Home Blog Page 134

ทำความรู้จักกับ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine )

0
ทำความรู้จักกับเวชศาสตร์ชะลอวัย Anti-Aging Medicine
เวชศาสตร์ชะลอวัย คือ ศาสตร์ทางการแพทย์ที่เน้นการดูแลสุขภาพจากภายในร่างกาย ดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้อยู่ในสภาวะที่แข็งแรงสมบูรณ์
ทำความรู้จักกับเวชศาสตร์ชะลอวัย Anti-Aging Medicine
ความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายแบบที่แสดงออกภายนอก สามารถสังเกตเห็นได้ภายนอก เช่น ความเหี่ยวของผิวหนัง การเปลี่ยนของสีผม

เวชศาสตร์ชะลอวัย

เวชศาสตร์ชะลอวัยคืออะไร ? เมื่อการเพิ่มขึ้นของอายุเป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และสิ่งที่มาควบคู่กับอายุที่เพิ่มขึ้นก็คือความเสื่อมหรือความชรา ( Aging ) ความชราเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาของคนทุกคน เพราะความชราเป็นการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงของระบบการทำงานของอวัยวะและต่อมต่าง ๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย เมื่อระบบอวัยวะและต่อมมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงย่อมส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอตามไปด้วย ซึ่งความชราที่เกิดขึ้นนับเป็นโรคชนิดหนึ่งทางการแพทย์ คือ โรคชรา ถึงแม้ว่าโรคชราจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถป้องกันได้จึงมีการศึกษาและพัฒนาศาสตร์ที่ทำการรักษาโรคชราขึ้นมา ซึ่งศาสตร์นั้นคือ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) ที่ช่วยลดความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานของร่างกาย จึงช่วยลดความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้ลดลงหรือเกิดขึ้นช้าลงได้ 

แต่ก่อนที่จะทำความรู้จักกับ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) เรามาทำความรู้จักกับความชราก่อนว่ามีแบบใดบ้างและมีสาเหตุมาจากอะไร ความชราจึงเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา

ความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายมี 2 แบบ คือ

1. แบบที่แสดงออกภายนอก คือ ความชราที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ภายนอก เช่น ความเหี่ยวของผิวหนัง การเปลี่ยนของสีผม เป็นต้น

2. แบบที่ไม่แสดงออกภายนอก คือ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น ระบบการเผาพลาญ ระบบการขจัดของเสีย ระบบการผลิตฮอร์โมนของต่อมต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางลบ คือ ประสิทธิภาพการทำงานลดลงทำให้ระบบมีการทำงานที่ลดลงตามไปด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบนี้จะเกิดขึ้นที่ละน้อยและไม่ส่งผลต่อร่างกายในระยะแรก แต่เมื่อผ่านไปเป็นระยะหนึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกหงุดหงิด นอนไม่หลับ ไม่มีแรง และเจ็บป่วยได้ง่าย

พบว่าความชรา ( Aging ) เป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะกับตัวเองและผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือคนในครอบครัวที่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ความชราที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งเราสามารถแบ่งปัจจัยที่ทำให้ร่างกายชราได้

สาเหตุที่ทำให้ร่างกายแก่ หรือ ชรา

1. การใช้งานหนักเกินไป ( Overuse )

ร่างกายของคนเราก็เหมือนกับเครื่องจักรที่เมื่อทำงานนานหรือทำงานหนักก็จะเกิดการเสื่อมสภาพ ประสิทธิภาพการทำงานลดลงหรือบางระบบของเครื่องจักรไม่สามารถทำงานได้เหมือนตอนที่ติดตั้งใหม่ ดังนั้นถ้าเราใช้ร่างกายทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องใช้แรงมากหรือทำงานที่ต้องใช้สมองมีความเครียดสูง การพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายทำงานตลอดเวลา การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์จนร่างกายต้องเร่งขจัดของเสียออกมามากขึ้น การไม่ออกกำลังกายอย่างถูกต้องทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทุกสิ่งล้วนทำให้ระบบภายในของร่างกายเกิดความเสื่อมขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งความเสื่อมจะค่อยๆ เกิดขึ้นและสะสมจนส่งผลต่อการทำงานในภาพรวมของร่างกาย การใช้งานร่างกายอย่างหนักอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ จะทำให้เซลล์มีอายุสั้นลงเพราะต้องทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับร่างกายจนไม่มีเวลาฟื้นฟูหรือซ่อมแซมตัวเองให้แข็งแรง 

2. ภาวะฮอร์โมนบกพร่อง ( Hormonal Insufficiency )

เมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้นระบบการผลิตฮอร์โมนภายในร่างกายจะมีการทำงานที่ลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การรับประทานอาหารที่ไม่ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง ต้องได้รับจากภายนอกเท่านั้น ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับวิตามินในปริมาณที่ไม่เพียงพอย่อมส่งผลให้เกิดภาวะขาดฮอร์โมนเกิดขึ้น เพราะวิตามินมีส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมน จึงทำให้ปริมาณฮอร์โมนที่มีหน้าที่ช่วยในการสร้างเซลล์และซ่อมแซมเซลล์มีปริมาณลดลง ส่งผลให้เซลล์อ่อนแอลงและมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการทำงานของระบบอวัยวะภายใน ทำให้ระบบของร่างกายเกิดความชรา

3. พันธุกรรม ( Genetic )

พันธุกรรมเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเลือกได้ เพราะเป็นการถ่ายทอดออกมาจากบรรพบุรุษที่เราไม่สามารถเลือกได้นั่นเอง พันธุกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กำหนดว่าร่างกายของเราจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ยกตัวอย่างเช่น บางครอบครัวพ่อแม่เป็นคนที่ผมเริ่มหงอกเมื่ออายุประมาณ 30 ปี เมื่อลูกเกิดมาก็จะมีผมหงอกเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 30 ปีเช่นกัน แต่ในบางครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนที่ผมหงอกช้า โดยจะเริ่มมีผมงหงอกเมื่ออายุประมาณ 60 ปี เมื่อลูกเกิดมาก็จะเริ่มมีผมหงอกที่อายุประมาณ 60 ปีเช่นกัน เป็นต้น ดังนั้นพันธุกรรมจึงเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเกิดความชราช้าหรือเร็วได้เช่นกัน

4. การเกิดสารอนุมูลอิสระ ( Free Radical )

อนุมูลอิสระเป็นสารที่เข้ามาทำปฏิกิริยากับออกซิเดชั่นกับเซลล์ ทำให้เซลล์เกิดความเสื่อม โดยที่อนุมูลอิสระจะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ทำให้เซลล์สูญเสียน้ำที่อยู่ภายในจนเซลล์เกิดการเสื่อมสภาพและตายไปในที่สุด หรือเข้าไปทำลายดีเอ็นเอของเซลล์จนเซลล์ไม่สามารถทำการซ่อมแซมตัวเองให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม ถึงแม้ว่าเซลล์เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องตายไปแต่อนุมูลอิสระจะเข้ามาเร่งปฏิกิริยาทำให้เซลล์ตายเร็วขึ้น ดังนั้นถ้าร่างกายมีอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมากแล้วเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกายย่อมเกิดความเสื่อมสภาพมากขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายเกิดความชราเร็วขึ้นตามไปด้วย

เวชศาสตร์ชะลอวัย ที่ช่วยลดความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานของร่างกาย จึงช่วยลดความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้ลดลงหรือเกิดขึ้นช้าลงได้

5. การอักเสบเรื้อรัง

คนที่อ้วนมีไขมันสะสมเยอะ เซลล์ไขมันจะปล่อยสารอักเสบออกมาทำให้หลอดเลือดอักเสบ พอหลอดเลือดอักเสบก็จะมีไขมันไปเกาะที่หลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและก็เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองตีบได้

6. ภาวะน้ำตาลสะสม

เกิดจากการที่เรารับประทานน้ำตาล หรืออาหารจำพวกแป้งมากๆ พอถูกย่อยกลายเป็นน้ำตาลไปแล้ว น้ำตาลจะไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนในร่างกาย ทำให้โปรตีนหรือเซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ เหมือนเอาเนื้อไปแช่ในน้ำหวานนานๆ เนื้อก็แปรสภาพก็ทำให้เซลล์เสื่อม

7. การสะสมของสารพิษ

จากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เราต้องสัมผัส เช่น ควันบุหรี่ รังสี สารเคมี โลหะหนัก ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป พวกสารพิษต่างๆ จะไปสะสมที่เซลล์ ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ

8. ภาวะเป็นกรด

ร่างกายจะมีการสร้างกรด ส่วนหนึ่งมาจากอาหารที่เรารับประทาน (โปรตีนสูง) และอีกส่วนหนึ่งมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ร่างกายจะปรับสมดุลของกรดเหล่านี้ให้กลับสู่ปกติโดย ตับจะทำหน้าที่เปลี่ยนกรดบางชนิดให้เป็นด่าง ปอดจะช่วยขับกรดออกจากร่างกายในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์และไตจะขับกรดออกทางปัสสาวะในรูปของแอมโมเนีย ดังนั้นภาวะเป็นกรดจะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ

9. ภาวะเสื่อมสภาพของเซลล์ต้นกำเนิด หรือที่เรียกว่า สเต็มเซลล์

เมื่ออายุมากขึ้นเวลาที่ไม่สบายจะหายช้า ไม่เหมือนตอนที่เป็นเด็ก เพราะเซลล์ต้นกำเนิดของเราหรือสเต็มเซลล์มีการเสื่อมสภาพลง การซ่อมแซมก็น้อยลงกว่าปกติ

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายเกิดความชรา ( Aging ) บางปัจจัยเราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้อย่างพันธุกรรมกับอายุที่เราไม่สามารถเลือกและหยุดให้อยู่กับที่ได้ แต่สารอนุมูลอิสระกับการใช้งานร่างกายเป็นปัจจัยที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ และปัจจัยทั้งสองยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ความชราเกิดขึ้นมากและรวดเร็วอีกด้วย

ความชราเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตัวเองและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถที่จะทำให้ความชราเกิดขึ้นช้าลงได้ ด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมการผลิตเซลล์ต้นกำเนิด ( Stem cell ) หรือแม้แต่การสร้างโคลนนิ่งของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา ทำให้เราค้นพบวิธีการที่สามารถช่วยชะลอความชราและเร่งการฟื้นฟูหรือซ่อมแซมระบบภายในของร่างกายให้สามารถกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ด้วยวิธีการรักษาสุขภาพแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine )

เวชศาสตร์ชะลอวัย คืออะไร มีข้อดีอย่างไร

เมื่อได้ยินคำว่าชะลอวัย เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงการบำรุงและดูแลผิวพรรณการลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ที่จริงแล้วการลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นเป็นเพียงหนึ่งในการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยเท่านั้นเอง แต่แท้ที่จริงแล้ว

เวชศาสตร์ชะลอวัยคือ ศาสตร์ทางการแพทย์แขนงหนึ่งที่เน้นการดูแลสุขภาพจากภายในร่างกาย การดูแลจะทำการดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้อยู่ในสภาวะที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยการรักษาจะเน้นรักษาแบบป้องกันแบบองค์รวม คือ การดูแลระบบการทำงานของร่างกายทั้งร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดีหรือมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงตามกาลเวลาที่เพิ่มขึ้นของร่างกายพร้อมทั้งค้นหาสาเหตุของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับร่างกายว่ามีสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร เพื่อที่จะได้ทำการป้องกันไม่ให้สาเหตุดังกล่าวสร้างผลกระทบต่อการทำงานของระบบ จนทำให้เกิดอาการป่วยหรือการเสื่อมเกิดขึ้นอีก   

การรักษาแบบเวชศาสตร์จะต่างจากการรักษาแบบทั่วไป เพราะว่าการรักษาแบบทั่วไปเมื่อมีอาการป่วยแล้วจึงจะไปหาหมอเพื่อทำการรักษาให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ โดยแพทย์จะทำการรักษาอาการที่เป็นอยู่อย่างให้หายไป แต่ไม่ได้รักษาที่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดอาการป่วยดังกล่าว เราจึงมีโอกาสที่จะป่วยแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะสาเหตุที่ทำให้เราป่วยยังอยู่ภายในร่างกายนั่นเอง เช่น คนที่มีอาการไอ มีน้ำมูก เมื่อไปพบแพทย์ทำการรักษา แพทย์จะให้ทานยาแก้ไอกับยาลดน้ำมูกเพื่อรักษาอาการดังกล่าวให้หาย

สำหรับการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) แล้ว จะทำการรักษาอาการที่เป็นอยู่ในปัจจุบันร่วมกับการตรวจหาสาหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอและมีน้ำมูกว่ามีสาเหตุมาจากอะไร เช่น เกิดจากการแพ้อากาศหรือเกิดจากการอักเสบเนื่องจากความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันหรือเกิดจากความผิดปกติของระบบการทำงานที่จุดใด เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็จะมุ่งรักษาอย่างตรงจุด เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้ไม่มีอาการไอและมีน้ำมูกเกิดขึ้นอีกในอนาคต

จะเห็นว่าการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) มุ่งเน้นกับความสำคัญของการทำงานของระบบร่างกายซึ่งจะสามารถดูแลสุขภาพให้มีความแข็งแรงในระยะยาวมากกว่าการรักษาอาการแบบชั่วคราวหรืออาการเฉพาะหน้าให้หาย การรักษาด้วยศาสตร์ชะลอวัยจึงเป็นการรักษาที่เน้นผลในระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น ดังนั้นผู้ที่เข้ารับการรักษาจะต้องใช้เวลาในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1-3 เดือนจึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน แต่ทว่าเมื่อเกิดผลขึ้นแล้วผลที่เกิดขึ้นจะยั่งยืนและส่งผลให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้นในอนาคต ไม่ใช่ว่ารักษาวันนี้หายแต่อีก 5 วันกลับมาป่วยเหมือนเดิมอีก

ขั้นตอนการรักษาของ เวชศาสตร์ชะลอวัย

เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) เป็นการรักษาทางการแพทย์หรือแพทย์ทางเลือกอีกแขนงหนึ่งที่ได้รับความนิยม ซึ่งขั้นตอนในการรักษาก็จะสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1. สอบประวัติ

การรักษาทางการแพทย์ทุกอย่างต้องเริ่มมาจากการสอบประวัติของผู้ป่วยก่อน เพื่อทำความรู้จักข้อมูลพื้นฐานของตัวบุคคลว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคใดบ้าง ซึ่งโรคที่มีความเสี่ยงจะเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ

1.1 พันธุกรรม โรคบางโรคสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาสู่ลูกหลานได้ ถึงแม้ว่ายังไม่มีอาการแสดงในขณะที่ยังมีอายุน้อยแต่ก็ไม่แน่ว่าเมื่อมีอายุมากขึ้น โรคดังกล่าวอาจจะแสดงอาการออกมาหรืออาจจะไม่แสดงอาการออกมาเลยก็ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น 

1.2 พฤติกรรม การกระทำเป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดโรค เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การกินอาหารจำพวกแป้งสูง การนอนน้อย การไม่กินผักผลไม้ พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่อการทำงานของระบบภายในร่างกายให้อยู่ในสภาวะไม่สมดุล หรือบางพฤติกรรมก็เป็นการเพิ่มอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการสอบประวัติโดยละเอียดของผู้ป่วย เพื่อที่จะเป็นส่วนช่วยในการรักษาต่อไป

2. การตรวจเลือด ( Blood Test )

การตรวจเลือดของการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย จะมีความแตกต่างจากการตรวจเลือดของการตรวจสุขภาพทั่วไปเพราะว่าการตรวจสุขภาพทั่วไปจะเป็นการตรวจเพื่อทำการตรวจเช็คว่าร่างกายมีอาการของโรคใดเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ แต่การตรวจแบบ Anti-Aging Medicine จะทำการตรวจอย่างละเอียดถึงการทำงานของระบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานเป็นอย่างไร เช่น อัตราการเผาผลาญพลังงาน ( Metabolism ) อัตราการยืดหดของกล้ามเนื้อ เป็นต้น นอกจากนั้นยังทำการตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ และระดับวิตามินในร่างกายว่าร่างกายมีปริมาณมากน้อยเท่าใด เพราะว่าการที่ร่างกายจะเกิดโรคได้นั้นจะต้องมีระบบภายในร่างกายเกิดการทำงานที่ผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดโรคขึ้น โดยเฉพาะปริมาณฮอร์โมนและวิตามินที่มีอยู่ในร่างกาย เนื่องจากทั้งสองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการทำงานของระบบอวัยวะให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ฮอร์โมนและวิตามินจะเข้ามาเชื่อมประสานการทำงานของแต่ละระบบให้มีความสอดคล้องกัน เพราะว่าร่างกายของเราไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนด้วยการทำงานของระบบอวัยวะใดเพียงระบบเดียวเท่านั้น แต่ทุกระบบของร่างกายต้องทำงานประสานกันอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป กระเพาะอาหารทำการย่อยอาหาร ลำไส้เล็กทำการดูดซึมสารอาหาร ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย กระแสเลือดทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย จะเห็นว่าถ้าอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งไม่ทำงาน ร่างกายก็จะเกิดความผิดปกติในทันที ซึ่งฮอร์โมนและวิตามินจะเป็นตัวช่วยในการประสานงานให้ทุกระบบทำงานอย่างสอดประสานกัน ดังนั้นถ้าปริมาณฮอร์โมนหรือวิตามินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะมากไปหรือน้อยไป ย่อมส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติตามไปด้วยโดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมของร่างกาย เช่น เทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) เมลาโทนิน ( Melatonin ) เซโรโทนิน ( Serotonin ) เอสโตรเจน ( Estrogen ) เป็นต้น 

3. การตรวจยีนส์ ( Gene Test )

ยีนส์ เป็นลักษณะที่เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะตรวจเมื่ออายุเท่าใด ลักษณะของยีนส์ก็จะยังเหมือนเดิมทุกประการ ซึ่งการตรวจในระดับยีนส์นี้จะช่วยให้ทราบถึงลักษณะเฉพาะของบุคคลได้เป็นอย่างดี ว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคใดบ้าง เพราะว่ายีนส์จะบ่งบอกทุกอย่างออกมาให้แพทย์ได้ทราบอย่างชัดเจน และการตรวจยีนส์ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าพฤติกรรมใดบ้างที่สร้างความเสี่ยงให้กับร่างกายในการเกิดโรคในอนาคต

จะพบว่า เวชศาสตร์ชะลอวัย จะให้ความสำคัญกับทุกอย่างที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบอวัยวะร่างกาย ทั้งฮอร์โมน วิตามินและแร่ธาตุ ภูมิต้านทานของร่างกาย กรดอะมิโน กรดไขมันจำเป็น และสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงการตรวจสอบรหัสพันธุกรรมว่าลักษณะยีนส์ที่ได้รับการถ่ายทอดมีความเสี่ยงในการเกิดโรคใดบ้าง โดยก่อนที่จะทำการรักษาแพทย์จะทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทุกอย่างอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้นำข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบนี้มาออกแบบหรือวางแผนการการรักษาได้อย่างถูกต้อง

การรักษาด้วย เวชศาสตร์ชะลอวัยจะว่าเป็นการรักษาก็ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยา เพราะว่าคนที่เข้ารับการรักษาส่วนมากจะไม่ใช่ผู้ที่มีอาการป่วยเกิดขึ้น แต่เป็นผู้ที่ไม่ต้องการให้ตัวเองป่วย จึงเป็นการรักษาที่ทำการดูแลระบบการดำเนินชีวิตว่าต้องปฏิบัติอย่างไร ร่างกายขาดสารอาหารชนิดไหนและต้องเพิ่มหรือเสริมสารอาหารชนิดให้มาก ลดอาหารชนิดใดให้น้อยลง และต้องออกกำลังอย่างไรจึงเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งการออกแบบทุกอย่างนั้นจะเป็นลักษณะที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับคนอื่นได้

เวชศาตร์ชะลอวัย เหมาะกับใคร

เวชศาสตร์ชะลอวัย เหมาะกับทุกคนตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดาหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีก็สามารถเข้ารับการรักษาได้ แต่ว่าถ้าเข้ารับการรักษายิ่งเร็วก็จะยิ่งดีกับร่างกายของเรา เพราะว่าการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) เปรียบเสมือนเส้นทางการเดินทางที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อที่เราจะไม่ต้องพบเจอกับอุปสรรคด้านสุขภาพ หรือแม้ว่าจะต้องพบบ้างแต่ก็เป็นเพียงอาการเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การรักษาด้วย จะทำให้เราเป็นบุคคลที่มีอายุยืนยาวแบบมีคุณภาพสูง นั่นคือ การมีอายุที่ยืนยาวโดยที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เจ็บป่วย มีสุขภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ร่าเริงแจ่มใส มีความจำที่แม่นยำ ผิวพรรณผ่องใสน่ามอง ไม่ใช่เป็นคนที่มีอายุยืนยาวแบบที่ต้องนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ได้รับอาหารทางสายยาง หายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ เวชศาสตร์ชะลอวัย จึงเป็นศาสตร์การรักษาที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติและมีความสุขแบบที่ทุกคนใฝ่ฝันหา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

การจัดเตรียมวิตามินและอาหารเสริมเฉพาะบุคคลในเวชศาสตร์ชะลอวัย

0
การจัดเตรียมวิตามินและอาหารเสริมเฉพาะบุคคลในเวชศาสตร์ชะลอวัย
วิตามิน คือ สารประกอบอินทรีย์ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
การจัดเตรียมวิตามินและอาหารเสริมเฉพาะบุคคลในเวชศาสตร์ชะลอวัย
การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินเฉพาะบุคคลเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าร่างกายของคนเรามีความต้องการที่ต่างกัน

วิตามิน และอาหารเสริม

การจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม เฉพาะบุคคล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับผลเลือดและสรรถภาพของร่างกายการดำรงชีวิตของคนในสังคมยุคปัจจุบันต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เร่งด่วนไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะการเดินทาง การักผ่อน และการรับประทานอาหารเพื่อให้ทันต่อความก้าวหน้าของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ที่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเราก็สามารถคุยกับคนที่อยู่อีกซีกโลกได้ ทำให้ชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความเครียด ความกดดัน สารพิษจากสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าความเร่งรีบทุกช่วงเวลา ทำให้เรามีเวลาในการเลือกสรรอาหารมารับประทานน้อยลงหรือแม้กระทั้งไม่เคยสนใจเลยว่าอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันมีสารอาหารอะไรบ้างหรือไม่ รับประทานเพียงแค่ให้อิ่มท้องเพื่ออยู่รอดไปวันวัน ทั้งอาหารฟาสฟูตส์ที่เต็มไปด้วยแป้ง น้ำตาลหรืออาหารปรุงสำเร็จที่ผ่านกระบวนการจนสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไม่หลงเหลืออยู่เหลือแต่กากเส้นใยเท่านั้นที่รับประทานเข้าไป จะมีสักกี่คนที่ยังให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารเพื่อที่ร่างกายจะได้รับสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ จากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าคนไทยเกินครึ่ง ได้รับสารอาหารจากการรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ในแต่ละวันและมีแนวโน้มที่คนไทยจะมีภาวะขาดสารอาหารเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัยทำงาน ที่ต่างก็มุ่งไปกับการทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวจนละเลยความสนใจเรื่องการรับประทานอาหาร ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสารอาหารโดยเฉพาะสารอาหารหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 นั่นคือ วิตามินและเกลือแร่ที่อยู่ในผักและผลไม้นั่นเอง

แต่ก็มีบางคนที่บอกว่ากินผักผลไม้เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีทางที่ร่างกายจะเกิดภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายแน่นอน แต่ทว่าพอไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดกลับพบว่ามีการระบุอย่างชัดเจนว่าร่างกายมีภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจสำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการบริโภคผักผลไม้ที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้น ไม่ได้มีผลต่อการรับวิตามินและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกายมากเท่าใดนัก เพราะผักผลไม้ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันต้องผ่านการเดินทางขนส่งและเก็บรักษามาเป็นเวลาหลายวันกว่าจะถึงมือผู้บริโภคอย่างเรา ต้องผ่านทั้งความร้อน ความชื้นและมีการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) กับอากาศมานับครั้งไม่ถ้วย ส่งผลให้ผักผลไม้เหล่าสูญเสียวิตามินและแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกายไปเกือบหมดแล้ว เมื่อรับประทานเข้าไปก็ไม่ต่างกับการกินกากใยอาหารเข้าไปเสียเท่าใดนัก ต่างจากผักผลไม้ที่เก็บสด ๆ จากต้นแล้วนำมารับประทานในทันทีที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นอยู่ครบถ้วน ที่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วร่างกายจะได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งการที่เราจะรับประทานผักผลไม้จากต้นก็คงเป็นไปได้ยากในสังคมยุคนี้ หรือแม้แต่การนำผักผลไม้มาปรุงด้วยกรรมวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อน การผ่านความร้อนสูงทั้งระยะสั้นและระยะยาวล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้วิตามินและแร่ธาตุสูญเสียออกไปจนหมด

เราทราบกันแล้วว่าวิตามินนั้นมีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ถ้าร่างกายมีปริมาณวิตามินไม่สมดุลก็จะส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติได้

วิตามิน คือ สารประกอบอินทรีย์ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด วิตามินบางชนิดร่างกายสามารถสังเคราะห์ออกมาได้น้อยมากไม่เพียงต่อความต้องการของร่างกายและวิตามินบางชนิดร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เองต้องได้รับจากภายนอก คือ ได้รับจากอาหารและสิ่งแวดล้อมเช่น แสงแดด ถึงแม้ว่าร่างกายของเราจำเป็นจะต้องใช้วิตามินในปริมาณเล็กน้อยแต่กลับมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมหาศาลเลยทีเดียว ทำให้ร่างกายไม่สามามารถขาดวิตามินได้แม้เพียงชนิดเดียว เพราะวิตามินจะเข้าไปสร้างสมดุลให้กับร่างกาย พร้อมทั้งควบคุมการทำงานของระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนให้เปลี่ยนกลายเป็นกล้ามเนื้อ ช่วยในควบคุมการเจริญของเซลล์และเนื้อเยื่อให้กลายเป็นเซลล์เฉพาะตำแหน่งตามอวัยวะต่าง ๆ ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายเซลล์และอวัยวะภายในร่างกาย รวมถึงวิตามินยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยประสานงานการส่งสัญญาณของระบบประสาทอีกด้วย 

ถ้าร่างกายมีภาวะขาดวิตามินเกิดขึ้นก็จะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติขึ้น อาการของผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินจะไม่แสดงออกในทันที แต่อาการขาดวิตามินจะค่อย ๆ สะสมมากขึ้นทีละน้อย แบบค่อยเป็นคอยไปจนในที่สุดอาหารขาดวิตามินจะส่งผลให้ระบบการทำงานเกิดความผิดปกติอย่างรุนแรงและมีการแสดงออกมาอย่างชัดเจน เช่น มีอาการนอนไม่หลับหรือมักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนส่งผลให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดข้อ ผิวแห้งหยาบกร้านแตก อารมณ์เสีย หงุดหงิดง่ายและบ่อยโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อที่ขาเกิดอาการกระตุกหรือเป็นตะคริวโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการปวดหรือชาที่บริเวณปลายมือและเท้า เลือดกำเดาออกง่ายและบ่อยครั้ง บาดแผลมีเลือดออกมาและเลือดหยุดไหลช้า ปากแห้งแตกหรือเป็นโรคปากนกกระจอก อาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอาการที่เกิดเนื่องจากภาวะร่างกายขาดวิตามินทั้งสิ้น

พบว่าปัจจุบันมีคนที่มีอาการดังกล่าวเป็นจำนวนมากและยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดอาการเหล่านั้นคือจากการรับประทานอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ ส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือเกิดภาวะขาดวิตามิน แต่ถ้าจะมุ่งหวังให้ได้รับประทานผักผลไม้สดจากต้นเพื่อที่จะได้รับปริมาณวิตามินที่ครบถ้วนก็คงทำได้ยากมาก ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการคิดค้นพัฒนาและผลิตวิตามินในรูปแบบของวิตามินและอาหารเสริมออกมาจำหน่ายเพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดวิตามินที่เกิดขึ้น

อาหารเสริมและวิตามินที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่สกัดมาจากวัตถุดิบธรรมชาติหรือทำการสังเคราะห์ขึ้นมาจากกระบวนการวิทยาศาสตร์ ที่เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ด้วยความสะดวกสบายในการรับประทานและความเร่งรีบของวิถีชีวิตการบริโภคอาหารเสริมและวิตามินจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว การกำหนดปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันที่มีการกำหนดอย่างชัดเจนจากผู้ผลิตเป็นปริมาณที่กำหนดหรือแนะนำให้บริโภคต่อวันโดยกระทรวงสาธารณสุขกำหนด (RDI) ซึ่งปริมาณที่กำหนดขึ้นเป็นปริมาณที่มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายต่อวันและไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย สำหรับผู้ที่มีร่างกายอยู่ในภาวะปกติไม่ใช่สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะขาดวิตามิน ด้วยเหตุนี้ทำให้ผลที่ได้รับจากการรับประทาน วิตามินและอาหารเสริม ในแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน บางคนรับประทานวิตามินและอาหารเสริมแล้วรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่งอ่อนกว่าวัย สดชื่นไม่อ่อนเพลีย อารมณ์แจ่มใส แต่บางคนรับประทานวิตามินและอาหารเสริมชนิดเดียวกันในปริมาณที่เท่ากันทุกวัน แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าผิวหน้ามีกระ ฝ้าเพิ่มมากขึ้น วิงเวียนศีรษะหน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน แทนที่ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นกลับรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลง เพราะการรับประทานอาหารเสริมและวิตามินเข้าไปจนทำให้เกิดภาวะวิตามินเกิน ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติ โดยเฉพาะระบบการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ที่มีตับและไตเป็นอวัยวะหลักในการทำหน้าที่นี้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรรับประทาน วิตามินและอาหารเสริม ชนิดใดในปริมาณเท่าใดกัน จึงจะส่งผลเสียต่อร่างกายและยังทำให้ร่างกายได้รับปริมาณวิตามินเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 

ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ด้วยการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่มีวิธีการออกแบบและจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม เฉพาะบุคคล (Customized Vitamins) เพื่อที่ร่างกายจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้ผู้รับประทานได้รับประโยชน์จากอาหารเสริมและวิตามินอย่างสูงสุดตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการผิวพรรณ ภูมิต้านทานโรค โดย วิตามินและอาหารเสริม ที่ทำการจัดเตรียมไว้จะมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกายอย่างพอดีไม่น้อยไปจนรับประทานแล้วไม่สามารถเข้าไปปรับสมดุลเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบภายในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่มากเกินไปจนทำให้ร่างกายเกิดภาวะเกินของสารอาหารจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

การออกแบบและจัดเตรียมวิตามินให้พอดีกับความต้องการของแต่ละบุคคลเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยที่ช่วยรักษาในเชิงป้องกันความเสื่อมของร่างกาย เป็นรักษาสมดุลเพื่อดูแลระบบการทำงานภายในของร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อระบบภายในมีการทำงานที่ดีสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกก็จะดีตามไปด้วยหรือที่เรียกว่าสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกนั่นเอง และด้วยความต้องการของแต่ละคนนั้นมีต่างกันเกี่ยวกับการชะลอวัย บางคนต้องการป้องกันโรคที่อาจขึ้นในอนาคต บาคนต้องการให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนเยาว์ บางคนต้องการให้ชะลอความเสื่อมของร่างกายเพื่อที่จะได้มีอายุยืนยาวแบบมีคุณภาพตลอดอายุขัย ซึ่งทุกความต้องการจะมีการจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม ที่ต่างกันออกไป

วิธีการออกแบบและจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging) จะต้องทำการพิจาณาจากผลการตรวจวิเคราะห์ปริมาณวิตามิน แร่ธาตุ เกลือแร่และสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่เลือด ลักษณะทางพันธุกรรม เช่น อัตราการเผาพลาญพลังงาน อัตราการเมตาบอลิซึม โรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด โรคความดันโลหิต รวมถึงการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่สามารถสร้างความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า ความเครียด ความแข็งแรงของร่างกาย โรคประจำตัว การออกกำลังกาย เพศและอายุ ทุกอย่างล้วนต้องนำมาวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อออกแบบ วิตามินและอาหารเสริม เฉพาะบุคคล

เมื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทราบความต้องการและทำการตรวจวิเคราะห์ข้อมูลโดยรวมบุคคลแล้ว ก็จะทำการเลือกวิตามินและอาหารเสริมที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของคนผู้นั้น โดยจะมีการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมออกมาอย่างชัดเจนว่าจะต้องมี วิตามินและอาหารเสริม ชนิดใดในปริมาณเท่าใด ที่สามารถเข้าไปสร้างสมดุลทางโภชนาการและช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบที่มีความผิดปกติให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยรักษาการทำงานระบบให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคงเดิมไม่มีความเสื่อมเกิดขึ้น ส่งผลให้เมื่อรับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่มีการออกแบบมาอย่างเฉพาะแล้ว ร่างกายจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกด้านตรงตามความต้องการของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นด้านผิวพรรณ ด้านสุขภาพ ซึ่งลักษณะของวิตามินและอาหารเสริมที่จัดทำออกมาจะมีความเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ร่วมกับบุคคลอื่นได้ ซึ่งวิตามินและอาหารเสริมที่นำมารับประทานอาจจะอยู่ในรูปที่นำมาผสมกันหรือให้รับประทานแยกแต่ละชนิดก็ได้ 

การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินเฉพาะบุคคลเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าร่างกายของคนเรามีความต้องการที่ต่างกัน การที่จะสร้างสมดุลด้านโภชนาการให้กับเกิดขึ้นกับร่างกายของแต่ละคนย่อมต้องได้รับปริมาณสารอาหารที่ต่างกันตามไปด้วย ซึ่งการสร้างสมดุลทางโภชนาการด้วยการรับประทานให้ครบ 5 หมู่ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ยากด้วยการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว ในยุคปัจจุบันนี้ที่มนุษย์เราดำรงชีวิตด้วยความเร่งรีบไปเสียทุกอย่าง แต่ถ้ามีการรับประทานวิตามินและอาหารเสริมที่ไม่เหมาะสมแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายได้รับ วิตามินและสารอาหาร บางชนิดเกินความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้ระบบการขจัดของเสียออกมาอย่างตับและไตต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อขจัดของเสียที่มาจากการรับประทานอาหารเสริมออกจากร่างกาย ซึ่งระบบการขจัดของเสียอาจเกิดการทำงานที่ผิดปกติได้ เมื่อระบบการขจัดของเสียไม่สามารถขจัดของเสียออกมาได้จนหมด ของเสียก็จะสะสมอยู่ในร่างกายและส่งผลเสียทำให้เกิดโรคร้ายแรงในอนาคตได้ ดังนั้นการที่รับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่มีการออกแบบมาเฉพาะสำหรับร่างกายของแต่ละบุคคลแล้ว ปัญหาการตกค้างของอาหารเสริมและวิตามินส่วนเกินจนกลายเป็นสารพิษในร่างกายย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะวิตามินและอาหารเสริมที่รับประทานเข้าไปร่างกายจะนำไปใช้ได้อย่างหมดจึงไม่หลงเหลือตกค้างเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

การออกแบบ จัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม เป็นการรักษาของเวชศาสตร์ชะลอวัยเป็นการรักษาในเชิงบูรณาการ ที่เน้นการรักษาในเชิงป้องกันการเกิดโรค โดยการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ด้วยการเสริมสารอาหารและวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเพื่อสร้างความสมดุลทางโภชนาการที่ส่งผลให้ระบบต่างของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัย มีอายุยืนนับร้อยปีอย่างสุขกายสบายใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009

การตรวจเช็คร่างกายได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน

0
การตรวจเช็คร่างกายได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน
การดำรงชีวิตในสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบ การแข่งขันทำให้เกิดความเครียดส่งผลต่อเนื่องมาสู่สุขภาพกายที่อ่อนแอ
การตรวจเช็คร่างกายได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน
ออกซิเจนที่บริสุทธิ์เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตรวจเช็คร่างกาย

การ ตรวจเช็คร่างกาย ได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็ก เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ระดับวิตามินและแร่ธาตุ เพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์หลายล้านเซลล์ เซลล์แต่ละส่วนก็จะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าการทำงานของเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกายของเราผิดปกติ ไม่ว่าจะทำงานมากเกินความจำเป็นหรือทำงานงานกว่าความต้องการของร่างกาย ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดโรคร้ายในอนาคต

การทำงานของเซลล์จะมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพความสมบูรณ์ ที่สามารถส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงได้นั้นก็ต่อเมื่อร่างกายมีองค์ประกอบทั้ง 4 อย่าง

ปัจจัยการทำงานของเซลล์ที่มีประสิทธิภาพมี 4 ขั้นตอน

1.ออกซิเจนที่บริสุทธิ์เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ออกซิเจนเป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดขาดไม่ได้ เพราะถ้าร่างกายมีภาวะขาดออกซิเจนแล้วย่อมมีความเสี่ยงในการเสียชีวิต เนื่องจากออกซิเจนเป็นตัวที่ช่วยในการเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ภายในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นถ้าร่างกายขาดออกซิเจนแล้วปฏิกิริยาภายในร่างกายก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

2.ร่างกายปราศจากสารพิษ

ทุกวันร่างกายของเราจะได้รับสารพิษอยู่ตลอดเวลา ทั้งสารพิษที่ได้รับจากภายนอก เช่น มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ ทางอาหารเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องโดยที่เราอาจจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าได้รับสารพิษเข้าไป และสารพิษที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทำงานของระบบภายในร่างกายเอง แต่ทว่าปกติแล้วร่างกายของเราจะมีกระบวนการขับสารพิษเหล่าออกมาจากร่างกายอยู่แล้ว ทั้งการหายใจออก การถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ทุกอย่างล้วนเป็นการขับสารพิษทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งการขับสารพิษจะเกิดอย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับน้ำสะอาดและอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

3.โภชนาการที่สมดุล

ร่างกายของมนุษย์คงอยู่ได้ด้วยการทำงานของเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย การทำงานของเซลล์จะมีประสิทธิภาพที่ดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่บริโภคเข้าไป โดยที่ร่างกายในภาวะปกติจะมีความต้องการอาหารประเภทผัก ผลไม้ นมซึ่งจัดเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างเข้าสู่ร่างกายร้อยละ 80 และต้องการอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไขมัน คาร์โบไอเดรตซึ่งจัดเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดเพียงแค่ร้อยละ 20 ของปริมาณสารอาหารที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งการรับประทานอาหารจะทำให้เราได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ เช่น วิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุ กรดอะมิโน โปรตีน เป็นต้น สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เองมีมากถึง 46 ชนิดด้วยกัน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้เราจะได้รับจากการรับประทานอาหารเข้าไปในแต่ละวัน ดังนั้นการรับประทานอาหารให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่สมดุลจึงมีความสำคัญมากในการสร้างสุขภาพที่แข็งแรง เพราะถ้าเราได้รับสารอาหารที่ไม่ครบตามความต้องการของร่างกาย ก็จะส่งผลให้เซลล์มีการทำงานที่ผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิตได้ 

4.การมีสุขภาพจิตที่ดี

การดำรงชีวิตในสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบ การแข่งขันทำให้เกิดความเครียดส่งผลต่อเนื่องมาสู่สุขภาพกายที่อ่อนแอ เนื่องจากความเครียดที่เกิดขึ้นจะทำให้ระบบการทำงานภายในร่างกายผิดปกติได้เช่นเดียวกับการได้รับสารพิษและออกซิเจนไม่ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นเราจึงต้องดูแลสุขภาพจิตให้ดีควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพกาย

การที่เราจะมีชีวิตที่อายุยืนยาวและปราศจากโรคแล้ว การปฏิบัติตามทั้ง 4 ปัจจัยจะต้องครบถ้วนทั้งปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย มีออกซิเจนที่บริสุทธิ์อย่างเพียงพอ มีการดื่มน้ำสะอาดและอาหารที่ช่วยล้างสารพิษออกมาจากร่างกายได้ดี และเมื่อเรามีสุขภาพกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้วสุขภาพจิตย่อมเข้มแข็งตามไปด้วย

แต่สำหรับสภาวะสังคมในปัจจุบันที่คนส่วนมากต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบไปเสียทุกอิริยาบถ การที่เราจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนย่อมเป็นไปได้ยาก ทั้งจากค่านิยมการบริโภคอาหาร ค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารในแต่ละมื้อ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นที่มาของความเสื่อมที่เกิดขึ้นจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามิน กรดอะมิโน หรือแร่ธาตุบางชนิด ที่มีความสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง

ปัจจุบันผู้ที่รักษ์สุขภาพคิดว่าทำการ ตรวจสุขภาพ ประจำปีจะสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยทำการ ตรวจร่างกาย เพื่อตรวจหาความเสี่ยงหรือภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคใดขึ้นบ้างหรือไม่ เช่น การสะสมของไขมันดีและเลว ปริมาณคอเรสเตอรอล เป็นต้น ซึ่งการ ตรวจร่างกาย แบบทั่วไปจะเป็นการตรวจวัดปริมาณสารที่ก่อให้เกิดโรคที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้ทำการค้นหาถึงสาเหตุที่ทำให้ปริมาณของสารดังกล่าวว่าเกิดขึ้น ว่าเกิดเนื่องจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบใด ดังนั้นการตรวจสุขภาพจึงบ่งบอกได้เพียงสถานะการณ์ในปัจจุบันของร่างกายได้หรือบอกว่าจะมีโอกาสเป็นโรคใดก็ต่อเมื่อมีอาการของโรคนั้นแสดงขึ้นมาให้เห็นแล้วเท่านั้น แต่ถ้ายังไม่มีการสะสมหรืออาการของโรคยังไม่เริ่มแสดงออกมา การ ตรวจร่างกาย ประจำปีก็จะไม่สามารถบอกได้ว่าร่างกายมีความเสี่ยงของโรคบ้าง ซึ่งการที่อาการของโรคได้แสดงอาหารบางส่วนออกมาแล้ว แสดงว่าความเสี่ยงในการเกิดของโรคย่อมสูงขึ้นไปด้วย หรือบางโรคที่ไม่มีอาการเบื้องต้นแสดงออกมาและจะแสดงอาหารให้เรารับรู้ก็ต่อเมื่ออาการของโรคอยู่ในขั้นวิกฤติแล้วเท่านั้น จึงทำการ ตรวจร่างกาย ทั่วไปไม่พบอาการหรือระบุความเสี่ยงในระยะที่สามารถทำการรักษาได้ ดังนั้นจึงมีหลายครั้้งที่ทำการตรวจสุขภาพพบว่าร่างกายปกติดี แต่เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งกลับพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคและความร้ายแรงของโรคก็อยู่ในระยะที่ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ในระยะเวลาอันสั้น 

จากปัญหาที่พบรวมกับความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ต้องการรักษาผู้ป่วยในเชิงบูรณาการ คือ การรักษาที่ต้องการป้องกันการเกิดโรคมากกว่าที่จะรักษาอาหารของโรคที่เกิดขึ้นแล้ว จึงมีการคิดค้นวิธีการ ตรวจสุขภาพ ที่สามารถทำการ ตรวจเช็คร่างกาย แบบความละเอียดและแม่นยำ ซึ่งการตรวจนี้เราจะต้องทำการตรวจถึงระดับโมเลกุลของร่างกายที่นิยมใช้ในการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัย

ทำไมถึงเราต้องทำการตรวจถึงระดับโมเลกุล

อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าการ ตรวจสุขภาพ แบบทั่วไปที่เราตรวจประจำปีเป็นเพียงการตรวจเพื่อดูความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแล้วภายในร่างกาย แต่ทว่าการตรวจสุขภาพของเวชศาสตร์ชะลอวัยจะทำการตรวจสอบถึงระดับโมเลกุลมีจุดประสงค์ที่แตกต่างจากการตรวจสุขภาพทั่วไป ถึงแม้ว่าการตรวจจะมีลักษณะเบื้องต้นที่เหมือนกันคือ มีการสอบประวัติครอบครัวและการตรวจเลือดเช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพประจำปี แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือการตรวจระดับโมเลกุล ซึ่งการตรวจระดับโมเลกุลนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การตรวจยีนส์ ( Gene Test ) ซึ่งการตรวจยีนส์นี้มีความละเอียดและแม่นยำสูงมาก และการตรวจเลือดโดยวิธีการสกัดสารพันธุกรรมที่มีอยู่ในเลือดซึ่งวิธีการนี้นิยมใช้ในการตรวจหาสารก่อมะเร็งบางชนิด

ยีนส์ ( Gene ) เป็นรหัสพันธุกรรมที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ร่างกายของเราทุกคนจะมียีนส์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวอยู่ภายใน โดยยีนส์ของคนคนเดียวกันจะมีลักษณะที่เหมือนกันทั้งหมดทุกเซลล์ ยีนส์นี้จะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อและแม่มาสู่ลูก โดยรหัสพันธุกรรมจะขดพันกันเป็นเกลียวอยู่ตรงกลางภายในนิวเคลียสของเซลล์ เราเรียกรหัสพันธุกรรมนี้ว่าว่าสายพันธุกรรม ( DNA ) ซึ่งรหัสพันธุกรรมมีหน้าที่ในการควบคุมการแสดงออกของร่างกาย เช่น สีผิว สีตา สีผม ความสูง รวมถึงโรคบางชนิดด้วย โดยรหัสพันธุกรรมร้อยละ 99.9 จะมีโครงสร้างที่เหมือนกันทุกคนแต่จะมีเพียงแค่ร้อยละ 0.1 เท่านั้นที่เป็นรหัสพันธุกรรมที่แสดงถึงความแตกต่างที่เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลนั้น

ดังนั้นการตรวจสอบยีนส์ที่มีอยู่ในร่างกายของเราจะทำให้เราทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในร่างกายของเราอย่างละเอียด ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ ระดับวิตามินและแร่ธาตุ ปริมาณกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากเซลล์ของร่างกายก็เปรียบเสมือนสมุดบันทึกที่ทำการจดบันทึกทุกอย่างที่ร่างกายได้รับ ไม่ว่าจะได้รับในปริมาณที่มากหรือน้อย ซึ่งการจดบันทึกของเซลล์จะออกมาในรูปแบบการทำงานของระบบภายในร่างกาย อย่างที่เราทราบกันว่าสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เองนั้นมีมากถึง 46 ชนิด ซึ่งสารอาหารที่จำเป็นเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการกระตุ้นการทำงานของระบบและสร้างฮอร์โมนที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต ( Growth Hormone ) ที่มีหน้าที่ช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายให้มีความแข็งแรง

การตรวจระดับโมเลกุลจะทำการตรวจด้วยการสกัดสารพันธุกรรมที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อที่บริเวณกระพุ้งแก้มด้านในปาก นำไปเข้าทำการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจวิเคราะห์ที่ได้รับจากการตรวจระดับโมเลกุลของเนื้อเยื่อ จะทำให้เราทราบถึงระบบการทำงานภายในของร่างกายของเราอย่างละเอียดทุกอย่าง

ทั้งการทำงานของเซลล์ในระบบทุกระบบว่ามีปกติหรือมีความผิดปกติใดเกิดขึ้น เช่น ระบบการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ระบบการเผาพลาญ ระบบการสร้างฮอร์โมน เป็นต้น การตรวจระดับโมเลกุลจะทำให้เราทราบว่าร่างกายมีสภาวะการขาดสารอาหาร วิตามินหรือเกลือแร่ชนิดใดจึงส่งผลให้การทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติขึ้นหรือมีความเสี่ยงในการเกิดโรคชนิดใดที่มีการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม รวมถึงสามารถบ่งบอกได้ว่ายีนส์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีความแข็งแรงหรืออ่อนแอ

ซึ่งเมื่อเราทราบผลตรวจระดับโมเลกุลแล้ว เราสามารถนำผลตรวจที่ได้รับมาทำการวางแผนในการดำเนินชีวิตอย่างได้ผล เพราะผลการตรวจระดับโมเลกุลจะบอกเราว่าร่างกายของเราขาดสารอาหาร วิตามินหรือแร่ธาตุชนิดใด เมื่อเราทราบแล้วเราก็จำเป็นต้องเสริมสารอาหารที่ร่างกายขาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยการแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล โดยที่คนแต่ละคนจะมีปริมาณสารอาหรที่ขาดหรือเกินแตกต่างกันไปตามพันธุกรรมและพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเสริมเข้าไปให้มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ระบบการทำงานของร่างกายย่อมหลับมามีประสิทธิภาพในการทำงานเหมือนเดิมโอกาสที่ร่างกายจะเกิดความเสื่อมก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะระบบการสร้างโกรทฮอร์โมนที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต การซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ที่อยู่ในร่างกายก็จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นส่งผลให้เซลล์ภายในร่างกายสามารถฟื้นฟูตัวเองให้กลับมามีความแข็งแรง ซึ่งเมื่อเซลล์มีความแข็งแรงแล้วระบบการทำงานภายในย่อมดี ทั้งระบบการขจัดของเสียที่สามารถขจัดของเสียออกจากร่างกายจนหมดไม่ตกค้างจนเกิดเป็นพิษต่อร่างกาย ระบบการเผาพลาญที่สามารถสร้างพลพลังงานส่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทำให้สมองแจ่มใส ร่างกายกระปรี่กระเปล่าสดชื่น ตื่นขึ้นมาไม่อ่อนเพลีย การสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นของร่างกายที่มีหน้าที่ในการประสานงานการทำงานของทุกระบบให้สามารถทำงานได้อย่างสอดประสานทั้งการหายใจ การกลืนกิน การดูดซึมอาหาร การเต้นของหัวใจ เมื่อระบบทุกอย่างของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ร่างกายของเราก็จะคงสภาพไม่เกิดความเสื่อมซึ่งก็เหมือนกับเราสามารถทำการชะลอวัยไว้ได้ ไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยแม้ว่าอายุจะมากขึ้น แต่ก็ช่วยเหลือตนเองได้อย่างเช่นคนหนุ่มสาว

การตรวจระดับโมเลกุลนี้นอกจากจะทำให้ทราบถึงการขาดสารอาหารของร่างกายแล้ว ยังสามารถบอกถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะที่พิเศษมากอีกอย่างหนึ่งของการตรวจระดับโมเลกุล การที่เรารู้ว่ามีความเสี่ยงของโรคนี้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาทำให้เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในอนาคตได้อย่างถูกต้อง การป้องกันโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้สามารถทำได้ด้วยกันปลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดโรคที่ตรวจพบว่าเป็นชนิดใดและสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เช่น คนที่มีการถ่ายทอดโรคเบาหวาน จะต้องปฏิบัติตนเข่นไรถึงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ ซึ่งเมื่อเราปฏิบัติตามแนวทางที่แพทย์ได้ทำการกำหนดไว้ เราก็จะมีโอกาสที่จะไม่ต้องเป็นโรคเบาหวานได้ หรือแม้แต่คนที่มียีนส์มะเร็งเต้านมก็สามารถป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งเต้านมได้ เพียงแค่ควบคุมอาหารที่จะเข้าไปกระตุ้นยีนส์มะเร็งให้มีการแสดงอาการออกมา การออกกำลังกายที่สามารถป้องกันไม่ยีนส์มะเร็งเจริญเติบโต หรือแม้แต่การรับประทานอาหารเสริมที่ช่วยลดความเสี่ยงและควบคุมไม่ให้ยีนส์มะเร็งสามารถแสดงออกทางพันธุกรรมได้ เพียงเท่านี้ร่างกายก็ไม่ต้องป่วยเป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาแล้ว 

นอกจากระบบภายในของร่างกายแล้ว ลักษณะภายนอกของร่างกายก็จะมีสภาพที่ไม่เสื่อมด้วยเช่นกัน การที่ผิวพรรณเกิดการเหี่ยวย่น เนื่องจากเซลล์ผิวหนังโดนทำลายทั้งจากสารอนุมูลอิสระจากภายนอกและความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นเมื่อระบบการทำงานของร่างกายมีประสิทธิภาพสูงจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารเสริมการทำงานของระบบ ทำให้เซลล์ผิวหนังมีความแข็งแรงสามารถป้องกันและฟื้นฟูจากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ เซลล์มีผนังเซลล์ที่แข็งแรงสามารถอุ้มน้ำที่อยู่ภายในไม่ให้เกิดการสูญเสีย จึงส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แลดูอ่อนเยาว์แม้ว่าอายุจะมากขึ้น

การ ตรวจเช็คร่างกาย ระดับสารชีวะโมเลกุลขนาดเล็กสามารถตรวจสอบปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ ระดับวิตามินและแร่ธาตุ ที่ร่างกายขาดและทำการเสริมสารอาหารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถนำสารอาหารเหล่านี้เข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบให้ทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคทั้งที่เป็นโรคร้ายแรงและโรคไม่ร้ายแรงในอนาคตอย่างได้ผล ทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณอ่อนเยาว์

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009

ต้นกระบือเจ็ดตัว พืชสมุนไพรโบราณประโยชน์หลากหลาย

0
ประโยชน์ของต้นกระบือเจ็ดตัว พืชสมุนไพรโบราณ
สรรพคุณ แก้ร้อนใน ถอนพิษไข้ ขับน้ำคาวปลา ขับเลือด บาดทะยักในปากมดลูก แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
ประโยชน์ของต้นกระบือเจ็ดตัว พืชสมุนไพรโบราณ
กระบือเจ็ดตัว สรรพคุณ แก้ร้อนใน ถอนพิษไข้ ขับน้ำคาวปลา ขับเลือด บาดทะยักในปากมดลูก แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ

ต้นกระบือเจ็ดตัว

ต้นกระบือเจ็ดตัว หรือ ลิ้นกระบือ ( Picara ) คือ ไม้ประดับที่สวยสะดุดตาด้วยใบด่างด้านบนและสีแดงเข้มใต้ใบ นิยมนำมาใช้ตกแต่งสวนปลูกลงดินกลางแจ้งหรือปลูกลงในกระถางก็ได้ เพราะลิ้นกระบือด่างชอบแดดจัดบางคนก็มอบให้เป็นต้นไม้มงคล เนื่องจากดูแลง่าย โตไวยิ่งถ้าปลูกลงดินจะแตกพุ่มสวยงามมากที่สำคัญราคาไม่แพง ทั้งคนรักต้นไม้และคนรักไม้ด่างไม่ควรพลาดหาซื้อลิ้นกระบือ ลิ้นกระบือด่าง และกระบือเจ็ดตัวได้ตามตลาดต้นไม้ทั่วไป

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า : Excoecaria cochinchinensis Lour. และมีชื่อพ้องคือ Antidesma bicolor Hassk., Excoecaria bicolor ( Hassk. ) Zoll. ex Hassk., E. orientalis Pax & K.Hoffm. , E. quadrangularis Müll.Arg., Sapium cochinchinense ( Lour. ) Kuntze อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae

ชื่อเรียกอื่น : ภาคกลาง เรียก กระบือเจ็ดตัว, กำลังกระบือ, ลิ้นกระบือ, ลิ้นกระบือขาว ภาคเหนือ เรียก บัว, บัวลา, กระทู้, กระทู้เจ็ดแบก หรือต้นลิ้นควาย ตาตุ่มไก่ ตาตุ่มนก กำลังกระบือ ลิ้นกระบือ ลิ้นกระบือขาว ใบท้องแดง

ลักษณะทั่วไป

ต้นกระบือเจ็ดตัวเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ขนาดพุ่มมีความสูงประมาณ 0.5 – 5 เมตร ขึ้นอยู่กับพื้นที่ปลูก ถ้าปลูกในกระถางจะมีความสูงประมาณ 0.5 -1.5 เมตร แต่ถ้าปลูกลงพื้นดินลำต้นจะมีความสูงมากถึง 5 เมตร กิ่งมีการแตกสาขาออกเป็นจำนวนมาก ที่บริเวณกิ่งจะมียางสีขาวข้น เปลือกของลำต้นมีสีแดงอมม่วง สามารถทนสภาพแห้งแล้งได้ดี นิยมนำมาปลูกในกระถางสำหรับตกแต่งสวน

ประโยชน์ของต้นกระบือเจ็ดตัว พืชสมุนไพรโบราณ

ใบ : ของต้นกระบือเจ็ดตัวมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ใบจะออกสองข้างของก้านใบ ซึ่งใบอาจจะอยู่ตรงข้ามกันหรืออยู่สลับกันก็ได้ ใบมีลักษณะเป็นรูปเรียวรีหรือรูปทรงคล้ายไข่ตลอดทั้งใบ ที่บริเวณปลายใบมีติ่งแหลม ขอบใบมีลักษณะคล้ายฟันเรื่อยเล็ก ๆ มีขนาดกว้าง 2-4.5 เซนติเมตร และยาว 4 -13 เซนติเมตร .ใบอ่อนเป็นสีแดงอมม่วงทั้งใบ ส่วนใบแก่ด้านบนเป็นสีเขียว ด้านล่างของใบเป็นสีม่วง บนใบมีเส้นแขนงประมาณด้านละ 7 -12 เส้น
ดอก : ของต้นกระบือเจ็ดตัวจะมีการออกเป็นช่ออยู่ที่บริเวณซอกใบและที่บริเวณยอดของต้น ดอกจะมีทั้งดอกสมบูรณ์เพศ : คือ ดอกที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน และดอกไม่สมบูรณ์ที่มีเกสรเพศผู้หรือเพศเมียอยู่เพียงชนิดเดียวปะปนกันอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้และดอกสมบูรณ์เพศจะมีขนาดของช่อยาว 2 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็กมีสีเหลืองอมเขียว ก้านดอกยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ดอกกระบือเจ็ดตัวจะออกตลอดทั้งปี
ผลของกระบือเจ็ดตัว : มีรูปร่างค่อนข้างกลมขนาดเล็ก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 มิลลิเมตร ภายใน 1 ผลประกอบด้วยพู 3 พู ผลแก่จะแตกออกแยกเป็น 3 ส่วน ไม่มีเนื้ออยู่ภายในผลแต่มีเมล็ดลักษณะเป็นกลม เมล็ดมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มิลลิเมตร

ต้นกระบือเจ็ดตัวเป็นพืชที่นิยมนำมาปลูกตกแต่งสวนเพื่อความสวยงามเพราะสามารถออกดอกและติดผลได้ตลอดทั้งปี

สรรพคุณทางยาของต้นกระบือเจ็ดตัว

ต้นกระบือเจ็ดตัวยังมีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคได้ดังนี้

1. ใบตากแห้ง นำมาชงดื่มจะมีรสเฝื่อนขื่น ใบชาเป็นยารักษาโรคกษัย ยาดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ แต่ถ้านำใบสดมาตำผสมกับเหล้าขาวแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มจะช่วยแก้อาการสันนิบาตหน้าเพลิง ( บาดทะยักในปากมดลูก ) ช่วยขับเลือดเสีย แก้เลือดเป็นพิษ แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ทำให้เลือดไหลเวียนปกติ และเมื่อเอาใบสดมาตำพอกบริเวณที่เลือดไหลสามารถช่วยห้ามเลือดได้

2. กระพี้หรือเนื้อไม้ นำมาตากแห้งแล้วต้มดื่มน้ำ รสชาติร้อนเฝื่อน สามารถช่วยถอนพิษไข้ ถอนอาหารเป็นพิษ แก้อาการร้อนภายใน ส่วนยางสีขาวข้นที่มีอยู่ในลำต้นจะมีพิษมาก นิยมนำไปใช้ในการเบื่อปลาในการจับปลา

นอกจากต้นกระบือเจ็ดตัวจะมีสรรพคุณทางยาที่มากมายแล้ว คุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารที่อยู่ในต้นกระบือเจ็ดตัวก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

คุณค่าทางโภชนาการของต้นกระบือเจ็ดตัว

1. Beta-sitosterol

ต้นกระบือเจ็ดตัวมี Beta sitosterol เป็นสารประกอบที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ Beta Sitosterol สามารถช่วยลดอาการอักเสบ ( anti – inflammatory ) โดยที่ Beta Sitosterol ช่วยในการยึดเกาะที่บริเวณแผล จึงสามารถช่วยป้องกันไม่ให้แผลเกิดการสูญเสียความชื้นที่อยู่ภายในบาดแผลออกมาได้ และยังช่วยทำให้บริเวณโดยรอบของแผลมีลักษณะที่ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียทำให้เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถเข้ามาทำลายเซลล์ที่บริเวณเกิดแผลได้อีก

2. เคมเฟอรอล ( Kaempferol )

ต้นกระบือเจ็ดตัวมี Keampferol สารที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม สามารถป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้าไปปฏิกิริยาออกซิเดชันกับดีเอ็นเอของเซลล์ จนทำให้ดีเอ็นเอของเซลล์เกิดการกลายพันธ์เป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งเป็นที่มาของมะเร็งเต้านม และมะเร็งล้าไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี

ทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรง โดยช่วยป้องกันไขมันจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นจนไขมันกลายเป็นตะกรันเกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งเป็นที่มาของโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ

3. กรดแกลลิก ( Gallic acid )

ต้นกระบือเจ็ดตัว มีกรดแกลลิกที่พบในต้นกระบือเจ็ดตัวเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่ง มีสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ( oxidation reaction ) กับอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์มีความแข็งแรงและอายุยืด และยังช่วยป้องกันไม่ให้ดีเอ็นเอของเซลล์โดยทำลายจนเกิดการกลายพันธ์เป็นเซลล์มะเร็ง ช่วยลดการอักเสบของแผลที่เกิดขึ้นเนื่องจากกรดแกลลิกจะมีฤทธิ์ในการต่อต้านการอักเสบ ( anti-inflammatory ) ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ โดยสารแกลลิกจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเตอเรสที่มีหน้าที่ในการการสลายสารสื่อประสาทที่อยู่ภายในสมอง ซึ่งเมื่อเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเตอเรสทำงานได้น้อยลง แสดงว่าสารสื่อประสาทยังคงอยู่เป็นจำมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมองได้

4. อิโนซิทอล ( inositol )

ต้นกระบือเจ็ดตัว มีอิโนซิทอลหรือวิตาบินบี 8 เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ

ต้นกระบือเจ็ดตัว มีวิตามินบี 8 สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล โดยการเข้าไปกระตุ้นการทำงานของกระบวนการเผาผลาญไขมัน คอเลสเตอรอลให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้ตับสามารถทำการขับไขมันออกมาได้ดี จึงลดการสะสมของไขมันที่เกิดขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มีการสะสมน้อยลง เมื่อมีการสะสมของไขมันน้อยลง ก็จะลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือดลงได้ นอกจากนี้อิโนซิทอลยังสามารถรวมตัวกับโคลีน ( Choline ) ได้เป็นสารเลซิทิน ( Lecithin ) ที่เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นและเป็นแหล่งให้กับเซลล์ของสมอง จึงทำให้เซลล์สมองและกล้ามเนื้อประสาทมีความแข็งแรงไม่ลีบ และสามารถส่งกระแสสัญญาณเป็นปกติ ส่งผลให้อาการกระวนกระวายใจอย่างอ่อนลดลง ลดความเสี่ยงของการเกิดอารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วและประสาทหลอน ช่วยในการเผาผลาญไขมันและคอเลสเตอรอล อินโนซิทอลช่วยส่งเสริมให้ตับขับไขมันออกมา เป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์

5.โปแตสเซียม ( Potassium )

ต้นกระบือเจ็ดตัวมีโปแตสเซียม ( Potassium ) ถือเป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกายโดยเฉพาะในเรื่องการเต้นของหัวใจ โดยที่โพแทสเซียมเป็นสารที่ทำหน้าที่ในการปล่อยประจุไฟฟ้าที่ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจมีการหดตัวอย่างเป็นจังหวะที่เหมาะสมเป็นปกติ

และยังเป็นสารที่ช่วยในการรักษาสมดุลของกรด-ด่าง และประจุที่อยู่ในร่างกายอีกด้วย โดยช่วยรักษาปริมาตรของเซลล์ให้มีปริมาณที่คงที่ ลดความเสี่ยงในการเกิดการบวมน้ำหรือภาวะร่างกายขาดน้ำของร่างกาย

ต้นกระบือเจ็ดตัว ไม่ใช่เป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น แต่ยังเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยาช่วยขับพิษไข้ โดยเฉพาะในสุภาพสตรีที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติหรือสตรีหลังคลอดที่ต้องการขับน้ำคาวปลา ถือว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว ต้นกระบือเจ็ดตัว มีคุณค่าทางโภชนาการที่ได้จากการรับประทานน้ำที่ต้มจากต้นกระบือเจ็ดตัวยังมีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ยางของที่ออกจากต้นกระบือเจ็ดตัวก็มีพิษเช่นเดียวกันไม่สามารถรับประทานได้ ต้นกระบือเจ็ดตัวจึงเป็นพืชที่มีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษอยู่ในตัวเช่นเดียวกัน ดังนั้นขั้นตอนการนำมารับประทานต้องทำด้วยขั้นตอนที่ระมัดระวัง โดยต้องทำการล้างยางออกให้หมดเสียก่อนจึงจะนำมาต้มกินได้

สำหรับใครที่ต้องการพืชสมุนไพรมาปลูกไว้ประดับบ้านแล้ว ต้นกระบือเจ็ดตัวนับว่าเป็นหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

ประโยชน์ทางยาของ ต้นกระทุงหมาบ้า

0
ประโยชน์ทางยาของต้นกระทุงหมาบ้า
ต้นกระทุงหมาบ้า สรรพคุณ ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร ช่วยทำให้นอนหลับ
ประโยชน์ทางยาของต้นกระทุงหมาบ้า
ต้นกระทุงหมาบ้า สรรพคุณ ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร ช่วยทำให้นอนหลับ

ต้นกระทุงหมาบ้า

ต้นกระทุงหมาบ้า หรือผักฮ้วนหมูมีประโยชน์ทางยาหลากหลาย ต้นกระทุงหมาบ้า ยังมีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามภาษาท้องถิ่นเช่น ต้นมุ้งหมู, ผักฮ้วน, ผักม้วน, ผักโง้น, ผักง้วน, ผักง้วนหมูม ผักฮ้วนหมู เป็นต้น   

ภาคเหนือ เรียกว่า เครือเขาหมู ผักฮ้วนหมู ฮ้วนหมู
ภาคกลาง มักเรียกว่า กะทุงหมาบ้า, คันชุน, สุนัขบ้า
ภาคอีสาน เรียกว่า เครือเขาคลอน, ผักง่วนหมู ต้นง่วนหมู หัวเขาคอน
ส่วนภาคใต้ เรียกว่า เถาคัน

ต้นกระทุงหมาบ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Excoecaia Cochinchinensis Lour.Var.Cochinchinensis หรือ Dregea volubilis (L.f.) Benth. ex Hook.f.หรือ Watlakata volubilis Stapf. ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นตีนเป็ด (APOCYNACEAE) คือ Euphorbiaceae
ต้นกระทุงหมาบ้าเป็นไม้เลื้อยชนิดที่มีแกนกลางเป็นไม้เนื้อแข็ง ลำต้นมีลักษณะเป็นทรงกลมีเปลือกหุ้มแกน เมื่ออ่อนเปลือกของลำต้นจะมีสีเขียว เมื่อแก่เปลือกของลำต้นจะกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มและมีจุดสีขาวหรือปุ่มเกิดขึ้นตลอดแนวลำต้น ลำต้นมีความยาวได้สูงสุดประมาณ 10 เมตร ลำต้นของต้นกระทุงหมาบ้าจะเลื้อยไปตามต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงหรือเลื้อยตามพื้นดินไป

ใบของต้นกระทุงหมาบ้า เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตามความยาวของลำต้น โดยใบจะออกเป็นคู่อยู่ตรงข้ามกันตามกิ่ง ใบมีหลายรูปทรงด้วยกัน เช่น รูปทรงกลมรี โดยโคนใบกว้างและที่ปลายใบยาวเรียว หรือเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีขนาดใบกว้าง 5-10 เซนติเมตร ยาว 8-16 เซนติเมตร ขอบใบเรียบไม่มีรอยยัก ใบมีเนื้อหนา ด้านบนของใบจะมีเขียวอ่อน ส่วนด้านท้องของใบมีสีเขียวเข้ม มีก้านใบยาว 3 -5 เซนติเมตร
ต้นกระทุงหมาบ้า จะออกดอกเป็นช่อหรือกระจุกเล็กตามส่วนของซอกใบ ภายในช่อจะประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ หลายสิบดอกรวมกันอยู่ แต่ละดอกจะมีก้านยาวแยกออกมาเพื่อเชื่อมดอกกับขั้วของช่อ กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมมีสีเขียวอ่อนอมเหลืองและมีกลีบรองอยู่ภายในดอกเดียวกัน หนึ่งดอกจะประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบโดยโคนดอกจะมีขนาดใหญ่กว่าปลายกลีบดอก แต่ละกลีบมีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร กลีบดอกจะแยกออกเป็นแฉกขนาดดอกบานเต็มมีความกว้างประมาณ 1-1.5ซม. ดอกเป็นดอกชนิดสมบูรณ์เพศคือมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน โดยดอกตัวเมียจะอยู่ตรงกลางของดอกและมีเกสรตัวผู้อยู่รอบ ๆ เกสรตัวเมียที่บริเวณฐานของดอก
ผลของต้นกระทุงหมาบ้ามีลักษณะเป็นฝักออกเป็นคู่อยู่ตรงข้ามกัน ลักษณะเป็นทรงกลมที่โคนฝักมีขนาดใหญ่แล้วจึงค่อยเรียวเล็กไปตามปลายฝัก ฝักมีความขนาดเส้นรอบวงประมาณ 16-30 มิลลิเมตร มีขนาดยาวประมาณ 7.5-10 เซนติเมตร ผิวเปลือกของฝักขนสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเหลืองปกคลุมตลอดทั้งฝัก ภายในฝักบรรจุเมล็ดเป็นรูปไข่ คล้ายหยดน้ำสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมเหลือง มีขนสีขาวเป็นพูปกคลุมเมล็ดอยู่ เมล็ดมีขนาดประมาณ 1.2 เซนติเมตร

สรรพคุณทางยาของ ต้นกระทุงหมาบ้า

1.รากและเถา นำมาต้มดื่มน้ำ จัดเป็นยานอนหลับอ่อนทำให้นอนหลับง่ายขึ้น หรือนำมาเป็นยาขับพิษไข้ พิษของฝี แก้ร้อนใน แก้พิษน้ำดีกำเริบ ยาขับเสมหะ

2.เถามีรสขม มีสรรพคุณช่วยในการดับพิษและถอนพิษไข้ ลดอาการเซื่องซึม ปวดศีรษะ และแก้อาการแสบร้อนที่ใบหน้า และยังสามารถช่วยขับปัสสาวะสำหรับผู้ที่มีอาการปัสสาวะติดขัด

3.ใบมีรสขมเช่นเดียวกับเถา สามารถนำมาเป็นยาแก้แผลผุผองที่เกิดจากการถูกน้ำร้อนลวก ลดอาการบวม แก้พิษต่าง ๆ โดยการนำใบมาตำสด ๆ และพอกหรือทายังบริเวณที่เกิดแผล สามารถช่วยลดอาการผุพองของฝีได้เป็นอย่างดี

4.เปลือกของลำต้น มีรสชม ช่วยลดอาการเป็นไข้และแก้อาการปากเปื่อยได้

5.ผลและดอก มีรสขม เมื่อนำมาต้มน้ำดื่มช่วยล้างสารพิษตกค้างในร่างกายอย่างได้ผล

ด้วยสรรพคุณทางยาที่มีอยู่ในทุกส่วนของ ต้นกระทุงหมาบ้า จึงได้มีการนำส่วนต่าง ๆ ของต้นกระทุงหมาบ้ามาเป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรมาแต่โบราณ นอกจากสรรพคุณทางยาที่ได้จากต้นกระทุงหมาบ้าแล้ว ต้นกระทุงหมาบ้ายังมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงมาก ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการนี้จะได้จากการรับประทานส่วนที่เป็นช่อดอกและยอดอ่อนของต้นกระทุงหมาบ้า เพราะเมื่อนำมาปรุงอาหารแล้วให้รสชาติที่อร่อย แม้จะมีความขมเล็กน้อยแต่ก็ช่วยให้เจริญอาหารได้มากขึ้น 

คุณค่าทางโภชนาการของ ต้นกระทุงหมาบ้า

1.แคลเซียม ( Calcium )

กระทุงหมาบ้าเป็นอาหารที่ให้แคลเซียมในปริมาณที่สูง ซึ่งแคลเซียมเป็นสารอาหารที่ช่วยให้กระดูกและฟันมีความแข็งแรง จึงลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวของกับการเสื่อมของกระดูก เช่น โรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ โรคกระดูกอ่อนในเด็ก โรคกระดูกน่วมได้

แคลเซียมยังสามารถยับยั้งการแบ่งเซลล์ของเซลล์ที่เกิดการกลายพันธุ์ที่บริเวณลำไส้ใหญ่ให้น้อยลง จึงสามารถช่วยลดในการเกิดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่อย่างได้ผล

นอกจากนั้นแคลเซียมยังช่วยกระต้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจให้สามารถทำการบีบตัวได้ดี จึงช่วยควบคุมให้ความดันเลือดอยู่ในระดับปกติ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูงอย่างได้ผล

สำหรับสุภาพสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ ควรทานกระทุงหมาบ้าก่อนที่จะมีประจำเดือนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดเนื่องจากการมีประจำเดือนและยังสามารถความแปรปรวนของฮอร์โมนซึ่งเป็นที่มาของภาวะอารมณ์แปรปรวนได้

สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับการได้รับแคลเซียมจะช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

2.ฟอสฟอรัส ( Phosphorus )

ฟอสฟอรัสสามารถช่วยส่งเสริมการทำงานของแคลเซียมเพื่อสร้างสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง โดยฟอสฟอรัสจะรวมตัวกับแคลเซียมในรูปแคลเซียมฟอสเฟต ( Ca2 ( PO4 ) 2 ) และไฮดรอกซีอาพาไทต์ ( Ca10 ( PO4 ) 6( OH )2 ) ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย นอกจากนั้นฟอสฟอรัสยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดจากข้ออักเสบได้

ฟอสฟอรัสช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการเผาผลาญไขมันและแป้ง และกระบวนการเมทาบอลิซึมภายในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีพลังงานในการใช้งานอย่างเพียงพอ ร่างกายจึงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

ฟอสฟอรัสยังเป็นสารที่ช่วยในการรักษาความเป็นกรด-ด่างของร่างกายอีกด้วย และมีหน้าที่กระตุ้นการทำงานของวิตามินบีและเอนไซม์บางชนิดในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.วิตามินเอ ( Vitamin A )

วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมันและเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญของกระจกตา ( Cornea ) จึงช่วยให้กระจกตามีความแข็งแรง และยังเป็นสารที่มีหน้าที่ในการสร้างสารที่ช่วยในการมองเห็นจึงสามารถป้องกันการเกิดโรคตามัวตอนกลางคืน ( Night Blindness )หรือในที่ที่มีแสงสว่างน้อย

นอกจากวิตามินเอยังเป็นสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยวิตามินเอจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถป้องกันการเกิดการอักเสบภายในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และสามารถป้องกันการติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะได้

นอกจากนี้วิตามินเอยังเป็นวิตามินที่ช่วยทำให้ผิวพรรณและผมแข็งแรง เนื่องจากวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี จึงสามารถป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้ามาทำลายเซลล์ผิวได้ จึงสามารถป้องกันการเหี่ยวย่นและหยาบกร้านของผิวและเส้นผมได้

4.วิตามินบี ( Vitamin B )

กระทุงหมาบ้าประกอบได้ด้วยวิตามินบี 1 บี 2 และ บี 3

วิตามินบี 1 หรือไทอะมีน ( Thiamine ) เป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและหัวใจให้มีการทำงานเป็นปกติ และยังเป็นสารที่ช่วยในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญของคาร์โบไฮเดรตที่เข้ามาภายในร่างกาย

วิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน ( RIBOFLAVIN ) หรือวิตามินจี ( Vitamin G )

จัดเป็นโคเอนไซม์ที่มีความจำเป็นต่อกระบวนการเมตาบอลีซึมของร่างกาย โดยวิตามินบี 2จะรวมตัวกลายเป็น ฟลาวิน อะดีนีน ไดนิวคลีโอไทด์ ( flavin adenine dinucleotide หรือ FAD ) และ ฟลาวิน โมโนนิวคลีโอไทด์ ( flavin mononucleotide หรือ FMN ) ที่มีหน้าที่เผาผลาญไขมันกลายเป็นพลังงานกับร่างกาย

วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซิน ( Niacin ) เป็นวิตามินที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและระบบการย่อยอาหาร

นอกจากนั้นไนอะซินยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโทรเจน โพรเจสเทอโรน เทสทอสเทอโรน อีกด้วย ที่มีส่วนชวยในการทำงานของระบบประสาทและสมองให้อยู่ในสภาวะปกติ

5.วิตามินซี ( Vitamin C )

วิตามินซี ( Vitamin C ) หรือกรดแอสคอบิก ( Ascorbic acid หรือ L-Ascorbic acid ) เป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ดี วิตามินซีจะทำหน้าที่ร่วมกับโพรลิลไฮดรอกซีเลส ( prolyl hydroxylase ) และไลซิลไฮดรอกซีเลส ( lysyl hydroxylase ) ในการสังเคราะห์คอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเต่งตึงและมีความแข็งแรงไม่ถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระได้ง่าย จึงลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

และวิตามินซียังสามารถช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีความแข็งแรงและสามารถป้องกันการป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ได้ผลสูงมาก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเข้าไปแล้ว วิตามินซีจะจับตัวกับอนุมูลอิสระที่อยู่ภายในร่างกาย ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค โดยสามารถเข้าไปจับทำลายเชื้อโรคได้ทันทีที่เข้ามาในร่างกาย ไม่มีอนุมูลอิสระเข้ามาขัดขวางการทำงานนั่นเอง

ต้นกระทุงหมาบ้า เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของคนไทยมาช้านาน สามารถนำรับประทานได้ทั้งยอดอ่อน ดอกและใบอ่อน ด้วยสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางโภชนาการที่มากมายไม่ด้อยไปกว่าพืชชนิดอื่น ดังนั้นถ้าใครยังมีพื้นที่ว่างภายในสวน การปลูก ต้นกระทุงหมาบ้า ในสวนก็นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยดอกที่สวยงามเป็นช่อและใบที่มีขนาดใหญ่ ลำต้นสามารถเลื้อยไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ได้ตามต้องการ จึงสามารถช่วยตกแต่งสวนในบ้านให้ร่มรื่นน่ามองได้ไม่น้อย และยังได้อาหารชั้นยอดไว้สำหรับรับประทานอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

ฟักข้าว (Gac fruit) คืออะไร? ประโยชน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้

0
ประโยชน์ของฟักข้าว
ฟักข้าว มีไลโคปีนช่วยยับยั้งการทำงานของอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

ฟักข้าว ( Gac fruit )

ฟักข้าว (Gac fruit) หรือที่บางภูมิภาคในประเทศไทยเรียกว่า “ผักข้าว” ในภาคเหนือ หรือ “ขี้กาเครือ” และ “คัดเข่า” (นครราชสีมา), “หมักบวบเข่า”, “คายเข่า” เป็นผักผลไม้พื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปในหลายพื้นที่ของไทย มีชื่อสามัญว่า Gac fruit, Baby Jackfruit, Cochinchin Gourd, Spiny Bitter Gourd, Sweet Gourd หรือ Cochinchin Gour ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Cucurbitaceae และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Momordica cochinchinensis (Lour.) Spreng., Momordica macrophylla Gage, M. meloniflora Hand.-Mazz., M. mixta Roxb., Muricia cochinchinensis Lour., และ Zucca commersoniana Ser. ฟักข้าวนิยมใช้ทั้งผลและยอดอ่อนในการประกอบอาหารหรือรับประทานเป็นสมุนไพรเพื่อประโยชน์ทางสุขภาพ

ฟักข้าว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเซีย ตั้งแต่ประเทศจีนตอนใต้ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย บังกลาเทศ และฟิลิปปินส์ ฟักข้าวเป็นได้ทั้งอาหารและยา

ฟักข้าว เป็นไม้เลื้อยชนิดล้มลุกที่มีอายุประมาณ 50 ปี ลำต้นเป็นเถาเลื้อยเกาะโดยอาศัยมือเกาะที่บริเวณใบ ลำต้นยาวได้มากสุดประมาณ 20 เมตร ลำต้นไม่มีการแตกแขนง ลำต้นหนาเป็นเหลี่ยมเกลี้ยงสีเขียวเข้มหรือสีเขียวอมน้ำตาล มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ต้นฟักข้าวเป็นพื้นที่ชอบแสงแดด เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่แดดส่องถึง สามารถเลื้อยได้บนพื้นดินและตามต้นไม้ รั้ว หลังคาหรือทุกที่ที่มีที่ให้ยึดเกาะ

ใบ ฟักข้าว มีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกสลับเรียงตามกิ่งและลำต้นที่เลื่อยออกมา ก้านของใบขนาดยาว 5-8 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวเข้ม มีอยู่ด้วยการหลายรูปทรง เช่น รูปหัวใจหรือใบโพธิ์ รูปไข่ รูปคล้ายฝ่ามือ 3-5 แฉก รูปร่างเกือบเป็นวงกลม รูปคล้ายใบตำลึงหรือฝักทองกว้าแต่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งใบของฟักข้าวจะมีความยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร แผ่นใบไม่เรียบแต่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นที่บริเวณร่องของเส้นแขนงที่อยู่บนใบ

ดอก ฟักข้าว เป็นดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือ ภายในดอกจะมีเพียงเพศเดียวเท่านั้น จะออกบริเวณช่วงต่อระหว่างใบหรือที่บริเวณซอกใบ ซึ่งสามารถออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อก็ได้ ดอกของฟักข้าวจะมีลักษณะคล้ายกับดอกของตำลึง กลีบดอกมีสีขาวอมเหลือง ก้านเกสรและกลีบละอองมีสีม่วงอมดำหรือน้ำตาลอมม่วง ดอกตูมเวลาบานจะดอกจะมีกลีบดอก 5 กลีบ

ดอกเพศผู้จะมีก้านดอกยาว 5-15 เซนติเมตร มีเกสร 3 อันและจะมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศเมีย

ดอกเพศเมียจะมีขนาดเล็กว่าดอกเพศผู้ ดอกจะประกอบด้วยรังไข่มี 1 ช่อง มีท่อรังไข่เป็นแท่งยาว บริเวณปลายท่อรังไข่แยกเป็น 3 แฉก และมีก้านดอกยาว 2-5 เซนติเมตร

ผลของ ฟักข้าว มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือสายพันธุ์ที่มีผลเป็นรูปวงรี กับสายพันธุ์ที่มีผลเป็นรูปวงกลมซึ่งสายพันธ์นี้สามารถพบได้ที่ภาคใต้ของไทย ผลจะมีขนาดกว้าง 5-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ผลอ่อนจะมีสีเขียวอมเหลือง ผลจะมีเปลือกหนามจำนวนมากแหลมเล็กๆ นิ่ม ๆ ขนาดสั้นอยู่รอบผล คล้ายกับผลเล็กของลูกขนุนหรือลูกสาเก ผลอ่อนสามารถนำมาปรุงอาหารรับประทานได้ทั้งลูก

เมื่อผลแก่หรือสุกเปลือกจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีส้มอมเหลืองและเมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ภายในของผล ฟักข้าว จะประกอบด้วยเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดที่อยู่ภายในจะมีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงสดดูฉ่ำน้ำและมีรสชาติที่หวาน เมล็ดจะมีลักษณะกลมแบนเป็นสีน้ำตาล ขอบของเมล็ดมีลักษณะเป็นหยัก ผิวของเมล็ดมีลักษณะขรุขระ เมล็ดมีขนาดประมาณ 1.8-2 เซนติเมตร ผลแก่ไม่สามารถรับประทานเปลือกได้ สามารถรับประทานได้เฉพาะเนื้อและเมล็ดภายในเท่านั้น

ฟักข้าว ได้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว โดยมากับผู้ลี้ภัยของชาวรัฐฉาน และได้มีการแพร่หลายในช่วงปี พ.ศ.2539 เหตุที่ฟักข้าวเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในเวลาอันสั้นเนื่องมาจากฟักข้าวจัดเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนี้

ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของฟักข้าว

ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของฟักข้าว - ฟักข้าว (Gac fruit) คืออะไร? ประโยชน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้1.ใบฟักข้าว การนำใบมาต้มน้ำดื่ม ช่วยแก้อาการเป็นไข้ตัวร้อน แก้อาการริดสีดวงทวาร แก้พิษ แก้ฝี แก้หูด แก้อาการปวดเมื่อยเนื้อตัวและปวดหลัง 

2.รากฟักข้าว นำมาต้มน้ำดื่ม ถอนพิษไข้ ช่วยขับเสมหะ ช่วยแก้เข้าข้อ อาการปวดตามข้อ หรือใช้ทำยาสระผมแก้ผมร่วง

3.เมล็ดฟักข้าว มาต้มน้ำดื่ม แก้ท่อน้ำดีอุดตัน ช่วยขับปัสสาวะนำเมล็ดหรือนำเมล็ดที่แก่จัดมาบดและตากให้แห้ง นำมาผสมน้ำมันทา แก้อาการอักเสบ อาการบวมช้ำ รักษาโรคผิวหนัง เช่น กลากเกลื้อน ผดผื่นคัน

นอกจากในประเทศไทยที่เล็งเห็นคุณค่าทางโภชนาการของฟักข้าวแล้ว ประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายประเทศก็ได้เล้งเห็นถึงคุณค่าของฟักข้าวด้วยเช่นกัน

ประเทศเวียดนาม ชาวเวียดนามจะปลูกต้นฟักข้าวไว้ที่บริเวณรั้วบ้าน และทำการเก็บผลสุกมาปรุงอาหาร และมีการนำเนื้อเยื่อสีแดงที่อยู่ภายในผลกับเมล็ดของฟักข้าวมาใช้ปรุงยา และยังนำฟักข้าวมาปรุงอาหารในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือเวลาที่มีงานมงคลสมรส และประเทศเวียดนามยังให้ความสำคัญกับฟักข้าว และได้ทำการวิจัยขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮานอย จนพบว่า ในน้ำมันที่มาจากเยื่อเมล็ดของฟักข้าวมีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยในการรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณตับได้

ประเทศพม่า โดยเฉพาะที่รัฐฉานที่เป็นรัฐอิสระในประเทศพม่า ได้ยกผลฟักข้าวเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องปลูกไว้ทุกบ้านเรือน เพื่อกินส่วนต่าง ๆ ของต้นฟักข้าว และให้ผลสีส้มของฟักข้าวเป็นของไหว้บรรพบุรุษเพื่อเป็นมงคลกับครอบครัวของตน

ประเทศจีน มีการนำเมล็ดแก่ของฟักข้าวมาบดทำยา เพื่อใช้บนทาผิวหนังสำหรับลดอาการอักเสบ อาการบวม และยังจะช่วยรักษาโรคกลากเกลื้อน แก้อาการผื่นคันได้ด้วย

ประเทศฟิลิปปินส์ ได้มีการนำรากฟักข้าวมาบดละเอียด และนำไปหมักผม เพื่อให้ผมหนาและดก นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดเหาได้ด้วย

ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทำวิจัยและพบว่า โปรตีนที่จากการสกัดน้ำที่ได้มาจากผลฟักข้าวนั้น โดยการทำทดลองในหนูทดลอง พบว่าสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูทดลองได้

คุณค่าทางโภชนาการของฟักข้าว

คุณค่าทางโภชนาการของฟักข้าว - ฟักข้าว (Gac fruit) คืออะไร? ประโยชน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้1.ไลโคปีน ( Lycopene )ใน ฟักข้าว

ไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ( Carotenoids ) ที่ละลายได้ดีในไขมัน มาจากสีแดง ส้มและเหลืองที่มีอยู่ในฟักข้าวนั่นเอง โดยที่ฟักข้าว 1 กรัมจะให้ไลโคปีนมากถึง 380 ไมโครกรัม ซึ่งไลโคพีนที่มีอยู่ในฟักข้าวมีมากกว่าที่มีอยู่ในมะเขือเทศมากถึง 12 เท่า

ไลโคปีนจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม โดยที่ไลโคปีนจะเข้าไปช่วยยับยั้งการทำงานของอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในร่างกาย ให้ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายเซลล์หรือผนังหลอดเลือด จนทำให้เกิดการอักเสบและเกิดแผลที่ผนังหลอดเลือดได้ เมื่อผนังหลอดเลือดไม่มีการอักเสบและแผลแล้ว โอกาสที่จะทำให้อาการหลอดเลือดแข็งตัวหรือหลอดเลือดเกิดการอุดตันน้อยลง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ

ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เช่น รอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหยาบกร้าน ฝ้า กระ เป็นต้น โดยที่ไลโคปีนจะเข้าไปช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวโดนทำลายและมีความแข็งแรงทนทานต่อสิ่งแวดล้อมและอนุมูลอิสระ

โดยเฉพาะป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม เป็นต้น 

โดยเฉพาะโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่ไลโคปีนจะเข้าไปลดสาร Prostate Specific Antigen ( PSA ) เมื่อค่า Prostate Specific Antigen( PSA ) ลดลงความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากก็ลดลงด้วยเช่นกัน

2. เบตาแคโรทีน ( Beta-carotene ) ในฟักข้าว

ฟักข้าว 1 กรัมจะมีเบต้าแคโรทีนอยู่ประมาณ 408 มิลลิกรัม ปริมาณเบตาแคโรทีนที่มีอยู่ในฟักข้าวนี้มีมากกว่าแครอตถึง 10 เท่าเลยทีเดียว โดยเบต้าแคโรทีนเป็นสารที่ช่วยบำรุงสายตา เนื่องจากเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอนั่นเอง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ดวงตา เช่น โรคตาพร่า ตาบอดกลางคืน การเกิดต้อกระจก เป็นต้น

นอกจากนั้นวิตามินเอที่ได้จากฟักข้าวยังสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบสืบพันธ์เพศชายให้มีความแข็งแรงได้ด้วย โดยที่วิตามินเอจะเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณของตัวอสุจิให้มีมากกว่า 20 ล้านตัวต่อมิลลิลิตรและยังช่วยให้ตัวอสุจิมีความแข็งแรงสามารุเคลื่อนที่ไปฝังตัวในไข่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีอสุจิมีโอกาสที่จะฝังตัวมากขึ้น สำหรับระบบสืบพันธ์เพศหญิงวิตามินเอจะช่วยในการพัฒนาของตัวอ่อนที่อยู่ในระยะแรกให้มีพัฒนาการที่สมบูรณ์และแข็งแรง

นอกจากนั้นเบต้าแคโรทีนยังจัดเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายเซลล์ตามอวัยวะต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะส่วนของผิวหนังจึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวลไม่เหี่ยวย่น เนื่องจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระที่ร่างกายรับเข้าไป โดยที่เบต้าแครทีนจะไปจับตัวกับอนุมูลอิสระทำให้อนุมูลอิสระไม่สามารถเข้ามาทำลายเซลล์ผิวได้นั่นเอง

และยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย โดยที่เบต้าแคโรทีนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่มีเรียกว่า “ ที-เฮลเปอร์ ( T helper cell ) ” ที่มีหน้าที่ในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้ามาสู่ร่างกาย ให้สามารถทำการต้านสิ่งแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. อัลฟาโทโคฟีรอล ( Alpha-tocopherol หรือวิตามิน E ) ในฟักข้าว

แอลฟา โทโคฟีรอลหรือที่รู้จักกันว่าเป็นวิตามินอีที่อยู่ตามธรรมชาติ ละลายในไขมัน สารชนิดนี้จัดเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นยอดที่พบได้ในฟักโดยอัลฟาโทโคฟีรอล ( Alpha-tocopherol ) จะเข้าไปช่วยในการเพิ่มปริมาณของเอนไซม์ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส ( เอสโอดี ) ที่มีหน้าที่ในการต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระอีกด้วย ที่ทำให้เซลล์เกิดการเสื่อมสภาพ ป้องกันการเกิดรอยเหี่ยวย่น โรคหัวใจ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคมะเร็งที่เกิดจากการที่อนุมูลอิสระเข้าไปทำปฏิกิริยากับเซลล์ จนเซลล์เกิดการกลายพันธ์กลายเป็นเซลล์มะเร็ง 

ถึงแม้ว่าอัลฟาโทโคฟีรอล ( Alpha-tocopherol ) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน แต่ทว่าการที่เป็นวิตามินอีจากธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ร่างกายสามารถทำการขับออกจากร่างกายได้โดยการขับออกมากับน้ำดีในอุจจาระนั่นเอง

4.วิตามินซี ( Vitamin C ) ในฟักข้าว

ฟักข้าว ( Gac fruit ) มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 40 เท่า โดยวิตามินซีจะเข้าไปป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการสันดาปของเซลล์โดยเฉพาะที่บริเวณดวงตา ป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวข้องกับดวงตา เช่น การเกิดต้อหิน ต้อกระจก ตาบอดกลางคืน เป็นต้น วิตามินซียังช่วยให้ร่างกายสามารถทำการซ่อมแซมและรักษาแผลได้ดีโดยที่วิตามินซีจะเข้าไปช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและช่วยลดหรือต่อต้านอาการอักเสบที่เกิดขึ้นกับเซลล์ให้ลดน้อยลง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้ดีขึ้น

จะพบว่าสารอาหารที่มีอยู่ในฟักข้าวมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างมากมาย ซึ่งการรับประทานฟักข้าวสามารถรับประทานได้ทั้งผลอ่อนและผลแก่ โดยผลอ่อนสามารถกินได้ทั้งผล ส่วนผลแก่ให้นำมาปอกเปลือกที่มีลักษณะเป็นหนามออก และคว้านเอาเมล็ดภายในออกให้เหลือแต่เยื่อที่อยู่ระหว่างเมล็ดกับเปลือก เมื่อนำส่วนนี้ไปปรุงอาหารจะมีรสชาติอร่อย อาหารที่ทำจากฟักข้าว มีทั้งต้ม พัด แกง ทอด ซึ่งรสชาติของอาหารที่ปรุงออกมาก็อร่อยไม่แพ้การปรุงด้วยพักชนิดอื่นเลย ฟักข้าว ( Gac fruit ) จึงนับเป็นผักทางเลือกสำหรับผู้ที่รักษ์สุขภาพ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

ผิวขาว เท่ากับสวยจริงหรือ

0
ขาวเท่ากับสวยจริงหรือ?
ผลิตภัณฑ์ลอกผิวขาวจะใช้ปรอทและใช้กรดเรทิโนอิคในการทำให้ขาวขึ้น
ขาวเท่ากับสวยจริงหรือ?
คนเรามีสีผิวสีอ่อนหรือเข้มแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กันปริมาณเมลานินหรือเม็ดสีใต้ผิวหนัง

ผิวขาว

เลิกน้อยใจ ทำไม ผิวขาว ไม่เท่ากับเพื่อน
ก่อนเข้าสู่วิธีการสร้างผิวขาวราวปุยนุ่นนั้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าอะไรทำให้คนเรามีสีผิวสีอ่อนหรือเข้มแตกต่างกันไป ซึ่งสีผิวคนเราขึ้นอยู่กันปริมาณเมลานินหรือเม็ดสีใต้ผิวหนัง ซึ่งหลัก ๆ แล้ว มีอยู่ 2 ชนิดคือ
Eumelanin เม็ดสีออกน้ำตาล-ดำ (คนผิวสองสี)
Pheomelanin เม็ดสีออกชมพู-แดง (คนผิวขาว)   

คนเรามีเม็ดสีทั้ง 2 แบบ ขึ้นอยู่กับว่ามีแบบไหนมากกว่ากัน ซึ่งกำหนดได้จาก
กรรมพันธุ์ ที่พ่อแม่ให้มา
แสงแดด กระตุ้นให้เม็ดสีเข้มขึ้น
อาการป่วย หรือกินยาบางประเภท เช่น คนป่วยโรคมะเร็งจะตัวคล้ำขึ้น

เหตุผลที่คนเราดำขึ้นเมื่อโดนแดด

เป็นกลไกการป้องกันตัวของร่างกายซึ่งสร้างมาอย่างสมดุลและมีเหตุผล เช่น คนแอฟริกันมีเมลานินชนิด Eumelanin มากเพื่อป้องกันแสงแดดที่มีความเข้มข้นสูง Eumelanin ทำหน้าที่เหมือนร่มให้กับดีเอ็นเอของผิวหนัง ถ้าผิวโดนแสงแดดมากจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ชาวตะวันตกส่วนมากมี ผิวขาว ขาวอมชมพู แต่เป็นผิวที่เหี่ยวง่ายและมีสถิติว่าเป็นมะเร็งผิวหนังมากที่สุดในโลก ตรงข้ามกับชาวแอฟริกันที่มีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยมาก ยังไม่มียาหรือผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างถาวร เมื่อสารกระตุ้นให้ผิวขาวนั้นหมดฤทธิ์ ร่างกายก็จะผลิตเม็ดสีตามปกติ การที่ชาวเอเชียมีผิวคล้ำถือเป็นเรื่องดี เพราะสามารถป้องกันรังสียูวีได้ โอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังจึงน้อยกว่า

ผิวขาว เด้ง เปล่งออร่า ราวอัดกลูต้าเป็นกะละมัง

ใคร ๆ ก็อยากมี ผิวขาว ด้วยกันทั้งนั้น หลายคนจึงมักจะไม่พอใจในความขาวของตัวเองสักที รู้สึกว่ายังคล้ำอยู่หมองอยู่ ตลอดเวลา แล้วก็คอยจะคิดหาวิธีทำยังไงให้ผิวขาวกว่านี้ ขาวออร่าทะลุจอแบบดาราต้องทำยังไง?
คุณจะขาวได้มากที่สุดเท่าสีผิวส่วนที่ไม่โดนแดด เช่น แก้มก้น หน้าท้อง ฯลฯ

โฆษณาผลิตภัณฑ์ลอก ผิวขาว เวิร์คไหม?

ผลิตภัณฑ์พวกนี้จะใช้ปรอท ใช้กรดเรทิโนอิคในการทำให้ ผิวขาว ขึ้น นอกจากจะทำให้ผิวบางลงแล้ว ร่างกายยังสะสมสารปรอท ในระยะยาวจะดำง่ายขึ้นอีกด้วย รวมถึงเกิดอาการทางเดินปัสสาวะอักเสบและไตอักเสบ ถ้าได้รับสารปรอทเป็นเวลานานอาจเสียชีวิตได้ 

ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนมีเยอะมาก ทั้งทา กิน ฉีด แบบไหนถึงจะขาวเร็ว?

แน่นอนว่าการฉีดเห็นผลกับร่างกายเร็วที่สุด ซึ่งนั่นหมายความว่าอันตรายมากที่สุดด้วยเช่นกัน ทางที่ดีไม่ควรเลือกแบบไหนเลย เพราะกลูตาไธโอนจะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสี Eumelanin และมีหน้าที่สร้างแต่ Pheomelanin ผิวเลยขาวขึ้น แต่ขณะเดียวกันผิวก็ไวต่อแสงมากขึ้นมีโอกาสเกิดกระ ฝ้า จุดด่างดำและมะเร็งผิวหนังมากขึ้น ยังไม่มีงานวิจัยใด ๆ บนโลกนี้ที่รับรองได้ว่าการกิน ฉีด ทากลูตาไธโอนมีความปลอดภัย อะไรก็ตามที่ FDA ไม่ได้ให้การรับรอง ก็เชื่อได้ว่ายังไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพราะสหรัฐอเมริกามีความเข้มงวดมาก ส่วน อย.ของไทยและแพทย์สภาก็ยังไม่ยอมรับกลูตาไธโอนเช่นกัน แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ หนูทดลองที่ได้รับกลูตาไธโอนเป็นมะเร็งผิวหนัง จึงไม่ทดลองสารดังกล่าวกับมนุษย์ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการช็อก ความดันโลหิตต่ำ หายใจไม่ออก จนถึงขั้นเสียชีวิต อีกทั้งการได้รับกลูตาไธโอนเป็นเวลานานจะส่งผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุในขบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย และตัวมันเองสามารถกลายเป็นอนุมูลอิสระมาทำร้ายร่างกายได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นจะทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อความสามารถในการมองเห็นในอนาคตอีกด้วย

วิธีทำให้ ผิวขาว อย่างได้ผล

1.ไม่ให้โดนแดด ทาครีมกันแดด หรือเก็บตัวไม่ให้โดนแดดนาน ๆ จนเมลานินชนิด Eumelanin กลายเป็น Pheomelanin
2.ใส่เสื้อผ้ามิดชิด อาจจะกางร่มหรือใส่หมวก เมื่อไม่โดนแสงแดด คุณก็ ผิวขาว ขึ้น
3.ขัดขี้ไคล ผิวจะขาวขึ้นตามธรรมชาติอย่างที่เราเป็น
4.ทายาผลัดขี้ไคล เช่น กรดวิตามินเอ วิตามินซี กรดผลไม้ กรดแล็กติก หรือครีมบำรุงผิว เพื่อให้ขี้ไคลหลุดเร็วขึ้นไม่แนะนำให้ทายายับยั้งกลไลการสร้างเม็ดสี เช่น อาร์บูติน ไฮโดรควิโนน ฯลฯ ที่มักใช้แก้ฝ้า แต่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก อาจเกิดรอยแดง จุดด่างดำ อย.ไม่อนุญาตให้ขายยาประเภทนี้ ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น

อะไรก็ตามที่ช่วยให้ผลัดเซลล์ผิวหรือกำจัดขี้ไคลจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายและทำให้ดู ผิวขาว ใสปลอดภัยอย่างเป็นธรรมชาติ ควรใช้ในปริมาณ เวลา ความถี่ที่เหมาะสม แต่อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนโครงสร้างเม็ดสีผิว ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมโดยแพทย์ เพราะไม่ปลอดภัย ผิวขาวขึ้นก็จริงแต่เกราะป้องกันผิวจะต่ำลง นำพาปัญหาผิวมาให้มากมายไม่รู้จบ 

ทำไงดี ผิวขาว จนผิวบาง?

ก่อนอื่นต้องเล่าถึง “ขี้ไคล” ก่อน ชั้นขี้ไคลจะอยู่บนผิวชั้นหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอกเกิดจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วเนื่องจากไม่มีสารอาหารและเลือดไปเลี้ยงและจะหลุดลอกออกทุก ๆ 2 – 4 สัปดาห์เป็นเรื่องปกติ ขี้ไคลและน้ำมันเคลือบผิวจะทำหน้าที่ควบคู่กันเพื่อเป็นเกราะป้องกันผิวจากฝุ่นละออง เชื้อโรค สารเคมี ไม่ให้ซึมผ่านไปทำร้ายผิวชั้นที่ลึกลงไป ถ้าวันใดไม่มีชั้นขี้ไคลและน้ำมันเคลือบผิว ผิวของเราจะอ่อนแอและระคายเคืองง่ายสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ใช้ครีมผลัดเซลล์ผิวให้ดู ผิวขาว ขึ้น ขัดผิวบ่อย ฯลฯ จนเราอาจรู้สึกกว่าผิวบาง แสบเวลาโดนแดด แดงง่าย ใช้อะไรผื่นก็ขึ้น ซึ่งเกิดจากชั้นขี้ไคลที่บางลง

วิธีดูแลชั้นขี้ไคลที่ถูกทำให้บางลง

1.ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานชั้นขี้ไคลก็จะกลับมาใหม่ เพราะเป็นวัฏจักรตามปกติ
2.ทาครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น น้ำมันเคลือบผิวก็จะกลับมาเอง

แต่ถ้าผิวบางลงถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดอย่างล้มถลอก น้ำร้อนลวกคอลลาเจนน้อยเมื่ออายุมากขึ้น คุณหมอมีคำแนะนำดังนี้
1.รักษาแผลให้หายสนิท ทาครีมรักษารอยแผลเป็น เพื่อให้เนื้อเยื่อที่เสียไปสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่อย่างแข็งแรง
2.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยความร้อนจากเลเซอร์
3.กินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับชั้นหนังแท้ที่มีคอลลาเจนและอีลาสติน ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อปลา ขาไก่ กระดูกอ่อนและทางที่ดีควรกินอาหารที่มีวิตามินซีร่วมด้วย จะทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ดีขึ้น

ฝ้า กระ จุดด่างดำ

เกิดจากการที่เม็ดสีใต้ผิวหนังเฉพาะจุดสร้างตัวเองมากผิดปกติ ส่วนจะรักษาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เม็ดสีผิวสะสมตัวใต้ผิวหนัง

วิธีป้องกันและแก้ปัญหา
1. ทาครีมกันแดดและไม่อยู่ใกล้ความร้อน ไม่มีสารกันแดดใดที่กันแดดได้ตลอดวันและบางครั้งพอโดนแดดมาก ๆ เข้า สารนั้นก็จะเสื่อมสภาพไป ภายหลังจึงมีผลิตภัณฑ์กันแดดบางยี่ห้อที่ใส่สารป้องกันความเสื่อมของสารกันแดดระหว่างวันลงไปด้วย จึงช่วยยืดอายุการป้องกันแสงแดดออกไปได้บ้าง

2. จิ้มด้วยกรด TCA สำหรับกระตื้น ๆ หรือถ้ามีหลุมสิวแต่ไม่ต้องการยิงเลเซอร์ราคาแพง แต่ต้องระวัง เนื่องจากกรดชนิดนี้อาจทำให้ผิวไหม้และเกิดแผลเป็นตามมาได้เช่นกัน

3. ทำเลเซอร์ เหมาะกับฝ้าหรือกระตื้น ๆ แต่หลังทำต้องหลบแดดอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์

4. ใช้เครื่องมือผลักยาไปยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ( ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งยา ) เพราะฝ้าลึกเกิดจากเมลานินที่อยู่ใต้ผิว การใช้ยาผลัดเซลล์ผิวด้านบนจึงไม่ช่วยอะไร แถมทำให้ผิวบาง โดนแดดเมื่อไรก็ทำให้ฝ้าและกระกลับมาได้ง่ายและเร็วขึ้น

เข่า ศอก ตาตุ่มดำด้าน

ปัจจุบันนี้เขาอาจจะฮิตอะไรที่เป็นสีดำด้านกัน เช่น รถ กระเป๋า แต่ถ้าเข่า ศอก ตาตุ่ม ดำและด้านนี่สิ จะทำยังไงดี ผิวบริเวณนี้ยิ่งแห้งง่ายอยู่ด้วย ยิ่งต้องบำรุงให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ใช้พวกครีมบำรุงผิวเพื่อความชุ่มชื้น เช่น ครีม Urea 20 % หาซื้อได้ตามร้านขายยา

1.ใช้ผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่ง เนื้อมะขามเปียกหรือเปลือกมะนาวมาพอกไว้ประมาณ 15 นาที ไม่ควรทิ้งไว้นานกว่านี้ เพราะอาจจะทำให้แสบหรือระคายเคืองได้แล้วค่อยล้างน้ำออกตามปกติ

2.สครับด้วยวาสลีนผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำผึ้ง ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป หลังจากนั้นทาครีมบำรุงผิวตามปกติ

3.แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการใช้รองพื้นที่มีสีเดียวกับสีผิว หรือจะใช้บีบีครีมหรือซีซีครีมทาตัวก็ได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009

ความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้ป่วยสมองเสื่อม

0
ความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้ป่วยสมองเสื่อม
บุคคลไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่มีจิตไม่ปกติหรือมีความพิการทางสมอง
ความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้ป่วยสมองเสื่อม
คนวิกลจริต เน้นไปที่ความผิดปกติทางด้านจิตใจเป็นหลัก อาจเรียกง่ายๆ ว่ากลุ่มคนสติวิปลาสหรือคนบ้า

โรคสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อม เป็นโรคที่มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก ตั้งแต่การค้นหาสาเหตุไปจนถึงลำดับการรักษา เพราะใจความสำคัญของโรคสมองเสื่อมมีเพียงแค่อย่างเดียว นั่นคือมีความเสียหายเกิดขึ้นที่สมองส่วนใดส่วนหนึ่ง จึงส่งผลกระทบทำให้ระบบการทำงานของสมองและร่างกายบกพร่องไป ในการรักษาผู้ป่วยแต่ละรายก็ต้องมีการตรวจวินิจฉัยกันอย่างละเอียดก่อนว่าความเสียหายของสมองนั้นคือบริเวณไหน และระดับความเสียหายมากเท่าไร ด้วยความที่ตำแหน่งของต้นเหตุและความรุนแรงของอาการที่ต่างกัน จะทำให้ต้องเลือกวิธีแก้ไขที่ต่างกันนั่นเอง

การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจึงเป็นการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 ฝ่ายคือ ตัวผู้ป่วยเอง ทีมแพทย์และญาติหรือผู้ดูแลใกล้ชิดของผู้ป่วย นอกจากเรื่องของการใช้นวัตกรรมการทางแพทย์รักษาในส่วนของโรค พร้อมกับการปรับตัวของผู้ป่วยและญาติที่ต้องเปลี่ยนแปลงกันยกใหญ่แล้ว ยังมีข้อกำหนดทางกฎหมายอีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึงด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างไรเสียผู้ป่วยก็อาจยังต้องทำกิจกรรมอื่นใดทางกฎหมายอยู่ และเพื่อไม่ให้การกระทำนั้นกลายเป็นโมฆะในภายหลังซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายบางประการ ก็ต้องทำความเข้าใจหลักการทำนิติกรรมของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเอาไว้ด้วย

โดยหลักทั่วไปบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะทำกิจกรรมใดๆ ก็ได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมไปถึงการทำสัญญาหรือนิติกรรมต่างๆ ด้วยแต่ในทางกฎหมายก็ได้มีข้อยกเว้นเอาไว้ในบุคคล 3 กลุ่มได้แก่ ผู้เยาว์ บุคคลไร้ความสามารถ และบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ เหตุผลก็คือคนกลุ่มนี้อาจมีสติสัมปชัญญะไม่เพียงพอขณะทำนิติกรรม หรือมีสุขภาพ ความประพฤติ ตลอดจนความนึกคิดต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำนิติกรรม จึงต้องมีผู้ดูแลช่วยจัดการให้แทน เพื่อคุ้มครองสิทธิและป้องกันความเสียหายอันจะเกิดกับคนทั้ง 3 กลุ่มและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นก่อนอื่นมาดูก่อนว่าบุคคลแบบไหนที่จะเข้าข่าย 3 กลุ่มที่จะหย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมกันบ้าง

บุคคล 3 กลุ่มที่หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรม

1. ผู้เยาว์ หมายถึง บุคคลที่อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ถือว่ายังมีวุฒิภาวะน้อยและอาจจะยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก การทำนิติกรรมสัญญาต่างๆ จึงต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นบิดามารดานั่นเอง และผู้เยาว์จะเริ่มทำนิติกรรมด้วยตัวเองเพียงลำพังได้ก็ต่อเมื่อบรรลุนิติภาวะที่อายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือมีการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วเท่านั้น

2. บุคคลไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่มีจิตไม่ปกติหรือมีความพิการทางสมอง ซึ่งศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว มีอาการควบคุมสติตัวเองไม่ได้และไม่สามารถเข้าใจถึงความผิดชอบชั่วดีได้อย่างคนปกติทั่วไป ทำกิจวัตรส่วนตัวไม่ได้ต้องมีคนคอยดูแลใกล้ชิดอยู่เสมอ กลุ่มนี้จะต้องมีผู้ทำนิติกรรมแทนทั้งหมดและบางอย่างก็ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนด้วย เราสามารถแยกคนกลุ่มนี้ให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นโดยแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้

2.1 คนวิกลจริต : เน้นไปที่ความผิดปกติทางด้านจิตใจเป็นหลัก อาจเรียกง่ายๆ ว่ากลุ่มคนสติวิปลาสหรือคนบ้า และต้องมีลักษณะ 2 ประการประกอบกันคือ

  • ต้องเป็นอย่างมาก คือ มีระดับความผิดปกติทางจิตใจที่รุนแรง ไม่รู้สิ่งใดผิดหรือถูก สติฟั่นเฟือน หลงๆ ลืมๆ จนก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้
  • ต้องเป็นประจำ คือ ความผิดปกติทางจิตใจที่เป็นอยู่นั้นต้องเป็นอยู่เรื่อยๆ อาจดีบ้าง สลับกับวิกลจริตบ้าง ไม่เกี่ยวกับว่าแต่ละครั้งที่จิตผิดปกติจะกินเวลานานเท่าไร แต่ต้องมีอาการมานานมากพอให้ระบุได้ว่าบุคคลนี้มีความวิกลจริต

2.2 คนไร้ความสามารถ : บุคคลที่หย่อนความสามารถเนื่องจากอาการทางจิต และถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว โดยที่ศาลจะต้องถูกร้องขอจากคนที่มีความสัมพันธ์กับบุคคลนั้น จึงจะออกคำสั่งได้ บุคคลที่มีสิทธิในการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ใครคนใดคนหนึ่งหลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ได้แก่

  • คู่สมรส โดยต้องเป็นลักษณะของการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย หากเป็นเพียงคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันธรรมดาหรือจัดพิธีแต่งงานเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจยื่นคำร้องได้
  • บุพการี หมายรวมทั้งบิดามารดา และเครือญาติสายเลือดเดียวกันที่ดูแลใกล้ชิดมาตลอด
  • ผู้สืบสันดาน ได้แก่ ลูกหลาน
  • ผู้ปกครอง ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลแทนกรณีไม่มีบิดามารดาหรือญาติพี่น้องอื่นๆ
  • ผู้พิทักษ์ คือผู้ควบคุมดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ เขายื่นคำร้องต่อศาลเมื่อผู้ที่อยู่ในความดูแลเกิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากคนเสมือนไร้ความสามารถกลายเป็นคนวิกลจริตหรือไร้ความสามารถขึ้นมา
  • พนักงานอัยการ

3. บุคคลเสมือนไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เพราะเล็งเห็นว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ตัดสินใจไปในทางที่ไม่ชอบได้ ได้แก่

3.1 บุคคลที่พิการทางกาย : จะเป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดจากอุบัติเหตุในภายหลังก็ได้

3.2 บุคคลที่มีจิตไม่สมประกอบ : มีอาการจิตเภทหรือสมองพิการ แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นวิกลจริต

3.3 มีความประพฤติที่สุรุ่ยสุร่าย : ใช้จ่ายเกินฐานะอยู่ตลอดเวลาจนสูญเสียทรัพย์สินไปเป็นอันมาก

3.4 ติดสุราหรือสารเสพติด : ต้องถึงขั้นที่ไม่สามารถดูแลงานที่เป็นหน้าที่ของตัวเองได้

จะเห็นว่าเมื่อแจกแจงรายละเอียดออกมาจนหมดแล้ว ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก็มีโอกาสที่จะเข้าข่ายผู้หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมตามกฎหมายได้ถึง 2 กลุ่มด้วยกัน นั่นคือ กลุ่มบุคคลไร้ความสามารถและกลุ่มบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ

ผลของการไร้ความสามารถในการทำนิติกรรม

เมื่อเข้าข่ายของผู้ที่หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมแล้ว ก็ต้องปรับตัวไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดทางกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดให้มีผู้แทนโดยชอบธรรมรับหน้าที่ดูแลนิติกรรมทั้งหมดของผู้ไร้ความสามารถในการทำนิติกรรม จะเป็นบิดามารดา สามีภรรยา หรือคนอื่นที่ใกล้ชิดกันก็ได้ตามแต่ความประสงค์ของผู้ไร้ความสามารถและผู้ดูแล ตลอดจนได้รับความเห็นชอบจากศาลด้วย หากผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมีระดับอาการที่ไม่รุนแรงมากและบังเอิญเข้าข่ายกลุ่มคนเสมือนไร้ความสามารถ ก็จะสามารถทำนิติกรรมบางอย่างได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใดเลย ยกเว้นนิติกรรมที่เห็นชัดเจนว่าเมื่อทำแล้วเกิดความเสียหายต่อผู้ใดแม้แต่คนเดียว หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินก็จะต้องได้รับความยินยอมเสียก่อน ยังมีการทำนิติกรรมที่ละเอียดมากไปกว่านั้นอีกก็คือ บุคคลวิกลจริตหรือไร้ความสามารถที่มีความผิดปกติตามเงื่อนไขของผู้หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมแล้ว แต่ยังไม่มีการร้องขอต่อศาลและศาลยังไม่ได้มีคำสั่งให้เป็นผู้ไร้ความสามารถตามกฎหมาย ก็อาจทำนิติกรรมและมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายได้ในบางกรณี ตัวอย่างเช่น

กรณีที่ 1 : ถ้าการทำนิติกรรมระหว่างบุคคลวิกลจริตกับบุคคลปกติเกิดขึ้นในช่วงที่บุคคลวิกลจริตนั้นไม่มีอาการ หมายความว่ามีจิตที่เป็นปกติดีทุกอย่าง และผู้ที่เป็นคู่กรณีในการทำนิติกรรมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นบุคคลวิกลจริต แบบนี้นิติกรรมนั้นก็ถือว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์มีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย

กรณีที่ 2 : ถ้าการทำนิติกรรมระหว่างบุคคลวิกลจริตกับบุคคลปกติเกิดขึ้นในช่วงที่บุคคลวิกลจริตนั้นมีอาการจิตไม่ปกติ และผู้ที่เป็นคู่กรณีก็ล่วงรู้ดีอยู่ในเรื่องนี้ แต่มีเจตนาให้การทำนิติกรรมนั้นเกิดขึ้น แบบนี้จะถือว่าสัญญาข้อตกลงใดๆ ก็ตามนั้นกลายเป็นโมฆะไปเสีย

ต่างกันกับกรณีของบุคคลที่ศาลสั่งแล้วว่าเป็นบุคคลที่เข้าข่ายกลุ่มคนไร้ความสามารถ ไม่ว่าจะทำนิติกรรมอะไร และทำเมื่อไรก็ตาม ทั้งในช่วงเวลาที่จิตปกติและจิตไม่ปกติ นิติกรรมทั้งหมดล้วนกลายเป็นโมฆะทั้งสิ้น

การปรับตัวของญาติเกี่ยวกับการทำนิติกรรมของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม

การแยกแยะผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมว่าเป็นผู้หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมหรือไม่คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก แต่ที่ต้องปรับกันยกใหญ่คงจะเป็นฝ่ายของญาติหรือผู้ดูแลซะมากกว่า เพราะจากสถิติปัจจุบันพบว่าญาติผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมส่วนมากไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องการทำนิติกรรมของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอย่างถูกต้องมากนัก อาจมีเพียงร้อยละ 50 ของทั้งหมดเท่านั้นเอง หนึ่งในสาเหตุหลักก็คือกฎหมายมักใช้ภาษาที่เข้าใจยากและบางครั้งเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวแต่หาความกระจ่างชัดได้ยาก แม้แต่กลุ่มคนในวงการกฎหมายเองก็อาจจะไม่สามารถตอบคำถามได้ทุกประเด็น ความยุ่งยากและความเหน็ดเหนื่อยจากการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก็กินเวลาในแต่ละวันไปมากแล้ว ญาติหรือผู้ดูแลส่วนใหญ่จึงไม่อาจหาเวลาเพื่อไปศึกษาข้อบทกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ อย่างไรก็ตามเมื่อกิจกรรมบางอย่างที่ทำนั้นมีปัจจัยด้านกฎหมายมาเกี่ยวข้อง ก็เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่ทำความเข้าใจและหาความรู้ในด้านนี้

ความสำคัญของการเรียนรู้กฎหมายในการทำนิติกรรมของญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ได้แก่

  • เพื่อให้การดูแลรับผิดชอบทำนิติกรรมแทนผู้ป่วยนั้นเป็นไปอย่างชอบธรรม และมีผลบังคับใช้ถูกต้องตามกฎหมาย
  • เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด หรือปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง เช่น การถูกฟ้องร้องหรือคดีพลิกไปในทางที่ไม่ดี
  • เพื่อช่วยคุ้มครองทรัพย์สินของผู้ป่วย ไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลอื่นได้
  • เพื่อให้กิจกรรมบางอย่างสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างสมบูรณ์
  • เพื่อป้องกันความเสียหายจากการไม่ทำนิติกรรม ทั้งต่อผู้ป่วยเองและต่อผู้อื่นด้วย

จะเห็นว่านี่เป็นประเด็นที่สำคัญซึ่งละเลยไม่ได้ ญาติหรือผู้ดูแลจึงต้องปรับทัศนคติต่อการเรียนรู้กฎหมายการทำนิติกรรมของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ด้วยการเปิดใจที่จะเรียนรู้เสียก่อน แม้ภาษาหรือข้อกำหนดจะดูยุ่งยากไปบ้าง แต่ก็คงไม่มีสิ่งใดที่จะเกินความสามารถของมนุษย์ไปได้ อีกด้านหนึ่งก็คงเป็นความสนับสนุนจากสังคมหรือหน่วยงานรอบข้าง เช่น โรงพยาบาลเฉพาะทางเกี่ยวกับสมองควรมีการให้ความรู้ และกระตุ้นให้เกิดความสนใจในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมากขึ้น อาจจัดทำให้เป็นรูปแบบของเอกสารหรือหนังสือคู่มือแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมด้านกฎหมายก็ได้ พร้อมทั้งควรมีศูนย์ให้คำแนะนำกรณีพิเศษเพื่อให้ญาติหรือผู้ดูแลสามารถเข้าไปขอรับคำปรึกษาในส่วนที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วย

ทั้งตัวผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมและครอบครัวจะต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงมากมายในเวลาเดียวกัน ส่วนของการรักษาร่างกาย การบำบัดจิตใจก็ส่วนหนึ่ง การรับผิดชอบต่อสังคมหรือการรักษาสิทธิที่พึงได้ก็อีกส่วนหนึ่ง จะขาดหรือพร่องส่วนใดไปไม่ได้เลย สิ่งหนึ่งที่พอจะช่วยแบ่งเบาไม่ให้เกิดภาระหนักหนาจนเกินไป ก็คือหมั่นสังเกตคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือกลุ่มคนที่สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อม ว่าเขามีอาการใดที่ผิดปกติไปหรือไม่ มีอารมณ์ไม่คงที่ มีอาการหลงๆ ลืมๆ หรือไม่ อย่าได้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นตามวัย ให้รีบเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาจะได้ตรวจสอบปัญหาและเร่งแก้ไขโดยเร็ว เพราะโรคสมองเสื่อมนั้น ยิ่งรู้เร็วก็ยิ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

4 พฤติกรรมและอาการประสาทจิตเวชที่เกิดจากสมองเสื่อม

0
4 พฤติกรรมและอาการประสาทจิตเวชที่เกิดจากสมองเสื่อม
อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล เมื่อสมองเสื่อมเข้าสู่ระดับรุนแรงความวิตกกังวลก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าอาการซึมเศร้า
4 พฤติกรรมและอาการประสาทจิตเวชที่เกิดจากสมองเสื่อม
ประสาทหลอนทางการเห็น จะเห็นภาพต่างๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่นมีคนจะมาทำร้าย

สมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมเป็นคำเรียกโดยรวมของโรคที่เกิดจากความเสียหายของสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วส่งผลกระทบต่อการกระทำ การแสดงออก ความคิดและการตัดสินใจของผู้ป่วย เมื่อเราลงรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมกันอีกนิด ก็จะพบว่าภาวะสมองเสื่อมนี้ยังแตกแขนงไปได้อีกหลายประเภท ซึ่งนั่นหมายความว่าอาการของโรคก็จะแตกต่างกันไปด้วย บางกลุ่มของโรคแทบไม่แสดงอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนเลยในระยะแรกถึงระยะกลาง กว่าผู้ป่วยจะถูกพาตัวมารักษาก็เกือบจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว ในขณะที่บางกลุ่มของโรคก็แสดงอาการชัดเจนเลยตั้งแต่เริ่มต้นจึงทำการรักษาได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้ายของภาวะสมองเสื่อมก็คือทำให้เกิดการถดถอยของสมรรถภาพของสมองทำให้เกิดอาการทางจิตนั่นเอง

พฤติกรรมและประสาทจิตเวชอันเนื่องมาจากภาวะสมองเสื่อม หรือบีพีเอส ( Behavioral and Psychiatric Symptoms:BPS ) เป็นอีกหนึ่งอาการของภาวะสมองเสื่อมที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างโรคสมองเสื่อมกับโรคอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง เพราะสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออกนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกัน ทั้งในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่ได้มีภาวะสมองเสื่อม แต่เมื่อวินิจฉัยได้แน่นอนแล้วว่าเป็นอาการจิตประสาทที่เกิดจากความถดถอยทางสมรรถภาพของสมอง บีพีเอสจะกลายกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แพทย์ตีกรอบเพื่อระบุภาวะสมองเสื่อมได้แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นผลดีอย่างมากต่อการรักษาผู้ป่วยต่อไป

พฤติกรรมและประสาทจิตเวชอันเนื่องมาจากภาวะสมองเสื่อม หรือบีพีเอส ( Behavioral and Psychiatric Symptoms:BPS ) สามารถแบ่งลักษณะอาการเด่นๆ ได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอาการโรคจิต กลุ่มอาการผิดปกติทางอารมณ์ กลุ่มพฤติกรรมอันเนื่องมาจากสมองกลีบหน้าทำงานบกพร่อง และกลุ่มที่เกี่ยวกับปัญหาการนอนหลับ

โดยที่ในแต่ละกลุ่มไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์ที่แน่ชัดว่ากลุ่มใดจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นได้มากกว่า ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งวัย ระดับความรุนแรงของความเสียหายในสมอง และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แต่ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการอยู่ในกลุ่มไหนก็ล้วนสร้างปัญหาให้ผู้ดูแลทั้งสิ้น หลายรายเมื่อต้องรับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยไปนานๆ ก็จะรู้สึกเป็นภาระและเกิดโรคซึมเศร้าขึ้น แม้แต่ตัวผู้ป่วยเองอาการ BPS ก็กระตุ้นให้ความเสื่อมทางสมองทรุดหนักลงอีกหากไม่มีการจัดการทางความคิดหรือพฤติกรรมการแสดงออกที่ดีพอ

กลุ่มเสี่ยงที่เป็นอาการประสาทจิตเวช

1. กลุ่มอาการโรคจิต ( Psychotic Symptoms )

เป็นกลุ่มของอาการทางจิตประสาทของผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคจิตหรือผู้ป่วยจิตเภท ( Schizophrenia ) แต่จะไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านการวินิจฉัยโรคและวิธีดำเนินการรักษา จุดที่ใช้สังเกตเพื่อแยกแยะผู้ป่วยโรคจิตเภทออกจากผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก็คือ ในผู้ป่วยจิตเภทพบเจอลักษณะอาการที่อยู่ในกลุ่มอาการโรคจิตหลากหลายกว่า และพบได้ในผู้ป่วยจิตเภทตั้งแต่ช่วงระยะต้นๆ ในขณะที่เมื่อพูดถึงกลุ่มอาการโรคจิตในผู้ป่วยสมองเสื่อม ประเด็นที่เรามักจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษมีเพียง 2 ประเด็นเท่านั้น ก็คือ อาการหลงผิด ( Delusion ) และประสาทหลอน ( Hallucination ) ทั้งสองอย่างนี้พบได้น้อยมากในผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น แต่กลับพบได้บ่อยมากในผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะรุนแรง ลักษณะของอาการเป็นแบบขึ้นๆ ลงๆ ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ว่าจะเกิดเมื่อไร อย่างไร

1.1 อาการหลงผิด ( Delusion ) เป็นความผิดปกติของระบบความคิด จุดเด่นของอาการกลุ่มนี้คือการมีความเชื่อที่ไม่เป็นจริง และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย นั่นจึงเป็นต้นเหตุของปัญหาและความเครียดที่จะตามมาในส่วนของตัวผู้ป่วยเองและญาติที่ดูแลใกล้ชิด อาการหลงผิดยังสามารถแยกย่อยเป็นประเด็นต่างๆ ได้อีกดังนี้

  • อาการหลงผิดชนิดไม่วิตถาร ( Non-bizarre delusion ) : หมายถึงอาการหลงผิดแบบที่ยังพอเข้าใจได้ว่าผู้ป่วยกำลังคิดหรือวิตกกังวลเรื่องอะไร ได้แก่ มีความเชื่อว่ามีคนปองร้ายอยู่ตลอดเวลา ( persecutory delusion ) จึงระแวงและหวาดกลัวจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ บ้างมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นไม่ยอมก้าวออกจากบ้านอีกเลย เชื่อว่ามีคนปลอมตัวมาเป็นญาติหรือเพื่อนของตนของตน ( Capgras delusion ) ส่งผลให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดูแล เพราะผู้ป่วยจะไม่ไว้วางใจคนใกล้ชิดและไม่ยอมให้เข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวเลย เชื่อว่ามีคนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน ( phantom boarder syndrome ) เชื่อว่าสมบัติถูกขโมย ( delusion of theft ) และเชื่อว่าคู่ชีวิตหรือคู่สมรสนอกใจ ( jealousy delusion ) อาการหลงผิดกรณีต่างๆ มีปัจจัยหนึ่งทางจิตวิทยาที่มีแนวโน้มในการเกิดระบุเอาไว้ด้วย นั่นคือเรื่องของความผูกพันธ์กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากๆ เช่น ผู้ป่วยที่รักคู่ชีวิตของตัวเองมากๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดอาการที่เชื่อว่าคู่ชีวิตหรือคู่สมรสนอกใจ ( jealousy delusion ) หรือคนที่ยึดติดกับทรัพย์สิน เป็นคนหวงของ เป็นคนให้ความสำคัญกับเงินทองที่มีอยู่มาก ก็อาจเกิดอาการเชื่อว่าสมบัติถูกขโมย (delusion
    of theft) เป็นต้น
  • อาการหลงผิดชนิดวิตถาร ( bizarre delusion ) : หมายถึงอาการหลงผิดแบบที่แปลกประหลาด ไม่สามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย ไม่มีความเป็นไปได้ในโลกความจริงเลย

1.2 ประสาทหลอน ( hallucination ) อาการหลอนจะต่างกับอาการหลงผิดตรงที่ไม่ได้เกี่ยวกับระบบความคิด แต่เป็นความผิดปกติทางการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส และการรับรส ผู้ป่วยอาจมีอาการประสาทหลอนแบบใดแบบหนึ่ง หรือมีอาการประสาทหลอนพร้อมกันหลายๆ แบบก็ได้เช่นกัน ลักษณะอาการสำคัญก็คือรับรู้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งสามารถแยกเป็นกรณีต่างๆ ได้ดังนี้

  • ประสาทหลอนทางการเห็น ( Visual hallucination ) : การมองเห็นภาพต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้น เช่น เห็นคนที่ตายไปแล้ว เห็นคนร้ายจะเข้ามาเอาชีวิต เห็นสีสันที่ผิดเพี้ยน เห็นสิ่งของเคลื่อนไหวได้เอง เป็นต้น
  • ประสาทหลอนทางการได้ยิน ( Auditory hallucination ) : คำที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ หูแว่ว เป็นการได้ยินเสียงแปลกๆ ที่คนอื่นไม่ได้ยินแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เช่น ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ได้ยินเสียงหัวเราะ โดยที่ไม่มีต้นเสียงที่แท้จริง เป็นต้น
  • ประสาทหลอนทางการรับกลิ่น ( Olfactory hallucination ) : การได้กลิ่นบางอย่างทั้งๆ ที่ไม่มีต้นตอของกลิ่น และผู้อื่นไม่ได้กลิ่นนั้น เช่น ได้กลิ่นเน่าเหม็น ได้กลิ่นน้ำหอม ได้กลิ่นอาหาร เป็นต้น
  • ประสาทหลอนทางการรับรส ( Gustatory hallucination ) : เป็นอาการเกิดรสชาติแปลกที่ลิ้น เช่น รสเปรี้ยว รสขม หรือแม้แต่รสชาติที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นรสแบบไหน เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ทานอาหารหรือมีสิ่งเร้าอื่นๆ
  • ประสาทหลอนทางการสัมผัส ( Tactile hallucination ) : การรู้สึกเหมือนโดนสัมผัสแต่ก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งไหนเลย เช่น รู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่ตามแขน รู้สึกเหมือนโดนจับ รู้สึกคันตามผิวหนังทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งเร้า เป็นต้น

2. กลุ่มอาการด้านอารมณ์ ( Mood Symptoms )

ผู้ป่วยสมองเสื่อมแม้จะไม่ได้สนใจเรื่องของพฤติกรรมและอาการทางประสาทจิตเวชเลย ก็จะมีความแปรปรวนทางอารมณ์อยู่แล้ว เนื่องจากความรู้สึกของคนที่เคยคิดและตัดสินใจได้อย่างดี กลับต้องมาเกิดความบกพร่องบางอย่างจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายดายเหมือนเดิม ก็จะเกิดความตึงเครียดอยู่แล้ว แต่เมื่อเราเจาะจงวิเคราะห์ที่ประเด็นของกลุ่มอาการด้านอารมณ์ ( mood symptoms ) ก็จะพบว่า สัญญาณเด่นที่เกิดในผู้ป่วยสมองเสื่อมซึ่งแสดงอาการให้เห็นก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมเสียอีก นั่นก็คือ อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล เมื่อสมองเสื่อมเข้าสู่ระดับรุนแรงความวิตกกังวลก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าอาการซึมเศร้า นอกจากนี้จะเป็นความเฉยเมย ขาดความกระตือรือร้นในสิ่งที่เคยชื่นชอบ เริ่มนับถือตัวเองน้อยลง เศร้าหมองได้ง่าย รู้สึกผิดกับเรื่องเล็กน้อย และท้ายที่สุดคืออยากฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง หากเทียบอาการซึมเศร้าที่เกิดในผู้ป่วยสมองเสื่อม ลักษณะการเกิดจะแสดงอาการบ่อยครั้งแต่ไม่หนักหนาเท่ากับคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ยิ่งกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าซึ่งเป็นผู้สูงอายุด้วยแล้ว ยิ่งต้องได้รับการรักษาและดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเกือบทั้งหมดจะมีพยาธิสภาพในสมองร่วมด้วย ได้แก่ ภาวะสมองเสื่อม และโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจุบันแม้ว่าจะยังไม่สามารถระบุแบบชัดเจนได้ว่ากลุ่มอาการด้านอารมณ์ที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยสมองเสื่อม จะเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของพยาธิสภาพในสมองส่วนไหน แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเกิดจาก hypometabolism ที่สมองส่วน frontal และ anterior cingulate gyrus หรืออาจเป็นที่สมองส่วน parietal และ right temporal region ก็ได้

3. กลุ่มอาการ Vegetative

กลุ่มนี้จะเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของสมองให้ด้านการรับรู้มิติสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือเชื่อมโยงกับ Visuospatial ที่ลดลง อาการที่แสดงออกมาจึงมีหลากหลายรูปแบบ มีตั้งแต่เกิดความกระวนกระวายใจ พลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีลักษณะของความก้าวร้าวที่เด่นชัด เช่น การแต่งกายที่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะอย่างรุนแรง ลุกเดินไปมาในยามวิกาล เคลื่อนที่ไปมาแบบไร้จุดหมาย ( Wandering ) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกว่าต้องไป ต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรือต้องการอะไรกันแน่ จึงออกมาในรูปแบบที่ว่าลุกเดินไปก่อน ทำหรือแสดงออกไปก่อน เป็นต้น อาการเหล่านี้มักพบในผู้ป่วยสมองเสื่อมขั้นรุนแรง แต่ยังมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงดีอยู่ ไม่ได้มีโรคแทรกซ้อนทางกายมากนัก อาจพูดได้ว่าเป็นปฏิกิริยาที่พยายามกระตุ้นตัวเองของผู้ป่วยเพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวมากขึ้นนั่นเอง แต่จะต่างออกไปในผู้ป่วยสมองเสื่อมที่มีอาการเจ็บป่วยทางร่างกายร่วมด้วย กลุ่มนี้จะเปลี่ยนเป็นการถามซ้ำๆ พูดย้ำข้อความเดิม เรียกร้องความสนใจตลอดเวลา เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการนอนหลับที่ผิดปกติ วงจรการนอนหรือ Sleep-Wake Cycle ผิดแปลกไปจากปกติที่ควรเป็น ซึ่งหลายครอบครัวมองว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะร่างกายต้องการการพักผ่อนที่น้อยลง ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าร่างกายไม่จำเป็นต้องพักผ่อนมากเท่าเดิม แต่เป็นเพราะสุขภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์แข็งแรงเท่าเดิมต่างหากที่ทำให้วงจรการนอนนั้นเปลี่ยนแปลงไป หลายคนชอบงีบหลับในตอนกลางวัน และหลับยากในช่วงกลางคืน มีอาการหลับๆ ตื่นๆ จึงพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจมีอาการนอนกรนร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาทั้งต่อผู้ดูแลและตัวผู้ป่วยเอง เพราะฝ่ายผู้ดูแลก็บริหารเวลาลำบาก ร่างกายทรุดโทรม จิตใจหดหู่และตึงเครียด ฝ่ายผู้ป่วยเองก็กระตุ้นให้ภาวะสมองเสื่อมนั้นแย่ลงเรื่อยๆ

4 กลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับความบกพร่องของสมองกลีบหน้า

กลุ่มนี้เราอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่ แบบที่มีความก้าวร้างทั้งทางกายภาพและวาจา และแบบที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ หงุดหงิดได้ง่าย

  • การก้าวร้าวทางกายภาพและทางวาจา ( Physical and verbal aggression ) : ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมชอบกัด ข่วน เตะ ตี ทำลายข้าวของ ด่าทอ กรีดร้อง เป็นอาการที่เจอในผู้ป่วยสมองเสื่อมระดับรุนแรง เพราะเป็นช่วงที่มีความวิตกกังวลและความเครียดสูงมาก เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าถูกล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว ก็จะตอบโต้ด้วยความก้าวร้าวดังกล่าว และการแสดงออกจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นถ้าหากเดิมทีผู้ป่วยเป็นคนก้าวร้าวโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
  • การมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย และขาดความยับยั้งชั่งใจ ( Irritability and disinhibition ) : ประเด็นนี้ค่อนข้างอันตรายต่อตัวผู้ป่วยและผู้อื่นพอสมควร เพราะเมื่อขาดความยับยั้งชั่งใจแล้ว ผู้ป่วยจะไม่สามารถหักห้ามใจในอารมณ์ทางเพศได้ ลักษณะที่พบได้คือ การอวดอวัยวะเพศของตนเอง ( self-exposure of genitalia ) การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองบ่อยๆ ( compulsive masturbation ) พูดจาแทะโลมไปจนถึงล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น นอกจากนี้คือเจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา อาจจะส่งเสียงดังด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด หรือนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปเลยก็ได้

แนวทางในการรักษาอาการแบบไม่ใช้ยา

อาการซึมเศร้า : ส่งเสริมให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกด้อยค่าหรือหมดศรัทธาในตัวเอง สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และได้ทำในกิจกรรมที่ชื่นชอบ ยิ่งถ้าเป็นกิจกรรมที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวหรือคนที่รักก็ยิ่งดี

อาการเฉยเมย : ในเมื่อผู้ป่วยมักจะไม่สนใจสิ่งรอบตัว จึงต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออกไม่ใช่การแกล้งทำและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยในผู้ป่วยสมองเสื่อม ใช้ดนตรีเข้าช่วยในการกระตุ้นความรู้สึกและฝึกสมาธิในช่วงสั้นๆ

อาการประสาทหลอน : หมายรวมทั้งอาการหลอนในการมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสและการลิ้มรส ให้ผู้ดูแลหมั่นสังเกตลักษณะอาการหลอนที่เกิดขึ้น ว่ามีสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้นหรือไม่ แล้วจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น เช่น การเห็นภาพหลอน ผู้ป่วยอาจจะมองเห็นไม่ชัดด้วยระยะสายตาที่เปลี่ยนไปและมีความวิตกกังวลอยู่ตลอด ก็ส่งผลให้เกิดภาพหลอนขึ้นได้ในบางจังหวะ แบบนี้ก็แก้ด้วยการหาแว่นตาหรือเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อช่วยให้การรับรู้ของผู้ป่วยดีขึ้น เป็นการลดอาการประสาทหลอนได้ทางหนึ่ง

ปัญหาการนอน : เริ่มจากปรับสภาพแวดล้อมของห้องนอนให้เหมาะสม ไร้เสียงดัง ไร้แสงสว่างรบกวน ไม่อุดอู้แออัด อากาศถ่ายเทได้สะดวก ส่วนในเวลากลางวันที่ไม่ใช่เวลานอนก็สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีกิจกรรมทำระหว่างวันมากขึ้น นอกจากนี้ก็เป็นการทานอาหารเสริมที่ช่วยเรื่องการนอนให้หลับสบายขึ้นได้

กล่าวโดยสรุปของการรักษาแบบไม่ใช้ยา หัวใจสำคัญคือเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมให้มาก ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยให้มากเป็นพิเศษ ตลอดจนต้องพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เพื่อบำบัดอย่างสม่ำเสมอด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

ดวงตา ส่งผลต่อรูปลักษณ์และรูปลักษณ์ส่งผลต่อชีวิต

0
ดวงตาส่งผลต่อรูปลักษณ์และรูปลักษณ์ส่งผลต่อชีวิต
ตา เป็นอวัยวะสำคัญใช้รับแสงสะท้อนของร่างกาย ทำให้สามารถมองเห็น และรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว
ดวงตาส่งผลต่อรูปลักษณ์และรูปลักษณ์ส่งผลต่อชีวิต
ตา เป็นอวัยวะสำคัญใช้รับแสงสะท้อนของร่างกาย ทำให้สามารถมองเห็น และรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว

ดวงตา

ดวงตา บ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึก แววตาสามารถแสดงออกสื่ออารมณ์โกรธ ทั้งเศร้า เหงา ทุกข์ กังวล หรือแม้กระทั่งความรู้สึก ความสุข หรือเสียใจ

ดวงตา ในอุดมคติเป็นอย่างไร?

1. หางคิ้ว หางตา และปีกจมูกต้องอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
2. หางตาเฉียงขึ้นเล็กน้อยจะดูสวยกว่าหางตาตรงและชั้นตาควรกว้าง 1 – 1.5 มิลลิเมตร จึงจะเป็นขนาดที่พอดี
3. ความยาวของ ดวงตา และระหว่างตาคือ 3 เซนติเมตร

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขนาดของ ดวงตา ในอุดมคติควรมีความยาวของดวงตาและระหว่างดวงตาเท่ากัน กล่าวคือดวงตาของสาวงามจะต้องมีความยาวดวงตาและระยะห่างระหว่างดวงตา 3 เซนติเมตรและระยะห่างระหว่างตา 2 ข้างนี้ จะต้องเท่ากับความกว้างของปีกจมูก

ถ้าหัวคิ้ว หัวตา และปิกจมูกอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน หางคิ้ว หางตา และปีกจมูกก็ควรอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันด้วย หางตาควรเฉียงขึ้นเล็กน้อย สูงกว่าหัวตาประมาณ 5 องศา ชั้นตากว้าง 1 – 1.5 มิลลิเมตร จึงจะถือว่าเป็นดวงตาที่สวยงามได้สมดุล

ดวงตาสวยมีลักษณะอย่างไร ?

1. ดวงตา สดใสเปล่งประกายเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้
การศัลยกรรม ดวงตา เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ เพราะดวงตาไม่สามารถปิดบังความรู้สึกได้ สิ่งที่สะท้อนมาจากดวงตาจึงบอกทุกอย่างในตัวของคนคนนั้น ดวงตาทำหน้าที่สำคัญในการสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ ตาตี๋เล็กและเปลือกตาบวมทำให้ดูไม่สดใสหรือดูง่วงนอน ส่วนหางตาชี้ขึ้นก็ทำให้ดูเป็นคนความรู้สึกไวและเถรตรง

ในทางตรงกันข้ามถ้าหากตาตกก็จะทำให้ดูเศร้าและขาดความมั่นใจ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มาโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาเรื่องการทำศัลยกรรมดวงตาว่าอยากให้ตาโตขึ้น การทำให้ ดวงตา โตขึ้นมีวิธีการหลักคือทำตาสองชั้น ผ่าเปิดหัวตาและผ่าเปิดหางตา การผ่าตัดทำตาสองชั้นจะทำให้ตาโตขึ้น 20% แต่คนส่วนใหญ่จะไม่พอใจเพียงแค่นี้และมักผ่าเปิดหัวตากับหางตาร่วมด้วย

เมื่อผ่าตัดเปิดหัวตา ตาจะดูโตขึ้นเพราะหนังตาที่เปิดบริเวณหัวตาถูกตัดออกไป โดยเฉพาะหากผ่าเปิดหางตาร่วมด้วย หลังจากผ่าตัดเปิดหางตาแล้วมีโอกาสถึง 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ที่ผิวบริเวณหางตาจะสมานกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เพื่อแก้ปัญหาการผ่าเปิดหางตา ปัจจุบันใช้เทคนิคการผ่าเปิดหางตาแบบไม่ติด โดยใช้ไหมเย็บดึงหางตาบริเวณขนตาบนขึ้น 3 มิลลิเมตร โดยไม่ต้องผ่า หางตาจะยาวขึ้นและคงรูป โดยที่ไม่เห็นขอบตาสีแดงหรือรอยแผลเป็น และตาจะดูโตอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป

หากทำถุงใต้ตาเหมือนบาร์บี้ หนา 3 มิลลิเมตร ที่ขอบตาล่างร่วมด้วย ดวงตา จะดูโตและคมยิ่งขึ้น คนที่มีหนังตาหย่อนคล้อยจนบังลูกตา สามารถทำให้หนังตากลับมาตึงด้วยการผ่าตัดแก้ไขดวงตา ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นตาขาวมากขึ้น และทำให้ตาดูโต [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. ดวงตาแสนซนเหมือนตาแมว
การศัลยกรรม ดวงตา เหมือนตาแมว น่าจะยาวรีเหมือนแมวดูมีเสน่ห์และเซ็กซี่ ถ้าหากศัลยกรรมดวงตาให้เหมือนตาแมวจะต้องผ่าเปิดหัวตาร่วมด้วย การผ่าเปิดหัวตาเพื่อตัดหนังตาที่ปิดหัวตาออก จะช่วยให้ดวงตาดูยาวและสดใสขึ้น แม้ไม่ได้ผ่าตัดทำตาสองชั้น

3. ตาลูกหมาดูฉลาดแสนซน
การศัลยกรรม ดวงตา เหมือนตาลูกหมา ความประทับใจในดวงตาที่โตเกินปกติของตัวการ์ตูน ทำให้สาววัยใสทุกคนอยากมีตาโต ๆ แบบนั้นบ้าง ผู้ชายเกิน 70% ชอบผู้หญิงที่มีดวงตากลมเหมือนลูกหมาซึ่งเปี่ยมด้วยความรู้สึก ดวงตาแบบลูกหมาจึงยังเป็นที่ชื่นชอบ

การผ่าตัดศัลยกรรม ดวงตา เหมือนลูกหมา ก่อนอื่นต้องใช้วิธีทําตาสองชั้นแบบเย็บจุดเดียวหรือการกรีดให้เหมาะกับดวงตาของตัวเอง ชั้นตาต้องหนาคม ยิ่งปัจจุบันคนนิยมทำศัลยกรรมตาให้ดูคมขณะที่ยังดูอ่อนโยน ดวงตาใสซื่อแบบลูกหมาจะช่วยให้หน้าดูเด็กลงด้วย

การทำศัลยกรรมดวงตามีอะไรบ้าง

1. การเย็บหลายจุดแบบธรรมชาติ

วิธีศัลยกรรมตาสองชั้นให้ดูเป็นธรรมชาติด้วยการร้อยไหมเย็บที่ด้านในของหนังตาเพื่อสร้างชั้นตา ต่างจากการเย็บ 1 จุดด้วยการฝังปมไหมแบบวิธีเดิม

วิธีการเย็บหลายจุดนี้ช่วยแก้ไขข้อเสียของการเย็บ 1 จุดแบบเดิมที่ฝังปมไว้ใต้หนังตาเพื่อให้เกิดชั้นตา โดยจะสร้างชั้นตาให้ดูเป็นธรรมชาติด้วยการร้อยไหมเย็บยืดกล้ามเนื้อกับหนังตาเข้าด้วยกันเพียงแค่เจาะรูเล็ก ๆ จึงแทบจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ แต่เนื่องจากมีการเย็บภายนอกจึงมีโอกาสสูงที่ชั้นตาจะคลายออก ใช้เวลาผ่าเพียง 30 นาที และใช้ยาชาเฉพาะที่ จึงสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที และตัดไหมหลังจากผ่าตัด 3 – 5 วัน

การเย็บหลายจุดแบบธรรมชาติเหมาะกับใคร?
1. คนที่ต้องการตาสองชั้นที่ดูเป็นธรรมชาติ
2. คนที่ไม่ต้องการให้เห็นรอยเย็บเวลาหลับตา
3. คนที่มีหนังตาบางและหนังตาไม่ตก
4. คนที่ไม่อยากมีรอยแผลเป็น
5. คนที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน ๆ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. การเย็บจุดเดียวอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้ทำศัลยกรรม

การเย็บจุดเดียวโดยไม่ต้องกรีดผิวหนัง ดูเป็นธรรมชาติและบวมน้อย วิธีนี้เรียกอีกชื่อว่า Scarless ทำได้โดยการฝังปมไหมสร้างชั้นตาขึ้นมา มีรอยรูเล็ก ๆ เพียงเล็กน้อยโดยไม่จำเป็นต้องกรีดผิวหนัง รอยแผลจึงเล็กและหายเร็วดูเป็นธรรมชาติ
วิธีเย็บจุดเดียวจะใช้แรงจากไหมทำให้เกิดชั้นตา เมื่อเวลาผ่านไปชั้นตามีโอกาสเปลี่ยนหรือคลายออก แต่สามารถผูกปมไหมในหนังตาใหม่ให้แน่นขึ้นอีกครั้ง เพียงเท่านี้ชั้นตาก็จะไม่คลายออก แม้หลังผ่าตัดแล้วก็ยังสามารถแก้ไขชั้นตาได้ จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

วิธีการนี้จะใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 30 นาทีและใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันทีและไม่ต้องตัดไหม แต่คนที่มีไขมันที่หนังตาหนา มีโอกาสสูงที่ชั้นตาจะคลายออก จึงควรทำศัลยกรรมตาด้วยวิธีกรีดจะดีกว่า

การเย็บตาจุดเดียวเหมาะกับใคร

1. คนที่มีหนังตาบาง
2. คนที่มีชั้นตาหลายชั้น
3. คนที่มีตาสองชั้นเป็นบางครั้ง
4. คนที่ปกติติดเทปทำตาสองชั้น
5. คนที่มีหนังตาหย่อนคล้อยแต่ไขมันน้อย

3. การกรีดสร้างชั้นตาให้สวยเหมือนมีมาตั้งแต่เกิด

วิธีศัลยกรรมตาด้วยการกรีด

ทำโดยการกรีดเปิดหนังตาเพื่อเอาไขมันและกล้ามเนื้อที่ไม่จำเป็นออก จากนั้นจึงเย็บหนังแท้กับกล้ามเนื้อเปลือกตาเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดชั้นตา ชั้นตาที่ได้จะคมและชัดเจนสร้างความพอใจให้กับคนไข้

เนื่องจากวิธีนี้ต้องกรีดหนังตาจึงมีแผลใหญ่กว่าวิธีอื่น มักเกิดอาการบวมได้ง่าย แต่หากได้รับการผ่าตัดจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะสามารถสร้างชั้นตาที่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังเกิดรอยแผลและอาการบวมน้อยด้วย การออกแบบชั้นตาจะวิเคราะห์จากรูปหน้าโดยรวม ผิวและรูปทรงของ ดวงตา รูปทรงจมูก ฯลฯ สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินรวมทั้งหนังตาที่หย่อนคล้อยได้ จึงได้ชั้นตาที่คมและเป็นธรรมชาติ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เวลาผ่าตัด 1-1.30 ชั่วโมง และใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันที และตัดไหมหลังจากผ่าตัด 5-7 วัน นอกจากการผ่าตัดทำตาสองชั้นแล้วหากมีการแก้ไขรูปตา ผ่าเปิดหัวตาและหางตาร่วมด้วย คนไข้จะพอใจกับผลการผ่าตัดยิ่งขึ้น

การกรีดเหมาะกับใคร
1. คนที่ต้องการชั้นตาคมชัด
2. คนที่มีหนังตาหย่อนคล้อย
3. คนที่ต้องการแก้ไขชั้นตาหนาให้บางลง
4. คนที่มีเปลือกตาหนาและมีไขมันมาก

4. การกรีดแผลเล็กเพื่อให้ได้ชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติ

รวมข้อดีของการเย็บจุดเดียวและการกรีดเข้าด้วยกัน
เป็นวิธีที่รวมข้อดีของการเย็บจุดเดียวกับการกรีดเข้าด้วยกัน โดยการกรีดแผลเล็ก ๆ บนผิวหนังยาว 1 – 2 มิลลิเมตร แล้วเอาไขมันและกล้ามเนื้อส่วนเกินออกเพื่อสร้างชั้นตา เมื่อเอาเนื้อเยื่อส่วนเกินออกมาเย็บผิวหนังกับกล้ามเนื้อเข้าด้วยกัน ชั้นตาจะไม่คลายง่าย แผลจะเล็กกว่าการกรีดมาก อาการบวมและแผลเป็นจึงน้อยลงด้วย คนที่มีไขมันหรือกล้ามเนื้อที่เปลือกตามาก หากทำศัลยกรรมตาด้วยวิธีเย็บจุดเดียวชั้นตาจะคลายออกง่าย การกรีดแผลเล็กจึงได้ผลดีมากกว่า
ใช้เวลาผ่าตัด 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันที ตัดไหมหลังผ่าตัด 5 -7 วัน

การกรีดแผลเล็กเหมาะกับใคร
1. คนที่ต้องการฉันตาเป็นธรรมชาติ
2. คนที่มีหนังตาหนาและมีไขมันมาก
3. คนที่มักมีอาการตาบวมทุกเช้าเพราะไขมันที่เปลือกตา
4. คนที่ไม่อยากมีรอยแผลเป็นที่เปลือกตา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

5. การผ่าเปิดหัวตา

ชาวตะวันออกมักมีหนังตาปิดบริเวณหัวตา (Mongolian Eyes) ซึ่งจะต่างจากชาวตะวันตก ทำให้รูปตาดูสั้นเกินไป ดูอึดอัด และตาดูห่างออกจากกัน ทั้งยังอาจทำให้ ดวงตา ดูดุด้วย แม้จะมีตาสองชั้นหรือทำศัลยกรรมตาสองชั้น แต่ถ้าไม่ผ่าเปิดหัวตาร่วมด้วย หนังตาจะตกลงและดูไม่เป็นธรรมชาติ

การผ่าตัดเปิดหัวตาจะช่วยแก้ไขดวงตาที่ดูอึดอัดและดุได้ ช่วยให้ดวงตาดูสดใสและโตขึ้น ดวงตายาวจะช่วยให้ดูสดชื่น แต่ข้อเสียของวิธีผ่าเปิดหัวตาคือเกิดแผลเป็นที่มองเห็นได้ชัด

การผ่าเปิดหัวตาเทคนิคใหม่จะช่วยให้รอยแผลเป็นอยู่ชิดและขนานไปกับเยื่อตา จึงไม่เห็นรอยแผลเป็น ดวงตายาวขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนโยนลง หากผ่าเปิดหัวตาร่วมกับการทำตา 2 ชั้นจะยิ่งได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจมากขึ้น ความกว้างของหว่างตา เมื่อผ่าเปิดหัวตาเอาหนังตาที่ปิดหัวตาออก ดวงตาก็จะยาวและดูสดชื่นขึ้น หัวตาจะมีลักษณะเหมือนกลีบดอกกล้วยไม้ ดวงตา อ่อนโยน ช่วยแก้ไขชั้นตาที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาขนตาทิ่มเข้าด้านใน และแก้ไขหัวตาล่างได้ด้วย

6. การผ่าเปิดหางตา

การผ่าเปิดหางตาเป็นการผ่าตัดขยายดวงตา ช่วยให้รูปตาที่สั้นดูยาวขึ้น เป็นวิธีผ่าตัดที่ไม่คำนึงถึงความลึกของเยื่อตา จึงไม่สามารถเย็บขอบของผิวหนังและเยื่อตาได้อย่างแม่นยำ เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านบนและล่างจะสมานกันอีก ทำให้หางตากลับมาชิดติดกัน

เป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันไม่ให้หางตาที่ผ่าขยายแล้วกลับมาชิดติดกันอีก ซึ่งต้องกำหนดความยาวของหางตาโดยคำนวณจากตำแหน่งของลูกตาดำและความกว้างของตาขาว และต้องตัดผิวหนังที่จะติดกันอีกครั้งออกให้หมด เพื่อแก้ไขข้อเสียที่ไม่ให้ผิวกลับสมานกันอีก การผ่าเปิดหางตาช่วยแก้ปัญหาตาเขได้ ดวงตาจะยาวขึ้น ดูโตและสดชื่นขึ้น

7. การทำถุงใต้ตา

กล้ามเนื้อรอบดวงตาจะหดตัวเวลายิ้ม ทำให้ถุงใต้ตาโป่งออกมา คนที่มีกล้ามเนื้อส่วนนี้น้อยจึงนิยมทำศัลยกรรมถุงใต้ตา ถุงใต้ตาช่วยให้ดูเด็กลงและน่ารัก เวลายิ้มจะดูสดใสร่าเริง การทำศัลยกรรมถุงใต้ตาทำได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม และการผ่าตัดเสริมชั้นหนังแท้เทียมควรปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แล้วเลือกวิธีที่เหมาะกับรูปตาของตัวเอง

การทำศัลยกรรมถุงใต้ตาด้วยการฉีดสารเติมเต็ม
การฉีดสารเติมเต็มเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ศัลยแพทย์จะฉีดสารเติมเต็มเข้าไปที่ถุงใต้ตาใช้เวลาประมาณ 10 นาที เนื่องจากใช้เวลาน้อยจึงเหมาะกับคนวัยทำงาน และไม่ต้องมีการกรีดเปิดผิวหนัง จึงไม่มีรอยแผลเป็น อาการบวม หรือความเจ็บปวดแต่อย่างใด หลังจากฉีดแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที

เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการฉีดสารเติมเต็มคือ การกะปริมาณและการออกแบบถุงใต้ตา หากฉีดมากเกินไป ถุงใต้ตาจะดูใหญ่ไม่เข้ากับใบหน้า แต่ถ้าหากน้อยเกินไปคนไข้ก็มักจะไม่พอใจกับผลที่ได้ ดังนั้น คนไข้จะต้องขอคำแนะนำจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เพื่อออกแบบถุงใต้ตาให้เข้ากับดวงตา ความสูงของจมูก โครงหน้า รวมทั้งภาพลักษณ์เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของตัวเอง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การศัลยกรรมเสริมถุงใต้ตาด้วยชั้นหนังแท้เทียม

ชั้นหนังแท้เทียมคืออวัยวะเทียมที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเลียนแบบเนื้อเยื่อผิวหนัง เมื่อเวลาผ่านไปชั้นหนังแท้เทียมจะไม่ถูกดูดซึมหรือมองเห็นทะลุผ่านผิวหนัง จึงใช้ในการผ่าตัดเสริมถุงใต้ตาแบบถาวร ควบคุมขนาดและความหนาได้ สามารถปรับให้เหมาะกับขนาดของดวงตาได้ง่าย

วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัดศัลยกรรมดวงตา

1.ประคบเย็น 2 – 3 วันหลังผ่าตัด
2.งดใส่คอนแทคเลนส์ 4 สัปดาห์
3.งดติดขนตาปลอม 4 สัปดาห์
4.งดดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ 3 – 4 สัปดาห์หลังผ่าตัด
5.งดไปโรงอาบน้ำสาธารณะหรือห้องซาวน่า 4 สัปดาห์

ปัญหารอบดวงตา

แม้ ดวงตา จะสวยขึ้นจากการทำศัลยกรรมแล้ว การดูแลตัวเองจะยิ่งทำให้ดวงตาสวยยิ่งขึ้น อย่าหยุดความพยายามเพื่อความสวยเพียงแค่การศัลยกรรม ปัญหาหลักของรอบดวงตา คือ ตาบวม ใต้ตาหมองคล้ำและริ้วรอยรอบดวงตา

1. ตาบวม
ปัญหาหลักที่พบมากที่สุดคืออาการบวมเพราะเลือดไหลเวียนไม่ดี จึงเกิดอาการบวมน้ำบ่อยครั้ง ทำให้สูญเสียความยืดหยุ่น เกิดรอยคล้ำและริ้วรอยรอบ ดวงตา ตามมา สาเหตุเกิดจากดื่มน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวัน กินอาหารรสเค็มช่วง 2 ชั่วโมงก่อนนอน ดื่มน้ำก่อนนอนมากเกินไป หรือร่างกายขาดสารอาหาร ส่งผลให้กระบวนการเผาผลาญอาหารแปรปรวน เลือดไหลไปข้างบริเวณรอบดวงตาทำให้ตาบวมในที่สุด ต้องนวดเพื่อให้เลือดที่คั่งอยู่บริเวณใบหน้ากระจายไปที่ลำตัว

นวดกระตุ้นวนเป็นวงกลมบริเวณขมับ
เมื่อร่างกายขาดโปรตีนและธาตุเหล็กจะทำให้เกิดภาวะบวมน้ำเพื่อรักษาระดับเลือด คนที่มีอาการบวมน้ำง่ายควรลดปริมาณอาหารมื้อเย็นลง และกินอาหารที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น พยายามลดกินอาหารรสเค็มลงและกินอาหารที่มีโพแทสเซียมและซาโปนินซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย

สารอาหารที่ช่วยลดอาการบวมน้ำ
โพแทสเซียม (อะโวคาโด) โปรตีน (เนื้อปลาสีขาว) ธาตุเหล็ก (หอย หน่อไม้ฝรั่ง ผักใบเขียว และเหลือง) ซาโปนิน (โสม ถั่วแดง พืชตระกูลถั่ว) [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รอยคล้ำใต้ตา
ผิวหนังรอบตานั้นบอบบางมาก ซึ่งบางเท่ากับกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งเลยทีเดียว ทำให้มองเห็นเส้นเลือดหรือรอยคล้ำบริเวณใต้ตาได้ง่าย ซึ่งดูไม่สวยและเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพอีกด้วย ถ้าเลือดไหลเวียนไม่ดีรอบ ดวงตา จะหมองคล้ำ นอกจากรอบดวงตาแล้วต้องกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดที่ใบหน้าและร่างกายด้วยจึงจะเห็นผล เช่น อบซาวน่าหรือนวดคลายกล้ามเนื้อทั่วตัวเป็นต้น หากนอนหลับไม่เพียงพอ เครียดและเหนื่อยสะสม จะยิ่งทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ดังนั้น จึงต้องนอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงและพยายามหลีกเลี่ยงความเครียด เมื่ออายุมากขึ้นผิวใต้ตาจะเริ่มหย่อนคล้อย เบ้าตาลึกลง ทำให้เกิดเงาใต้ตา จึงต้องบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าให้ยืดหยุ่น เพื่อดึงผิวใต้ดวงตาให้ตึง

การนวดลดใต้ตาหมองคล้ำทำได้ง่ายและสามารถทำได้บ่อยครั้ง โดยนวดจากขมับไล่มายังใต้ตา แล้ววนรอบ ดวงตา  นวดเบาๆ ซ้ำ 2 – 3 ครั้ง นอกจากนี้ควรประคบตาสัปดาห์ละครั้งด้วยผ้าคุณหนูร้อนสลับเย็น 3 – 4 ครั้ง โดยเตรียมผ้าขนหนูชุบน้ำ 2 ผืนบิดให้หมาด นำผืนหนึ่งไปอุ่นในไมโครเวฟ อีกผืนหนึ่งชุบน้ำเย็น การประคบร้อนสลับเย็นจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและลดรอยคล้ำใต้ตาที่แก้ไขยากได้

สิ่งสำคัญในการป้องกันรอยคล้ำใต้ตาอยู่ที่การทำให้เลือดสะอาด กรดโฟลิกช่วยให้เฮโมโกลบินในเลือดไหลเวียนดี และแก้รอยคล้ำใต้ตาได้ นอกจากนี้วิตามินซีก็ช่วยยับยั้งการเกิดเม็ดสีด้วย

สารอาหารที่ช่วยแก้รอยคล้ำใต้ตา
ธาตุเหล็ก ( หอย ตับ ) กรดโฟลิก ( หน่อไม้ฝรั่ง กีวี สาหร่าย กะหล่ำปลี ) วิตามินซี (พริกหวาน ส้ม)

ริ้วรอยรอบดวงตา
ริ้วรอยรอบ ดวงตา จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุ 20 ปีเป็นต้นไป จึงต้องเริ่มดูแลผิวอย่างเต็มที่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันริ้วรอย ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวรอบดวงตา และทาครีมกันแดดรอบดวงตาด้วยเมื่อมีอายุมากขึ้น ผิวรอบดวงตาจะค่อย ๆ สูญเสียความชุ่มชื้น

เมื่ออายุ 40 ปีผิวจะยิ่งแห้งมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากผลิตภัณฑ์สำหรับผิวรอบ ดวงตา แล้วควรทำมาสก์รอบดวงตาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ถ้ายังสังเกตเห็นริ้วรอยแม้ไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะแสดงว่าเป็นริ้วรอยลึก แก้ไขได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็มหรือทำเลเซอร์ยกกระชับ ร่วมกับการกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี ถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดน้อยลง และช่วยให้ผิวยืดหยุ่นมากขึ้น [adinserter name=”sesame”]

สารอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ส่วน Collagen คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายถึง 33 เปอร์เซ็นต์ เป็นโครงสร้างหลักในชั้นหนังแท้ร่วมกับอิลาสติน ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึงและยืดหยุ่น เราสามารถกินโปรตีนเพื่อเสริมคอลลาเจนที่ลดลงตามวัยได้

สารอาหารที่ช่วยลดริ้วรอย
วิตามินซี (ส้ม พริกหวาน) โปรตีน (ปลาแอนโชวี เนื้อวัว) คอลลาเจนและอิลาสติน (เต้าหู้ กระดูกอ่อน ปีกไก่ หนังหมู) เซราไมด์ (หัวบุก)

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.