีมกันแดดที่มี spf 50 ขึ้นไป เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด
  • หากคนไข้มีอาการตึงผิว ปวดบริเวณที่ยิง สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
  • หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด ทำกิจกรรมกลางแจ้ง 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่
  • ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้าแรง ๆ
  • ไม่ควรสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะไปทำลายคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่

Ultraformer III กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม นานเท่าไรจึงต้องทำซ้ำ ?

หลังทำ Ultraformer III จะเห็นผลทันทีประมาณ 20% หลังจากนั้นจะเห็นผลเต็มที่ ผิวกระชับขึ้น ผิวแน่น ฟู ใน 2-3 เดือน คงผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน สามารถมาทำเพิ่มได้เรื่อย ๆ ทุก 3 เดือน เพื่อคงสภาพผิวครับ


ทำ Ultraformer III เจ็บไหม ?

หากต้องการทำ Hifu ให้ได้ผล ต้องเจ็บระดับนึงถึงจะได้ผลดีครับ เพราะการทำไฮฟู่ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจะต้องยกกระชับถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (SMAS) ขณะทำคนไข้จะรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ บริเวณใต้ชั้นผิว แต่จะไม่แสบร้อน เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ และก่อนทำ hifu ทางคลินิกจะมีการแปะยาชา ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บลงได้

คนไข้กลัวเจ็บมาก ๆ  ไม่สามารถทนเจ็บได้ก็เลือกระดับที่ทนไหว แล้วใช้ความถี่ในการทำไฮฟู่แทนก็จะได้ผลเหมือนกันครับ


เปรียบเทียบ Ultraformer III กับ Ulthera และ Thermage

Ultraformer III / Ulthera /Thermage เป็นเครื่องมือที่ช่วยยกกระชับเหมือนกันครับ แต่ต่างกันตรงที่หลักการทำงาน ขนาดของจุดที่ focus และระดับชั้นผิว หมอจะอธิบายความแตกต่างของทั้ง 3 เครื่องดังนี้ครับ

  • Ultraformer III กับ Ulthera เป็นเครื่องยกกระชับที่ทำงานด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ เด่นในเรื่องยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อยของผิว และกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ขนาดจุดโฟกัสครับ โดย Ultraformer III จะมีขนาด 0.5-1 mm. ในขณะที่ Ulthera มีขนาด 1 mm.
  • Thermage เป็นเครื่องยกกระชับที่ทำงานด้วยคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) มีขนาดจุดโฟกัส 3-4 cm2 พลังงานจะครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่าแบบจุด จึงเด่นเรื่องสลายไขมันส่วนเกิน ลดเหนียง ลดแก้มห้อย ช่วยให้หน้าแน่นกระชับ เรียบเนียนและกระตุ้นคอลลาเจน

สรุประหว่าง Ultraformer III / Ulthera / Thermage ต่างกันอย่างไร ? ถ้าเรื่องยกกระชับหย่อนคล้อย แก้ปัญหาแก้มตก แก้มห้อย Ultraformer III กับ Ulthera จะทำได้ดีกว่า แต่ถ้าเรื่องลดไขมันสะสมบนหน้า ลดเหนียง Thermage จะทำได้กว่ากว่าครับ


Ultraformer III กับ การร้อยไหม และ โบท็อก อันไหนดีกว่ากัน ?

Ultraformer III ร้อยไหม และ โบท็อก เป็นวิธีลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียวที่มีหลักการทำงานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ

  • Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่ทำงานโดยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ อาศัยพลังงานความร้อนยิงลงไปใต้ชั้นผิว เพื่อให้ผิวหดตัว ผลที่ได้ คือผิวจะยกกระชับ หน้าเรียวขึ้น และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • โบท็อก เป็นตัวยาที่สกัดมาจากแบคทีเรีย Clostridium ในทางการแพทย์ความงาม จะนิยมนำโบท็อกมาฉีดเข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อ ตัวยาจะไปออกฤทธิ์โดยไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท (Neurotoxin) ทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลง ผิวบริเวณนั้นจึงไม่ขยับ ริ้วรอยต่าง ๆ จึงลดลง และในคนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อกราม สามารถฉีดโบท็อกเพื่อให้กรามเล็กลง หน้าดูเรียวขึ้นครับ
  • ร้อยไหม จะเป็นการใช้ไหมละลาย ร้อยเข้าไปในชั้นผิวหนัง ผิวจะถูกเงี่ยงเกี่ยวขึ้นมาตามเส้นไหมคล้าย ๆ ตะขอเกี่ยว หลังร้อยไหมผิวบริเวณนั้นจะเกิดการสร้างเส้นใยอิลาสตินขึ้นมาช่วยประคองผิว สามารถทำได้ทั้งการร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียววีเชฟ ยกหน้าตึงกระชับ

สรุป Ultraformer III กับ การร้อยไหม และ โบท็อก อันไหนดีกว่ากัน ? ในเบื้องต้นหมออยากให้ดูจากความต้องการของคนไข้เป็นหลักครับ ซึ่งทั้ง 3 หัตถการนี้สามารถทำร่วมกันได้ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อประเมินและเรียงลำดับการทำได้อย่างถูกต้อง เห็นผล และปลอดภัยมากที่สุด


ทำ Ultraformer III ราคาเท่าไร ?

Ultraformer III ราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวน Line/Shot ที่ใช้ยิงครับ โดยทั่วไปราคาทำ Hifu ทั่วหน้า จะเริ่มต้นที่ 9,900.-/ 300 Line ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาของแต่ละคลินิกด้วยครับ


ทำ Ultraformer III ที่ไหนดี ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ?

ทำ Ultraformer III ที่ไหนดี

  • ทำ Ultraformer III ที่ไหนดี ? ควรทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตการให้ประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดไว้ในบริเวณที่ที่เปิดเผยและเห็นได้ชัดเจน
  • ใช้เครื่อง Ultraformer III แท้ มีคุณภาพ
  • แพทย์มีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้า สามารถวางแผนและแก้ไขปัญหาได้เหมาะสมตรงจุด มีประสบการณ์ในการใช้เครื่อง
  • มีการนัดหมายเพื่อติดตามผลคนไข้ในภายหลัง และมีการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวทั้ง ก่อน – หลังทำไฮฟู่ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้คนไข้เข้าใจเป็นอย่างดี
  • คลินิกควรมีช่องทางไว้สำหรับติดต่อได้สะดวก โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Line@ คนไข้จะได้สามารถสอบถามข้อสงสัยกับคุณหมอที่ทำเคสของตนเองได้โดยตรงอย่างทันการณ์

สรุป

Ultraformer III เป็นเครื่อง Hifu ยี่ห้อที่มีคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับของคนในวงการแพทย์ว่าได้ผลดีและมีความคุ้มค่า ช่วยลดความหย่อนคล้อย ลดริ้วรอย เพิ่มความกระชับให้ผิวหน้าได้อย่างเห็นผลลัพธ์ชัดเจน สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด และการดูแลหลังทำ Hifu ก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผาก พร้อมปรับโหงวเฮ้ง ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง ?

0
ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

“หน้าผาก” ถือเป็นบริเวณหนึ่งที่มีความสำคัญต่อรูปลักษณ์ของใบหน้า ถ้ามีปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากแคบ ยุบ บุ๋ม ดูไม่สมดุล หรือมีริ้วรอย ก็อาจส่งผลต่อความมั่นใจ รวมไปถึงเรื่องของดวงชะตาตามความเชื่อด้านศาตร์โหงวเฮ้งได้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเหล่านี้ สามารถทำได้ด้วยการ “ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก”

ใครที่สนใจอยากแก้ปัญหาและปรับโหงวเฮ้ง ด้วยการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ในบทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้ไว้อย่างละเอียด เช่น ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร ช่วยอะไร เหมาะ-ไม่เหมาะกับใคร อันตรายไหม ใช้กี่ CC ราคาเท่าไหร่ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ควรรู้ก่อนทำ สามารถติดตามอ่านด้านล่างได้เลยค่ะ

 


 

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร ?

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คือ การใช้สารเติมเต็มชนิดไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปบริเวณหน้าผากเพื่อเพิ่ม Volume และทำให้หน้าผากดูนูนขึ้น หรือปรับรูปทรงหน้าผากให้ดูเต็มขึ้น เต่งตึงขึ้น เรียบเนียนขึ้น แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม หรือแก้ริ้วรอยบนหน้าผาก

 


 

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ช่วยอะไร ?

  • ช่วยเติมเต็มหน้าผาก ที่มีปัญหาหน้าผากยุบ บุ๋ม ทำให้หน้าผากดูเต็ม เต่งตึงขึ้น เรียบเนียนขึ้น
  • ช่วยแก้ปัญหาหน้าผากแบน แคบ ทำให้หน้าผากดูมีมิติ ใบหน้าดูมีเอกลักษณ์มากขึ้น
  • ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผาก ทำให้ริ้วรอยบนหน้าผากดูจางลง
  • ช่วยปรับรูปทรงหน้าผาก เช่น ยกหน้าผากให้สูงขึ้น ปรับหน้าผากให้ดูโค้งมน
  • ช่วยปรับโหงวเฮ้งหน้าผากโดยรวมให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น มีมิติ ดูสดใสมากขึ้น

 


 

การมีหน้าผากสวย ดีอย่างไร ?

หน้าผากเป็นส่วนสำคัญของใบหน้า เพราะเป็นบริเวณที่กว้างและเห็นได้ชัด การมีหน้าผากสวยจะช่วยส่งผลดีต่อรูปลักษณ์โดยรวมของใบหน้า ดังนี้

หน้าผากสวย ดีอย่างไร

  • ช่วยเสริมความงามของใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูสมส่วน โดดเด่น และน่ามองยิ่งขึ้น
  • ช่วยให้ใบหน้าดูมีสง่าราศี หน้าผากที่กว้างและโหนกนูน ตามศาสตร์โหงวเฮ้งเชื่อกันว่าเป็นลักษณะของคนที่ฉลาด มีความรู้ มีปัญญา และประสบความสำเร็จในชีวิต
  • ช่วยเสริมบุคลิกภาพและสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของใบหน้า
  • ช่วยเสริมให้ทรงผมดูสวยและโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่ชอบมัดผมเป็นประจำ เช่น การมัดผมหางม้า การมัดผมบัน การมัดผมเปีย
  • ช่วยทำให้ใบหน้าด้านข้างดูสวย มีเสน่ห์ สมส่วนกับใบหน้า

 


 

เรื่องหน้าผาก กับ โหงวเฮ้ง

ในศาสตร์โหงวเฮ้ง หน้าผากถือเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งบนใบหน้า เพราะเป็นจุดบ่งบอกถึงสติปัญญา ความจำ และอนาคตของบุคคลนั้น ๆ

โหงวเฮ้งหน้าผาก

  • ลักษณะหน้าผากที่ดีตามศาสตร์โหงวเฮ้งศาสตร์ คือ หน้าผากกว้าง โหนกนูน เรียบเนียน สว่างใส ปราศจากรอยเหี่ยวย่น รอยบุ๋ม หรือรอยนูน เชื่อว่าคนที่มีหน้าผากลักษณะนี้จะมีสติปัญญาดี เจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้รับการสนับสนุนจากผู้คน
  • ลักษณะหน้าผากที่ไม่ดีตามศาสตร์โหงวเฮ้งศาสตร์ คือ หน้าผากแคบ หน้าผากต่ำ หน้าผากมีรอยบุ๋ม หน้าผากมีรอยนูน หรือหน้าผากมีรอยเหี่ยวย่น เชื่อว่าคนที่มีหน้าผากลักษณะนี้จะมีสติปัญญาไม่ดี มีปัญหาด้านการเงิน มีปัญหาด้านสุขภาพ มีปัญหาด้านความสัมพันธ์ ต้องเจอแต่เรื่องอุบัติเหตุ ขาดคนอุปถัมภ์

 


 

สัดส่วนหน้าผากสวย

สัดส่วนหน้าผากสวย โดยทั่วไปจะมีความกว้างประมาณ 3 ส่วน ของความกว้างของใบหน้าทั้งหมด และมีความสูงประมาณ 1.5 ส่วน ของความสูงของใบหน้าทั้งหมด นอกจากนี้ หน้าผากที่สวยควรมีลักษณะโค้งมน เรียบเนียน ปราศจากรอยเหี่ยวย่น รอยบุ๋ม หรือรอยนูน

สัดส่วนหน้าผากสวย

วิธีการวัดสัดส่วนหน้าผาก

  1. ใช้เทปวัดวัดความกว้างของใบหน้า โดยวัดจากขมับด้านหนึ่งถึงขมับอีกด้านหนึ่ง
  2. ใช้เทปวัดวัดความสูงของใบหน้า โดยวัดจากแนวไรผมถึงแนวสันจมูก
  3. คำนวณสัดส่วนความกว้างหน้าผาก โดยหารความกว้างใบหน้าด้วย 3
  4. คำนวณสัดส่วนความสูงหน้าผาก โดยหารความสูงใบหน้าด้วย 1.5

ตัวอย่างการคำนวณสัดส่วนหน้าผาก

หากความกว้างใบหน้าเท่ากับ 12 เซนติเมตร ความสูงใบหน้าเท่ากับ 10 เซนติเมตร

  • สัดส่วนความกว้างหน้าผาก = 12 เซนติเมตร / 3 = 4 เซนติเมตร
  • สัดส่วนความสูงหน้าผาก = 10 เซนติเมตร / 1.5 = 6.67 เซนติเมตร

ดังนั้น หน้าผากที่สวยควรมีความกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร และมีความสูงประมาณ 6.67 เซนติเมตร

หากใครมีลักษณะไม่สมส่วนตามหลักการข้างต้น สามารถเข้าไปปรึกษาแพทย์มากประสบการณ์เพื่อฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ปรับทรงหน้าผากให้สมส่วนและนูนสวยขึ้นได้ค่ะ

 


 

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เหมาะกับใคร ?

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เหมาะกับใคร

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม หน้าผากแบน หน้าผากเป็นคลื่น หน้าผากไม่เท่ากัน หน้าผากเป็นริ้วรอย ร่องลึก หรือคนที่ไม่อยากผ่าตัดเสริมหน้าผาก รวมถึงคนที่อยากปรับโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น

 


 

วิธีเช็กปัญหาหน้าผาก

วิธีเช็กปัญหาหน้าผาก

วิธีเช็กว่าตัวเองมีปัญหาหน้าผากแบน หรือไม่ ?

วิธีการสังเกตว่าหน้าผากของตัวเองแบนหรือไม่ สามารถเช็กได้จากภาพถ่ายด้านข้างของใบหน้า โดยดูว่าบริเวณหน้าผากตั้งแต่โคนผมจนถึงคิ้วมีลักษณะราบเรียบหรือลาดลงแบบเส้นตรง หากมีลักษณะดังกล่าว แสดงว่าหน้าผากอาจแบน

วิธีเช็กว่าตัวเองมีปัญหาหน้าผากแคบ หรือไม่ ?

วิธีการสังเกตว่าหน้าผากของตัวเองแคบหรือไม่ สามารถเช็กได้จากภาพถ่ายด้านข้างของใบหน้า โดยดูว่าบริเวณหน้าผากตั้งแต่โคนผมจนถึงคิ้วมีลักษณะแคบหรือแคบลงแบบเส้นตรง หากมีลักษณะดังกล่าว แสดงว่าหน้าผากอาจแคบ

วิธีเช็กว่าตัวเองหน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม หรือไม่ ?

วิธีสังเกตว่าหน้าผากของตัวเองยุบหรือบุ๋มหรือไม่ ทำได้โดย

  1. ยืนตรง มองกระจก สังเกตบริเวณหน้าผากตั้งแต่โคนผมจนถึงคิ้ว
  2. กดเบา ๆ บริเวณหน้าผาก หากกดแล้วเห็นรอยบุ๋มหรือรอยย่น แสดงว่าหน้าผากอาจยุบหรือบุ๋ม
  3. ถ่ายรูปหน้าด้านข้าง สังเกตบริเวณหน้าผากตั้งแต่โคนผมจนถึงคิ้ว หากมีลักษณะยุบลงไปหรือมีรอยบุ๋ม แสดงว่าหน้าผากอาจยุบหรือบุ๋ม

วิธีเช็กว่าตัวเองหน้าผากไม่เท่ากัน หรือไม่ ?

วิธีสังเกตว่าหน้าผากของตัวเองยุบหรือบุ๋มหรือไม่ ทำได้โดย

  1. ยืนตรง มองกระจก สังเกตบริเวณหน้าผากตั้งแต่โคนผมจนถึงคิ้ว
  2. กดเบา ๆ บริเวณหน้าผาก หากกดแล้วเห็นรอยบุ๋มหรือรอยย่นเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าหน้าผากอาจไม่เท่ากัน
  3. ถ่ายรูปหน้าด้านข้าง สังเกตบริเวณหน้าผากตั้งแต่โคนผมจนถึงคิ้ว หากมีลักษณะไม่เท่ากันทั้งสองข้าง แสดงว่าหน้าผากอาจไม่เท่ากัน

วิธีเช็กว่าตัวเองหน้าผากเป็นคลื่น หรือไม่ ?

วิธีการสังเกตว่าหน้าผากของตัวเองเป็นคลื่นหรือไม่ สามารถเช็กได้จากภาพถ่ายด้านข้างของใบหน้า โดยดูว่าบริเวณหน้าผากตั้งแต่โคนผมจนถึงคิ้วมีลักษณะไม่เรียบเนียน มีลักษณะเป็นคลื่น ๆ คล้ายคลื่นบนน้ำ หากมีลักษณะดังกล่าว แสดงว่าหน้าผากอาจเป็นคลื่น

วิธีเช็กว่าตัวเองหน้าผากมีริ้วรอย ร่องลึก หรือไม่ ?

วิธีเช็กว่าหน้าผากตัวเองมีริ้วรอย ร่องลึก หรือไม่ มีดังนี้

  1. ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง
  2. นั่งหน้ากระจก มองหน้าผากตัวเองตรง ๆ
  3. สังเกตบริเวณหน้าผากว่ามีเส้นริ้วรอยหรือร่องลึกหรือไม่
  4. หากมีเส้นริ้วรอยหรือร่องลึก ให้สังเกตลักษณะของเส้นริ้วรอยหรือร่องลึก

ลักษณะของเส้นริ้วรอยหรือร่องลึก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • ริ้วรอยตื้น (Fine wrinkles) มีลักษณะเป็นเส้นริ้วรอยบาง ๆ เกิดบนผิวชั้นหนังกำพร้า มีสาเหตุจากผิวขาดความชุ่มชื้น มีการชะล้างทำความสะอาดผิวที่รุนแรงเกินไป หรือจากมลภาวะ สภาพแวดล้อมต่าง ๆ

ริ้วรอยตื้น (Fine wrinkles)

  • ริ้วรอยลึก (Deep wrinkles) มีลักษณะเป็นเส้นริ้วรอยลึก มองเห็นได้ชัดเจน เกิดบนผิวชั้นหนังแท้ มีสาเหตุจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เป็นต้นริ้วรอยลึก (Deep wrinkles)

หากสังเกตพบว่าหน้าผากมีริ้วรอยหรือร่องลึก ควรรีบหาวิธีป้องกันและแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หรือฉีดโบท็อกหน้าผาก เพื่อไม่ให้ริ้วรอยหรือร่องลึกมีความรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ หากลองเช็กด้วยตัวเองแล้วยังไม่แน่ใจว่าตัวเองมีปัญหาหน้าผากแบบไหน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ

 


 

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่เหมาะกับใคร ?

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้สารไฮยาลูโรนิคแอซิด : ถึงแม้ว่าสารไฮยาลูโรนิคแอซิดเป็นสารประกอบธรรมชาติที่พบได้ในร่างกาย แต่หากผู้ใดแพ้สารนี้ อาจเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง บวม คัน หายใจลำบาก
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกผิดปกติ : การฉีดฟิลเลอร์อาจทำให้เกิดการเลือดออกได้ หากผู้ใดมีปัญหาเลือดออกผิดปกติ อาจทำให้เลือดออกมากกว่าปกติ
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน : เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำหัตถการ
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร : เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของทารกได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำหัตถการ

 


 

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก อันตรายไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก อันตรายไหม

ถึงแม้ว่าหน้าผากจะเป็นบริเวณที่ใกล้เคียงกับดวงตาและเส้นประสาท การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากก็สามารถทำได้อย่างปลอดภัยค่ะ หากทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่านมาตรฐาน อย. ฉีดฟิลเลอร์ด้วยความระมัดระวังและแม่นยำ โดยคำนึงถึงตำแหน่งและปริมาณของฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บต่อเส้นประสาทและดวงตา

อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากที่อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ หากทำกับแพทย์ขาดประสบการณ์ อย่างหมอเถื่อน พยาบาล ใช้ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้วไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เป็นก้อน ตาบอด เนื้อตาย แพ้ฟิลเลอร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากที่อันตรายอาจเกิดขึ้นได้หากคนไข้มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้

ดังนั้น ผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรเลือกฉีดกับแพทย์มีประสบการณ์เท่านั้น รวมถึงใช้ฟิลเลอร์แท้ ทำภายใต้คลินิกที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ และเช็กว่าตัวเองมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคใดข้างต้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

 


 

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ใช้กี่ CC ?

ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดหน้าผากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปัญหาที่ต้องการแก้ไข สภาพผิวหน้า และเทคนิคการฉีดของแพทย์

โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะอยู่ที่ประมาณ 1-5 CC ดังนี้

  • 1-2 CC : ใช้ในการแก้ไขร่องเหนือคิ้วหรือร่องลึกบริเวณหน้าผากเล็กน้อย
  • 2-5 CC : ใช้ในการแก้ไขหน้าผากยุบหรือแบน
  • 5 CC ขึ้นไป : ใช้ในการแก้ไขหน้าผากยุบมากหรือต้องการปรับโหงวเฮ้ง

อย่างไรก็ดี แพทย์ผู้มีประสบการณ์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมให้กับคนไข้แต่ละเคส โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น

 


 

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้สำหรับฉีดฟิลเลอร์ผาก

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านอย. เหมาะสำหรับฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก มี 2 ยี่ห้อ/รุ่นที่แนะนำ ได้แก่

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ใช้ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่นไหน

  • Juvederm Volbella  : ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา มีลักษณะเนื้อนิ่ม โมเลกุลเล็ก ละเอียด เหมาะกับการฉีดเติมเต็มผิวบริเวณหน้าผากที่บางมาก ฉีดแล้วไม่ทำให้เป็นก้อน

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ใช้ฟิลเลอร์ Restylane รุ่นไหน

  • Restylane Vital : ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน มีลักษณะเนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับฉีดหน้าผาก ลดริ้วรอย ร่องลึกตื้น ๆ ให้ผลลัพธ์เรียบเนียน ดูเป็นธรรมชาติ

การเลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อที่เหมาะสมในการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรปรึกษาแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์ก่อนตัดสินใจฉีด โดยแพทย์จะประเมินสภาพผิวและความต้องการของคนไข้ และเลือกฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน

 


 

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 14,000-16,000 บาท/CC ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ และเทคนิคการฉีดของแพทย์

 


 

วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ให้หน้าผากสวย แบบปลอดภัย

  1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกฉีดฟิลเลอร์หน้าผากที่สนใจจากแหล่งต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือรีวิวจากคนไข้ที่เคยฉีด
  2. สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับคลินิก เช่น มาตรฐานของคลินิก เอกสารและใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล ความปลอดภัยของฟิลเลอร์ เทคนิคการฉีด และราคา
  3. นัดหมายเพื่อปรึกษากับแพทย์ผู้มากประสบการณ์ เพื่อประเมินสภาพผิวและความต้องการในการฉีดฟิลเลอร์
  4. เลือกคลินิกที่มีแพทย์มากประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
  5. สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอย่างละเอียด

 


 

แนวทางการดูแลตัวเองก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

  • งดยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytics) ยารักษาโรคภูมิแพ้ (antihistamine) และยาทาผลัดเซลล์ผิว (retinoid) เนื่องจากยาเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกหรือช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
  • งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกหรือช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์
  • แต่งกายให้เหมาะสม เช่น สวมเสื้อผ้าที่หลวมสบาย ไม่รัดรูป เพื่อสะดวกในการฉีดฟิลเลอร์และลดการเสียดสีบริเวณที่ฉีด

 


 

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

  • ทำความสะอาดบริเวณหน้าผากให้สะอาด
  • ทายาชาหรือฉีดยาชาบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
  • แพทย์ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเข้าไปบริเวณที่ต้องการ
  • แพทย์นวดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเบา ๆ เพื่อปรับรูปทรงหน้าผากและให้ฟิลเลอร์กระจายตัวทั่วบริเวณหน้าผาก

 


 

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ผลข้างเคียงทั่วไป มักพบได้บ่อยและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ เช่น รอยบวม รอยช้ำ รอยเข็ม อาการปวด ระคายเคือง อาการชา เป็นต้น

ผลข้างเคียงที่รุนแรง พบได้น้อย แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เป็นก้อน ตาบอด เนื้อตาย แพ้ฟิลเลอร์ มักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์ปลอม  ในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หากพบผลข้างเคียงเหล่านี้หลังฉีด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที

 


 

แนวทางการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

24 ชั่วโมงหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 

  • หลีกเลี่ยงการจับ ลูบคลำ หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงภายใน 12 ชั่วโมงแรก

1 สัปดาห์หลังการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่ออกมาก เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า หรือใช้อะไรที่กดทับหน้าผาก อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • สามารถประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวมและช้ำได้ตามต้องการ หากแพทย์แนะนำ

2 สัปดาห์หลังการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนความร้อน เช่น ซาวน่า และการสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการนวดใบหน้า
  • หลีกเลี่ยงการจับ กด หรือการบีบบริเวณที่ฉีด

 


 

หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เห็นผลในกี่วัน ?

ฟิลเลอร์หน้าผากจะเห็นผลทันทีหลังฉีด แต่อาจมีอาการบวมช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 7-14 วัน เมื่ออาการบวมช้ำยุบลง ฟิลเลอร์เริ่มเข้าที่ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น

 


 

ฟิลเลอร์หน้าผาก อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ฟิลเลอร์หน้าผาก จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้และการดูแลตัวเองของคนไข้

 


 

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก VS ผ่าตัดเสริมหน้าผาก ต่างกันอย่างไร ?

ความแตกต่างระหว่างการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากกับการผ่าตัดเสริมหน้าผาก

ปัจจัย การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก การผ่าตัดเสริมหน้าผาก
วิธีการ การใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังบริเวณหน้าผาก การผ่าตัดเพื่อใส่แผ่นซิลิโคนหรือวัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ เข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังบริเวณหน้าผาก
ระยะเวลาเห็นผล เห็นผลทันที ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
ระยะเวลาพักฟื้น ไม่ต้องพักฟื้น ต้องพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์
ผลลัพธ์ อยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี อยู่ได้ถาวร
ค่าใช้จ่าย เริ่มต้นประมาณ 14,000 บาท เริ่มต้นประมาณ 50,000 บาท
ความเสี่ยง อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เป็นก้อน หากทำกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์ปลอม มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น เลือดออก บวมช้ำ ติดเชื้อ ซิลิโคนทะลุ
ความยืดหยุ่น สามารถปรับระดับความนูนได้ตลอดเวลา หรือฉีดสลายออกได้ หากไม่พึงพอใจในผลลัพธ์ สามารถปรับระดับความนูนได้ ถ้าไม่พึงพอใจต้องผ่าตัดใส่ซิลิโคนใหม่

ฉีดฟิลเลอร์ หน้าผาก VS เสริมหน้าผาก เลือกยังไงดี ?

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากและการผ่าตัดเสริมหน้าผากเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาหน้าผากได้ทั้งสองวิธี แต่มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ งบประมาณ ระยะเวลาพักฟื้น และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล ก่อนทำควรปรึกษาแพทย์ผู้มากประสบการณ์ เพื่อขอคำแนะนำและประเมินแนวทางการแก้ไขปัญหาหน้าผากที่เหมาะสม


สรุป

สำหรับใครที่ต้องการมีหน้าผากสวยสมส่วน มีโหงวเฮ้ง น่ามอง การปรับรูปทรงหน้าผากด้วยการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากนั้น สามารถช่วยเพิ่มมิติที่สวยงามให้กับหน้าผากได้เป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมมาก ๆ เพราะสามารถทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับการเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัว และต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว

ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูง ภายในสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ รวมถึงใช้ฟิลเลอร์ของแท้ มีมาตรฐาน ผ่านการรับรองจากอย. เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและมีความปลอดภัย

CoolSculpting ช่วยลดไขมันได้ถาวรจริงหรือ ? ทำกี่ครั้งเห็นผล ? เลือกทำที่ไหนดี ?

0
CoolSculpting

CoolSculpting

สำหรับผู้ที่ต้องการลดสัดส่วน และมีรูปร่างอย่างที่ต้องการ แต่ลองออกกำลังกาย หรือคุมอาหารอย่างจริงจังแล้ว ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ CoolSculpting ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะเป็นเทคโนโลยีลดสัดส่วน ที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน และกำลังได้รับความนิยม

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ CoolSculpting ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดสัดส่วนได้อย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? สามารถทำจุดไหน ? มีผลข้างเคียงไหม ? กี่ครั้งเห็นผล ? กี่วันเห็นผล ? และทำที่ไหนดี ?

 


 

CoolSculpting คืออะไร ?

CoolSculpting คือ หัตถการสลายไขมันด้วยความเย็น -11°C  (Fat Freezing Technology) ผ่านกระบวนการไครโอไลโปไลซิส (Cryolipolysis) ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยนายแพทย์ Dieter Manstein และ นายแพทย์ R.Rox Anderson จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของสหรัฐอเมริกา โดย CoolSculpting จะเป็นหัตถการที่ช่วยลดเฉพาะสัดส่วนเท่านั้นครับ ไม่ใช่การลดน้ำหนักแต่อย่างใด

 


 

CoolSculpting ช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วนได้อย่างไร ? เปิดหลักการทำงานของเครื่อง

หลักการทำงานของ CoolSculpting

เครื่อง CoolSculpting จะมีหัวดูดที่ใช้ระบบสุญญากาศ ดึงไขมันส่วนเกินจากร่างกายในจุดที่คนไข้ต้องการกำจัดออก เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา ไปรวมไว้ และตัวเครื่องจะส่งพลังงานความเย็นที่อุณหภูมิ -11°C ผ่านผิวชั้นนอกลงสู่ชั้นไขมัน เป็นเวลานาน 35 นาที ส่งผลให้เซลล์ไขมันตายลงครับ เพราะมีความไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซลล์ชนิดอื่น

เมื่อร่างกายขับเซลล์ไขมันที่ตายออก เซลล์ที่เหลืออยู่จะเรียงตัวใหม่ และทำให้ชั้นไขมันบางลง สัดส่วนจึงลดลงไปด้วย ถือเป็นการกำจัดไขมันอย่างถาวร โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก และเนื้อเยื่ออื่น ๆ

 


 

Cryolipolysis และ CoolSculpting เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

Cryolipolysis คือ ชื่อของเทคโนโลยี หรือกระบวนการสลายไขมันด้วยความเย็น (Fat Freezing Eliminate) แบบ Non-invasive ที่ไม่ก่อให้เกิดรอยแผลในจุดที่ทำ คนไข้จึงไม่เจ็บตัว และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังทำครับ

สำหรับ CoolSculpting ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้จะเป็นชื่อเรียกของเครื่องมือ ซึ่งเครื่องนี้ได้รับการรับรองว่าสามารถช่วยลดไขมันส่วนเกิน และลดสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และอย.ไทย

 


 

CoolSculpting ปลอดภัยไหม ?

CoolSculpting มีความปลอดภัยมากครับ เพราะตัวเครื่องผ่านการรับรองเรื่องคุณภาพจาก U.S. FDA และมีการใช้งานเครื่องนี้ไปในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่อง CoolSculpting ที่ได้มาตรฐานยังมีระบบ Freeze Detect ซึ่งเครื่องจะหยุดทำงานทันที เมื่อตรวจเจอว่าผิวชั้นบนมีความเย็นที่มากเกินไป จึงช่วยป้องกันการเกิดปัญหาผิวไหม้จากความเย็น (Freeze Burn) ได้

 


 

CoolSculpting เห็นผลได้จริงไหม ? ทำแล้วไม่เห็นผล ผิวไหม้ เกิดจากอะไร ?

Freeze Burn จาก CoolSculpting ของปลอม

CoolSculpting เป็นหัตถการลดสัดส่วนที่เห็นผลได้จริงครับ ซึ่งมีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้น ที่ยืนยันว่า เครื่องสามารถช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันในชั้นผิวหนังบริเวณที่ทำให้ตายลงได้ถาวร และยังช่วยลดไขมันได้ถึง 25% ต่อการทำ 1 ครั้ง

สำหรับใครที่เคยทำ CoolSculpting แล้ว แต่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง หรือได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงพอใจ สามารถเกิดได้จาก 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้

  • เครื่อง CoolSculpting ของปลอม เนื่องจาก CoolSculpting กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และมีราคาที่ค่อนข้างสูงครับ ทำให้บางคลินิกอาจเลือกใช้เครื่องเลียนแบบที่ไม่มาตรฐานแทน ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดปัญหาทำ CoolSculpting แล้วไม่เห็นผล หรืออาจร้ายแรงถึง Freeze Burn เพราะเครื่องไม่มีระบบ Freeze Detect
  • ไม่เหมาะกับหัตถการนี้ ถ้าคนไข้มีปริมาณไขมันส่วนเกินมากเกินไป จะทำให้ CoolSculpting ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หรือไม่ตรงกับที่คาดหวังไว้ครับ ซึ่งสามารถเกิดจากแพทย์ไม่ให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา หรือบางคลินิกคนไข้ซื้อคอร์สตามคำแนะนำของพนักงานขาย โดยไม่ได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อน

 


 

CoolSculpting เหมาะกับใคร ? สามารถทำได้ทุกคนหรือไม่ ?

CoolSculpting เหมาะกับใคร

CoolSculpting สามารถช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันในร่างกายได้อย่างถาวรครับ แต่เพื่อให้การทำหัตถการมีความคุ้มค่า และให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ควรเข้าปรึกษากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ เพื่อให้ช่วยประเมินได้ว่า คุณเหมาะสมกับการทำ CoolSculpting หรือไม่ ซึ่ง CoolSculpting จะเหมาะกับบุคคลเหล่านี้

  • ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินระดับปานกลาง โดยจะมีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า 35 (BMI < 35) เพราะถ้ามากเกินกว่านี้ อาจส่งผลให้ทำ CoolSculpting แล้วเห็นผลน้อย หรือช้ามากครับ ในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักตัวและไขมันมากเกินไป การดูดไขมันจะเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า
  • ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา เพราะบริเวณเหล่านี้จะเกิดการสะสมไขมันเป็นจำนวนมาก แต่ก็เป็นจุดที่ลดได้ยาก
  • ผู้ที่ไม่พอใจผลลัพธ์การลดสัดส่วนด้วยวิธีอื่น การคุมอาหารและออกกำลังกาย สามารถทำให้เซลล์ไขมันในร่างกายมีขนาดที่เล็กลงได้ครับ สัดส่วนก็จะลดลงตามไปด้วย แต่จำนวนของเซลล์ไขมันไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นถ้าขาดวินัยก็สามารถทำให้กลับมาอ้วนได้อีก การทำ CoolSculpting จึงเป็นวิธีลดเซลล์ไขมันอย่างถาวร และลดสัดส่วนได้อย่างตรงจุด
  • ผู้ที่ต้องการลดจำนวนเซลล์ไขมันส่วนเกิน แต่ไม่อยากผ่าตัด การดูดไขมันถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการผ่าตัดครับ ทำให้จำเป็นต้องฉีดยาชา หรือในบางรายที่ดูดไขมันในจุดที่กว้างมาก ๆ อาจจำเป็นต้องดมยาสลบแทน
  • คุณแม่หลังคลอด ที่ต้องการลดและกระชับสัดส่วนให้กลับมาเฟิร์มเหมือนเดิม สามารถทำ CoolSculpting ได้ครับ แต่ควรรอให้ผ่านช่วงของการให้นมบุตรไปก่อน และปรึกษากับแพทย์ร่วมด้วย

ทั้งนี้ จะมีบุคคลบางกลุ่มที่แพทย์จะไม่แนะนำให้ทำ CoolSculpting ครับ เช่น ผู้หญิงในระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้ที่มีประวัติแพ้ความเย็น ผู้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ที่ติดอุปกรณ์กระตุ้นหัวใจ หรือผู้ที่เพิ่งผ่าตัดในบริเวณที่จะทำการรักษา

 


 

CoolSculpting สามารถทำจุดไหนได้บ้าง ?

CoolSculpting สามารถทำจุดไหนได้บ้าง

CoolSculpting สามารถทำได้ในหลายจุดของร่างกาย เพราะมีหัวให้เลือกใช้งานหลายรูปทรงและหลายขนาด สำหรับจุดที่นิยมจะมีดังนี้

  • หน้าท้อง ถือเป็นตำแหน่งที่ร่างกายสะสมไขมันสูง แต่สามารถลดสัดส่วนได้ยาก ทำให้บางรายอาจมองเห็นเป็นเนื้อย้อยคล้ายมีห่วงยางอยู่รอบเอว CoolSculpting หน้าท้องจะช่วยลดไขมันบริเวณนี้อย่างถาวร ปรับให้รูปร่างมีความกระชับมากขึ้น มองเห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจน ในบางคลินิกสามารถใช้เครื่อง CoolSculpting เพื่อช่วยปั้นหุ่นให้เห็นซิกแพคได้อีกด้วย
  • สะโพก สำหรับผู้ที่มีปัญหาสะโพกใหญ่ ทำให้ขาดความมั่นใจเวลาใส่กางเกงหรือกระโปรง CoolSculpting สะโพก จะช่วยลดขนาดของสะโพกให้ดูเล็กลง และทำให้รูปร่างดูสมส่วนมากขึ้นได้ครับ
  • ต้นขา เป็นหนึ่งในจุดของร่างกายที่ลดไขมันได้ยาก สามารถทำ CoolSculpting ต้นขา ได้ทั้งต้นขาด้านในและด้านนอก ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาต้นขาใหญ่ หรือขาเบียด ที่เกิดจากการสะสมไขมัน และปรับให้ขาดูเรียวสวยได้
  • ต้นแขน เป็นจุดที่มีการสะสมไขมันเยอะ และสามารถลดสัดส่วนได้ยาก เช่นเดียวกับต้นขา CoolSculpting ต้นแขนจะช่วยแก้ปัญหาต้นแขนใหญ่ และปรับให้แขนมีความกระชับมากขึ้นได้
  • เหนียง เป็นจุดที่ค่อนข้างเล็ก สามารถทำ CoolSculpting เหนียงโดยเลือกใช้หัว Mini ได้ครับ แต่จะไม่ค่อยเป็นที่นิยม แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทำ Hifu ลดเหนียงมากกว่า เพราะเป็นหัตถการที่สามารถช่วยยกกระชับผิว และปรับให้กรอบหน้าชัดได้ หรือในผู้ที่มีไขมันใต้คางมาก ๆ ก็สามารถฉีดเมโสแฟตเหนียง ซึ่งจะช่วยสลายไขมัน และให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน

 


 

CoolSculpting เจ็บไหม ?

CoolSculpting ไม่เจ็บครับ เพราะเป็นหัตถการที่เหมือนการทำทรีตเมนต์ทั่วไป จึงไม่ทำให้เกิดรอยแผล และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา ในระหว่างการทำ CoolSculpting คนไข้สามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ แก้เบื่อได้เลยครับ เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือ นอนอ่านหนังสือ หรือดูหนัง

นอกจากนี้คนไข้อาจมีความรู้สึกปวด ๆ เมื่อย ๆ ในตอนนวดเพื่อให้เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งตายครับ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 นาทีเท่านั้น

 


 

CoolSculpting มีผลข้างเคียงอะไร ?

การทำ CoolSculpting มีความปลอดภัยมาก ถ้าทำโดยแพทย์ หรือ Specialist ที่ผ่านการอบรมการใช้งานเครื่องมาอย่างถูกต้องครับ ซึ่งจะมีผลข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย ดังนี้

  • ผิวเขียวช้ำ หลังการแช่แข็งไขมันด้วย CoolSculpting จำเป็นต้องนวดต่อเพื่อให้เซลล์ไขมันตาย เพราะหากไม่นวดอาจทำให้ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ลดลงถึง 60% ครับ ในบางรายที่ผิวขาว หรือผิวบาง จึงอาจเกิดเป็นรอยเขียวช้ำได้
  • อาการปวดระบม ในช่วงประมาณ 7-10 วันแรก อาจมีอาการปวดระบมในจุดที่ทำ ซึ่งจะคล้ายคลึงกับอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายหนัก ๆ
  • บวมในจุดที่ทำ CoolSculpting ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะเซลล์ไขมันที่ตายยังค้างอยู่ครับ จำเป็นต้องรอให้ร่างกายค่อย ๆ ลำเลียงเซลล์เหล่านี้ออกไปผ่านทางระบบเลือดและระบบน้ำเหลืองก่อน ซึ่งอาการบวมจะลดลงเรื่อย ๆ และเห็นสัดส่วนร่างกายที่เล็กลง ในช่วงเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์
  • อาการชาและคัน ในบางรายอาจมีอาการชาและคันเล็กน้อยในจุดที่ทำ ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนแรก
  • เกิดรอยดำชั่วคราวที่ผิวหนัง ซึ่งจะหายได้เองในเวลาไม่เกิน 6 เดือน

 


 

CoolSculpting กี่ครั้งเห็นผล ?

CoolSculpting กี่ครั้งเห็นผล

การทำ CoolSculpting สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยในการทำเพียง 1 ครั้ง จะสามารถสลายเซลล์ไขมันได้ 20-30% และ 1 หนีบสามารถกำจัดเซลล์ไขมันออกไปได้ประมาณ 60-70 CC

 


 

CoolSculpting กี่วันเห็นผล ?

หลังทำ CoolSculpting ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก อาจยังมีอาการบวมอยู่ครับ เพราะเซลล์ไขมันที่ตายและค้างอยู่ภายในร่างกาย จำเป็นต้องรอให้ร่างกายกำจัดเซลล์เหล่านี้ออกไปก่อน โดยจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ว่าสัดส่วนมีขนาดเล็กลง และกระชับขึ้นในเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ในเวลา 3 เดือน ซึ่งสามารถกลับมาทำ CoolSculpting ซ้ำได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

 


 

CoolSculpting ที่ไหนดี ? ก่อนทำต้องเช็กอะไร ?

เช็กเครื่อง CoolSculpting ของแท้

การทำ CoolSculpting จะเหมือนกับการทำทรีตเมนต์ทั่วไปครับ ก่อนทำจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมาก สามารถแต่งหน้า รับประทานอาหาร และทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติเลย แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ การเลือกว่า ควรทำ CoolSculpting ที่ไหนดี ? ซึ่งจะให้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และมีความปลอดภัย

  • คลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน เช็กได้จากเลขใบอนุญาต 11 หลักที่แสดงไว้ด้านหน้าของคลินิกความงาม
  • แพทย์หรือ Specialist ที่ผ่านเทรนนิงการใช้งานเครื่อง สามารถเช็กได้จากเว็บไซต์ของคลินิกความงามที่แพทย์ท่านนั้นประจำอยู่ครับ รวมถึงควรนำรายชื่อไปตรวจสอบกับเว็บแพทยสภาอีกด้วย
  • เครื่อง CoolSculpting ของแท้ จะมีหน้าตาเหมือนกับภาพแบนเนอร์ โดยจะมีชื่อเครื่องและโลโก้ CoolSculpting ติดอยู่บนตัวเครื่อง และควรเช็กสติกเกอร์ 4 จุดบริเวณด้านบนสุดและด้านหลังตัวเครื่องว่ามีชื่อของบริษัท Zeltiq Aesthetics USA ซึ่งเป็นผู้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีนี้ครับ
  • ราคาสมเหตุสมผล โดยทั่วไปราคาเริ่มต้นของ CoolSculpting ต่อจุดจะอยู่ที่ 8,000-10,000 บาทครับ
  • รีวิวจากผู้ใช้งานจริง ควรมีทั้งแบบรูปภาพและคลิปวิดีโอ รวมถึงควรอยู่ในสื่อกลางที่ทางคลินิกไม่สามารถลบรีวิวออกได้เอง เช่น Pantips หรือ Facebook Fanpage

 


 

สรุป

หลาย ๆ คนจะเห็นได้ว่า CoolSculpting หรือการสลายไขมันด้วยความเย็น ถือเป็นวิธีที่ช่วยลดสัดส่วนได้อย่างตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน เพราะช่วยลดจำนวนของเซลล์ไขมันในร่างกายลงอย่างถาวรครับ ทำให้เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

สำหรับใครที่อยากทำ CoolSculpting ให้ได้ผลลัพธ์ดี มีความปลอดภัย ควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกความงาม เลือกแพทย์ที่ทำหัตถการ และเลือกเครื่องของแท้ที่ได้มาตรฐาน

ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ? หมอเก่ง ใต้ตาเต็มสวย ไม่เป็นก้อน ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

0
ฟิลเลอร์ใต้ตา หมอไหนดี

ฟิลเลอร์ใต้ตา หมอไหนดี

ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ?

ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ? อยากให้ใต้ตาดูเต็มสวย ไม่เป็นก้อน ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ มีทริคในการเลือกหมออย่างไร ?

หลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้ใช่ไหมครับว่า “เลือกหมอผิด ชีวิตเปลี่ยน” ถ้าในวงการเสริมความงามแล้ว ประโยคนี้ถือว่าไม่เกินจริงเลยครับ เพราะมีหลายคนที่หลงไปฉีดหน้ากับหมอที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีฝีมือในการปั้นทรงฟิลเลอร์ให้สวย โดยเฉพาะตำแหน่งใต้ตาที่ถ้าฟิลเลอร์เป็นก้อนแล้วจะสังเกตเห็นได้ชัดจนมากทำให้เจ้าของใบหน้าเสียความมั่นใจไปเลยทีเดียว

ใครที่ไม่อยากมานั่งลุ้นว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วผลลัพธ์จะออกมาสวยไหม ใต้ตาจะเป็นก้อนไหม ในบทความนี้เรามีทริคการเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ? มาฝากกันครับ

 


 

ก่อนตัดสินใจเลือก ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี

ก่อนจะไปดูทริคการเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี อันดับแรกเราควรรู้ถึงข้อควรระวังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากันก่อนครับ

  • สิ่งแรกที่ต้องระวัง คือ ฟิลเลอร์ปลอมครับ แม้ในปัจจุบันจะมีการใช้ฟิลเลอร์ปลอมน้อยลง แต่ก็ยังไม่ได้หายไปทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงที่ฟิลเลอร์ได้รับความนิยมมากขึ้น อาจทำให้มีมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกฉีดฟิลเลอร์ในราคาถูก โดยใช้สารเติมเต็มพวกซิลิโคนเหลว ไบโอพลาสติก พาราฟิน ซึ่งฉีดไปแล้วจะอยู่ได้ถาวร ไม่สลาย นาน ๆ ไปจะเป็นก้อนแข็ง บวมแดง อักเสบ หรือเกิดเนื้อตายได้ในที่สุด
  • อย่างที่สองที่ต้องระวัง คือ ฟิลเลอร์หิ้วที่นำเข้าแบบผิดกฎหมายครับ ปัจจุบันพบได้มากและบ่อยกว่าฟิลเลอร์ปลอม เพราะมีราคาต้นทุนต่ำ เมื่อนำมาฉีดสามารถทำกำไรได้มาก แต่ผลเสียจะมาตกที่ผู้บริโภค

แม้ฟิลเลอร์หิ้วจะเป็นฟิลเลอร์แท้ก็จริง แต่การหิ้วโดยไม่ผ่านขบวนการจัดเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสมและถูกต้อง ซึ่งควรเก็บในอุณหภูมิ 0-25 องศาเซลเซียส ถ้าร้อนหรือเย็นมากก็จะทำให้เนื้อฟิลเลอร์เสื่อมสภาพลง ย่อยสลายไว มีอายุการใช้งานไม่คงตัว จากผลลัพธ์ที่ควรอยู่ได้ 1 ปี อาจอยู่ได้เพียง 3-4 เดือนเท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบราคากับฟิลเลอร์แท้แล้ว ก็ยังถือว่าฟิลเลอร์แท้มีความคุ้มค่ามากกว่าครับ

  • สุดท้ายอย่างที่สามที่ต้องระวัง คือ เรื่องราคาครับ ถ้าใครเจอฟิลเลอร์ราคาถูกมาก ๆ แบบถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ไม่แนะนำให้เสี่ยงฉีดเด็ดขาดครับ เพราะอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์หิ้ว

ทำไมเจอฟิลเลอร์ราคาถูกแล้วควรเลี่ยง ? นั่นก็เพราะว่าโดยปกติแล้วจะมีบริษัทนำเข้าฟิลเลอร์แต่ละแบรนด์อยู่ครับ ซึ่ง 1 ยี่ห้อจะมีคนนำเข้าเพียงแค่เจ้าเดียว ดังนั้นราคาฟิลเลอร์แต่ละคลินิกจะต่างกันไม่มาก อยู่ที่ช่วงหมื่นต้น ๆ ไปถึงหมื่นปลาย ๆ ขึ้นอยู่กับโปรโมชัน ประสบการณ์และเทคนิคของแพทย์แต่ละคลินิก

ดังนั้นในฐานะผู้บริโภค แนะนำให้เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดีกับคลินิกที่มีราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสมเหตุสมผลจะดีที่สุดครับ

 


 

ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง

ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี อันดับแรกควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือครับ ซึ่งความน่าเชื่อถือในที่นี้ไม่ใช่แค่ดูจากชื่อเสียงคลินิก หมอดัง รีวิวดีเท่านั้น แต่ควรพิจารณาส่วนอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยแนะนำให้ดูตามเช็กลิสต์นี้ครับ

1. คลินิกได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ

คลินิกที่ได้มาตรฐาน จะมีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง มีป้ายชื่อคลินิก และมีเลขที่ใบอนุญาต จำนวน 11 หลักติดไว้ด้านหน้าคลินิก ติดแบบแสดงรูปถ่าย ชื่อ ไว้ในที่เห็นได้ชัดเจน และแพทย์ผู้ทำการรักษาต้องเป็นคนเดียวกับป้ายที่ติดไว้

นอกจากนี้บรรยากาศภายในคลินิกควรสว่าง ไม่แออัด มีพื้นที่รองรับคนไข้ที่เพียงพอ สะอาด มีห้องปลอดเชื้อและห้องทำหัตถการกว้างขวาง มีเครื่องมือทางการแพทย์ครบครัน ทันสมัย และมีการนัดติดตามผล Follow หลังฉีดฟิลเลอร์ Filler ใต้ตา ซึ่งโดยส่วนใหญ่ทางคลินิกจะนัดติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์ 7 วัน หรือภายใน 1 เดือน เพื่อรอให้ฟิลเลอร์เข้าที่ และในระหว่างนั้นหากเรามีอาการผิดปกติ หรือมีผลข้างเคียงใด ๆ ก็สามารถสอบถามข้อมูลจากแพทย์ได้โดยตรง ไม่ผ่านเซลครับ

2. ต้องเป็นแพทย์จริงที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยเฉพาะ

การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี สิ่งที่ไม่ควรละเลย คือ การเลือกแพทย์ที่ต้องเป็นแพทย์จริงและมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยเฉพาะครับ เพราะการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ใช่จะฉีดกับใครหรือฉีดกับหมอคนไหนก็ได้ จริงอยู่ที่ควรฉีดกับแพทย์ แต่ก็ต้องตระหนักด้วยว่าไม่ใช่แพทย์ทุกคนที่จะถนัดหรือมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ใต้ตาเป็นบริเวณที่ต้องพิถีพิถันในการฉีด หากฉีดผิดชั้นผิว เลือกฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม ใช้ฟิลเลอร์เยอะเกินไปก็จะทำให้เห็นฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้ชัด หรือที่อันตรายสุดคือแพทย์ฉีดพลาดเข้าหลอดเลือดจนทำให้เกิดการอุดตัน เสี่ยงเนื้อตาย ตาบอดได้ครับ

แพทย์ที่มีประสบการณ์จะรู้กายวิภาคบนใบหน้าเป็นอย่างดี สามารถหลบเลี่ยงเส้นเลือดดังกล่าวได้ รวมถึงสามารถประเมินและแก้ไขปัญหาใบหน้าได้ตรงจุด ในส่วนนี้ก็จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะได้ผลลัพธ์สวยงาม ไม่เจอผลข้างเคียงหลังฉีดครับ

Fact : สามารถตรวจสอบจากชื่อ-นามสกุลของแพทย์ท่านนั้นได้ที่เว็ปไซต์ของแพทยสภาได้ ที่นี่

3. ใช้ฟิลเลอร์แท้ แบรนด์ระดับโลก ผ่าน อย.ไทย

การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตา หมอไหนดีในข้อนี้สำคัญมากครับ จะต้องเลือกคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์แท้ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เท่านั้น เพราะเป็นสารเติมเต็มเพียงชนิดเดียวที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐ และ อย.ไทย ว่าสามารถนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่อันตราย ฉีดแล้วสามารถสลายได้เอง 100% ภายในระยะเวลา 1-2 ปี และเมื่อสลายหมดก็สามารถฉีดใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ปัจจุบันมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อมากครับ ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่ผ่าน อย. ไทยและนิยมใช้ในคลินิกเสริมความงาม เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อ Restylane ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อ Juvederm และ ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อ  Belotero

ส่วนการเลือกใช้นั้นหมอจะเลือกตามลักษณะปัญหาและผิวของเราว่าเหมาะกับฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหน ส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับความถนัดและเทคนิคการฉีดของแพทย์แต่ละคนร่วมด้วยครับ

รู้หรือไม่ ? :  ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย จะมีการตรวจสอบมาตรฐานทุกปี ไม่ใช่ทุกรุ่นในยี่ห้อนั้น ๆ จะผ่านทั้งหมด ต้องดูเป็นรายตัว ดังนั้นควรอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. อยู่เสมอ รวมถึงวิธีดูฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อป้องกันฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว หมอกระเป๋าและคลินิกเถื่อน

4. มีริวที่น่าเชื่อถือจากผู้ใช้บริการจริง

อีกหนึ่งข้อที่ไม่ควรมองในการเลือกฟิลเลอร์ใต้ตา หมอไหนดีเช่นกัน คือ การดูรีวิวครับ หากเราต้องการฉีดฟิลลเลอร์ใต้ตากับแพทย์คนไหน แนะนำให้ดูรีวิวของแพทย์คนนั้นโดยตรง ซึ่งสามารถดูได้จากคลิปวิดีโอเพื่อที่เราจะได้เห็นขั้นตอนระหว่างฉีดและเทคนิคที่แพทย์ใช้ ซึ่งแพทย์มักจะอธิบายอยู่ในคลิป

รวมถึงดูรีวิวจากคนไข้ที่มาบริการจริงและต้องเป็นรีวิวที่อัปเดตเป็นปัจจุบัน หรือดูรีวิวแบบปากต่อปากจะดีที่สุดครับ เช่น บอกต่อจากญาติ พี่น้อง หรือจากเพื่อนที่เคยไปใช้บริการ เพื่อป้องกันการโดนรีวิวหลอกที่ตกแต่งหรือเฟคขึ้นมาครับ

 


 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ทำไมต้องฉีดกับหมอที่มีประสบการณ์ และใช้ฟิลเลอร์แท้ ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี

อยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ปลอดภัย ไร้กังวล ใต้ตาเต็มสวย ไม่เป็นก้อน ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้นครับ

เหตุผลที่ต้องฉีดกับหมอที่มีประสบการณ์ เพราะใต้ตาเป็นตำแหน่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ นอกจากจะเป็นบริเวณที่ผิวหนังบอบบางแล้ว ยังเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดสำคัญอยู่เยอะมาก ซึ่งแพทย์ที่มีประสบ การณ์จะพิถีพิถันทุกขั้นตอน ใช้เทคนิคการฉีด และเลือกใช้เข็มที่ถูกต้องเพื่อระวังไม่ให้ฉีดเข้าเส้นเลือดจนเกิดอาการบวมเลือด มีเลือดออกในชั้นผิว (hematoma) ถ้าหากมีการอุดตันในเส้นเลือด อาจทำให้เสี่ยงอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ครับ

อย่างเข็มแหลมจะใช้สำหรับฉีดฟิลเลอร์ชิดกระดูก ส่วนเข็มทู่จะใช้ฉีดในชั้นเนื้อที่ตื้นขึ้นมา หรือสามารถฉีดชิดกระดูกได้ในบางจุดครับ แต่ถึงแม้จะเป็นเข็มทู่ก็ไม่สามารถหลบหลีกเส้นเลือดได้ 100% ต้องอาศัยเทคนิคการฉีดช่วยเสริม ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นครับ

รวมถึงแพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถเลือกรุ่นฟิลเลอร์ คำนวณ CC ที่ใช้ และวิเคราะห์ปัญหาใบหน้าอย่างเหมาะสม ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างแม่นยำ แก้ปัญหาตรงจุด ไม่เสี่ยงฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน ได้ผลลัพธ์ในแบบที่ต้องการ สวยงาม ใต้ตาดูเป็นธรรมชาติ

ส่วนที่ต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ประเภท Hyaluronic Acid เท่านั้นก็เพราะว่า ฟิลเลอร์ประเภทนี้เป็นสารเติมเต็มเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติและผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ว่าสามารถนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่อันตราย มีความปลอดภัยสูง ฉีดแล้วสามารถสลายได้เอง 100% ภายในระยะเวลา 1-2 ปี และเมื่อสลายหมดก็สามารถฉีดใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย

 


 

ก่อนตัดสินใจฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี เตรียมตัวอย่างไรบ้าง ?

เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 1 อาทิตย์

ก่อนตัดสินใจฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา หมอไหนดี เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในเบื้องต้นว่าเหมาะกับปัญหาของเราหรือไม่ รวมถึงเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ได้มาตรฐาน หมอจริง ใช้ฟิลเลอร์แท้
  • ควรงดยาและวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, ibuprofen, diclofenac, ponstan งดวิตามิน St. John’s Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
  • งดการใช้ยาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น tretinoin, (เรตินเอ), retinols(เรตินอล), retinoids (เรตินอยด์) BHA, AHA ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 3 วัน
  • งดดึงขน โกนขน แวกซ์ขน งดเลเซอร์หน้า นวดหน้า ก่อนฉีด filler ใต้ตา อย่างน้อย 3 วัน
  • หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดฟิลเลอร์

เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 24 ชั่วโมง

เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 24 ชั่วโมง

ก่อนตัดสินใจฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา หมอไหนดี เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกายหนัก ๆ อบซาวน่า
  • หากมียาที่ต้องกินประจำ แพทย์จะพิจารณาให้ทานยาห้ามเลือดหรือยาลดบวมตามความเหมาะสมในแต่ละเคส เพื่อลดการบวมช้ำจากรอยเข็ม
  • สามารถแต่งหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์จะมีการคลีนหน้า เพื่อแปะยาชา และรอยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30-45 นาที

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามครับ เพราะจะส่งผลต่อผลลัพธ์หลังฉีด หากเราเตรียมตัว มีการหาข้อมูลมาอย่างดี ก็จะช่วยลดความเสี่ยงหลาย ๆ อย่าง ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ บวมน้อย ไม่ค่อยมีรอยช้ำ และทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้น

 


 

สรุป

สิ่งที่ควรทำในการเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดี ต้องดูองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างครับ ซึ่งหลัก ๆ ที่ต้องพิจารณา คือ ต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาภายใต้คลินิกที่ได้มาตฐานเท่านั้น

และสิ่งที่ควรเลี่ยงในการเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาหมอไหนดีเลยคือ ไม่ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาถูกมาก ๆ และอย่าหลงเชื่อโฆษณาที่เกินจริง เพราะอาจได้ผลไม่คุ้มค่า เสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอม เสี่ยงเกิดผลเสียในอนาคตที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้ครับ

รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม ? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

0
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ

สำหรับผู้ที่มีปัญหาขมับตอบ หรือขมับยุบ จนมองเห็นเป็นแอ่งลึก ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย และเหนื่อยล้า แต่ไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรม และไม่อยากพักฟื้นนาน ๆ การฉีดฟิลเลอร์ขมับถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มาก และสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด 

บทความนี้ หมอจะพาทุกคนไปดูครับ ว่าการฉีดฟิลเลอร์ขมับ ช่วยอะไรบ้าง ? ใช้กี่ CC เห็นผล ? อันตรายไหม ? มีผลข้างเคียงอะไร ? พร้อมแนะนำแนวทางการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ขมับ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ คืออะไร ? เติมขมับตอบได้อย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ คือ การแก้ไขปัญหาขมับยุบ หรือขมับตอบ ด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA: Hyaluronic Acid) เข้าไปยังบริเวณแอ่งลึกของขมับให้ดูเต็มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยปรับให้ใบหน้าได้สัดส่วน ดูสมดุล และลดความเด่นของโหนกแก้มลงได้ รวมถึงช่วยเพิ่มความอ่อนหวานให้กับใบหน้าได้อีกด้วย

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ แก้ปัญหาอะไรบ้าง ? เหมาะกับใคร ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ สามารถแก้ปัญหาอะไรบ้าง

  • แก้ปัญหาขมับเป็นแอ่งลึกหรือขมับตอบ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น ลักษณะกะโหลกศีรษะเดิมตามกรรมพันธุ์ของคนไข้ หรือการที่เรามีอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้กระดูก เนื้อเยื่อ หรือชั้นไขมันยุบตัวลง บริเวณขมับก็จะดูตอบมากขึ้นได้ การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมเต็มแอ่งลึกให้ดูตื้นขึ้น และปรับให้ใบหน้าโดยรวมได้สัดส่วนสวยงาม
  • แก้ปัญหาขมับเป็นแอ่งจากการจัดฟัน การจัดฟันสามารถทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวอาหารทำงานลดลง ในบางรายกล้ามเนื้อรูปพัดด้านข้างขมับ (Temporalis Muscle) ดูลีบลง ส่งผลให้บริเวณด้านข้างของขมับมองเห็นเป็นแอ่งลึกได้ครับ
  • แก้ปัญหาหน้าโทรมลงจากการลดน้ำหนัก ในบางรายที่ลดน้ำหนักจนได้รูปร่างที่ต้องการแล้ว แต่เกิดปัญหาใบหน้าดูโทรมลง เพราะไขมันบริเวณขมับหายไป การฉีดฟิลเลอร์เติมบริเวณขมับ จะช่วยปรับให้ใบหน้ากลับมาดูเต็ม และสดใสได้
  • แก้ปัญหามีโหนกแก้มเด่น เมื่อเนื้อบริเวณขมับ และแก้มตอบลง จะส่งผลให้โหนกแก้มดูเด่นขึ้นมาได้ ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือดูโทรมลง การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้เนื้อบริเวณขมับดูเต็มขึ้น ความเด่นของโหนกแก้มก็จะดูลดลง ใบหน้าโดยรวมจึงดูเรียวสวยและเข้ารูปมากขึ้น
  • แก้โหงวเฮ้ง อ้างอิงจากตำราโหงวเฮ้ง ขมับที่มีลักษณะดี คือ ขมับที่ดูเต็มและอิ่ม รับกับไรผมและหน้าผากได้เป็นอย่างดี เชื่อกันว่าผู้ชายหรือผู้หญิงที่มีลักษณะนี้ จะมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ คู่ชีวิตค่อยให้การสนับสนุน และอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี โดยทั่วไปจะนิยมทำร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากครับ
  • แก้ปัญหาตาตก ในบางรายพบว่าการฉีดฟิลเลอร์เติมเนื้อบริเวณขมับ จะช่วยยกเปลือกตาที่หย่อนคล้อยขึ้นได้ จึงช่วยแก้ปัญหาหางตาตกได้อีกด้วย
  • ช่วยปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด สำหรับผู้ที่มีปัญหาขมับตอบ ขมับเป็นแอ่ง หรือโหนกแก้มดูเด่นมากเกินไป ทำให้ใบหน้าดูแข็ง แต่ไม่อยากผ่าตัด การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งบริเวณที่ฉีดจะมีเพียงรอยเข็ม ที่จะหายได้เอง โดยไม่เหลือเป็นรอยแผลเป็น รวมถึงยังไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน ๆ เพราะหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เลย
  • ช่วยเพิ่มความอ่อนหวานให้ใบหน้า การฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นการเพิ่มความโค้งมนให้กับใบหน้า และปรับให้ใบหน้ามีรูปทรงที่ใกล้เคียงกับรูปไข่มากขึ้น ซึ่งถือเป็นรูปหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ และมีความสมมาตรมากที่สุด 
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอย การฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะทำให้เนื้อบริเวณดังกล่าวดูเต่งตึงขึ้น จึงช่วยปรับให้ริ้วรอยบริเวณใกล้เคียง อย่างขมับ และรอบดวงตาดูตื้นขึ้นตามไปด้วย รวมถึงฟิลเลอร์ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในโครงสร้างผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และกระชับ จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม ? 

การฉีดฟิลเลอร์ขมับสามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ ถ้าฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือฉีดกับแพทย์ที่ประสบการณ์ไม่มากพอ เพราะบริเวณขมับเป็นจุดที่มีเส้นเลือดที่สำคัญและเชื่อมไปยังลูกตา การฉีดพลาดสามารถทำให้หลอดเลือดอุดตัน และเกิดปัญหาตาบอดและเนื้อตายตามมาได้ครับ 

แต่ในปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์ของแท้ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูรอนิเดสได้ ทำให้เนื้อกลับคืนสภาพเดิม ยิ่งถ้าฉีดฟิลเลอร์ขมับกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ก็ยิ่งไม่ต้องกังวลใจครับ เพราะแพทย์ที่ผ่านเคสมามาก โอกาสเกิดข้อผิดพลาดก็จะน้อยตามไปด้วย การฉีดฟิลเลอร์ขมับจึงมีความปลอดภัยมาก

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ที่ไหนดี ? เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ รีวิว

  • เลือกคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน คลินิกเหล่านี้จะมีความสะอาด และมีเครื่องมือสำหรับในกรณีฉุกเฉินอย่างครบครัน โดยควรมองหาเลขใบอนุญาต 11 หลัก ซึ่งจะแสดงอยู่บริเวณด้านหน้าของคลินิก รวมถึงควรมีบริการติดตามผลลัพธ์หลังทำ และมีช่องทางที่สามารถติดต่อได้ง่าย หากมีข้อสงสัย หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับหัตถการที่ทำ
  • แพทย์ที่มากประสบการณ์ คลินิกความงามหลายแห่งจะแสดงข้อมูลของแพทย์ประจำคลินิกไว้บนเว็บไซต์อยู่แล้ว คนไข้สามารถเข้าไปตรวจสอบประวัติ หรือรีวิวของแพทย์เจ้าของเคสได้ครับ นอกจากนี้ควรนำชื่อแพทย์ไปเช็กกับเว็บไซต์แพทยสภา ว่ามีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่
  • ฟิลเลอร์ของแท้และนำเข้ามาอย่างถูกต้อง ฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย และย่อยสลายได้เอง โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง จะต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของอเมริกา (U.S. FDA) และของประเทศไทย (อย.ไทย) แต่ฟิลเลอร์เหล่านี้มีราคาที่ค่อนข้างสูงครับ บางคลินิกอาจเลือกยาหิ้วที่เก็บรักษาไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้สารเติมเต็มประเภทอื่น ๆ ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองมาฉีดให้คนไข้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก 

ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับควรให้แพทย์แกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า และตรวจเช็กว่าเลข Lot. ในแต่ละจุดของฟิลเลอร์ตรงกันหรือไม่ รวมถึงนำเลข Lot. ไปเช็กกับบริษัทที่นำเข้าฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้น ๆ อีกด้วย

  • รีวิวที่น่าเชื่อถือ ควรเป็นรีวิวที่เป็นปัจจุบัน และอยู่ในรูปแบบสื่อที่หลากหลาย ทั้งรูปภาพและคลิปวิดีโอ เพราะคลิปวิดีโอจะสามารถปลอมแปลงได้ยากกว่ารูปภาพ นอกจากนี้ควรมองหารีวิวที่อัปโหลดในสื่อกลาง ที่ทางคลินิกไม่สามารถลบออกได้เอง เช่น Pantip หรือ Facebook Fanpage

ผลข้างเคียงการฉีดฟิลเลอร์ขมับที่ควรรู้

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ผลข้างเคียง

หลาย ๆ คนจะเห็นได้ว่า การฉีดฟิลเลอร์ขมับถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยมากครับ ถ้าเลือกแพทย์ที่มากประสบการณ์ และฉีดฟิลเลอร์ของแท้ ซึ่งหลังฉีดจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ที่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ ดังนี้

  • อาการบวมในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์ เกิดจากอาการบวมเข็ม และเนื้อฟิลเลอร์ที่ฉีดยังไม่เข้าที่ โดยบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ขมับจะค่อย ๆ ยุบบวมเต็มที่ในเวลา 1-2 สัปดาห์
  • ปวดศีรษะ บริเวณขมับเป็นจุดรวมเส้นประสาท และไวต่อความรู้สึก ทำให้ในบางรายอาจรู้สึกตึงในระหว่างแพทย์ดันฟิลเลอร์ และอาจมีอาการปวดศีรษะตามมาหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับได้ ซึ่งเกิดจากอาการบวมเข็ม และเนื้อฟิลเลอร์ที่ฉีดแทรกเข้าไปในกล้ามเนื้อบริเวณขมับ โดยอาการเหล่านี้จะหายได้เองในเวลา 1-2 วัน

หลังฉีดคนไข้สามารถรับประทานยาแก้ปวด และดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ได้ แต่หากหลัง 3 วันแล้ว อาการเหล่านี้ยังไม่ดีขึ้น หรือมีแนวโน้มว่าหนักกว่าเดิม ควรติดต่อกับคลินิกความงาม เพื่อรับยาเพิ่มเติม หรือให้แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ใช้กี่ CC เห็นผล ?

การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ค่อนข้างมากกว่าการฉีดในจุดอื่น ๆ ใช้ประมาณข้างละ 1-2 CC ขึ้นอยู่กับความลึกของแอ่งบริเวณด้านข้างขมับ และการประเมินของแพทย์ร่วมด้วย โดยแพทย์จะเลือกฟิลเลอร์ที่เนื้อค่อนข้างแน่น มีความฟู และทนต่อแรงขยับได้ดี ซึ่งจะใช้เทคนิคการฉีดแบบชิดกระดูก เพื่อให้ผิวดูเรียบเนียนเสมอกัน และดูเป็นธรรมชาติ ป้องกันฟิลเลอร์ไหลย้อยไปยังจุดอื่น ๆ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ การดูแลตัวเองก่อน-หลัง

ดื่มน้ำให้เพียงพอหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ

การฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นการปรับรูปหน้าที่ไม่ใช่การผ่าตัดเปิดแผล จึงไม่ได้มีขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนฉีด หรือการดูแลตัวเองหลังการฉีดที่ยุ่งยาก แต่ทุกคนก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดครับ เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาในการทำหัตถการ ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และช่วยยืดอายุของฟิลเลอร์ให้อยู่นาน ๆ ซึ่งจะมีแนวทางดังนี้

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ

  • ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการฉีดฟิลเลอร์ขมับ เช่น หลักการทำงาน วิธีการเช็กฟิลเลอร์ของแท้ วิธีการตรวจสอบแพทย์และคลินิกความงาม เพื่อให้สามารถฉีดฟิลเลอร์ขมับได้อย่างปลอดภัย มีความคุ้มค่า และมีผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ
  • ปรึกษากับแพทย์เจ้าของเคส โดยควรเตรียมข้อมูลด้านสุขภาพของตัวเอง ทั้งโรคหรือยาประจำตัว และผลลัพธ์ที่ต้องการหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินสภาพผิว และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ได้
  • งดยาและอาหารเสริม ตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น แอสไพริน วิตามินอี ยากลุ่มเอ็นเสด หรือน้ำมันอิฟนิงพริมโรส เพราะสามารถส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดได้ ทำให้เกิดปัญหาอาการเขียวช้ำหลังฉีด
  • งดการกระทำ ที่ทำให้ผิวในจุดที่ฉีดเกิดการระคายเคือง เช่น ใช้ยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว แว็กซ์หรือโกนขน รวมถึงควรงดนวดหน้า หรือทำคอร์สเลเซอร์ ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมาก ๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการออกกำลังกายหนัก ๆ 
  • ในวันที่ฉีดฟิลเลอร์ขมับ คนไข้สามารถแต่งหน้ามาได้ครับ เพราะทางคลินิกความงามจะเตรียมผิวบริเวณที่ฉีด โดยการทำความสะอาด และแปะยาชาให้ก่อนฉีด

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ 

  • เนื่องจากหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับอาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือรู้สึกคันในบริเวณที่ฉีด ดังนั้นห้ามสัมผัสแรง ๆ เช่น การแกะ เกา หรือนวด เพราะสามารถส่งผลต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์ได้ โดยอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน และหายไปได้เองใน 7-14 วัน
  • กินยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน เช่น ยาแก้ปวด ยาลดบวม หรือยาแก้อักเสบ
  • ในเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมงแรก ควรอยู่ในสถานที่ที่อากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น ห้องซาวน่า เตาชาบู ร้านหมูกระทะ หรือกลางแจ้ง 
  • งดการทำทรีตเมนท์และเลเซอร์ร้อน ที่ลงลึกถึงชั้นผิวเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
  • ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ และให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย วันละ 1.5-2 ลิตร ซึ่งจะทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดฟูสวย และยืดอายุให้อยู่ได้นานขึ้น เพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ
  • แม้การนอนตะแคง โดยระวังไม่ให้เกิดการกดทับในตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์ขมับจะสามารถทำได้ครับ แต่หลังฉีดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก หมอแนะนำให้นอนหงายดีกว่า รวมถึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการกดทับในจุดที่ฉีด เช่น นั่งเท้าขมับ  

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ เป็นการเติมแอ่งลึกบริเวณขมับให้ดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยปรับใบหน้าให้ดูสมมาตร และมีความอ่อนหวานเพิ่มขึ้น เหมาะกับผู้ที่อยากแก้ปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ หรือโหนกแก้มเด่น โดยไม่ต้องผ่าตัด และเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว สำหรับใครที่สนใจ ควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกความงามที่มีใบอนุญาต แพทย์ที่มากประสบการณ์ และตรวจเช็กฟิลเลอร์ของแท้ก่อนฉีดทุกครั้ง เพียงเท่านี้ ก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ขมับให้ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการแล้ว

โบท็อกราคาเท่าไร ? รวมโปรโมชันโบท็อกทุกยี่ห้อ ทุกตำแหน่ง เลือกอย่างไรให้คุ้ม ?

0
โบท็อกราคา

โบท็อกราคา

ฉีดโบท็อกราคา

การเลือกฉีดโบท็อก นอกจากจะเลือกยี่ห้อที่เห็นผลลัพธ์ดีแล้ว ยังต้องเลือกฉีดโบท็อกราคาคุ้มค่าและเหมาะสมด้วยครับ 

สำหรับใครที่วางแผนปรับรูปหน้า ลดร้วรอยด้วยการฉีดโบท็อก แล้วยังมีข้อสงสัย เกี่ยวกับราคาค่าใช้จ่าย ในแต่ละจุด ฉีดโบท็อกราคาแพงไหม ? แต่ละจุดราคาเท่ากันหรือไม่ ใช้กี่ยู ? ทำไม โบท็อกราคาแต่ละยี่ห้อ ถึงไม่เท่ากัน ? โบท็อกราคาถูก โบท็อกบุฟเฟต์ ไม่จำกัดยูนิต สามารถฉีดได้ไหม ? บทความนี้จะมาบอกข้อมูลเพื่อจะได้เตรียมงบประมาณได้ถูกครับ  


ฉีดโบท็อกราคา แต่ละยี่ห้อ อัปเดต 2023

ฉีดโบท็อกราคา แต่ละยี่ห้อจะไม่เท่ากันครับ โดยทั่วไปถ้าเป็นการฉีดโบท็อกเฉพาะจุด เช่น ระหว่างคิ้ว หางตา (ตีนกา) หน้าผาก โบท็อกราคาจะเริ่มต้นที่ 3,000.- (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและโปรโมชันแต่ละคลินิก)

แต่ถ้าฉีดในบริเวณกว้าง เช่น ฉีดลดกราม ฉีดปรับหน้าเรียว ราคาก็จะสูงขึ้น เพราะต้องใช้ปริมาณโบท็อกเยอะขึ้น โดยโบท็อกราคาจะเริ่มต้นที่  7,000.-  หรือถ้าฉีดโบท็อกทั่วหน้า ทั้งลดริ้วรอยและฉีดหน้าเรียวด้วย ราคาจะเริ่มต้นที่ 6,000.- (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและโปรโมชันแต่ละคลินิก)

  • Allergan Botox สัญชาติอเมริกา ราคาเริ่มต้น 16,999.- (100 U)   
  • Aestox Botox สัญชาติเกาหลี ราคาเริ่มต้น 6,999.- (100 U) 
  • Nabota Botox สัญชาติเกาหลี ราคาเริ่มต้น 6,999.- (100 U) 
  • Neuronox Botox สัญชาติเกาหลี ราคาเริ่มต้น 7,499.- (100 U) 
  • Xeomin Botox สัญชาติเยอรมัน ราคาเริ่มต้น 15,999.- (100 U) 
  • Dysport ฺBotox สัญชาติอังกฤษ ราคาเริ่มต้น 15,999.- (300 U) 

*โบท็อกราคาอาจแตกต่างกันไปตามโปรโมชันของแต่ละคลินิก แนะนำให้ติดต่อสอบถามกับคลินิกโดยตรง เพื่อจะได้คำนวณงบประมาณได้ถูกต้อง


โบท็อกแต่ละยี่ห้อ ต่างกันอย่างไร เหมาะกับใคร ?

โบท็อกแต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นที่ต่างกันตรงกรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์, ชนิด protein complex, ขนาดของ molecule complex, ความคงทนในการเก็บรักษา และ ขนาดของ molecule complex size ที่ทำให้โบท็อกแต่ละยี่ห้อเกิดความแตกต่างกันมากที่สุดครับ

ปัจจุบันมียี่ห้อโบท็อกที่เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยหลายยี่ห้อและหลายประเทศครับ เช่น อเมริกาอังกฤษ เยอรมัน และเกาหลี ซึ่งแต่ละตัวจะมีจุดเด่นที่ต่างกันดังนี้ครับ

โบท็อกยี่ห้อ Allergan อเมริกา

โบท็อกยี่ห้อ Allergan อเมริกา

  • ตัวยามีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% จึงช่วยลดโอกาสในการดื้อโบท็อก
  • ให้ผลการรักษาที่แม่นยำที่สุด เนื่องจากยากระจายตัวแคบ ทำให้หมอสามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้
  • เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอยเฉพาะจุด เช่น ตีนกา ระหว่างคิ้ว ขมวดคิ้ว ฉีดโบท็อกปรับรูปหน้า ลดกราม ลิฟกรอบหน้าด้วยเทคนิค Nefertiti lift 
  • มีอายุการใช้งานนานกว่ายี่ห้อโบท็อกอื่น ๆ ประมาณ 20%

โบท็อกยี่ห้อ Dysport อังกฤษ

โบท็อกยี่ห้อ Dysport อังกฤษ

  • ยากระจายตัวกว้าง จึงเหมาะกับการฉีดในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น  ริ้วรอยหน้าผาก ฉีดลดขนาดกล้ามเนื้อต้นแขน ลดน่อง และเหมาะกับคนที่ต้องการ ลดกลิ่นเหงื่อ รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพราะจะกระจายตัวครอบคลุมต่อมเหงื่อได้ดี เหงื่อแห้งสนิทมากกว่ายี่ห้ออื่น
  • โมเลกุลมีขนาดเล็กลงจึงทำให้โบท็อกเข้าเซลล์ประสาทได้ดีขึ้น โอกาสดื้อโบท็อกน้อยลง และออกฤทธิ์ไวขึ้น
  • เหมาะสำหรับฉีดยกกระชับด้วยเทคนิค dermolift และช่วยลดริ้วรอยทั่วใบหน้า
  • หลังฉีดจะรู้สึกตึงประมาณ 50% ไม่ตึงแข็งเกินไป เบาสบายผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ 

โบท็อกยี่ห้อ Xeomin เยอรมัน

โบท็อกยี่ห้อ Xeomin เยอรมัน

  • มีความบริสุทธิ์สูง ไม่กระจุกตัวแคบเกินไป ฉีดแล้วไม่ตึง 
  • มีงานวิจัยแสดงว่า Xeomin ได้ผลดีในเคสที่ดื้อยา (โดยที่เคสนั้นๆต้องหยุดการฉีดโบท็อกมาแล้วอย่างน้อย 2-3 ปี) 
  • เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอย และการลิฟกรอบหน้า Dermolift 

โบท็อกยี่ห้อ Nabota เกาหลี

โบท็อกยี่ห้อ Nabota เกาหลี

  • เน้นการพัฒนาให้ออกฤทธิ์ไว เห็นผลเร็ว จากการใช้งานพบว่ามีการออกฤทธิ์ไวกว่าโบท็อกเกาหลียี่ห้ออื่นเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลเร่งด่วน
  • เป็นโบท็อกเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านงานวิจัยรับรองจาก อย. อเมริกา U.S.FDA approved (2018)
  • เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอย หน้าผาก หางตา ระหว่างคิ้ว และสามารถนำมาใช้เพื่อปรับรูปหน้า ลดกราม ยกคิ้ว กระชับหน้า

โบท็อกยี่ห้อ Aestox เกาหลี

โบท็อกยี่ห้อ Aestox เกาหลี)

  • ตัวยามีความบริสุทธิ์ ทำให้โอกาสดื้อโบท็อกลดน้อยลง
  • ออกฤทธิ์เร็ว และเห็นผลไว
  • มีความอ่อนโยน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ หน้าไม่แข็ง
  • เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอยหางตา รอยย่นหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ฉีดปรับรูปหน้า ลดเหงื่อ

โบท็อกยี่ห้อ Neuronox เกาหลี

โบท็อกยี่ห้อ Neuronox เกาหลี

  • เป็นโบท็อกซ์เกาหลีที่ผลิตจากสายพันธุ์ออริจินัล หรือ Hall A-hyper เช่นเดียวกับโบท็อกอเมริกา
  • ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 98-99% จึงทำให้มีโอกาสดื้อโบท็อกน้อย
  • การกระจายตัวยาที่แคบ ให้ผลการรักษาที่แม่นยำ
  • เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอยหางตา รอยย่นหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ฉีดปรับรูปหน้า ลดกราม ลดเหงื่อ

ฉีดโบท็อกราคา แต่ละตำแหน่งใช้กี่ U ?

ฉีดโบท็อกราคา แต่ละตำแหน่งใช้กี่ U

  • ฉีดโบท็อกลดกราม หน้าเรียว 50-100 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 6,999.-
  • ฉีดโบลดริ้วรอย หน้าเรียว 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 9,000.- 
  • ฉีดโบท็อกขมวดคิ้ว ระหว่างคิ้ว 25 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 3,000.-
  • ฉีดโบท็อกหน้าผาก 30 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 3,500.-
  • ฉีดโบท็อกตีนกา โบท็อกหางตา  25 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 3,000.-
  • ฉีดโบท็อกปีกจมูก/รัดแกนจมูก 25 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 3,000.-
  • ฉีดโบท็อกโหนกแก้ม 25 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 3,000.- 
  • ฉีดโบท็อกลิฟต์กรอบหน้า 30-50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3,000.- 
  • ฉีดโบท็อกลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 9,000.- 
  • ฉีดโบท็อกน่อง 200-300 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 12,000.-  
  • ฉีดโบท็อกซ์กระชับรูขุมขน 25-30 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3,000.- 

แต่ละเคสอาจใช้ปริมาณโบท็อกมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา ความต้องการ และการประเมินของแพทย์ ดังนั้นก่อนฉีดโบท็อกแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนครับ  เพื่อแนะนำยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการและงบประมาณของเราครับ

ทำไม โบท็อกราคาแต่ละยี่ห้อ ถึงไม่เท่ากัน

เหตุผลที่ทำให้โบท็อกราคาแต่ละยี่ห้อไม่เท่ากันนั้นมีหลายปัจจัยครับ เช่น 

  • ประเทศที่ผลิต
  • กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์ หรือเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของโบท็อกยี่ห้อนั้น ๆ 
  • ความบริสุทธิ์ของตัวยาที่ทำให้โบท็อกที่ได้มีคุณสมบัติเฉพาะตัว
  • ชนิด protein complex และ ขนาดของ molecule complex
  • ความคงทนในการเก็บรักษา 
  • ต้นทุนการนำเข้า

ซึ่งถ้าคนที่เคยฉีดโบท็อกหรือคนที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกราคาจะเห็นว่าโบท็อก Allergan อเมริกามีราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ซึ่งก็มาจากปัจจัยในข้างต้นครับ โบท็อกอเมริกา Allergan เป็นโบท็อกที่ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง กระจายตัวแคบ แม่นยำ ฉีดแล้วโอกาสดื้อโบท็อกน้อย และอยู่ได้นานกว่ายี่ห้ออื่นเล็กน้อย 

ถ้าใครที่มีงบประมาณถึง ก็จะแนะนำให้ฉีดโบอเมริกา แต่ถ้ามีงบจำกัดก็ยังมีโบท็อกยี่ห้ออื่น ๆ ที่ราคาถูกลงแต่ให้ผลลัพธ์ดีเช่นกัน อย่างโบท็อกเกาหลีก็เป็นที่นิยมครับ มีหลายยี่ห้อให้เลือก ราคาไม่แพง ออกฤทธิ์ไว แต่ระยะเวลาจะอยู่ได้สั้นกว่าโบท็อกอเมริกาเล็กน้อย


ฉีดโบท็อกราคาถูก-แพง ให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไหม ? 

กระบวนการทำงานของโบท็อก(โบท็อกยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาท ทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลง)

ถ้าฉีดโบท็อกที่ได้คุณภาพ ผ่าน อย. และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ แม้จะเป็นโบท็อกราคาถูกก็จะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกันมากครับ เพราะกระบวนการทำงานของโบท็อกทุกยี่ห้อจะไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเหมือนกัน โดยโบท็อกจะเป็นโปรตีนน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ

  • ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาท เป็นส่วนที่จะออกฤทธิ์ ซึ่งถ้ามีความเข้มข้นสูงก็จะทำให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น โดยจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ
  • ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม ส่วนนี้จะปลิวไปตามกระแสเลือดในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชม. หลังฉีด และถูกขับออกไปโดยไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่นในร่างกาย

หลังจากนั้นโบท็อกก็จะค่อย ๆ ออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อจนเห็นผลชัดเจน หากฉีดลดริ้วรอยจะเห็นผลใน3-4 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ แต่หากฉีดลดขนาดกล้ามเนื้อกราม จะเห็นผลใน 4 วัน เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน จากนั้นจะสลายไปเอง 100% ไม่มีสารตกค้าง ตามระยะเวลาของโบท็อกยี่ห้อนั้น ๆ ครับ

ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดโบท็อก

  • ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ตีนกา หลัก ๆ คือช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
  • ช่วยในการปรับรูปหน้า ลดกล้ามเนื้อกรามให้มีขนาดเล็กลง กระชับกรอบหน้า ช่วยให้หน้าเรียววีเชฟ
  • หากนำมาฉีดเพื่อยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ จะช่วยให้เหงื่อและกลื่นตัวลดน้อยลง
  • ลดขนาดกล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อน่อง

วิธีดูโบท็อกแท้ 

การตรวจเช็กโบท็อกแท้ง่าย ๆ คือ ต้องมีฝาพลาสติกใสปิดทับอยู่ด้านบน ด้านข้างต้องมีตัวหนังสือภาษาไทย มีวันผลิต และวันหมดอายุที่กล่องกับขวดต้องตรงกัน และระบุว่านำเข้าโดยบริษัทใดครับ ซึ่งสังเกตได้ดังนี้

  • มีซีลใส ป้องกันการเปิด
  • มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทย ภายในกล่อง
  • มีเลข Lot. ตรงกัน 2 จุด คือ เลข Lot. ที่กล่อง และเลข Lot. ที่ขวด
  • ตัวยาโบท็อกเป็นผลึกยาอยู่ที่ก้นขวด ไม่มีน้ำ ต้องใส่น้ำเกลือแล้วดูดยาออกมา
  • สามารถโทรเช็กเลข Lot. กับบริษัทนำเข้าได้
  • ตรวจสอบเลขทะเบียนตำรับยาได้กับเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  

โบท็อกราคาถูก โบท็อกบุฟเฟต์ ไม่จำกัดยูนิต สามารถฉีดได้ไหม ?

โบท็อกราคาถูก โบท็อกบุฟเฟต์ ไม่จำกัดยูนิต สามารถฉีดได้ไหมปัจจุบันแต่ละคลินิกจะออกโบท็อกราคาโปรโมชันมาแข่งขันกันค่อนข้างสูง หากสำรวจจากคลินิกหลาย ๆ แหล่ง จะเห็นว่ามีโปรฉีดโบลดกรามเหมาจ่าย, โปรโบท็อกลดริ้วรอยเหมาทั้งหน้า หรือฉีดโบท็อกลดกรามไม่จำกัดยู

แล้วคำถามที่ว่าถ้าเจอโบท็อกราคาถูก โบท็อกบุฟเฟต์ ไม่จำกัดยูนิต สามารถฉีดได้ไหม ? คำตอบ คือได้ครับ เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่ามีการตรวจสอบว่าโบท็อกที่ใช้นั้นเป็นโบท็อกแท้หรือไม่ และใครเป็นคนฉีด

ซึ่งถ้าเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน ส่วนใหญ่โบท็อกราคาจะไม่ต่างกันมาก เพราะมีราคาต้นทุนใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเจอโปรโมชั่นโบท็อกราคาถูกมาก ๆ อาจเป็นไปได้ว่าคลินิกนั้นใช้โบท็อกปลอม หรือบางคลินิกหัวหมอเอาโบท็อกเกาหลีที่ราคาถูกกว่ามาใส่ขวด Botox Allergan ขายแทน ซึ่งถ้าจัดเก็บไม่ดีจะทำให้ คุณภาพของโบท็อกเสื่อม อย่างดีอาจฉีดแล้วไม่เห็นผล แต่อย่างร้ายคือทำให้หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยวหรือหนังตาตกได้ครับ 


เลือกฉีดโบท็อกราคาอย่างไรให้เหมาะสม พิจารณาอะไรบ้าง ? 

เลือกฉีดโบท็อกราคาอย่างไรให้เหมาะสม พิจารณาอะไรบ้าง

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการ ได้มาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข
  • เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และเป็นแพทย์จริง สามารถเอาชื่อนามสกุลเข้าไปตรวจในเว็บไซต์ของแพทยสภา (http://www.tmc.or.th/check_md/ ) เพื่อดูว่าเป็นหมอจริงหรือไม่ 
  • ใช้โบท็อกแท้เท่านั้น การฉีดโบท็อกปลอมจะทำให้เกิดอาการดื้อโบท็อก (ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา) 
  • และเพื่อการยืนยันว่าเป็นโบท็อกแท้จริง ๆ ก่อนฉีดทุกครั้งคุณหมอควรแกะแกะกล่องและเปิดขวดใหม่ให้ดูต่อหน้า และควรอนุญาตให้คนไข้สามารถนำกล่องกลับบ้านไปเช็คกับบริษัทที่นำเข้าได้ภายหลัง
  • ดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ ควรพิจารณาจากรีวิวที่เป็นคลิปวิดิโอเปรียบเทียบ ก่อน-หลังทำด้วย เพื่อประกอบการตัดสินใจเข้ารับการรักษาได้อย่างมั่นใจว่าจะปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี
  • คลินิกมีการให้ข้อมูลรายละเอียดอย่างครบถ้วน ชัดเจน ตรงไปตรงมา คุณหมอช่วยให้คำแนะนำต่าง ๆ แก่คนไข้โดยตรง เช่น การดูแลตัวเองก่อน–หลังฉีดโบท็อก รวมทั้งมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลภายหลังจากฉีดเสร็จแล้ว

สรุป

การฉีดโบท็อกราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ มีความปลอดภัยและเห็นผลชัดเจนมากครับ ถ้าเลือกฉีดถูกที่ ถูกวิธีก็รับประกันว่าจะได้ผลที่คุ้มค่าแน่นอน

ก่อนตัดสินใจฉีดแนะนำให้เปรียบเทียบ Botox ราคากับหลาย ๆ คลินิก เพราะฉีดโบท็อกราคาแต่ละคลินิก แต่ละตำแหน่ง ราคาจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อก และปริมาณที่ใช้ แต่นอกจากปัจจัยในเรื่องของราคา ควรพิจารณามาตรฐานของคลินิก และประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีดประกอบกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติที่สุดครับ

เจาะลึก ไฮยาลูรอน คืออะไร ? ช่วยอะไร ? นำมาใช้ประโยชน์ด้านใดบ้าง ?

0
ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของโครงสร้างผิว โดยเฉพาะเรื่องความชุ่มชื้นและริ้วรอย ซึ่งถ้าหากร่างกายมีไฮยาลูรอนไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ไม่แข็งแรง ไม่มีความยืดหยุ่น และทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น 

ทำไมไฮยาลูรอน ถึงสำคัญกับผิวของมนุษย์ ?  ถ้าร่างกายขาดไฮยาลูรอน จะเกิดอะไรขึ้น ? ที่มาของไฮยาลูรอนและหน้าที่ของไฮยาลูรอน ช่วยอะไรบ้าง ? ในบทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับไฮยาลูรอนให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีใช้ไฮยาลูรอน ให้เห็นผล วิธีไหนดีสุด ? ติดตามอ่านพร้อมกันได้ครับ

เข้าใจเกี่ยวกับไฮยาลูรอน คืออะไร ?

ไฮยาลูรอน คืออะไร

ที่มาของไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน หรือ กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า “HA” เป็นโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ชื่อว่า Polysaccharide ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ (Polymer) ที่สามารถเชื่อมโยงองค์ประกอบทางเคมีอื่น ๆ เข้าด้วยกัน โดยสารไฮยาลูรอนนี้เป็นสารสำคัญที่มีอยู่แล้วในร่างกาย และร่างกายสามารถสร้างขึ้นในชั้นผิวหนังแท้ พบได้ทั่วไปกว่า 80% ในชั้นโครงสร้างผิวครับ

โครงสร้างและหน้าที่ของไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน คือ กรดที่ทำหน้าที่ยึดคอลลาเจนและอีลาสตินยึดเข้าไว้ด้วยกัน มีลักษณะโครงสร้างเป็นโมเลกุล เล็ก ๆ ที่มีความซับซ้อนคล้ายสายโซ่ยาว หลายหน่วยเชื่อมต่อกันจนกลายเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ เรียกว่า พอลิเมอร์ (Polymer) 

โมเลกุลเหล่านี้จะทำให้สารเคมีเกาะติดกันได้ จึงมีส่วนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น กักเก็บน้ำ และความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย ป้องกันการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น ริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยใต้ตา รวมถึงมีการนำไฮยาลูรอนมาใช้สำหรับรักษาโรคข้อต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสี เช่น ข้อต่อ ข้อเข่า 

ไฮยารูลอน คือ

แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตไฮยาลูรอนได้น้อยและช้าลง โดยค่าเฉลี่ยของคอลลาเจนจะเริ่มเสื่อมตามวัยเฉลี่ย 1.5% ต่อปีในคนที่อายุ 25 และจะเพิ่มเป็น 20-30% เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ในช่วงเวลานี้เราจะเริ่มเห็นปัญหาผิวต่าง ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ผิวขาดความยืดหยุ่น หย่อนคล้อย แห้งกร้าน ไม่เต่งตึงและกระชับเหมือนก่อน ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย จนนำไปสู่การเกิดปัญหาร่องลึกในอนาคตได้ครับ 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าไฮยาลูรอนมีความสัมพันธ์กับผิวโดยตรง โดยเฉพาะช่วยเรื่องความยืดหยุ่น กระชับ และความชุ่มชื้นของผิว ดังนั้นในทางการแพทย์จึงมีการคิดค้นสังเคราะห์ไฮยาลูรอนขึ้นมาเพื่อทดแทนในส่วนที่ร่างกายสร้างขึ้นได้น้อยลง และช่วยรักษาคุณภาพของผิวไว้ ซึ่งในทางการแพทย์ได้นำไฮยาลูรอนมาใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านครับ เช่น ในด้านความงาม, รักษาโรค, สกินแคร์ รวมถึงวิตามินหรือยาต่าง ๆ 

ประโยชน์ของการใช้ไฮยาลูรอน

ประโยชน์ของการใช้ไฮยาลูรอนสามารถนำมาใช้ได้หลายด้าน ทั้งเพื่อรักษาโรค, ใช้กับหนังศีรษะ, ใช้สำหรับผิวหน้า และที่นิยมมากที่สุด คือ นำมาฉีดเพื่อปรับรูปหน้า เสริมความงามครับ 

ประโยชน์สำหรับผิวหน้า

ไฮยาลูรอน เป็นสารที่มีคุณสมบัติเด่นด้านการอุ้มน้ำ โดยสามารถอุ้มน้ำได้กว่า 1,000 เท่า ของน้ำหนักตัวสารจึงมีประโยชน์สำหรับผิวหน้า คือ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เติมน้ำให้ผิว และรักษาระดับความชุ่มชื้น เพื่อให้ผิวเนียนนุ่มและมีความยืดหยุ่น เมื่อผิวมีไฮยาลูรอนเพียงพอก็จะช่วยเรื่องความยืดหยุ่น ผิวเรียบเนียน ลดและชะลอการเกิดริ้วรอยได้ครับ

นอกจากนี้ในวงการเสริมความงามยังมีการนำสารไฮยาลูรอนมาใช้ฉีดปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย เพื่อชะลอวัย คงความอ่อนเยาว์อีกด้วยครับ ซึ่งในทางการแพทย์จะเรียกว่าฟิลเลอร์ ใครที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้า คงความอ่อนเยาว์ ในบทความนี้ได้มีการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ สามารถติดตามอ่านเพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นครับ 

ประโยชน์สำหรับผม

ไฮยาลูรอนที่นำมาใช้สำหรับผม ส่วนใหญ่จะทำมาในรูปแบบเซรัม แชมพู ครีมนวด ทรีทเมนต์ครับ ซึ่งจะนำมาใช้เพื่อป้องกันการหลุดร่วง เสริมความแข็งแรงของเส้นผม รวมถึงช่วยแก้ปัญหาผมแห้งเสีย ผมชี้ฟู แตกปลาย ลดอาการหนังศีรษะแห้งลอก เพราะขาดความชุ่มชื้น

ประโยชน์สำหรับรักษาโรค

องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติให้มีการใช้ไฮยาลูรอนเพื่อรักษาโรคได้ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม  ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่, การป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก, ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดบริเวณข้อ

รักษาตาต้อกระจก โดยไฮยาลูรอนจะเข้าไปเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสี ไม่เกิดความเสียหายจากการเสียดสีกัน 

นอกจากนี้ยังสามารถนำไฮยาลูรอนมาใช้รักษาโรคภายนอกได้ครับ เช่น นำมารักษาแผลในปาก ช่วยสมานแผลและบรรเทาอาการแผลไฟไหม้ และยาหยอดตาเพื่อ ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคืองในลูกตาสำหรับคนที่มีปัญหาตาแห้ง

ผู้ที่เหมาะสมในการเริ่มใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์

  • ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ เหมาะกับคนที่ใบหน้ามีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า มีผิวแห้งกร้าน รวมถึงมีร่องลึกจากการยุบตัวของกระดูก เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องน้ำหมาก 
  • เหมาะกับคนที่รูปหน้าไม่ได้สัดส่วน หน้าไม่สมมาตร เช่น มีคางสั้น ขมับตอบ ขมับยุบ หรือมีปัญหาปากไม่เท่ากัน 
  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ต้องการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น
  • เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก ต้องการเติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้นโดยไม่ทิ้งรอยแผล 
  • เหมาะกับคนที่ต้องการรักษาสภาพผิวให้คงความอ่อนเยาว์ และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต

วิธีการใช้ไฮยาลูรอน

1. วิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

วิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

วิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า หรือที่เราเรียกกันว่าฟิลเลอร์ คือ ไฮยาลูรอนสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อทดแทนไฮยาลูรอนที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยเติมเต็มในส่วนโครงสร้างผิว และคอลลาเจนที่ร่างกายสูญเสียไป 

จุดประสงค์ที่ใช้ในการฉีดก็เพื่อแก้ปัญหาร่องลึก ลดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือฉีดปรับรูปหน้า ฉีดคางเสริมคางยาว ฉีดปากปรับทรงปาก ฉีดขมับ ฉีดหน้าผาก ฉีดแก้มส้ม รวมถึงฉีดฟิลเลอร์    ปรับสภาพผิว บำรุงผิวชุ่มชื้นถึงผิวชั้นใน หลังฉีดผิวจะตึงกระชับ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ข้อดีของวิธีการฉีดไฮยาลูรอนบนผิวหน้า คือ หลังฉีดจะเห็นผลลัพธ์ทันที คงอยู่ได้นาน 6-24 เดือน ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น เมื่อฟิลเลอร์สลายก็สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ ซึ่งถ้าเทียบกับการทาครีมที่มีกรดไฮยาลูรอนแบบทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ดีกว่ามากครับ

ปัจจุบันมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อให้เลือกใช้ ฟิลเลอร์ยี่ห้อที่นิยม เช่น ฟิลเลอร์ Juvederm อเมริกา, ฟิลเลอร์ Restylane สวีเดน, ฟิลเลอร์ Belotero สวิตเซอร์แลนด์, ฟิลเลอร์ Definisse อิตาลี, ฟิลเลอร์ Flore Max เกาหลี เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติที่ต่างกันไปตามเทคโนโลยีและขั้นตอนการผลิต 

ดังนั้นหากถามว่าใช้ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ในเบื้องต้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุดครับ เพราะ เราไม่สามารถพิจารณาแค่คุณสมบัติทางกายภาพเพียงข้อใดข้อนึงได้ ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ว่าปัญหาผิวหน้าของเรานั้นเกิดจากการยุบตัวของผิวชั้นไหน ตำแหน่งไหน เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว แพทย์จะเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเนื้อเดิมของเรามากที่สุด ซึ่งจะเป็นการแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง เพื่อให้ผลออกมาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดครับ

Fact : ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์  ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ เพื่อช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียง อย่าง ฟิลเลอร์ เป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เน่า

2. วิธีการทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

วิธีการทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า

การทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า เป็นอีกหนึ่งวิธีเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าที่ได้รับความนิยมครับ เพราะหาซื้อง่าย มีราคาไม่แพง แต่ต้องใช้ความถี่และระยะเวลาในการเห็นผลที่นานกว่าการฉีด ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบครีม เซรัม มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizers) 

สำหรับวิธีการทาไฮยาลูรอนบนผิวหน้า แนะนำว่าควรทาทุกวันเช้า เย็น โดยทาทั่วหน้าและลำคอ  หลังจากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้ซึมเข้าสู่ผิวไปเอง ปิดท้ายด้วยการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อล็อกความชุ่มชื้นในชั้นผิวครับ

3. วิธีการใช้ไฮยาลูรอนบนผม

ไฮยาลูรอนผม

การใช้ไฮยาลูรอนบนผม จะช่วยให้ผมดูมีน้ำหนักสุขภาพดีขึ้น เหมาะกับคนที่ผ่านการทำเคมี ยืดผม ย้อมสีผม หรือคนที่ต้องการบำรุงผมแห้งชี้ฟูให้กลับมาดูเงางาม ลดผมขาดหลุดร่วง วิธีการใช้ไฮยาลูรอนบนผมสามารถใช้ได้หลายแบบครับ ทั้งใช้ในขั้นตอนการสระผมตอนผมเปียก หรือใช้ตอนผมเปียกหมาด ๆ ใช้แบบวันเว้นวัน หรือใครที่ต้องการฟื้นฟูผมแบบขั้นสุด ก็ใช้ได้ทุกวันเพื่อผมที่เงางามมากยิ่งขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์

ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ เป็นสารที่มีความปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวังและข้อจำกัดในการใช้ครับ โดยไฮยาลูรอนฟิลเลอร์จะไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมถึงผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นเร็วกว่าปกติได้

ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ใช้ได้กับทุกสภาพผิวหรือไม่ ?

ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวและมีความจำเป็นต่อผิวหน้าในทุกเพศ ทุกวัยครับ เพราะถ้าใบหน้ามีไฮยาลูรอนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ไม่แข็งแรง ใบหน้าแห้งกร้าน ขาดน้ำ หน้าลอกเป็นขุย แต่งหน้าไม่ติด เมื่อทาครีมจะรู้สึกว่าครีมไม่ซึมลงผิว ทาครีมแล้วไม่ค่อยได้ผล ซึ่งถ้าหากเราปล่อยให้ผิวขาดไฮยาลูรอนมาก ๆ จะส่งผลให้เกิดริ้วรอย ร่องลึก และทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น

ผลการใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์เป็นอย่างไร ?

ผลการใช้ไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ หลังฉีดริ้วรอยร่องลึกจะตื้นขึ้นทันทีครับ ซึ่งคุณสมบัติของไฮยาลูรอนฟิลเลอร์ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังสามารถฉีดฟิลเลอร์ปรับแก้ไขรูปหน้าให้สวยงามได้ เช่น ปรับคางให้ดูยาวขึ้น แก้ปัญหาคางตัด คางถอย และช่วยปรับรูปปากกระจับ ปากสายฝอ ปากสายเกา และทรงอื่น ๆ ตามต้องการได้ รวมถึงฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว เติมเต็มหลุมสิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียน เต่งตึง ชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น

สรุป

ไฮยาลูรอนจัดเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง  มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งใช้บำรุงผิวพรรณ รักษาป้องกันโรค และที่นิยมเลย คือ นำมาใช้ในวงการความงามเพื่อการชะลอวัย ซึ่งจากข้อมูลในบทความนี้จะเห็นได้ว่าไฮยาลูรอนนั้นมีหลายชนิด และมีการใช้งานต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีปัญหาแบบไหน สภาพผิวเป็นอย่างไร 

แต่สำหรับใครที่ต้องการฟื้นบำรุงผิวแบบเร่งด่วน เห็นผลทันที มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัย ในบรรดาวิธีการใช้ไฮยาลูรอนทั้งหมด การฉีดไฮยาลูรอนฟิลเลอร์จะเป็นวิธีตรงจุด เห็นผลลัพธ์คุ้มค่า คุ้มราคาที่สุดครับ

กรดไหลย้อนหายได้! รวมยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 แบบซอง ที่ดีที่สุด

0

กรดไหลย้อนเป็นปัญหาที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน โดยอาการไม่สบาย เช่น แสบร้อนกลางอกหรือเรอเปรี้ยว อาจสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหานี้ได้ การเลือกใช้ยาแก้กรดไหลย้อนที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งในปัจจุบัน ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 มีตัวเลือกยาแก้กรดไหลย้อนแบบซองจากหลายยี่ห้อ ที่สามารถซื้อได้ง่ายและสะดวกในการใช้งาน โดยยาที่จำหน่ายเหล่านี้มักจะมีสูตรที่ช่วยบรรเทาอาการได้ทันที ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างรวดเร็ว

ในบทความนี้เราจะพามารู้จักสรรพคุณของยาแก้กรดไหลย้อน พร้อมแนะนำยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 แบบซองชนิดน้ำพร้อมดื่มที่หาซื้อได้ใกล้บ้านคุณ

สรรพคุณของยาแก้กรดไหลย้อน

ยารักษากรดไหลย้อนมักถูกใช้เพื่อลดอาการที่เกิดจากกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นสภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาถึงหลอดอาหารหรือลำไส้ตรง ส่งผลให้มีอาการเจ็บแสบหน้าอกยาแก้กรดไหลย้อนมีหลายชนิด แบ่งตามตัวยาออกฤทธิ์ ได้แก่ Sodium Alginate, Sodium Bicarbonate และ Calcium Carbonate เป็นสารประกอบที่มีฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะอาหารโดยออกฤทธิ์แตกต่างกันไป สรรพคุณของยาแก้กรดไหลย้อนแบ่งออกได้ดังนี้

  • บรรเทาอาการกรดไหลย้อน เช่น แสบร้อนกลางอก จุกแน่นลิ้นปี่ รู้สึกเปรี้ยวปาก
  • บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย อาการปวดหรืออึดอัดบริเวณท้องด้านบนส่วนกลางหรือบริเวณลิ้นปี่ ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง จุกเสียด
  • บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะอาหาร สามารถบรรเทาอาการจากโรคกระเพาะได้ โดยออกฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งกรดในกระเพาะอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคกระเพาะ ยาแก้กรดไหลย้อนมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคกระเพาะเบื้องต้นได้
  • บรรเทาอาการกรดเกิน สภาวะที่มีการสร้างกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปหรือมีการไหลย้อนของกรดมากเกินไป เรอเปรี้ยว อาการปวดบวม อาหารไม่ย่อย

เมื่อมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ท่านสามารถหาซื้อยาแก้กรดไหลย้อนได้ตามร้านขายยา ร้านค้าทั่วไป หรือซื้อยาแก้กรดไหลย้อน 7 11ก็ง่ายและสะดวกดี

แนะนำยาแก้กรดไหลย้อนแบบซองใน 7-11

สำหรับใครที่อยากซื้อยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกยี่ห้อไหนดี วันนี้เรามีมาแนะนำให้ 2 ยี่ห้อยาแก้กรดไหลย้อนใน 7-11 แบบซองพร้อมทาน

Belcid Gerd (เบลสิด เกิร์ด)

Belcid Gerd เบลสิด เกิร์ด - กรดไหลย้อนหายได้! รวมยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 แบบซอง ที่ดีที่สุด

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11  ยี่ห้อ Belcid GERD (เบลสิด เกิร์ด) เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Biopharm มีฤทธิ์ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อน บรรเทาอาการแสบร้อนบริเวณทรวงอก จุกเสียด ท้องอืด อาหารไม่ย่อยที่เกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร ยาลดกรดไหลย้อนชนิดน้ำรสราสป์เบอร์รี ทานง่ายได้ทุกวัย (เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป) ช่วยสร้างเจลในกระเพาะเพื่อไปยับยั้งอาการกรดไหลย้อน

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 Belcid GERD  มีส่วนประกอบสำคัญได้แก่ Sodium Alginate, Sodium Bicarbonate และ Calcium Carbonate โดยยาลดกรดชนิด Sodium Alginate และ Sodium Bicarbonateทำหน้าที่ออกฤทธิ์เร็ว บรรเทาอาการกรดไหลย้อนอย่างเฉียบพลันภายใน 5 นาทีหลังจากรับประทานยา ส่วน Calcium carbonate ช่วยให้ออกฤทธิ์นานมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาและรักษาทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารดีขึ้น

รับประทานเพียงครั้งละ 10-20 มิลลิลิตร (1-2 ซอง) วันละ 4 ครั้ง รับประทานหลังอาหาร ตัวยาเป็นชนิดน้ำควรเขย่าซองก่อนรับประทานยา ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 ต้อง Belcid GERD

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11  ยี่ห้อ Belcid GERD ราคาซองละ 19 บาท

Gaviscon Dual Action (กาวิสคอน ดูอัล แอคชั่น)

Gaviscon Dual Action กาวิสคอน ดูอัล แอคชั่น - กรดไหลย้อนหายได้! รวมยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 แบบซอง ที่ดีที่สุด

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 อีกหนึ่งยี่ห้อที่แนะนำคือ Gaviscon Dual Action (กาวิสคอน ดูอัล แอคชั่น) ผลิตภัณฑ์ยาแก้กรดไหลย้อน ผลิตโดย บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ เฮลธ์แคร์ สรรพคุณมีฤทธิ์ในการลดกรดปรับสภาพกรดในกระเพาะอาหารให้เป็นกลาง แล้วยังบรรเทาอาการอันเนื่องมาจากกรดอีกด้วย เช่น อาการแสบร้อนกลางอก อาหารไม่ย่อย โดยสูตร Dual action พิเศษกว่าคือจะมีปริมาณตัวยาที่ใช้ในการลดกรดมากกว่าสูตรปกติ มีปริมาณ 10 มิลลิลิตร รสมิ้นต์ ทานได้ตั้งแต่เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป รับประทาน 1-2 ซอง วันละ 4 เวลา หลังอาหารและก่อนนอน

ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 ยี่ห้อ Gaviscon Dual Action ราคาซองละ 25 บาท

วิธีกินยาแก้กรดไหลย้อน

วิธีกินยาแก้กรดไหลย้อน - กรดไหลย้อนหายได้! รวมยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 แบบซอง ที่ดีที่สุด

หลังจากที่ได้แนะนำ ยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 แบบซองยี่ห้อต่าง ๆ กันไปแล้ว บางคนอาจจะยังสงสัยเกี่ยวกับวิธีกินยาแก้กรดไหลย้อนอยู่ มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน

วิธีกินยาแก้กรดไหลย้อน แบบซอง มีดังนี้

  • อ่านฉลากยาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • เขย่าซองยาก่อนใช้
  • เทยาลงในช้อนชาและรับประทานทันที
  • หากยามีรสขมหรือฝาด อาจดื่มน้ำตามได้

ปริมาณยาและระยะเวลาในการรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนแบบซองใช้รับประทานครั้งละ 1 ซอง วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10-20 มิลลิลิตร (2-4 ช้อนชา) หรือตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

ข้อควรระวังในการรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนแบบซอง

  • ไม่ควรรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนมากกว่าที่ระบุบนฉลากยา
  • ไม่ควรรับประทานยาแก้กรดไหลย้อนร่วมกับยาอื่น ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ผู้ที่แพ้ยาใด ๆ ควรอ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนรับประทาน
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาแก้กรดไหลย้อน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาแก้กรดไหลย้อน

เป็นกรดไหลย้อนห้ามกินอะไร?

ผู้ที่เป็นกรดไหลย้อนควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูง อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ได้แก่ อาหารทอด อาหารมัน อาหารรสจัด เช่น ส้มตำ ยำเผ็ด ๆ อาหารที่มีเครื่องเทศมาก และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงแอลกอฮอล์

และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารจุบจิบ และรับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ควรรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ถ้ามีอาการกรดไหลย้อนสามารถหาซื้อยาแก้กรดไหลย้อนที่ 7 11

แก้อาการกรดไหลย้อนแบบเร่งด่วนอย่างไร?

ถ้าคุณกำลังประสบกับอาการกรดไหลย้อนอย่างรุนแรง เป็นกรดไหลย้อนกินยาอะไรดีถึงจะแก้ได้แบบเฉียบพลันได้นั้น คุณสามารถเลือกรับประทานยาลดกรดไหลย้อนแบบซองชนิดน้ำจะช่วยระงับการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารได้ทันที หาซื้อยาแก้กรดไหลย้อน 7 11 หรือร้านขายยาทั่วไป

สรุปยาแก้กรดไหลย้อน 7-11

พฤติกรรมการกินของคนที่ชอบกินอาหารไม่ตรงเวลา กินจุบจิบตลอดทั้งวัน ชอบกินมื้อดึกตอนกลางคืนหรือกินข้าวเสร็จแล้วไม่รอให้อาหารย่อยก่อนไปนอน พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดกรดไหลย้อน เกิดความทรมานในร่างกาย อย่างอาการแสบร้อนทรวงอก เรอเปรี้ยว แน่นจุกเสียดท้อง จนต้องซื้อยาแก้กรดไหลย้อนใน 7 11 มาบรรเทาอาการ เพราะฉะนั้นการปรับพฤติกรรมการกินและการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมจะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้นได้