น้ำตาลคืออะไร? จุดเริ่มต้น! วิธีกินอย่างไรไม่อ้วน ไม่เบาหวานคุมได้

0
รับประทานน้ำตาลมากๆ จะเป็นโรคเบาหวานหรือไม่?
น้ำตาล คือ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์และไดแซ็กคาไรด์ซึ่งมีรสหวาน ซึ่งได้มากจากอ้อย มะพร้าว

น้ำตาลจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีเส้นใย และเมื่อเข้าสู่ร่างกายก็ย่อยสลายรวดเร็ว ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อน้ำตาล 1 กรัม — เทียบเท่าแคลอรีเท่าข้าวประมาณครึ่งทัพพี! แต่ไม่มีวิตามิน แร่ธาตุ หรือกากใย จึงมักถูกเรียกว่า “พลังงานเปล่า” ซึ่งหากบริโภคเกินจำเป็น จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายมิติ

น้ำตาลประเภทใดมีผลต่อสุขภาพ?

  • น้ำตาลธรรมชาติ (Natural sugar): พบในผลไม้ นม โยเกิร์ต มีทั้งประโยชน์และไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึม

  • น้ำตาลเติม (Added / Free sugar): ได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม น้ำผลไม้เข้มข้น และน้ำตาลในขนม แปรรูป ซึ่งเพิ่มพลังงานโดยไม่ให้สารอาหารอื่น จึงเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคน้ำตาลเติมรวมไม่เกิน 10% ของพลังงานต่อวัน และถ้ามีน้ำตาลน้อยกว่า 5% หรือประมาณ 25 กรัม (6 ช้อนชา) จะช่วยลดความเสี่ยงดีขึ้น  ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำในสหรัฐฯ และ UK ที่จำกัดน้ำตาลเติมไม่เกิน 10% ของพลังงาน 

ทำไมน้ำตาลถึงเป็นศัตรูต่อร่างกาย?

  1. เพิ่มความเสี่ยงโรคฟันผุ
    น้ำตาลเติมเป็นสารตั้งต้นให้แบคทีเรียในช่องปากสร้างกรด ทำลายเคลือบฟัน WHO ชี้ว่าการลดน้ำตาล <10% ช่วยลดฟันผุได้ชัดเจน

  2. น้ำหนักเกิน / อ้วน
    เป็นแคลอรีเพิ่มโดยไม่มีประโยชน์ เสี่ยงโยกไปเก็บเป็นไขมัน → น้ำหนักขึ้น

  3. เพิ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง (NCDs)
    มีงานวิจัยเชื่อมโยงกับเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ ตับมัน และแม้แต่บางมะเร็ง

  4. กระตุ้นการอักเสบและความดันเลือดสูง
    น้ำตาลกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระ และอาจเพิ่มการอักเสบเรื้อรัง

  5. ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน
    แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่การกินน้ำตาลเกิน → น้ำหนักขึ้น → โรคเบาหวาน 

เบาหวาน (Diabetes): ข้อมูลปัจจุบันที่ควรรู้

โรคเบาหวานเป็นภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก:

1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1)

ร่างกายไม่ผลิตอินซูลิน ต้องใช้การฉีดอินซูลินตลอดชีวิต พบในเด็ก/วัยรุ่น ประมาณ 9.5 ล้านคนทั่วโลกในปี 2025

2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2)

เป็นมากที่สุดทั่วโลก (>= 90%) ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน หรือผลิตไม่พอ เกิดจากพฤติกรรม อาหาร น้ำหนักเกิน พบในผู้ใช้ชีวิตเมือง การเข้าสู่สังคมแก่ตัวลง

  • ปี 2025: ผู้ใหญ่ทั่วโลกมีโรคเบาหวานถึง 11.1% หรือ 1 ใน 9 คน และมีแนวโน้มเพิ่มเป็น 1 ใน 8 คน (≈ 853 ล้าน) ในปี 2050 

  • นอกจากนี้ ยังมี 252 ล้านที่ยังไม่ทราบว่าตนเองป่วย ส่งผลต่อความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้น

3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)

เกิดเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วหายหลังคลอด แต่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

น้ำตาลกับเบาหวาน: เกิดจากน้ำตาลหรือไม่?

แม้บริโภคน้ำตาลไม่ใช่สาเหตุตรงของโรคเบาหวาน แต่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการดังนี้:

  • น้ำตาลเกิน → พลังงานสะสม → อ้วน → ต้านอินซูลิน → โรคเบาหวานชนิดที่ 2 

  • ชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่เกี่ยวกับอาหารสุทธิ

องค์การชีวอนามัยโลก (WHO) ชี้ หากลดน้ำตาล <10% ของพลังงาน จะช่วยป้องกันโรคอ้วน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญของเบาหวาน 

แนวทางบริโภคน้ำตาลอย่างสมดุล

ข้อแนะนำจากองค์กรสุขภาพ

  • WHO: ลดน้ำตาลเติม <10% ของพลังงาน ต่อวัน (5% เป็นทางเลือก) 

  • สหรัฐฯ: เพิ่มน้ำตาลเติม <10% โดยแนะนำจาก CDC และ AHA: ผู้ชาย <36 g (9 ช้อนชา), หญิง <25 g 

  • UK (NHS): ผู้ใหญ่ <30 g/วัน, เด็ก 7–10 ปี <24 g 

กลเม็ดจำง่าย

  • ตรวจฉลาก “Added sugar”

  • หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม เครื่องดื่มหวาน ไอศครีม ขนม

  • ใช้เครื่องเทศ (เช่น ซีรามอน) แทนน้ำตาลในกาแฟหรือขนม

  • เลือกโยเกิร์ตธรรมชาติ โรยผลไม้แทนน้ำตาล

  • ทำซอส เครื่องปรุงเองที่บ้าน

  • เน้นรับประทานน้ำตาลจากธรรมชาติโดยตรง เช่น ผลไม้

GQ เตือนว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเลิกน้ำตาล 100% เพราะน้ำตาลธรรมชาติยังมีประโยชน์ แต่ควรเลี่ยงน้ำตาลเติมและผลิตภัณฑ์แปรรูปหนัก

ผลลัพธ์เมื่อควบคุมน้ำตาลได้ดี

ผลลัพธ์เชิงสุขภาพ รายละเอียด
น้ำหนักลดลง / ควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงโรคอ้วนและเบาหวาน
สุขภาพฟันดีขึ้น ลดฟันผุและปัญหาช่องปาก
ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เบาหวาน หัวใจ ตับมัน มะเร็งบางชนิด
ร่างกายไม่อ้วนลงเร็วเกินไป ช่วยให้พลังงานใช้ได้อย่างเป็นระบบ
สุขภาพจิตดีขึ้น น้ำตาลเยอะ → อารมณ์แปรปรวน ง่วงซึม

บทสรุป

  • น้ำตาลเติมควรจำกัดไม่เกิน 10% ของพลังงานต่อวัน (ideal <5%)

  • ผู้ชาย <36 g/day, ผู้หญิง <25 g/day

  • ตรวจฉลากอาหาร เลี่ยงน้ำตาลแฝงในอาหารแปรรูป

  • น้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้ควรได้รับ เพราะมีสารอาหารและไฟเบอร์

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถป้องกันได้ด้วยการควบคุมน้ำตาล → น้ำหนัก → ต้านอินซูลิน

การดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนคือ “กินหวานแต่ชาญฉลาด” ไม่ใช่ “ไม่กินหวานเลย”

FAQ (คำถามที่พบบ่อย)

Q1: น้ำตาลธรรมชาติกับน้ำตาลเติมต่างกันอย่างไร?
A1: น้ำตาลธรรมชาติพบในผลไม้ นม มีไฟเบอร์และสารอาหารชะลอการดูดซึม ส่วน น้ำตาลเติม ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ จึงควรจำกัดเชิงปริมาณ

Q2: กินน้ำตาลเท่าไรจึงถือว่า ‘ปลอดภัย’?
A2: WHO แนะนำ ไม่เกิน 10% ของพลังงานต่อวัน (ประมาณ 25–50 g) Ideal <5% ในเด็กผู้ใหญ่

Q3: น้ำตาลเติมทำให้อ้วนจริงหรือ?
A3: ใช่ จัดเป็นพลังงานเปล่า รับแคลอรีเพิ่มโดยไม่มีสารอาหาร → น้ำหนักตัวเพิ่ม และส่งผลให้ต้านอินซูลิน

Q4: การควบคุมน้ำตาลช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานไหม?
A4: ช่วยแน่นอน เพราะน้ำตาลเติมมาก → น้ำหนักเพิ่ม → ต้านอินซูลิน → เบาหวานชนิดที่ 2 ดังนั้นควรควบคุมแต่ยังสามารถบริโภคอย่างสมดุลได้

Q5: เด็กควรกินน้ำตาลเท่าไร?
A5: AHA ให้เด็ก <2 ขวบไม่ควรได้รับน้ำตาลเติม ส่วนเด็กโตให้ควบคุมไม่เกิน 6–10% ของพลังงานรายวัน (≈ 24–30 g)

Q6: ถ้าอยากลดน้ำตาลง่ายๆ ต้องทำอย่างไร?
A6: ตรวจฉลาก อ่านรายการ “Added sugar”, เลือกอาหารเต็มรูป หลีกเลี่ยงน้ำหวาน แปรรูป เปลี่ยนวัตถุดิบเองที่บ้าน เช่น เปลี่ยนกาแฟใส่น้ำตาลเป็นชาไม่หวาน หรือแทนด้วยน้ำเชื่อมธรรมชาติแต่จำกัดปริมาณ

Q7: กินหวานบ้างได้ไหม?
A7: ได้ ถ้าควบคุมได้—น้ำตาลธรรมชาติเพื่อสุขภาพ, น้ำตาลเติม “ในปริมาณที่พอดี” และไม่เกิดพฤติกรรมติดหวาน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

มณี แก้วเกศ. รู้ไว้เข้าใจเบาหวาน. กรุงเทพฯ: แสงแดด, 2556.

IDF DIABETES ATLAS. International Diabetes Federation. 2013.

Economic costs of diabetes in the U.S. in 2012. Diabetes Care : 1033 – 46.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งช่องปากคืออะไร? สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาโรคมะเร็งในช่องปาก

0
โรคมะเร็งช่องปาก โรคร้ายที่เกิดขึ้นภายในระบบศีรษะและลำคอ
โรคมะเร็งช่องปากสามารถพบได้บ่อยทั้งชายและหญิง และมักเกิดกับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) คือโรคเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณส่วนต่าง ๆ ของช่องปาก ไม่ว่าจะเป็น ริมฝีปาก ลิ้น เหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม พื้นปาก หรือบริเวณคอหอย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีการติดเชื้อ HPV จะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

แม้มะเร็งช่องปากจะพบได้น้อยกว่ามะเร็งในอวัยวะอื่น แต่ความร้ายแรงของมันก็ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะหากตรวจพบในระยะลุกลาม

ทำความเข้าใจกับมะเร็งช่องปาก

ช่องปากประกอบด้วยหลายเนื้อเยื่อที่มีความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ เช่น ริมฝีปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม เหงือก และเนื้อเยื่อใกล้เคียง รวมไปถึงฐานลิ้นและต่อมทอนซิล หากเซลล์ในจุดใดจุดหนึ่งมีการแบ่งตัวผิดปกติและไม่หยุดยั้ง จะก่อให้เกิด “ก้อนเนื้อร้าย” หรือมะเร็งในที่สุด

สาเหตุของมะเร็งช่องปาก

การเกิดมะเร็งช่องปากมักไม่ได้มีสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมของปัจจัยต่าง ๆ เช่น

  • การสูบบุหรี่และยาสูบ: ทั้งบุหรี่ซอง บุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบมวน

  • การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก: เพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ

  • การเคี้ยวหมาก ยาฉุน: ทำให้เยื่อบุช่องปากระคายเคืองเรื้อรัง

  • การติดเชื้อไวรัส HPV ชนิด 16: โดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางปาก

  • สุขอนามัยในช่องปากไม่ดี: เช่น ฟันผุเรื้อรัง เหงือกอักเสบ

  • การสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน: กรณีที่มะเร็งเกิดขึ้นบริเวณริมฝีปาก

กลุ่มเสี่ยงของโรคมะเร็งช่องปาก

  1. ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

  2. ผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง 2-3 เท่า

  3. คนที่ไม่พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ

อาการของมะเร็งช่องปาก

มะเร็งช่องปากมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม อาจพบอาการดังต่อไปนี้:

  • แผลในช่องปากที่หายช้า (นานเกิน 2 สัปดาห์)

  • ก้อนแข็งหรือเนื้อแปลกปลอมในปากหรือคอ

  • เจ็บคอ กลืนลำบาก

  • ชาหรือรู้สึกไม่ปกติที่ลิ้นหรือริมฝีปาก

  • มีเลือดออกในช่องปากโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • มีกลิ่นปากเรื้อรัง

  • ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตผิดปกติ

  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ

การวินิจฉัยมะเร็งช่องปาก

การวินิจฉัยทำโดยแพทย์หู คอ จมูก หรือทันตแพทย์เฉพาะทาง มีขั้นตอนดังนี้:

  1. การตรวจร่างกายและซักประวัติ

  2. ตรวจดูแผลหรือก้อนผิดปกติในช่องปาก

  3. การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อส่งตรวจพยาธิวิทยา

  4. อาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น CT scan หรือ MRI เพื่อดูการลุกลาม

ระยะของมะเร็งช่องปาก

ระยะ ลักษณะของโรค
ระยะที่ 1 ก้อนขนาด ≤ 2 ซม. ยังไม่ลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง
ระยะที่ 2 ก้อนขนาด 2–4 ซม. ยังไม่มีการแพร่กระจาย
ระยะที่ 3 ก้อน > 4 ซม. หรือแพร่ไปต่อมน้ำเหลือง 1 ต่อม
ระยะที่ 4 ลุกลามเข้าสู่อวัยวะใกล้เคียง ต่อมน้ำเหลืองหลายจุด หรือแพร่ไปอวัยวะไกล

แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสุขภาพผู้ป่วย ได้แก่:

1. การผ่าตัด (Surgery)

ใช้ตัดก้อนมะเร็งออก เหมาะสำหรับระยะต้น หรือเป็นก้อนที่ไม่ลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง

2. การฉายรังสี (Radiation Therapy)

มักใช้ร่วมกับการผ่าตัด หรือใช้เดี่ยวในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้

3. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

ใช้เมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลาม หรือมีการแพร่กระจายสู่ร่างกาย

4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

ในบางกรณีอาจพิจารณายารักษาเฉพาะเจาะจง เช่น Cetuximab

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

  • การกลืนลำบาก

  • การพูดลำบาก

  • การสูญเสียความสามารถในการรับรส

  • ความเจ็บปวดเรื้อรัง

  • ความเสียหายของโครงสร้างใบหน้า

แนวทางการป้องกันมะเร็งช่องปาก

  1. หยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์

  2. รักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ

  3. หมั่นสังเกตแผลหรือก้อนในปาก

  4. รับวัคซีน HPV ในช่วงอายุที่เหมาะสม

  5. พบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

เมื่อไรควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้:

  • แผลในปากไม่หายเกิน 2 สัปดาห์

  • มีก้อนแข็งหรือบวมในช่องปาก

  • กลืนอาหารลำบาก

  • น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

  • ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ

สรุป

มะเร็งช่องปาก เป็นโรคร้ายที่สามารถป้องกันได้หากรู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจะมีโอกาสรักษาหายขาดสูงมาก ดังนั้นการดูแลสุขภาพช่องปาก ตรวจสุขภาพประจำปี และเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคร้ายนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: มะเร็งช่องปากสามารถรักษาหายขาดได้หรือไม่?
A: หากตรวจพบตั้งแต่ระยะต้น มีโอกาสหายขาดได้สูงถึง 80-90%

Q2: มะเร็งช่องปากเกิดจากไวรัส HPV จริงหรือไม่?
A: จริง โดยเฉพาะ HPV ชนิด 16 เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

Q3: วิธีแยกแผลธรรมดากับมะเร็งช่องปากทำได้อย่างไร?
A: แผลธรรมดาจะหายภายใน 2 สัปดาห์ หากนานกว่านั้นควรพบแพทย์

Q4: มีวิธีคัดกรองมะเร็งช่องปากไหม?
A: ปัจจุบันยังไม่มีวิธีคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยการตรวจสุขภาพและสังเกตอาการ

Q5: มะเร็งช่องปากสามารถป้องกันได้อย่างไร?
A: หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และตรวจช่องปากเป็นประจำ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) – สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

0
มะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนัง เป็นโรคมะเร็งที่พบได้สูงในคนผิวขาวทั้งชายและหญิง พบบริเวณที่ถูกแสงแดดจัดเป็นเวลานาน

1. รู้จักมะเร็งผิวหนัง คืออะไร?

มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) คือภาวะที่เซลล์ผิวหนังกลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ จนกลายเป็นเนื้องอก ซึ่งอาจอยู่เฉพาะที่หรือแพร่กระจายเข้าสู่เนื้อเยื่ออื่นได้ โดยมะเร็งผิวหนังมี 3 ชนิดหลัก ได้แก่:

  1. Basal Cell Carcinoma (BCC) – เริ่มต้นจากเซลล์ฐานผิวหนัง มักเกิดบริเวณที่โดนแดดมาก เช่น หน้า ใบหู คอ

  2. Squamous Cell Carcinoma (SCC) – เกิดจากเซลล์ผิวนอก มักพบบริเวณริมฝีปาก หรือผิวหนังที่โดนแดด

  3. Malignant Melanoma (เมลาโนมา) – มะเร็งชนิดร้ายแรงที่สุด เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี พบได้ที่ไฝปรากฎอาการผิดปกติ

มะเร็งผิวหนังเกิดได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่พบมากในคนผิวขาว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแสงแดดจัด หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคผิวหนัง

2. บทบาทของผิวหนังและความเสี่ยงจากแดด

ผิวหนังเป็นอวัยวะปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมและช่วยรักษาอุณหภูมิ โดยเฉพาะเม็ดสีเมลานินช่วยกรองแสง UV แต่หากได้รับแสง UVA/UVB มากเกินจำเป็น จะทำให้เซลล์เสียหายและกลายพันธุ์ จนเกิดมะเร็งได้

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ:

  • โดนแดดจัดนาน (10.00–16.00 น.)

  • ไม่มีผิวสีคล้ำ หรือเป็นคนเชื้อชาติยุโรป

  • มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง

  • เคยมีแผลเรื้อรัง หรือได้รับรังสีชนิดอื่น (X-ray)

  • มีภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

3. สัญญาณเตือนมะเร็งผิวหนัง

มะเร็งผิวหนังระยะแรกอาจไม่มีอาการชัด แต่หากเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที:

  • ก้อนเนื้อหรือแผลที่ผิวหนังเปลี่ยนแปลงเรื้อรัง

  • ไฝหรือปานที่มีขอบไม่ชัด สีไม่สม่ำเสมอ โตเร็ว หรือเลือดออก

  • รอยแดงหรือปื้นขรุขระตามที่โดนแดด ติดแผลและหายยาก

  • ต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงโตขึ้นแต่ไม่เจ็บ

ลักษณะน่ากังวลสำหรับเมลาโนมา (ชื่อย่อ ABCDE):

  • Asymmetry: ไม่สมมาตร

  • Border: ขอบไม่ชัดหรือหยัก

  • Color: สีไม่ uniform

  • Diameter: ขนาด > 6 มม.

  • Evolving: มีการเปลี่ยนแปลง

4. การวินิจฉัยและการจัดระยะของโรค

แพทย์จะติดตามอาการ และตรวจเพิ่มเติมดังนี้:

  1. ตรวจร่างกาย ซักประวัติ แผลที่ผ่านมา และตรวจเซลล์ผิว

  2. ตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ส่งตรวจพยาธิวิทยา

  3. CT / MRI / Ultrasound / PET scan ใช้ในกรณีสงสัยว่าแพร่กระจาย

การแบ่งระยะ (TNM staging):

  • ระยะ 0: หัวเร็ว การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ผิวชั้นบน

  • ระยะ I–II: ขนาดก้อนเพิ่มขึ้น <2–4 ซม.

  • ระยะ III: เริ่มแพร่เข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง

  • ระยะ IV: แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด สมอง

สำหรับเมลาโนมา ใช้เกณฑ์ Breslow Depth และการแพร่กระจายเพื่อประเมินความรุนแรง

5. การรักษามะเร็งผิวหนัง

5.1 ผ่าตัด (Surgery)

  • Excision: ตัดผิวหนังแผลกว้างเพื่อกำจัดเชื้อ

  • Mohs micrographic surgery: เหมาะกับผิวหนังใบหน้า แผลน้อย ฟื้นตัวดี

5.2 การใช้รังสีรักษา (Radiotherapy)

ใช้ในกรณีผ่าตัดไปได้ไม่หมด หรือผู้ป่วยไม่สามารถผ่าตัดได้

5.3 เคมีบำบัด (Chemotherapy)

ใช้หลังก้อนใหญ่ แพร่กระจาย หรือร่วมกับการรักษาอื่น

5.4 ยากลุ่ม Targeted therapy & Immunotherapy

  • เหมาะกับเมลาโนมาที่เป็น mutation specific เช่น BRAF, MEK inhibitors

  • ยากลุ่ม PD-1, CTLA-4 ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

5.5 การรักษาแบบอื่น

  • Cryotherapy และ laser ใช้สำหรับแผลเล็ก early stage

  • Photodynamic therapy เฉพาะแผล Superficial BCC และ SCC

6. การป้องกันมะเร็งผิวหนัง

  • หลีกเลี่ยงแดดจัด (10.00–16.00 น.)

  • ใส่เสื้อผ้าคลุมแขน, ใส่หมวก ใช้ร่ม และใส่แว่นกันแดด

  • ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอกัน UVA/UVB SP Factor ≥ 30 ทุก 2–3 ชั่วโมง

  • หลีกเลี่ยงเตาหรือหลอด UV พลังสูง

  • ตรวจผิวตนเองเดือนละ 1 ครั้ง และตรวจสุขภาพทุกปี

7. แนวโน้มการเกิดโรคและอัตราการรอดชีวิต

มะเร็งชนิด BCC และ SCC หากตรวจพบระยะแรกมีอัตราหายขาดสูง (มากกว่า 90%) แต่ชนิดเมลาโนมา หากรักษาระยะล่าช้า อัตรา 5‑ปีจะลดลงเหลือประมาณ 20–60% ขึ้นกับระดับความลึกและการแพร่กระจาย

8. ตัวอย่างกรณีศึกษา

  • ผู้ชายวัย 70, สีผิว fair, พบก้อนเล็กไม่เจ็บหน้าแก้ม ตรวจพบ SCC ระยะ II ได้รับการผ่าตัดขนาดกว้าง + รังสี หลังดูแลครบ 5 ปี ไม่พบการลุกลาม

  • ผู้หญิงวัย 45, สังเกตไฝข้างลำตัวที่โตเร็ว จึงตัดชิ้นตรวจพบเมลาโนมา Breslow 1.8 มม. ระยะ II รักษาด้วยผ่าตัด + Immunotherapy ยังได้รับการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

9. สรุป – มะเร็งผิวหนัง รู้ทัน ป้องกันง่าย

ข้อควรระวัง ข้อมูลสำคัญ
ประเภทหลัก BCC, SCC, Melanoma
ปัจจัยเสี่ยง แดดจัด, สีผิว, พันธุกรรม
สัญญาณเตือน แผลเรื้อรัง, ไฝเปลี่ยน
ตรวจวินิจฉัย Biopsy, CT, MRI
ระยะ 0–IV (ขึ้นกับขนาด แพร่กระจาย)
การรักษา ผ่าตัด, รังสี, เคมี, Immuno/Targeted
การป้องกัน เสื้อผ้า, ครีมกันแดด, ตรวจผิว
อัตรารอดชีวิต สูงใน early stage (BCC/SCC), ต่ำกว่าเมื่อแพร่ (เมลาโนมา)

FAQ – คำถามพบบ่อย

Q1: มะเร็งผิวหนังเกิดบริเวณไหนได้บ้าง?

– สามารถเกิดได้ทุกส่วนที่มีผิวหนัง เช่น ใบหน้า, หัว, ลำตัว, มือ, เท้า หรือแม้แต่อวัยวะที่ไม่คาดคิด เช่น ส่วนหนังสุรางค์

Q2: ใครบ้างที่มีความเสี่ยงสูง?

– คนผิวขาว, ผู้ที่ผิวแพ้ง่าย, มีประวัติครอบครัว, ผู้ที่เคยไหม้แดดรุนแรง หรือทำงานกลางแดดจัด

Q3: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าไฝหรือหูด normal หรือผิด?

– ให้ใช้ ABCDE (Asymmetry, Border, Color, Diameter, Evolving). หากมีลักษณะใดเข้าข่าย ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง

Q4: ครีมกันแดดช่วยป้องกันมะเร็งได้จริงไหม?

– ใช้ป้องกันความเสียหายจาก UV ได้ดี แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% ควรใช้ร่วมกับการหลีกเลี่ยงแดดจัด

Q5: ถ้ามีแผลที่ผิวหนัง ควรทำอย่างไร?

– หากเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า เลือดออกง่าย หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 2–3 สัปดาห์ ควรพบแพทย์ทันที

Q6: เมลาโนมาอันตรายแค่ไหน?

– เป็นมะเร็งผิวหนังที่รุนแรงที่สุด และระบบแพร่กระจายเร็ว หากจับได้ตั้งแต่ระยะแรกมีโอกาสรอดสูง แต่หากกระจายแล้วอาการมักแย่และรักษายาก

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งโพรงไซนัส หรือมะเร็งโพรงจมูก: สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย และการรักษา

0
โรคมะเร็งโพรงจมูกและมะเร็งโพรงไซนัส
มะเร็งโพรงจมูกเกิดจากการเติบโตของเซลล์ที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเซลล์ ส่งผลกระทบต่อโพรงจมูก โหนกแก้มและหน้าผาก

มะเร็งโพรงไซนัส และโพรงจมูก คืออะไร?

มะเร็งโพรงไซนัส (Sinonasal Cancer) และ มะเร็งโพรงจมูก (Nasal Cavity Cancer) คือโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อภายในโพรงอากาศบริเวณกระดูกใบหน้าและภายในจมูก โดยโพรงไซนัสมีหน้าที่สร้างน้ำเมือกหล่อเลี้ยงทางเดินหายใจ ขณะที่โพรงจมูกทำหน้าที่กรองและให้ความชื้นกับอากาศก่อนเข้าสู่ปอด

แม้จะเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่หากตรวจพบล่าช้าหรือรักษาไม่ทันท่วงที โรคอาจลุกลามเข้าสู่สมอง ดวงตา หรือโพรงฐานกะโหลกได้

ความสำคัญของโพรงไซนัสและโพรงจมูกในระบบทางเดินหายใจ

โพรงไซนัส (Sinuses) ประกอบด้วย:

  • โหนกแก้ม (Maxillary sinuses)
  • หน้าผาก (Frontal sinuses)
  • ข้างจมูก (Ethmoid sinuses)
  • ฐานกะโหลก (Sphenoid sinuses)

โพรงเหล่านี้ช่วยให้น้ำหนักของกะโหลกศีรษะเบาลง กรองฝุ่น เสริมความกังวานของเสียง และสร้างเมือกเพื่อดักจับสิ่งสกปรก หากเซลล์เยื่อบุภายในผิดปกติ อาจกลายพันธุ์และพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งได้

สาเหตุของมะเร็งโพรงไซนัสและมะเร็งโพรงจมูก

ถึงปัจจุบันยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:

1. การสัมผัสมลพิษและฝุ่นในที่ทำงาน

  • คนที่ทำงานกับไม้ ขี้เลื่อย แร่ใยหิน หรือฟอร์มาลดีไฮด์มีความเสี่ยงสูง
  • การสูดฝุ่นในโรงงาน หรืองานก่อสร้างในระยะยาว

2. การติดเชื้อไวรัส

  • โดยเฉพาะเชื้อ Epstein-Barr Virus (EBV) มีความสัมพันธ์กับมะเร็งโพรงจมูกบางชนิด

3. พันธุกรรมและความผิดปกติของเซลล์

  • มีรายงานว่าเซลล์ที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติสามารถก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งได้

4. การรับประทานอาหารหมักดองหรือสารก่อมะเร็งสะสม

  • ไนโตรซามีน (สารก่อมะเร็งจากอาหารหมัก) เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นสำคัญ

มะเร็งชนิดต่างๆ ที่พบบ่อยในโพรงจมูกและไซนัส

  • Squamous cell carcinoma: พบมากที่สุด รุนแรงปานกลาง
  • Adenocarcinoma: เกิดจากเซลล์เยื่อบุของต่อม
  • Melanoma, Sarcoma, Lymphoma: พบได้น้อยแต่รุนแรงมาก

กลุ่มเสี่ยง

  • ผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • คนที่ทำงานในโรงงานไม้ เหมืองแร่ โรงงานเคมี
  • ผู้ที่สูบบุหรี่จัด
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งในกลุ่มศีรษะและลำคอ

อาการของมะเร็งโพรงไซนัสและโพรงจมูก

เนื่องจากอาการในระยะแรกคล้ายโรคภูมิแพ้หรือไซนัสอักเสบ จึงมักถูกมองข้าม อาการสำคัญที่ควรสังเกต:

  • คัดจมูกเรื้อรังข้างเดียว
  • เลือดกำเดาไหลบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ
  • น้ำมูกมีเลือดปน
  • กลิ่นปากเรื้อรัง
  • ปวดใบหน้า หน้าบวม
  • คลำเจอก้อนที่ลำคอหรือใต้คาง
  • มองเห็นภาพซ้อน
  • ปวดฟันหรือเหงือกโดยไม่ทราบสาเหตุ

วิธีวินิจฉัยมะเร็งโพรงไซนัส

  1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
  2. การส่องกล้องโพรงจมูก (Nasal endoscopy): ดูก้อนเนื้อโดยตรง
  3. การตรวจ CT Scan หรือ MRI: วัดขนาดและการลุกลามของก้อน
  4. การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): ตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันชนิดของมะเร็ง

ระยะของมะเร็งโพรงไซนัส

ระยะ

รายละเอียด

ระยะที่ 1

มะเร็งยังอยู่เฉพาะในโพรงเดียว

ระยะที่ 2

ลุกลามไปมากกว่า 1 โพรง หรือเริ่มกระทบกระดูก

ระยะที่ 3

กระจายสู่เนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น ดวงตา หรือผิวหนัง

ระยะที่ 4

ลุกลามไปยังสมอง ฐานกะโหลก หรือแพร่กระจายไกล (metastasis)

 

วิธีการรักษามะเร็งโพรงไซนัส

1. การผ่าตัด (Surgery)

ใช้ในกรณีที่ก้อนยังไม่ลุกลามหรือสามารถเข้าถึงได้

2. รังสีรักษา (Radiotherapy)

เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งหรือใช้เสริมหลังการผ่าตัด

3. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

ใช้ร่วมกับรังสีในกรณีที่ผ่าตัดไม่ได้หรือเพื่อลดขนาดก้อนก่อนการผ่าตัด

4. การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care)

ในระยะท้ายเพื่อควบคุมอาการและคุณภาพชีวิต

การป้องกันมะเร็งโพรงไซนัสและโพรงจมูก

  • สวมหน้ากากกรองฝุ่น N95 ในที่ทำงานที่มีฝุ่น
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • รับประทานอาหารสด สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

ความหวังในการรักษาและพยากรณ์โรค

หากตรวจพบในระยะแรก มะเร็งโพรงไซนัสสามารถรักษาให้หายได้ และอัตรารอดชีวิตจะสูงกว่า 70% แต่หากพบในระยะลุกลาม โอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างรวดเร็ว

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

  • อย่าละเลยอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะหากเกิดซ้ำข้างเดียว
  • ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก
  • ยึดตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • เสริมสร้างสุขภาพจิตใจให้เข้มแข็ง
  • มีญาติหรือเพื่อนร่วมให้กำลังใจระหว่างการรักษา

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: มะเร็งโพรงไซนัสพบได้บ่อยหรือไม่?

A: พบได้น้อยมากเมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น แต่ความรุนแรงสูงเพราะอยู่ใกล้สมองและดวงตา

Q: ตรวจสุขภาพประจำปีจะเจอโรคนี้หรือไม่?

A: ถ้าทำการตรวจจมูกโดยละเอียดหรือมีอาการผิดปกติ อาจพบได้ในระยะเริ่มต้น

Q: หากไม่มีอาการชัดเจน ควรตรวจเมื่อใด?

A: หากมีอาการคัดจมูกเรื้อรัง มีเลือดปนในน้ำมูก ปวดใบหน้า หรือกลิ่นปาก ควรพบแพทย์ทันที

Q: ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้หรือไม่?

A: เป็นได้เช่นกัน แม้จะพบน้อยกว่าผู้ชาย

Q: มะเร็งชนิดนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้หรือไม่?

A: ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

World Cancer Report 2014. World Health Organization. 2014. pp. Chapter 5.4. ISBN 9283204298.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal Cancer): สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

0
โรคมะเร็งโพรงหลังจมูก สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา
โรคมะเร็งโพรงหลังจมูก เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นหลังโพรงจมูก ซึ่งอยู่ด้านหลังของจมูก เหนือช่องคอใต้ฐานของสมอง

มะเร็งหลังโพรงจมูก หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Nasopharyngeal Cancer คือมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณด้านหลังของโพรงจมูก ซึ่งเป็นบริเวณเชื่อมต่อระหว่างจมูกและลำคอ โดยทั่วไปแล้วโรคนี้พบได้มากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในเพศชายที่มีอายุระหว่าง 40–60 ปี การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกและการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสในการหายขาดได้อย่างมีนัยสำคัญ

มะเร็งหลังโพรงจมูกคืออะไร?

มะเร็งหลังโพรงจมูก เป็นเนื้อร้ายที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์บริเวณเยื่อบุด้านในของโพรงจมูกด้านหลัง ซึ่งสามารถลุกลามไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง เช่น ลำคอ เส้นประสาท สมอง และต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ โดยเฉพาะหากปล่อยไว้นานโดยไม่รับการรักษา

ตำแหน่งของโพรงหลังจมูก หรือ “Nasopharynx” อยู่ด้านหลังโพรงจมูก เหนือช่องคอ และใต้ฐานสมอง การวินิจฉัยจึงอาศัยวิธีเฉพาะ เช่น การส่องกล้อง หรือการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy)

สาเหตุของมะเร็งหลังโพรงจมูก

1. พันธุกรรม

มีหลักฐานว่าพันธุกรรม โดยเฉพาะยีนที่ควบคุมการเจริญเติบโตและการตายของเซลล์ เช่น p53 อาจมีบทบาทสำคัญในความเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดนี้

2. การติดเชื้อไวรัส Epstein–Barr Virus (EBV)

ไวรัส EBV เป็นปัจจัยที่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของเซลล์ในโพรงจมูก โดยเฉพาะในประชากรเอเชียและชาวจีนตอนใต้

3. สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต

  • การได้รับสารก่อมะเร็ง เช่น ไนโตรซามีน (จากอาหารหมักดองหรืออาหารรมควัน)
  • การสูบบุหรี่ หรือการสัมผัสกับฝุ่นควัน
  • อากาศที่มีมลพิษในระดับสูง

4. อาหารการกิน

อาหารที่มีสารก่อมะเร็งสูง เช่น ปลาเค็ม หมูดิบ อาหารแปรรูป เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ในโพรงจมูกได้

อาการของมะเร็งหลังโพรงจมูก

โรคนี้มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลามจะพบอาการหลากหลาย ดังนี้:

  • คัดจมูกเรื้อรังข้างเดียว
  • มีเลือดปนในน้ำมูกหรือเลือดกำเดาไหล
  • ปวดศีรษะเรื้อรังหรืออาการไมเกรนแบบเฉียบพลัน
  • หูอื้อ หรือสูญเสียการได้ยินข้างเดียว
  • ปวดใบหน้า หรือใบหน้าชา
  • ตาเหล่หรือเห็นภาพซ้อน
  • มีก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณลำคอ
  • กลืนลำบาก เสียงเปลี่ยน

การที่ผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกแสดงอาการในตำแหน่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับทิศทางที่ก้อนเนื้อลุกลามไป

วิธีการวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูก

การวินิจฉัยโรคจะประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้:

1. การตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก

  • การส่องกล้องโพรงจมูกเพื่อหาก้อนเนื้อหรือความผิดปกติ

2. การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy)

  • เพื่อตรวจยืนยันทางพยาธิวิทยาว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่

3. การตรวจทางรังสีวิทยา

  • CT Scan หรือ MRI เพื่อตรวจการลุกลามของก้อนมะเร็ง 
  • PET Scan เพื่อค้นหาการกระจายของโรคไปยังอวัยวะอื่น

ระยะของมะเร็งหลังโพรงจมูก

มะเร็งชนิดนี้แบ่งเป็น 4 ระยะหลัก ดังนี้:

ระยะ ลักษณะ
ระยะที่ 1 มะเร็งจำกัดเฉพาะในโพรงหลังจมูก
ระยะที่ 2 ลุกลามเข้าสู่โพรงคอหอย หรือต่อมน้ำเหลืองขนาดไม่เกิน 6 ซม.
ระยะที่ 3 ลุกลามถึงฐานกระโหลกหรือกล้ามเนื้อลึก
ระยะที่ 4 ลุกลามไปยังสมอง ตา หรืออวัยวะอื่นที่ห่างไกล เช่น ปอด

วิธีการรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก

1. การฉายรังสี (Radiotherapy)

เป็นการรักษาหลัก โดยใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งเฉพาะ มีความแม่นยำสูง เช่น IMRT (Intensity-Modulated Radiotherapy)

2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)

มักใช้ร่วมกับรังสี โดยเฉพาะในระยะที่ลุกลาม การให้ยาเคมีจะช่วยควบคุมการกระจายของเซลล์มะเร็ง

3. การผ่าตัด

ใช้ในกรณีที่มีเนื้องอกตกค้างหรือมีการกลับเป็นซ้ำเฉพาะที่ แม้จะไม่ใช่วิธีหลักในการรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก

4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

สำหรับผู้ป่วยระยะลุกลามที่ไม่สามารถรับเคมีบำบัด อาจใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับเซลล์มะเร็ง เช่น cetuximab

การป้องกันมะเร็งหลังโพรงจมูก

  • หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารแปรรูปที่มีสารไนโตรซามีน
  • หยุดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
  • ตรวจสุขภาพและพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด

ความหวังของผู้ป่วย

อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกในระยะเริ่มต้นอยู่ที่ราว 70–90% ขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมและการตอบสนองต่อการรักษา หากตรวจพบตั้งแต่ระยะ 1–2 โอกาสหายขาดมีสูงมาก

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: มะเร็งหลังโพรงจมูกตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือไม่?
A1: โดยทั่วไปมักไม่สามารถตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี ต้องอาศัยการตรวจเฉพาะทาง เช่น การส่องกล้องจมูกหรือการตัดชิ้นเนื้อ

Q2: มะเร็งโพรงหลังจมูกรักษาหายได้หรือไม่?
A2: หากตรวจพบในระยะแรก มีโอกาสรักษาหายได้สูงโดยใช้การฉายรังสีร่วมกับเคมีบำบัด

Q3: การติดเชื้อ EBV ทำให้เป็นมะเร็งโพรงหลังจมูกจริงหรือ?
A3: ใช่ EBV เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งโพรงหลังจมูก โดยเฉพาะในประชากรเอเชีย

Q4: ใครบ้างที่ควรระวังโรคนี้เป็นพิเศษ?
A4: ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเพศชาย เชื้อสายจีนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้ที่มีประวัติการบริโภคอาหารหมักดองเป็นประจำ

Q5: การฉายรังสีมีผลข้างเคียงหรือไม่?
A5: มี เช่น ปากแห้ง กลืนลำบาก หรือผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสีลอก แต่สามารถดูแลและฟื้นฟูได้หลังจบการรักษา

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

[/vc_column][/vc_row]

Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คืออะไร? ตรวจหามะเร็งกระเพาะปัสสาวะด้วยปัสสาวะ

0
มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นในเยื่อบุกระเพาะอาหาร

Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คืออะไร?

Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การตรวจวัดสารนี้ในปัสสาวะถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการคัดกรองมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว และไม่รุกล้ำร่างกาย จึงเหมาะสำหรับการเฝ้าระวังและติดตามผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง

ความสำคัญของ Urine BTA ในการตรวจหามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

การตรวจ Urine BTA มีความสำคัญในด้านการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น เนื่องจากโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก หากไม่ได้รับการตรวจเชิงรุก อาจทำให้โรคลุกลามโดยไม่รู้ตัว ซึ่ง Urine BTA สามารถช่วยคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่สัมผัสสารเคมี หรือมีอาการปัสสาวะผิดปกติ

การทำงานของ Bladder Tumor Antigen (BTA)

สาร BTA จะถูกปล่อยออกมาจากเซลล์มะเร็งที่อยู่บริเวณเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ จากนั้นจะถูกขับออกมากับปัสสาวะ การตรวจหาค่านี้จึงสามารถทำได้ง่ายโดยไม่ต้องเจาะเลือดหรือส่องกล้อง ซึ่งทำให้สะดวกและลดความไม่สบายตัวของผู้ป่วยลงได้มาก

วิธีการตรวจ Urine BTA

ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ

  1. ผู้ป่วยควรเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (midstream urine) ลงในภาชนะที่สะอาดและปลอดเชื้อ

  2. หลีกเลี่ยงการปัสสาวะครั้งแรกในตอนเช้า เพราะอาจมีความเข้มข้นของสารต่างๆ มากเกินไป

  3. นำตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการภายใน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการสลายตัวของโปรตีน

การเตรียมตัวก่อนตรวจ

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 24 ชั่วโมงก่อนตรวจ

  • งดมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

  • ควรดื่มน้ำตามปกติ ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าผลตรวจ Urine BTA

แม้ค่า Urine BTA จะสามารถช่วยคัดกรองมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ แต่ก็มีปัจจัยอื่นที่อาจทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อน เช่น:

  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

  • นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

  • ภาวะอักเสบเรื้อรัง

  • เลือดปนในปัสสาวะ

ค่าปกติและเกณฑ์การแปลผล BTA

  • ค่า ปกติของ Urine BTA มักอยู่ที่ < 14 U/mL

  • หากพบค่าสูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าว อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติที่ควรตรวจซ้ำหรือทำการส่องกล้อง (Cystoscopy) เพื่อยืนยันผล

ความแม่นยำของการตรวจ Urine BTA เทียบกับวิธีอื่น

วิธีการตรวจ ความแม่นยำ ความรุกล้ำ เหมาะสำหรับ
Urine BTA ปานกลาง ต่ำ คัดกรองเบื้องต้น
Cystoscopy สูง สูง วินิจฉัยเฉพาะเจาะจง
CT Urogram / MRI สูง ปานกลาง ประเมินระยะโรค
Urine Cytology ปานกลาง ต่ำ คัดกรองเซลล์ผิดปกติ

Urine BTA กับการติดตามการกลับเป็นซ้ำของโรค

หลังการผ่าตัดหรือการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด การตรวจ Urine BTA เป็นระยะสามารถช่วยเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีแรกหลังการรักษา

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

  • การสูบบุหรี่ (ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป 3-4 เท่า)

  • การสัมผัสสารเคมีในที่ทำงาน เช่น อะนิลีน หรืออุตสาหกรรมสี

  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง

  • การฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกรานในอดีต

  • อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในเพศชายอายุเกิน 60 ปี

อาการที่ควรเฝ้าระวัง

  • เลือดปนในปัสสาวะ (Hematuria)

  • ปัสสาวะขัด ปวด หรือปัสสาวะบ่อยโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน

  • ปวดหลังหรืออุ้งเชิงกรานโดยไม่ทราบสาเหตุ

หากพบอาการเหล่านี้ร่วมกับค่า Urine BTA ที่สูง แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะทันที

BTA เทียบกับ Tumor Markers อื่นๆ

ตัวบ่งชี้ โรคหลักที่ใช้ตรวจ จุดเด่น
Urine BTA มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ใช้ปัสสาวะ ตรวจง่าย
NMP22 มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ใช้ร่วมกับ BTA ได้ดี
CEA มะเร็งลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ ความแม่นยำเฉพาะโรคสูง
CA 19-9 มะเร็งตับอ่อน, ท่อน้ำดี ใช้คู่กับภาพถ่ายรังสี

ประโยชน์ของการตรวจ Urine BTA ร่วมกับการดูแลเชิงป้องกัน

การตรวจ Urine BTA ร่วมกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น:

  • ดื่มน้ำมากเพียงพอ (อย่างน้อย 1.5–2 ลิตรต่อวัน)

  • รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารต้านอนุมูลอิสระ

  • หลีกเลี่ยงสารพิษ เช่น สารเคมี โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

  • ตรวจสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะประจำปี

สามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อไรควรตรวจ Urine BTA?

  • มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

  • มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ

  • มีประวัติเกี่ยวข้องกับสารก่อมะเร็งหรือเคมี

  • เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแล้ว ต้องการติดตามผล

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีผลตรวจ BTA ผิดปกติ

  • อย่าตื่นตระหนก เนื่องจากค่า BTA สูงอาจไม่ได้แปลว่าเป็นมะเร็งเสมอไป

  • เข้าพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม เช่น ส่องกล้องหรือ MRI

  • หลีกเลี่ยงการวินิจฉัยด้วยตนเองจากผลการตรวจเพียงค่าเดียว

  • ควรติดตามผลซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

สรุป

การตรวจ Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) เป็นทางเลือกหนึ่งในการคัดกรองและติดตามมะเร็งกระเพาะปัสสาวะอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสะดวกและไม่ต้องพึ่งการตรวจรุกล้ำ การตรวจนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับการตรวจวินิจฉัยอื่นเพื่อความแม่นยำสูงสุด และควรปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อดูแลสุขภาพในระยะยาว

FAQ (คำถามที่พบบ่อย)

Q: Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) ตรวจอย่างไร?

A: การตรวจ Urine BTA ทำได้โดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะกลางลำในภาชนะสะอาด แล้วส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์หาสาร BTA

Q: ค่า Urine BTA เท่าไหร่จึงถือว่าผิดปกติ?

A: ค่า BTA ที่สูงกว่า 14 U/mL อาจบ่งชี้ถึงภาวะผิดปกติ เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แต่ต้องแปลผลร่วมกับอาการและการตรวจอื่นๆ

Q: มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ผล BTA ผิดเพี้ยน?

A: การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่ว หรือภาวะอักเสบ อาจทำให้ค่า BTA สูงขึ้นโดยไม่ใช่มะเร็ง

Q: ตรวจ BTA จำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าหรือไม่?

A: โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวพิเศษ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนตรวจเพื่อความแม่นยำ

Q: ถ้าค่า Urine BTA สูง ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติม?

A: แนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) หรือการตรวจภาพถ่ายรังสีตามคำแนะนำของแพทย์

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

[/vc_column][/vc_row]

โรคอ้วนกับโรคหลอดเลือดหัวใจ: ความเสี่ยงที่คุณควรรู้ พร้อมแนวทางป้องกัน

0
โรคอ้วนและภาวะเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และยังเป็นสาเหตุของปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

โรคอ้วนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคร้ายแรงหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนและภาวะหลอดเลือดหัวใจ ตลอดจนแนวทางการป้องกันที่สามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง

โรคอ้วน: ภัยเงียบที่สะสมโดยไม่รู้ตัว

โรคอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยดัชนีมวลกาย (BMI) ที่มากกว่า 25 จะถือว่าเข้าข่าย “น้ำหนักเกิน” และหากเกิน 30 จะเข้าสู่ระดับ “โรคอ้วน”

โรคอ้วนเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น

  • การบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการ

  • พฤติกรรมเนือยนิ่ง ขาดการออกกำลังกาย

  • ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ

  • พันธุกรรม

  • ฮอร์โมนในร่างกายที่ผิดปกติ เช่น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน

ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ “หัวใจ” โดยตรง

ความเกี่ยวพันระหว่างโรคอ้วนและโรคหลอดเลือดหัวใจ

การที่ร่างกายมีไขมันส่วนเกินสะสมมาก โดยเฉพาะที่ “รอบเอว” หรือ “อวัยวะภายใน” จะทำให้ร่างกายมีภาวะอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่กระบวนการพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่:

  1. หลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis)
    ไขมันที่สะสมในหลอดเลือดจะเกาะตามผนังหลอดเลือด เกิดเป็นคราบพลัค (plaque) ทำให้เส้นเลือดตีบลงเรื่อย ๆ

  2. หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
    เนื่องจากน้ำหนักตัวมาก หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเกิดภาวะหัวใจโต หัวใจล้มเหลว

  3. ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
    ผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีภาวะดื้อต่ออินซูลินสูง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง กระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน และเร่งกระบวนการเสื่อมของหลอดเลือด

  4. ไขมันในเลือดผิดปกติ
    คนอ้วนมักมีคอเลสเตอรอล LDL สูง และ HDL ต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงร่วม: โรคเบาหวานกับโรคหัวใจ

งานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนปกติถึง 2–4 เท่า ซึ่งความเสี่ยงจะสูงขึ้นอีกหากมี “โรคอ้วน” ร่วมด้วย เพราะเบาหวานชนิดที่ 2 มักเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินอันเป็นผลจากไขมันสะสมภายในร่างกายจำนวนมาก

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

ปัจจัย รายละเอียด
ความดันโลหิตสูง น้ำหนักตัวที่มากขึ้นมีผลให้หลอดเลือดต้องรับแรงดันมากกว่าปกติ
ไขมันในเลือดสูง ไขมันทรานส์ และไขมันอิ่มตัวในอาหารจานด่วน เร่งให้หลอดเลือดอุดตันเร็วขึ้น
ไม่ออกกำลังกาย ส่งผลให้ระบบเผาผลาญแย่ลง และกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
ความเครียดและการนอนน้อย ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มเกิดภาวะหัวใจวาย
พฤติกรรมการกินผิดสุขลักษณะ เช่น ทานมื้อดึก ทานหวาน-มันจัด หรือทานจุกจิกระหว่างวัน

งานวิจัยยืนยัน: ปรับพฤติกรรม ลดเสี่ยงหัวใจ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ “Dr. Dean Ornish” เคยทำการทดลองปรับพฤติกรรมกับผู้ป่วยโรคหัวใจ และพบว่า หากมีการควบคุมอาหารร่วมกับออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง หลอดเลือดที่เคยตีบตันสามารถกลับมาเปิดโล่งได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยให้ผู้ป่วย:

  • รับประทานอาหารที่ไขมันต่ำ (<10% ของพลังงานรวม)

  • เน้นพืชผัก ธัญพืช ถั่ว ผลไม้

  • ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อยวันละ 30 นาที

  • ฝึกโยคะ ทำสมาธิ คลายความเครียด

  • เลิกบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

แนวทางการป้องกันโรคหัวใจในผู้ป่วยอ้วน

การลดน้ำหนักแม้เพียง 5–10% ของน้ำหนักตัว จะสามารถลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีแนวทางที่แนะนำได้แก่:

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

  • ลดอาหารมัน อาหารทอด อาหารแปรรูป

  • หลีกเลี่ยงน้ำตาล น้ำอัดลม

  • เพิ่มผักสด ผลไม้ไม่หวานจัด

  • เลือกโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • แนะนำวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์

  • เน้นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ

3. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

  • วัดความดัน

  • ตรวจระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด

  • เช็กค่า BMI และรอบเอวเป็นประจำ

4. นอนหลับให้เพียงพอ

  • ไม่นอนน้อยกว่า 6–8 ชั่วโมง/วัน

  • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน

ตัวอย่างอาหารที่ควรกิน – หลีกเลี่ยง

แนะนำให้กิน หลีกเลี่ยง
ปลา ย่างหรือนึ่ง ไส้กรอก เบคอน
ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ข้าวขัดสี แป้งขาว
ผลไม้สด น้ำผลไม้บรรจุกล่อง
ถั่วลิสง/อัลมอนด์ (ไม่ปรุงแต่ง) มันฝรั่งทอด
นมไขมันต่ำ เครื่องดื่มหวาน น้ำอัดลม

สรุป: หัวใจที่แข็งแรง เริ่มต้นจากการควบคุมน้ำหนัก

โรคอ้วน เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่เร่งให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่รุนแรง การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งการกิน ออกกำลังกาย และการนอนหลับให้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างชัดเจน ดังนั้น อย่ารอให้มีอาการก่อน ควรเริ่มดูแลตัวเองวันนี้ เพราะ “หัวใจ” ของคุณ คือชีวิตของคุณเช่นกัน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: โรคอ้วนกับโรคหัวใจเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

A: โรคอ้วนเพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว และเกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้งหมดล้วนเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ

Q2: ถ้าลดน้ำหนักแล้วจะลดความเสี่ยงหัวใจวายได้จริงไหม?

A: ได้แน่นอน การลดน้ำหนักเพียง 5–10% สามารถลดระดับความดัน ไขมัน และน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้ชัดเจน

Q3: ต้องออกกำลังกายแค่ไหนถึงจะป้องกันโรคหัวใจได้?

A: ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก วันละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน

Q4: มีอาหารใดบ้างที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล?

A: ข้าวโอ๊ต, ถั่วเหลือง, อัลมอนด์, ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น แอปเปิล และสตรอว์เบอร์รี่ ล้วนช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

World Health Organization – Obesity pages.
Diet, Nutrition and the prevention of chronic diseases (including obesity) by a Joint WHO/FAO Expert consultation (2003).

[/vc_column][/vc_row]

ตรวจค่าเลือดเฟอร์ริติน สำคัญแค่ไหนต่อสุขภาพของเรา?

0

เฟอร์ริติน (Ferritin) คืออะไร?

เฟอร์ริติน (Ferritin) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บสะสมธาตุเหล็ก (Iron) ภายในร่างกาย พบมากในตับ ม้าม ไขกระดูก และเซลล์ต่างๆ รวมถึงในกระแสเลือด แม้ว่าเฟอร์ริตินจะไม่ใช่ธาตุเหล็กโดยตรง แต่เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดของปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย

ความสำคัญของเฟอร์ริตินต่อระบบร่างกาย

  • เฟอร์ริตินช่วยควบคุมระดับเหล็กให้พอดี ไม่ต่ำหรือสูงจนเป็นอันตราย

  • ธาตุเหล็กจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและการขนส่งออกซิเจน

  • หากมีเฟอร์ริตินต่ำ อาจหมายถึงภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency Anemia)

  • หากมีเฟอร์ริตินสูง อาจเป็นสัญญาณของการสะสมเหล็กมากเกินไป (Iron Overload) ซึ่งเป็นอันตรายต่ออวัยวะสำคัญ เช่น ตับ หัวใจ สมอง

การตรวจค่าเฟอร์ริตินในเลือดคืออะไร?

การตรวจ Ferritin เป็นการตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดปริมาณโปรตีนเฟอร์ริตินที่หมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือด ค่านี้สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับธาตุเหล็กสะสมในร่างกายได้โดยอ้อม

วัตถุประสงค์ของการตรวจ

  1. ตรวจหาภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency)

  2. ตรวจภาวะธาตุเหล็กเกิน (Hemochromatosis)

  3. ประเมินโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง, โรคตับ, ภาวะอักเสบเรื้อรัง

  4. เป็น Tumor Marker ร่วมกับการวิเคราะห์มะเร็งบางชนิด

ค่าปกติของเฟอร์ริติน

เพศ ช่วงอ้างอิงค่าปกติ
ผู้ชาย 12–300 ng/mL
ผู้หญิง 10–150 ng/mL

หมายเหตุ: ค่านี้อาจแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามห้องปฏิบัติการ

ค่าเฟอร์ริตินต่ำหมายถึงอะไร?

หากค่าเฟอร์ริตินต่ำกว่าค่ามาตรฐาน บ่งบอกได้ว่า:

  • กำลังอยู่ในภาวะขาดธาตุเหล็ก

  • มีเลือดออกภายใน เช่น ทางเดินอาหาร, ประจำเดือนมามาก

  • ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ไม่ดี

  • โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency Anemia)

ค่าเฟอร์ริตินสูงหมายถึงอะไร?

ค่าเฟอร์ริตินที่สูงกว่าปกติอาจบ่งชี้ว่า:

  • มีการสะสมเหล็กในตับหรืออวัยวะอื่น (Hemochromatosis)

  • มีภาวะอักเสบเรื้อรัง หรือการติดเชื้อ

  • ป่วยเป็นโรคตับ (Cirrhosis, Hepatitis)

  • มีความเสี่ยงโรคมะเร็ง เช่น:

    • มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma)

    • มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)

    • มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)

ความเชื่อมโยงระหว่างเฟอร์ริตินกับโรคมะเร็ง

เฟอร์ริตินที่สูงผิดปกติ อาจเป็นผลจากภาวะร่างกายตอบสนองต่อการอักเสบหรือการลุกลามของเนื้อร้าย โดยเฟอร์ริตินอาจถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของ “Tumor Marker” โดยเฉพาะในมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบเม็ดเลือด ตับ และระบบน้ำเหลือง

กลไกการเกิดอนุมูลอิสระจากธาตุเหล็ก

เฟอร์ริตินที่มากเกินไปสามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) โดยเฉพาะ Hydroxyl Radical (OH•) ซึ่งทำลาย DNA และอาจก่อให้เกิดเซลล์กลายพันธุ์และมะเร็งในระยะยาว

Ferritin และระบบภูมิคุ้มกัน

ภาวะเฟอร์ริตินสูงไม่ได้ส่งผลแค่ต่อมะเร็งเท่านั้น แต่ยังสามารถ:

  • ลดภูมิต้านทาน: รบกวนการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว

  • เสริมการติดเชื้อ: จุลชีพบางชนิดใช้เหล็กเป็นสารอาหารในการเจริญเติบโต ทำให้ติดเชื้อรุนแรงขึ้นได้

Ferritin กับภาวะธาตุเหล็กเกินในร่างกาย

โรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะเหล็กเกิน:

  1. Hemochromatosis – โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กมากเกิน

  2. Chronic Liver Disease – โรคตับเรื้อรังจากแอลกอฮอล์หรือไวรัส

  3. Thalassemia – โรคเลือดที่มีการสะสมเหล็กจากการให้เลือดซ้ำ

  4. Myelodysplastic Syndrome – ภาวะผิดปกติของไขกระดูกที่พบในมะเร็งเม็ดเลือด

Ferritin ต่ำ และผลเสียต่อสุขภาพ

ภาวะขาดธาตุเหล็กอาจก่อให้เกิดอาการ:

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย

  • ผิวซีด ใจสั่น

  • หายใจลำบากระหว่างออกแรง

  • สมาธิสั้นในเด็ก

  • เล็บเปราะ ผมร่วง

Ferritin ต่ำจึงเป็นตัวเตือนที่สำคัญสำหรับสุขภาพโดยเฉพาะในเพศหญิงที่มีประจำเดือน

วิธีควบคุมระดับเฟอร์ริตินให้เหมาะสม

1. ปรับอาหาร

  • สำหรับเฟอร์ริตินต่ำ:

    • เพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ ไข่แดง เนื้อแดง

    • รับประทานอาหารร่วมกับวิตามิน C เพื่อเพิ่มการดูดซึม

  • สำหรับเฟอร์ริตินสูง:

    • ลดการบริโภคเนื้อแดง อาหารเสริมธาตุเหล็ก

    • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์

2. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

  • โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัวหรือโรคเลือด

3. การรักษาภาวะธาตุเหล็กเกิน

  • การบริจาคเลือด (Therapeutic Phlebotomy)

  • การใช้ยา Chelation Therapy เพื่อลดธาตุเหล็ก

การแปลผล Ferritin ที่แม่นยำ

แพทย์มักจะสั่ง ตรวจร่วมกับค่าอื่นๆ เพื่อประเมินภาพรวมของธาตุเหล็กในร่างกาย เช่น:

  • Serum Iron – ธาตุเหล็กในเลือด

  • Total Iron Binding Capacity (TIBC) – ความสามารถของเลือดในการจับเหล็ก

  • Transferrin Saturation – ร้อยละของ Transferrin ที่จับกับเหล็ก

บทสรุป

การตรวจค่า Ferritin เป็นมากกว่าการดูว่าร่างกายขาดหรือเกินธาตุเหล็ก เพราะสามารถบ่งชี้โรคที่ซ่อนอยู่ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นโรคโลหิตจาง มะเร็ง โรคตับ หรือภาวะอักเสบเรื้อรังต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับผลการตรวจนี้ และหากพบความผิดปกติ ควรรับการประเมินเพิ่มเติมจากแพทย์โดยด่วน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: การตรวจ Ferritin เจ็บไหม?
A: ไม่เจ็บมาก เป็นการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำตามปกติ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

Q: ค่า Ferritin สูงอันตรายหรือไม่?
A: ใช่ โดยเฉพาะถ้าเกิดจากภาวะสะสมธาตุเหล็ก อาจนำไปสู่โรคตับ หัวใจ และเสี่ยงต่อมะเร็ง

Q: Ferritin ตรวจได้บ่อยแค่ไหน?
A: แล้วแต่คำแนะนำของแพทย์ หากมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับธาตุเหล็กควรตรวจทุก 6–12 เดือน

Q: การกินธาตุเหล็กเสริมทำให้ค่า Ferritin สูงเกินไปได้หรือไม่?
A: ได้ หากไม่ได้รับการควบคุมจากแพทย์ ควรปรึกษาก่อนใช้เสริมทุกครั้ง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Nussey S, Whitehead S (2001). Endocrinology: an integrated approach. Oxford: Bios Scientific Publ. ISBN 978-1-85996-252-7.

[/vc_column][/vc_row]

Free PSA คืออะไร? ค่าที่ช่วยประเมินมะเร็งต่อมลูกหมากแม่นยำขึ้น

0
Free PSA สารวัดค่าโรคมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดใหม่
Free PSA เป็นสารที่ได้มาจากสารชีวเคมีแปลกปลอมจากต่อมลูกหมาก สารตัวนี้จะลอยอยู่ในกระแสเลือดอย่างอิสระ

Free PSA คืออะไร?

Free PSA หรือ Free Prostate-Specific Antigen คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตโดยเซลล์ต่อมลูกหมากและพบได้ในเลือดในรูปแบบ “อิสระ” หรือไม่ได้จับกับโปรตีนอื่น การตรวจวัดระดับ Free PSA นี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อช่วยวินิจฉัยแยกแยะภาวะที่เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, ต่อมลูกหมากโต (BPH) หรือ การอักเสบของต่อมลูกหมาก (Prostatitis) ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

ความสำคัญของ Free PSA ต่อการคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก

Free PSA มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการคัดกรองโรค โดยเฉพาะเมื่อระดับ [Total PSA] อยู่ในช่วง “เทา” คือระหว่าง 4.0 – 10.0 ng/mL ซึ่งไม่สามารถฟันธงได้ชัดเจนว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งหรือไม่ การตรวจอัตราส่วนระหว่าง Free PSA ต่อ Total PSA ช่วยให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงได้ดีกว่า ลดโอกาสในการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) โดยไม่จำเป็น

Free PSA แตกต่างจาก Total PSA อย่างไร?

ประเภท รายละเอียด
Total PSA รวมทั้ง Free PSA และ PSA ที่จับกับโปรตีนอื่น
Free PSA เฉพาะส่วนที่ลอยอยู่ในเลือดแบบอิสระ
ค่าที่มีความหมาย สัดส่วน Free PSA/Total PSA มีบทบาทมากเมื่อ Total PSA อยู่ในช่วง 4–10 ng/mL

หากสัดส่วน Free PSA ต่ำ (<10%) อาจหมายถึงความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากสูง ในขณะที่ Free PSA สูงกว่า 25% บ่งชี้ว่าความเสี่ยงต่ำ

ขั้นตอนการตรวจ Free PSA

  1. เจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน
  2. ส่งเลือดไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อวัดค่าทั้ง Total และ Free PSA
  3. คำนวณอัตราส่วน Free PSA/Total PSA เพื่อประเมินความเสี่ยง

การเตรียมตัวก่อนตรวจ

  • งดการขี่จักรยาน การมีเพศสัมพันธ์ และกิจกรรมที่กดทับต่อมลูกหมากภายใน 48 ชั่วโมง
  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาและโรคประจำตัว

ปัจจัยที่มีผลต่อค่าผลตรวจ Free PSA

ปัจจัย ผลกระทบต่อค่า
การอักเสบของต่อมลูกหมาก อาจทำให้ค่า Free และ Total PSA สูงขึ้นชั่วคราว
การออกกำลังกายหนัก โดยเฉพาะกิจกรรมกดทับ เช่น ปั่นจักรยาน
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เพิ่มระดับ PSA โดยไม่เกี่ยวกับมะเร็ง
การมีเพศสัมพันธ์ อาจเพิ่มค่า PSA ชั่วคราว

การแปลผลค่า Free PSA อย่างแม่นยำ

  • Free PSA >25% → ความเสี่ยงต่ำ
  • Free PSA 10–25% → ความเสี่ยงปานกลาง
  • Free PSA <10% → ความเสี่ยงสูง ควรพิจารณา biopsy เพิ่มเติม

หมายเหตุ: การแปลผลควรพิจารณาร่วมกับอาการ เช่น ปัสสาวะผิดปกติ, ปวดในอุ้งเชิงกราน, ประวัติครอบครัว

Free PSA ในบริบทของโรคต่างๆ

  • มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer): ค่า Free PSA มักต่ำกว่าปกติ
  • ต่อมลูกหมากโต (BPH): Free PSA และ Total PSA อาจสูง แต่สัดส่วนปกติ
  • การอักเสบของต่อมลูกหมาก: PSA อาจสูงทั้งคู่ แต่ไม่ใช่จากมะเร็ง

Free PSA กับการวินิจฉัยร่วมกับเครื่องมืออื่น

  • MRI ต่อมลูกหมาก: ใช้เมื่อต้องการภาพแม่นยำก่อน biopsy
  • PHI (Prostate Health Index): ค่าที่รวม Total PSA, Free PSA และ [-2]proPSA
  • Biopsy: พิจารณาทำเมื่อค่าบ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูง

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่า Free PSA ต่ำกว่าปกติ

  • ไม่ควรวิตกเกินไป
  • ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจเพิ่มเติม เช่น MRI หรือ Biopsy
  • ควรตรวจติดตามซ้ำทุก 6-12 เดือนตามคำแนะนำ

การดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของโรคต่อมลูกหมาก

อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยง

  • ผักใบเขียว, แครอท, มะเขือเทศ (ไลโคปีนสูง)
  • ปลาไขมันดี เช่น แซลมอน, ซาร์ดีน
  • ลดเนื้อแดงและไขมันอิ่มตัว

พฤติกรรมที่ควรปฏิบัติ

  • ออกกำลังกาย 150 นาที/สัปดาห์
  • เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ดื่มน้ำมากพอและปัสสาวะสม่ำเสมอ

เมื่อไรควรตรวจ Free PSA?

  • ผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • มีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะติดขัด
  • มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ตรวจพบค่า Free PSA ต่ำ

  • อย่าด่วนสรุปว่าตนเองเป็นมะเร็ง
  • พิจารณาการตรวจ MRI ร่วมด้วย
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะ

Free PSA กับการพยากรณ์โรคและการติดตามผล

  • ใช้ติดตามผลการรักษาหลังผ่าตัดหรือฉายแสง
  • ค่าที่ลดลงหลังการรักษาหมายถึงผลตอบสนองที่ดี
  • หากค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินการกลับเป็นซ้ำ

สรุป: Free PSA คือกุญแจสำคัญสู่การวินิจฉัยอย่างแม่นยำ

  • Free PSA เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แม่นยำและลดความจำเป็นในการตัดชิ้นเนื้อโดยไม่จำเป็น
  • ใช้ร่วมกับ Total PSA, MRI และ PHI เพื่อประเมินแบบองค์รวม
  • ผู้ชายควรเข้ารับการตรวจสุขภาพต่อมลูกหมากสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง

FAQ: คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ Free PSA

Q: ตรวจ Free PSA เมื่อไหร่จึงเหมาะสม?

A: เมื่อค่า Total PSA อยู่ในช่วง 4–10 ng/mL หรือมีอาการผิดปกติ

Q: ค่า Free PSA ต่ำ = เป็นมะเร็งแน่นอนหรือไม่?

A: ไม่แน่นอน ต้องพิจารณาร่วมกับค่า Total PSA และ MRI

Q: การมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจมีผลต่อผลตรวจหรือไม่?

A: มี ควรงดก่อนตรวจอย่างน้อย 48 ชั่วโมง

Q: Free PSA ต้องตรวจทุกปีหรือไม่?

A: ถ้ามีความเสี่ยงต่ำ อาจตรวจทุก 1–2 ปี แต่ถ้ามีความเสี่ยงสูง ควรตรวจถี่ขึ้นตามคำแนะนำแพทย์

Q: ค่า Free PSA ปกติ = ไม่มีมะเร็งแน่นอนหรือไม่?

A: ไม่ใช่ ค่าปกติช่วยลดความเสี่ยงแต่ไม่ได้การันตี 100%

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

[/vc_column][/vc_row]

Total PSA คืออะไร? ตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากและดูแลสุขภาพชายอย่างรอบด้าน

0
Total PSA สารตรวจวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมาก
PSA เป็นสารที่ใช้ในการวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมาก ทำให้ทราบถึงความผิดปกติของต่อมลูกหมาก

Total PSA คืออะไร?

Total PSA (Prostate-Specific Antigen) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างโดย ต่อมลูกหมาก ซึ่งพบได้ในเลือดของเพศชายในระดับต่ำตามปกติ การตรวจวัดระดับ Total PSA ในเลือดจึงเป็นวิธีการสำคัญที่ใช้คัดกรอง วินิจฉัย และติดตามอาการของ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมถึงโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาวะต่อมลูกหมากโต และการอักเสบของต่อมลูกหมาก

การเปลี่ยนแปลงของระดับ PSA อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในต่อมลูกหมาก แม้ไม่ได้เป็นมะเร็งก็ตาม จึงมีความสำคัญในการเฝ้าระวังและประเมินสุขภาพผู้ชายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป

บทบาทของ Total PSA ในการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก

PSA ตรวจหาอะไรได้บ้าง?

  • มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer)

  • ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH)

  • ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)

อย่างไรก็ตาม ค่า PSA เพียงอย่างเดียวไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ จำเป็นต้องใช้ร่วมกับข้อมูลจากประวัติสุขภาพ การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น การตรวจ Free PSA, MRI หรือ การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย

วิธีการตรวจ Total PSA และการเตรียมตัว

ขั้นตอนการตรวจ PSA

  1. เจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ ที่แขนของผู้ป่วย

  2. ส่งตัวอย่างเลือดไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

  3. ผลลัพธ์จะแสดงระดับ PSA ในหน่วย นาโนกรัม/มิลลิลิตร (ng/mL)

การเตรียมตัวก่อนตรวจ

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ 24-48 ชั่วโมงก่อนการตรวจ

  • หลีกเลี่ยงการขี่จักรยานหรือกิจกรรมที่กระทบกระเทือนต่อมลูกหมาก

  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยา เช่น ยาขับปัสสาวะหรือยาฮอร์โมน

การแปลผล Total PSA

ค่าปกติของ Total PSA

ช่วงอายุ ค่า PSA โดยประมาณ
< 50 ปี < 2.5 ng/mL
50-59 ปี < 3.5 ng/mL
60-69 ปี < 4.5 ng/mL
≥ 70 ปี < 6.5 ng/mL

ค่าที่สูงกว่าเกณฑ์อาจเป็นสัญญาณของ:

  • มะเร็งต่อมลูกหมาก

  • การติดเชื้อหรืออักเสบของต่อมลูกหมาก

  • ภาวะต่อมลูกหมากโต

ค่าผิดปกติหมายถึงอะไร?

  • PSA > 4.0 ng/mL: ต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น Free PSA หรือ MRI

  • PSA > 10.0 ng/mL: เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งอย่างมีนัยสำคัญ

  • PSA Velocity: ถ้าเพิ่มเร็วกว่า 0.75 ng/mL ต่อปี ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

Total PSA vs. Free PSA

Free PSA หมายถึงค่า PSA ที่ไม่จับกับโปรตีนในเลือด การเปรียบเทียบสัดส่วนของ Free PSA ต่อ Total PSA สามารถช่วยแยกระหว่างมะเร็งกับภาวะอื่น ๆ ได้:

สัดส่วน Free PSA (%) ความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก
> 25% ต่ำ
10–25% ปานกลาง
< 10% สูง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า PSA

ปัจจัยที่ทำให้ PSA สูงชั่วคราว

  • มีเพศสัมพันธ์ใกล้วันตรวจ

  • ขี่จักรยานหรือเล่นกีฬาที่กระทบอุ้งเชิงกราน

  • การอักเสบของต่อมลูกหมาก

  • การตรวจทางทวารหนัก (DRE)

ปัจจัยที่ทำให้ PSA ต่ำผิดปกติ

  • ยาบางชนิด เช่น finasteride หรือ dutasteride

  • น้ำหนักตัวมาก (ค่า BMI สูง)

แนวทางดูแลสุขภาพต่อมลูกหมาก

อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยง

  • มะเขือเทศ (มีไลโคปีน)

  • ผักใบเขียว

  • ถั่วเหลือง

  • ปลาทะเลน้ำลึก (มีกรดไขมันโอเมก้า 3)

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง

  • สูบบุหรี่

  • ดื่มแอลกอฮอล์จัด

  • อาหารแปรรูป ไขมันสูง

ควรตรวจ Total PSA เมื่อไร?

  • ทุกปีตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป

  • อายุน้อยกว่า 50 ปี หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

  • มีอาการปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่สุด

  • เจ็บหรืออึดอัดในบริเวณอุ้งเชิงกราน

สรุป

Total PSA เป็นการตรวจเลือดที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินสุขภาพต่อมลูกหมาก และคัดกรองความเสี่ยงต่อมะเร็ง แต่ไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์การวินิจฉัยโรคเพียงลำพัง การพิจารณาค่าที่ได้ต้องดูร่วมกับอาการ ประวัติครอบครัว และผลการตรวจอื่นๆ เช่น Free PSA, MRI, และ Biopsy

การตรวจ Total PSA อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จะช่วยให้ผู้ชายมีโอกาสรับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและเพิ่มโอกาสการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ – คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Total PSA

Q1: Total PSA ตรวจเพื่อวินิจฉัยมะเร็งได้หรือไม่?

A: ไม่ได้โดยลำพัง ต้องใช้ร่วมกับการตรวจอื่น เช่น Free PSA, MRI หรือ Biopsy

Q2: ค่า PSA ปกติแต่ยังมีความเสี่ยงมะเร็งได้หรือไม่?

A: ได้ ผู้ป่วยบางรายที่เป็นมะเร็ง PSA ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงควรใช้การตรวจอื่นร่วมด้วยเสมอ

Q3: ควรตรวจ PSA บ่อยแค่ไหน?

A: ทุก 1 ปี สำหรับผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

Q4: ค่า PSA สูงแน่นอนว่าเป็นมะเร็งใช่หรือไม่?

A: ไม่จำเป็นเสมอ ค่า PSA อาจสูงจากการติดเชื้อหรืออักเสบได้ ควรให้แพทย์วินิจฉัยเพิ่มเติม

Q5: วิธีป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากที่ดีที่สุดคืออะไร?

A: ปรับพฤติกรรมสุขภาพ เช่น รับประทานอาหารดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์ และตรวจสุขภาพประจำปี

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

Catalona WJ, Richie JP, Ahmann FR, Hudson MA, Scardino PT, Flanigan RC, deKernion JB, Ratliff TL, Kavoussi LR, Dalkin BL (May 1994). “Comparison of digital rectal examination and serum prostate specific antigen in the early detection of prostate cancer: results of a multicenter clinical trial of 6,630 men”. The Journal of Urology. 151 (5): 1283–90. PMID 7512659.

Velonas VM, Woo HH, dos Remedios CG, Assinder SJ (2013). “Current status of biomarkers for prostate cancer”. International Journal of Molecular Sciences. 14 (6): 11034–60. doi:10.3390/ijms140611034. PMC 3709717 Freely accessible. PMID 23708103.

“Prostate cancer – PSA testing – NHS Choices”. NHS Choices. 3 January 2015.

“Talking With Your Patients About Screening for Prostate Cancer” (PDF). Retrieved 2012-07-02.

[/vc_column][/vc_row]