Home Blog Page 133

ตรีผลาราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ

0
"ตรีผลา" ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ
ตรีผลา คือ ยาสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีส่วนผสมของ สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม ช่วยปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ
"ตรีผลา" ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ
ตรีผลา คือ ยาสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีส่วนผสมของ สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม ช่วยปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ

ตรีผลา

ตรีผลา (Triphala) คือ สมุนไพรที่ประกอบพืชสมุนไพร 3 ชนิด ที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดียถูกนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณมานานกว่า 1,000 ปี เพื่อรักษาอาการต่างๆ ประกอบด้วยผลของ มะขามป้อม หรือ มะขามป้อมอินเดีย (Emblica officinalis) , สมอพิเภก (Terminalia bellirica), สมอไทย(Terminalia chebula) ตรีผลาเป็นที่รู้จักกันทั้งวงการแพทย์ไทยและในกลุ่มของอายุรเวทอินเดียตรีผลาถือเป็นยาพื้นฐานที่เด่นเรื่องการปรับสมดุลของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย และได้ถูกขนานนามว่า“ ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ ”

ข้อมูลโภชนาการในผงตรีผลาหนึ่งช้อนชาหรือประมาณ 2.8 กรัม

พลังงาน 10 แคลอรี่ ใยอาหาร 1 กรัม โปรตีน 0 กรัม ไขมัน 0 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม และ น้ำตาล 0 กรัม

การใช้ตรีผลา

ตรีผลาถูกนำมาแปรรูปและจำหน่ายในรูปแบบผง เครื่องดื่มสมุนไพร สารสกัด แคปซูล หรือยาเม็ด ทั้งในรูปแบบยา อาหารเสริม ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เครื่องดื่มบํารุงร่างกาย ซึ่งพบได้ทั่วไปตามร้านยา ร้านสะดวกซื้อร้านขายอาหารเสริม และในทางออนไลน์

หลายคนอาจจะรู้จัก “ ตรีผลา ” ครั้งแรกจากยาสมุนไพรบำรุงร่างกายหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในช่วงไม่นานมานี้เอง แล้วแทบจะในทันทีก็มีกระแสตามออกมามากมาย ทั้งด้านที่เป็นคุณและด้านที่เป็นโทษ จนทำให้บางคนเริ่มหวาดระแวงแล้วว่า ตรีผลาคืออะไรกันแน่ ตรีผลาอันตราย หรือมีสรรพคุณแบบที่เคยได้ยินมาจริงหรือไม่ เมื่อตัดสินใจลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของตรีผลาอยู่จะปลอดภัยหรืออันตรายมากน้อยแค่ไหน

แม้ว่าบ้านเราอาจไม่คุ้นชื่อ ตรีผลา มากนัก แต่นี่เป็นตำรับยาตามแพทย์แผนไทยโบราณที่มีมานานแสนนานแล้ว ทั้งวงการแพทย์ไทยและในกลุ่มของอายุรเวทอินเดีย ตรีผลาถือเป็นยาพื้นฐานที่เด่นเรื่องการปรับสมดุลของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย ถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็น ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ กันเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าสรรพคุณของตรีผลาย่อมมีหลากหลาย และหากใช้อย่างถูกต้องก็ย่อมเกิดประโยชน์ที่มาพร้อมกับความปลอดภัยอย่างแน่นอน

อันที่จริง ตรีผลา นั้นไม่ได้เป็นสมุนไพรพันธุ์ใหม่ หรือเป็นของแปลกประหลาดอะไร แต่เป็นเพียงการนำสมุนไพรพื้นบ้าน 3 ชนิดมารวมเข้าด้วยกัน ตามความหมายของคำคือ ตรี หมายถึง สาม และผลา หมายถึง ผล สมุนไพรทั้ง 3 ที่ถูกเลือกมาเป็นส่วนประกอบได้แก่ ลูกสมอไทย ลูกสมอพิเภกและมะขามป้อม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี แล้วก็เป็นของหาง่ายในบ้านเราอีกด้วย เราอาจนิยามตรีผลาได้อีกแบบก็คือ “ สมุนไพรทรีอินวัน ” นั่นเอง เราลองมาทำความรู้จักสมุนไพรแต่ละชนิดกันดูก่อน

ลูกสมอไทย
สมอไทยเป็นพืชที่พบได้ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร ส่วนสำคัญที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ก็คือส่วนของผล มีลักษณะป้อมๆ คล้ายทรงไข่ ส่วนของเนื้อค่อนข้างหนา รสฝาดเปรี้ยว ผลที่แก่ได้ที่แล้วจะมีสีเขียวอมเหลือง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อผลนั้นแห้ง องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญอยู่ในกลุ่มของสารแทนนิน ( tannin ) จึงโดดเด่นในเรื่องแก้ปัญหาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น แก้ลมจุกเสียด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะเป็นโรคผิวหนัง โรคพยาธิ โรคหัวใจ คลื่นไส้ อาเจียน และอื่นๆ อีกมายมาย แม้ว่าเราจะนิยมใช้ส่วนของผลมากกว่าส่วนอื่น แต่ลำต้น เปลือก ดอก หรือแม้แต่ผลที่ยังอ่อนอยู่ก็สามารถนำมาทำตำรับยาได้ทั้งหมด

ลูกสมอพิเภก
สมอพิเภกเป็นกลุ่มของไม้ผลัดใบที่มีความสูงเฉลี่ยไม่ต่างจากสมอไทย จุดสังเกตคือบริเวณโคนต้นมักมีรากค้ำยันที่เราเรียกว่า “ พูพอน ” ซึ่งมีขนาดใหญ่ เปลือกหนาสีดำแกมขาว ผลมีลักษณะกลมและอยู่รวมกันเป็นพวงโต หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายลำใยอยู่เหมือนกัน เปลือกผลของสมอพิเภกจะต่างจากสมอไทยเล็กน้อย คือมีความแข็งและมีขนที่ละเอียด สามารถทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลดิบจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ ส่วนผลสุกจะช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ลดไข้และรักษาโรคภูมิแพ้ได้ สิ่งที่โดดเด่นของสมอพิเภกก็คือมีสารออกฤทธิ์ที่ต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ได้

มะขามป้อม
มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีค่าวิตามินซีสูงมากชนิดนี้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่พบได้มากในเขตป่าเบญจพรรณ ลักษณะต้นโดยรวมคล้ายต้นมะขามที่ดูโปร่ง ส่วนผลเป็นทรงกลมสีเขียวอ่อน และเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ขนาดของผลอยู่ที่ประมาณเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ทานได้ตั้งแต่ผลเริ่มโตเต็มที่ รสชาติออกเปรี้ยวฝาด และมีความรู้สึกหวานตามมา สรรพคุณคือช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้สดชื่นและแก้อาการผิวหนังอักเสบ มีงานวิจัยว่าช่วยป้องกันโรคมะเร็งและแก้พิษจากสารตะกั่วได้

จะเห็นว่าเพียงลำพังแค่สมุนไพรแต่ละตัวก็มีคุณประโยชน์ที่กว้างขวางครอบคลุมหลายอย่างอยู่แล้ว หากนำมารวมกันด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมตามแบบฉบับของตรีผลา ก็จะยิ่งส่งเสริมกันให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

สมดุลของร่างกายจากธาตุทั้ง 4

แล้วการปรับสมดุลธาตุมันสำคัญอย่างไร ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งทำงานสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และระบบต่างๆ เหล่านี้ ในแนวทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียโบราณ จะแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม 4 ธาตุ ดังนี้

วาตะ หมายถึง ธาตุลม ว่าตามตรงก็คืออากาศ หน้าที่หลักคือควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับอากาศก็จัดเป็นธาตุลม เช่น ระบบหายใจ การเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ปิตตะ หมายถึง ธาตุไฟ ความร้อนต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการของร่างกายทั้งหมดนั่นคือธาตุไฟ ได้แก่ ระบบเผาผลาญอาหาร อุณหภูมิร่างกาย กระบวนการดูดซึมอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ธาตุไฟก็ยังมีผลต่อสีผิวและแววตาด้วย
กผะ หมายถึง ธาตุดินและธาตุน้ำ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของร่างกายเลย ได้แก่ กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น น้ำเหลือง น้ำเลือด เป็นต้น

หากองค์ประกอบทั้ง 3 กลุ่มนี้มีความสมดุลดี จะส่งผลให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่างกายก็จะแข็งแรง แต่เมื่อไรที่มีแม้สักส่วนผิดเพี้ยนไป ก็จะเกิดความผิดปกติขึ้นที่จุดใดจุดหนึ่ง แล้วกระทบเป็นทอดๆ ไปยังส่วนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อระบบย่อยอาหารไม่ดี เริ่มจากท้องอืดท้องเฟ้อ ก็เชื่อมไปยังระบบขับถ่าย ทำให้ถ่ายไม่สะดวกหรือไม่ถ่าย เชื่อมโยงไปถึงระบบหายใจ ถ้าท้องอืดมากก็หายใจลำบาก เป็นต้น

ตรีผลา เป็นยาสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีส่วนผสมของสมุนไพร 3 ชนิดคือ สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม สรรพคุณของตรีผลาช่วยปรับสมดุลและล้างพิษในร่างกาย

ตรีผลาสรรพคุณ

เป็นยาอายุวัฒนะ : หน้าที่หลักของสมุนไพร ตรีผลา ก็คือการดูแลสุขภาพร่างกายแบบองค์รวม โดยการปรับส่วนที่บกพร่องหรือมีปัญหาให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง การทำงานของระบบต่างๆ จึงสอดคล้องและสมบูรณ์ดังเดิม เคยมีผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า ความจริงแล้วมนุษย์เราสามารถเป็นอมตะได้ หากระบบร่างกายไม่ได้ทำงานผิดปกติไปจากเดิมในวันที่เริ่มต้น แต่เพราะความผิดปกติที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เองที่ทำให้มนุษย์มีช่วงอายุที่จำกัด สมุนไพรตรีผลามีส่วนช่วยในการลดอัตราความผิดปกติของร่างกายที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นยาอายุวัฒนะชนิดนี้จึงทำให้ชีวิตยืนยาว กระตุ้นระบบการทำงานของร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

ล้างพิษในระบบร่างกาย : โดยปกติ ตรีผลา จะใช้ในแนวทางแพทย์อายุรเวทในการปรับปรุง 2 ระบบ คือ ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ซึ่งเป็นส่วนที่สะสมสารพิษเอาไว้มาก ใครที่ขับถ่ายไม่ดีก็จะสังเกตเห็นได้ง่าย คือ มีสิวขึ้น ผิวหมองคล้ำ มีกลิ่นตัว และเจ็บป่วยบ่อย นี่คือสัญญาณที่บอกว่าร่างกายมีพิษมากเกินไป ส่วนผสมในตรีผลาทั้ง 3 ชนิด คือ สมอไทย สมอพิเภกและมะขามป้อม จะออกฤทธิ์ร่วมกันเพื่อกระตุ้นกระเพาะอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น จึงหมดปัญหาเรื่องการย่อยอาหารไปได้เปราะหนึ่ง แล้วจะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ โดยไม่ทำให้เกิดอาการปวดบิดหรือมวนท้องเช่นเดียวกันกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ หลังจากระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายกลับเข้าสู่สมดุลดีแล้ว แทบจะทุกอย่างในร่างกายก็จะกลับมาดีขึ้นด้วย และอีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนไม่ค่อยรู้ก็คือ การที่เลือดมีสารอาหารน้อยก็เป็นผลมาจากในลำไส้มีสารพิษหรือมีขยะสะสมเยอะเกินไป ใครที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการขับถ่ายจึงต้องหันมาใส่ใจบ้างแล้วในตอนนี้

บำรุงสมอง สายตาและผิวพรรณ : การใช้ยาสมุนไพร ตรีผลา อย่างถูกต้องนั้น จะช่วยล้างพิษให้หมดไปจากร่างกาย ผิวพรรณจึงสดใสและแลดูสุขภาพดีขึ้น ทั้งยังมีส่วนผสมของมะขามป้อมที่วิตามินซีสูงมาก จึงส่งเสริมการทำงานของตับและระบบภูมิคุ้มกันได้ดี สามารถต้านไวรัส ต้านการอักเสบและลดไขมันในเส้นเลือดได้ สมองและสายตาจึงมีสุขภาพดีขึ้นไปด้วย

บรรเทาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ : ส่วนประกอบตัวหนึ่งในตรีผลามีคุณสมบัติปรับสมดุลของระบบทางเดินหายใจ ช่วยลดอาการติดขัดและระคายเคืองต่างๆ เช่น อาการไอ หายใจไม่สะดวก เจ็บคอ เป็นต้น หากรับประทานในช่วงที่มีอาการเจ็บป่วยก็จะทุเลาลงได้ หลายคนก็หายเป็นปกติได้เลย แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะไม่ว่าอย่างไรตรีผลานั้นก็ไม่สามารถรักษาต้นเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจที่ร้ายแรงได้ จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่งเท่านั้น

ลดน้ำหนัก : มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำนวนไม่น้อยเลยที่เลือกใช้สมุนไพร ตรีผลา เป็นส่วนประกอบ อันที่จริงก็เคยมีงานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณข้อนี้ด้วยเหมือนกัน โดยใช้ตรีผลาเป็นยาหลอกเพื่อทดสอบกับผู้ป่วยโรคอ้วนจำนวนหนึ่ง ติดต่อกันเป็นระยะเวลามากกว่า 3 สัปดาห์ ผลปรากฏว่าเกือบทั้งหมดมีน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และพบว่าตรีผลามีศักยภาพในการขับไขมันออกจากร่างกายได้ดี แต่ไม่ใช่ส่วนของไขมันสะสม เป็นส่วนของไขมันที่อยู่ในระบบย่อยอาหาร เมื่อเราทานของทอดของมันเข้าไป สารออกฤทธิ์ในตรีผลาจะเร่งขับไขมันเหล่านั้นออกเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมเพิ่มเติม ดังนั้นหากต้องการใช้สมุนไพรเพื่อลดน้ำหนัก ก็ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อเผาผลาญไขมันเก่า

ต่อต้านอนุมูลอิสระ : อนุมูลอิสระก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่มักสร้างปัญหาให้กับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณไม่สดใส มีจุดฝ้ากระ รอยด่างดำต่างๆ อวัยวะภายในทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เป็นต้น ตรีผลา มีสารออกฤทธิ์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก จนได้รับการยอมรับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีงานวิจัยรองรับว่าสารต้านอนุมูลอิสระในตรีผลานั้นช่วยบำรุงสุขภาพ ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคตับ และความเสี่ยงที่จะเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายได้

ตรีผลา กินตอนไหน

การเลือกทาน ตรีผลา ต้องเลือกให้ดี เนื่องจากส่วนผสมของสมุนไพรตรีผลานั้น อันที่จริงก็เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่เราสามารถหาได้ไม่ยาก ดังนั้นหากใครสะดวกที่จะแปรรูปสมุนไพรเพื่อปรุงเป็นตรีผลาเองก็ไม่มีปัญหา เพียงแค่ใช้สมอไทย สมอพิเภกและมะขามป้อมในลักษณะที่บดแห้งแบบละเอียดแล้ว ผสมเข้าด้วยกันในอัตราส่วนต่างๆ ที่ต้องการ สูตรมาตรฐานคืออัตราส่วน สมอไทย: สมอพิเภก: มะขามป้อม เท่ากับ 1:1:1 นอกจากนี้ก็จะมี

• ตรีผลาสูตรสำหรับฤดูฝน : ใช้ป้องกันโรคภัยต่างๆ ที่มากับฤดูฝน อัตราส่วน 3:1:2
• ตรีผลาสูตรสำหรับฤดูหนาว : ปรับสมดุลร่างกายในช่วงที่อากาศหนาวเย็น อัตราส่วน 3:1:2
• ตรีผลาสูตรสำหรับฤดูร้อน : ปรับแก้อาการร้อนใน อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูง ธาตุไฟกำเริบ อัตราส่วน 3:1:2

แต่หากไม่สะดวกที่จะทำ สมุนไพรตรีผลาก็หาซื้อได้ทั่วไปในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบแคปซูลและผงสำหรับชงดื่ม แต่ต้องระวังการปนเปื้อนต่างๆ ให้มาก โดยเฉพาะเชื้อรา ผลิตภัณฑ์ที่สนใจต้องถูกเก็บไว้ในที่แห้งและผลิตมาไม่นานเกินไปนัก

ตรีผลา ยี่ห้อไหนดี

ในการเลือกซื้อตรีผลาเพื่อมาบริโภคนั้น นอกจากเลือกจากตรีผลายี่ห้อไหนดีแล้วจะต้องรู้ด้วยว่าชนิดตรีผลาแบบไหนเหมาะกับเรา เช่น
1. ต้องการตรีผลาลักษณะอย่างไร แบบน้ำหรือแบบแคปซูล เนื่องจากปริมาณความเข้มข้นของตรีผลาจะแตกต่างกันออกไป
ตรีผลาแบบน้ำ มีลักษณะเป็นของเหลวบรรจุมาในขวด อาจมีสมุนไพรชนิดอื่นเข้ามาประกอบขึ้นอยู่กับสูตรการผลิตของแต่ละยี่ห้อ ข้อดีของตรีผลาแบบน้ำคือสามารถนำมาผสมกับน้ำผึ้ง น้ำตาลหรือวัตถุดิบอื่นเพื่อเพิ่มรสชาติให้ทานง่ายขึ้นได้
ตรีผลแบบแคปซูล มีลักษณะเป็นผงบรรจุอยู่ในแคปซูล สามารถย่อยสลายได้ ข้อดีของตรีผลาแบบแคปซูลคือทานง่าย รสชาติหรือกลิ่นมีน้อย พกพาและเก็บรักษาได้สะดวก
2. ชอบรสธรรมชาติ หรือรสหวาน โดยรสธรรมชาติอาจทานยากสำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นหรือรสชาติของสมุนไพรบางตัว ก็สามารถเลือกรสหวานเพื่อให้ทานได้ง่ายขึ้น

ตรีผลาข้อควรระวัง ข้อห้าม

เนื่องจากตรีผลากินเพื่อเป็นยาระบายอ่อนๆ จึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร รวมทั้งมีแก๊สในลำไส้ มีอาการปวดท้อง ท้องร่วง และตะคริว ผลข้างเคียงเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ใช้แต่ละคนบางคนผลข้างเคียงอาจเกิดขึ้นน้อย แต่บางคนที่มีอาการแพ้รุนแรงก็อาจมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียน มีผื่นขึ้น ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเองในเวลาไม่นาน สำหรับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ตรีผลา จะทำให้เลือดประจำเดือนออกมามากกว่าปกติเป็นอันตรายได้เช่นกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Jansen, P.C.M., 2005. Terminalia chebula Retz. [Internet] Record from PROTA4U. Jansen, P.C.M. & Cardon, D. (Editors). PROTA (Plant Resources of Tropical Africa / Ressources végétales de l’Afrique tropicale), Wageningen, Netherlands. Accessed 7 June 2018.

บัวบก หรือใบบัวบก มิได้มีดีแค่แก้ช้ำใน

0
"ใบบัวบก" มิได้มีดีแค่แก้ช้ำใน
ใบบัวบก พืชสมุนไพรผักพื้นบ้าน นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบก ดับกระหาย แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย
"ใบบัวบก" มิได้มีดีแค่แก้ช้ำใน
ใบบัวบก พืชสมุนไพรผักพื้นบ้าน นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบก ดับกระหาย แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย

ใบบัวบก หรือบัวบก

ใบบัวบก ( Gotukola ) หรือ ผักหนอก คือ พืชสมุนไพรผักพื้นบ้านที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม ดับกระหาย แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย ซึ่งมีคุณประโยชน์ทั้งในวงการเครื่องสำอางและวงการแพทย์ หากใครเคยดื่มน้ำใบบัวบกสีเขียวจัดก็จะรู้ว่าเป็นน้ำสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ต้องดื่มตอนที่มันยังเย็นๆ อยู่เท่านั้น เพราะเมื่อปล่อยให้อุณหภูมิสูงขึ้นเท่ากับอุณหภูมิห้องหรือร้อนมากกว่านั้น ใบบัวบกส่วนที่เราใช้รับประทานงอกขึ้นมาเป็นใบเดียว รูปทรงใบคล้ายรูปหัวใจที่มีขอบหยัก ก้านยาวเรียว ใบบัวบกมีดอกด้วยเหมือนกันแต่มีขนาดเล็กมากซ่อนอยู่ตามซอกใบ และมีกลิ่นเฉพาะตัว ทำให้กลิ่นเหม็นเขียวและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างโดดเด่นจนดื่มได้ยากลำบาก และนิยมใช้ใบบัวบกเป็นเครื่องเคียงในการทานคู่กับอาหารเมนูอื่น มากกว่าที่จะนำมาปรุงให้กลายเป็นเมนูหลัก และปัจจุบันได้พัฒนาเป็นใบบัวบกอัดเม็ด หรืออัดแคปซูล ซึ่งทำให้ทานง่ายขึ้น ลดกลิ่นเม็นเขียวสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นเหม็นเขียวของใบบัวบก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Centella asiatica (Linn.) Urban
ชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นไทย : ภาคเหนือเรียก ผักแว่น ภาคอีสานเรียก ผักหนอก ภาคใต้เรียก กะโต่

ใบบัวบก ประโยชน์ของและสรรพคุณ

บำบัดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ : มีการทดลองนำสารสกัดที่ได้จากใบบัวบกมาทดลองในหนูที่มีอาการของกระเพาะอาหารอักเสบ พบว่าอาการอักเสบนั้นลดน้อยลงพร้อมกับระดับความเครียดด้วย ซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ จากการทดลองนี้จึงสรุปได้ว่าสารบางตัวในใบบัวบกสามารถช่วยบำบัดกระเพาะอาหารอักเสบได้จริง โดยปรับสมดุลความตึงเครียดในสมองและป้องกันการบวมพองของเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร และวิธีการใช้งานเพื่อสรรพคุณข้อนี้ก็ง่ายมาก เพียงแค่นำใบบัวบกมาคั้นสดแล้วดื่มเป็นน้ำสมุนไพรเท่านั้นเอง 

รักษาแผลตามร่างกาย : ในใบบัวบกมีสารที่สำคัญตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Madecassol ซึ่งเป็นสารที่มีความพิเศษในการลดระยะเวลาการเกิดแผลและเร่งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา พร้อมกันนี้ก็มีสาร Triterpenoid ที่ช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในผิว จึงเสริมการทำงานของ Madecassol ให้เห็นผลดีมากยิ่งขึ้น มีการทดสอบแล้วว่าสารสกัดกลุ่มนี้สามารถรักษาแผลสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้รับความสนใจอย่างมาก และถูกนำไปดัดแปลงให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้ง่าย เช่น เจลใบบัวบก ครีมสมานแผลจากใบบัวบก เป็นต้น

เสริมสร้างความจำ : หากเราได้เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมรุ่นใหม่ๆ ก็จะพบว่าเริ่มมีส่วนผสมของ ใบบัวบก มากขึ้น นั่นก็เพราะว่าสารสกัดเข้มข้นจากใบบัวบกมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทและสมองด้วย โดยเฉพาะสมองในส่วนของการจดจำ องค์ประกอบสำคัญในใบบัวบกจะทำปฏิกิริยากับฮอร์โมนที่คัดหลั่งจากเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ดูแลเรื่องการนำส่งข้อมูลของปลายประสาท การถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ จึงดำเนินไปอย่างเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ พร้อมทั้งช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่มีผลกระทบต่อความเสื่อมของสมองด้วย สารสกัดจากใบบัวบกจึงถือเป็นอาหารเสริมที่น่าสนใจในการเสริมสร้างการเรียนรู้และจดจำ มากไปกว่านั้นมีงานวิจัยออกมาชัดเจนแล้วว่าสารสกัดเข้มข้นของใบบัวบกมีผลต่อรูปร่างที่ดีของเซลล์ประสาทด้วย

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน : ระบบภูมิคุ้มกันเป็นปราการด่านสำคัญที่สุดของร่างกาย ใครจะป่วยง่ายหรือป่วยยากก็ตรงจุดนี้นี่เอง ดังนั้นการดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด สารกลุ่ม Triterpenoid saponins ใน ใบบัวบก เป็นตัวที่จะทำให้เม็ดเลือด เซลล์ไขกระดูก และแอนติบอดี้ เพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังลดผลข้างเคียงจากการฉายรังสีต่างๆ ด้วย

ลดความดัน : สารสกัดจากใบบัวบกทุกชนิดที่อยู่ในกลุ่ม Triterpenes มีความโดดเด่นมากในการลดความกดดันภายในเส้นเลือด มีงานวิจัยที่เคยทดลองกับหนู โดยให้หนูออกแรงเป็นเวลานานติดต่อกันจนระดับความกดดันภายในร่างกายไม่สมดุล เมื่อให้สารสกัดจากใบบัวบก ไม่นานเท่าไรก็ร่างกายก็ปรับสู่สมดุลอีกครั้งอย่างมีนัยสำคัญ

ต้านอนุมูลอิสระ : ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารอนุมูลอิสระได้ตลอดเวลา และเจ้าสารอนุมูลอิสระนี้ก็มีผลเสียหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยความงามอย่างที่เราได้ยินกัน แต่ครอบคลุมไปถึงความเสื่อมของอวัยวะส่วนต่างๆ ด้วย นั่นหมายความว่ายิ่งมีอนุมูลอิสระในร่างกายน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี มีงานวิจัยที่ให้ผลสรุปว่า ใบบัวบก มีองค์ประกอบสำคัญที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีเทียบเท่ากับโรสแมรี่เลยทีเดียว แต่ก็ต้องใช้ควบคู่กับกระบวนการอื่นๆ ด้วยเพื่อไม่ให้มีสารตกค้างที่เป็นพิษในภายหลัง 

บำบัดอาการอักเสบ : อย่างที่ได้กล่าวไปบ้างแล้วในขั้นต้นว่าสารสกัดใน ใบบัวบก ถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลแผลหลายชนิด มีงานวิจัยทางคลินิกที่นำสารสกัดใบบัวบกในรูปอัดเม็ดสอดไว้ใต้ลิ้นของผู้ป่วย พบว่ามีอัตราการอักเสบของเยื่อหุ้มฟันเรื้อรังลดน้อยลงอย่างชัดเจน มีการเสริมสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงช่วยบรรเทาอาการอักเสบที่มองเห็นได้จากภายนอกรวมไปถึงอาการอักเสบภายใน เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า กินใบบัวบกแก้ช้ำในได้นั่นเอง

ลดความเครียดและวิตกกังวล : เมื่อนำสารสกัดใบบัวบกผสมเข้ากับชะเอมเทศก่อนนำมาใช้งาน พบว่ากระตุ้นให้ร่างกายเกิดความกระฉับกระเฉงขึ้นมากได้ จิตใจแจ่มใสเบิกบาน และลดความวิตกกังวลที่มีอยู่ลงได้ มีการทดลองแบบสุ่มอยู่หลายครั้ง ต่างก็ให้ผลการทดลองสอดคล้องไปในทางเดียวกันว่า ใบบัวบก มีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยควบคุมเซลล์ร่างกายและจิตใจได้จริง นอกจากใช้เพื่อลดความตึงเครียดแล้วก็ยังช่วยให้นอนหลับได้ง่ายด้วย

บรรเทาอาการเส้นเลือดขอด : ใบบัวบกมีสารเคมีที่เรียกว่า TTFCA ( triterpenic fraction of Centella asiatica ) เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์ต่ออาการเส้นเลือดขอด เนื่องจากกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่จำเป็นในการสร้างความแข็งแรงของเยื่อบุและผนังเส้นเลือด เส้นเลือดที่แข็งแรงทำให้มีโอกาสเป็นเส้นเลือดขอดน้อยลง คอลลาเจนและอิลาสตินก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวสุขภาพดี ที่มักสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้ใบบัวบกยังอาจช่วยเรื่องภาวะเลือดไปเลี้ยงหลอดเลือดดำไม่เพียงพอ ด้วยการลดอาการบวมและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

ใบบัวบก พืชสมุนไพรผักพื้นบ้าน นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบก ดับกระหาย แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย ซึ่งมีคุณประโยชน์ทั้งในวงการเครื่องสำอางและวงการแพทย์

ใบบัวบก องค์ประกอบทางเคมี

ใบบัวบก มีองค์ประกอบทางเคมีที่มีประโยชน์หลายชนิด แต่กลุ่มที่สำคัญจะเป็น Triterpenoid saponins ซึ่งเป็นสารไตรเทอร์พีนที่จับตัวกับซาโปนิน เป็นสารที่พืชหลายชนิดสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง คุณสมบัติเด่นคือช่วยลดแรงตึงผิวได้ดี และยังเป็นพิษต่อปลาด้วย เมื่อนำมาวิจัยเพื่อใช้งานจึงพบว่าสารตัวนี้ ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องของการซ่อมแซมบาดแผลได้ดี แม้แต่หลอดเลือดที่มีอาการผิดปกติในทำนองที่ว่าน่าจะเกิดการอักเสบ ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ด้วยเช่นกัน ต่อมาคือ Glycosides เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มักพบในพืชชั้นสูง มีฤทธิ์ทางชีวภาพค่อนข้างมาก ซึ่งยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกมากถึง 11 ชนิด โดยในแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติโดดเด่นแตกต่างกันไป ใบบัวบกจึงมีคุณประโยชน์ทั้งในวงการเครื่องสำอางและวงการแพทย์  

ข้อมูลโภชนาการของใบบัวบกสด

ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัวบกใช้เป็นอาหารกับยารักษาโรคและยังเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการรักษาสุขภาพที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

  • การวิจัยอาหารนานาชาติพบว่า (บัวบกสด 100 กรัม) ให้สารอาหารดังต่อไปนี้
  • แคลเซียม 171 มิลลิกรัม (17% ของ RDI)
  • ธาตุเหล็ก 5.6 มิลลิกรัม (31% ของ RDI)
  • โพแทสเซียม 391 มิลลิกรัม (11% ของ RDI)
  • วิตามินเอ 442 ไมโครกรัม (49% ของ RDI)
  • วิตามินซี 48.5 มิลลิกรัม (81% ของ RDI)
  • วิตามิน B2: 0.19 มิลลิกรัม (9% ของ RDI)

ประสิทธิภาพของใบบัวบกในทางการแพทย์

ใบบัวบก เป็นพืชที่ทานสดก็ได้ หรือแปรรูปปรุงสุกก่อนทานก็ได้ เมื่อทานสดก็ได้ประโยชน์อย่างหนึ่ง เมื่อนำมาคั้นเป็นน้ำสมุนไพรก็ได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง จึงมีการนำใบบัวบกมาสกัดด้วยวิธีต่างๆ ตลอดจนนำไปผสมกับพืชสมุนไพรอื่น พบว่าในแต่ละวิธีการ ต่างก็ให้สรรพคุณที่ดีต่างกันไป และเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของสรรพคุณถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วในวงการแพทย์

1. ประสิทธิภาพในการทำลายแบคทีเรีย : สารสกัด ใบบัวบก ที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ มีศักยภาพในการทำลายแบคทีเรียสูงมาก เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้มากถึง 8 ชนิด ได้แก่ E. coli, Pseudomonas, aeruginosa, Salmonella paratyphi, Salmonella typhi, Shigella boydii, Shigella dysenteriae, Vibrio mimicus และ Vibrio parahemolyticus 

2. ประสิทธิภาพในการทำหน้าที่เป็น Antioxidant : ใบบัวบก ได้รับการยอมรับอย่างสูงมากทั้งในวงการแพทย์และเภสัชกรรม ว่าเป็นตัว Antioxidant ที่ดีมากตัวหนึ่ง มีงานวิจัยบันทึกไว้ว่า ใบบัวบก 84 เปอร์เซ็นต์ เทียบเท่าวิตามินซี 88 เปอร์เซ็นต์ และเทียบเท่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 83 เปอร์เซ็นต์ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก

3. ประสิทธิภาพในการรักษาแผลเปื่อย : สารสกัดสำคัญในกลุ่มนี้ก็คือ Asiaticoside ซึ่งสามารถสกัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างการคั้นใบสดให้กลายเป็นน้ำ มีผลดีต่อแผลในกระเพาะอาหารอย่างมาก อาการอักเสบและความรู้สึกระคายเคืองต่างๆ ลดน้อยลงอย่างชัดเจน แน่นอนว่าสามารถนำไปต่อยอดเพื่อใช้สำหรับรักษาแผลภายนอกได้เช่นกัน

4. ประสิทธิภาพในการควบคุมเซลล์มะเร็ง : จุดเด่นที่เป็นประโยชน์มากๆ ของ ใบบัวบก ก็คือ มีสารสกัดที่สามารถยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ โดยไม่ทำให้เกิดพิษสะสมขึ้นในร่างกาย สามารถทำลายเซลล์มะเร็งผิวหนังและรักษาแผลที่เกิดจากมะเร็งได้ หากสกัดใบบัวบกด้วยน้ำแล้วรับประทานก็ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งภายในลำไส้ได้ด้วย

5. ประสิทธิภาพในการดูแลหัวใจ : หากนำ ใบบัวบก ทั้งต้นมาเข้ากระบวนการสกัดเพื่อใช้งาน จะได้สารเคมีสำคัญที่มีประโยชน์โดยตรงต่อหัวใจ ทำให้การทำงานของหัวใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องการการทำลายเซลล์หัวใจของโรคบางชนิดได้

ใบบัวบกสรรพคุณในศาสตร์แพทย์แผนจีน

ไม่ใช่แค่วงการแพทย์สมัยใหม่ หรือแพทย์แผนไทยเท่านั้นที่นิยมใช้ประโยชน์จาก ใบบัวบก ในศาสตร์แพทย์แผนจีนก็ให้ความสนใจด้วยเหมือนกัน ในภาษาจีนใบบัวบกจะถูกเรียกว่า จิเสวี่ยเฉ่า หมายถึง สมุนไพรที่มีหิมะสะสมอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือจัดเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นนั่นเอง จึงนำมาใช้เพื่อปรับสมดุลร่างกายได้หลายอย่าง ได้แก่

  • ทำให้เลือดเย็นตัวลงเพื่อห้ามเลือดแบบฉับพลัน : ความพิเศษที่แตกต่างไปจากสมุนไพรอื่นๆ ก็คือ ฤทธิ์เย็นใน ใบบัวบก จะทำให้เลือดไม่ไหลออกมานอกเส้นเลือด แต่ยังคงไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดตามปกติ ไม่ได้แข็งตัวจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • ขับลมและขับพิษ : โรคผิวหนังบางชนิดเกิดจากความร้อน เช่น ผื่นคัน หัด หิด เป็นต้น จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น อย่างน้อยก็จะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนตามผิวหนังได้ และเมื่อความระคายเคืองลดน้อยลง อีกไม่นานก็จะหายจากโรคนั้นได้
  • ลดบวม : สมุนไพรแทบทุกชนิดที่มีฤทธิ์เย็นจะช่วยขับความร้อนและปรับระดับชี่ในร่างกาย จึงสามารถขับพิษร้อนและลดอาการบวมที่เกิดจากพิษเหล่านั้นได้   
  • ระบายร้อน : เนื่องจากศาสตร์แพทย์แผนจีนเชื่อว่า ร่างกายจะแข็งแรงได้ต้องอยู่ในสมดุล ไม่ร้อนเกินและไม่เย็นเกิน โรคภัยหลายอย่างเกิดจากระดับความร้อนที่ไม่สมดุล เช่น ตัวร้อน เป็นไข้ เจ็บคอ ติดเชื้อทางเดินหายใจ เป็นต้น เมื่อทำการระบายความร้อนออก ร่างกายก็จะกลับสู่สมดุลอีกครั้งและทำให้โรคภัยทั้งหมดบรรเทาอาการลง

วิธีทำน้ำใบบัวบก

1. เลือกใช้ใบบัวบกที่แก่จัด โดยใช้ทั้งใบต้นและราก นำมาล้างน้ำทำความสะอาด
2. ตัดใบบัวบกเป็น 2-3 ท่อน ก่อนนำมาปั่นรวมกับน้ำเปล่า
3. ผสมน้ำกับใบบัวบกที่ปั่นแล้วคั้น จากนั้นนำกากที่เหลือมาคั้นน้ำที่สองเพื่อให้ได้ตัวยาสมุนไพรที่ยังเหลืออยู่ (ควรใช้น้ำสะอาด และห้ามใช้น้ำร้อนหรือนำน้ำที่คั้นได้ไปต้ม)
4. กรองน้ำบัวบกด้วยผ้าขาวบางห่าง ๆ (แบบผ้ามุ้ง)
5. จากนั้นค่อยๆรินเฉพาะน้ำส่วนใส ๆ มาดื่ม
( น้ำบัวบกที่ดีต้องคั้นใหม่ ๆ จากใบสด ๆ และไม่ควรเก็บน้ำที่คั้นได้ไว้นาน หรือทานไม่หมดควรแช่เย็นเก็บไว้
น้ำเชื่อมถ้าทำมาจากน้ำต้มใบเตย จะทำให้น้ำบัวบกอร่อยมากขึ้น )

ข้อควรระวัง

1. สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยง
2. ผู้ที่เป็นโรคตับ ไม่ควรรับประทาน
3. สำหรับผู้ที่ต้องรับการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม
4. กรณีผู้ที่ใช้ยา เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล ยาเบาหวาน ยาขับปัสสาวะ ยาระงับประสาท หรือยาที่ส่งผลต่อตับ ควรหลีกเลี่ยง
5. ใบบัวบกไม่เหมาะสำหรับเด็ก
6. ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ควรรับประทานใบบัวบกในปริมาณที่ต่ำกว่า

ใบบัวบก หรือผักหนอก มีประโยชน์ทั้งเป็นอาหาร เป็นยาเย็น แก้อ่อนเพลีย ช้ำใน บำรุงร่างกาย และยังใช้เป็นยาภายนอกอีกด้วย เป็นสมุนไพรธรรมดา ซึ่งมีคุณค่ามากหลายสมควรปลูกไว้ใกล้ตัว และสำหรับบางรายควรใช้ด้วยความระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“ใบบัวบก” สรรพคุณ-ประโยชน์ของใบบัวบก แก้ช้ำในว่าดีแล้ว ใช้แก้โรคยิ่งดีใหญ่ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sukkaphap-d.com [17 มีนาคม 2561].

สรรพคุณใบบัวบก ประโยชน์เลอค่า เพื่อความงามและสุขภาพ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://health.kapook.com [17 มีนาคม 2561].

สมุนไพรฟ้าทะลายโจรต้านไข้หวัด

0
ต้านไข้หวัดด้วยสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร"
ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุก โดยมีอายุสั้นๆ เพียงช่วงฤดูเดียว ลำต้นเป็นสีเขียวสดตั้งตรง แผ่กิ่งก้านแบบสันสี่เหลี่ยม ช่วยให้อาการหวัดต่างๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
ต้านไข้หวัดด้วยสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร"
ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ ช่วยให้อาการไข้หวัดต่างๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว

ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร ( Kariyat ) คือ สมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุก โดยมีอายุสั้นๆ เพียงช่วงฤดูเดียวเท่านั้น ลักษณะของลำต้นเป็นสีเขียวสดตั้งตรง แผ่กิ่งก้านแบบสันสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวสีเขียวเข้มรูปคล้ายหอก ผิวใบมันเงาเรียบลื่น ออกดอกสีขาวเป็นช่อเล็กๆ แทรกตามซอกใบและปลายกิ่ง ฟ้าทะลายโจรถูกเรียกในอีกหลายชื่อ ได้แก่ ฟ้าทะลาย หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน เป็นต้น ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ได้จะเป็นส่วนของใบเป็นหลัก รองลงมาเป็นส่วนของต้นที่อยู่ใต้ดิน มักนิยมปลูกไว้ตามบ้านคู่กับพืชผักกินใบอื่นๆ เมื่อไรที่ต้องการใช้ทำยาก็เด็ดมาใช้ได้สดๆ ฟ้าทะลายโจรปลูกขึ้นได้ดีในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ความโด่งดังของพืชสมุนไพรชนิดนี้เริ่มจากการระบาดของโรคหวัดในช่วงหนึ่ง และฟ้าทะลายโจรก็เป็นตัวเอกที่ช่วยให้อาการหวัดต่างๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีทั้งแบบแคปซูล แบบผง และแบบอัดเม็ด

มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees จัดอยู่ในวงศ์ Acanthaceae)
ชื่ออื่น ๆ ชื่อเรียกตามท้องถิ่นอื่น ๆ : ฟ้าสะท้าน ฟ้าทะลาย หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน เมฆทะลาย

องค์ประกอบทางเคมีของฟ้าทะลายโจร

สมุนไพรฟ้าทะลายโจร เป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น มีสารเคมีที่สำคัญอยู่หลายชนิด ซึ่งกระจายอยู่ในทุกส่วน ทั้งต้น ราก ใบ กลุ่มที่เด่นที่สุดคือ สารกลุ่มแลคโตน ( Lactone ) ได้แก่ สารแอนโดรกราโฟไลด์ ( andrographolide ) สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ ( neo-andrographolide ) 14-ดีอ๊อกซี่แอนโดรกราโฟไลด์ ( 14-deoxy-andrographolide ) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ลดปวด ฤทธิ์ลดไข้แก้ไอ และฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งแต่ละตัวก็จะออกฤทธิ์ในทางเภสัชวิทยาแตกต่างกันไป ได้แก่

  • ลดการบีบหรือหดเกร็งตัวของทางเดินอาหาร จึงส่งผลให้อาการบิด ปวดบริเวณช่องท้องลดน้อยลง
  • ลดอาการท้องเสีย โดยทำให้การสูญเสียน้ำทางลำไส้ที่เกิดจากสารพิษต่างๆ ของแบคทีเรียลดลง
  • กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  • ลดไข้และต้านการอักเสบ
  • ต้านอนุมูลอิสระ
  • ลดน้ำตาลในเลือด
  • ส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    แม้ว่า ฟ้าทะลายโจร จะสามารถเก็บเอาไว้ได้นานด้วยการตากแห้ง อบแห้ง บดผงหรือด้วยวิธีปรุงสมุนไพรแบบอื่นๆ แต่สารออกฤทธิ์ที่สำคัญทั้งหมดจะลดลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บเอาไว้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่ได้รับบรรจุชื่อลงในบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทยปี 2549 โดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการระบุข้อบ่งใช้เอาไว้แบบเฉพาะเจาะจงว่า ใช้สำหรับบรรเทาอาการท้องเสียแบบไม่ติดเชื้อ บรรเทาอาการเจ็บคอและสัญญาณต่างๆ ของโรคหวัด แต่แน่นอนว่าสรรพคุณทั้งหมดของฟ้าทะลายโจรไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะนี่เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตัวยาเก่าแก่มากมาย ทั้งตามแผนตำรายาของไทยและของจีน และต่อไปนี้ก็เป็นเพียงบางส่วนที่สำคัญๆ เท่านั้น

รักษาอาการไข้หวัดและเจ็บคอ : ประเด็นนี้จะไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์การรักษาโรคที่สร้างชื่อเสียงให้กับสมุนไพรไทยอย่างฟ้าทะลายโจรเลยทีเดียว ในปี 2009 ที่มีปัญหาโรคไข้หวัดใหญ่ระบาด ฟ้าทะลายโจร กลายเป็นพระเอกที่ช่วยให้ผู้ป่วยหลายคนผ่านพ้นวิกฤติครั้งนั้นไปได้ด้วยดี โดยออกฤทธิ์ด้วยการบรรเทาอาการหวัดไปพร้อมกับสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย จากงานวิจัยพบว่าองค์ประกอบสำคัญในฟ้าทะลายโจรจะทำหน้าที่ป้องกันเชื้อไวรัสไม่ให้ไปเกาะตามผนังเซลล์จนเกิดการอักเสบ อาการเจ็บคอและคัดจมูกต่างๆ จึงบรรเทาลง ในโรงพยาบาลชุมชนหลายแห่งก็ใช้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเป็นตัวเลือกสำหรับการรักษาอาการไข้เจ็บคอด้วย

บรรเทาอาการโรคอุจจาระร่วงและโรคบิดจากแบคทีเรีย : มีการศึกษาวิจัยถึงรูปแบบการออกฤทธิ์สารสกัดจาก ฟ้าทะลายโจร กับโรคอุจจาระร่วงและโรคบิด โดยให้ผู้ป่วยรับประทานยาสมุนไพรที่ทำจากฟ้าทะลายโจรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีอาการป่วย ผลคืออาการอุจจาระร่วงลดลงอย่างเห็นได้ชัด และยังลดการสูญเสียน้ำของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

บรรเทาริดสีดวงทวาร : โรคริดสีดวงเป็นอีกโรคหนึ่งที่สร้างความทรมานให้ผู้ป่วยไม่น้อย และมีอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ลักษณะคือมีก้อนเนื้อปลิ้นออกมาจากภายในขณะที่เบ่งถ่ายอุจจาระ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดมาก มักมีเลือดออกเสมอแต่ปริมาณไม่มากนัก ฟ้าทะลายโจร จะช่วยแก้อาการปวดถ่วงและลดการมีเลือดออกได้ จึงส่งผลให้ขับถ่ายได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาเม็ดสมุนไพรวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าอาการจะดีขึ้น

บรรเทาอาการกระเพาะอาหารอักเสบจากเชื้อไวรัส : จุดเด่นอย่างหนึ่งของ ฟ้าทะลายโจร ก็คือมีฤทธิ์ต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ดังนั้น จึงใช้ได้ผลดีกับอาการกระเพาะอาหารอักเสบที่เกิดมาจากการได้รับเชื้อไวรัสเข้าไป วิธีใช้คือให้ผู้ป่วยทานยาสมุนไพรครั้งละ 3 เม็ดก่อนอาหาร 3 เวลา

ไข้ไทฟอยด์ : หากเป็นไข้หวัดธรรมดาก็คงไม่เท่าไร บางคนที่มีพื้นฐานสุขภาพร่างกายที่ดี อาจจะต้องการเพียงแค่นอนพักให้มากกว่าปกติ 3-4 วันก็จะหายได้เอง แต่มันต่างออกไปถ้าเป็นไข้ไทฟอยด์ เพราะนี่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ซึ่งรุนแรงอย่างมากในเด็ก และแพร่กระจายได้ด้วยการปนเปื้อนในน้ำและอาหาร ลักษณะอาการคือมีไข้สูง ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องผูกและท้องเสีย ฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรก็คือพุ่งเป้าไปที่การทำลายเชื้อไทฟอยด์ที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของต่อมน้ำเหลืองและผนังลำไส้เล็ก ตลอดจนช่วยเร่งการสร้างน้ำดีในตับเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของการย่อยอาหารด้วย เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเป็นไข้ไทฟอยด์ก็สามารถเริ่มทานสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ได้ในทันที โดยทานครั้งละ 2-3 เม็ด ก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อ

รักษาโรคงูสวัด : อีกโรคหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สมัยนี้อาจไม่ค่อยได้เห็นกันมากเท่าไรแล้ว แต่เมื่อก่อนนั้นมีผู้เจ็บป่วยกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเป็นแล้วก็ยังหาทางรักษากันลำบากอีก เพราะองค์ความรู้ทางการแพทย์ยังมีไม่เพียงพอ ต้นเหตุของโรคงูสวัดเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกับโรคอีสุกอีใส จึงไม่น่าแปลกใจที่อาการเกือบจะคล้ายคลึงกัน การออกฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรก็คือการทำลายเชื้อไวรัสโดยตรง ขนาดที่ต้องทานก็คือก่อนอาหาร 2-3 เม็ดในทุกมื้ออาหาร และมีข้อกำหนดว่าต้องทานต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์ แม้อาการเจ็บปวดต่างๆ จะหายไปแล้วก็ตาม เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นโรคงูสวัดซ้ำได้อีกนั่นเอง

บรรเทาอาการแผลอักเสบ : ในเมื่อสรรพคุณที่เด่นๆ อย่างหนึ่งของ ฟ้าทะลายโจร ก็คือต้านอาการอักเสบต่างๆ ดังนั้นจึงใช้เพื่อสมานแผลและลดอักเสบลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย วิธีคือใช้ฟ้าทะลายโจรบดละเอียดเป็นผงแล้วพอกที่แผล อาจใช้วิธีทานร่วมด้วยก็ได้

ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด : ข้อนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานมาก แต่ก็ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพราะฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรคือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง ผู้ป่วยเบาหวานที่มีค่าน้ำตาลสูงจึงสามารถเลือกใช้ได้และให้ผลลัพธ์ที่ดี ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานอีกกลุ่มซึ่งมีค่าน้ำตาลต่ำอยู่แล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะทานฟ้าทะลายโจรไปก่อน

กระบวนการนำฟ้าทะลายโจรมาใช้เพื่อประโยชน์ทางยา

คุณสมบัติอย่างหนึ่งของ ฟ้าทะลายโจร คือมีรสชาติขมมาก แม้จะตรงตามตำราที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” แต่นั่นก็ทำให้หลายคนทานฟ้าทะลายโจรได้ยากจริงๆ จึงต้องมีการแปรรูปเพื่อให้ทานได้ง่ายมากขึ้น ดังนี้

ปั้นเป็นยาลูกกลอน : ส่วนประกอบที่ใช้จะเป็นกิ่งและใบสดๆ นำมาล้างให้สะอาดแล้วตากแดดจนแห้งสนิทดี ก่อนนำมาบดเป็นผง ปั้นผสมกับน้ำผึ้งให้ได้เม็ดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้งอีกครั้งแล้วค่อยเก็บใส่โหลหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ ข้อควรระวังคือ อย่าใส่น้ำผึ้งมากเกินไปนัก จุดประสงค์หลักเราใส่เพื่อให้ช่วยลดความขมโดดของ ฟ้าทะลายโจร เท่านั้น

บรรจุใส่แคปซูล : รูปแบบนี้รับรองว่าทานง่ายแน่นอน เพราะจะไม่มีรสชมเลย และกลิ่นเจือจางมาก กระบวนการคือนำส่วนของใบและลำต้นมาบดให้เป็นผลละเอียด หลังจากล้างทำความสะอาดพร้อมตากแห้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทำเป็นยาอัดเม็ด : จริงๆ อันนี้คล้ายกับการทำยาลูกกลอน เพียงแต่ใช้เครื่องจักรสมัยใหม่เท่านั้น ส่วนผสมที่ใช้ก็เลือกได้หลากหลาย จะเป็นลำต้น ใบหรือรากก็ได้ ตามแต่สรรพคุณที่ต้องการ ขั้นตอนคร่าวๆ ก็คือ ทำความสะอาด อบ บดผงและอัดเม็ด

ต้มกับน้ำสะอาดเพื่อดื่ม : วิธีนี้เป็นการเตรียมยาสมุนไพรที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด เพราะเราสามารถใช้ส่วนของวัตถุดิบที่ยังสดอยู่ได้เลย ไม่ต้องตากแห้งให้เสียเวลา แต่ก็จะมีรสขมมากอยู่ อาจเติมน้ำผึ้งช่วยได้บ้าง ที่สำคัญยาต้มนี้ต้องดื่มต่อเนื่องหลายเวลาในวันเดียว จึงควรต้มทิ้งไว้เป็นหม้อใหญ่สักหน่อยจะได้ไม่ต้องเทียวต้มทุกครั้งที่จะใช้

บดเป็นผงเพื่อใช้พอก : ใช้ส่วนของใบแก่จัด นำมาบดให้ละเอียดทั้งๆ ที่ยังสดนั่นเอง ผสมเกลือเล็กน้อย น้ำเปล่าอีกนิดหน่อย คนจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียวก็ใช้ได้ ตักเอาแต่เนื้อสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ไปพอกแผลแล้วพันทับด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นจึงแกะเปลี่ยนตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

บดเป็นผงเพื่อใช้สูดดม : วิธีการใช้จะคล้ายคลึงกับยานัตถุ์มากกว่ายาดม คือเป็นการสูดเอาควันฟุ้งให้ตรงเข้าไปในคอเลย การเตรียมสมุนไพรก็ใช้ใบตากแห้งมาบดละเอียดแล้วบรรจุใส่ขวดเก็บไว้ เวลาที่เอามาใช้ถ้าผงยาไปติดอยู่บริเวณคอก็จะช่วยเรื่องลดเสมหะและแก้อาการเจ็บคอ แต่ถ้าผงยาติดอยู่ในช่องจมูกก็จะช่วยลดน้ำมูกได้

อาการแพ์ทางพิษวิทยาของฟ้าทะลายโจร

สำหรับคนไข้บางคนที่รับประทานฟ้าทะลายแล้วมีอาการแพ้ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดเอว เวียนศีรษะ อาการผื่นคัน หรือลมพิษ จนถึงอาการแพ้ขั้นรุนแรงให้หยุดใช้ยาทันที

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร

สำหรับคนที่ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อเปลี้ย มือเท้าชาได้ เนื่องจากฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็น จึงควรหยุดใช้ยาหรือไม่ใช้ติดต่อกันนานเกินไป

1. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความดันต่ำและมีอาการท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรือทานฟ้าทะลายโจรแล้วมีอาการแพ้
2. ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ
3. ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตร
4. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอและอักเสบเนื่องจากเหตุเฉพาะเจาะจงอื่นๆ ที่ต้องควบคุมโดยแพทย์

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ฟ้าทะลายโจร สรรพคุณและประโยชน์ เป็นสมุนไพรต้านหวัด (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sukkapab.com [17 มีนาคม 2561].

The Flower Power of the Kariyat Plant (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://lustroushenna.typepad.com [17 มีนาคม 2561].

ประโยชน์ของ ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านที่มากคุณค่า

0
ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านที่มากไปด้วยประโยชน์
ขมิ้น เป็นพืชสมุนไพรที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อของเหง้ามีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีแสด
ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านที่มากไปด้วยประโยชน์
ขมิ้น เป็นพืชสมุนไพรที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อของเหง้ามีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีแสด

ขมิ้น หรือขมิ้นชัน

ขมิ้น ( turmeric ) เป็น พืชสมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในแถบเอเชีย ใช้ทั้งปรุงรสอาหารและเป็นวัตถุดิบในตำรับยาหลายขนาน ด้วยกลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความเผ็ดร้อนที่กำลังดี ไม่แสบเหมือนพริก ผสมกับความขมอีกเล็กน้อยตามแบบของพืชจำพวกเหง้า พร้อมให้สีสันเหลืองนวลเด่นชัด ขมิ้น จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการทำเครื่องแกง นอกจากนี้ก็มีการนำไปสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เครื่องประทินโฉม และยารักษาโรค 

สมุนไพรพื้นบ้าน ขมิ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า ขมิ้นชัน มีลำต้นสูงราวๆ 50-60 เซนติเมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดินแล้วแตกใบโผล่เหนือดินขึ้นมา ลักษณะใบเป็นใบกว้างรูปร่างคล้ายหอกปลายแหลมสีเขียวเข้ม บริเวณก้านเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ดอกมีลักษณะเป็นช่อใหญ่ปลายสีชมพูอ่อน สามารถเพาะปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน และเก็บเกี่ยวเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ตลอดทั้งปี

องค์ประกอบสำคัญในขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้าน

สมุนไพรพื้นบ้านที่สารออกฤทธิ์สำคัญสีเหลืองที่ทำให้ ขมิ้น มีเอกลักษณ์ชัดเจนก็คือ เคอร์คูมิน ( curcumin ) เป็นสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ ( curcuminoid ) ที่พบมากในพืชวงศ์ขิง อย่างเช่น ขิง ขมิ้น ว่านนางคำ เป็นต้น อันที่จริงในขมิ้นชันจะมีอยู่ 3 ตัวหลักได้แก่ เคอร์คูมิน ( curcumin ) ดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน ( demethoxycurcumin ) และบิสดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน ( bisdemethoxycurcumin ) ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่ดีทั้งหมด แต่ตัวที่โดดเด่นมากกว่าเพื่อนก็คือ เคอร์คูมิน ( curcumin ) ซึ่งเป็นสารประเภทโพลีฟีนอล ( polyphenolic phytochemical ) มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการของกรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ดี ช่วยเรื่องอาหารไม่ย่อย ต้านการเกิดมะเร็ง แก้ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และต้านปรสิตบางกลุ่มได้ นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนช่วยในการคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งจากอาการปวดต่างๆ ได้ด้วย

สมุนไพรพื้นบ้านคุณค่าทางโภชนาการของขมิ้น

ขมิ้นชันยังมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินอี เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก  เส้นใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

ขมิ้นกับการรักษาโรค

โรคผิวหนัง : อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเคอร์คูมิน ( curcumin ) มีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังด้วย โดยออกฤทธิ์ดีเยี่ยมกับผู้ป่วยที่เกิดอาการคันตามผิวหนัง กระบวนการคือช่วยยับยั้งการอักเสบทั้งภายในร่างกายและบริเวณผิวหนังภายนอก ในผู้ป่วยที่มีอาการไตวายเรื้อรัง เมื่อทดสอบด้วยการทาน ขมิ้น พบว่ามีอาการคันลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงผู้ป่วยที่ผิวหนังคันเพราะสัมผัสสารพิษบางประเภทมาก่อนหน้านี้ ก็ช่วยให้ความระคายเคืองที่ผิวลดลงได้ แต่ยังไม่มีการยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ขมิ้นชันเพื่อรักษาโรคผิวหนังในระยะยาว

โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s Disease ) : อัลไซเมอร์คือภาวะผิดปกติที่เกี่ยวกับสมอง เป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงไปถึงการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มักเป็นผู้สูงอายุและคนวัยทำงาน อาการเด่นชัดคือหลงลืม อารมณ์แปรปรวนและสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป มีหลายงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ขมิ้น อาจมีประโยชน์ต่อการรักษาอัลไซเมอร์ โดยเจาะจงไปยังกลุ่มที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมและความจำเสื่อม ส่วนในกลุ่มอาการแบบอื่นยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนนัก ยังต้องมีการศึกษาเพื่อขยายผลกันต่อไปอีก

อาการจุกเสียดแน่นท้อง : เมื่อไรที่มีอาการแน่นท้อง มีลมในท้องมากจนอึดอัด หรือจุกเสียดโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ขมิ้นชัน จะเป็นสมุนไพรตัวแรกๆ ที่นึกถึง บ้างก็เอามาทานสดๆ บ้างก็เลือกทานแบบที่เป็นยาแคปซูล หากไม่ได้เป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงก็พบว่าขมิ้นชันช่วยได้ทุกครั้งไป สมุนไพรพื้นบ้านขมิ้นมีสารเคอร์คูมิน ( curcumin ) มีคุณสมบัติในการยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและบรรเทาอาการจุกเสียดในระบบทางเดินอาหารได้

โรคตาอักเสบ : ในเมื่อลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของขมิ้นก็คือต้านการอักเสบ ดังนั้นไม่ว่าอาการอักเสบเกิดขึ้นที่ส่วนใดของร่างกาย ขมิ้นก็ย่อมช่วยบรรเทาหรือรักษาให้หายขาดได้แน่นอน โรคตาอักเสบก็เช่นเดียวกัน เคยมีการทดสอบกับผู้ป่วยโรครูเวียอักเสบ เป็นโรคที่ส่วนของม่านตา เนื้อเยื่อคอรอยด์และเนื่อเยื่อ Ciliary body เกิดการอักเสบ โดยทำการทดสอบกับผู้ป่วยถึง 30 กว่าคน ได้ผลว่ามีอาการดีขึ้นในช่วงสองสัปดาห์แรก นอกจากนี้ ขมิ้น ยังช่วยบรรเทาความระคายเคืองหรือความไม่สบายตาจากโรคตากลุ่มอื่น ๆ ได้ด้วย

ภาวะซึมเศร้า : โรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่มีผู้ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนไม่น้อยเลย ภาวะซึมเศร้าคือลักษณะของอารมณ์ที่เศร้าสร้อย หดหู่ สะเทือนใจ ร้องไห้ง่าย ท้อแท้ง่าย เรื่องที่เคยเป็นเรื่องเล็กน้อยก็กลายเรื่องใหญ่โตและดูอ่อนไหวไปหมด ซึ่งโรคนี้ต้องได้รับการบำบัดและรักษาอย่างถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ในส่วนของ ขมิ้น นั้นก็ช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้ด้วยเหมือนกัน โดยมีการทดสอบการใช้สารเคอร์คูมิน ( curcumin ) ในขมิ้นกับผู้ป่วยภาวะซึมเศร้า ด้วยการทานในรูปของสารสกัดปริมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่องเป็นเวลารวมประมาณ 8 สัปดาห์ พบว่าในช่วงแรกของการใช้สารเคอร์คูมิน ( curcumin ) ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างของอารมณ์มากนักเมื่อเทียบกับตอนที่ยังไม่ได้ใช้ แต่พอผ่านเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังกลับพบว่าผู้ป่วยมีภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก จึงสรุปได้ว่าสารออกฤทธิ์ที่สำคัญในขมิ้นช่วยลดภาวะซึมเศร้าลงได้จริง อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีการทดสอบหรือทำงานวิจัยในลักษณะที่ยาวนานกว่านี้ หรือมีการใช้สารเคอร์คูมิน ( curcumin )ในปริมาณอื่น ๆ

แก้อาการตกขาว : อาการตกขาวในผู้หญิงมีทั้งแบบที่ปกติและผิดปกติ หลายคนตกขาวเป็นประจำก่อนการมีรอบเดือน แต่จะต้องไม่มีกลิ่นคาว ไม่มีสีคล้ำ ไม่คัน ไม่แสบ และไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นๆ ถึงจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องหาทางแก้หรือรักษาแต่อย่างใด ในทางกลับกันถ้าตกขาวนั้นผิดปกติหรือแม้แต่มีปริมาณมากเกินไปจนเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ก็สามารถใช้ ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านช่วยบรรเทาอาการได้ด้วย ว่ากันว่าการทานขมิ้นสดจะช่วยแก้ที่ต้นเหตุของอาการตกขาวที่เกิดขึ้นได้ แต่เป็นเพียงความผิดปกติที่ไม่รุนแรงมากนักเท่านั้น หากเกิดจากมะเร็งปากมดลูกหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ก็ต้องเข้าพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจรักษาดีกว่า

ช่วยลดคลอเรสเตอรอล : ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันหรือมีระดับคลอเรสเตอรอลสูง บางส่วนแพทย์ก็ให้ทาน ขมิ้น แบบแคปซูลช่วยเพื่อลดการใช้ยาเกินความจำเป็น ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดี ด้วยขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้านมีส่วนสำคัญในการลดไขมันคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี ( LDL ) หรือไม่มันที่ไม่ดีออกไปได้ แถมยังเพิ่มไขมันส่วนดี HDL ได้อีกด้วย ดังนั้นระดับคลอเรสเตอรอลจึงลดลงและอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เรื่องนี้ไม่ใช้แค่ความรู้สึกนึกคิดไปเองเท่านั้น แต่มีงานวิจัยรับรองจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยทดลองใช้สารสกัดน้ำมันจากหัวขมิ้นกับสัตว์ทดลองเป็นเวลา 45 วัน พบว่ามีอัตราการลดลงของ LDL พร้อมกับอัตราการเพิ่มขึ้นของ HDL อย่างน่าสนใจ

ช่วยป้องกันมะเร็ง : สมุนไพรพื้นบ้านคุณสมบัติที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของ ขมิ้น ก็คือมีองค์ประกอบสำคัญที่ออกฤทธิ์ยับบั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ หรือเซลล์เนื้อร้ายได้ด้วย กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กลุ่มที่ขึ้นชื่ออย่างมากในการนำสมุนไพรไทยมาประยุกต์ใช้และต่อยอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ทำงานวิจัยมกมายเกี่ยวกับผลของการใช้ขมิ้นชันต่อความเปลี่ยนแปลงของโรคมะเร็ง พบว่าสารออกฤทธิ์สำคัญในขมิ้นชันมีศักยภาพในการป้องกันกระบวนการของการเกิดมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยยับยั้งการเติบโต ยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ทั้งยังช่วยปรับระบบภูมิต้านทานของร่างกายให้สมบูรณ์ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ดีขึ้น ประเภทของมะเร็งที่ทดลองแล้วว่าขมิ้นมีช่วยในการช่วยลดอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็งก็คือ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งกระดูก

ขมิ้น หรือ ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่นอกจากจะมีคุณสมบัติในการรักษาโรคที่หลากหลายอย่างแล้ว ยังสามารถใช้กับผิวพรรณด้านความสวยความงามได้อีกด้วย

แนะนำเมนูเด็ดจากขมิ้น

1. ไก่ผัดขมิ้น
2. ปลาช้อนต้มขมิ้น
3. ไก่บ้านต้มชมิ้น
4. หมูสะเต๊ะหมักขมิ้น
5. ข้าวหมกไก่ ใส่ขมิ้น
6. ไก่ย่าง ไก่ทอดขมิ้น
7. ผักกระเพรากึ๋นไก่
8. แกงเหลืองปลากะพง
9. แกงขมิ้นลูกชิ้นปลากราย
10. แกงกะหรี่ขมิ้น

ขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้านกับเรื่องความสวยความงาม

นอกจากจะเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคที่หลากหลายอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ขมิ้น ก็ยังมีอิทธิพลต่อประเด็นของความสวยความงามอีกด้วย มีการใช้งานกับผิวพรรณมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยที่ยังไม่ได้มีผลการทดลองหรืองานวิจัยใดๆ แต่พิสูจน์กันด้วยผลลัพธ์ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการใช้ขมิ้นชันกับวงการความงาม

บำรุงผิวให้นวลเนียนและดูผุดผ่อง : ด้วยสีเหลืองนวลของขมิ้นโดยเฉพาะขมิ้นสดและสารออกฤทธิ์บางอย่าง เมื่อนำมาพอกและขัดผิวเป็นประจำจึงช่วยผลัดเซลล์ผิวและขับผิวให้ดูผ่องขึ้น สมัยก่อนจะมีการเอาหัวขมิ้นสดมาฝนจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด ผสมกับมะขามเปียกแล้วใช้ขัดผิว แต่เดี๋ยวนี้มีแบบที่เป็นผงขมิ้นสำเร็จรูปให้เลือกใช้กันแล้ว ขมิ้นถือเป็นสมุนไพรอันดับต้นๆ ที่คนจะนึกถึงหากอยากได้ผิวสวยใส เพราะผิวดีขึ้นแน่นอนและถาวร แม้จะใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลชัด แต่ก็ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์

ช่วยรักษาสิวหัวเล็ก : จุดเด่นข้อหนึ่งของ ขมิ้น ก็คือช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ดังนั้นเมื่อนำขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้านมาพอกที่หัวสิวทิ้งไว้ด้วยระยะเวลาที่เหมาะสม จึงช่วยลดการอักเสบและเร่งให้สิวหายเร็วขึ้นได้ นอกจากนี้ก็ยังใช้พอกหน้าเพื่อขับสิวเสี้ยนได้ด้วย

ลดความมันบนใบหน้า : กลไกการลดความมันบนใบหน้าของขมิ้นก็คือ มีสารออกฤทธิ์ที่ไปลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันบริเวณผิวชั้นนอกให้น้อยลง หน้าที่เคยมันเยิ้มระหว่างวันจึงหายไป แต่ต้องระวังในการใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเพราะผิวหน้าอาจจะแห้งเกินไป และสำหรับใครที่มีผิวหน้าแห้งอยู่แล้ว คงต้องใช้ส่วนประกอบอื่นๆ ร่วมด้วยในเรื่องของความชุ่มชื้น เช่น น้ำผึ้ง น้ำนม น้ำมันบำรุงผิวบางชนิด เป็นต้น

ช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ : ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน และขึ้นชื่อในเรื่องการลดเลือนริ้วรอยด้วยเหมือนกัน ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ ริ้วรอยที่เคยมีจึงแลดูจางลง

ถึงแม้ว่า ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านจะเป็นพืชสมุนไพรที่เราคุ้นเคยกันมายาวนาน และก็มีสรรพคุณแทบจะครอบจักรวาล แต่การใช้งานขมิ้นในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทานแบบสด ทานแบบสารสกัด ใช้พอกผิว ใช้ขัดตัว เป็นต้น ล้วนมีวิธีการและอัตราการใช้ที่เหมาะสมอยู่ หากใช้น้อยไปก็ไม่ได้ผล ใช้มากไปก็อาจเป็นอันตรายได้ในบางกรณี ยิ่งถ้าใช้ผิดวิธีก็เสียทั้งวัตถุดิบและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน ที่สำคัญถ้าเลือกใช้ขมิ้นในรูปของผลิตภัณฑ์สำเร็จ ต้องดูรายละเอียดของส่วนประกอบ แหล่งผลิต วันเดือนปีที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ตลอดจนข้อห้ามหรือข้อควรระวังต่างๆ ด้วย เพราะผลิตภัณฑ์สำเร็จนั้นมีกระบวนการบางอย่างที่แตกต่างไปจากการทานหัว ขมิ้น สดๆ เราจึงต้องใส่ใจเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยจริงๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

กองบรรณาธิการ. ขมิ้นชันกับมะเร็ง : กรุงเทพฯ : แบงค์คอกบุ๊คส์.

ขมิ้นกับสรรพคุณทางยา (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.pobpad.com [17 มีนาคม 2561].

Turmeric, Curcumin (Curcuma longa) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.sigmaaldrich.com [17 มีนาคม 2561].

ไพล ประโยชน์และสรรพคุณที่ใครหลายคนเคยมองข้าม

0
ประโยชน์และสรรพคุณของ ไพล
ไพลมีสารในกลุ่มเคอร์คิวมินอยด์เหมือนในขมิ้น ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวขาว ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ
ประโยชน์และสรรพคุณของ ไพล
ไพลมีสารในกลุ่มเคอร์คิวมินอยด์เหมือนในขมิ้น ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวขาว ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ

ไพล

ไพล หรือว่านไพล (Zingiber Cassumunar) คือ พืชล้มลุกที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นขึ้นเป็นกอ ออกดอกช่อสีนวลกับใบประดับสีออกม่วงแดง ทุกส่วนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด ส่วนดอกมีสรรพคุณช่วยขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย ส่วนลำต้นช่วยเรื่องปรับสมดุล ใบช่วยแก้ปวดเมื่อยหรือมีไข้ และรากช่วยบรรเทาอาการเลือดกำเดาไหลได้ แต่ส่วนที่สำคัญและมีคุณค่ามากที่สุดก็คือส่วนเหง้าที่แก่จัดได้ที่แล้ว มีสรรพคุณและสารสำคัญหลากลายจนได้จัดเป็นหนึ่งเครื่องยาสมุนไพรพื้นฐานที่ได้รับความสนใจ ตลอดจนมีงานวิจัยรองรับมากมายอีกด้วย

สุดยอดสมุนไพรอีกตัวหนึ่งของบ้านเราที่ถูกหยิบใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณก็คือ “ ไพล ” บ้างก็เรียกว่านไพล ปูขมิ้น ว่านไฟ ไพลเหลือง แล้วแต่ภูมิภาค หลายคนแยกไม่ค่อยออกระหว่างไพลกับขมิ้น เพราะหากมองเพียงผิวเผิน รูปร่างหน้าตาก็เป็นเหง้าเหมือนกันแถมเมื่อผ่าดูเนื้อในก็ยังมีสีเหลืองเหมือนกันอีกด้วย แต่เมื่อคุ้นเคยกับสมุนไพรยอดนิยมทั้งสองชนิดนี้แล้วก็จะแยกออกได้ไม่ยากเลย ขมิ้นจะมีขนาดของหัวเหง้าเล็กกว่าไพลอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสีเนื้อในของขมิ้นจะออกเหลืองส้ม สีเข้มสดใส ส่วนไพลสีออกเหลืองนวลคล้ายสีของคัสตาร์ด นอกจากนี้ผิวสัมผัสเปลือกหุ้มของไพลก็ยังหยาบขรุขระมากกว่าขมิ้นอีกด้วย

องค์ประกอบสำคัญของไพล

ไพล เป็นพืชสมุนไพรกลุ่มเดียวกันกับขมิ้น สรรพคุณของไพลจึงมีสารสีเหลืองที่เรียกว่าเคอร์คูมิน ( Curcumin ) เหมือนกัน แต่จะต่างกันในรายละเอียด เพราะเคอร์คูมินก็ยังแยกย่อยออกไปอีกหลายชนิด นั่นทำให้สรรพคุณในการรักษาโรคของสมุนไพรทั้งสองไม่เหมือนกันซะทีเดียว และก็ไม่สามารถใช้แทนกันได้ ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาจะคล้ายคลึงกันมากขนาดไหนก็ตาม ตัวอย่างของสารเคอร์คูมินที่พบในไพลได้แก่ cassumunin A-C อนุพันธ์แนฟโทควิโนน ( naphthoquinone derivatives ) อนุพันธ์บิวทานอยด์ (  butanoid der ivat ives ) เป็นต้น สารที่พบอีกกลุ่มหนึ่งก็คือสารกลุ่มฟีนิลบิวทานอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบได้ อย่างเช่น butadiene ( DMPBD ) นอกจากนี้ก็มีส่วนของน้ำมันระเหยมากกว่าร้อยละ 80 สารเคมีสำคัญที่อยู่ในน้ำมันหอมระเหยก็จะเป็นกลุ่มของมอโนเทอร์พีน ( monoterpene ) เช่น แอลฟา-ไพนีน ซาบินีน แอลฟา-เทอร์พินีน แกมมา-เทอร์พินีน และเทอร์พีน- 4-ออล แต่อย่างไรก็ตามปริมาณของสารเคมีเหล่านี้จะแปรผันไปตามแหล่งกำเนิดของไพล จึงทำให้การเลือกนำมาใช้ต้องพิจารณาปัจจัยตรงนี้เพิ่มเติมด้วย

สรรพคุณของไพลและวิธีการใช้งาน

สรรพคุณของไพลลดอาการอักเสบภายนอก : อย่างที่ได้รู้กันไปแล้วว่าในหัว ไพล มีส่วนของน้ำมันระเหยอยู่มาก และในนั้นก็มีสารออกฤทธิ์สำคัญที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ แก้เคล็ดขัดยอก ปวดบวมและฟกช้ำได้ ยังไม่พอหากเป็นอาการปวดเมื่อยก็สามารถช่วยบรรเทาให้เบาลงได้เหมือนกัน โดยนำเหง้าสดที่มีคุณภาพดีมาประมาณ 1 เหง้า ล้างทำความสะอาดคราบดินโคลนออกให้หมดก่อนนำมาตำละเอียด บีบคั้นจนน้ำออกมา แล้วใช้น้ำนั้นทาถูบริเวณที่ต้องการ หรือจะทำให้เป็นลักษณะของลูกประคบก็ได้ สรรพคุณของไพลคือใช้เหง้าสดตำละเอียดผสมกับเกลือหรือการบูรเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากันดี แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดมาห่อด้วยผ้า มัดเป็นทรงกลมแบบลูกประคบ ตอนใช้งานก็เอาไปอังไอน้ำให้ร้อนแล้วค่อยๆ ประคบตามบริเวณที่มีอาการ

สรรพคุณของไพลบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และขับลม : ไพล เป็นสมุนไพรที่ถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในประเภทเดียวกับ ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น และคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สมุนไพรในกลุ่มนี้มีเหมือนกันก็คือ ช่วยขับลมในช่องท้องได้ดี จึงลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ทั้งหมด โดยจะใช้เป็นเหง้าแห้งบดละเอียดปริมาณ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อนที่ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย ดื่มเหมือนชาเป็นช่วงๆ

สรรพคุณของไพลบรรเทาอาการบิดหรือท้องเสีย : ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าโรคบิดและท้องเสียนั้นมีความรุนแรงหลายระดับ และบางครั้งก็เป็นเชื้อโรคที่ร้ายแรง ดังนั้นการรักษาหรือบรรเทาอาการด้วยสมุนไพรก็ต้องเลือกใช้ตามความเหมาะสมด้วย หากเป็นหนักก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาดีกว่า วิธีการใช้ ไพล ก็คือ ฝานเหง้าสดให้เป็นแว่นบางๆ สัก 4-5 แว่น บดให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ เมื่อได้แล้วจึงเติมเกลือเล็กน้อย ทานจนหมด หรือจะเปลี่ยนเป็นการฝนด้วยน้ำปูนใสแล้วทานก็ได้เหมือนกัน

สรรพคุณของไพลบรรเทาอาการของโรคหอบหืด : ไพล ที่สารออกฤทธิ์สำคัญที่มีผลต่อการขยายหลอดลม ซึ่งมีการวิจัยในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหอบหืดมาแล้ว ด้วยการให้ทานไพลในรูปแบบของแคปซูล 200 มิลลิกรัม พบว่าอาการหอบที่มีนั้นลดลง ทั้งยังสามารถใช้เพื่อป้องกันอาการหอบหืดเรื้อรังได้ดีในเด็กและผู้ใหญ่ รูปแบบการเตรียมยาสมุนไพรที่นอกเหนือไปจากการทำเป็นแคปซูลก็คือ ใช้เหง้าไพลแห้ง 5 ส่วน พริกไทยและดีปลีอย่างละ 2 ส่วน กานพลูและพิมเสนอย่างละ 1 ส่วน นำทั้งหมดบดผสมรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว ใช้ผงยานั้นชงกับน้ำร้อนดื่ม หากยังรู้สึกว่าทานยากก็เติมน้ำผึ้งลงไปได้ อย่างไรก็ตามการรักษาโรคหอบหืดด้วยไพลนั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นควรมีการทดสอบการแพ้หรือผลข้างเคียงต่างๆ เอาไว้ด้วย

สรรพคุณของไพลป้องกันยุง : หากมี ไพล ติดครัวอยู่สักเหง้าหนึ่งก็ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อยาทากันยุงแบบเคมีเลย เพราะไพลนี่แหละกันยุงชะงัดนัก โดยใช้ผงเหง้าไพลแช่ในแอลกอฮอล์ 95 เปอร์เซ็นต์ ทำการระเหยให้เข้มข้นมากขึ้นก่อนนำมาใช้งาน สามารถทาได้ทั้งตัวยกเว้นส่วนของใบหน้า เพราะหลายคนก็ผิวแพ้ง่ายและแพ้ส่วนที่เป็นแอลกอฮอล์นั่นเอง ความพิเศษของยาทากันยุงจากเหง้าไพลนี้ก็คือ เมื่อทาแล้วสบายผิว มีกลิ่นหอมและไม่รู้สึกแสบร้อน

ไพล สมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ รักษาอาการได้สารพัด เป็นหนึ่งเครื่องยาสมุนไพรพื้นฐาน คนสมัยก่อนนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำลูกประคบ แก้ฟกช้ำ ปวด บวม

น้ำมันไพล ของดีประจำบ้าน

ไพล น้ำมันหอมระเหยในเหง้าไพลนั้นมีสรรพคุณดีงามหลายอย่าง แก้วิงเวียนได้ แก้ง่วงนอนได้ เคยถูกใช้เพื่อปรับความสมดุลในด้านจิตใจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หมอยาสุรินทร์มักใช้ไพลเป็นส่วนผสมในการอบตัวให้คนวิกลจริต เพราะน้ำมันหอมระเหยนั้นจะช่วยให้จิตใจสงบลงได้ ถึงขนาดที่มีความเชื่อว่าไพลนั้นใช้ไล่ผีได้เลยทีเดียว คาดว่าคงเป็นผู้ป่วยที่มีจิตไม่ปกติในสมัยก่อนนั่นเอง

รูปแบบของการดึงเอาน้ำมันหอมระเหยจาก ไพล มาใช้ประโยชน์ ที่นิยมมากที่สุดคือการทำ “ น้ำมันไพล ” หลายคนคงเคยได้เห็นบรรดาขวดแก้วขนาดเล็กที่บรรจุน้ำสีเหลืองนวล กลิ่นหอมเฉพาะตัว ยิ่งผู้สูงอายุยิ่งชอบใช้ถูนวดตามตัวบ้าง ใช้สูดดมและทาถูตรงกระหม่อมบ้าง ก็เรียกได้ว่าเป็นน้ำมันสารพัดประโยชน์เลยทีเดียว หากฟกช้ำก็ใช้น้ำมันทาบางๆ สักวันละ 2 ครั้ง ไม่นานก็จะดีขึ้น ถ้ามีอาการบวมก็ทาน้ำมันบางๆ เช่นกันแต่ควรนวดคลึงไปด้วย แม้แต่เหน็บชาก็ยังใช้ได้ โดยเอาน้ำมันไพลหยดใส่ผ้าที่ห่อเป็นก้อน จากนั้นนำมานวดประคบตรงที่เป็นเหน็บ โรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ใช้น้ำมันไพลเป็นน้ำมันพื้นฐานในการผลิตน้ำมันชนิดอื่นๆ ตลอดจนครีมแก้อาการต่างๆ ด้วย

ไพลมีกี่ชนิด และนิยมใช้ทำอะไร

ว่านไพลมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษระการใช้งานที่ต่างกัน

  • ไพลแดง ขับลม ขับประจำเดือน มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ แก้บิด สมานลำไส้ ภายนอก เหง้าสดฝนทาแก้เคล็ดยอก ฟกบวม เส้นตึง เมื่อยขบ เหน็บชา และสมานแผล
  • ไพลเหลิอง เป็นว่านที่นิยมใช้ในการรักษาอาการอักเสบ ปวด บวม ฟกช้ำ
  • ไพลขาว เป็นว่านที่มีอานุภาพในทางคงกระพันชาตรี ใช้กินหรือเคี้ยวเพื่อคงกระพันชาตรี
  • ไพลดำ เป็นว่านทางคงกระพันชาตรี มีการนำมาใช้ในทางไสยศาสตร์ เช่น คงกระพันชาตรี ซึ่งจะต้องเสกด้วยเวทมนตร์คาถา เช่น พุทธังเป็นยา ธัมมังรักษา สังฆังหาย ตะหัง นะหิโสตัง หรือ “นะโมพุทธายะ” 7 จบ สำหรับว่านไพลดำนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทคือ ว่านไพลดำชนิดเนื้อในหัวเป็นสีม่วงอมน้ำตาลจะเด่นในเรื่องของอยู่ยงคงกระพัน และว่านไพลดำชนิดเนื้อในหัวเป็นสีดำ ซึ่งจะเด่นในเรื่องการชักนำเงินทอง

สรรพคุณของไพล สูตรลับทำน้ำมันไพล

แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการทำพอสมควร แต่จากสรรพคุณของ ไพล ทั้งหมดก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างที่สุด เพราะเราทำเองย่อมได้น้ำมันไพลที่มีคุณภาพคับแก้ว คือใส่ส่วนผสมแบบหนักเครื่องได้ แถมต้นทุนที่เป็นเม็ดเงินก็ถูก ยิ่งถ้าในครัวเรือนมีสมาชิกมาก ทำสักหนแล้วแจกจ่ายกันไว้ใช้ก็ยิ่งดี

ส่วนผสมน้ำมันไพล
1. เหง้าไพลสดฝานแว่น 2 แก้ว
2. น้ำมันมะพร้าว 1 แก้ว
3. การบูร 1 ช้อนชา
4. ดอกกานพลู 1 ช้อนชา
หากต้องการทำปริมาณที่มากกว่านี้ ก็ใช้วิธีการเทียบสัดส่วนเอาได้เลย

ขั้นตอนการทำน้ำมันไพล
• เทน้ำมันที่เตรียมไว้ลงในกระทะ แล้วยกขึ้นตั้งไฟ
• เมื่อน้ำมันร้อนจัดจึงใส่แว่นไพลลงไปทั้งหมด คล้ายๆ กับการทอดกล้วยแขก
• เบาไฟลงให้เหลือแค่ไฟกลาง ไม่นานนัก ไพลจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแก่
• ช้อนเอาชิ้นไพลออก ใส่การพลูที่ตำละเอียดลงไปแล้วเบาไฟลงอีกให้เป็นไฟอ่อนๆ เท่านั้น พักไว้ 10 นาที
• กรองน้ำมันนั้นด้วยผ้าขาวบาง แล้วตั้งไว้เพื่อรอให้น้ำมันหายร้อน
• เติมการบูรลงไป ก่อนเทใส่ขวดที่มีฝาปิดสนิท

สรรพคุณของไพลตำ
ตำรับยาที่น่าสนใจเหล่านี้คือตำรับยาที่ใช้กันมาแต่โบราณ ซึ่งที่ยกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และหลายอย่างก็ต้องเลือกเอาตามความเหมาะสมอีกด้วย เพราะบางโรคก็มีองค์ความรู้ที่ละเอียดลออมากกว่าสมัยก่อนแล้ว
บรรเทาอาการมือเท้าเย็น : ตำหัวไพลเพื่อคั้นเอาน้ำ แล้วผสมกับพริกไทยทา
แก้ร้อนใน : ใช้เหง้าสดตำละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาทาน
แก้ผดผื่นคัน : เอาเหง้าสดฝนกับน้ำ แล้วนำมาทาให้ทั่ว
ผิวถลอกจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ : ฝนกับน้ำสะอาด ใช้ทาแผลทุกวันจนกว่าจะหาย
แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ : ทุบเหง้าไพลแก่ แล้วดมกลิ่นหอมของไพลนั้น
เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่หลังคลอด : นำไพลมาต้มจนนิ่มดี กินเป็นประจำระหว่างอยู่ไฟ
เสริมความแข็งแรงให้เด็กอ่อน : ฝนเหง้าไพลสดกับน้ำสะอาด ใช้เพื่ออาบชำระร่างกายเด็กเล็ก
บรรเทาอาการแผลไฟลวก : ฝนเหง้าไพลสดแล้วผสมกับน้ำกระทกรกหรือน้ำเกลือ ทาบริเวณแผล
ถอนพิษตัวบุ้ง : เอาเหง้าไพลไปเผาไฟ แล้วค่อยๆ ประคบบริเวณที่สัมผัสตัวบุ้งในขณะที่ไพลยังอุ่นๆ อยู่
บรรเทาอาการหน้ามืด ตาลาย : ใช้ส่วนของหัวเหง้าและใบของไพล รวมกับใบมะกรูดและใบมะนาว ใช้อบตัว
ใช้เป็นยาชาเฉพาะที่แบบชั่วคราว : คั้นน้ำจากหัวเหง้าไพลสด เน้นให้เข้มข้นเป็นพิเศษ แล้วนำมาทาบริเวณที่ต้องการ

เรื่องน่ารู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับไพล
ความจริงแล้ว ไพล มีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแน่นอนว่าสรรพคุณของไพลแต่ละสายพันธุ์ก็จะส่วนที่ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ไพลที่เราพบเห็นได้ทั่วไปและนำมาใช้กับตำรับยาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เราเรียกว่า “ ไพลเหลือง ” แต่เดิมเรามักใช้ทำสูตรยาคู่กับไพลดำ แต่ต่อมาไพลดำกลับมีบทบาทในด้านเครื่องเทศมากกว่าและค่อนข้างหายาก จึงเหลือใช้เพียงแค่ไพลเหลืองเรื่อยมา อีกประการหนึ่ง ไพล เป็นพืชที่มีพิษต่อตับด้วย จึงต้องระมัดระวังในการใช้ทานเพื่อรักษาโรคหรือบำรุงร่างกายติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ข้อสรุปในด้านความเป็นพิษนี้มีการทดลองในหนูมาแล้ว พบว่าตับของหนูมีอาการเป็นพิษในระยะเวลา 1 ปี หนูมีอัตราเติบโตที่ช้าลง แต่ไม่มีความผิดปกติในอวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ และหากเป็นคนที่มีผิวบอบบางมาก น้ำมันไพลก็อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“ไพล” สรรพคุณ-ประโยชน์ของไพล สุดยอดสมุนไพรที่ไม่ได้มีดีแค่บำรุงน้ำนม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sukkaphap-d.com [17 มีนาคม 2561].

“ไพล” สุดยอดสมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.banhealthy.com [16 มีนาคม 2561].

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร

0
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร
อาหารเสริม คือ อาหารที่เราทำการรับประทานเพิ่มเติมจากการรับประทานอาหารหลักทั้ง 5 หมู่ สำหรับผู้ที่มีร่างกายอย่ในสภาวะปกติไม่มีอาหารเจ็บป่วย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ มีการทำการผลิตออกมาในรูปแบบที่สามารถรับประทานได้ง่าย มีลักษณะเป็นผงสำหรับชงทาน เพียงแค่ใส่น้ำคนให้ละลาย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร

การรักษาผู้ป่วยนอกจากการรักษาทางการแพทย์ ด้วยการผ่าตัด การรับประทานยาแล้ว การดูแลด้านโภชนการสำหรับผู้ป่วยก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการรักษาด้านการแพทย์เลยทีเดียว เพราะว่าผู้ป่วยที่ได้รับสารอาหารครบถ้วนต่อและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายตามความเหมาะสมของโรคที่ตนเองเป็นอยู่นั้น

จะทำให้ร่างกาย  ของผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น จึงมีโอกาสที่จะหายจากโรคได้เร็วและมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการดูแลด้านโภชนการ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ออกมาสำหรับผู้ป่วย เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รับสารอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ ถึงแม้ว่าผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์จะไม่สามารถทำการรักษาให้ผู้ป่วยหายจากโรคที่เป็นอยู่ได้เหมือนกับการรับประทานยา แต่ว่าผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์จะเข้าไปช่วยเพิ่มความสมดุลของสารอาหารภายในร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อระบบทำงานได้ดีการฟื้นฟู ซ่อมแซมและรักษาร่างกายให้หายจากการเจ็บป่วยย่อมมีโอกาสหายได้มากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น แต่ในมีผู้ป่วยบางรายมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์กับอาหารเสริมทั่วไปว่าเป็นสิ่งเดียวกัน สามารถรับประทานได้เหมือนกัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยจึงหันไปรับประทานอาหารเสริมแทนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ เพราะด้วยราคาที่ถูกกว่าและคิดว่ามีคุณสมบัติที่เหมือนกันสามารถรับประทานแทนกันได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการป่วยที่หนักขึ้นหรืออาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานอาหารเสริมที่ไม่เหมะสมกับโรคที่เป็นอยู่ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่รับประทานอาหารเสริมวิตามินรวม ทำให้มีความอยากอาหารและรับประทานอาหารมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ปัจจุบันนี้อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีวางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ในรูปแบบผงหรือพร้อมดื่ม มีการโฆษณาสรรพคุณให้ผู้บริโภคฟังมากมาย บางชนิดบอกว่าสามารถช่วยให้ร่างกายแข็งแรง บางชนิดช่วยรักษาโรคได้ บางก็โฆษณาว่าเป็นอาหารเสริมทางการแพทย์แต่บางชนิดก็บอกเพียงว่าเป็นอาหารเสริม แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ต่างกันอย่างไร

อาหารเสริม และ ผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

อาหารเสริม ( Complementary foods ) คือ อาหารที่เราทำการรับประทานเพิ่มเติมจากการรับประทานอาหาร หลักทั้ง 5 หมู่ ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมเหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายอย่ในสภาวะปกติไม่มีอาหารเจ็บป่วยของโรคเกิดขึ้น ซึ่งอาหารเสริมจะเข้าไปเพิ่มประมาณสารอาหารที่ร่างกายต้องการแต่ได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอจากการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และเกลือแร่ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมมักจะรับประทานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อความสวยงาม ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตสมวัย และช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเท่านั้น

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ ( Dietary supplements หรือ Food supplements หรือ Nutritional supplements ) คือ อาหารที่มีสารอาหารเหมือนอาหารที่รับประทานอยู่ในชีวิตประจำวันไม่ใช่ยาที่ใช้ในการรักษาโรคให้หายได้ แต่เป็นอาหารที่ทำการผลิตและออกแบบตามหลักของโภชนการบำบัดที่ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยให้ดีขึ้น โดยมีการดัดแปลงอาหารให้อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถทำการย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เมื่อรับประทานเข้าไปสู่ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารอาหารและนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายได้ทันที จึงช่วยลดปัญหาการขาดสารอาหาร ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะมีหลายรูปแบบทั้งแบบที่ออกแบบมาสำหรับเสริมสารอาหารให้กับผู้ที่อยู่ในสภาวะปกติ เช่น ผู้สูงอายุ และแบบที่มีสารอาหารเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการสารอาหารบางชนิดมากเป็นพิเศษ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิต เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะได้รับการออกแบบมาให้มีสารอาหารที่ผู้ป่วยเหล่านั้นต้องการในปริมาณที่เพียงพอและไม่มีปริมาณสารอาหารต้องห้ามสำหรับผู้ป่วยผสมอยู่ด้วย จึงช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากภาวะขาดสารอาหารที่ทำให้ระบบภายในเกิดความผิดปกติ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะอยู่ในรูปแบบที่รับประทานง่าย ผู้ป่วยจึงสามารถรับประทานได้ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการ ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยได้รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายมีพลังงาน สามารถฟื้นฟูและต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่จนร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดหลากหลายชนิด มีทั้งสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา และผู้ป่วย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์แบ่งออกได้ดังนี้

1.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วน
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วน คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ชนิดนี้ทำมาจากอาหารหลักทั้ง 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมันดี โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย นำมาดัดแปลงให้อยู่ในรูปที่สามารถรับประทานได้ง่าย โดยปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายตามหลักวิชาการทางการแพทย์ ไม่มีการเพิ่มหรือเสริมสารอาหารชนิดใดเป็นพิเศษเข้าไปในตัวผลิตภัณฑ์ จึงเหมาะสมกับผู้ที่ร่างกายอยู่ในสภาวะปกติแต่ไม่สามารถรับประทานอาหารหลักให้ได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่หรือผู้ที่ต้องรับประทานอาหารทางสายยาง เช่น คนที่รู้สึกเบื่ออาหาร ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่นอนติดเตียง เป็นต้น

2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ป่วยโดยเฉพาะ เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละโรคจะมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันไป เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องได้รับอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่แต่ต้องระวังในเรื่องของปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากอาหาร ซึ่งอาหารเสริมเวย์โปรตีนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณโปรตีนที่เพียงพอสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกายในกระบวนการเผาผลาญที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติจึงช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อให้คงอยู่ไม่ถูกตึงไปใช้จนหมด และลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดจึงช่วยลดความเสี่ยงในของการมีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสูงได้ หรือในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับการให้เคมีบำบัดที่เกิดอาการข้างเคียงจึงมีความรู้สึกเบื่ออาหารไม่อยากรับประทานอาหาร ต้องได้รับโปรตีน วิตามิน เกลือแร่และสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงกว่าปกติ เพื่อช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ลดอาการข้างเคียงและทำลายเซลล์มะเร็ง เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยนี้สามารถรับประทานไปพร้อมกับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์ทางเลือกได้ตามปกติ

นอกจากทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ทั้ง 2 ชนิดนี้แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์อีกรูปแบบหนึ่งคือแบบที่มีการเสริมสารอาหารใดสารอาหารหนึ่งเป็นพิเศษ เพื่อช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขาดสารอาหารดังกล่าว เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เสริมเส้นใยอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เสริมเวย์โปรตีนสำหรับมีปัญหากล้ามเนื้อเหี่ยวย่น เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์แบบนี้คนทั่วไปสามารถรับประทานเสริมในชีวิตประจำวันได้ เพื่อให้ระบบการทำงานภายในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกระบบ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดหลายชนิดทั้งสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ คนชราและผู้ป่วย ซึ่งแต่ละแบบได้มีการออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายตามหลักทางการแพทย์และหลักของโภชนการบำบัด การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทยสามารถรับประทานควบคู่ไปกับการรับ ประทานอาหารหลักหรือรับประทานแทนอาหารหลักก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์และลักษณะของผู้บริโภคด้วย เช่น ผู้สูงวัยนอนติดเตียงที่ต้องได้รับอาหารทางสายยาง ผู้ป่วยอัมพาตหรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ด้วยตนเองก็สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วนทางสายยางเพื่อทดแทนอาหารหลักได้ หรือในผู้ป่วยที่สามารถรับประทานอาหารได้เอง เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ที่ถึงแม้จะรับประทานอาหารได้เองแต่ก็รับประทานได้น้อย ส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ร่วมด้วยก็จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการที่เป็นอยู่ได้เร็วขึ้นนั่นเอง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นรูปแบบใหม่ของการพัฒนาด้านโภชนการบำบัด (Novel Therapeutic Nutrition) ที่มีการค้นคว้า วิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องถึงความสำคัญด้านโภชนการต่อผู้ป่วยเฉพาะโรค

ข้อดีของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์

1.ทานง่าย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีการทำการผลิตออกมาในรูปแบบที่สามารถรับประทานได้ง่าย เช่น มีลักษณะเป็นผงสำหรับชงทาน เพียงแค่ใส่น้ำคนให้ละลายก็สามารถรับประทานได้ รวมถึงการออกแบบกลิ่นและรสชาติของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับการรับประทาน ซึ่งด้วยลักษณะที่ท่านง่ายและมีขั้นตอนการเตรียมที่ไม่ยุ่งยาก จึงทำให้ผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุรับประทานได้ดีจึงช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี

2.มีสารอาหารเพียงพอ
การรับประทานอาหารหลักในแต่ละมื้อ ร่างกายอาจจะได้รับปริมาณสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อยเกินไป อาหารที่รับประทานมีสารอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ หรือร่างกายไม่สามารถทำการย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไปได้ ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสารอาหาร แต่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะประกอบไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เอนไซม์ ใยอาหาร ในมี ปริมาณที่เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละประเภท และสารอาหารทุกชนิดล้วนอยู่รูปแบบที่ใช้งานได้ง่าย จึงหมดช่วยแก้ปัญหาสารอาหารไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารอย่างได้ผล ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ร่วมกับการรับประทานอาหารหลักหรือรับประทานแทนอาหารหลักในผู้ป่วยบางราย จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ

3.มีลักษณะที่เฉพาะตรงตามความต้องการ
ร่างกายของคนแต่ละช่วงอายุหรือร่างกายของผู้ป่วยแต่ละโรคล้วนมีความต้องการของสารอาหารในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบางครั้งการเลือกรับประทานอาหารหลักเพียงอย่างเดียว สารอาหารที่ได้รับจากอาหารในแต่ละมื้อของวันอาจยังไม่เพียงพอและไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายทั้งหมด ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารหลักจึงสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้นในขนาดที่เหมาะสมและเพียงพอกับร่างกายของทุกเพศ ทุกวัย ทุกโรค ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายมีการทำงานที่เป็นปกติ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคสูงขึ้นและยังช่วยผู้ป่วยฟื้นตัวให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ได้เร็วขึ้น

การเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตจากผู้ผลิตที่ได้มาตารฐานน่าเชื่อถือได้ มีการรับรองจากองค์กรอาหารและยาหรือสถาบันที่ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตทั้งในและต่างประเทศ มีการบอกถึงส่วนผสมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดถึงสัดส่วนของสารอาหาร บรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุต้องปิดมิดชิดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารอื่นเข้ามาปนเปื้อนได้ในขณะที่ทำการขนส่ง มีการระบุอัตราส่วนในการบริโภคอย่างชัดเจน พร้อมทั้งระบุด้วยว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นชนิดใด เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปหรือว่าผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวใดบ้าง ปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโค ซึ่งข้อมูลทุกอย่างจะต้องมีระบุอยู่บบรรจุภัณฑ์เพื่อที่ผู้บริโภครับรู้ได้อย่างชัดเจน

จะเห็นว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่ต้องการเพิ่มสารอาหารให้เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย แต่การเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ต้องมีความเข้าใจเสียก่อนว่า ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่ยาที่ช่วยรักษาโรคให้หายได้ เพราะมีผู้ป่วยบางรายเข้าใจว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะสามารถช่วยให้หายจากอาการป่วยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ จึงรับประทานผลิตเหล่านี้เพียงอย่างเดียว ไม่รับประทานอาหารหลัก ไม่รับประทานยาและไม่ยอมไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา ซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์นี้อาจจะส่งผลให้อาการของโรคที่เป็นอยู่มีอาการที่แย่ลงได้ในอนาคต เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องนั่นเอง

ดังนั้นผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์นั้นสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคที่เป็นอยู่ได้ เนื่องจากสารอาหารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้เข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภายในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายให้สามารถต่อสู้เชื้อโรคที่อยู่ภายในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นและเมื่อทำงานร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคแล้วจึงทำให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ได้นั่นเอง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหรือความเสื่อมของร่างกายสำหรับผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจากการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวัน หรือผู้ที่ต้องการสารอาหารบางชนิดมากกว่าปกติที่ควรได้รับต่อวัน หรือผู้ที่ต้องทำการควบคุมปริมาณสารอาหารบางชนิดไม่ให้ได้รับมากเกินไป ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารทั้งสิ้น ซึ่งการรับประทานอาหารที่เรารับประทนกันอยู่ทุกวันอาจจะไม่ตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด

ดังนั้นการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จึงเป็นทางเลือกหใม่ที่เกิดขึ้นสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วย เด็กที่ต้องการสารอาหารที่เพิ่มขึ้นแตกต่างกันออกไป การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ที่เหมาะสมแล้วย่อมทำให้ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ตามวัยอย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ป่วยการรับประทานอาหารเสริมทางการแพทย์ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับโภชนาการบำบัดเสียก่อน หรือรับประทานตามที่มีการระบุจากผู้ผลิตเท่านั้น เพื่อที่การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะส่งผลดีที่สุดต่อร่างกายของผู้บริโภคนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

https://www.nestlehealthscience-th.com/

Victora CG, Bahl R, Barros AJD, et al, for The Lancet Breastfeeding Series Group. Breastfeeding in the 21st century: epidemiology, mechanisms, and lifelong effect. Lancet 2016; 387: 475–90.

Black, R.etal., ‘Maternal and child undernutrition and overweight in low-Income and middle-income countries’, The Lancet, vol.382, no. 9890, 3 August 2013, pp.427-451.

I am text block. Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

โภชนาการเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพทางการแพทย์

0
a box of toothbrushesโภชนาการเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพทางการแพทย์
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
การเลือกรับประทานอาหารเสริมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งสามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ และควรเลือกรับประทานอาหารเสริมเกรดการแพทย์เท่านั้น

อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ส่งผลต่อโภชนาการและการทำงานของตับ ระบบดูดซึมน้ำตาลในเลือดจึงผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำพลังงานไปใช้ได้อย่างเหมาะสม เมื่อปล่อยให้เป็นเรื้อรัง อาจเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไต โรคระบบประสาท และปัญหาการมองเห็นถึงขั้นตาบอดได้ การเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสมจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนเหล่านี้

อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จำเป็นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน  ( Insulin ) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้อินซูลินไม่สามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย ดังนั้นเมื่อปริมาณฮอร์โมนอินซูลินน้อยหรือฮอร์โมนอินซูลินสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายได้ ส่งผลให้น้ำตาลที่คงเหลืออยู่ในกระแสเลือดมีปริมาณสูงขึ้น

โรคเบาหวานที่พบได้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

โรคเบาหวานที่พบได้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ1. เบาหวานชนิดที่ 1 ( Type 1 Diabetes ) คือ โรคเบาหวานที่เกิดจากการขาดอินซูลิน เพราะเบต้าเซลล์ (Beta cells) ที่อยู่ในตับอ่อนไม่สามารถทำการผลิตออร์โมนอินซูลินออกมาได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดความผิดปกติจึงเข้าไปยับยั้งหรือไปทำลายเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถทำการสร้างฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้จะมีอายุประมาณ 5-24 ปี

2. เบาหวานชนิดที่ 2 ( Type 2 Diabetes ) คือ เบาหวานที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ในตับอ่อนที่มีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินหรือเกิดเนื่องจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยหรือที่เรียกว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน ( Insulin Resistance )” ภาวะดื้ออินซูลินนี้อาจเป็นสาเหตุของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับตับซึ่งเป็นที่มาของโรคเบาหวาน นอกจากความเสื่อมที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น ซึ่งเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมหรือพฤติกรรมการดำรงชีวิต เช่น การไม่ออกกำลังกาย ความอ้วนหรือโรคอ้วน การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงตลอดเวลา ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคเบาที่พบส่วนใหญ่ประมาณ 90 % ของผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้

3. เบาหวานชนิดที่ 3 ( Type 3 Diabetes ) หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ( Gestational Diabetes Mellitus ) คือ เบาหวานชนิดนี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงมีการตั้งครรภ์ แม้ว่าจะไม่เคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากช่วงที่ตั้งครรภ์บางคนร่างกายจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินน้อยลง ดังนั้นถ้าร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถทำการผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดภาวะโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ขึ้น แต่เมื่อคลอดลูกแล้วอาการของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นก็จะหายไปเอง แต่ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในขณะที่ตั้งครรภ์นั้นจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้

นอกจากเบาหวานทั้ง 3 ชนิดแล้ว ยังมีเบาหวานชนิดพิเศษอื่น ๆ ที่มีสาเหตุแบบเฉพาะเจาะจง เช่น การเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ผลจากการผ่าตัด การเสพยาเสพติด การเกิดภาวะขาดสารอาหาร โรคตับอ่อน การได้รับยากลุ่มสเตีบรอยด์ เป็นต้น ซึ่งเบาหวานชนิดพิเศษพบได้น้อยมากประมาณ 1 % ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด โรคเบาหวานสามารถตรวจเช็คได้ด้วยการตรวจวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด

โรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin )

อาการผู้ป่วยโรคเบาหวาน

อาการผู้ป่วยโรคเบาหวาน1. บาดแผลหายช้า แผลเบาหวาน ( Diabetic Ulcer ) เป็นอาการที่พบได้มากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมากผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อเป็นแผลจะหายช้ากว่าคนทั่วไป เนื่องจากหลอดเลือดที่นำพาเลือดไปเลี้ยงส่วนที่เป็นแผลมีการตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลหมุนเวียนไปหล่อเลี้ยงที่บริเวณบาดแผลได้ ส่งผลให้แผลหายช้าและมักเนื้อที่บริเวณบาดแผลจะมีโอกาสตายมากขึ้นจนกลายเป็นแผลลุกลาม

2. กินบ่อยแต่น้ำหนักลด ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการหิวบ่อยเนื่องจากไม่สามารถดึงน้ำตาลที่มีอยู่ในกระแสเลือดเข้าไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ทำให้ร่างกายรู้สึกหิวตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะกินบ่อยขึ้นแต่พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานกลับมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างชัดเจน เนื่องร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้ได้ จึงทำการดึงไขมันและโปรตีนที่อยู่ในร่างกายมาใช้แทน ทำให้น้ำหนักตัวของผู้ป่วยลดลงอย่างรวดเร็ว

3. ปัสสาวะบ่อย ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายต้องทำการขับน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงมีอาการปัสสาวะบ่อย

4. อ่อนเพลีย ( Fatigue ) ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการอ่อนเพลีย แขนขาเหมือนอ่อนแรง อารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิน ฉุนเฉียวง่าย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่มีอยู่ในกระแสเลือดมาเปลี่ยนเป็นพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานรู้สึกไม่มีแรงและรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลาส่งผลต่ออารมณ์ทำให้หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย

5. อาการชาที่ปลายประสาท ( Diabetic polyneuropathy ) ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการชาที่บริเวณปลายประสาท เช่น ชาที่บรเวณปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า เนื่องจากปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดที่มีปริมาณสูง จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับประจุทางเคมีในกระแสเลือดส่งผลให้เส้นประสาทที่ทำหน้าที่ในการนำไฟฟ้าไม่สามารถทำการส่งสัญญาณไปยังปลายเส้นประสาทได้ และปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงจะทำให้เกิดอาการอักเสบที่เส้นประสาทตามอวัยวะส่วนต่างๆ ทำให้เกิดอาการชา โดยจะเริ่มที่บริเวณเส้นประสาทส่วนปลาย ที่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าก่อน

โรคเบาหวานเป็นโรคที่สามารถตรวจพบได้ในระยะเริ่มแรก ไม่ต้องรอให้อาการของโรคอยู่ในขั้นรุนแรงถึงจะตรวจพบได้เหมือนโรคบางชนิด โรคเบาหวานเป็นโรคที่มีความร้ายแรงเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นของกโรคเบาหวานที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ซึ่งโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นและพบได้มากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเกี่ยวกับปลายเส้นประสาทชาและการตาบอดเนื่องจากเบาหวานขึ้นตา พบว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่สร้างความผลกระทบกับการดำรงชีวิตของผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องทำการรักษาด้วยการควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดอยู่ในสภาวะปกติอยู่เสมอ

การควบคุมปริมาณน้ำตาลเพื่อรักษาโรคเบาหวาน

  1. การควบคุมปริมาณน้ำตาลเพื่อรักษาโรคเบาหวานการรักษาด้วยการฉีดหรือกินฮอร์โมนอินซูลิน
    การรักษาด้วยการฉีดหรือกินฮอร์โมนอินซูลินเพื่อควบคุมอาการของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมให้ไม่เกิดเป็นอันตรายกับตัวผู้ป่วยได้ ซึ่งรักษาด้วยการผู้ป่วยรับประทานหรือทำการฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือดทดแทนฮอร์โมนอินซูลินตามธรรมชาติ เพื่อที่ร่างกายจะได้ทำการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้ ซึ่งการรับประทานหรือการฉีดฮอร์โมนอินซูลินนี้ต้องได้รับการควบคุมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้เอง นอกจากนั้นแล้วผู้ป่วยยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย การรักษาด้วยวิธีนี้มักจะใช้ทำการรักษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอิซูลินตามธรรมชาติได้เอง หรือจะใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหนักมากและต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ร่างกายสามารถปรับสมดุลได้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งทำการรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไป เมื่อร่างกายมีการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินในระดับที่ปกติแล้ว แพทย์จะทำการหยุดการให้ฮอร์โมนอินซูลินและใช้การรักษาวิธีอื่นแทน

2. การรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาที่ช่วยรักษาระดับปริมาณน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุล เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว ถ้ามีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสูงอยู่ตลอดเวลา เช่น โรคไต โรคหัวใจ เป็นต้น โดยตัวยาจะมีหน้าที่ในการออกฤทธิ์อยู่ 2 ลักษณะ คือ
2.1 ตัวยาจะทำหน้าที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินให้สามารถทำหน้าที่ในการดูดซึมน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น จึงสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้
2.2 ตัวยาจะทำหน้าที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนให้มีการสร้างฮอร์โมนอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้น เมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินที่มากขึ้น ก็จะสามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดได้มากขึ้นตามปริมาณของฮอร์โมนอินซูลินนั่นเอง
ซึ่งปริมาณยาหรือชนิดของยาที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้นั้น จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยคำนึงถึงตัวผู้ป่วยเป็นหลัก

3. การรักษาด้วยออกกำลังกาย
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาในการรักษาเสมอไปเพราะโรคเบาหวานสามารถที่จะรักษาได้ด้วยตัวผู้ป่วยเอง ซึ่งการออกกำลังกาย นับเป็นวิธีที่ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ เพราะการออกกำลังกายจะเป็นลดปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในเลือดให้น้อยลงจนอยู่ในระดับที่ปกติ โดยร่างกายจะทำการดึงน้ำตาลเข้าไปเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการออกกำลัง นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะบริเวณเส้นประสาทส่วนปลายจึงช่วยลดอาการปลายเส้นประสาทชา แต่ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องเป็นการออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก เช่น การวิ่งเหยาะ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือการทำกิจกรรมภายในบ้าน เป็นต้น

4. อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวานกับการควบคุมอาหาร
การควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถรับประทานอาหารทุกอย่างได้เหมือนคนทั่วไป ซึ่งอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานคือ

  • อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง
    ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยในปริมาณที่สูงแต่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เช่น ผัก ผลไม้พืชตระกูลถั่ว ธัญพืช ผักใบเขียวเป็นต้น เพราะอาหารประเภทนี้จะเป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในการสร้างสมดุลของระบบการทำงาน แต่มีปริมาณไขมันและคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ และเส้นใยยังช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้เป็นอย่างดี จึงช่วยลดปริมาณน้ำตาลให้เลือดให้น้อยลง
  • กินให้ครบทุกมื้อ ในแต่ละวันควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ห้ามอดอาหารมื้อใดเป็นอันขาดเพราะจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำตาลซึ่งจะส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยเกิดออาการช็อคได้เช่นเดียวกับการได้รับปริมาณน้ำตาลสูงเกินไป ซึ่งปริมาณอาหารควรเลือกอาหารที่มีไขมันไม่เกิน 30% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการทั้งหมดต่อวัน ควรเลือกรับประทานไขมันดี เช่น ไขมันจากปลา หรือไขมันจากพืช และงดทานไขมันจากหมู ไก่ กะทิที่มีไขมันอิ่มตัวมาก  เพราะเมื่อทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงร่างกายจะย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง
  • งดของหวาน ของหวานเป็นอาหารต้องห้ามของผู้ป่วยโรคเบาหวานเลยทีเดียว เพราะของหวานเป็นอาหารที่มีน้ำตาลในปริมาณที่สูงมากเมื่อรับประทานเข้าไป จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งจะเป็นอันตรายกับผู้ป่วย 

การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสภาวะปกติเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและความสำคัญกับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะทานยาแต่ถ้าไม่ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายเลย ปริมาณน้ำตาลก็ยังสามารถขึ้นได้เรื่อย ๆ ทำให้แพทย์ต้องทำการเพิ่มปริมาณยาให้กับผู้ป่วยเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่สูงเกินค่ามาตรฐาน

นอกจากยาที่ช่วยในการรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาอาหารเสริมที่สามารถช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งมีการค้นคว้าและวิจัยจนพบว่ามีอาหารเสริมสามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสภาวะปกติเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและความสำคัญกับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอย่างมาก

อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมน้ำตาลได้

1. สมุนไพร
สมุนไพรหลายชนิดที่มีส่วนช่วยในการควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด เช่น โสม เห็ดหลินจือ ซึ่งสมุนไพรจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินให้สามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดได้มากขึ้น

2. โครเมียม ( Chromium )
โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีหน้าที่ในการกระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาล ไขมันและคาร์โบไฮเดรตให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน โครเมียมที่อยู่ใน อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จะเข้าไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้ตับอ่อนมีประสิทธิภาพในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้มากขึ้น และยังทำหน้าที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนอินซูลินสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการดูดซึมน้ำตาล

3. เวย์โปรตีน
เวย์โปรตีนเป็น อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีการแนะนำให้รับประทานเวย์โปรตีนก่อนการรับประทานอาหารทุกมื้อ เวย์โปรตีนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนในการสร้างฮอร์โมนอินซูลินให้มีการสร้างอินซูลินออกมาเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถทำการดูดซึมน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเวย์โปรตีนเป็นโปรตีนที่สามารถดูดซึมได้ง่าย เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายจะดูดซึมเวย์โปรตีนก่อนการดูดซึมน้ำตาล จึงช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดได้เป็นอย่างดี ซึ่งเวย์ โปรตีนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีลักษณะแตกต่างจากเวย์โปรตีนทั่วไป นั่นคือ เวย์โปรตีนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีปริมาณน้ำตาล ไขมันต่ำ แต่เวย์โปรตีนทั่วไปจะมีปริมาณน้ำตาล ไขมันที่ให้พลังงานสูงไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน 

การเลือกรับประทาน อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะว่าอาหารเสริมสามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ดี ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารเสริมเกรดการแพทย์เท่านั้น เพราะว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่าย ดังนั้นถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารเสริมที่มีการปนเปื้อนของสารที่เป็นอันตราย อาจจะทำให้เกิดอาหารแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ และควรเลือกผู้ผลิตอาหารเสริมที่ได้การรับรองจากสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ บรรจุภัณฑ์ต้องมีการระบุส่วนผสมทุกชนิดอย่างชัดเจนทั้งปริมาณและสัดส่วนที่มีอยู่ในอาหารเสริม เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้ทราบปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคต่อวัน

การรับประทาน อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จะช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และไปพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง เพื่อทำการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้อาการของโรคเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ป่วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

สารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นกับการบำรุงผิวด้วยวิตามิน

0
การบำรุงผิวด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็น
วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ติดกับเอนไซม์ เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การบำรุงผิวด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็น
วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ติดกับเอนไซม์ เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

สารต้านอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระ ได้จากการรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่นั้นมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่พบว่าเมื่อมีอายุมากขึ้นคุณหมอจะบอกว่าต้องรับประทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ สารต้านอนุมูลอิสระจึงจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายมีความสมดุลส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง เพราะวิตามินสามารถช่วยซ่อมแซมและลดความเสื่อมสภาพของผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ รวมทั้งส่งผลให้เรามีอายุที่ยืนยาวได้ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักวิตามินว่าคือสิ่งใด เหตุใดสารต้านอนุมูลอิสระจึงมีความสำคัญต่อร่างกายมากมายนัก และวิตามินสามารถช่วยบำรุงผิวพรรณและลดความเสื่อมหรือชะลอความเยาว์วัยได้อย่างไร

ความเสื่อมหรือความชราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะหญิงหรือชายทุกคนล้วนต้องแก่ชราด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งบ่งบอกถึงความชราได้อย่างชัดเจนและเป็นสิ่งแรกที่เกิดความชราก็คือ ผิวพรรณภายนอกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะว่าเซลล์ผิวหนังที่มีอายุได้ประมาณ 20-30 วันก็จะตายและหลุดออกเป็นขี้ไคล นอกจากนั้นยังมีลักษณะของผิวพรรณที่บ่งบอกถึงความชรามีอยู่ด้วยกันหลายแบบ

  • ชั้นหนังกำพร้า ( Epidermis ) มีขนาดที่บางลง 10 – 50% ของความหนา ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและแพ้ได้ง่าย
  • stratum spinosum มีอาการฝ่อ ( atrophy ) เกิดขึ้นทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยซึ่งเป็นที่มาของเกิดริ้วรอย
  • เซลล์ผิวหนังที่หมดอาอายุแล้วไม่สามารถหลุดลอกออกมาจากชั้นหนังกำพร้าได้ ทำให้บริเวณผิวมีลักษณะคล้ายกับสะเก็ดสีขาวเกิดขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยให้เซลล์ผิวไม่เสื่อมสภาพเร็ว
  • ผิวหนังเกิดการสูญเสียน้ำมันที่มีอยู่ตามธรรมชาติในชั้นของผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังเกิดอาการแห้งขาดความชุ่มชื่นและยังส่งผลให้เกิดอาการคันเนื่องมากจากผิวหนังแห้ง
  • ชั้นหนังแท้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง เนื่องจากมีการเซลล์ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไปในปริมาณที่น้อยลง ผิวหนังจึงขาดคอลลาเจนและอีลาสตินส่งผลให้ผิวชั้นหนังแท้มีขนาดความหนาลดลง จึงมีลักษณะคล้ายกับมวนบุหรี่ที่ยับ ๆ
  • ปริมาณของชั้นไขมันที่อยู่ในชั้นหนังแท้ยังมีขนาดที่บางลง เนื่องจากมีสารสร้างไขมันขึ้นมาทดแทนไขมันที่สูญเสียไปน้อยลงจึงเกิดช่องว่างระหว่างชั้นหนังแท้และชั้นหนังกำพร้ามีขนาดทีกว้างมากขึ้น ส่งผลให้ผิวชั้นหนังแท้เกิดช่องว่างโดยเฉพาะที่บริเวณใต้ตาเกิดเป็นถุงใต้เตา ที่บริเวณแก้มทำให้แก้มมีลักษณะหย่อนยาน

สารต้านอนุมูลอิสระ มีความทนต่อความชราจะนำมาซึ่งความเสื่อมของผิวพรรณเป็นสิ่งแรกก่อนที่จะเข้าไปสู่อวัยวะอย่างอื่น เช่น กล้ามเนื้อ กระดูกและสมอง ซึ่งสังเกตได้ว่าเมื่อเราอายุประมาณ 30 ปีผิวหนังของเราก็จะเริ่มมีปัญหาและริ้วรอยเกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่กล้ามเนื้อ สมอง กระดูกยังสามารถใช้งานได้อย่างปกติ ไม่มีความบกพร่องหรือความเสื่อมที่บ่งบอกถึงความชราที่เกิดขึ้นเลย

เซลล์ผิวหนังที่มีอายุได้ประมาณ 20-30 วันก็จะตายและหลุดออกเป็นขี้ไคล

สารต้านอนุมูลอิสระสาเหตุที่มาของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณ

1. พันธุกรรม ( Gene )  ลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับมาจากพ่อแม่และบรรพบุรุษที่สามารถกำหนดอายุของเซลล์ภายในร่างกายว่าจะมีอายุอยู่ได้นานแค่ไหน และร่างกายจะเกิดความเสื่อมของระบบการทำงานเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งพันธุกรรมของแต่ละบุคคลจะความแตกต่างกันออกไป เช่น ชาวยุโปกับชาวเอเชีย เราจะพบว่าชาวยุโรปจะมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่แสดงถึงความแก่ชรา ทั้งริ้วรอย ความหมองคล้ำมากกว่าชาวเอเชียที่จะมีลักษณะที่ดูอ่อนเยาว์กว่าชาวยุโรปทั้งที่มีอายุเท่ากัน ที่เป็นแช่นนั้นก็เนื่องมาจากลักษณะทางพันธุกรรมนที่ทำหน้าที่ควบคุมอายุของเซลล์มีความต่างกันนั่นเอง

2. การทำงานของระบบการสร้างของเซลล์ ( cellular senescence )
ร่างกายของเราจะมีกระบวนการสร้าง สารต้านอนุมูลอิสระ และย่อยสลายเซลล์เพื่อรักษาสมดุลของปริมาณเซลล์และขจัดเซลล์ที่หมดอายุออกจากร่างกาย โดยใช้เอนไซม์ เช่น เอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase หรือ metalloproteinase-1, MMP-1 ) และ เอนไซม์ stromelysin ( metalloproteinase-3, MMP-3 ) ที่มีทำหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจน ซึ่งเอนไซม์ชนิดนี้จะสามารถยับยั้งด้วย tissue inhibitorof metalloproteinases ( TIMPs ) ซึ่งในสภาวะปกติที่ร่างกายไม่เกิดความชราปริมาณตัวยับยั้งเอนไซม์จะมีมากกว่าปริมาณของเอนไซม์ จึงทำให้เอนไซม์สามารถทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้ในปริมาณที่น้อย แต่ในสภาวะที่ร่างกายเกิดความชราหรือความเสื่อมเกิดขึ้นนั้น ปริมาณของตัวยับยั้งการทำงานของเอนไซม์จะมีน้อยกว่าปริมาณของเอนไซม์ จึงทำให้เอนไซม์สามารถทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้มากกว่าปกติ จึงส่งผลให้ชั้นหนังแท้เกิดช่องว่างมากขึ้น เนื่องจากปริมาณคอลลาเจนที่สร้างขึ้นมาและมีอยู่ในร่างกายไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างได้หมด

3. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน
สารต้านอนุมูลอิสระ กับฮอร์ใมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ในการแสดงออกของเพศหญิง เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นมาจากรังไข่ ฮอร์โมนเอสโตรเจนนอกจากมีหน้าที่ในการแสดงออกของเพศหญิงแล้ว ฮอร์โมนนี้ยังมีหน้าที่ในการช่วยกระตุ้นการสร้างไฟโบรบลาสต์ ( Fibroblast ) ที่ทำหน้าที่ช่วยในการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินที่อยู่ใต้ผิวเพื่อนำมาทดแทนคอลลาเจนและอีลาสตินที่ต้องสูญเสียไปตามธรรมชาติ และยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างเม็ดสีเมลานินที่อยู่ในชั้นผิวเมลาโนไซต์ ( Melanocyte ) ให้สามารถทำงานได้เพิ่มมากขึ้น ในการป้องกันการเกิดผิวหมองคล้ำ ฝ้าและกระ ดังนั้นถ้าร่างกายมีการสร้างไฟโบรบลาสต์น้อยลงเนื่องจากปริมาณฮอรโมนเอสโตรเจนที่น้อยลงตามอายุแล้ว ก็จะส่งผลให้ผิวเกิดความเสื่อมขึ้นเป็นที่มาของความแก่ของผิวหนัง

4. สารอนุมูลอิสระ ( Free Radical )
สารอนุมูลอิสระ มีทั้งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายและการได้รับจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เนื่องจากอนุมูลอิสระมีอยู่รอบตัวเรา ทั้งในอาหาร อากาศที่เราสัมผัสอยู่ทุกวัน แสงแดด ความร้อน เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณน้อย ร่างกายจะสามารถขจัดอนุมูลอิสระออกมาได้เองตามธรรมชาติ แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับปริมาณสารอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่น ( Oxidative stress ) ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ( Oxidation ) รีดักชั่น ( Reduction ) โดยเฉพาะอนุมูลอิสระออกซิเจน ( Reactive oxygen species หรือ ROS ) และ อนุมูลอิสระไนโตรเจน ( Reactive nitrogen species หรือ RNS ) ที่ได้รับจากภายนอก เช่น ควันบุหรี่ ควันรถ สารเคมี แสงแดด เป็นต้น โดยเฉพาะแสงแดดที่ทอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา จนถึง 16.00 นาฬิกาที่มีความเข้มข้นของรังสีอัตราไวโอเลตสูง จะมีทำให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่น ( Oxidative stress ) ซึ่งกระบวนการภาวะเครียดออกซิเดชั่นจะทำให้ผิวหนังเกิดความเสื่อมได้จากการที่ อนุมูลอิสระออกซิเจน ( Reactive oxygen species หรือ ROS ) และ อนุมูลอิสระไนโตรเจน ( Reactive nitrogen species หรือ RNS ) เข้าไปกระตุ้นการทำงานภายในนิวเคลียสของเซลล์ในระบบการสร้างเอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase หรือ metalloproteinase-1, MMP-1 ) และ เอนไซม์ stromelysin ( metalloproteinase-3, MMP-3 ) ทำให้เกิดกระบวนการทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังส่งผลให้ปริมาณคอลลาเจนลดลงจึงทำให้ผิวแลดูแก่และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

จากปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวพรรณเกิดควาเสื่อม พบว่าสารอนุมูลอิสระที่ได้รับภายนอกส่งผลให้เกิดความเสื่อมของผิวพรรณมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากอนุมูลอิสระที่ได้รับจากภายนอกจะเข้าไปกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นทำให้ระบบการทำงานภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการขจัดอนุมูลอิสระหรือ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่ในร่างกายมีปริมาณที่น้อยก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดความเสื่อมได้มากขึ้นโดยเฉพาะส่วนของผิวพรรณที่เกิดความเสื่อมก่อนอวัยวะอื่น ดังนั้นเวชศาสตร์ชะลอวัยจึงให้ความสำคัญกับการทำงานของระบบเอนไซม์ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อระบบเอนไซม์ของร่างกายสามารถทำงานได้ดี การขจัดสารอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกายออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระบบการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวสามารถสร้างคอลลาเจนขึ้นมาทดแทนปริมาณคอลลาเจนที่สูญเสียไปได้อย่างเพียงพอ

เอนไซม์ ( Enzyme ) คือ โปรตีนที่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวเร่งในการเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ภายในร่างกายของเรา ส่งผลให้ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ทั้งปฏิกิริยาการสร้างและปฏิกิริยาการสลายทุกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในร่างกายนั้น จะต้องอาศัยเอนไซม์ในการเร่งให้เกิดการปฏิกิริยาแทบทั้งสิ้น จึงเห็นได้ว่าเอนไซม์นับเป็นสารที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำงานของร่างกาย แต่การทำงานของเอ็นไซม์บางชนิดจะไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวของเอนไซม์เอง แต่จะต้องมีตัวช่วยอย่างโคเอนไซม์ ( Co-enzyme ) เข้ามาช่วย เอนไซม์จึงจะสามารถทำการเร่งการเกิดปฏิกิริยาให้ระบบสามารถทำงานได้

โคเอนไซม์ ( Co-enzyme ) คือ โมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์ขนาดเล็ก แต่สารประกอบอินทรีย์นี้จะไม่ใช่โปรตีนเหมือนกับเอนไซม์ ซึ่งโมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์ดังกล่าวจะเข้ามาเกาะอยู่กับโครงสร้างของเอนไซม์ส่วนที่ไม่สามารถเข้าไปเร่งทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ หรือที่เรียกว่า “อะโพเอนไซม์ ( Apoenzyme )” เพื่อทำให้เอนไซม์สามารถทำการเร่งปฏิกิริยาทางชีวิเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายให้สามารถเกิดขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โคเอนไซม์ที่มีความสำคัญต่อร่างกายส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของวิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามินซี วิตามินดี วิตามินเอ เป็นต้น
“วิตามิน” มาจากการรวมกันของคำสองคำ คือ ไวตา ( VITA ) รวมกับคำว่า เอมีน ( AMIN ) ที่หมายถึง สารอินทรีย์ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในปริมาณเล็กน้อยเพียงแค่มิลลิกรัมหรือไมโครกรัมต่อวันเท่านั้น ซึ่งวิตามินนี้เป็นสารเคมีอินทรีย์ที่มีโมเลกุลของคาร์บอน วิตามินเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะวิตามินจะมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของระบบภายในร่างกายทุกระบบ ช่วยกระตุ้นและส่งเสริมเอนไซม์ให้สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังให้มีการสร้างในปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ลดความแก่ที่เกิดขึ้นกับผิวหนังได้เป็นอย่างดี

วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ติดกับเอนไซม์ เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1. วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ( Water soluble )
วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ คือ วิตามินชนิดนี้สามารถละลายได้ดีในน้ำ เช่น วิตามินซี วิตามินบี เป็นต้น เมื่อวิตามินชนิดนี้ละลายได้ในน้ำจึงทำให้เมื่อร่างกายได้รับวิตามินเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไม่เกิดการสะสมวิตามินชนิดนี้ไว้ในร่างกายเพื่อใช้ในอนาคต แต่จะขับออกจากร่างกายทันทีที่เหลือจากการใช้งาน โดยจะทำการขับออกมาทางปัสสาวะเป็นส่วนมาก ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับวิตามินนี้จากภายนอกวิตามินจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการทำงานของร่างกายในทันทีและส่วนเกินจากการใช้งานร่างกายก็จะทำการขับออกมาทันทีเช่นกัน ทำให้เป็นวิตามินชนิดนี้เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการเพิ่มอยู่ตลอดเวลาจากภายนอกร่างกาย และวิตามินชนิดนี้ยังสามารถถูกทำลายได้ด้วยความร้อนอีกด้วย 

2. วิตามินที่ละลายในไขมัน ( Fat soluble )
วิตามินที่ละลายในไขมัน คือ วิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดีและวิตามินเค เป็นต้น วิตามินชนิดนี้เมื่อร่างกายได้รับเข้าสู่ร่างกายส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้งานในการสร้างสมดุลให้กับร่างกาย และส่วนเกินที่เหลือจากการใช้งานร่างกายจะนำไปเก็บไว้ที่ตับและบริเวณของเนื้อเยื่อไขมันต่าง ๆ โดยเฉพาะส่วนที่มีการสะสมของไขมันในปริมาณที่สูง เช่น ต้นขา พุง สะโพก และร่างกายไม่สามารถขจัดวิตามินที่ละลายได้ในไขมันออกจากร่างกายได้ทำให้แต่การเก็บสะสมไว้ในไขมันของร่างกาย ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับและมีการสะสมจนทำให้วิตามินชนิดมีมากเกินไปในร่างกายก็จะส่งผลให้เกิดภาวะที่เป็นพิษได้ เช่น ผมร่วง ท้องเสีย อาเจียน ปวดศีรษะ ตับบวมโต ปวดกระดูก และเกิดอาการเลือดหยุดไหลยาก เป็นต้น ร่างกายจึงไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินที่ละลายได้ในไขมันทุกวัน

วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ ( Co-enzyme ) ติดอยู่กับเอนไซม์เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินจะทำหน้าที่ช่วยป้องกันความชราของผิวหนังอยู่ 2 รูปแบบ

1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
โดยเฉพาะวิตามินซีจะสามารถเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้เป็นอย่างดี โดยที่วิตามินจะเข้าไปทำหน้าที่ในการเติมหมู่ไฮดรอกซิล ( hydroxyl group ) ให้กับไฮโดรโพรลีน ( Hydropropren ) กลายเป็นโปรคอลลาเจน ( procollagen ) และโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) ต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนเริ่มต้นในการสร้างสารตั้งต้นสำหรับการสังเคราะห์คอลลาเจนให้กับร่างกาย โดยเมื่อร่างกายทำให้มีการสร้างโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) เพิ่มขึ้น เมื่อมีปริมาณโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) เพิ่มขึ้น เอนไซม์ lysyl oxidase จะสามารถทำการรวมโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) ให้กลายเป็นเส้นใยคอลลาเจนได้ในปริมาณที่มากขึ้น นั้นคือวิตามินมีหน้าที่ช่วยให้มีการสร้างคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นถ้าร่างกายขาดวิตามินแล้วก็จะส่งผลให้ไม่มีการสร้างโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) ที่จะนำไปผลิตคอลลาเจน จึงทำให้ปริมาณคอลลาเจนในร่างกายลดลงนั่นเอง

2. ลดการสลายคอลลาเจน
โดยวิตามินนับเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ชั้นเยี่ยมที่ช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายผนังเซลล์และสร้างเอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase ) ได้ เนื่องจากวิตามินเป็นโมเลกุลที่มีความว่องไวในการจับกับตัวรับและสามารถเข้าไปยับยั้งการ โดยวิตามินที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระออกซิเจน ( Reactive oxygen species หรือ ROS )และ อนุมูลอิสระไนโตรเจน ( Reactive nitrogen species หรือ RNS ) ก่อนที่อนุมูลอิสระทั้งสองนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของนิวเคลียสภายในเซลล์เพื่อสร้างเอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase ) ออกมาทำการย่อยสลายคอลลาเจน ทำให้เซลล์ไม่มีการสร้างเอนไซม์เอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase ) คอลลาเจนที่อยู่ภายในร่างกายจึงไม่ถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวหนังมีปริมาณคอลลาเจนสูง ช่วยในการ

เมื่อร่างกายได้รับวิตามินไม่เพียงพอจนร่างกายเกิดภาวะขาดความสมดุลของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายแล้ว จะส่งผลให้การทำงานของเอนไซม์มีการทำงานที่ผิดปกติและอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายกระบวนการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นน้อยลงและยังเข้าไปกระตุ้นการสลายคอลลาเจนที่มีอยู่ให้อ่อนแอ เนื่องจากการทำงานของเอนไซม์ทำการสลายคอลลาเจนได้มากขึ้น จึงทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดความเสื่อมสภาพมากขึ้น จึงทำให้ผิวหนังดูแก่เร็วกว่าที่ควร ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลตามที่ร่างกายต้องการจึงเป็นหนทางที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณได้เป็นอย่างดี โดยวิตามินจะทำหน้าที่ในการส่งเสริมให้ระบบการสร้างคอลลาเจนมีการทำงานที่ดีขึ้น ทำให้มีการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น และช่วยลดการสลายคอลลาเจนทำให้คอลลาเจนมีความแข็งแรง และวิตามินยังเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทรงประสิทธิภาพยอดเยี่ยม จึงช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวและคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังโดนทำลายได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง ตึงกระชับดูอ่อนเยาว์ ซึ่งการรับประทานอาหารประจำวันเพียงอย่างเดียว ร่างกายอาจได้รับวิตามินที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินและ สารต้านอนุมูลอิสระ ให้กับร่างกาย เพื่อที่ระบบการทำงานของร่างกายจะได้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพที่สมบูรณ์อายุยืนยาวนับร้อยปีแบบมีคุณภาพ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน. ผิวสวย : กรุงเทพฯ: บริษัท สามเจริญพาณิชย์, 2558.

Idson B: Vitamins of the skin; Cosmet Toilet 1993: 79-92.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

อาหารเสริมทางการแพทย์ ที่เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง

0
อาหารเสริมทางการแพทย์
การรับประทานผัก ผลไม้ควรเลือกรับประทานให้ครบทุกสีหรืออย่างน้อย 3 สีต่อวันจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง
อาหารเสริมทางการแพทย์
อาหารที่มีโปรตีนสูงจะประกอบไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกายที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน

อาหารเสริมทางการแพทย์ คือ

อาหารเสริมทางการแพทย์ ( Medical Supplements ) คืออะไร? เมื่อร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วย ร่างกายต้องการสารอาหารมากกว่าคนปกติ เพื่อที่จะได้นำสารอาหารเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบภายในร่างกายให้กลับมามีสภาพที่แข็งแรงดังเดิม โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องการสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

โรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นผู้ป่วยที่มีความกังวลใจในหลายด้าน ทั้งด้านการรักษาการดูแลตนเองและการเลือกรับประทานอาหาร  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ทำให้เราได้รับข่าวสารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่ส่งผลให้เกิดมะเร็งหรือส่งผลให้มะเร็งเกิดการลุกลามมากขึ้น ดังนั้นเมื่อตนเองเป็นโรคมะเร็งเกิดขึ้นจึงมีความกังวลใจเกี่ยวกับการรับประทานอาหารว่าอาหารบางชนิดอาจจะส่งผลให้มะเร็งที่เป็นอยู่เกิดการแพร่กระจายลุกลามมากขึ้นกว่าเดิม จึงเลือกที่จะไม่รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารบางชนิดเพียงอย่างเดียวตลอดเวลา เช่น ผัก ผลไม้ และไม่ยอมรับประทานอาหารประเภทอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ เลยแม้แต่น้อย ด้วยความเชื่อที่ว่าการรับประทานผักและผลไม้จะสามารถช่วยให้หายจากโรคมะเร็งได้ ซึ่งการรับประทานแต่เฉพาะผักและผลไม้เพียงอย่างเดียวจะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหารที่จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยอ่อนแอไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อมะเร็ง บางครั้งอาจจะส่งผลให้ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งอ่อนแอมากขึ้น หรือเกิดภาวะที่ขาดสารอาหารจนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ดังนั้นการเลือกอาหารและการรับประทานอาหารให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็งเลยทีเดียว และหากจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็งก็จะสามารถทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ อาหารเสริมทางการแพทย์ ควรทานคู่กับอาหารปกติเพราะการได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้น นอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูและหายจากอาหารป่วยได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในขณะที่เข้ารับการรักษาในแต่ละขั้นตอนได้อีกด้วย

โรคมะเร็งเกิดขึ้นจากการที่เซลล์ภายในร่างกายมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ สาเหตุของเซลล์มะเร็งเกิดจากการกลายพันธ์ของดีเอ็นเอ ( DNA ) ที่อยู่ภายในเซลล์ ซึ่งเซลล์มะเร็งจะสามารถทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และยังสามารถแพร่กระจายไปทำลายเซลล์ที่อวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลได้อีกด้วย

การรักษามะเร็งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ

1. การรักษาด้วยการผ่าตัด คือ การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อหรือก้อเซลล์มะเร็งออกมาจากร่างกาย เพื่อลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในร่างกายได้ ซึ่งการรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจะในระยะที่ 1 หรือระยะ 2 ที่ยังมีการลุกลามไม่มากเท่านั้น การผ่าตัดไม่สามารถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ ต้องทำการรักษาด้วยการฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วยเท่านั้น

2. การรักษาด้วยการฉายรังสี ( Radiotherapy ) คือ การฉายรังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า อนุภาคอิเลคตรอน อนุภาคโปรตอน อนุภาคนิวตรอน เป็นต้น โดยจะทำการฉายรังสีเข้าไปยังตำแหน่งที่มีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น รังสีที่ฉายเข้าสู่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปทำลายสารพันธุกรรมที่อยู่ภายในของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้สารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งเกิดความเสียหายจนเซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด

3. การรักษาด้วยเคมีบำบัด ( Chemotherapy ) หรือการทำคีโม คือ การให้ยาเคมีเพื่อทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถทำการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้และตาย การให้ยาเคมีบำบัดจึงสามารถควบคุมและลดขนาดของก้อนมะเร็งให้มีขนาดคงที่หรือเล็กลงได้ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นของร่างกาย และยังสามารถช่วยบรรเทาปวดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ด้วย

แต่สำหรับการรักษามะเร็งเต้านมยังมีการรักษาด้วย การบำบัดด้วยฮอร์โมน ( Endocrine Therapy ) เป็นการรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย เพราะว่ามะเร็งเต้านมจะสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ดังนั้นการลดปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งไม่ให้มีการลุกลามมากขึ้น ซึ่งบางครั้งการรักษาโรคมะเร็งไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีการเดียวแล้วจะรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องใช้การรักษาร่วมกันมากกว่า 1 วิธี จึงจะสามารถทำการมะเร็งให้หายขาดและไม่กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งในขณะที่ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนผู้ป่วยก็จะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไป

ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการสารอาหารมากกว่าปกติเป็นอย่างมาก อาหารเสริมทางการแพทย์ เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายทำการผลิตสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) ที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งการอักเสบนี้จะเข้าไปเพิ่มให้มีเผาผลาญพลังงานเกิดมากขึ้นจนกลายเป็นภาวะไฮเพอร์เมแทบอลิก ( Hypermetabolic ) ที่มีอัตราเร็วของกระบวนการเมแทบอลิซึม ( Metabolism ) ที่สูงกว่าปกติจึงทำให้มีการสลายโปรตีน ไขมันที่มีในร่างกายมากขึ้น จนร่างกายต้องเกิดการสูญเสียไขมันและโปรตีนมากผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดความเครียดของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีความกังวลและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการรักษาโรคมะเร็ง ความเครียดที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างการผลิตฮอร์โมนแห่งความเครียด ( Stress hormones ) เช่น แอดรีนาลิน ( Adrenalin ) และ คอร์ติซอล ( Cortisol ) ส่งผลให้ร่างกายมีอัตราการเมตาบิลิซึมสูงเช่นเดียวกับการเพิ่มของสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) เมื่อร่างกายมีอัตราการเมตาบอลิซึมที่มากกว่าปกติ ร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหารที่มากขึ้นเพื่อนำเข้ามาใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึมที่เกิดขึ้น แต่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารเท่าเดิมหรือน้อยกว่าปกติ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมกับต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ร่างกายก็จะเกิดภาวะขาดสมดุลของโภชนการหรือเกิดภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก เพราะผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลงเนื่องจากการขาดสารอาหารนี้

อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง คือ อาหารเสริมทางการแพทย์ (

Medical Supplements ) ที่มีความบริสุทธิ์และไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย

อาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยมะเร็ง คือ

1. อาหารที่มีโปรตีนสูง
อาหารที่มีโปรตีนสูงจะประกอบไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกายที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันการติดเชื้อและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจากเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี ซึ่งแหล่งโปรตีนที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง คือ เนื้อปลา ไข่ไก่ โดยเฉพาะโปรตีนจากไข่ขาว นม ถั่วต่างๆ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื่องจากอันตราการเมตาบอลิซึมที่เกิดขึ้นสูงกว่าปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยจึงต้องได้รับอาหารที่มีโปรตีนและกรดอะมิโนอย่างเหมาะสมและเพียงพอ

2. อาหารที่ให้พลังงานสูง
ผู้ป่วยโรคมะเร็งส่วนมากมักจะรับประทานอาหารได้น้อย เนื่องมากจากความเครียดและอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในระหว่างการรักษา เช่น อาการเบื่ออาหาร อาเจียน การรับรสและกลิ่นอาหารเปลี่ยนไป แผลในปากทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง จึงรับประทานอาหารได้น้อยลง ดังนั้นอาหารที่รับประทานจึงควรเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เพื่อที่ว่ารับประทานเพียงเล็กน้อยก็สามารถให้พลังงานได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว

3. กินผักผลไม้ให้ครบ 5 สี
ผักและผลไม้มีสารอาหารในกลุ่ม ไฟโตนิวเทรียนท์สูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ถึงแม้ว่าสารอาหารเหล่านี้จะไม่ได้ให้พลังงานกับร่างกายโดยตรง แต่วิตามินและแร่ธาตุเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายมีความสมดุล สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเร่งการเกิดปฏิกิริยาในการสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย และวิตามิน แร่ธาตุที่อยู่ในผักผลไม้ยังจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตเพื่อป้องกันการลุกลามและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นการรับประทานผักผลไม้ทุกวันก็จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีภูมิต้านทานโรคและป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี การรับประทานผัก ผลไม้ควรเลือกรับประทานให้ครบทุกสีหรืออย่างน้อย 3 สีต่อวันจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ผักผลไม้ 5 สีต้านโรค
1. สีแดง บำรุงผิว ลดการเกิดสิว ป้องกันมะเร็งได้
2. สีเขียว ต้านริ้วรอย ช่วยในการขับถ่าย ต้านโรคมะเร็ง
3. สีส้ม ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ลดไขมันในเลือด
4. สีม่วง ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้เส้นผมเงางาม
5. สีขาว ลดการอักเสบ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ช่วยลดอาการปวดข้อเข่า
ดังนั้น จึงควรรับประทานผักและผลไม้ที่หลากสีให้ได้ 400-500 กรัมต่อวันจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ

4. กินไขมัน
ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนมีความเชื่อว่าไม่ควรรับประทานไขมัน แต่ที่จริงแล้วผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการไขมันเข้าสู่ร่างกายมากกว่าคนปกติเสียด้วย เพื่อมาทดแทนไขมันที่สูญเสียไปในขณะที่ร่างกายเกิดกระบวนการเมตาบอลิซึมที่เกิดมากขึ้น เพราะไขมันเป็นแหล่งที่ให้พลังงาน เป็นแหล่งสะสมของวิตามินที่ละลายในไขมันและยังให้กรดไขมันที่มีความจำเป็นบางชนิดต่อร่างกายอีกด้วย แต่ว่าไขมันที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคมะเร็งควรเป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และงดไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวหรือไขมันทรานซ์ เช่น มันหมู มันไก่ กะทิ เนย เป็นต้น ซึ่งไขมันที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งมากที่สุด ก็คือ ไขมันที่มาจากเนื้อปลา เพราะว่าในไขมันปลาจะมีกรดโอเมก้า 3 ที่สามารถช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อให้มีการอักเสบน้อยลงในผู้ป่วยมะเร็งที่ทำการรักษาด้วยการผ่าตัด การฉายแสงหรือผลอาการข้างเคียงทีเกิดขึ้นจากการให้เคมีบำบัดได้

การรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่พบว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่จะอยู่ในภาวะที่ไม่มีความอยากอาหาร มีการรับประทานอาหารน้อยลง จึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการจะสังเกตได้ว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งแทบทุกคนจะมีร่างกายที่ผายผอมและมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้นในการฟื้นฟูและรักษาอาการอักเสบที่เกิดขึ้นของเซลล์ภายในร่างกาย หรือในผู้ป่วยบางรายรู้สึกเบื่ออาหารไม่อยากรับประทานอาหาร หรืออยากรับประทานอาหารบางชนิดแต่อาหารดังกล่าวไม่สามารถที่จะรับประทานได้ในขณะที่เป็นโรคมะเร็งจึงทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารน้อยลงหรือบางรายไม่ยอมที่จะรับประทานอาหารเลย จึงทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร แต่การที่จะบังคับให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือการจัดอาหารให้มีสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยก็เป็นไปได้ยาก ทั้งสภาวะร่างกายที่ไม่พร้อมจะรับประทานอาหารและสภาวะจิตใจที่เครียดจากอาการป่วยส่งผลให้ความอยากอาหารลดลง

การเลือกอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องคำนึกถึงปริมาณโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งร่วมกับการรับประทานอาหารหลักจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี การรับประทานอาหารเสริมก็เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้นแม้จะบริโภคอาหารน้อยลงหรือเท่าเดิม โดยการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยเสริมสารอาหารให้กับผู้ป่วย ซึ่งอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง เมื่อบริโภคตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่ทำการออกแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งอาหารเสริมอาหารที่ทำการผลิตจะมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ

อาหารเสริมสามารถแบ่งออกเป็น 3 เกรด คือ

1. Feed Grade คือ อาหารที่เกรดต่ำที่สุด เป็นเกรดอาหารที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับการผลิตอาหารให้กับสัตว์รับประทาน มีราคาถูกแต่คุณภาพไม่เหมาะสมกับการรับประทานของคนทั่วไป

2. Food Grade คือ อาหารหรืออาหารเสริมที่มีคุณภาพเท่ากับการผลิตอาหารทั่วไป ซึ่งอาหารเสริมที่อยู่ในเกรดนี้จะมีจำหน่ายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด ไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา ( Food and Drug Administration ) ไม่จำเป็นต้องระบุส่วนผสมของอาหารเสริมทั้งหมดบนฉลากของสินค้า อาหารเสริมชนิดนี้จะมีการปนเปื้อนจากสารเคมีอื่นได้ประมาณร้อยละ 30 เราสามารถนำมาปรุงอาหารเพื่อรับประทานหรือรับประทานเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรงแต่ไม่เกิดโทษกับร่างกาย แต่ว่าสารอาหารที่ได้รับจากอาหารเสริมชนิดนี้ ร่างกายอาจจะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ทั้งหมดตามที่ระบุไว้ที่ฉลากของสินค้า ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแตกตัวของสารที่อยู่ในอาหารเสริมนั่นเอง

3. Medical Supplements คือ อาหารเสริมที่มีการคุณภาพสูงที่สุดในบรรดาอาหารเสริมทั้งหมด ซึ่งคุณภาพและขั้นตอนการผลิตอาหารเสริมชนิดนี้จะเหมือนกับการผลิตยาที่ใช้ในการรักษาโรคทุกอย่าง จึงเรียกอาหารเสริมชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “ อาหารเสริมเกรดยา ” ซึ่งอาหารเสริมเกรดยาจะต้องมีความบริสุทธิ์ของสารอาหารมากว่าร้อยละ 90 และต้องไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีอื่น เช่น สารพิษ โลหะหนัก ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารอาหารที่อยู่ในอาหารเสริมเกรดยานี้จะสามารถทำการแตกตัวเพื่อให้ร่างกายสามารถทำการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณที่ทำการระบุไว้ในฉลากของสินค้า นอกจากนั้นบนฉลากของอาหารเสริมเกรดยาจะต้องระบุส่วนผสมทั้งหมดที่อยู่ในอาหารเสริมนี้อย่างละเอียด ซึ่งปริมาณสารอาหารและคุณภาพของสารออกฤทธิ์ที่ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่มีอยู่ในอาหารเสริมจะต้องมีปริมาณที่คงที่ตลอดอายุของอาหารเสริมที่ระบุไว้บนฉลากของสินค้า อาหารเสริมเกรดยาจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากความบริสุทธิ์ของสารอาหารและขั้นตอนการผลิตที่เหมือนกับยานั่นเอง เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการสารอาหารสูงและระวังเรื่องสารปนเปื้อนที่อาจจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้

ดังนั้น อาหารเสริมคนป่วยกินข้าวไม่ได้ ควรทานอาหารเสริมที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงเป็นอาหารเกรดยา เนื่องจากอาหารเสริมชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนการที่สูงและมีการสารปนเปื้อนที่น้อยมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงที่เกิดจากการได้รับสารพิษบางชนิดได้เป็นอย่างดี

ผลดีของการได้รับอาหารเสริมทางการแพทย์ในผู้ป่วยมะเร็ง คือ

1. ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็ว
เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งจะมีอัตราการเมตาบอลิซึมที่สูงกว่าคนปกติจึงต้องใช้โปรตีน ไขมันและสารอาหารต่าง ๆ มากกว่าปกติ แต่การรับประทานอาหารหลักเพียงอย่างเดียวบางครั้งร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าต้องการให้ได้รับสารอาหารให้เพียงพอก็อาจจะต้องรับประทานอาหารมากกว่าปกติถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นไปได้ยากสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในขณะทำการรักษา เนื่องจากผลข้างเคียงในการรักษาผู้ป่วยจะไม่มีความอยากอาหาร จึงสามารถรับประทานอาหารได้น้อยลงเสียด้วย หรืออาการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นภายในช่องปาก ( mucositis ) ในผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดร่วมกับการรักษาด้วยการฉายแสง เพราะเมื่อผู้ป่วยเกิดแผลที่ภายในช่องปากแล้ว  ผู้ป่วยจะเจ็บปวดและทรมานมากโดยเฉพาะเวลารับประทานอาหาร ทำให้รับประทานอาหารด้วยความยากลำบาก จนรู้สึกไม่อยากรับประทานอาหารเพราะกลัวที่จะเจ็บปวดเวลาที่รับประทานอาหาร ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารและสุขภาพทรุดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าได้รับประทานอาหารเสริมเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย ก็จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารมากขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากอาหารเสริมเกรดยา ( Pharmaceutical Grade ) มีองค์ประกอบของสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เข้มข้นสูงเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง นอกจากนั้นสารอาหารที่อยู่ในอาหารเสริมนั้นร่างกายยังสามารถดึงไปใช้ได้โดยตรงไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายหลายขั้นตอนให้สิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อร่างกายมีโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ร่างกายก็จะสามารถนำพลังงานที่ได้มาซ่อมแซมเซลล์และช่วยในการฟื้นฟูร่างกายที่ถูกทำลายไปให้ฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้น

2. เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
การเข้ารับการให้เคมีบำบัดในแต่ละรอบจะต้องทำกาตรวจวัดปริมาณของเม็ดเลือดขาวก่อนที่จะทำการให้เคมีบำบัดทุกครั้ง ถ้าจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดก็จะไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ เพราะการที่เม็ดเลือดขาวต่ำทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มาก ดังนั้นเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะที่ทำการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องมีเม็ดเลือดขาวในปริมาณที่เหมาะสมก่อนจึงจะทำการให้เคมีบำบัดในครั้งต่อไปได้ แต่การรับประทานอาหารทั่วไปเพียงอย่างเดียวบางครั้งสารอาหารที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในเลือดให้เพิ่มขึ้นในปริมาณที่สามารถเข้ารับการในรอบต่อไปได้ตามที่แพทย์นัด ไม่ต้องเลื่อนไปเพื่อรอให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพิ่มอีก ซึ่งในระหว่างที่ทำการรอนี้เซลล์มะเร็งอาจจะมีการลุกลามมากขึ้นได้ ทำให้ผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ต้องมีการเพิ่มปริมาณยาและเวลาในการรักษาเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเสียกำลังใจซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการรักษาโรคมะเร็ง

อาหารเสริมที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง คือ อาหารเสริมชนิดสำเร็จรูปเกรดการแพทย์  ที่มีความบริสุทธิ์และไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ การเลือกอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องคำนึกถึงปริมาณโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ไม่มากจนเกินไปจนอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกายต้องทำงานหนักซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้
นอกจากการดูแลด้านโภชนาการด้วยการเลือกอาหารให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยรับประทานอาหารและเสริมด้วยอาหารเสริมที่ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งจะฟื้นตัวและสามารถรักษาตัวให้หายจากโรคมะเร็งได้แล้ว การดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยให้มีกำลังพร้อมที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคมะเร็งมากขึ้น

สนใจสั่งซื้ออาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยคลิ๊ก Line: @ amprohealth

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

www.nestlehealthscience-th.com/

“EPIC (European Prospective Investigation into Cancer and Nutrition) Study”. epic.iarc.fr. International Agency for Research on Cancer: World Health Organization.

“Diet, healthy eating and cancer”. info.cancerresearchuk.org. Cancer Research UK.

การฟื้นฟูและดูแลผิวหน้าจากปัญหาต่าง ๆ

0
การฟื้นฟูและดูแลผิวหน้าจากปัญหาต่าง ๆ
ใบหน้าเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจที่ทำหน้าที่ในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ และช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น
การฟื้นฟูและดูแลผิวหน้าจากปัญหาต่าง ๆ
ใบหน้าเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจที่ทำหน้าที่ในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ และช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น

การฟื้นฟูผิวหน้า

สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันทำให้เลี่ยงไม่ได้กับปัญหาผิวในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ซึ่งอาจทำให้ลืม การฟื้นฟูผิวหน้า นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน เพราะใบหน้าเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจที่ทำหน้าที่ในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ ออกสู่ภายนอกให้ผู้อื่นรับรู้ ใบหน้าที่งดงาม มีผิวพรรณเปล่งปลั่งย่อมสร้างความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของใบหน้า และใบหน้าที่งดงามยังช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็นด้วย ตามศาสตร์การรักษาของคนจีนให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่ปรากฏบนใบหน้า เพราะสิ่งเหล่านั้นสามารถบ่งบอกอาการป่วยที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้

ใบหน้าประกอบไปด้วยคิ้ว ดวงตา จมูกและปาก วางเรียงกันตั้งแต่ด้านบนลงมาด้านล่าง นอกจากองค์ประกอบทั้งสี่ที่ช่วยสร้างความสวยงามให้กับใบหน้าแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ใบหน้ามีความสมบูรณ์ นั่นคือ ผิวพรรณของใบหน้า เพราะว่าบางคนมีโครงสร้างของใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ มีหน้าเป็นวงรี ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ปากอวบอิ่มรับกับโครงหน้า แต่ผิวพรรณบนใบหน้ากลับแห้งกราน หยาบบ่งบอกถึงการขาดความชุ่มชื่น ที่ทำให้ใบหน้านั้นดูหม่นหมองไม่น่ามอง แต่บางคนมีโครงหน้าใบหน้าที่ธรรมดาไม่มีสิ่งใดโดนเด่นน่ามอง ทว่าผิวพรรณบนใบหน้ากลับเรียบเนียนมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งสดใส ไร้ปัญหาผิวใด ๆ ใบหน้าที่มีผิวพรรณแบบนี้กลายเป็นใบหน้าที่ชวนมอง สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็นแล้ว

ชาวจีนยังใช้การสังเกตลักษณะผิวพรรณบนใบหน้าในการรักษาโรคที่เกิดขึ้นในร่างกาย โดยจะมีการสังเกตลักษณะของอวัยวะที่อยู่บนใบหน้า ด้วยความเชื่อของแพทย์ชาวจีนที่ว่าลักษณะของอวัยวะต่างๆ ที่อยู่บนใบหน้านั้นสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ภายในร่างกายได้เกือบ และการที่จะทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสไร้ปัญหาได้นั้นก็ต่อเมื่อระบบภายในของร่างกายมีการทำงานที่สมบูรณ์จึงส่งผลออกมาสู่ผิวพรรณที่ดีนั่นเอง

ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วการที่ ผิวหน้า มีความแข็งแรงปราศจากปัญหาได้ก็ต่อเมื่อคอลลาเจนประเภทที่ 1 ( Collagen Type 1 ) อยู่ใต้ผิวมีปริมาณที่เหมาะสม คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความชุ่มชื่นและความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง บริเวณที่มีคอลลาเจนอยู่ในปริมาณสูง บริเวณนั้นจะไม่มีปัญหาของผิวหน้า เช่น ผิวแห้ง รอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา และบริเวณดังกล่าวจะมีผิวที่ชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นดี เต่งตึง กระชับ นอกจากนั้นคอลลาเจนยังเข้าไปเติมเต็มช่องว่างที่อยู่ใต้ผิวจนเต็มป้องกันการยุบตัวของผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นเมื่อช่องว่างใต้ผิวมีมาก

ช่วงวัยเด็กกระบวนการการสร้างคอลลาเจนมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถสร้างคอลลาเจนได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อทดแทนคอลลาเจนที่อายุขัยและสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นมาตามขนาดร่างกายที่ใหญ่เพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น แต่ทว่าเมื่ออายุมากกว่า 20- 25 ปีกระบวนการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายจะมีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลให้ปริมาณคอลลาเจนที่เกิดขึ้นมีปริมาณน้อยลง ทำให้คอลลาเจนที่ในร่างกายไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน โดยเฉพาะที่บริเวณช่องว่างใต้ผิวหนังที่เมื่อปริมาณคอลลาเจนลดลง ช่องว่างจะมีมากขึ้นทำให้เกิดการยุบตัวลงของชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น และเมื่อ ผิวหน้า มีการสูญเสียคอลลาเจนที่เป็นแหล่งความชุ่มชื้นไปจึงทำให้ผิวหน้าโดนทำลายจากแสงแดด อนุมูลอิสระเกิดเป็นผิวหน้าหยาบแห้งกร้านไม่นุ่มเนียน มีฝ้า กระและรอยไหม้เกิดขึ้นได้ โดยปกติคอลลาเจนจะมีการสลายไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อมีการสลายก็ย่อมมีกระบวนการสร้างเกิดขึ้นพร้อมกัน ในวัยเด็กกระบวนการสร้างจะเกิดขึ้นมากกว่ากระบวนการทำลายคอลลาเจน แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนจะลดลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ต่างจากการะบวนการสลายคอลลาเจนที่ยังคงอยู่เท่าเดิม ทำให้ใบหน้าเกิดปัญาเกี่ยวกับผิวมากขึ้นนั่นเอง นอกจากกระบวนการทำลายคอลลาเจนที่เกิดขึ้นภายในร่างกายแล้ว ความเสื่อมคอลลาเจนในร่างกายอาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายนอก

คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความชุ่มชื่นและความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง บริเวณที่มีคอลลาเจนอยู่ในปริมาณสูง บริเวณนั้นจะไม่มีปัญหาของผิวหน้า

ปัจจัยที่ส่งผลให้คอลลาเจนใต้ผิวโดนทำลายจากภายนอก คือ

1. แสงแดด

แสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี ( UV ) โดยแบ่งออกมาเป็น 3 ประเภทตามลักษณะความยาวคลื่น คือ ยูวีเอ ( UVA ), ยูวีบี ( UVB ), และยูวีซี ( UVC ) ซึ่งรังสียูวีจะซึมเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่เริ่มสัมผัสกับ ผิวหน้า โดยรังสียูวีจะทำให้ผิวภายนอกถูกเผาไหม้จากความร้อนที่เกิดอาการแสบร้อน เป็นรอยแดงไหม้ กลายเป็นฝ้า กระแดด รอยถลอก รอยแผลได้ และเมื่อซึมเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังก็จะเข้าไป

ทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้คอลลาเจนเกิดความเสื่อมและสลายตัวไปนำมาซึ่งกระเนื้อ ริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยอันควร และอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดของรังสียูวีก็คือการเข้าไปทำลายดีเอ็นเอที่อยู่ภายในเชลล์ผิวหนังจนเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง รังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อ ผิวหน้า คือรัวงสียูวีที่อยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 16.00 น. แม้ว่าอากาศจะร้อนหรือไม่ร้อนปริมาณรังสียูวีก็จะมีปริมาณที่ไม่แตกต่างกัน

2. สารอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ ( Free Radicle ) คือ โมเลกุลที่อยู่ในสภาวะที่ไม่เสถียรเนื่องจากขาดอิเล็กตรอนอย่างน้อย 1 ตัว อนุมูลอิสระพบได้ทั่วไปรอบตัว ๆ เราทั้งจากสิ่งแวดล้อม เช่น ควันรถยนต์ การเผาไหม้ ฝุ่น ควันบุหรี่ จากอาการ ความร้อน รังสีแกมมา การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า และจากภายในร่างกายที่มาจากผลผลิตของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่ออนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายจะทำการจับตัวและเข้าไปทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ( Oxidation ) กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะผนังของเซลล์ จนสร้างความเสียหายให้กับผนังของเซลล์เกิดการฉีกขาด ส่งผลให้เซลล์สูญเสียน้ำและอาหารที่อยู่ภายในออกมา เซลล์จึงมีสภาพที่อ่อนแอและมีการเหี่ยวย่นลง จึงเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวแห้งหยาบกร้าน บนใบหน้า และอนุมูลอิสระยังสามารถเข้าไปทำปฏิกิริยากับดีเอ็นของเซลล์จนทำให้เกิดการกลายพันธุ์กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

3. การดื่มน้ำ

น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต ร่างกายมนุษย์เราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ส่วนเลยทีเดียว น้ำมีหน้าที่ในการควบคุมอุณหภูมิ ความดัน สมดุลทางประจุและสมดุลความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย และน้ำยังเป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์อีกด้วย ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับน้ำสะอาดในปริมาณที่น้อยก็จะส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะระบบการขจัดของเสียออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายไม่สามารถขจัดของเสียออกมาได้หมด ของเสียก็จะเกิดการสะสมภายในร่างกาย เมื่อมีการสะสมในปริมาณที่มากขึ้นสารพิษเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ระบบทุกระบบเกิดความผิดปกติตามไปด้วย และน้ำที่อยู่ภายในเซลล์ก็จะสกปรกเต็มไปด้วยสารพิษ และสารพิษก็จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้คอลลาเจนมีปริมาณลดลง เกิดความริ้วรอย ฝ้า กระ ความหมองคล้ำ ผิวหนังแห้ง หยาบบนใบหน้า

4. การกิน

การที่ร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงได้ เราต้องรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อที่ระบบการทำงานภายในร่างกายจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อใดก็ตามที่เรารับประทานอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เองแล้ว ก็จะส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ระบบการสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมและ การฟื้นฟูผิวหน้า ส่วนที่สึกหรอไม่สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะกระบวนการสร้างคอลลาเจนต้องอาศัยวิตามินเป็นตัวช่วยอย่างมาก ดังนั้นถ้าร่างกายเกิดภาวะขาดสมดุลของวิตามินแล้ว กระบวนการผลิตคอลลาเจนก็จะไม่สามารถสร้างคอลลาเจนออกมาได้ นอกจากนั้นถ้าร่างกายขาดสมดุลของวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายก็จะส่งผลให้กระบวนการผลิตฮอร์โมนภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ ไม่สามารถผลิตโกรทฮอร์โมนที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและความผิดปกติของระบบการทำงานภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและปัญหาผิวบนใบหน้าอีกด้วย

5. การพักผ่อน

การพักผ่อนที่เพียงพอด้วยการนอนจะส่งผลให้ร่างกายมีการสร้างโกรทฮอร์โมน โกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone: GH ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “น้ำพุแห่งความหนุ่มสาว” โกรทฮอร์โมนเป็นฮอร์โมนที่หลั่งอออกมาจากต่อมไร้ท่อ ช่วงวัยเด็กฮอร์โมนมีหน้าที่ในการควบคุมเจริญเติบโตของร่างกายให้เหมาะสมกับช่วงวัย ควบคุมความกระดูกให้แข็งแรง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีการเจริญเติบโต ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน สร้างพัฒนาการของสมอง โกรทฮอร์โมนเป็นโปรตีนที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน ( Amino-acid ) จำนวน 191 ชนิด ฮอร์โมนนี้ร่างกายจะมีการสร้างตลอดชีวิต แต่จะมีปริมาณการสร้างที่ไม่เท่ากันโดยในวัยเด็กหรือในวัยที่กำลังเจริญเติบโตจะมีการสร้างฮอร์โมนชนิดนี้ในปริมาณที่สูงมาก แต่เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่โกรทฮอร์โมนจะเปลี่ยนหน้าที่จากการสร้างความเจริญเติบโตเป็นการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้สามารถทำงานได้เหมือนเดิมคล้ายกับการคงความหนุ่มสาวให้คงอยู่ยาวนานขึ้นนั้นเอง ซึ่งร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนในช่วงการนอนหลับลึกตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงประมาณตีหนึ่งครึ่ง ดังนั้นถ้าช่วงเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งครึ่งถ้าเรายังไม่เข้าสู่สภาวะการหลับลึกแล้ว ร่างกายก็จะไม่มีการหลั่งของโกรทฮอร์โมนออกมาก ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการซ่อมแซมระบบการทำงานที่มีความผิดปกติเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดความเสื่อมโดยเฉพาะบริเวณ ผิวหน้า ที่จะมีการแสดงปัญหาออกมาอย่างชัดเจน เช่น หน้าหมองคล้ำ ริ้วรอยที่รอบดวงตา ผิวหนังเหี่ยว เป็นต้น

จะพบว่าปัจจัยข้างต้นนี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่เร่งความเสื่อมให้กับการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวและฮอร์โมนที่มีผลต่อการเกิดปัญหาผิวพรรณบนใบหน้า ปัจจุบันนี้ได้มีการความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ต้องการช่วยใน การฟื้นฟูผิวหน้า และดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นกับผิวบนใบหน้าที่สามารถช่วยฟื้นฟูแลแก้ปัญหาผิวพรรณบนใบหน้าอย่างได้ผล ทำให้ใบหน้ามีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลดูอ่อนกว่าวัย

การรักษานี้จะทำการออกแบบการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ทั้งการกิน การนอน การออกกำลังเพื่อช่วยในการสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ทั้งทางด้านโภชนาการด้วยการให้รับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่ร่างกายขาดจนส่งผลให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนและโกรทฮอร์โมนมีความผิดปกติ ซึ่งการออกแบบนี้จะเป็นการออกแบบเฉพาะจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่สร้างผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน

การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่ร่างกายขาดจะช่วยให้ระบบการทำงานที่ช่วยสร้างโกรทฮอร์โมนมีการทำงานที่ดีขึ้นสามารถสร้างโกรทฮอร์โมนได้มากขึ้น เนื่องจากโกรทฮอร์โมนมีองค์ประกอบจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดสมดุลของกรดอะมิโนและวิตามินบางชนิดก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการสร้างโกรทฮอร์โมนลดลง ดังนั้นเมื่อร่างกายมีปริมาณกรดอะมิโนที่ได้จากอาหารเสริมและวิตามิน เช่น แอล-ไลซีน ( L-Lysine ),แอล-กลูตามีน ( L-glutamine ) แอล-ไกลซีน ( L-Glycine ), แอล-เฟนิลอลานีน ( L-Phenylalanine ), แอล-คาร์นิทีน ( L-Carnitine ), แอล-อาร์จินีน ( L-Arginine ) เป็นต้น กรดอะมิโนที่ได้จากอาหารเสริมนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบการผลิตฮอร์โมนของต่อมไร้ท่อให้มีการสร้างและหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาจากภายในร่างกายให้มากขึ้น โกรทฮอร์โมนจะข้าไปช่วยเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญไขมัน น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกาย จึงช่วยลดการที่ไขมันจะเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่บริเวณใบหน้าอย่างได้ผล ทำให้เลือดสามารถเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ที่บริเวณใบหน้า เซลล์จึงมีจึงมีความแข็งแรงสามารถทนทานต่อการทำลายของแสงแดดและสารอนุมูลอิสระจากภายนอก และยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลเจนและอีลาสตินที่อยู่ใต้ผิวหนัง จึงสามารถช่วยป้องกันและลดความเสื่อมของเซลล์บนใบหน้าซึ่งเป็นที่มาของปัญหาผิว เช่น ฝ้า กระ ผิวแห้งกร้าน รอยไหม้ ได้เป็นอย่างดี

นอกจากการสร้างโกรทฮอร์โมนแล้ว การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินยังสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้ด้วยการเสริมอาหารและวิตามิน ที่มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนใต้ผิว เช่น วิตามินซี ( Vitamin C ), ไลโคปีน ( Lycopene ), ไลซีน ( Lysine ), ทองแดง ( Copper ) เป็นต้น โดยอาการเสริมและวิตามินจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ดังนั้นถ้าร่างกายเกิดภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุก็จะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นคอลลาเจนได้ ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอในการสร้างเอนไซม์แล้ว การสร้างคอลลาเจนก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทำให้คอลลาเจนสามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้ผิวหนังที่อยู่ด้านนอกไม่มีการยุบตัว จึงไม่เกิดรอยเหี่ยวย่น ตีนกา และคอลลาเจนยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับใบหน้าอีกด้วย จึงช่วยทำให้ ผิวหน้า ดูสดใส เต่งตึงเรียบเนียน มีน้ำมีนวลแลดูอ่อนเยาว์ น่ามองไม่ว่าใครพบเห็นก็มีแต่ความประทับใจในผิวพรรณที่ดูดี
การดูแลสุขภาพจากภายในด้วยการรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเสริมด้วยอาหารเสริมโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อที่ร่างกายจะได้มีสมดุลทางโภชนาการครบถ้วนส่งผลให้ระบบการทำงานภายในร่างกายเกิดขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์จากภายในก็จะส่งผลถึงการแสดงออกภายนอก ทั้งด้านจิตใจที่สดใส ใบหน้าที่สดชื่น รวมถึงปัญหาผิวพรรณ ริ้วรอยบนใบหน้าก็จะหมดไปด้วย การฟื้นฟูผิวหน้า และดูแลอย่างตรงจุดทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณดูดี บุคลิกความมั่นใจที่มีก็เต็มร้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.