CA 15-3 คืออะไร? การตรวจค่า CA 15-3 กับมะเร็งเต้านม และการแปลผล

0
Cancer Antigen
CA 15-3 เป็นสารที่จะใช้ในการวัดค่าเพื่อหามะเร็งเต้านม ว่าผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยมะเร็งเต้านมจริงๆ และติดตามผลการรักษามะเร็งเต้านม

CA 15-3 คืออะไร?

CA 15-3 หรือ Cancer Antigen 15-3 คือโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะจากมะเร็งเต้านมชนิดเยื่อบุ (epithelial breast cancer) การตรวจวัดระดับ CA 15-3 ในเลือดใช้เพื่อติดตามผลการรักษาและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัยเบื้องต้น

บทบาทของ CA 15-3 ในมะเร็งเต้านม

ทำไมต้องตรวจ CA 15-3?

  • เพื่อติดตามผลการรักษามะเร็งเต้านม
  • ประเมินการตอบสนองต่อการรักษา เช่น เคมีบำบัด หรือฮอร์โมนบำบัด
  • ตรวจหาการกลับมาเป็นซ้ำของโรค
  • ใช้ร่วมกับ Tumor Marker อื่น เช่น [CEA] หรือ HER2

ไม่เหมาะสำหรับอะไร?

  • ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียวในการวินิจฉัย มะเร็งเต้านมในระยะแรก
  • มีโอกาสแสดงค่า “สูงผิดปกติ” จากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง เช่น การอักเสบหรือการตั้งครรภ์

การตรวจ CA 15-3 ทำอย่างไร?

  1. เจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน
  2. ส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการ
  3. รอผลวิเคราะห์ซึ่งแสดงค่าในหน่วย U/mL

ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจไหม?

  • โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร
  • แจ้งแพทย์หากใช้ยาฮอร์โมน หรือมีภาวะตั้งครรภ์
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักก่อนการตรวจ 24 ชั่วโมง

การแปลผลค่าผลตรวจ CA 15-3

ค่า CA 15-3 (U/mL)

ความหมายเบื้องต้น

< 30

ปกติ
30 – 100

อาจมีความผิดปกติ ต้องตรวจซ้ำ

> 100

เสี่ยงมะเร็งเต้านมหรือแพร่กระจาย

หมายเหตุ: ค่าอาจแปรเปลี่ยนได้ตามห้องปฏิบัติการ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าผลตรวจ CA 15-3

โรคหรือภาวะที่ทำให้ค่า CA 15-3 สูง:

  • มะเร็งเต้านม (ระยะลุกลาม)
  • มะเร็งรังไข่
  • มะเร็งปอด
  • มะเร็งตับ

ภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง:

  • โรคตับ (ตับอักเสบ, ตับแข็ง)
  • การตั้งครรภ์
  • ซีสต์ในเต้านม
  • การอักเสบของเต้านม

CA 15-3 vs แมมโมแกรม / อัลตราซาวด์

ด้านการใช้งาน

CA 15-3 แมมโมแกรม / อัลตราซาวด์

คัดกรองเบื้องต้น

ตรวจวินิจฉัยโรค

ติดตามผลการรักษา

ตรวจหาการกลับเป็นซ้ำ

เมื่อไรควรตรวจ CA 15-3?

  • หลังการผ่าตัดหรือทำเคมีบำบัด เพื่อประเมินประสิทธิภาพ
  • ผู้ที่เป็น มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม
  • มีอาการสงสัยว่ามะเร็งกลับมา เช่น น้ำหนักลด ปวดกระดูก เหนื่อยง่าย

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่า CA 15-3 สูง

  • อย่าตกใจทันที ต้องตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน
  • อาจต้องทำแมมโมแกรม อัลตราซาวด์ หรือ CT scan เพิ่มเติม
  • ปรึกษาแพทย์ด้านมะเร็งวิทยาโดยตรง

วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

พฤติกรรมแนะนำ:

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ ผักผลไม้
  • จำกัดการบริโภคไขมันอิ่มตัว และอาหารแปรรูป
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่

การตรวจสุขภาพประจำปี:

  • ตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน
  • ทำแมมโมแกรมตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป
  • ตรวจสารบ่งชี้ CA 15-3 สำหรับผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือแพทย์แนะนำ

สรุป

การตรวจ CA 15-3 เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการรักษามะเร็งเต้านมและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำ โดยเฉพาะในผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยและรักษาแล้ว อย่างไรก็ตาม ค่านี้ไม่เหมาะสำหรับใช้คัดกรองโรคในระยะแรก และต้องใช้ร่วมกับการตรวจอื่นเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและครอบคลุมที่สุด

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ร่วมกับการตรวจเต้านมอย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ – คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ CA 15-3

Q: ค่า CA 15-3 ปกติแปลว่าไม่เป็นมะเร็งใช่ไหม?

A: ไม่แน่เสมอไป มะเร็งบางระยะอาจไม่ทำให้ค่า CA 15-3 สูง จึงควรใช้ร่วมกับวิธีอื่น เช่น แมมโมแกรม

Q: ตรวจ CA 15-3 บ่อยแค่ไหน?

A: ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาหรือมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม

Q: ค่า CA 15-3 สูงแน่นอนว่าเป็นมะเร็งหรือไม่?

A: ไม่จำเป็น อาจเกิดจากการอักเสบ ซีสต์ หรือแม้แต่ตั้งครรภ์ จึงต้องมีการตรวจเพิ่มเติม

Q: ถ้ามีอาการผิดปกติแต่ค่า CA 15-3 ปกติ ควรทำอย่างไร?

A: ยังจำเป็นต้องตรวจร่างกายและทำแมมโมแกรมเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

[/vc_column][/vc_row]

Cancer Antigen 19-9 (CA 19-9) คืออะไร? ค่าตรวจเลือดที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งทางเดินอาหาร

0
CA 19-9 สารวัดค่ามะเร็งช่องทางเดินการย่อยอาหาร
สารที่ใช้ในการวัดค่ามะเร็งในช่องทางเดินการย่อยอาหาร เพื่อตรวจหามะเร็ง

CA 19-9 คืออะไร?

Cancer Antigen 19-9 (CA 19-9) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งบางชนิดและเซลล์ปกติในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะตับอ่อน ทางเดินน้ำดี และกระเพาะอาหาร ในทางการแพทย์ CA 19-9 ถือเป็น Tumor Marker หรือสารบ่งชี้มะเร็งที่สามารถใช้ตรวจวัดระดับในเลือด เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางประเภท โดยเฉพาะ:

  • มะเร็งตับอ่อน

  • มะเร็งท่อน้ำดี

  • มะเร็งกระเพาะอาหาร

  • มะเร็งลำไส้ใหญ่

ความสำคัญของ CA 19-9 ต่อการแพทย์

จุดประสงค์หลักของการตรวจ CA 19-9

  1. ติดตามผลการรักษามะเร็ง: ช่วยประเมินว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาได้ดีหรือไม่

  2. ตรวจหาการกลับเป็นซ้ำ: ช่วยจับสัญญาณว่ามะเร็งอาจกลับมาอีกครั้ง

  3. ประกอบการวินิจฉัยมะเร็ง: ร่วมกับการตรวจภาพ เช่น CT scan, MRI

อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้ CA 19-9 เป็นเครื่องมือคัดกรองมะเร็งในคนทั่วไป เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความจำเพาะเจาะจง

วิธีตรวจ CA 19-9

การตรวจ CA 19-9 ทำได้โดย การเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ แล้วส่งตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ใช้เวลาประมาณ 1–3 วันในการรายงานผล

ข้อควรรู้ก่อนตรวจ:

  • ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร

  • แจ้งแพทย์เรื่องการใช้ยา โรคตับ หรือประวัติอักเสบของระบบย่อยอาหาร

การแปลผลค่าของ CA 19-9

ค่า CA 19-9 (U/mL) ความหมาย
< 37 ปกติ
37–100 อาจเกิดจากภาวะอักเสบหรือโรคตับ
> 100 มีแนวโน้มสัมพันธ์กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อนหรือทางเดินน้ำดี

หมายเหตุ: ค่าที่สูงขึ้นไม่ได้ยืนยันการเป็นมะเร็ง 100% ต้องประเมินร่วมกับการตรวจอื่นและอาการของผู้ป่วย

ปัจจัยที่อาจทำให้ค่า CA 19-9 สูงโดยไม่ใช่มะเร็ง

  • โรคตับอักเสบเรื้อรัง

  • ตับอ่อนอักเสบ

  • นิ่วในถุงน้ำดี

  • ท่อน้ำดีอักเสบหรืออุดตัน

  • ภาวะติดเชื้อทางเดินอาหาร

  • การสูบบุหรี่

CA 19-9 และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร

1. มะเร็งตับอ่อน

CA 19-9 ถือเป็นตัวบ่งชี้หลัก เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้มักผลิตสารนี้ในปริมาณสูง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม

2. มะเร็งทางเดินน้ำดี

ผู้ป่วยมักมีค่า CA 19-9 สูงอย่างมีนัยสำคัญ ร่วมกับอาการดีซ่าน ตับโต หรือท่อน้ำดีอุดตัน

3. มะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้

พบค่าที่สูงขึ้นได้ในบางราย โดยเฉพาะเมื่อมะเร็งมีการแพร่กระจาย

จุดแข็งและข้อจำกัดของ CA 19-9

จุดแข็ง ข้อจำกัด
ใช้ติดตามผลการรักษาได้ดี ไม่เหมาะกับการวินิจฉัยระยะเริ่มต้น
ตอบสนองต่อการรักษาไว ค่าสูงจากโรคอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งได้
ใช้ร่วมกับ Tumor Marker อื่นเพิ่มความแม่นยำ ประมาณ 5–10% ของประชากรไม่มีแอนติเจน CA 19-9 จึงให้ผลเป็นลบแม้มีมะเร็ง

แนวทางปฏิบัติหากพบค่า CA 19-9 สูง

  1. ไม่ควรตื่นตระหนก ค่า CA 19-9 สูงไม่ได้หมายถึงเป็นมะเร็งแน่นอน

  2. ควรเข้ารับการตรวจเพิ่มเติม เช่น CT, MRI, PET/CT หรือการส่องกล้อง

  3. ติดตามค่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแนวโน้มว่าค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงหลังการรักษา

แนวทางป้องกันมะเร็งระบบทางเดินอาหาร

1. โภชนาการที่ดี

  • รับประทานผักผลไม้ให้เพียงพอ

  • ลดเนื้อแดงและอาหารปิ้งย่าง

  • หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง

2. พฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยง

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

3. ตรวจสุขภาพประจำปี

  • โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัว

  • แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ Tumor Marker เช่น CEA, CA 19-9, AFP ร่วมด้วย

เมื่อไรควรพบแพทย์

หากคุณมีอาการต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง:

  • ปวดท้องเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)

  • น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ

  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้เรื้อรัง

  • อุจจาระมีลักษณะผิดปกติ เช่น สีซีด เหลว หรือมีเลือด

คำแนะนำสำหรับผู้มีค่า CA 19-9 สูง

  • ห้ามวินิจฉัยด้วยตนเองจากค่าเดียว

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม

  • อย่าหยุดติดตามค่าตรวจ แม้ค่าเริ่มกลับมาอยู่ในระดับปกติ

  • ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพโดยรวมมากกว่าค่าใดค่าหนึ่ง

บทสรุป

CA 19-9 คือเครื่องมือสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งทางเดินอาหาร โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งทางเดินน้ำดี แม้ไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือวินิจฉัยเริ่มต้นได้ แต่หากใช้ร่วมกับการตรวจอื่นๆ จะเพิ่มความแม่นยำในการประเมินโรคได้มากขึ้น

ควรตระหนักว่า สุขภาพที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าตัวเลขเพียงค่าเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต การดูแลร่างกาย และการพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ตรวจ CA 19-9 ต้องอดอาหารหรือไม่?
A: ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาและโรคประจำตัวก่อนตรวจ

Q2: ค่า CA 19-9 สูงเสมอในมะเร็งตับอ่อนหรือไม่?
A: ไม่เสมอ โดยเฉพาะในรายที่ไม่มีแอนติเจน CA 19-9 ในร่างกาย

Q3: ตรวจ CA 19-9 อย่างเดียวเพียงพอหรือไม่?
A: ไม่เพียงพอ ควรใช้ร่วมกับการตรวจทางภาพและ Tumor Marker อื่น

Q4: CA 19-9 ใช้กับมะเร็งอะไรได้บ้าง?
A: ใช้ติดตามมะเร็งตับอ่อน ทางเดินน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้ และบางรายของตับ

Q5: ค่า CA 19-9 ต่ำสามารถบอกได้ว่าหายจากมะเร็งแล้วหรือไม่?
A: ค่าอาจลดลงหลังการรักษา แต่ยังไม่รับประกันว่ามะเร็งหายขาด ต้องติดตามต่อเนื่อง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

[/vc_column][/vc_row]

Carcinoembryonic Antigen (CEA) คืออะไร? ตรวจค่าสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ควรรู้

0
โรคมะเร็งลำไส้โดยเกิดก้อนเนื้อเล็กๆในลำไส้ จะเกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณลำไส้เล็กจนถึงปลายทวานหนัก
โรคมะเร็งลำไส้โดยเกิดก้อนเนื้อเล็กๆในลำไส้ จะเกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณลำไส้เล็กจนถึงปลายทวานหนัก

Carcinoembryonic Antigen (CEA) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในระดับที่สูงในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในระยะที่โรคเริ่มลุกลามหรือแพร่กระจาย การตรวจหา CEA จึงถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญเพื่อ ติดตามผลการรักษา และประเมินความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำของโรค นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในมะเร็งชนิดอื่นได้ด้วย แม้จะมีความจำเพาะไม่สูงเท่ากับมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยตรง

CEA คืออะไร?

CEA (Carcinoembryonic Antigen) เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติบางชนิด โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร ในคนทั่วไประดับ CEA จะต่ำมาก แต่เมื่อมีมะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม และ มะเร็งปอด ระดับของ CEA จะเพิ่มสูงขึ้นจนสามารถตรวจพบได้ในเลือด

การใช้ CEA กับมะเร็งลำไส้ใหญ่

จุดประสงค์ของการตรวจ CEA

  • ติดตามผลการรักษา: หากค่าลดลง แสดงว่าร่างกายตอบสนองต่อการรักษา

  • ติดตามการกลับมาเป็นซ้ำ: ค่าที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งชี้ถึงการกลับมาเป็นมะเร็ง

  • ใช้พยากรณ์โรค: ค่าที่สูงมักสัมพันธ์กับมะเร็งระยะลุกลาม

  • ไม่ใช้สำหรับคัดกรองเบื้องต้น เนื่องจากไม่สามารถวินิจฉัยมะเร็งระยะแรกได้อย่างแม่นยำ

วิธีการตรวจ CEA

  1. เจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน

  2. ส่งตัวอย่างเลือดไปยังห้องปฏิบัติการ

  3. รอผลประมาณ 1–2 วัน แล้วนำผลไปให้แพทย์แปลผลร่วมกับการตรวจอื่นๆ

การแปลผลค่า CEA

กลุ่มผู้ตรวจ ค่า CEA ปกติ (ng/mL)
ผู้ไม่สูบบุหรี่ < 2.5
ผู้สูบบุหรี่ < 5.0

หมายเหตุ: ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มมีค่า CEA สูงโดยไม่มีมะเร็ง

ค่าสูงแค่ไหนจึงผิดปกติ?

  • >10 ng/mL: มีความเสี่ยงมะเร็งสูง ต้องตรวจเพิ่มเติมทันที

  • 5–10 ng/mL: อยู่ในช่วงที่ต้องติดตามซ้ำ

  • <5 ng/mL: หากไม่สูบบุหรี่ ถือว่าปกติ

ปัจจัยที่ทำให้ CEA สูงได้โดยไม่ใช่มะเร็ง

  • การสูบบุหรี่

  • ภาวะอักเสบในร่างกาย

  • โรคตับ (ตับแข็ง, ไวรัสตับอักเสบ)

  • โรคลำไส้อักเสบ เช่น Crohn’s disease หรือ Ulcerative colitis

  • การตั้งครรภ์ในบางกรณี

CEA กับมะเร็งชนิดอื่น

แม้ [CEA] จะมีความสัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้ใหญ่มากที่สุด แต่ก็สามารถพบระดับที่สูงขึ้นในมะเร็งเหล่านี้ได้:

  • มะเร็งตับ

  • มะเร็งตับอ่อน

  • มะเร็งเต้านม

  • มะเร็งปอด

  • มะเร็งกระเพาะอาหาร

CEA vs. การตรวจอื่น

วิธีตรวจ จุดประสงค์ ความแม่นยำ ใช้ร่วมกับ
CEA ติดตามผลการรักษา ปานกลาง CT Scan, Colonoscopy
Colonoscopy คัดกรอง + วินิจฉัย สูง ใช้คู่กับ CEA
FIT Test คัดกรองเลือดในอุจจาระ ปานกลาง สำหรับประชาชนทั่วไป

แนวทางปฏิบัติเมื่อตรวจพบ CEA สูง

  1. ไม่ควรตื่นตระหนกทันที

  2. ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินซ้ำ

  3. อาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น CT scan, PET/CT หรือ Colonoscopy

  4. ตรวจซ้ำทุก 1–3 เดือน หากอยู่ในช่วงติดตามผลการรักษา

การดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่

อาหาร

  • เลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันสูง

  • เพิ่มผัก ผลไม้ และใยอาหาร

  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ

พฤติกรรม

  • หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ค่า CEA เท่าไรถึงเรียกว่าสูง?

A: หากเกิน 5.0 ng/mL (ผู้สูบบุหรี่) หรือ 2.5 ng/mL (ผู้ไม่สูบบุหรี่) ถือว่าเริ่มผิดปกติ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

Q: CEA ใช้ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 100% ไหม?

A: ไม่สามารถยืนยันมะเร็งได้ 100% จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการตรวจอื่น เช่น colonoscopy

Q: ถ้าค่า CEA ปกติแปลว่าไม่เป็นมะเร็งแน่นอนหรือไม่?

A: ไม่แน่นอน บางกรณีมะเร็งอาจไม่ทำให้ CEA เพิ่มขึ้น

Q: ต้องตรวจ CEA บ่อยแค่ไหน?

A: สำหรับผู้ที่เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตรวจทุก 3–6 เดือนในช่วง 2 ปีแรก และปีละครั้งหลังจากนั้น

สรุป

การตรวจ Carcinoembryonic Antigen (CEA) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ติดตามผลการรักษาและการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แม้ไม่เหมาะสำหรับการวินิจฉัยมะเร็งในระยะแรกเริ่ม แต่ก็เป็นส่วนเสริมที่มีคุณค่าเมื่อนำมาใช้ร่วมกับการตรวจอื่น การรู้จักค่าที่เหมาะสมของ CEA และเข้าใจข้อจำกัดของมันจะช่วยให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปตัดสินใจดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น

[/vc_column_text]

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

[/vc_column][/vc_row]

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง: ขั้นตอน ประเมินอาการ และแนวทางตรวจพบโรคระยะเริ่มต้น

0
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง
เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ระยะใด และหาแนวทางรักษาต่อไป

โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก การตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำจึงมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาด การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การหาว่ามีโรคอยู่หรือไม่เท่านั้น แต่รวมถึงการวิเคราะห์ความรุนแรง ระยะของโรค การประเมินผลสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และการวางแผนการรักษาอย่างครอบคลุม

การตรวจวินิจฉัยคืออะไร?

“การวินิจฉัย” หมายถึงกระบวนการทางการแพทย์ที่ทำเพื่อให้ทราบว่า ผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยโรคอะไร ซึ่งในกรณีของโรคมะเร็ง หมายถึงการยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ถ้าเป็น จะต้องประเมินชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค ภาวะแทรกซ้อน และผลกระทบทางสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

เป้าหมายของการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง

  1. ตรวจสอบว่ามีโรคมะเร็งหรือไม่

  2. ระบุชนิดของมะเร็ง

  3. ประเมินระยะของโรค

  4. ประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

  5. ใช้เป็นแนวทางเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม

  6. ใช้ติดตามผลลัพธ์ของการรักษา

  7. ค้นหาความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ

ขั้นตอนการวินิจฉัย: ตั้งแต่ซักประวัติถึงการติดตามผล

1. ซักประวัติและอาการเบื้องต้น

  • อาการหลักที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ เช่น ปวดท้อง คลำพบก้อนเนื้อ

  • อาการรอง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

  • ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง

  • พฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

2. การตรวจร่างกาย

แพทย์จะตรวจดูอวัยวะภายนอกที่ผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังเปลี่ยนสี

3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • ตรวจเลือดทั่วไป (CBC, Chemistry)

  • ตรวจหา Tumor Marker เช่น AFP, CEA, CA 19-9, PSA

4. การตรวจภาพรังสี

  • X-ray

  • CT Scan

  • MRI

  • PET Scan

5. การส่องกล้องและเก็บตัวอย่าง

  • ส่องกล้องทางเดินอาหาร

  • ส่องกล้องมดลูก

  • การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy)

อาการสำคัญที่ควรสังเกต

อาการ โรคที่อาจเกี่ยวข้อง
ก้อนเนื้อโตเร็วผิดปกติ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน
เสียงแหบเรื้อรัง มะเร็งกล่องเสียง
ไฝเปลี่ยนสี เปลี่ยนรูป มะเร็งผิวหนัง
อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งลำไส้

วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งแต่ละประเภท

มะเร็งปอด

  • ตรวจภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray)

  • CT Scan ปอด

  • ตรวจเสมหะ

  • ส่องกล้องทางเดินหายใจ (Bronchoscopy)

มะเร็งตับ

  • ตรวจเลือดหา AFP

  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง

  • MRI ตับ

  • เจาะชิ้นเนื้อจากตับ

มะเร็งเต้านม

  • คลำก้อนเต้านม

  • แมมโมแกรม (Mammogram)

  • Ultrasound เต้านม

  • เจาะชิ้นเนื้อ

มะเร็งลำไส้ใหญ่

  • ส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy)

  • ตรวจอุจจาระ

  • ตรวจ CEA, CA 19-9

  • CT abdomen

มะเร็งปากมดลูก

  • ตรวจ Pap smear

  • ตรวจ HPV DNA

  • ส่องกล้องปากมดลูก (Colposcopy)

  • เจาะเนื้อเยื่อปากมดลูก

การแปลผลและจัดกลุ่มระยะของโรค

การวินิจฉัยโรคมะเร็งไม่ได้จบเพียงแค่ทราบว่าเป็นหรือไม่ แต่ยังต้องประเมินว่าอยู่ใน “ระยะ” ใด ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่

ระยะ รายละเอียด
ระยะที่ 0 มะเร็งยังอยู่เฉพาะที่
ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มลุกลามเล็กน้อย
ระยะที่ 2-3 มะเร็งลุกลามถึงเนื้อเยื่อใกล้เคียง
ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว

การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย

  • Next-Generation Sequencing (NGS): ตรวจ DNA เพื่อดูการกลายพันธุ์ของยีน

  • PET/CT Scan: ตรวจการเผาผลาญของเนื้อเยื่อมะเร็งในร่างกาย

  • Liquid Biopsy: ตรวจ DNA มะเร็งจากเลือด

  • AI Diagnostic Imaging: ใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์ภาพทางรังสี

การติดตามผลหลังการรักษา

หลังการรักษาแล้ว ผู้ป่วยยังคงต้องติดตามผลเป็นระยะ เช่น

  • ตรวจเลือดซ้ำเพื่อดูค่า Tumor Marker

  • ตรวจภาพรังสีซ้ำทุก 3-6 เดือน

  • สังเกตอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกลับมา

การติดตามผลที่ดีช่วยให้การตรวจพบการกลับมาเป็นซ้ำได้เร็ว และสามารถวางแผนการรักษาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

สรุป: ความหวังจากการวินิจฉัยที่แม่นยำ

การวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ถูกต้องและทันท่วงทีเป็นกุญแจสำคัญในการยืดอายุผู้ป่วย และลดความรุนแรงของโรค กระบวนการวินิจฉัยไม่ใช่เพียงการยืนยันโรคเท่านั้น แต่รวมถึงการประเมินสุขภาพอย่างครอบคลุม การเลือกวิธีการรักษา และการติดตามผลในระยะยาว หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ โอกาสหายขาดจากโรคมะเร็งก็มีสูงมากขึ้นอย่างชัดเจน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งจำเป็นสำหรับใคร?

ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น น้ำหนักลด คลำเจอก้อนเนื้อ เสียงแหบเรื้อรัง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรเข้ารับการวินิจฉัยเพื่อให้ทราบสาเหตุและวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง

2. การตรวจเลือดสามารถระบุโรคมะเร็งได้แม่นยำแค่ไหน?

การตรวจเลือดหา Tumor Marker ช่วยคัดกรองและติดตามผลมะเร็งบางชนิดได้ดี แต่ยังไม่แม่นยำ 100% จึงควรใช้ร่วมกับการตรวจอื่นๆ เช่น ส่องกล้อง หรือ CT scan

3. การตรวจมะเร็งลำไส้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

ต้องงดอาหารบางประเภทก่อนตรวจ และล้างลำไส้ด้วยน้ำยาหรือยาถ่ายตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผลการส่องกล้องชัดเจนที่สุด

4. การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) มีความเสี่ยงหรือไม่?

โดยทั่วไปปลอดภัย แต่อาจเกิดเลือดออกหรือการติดเชื้อได้บ้าง แพทย์จะประเมินความเหมาะสมก่อนดำเนินการ

5. ตรวจวินิจฉัยพบมะเร็งเร็ว มีโอกาสหายไหม?

มีโอกาสหายสูง โดยเฉพาะหากตรวจพบในระยะที่ 0–1 ซึ่งยังไม่แพร่กระจาย โอกาสรักษาหายได้มากกว่า 70–90% ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและสุขภาพผู้ป่วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2009). “Cancer”. World Health Organization.

Cancer by tumour type. Journal of Internal Medicine. 

[/vc_column][/vc_row]

ตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Marker): แนวทางวินิจฉัยโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น

0
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง

ความสำคัญของการตรวจเลือดเพื่อหามะเร็ง

โรคมะเร็งในยุคปัจจุบันมักแฝงตัวอยู่โดยไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก การวินิจฉัยที่ล่าช้ามักส่งผลให้การรักษาได้ผลน้อยลง การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง หรือ Tumor Marker จึงเป็นหนึ่งในแนวทางการตรวจคัดกรองที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ

Tumor Marker คืออะไร?

Tumor Marker คือสารประกอบชีวเคมี โปรตีน หรือเอนไซม์ที่ผลิตจากเซลล์มะเร็ง หรือเกิดจากปฏิกิริยาของอวัยวะที่ถูกเซลล์มะเร็งรุกล้ำ ทำให้เกิดการหลั่งสารเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสามารถนำมาตรวจวิเคราะห์ได้ผ่านการเจาะเลือด

สารเหล่านี้จะ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้โดยตรง แต่จะช่วย บ่งชี้แนวโน้ม หรือใช้ ติดตามผลการรักษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพหากใช้อย่างถูกต้อง

ชนิดของ Tumor Marker ที่พบบ่อย

ชื่อสาร Tumor Marker บ่งชี้มะเร็ง ค่าปกติ ความหมายเมื่อสูงผิดปกติ
AFP (Alpha-Fetoprotein) มะเร็งตับ, มะเร็งอัณฑะ < 10 ng/mL มีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับหรือเนื้องอกชนิดอื่น
CEA (Carcinoembryonic Antigen) มะเร็งลำไส้ใหญ่, ปอด, เต้านม < 5 ng/mL มีความเสี่ยงมะเร็งระบบทางเดินอาหาร
CA-125 มะเร็งรังไข่ < 35 U/mL มักใช้วินิจฉัยและติดตามมะเร็งรังไข่
CA 19-9 มะเร็งตับอ่อน, ลำไส้ < 37 U/mL ใช้ร่วมกับ CEA เพื่อวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน
PSA (Prostate Specific Antigen) มะเร็งต่อมลูกหมาก < 4 ng/mL มีความเสี่ยงต่อภาวะโตผิดปกติหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก
β-hCG มะเร็งอัณฑะ, มะเร็งปอด < 5 IU/L ใช้ร่วมกับ AFP ในการติดตามมะเร็งอัณฑะ

กลไกการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง

เพื่อเข้าใจ Tumor Marker ได้ดีขึ้น เราควรรู้จักพฤติกรรมของเซลล์ที่ผิดปกติต่าง ๆ:

  • Hyperplasia: เซลล์เพิ่มจำนวน → อวัยวะขยายใหญ่ (เช่น ต่อมลูกหมากโต)

  • Hypertrophy: เซลล์ใหญ่ขึ้น → ขนาดอวัยวะโต (เช่น หัวใจโต)

  • Metaplasia: เซลล์ใหม่แทนที่เซลล์เดิม (เช่น ผิวหนังที่ลอก)

  • Dysplasia: เซลล์โตไม่เต็มที่ → สัญญาณก่อนมะเร็ง (พบในปากมดลูกบ่อย)

ประเภทของมะเร็งและร่องรอยที่ตรวจพบได้

1. มะเร็งแบบไม่มีก้อนบวม

ตัวอย่าง: มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) – ไม่มีก้อน ไม่มีอาการบวม

2. มะเร็งที่มีลักษณะเป็นก้อน (Tumor)

  • Benign Tumor (ไม่ร้ายแรง): เช่น ถุงไขมัน

  • Malignant Tumor (ร้ายแรง): เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ ฯลฯ

วัตถุประสงค์ของการตรวจ Tumor Marker

  1. คัดกรองผู้มีความเสี่ยงมะเร็ง

  2. ใช้เป็นข้อมูลวินิจฉัยร่วมกับภาพถ่ายทางการแพทย์

  3. ติดตามผลการรักษา

  4. พยากรณ์โอกาสกลับมาเป็นซ้ำ

  5. ใช้ตรวจโรคที่ไม่สามารถผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อได้ (เช่น มะเร็งสมอง)

วิธีการตรวจ Tumor Marker

1. การตรวจเฉพาะเจาะจง (Cancer-Specific Marker)

เช่น:

  • ตรวจค่า AFP → มะเร็งตับ

  • ตรวจ CA-125 → มะเร็งรังไข่

2. การตรวจจากอวัยวะเป้าหมาย (Tissue-Specific Marker)

เช่น:

  • มะเร็งลำไส้ → ตรวจ CEA + CA19-9 + CA125

  • มะเร็งตับอ่อน → ตรวจ CA19-9 + AFP

ข้อควรระวังในการแปลผล Tumor Marker

  • ผลอาจคลาดเคลื่อนจากหลายปัจจัย เช่น การอักเสบ โรคเรื้อรังอื่น ๆ

  • ควรตรวจจากห้องแล็บเดียวกันทุกครั้ง เพื่อความแม่นยำ

  • ไม่ควรใช้ Tumor Marker เพียงตัวเดียวเป็นตัวชี้ขาดการวินิจฉัย

  • ระวังผลลวงจาก Hook Effect (สารมากเกินจนตรวจไม่เจอ)

ข้อดีของการตรวจเลือดเพื่อหามะเร็ง

  • ไม่ต้องเจ็บตัวเหมือนการตัดชิ้นเนื้อ

  • สามารถคัดกรองหลายระบบพร้อมกัน

  • เหมาะสำหรับการติดตามการรักษาในผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็ง

ข้อจำกัด

  • ไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่

  • ต้องใช้ควบคู่กับการตรวจอื่น เช่น MRI, CT Scan, Biopsy

แนวทางการใช้ Tumor Marker อย่างปลอดภัย

  • ใช้ตรวจในผู้มีความเสี่ยงสูง

  • ใช้ร่วมกับการตรวจสุขภาพประจำปี

  • ไม่ใช้แทนการวินิจฉัยด้วยแพทย์

  • บันทึกประวัติผลการตรวจเปรียบเทียบอย่างสม่ำเสมอ

สรุป

การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง คือเครื่องมือช่วยชีวิตยุคใหม่ที่สามารถคัดกรองโรคได้ในระยะเริ่มต้น มีความแม่นยำในระดับหนึ่งหากใช้อย่างถูกวิธี ควรใช้ร่วมกับคำวินิจฉัยของแพทย์และการตรวจทางรังสีวิทยาอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนและแม่นยำที่สุด

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจ Tumor Marker

Q1: ตรวจเลือด Tumor Marker ต้องงดน้ำหรืออาหารไหม?

A: ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องงดเว้นอาหาร ยกเว้นบางกรณีที่แพทย์กำหนดไว้เฉพาะเจาะจง

Q2: ตรวจพบค่า CEA สูงเสมอว่าป่วยเป็นมะเร็งแน่หรือไม่?

A: ไม่เสมอไป อาจเกิดจากการสูบบุหรี่ การอักเสบ หรือภาวะอื่น ๆ ควรใช้ข้อมูลร่วมกับผลการตรวจอื่น

Q3: การตรวจ Tumor Marker เจ็บไหม?

A: เป็นการเจาะเลือดแบบทั่วไป ใช้เวลารวดเร็วและไม่เจ็บมาก

Q4: ควรตรวจ Tumor Marker บ่อยแค่ไหน?

A: สำหรับผู้ปกติปีละครั้ง ส่วนผู้ที่มีประวัติมะเร็งหรือความเสี่ยงสูงควรตรวจทุก 3–6 เดือน ตามคำแนะนำแพทย์

Q5: ผลตรวจปกติ แปลว่าไม่มีโอกาสเป็นมะเร็งเลยหรือไม่?

A: ไม่แน่นอน ยังควรตรวจร่างกายและติดตามผลทางคลินิกอย่างสม่ำเสมอ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Cancer causation: association by tumour type”. Journal of Internal Medicine. 

Deerfield, Illinois: Baxter International Inc. 2002-08-07.

[/vc_column][/vc_row]

แนวทางการรักษาไตวายเรื้อรัง: เข้าใจอาการ ป้องกัน และฟื้นฟูอย่างครบวงจร

0
การฟอกเลือดหรือล้างไต จะช่วยลดอาการคั่งของเกลือและของเสียในร่างกาย

ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและขับถ่ายออกทางปัสสาวะ หากไตทำงานผิดปกติจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “ไตวายเรื้อรัง” ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่ตำแหน่งของไต หน้าที่ของไต อาการของโรคไตวาย ไปจนถึงแนวทางการดูแลรักษาทั้งเชิงป้องกันและบำบัด

ตำแหน่งของไตและหน้าที่สำคัญในร่างกาย

ตำแหน่งของไต: ไตทั้งสองข้างตั้งอยู่บริเวณหลังช่องท้อง ส่วนบนของไตจะอยู่ระดับเดียวกับกระดูกซี่โครงที่ 11–12 โดยไตขวาจะอยู่ต่ำกว่าไตซ้ายเล็กน้อยเนื่องจากการวางตำแหน่งของตับ

หน้าที่ของไตหลักๆ ได้แก่:

  • กรองของเสียออกจากเลือด

  • ควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่

  • ผลิตฮอร์โมนควบคุมความดันโลหิตและกระตุ้นไขกระดูก

  • รักษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย

หากไตเสื่อมหรือทำงานผิดปกติ ร่างกายจะคั่งของเสีย ส่งผลต่อหลายระบบ อาการต่างๆ จึงเริ่มแสดงชัดเจน

อาการและระยะของไตวายเรื้อรัง

ไตวายเรื้อรังมีการแบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยวัดจากค่าการกรองของไต (GFR)

ระยะโรค GFR (มล./นาที) ลักษณะโรค
ระยะที่ 1 > 90 ไตเริ่มผิดปกติ ไม่มีอาการ
ระยะที่ 2 60–89 อาจเริ่มมีโปรตีนในปัสสาวะ
ระยะที่ 3 30–59 มีของเสียคั่ง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ระยะที่ 4 15–29 ต้องเตรียมเข้าสู่การบำบัดไต
ระยะที่ 5 <15 ไตล้มเหลว ต้องล้างไตหรือปลูกถ่าย

สาเหตุของไตวายเรื้อรัง

  1. โรคเรื้อรัง: เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์

  2. การติดเชื้อเรื้อรัง: ทางเดินปัสสาวะอักเสบ

  3. นิ่วในไต: อุดตันทางเดินปัสสาวะนานๆ

  4. การใช้ยาบางชนิด: NSAIDs, ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม, สมุนไพรเข้มข้น

  5. พันธุกรรม: เช่น โรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease)

การวินิจฉัยโรคไตวาย

  1. ตรวจเลือดหาค่า BUN, Creatinine

  2. ตรวจ GFR (อัตราการกรองของไต)

  3. ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ (Urine Albumin-Creatinine Ratio)

  4. อัลตราซาวด์หรือ CT Scan ดูขนาดและรูปร่างไต

แนวทางการรักษาไตวายเรื้อรัง

1. การรักษาแบบประคับประคอง (Conservative)

  • ควบคุมความดันและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์

  • ปรับอาหาร ลดโซเดียม โพแทสเซียม ฟอสเฟต โปรตีน

  • หลีกเลี่ยงยาและสารที่มีพิษต่อไต

  • ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก

  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3–6 เดือน

2. การบำบัดทดแทนไต (Renal Replacement Therapy)

หากผู้ป่วยเข้าสู่ระยะที่ 4–5 และการรักษาประคับประคองไม่สามารถควบคุมอาการได้ แพทย์จะพิจารณาวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 3 วิธี:

▪ การฟอกเลือด (Hemodialysis)

ใช้เครื่องกรองเลือดเพื่อลดของเสีย ปกติทำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง

▪ การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

ล้างของเสียผ่านเยื่อบุช่องท้อง ผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้

▪ การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant)

เป็นการเปลี่ยนไตใหม่เพื่อให้ไตทำงานปกติ แต่ต้องใช้ยากดภูมิต้านทานตลอดชีวิต

การดูแลตัวเองเพื่อชะลอไตวาย

  • เลือกกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง แต่ไม่มากเกินไป

  • ลดการกินเค็ม งดอาหารหมักดอง ไขมันสูง ของทอด

  • เลี่ยงสมุนไพรที่ไม่มีการรับรองความปลอดภัย

  • ดื่มน้ำให้พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป

  • หมั่นตรวจสุขภาพไตทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว

วัคซีนที่ควรฉีดในผู้ป่วยไตวาย

  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (3 เข็ม)

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (ปีละครั้ง)

  • วัคซีนป้องกันปอดบวมในบางรายที่มีความเสี่ยง

การติดตามอาการโรคไตเรื้อรัง

ระยะโรค ความถี่ในการตรวจ หมายเหตุ
ระยะ 1–2 ทุก 6–12 เดือน ตรวจ GFR, ความดัน
ระยะ 3 ทุก 6 เดือน ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ, ไขมัน
ระยะ 4 ทุก 3 เดือน เตรียมการล้างไต
ระยะ 5 ทุกเดือน พบแพทย์เฉพาะทางไต (Nephrologist)

ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการในการรักษาได้ โดยมีสิทธิเบิกค่ายา ค่าล้างไต และค่าปลูกถ่ายไตตามเกณฑ์ที่แต่ละระบบประกันกำหนดไว้ ผู้ป่วยควรศึกษาสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ไตวายเรื้อรังเกิดจากอะไรเป็นหลัก?
A: สาเหตุหลักมาจากโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน โรคเกาต์ รวมถึงการใช้ยาที่มีพิษต่อไตและอาหารที่มีสารตกค้าง

Q2: ไตวายต้องล้างไตตลอดชีวิตหรือไม่?
A: ถ้าเข้าสู่ระยะที่ 5 แล้วต้องล้างไตต่อเนื่อง หรือเลือกปลูกถ่ายไตเพื่อให้ไม่ต้องล้างไตอีก

Q3: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยไตมีอะไรบ้าง?
A: อาหารเค็มจัด โปแตสเซียมสูง เช่น กล้วย มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว อาหารแปรรูป และของทอด

Q4: การล้างไตกับการปลูกถ่ายไต แบบไหนดีกว่า?
A: การปลูกถ่ายไตถือว่าดีกว่าในระยะยาว แต่ต้องใช้ยากดภูมิตลอดชีวิต มีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนการล้างไตเป็นทางเลือกที่สามารถเริ่มได้ทันทีและเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้

Q5: ผู้ป่วยไตวายสามารถออกกำลังกายได้ไหม?
A: ออกกำลังกายแบบแอโรบิคเบาๆ และการฝึกกล้ามเนื้อเป็นประจำจะช่วยเสริมสุขภาพและลดความเครียด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง [/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Deerfield, Illinois: Baxter International Inc. 2002-08-07

National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse (2011).

[/vc_column][/vc_row]

สาเหตุของมะเร็ง: ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และพันธุกรรมที่ควรรู้

0
โรคมะเร็งปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม
ผู้ที่มีพันธุกรรมดีอาจเป็นโรคมะเร็งได้ ถ้ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม

มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน เราสามารถตรวจพบและป้องกันโรคนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ “สาเหตุของมะเร็ง” และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่:

  • ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต (Environmental & Lifestyle Factors)
  • ปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม (Genetic Factors)

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต (Environmental & Lifestyle Factors)

จากงานวิจัยขนาดใหญ่โดยศูนย์มะเร็งเอ็มดีแอนเดอร์สัน (MD Anderson Cancer Center) มหาวิทยาลัยแห่งเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 2008 พบว่า:

มากกว่า 90–95% ของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก เกิดจาก “ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรม” ขณะที่ “พันธุกรรม” มีบทบาทเพียง 5–10% เท่านั้น

1. พฤติกรรมการบริโภคอาหาร (30–35%)

อาหารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นหรือยับยั้งการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง หรือผ่านกระบวนการแปรรูปมากเกินไป เช่น:

  • ไนไตรต์/ไนโตรซามีน: พบในเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แหนม เบคอน
  • อะฟลาท็อกซิน: พบบ่อยในถั่วลิสง พริกป่น ข้าวโพดขึ้นรา
  • ไดออกซิน: สารปนเปื้อนจากฟาร์มสัตว์ เช่น หมู นม ไก่
  • อาหารปิ้งย่าง/ไหม้เกรียม: สะสมสารพีเอเอช (PAHs) ซึ่งก่อกลายพันธุ์ในระดับดีเอ็นเอ

2. การสูบบุหรี่ (25–30%)

บุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตจากมะเร็ง โดยเฉพาะ:

  • มะเร็งปอด
  • มะเร็งกล่องเสียง
  • มะเร็งช่องปาก

สารเคมีในบุหรี่กว่า 70 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogens) โดยตรง เช่น Benzopyrene และ Formaldehyde

3. การติดเชื้อ (15–20%)

  • ไวรัส HPV: ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก ทวารหนัก คอหอย ฯลฯ
  • ไวรัสตับอักเสบ B/C: มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งตับ
  • แบคทีเรีย Helicobacter Pylori: เพิ่มโอกาสมะเร็งกระเพาะอาหาร

4. โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน (10–20%)

ไขมันส่วนเกินจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน เช่น อินซูลิน และเอสโตรเจนในระดับสูง ซึ่งอาจเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

5. แอลกอฮอล์ (4–6%)

การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเร่งในมะเร็งหลายชนิด เช่น:

  • มะเร็งตับ
  • มะเร็งหลอดอาหาร
  • มะเร็งช่องปาก
  • มะเร็งเต้านม (ในเพศหญิง)

6. ปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ (10–15%)

  • มลพิษทางอากาศ (PM2.5)
  • รังสี UV จากแสงแดดจัด
  • ความเครียดสะสม
  • การไม่ออกกำลังกาย

ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเลยมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 30% จากค่าปกติ

ปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม (Genetic Risk Factors)

แม้จะพบเพียง 5–10% ของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ก็เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย

ยีนควบคุมการแบ่งเซลล์มะเร็ง (Tumor Suppressor Genes)

ยีนกลุ่มนี้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ อาจทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็ง ตัวอย่างเช่น:

  • BRCA1/BRCA2: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและรังไข่
  • TP53: เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด

มะเร็งที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม ได้แก่:

  • มะเร็งเต้านมชนิดกรรมพันธุ์
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิด FAP หรือ Lynch syndrome
  • มะเร็งรังไข่ในกลุ่มที่ตรวจพบ BRCA mutation

การรับมือปัจจัยทางพันธุกรรม

  1. ตรวจสุขภาพประจำปี และทำ Genetic Testing หากมีประวัติครอบครัว
  2. ปรับวิถีชีวิต: หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงแม้จะไม่มีประวัติครอบครัว
  3. ทำใจให้สงบ: ความเครียดกระตุ้นภูมิคุ้มกันลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้เร็วขึ้น

สถิติชี้ว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 1 มีโอกาสหายขาดได้สูงถึง 70–90% หากรักษาทันท่วงที

ตาราง: ปัจจัยเสี่ยงและอัตราเกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดต่าง ๆ

ปัจจัยเสี่ยง อัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง (%)
อาหารแปรรูป 30–35%
บุหรี่ 25–30%
การติดเชื้อไวรัส/แบคทีเรีย 15–20%
โรคอ้วน 10–20%
แอลกอฮอล์ 4–6%
พฤติกรรมเฉื่อย (ไม่ออกกำลังกาย) 10–15%
พันธุกรรม 5–10%

สรุป: ทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง?

  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและเนื้อย่างไหม้เกรียม
  • งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • นอนหลับให้เพียงพอ และควบคุมความเครียดในชีวิตประจำวัน

FAQ: สาเหตุของมะเร็งและปัจจัยเสี่ยง

1. มะเร็งเกิดจากกรรมพันธุ์จริงหรือไม่?
ไม่ทั้งหมด ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต (90–95%) ส่วนกรรมพันธุ์เป็นเพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งการถ่ายทอดยีนผิดปกติอาจเพิ่มความเสี่ยง แต่ไม่ใช่ปัจจัยตัดสินว่าต้องเป็นมะเร็งแน่นอน

2. การกินอาหารมีผลทำให้เป็นมะเร็งได้อย่างไร?
อาหารบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป อาหารที่มีสารกันบูด สารตกค้างจากยาฆ่าแมลง หรืออาหารไหม้เกรียม ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง

3. บุหรี่และแอลกอฮอล์มีผลต่อการเกิดมะเร็งจริงหรือ?
จริง บุหรี่มีสารก่อมะเร็งกว่า 70 ชนิด และแอลกอฮอล์สามารถเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอของเซลล์ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด เช่น ปอด ตับ หลอดอาหาร ช่องปาก และเต้านม

4. คนสุขภาพดีที่ไม่มีพันธุกรรมเสี่ยง ยังเป็นมะเร็งได้ไหม?
ได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่ออกกำลังกาย เครียดสะสม กินอาหารไม่ดี หรือสัมผัสสารพิษจากสิ่งแวดล้อมบ่อยๆ จึงควรตรวจสุขภาพประจำปีแม้ไม่มีประวัติครอบครัว

5. ป้องกันมะเร็งได้อย่างไร?
ลดความเสี่ยงด้วยการ:

  • รับประทานอาหารสดใหม่ ปราศจากสารพิษ

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำโดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัว

  • หลีกเลี่ยงมลพิษและแสงแดดโดยตรง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Complementary and alternative therapies for cancer”. Oncologist  (1): 80–9.

“Cancer”. National Cancer Institute. 11 August 2016.

“Screening for Prostate Cancer”. U.S. Preventive Services Task Force. 2008. Archived from the original on 31 December 2010.

[/vc_column][/vc_row]

ประกันสุขภาพรักษาโรคไต: สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ ครบจบในที่เดียว

0
การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา และปลูกถ่ายไต
การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา ปลูกถ่ายไต ปัจจุบันผู้ป่วยไตวายที่ถือบัตรทอง สามารถรับบริการล้างไตทางหน้าท้องได้ฟรี ผู้ป่วยรายใหม่ ไม่เกิน 15000 บาทต่อเดือน

ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้นตาม พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อให้ประชาชนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ และไม่มีอุปสรรคทางด้านการเงิน โดยมีกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ

สิทธิประกันสุขภาพที่ประชาชนไทยพึงมี

ประเภทของสิทธิที่ให้บริการ

  1. สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง / สิทธิ 30 บาท)
  2. สิทธิประกันสังคม (สำหรับผู้ประกันตน)
  3. สิทธิข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ / พนักงานท้องถิ่น

คุณสมบัติผู้มีสิทธิบัตรทอง

  • มีสัญชาติไทย
  • มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
  • ไม่อยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพอื่น ๆ เช่น ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ

ช่องทางตรวจสอบสิทธิ

  • ติดต่อหน่วยบริการด้วยตนเอง
  • โทรสายด่วน สปสช. 1330
  • เว็บไซต์: www.nhso.go.th
  • แอปพลิเคชัน สปสช.

สิทธิในการรักษาไตวายและปลูกถ่ายไต

1. การล้างไตทางช่องท้อง (CAPD)

  • บัตรทอง: ครอบคลุมค่าใช้จ่ายไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน
  • สิทธิข้าราชการ / ประกันสังคม: ครอบคลุมตามระดับฮีมาโตคริต

2. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD)

  • บัตรทอง: ได้เฉพาะผู้ป่วยเก่าก่อน 1 ต.ค. 2551 และผู้มีข้อห้ามล้างไตทางช่องท้อง
  • ค่ารักษา: รัฐจ่าย 1,500–1,700 บาท/ครั้ง, ผู้ป่วยร่วมจ่าย 500 บาท/ครั้ง

3. การปลูกถ่ายไต

ค่าบริการแบ่งเป็น:

  • ค่าตรวจเตรียมผู้ให้ / ผู้รับไต: ไม่เกิน 40,000 บาท/ราย
  • ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต: ไม่เกิน 292,000 บาท/ราย (ภาวะปกติ)
  • ค่าดูแลหลังผ่าตัด:
    • เดือนที่ 1–6: เดือนละ 30,000 บาท
    • เดือนที่ 7–12: เดือนละ 25,000 บาท
    • ปีที่ 2: เดือนละ 20,000 บาท
    • ปีที่ 3: เดือนละ 15,000 บาท
  • ภาวะแทรกซ้อน: เบิกได้สูงสุดไม่เกิน 493,000 บาทภายใน 60 วัน

ค่ายาและค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวาย

ค่ายากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (EPO)

ระดับฮีมาโตคริต ค่ารักษาที่เบิกได้
≤ 36% สูงสุด 1,125 บาท/สัปดาห์
36–39% เข็มละ 50 บาท ไม่เกิน 750 บาท/สัปดาห์
> 39% ไม่มีสิทธิเบิก

ขั้นตอนการใช้สิทธิ์

สำหรับบัตรทอง

  1. ยื่นบัตรประชาชนและบัตรทองที่โรงพยาบาลตามสิทธิ
  2. โรงพยาบาลส่งรายชื่อไปยังคณะกรรมการระดับจังหวัด
  3. หากอนุมัติ จะได้รับการลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบการรักษา

สำหรับผู้ประกันตน (ประกันสังคม)

เอกสารประกอบการยื่นเบิกค่ารักษา:

  • แบบคำขอ สปส. 2-18
  • สำเนาผลตรวจ BUN, Creatinine
  • ใบรับรองแพทย์ว่าเป็นไตวายระยะสุดท้าย
  • รูปถ่าย และสำเนาบัตรประชาชน

สิทธิข้าราชการและหน่วยงานรัฐอื่น

  • เบิกค่าฟอกเลือดในศูนย์ไตเทียมเอกชน: ไม่เกิน 2,000 บาท/ครั้ง (จ่ายก่อนแล้วนำใบเสร็จมาเบิก)
  • ค่าตรวจเลือดและเนื้อเยื่อ: 15,000 – 20,000 บาท
  • ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต:
    • รพ.รัฐบาล: ประมาณ 200,000 บาท
    • รพ.เอกชน: ประมาณ 300,000 บาท

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: สิทธิบัตรทองสามารถล้างไตทางช่องท้องได้ฟรีจริงหรือไม่? A: ได้จริง โดยรัฐสนับสนุนค่าล้างไตทางช่องท้องในผู้ป่วยรายใหม่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน

Q: สิทธิประกันสังคมครอบคลุมการปลูกถ่ายไตหรือไม่? A: ครอบคลุมทั้งค่าตรวจเตรียมผู้บริจาค/ผู้รับ ค่าผ่าตัด และค่ารักษาหลังการปลูกถ่ายตามอัตราเหมาจ่าย

Q: ข้าราชการสามารถฟอกเลือดกับศูนย์ไตเทียมเอกชนได้หรือไม่? A: ได้ โดยสามารถเบิกได้ไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ต้องจ่ายก่อนแล้วนำใบเสร็จมาเบิกเงิน

Q: วิธีตรวจสอบสิทธิหลักประกันสุขภาพทำอย่างไร? A: โทร 1330 กด 2 ตามด้วยเลขบัตรประชาชน 13 หลัก หรือผ่านเว็บไซต์ www.nhso.go.th

Q: ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการขอเบิกค่ารักษาผู้ป่วยไต? A: ต้องใช้แบบคำขอ สปส. 2-18, สำเนาผลตรวจไต, ใบรับรองแพทย์, สำเนาบัตรประชาชน และรูปถ่าย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ สปสช. คือ
www.sso.go.th   และ   www.nhso.go.th

โทรถามสายด่วนบัตรทอง 1330 หรือที่ สปสช. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
หรือดูเว็บไซต์ของชมรมโรคไต คือ www.thaikidneyclub.org
หรือดูเว็บไซต์กองทุนโรคไตวาย http://Kdf.nhso.go.th

[/vc_column][/vc_row]

อาการมะเร็งเบื้องต้นที่คุณควรรู้: วิธีสังเกต สาเหตุ และสัญญาณเตือนมะเร็งชนิดต่าง ๆ

0
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็ง
อาการของโรคมะเร็งจะแสดงออกมาจากกันตามตำแหน่งที่เกิดก้อนเนื้อ

มะเร็ง (Cancer) เป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกทุกปี แต่หากสามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น การรู้จักสังเกต อาการมะเร็งเบื้องต้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งอาการเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากมีความผิดปกติเรื้อรังและต่อเนื่อง ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว

ทำไมต้องรู้จักอาการมะเร็งเบื้องต้น?

เพราะการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้สูงขึ้นมากถึง 70–90% ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง การรักษาในระยะเริ่มต้นยังส่งผลข้างเคียงน้อย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในระยะลุกลาม

วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้น

การตรวจหาโรคมะเร็งสามารถทำได้หลากหลายวิธี ทั้งที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโดยตรง และที่ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง ได้แก่:

  1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ
  2. การตรวจทางพยาธิวิทยา เช่น การขูดเซลล์จากปากมดลูก ตรวจชิ้นเนื้อ
  3. การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี เช่น X-ray, อัลตร้าซาวด์, แมมโมแกรม
  4. การส่องกล้อง เช่น ตรวจลำไส้ใหญ่, กระเพาะอาหาร, ช่องคลอด
  5. การใช้เครื่องมือขั้นสูง เช่น CT scan, MRI, PET scan

10 อาการเตือนภัยมะเร็งที่ควรใส่ใจ

แม้บางอาการอาจเป็นเพียงความผิดปกติเล็กน้อย แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือผิดปกติกว่าปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เช่น:

  1. แผลเรื้อรังไม่หาย โดยเฉพาะในช่องปาก ลิ้น หรือผิวหนัง
  2. ก้อนเนื้อผิดปกติ บริเวณเต้านม รักแร้ หรือท้องน้อย
  3. ไฝเปลี่ยนลักษณะ ขนาด สี หรือขอบไม่เรียบ
  4. ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่
  5. น้ำหนักลดรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ มากกว่า 5 กก. ในเวลาอันสั้น
  6. ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง หรือมีเลือดปนในอุจจาระ
  7. เลือดออกผิดปกติจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะ หรือช่องคลอด
  8. กลืนอาหารลำบาก เสียดท้องเรื้อรัง
  9. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ
  10. ต่อมน้ำเหลืองโตแบบไม่เจ็บ โดยเฉพาะที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ

อาการมะเร็งตามอวัยวะ: สังเกตอย่างไร?

มะเร็งเต้านม

  • ก้อนเนื้อบริเวณเต้านมหรือรักแร้
  • หัวนมบอดหรือมีเลือดไหล

มะเร็งปากมดลูก

  • เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
  • ตกขาวมีกลิ่นแรง สีคล้ำ

มะเร็งรังไข่

  • ปวดท้องน้อยเรื้อรัง
  • คลำเจอก้อนบริเวณท้องน้อย

มะเร็งตับ

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ปวดชายโครงขวา น้ำหนักลด

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

  • ถ่ายมีเลือดปน
  • ปวดท้องเรื้อรัง รู้สึกถ่ายไม่สุด

มะเร็งกระเพาะอาหาร

  • ท้องอืด แน่นท้อง เบื่ออาหาร
  • อาเจียนหรือถ่ายดำ

มะเร็งปอด

  • ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก
  • หายใจมีเสียงดังหรือเหนื่อยง่าย

มะเร็งผิวหนัง

  • แผลเรื้อรัง แผลไหม้ที่ไม่หาย
  • ไฝเปลี่ยนสี ขนาด รูปร่าง

มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)

  • ซีด ฟกช้ำง่าย
  • ไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

  • มีก้อนที่คอหรือรักแร้ ไม่เจ็บ แต่โตขึ้นเรื่อย ๆ
  • ไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคมะเร็ง

การเกิดมะเร็งมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ได้แก่:

ปัจจัยเสี่ยงภายนอก

  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • อาหารปิ้งย่าง หมักดอง หรือมีสารกันบูดไนไตรท์
  • การสัมผัสสารเคมีหรือรังสี
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV, HCV

ปัจจัยภายใน

  • พันธุกรรม (เช่น มะเร็งเต้านมในครอบครัว)
  • ฮอร์โมนหรือภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  • อายุที่เพิ่มขึ้น

การป้องกันโรคมะเร็ง: เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้

  1. รับประทานอาหารที่ดี: ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ลดเนื้อแดง
  2. งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 150 นาทีขึ้นไป
  4. พักผ่อนเพียงพอ ลดความเครียด
  5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำปี และคัดกรองตามอายุ เช่น
    • ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป: ตรวจมะเร็งปากมดลูก
    • ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป: ตรวจแมมโมแกรม
    • ผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป: ตรวจ PSA มะเร็งต่อมลูกหมาก

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: อาการเบื้องต้นของมะเร็งคืออะไร?
A: เช่น น้ำหนักลดแบบไม่ตั้งใจ ไอเรื้อรัง มีแผลไม่หาย หรือก้อนเนื้อผิดปกติ

Q: มะเร็งสามารถรักษาหายได้หรือไม่?
A: หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก หลายชนิดสามารถรักษาหายขาดได้

Q: มะเร็งเกิดจากกรรมพันธุ์ทั้งหมดหรือไม่?
A: ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม เช่น มะเร็งเต้านม

Q: ต้องตรวจสุขภาพบ่อยแค่ไหน?
A: ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยขึ้นตามความเสี่ยงส่วนบุคคล

Q: ไฝแบบไหนเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง?
A: ไฝที่เปลี่ยนขนาด สี ขอบไม่เรียบ หรือมีเลือดซึมควรพบแพทย์ทันที

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Cancer mortality and morbidity patterns in the U. S. population: an interdisciplinary approach. Berlin: Springer. ISBN 0-387-78192-7.

“Breast cancer”. Am D Health Syst Pharm  (15): 2472–9.

[/vc_column][/vc_row]

อาหารผู้ป่วยมะเร็ง: เลือกกินอย่างไรให้ได้สารอาหารครบ ลดผลข้างเคียง เพิ่มโอกาสฟื้นตัว

0
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
การเลือกทานอาหารของผู้ป่วยจึงมีความสำคัญมาก ต้องเลือกอาหารที่มีประโยชน์และเน้นกรดอะมิโนเป็นสำคัญ

การดูแลสุขภาพเริ่มต้นได้จากอาหารที่เรากินทุกวัน การเลือกอาหารที่เหมาะสม ไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมีผลอย่างมากในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย การปรับพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง จึงเป็นวิธีง่ายที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ทันที

สารอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง: พลังธรรมชาติที่เราควรรู้จัก

อาหารหลายชนิดอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง เช่น:

  • ไฟโตนิวเทรียนท์ จากผักใบเขียว, หัวกะหล่ำ, บร็อกโคลี
  • ไลโคปีน จากมะเขือเทศและแตงโม
  • ไอโซฟลาโวน จากถั่วเหลือง
  • โพลีฟีนอล จากชาเขียว

หลักการเลือกกินอาหารเพื่อต้านมะเร็ง

  1. ลดการบริโภคเนื้อสัตว์สีแดงและแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก
  2. กินผักผลไม้หลากสี เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระครบถ้วน
  3. เลี่ยงอาหารทอดหรือไหม้เกรียม ซึ่งก่อสารพิษประเภทไนโตรซามีน
  4. เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต
  5. จำกัดการบริโภคน้ำตาล เพราะน้ำตาลสูงสัมพันธ์กับภาวะอ้วนและมะเร็ง

อาหารที่ควรเลี่ยง: เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง

  • อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม
  • อาหารดองเค็มหรือรมควัน เช่น กุนเชียง ปลาร้า
  • อาหารที่มีสารกันเสียหรือสีสังเคราะห์มากเกินไป
  • อาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน เช่น ถั่วลิสงเก่า พริกป่นที่เก็บไว้นาน
  • อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะลาบเลือด ก้อยปลา ที่เสี่ยงต่อพยาธิใบไม้ในตับ

การกินอย่างมีสติ: เพื่อผู้ป่วยมะเร็งและผู้ที่ต้องการป้องกัน

  • กินครบ 5 หมู่ แต่เน้นโปรตีนไขมันต่ำและคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี
  • ปรุงอาหารให้สะอาด ปลอดเชื้อ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ
  • มีอาหารว่างที่ดีไว้ใกล้ตัว เช่น ผลไม้ โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้
  • เลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกกับอาหารร้อนหรืออุ่นไมโครเวฟ

หลักโภชนาการ 12 ข้อเพื่อต้านมะเร็ง

5 ข้อเพื่อป้องกัน:

  1. เพิ่มการบริโภคไฟเบอร์: ธัญพืช ผัก ผลไม้
  2. เน้นผักและผลไม้สีจัด: เบต้าแคโรทีน วิตามินซีสูง
  3. เลือกโปรตีนคุณภาพ: ถั่ว ปลา ไข่ไก่
  4. ลดไขมันและควบคุมน้ำหนัก
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

7 ข้อลดความเสี่ยง:

  1. เลี่ยงอาหารไขมันสูง
  2. หลีกเลี่ยงเชื้อราในอาหารแห้ง เช่น ถั่ว พริก
  3. งดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ
  4. งดอาหารกึ่งสุกดิบ เช่น ลาบเลือด ก้อยปลา
  5. งดบุหรี่และควันพิษ
  6. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  7. หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน

สรุป

อาหารมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่เสี่ยง รวมถึงการดูแลสุขภาพองค์รวม เช่น ออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ และลดความเครียด จะช่วยให้ห่างไกลโรคร้ายได้มากขึ้น

จงเริ่มต้นดูแลตนเองวันนี้ ด้วยการเลือกอาหารที่ดี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ผู้ป่วยมะเร็งสามารถกินโปรตีนได้หรือไม่?

A1: ได้แน่นอน ผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับโปรตีนมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากร่างกายต้องการซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายและสร้างภูมิคุ้มกัน โปรตีนจากแหล่งคุณภาพสูง เช่น ไข่ขาว ซอยย์โปรตีน หรือเวย์โปรตีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ

Q2: ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดเมื่อป่วยเป็นมะเร็ง?

A2: ควรเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูงแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม อาหารหมักดอง หรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบที่อาจมีการปนเปื้อนของพยาธิหรือแบคทีเรีย

Q3: ผู้ป่วยที่เบื่ออาหารควรทำอย่างไร?

A3: ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ บ่อยครั้ง และเลือกอาหารที่มีพลังงานและโปรตีนสูง เช่น โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ หรือผลไม้สด เพื่อเสริมพลังงานและสารอาหารโดยไม่สร้างภาระต่อการย่อยมากเกินไป

Q4: อาหารแบบใดที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยมะเร็ง?

A4: อาหารเย็นและอาหารแห้ง เช่น แครกเกอร์ น้ำแข็ง โยเกิร์ต หรือผลไม้เย็น ๆ ช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดี ควรเลี่ยงอาหารรสจัดหรือกลิ่นแรง

Q5: การดื่มน้ำสำคัญอย่างไรต่อผู้ป่วยมะเร็ง?

A5: การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ (วันละ 8–10 แก้ว) ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ลดอาการท้องผูก ป้องกันภาวะขาดน้ำ และสนับสนุนการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Food for cancer”. cancer.gov. National Cancer Institute. March, 2015.

“Food Cancer”. National Cancer Institute. 10 June 2014.

[/vc_column][/vc_row]