Home Blog Page 99

สูตรแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ หอมอร่อย ทำเองได้

0
สูตรแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ หอมอร่อย ทำเองได้
สูตรแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน
แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นการแปรรูปผลไม้ โดยการใช้น้ำตาลความเข้มข้นสูง โดยการนำผลไม้ผสมกับน้ำตาลด้วยความร้อนจนข้นเหนียวพอเหมาะ

แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ (Karanda jam) คือ ของหวานที่ทำจากการนำมะม่วงหาวมะนาวโห่ไปกวนกับความร้อน ผสานน้ำตาลและเกลือจนเป็นเนื้อหนืดข้น ซึ่งเป็นวิธีการถนอมอาหารแบบดั้งเดิมของคนโบราณ สามารถนำมาใช้ทาขนมปังเพิ่มรสชาติให้อร่อย หรือใช้ชงเป็นน้ำดื่มทั้งแบบร้อนและเย็นก็ได้เช่นกัน

วัตถุดิบที่ต้องเตรียมก่อนทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

  • วัตถุดิบที่ต้องเตรียมก่อนทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ (คัดเฉพาะผลสีแดงนำมาผ่าครึ่งแกะเมล็ดออก แล้วนำไปแช่น้ำเปล่า เติมเกลือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ล้างยางออกให้หมดประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความขมของยาง แล้วแช่น้ำปูนใสประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นตักขึ้นใส่ภาชนะที่มีรูให้มะม่วงหาวมะนาวโห่สะเด็ดน้ำ)
  • น้ำปูนใส
  • เครื่องปั่นน้ำผลไม้
  • ขวดแก้วสำหรับบรรจุแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ (ควรทำความสะอาดบรรจุภัณฑ์ โดยนำไปต้มในน้ำร้อนเป็นการฆ่าเชื้อโรคก่อน)

ส่วนผสมทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

1. มะม่วงหาวมะนาวโห่ (ผลสีแดง) 500 กรัม
2. เกลือ 1-2 ช้อนชา
3. น้ำตาลทราย 500 กรัม
4. น้ำปูนใส 500 มิลลิลิตร
5. น้ำเปล่า 1500 มิลลิลิตร
6. เจลลาติน 2 เเผ่น หรือ ผงวุ้น 2 ช้อนโต๊ะ

เคล็ดลับ กำจัดยางมะม่วงหาวมะนาวโห่ให้สะอาดก่อนนำไปทำแยม

1. นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่ผ่าครึ่งซีกแล้วนำเมล็ดออกแล้ว โดยแช่เกลือ 1 ครั้ง ครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ เพื่อใช้แช่และล้างยางมะม่วงหาวมะนาวโห่ล้างเกลือ 2-3 ครั้ง
2. หลังจากนั้นควรแช่น้ำปูนใสให้ท่วมมะม่วงหาวมะนาวโห่

วิธีทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

วิธีทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่1. นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่เตรียมไว้ไปปั่นให้ละเอียด
2. นำกระทะขึ้นตั้งไฟ (ใช้ไฟกลางเพื่อลดเวลาในการกวนลง) แล้วเทมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่ปั่นเสร็จแล้วลงไปในกระทะกวนประมาณ 15 นาที แล้วเติมน้ำตาลทราย เกลือ เจลลาติน หรือผงวุ้นลงไปคนต่อให้แห้งเหนียวตามความเหมาะสม ปิดไฟรอให้เย็น
3. ตักแยมใส่ในบรรจุภัณฑ์เพื่อจะได้เก็บรักษาไว้ได้นานยิ่งขึ้น

แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นเมนูที่ทำได้ง่ายๆ สีของแยมที่ทำออกมาชมพูเข้มสดน่ากินมาก ๆ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ยิ่งแช่เย็นแยมเซ็ตตัวดีขึ้น เก็บไว้ทานเป็นของว่างคู่ขนมปังฟินๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง ( Yogurt Dark Chocolate Pudding )

0
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง ( Yogurt Dark Chocolate Pudding )
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง เป็นขนมหวานเนื้อเนียนนุ่มละมุนเหมือนไข่ตุ๋น ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยเป็นเมนูของหวานที่เหมาะกับหน้าร้อนที่สุด
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง ( Yogurt Dark Chocolate Pudding )
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง เป็นขนมหวานเนื้อเนียนนุ่มละมุนเหมือนไข่ตุ๋น ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยเป็นเมนูของหวานที่เหมาะกับหน้าร้อนที่สุด

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง (Yogurt Dark Chocolate Pudding) คือ ขนมหวานยอดฮิตที่มีรสหวานหอมชวนรับประทาน เนื้อเนียนนุ่มละมุนเหมือนไข่ตุ๋น เป็นสูตรขนมง่าย ๆ ส่วนผสมน้อย ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยเป็นเมนูของหวานที่เหมาะกับหน้าร้อนที่สุด

โภชนาการโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

แคลอรี่ 246 kcal คาร์โบไฮเดรต 21 กรัม โปรตีน 13 กรัม ไขมัน 11 กรัม ไขมันอิ่มตัว 6 กรัม คอเลสเตอรอล 9 มิลลิกรัม โซเดียม 62 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 380 มิลลิกรัม ไฟเบอร์ 2 กรัม น้ำตาล 15 กรัม วิตามินเอ 45 IU แคลเซียม 181 มิลลิกรัม เหล็ก 3 มิลลิกรัม

ขั้นตอนการทำเมนูโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
1. ชาม ขนาดกลาง สำหรับผสมส่วนผสมทั้งหมด
2. หม้อหรือกระทะ ขนาดกลาง
3. พลาสติกห่ออาหาร
4. แก้วน้ำทรงกลม

ส่วนผสมโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

1. โยเกิร์ต 285 กรัม
2. ดาร์กช็อกโกแลตสับ 2 ช้อนโต๊ะ
3. สารสกัดวานิลลา ½ ช้อนชา
4. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
5. นมจืด 3 ถ้วยตวง

วิธีทำโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

1. นำหม้อตั้งไฟกลางเทนม ดาร์กช็อกโกแลต วานิลลา น้ำผึ้งคนจนละลายเข้ากันดี
2. เทส่วนผสมลงในชามแล้วใส่โยเกิร์ตลงไป ค่อยๆคนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
3. ตักดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งใส่ในแก้วน้ำทรง คลุมด้วยพลาสติกห่ออาหาร
แล้วนำเข้าไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาพักไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง รอให้ดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งเซ็ทตัวก่อน
4. นำดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งออกจากตู้เย็น ตกแต่งหน้าด้วยท็อปปิ้งที่ต้องการแล้วเสิร์ฟทันที

วิธีเก็บรักษา

ควรเก็บไว้ดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งในตู้เย็น จะทำให้เก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้งสูตรนี้นอกจากได้ความหอมอร่อยแล้ว ยังได้สุขภาพที่ดีด้วย ซึ่งวิธีทำก็ไม่ยากอย่าลืมลองทำทานกันดูนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต ( Raspberry Smoothie Yogurt )

0
ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต (Raspberry Smoothie Yogurt)
ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต คือ เครื่องดื่มอีกประเภทของคนรักสุขภาพหลายคน และเป็นเมนูที่ทำได้ง่ายๆใช้เพียงแค่ใส่ผลราสเบอร์รี่ลงในเครื่องปั่นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต (Raspberry Smoothie Yogurt)
ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต เมนูที่ทำได้ง่ายๆใช้เพียงแค่ใส่ผลราสเบอร์รี่แช่แข็ง และโยเกิร์ตลงในเครื่องปั่นก็ได้น้ำเพื่อสุขภาพดื่มกันแล้ว

ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต

ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต ( Raspberry Smoothie Yogurt ) คือ เครื่องดื่มอีกประเภทของคนรักสุขภาพหลายคน และเป็นเมนูที่ทำไม่ยาก เพียงแค่ใส่ผลราสเบอร์รี่ลงในเครื่องปั่นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย บางสูตรอาจมีรสชาติไม่ถูกปาก ซึ่งการรับประทานผลไม้ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะทำมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ขั้นตอนการทำราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต

เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต

  • เครื่องปั่นน้ำผลไม้
  • น้ำแข็ง
  • ราสเบอร์รี่แช่แข็ง
  • แก้วน้ำทรงสูง

ส่วนผสมราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต

1. ราสเบอร์รี่ 150 กรัม
2. น้ำเชื่อม 150 กรัม
3. น้ำแข็ง 1 ถ้วย
4. โยเกิร์ตธรรมชาติ 140 กรัม

วิธีการทำราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต

1. นำราสเบอร์รี่ น้ำเชื่อม น้ำแข็ง ใส่ลงในโถแล้วปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน ตักใส่แก้วทรงสูงพักทิ้งไว้
2. นำโยเกิร์ตตักใส่ในแก้วราสเบอร์รี่ปั่นเมื่อสักครู่ จากนั้นใช้หลอดคนเล็กน้อนให้เกิดลวดลายพอสวยงามเพียงเท่านี้ถือว่าเป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ตได้เลย ในเมนูราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต

บทความนี้จะเป็นสูตรราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต ซึ่งสามารถพลิกแพลงสูตรต่างๆ ได้โดยใช้ผลไม้นานาชนิดและสารให้ความหวานประเภทต่างๆ หากต้องการทำสมูทตี้มากกว่า 1 แก้ว ควรแยกทำหลายๆ ครั้ง เพิ่มส่วนผสมเป็น 2 เท่า เพราะโถปั่นอาจจะไม่สามารถรองรับปริมาณส่วนผสมทั้งหมดได้ และถ้าเติมเนยถั่วหรือเนยอัลมอนด์เพื่อให้สมูทตี้มีรสชาติเข้มข้นขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พืชกระท่อม สรรพคุณทางยา

0
พืชกระท่อม สรรพคุณทางยา
กระท่อม เป็นยาสามัญประจำบ้านรักษาการติดเชื้อในลำไส้ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดไข้ บรรเทาอาการไอและท้องร่วง ใช้ได้ทั้งใบสดและแห้ง
พืชกระท่อม สรรพคุณทางยา
กระท่อม เป็นยาสามัญประจำบ้านรักษาการติดเชื้อในลำไส้ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดไข้ บรรเทาอาการไอและท้องร่วง ใช้ได้ทั้งใบสดและแห้ง

กระท่อม

พืชกระท่อม (Kratom) หรือ Mitragyna speciosa (Korth.) HaviL. คือ พรรณไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งในวงศ์ Rubiaceae ถูกนำมาใช้เป็นยาสามัญประจำบ้านมานานหลายร้อยปีแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เนื่องจากใบกระท่อมก้านแดง และใบกระท่อมก้านเขียวมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดเหมือนยาออกฤทธิ์ต่อจิต ระบบประสาท บางคนใช้ใบกระท่อมแก่ผสมยาแก้ไอผสมโคเดอีนสารเสพติดชนิด 4×100

ชนิดใบกระท่อม

ใบกระท่อมถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่

1. พืชกระท่อมก้านแดง
2. พืชกระท่อมก้านเขียว (แตงกวา)
3. พืชกระท่อมขอบใบหยัก (ยักษ์ใหญ่, หางกั้ง)

สารสำคัญในใบกระท่อมออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

จากการศึกษาวิจัยพบว่าสารเคมีที่พบในพืชกระท่อมมีหลากหลายกลุ่ม เช่น alkaloids, flavonoids, triterpenes, phenolic compounds โดยสารกลุ่ม indole alkaloids เป็นสารกลุ่มใหญ่ที่พบในพืชกระท่อม และมีสารสำคัญหลัก คือ สารไมทราไจนีน (mitragynine) เป็นแอลคาลอยด์ที่พบมากที่สุดในใบกระท่อมของไทยสูงถึงร้อยละ 66 เมื่อเทียบกับปริมาณสารสกัด alkaloids ทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบสาร alkaloids ตัวอื่นๆ ได้แก่ เซเว่นไฮดรอกซี-ไมทราไจนีน (7-hydroxymitragynine) มีฤทธิ์แรงกว่า mitragynine 4 เท่า โครแนนทิดีน (corynantheidine) และสเปคชิโอชิลเลียทีน (speciociliatine) ซึ่งพบว่าออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทคล้ายมอร์ฟีน

ใบกระท่อม สรรพคุณ

จากงานวิจัยพบว่าในใบกระท่อมทำปฏิกิริยากับร่างกายมีผลต่อเซลล์ประสาทบางชนิดในร่างกายในการรับรู้ความเจ็บปวดถูกนำมาใช้รักษาอาการเหล่านี้

  • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น อาการปวดที่ไม่พึงประสงค์เป็นผลจากการบาดเจ็บทางร่างกาย เนื้อเยื่อ ปวดหลัง ระบบประสาท กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็น อาการปวดที่เกิดจากภาวะเรื้อรัง เช่น โรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม มะเร็ง เบาหวาน โรคข้ออักเสบ เป็นต้นโดยไม่คำนึงถึงที่มาความเจ็บปวดจะส่งผลต่อร่างกายทั้งทางร่างกายและจิตใจ
  • ช่วยรักษาอาการไอ
  • ช่วยลดการหลั่งกรด
  • ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้เล็ก
  • ใบกระท่อมก้านแดงช่วยให้มีสมาธิและระงับประสาท
  • ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลและควบคุมอารมณ์ไปในทางที่ดีขึ้น
  • ช่วยในเรื่องการเผาผลาญ
  • ใช้ใบกระท่อมก้านเขียวช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกายในผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์สำคัญของร่างกาย
  • แก้ท้องเสีย
  • แก้ปวดฟัน
  • ใบกระท่อมก้านแดงแก้ท้องร่วง ปวดเบ่ง แก้บิด
  • ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท
  • แก้ปวดเมื่อยร่างกาย
  • ช่วยให้ทํางานทนไม่หิวง่าย
  • ใช้ใช้ใบกระท่อมก้านเขียวเพื่อระงับอาการกล้ามเนื้อกระตุก
  • เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ
  • ช่วยลดความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า

สูตรเคมีโครงสร้างโมเลกุลสารสำคัญที่พบในใบกระท่อม

เคมีโครงสร้างโมเลกุล (Molecular structure) : Mitragynine

สูตรโมเลกุล (Molecular formula) : C23H30N2O4
น้ำหนักโมเลกุล (Molecular weight) : 398.50 g/mol

เคมีโครงสร้างโมเลกุล (Molecular structure) : 7-hydroxymitragynine

สูตรโมเลกุล (Molecular formula) : C23H30N2O5
น้ำหนักโมเลกุล (Molecular weight) : 414.50 g/mol

วิธีใช้ใบกระท่อมในประเทศไทยที่ไม่ผิดกฎหมาย

คนทั่วไปเคี้ยวใบกระท่อมสด 1-3 ใบ หรือบดใบแห้งเป็นผงชงชา หรือต้มน้ำดื่ม สำหรับตนเองได้โดยไม่เป็นความผิดทางอาญา ผลจากการใช้พบว่าหลังเคี้ยวใบกระท่อมไปประมาณ 5-10 นาที จะมีอาการเป็นสุข กระปรี้กระเปร่า ไม่รู้สึกหิวไม่อยากอาหาร ไม่รู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้นานทนแดด ทนร้อนมากขึ้น แต่จะเกิดอาการกลัวหนาวสั่นเวลาอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผู้ใช้ใบกระท่อมจะมีผิวหนังแดง

การใช้กระท่อมในปริมาณที่ปลอดภัย และผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงระยะสั้นของพืชกระท่อม

เนื่องจากสารเคมีในใบกระท่อมในปริมาณต่ำประมาณ 1-5 กรัม จะเกิดผลคล้ายยากระตุ้นจะรู้สึกได้ภายใน 10 นาที และสารเหล่านี้จะอยู่ในร่างกายเป็นเวลา 60-90 นาที อาจมีผลข้างเคียงต่อไปนี้

  • รู้สึกมีพลังงาน และตื่นตัว
  • ความอยากอาหารลดลง หรือน้ำหนักลด
  • รู้สึกผ่อนคล้าย และมีสมาธิ สงบ
  • ท้องผูก
  • ปากแห้ง
  • รู้สึกอึดอัด
  • วิตกกังวล และกระวนกระวายใจ
  • เหงื่อออก และคัน
  • แพ้แดด หรือผิวหนังมีสีเข้มกว่าเม็ดสีปกติ
  • อาการคลื่นไส้ และอาเจียน

ผลข้างเคียงระยะยาวของพืชกระท่อม ส่งผลต่อจิตใจและระบบประสาท

เนื่องจากสารเคมีในใบกระท่อมในปริมาณ 15 กรัม (ทำให้มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดและเป็นยากล่อมประสาท) จะออกฤทธิ์ได้นานหลายชั่วโมง แต่อาจเป็นอันตรายหากใช้ใบกระท่อมเป็นประจำ
อาจมีผลข้างเคียงต่อไปนี้

  • นอนไม่หลับ หรือร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • รู้สึกกระวนกระวาย สับสน
  • เซื่องซึมเคลื่อนไหวช้า
  • ร่าเริ่งผิดปกติ
  • มือสั่น
  • อาการชัก
  • เห็นภาพหลอน
  • ไตเกิดความเสียหาย ทำให้ปัสสาวะมีสีเข้มมาก
  • ผิวหนังเป็นสีเหลือง เกิดจากตับถูกทำลายและทำงานอย่างหนักในการกรองสารพิษออกจากร่างกาย
  • เบื่ออาหารและอดอาหารเป็นเวลานานทำให้อวัยวะล้มเหลวอาจทำให้เสียชีวิตได้

ข้อควรระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ใบกระท่อม

  • สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • ผู้เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือติดสุรา
  • ผู้มีความผิดปกติทางจิต
  • ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
  • กินกระท่อมร่วมกับชุมเห็ดช่วยแก้ท้องผูก หากมีอาการมึนเมา วิงเวียน ซึม จากการกินกระท่อมมากเกิน ให้ดื่มน้ำหรือกินของเปรี้ยว แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

ใบกระท่อมถูกนำมาใช้เป็นยา และเครื่องดื่มยอดนิยมของวัยรุ่นภาคใต้ของประเทศไทย เรียกอีกอย่างว่า ใบกระท่อม 4×100 เป็นส่วนผสมของใบกระท่อมและยาแก้ไอที่มีโคเดอีนหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทคล้ายยาบ้า ซึ่งให้ผลคล้ายกับการดื่มแอลกอฮอล์ บางคนก็นำใบสดมาเคี้ยว หรือใบสดต้มน้ำดื่ม หรือใบแห้งบดชงเป็นชาแม้ใบกระท่อมจะดีต่อสุขภาพหลายด้าน แต่ในขณะเดียวกันนักวิจัยพบหลักฐานมากมายว่าใบกระท่อมมีความเสี่ยงและอัตรายต่อสุขภาพหากใช้ในปริมาณที่สูงหรือมากกว่า 15 กรัมขึ้นไป

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน (blueberry lemon yogurt popsicles)

0
สูตรไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน (blueberry lemon yogurt popsicles)
ไอศครีม (Ice cream) หรือ ไอติม คือ ของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ลิ้นจี่ ส้ม องุ่น เลมอน ทุเรียน มะพร้าว ถั่วดำ ถั่วแดง ช็อกโกแลต หรืออื่นๆ
สูตรไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน (blueberry lemon yogurt popsicles)
ไอศครีม เป็นของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม มะพร้าว ถั่วดำ ถั่วแดง ช็อกโกแลต หรืออื่นๆตามชอบ

ไอศครีม

ไอศครีม (Ice cream) หรือ ไอติม คือ ของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ลิ้นจี่ ส้ม องุ่น เลมอน ทุเรียน มะพร้าว ถั่วดำ ถั่วแดง ช็อกโกแลต หรืออื่นๆ เป็นต้น จากนั้นนำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมที่เย็นจัด เพื่อเติมอากาศเข้าไปพร้อม ๆ กับการลดอุณหภูมิ แล้วแช่แข็งอีกครั้งก่อนนำมาขายหรือรับประทาน

ขั้นตอนการทำไอศครีม

อุปกรณ์

  • เครื่องปั่น
  • แม่พิมพ์ไอติม (แท่ง)

ส่วนผสมสำหรับทำไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน

  • บลูเบอรี่แช่แข็ง 100 กรัม  (หรืออาจเปลี่ยนเป็นผลไม้ตามชอบ)
  • มะนาวเลมอน 1/2 กรัม
  • โยเกิร์ต 100 กรัม
  • น้ำตาลทราย 55 กรัม
  • น้ำเปล่า
  • เกลือป่น

วิธีทำไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน

1. ทำน้ำเชื่อมโดยใส่น้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อม ปิดไฟ พักไว้
2. นำบลูเบอรี่ไปปั่นจนละเอียด
3. เทส่วนผสมบลูเบอรี่ โยเกิร์ต มะนาวปั่นลงในน้ำเชื่อม เติมเกลือลงไปเล็กน้อยแล้วคนผสมให้เข้ากัน
4. นำน้ำเชื่อมบลูเบอรี่ผสมโยเกิร์ตผสมมะนาวไปแช่ตู้เย็นในช่องปกติ อย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือข้ามคืน (ยิ่งดี)
5. เมื่อครบเวลา 4 ชั่วโมง เทส่วนผสมน้ำเชื่อมบลูเบอรี่ผสมโยเกิร์ตผสมมะนาวลงไปในเครื่องปั่นแล้วปั่นให้ละเอียด ประมาณ 30 นาที
6. เทส่วนผสมที่ปั่นเสร็จแล้วใส่ในแม่พิมพ์ไอติมจนหมด
7. นำไปแช่ช่องฟรีซอีก 3-5 ชั่วโมง ถอดไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอนออกจากแม่พิมพ์ไอศครีมจัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

อย่างไรก็ตามในช่วงโควิดแบบนี้ Amprohealth ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพและสำหรับคนที่ทำงานอยู่บ้าน (work from home) ก็สามารถทำเมนูคลายร้อนในฤดูร้อนอย่างไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน ทำทานเองที่บ้านกับครอบครัวขั้นตอนไม่ยุ่งยากส่วนผสม เช่น โยเกิร์ต น้ำตาล ก็หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปและยังเป็นเมนูโปรดของเด็กๆ อย่าลืมลองทำทานกันดูนะค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ขนมไทยหวาน ๆ หอม ๆ

0
สูตรวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ขนมไทยหวาน ๆ หอม ๆ
วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน เป็นขนมหวานของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีความหอมของกะทิและมะพร้าวน้ำหอม ทำให้วุ้นหวาน หอม มัน
สูตรวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ขนมไทยหวาน ๆ หอม ๆ
เป็นขนมหวานของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีความหอมของกะทิและมะพร้าวน้ำหอม ทำให้วุ้นหวาน หอม มัน

วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน

วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ( Coconut-Milk-Jelly ) คือ ขนมหวานของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณที่ใครๆ ก็สามารถกินได้ ด้วยความอร่อยของกะทิและมะพร้าวน้ำหอม ทำให้ได้รสชาติที่หอม หวาน มัน ตัดเค็มเล็กน้อย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของขนมไทยเพราะมีการคัดสรรวัตถุดิบที่สดใหม่และหาได้ง่ายตามท้องตลาดมีส่วนผสมไม่ยุ่งยาก “ วุ้น ” เป็นขนมที่มีแทบทุกงานไม่ว่าจะเป็นในงานมงคลหรือในงานเลี้ยงต่างๆ เช่น สงกรานต์ งานแต่ง งานบวช ขึ้นบ้านใหม่ บวชนาค ทําบุญบ้าน งานเลี้ยง งานบุญ เลี้ยงเพลพระ งานปีใหม่ ทำบุญเลี้ยงพระ เป็นต้น

สูตรขั้นตอนการทำวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน

สิ่งที่ต้องเตรียม สำหรับทำ

  • ผงวุ้น (ยี่ห้อไหนก็ได้)
  • น้ำสะอาด
  • มะพร้าว (เนื้อมะพร้าวอ่อน)
  • น้ำมะพร้าว (่มะพร้าวอ่อนสด)
  • พิมพ์ทำวุ้น เช่น พิมพ์ซิลิโคน พิมพ์วุ้น พิมพ์ขนม ถ้วยวุ้นพลาสติกใส หรือถ้วยวุ้นอลูมิเนียม

ส่วนผสม

  • ผงวุ้น 2 ช้อนโต๊ะ
  • เนื้อมะพร้าวน้ำหอมอ่อน 2 ลูก
  • น้ำมะพร้าวน้ำหอม 1 ลิตร
  • หัวกะทิ 500 ml
  • น้ำสะอาด 350 ml
  • น้ำตาลทราย 300 g
  • เกลือ 1 ช้อนชา หรือตามชอบ

วิธีทำ

1. เตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะที่มีก้นลึกพอสมควร แล้วเทผงวุ้นคนให้ผงวุ้นละลาย
2. เทน้ำมะพร้าวน้ำหอมลงไปคนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ยกขึ้นตั้งไปค่อยๆคนไม่ให้วุ้นติดก้นรอจนเดือดแล้วเติมน้ำตาลทราย เกลือลงไป คนต่อให้ละลายจนหมดรอให้เดือดอีกรอบ
3. จากนั้นก็ใส่กะทิและเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไป คนพอเข้ากันดี (ปิดไฟ) ตักใส่พิมพ์ซิลิโคน พิมพ์วุ้น พิมพ์ขนม ถ้วยวุ้นพลาสติกใส หรือถ้วยวุ้นอลูมิเนียม
4. รอให้วุ้นเซตตัวก่อนประมาณ 2-3 นาที แล้วค่อยทำชั้นต่อไปจนวุ้นหมด แล้วพักให้วุ้นเซตตัวในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง
5. พอวุ้นเซตตัวแล้วนำเอาออกจากพิมพ์ จัดใส่จานตกแต่งด้วยดอกไม้จะทำให้วุ้นของคุณดูน่าทานยิ่งขึ้น พร้อมเสิร์ฟได้เลย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรกล้วยตากทอดกรอบ

0
กล้วยตากทอดกรอบ
กล้วยตากทอด คือ ขนมที่ทานเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่ถูกปรับปรุงสูตรมาจากกล้วยแขก หรือ กล้วยทอด โดยใช้กล้วยตากแทนกล้วยน้ำว้าสด มาชุบแป้งทอดกรอบ

กล้วยตากทอดกรอบ

กล้วยตากทอด

กล้วยตากทอด (Fried Bananas) คือ ขนมที่ทานเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่ถูกปรับปรุงสูตรมาจากกล้วยแขก หรือ กล้วยทอด โดยใช้กล้วยตากแทนกล้วยน้ำว้าสด มาชุบแป้งทอดกรอบ ทำให้กล้วยกรอบนาน ได้ความหวานจากกล้วยและความหอมมันจากกะทิ

ประวัติกล้วยทอดหรือกล้วยแขก

กล้วยทอด หรือ กล้วยแขก เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นของว่างกินเล่นคู่กับคนไทยมาช้านาน นิยมทานคู่กับชา แต่ไม่ทราบถิ่นกำเนิดแน่ชัด คาดว่ากล้วยแขกน่าจะเป็นอาหารที่มาจากวัฒนธรรมการปรุงอาหารของชาวอินเดีย ซึ่งจะใช้การทอด เหมือนกับถั่วทอด และบ้างก็ว่าเป็นขนมที่ชาวโปตุเกตุน้าเข้ามาประเทศไทย เลยยังเป็นข้อถกเถียงกันเรื่อยมา ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้

ขั้นตอนการทำกล้วยเล็บมือนางตากทอด

ส่วนผสม

1. กล้วยเล็บมือนางตาก 600 กรัม
2. แป้งข้างจ้าว 1½ ถ้วยตวง (150กรัม)
3. แป้งข้าวโพด ½ ถ้วยตวง (50กรัม)
4. แป้งสาลี ¼ (20กรัม)
5. กะทิ 100 ml
6. น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง (100กรัม)
7. น้ำเปล่า 100 ml
8. น้ำปูนใส 50 ml
9. เกลือ ½ ช้อนชา
10. งาขาว-ดำ (ตามชอบ)
11. ใบเตย 5 ใบ
12. น้ำมัน 1 ลิตร
13. ผงฟู 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำส่วนผสมต่อไปนี้ แป้งข้างจ้าว แป้งข้าวโพด แป้งสาลี ผงฟู เกลือ น้ำตาลทราย กะทิ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดี
2. เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วให้ทย่อยเติมน้ำปูนใส และน้ำเปล่าลงไปคนให้เข้ากัน ระวังแป้งข้นหรือเหลวเกินไป เติมงาขาวหรืองาดำลงไป (ถ้าแป้งข้นเกินไปจะทำให้กล้วยตอนชุบหนาไป แต่ถ้าแป้งเหลวไปจะทำให้ไม่ค่อยติดกล้วย)
3. ตั้งน้ำมันสำหรับทอดโดยใช้ไฟแรงปานกลาง
4. ใส่ใบเตยหั่นลงไปทอดก่อนเพื่อความหอมของกล้วยทอด จากนั้นให้นำกล้วยเล็บมือนางตากลงไปชุบแป้งทอดในกระทะจนกล้วยลอยขึ้นมาแล้วมีสีเหลืองนวล
5. ตักขึ้นพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับความอร่อย

  • ไม่ควรใส่งาในแป้งชุบ หากยังไม่ทอดไว้นานเกินไป (จะทำให้งาขาวหรืองาดำอืดขึ้นได้) จะทำให้ไม่อร่อย
  • ใช้ไฟทอดแรงปานกลาง หากใช้ไฟอ่อนเกินไปจะทำให้กล้วยจะอมน้ำมัน แต่ถ้าใช้ไฟแรงเกินไปจะทำให้กล้วยตากจะไหม้ก่อนสุก

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนอยากทานแต่กลัวว่าน้ำมันเก่า ไม่ไว้ใจร้านค้า แนะนำทำทานกันเองตามสูตรได้เลยจร้า อิ่มกันทั้งครอบครัวแถมเป็นกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย และบางทีอาจจะอร่อยจนขายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ช่วงวันหยุด กำไรงาม ๆ กันไปอีกกกกก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรข้าวเม่าทอด แป้งกรอบ

0
สูตรข้าวเม่าทอด แป้งกรอบ
ข้าวเม่าเป็นขนมไทยที่หุ้มกล้วยไข่ด้วยข้าวเม่าที่คลุกมะพร้าว และน้ำตาลปึก แล้วชุบแป้งทอดเป็นแพ วางด้านบนด้วยแป้งกรอบ
สูตรข้าวเม่าทอด แป้งกรอบ
ข้าวเม่าเป็นขนมไทยที่หุ้มกล้วยไข่ด้วยข้าวเม่าที่คลุกมะพร้าว และน้ำตาลปึก แล้วชุบแป้งทอดเป็นแพ วางด้านบนด้วยแป้งกรอบ

ข้าวเม่าทอด

ข้าวเม่าทอด หรือ กล้วยข้าวเม่า ( Banana Khao Mao ) คือ ขนมไทยที่ใช้ข้าวเม่าที่คลุกมะพร้าว และน้ำตาลปึกหุ้มกล้วยไข่ แล้วชุบแป้งทอดเป็นแพ วางด้านบนด้วยฝอยโรยกรอบ เป็นขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลนิยมกินกันในวงน้ำชา หรือร้านน้ำชาต่างๆ จึงเป็นอาหารชนิดนึงที่เรือเร่ขาย โดยการพายเรือไปขายตามที่ต่างๆ ปัจจุบันข้าวเม่าทอดยังมีขายทั่วไป และมักทำขายคู่กับกล้วยแขก มันทอด เผือกทอด ส่วนผสมหลักๆ ประกอบด้วย กล้วยไข่สุกไม่งอมจนเกินไป ข้าวเม่าคั่ว น้ำตาลปีบ แป้งข้าวเจ้า มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ คือ หวาน มัน กรอบ

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • กล้วยไข่สุกงอม 1 หวี
  • ข้าวเม่าแห้งที่ทำจากข้าวเจ้า
  • น้ำมันพืชพอประมาณ
  • น้ำเปล่า หรือน้ำปูนใส

ขั้นตอนการทำข้าวเม่าทอด

ส่วนผสม ข้าวเม่าทอด (ส่วนที่ 1)

  • มะพร้าวขูด 4 ขีด
  • ข้าวเม่าแห้งที่ทำจากข้าวเจ้า 4 ขีด
  • น้ำตาลปี๊บ 4 ขีด
  • น้ำตาลทราย 2 ขีด

ส่วนผสม แป้งชุบข้าวเม่า (ส่วนที่ 2)

  • มะพร้าวขูด 3 ขีด
  • แป้งข้าวเจ้า 2 ½ ขีด
  • แป้งสาลี 2 ½ ขีด
  • เกลือป่น ½ ขีด
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำส่วนผสม ข้าวเม่าทอด (ส่วนที่ 1)

1. นำส่วนผสมต่อไปนี้ ได้แก่ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย น้ำเปล่าเล็กน้อย
2. เทใส่ภาชนะสำหรับผสมคนทุกอย่างให้ละลายเข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอเหนียวหลังจากนั้นใส่มะพร้าวลงไปเคี่ยวต่อจนเกือบแห้ง แล้วใส่ข้าวเม่าเคี่ยวต่อจนแห้งยกลงจากเตาพักไว้ก่อน

วิธีทำส่วนผสม แป้งชุบข้าวเม่าทอด (ส่วนที่ 2)

1. เทน้ำสะอาดใส่ภาชนะเพื่อนำมาคั้นมะพร้าวให้ได้หัวกะทิ 1 ½ ถ้วยตวง แล้วส่วนหางกะทิประมาณ 1 ½ ถ้วยตวง
นำหัวกะทิเทลงในแป้งทั้ง 2 ชนิดที่ผสมกันไว้ ใส่เกลือป่น
2. แล้วนวดให้เข้ากัน ตอกไข่ใส่ลงไปนวดต่อ รินหางกะทิลงไปผสม แล้วนวดต่อไปจนเนื้อแป้งไม่ติดมือ

วิธีทำห่อข้าวเม่าทอด

1.ใช้กล้วยไข่ที่สุกงอมนำมาปอกเปลือกให้หมด แล้วนำกล้วยไข่มาห่อด้วย (ส่วนผสมที่ 1 ห่อให้บาง) (ถ้าหนาเกินไปจะทำให้ทอดแล้วไม่กรอบ)
2.ตั้งกะทะน้ำมันให้ร้อนได้ที่แล้ว ให้นำกล้วยที่ห่อเสร็จแล้วมาชุบใน (ส่วนผสมที่ 2) แล้วนำไปทอดลงในกะทะทยอยใส่ทีละลูก หรือจะใส่เป็นคู่ก็ได้
3. เอามือจุ่มแป้งจาก (ส่วนผสมที่ 2) โรยแป้งชุบลงทอดในกระทะและคอยเขี่ยให้มารวมกันเป็นแพสังเกตแป้งจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสวยงาม ให้ตักช้อนแพแป้งขึ้นวางบนกล้วยที่กำลังทอด เมื่อแป้งที่ห่อกล้วยสุกเหลืองจึงตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
4.จัดจานพร้อมเสิร์ฟ

เมนูข้าวเม่าทอด ขนมไทยที่ยังมีขายในร้านกล้วยทอด ใครอยากทำเองก็ไม่ยาก วันนี้เรามีวิธีทำข้าวเม่าทอด และโรยฝอยข้าวเม่า กรอบ ๆ มาฝากกันแล้ว อย่าลืมลองทำกันดูนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมกงโบราณ หรือขนมกงเกวียน

0
สูตรขนมกงโบราณ
ขนมกงทำจากถั่วเขียวเราะเปลือกคั่วบดละเอียด กวนในน้ำตาลปึกที่ต้มกับกะทิและปั้นเป็นวงกลมมีเส้นไขว้พาดตรงกลางคล้ายล้อเกวียน นิยมใช้ในพิธีงานแต่ง
สูตรขนมกงโบราณ หรือขนมกงเกวียน
เป็นขนมที่ทำจากถั่วเขียวเราะเปลือกคั่วบดละเอียด กวนในน้ำตาลปึกที่ต้มกับกะทิและปั้นเป็นวงกลมมีเส้นไขว้พาดตรงกลางคล้ายล้อเกวียน นิยมใช้ในงานพิธี

ขนมกง

ขนมกง ( Kanom Kong ) หรือขนมกงเกวียน คือ ขนมโบราณชนิดหนึ่งมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีส่วนผสมหลัก อาทิเช่น ถั่วเขียวซีก น้ำตาลปีบ น้ำตาลทราย กะทิ ขนมกงทำจากถั่วเขียวเราะเปลือกคั่วให้หอมบดละเอียด กวนในน้ำตาลปึกที่ต้มกับกะทิจนเหนียวและปั้น ลักษณะเป็นวงกลมรูปล้อมมีเส้นไขว้พาดกันตรงกลางคล้ายล้อเกวียน ขนมกงถูกใช้ในพิธีมงคลโดยเฉพาะงานแต่งงานเป็นขนมขันหมาก ซึ่งมีความหมายดั่งเกวียนที่หมุนไปข้างหน้าถือเป็นการอวยพรให้บ่าวสาวครองรักกันชั่วนิรันดร์ นักแน่น มั่นคงซึ่งกันและกัน คำว่า “มงคล” หมายถึง สิ่งที่นำมาซึ่งความดีงามและความเจริญรุ่งเรือง ส่วน “ขนมมงคล” หมายถึง ขนมไทยที่นำไปใช้ประกอบเครื่องคาวหวาน ถวายพระ เลี้ยงแขก ในงานพิธีมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานบวช หรืองานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น

ขั้นตอนการทำขนมกง

ส่วนผสมของขนม

วิธีทำส่วนของตัวขนมกง

1. นำถั่วเขียวเราะเปลือกคั่วในกะทะ โดยใช้ไฟกลางคั่วจนถั่วกรอบแล้วนำมาบดให้ละเอียด
2. นำภาชนะสำหรับผสมกะทิ น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ ยกขึ้นตั้งไฟคนให้น้ำตาลละลายและรอจนกว่ากะทิเดือดหลังจากนั้นใส่ถั่วเขียว งาขาวคั่วกวนต่อให้เข้ากันจนเหนียวปั่นได้ พักไว้ให้เย็น
3. ปั้นส่วนผสมเป็นเส้นกลมยาว ประมาณ 3-4 นิ้ว จับปลายขนมชนกันให้เป็นรูปวงกลม แล้วปั้นเป็นเส้นยาว คลึงให้กลม ตัดให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางพอดีกับวงกลม วางพาดไขว้กันเป็นรูปกากบาท

วิธีทำแป้งสำหรับชุบขนมกง

1. ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือป่น น้ำมันพืช ค่อยๆ เติมน้ำเปล่า นวดให้แป้งจับตัวเป็นก้อน
2. เติมไข่แดงผสมให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าที่เหลือ ละลายให้เป็นเนื้อเดียวกัน
3. นำขนมกงที่ปั้นไว้ ชุบลงในน้ำแป้งแล้วนำไปทอดในน้ำมันพืชที่ร้อน โดยใช้ไฟปานกลางทอดจนสุกเป็นสีเหลืองทองตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน หรือซับด้วยกระดาษสำหรับซับน้ำมัน

ขนมกงของโบราณไส้ต้องโปร่ง แป้งที่เคลือบต้องมีเม็ดพอง ๆ ขึ้นตามวงขนม ซึ่งเรียกกันว่าหัวแก้วหัวแหวน ยิ่งขึ้นเยอะยิ่งดี สนใจสอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้สำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมไข่โบราณ

0
สูตรขนมไข่โบราณ
ขนมไข่ เป็นขนมที่ทำด้วยแป้งสาลี ไข่ และน้ำตาล ตีให้เข้ากัน ใส่พิมพ์รูปต่าง ๆ ผิงหรืออบให้สุก
สูตรขนมไข่โบราณ
ขนมไข่ เป็นขนมที่ทำด้วยแป้งสาลี ไข่ และน้ำตาล ตีให้เข้ากัน ใส่พิมพ์รูปต่าง ๆ ผิงเตาถ่านหรืออบให้สุก

ขนมไข่

ขนมไข่ ( Egg dessert ) คือ ขนมทำด้วยแป้งสาลี ไข่ และน้ำตาล ตีให้เข้ากัน ใส่พิมพ์รูปต่าง ๆ ผิงเตาถ่านหรืออบไมโครเวฟให้สุก สูตรขนมไทยโบราณยังไม่พบหลักฐานแน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย ” ขนมไข่ ” เป็นขนมที่ใช้แม่พิมพ์เดียวกันกับ “ขนมอาเกาะ” ซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองขึ้นชื่อของ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ของบ้านเรา ลักษณะเป็นวงรียาวหรือวงกลมคล้ายดอกไม้ มีส่วนผสมหลักที่คล้ายๆ กัน หรือในบางพื้นที่ก็เรียก เค้กไข่โบราณ ปัจจุบับขนมไข่มีการประยุกต์ให้มีไส้ต่าง ๆ เช่น ใบเตย กล้วยหอม เผือก ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ ส้ม บลูเบอรี่ คัสตาร์ด วานิลลา เป็นต้น

วิธีทำขนมไข่โบราณ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม สำหรับทำขนมไข่

  • พิมพ์ขนมไข่
  • ไมโครเวฟ

ส่วนผสม แป้งขนมไข่

1. แป้งเค้ก 90 กรัม
2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
3. ไข่ไก่ (เบอร์ 1) 3 ฟอง
4. น้ำตาลทราย 100 กรัม
5. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
6. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
7. น้ำเปล่า
8. น้ำมัน หรือเนย สำหรับทาบนพิมพ์ขนมไข่

ขั้นตอนการทำขนมไข่ (สูตรขนมไทยโบราณ)

1. นำส่วนผสมต่อไปนี้ร่อนเตรียมไว้ แป้งเค้ก ผงฟู เกลือ
2. ตีไข่ขาวจนเป็นฟองหยาบ ตามด้วยครีมออฟทาร์ทาร์ตีต่อให้เข้ากัน
3. แล้วค่อยๆ เติมน้ำตาลทรายลงไปตี แล้วตีต่อจนตั้งยอด
4. ใส่ไข่แดงลงไปแล้วตีให้เข้ากัน เติมกลิ่นวานิลลา น้ำเปล่าลงไปตีพอให้เข้ากันดี
(สังเกตเนื้อแป้งจะเริ่มฟูขึ้นมาพอประมาณ) นำแป้งที่ร่อนแล้วทยอยใส่ลงไปในส่วนผสมที่ตีไว้ (แบ่งร่อนสัก 2 รอบ)
ใช้ตะกร้อมือตะล่อมส่วนผสมและแป้งขนมไข่ให้เข้ากัน
5. เทแป้งใส่ถุงบีบ หรือภาชนะที่ตักได้สะดวก
6. ใช่แปรงซิลิโคนจุ่มน้ำมันหรือเนยทาลงพิมพ์ขนมไข่
7. ใช้ไฟกลางถ้าเป็นตาแก๊ส หรือไมโครเวฟ
8. หยอดแป้งขนมไข่ลงไปในพิมพ์ แล้วนำไปอบใช้ (ไฟบน-ล่าง) ที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส อบประมาณ 10 นาที จะสังเกตเห็นเมื่อขนมไข่เริ่มสุกแป้งจะฟูขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แสดงว่าสุกแล้วให้นำออกจากแซะขนมไข่ออกจากพิมพ์พร้อมเสิร์ฟได้เลย

สำหรับคนที่ต้องการโรยหน้า หรือสอดไส้ขนมไข่ให้ดูน่าทานยิ่งขึ้น เช่น ลูกเกด ฝอยทอง ผลไม้รวม ธัญพืช หรือขนมไข่สอดไส้แยมต่างๆ เช่น แยมสตอเบอรี่ แยมส้ม แยมมะม่วง แยมมัลเบอรี่ แยมสับปะรด ไส้ครีม ไส้คัสตาร์ด สังขยาใบเตย สังขยาชาไทย หรือแยมช็อคโกแลต เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม