มะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma): สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และการรักษา

0
โรคมะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma, CCA) คืออะไร
มะเร็งท่อน้ำดี เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดกับเซลล์เยื่อบุผนังของท่อน้ำดีซึ่งเป็นอวัยวะที่นำน้ำดีจากตับมายังลำไส้เล็ก

มะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma หรือ CCA) คือชนิดของมะเร็งที่เกิดจากเยื่อบุผนังภายในของท่อน้ำดี ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการลำเลียงน้ำดีจากตับและถุงน้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็กเพื่อช่วยย่อยอาหาร โดยโรคนี้พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักตรวจพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่มีการบริโภคปลาน้ำจืดดิบๆ ทำให้เกิดการติดพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคนี้

ทำความเข้าใจกับท่อน้ำดี

ท่อน้ำดีมีหน้าที่ลำเลียงน้ำดีจากตับและถุงน้ำดีไปยังลำไส้เล็ก โดยโครงสร้างแบ่งเป็น:

  • ท่อน้ำดีภายในตับ (Intrahepatic bile ducts) – ท่อเล็ก ๆ ภายในเนื้อตับ

  • ท่อน้ำดีภายนอกตับ (Extrahepatic bile ducts) – ท่อใหญ่ที่ออกมาจากตับ เชื่อมกับถุงน้ำดีและลำไส้เล็ก

โรคมะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้ที่ทั้งสองตำแหน่งนี้

ชนิดของมะเร็งท่อน้ำดี

มะเร็งท่อน้ำดีแบ่งได้ 2 ชนิดหลัก:

  1. มะเร็งท่อน้ำดีภายในตับ (Intrahepatic CCA)

    • พบได้น้อย แต่มักวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็งตับ

  2. มะเร็งท่อน้ำดีภายนอกตับ (Extrahepatic CCA)

    • พบได้มากกว่า มีแนวโน้มทำให้ท่อน้ำดีอุดตัน ผู้ป่วยมักมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง

สาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดี

ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในทางการแพทย์เกี่ยวกับสาเหตุของโรคนี้ แต่อาจสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้:

  • การติดพยาธิใบไม้ตับ จากการกินปลาน้ำจืดแบบดิบ

  • ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง

  • นิ่วในท่อน้ำดีหรือตับ

  • โรคทางพันธุกรรมเกี่ยวกับถุงน้ำในทางเดินน้ำดี

  • ภาวะตับแข็ง หรือไวรัสตับอักเสบ B และ C

  • การได้รับสารเคมี เช่น Thorotrast

อาการของมะเร็งท่อน้ำดี

ผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการ แต่เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง

  • ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด

  • คันตามตัว

  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

  • ท้องอืด ปวดใต้ชายโครงด้านขวา

  • เหนื่อยง่าย อ่อนแรง

ระยะของมะเร็งท่อน้ำดี

โรคมะเร็งท่อน้ำดีแบ่งออกเป็น 4 ระยะ:

  • ระยะที่ 1: มะเร็งจำกัดอยู่ในท่อน้ำดี

  • ระยะที่ 2: เริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือต่อมน้ำเหลือง

  • ระยะที่ 3: ลุกลามไปยังหลอดเลือดหรือถุงน้ำดี

  • ระยะที่ 4: กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด กระดูก หรือสมอง

การวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยมีความซับซ้อนและต้องใช้วิธีหลายแบบผสมกัน ได้แก่:

  • ตรวจเลือด: ค่าการทำงานของตับ, ค่า Tumor Marker เช่น CEA และ CA19-9

  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง: ตรวจความผิดปกติของท่อน้ำดี

  • CT Scan / MRI: ตรวจขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง

  • MRCP หรือ ERCP: ตรวจภาพท่อน้ำดีอย่างละเอียด

  • ตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): เพื่อตรวจยืนยันชนิดของเซลล์มะเร็ง

  • PET Scan: ค้นหาการแพร่กระจายของโรค

แนวทางการรักษา

1. การผ่าตัด

หากตรวจพบในระยะแรกเริ่มและสามารถผ่าตัดได้ การผ่าตัดถือเป็นวิธีที่มีโอกาสรักษาให้หายขาดสูงที่สุด เช่น การตัดท่อน้ำดีหรือการผ่าตัดตับบางส่วนร่วมกับท่อน้ำดี

2. เคมีบำบัด

ใช้ในกรณีที่ผ่าตัดไม่ได้ หรือเพื่อควบคุมโรคหลังผ่าตัด ช่วยลดการแพร่กระจายของมะเร็ง

3. รังสีรักษา

ใช้ร่วมกับวิธีอื่นเพื่อบรรเทาอาการและลดขนาดก้อนมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะลุกลาม

4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

เช่น ใช้ยา Durvalumab หรือยา Imatinib สำหรับผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีนที่ตอบสนองต่อยา

การพยากรณ์โรคและโอกาสรอดชีวิต

  • หากตรวจพบในระยะต้นและสามารถผ่าตัดได้ โอกาสรอดชีวิต 5 ปีอยู่ที่ประมาณ 30–40%

  • หากเป็นระยะลุกลามแล้ว โอกาสรอดชีวิตลดลงเหลือประมาณ 5–10%

  • การตรวจพบเร็ว และการเข้ารับการรักษาโดยเร็วมีผลอย่างมากต่อการพยากรณ์โรค

การป้องกันมะเร็งท่อน้ำดี

แม้จะยังไม่มีวัคซีนหรือวิธีป้องกันโดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

  • หลีกเลี่ยงการบริโภคปลาน้ำจืดแบบดิบๆ

  • ตรวจสุขภาพตับและท่อน้ำดีเป็นประจำ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง

  • รักษาสุขอนามัยในการเตรียมอาหาร

  • ควบคุมการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ โดยการถ่ายพยาธิเป็นประจำ

  • งดบุหรี่และแอลกอฮอล์

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: มะเร็งท่อน้ำดีต่างจากมะเร็งตับหรือไม่?
A: ต่างกัน มะเร็งท่อน้ำดีเกิดจากเซลล์เยื่อบุท่อน้ำดี ส่วนมะเร็งตับเกิดจากเซลล์เนื้อตับ

Q: ตรวจสุขภาพทั่วไปจะพบมะเร็งท่อน้ำดีหรือไม่?
A: ยากมาก เพราะอาการระยะแรกไม่ชัดเจน จำเป็นต้องใช้ภาพถ่ายรังสีหรือ MRI

Q: มะเร็งท่อน้ำดีรักษาหายขาดได้ไหม?
A: หากพบในระยะแรกและผ่าตัดได้ โอกาสหายขาดมี แต่โดยทั่วไปมักพบช้าและอัตราการรอดต่ำ

Q: การกินปลาดิบเสี่ยงแค่ไหน?
A: หากเป็นปลาน้ำจืดที่อาจมีตัวอ่อนพยาธิใบไม้ตับ จะเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดี

Q: ตรวจ Tumor Marker แล้วพบค่า CA 19-9 สูง หมายความว่าเป็นมะเร็ง?
A: ไม่จำเป็น ต้องวินิจฉัยร่วมกับอาการและภาพถ่ายรังสี ค่า CA19-9 ใช้เป็นตัวติดตามการรักษามากกว่า

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

มะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและมะเร็งชนิดที่ 2: สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

0
โรคมะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคมะเร็งชนิดที่ 2
โรคมะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคมะเร็งชนิดที่ 2 เกิดจากร่างกายดื้อต่อยาสารเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาเซลล์มะเร็ง

มะเร็งเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่สามารถรักษาให้หายได้ในบางกรณี แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrence) หรือเกิดเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ 2 (Second Primary Cancer) ได้อีกครั้งในชีวิตของผู้ป่วย การเข้าใจกลไกการกลับมาเป็นมะเร็ง รวมถึงปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำหรือชนิดใหม่ เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน ฟื้นฟู และติดตามอาการในระยะยาว

มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrence) คืออะไร?

มะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำ หมายถึง การที่เซลล์มะเร็งชนิดเดิมกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้งหลังจากที่ได้รับการรักษาจนตรวจไม่พบมะเร็งในร่างกายแล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในตำแหน่งเดิม หรือบริเวณใกล้เคียง หรือแม้แต่ในอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลจากจุดเดิม

ประเภทของการกลับมาเป็นซ้ำ

  1. Local Recurrence – มะเร็งกลับมาในตำแหน่งเดิม

  2. Regional Recurrence – กลับมาบริเวณต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง

  3. Distant Recurrence (Metastasis) – มะเร็งแพร่ไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก

สาเหตุของการกลับมาเป็นซ้ำ

  1. เซลล์มะเร็งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างครบถ้วน เช่น การผ่าตัด เคมีบำบัด หรือรังสีรักษา

  2. ดื้อต่อการรักษา เซลล์มะเร็งบางกลุ่มอาจมีความสามารถในการต้านการรักษา

  3. พฤติกรรมเสี่ยงเดิมของผู้ป่วย เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ อ้วน และขาดการออกกำลังกาย

  4. ปัจจัยจากยีนหรือพันธุกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์

โรคมะเร็งชนิดที่ 2 (Second Primary Cancer)

ต่างจากการกลับมาเป็นซ้ำ มะเร็งชนิดที่ 2 คือ การที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดแรก และสามารถเกิดขึ้นที่อวัยวะใดก็ได้ โดยอาจตรวจพบหลังจากการรักษามะเร็งชนิดแรกเสร็จสิ้น หรืออาจตรวจพบพร้อมกันก็ได้

ตัวอย่าง:

  • ผู้ป่วยเคยเป็นมะเร็งเต้านม อาจมีโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่ในภายหลัง

  • ผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงที่สูบบุหรี่จัด อาจเกิดมะเร็งหลอดอาหาร

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดที่ 2

  1. พันธุกรรมบางชนิด เช่น กลุ่มยีน BRCA1/2 ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและรังไข่

  2. ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งครั้งแรก เช่น เคมีบำบัดหรือรังสีรักษาในระดับสูง อาจกระตุ้นการกลายพันธุ์ในเซลล์อื่น

  3. พฤติกรรมเดิมของผู้ป่วย เช่น ไม่เลิกพฤติกรรมเสี่ยง

  4. ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยเฉพาะผู้ที่เคยปลูกถ่ายอวัยวะหรือได้รับยากดภูมิ

การวินิจฉัยและติดตามการเป็นซ้ำหรือมะเร็งชนิดใหม่

การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

  • การตรวจร่างกาย

  • การตรวจด้วยภาพ เช่น CT, MRI, PET Scan

  • การตรวจเลือดหาค่า Tumor Marker

  • การเจาะหรือเก็บชิ้นเนื้อไปตรวจ

  • การติดตามผลหลังรักษา เช่น ทุก 3 เดือน – 6 เดือน ในช่วง 2 ปีแรก

การเฝ้าระวังระยะยาว

  • ผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งมาก่อน ควรมีตารางตรวจสุขภาพและติดตามผลกับแพทย์อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต

  • ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติด้วยตนเอง เช่น คลำเจอก้อนเนื้อใหม่ อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกผิดปกติ เป็นต้น

การรักษามะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำหรือชนิดที่ 2

แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สุขภาพทั่วไป และผลกระทบจากการรักษาครั้งก่อน ได้แก่:

แนวทางการรักษา:

  1. การผ่าตัด: ถ้าก้อนมะเร็งอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดได้และยังไม่แพร่กระจาย

  2. เคมีบำบัด (Chemotherapy): ยากดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

  3. รังสีรักษา (Radiation Therapy): ใช้พลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง

  4. การรักษาตรงเป้า (Targeted Therapy): ใช้ยาตรงเป้ายีนกลายพันธุ์

  5. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กำจัดเซลล์มะเร็ง

  6. ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์: เฉพาะในกรณีที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ผลกระทบทางจิตใจของผู้ป่วย

การทราบว่ามะเร็งกลับมาอีกครั้ง หรือเกิดมะเร็งใหม่อาจกระทบต่อจิตใจอย่างมาก เช่น:

  • ความวิตกกังวลว่าจะรักษาได้หรือไม่

  • กลัวการเจ็บปวดซ้ำอีกครั้ง

  • ความไม่มั่นคงในชีวิตและการงาน

แนวทางช่วยเหลือ:

  • ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

  • ให้กำลังใจจากครอบครัว แพทย์ และนักจิตวิทยา

  • เข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยที่มีประสบการณ์ใกล้เคียง

การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และการเกิดมะเร็งชนิดที่ 2

1. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

  • งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์

  • ลดอาหารแปรรูป ของทอด และเนื้อสัตว์ปริมาณมาก

  • หลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม

2. ปรับพฤติกรรมสุขภาพ

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ

  • นอนหลับให้เพียงพอ

  • จัดการความเครียด

3. ติดตามตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจหามะเร็งซ้ำหรือตรวจคัดกรองมะเร็งชนิดใหม่ทุกปี

  • ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การตรวจยีนเพื่อประเมินความเสี่ยง

สรุป

โรคมะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำหรือมะเร็งชนิดใหม่ (Second Primary Cancer) คือความท้าทายทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยและแพทย์ต้องรับมือร่วมกัน แม้ความเสี่ยงจะมีอยู่จริง แต่การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม การตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ และการรักษาด้วยแนวทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพได้มากยิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะตรวจพบ?
A: บางกรณีใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี โดยเฉพาะมะเร็งบางชนิดที่มีอัตราการเติบโตช้า แพทย์จึงมักติดตามต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีหลังหายดี

Q2: มะเร็งชนิดที่ 2 คืออะไรต่างจากการกลับมาเป็นซ้ำอย่างไร?
A: มะเร็งชนิดที่ 2 คือมะเร็งคนละชนิดกับที่เคยเป็น ไม่ใช่มะเร็งเดิม ส่วนการกลับมาเป็นซ้ำคือมะเร็งชนิดเดิมกลับมาอีกครั้ง

Q3: ถ้าเคยเป็นมะเร็งแล้ว ต้องตรวจอะไรเพิ่มเป็นพิเศษไหม?
A: ต้องตรวจติดตามเฉพาะโรคเดิมอย่างใกล้ชิด และอาจมีการตรวจคัดกรองมะเร็งอื่นตามปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบุคคล

Q4: มะเร็งชนิดที่ 2 รักษาหายได้ไหม?
A: ขึ้นอยู่กับชนิด ระยะโรค และสุขภาพผู้ป่วย หากตรวจพบเร็ว โอกาสหายก็ยังมีสูงในบางชนิด

Q5: เคยผ่าตัดหรือฉายแสงมาก่อน จะมีโอกาสเป็นมะเร็งใหม่ไหม?
A: มีโอกาสเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่เคยได้รับรังสีในปริมาณมากหรือใช้เคมีบำบัดต่อเนื่อง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

[/vc_column][/vc_row]

ความเสี่ยงโรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV มะเร็งที่พบบ่อยและการป้องกัน

0
โรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี จะมีภาวะร่างกายที่ภูมิคุ้มกัน บกพร่องสามารถเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆรวมถึงโรคมะเร็งด้วย

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV (Human Immunodeficiency Virus) มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าประชากรทั่วไปหลายเท่า สาเหตุหลักมาจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคหรือควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์มีโอกาสกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกว่า HIV มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอย่างไร มีมะเร็งชนิดใดที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV และแนวทางการรักษาและการป้องกันมีอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจอย่างครบถ้วนและสามารถนำไปใช้ดูแลตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดได้อย่างถูกต้อง

HIV คืออะไร? และทำไมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

HIV เป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อจำนวน CD4 ลดลง ร่างกายจะอ่อนแอลงและไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติได้ ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome)

ความเชื่อมโยงกับมะเร็ง เกิดขึ้นเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอทำให้:

  • ไม่สามารถทำลายเซลล์ผิดปกติได้
  • มีไวรัสก่อมะเร็ง (Oncoviruses) เช่น HPV, EBV, HHV-8 เข้ามาซ้ำเติม
  • เพิ่มโอกาสการกลายพันธุ์ของเซลล์ในระยะยาว

มะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV

มะเร็งที่พบในผู้ติดเชื้อ HIV สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

1. มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ (AIDS-defining Cancers)

เป็นมะเร็งที่ถือว่าเป็นเกณฑ์วินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ว่าเข้าสู่ระยะเอดส์ ได้แก่:

  • Kaposi’s Sarcoma (KS): มะเร็งของเยื่อบุเส้นเลือดที่เกิดจากไวรัส HHV-8
  • มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma): โดยเฉพาะชนิด Non-Hodgkin’s lymphoma และ Primary CNS Lymphoma
  • มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม (Invasive Cervical Cancer): พบได้ในผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV ร่วมกับ HIV

2. มะเร็งที่ไม่ได้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยเอดส์ (Non-AIDS-defining Cancers)

แต่มีอุบัติการณ์สูงในผู้ติดเชื้อ HIV เช่น:

  • มะเร็งทวารหนัก (Anal cancer)
  • มะเร็งตับ (จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี/ซี)
  • มะเร็งปอด
  • มะเร็งศีรษะและลำคอ
  • มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่

ปัจจัยเสี่ยงที่ซ้ำเติมความเสี่ยงมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

การติดเชื้อ HIV เพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้เกิดมะเร็งทันที แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่น ๆ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่:

  • การสูบบุหรี่
  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • การติดเชื้อ HPV หรือไวรัสตับอักเสบ
  • ไม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง
  • CD4 ต่ำกว่า 200 cells/mm³
  • ระยะเวลาการติดเชื้อ HIV นานโดยไม่รักษา

การวินิจฉัยมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

การวินิจฉัยใช้หลักการเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป ได้แก่:

  • ตรวจร่างกายและซักประวัติ
  • ตรวจเลือด รวมถึง CD4 และ Viral Load
  • การตรวจเฉพาะทาง เช่น Pap smear, ตรวจคัดกรอง HPV, ตรวจอัลตราซาวด์ หรือ CT scan
  • การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อยืนยันเซลล์มะเร็ง

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

ผู้ป่วย HIV ที่เป็นมะเร็งสามารถรักษาได้เช่นเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป โดยคำนึงถึง:

1. การผ่าตัด

ใช้ในกรณีที่มะเร็งยังไม่ลุกลามมาก เป็นการรักษาระยะเริ่มต้น

2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)

จำเป็นต้องพิจารณา CD4 และ Viral Load ก่อนการรักษาอย่างรอบคอบ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสสูง

3. การฉายรังสี (Radiotherapy)

ใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือศีรษะลำคอ

4. การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART)

เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยให้ผู้ป่วยทนต่อการรักษามะเร็งได้ดีขึ้น

แนวทางการป้องกันมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

การป้องกันยังเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้ติดเชื้อ HIV โดยสามารถทำได้ดังนี้:

  • รับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจคัดกรองมะเร็ง (เช่น Pap smear, HPV test)
  • ฉีดวัคซีน HPV และวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • รักษาสุขอนามัยและพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ

การดูแลตนเองเมื่อเป็นผู้ติดเชื้อ HIV เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง

  • ควรเข้าพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  • ควบคุมความเครียด และดูแลสุขภาพจิตใจ
  • หากพบความผิดปกติใด ๆ เช่น ก้อนที่โตผิดปกติ เสียงแหบ น้ำหนักลดเร็ว ควรรีบพบแพทย์
  • หมั่นตรวจระดับ CD4 และ Viral Load เพื่อประเมินความเสี่ยง

สรุป

ความเชื่อมโยงระหว่าง HIV กับโรคมะเร็ง เป็นเรื่องที่สำคัญและควรให้ความใส่ใจอย่างยิ่ง การที่ภูมิคุ้มกันต่ำจากการติดเชื้อ HIV ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพและป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติม ก็สามารถลดโอกาสเกิดมะเร็งได้มาก และมีชีวิตที่ยืนยาวใกล้เคียงกับคนปกติ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ HIV และมะเร็ง

Q: ผู้ติดเชื้อ HIV ต้องกลัวมะเร็งมากแค่ไหน?
A: ผู้ติดเชื้อ HIV มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดมะเร็ง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการรักษาอย่างถูกต้องและตรวจร่างกายสม่ำเสมอ

Q: มะเร็งชนิดไหนพบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV?
A: Kaposi’s sarcoma, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งทวารหนัก

Q: การรักษามะเร็งในผู้ป่วย HIV แตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่?
A: ไม่ต่างในหลักการ แต่ต้องระวังผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนจากภูมิคุ้มกันต่ำ

Q: การรับวัคซีน HPV และไวรัสตับอักเสบช่วยได้ไหม?
A: ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้ดี โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งตับ

Q: HIV รักษาหายไหม?
A: HIV ยังไม่มียารักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมได้จนระดับไวรัสต่ำมากจนไม่แพร่เชื้อ และมีชีวิตได้ปกติหากรักษาต่อเนื่อง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid Cancer) อาการ การวินิจฉัย และวิธีรักษา

0
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid Cancer)
เกิดขึ้นบริเวณต่อมไทรอยด์ สามารถเกิดได้ทุกเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์

มะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นมะเร็งที่เกิดใน ต่อมไทรอยด์ ซึ่งอยู่บริเวณลำคอด้านหน้า หน้าที่ของต่อมไทรอยด์คือการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ที่ควบคุมอัตราเผาผลาญ พลังงาน และการเจริญเติบโตของร่างกาย เซลล์ของต่อมไทรอยด์ที่เกิดการกลายพันธุ์ อาจนำไปสู่การแบ่งตัวผิดปกติ กลายเป็นเนื้องอก และสุดท้ายพัฒนาเป็นมะเร็ง

สาเหตุของมะเร็งต่อมไทรอยด์

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ เช่น:

  • พันธุกรรมผิดปกติ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโรคในครอบครัว เช่น MEN2

  • เพศหญิง มีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายถึง 3–4 เท่า

  • การสัมผัสรังสีในวัยเด็ก เช่น การฉายรังสีเพื่อรักษาโรคหรือรังสีจากโรงงานนิวเคลียร์

  • อายุ พบมากในผู้หญิงช่วงอายุ 30–60 ปี

  • ขาดไอโอดีน ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งสัมพันธ์กับความผิดปกติของเนื้อเยื่อไทรอยด์

ชนิดของมะเร็งต่อมไทรอยด์

  1. Papillary Thyroid Carcinoma (PTC)

    • พบมากที่สุด ราว 70–80% ของทั้งหมด

    • เติบโตช้า แพร่กระจายผ่านต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง

    • มักตอบสนองดีต่อการรักษา

  2. Follicular Thyroid Carcinoma (FTC)

    • พบประมาณ 10–15%

    • แพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังปอดและกระดูก

  3. Medullary Thyroid Carcinoma (MTC)

    • มาจากเซลล์ C ในไทรอยด์

    • มีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ (MEN2 syndrome)

  4. Anaplastic Thyroid Carcinoma (ATC)

    • พบน้อย แต่รุนแรงสูง

    • เติบโตเร็ว แพร่กระจายไว

    • มักรักษาได้ยาก

อาการของมะเร็งต่อมไทรอยด์

มะเร็งไทรอยด์ในระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการเด่นชัด แต่สามารถสังเกตได้จาก:

  • คลำเจอก้อนบริเวณคอ หน้าไทรอยด์ หรือใต้ลูกกระเดือก

  • เสียงแหบ หรือเปลี่ยนเสียง โดยไม่มีอาการอื่นของคออักเสบ

  • กลืนลำบาก หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรติดในลำคอ

  • ไอเรื้อรัง

  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอโตผิดปกติ

หากอาการเหล่านี้อยู่ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

การวินิจฉัยมะเร็งต่อมไทรอยด์

แพทย์จะเริ่มจาก:

  1. ตรวจร่างกาย คลำก้อนที่คอและต่อมน้ำเหลือง

  2. อัลตราซาวนด์ไทรอยด์ ตรวจหาขนาด รูปร่าง และลักษณะของก้อน

  3. เจาะเซลล์จากก้อน (FNA: Fine Needle Aspiration) ส่งตรวจทางเซลล์วิทยา

  4. ตรวจเลือดหาค่า TSH / FT4 / Tg / Calcitonin

  5. ตรวจภาพรังสีเพิ่มเติม เช่น CT scan, PET scan ในกรณีที่สงสัยว่ามีการแพร่กระจาย

การแบ่งระยะของมะเร็งไทรอยด์

การแบ่งระยะจะช่วยวางแผนการรักษาและพยากรณ์โรค โดยใช้เกณฑ์ TNM Staging System:

กลุ่มผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 55 ปี

  • Stage I: ยังไม่แพร่กระจาย

  • Stage II: มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด

กลุ่มผู้ป่วยอายุมากกว่า 55 ปี

  • Stage I: ก้อน <2 ซม. ไม่แพร่กระจาย

  • Stage II: ก้อน 2–4 ซม.

  • Stage III: ก้อนใหญ่ >4 ซม. หรือมีต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงโต

  • Stage IV: แพร่ไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง หรืออวัยวะอื่น

แนวทางการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์

  1. การผ่าตัด (Surgery)

    • ผ่าตัดต่อมไทรอยด์บางส่วนหรือทั้งหมด

    • ถ้ามีต่อมน้ำเหลืองโต อาจต้องผ่าตัดร่วมด้วย

  2. การให้แร่รังสีไอโอดีน (RAI)

    • ใช้เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลือหลังผ่าตัด

    • ใช้ได้เฉพาะกับมะเร็งชนิดที่จับแร่ไอโอดีน

  3. การให้ไทรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid hormone therapy)

    • ยับยั้งการกระตุ้นจาก TSH และทดแทนฮอร์โมนที่ขาด

  4. การฉายรังสี (External Beam Radiation)

    • ใช้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อ RAI

  5. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

    • สำหรับมะเร็งชนิดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น

  6. Targeted Therapy และ Immunotherapy

    • ใช้สำหรับมะเร็งชนิดดื้อยา

    • ยากลุ่ม TKIs (Tyrosine Kinase Inhibitors) เช่น Sorafenib, Lenvatinib

พยากรณ์โรค

  • มะเร็งชนิด PTC / FTC มีอัตรารอดชีวิต 5 ปีมากกว่า 90%

  • MTC รอดชีวิต 5 ปีประมาณ 75%

  • ATC รอดชีวิตเฉลี่ยไม่เกิน 6–12 เดือน

ปัจจัยที่มีผลต่อพยากรณ์ ได้แก่ ชนิดของเซลล์ อายุผู้ป่วย ขนาดของก้อน และการแพร่กระจาย

การติดตามหลังการรักษา

หลังจากการผ่าตัดและให้แร่ ผู้ป่วยจำเป็นต้อง:

  • ตรวจระดับ Thyroglobulin (Tg) เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ

  • ตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำเป็นระยะ

  • รับยา Thyroxine ต่อเนื่องตลอดชีวิต

  • ตรวจระดับ TSH ให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำเพื่อป้องกันการกระตุ้นเซลล์ที่อาจเหลืออยู่

แนวทางป้องกันและคำแนะนำสำหรับประชาชน

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสรังสีโดยไม่จำเป็น

  2. รับประทานอาหารที่มีไอโอดีนเพียงพอ เช่น เกลือเสริมไอโอดีน

  3. หมั่นสังเกตตนเองเมื่อพบก้อนที่คอหรือเสียงแหบ

  4. ตรวจร่างกายประจำปี โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 30–60 ปี

  5. หากมีประวัติครอบครัว ให้พบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรอง

สรุป

มะเร็งต่อมไทรอยด์ แม้จะเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิง แต่ส่วนใหญ่มีการรักษาที่ได้ผลดี และสามารถหายขาดได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การหมั่นสังเกตร่างกายตนเอง ตรวจสุขภาพประจำปี และไม่ละเลยอาการผิดปกติ เช่น เสียงแหบ กลืนลำบาก หรือก้อนที่คอ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ก้อนที่คอแปลว่ามะเร็งต่อมไทรอยด์เสมอหรือไม่?
A: ไม่เสมอ ก้อนที่คออาจเป็นถุงน้ำ เนื้องอกไม่ร้ายแรง หรือซีสต์ แต่ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม

Q2: มะเร็งต่อมไทรอยด์รักษาหายขาดได้หรือไม่?
A: หากพบในระยะเริ่มต้น และได้รับการผ่าตัดร่วมกับแร่ไอโอดีน มีโอกาสหายขาดสูง โดยเฉพาะในผู้ที่อายุน้อย

Q3: การตรวจเลือด TSH / FT4 สามารถบอกได้ว่ามีมะเร็งไหม?
A: ไม่ได้โดยตรง แต่ช่วยบอกถึงการทำงานของไทรอยด์ การวินิจฉัยจำเป็นต้องอาศัยอัลตราซาวนด์และ FNA

Q4: การรับแร่ไอโอดีนอันตรายหรือไม่?
A: มีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ ปากแห้ง แต่ปลอดภัยเมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

Q5: สามารถป้องกันมะเร็งไทรอยด์ได้ไหม?
A: ไม่มีวิธีป้องกัน 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดยหลีกเลี่ยงรังสี และรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนอย่างเหมาะสม

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Cancer risk. British Journal of Cancer. 2010.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer): สาเหตุ อาการ วินิจฉัย และวิธีรักษาครบถ้วน

0
โรคมะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer)
มะเร็งต่อมน้ำลาย คือ ความผิดปกติของพันธุกรรมแบบไม่ถ่ายทอด เกิดได้กับต่อมน้ำลายทั้งหมด พบในผู้ใหญ่

มะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer) คือโรคมะเร็งที่พบได้น้อย แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในด้านการพูด เคี้ยว และกลืนอาหารอย่างปกติ บทความนี้จะอธิบายตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย ระยะของโรค แนวทางการรักษา ตลอดจนผลข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ควรรู้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจโรคได้ครบถ้วนและนำไปสู่การตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

โครงสร้างของต่อมน้ำลายและหน้าที่

ต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ (Major Salivary Glands)

มีทั้งหมด 3 คู่ได้แก่:

  • ต่อมน้ำลายหน้าหู (Parotid gland): ขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าของหู
  • ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร (Submandibular gland): อยู่ใต้กรามล่าง
  • ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual gland): อยู่ใต้พื้นปาก

ต่อมน้ำลายขนาดเล็ก (Minor Salivary Glands)

  • กระจายอยู่ทั่วเยื่อบุช่องปาก คอหอย และกล่องเสียง
  • ไม่มีท่อนำส่งน้ำลายโดยตรง แต่จะหลั่งออกมาแบบกระจาย

หน้าที่หลัก คือการผลิตน้ำลายเพื่อช่วยย่อยอาหาร หล่อเลี้ยงเยื่อบุช่องปาก และควบคุมสมดุลของแบคทีเรียในช่องปาก

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งต่อมน้ำลาย

แม้สาเหตุที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด แต่นักวิจัยพบว่าปัจจัยเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยง:

  • พันธุกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งไม่ได้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
  • การได้รับรังสี โดยเฉพาะจากการรักษาโรคอื่นมาก่อน
  • ขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน A และ C
  • การสัมผัสสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น สารเคมีจากการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม
  • อายุ มักพบในผู้ที่มีอายุ 50–70 ปี
  • การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง

อาการของมะเร็งต่อมน้ำลาย

อาการของโรคไม่เฉพาะเจาะจงมาก แต่สามารถสังเกตความผิดปกติได้ดังนี้:

  • คลำเจอก้อนบริเวณใบหน้า ใต้ขากรรไกร หรือใต้ลิ้น
  • ปวดบริเวณต่อมน้ำลายหรือก้อนที่พบ
  • หน้าเบี้ยว หรือชา บ่งชี้ว่าเนื้อร้ายอาจลุกลามสู่เส้นประสาท
  • กลืนลำบาก น้ำลายเหนียว พูดไม่ชัด
  • ต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอโตอย่างผิดปกติ

หากมีอาการข้างต้นควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ

การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำลาย

  • ซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยแพทย์หูคอจมูก
  • อัลตราซาวด์/CT Scan/MRI เพื่อประเมินขนาดและตำแหน่งของก้อน
  • การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) หรือการผ่าตัดต่อมน้ำลายออกไปตรวจทางพยาธิวิทยา
  • PET Scan ในกรณีต้องประเมินการแพร่กระจาย

ระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย (Cancer Staging)

ระยะ

ลักษณะอาการ

ระยะที่ 1

ก้อนเนื้อขนาด ≤ 2 ซม. ยังไม่ลุกลาม

ระยะที่ 2

ก้อนเนื้อขนาด 2–4 ซม. ยังไม่ลุกลามต่อมน้ำเหลือง

ระยะที่ 3

ขนาด > 4 ซม. หรือแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง ≤ 3 ซม.

ระยะที่ 4

ลุกลามไปยังกระดูก เส้นประสาท ผิวหนัง หรือต่อมน้ำเหลืองขนาด > 3 ซม.

แนวทางการรักษามะเร็งต่อมน้ำลาย

1. การผ่าตัด (Surgery)

  • วิธีการหลักที่ใช้มากที่สุด
  • พิจารณาผ่าตัดเฉพาะก้อน หรือรวมถึงการตัดต่อมน้ำเหลือง

2. การฉายรังสี (Radiotherapy)

  • ใช้หลังการผ่าตัด หรือในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
  • ผลข้างเคียง: ปากแห้ง กลืนลำบาก ลิ้นชา

3. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)

  • ใช้ในผู้ป่วยที่โรคลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำ
  • มักใช้ร่วมกับการฉายรังสี

4. การรักษาแบบตรงเป้า (Targeted Therapy)

  • อยู่ระหว่างการวิจัย อาจใช้ในมะเร็งบางชนิดที่มีตัวรับพิเศษ

ผลข้างเคียงจากการฉายแสงที่ต่อมน้ำลาย

อาการสำคัญ:

  • น้ำลายแห้ง (Xerostomia)
  • ปวดในช่องปาก
  • เสี่ยงฟันผุสูง
  • พูด กลืน และรับรสลำบาก

วิธีลดผลข้างเคียง:

  • ใช้เทคนิค IMRT (Intensity-Modulated Radiation Therapy)
  • กระตุ้นต่อมน้ำลายด้วยยาหรือวิธีธรรมชาติ
  • ใช้น้ำลายเทียมหรือหมากฝรั่งกระตุ้นน้ำลาย

การพยากรณ์โรค (Prognosis)

  • หากพบในระยะต้น โอกาสรอดชีวิต 5 ปี > 70%
  • มะเร็งชนิด low-grade รักษาง่ายกว่า high-grade
  • การรักษาอย่างต่อเนื่องช่วยควบคุมโรคได้นาน

การดูแลตัวเองและการติดตามผลหลังการรักษา

  • หมั่นตรวจติดตามทุก 3–6 เดือนในช่วง 2 ปีแรก
  • ตรวจร่างกาย CT/MRI ซ้ำตามคำแนะนำแพทย์
  • บำรุงสุขภาพช่องปากอย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 

แนวทางป้องกันโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสรังสีโดยไม่จำเป็น
  • สวมหน้ากากและอุปกรณ์ป้องกันหากทำงานเกี่ยวกับสารเคมี
  • รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะหากพบก้อนผิดปกติในบริเวณใบหน้าและลำคอ

สรุป

มะเร็งต่อมน้ำลาย แม้จะพบได้น้อย แต่ก็มีความรุนแรงโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม การรู้เท่าทันสัญญาณเตือนเบื้องต้น และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก สามารถเพิ่มโอกาสหายขาดได้อย่างมาก การผ่าตัดร่วมกับการฉายรังสีเป็นวิธีรักษาหลัก และหากมีเทคนิคใหม่ๆ เช่น การรักษาแบบตรงเป้าเข้ามาเสริม ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้มากขึ้นในอนาคต

FAQ คำถามที่พบบ่อย

Q1: มะเร็งต่อมน้ำลายพบได้บ่อยแค่ไหน?
A: มะเร็งต่อมน้ำลายจัดว่าเป็นโรคมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อย คิดเป็น <5% ของมะเร็งศีรษะและลำคอทั้งหมด

Q2: มีกลุ่มเสี่ยงใดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ?
A: ผู้มีอายุ >50 ปี ผู้เคยได้รับการฉายรังสีบริเวณศีรษะและคอ ผู้ที่ทำงานกับสารเคมี หรือมีประวัติเกี่ยวกับมะเร็งต่อมน้ำลายในครอบครัว

Q3: ถ้าฉายแสงแล้วน้ำลายแห้ง ควรทำอย่างไร?
A: ดื่มน้ำบ่อยๆ ใช้น้ำลายเทียม เคี้ยวหมากฝรั่งไม่ผสมน้ำตาล และหลีกเลี่ยงอาหารเค็มหรือแห้งจนเกินไป

Q4: มะเร็งต่อมน้ำลายสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่?
A: ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่รักษาไม่ครบวงจร หรือมีมะเร็งชนิด high-grade จำเป็นต้องตรวจติดตามสม่ำเสมอ

Q5: ป้องกันมะเร็งต่อมน้ำลายได้อย่างไร?
A: ยังไม่มีวิธีป้องกัน 100% แต่การเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น รังสี สารเคมี การสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพประจำปีสามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

[/vc_column][/vc_row]

ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มีข้อบ่งชี้วิธีการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอย่างไร

0
ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มีข้อบ่งชี้วิธีการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอย่างไร
อินซูลินเป็นยาชนิดฉีดที่ใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยให้เป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ผ่านการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และที่สำคัญคือการใช้ ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด อย่างเหมาะสม ซึ่งการใช้ยาต้องคำนึงถึงชนิดของโรคเบาหวาน ปริมาณอินซูลินที่ตับอ่อนสร้างได้ และลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละราย

ความสำคัญของยาลดระดับน้ำตาลในเลือด

ยารักษาเบาหวานมีบทบาทในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น โรคไต โรคตา และโรคหัวใจ หากผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • ยารับประทาน (Oral Hypoglycemic Agents) สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2

  • ยาอินซูลินฉีด (Insulin) สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และกรณีรุนแรงของชนิดที่ 2

ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดรับประทาน

1. ยากลุ่มไบกัวไนด์ (Biguanides)

ยา Metformin เป็นตัวแทนสำคัญของกลุ่มนี้ โดยทำหน้าที่ลดการผลิตกลูโคสจากตับ เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินซูลิน และช่วยลดระดับไขมันในเลือดโดยไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

  • ชื่อการค้า: Glucophage, Diamet

  • ข้อดี: ไม่ก่อให้เกิดน้ำตาลต่ำ ช่วยลดน้ำหนักเล็กน้อย ลดระดับไขมัน

  • ผลข้างเคียง: คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มใช้ยา

  • ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะไตเสื่อมรุนแรง หรือโรคหัวใจรุนแรง เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะกรดแลคติก

2. ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas)

กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินออกมา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ตับอ่อนยังมีความสามารถในการผลิตอินซูลิน

  • ตัวอย่างยา:

    • Glibenclamide (Daonil)

    • Gliclazide (Diamicron)

    • Glipizide (Minidiab)

  • ข้อดี: ลดระดับน้ำตาลหลังอาหารได้ดี

  • ผลข้างเคียง: น้ำตาลในเลือดต่ำ (โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ), น้ำหนักเพิ่ม

  • ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไตขั้นรุนแรง

3. ยาต้านแอลฟากลูโคซิเดส (α-Glucosidase Inhibitors)

ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตในลำไส้เล็ก จึงลดระดับน้ำตาลหลังอาหาร

  • ชื่อยา: Acarbose (Glucobay), Voglibose (Basen)

  • ผลข้างเคียง: ท้องอืด ลมในท้อง เรอ ท้องเสีย

  • คำแนะนำ: รับประทานก่อนอาหาร พร้อมคำแนะนำเรื่องการเลือกประเภทอาหารอย่างเหมาะสม

4. ยากลุ่มไทแอโซลิดีนไดโอน (Thiazolidinediones – TZDs)

เพิ่มความไวของอินซูลินที่ตับ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมัน

  • ชื่อยา: Pioglitazone (Actos), Rosiglitazone (Avandia)

  • ข้อดี: ลด HbA1c ได้ดี, เหมาะกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน

  • ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว, เสี่ยงต่อภาวะบวมน้ำ

5. ยากลุ่ม DPP-4 Inhibitors (ยากลุ่มใหม่)

เพิ่มการหลั่งอินซูลินและลดการหลั่งกลูคากอน (ฮอร์โมนที่เพิ่มน้ำตาลในเลือด) ตามระดับน้ำตาล

  • ชื่อยา: Sitagliptin (Januvia), Linagliptin (Trajenta), Saxagliptin

  • ข้อดี: ไม่ทำให้น้ำตาลต่ำ น้ำหนักไม่เพิ่ม

  • เหมาะกับ: ผู้สูงอายุ ผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ

6. ยากลุ่ม SGLT2 Inhibitors

ลดการดูดซึมน้ำตาลที่ไต ช่วยให้ร่างกายขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ

  • ชื่อยา: Dapagliflozin (Forxiga), Empagliflozin (Jardiance)

  • ข้อดี: ลดน้ำตาล ลดน้ำหนัก ลดความดัน และมีประโยชน์ต่อหัวใจ

  • ข้อควรระวัง: ระวังภาวะขาดน้ำ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

การฉีดอินซูลิน (Insulin Therapy)

ข้อบ่งชี้

  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1

  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ด้วยยาเม็ด

  • สตรีมีครรภ์ที่เป็นเบาหวาน

  • ภาวะน้ำตาลสูงฉับพลัน หรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

ชนิดของอินซูลิน

ประเภท ชื่อ ออกฤทธิ์ใน อยู่นาน
Rapid-acting Lispro, Aspart 10–15 นาที 3–5 ชม.
Short-acting Regular insulin 30–60 นาที 5–8 ชม.
Intermediate-acting NPH 2–4 ชม. 18–24 ชม.
Long-acting Glargine, Detemir 1–2 ชม. 24 ชม.

วิธีฉีดอินซูลินที่ถูกต้อง

  • ฉีดใต้ผิวหนัง (Subcutaneous)

  • บริเวณที่แนะนำ: หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา

  • ล้างมือก่อนฉีดยา ใช้สำลีแอลกอฮอล์เช็ดผิว

  • หมุนยา (ไม่เขย่าแรง) ก่อนดูด

  • เปลี่ยนจุดฉีดทุกครั้ง เพื่อป้องกันก้อนใต้ผิวหนัง

อาการข้างเคียงของยา

กลุ่มยา ผลข้างเคียงหลัก
Biguanides คลื่นไส้ ท้องเสีย
Sulfonylureas น้ำตาลต่ำ น้ำหนักเพิ่ม
α-Glucosidase Inhibitors ท้องอืด เรอ
TZDs บวมน้ำ น้ำหนักเพิ่ม
SGLT2i ปัสสาวะบ่อย ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
อินซูลิน น้ำตาลต่ำ บวมบริเวณฉีด

แนวทางเลือกยาให้เหมาะกับผู้ป่วย

สภาวะผู้ป่วย กลุ่มยาที่เหมาะสม
น้ำหนักเกิน Metformin, SGLT2i, GLP-1 RA
ผู้สูงอายุ DPP-4i, insulin basal
โรคหัวใจร่วม SGLT2i, GLP-1 RA
มีโรคไต ปรับขนาดยา, หลีกเลี่ยงบางกลุ่ม
ตั้งครรภ์ ใช้เฉพาะ อินซูลินเท่านั้น

การเก็บรักษาอินซูลิน

  • อินซูลินที่ยังไม่เปิด: แช่เย็น (2–8°C)

  • อินซูลินที่เปิดใช้แล้ว: เก็บอุณหภูมิห้องได้ 28–30 วัน

  • หลีกเลี่ยง: แสงแดดจัด ช่องแช่แข็ง

สรุป

การใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ถูกต้อง ไม่เพียงช่วยควบคุมอาการเบาหวาน แต่ยังลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา ไตวาย หรือโรคหัวใจ ควรมีการปรับยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และอย่าลืมดูแลด้านอาหาร การออกกำลังกาย และสุขภาพจิตร่วมด้วยเพื่อการควบคุมโรคที่ดีที่สุด

FAQ (คำถามที่พบบ่อย)

Q1: ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือดมีกี่กลุ่ม และต่างกันอย่างไร?
A: ยารับประทานแบ่งได้หลักๆ เป็น 6 กลุ่ม เช่น Metformin, Sulfonylureas, DPP-4 inhibitors, SGLT2 inhibitors โดยแต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์ต่างกัน เช่น เพิ่มอินซูลิน, ลดการดูดซึมน้ำตาล หรือช่วยขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ

Q2: อินซูลินจำเป็นเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ใช่หรือไม่?
A: ไม่จำเป็นเสมอไป อินซูลินสามารถใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลด้วยยาเม็ดหรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

Q3: อินซูลินควรฉีดตรงไหนของร่างกายถึงดีที่สุด?
A: ฉีดใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน หรือหน้าขา โดยหมุนเปลี่ยนจุดฉีดเป็นประจำเพื่อป้องกันก้อนแข็งใต้ผิวหนัง

Q4: มียากลุ่มไหนที่ช่วยลดน้ำหนักพร้อมควบคุมน้ำตาลในเลือดหรือไม่?
A: มียากลุ่ม SGLT2 inhibitors และ GLP-1 receptor agonists ที่ช่วยควบคุมน้ำตาลและยังมีผลลดน้ำหนัก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนร่วมด้วย

Q5: ต้องควบคุมอาหารร่วมกับการใช้ยาหรือไม่?
A: ต้องควบคุมอาหารเสมอ โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และไขมัน แม้จะได้รับยารักษาเบาหวาน เพราะพฤติกรรมการกินส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการควบคุมระดับน้ำตาล

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.

Hutton B, McGill S. “Home telehealth for diabetes management: a systematic review and meta-analysis”. Diabetes Obes Metab 11 (10): 913–30.

[/vc_column][/vc_row]

เบาหวานลงไต คืออะไร? รู้จัก Diabetic Kidney Disease (DKD) 5 ระยะ + แนวทางรักษา

0
โรคเบาหวานลงไตคืออะไร (Diabetic Kidney Disease, DKD)
ไตทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ คอยควบคุมระดับเกลือแร่ต่างๆ ให้เป็นปกติ

เบาหวานลงไต (Diabetic Kidney Disease; DKD) หรือเรียกว่า diabetic nephropathy เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อการทำงานของไต โดยมักจะเริ่มต้นจาก การกรองเลือดเกินปกติ (hyperfiltration) และมีปริมาณโปรตีนรั่วในปัสสาวะ โดยหากวางใจไม่ตรวจหรือควบคุมระดับน้ำตาลให้เข้มงวดดีเพียงพอ ก็อาจนำไปสู่ภาวะ ไตวายเรื้อรัง (end-stage renal disease; ESRD) ที่ต้องล้างไตหรือปลูกถ่ายไตในที่สุด

สาเหตุของเบาหวานลงไต

  1. น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง
    น้ำตาล (glucose) ที่สูงสะสมในเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดขนาดเล็ก (microvasculature) ในไตค่อยๆ เสื่อม จนการกรองการทำงานของไตผิดปกติ

  2. ความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
    ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมความดันไม่ดี ยิ่งเร่งกระบวนการเสื่อมของไต

  3. พันธุกรรมและเชื้อชาติ
    มีงานวิจัยระบุว่า กลุ่มเชื้อชาติ เช่น แอฟริกัน-อเมริกัน มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิด DKD

ระยะการเกิดโรคเบาหวานลงไต 5 ระยะ

อ้างอิงจากงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ (เช่น PubMed, NCBI) พบว่า DKD แบ่งได้เป็น 5 ระยะ:

  1. ระยะที่ 1 – Hyperfiltration และ Hypertrophy

    • เริ่มตั้งแต่เป็นเบาหวาน

    • ไตกังวลเลือดเร็วขึ้น (GFR สูงเกินปกติ) และขนาดไตใหญ่ขึ้น

    • ยังไม่มีอาการหรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ

  2. ระยะที่ 2 – Silent Morphologic Lesions

    • ผ่านไปหลายปีหลังเริ่มเป็น

    • มีความผิดปกติทางเนื้อเยื่อ แต่ยังไม่มีโปรตีนรั่วหรือแสดงอาการ

  3. ระยะที่ 3 – Microalbuminuria

    • หลังเป็นเบาหวาน 10–15 ปี

    • ตรวจพบโปรตีน (เฉพาะ microalbumin) ในปัสสาวะ

    • ความดันเริ่มสูงขึ้น แต่ GFR ยังปกติ

  4. ระยะที่ 4 – Macroalbuminuria & Declining GFR

    • ปัสสาวะมีโปรตีนเยอะ (มัก >0.5 g/day)

    • ไตเริ่มเสื่อม GFR ลดลง

    • เกิดอาการ เช่น ซีด คลื่นไส้ เหนื่อยง่าย

  5. ระยะที่ 5 – ESRD (End-Stage Renal Disease)

    • ไตกำลังวายเฉียบพลัน

    • ต้องฟอกเลือดหรือล้างไต (peritoneal or hemodialysis)

    • หากไม่รักษาอาจเสียชีวิตได้

วิธีวินิจฉัย DKD

  • ตรวจปัสสาวะ Albumin-Creatinine Ratio (ACR): เมื่อ >30 mg/g ถือว่ามี microalbuminuria (ระยะ 3)

  • ตรวจเลือด Serum Creatinine + eGFR เพื่อประเมินค่าการกรองของไต

  • ตรวจความดันโลหิต, ตรวจไขมัน (LDL, HDL, TG), ตรวจน้ำตาล (A1C)

  • หากขั้น 3–4 ควรส่งต่อพบผู้เชี่ยวชาญด้านไต (nephrologist)

แนวทางป้องกันและรักษา

  1. ควบคุมระดับน้ำตาล (Glycemic Control)

    • ตั้งเป้า HbA1C อยู่ระหว่าง 6.5–7% (แต่ปรับตามอายุ-สุขภาพ)

    • ใช้ยาเบาหวานประเภท metformin, SGLT2 inhibitors (เช่น empagliflozin, dapagliflozin), GLP‑1 agonists (เช่น semaglutide – Ozempic)

  2. ควบคุมความดันโลหิต (Blood Pressure)

    • เป้าหมาย <130/80 mmHg

    • ใช้ยากลุ่ม ACE inhibitors หรือ ARBs เช่น enalapril, losartan

  3. ควบคุมไขมันในเลือด (Lipid Management)

    • ใช้ statins ลด LDL และวิตามิน D, กรดไขมันโอเมกา‑3

    • ชะลอการเสื่อมของไตและลดความเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ

  4. จำกัดโซเดียม & โปรตีน

    • โซเดียม <2,000 mg/วัน (ตาม KDIGO)

    • โปรตีน ~0.6 g/kg/day ในระยะไตเสื่อม

  5. ดำเนินวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ

    • ลดน้ำหนัก (หากอ้วน), ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, งดบุหรี่, ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  6. ตรวจติดตามสม่ำเสมอ

    • ตรวจ ACR + eGFR อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

    • เพิ่มความถี่หากมีโปรตีนรั่ว, ความดันสูง หรืออยู่ในระยะ 3–4

  7. เตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ

    • ถ้าภาวะไตใกล้วาย (<30 mL/min/1.73 m²) ต้องเตรียมตัววางแผนฟอกเลือดหรือปลูกถ่ายไต

ยาและนวัตกรรมล่าสุดป้องกัน DKD

  • SGLT2 inhibitors: ลด progression ของ CKD >30%, ลด Albuminuria และลดอัตราการเสียชีวิตจากหัวใจ

  • GLP‑1 receptor agonists (เช่น Ozempic/semaglutide): ลดความเสี่ยง ESRD ด้านหัวใจ & ไต 24%

  • ACE inhibitors / ARBs: หยุดการลุกลามของโปรตีนรั่ว

  • ยาอื่นๆ: Mineralocorticoid receptor antagonists, กรดไข่ปลาโอเมกา‑3 และยาลดฟอสฟอรัสในไตเสื่อม

แนวโน้มระยะยาว & พยากรณ์โรค

  • ราว 20–40% ของผู้ป่วยเบาหวานจะพัฒนาเป็น microalbuminuria ภายใน 10–15 ปี

  • SGLT2 inhibitors และ GLP‑1 agonists ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายและชะลอ DKD ได้ชัดเจน

  • การตรวจเจอเร็ว + การดูแลรักษาอย่างเข้มงวดสามารถลดความจำเป็นล้างไตและการผ่าตัดปลูกไตได้มาก

สรุป

  • เบาหวานลงไต (DKD) เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับความดันโลหิตสูงที่ทำลายระบบกรองเลือดของไตในระยะยาว

  • จำแนกระยะได้เป็น 5 ระยะ ตั้งแต่ไตกังวลเลือดเกิน → ไตเสื่อม → ไตวายระยะสุดท้าย

  • การตรวจวินิจฉัย ใช้ Urine ACR และ eGFR เป็นหลัก ร่วมกับตรวจความดันและระดับน้ำตาลในเลือด

  • แนวทางป้องกันและรักษา: ควบคุม น้ำตาล, ความดัน, โซเดียม, โปรตีน, ใช้ยา SGLT2 inhibitors, GLP‑1 agonists, และ ตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ

  • ยารักษาสมัยใหม่ เช่น SGLT2i, GLP‑1i, ACE inhibitors ช่วยลดการเสื่อมของไต ชะลอการเข้าสู่ภาวะไตวาย

  • หากตรวจเจอเร็ว และมีการปรับพฤติกรรม + รับการรักษาอย่างจริงจัง จะสามารถชะลอความเสื่อมของไต ยืดเวลาการล้างไตออกไปได้ หรือในบางรายอาจหลีกเลี่ยงการล้างไตได้เลย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: เบาหวานลงไตกับไตวายเฉียบพลันต่างกันอย่างไร?
A: DKD เกิดจากเบาหวานสะสมร้ายแรงเป็นเวลาหลายปี จนไตเสื่อมเป็นเรื้อรัง (chronic). ส่วนไตวายเฉียบพลันมักเกิดจากเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอหรือพิษจากยา ซึ่งอาจกลับมาทำงานปกติได้หากแก้ไขทัน

Q2: สามารถหายจากเบาหวานลงไตได้หรือไม่?
A: เบื้องต้นหากรักษาเร็วในระยะ 1–3 และควบคุมระดับน้ำตาล–ความดันดี แม้ยังไม่หาย 100% แต่สามารถ ชะลอไม่ให้แย่ลง ได้มาก หากเข้าสู่ระยะ 4–5 อาจเข้าสู่ภาวะต้องล้างไตหรือปลูกถ่าย

Q3: ตรวจอะไรบ้างเพื่อวินิจฉัยเบาหวานลงไต?
A: ตรวจ urine ACR (microalbuminuria), ตรวจเลือด Creatinine + eGFR, ตรวจความดัน–ไขมัน, ตรวจน้ำตาล (HbA1C)

Q4: ยา SGLT2 และ GLP‑1 มีบทบาทอย่างไร?
A: SGLT2i ช่วยลด proteinuria, เพิ่ม natriuresis และลด progression ของ DKD ได้
GLP‑1 agonists เช่น semaglutide (Ozempic) ลดความเสี่ยง ESRD และเหตุการณ์หัวใจ-ไต ลดลง ~24%

Q5: ควรตรวจติดตามโรคนี้บ่อยแค่ไหน?
A: ระยะปกติ—ตรวจ ACR + eGFR ปีละครั้ง
หากมีโปรตีนรั่วหรือความดันสูง—ควรตรวจ 2–4 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะช่วงแรกพบ DKD

Q6: ระวังอะไรหากต้องล้างไต?
A: ต้องรักษาความดันดี, ควบคุมเกลือ–โซเดียม–โปรตีน, ป้องกันการติดเชื้อ และเตรียมใจเรื่องการทำ Hemodialysis หรือ Peritoneal Dialysis ร่วมกับทีม Nephrology

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน, 2531.

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Dr.Per Grinsted (2005-03-02). “Kidney failure (renal failure with uremia, or azotaemia)”. 2009-05-26.

[/vc_column][/vc_row]

เบาหวานขณะตั้งครรภ์: ความเสี่ยง วิธีป้องกัน และการดูแล

0
เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เป็นภาวะที่หญิงตั้งครรภ์มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ มักเกิดขึ้นทุกช่วงระยะของการตั้งครรภ์

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus, GDM) เป็นภาวะที่ผู้หญิงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งจากการเป็นเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ หรือเกิดขึ้นเฉพาะช่วงนั้น ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และลูกในครรภ์ได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง

1. ทำความเข้าใจ GDM: มาจากไหนอย่างไร?

  • ผู้ป่วยเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว – ได้แก่ผู้ที่เป็น Type 1 หรือ Type 2 และยังควบคุมได้ไม่ดี

  • เบาหวานเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ – เกิดเมื่อฮอร์โมนจากรกไปขัดขวางอินซูลิน ส่งผลให้การนำกลูโคสเข้าร่างกายไม่เพียงพอ

2. ทำไมต้องคัดกรองในช่วง 24–28 สัปดาห์?

เมื่อครรภ์เข้าสัปดาห์ที่ 24–28 ร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนต้านอินซูลิน ทำให้มีโอกาสเป็นเบาหวานเฉพาะช่วงนี้สูง

วิธีทดสอบแบบ OGTT:

  1. ดื่มน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม

  2. ตรวจน้ำตาลเลือดผ่าน 1 ชั่วโมง

  3. ถ้าระดับ ≥ 140 มก./ดล → ต้องวินิจฉัยเพิ่มเติม

หากตรวจยืนยันว่าเป็น GDM แพทย์จะติดตามอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การตั้งครรภ์จนคลอด

3. ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เสี่ยงเข้าใกล้ GDM

  1. อายุแม่กว่า 30 ปี

  2. ประวัติครอบครัวมีเบาหวาน

  3. น้ำหนักเกินหรืออ้วน

  4. ปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์มาก่อน เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักมาก

  5. โรคความดันสูง

  6. การติดเชื้อซ้ำบ่อย

  7. ประวัติโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ก่อนหน้า

4. ยังไงเป็น GDM ส่งผลร้ายต่อตัวแม่-ลูกอย่างไร?

4.1 ผลต่อคุณแม่

  • น้ำตาลในเลือดแปรปรวน ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน เช่น hypoglycemia หรือ ketoacidosis

  • ไต ตา หลอดเลือด ปลายประสาท เสี่ยงถูกทำลายรุนแรง

  • ความดันโลหิตสูง หรือ preeclampsia

  • ติดเชื้อง่าย โดยเฉพาะทางเดินปัสสาวะและผิวหนัง

4.2 ผลต่อลูก in utero

  • ตัวโตน้ำหนักเกิน → เสี่ยงคลอดยาก หรือจำเป็นต้องผ่าคลอด

  • เสี่ยง คลอดก่อนกำหนด

  • เกิดปัญหา น้ำตาลเลือดต่ำหลังคลอด

  • มีโอกาสเป็น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

  • เสี่ยง ตัวเหลือง (Jaundice) หรือ กรดเลือดสูง (acidosis)

  • โอกาสพิการแต่กำเนิด เช่น spina bifida หรือ កុមារស្លាកចិត្ត

5. ใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์?

หากมีเงื่อนไขเหล่านี้ ควรได้รับคำปรึกษาอย่างละเอียดก่อน:

  • โรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรง

  • การเสื่อมของไต

  • เบาหวานขึ้นจอประสาทตาอย่างรุนแรง

  • ความดันสูงอย่างควบคุมไม่ได้ (>140/90)

  • ปัญหาอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง หรือหิวไม่หยุด

6. การเตรียมก่อนไข่ตก – “Pre-pregnancy planning”

  1. ระดับน้ำตาลก่อนตั้งครรภ์ต้องใกล้เคียงปกติ

  2. ควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสม

  3. ตรวจสุขภาพรักษาครบทุกระบบ เช่น ตา ไต หัวใจ

  4. วางทีมสุขภาพ – รวมสูตินรีแพทย์, นักโภชนาการ, พยาบาล, ทีมเบาหวานเด็กในกรณีต้องการ

  5. วางแผนการรักษาแบบมีขั้นตอน กำหนดช่วงหยุดยาบางชนิดหรือปรับเปลี่ยนสูตรยา

  6. ให้ความรู้การตั้งครรภ์ – อาการอันตราย วิธีวัดน้ำตาล วิธีดีท็อกซ์

7. การจัดการโรคระหว่างตั้งครรภ์

7.1 วิธีควบคุมระดับน้ำตาล

  • โภชนาการ: ลดคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ทานโปรตีนคุณภาพสูง และไฟเบอร์

  • ตรวจน้ำตาล: ทั้ง fasting และ postprandial

  • ยา: ส่วนใหญ่ใช้ อินซูลิน เท่านั้น — ไม่ควรใช้ยาเม็ดอย่างเช่น metformin โดยไม่ปรึกษาแพทย์

7.2 การติดตามผล

  • นัดแพทย์ทุก 2–4 สัปดาห์

  • ตรวจการเจริญเติบโตของทารกผ่านอัลตราซาวด์

  • วัดน้ำหนักและความดันเลือดแม่

  • ตรวจหาภาวะแทรกซ้อนทางไต ตา ระบบประสาท

8. การคลอดและหลังคลอด

8.1 เตรียมคลอดให้ปลอดภัย

  • ประเมินการเติบโตของทารก

  • กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการคลอด หรือผ่าตัด

  • เตรียมทีมดูแลทารกทันทีก่อนและหลังคลอด

8.2 ภายหลังคลอด

  • ตรวจน้ำตาลแม่ 6–12 สัปดาห์หลังคลอดเพื่อยืนยันการหาย

  • พยาบาลแนะนำโภชนาการที่เหมาะสม

  • ให้คำแนะนำเรื่องการให้นมแม่หากสภาวะเอื้อต่อการให้นม

  • ติดตามอาการ และส่งต่อไปยังแพทย์โรคเบาหวานหากจำเป็น

9. ช่วงชีวิตหลังตั้งครรภ์

  • GDM เพิ่มโอกาสเกิด Type 2 Diabetes ในอนาคต

  • ควรตรวจน้ำตาลปีละครั้งจนกว่าจะอายุ 50

  • ควบคุมน้ำหนัก พฤติกรรม และอาหารให้สมดุล

  • กระตุ้นให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

10. ตัวอย่างแผนสุขภาพ “Ideal GDM Care”

ช่วง สิ่งที่ควรทำ
ก่อนตั้งครรภ์ ควบคุมน้ำตาล, ตรวจสุขภาพ, วางแผนตั้งครรภ์
24–28 สัปดาห์ ตรวจ OGTT, วางแผนการดูแลร่วมกับแพทย์
ประจำเดือนขณะตั้งครรภ์ ควบคุมอาหาร, วัดน้ำตาลทุกวัน, ตรวจอัลตราซาวด์
คลอด & หลังคลอด ตรวจน้ำตาลแม่ & ลูก, ให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการ
ปีแรกหลังคลอด ตรวจน้ำตาลปีละ 1 ครั้ง, ติดตามสุขภาพและโภชนาการ

สรุป

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองอย่างแผนการ แต่หากตรวจพบและจัดการอย่างเหมาะสม แม้การตั้งครรภ์จะต้องเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง ก็สามารถคลอดลูกได้โดยปกติ และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

Q1: เบาหวานขณะตั้งครรภ์ รักษาหายได้หรือไม่?
A: GDM สามารถกลับสู่ภาวะปกติหลังคลอดได้ แต่หากก่อนตั้งครรภ์มีเบาหวานชนิดอื่นควรติดตามต่อเนื่อง

Q2: ถ้าเป็นเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ คุมได้น้ำตาลในเกณฑ์แล้ว ยังเสี่ยง GDM ไหม?
A: ยังคงมีความเสี่ยง เพราะฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์อาจกระทบอินซูลินได้ แนะนำให้ตรวจช่วง 24–28 สัปดาห์ทุกครั้ง

Q3: อาหารแบบไหนควรเลี่ยงตอนตั้งครรภ์ถ้าเป็น GDM?
A: หลีกเลี่ยงของหวาน ผลไม้รสหวานจัด เครื่องดื่มน้ำตาล และเค้กขนมอบที่มีน้ำตาลสูง

Q4: ถ้าน้ำตาลสูงตอนคลอด แปลว่าเป็นเบาหวานตลอดชีวิตหรือไม่?
A: ยังไม่เสมอไป แต่มีความเสี่ยงสูง จึงควรติดตาม ระดับน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง

Q5: ทารกที่แม่เป็น GDM เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตไหม?
A: เสี่ยงสูงขึ้น แต่สุขภาพดีหลังคลอด ช่วยลดโอกาสโรคเบาหวานในอนาคตได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ: บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

[/vc_column][/vc_row]

การออกกำลังกายที่เหมาะกับคนเป็นเบาหวาน: วิธีดูแลน้ำตาลอย่างยั่งยืน

0
เป็นเบาหวานควรออกกำลังกายอย่างไรดี
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้

โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) คือภาวะที่ร่างกายมีปัญหาในการควบคุมน้ำตาลในเลือด อาจเพราะขาดอินซูลิน (Type 1) หรือร่างกายดื้อต่ออินซูลิน (Type 2) ซึ่งกิจกรรมทางกาย เช่น การออกกำลังกาย มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงระดับน้ำตาล ลดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยเบาหวาน

ทำไมการออกกำลังกายถึงสำคัญ?

  1. ลดระดับน้ำตาลได้โดยตรง– กล้ามเนื้อใช้กลูโคสระหว่างออกกำลังกาย จึงช่วยลดน้ำตาลเลือดได้

  2. เพิ่มความไวต่ออินซูลิน– การออกกำลังกายกระตุ้นตัวรับอินซูลินที่กล้ามเนื้อ

  3. ลดไขมันและความดัน– ลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

  4. ควบคุมน้ำหนัก– ลดภาระที่ร่างกายต้องพยายามควบคุมน้ำตาล

  5. ดูแลสุขภาพจิต– ลดความเครียดซึ่งช่วยควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น

ชนิดการออกกำลังกายที่เหมาะกับเบาหวาน

ประเภท คำอธิบาย ข้อแนะนำ
แอโรบิก (Aerobic) เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ช่วยใช้น้ำตาลได้ดี 150 นาที/สัปดาห์
ฝึกความแข็งแรง (Resistance) ดัมเบล, ยางยืด, สควอทช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ 2–3 ครั้ง/สัปดาห์
ยืดเหยียด (Stretching) โยคะ พิลาทิส ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด & ลดอาการเท้าชา ทุกวันหลังออกกำลังกาย
กิจกรรมชีวิตประจำวัน ทำสวน เดินขึ้น–ลงบันได ช่วยการเผาผลาญ ห่างกันนาน 30 นาทีควรขยับแล้ว

ช่วงเวลาแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  • ช่วงเย็น (15.00–17.00 น.) ร่างกายไม่ร้อนเกินไป และยังไม่กระทบไข่พลังงานมาก

  • ก่อนออกกำลังกาย ทานอาหารว่าง: ขนมปังโฮลวีต + เนยถั่ว

  • ผู้ใช้ยา/อินซูลิน ต้องวัดน้ำตาลก่อน–หลังออกกำลังกาย เริ่มต้นที่ช่วงสั้น ๆ (10–20 นาที) แล้วค่อยเพิ่ม

ก่อนเริ่ม– ต้องเช็คอะไรบ้าง?

  1. ปรึกษาแพทย์/นักกายภาพบำบัด : ตรวจการเต้นหัวใจ ความดัน และสุขภาพเท้า

  2. วัดน้ำตาลก่อนออกกำลังกาย เพื่อความปลอดภัย

  3. ตั้งเป้าหมาย SMART: สไตล์ (Specific) เช่น เดินเร็ว 30 นาที, วัดผลซ้ำ, ปรับยืดหยุ่น

  4. มีอาหารว่าง + น้ำเพียงพอ ติดตัวเสมอ และใส่เสื้อผ้า/รองเท้าที่ดูดซับเหงื่อได้ดี

ตารางออกกำลังกายตัวอย่าง 12 สัปดาห์

สัปดาห์ แอโรบิก (ครั้ง/สัปดาห์) แรงต้าน (ครั้ง/สัปดาห์)
1–2 เดินเร็ว 2 ครั้ง / สัปดาห์ Body weight 2 ครั้ง
3–4 เดินเร็ว 3 ครั้ง เพิ่ม 1 ครั้ง
5–8 วิ่งเบา 2, เดินเร็ว 1 เพิ่ม ดัมเบลเบา
9–12 วิ่ง 3 ครั้ง เพิ่มดัมเบล–ขยับ reps

เกณฑ์ความเข้มข้น – RATE OF PERCEIVED EXERTION (RPE)

  • ระดับ 3–4/10 (เล็กน้อยถึงเริ่มหนัก) สำหรับผู้เริ่มต้น

  • เซ็นเซอร์ร่างกาย: หัวใจเต้นเล็กน้อย เหงื่อเล็ด แต่คุยได้ไม่ติดขัด

  • ฝึกความแข็งแรง: กล้ามเนื้อเหนื่อยแต่ยังควบคุมท่าทางได้

เมื่อไรควรหยุดออกกำลังกาย?

  • รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

  • หายใจลำบากมาก เหงื่อเยอะคลื่นไส้

  • อาการเท้าบวม รู้สึกชา สิ้นสุดสภาพ

  • น้ำตาลต่ำกว่า 70 หรือสูงเกิน 300 mg/dL

  • กังวลใจเรื่องหิวน้ำหรือการตื่นไม่ทัน

ประโยชน์ถี่ ๆ ของการออกกำลังกาย

  1. ลดน้ำตาล เฉลี่ย 6–12 mg/dL หลัง 12–16 สัปดาห์

  2. ลด LDL ไขมันที่ไม่ดี / เพิ่ม HDL

  3. ลดความดันโลหิต 5–8 mmHg

  4. ป้องกันการเสื่อมของเส้นเลือดหัวใจและสมอง

  5. ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ ลดอาการชาชา

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง

  • หลีกเลี่ยงการยืน/เดินเดินนานโดยไม่พัก

  • ห้ามยกน้ำหนักหนัก หรือกระโดดแรง ๆ

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนจัด

  • หลีกเลี่ยงอาหาร–ของหวานก่อนวางแผนออกกำลังกาย

ปัญหาที่อาจเจอและแนวทางแก้ไข

  • น้ำตาลต่ำระหว่างออกกำลังกาย: เตรียมขนม/นมหรือเจลกลูโคส

  • เท้าบาดเจ็บ: ใส่รองเท้าดี พร้อมถุงเท้าชนิดคุณภาพ

  • ฝึกพิเศษ: ผู้สูงวัย เบาหวานรุนแรง หัวใจมีโรคเสี่ยงควรมี professional trainer

  • โมเมนตัมตกปุ๊ป: ใช้ buddy หรือ playlist, book class ช่วยกระตุ้น

บทสัมภาษณ์กรณีตัวอย่าง:

  • คุณสมศรี เริ่มต้นใส่รองเท้าเดิน, ชมรมเดินเบาหวานในหมู่บ้าน ผลลัพธ์:

    “จากน้ำตาล 180 ตอนเช้า เหลือ 140 ภายใน 3 เดือน ไม่ได้เปลี่ยนยาเลย”

  • คุณมนตรี ผสานโยคะสัปดาห์ละ 2 ครั้งร่วมกับวิ่งเบา:

    “ไม่เครียด ผ่อนคลาย คลื่นไส้น้อยลง หลังอาหารดีขึ้นมาก”

วิธีเพิ่มผลลัพธ์ทีละขั้น:

  1. วัด A1C ทุก 3 เดือน

  2. บันทึกอัตราการเต้นหัวใจ

  3. ถ่ายภาพ progress — น้ำหนัก/รอบเอว

  4. ติดตามอารมณ์ – เครียดน้อยลง ระดับความเครียดสะท้อนภายใน

  5. ปรึกษาแพทย์ทันที เมื่อมีอาการผิดปกติ

สรุป: การออกกำลังกาย = การลงทุนเพื่อชีวิต

  • เหมาะกับทุกประเภทเบาหวาน

  • ลดน้ำตาล–ไขมัน–ความดันระดับปานกลางได้จริง

  • ป้องกัน & ชะลอภาวะแทรกซ้อน

  • ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจ

  • ทำให้ชีวิตปกติ ก็สนุกกับทุกกิจกรรม

คำเตือน: ควรขออนุญาตจากแพทย์ก่อนเริ่ม และปฏิบัติตามอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ อย่างสม่ำเสมอ

FAQ

Q1: เบาหวานควรออกกำลังกายทุกวันไหม?
A: ถ้าไม่พร้อม ทำสัปดาห์ละ 3 วันก็ได้ เมื่อคุ้นชินและควบคุมน้ำตาลดีแล้ว ค่อยเพิ่มเป็น 5 วัน

Q2: เด็กเป็นเบาหวานแล้วควรออกกำลังกายอายุเท่าไร?
A: เริ่มได้เมื่อแพทย์อนุญาต ปกติเริ่มง่าย ๆ เช่น เดิน กระโดดเชือก ปรับตาม อายุและภาวะ

Q3: ลุกขึ้นเดินตอนกลางคืนดีไหม?
A: หากน้ำตาลอยู่ช่วงปลอดภัยและไม่หลับในรถเดินช้า ๆ ก็ช่วยได้ แต่ควรเปิดไฟสว่าง

Q4: ถ้าเท้าชาปลายไม่ควรทำแอโรบิก?
A: ไม่ใช่ทุกกรณี แต่ควรหลีกเลี่ยงวิ่งหรือกระแทก แนะนำว่ายน้ำ โยคะ หรือเดินเบา ๆ

Q5: เคยออกกำลังกายหนักแล้วไหม้ น้ำตาลต่ำ = ไขว้?
A: ควรตรวจเลือดก่อน และมีอาหารว่างรอบเตรียม ออกนาน ๆ ต้องพักก่อนเพิ่ม intensity

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ: บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

[/vc_column][/vc_row]

อาการและภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวาน – รู้ทัน ป้องกัน ได้ชีวิตที่ดี

0
ผู้ป่วยเบาหวานมีอาการอย่างไร
ผู้ป่วยเบาหวานจะจะหิวบ่อยและกระหายน้ำ

โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1), ชนิดที่ 2 (Type 2) และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes) แม้ในช่วงแรกอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่หากไม่ดูแลอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ซับซ้อนและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

ในบทความนี้ เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับ:

  • อาการเบื้องต้นที่ผู้ป่วยมักรู้สึกเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนแต่ละชนิด

  • วิธีดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการ

  • แนวทางป้องกันและควบคุม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น

1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

สาเหตุที่พบบ่อย

  • การฉีดอินซูลินหรือรับประทานยาลดน้ำตาลที่มากเกินไป

  • ออกกำลังกายโดยไม่ทานอาหารรองท้อง

  • กินอาหารน้อยหรือผิดเวลาที่กำหนด

อาการแสดง

  • เหงื่อออก ตัวเย็น มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว

  • เวียนหัว มึนงง มึนศีรษะ

  • ปากชาหรือปลายนิ้วชาผิดปกติ

  • ตาพร่ามัว พูดไม่ชัด หรือเกิดอาการชัก / หมดสติ

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น

  1. รับประทานน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรืออาหารว่างมีน้ำตาล เช่น ขนมปังทาแยม

  2. นั่งหรือนอนพักจนระดับน้ำตาลกลับปกติ (10–15 นาที)

  3. หลังอาการดีขึ้น ควรทานอาหารมื้อหลักหรือของว่างตามมาตรฐาน

วิธีป้องกัน

  • ปฏิบัติตามแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องยา อาหาร และกิจกรรม

  • ตรวจระดับน้ำตาลก่อน–หลังออกกำลังกาย

  • เตรียมของว่างหรือขนมเล็ก ๆ ติดตัวเสมอ

  • ใส่บัตรผู้ป่วยเบาหวาน และแจ้งคนใกล้ชิดวิธีช่วยกรณีฉุกเฉิน

2. ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Postural Hypotension)

สาเหตุที่เกี่ยวข้อง

  • ร่างกายปรับความดันไม่ทันเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ

  • การใช้ยาที่อาจลดความดันโลหิต เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาเบาหวานบางชนิด

อาการ

  • เวียนศีรษะ หน้ามืดเมื่อลุกจากที่นอนหรือยืน

  • อาจสูญเสียการทรงตัวหรือเป็นลม

วิธีป้องกันและดูแล

  • เปลี่ยนท่านั่ง–ยืนช้า ๆ

  • หลีกเลี่ยงการใช้งานยาที่ลดความดันโดยไม่จำเป็น

  • ปรับท่านอนโดยยกหัวเตียงประมาณ 30–45°

  • หากจำเป็น อาจใช้ยาเฉพาะตามคำปรึกษาแพทย์

3. ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Pseudomotor Dysfunction)

สาเหตุ

โรคเบาหวานอาจทำลายเส้นประสาทอัตโนมัติ ส่งผลต่อการควบคุมเหงื่อ

อาการ

  • เหงื่อออกมากผิดปกติทั้งใบหน้า ลำตัว และแขน

  • ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้

วิธีดูแล

  • หลีกเลี่ยงบริเวณร้อนหรืออากาศไม่ถ่ายเท

  • สวมเสื้อผ้าระบายอากาศ หลีกเลี่ยงการร้อนเกิน

4. ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในชาย (Impotence)

สาเหตุร่วม

  • เบาหวานทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาท

  • ปัจจัยอื่นร่วม เช่น ความเครียด ความดันสูง และสูบบุหรี่

อาการ

  • อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเพียงพอต่อการร่วมเพศ

วิธีดูแล

  • ปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยา (ไวอากร้า, ยาฉีด Cavergject)

  • หรือใช้เครื่องช่วยทางการแพทย์จากแพทย์

  • หลีกเลี่ยงบุหรี่ และดูแลสุขภาพโดยรวม

5. ภาวะระบบทางเดินอาหารผิดปกติ

5.1 หลอดอาหาร

  • กลืนลำบาก เจ็บหน้าอก หรืออักเสบ–ติดเชื้อรา

5.2 กระเพาะอาหารช้า

  • คลื่นไส้ แน่นท้อง เรือกรดแกว่ง เสี่ยงต่อการควบคุมน้ำตาลยากขึ้น

5.3 ถุงน้ำดี

  • เสี่ยงนิ่ว แพทย์อาจแนะนำผ่าตัดในรายจำเป็น

5.4 ระบบขับถ่าย

  • ท้องเสีย สลับกับท้องผูก หรือกลั้นไม่อยู่

  • แนวทางรักษา: ใช้ยาและฝึกกล้ามเนื้อหูรูดตามแพทย์

5.5 ปวดท้องโดยทั่วไป

สาเหตุอาจเกิดจากแผลในกระเพาะ ถุงน้ำดี หรือการอักเสบอื่น ๆ

6. ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ (Bladder Dysfunction)

อาการ

  • ปัสสาวะไม่ถี่ หรือเบ่งนาน

  • ปัสสาวะหยุด–เริ่มไม่ได้ หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

วิธีดูแล

  • ฝึกพฤติกรรมการปัสสาวะ

  • รับยาควบคุมตามคำแนะนำแพทย์

  • ในบางรายอาจต้องสวนปัสสาวะ

7. ภาวะติดเชื้อต่าง ๆ (Infections)

ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงติดเชื้อง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานต่ำกว่าคนทั่วไป เช่น

7.1 ติดเชื้อผิวหนัง/เนื้อตาย

  • มีฝี อักเสบบ่อย ต้องรักษาเร่งด่วน

7.2 หูชั้นนอกติดเชื้อรุนแรง

  • เกิดจาก Pseudomonas aeruginosa ต้องรักษาเฉพาะ

7.3 กระเพาะปัสสาวะ-ท่อปัสสาวะอักเสบ

  • ปัสสาวะขัด, บ่อย, ขุ่น

7.4 ปอด (วัณโรค/ปอดอักเสบ)

  • ไอเรื้อรัง หรือมีไข้

การดูแลผู้ป่วยเบาหวานอย่างยั่งยืน

  1. ควบคุมน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ – ทานยา และตรวจน้ำตาลตามแผน

  2. ปรับพฤติกรรมชีวิต – เล่นกีฬา หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์

  3. โภชนาการสมดุล – เน้นผัก ผลไม้ ไขมันดี ลดแป้ง – น้ำตาล

  4. ตรวจสุขภาพประจำปี – ตรวจตา ไต หัวใจ และประเมินภาวะแทรกซ้อน

  5. ฝึกสังเกตอาการผิดปกติ – และรีบปรึกษาแพทย์

บทสรุป

โรคเบาหวานอาจไม่มีอาการเฉียบพลันในช่วงแรก แต่เมื่อเข้าสู่ระยะยาว ผู้ป่วยอาจเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ ผู้ที่เป็นเบาหวานควรเข้าใจและดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการทานยา การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย การเฝ้าระวังสัญญาณผิดปกติ และพฤติกรรมชีวิตสุขภาพ เมื่อนำทุกส่วนผสมนี้มารวมกัน จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีสุขภาพดี และลดผลกระทบจากโรคเรื้อรังได้อย่างยั่งยืน

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

Q1: ถ้ามีอาการใจสั่น เหงื่อออก ควรกินอะไรกรณีน้ำตาลต่ำ?
A: ทานน้ำตาลกลูโคสหรือขนมขบเคี้ยวหวาน เช่น น้ำผลไม้ขวดเล็ก ไม่ควรปล่อยให้ปัญหาลุกลาม และควรตรวจน้ำตาลซ้ำหลัง 15 นาที

Q2: น้ำตาลต่ำระหว่างออกกำลังกาย ป้องกันอย่างไร?
A: ทานของว่างที่มีแป้งหรือโปรตีน (เช่น ขนมปัง, กล้วย) ก่อนออกกำลังกาย และพกขนมกรณีฉุกเฉิน

Q3: ลุกแล้วเวียนหัว เป็นภาวะความดันต่ำตอนเปลี่ยนท่า ต้องทำอย่างไร?
A: ยืน–นั่งช้า หลีกเลี่ยงยาแรงที่อาจลดความดัน ปรับท่านอนชันสูงขึ้น 30–45°

Q4: ถ้าชายเบาหวานมีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศควรทำอย่างไร?
A: ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยา เช่นไวอากร้า และปรับพฤติกรรม เช่น ลดเครียด หยุดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย

Q5: เบาหวานเกี่ยวข้องกับอาการท้องผูกหรือเบ่งปัสสาวะลำบากไหม?
A: ใช่—เบาหวานอาจทำให้ลำไส้และกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ มีแนวทางฝึก และใช้ยาสมดุลตามอาการที่เป็น

Q6: วิธีป้องกันการติดเชื้อนอกจากยาคืออะไร?
A: รักษาน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ ดื่มน้ำเพียงพอ รักษาสุขอนามัย รักษาแผลให้สะอาด และพบแพทย์เมื่อมีการอักเสบหรือไข้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน, 2531.

[/vc_column][/vc_row]