Home Blog Page 132

วิธีกำจัดขนรักแร้อย่างยั่งยืน

0
วิธีกำจัดขนรักแร้
การกำจัดขนช่วยให้ใต้วงแขนสะอาดน่ามองซึ่งมีหลายวิธี และถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม
วิธีกำจัดขนรักแร้
กำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีการถอน เป็นวิธีที่เบสิคที่สุด

กำจัดขนรักแร้

มองรักแร้ดาราหรือบรรดาคนดังทีไรก็ต้องหันกลับมามองรักแร้ตัวเองทุกที แล้วคำถามเดิมๆ ก็วนเวียนมาอีกรอบ “เขาทำยังไงนะ รักแร้ถึงขาวเนียนไร้ขน ราวกับไม่เคยมีมันมาก่อนเลย” นี่คือปัญหาโลกแตกที่คาใจสาวๆ มาโดยตลอด การ กำจัดขนรักแร้ พร้อมกับเนรมิตให้ใต้วงแขนเรียบเนียนนั้นสำคัญไม่แพ้การดูแลใบหน้า เพราะการมีรักแร้ที่เป็นเลิศนั้น  เปรียบเหมือนเรามีแต้มต่อราคาแพง จะสวมเสื้อแขนกุดหรือเกาะอกก็ไม่ต้องกลัวว่าขนหรือหนังไก่จะโชว์ออกมาให้อับอาย เสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้หญิงยุคใหม่อย่างเต็มกำลัง ดังนั้นไม่ว่านวัตกรรมการกำจัดขนและดูแลผิวหนังใต้วงแขนจะมีสิ่งใดออกมา ก็ล้วนแต่มีสาวใจกล้าไปทดลองกันถ้วนหน้า หวังเพียงผลลัพธ์คาตาคาใจที่จะทำให้ชูมือสุดแขนได้เสียที 

ขนรักแร้

ก่อนจะไปถึงขั้น กำจัดขนรักแร้ ให้สิ้นซาก เรามาทำความรู้จักกับขนรักแร้กันสักเล็กน้อย จริงๆ แล้วขนตามร่างกายของเรามีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน โดยบริเวณรักแร้นั้นถูกจัดเป็นขนกลุ่มเวลลัส หรือขนที่เป็นเส้นอ่อนนุ่ม มีหน้าที่หลักในการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ช่วยเพิ่มการกระจายฟีโรโมนซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นอารมณ์และพฤติกรรมของผู้อื่น ตลอดจนช่วยลดการเสียดสีของผิวที่บอบบางบริเวณนั้น ว่าไปแล้วขนรักแร้ก็มีประโยชน์ไม่น้อย แต่จะมีสักกี่คนที่คิดว่าลองไว้ขนรักแร้ให้ยาวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันดีกว่า เพราะมันไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เช่นนั้นก็ต้องกำจัดออกให้หมดไป แต่จะมีวิธีไหนบ้างที่จะตัดปัญหากวนใจอันนี้ไปได้

วิธี กำจัดขนรักแร้

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธีการถอน
นี่น่าจะเป็นวิธีที่เบสิคที่สุด เพราะใช้กันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายแล้ว ลงทุนเป็นเม็ดเงินน้อยมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ แถมยังสามารถทำเมื่อไรก็ได้โดยไม่ต้องรบกวนใครอีกต่างหาก แต่ก็แอบเห็นว่ามีหลายบ้านเอาการถอนขนรักแร้มาเป็นกิจกรรมครอบครัวด้วยเหมือนกัน วิธีการก็คือใช้แหนบอันที่ถนัดมือค่อยๆ คีบขนขึ้นมาทีละเส้นแล้วดึงออกแบบถอนรากถอนโคน เราจะเห็นเลยว่ามีตุ่มสีขาวๆ ติดมาที่โคนขน มันคือส่วนของรากขนรักแร้นั่นเอง การกำจัดขนด้วยการถอนจึงทำให้ขนขึ้นใหม่ช้ามาก อาจยาวนานไปถึง 3 อาทิตย์ แต่มีข้อเสียตรงที่เจ็บอย่างที่สุด ยิ่งถ้าเป็นคนมีขนรักแร้มากก็ยิ่งเจ็บนานกว่าจะถอนเสร็จทั้งหมด ทั้งเจ็บแสบรักแร้และเมื่อยคอไปพร้อมกัน นอกจากนี้ก็ยังเป็นวิธีที่ค่อนข้างทำร้ายผิวใต้วงแขนพอสมควร บางรายจึงมีผิวที่หมองคล้ำขึ้นหรือกลายเป็นหนังไก่

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธีโกน
การโกนขนรักแร้ค่อนข้างได้รับความนิยมสูง เพราะทำได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ยิ่งในยุคนี้ที่มีอุปกรณ์โกนขนให้เลือกหลากหลายเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้การโกนกลายเป็นเรื่องสนุก วิธีการนั้นแสนง่าย เพียงมองหามีดโกนที่ชื่นชอบมาสักอัน มีเคล็ดลับเล็กน้อยคือ มีดโกนที่มีหลายใบมีดจะช่วยให้โกนขนได้เกลี้ยงเกลามากขึ้น ครั้นจะใช้งานก็สามารถใช้น้ำสบู่หรือครีมโกนขนทาลงไปให้ทั่วบริเวณใต้วงแขน จากนั้นเริ่มโกนจากบนลงล่าง พร้อมเก็บรายละเอียดให้เรียบร้อย เมื่อ  ทำเสร็จทั้งสองข้างแล้วก็ล้างทำความสะอาดเอาสบู่หรือครีมออกให้หมด ข้อดีคือทำง่ายและไม่เจ็บ แต่ก็มีข้อเสียด้วยตรงที่ขนจะขึ้นเร็ว ระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 2-3 วัน อีกทั้งส่วนของขนที่ขึ้นมาใหม่ก็เส้นใหญ่และหนากว่าเดิม เมื่อไม่ได้โกนอย่างสม่ำเสมอก็จะไม่น่ามอง ในบางคนที่ผิวบอบบางก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดผิวอักเสบได้ด้วย 

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธีแวกซ์
หลายคนชื่นชอบวิธีนี้มากกว่าการโกนเสียอีก เพราะการแวกซ์ขนรักแร้นั้น ค่อนข้างสะดวกรวดเร็ว ผิวใต้วงแขนก็เรียบเนียน แถมขนยังขึ้นช้าอีกด้วย คล้ายกับเอาจุดดีของวิธีการกำจัดขนแบบถอนและแบบโกนมารวมกัน แต่การลงมือทำครั้งแรกต้องใช้ความกล้าเล็กน้อยในการดึงแวกซ์ออก บางคนก็ว่าเจ็บมาก บางคนก็ว่าเจ็บพอทน ขอแค่ทำไปเรื่อยๆ ก็จะชินไปเอง แวกซ์ที่ใช้จะแบ่งแบบหยาบๆ ได้ 2 ประเภท คือ แวกซ์ร้อนและแวกซ์เย็น ซึ่งยังสามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบครีม แบบแผ่น หรือแบบก้อน แต่หลักการใช้งานเหมือนกันหมดคือป้ายหรือแปะทิ้งไว้สักพักก็ดึงย้อนขนอย่างรวดเร็ว การกำจัดขนด้วยวิธีนี้จะทำให้ขนขึ้นช้า ระยะเวลาราวๆ 3-4 อาทิตย์ และมีข้อจำกัดตรงที่ต้องไว้ขนให้ยาวประมาณหนึ่งก่อนถึงจะแวกซ์ได้

กำจัดขนรักแร้ ด้วยเจลสมุนไพร
วิธีนี้คือการนำเอาประโยชน์จากสมุนไพรมาใช้งาน โดยทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปของเจล เวลาใช้ก็แค่ป้ายเจลไปที่ใต้วงแขนด้วยไม้พายพลาสติก ซึ่งจะมีแนบมาให้พร้อมตัวผลิตภัณฑ์เสมอ จากนั้นทิ้งไว้ให้เซตตัวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคู่มือ แล้วค่อยเช็ดออก ขนก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย ข้อดีคือทำง่ายมาก ไม่เจ็บแสบแต่อย่างใด แต่มีข้อเสียคือใช้ไม่ค่อยได้ผลเต็มประสิทธิภาพสำหรับคนที่มีขนเส้นใหญ่และหนา ระยะเวลาที่ขนจะขึ้นใหม่อยู่ที่ 1-2 อาทิตย์

กำจัดขนรักแร้ ด้วยครีมกำจัดขน
ครีมกำจัดขนก็มีลักษณะและวิธีการใช้งานคล้ายคลึงกับเจลสมุนไพรนั่นเอง เพียงแต่ว่าอันนี้เป็นเคมีที่เน้นการกำจัดขนโดยเฉพาะ ทำให้ทำลายขนได้สิ้นซากมากกว่า ข้อดีคือทำได้ง่ายและทำได้ทุกที่ แต่ข้อเสียคือค่อนข้างสุ่มเสี่ยงสำหรับผิวบอบบางและมีกลิ่นที่ค่อนข้างฉุน ดังนั้นการใช้ครีมกำจัดขนจึงต้องทดสอบการแพ้ก่อนเสมอ และทำตามขั้นตอนในคู่มืออย่างเคร่งครัด ไม่ทิ้งเวลาไว้นานเกินไป ไม่ป้ายครีมหนาเกินไป และไม่ทำบ่อยจนเกินไปด้วย ระยะเวลาที่ขนจะขึ้นใหม่อยู่ที่ 2-3 วันเท่านั้น

การ กำจัดขนรักแร้ ช่วยให้ใต้วงแขนสะอาดน่ามอง มีหลายวิธี และถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้น แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

กำจัดขนรักแร้ ด้วยเครื่อง
นี่เป็นนวัตกรรมที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์คนที่รักการถอนขนรักแร้ แต่เบื่อหน่ายกับอาการเมื่อยคอและรู้สึกเสียเวลา เครื่องถอนขนในท้องตลาดมีอยู่หลายราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหลายพัน คุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้งานก็แปรผันตามราคา สิ่งที่ทำให้แต่ละเครื่องแตกต่างกันก็คือจำนวนหัวหนีบ ยิ่งมีหัวหนีบมากก็ยิ่งถอนขนได้เร็วและลดความเจ็บจากการถอนขนได้มาก แม้ว่าจะเป็นการดึงขนแบบถอนรากถอนโคนเช่นเดียวกับการใช้แหนบ แต่ก็จะไม่เจ็บเทียบเท่าเพราะเครื่องทำงานได้รวดเร็ว อาจรู้สึกแสบบ้างหลังการใช้เครื่องกำจัดขน ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเนื่องจากเป็นอาการเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น ระยะเวลาที่ขนจะขึ้นใหม่ก็อยู่ที่ 1-2 อาทิตย์

กำจัดขนรักแร้ ด้วย IPL- Intense pulsed light ( ไอพีแอล )
ถ้าถามหาเทคโนโลยีทางการแพทย์ IPL น่าจะเป็นเครื่องมือรุ่นแรกๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการกำจัดขนแบบถาวร เป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 500-1200 นาโนเมตร และมีค่าความเข้มแสงสูง คุณสมบัติของแสงนี้จะเข้าไปทำลายรากขนใต้ชันผิวหนัง ขนรักแร้ที่มีอยู่จึงค่อยๆ หลุดออกไป แต่จะไม่ใช่การทำเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จำเป็นต้องทำ 3-6 ครั้งในทุกๆ 3 อาทิตย์ เป็นการแก้ปัญหาแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ได้ผลคุ้มเกินคาด เพราะผิวใต้วงแขนจะเรียบเนียนยาวนานเป็นปีๆ หลายคนไม่มีขนขึ้นมาอีกเลยก็มี หรือหากขึ้นมาใหม่ก็จะบางลงมากๆ ทำ IPL ซ้ำอีกสักรอบสองรอบก็จะกำจัดขนไปแบบถาวรเช่นเดียวกัน มีข้อจำกัดอยู่เพียงเล็กน้อยคือต้องได้รับการบริการจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีโอกาสที่ผิวจะเกิดอาการไหม้ได้

กำจัดขนรักแร้ ด้วย Diode Laser ( ไดโอดเลเซอร์ )
ตามมาติดๆ กับเทคโนโลยีไดโอดเลเซอร์ ตัวนี้เป็นกลุ่มเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นประมาณ 800-1000 นาโนเมตร ให้พลังงานได้สูงกว่า IPL และทำลายรากขนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะถูกออกแบบมาใช้เพื่อการกำจัดขนโดยเฉพาะ ระหว่างการทำก็ไม่รู้สึกแสบร้อน ด้วยเหตุที่มีระบบความเย็นติดอยู่กับหัวเลเซอร์ด้วย จึงช่วยลดอุณหภูมิของผิวหนังลงได้ วิธีนี้จำเป็นต้องทำซ้ำ 5-8 ครั้งตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธี YAG
เครื่องมือชนิดนี้นับได้ว่าเป็นรุ่นเดียวกับ IPL เลยก็ว่าได้ แต่จะดีกว่าตรงที่สามารถทำได้ในทุกสีผิว ไม่ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แต่อย่างใด เครื่องมือ YAG ในท้องตลาดมีทั้งแบบ Q Swithed nd yag (เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสั้น 532 nm และ 1064 nm) และ Long pulse nd yag (คลื่นยาว 1,064 nm) แต่ตัวที่ใช้กับการ กำจัดขนรักแร้ จริงๆ มีแค่ Long pulse nd yag เท่านั้น การทำงานก็เป็นเหมือนกับเครื่องเลเซอร์อื่นๆ คือตรงเข้าทำลายรากขนที่ใต้ชั้นผิวหนัง ต้องทำซ้ำ 4-8 ครั้งก่อนที่ขนรักแร้จะหมดไป จุดเด่นคือมีส่วนที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้ด้วย ในขณะเดียวกันถ้าใช้เครื่องผิดประเภทก็จะเสียเวลาและเสียทุนทรัพย์ไปเปล่าๆ เพราะมันจะไม่เกิดผลอะไรเลย งั้นถาม  ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องที่ใช้เหมาะกับการกำจัดขนหรือไม่ ก็บอกได้ยากหากไม่มีการแจ้งรายละเอียดเอาไว้ในคอร์สกำจัดขน จึงจำเป็นต้องเลือกใช้บริการกับสถานบริการที่เชื่อถือได้ และมีผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คอยดูแล 

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของเลเซอร์ กำจัดขนรักแร้ อีกหลายชนิด ซึ่งแกนหลักในการกำจัดขนนั้นเหมือนกัน แต่แตกต่างกันไปในรายละเอียด เช่น ระหว่างทำไม่แสบแดง ไม่มีการอักเสบหลังการทำ จำนวนครั้งที่ทำลดน้อยลง เป็นต้น ไม่ว่าจะตัดสินใจกำจัดขนกับเลเซอร์ตัวไหน ก็อย่าลืมดูแลผิวใต้วงแขนหลังการทำเสมอ หากมีอาการแสบแดงก็ประคบด้วยของเย็น หากมีอาการบวมแล้วไม่หายภายใน 24 ชั่วโมง ก็ต้องพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาต่อไป

จะเห็นได้ว่าการกำจัดขนมีหลากหลายวิธี และถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป บ้างเจ็บมาก บ้างเจ็บน้อย บ้างราคาถูก บ้างราคาสูง ก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมและความต้องการ หากยังไม่มีทุนทรัพย์มากเพียงพอสำหรับการลงคอร์สกำจัดขนแพงๆ ก็ไม่ต้องกังวลมากไป เพราะใจความสำคัญคือการ กำจัดขนรักแร้ และช่วยให้ใต้วงแขนสะอาดสะอ้านน่ามองเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อจัดการเรื่องกำจัดขนแล้วก็อย่าลืมเรื่องการบำรุงผิวหนังใต้วงแขนและดูแลเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย หากมีรักแร้ที่ขาวเนียนแต่กลิ่นสุดจะทนก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ต้องดูแลให้สวยครบทุกด้านไปพร้อมกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Bhargava, Amber (November 26, 2012). “Beauty and the Geek: The Engineering Behind Laser Hair Removal”.

Heinz Tschachler, Maureen Devine, Michael Draxlbauer; The EmBodyment of American Culture; pp 61–62; LIT Verlag, Berlin-Hamburg-Münster; 2003; ISBN 3-8258-6762-5.

Kutty, Ahmad (September 13, 2005) “Islamic Ruling on Waxing Unwanted Hair” Archived 2008-02-13 at the Wayback Machine. Retrieved March 29, 2006

ศัลยกรรมปลูกรากผม ปลุกความมั่นใจ

0
ศัลยกรรมปลูกรากผม ปลุกความมั่นใจ
เส้นผมเป็นส่วนที่สามารถหลุดร่วงออกจากร่างกายและงอกขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนเส้นที่หลุดร่วงไปได้ตลอด
ศัลยกรรมปลูกรากผม ปลุกความมั่นใจ
รากผมที่นำมาปลูกถ่ายมีความแข็งแรงมาก แต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อาจจะส่งผลให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่นั้นอาจจะอ่อนแอลง

ศัลยกรรมปลูกรากผม ( ปลูกผม )

ศัลยกรรมปลูกรากผม เป็นทางออกสำหรับปัญหาผมร่วง ผมบางหรือศีรษะล้าน ถือเป็นปัญหาใหญ่มากของชีวิตใครหลายคน โดยเฉพาะปัญหาหัวล้านที่เข้ามาลดทอนความมั่นใจให้กับใครหลายคน ถึงแม้ว่าปัญหาผมบางศีรษะล้านจะเป็นปัญหาใหญ่ที่พบได้ทั่วไปกับคนทุกเพศ ทุกวัย และศัลยกรรมปลูกผมก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการรักษา

ศัลยกรรมปลูกผม พบว่าผู้เข้ารับการรักษาปัญหาผมบางหัวล้านหรือความต้องการปลูกผมกับแพทย์เฉพาะทางมีน้อยมาก เนื่องจากรู้สึกอายที่ตนเองต้องเข้ารับการรักษาหัวล้านจึงไม่อยากให้คนรอบข้างรับรู้ว่าตนเองหัวล้าน และหันไปซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถรักษาอาการผมร่วง ผมบางหรือหัวล้านให้หายได้ ซึ่งการทำเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่ออาการที่เกิดขึ้นและในบางครั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อาการผมบาง หัวล้านมีอาการที่หนักขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้นทางทีดีเมื่อต้องการรักษาอาการผมบาง ผมร่างหรือหัวล้านอย่างได้ผลควรไปพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้จะดีที่สุด แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีการรักษาอาการผมบาง หัวล้านนั้น เรามาทำความรู้จักกับเส้นผมและสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงจนเป็นที่มาของผมบางและหัวล้านได้

โครงสร้างของเส้นผมประกอบด้วย

1. รากผม ( hair root ) มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เส้นผมเพื่อใช้ในการสร้างเซลล์เส้นผมและช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม รากผม จะอยู่ในบริเวณของชั้นหนังแท้ มีรูปทรงเหมือนหลอดปากแคบ บนศีรษะของเราจะมีรากผมอยู่ประมาณ 50,000 กว่าราก ในแต่ละรากผมสามารถมีเส้นผมงอกออกมาได้สูงสุด 4 เส้น

2. เส้นผม คือส่วนที่ยื่นออกมาจากรากผม เป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต นั่นคือ เส้นผมเป็นส่วนของเซลล์ที่ตายแล้วนั่นเอง ในเส้นผมจะประกอบไปด้วยโปรตีนมากที่สุด ในหนึ่งเดือนเส้นผมจะสามารถงอกได้ประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร

เส้นผมเป็นส่วนที่สามารถหลุดร่วงออกจากร่างกายและงอกขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนเส้นที่หลุดร่วงไปได้ตลอด

วงจรชีวิตของเส้นผม ( Hair Growth Cycle )

สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน คือ 

1. ระยะเจริญเติบโต ( Anagen Phase ) เป็นระยะเริ่มต้นของเส้นผม โดยจะเริ่มจาก รากผม ทำการผลิตเส้นผมจนกระทั้งเส้นผมเจริญเติบโตยาวออกมาจากรูขุมขน ซึ่งเส้นผมร้อยละ 90 ที่อยู่บนหนังศีรษะของเราจะเป็นเส้นผมที่

อยู่ในระยะการเจริญเติบโต ระยะเจริญเติบโตของเส้นผมมีช่วงระยะประมาณ 2-10 ปี นั่นหมายถึงว่าเส้นผมจะคงอยู่บนศีรษะได้นานที่สุดเพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น หรืออาจจะน้อยกว่าก็ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงสมบูรณ์ของรากผมด้วย เพราะว่าถ้ารากผมอ่อนแอเส้นผมก็จะอายุน้อย

2. ระยะร่วง ( Catagen Phase ) เป็นระยะที่เส้นผมที่หมดอายุและหยุดการเจริญเติบโตแล้ว เริ่มมีการหลุดร่วงออกจากศีรษะ การหลุดร่วงเกิดจากการที่รากผมทำการแยกตัวออกมาจากเส้นผม ส่งผลให้เส้นผมได้รับสารอาหารน้อยลง จนในที่สุดรากผมหลุดออกจากเส้นผม เส้นผมจะหยุดการเจริญเติบโตทันที ซึ่งระยะร่วงของเส้นผมจะมีระยะเวลาประมาณ 14-21 วันรากผมจึงจะหลุดออกจากเส้นผมโดยสมบูรณ์ เส้นผมที่อยู่ในระยะนี้จะมีประมาณร้อยละ 1 ของจำนวนเส้นผมทั้งหมด โดยปกติแล้วเส้นผมจะร่วงประมาณ 50-60 เส้นต่อวันในผู้ชายและ 100-120 เส้นในผู้หญิงต่อวัน แต่ถ้ามีผมร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวันติดต่อกันหลายวันถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ มีภาวะเสี่ยงต่อการผมบางและหัวล้านได้

3. ระยะพัก ( Telogen Phase ) หรือระยะสุดท้ายของเส้นผม ที่ระยะนี้ที่รากผมหดสั้นลงจนหลุดออกมาจากเส้นผมและเส้นผมเส้นใหม่จะทำการงอกขึ้นมาจากรากผมแทนที่เส้นผมเดิม และเส้นผมใหม่ที่ขึ้นมานี้จะดันเส้นผมเก่าให้หลุดร่วงออกไป ซึ่งระยะพักจะมีระยะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน เส้นผมบนศีรษะประมาณร้อยละ 10-15 จะเป็นเส้นผมที่อยู่ในระยะพัก
จะพบว่าการร่วงของเส้นผมในปริมาณเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติของร่างกาย แต่ทว่าการร่วงของเส้นผมถ้ามากเกินไปก็จะส่งผลให้ผมที่มีอยู่บางลงและอาจจะหัวล้านได้ในอนาคต อาการหัวล้านจะเริ่มจากการที่เส้นผมหลุดร่วงมากกว่าปกติ เนื่องจากรากผมอ่อนแอ และรากผมที่อ่อนแอนี้แม้ว่าเส้นผมจะสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้แต่ลักษณะของเส้นผมที่ขึ้นมาใหม่ก็จะมีขนาดที่เล็กลงเรื่อย จนในที่สุดจะมีลักษณะเป็นเพียงเส้นขนบาง ๆ หรือไรผม ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ รากผมอ่อนแอจนมีอาการผมร่วงผิดปกติจนทำให้ศีรษะล้านมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ 

เส้นผมเป็นส่วนที่สามารถหลุดร่วงออกจากร่างกายและงอกขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนเส้นที่หลุดร่วงไปได้ตลอด

สาเหตุที่ทำให้รากผมอ่อนแอจนมีอาการผมร่วงผิดปกติ

1. พันธุกรรม
เป็นสาเหตุของศีรษะล้านมากที่สุดมากถึงร้อยละ 95 ของผู้ที่มีอาการหัวล้านทั้งหมด เพราะว่าการที่ รากผม จะแข็งแรงหรือไม่สมารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ดังนั้นหากต้องการทราบว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะหัวล้านหรือไม่ให้สังเกตจากบรรพบุรุษว่ามีใครหัวล้านหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าคุณมีความเสี่ยงในการที่จะมีศีรษะล้านได้ การที่หัวล้านจากกรรมพันธุ์เนื่องจากภายในร่างกายได้รับฮอร์โมน DHT ในปริมาณที่สูง ฮอร์โมน DHT เมื่อมีมากจะส่งผลให้รากผมอ่อนแอและมีขนาดที่เล็กลง ส่งผลให้เส้นผมมีอายุที่สั้นและเส้นผมที่งอกออกมาใหม่ก็มีขนาดเล็กลงหรือเป็นเพียงแค่ไรผมเท่านั้น

2. สาเหตุอื่นๆ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการหัวล้านได้ ซึ่งอาการหัวล้านที่พบได้บ่อยมักเป็นอาการของผมร่วงเป็นหย่อม ( Alopecia Areata ) อาการหัวล้านแบบนี้มีโอกาสที่พบได้เพียงร้อยละ 5 % เท่านั้น ซึ่งสาเหตุของอาการหัวล้านนี้มักเกิดจากต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ( Toxic goiter ) ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ( Hypothyroidism ) ภาวะหลังคลอดบุตรในผู้หญิง ความเครียด โรคเบาหวาน หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาเพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น

แนวทางในการรักษาอาการหัวล้านที่นิยมใช้ในการรักษา

1. การใช้ยาต้านฮอร์โมน DHT
ใช้เพื่อรักษาระดับของฮอร์โมน DHT ในร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งการใช้ยาชนิดนี้จะมีอาการข้างเคียงทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้ ตัวอย่างของยาที่ใช้ต้านฮอร์โมน DHT คือ Finasteride (ฟีนาสเตอไรด์) โดย Finasteride ( ฟีนาสเตอไรด์ ) จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5 -reductase typeII ในการเปลี่ยน Testosterone ให้กลายเป็นฮอร์โมน DHT เมื่อการทำงานของเอนไซม์ 5 -reductase typeII ลดลงปริมาณของฮอร์โมน DHT ที่เกิดขึ้นจะไม่มาเกินความจำเป็นจนส่งผลให้ผมร่วงหัวล้านได้ 

2. การใช้ยา Minoxidill
การใช้ยา Minoxidill ที่มีความเข้มข้น 5 % Minoxidil จะเข้าไปช่วยเพิ่มการงอกใหม่ของเส้นผมให้มีปริมาณมากขึ้นและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้มาหล่อเลี้ยงบริเวณ รากผม ทำให้เส้นผมมีความแข็งแรง จึงช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้มีการผลิตยาชนิดนี้มาทั้งรูปแบบยาทาและยากิน ซึ่งการใช้ยาต้องใช้อย่างต่อเนื่องจึงจะได้ผลและถ้าหยุดยาผมก็จะกลับมาบางและหัวล้านเช่นเดิม

3. การใช้แสงเลเซอร์พลังงานต่ำ ( Low Level Laser Light )
เป็นการรักษาอาการหัวล้านด้วยการใช้เลเซอร์ที่มีคลื่นแสงความถี่ต่ำประมาณ 650-680 nm ซึ่งแสงที่ความถี่ต่ำนี้สามารถมองเห็นเป็นแสงสีแดงด้วยตาเปล่า พลังงานที่ได้รับจากคลื่นความถี่ต่ำจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์รากผมและหลอดเลือดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรากผมให้มีการขยายตัวมากขึ้น เลือดหมุนเวียนได้มากขึ้น รากผมจึงได้รับสารอาหาร ออกซิเจนที่เพียงพอส่งผลให้รากผมสามารถผลิตเส้นผมขึ้นมาใหม่ได้มากขึ้นและเส้นผมที่เกิดขึ้นมีความแข็งแรง นอกจากนี้พลังงานที่ได้จากแสงเลเซอร์จะเข้าไปนำที่เป็นอันตรายต่อรากผมออก เช่น สาร DHT จึงช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี

ทั้ง 3 วิธีที่กล่าวมาข้างต้นเป็นวิธีที่ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ ทว่าในรายที่มีอาการหัวล้านจากกรรมพันธุ์แม้ว่าจะทำการรักษาอย่างไรผลที่ได้ก็เป็นเพียงแค่ระยะสั้นหรือในระยะที่ร่างกายได้รับยาเท่านั้น แต่ยังมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขและป้องกันอาการหัวล้านอย่างได้ผลมากกว่าทั้ง 3 วิธีข้างต้น นั่นคือ “การศัลยกรรมปลูกผม

การศัลยกรรมปลูกผม คือ การผ่าตัดบ้ายรากผมที่มีความแข็งแรงสมบูรณ์มาปลูกในบริเวณที่ไม่มีเส้นผมแล้ว ซึ่งการรากผมที่นิยมนำมาปลูกมักจะเป็นรากผมจากบริเวณท้ายทอย เนื่องจากรากผมบริเวณดังกล่าวจะมีความแข็งแรงสมบูรณ์และมีอายุมากกว่ารากผมบริเวณอื่นมาก จึงนำรากผมจากส่วนท้ายทอยมาปลูกทดแทนส่วนของรากผมที่อ่อนแอจนไม่มีเส้นผมงอกขึ้นมาแล้ว ซึ่งการรักษาอาการหัวล้านด้วยการ ศัลยกรรมปลูกผม นับว่าเป็นวิธีที่ดีและช่วยแก้ไขปัญหาอาการหัวล้านได้อย่างถาวร เนื่องจาก

1. ทนทานต่อฮอร์โมน DHT
รากผม ที่บริเวณท้ายทอยมีลักษณะพิเศษที่สามารถทนทานต่อฮอร์โมน DHT ได้มากกว่าปกติ ซึ่งจะสังเกตได้จากคนที่หัวล้านเนื่องจากความผิดปกติของฮอร์โมน DHT หรือจากกรรมพันธุ์ส่วนมากจะล้านที่บริเวณกลางศีรษะ แต่เส้นผมที่บริเวณท้ายทอยจะคงอยู่เหมือนเดิม จึงกล่าวได้ว่ารากผมที่บริเวณท้ายทอยเป็นรากผมที่มีความแข็งแรงทนทานมากที่สุด เมื่อนำไปปลูกทดแทนรากผมที่บริเวณกลางศีรษะ รากผมและเส้นผมที่เกิดขึ้นใหม่ย่อมมีความแข็งแรงทนทานเช่นเดียวกัน โอกาสที่รากผมจะอ่อนแอจนกลับมาหัวล้านมีความเป็นไปได้น้อยมากหรือแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ 

2. อายุยืน
รากผมที่แข็งแรงจะสามารถสร้างเส้นผมได้ประมาณ 20 รอบตลอดอายุของรากผม ซึ่งวงจรชีวิตของเส้นผม 1 รอบจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6-10 ปี เส้นผมจึงจะหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ นั่นหมายความว่าถ้ารากผมที่แข็งแรงจะมีอายุสูงสุดถึง 200 ปีทีเดียว ดังนั้นเมื่อนำรากผมที่บริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นรากผมที่มีความแข็งแรงมากที่สุดบนศีรษะมาปลูกผมแล้ว ย่อมหมายความว่ารากผมที่เกิดขึ้นใหม่จากการปลูกถ่ายจะมีอายุอยู่ต่อไปได้อีกเป็นร้อยปี และเส้นผมที่เกิดจากรากผมก็จะเกิดขึ้นได้ตลอดอายุขัยของรากผมเช่นเดียวกัน

รากผมที่นำมาปลูกถ่ายมีความแข็งแรงมาก แต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อาจจะส่งผลให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่นั้นอาจจะอ่อนแอลง

การปลูกผมด้วยวิธีการศัลยกรรมย้ายรากผมที่แข็งแรงไปปลูกยังบริเวณที่รากผมไม่แข็งแรง

มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

1. การผ่าตัดแบบแผลกรีดยาว ( Follicular Unit Transplantation หรือ FUT ) หรือ Strip Technique เป็นการผ่าตัดที่ต้องทำในห้องผ่าตัด ทำการกรีดแผลเหมือนการผ่าตัดทั่วไป ซึ่งการผ่าตัดเพื่อปลูกผมวิธีนี้มีข้อดี คือการกรีดแผลหนึ่งครั้งสามารถที่จะทำการย้ายรากผมได้เป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งรากผม นั่นคือถ้าต้องการทำการย้ายรากผมเป็นจำนวนมากแล้ว สามารถทำการผ่าตัดได้ในครั้งเดียวไม่ต้องทำหลายครั้ง และลักษณะของรากผมที่ได้จากการผ่าตัดนี้จะได้รับความกระทบกระเทือนน้อยมาก ทำให้เมื่อนำไปปลูกยังบริเวณใหม่แล้ว รากผมที่ย้ายมาจะมีคุณภาพและความแข็งแรงสูงมา ส่งผลให้มีอันตราการงอกของเส้นผมที่เกิดขึ้นจากรากผมที่นำมาปลูกใหม่นั้นมีค่าเกือบ 100 %

ถึงแม้ว่าการผ่าตัดแบบกรีดแผลยาวจะมีข้อดีหลายประการก็ตาม แต่การผ่าตัดแบบนี้ก็ยังมีข้อเสียที่ต้องพึงระวังเช่นกัน คือ การผ่าตัดจำเป็นต้องจะต้องเกิดแผลที่บริเวณที่ทำการผ่าตัด ซึ่งจะมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้นหลังจากที่ผ่าตัดเสร็จแล้ว และถ้าผู้ที่ผ่าตัดไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ อาจจะผ่าตัดโดนเส้นประสาทได้ ซึ่งจะส่งผลให้บริเวณดังกล่าวมีความรู้สึกชา

2. การผ่าตัดแบบแผลเจาะ ( Follicular Unit Extraction หรือ FUF ) เป็นการศัลยกรรมย้ายรากผมโดยที่ไม่ต้องมีการผ่าตัดเพื่อเปิดแผล แต่จะใช้หัวเจาะที่มีขนาดเล็กประมาณ 0.8-0.9 มิลลิเมตร ทำการเจาะลงไปยังบริเวณรอบๆ ของเส้นผมที่ต้องการทำการย้าย โดยการเจาะจะเจาะลุกลงไปถึงรากผมที่อยู่ด้านล่างและทำการดึงรากผมนั้นออกมา เพื่อนำไปรากผมไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการต่อไป ซึ่งการทำแบบนี้รอยแผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็กมาก เมื่อแผลหายโอกาสที่จะสังเกตเห็นนั้นมีน้อยมาก และยิ่งอยู่บนหนังศีรษะที่มีเส้นผมปกคลุมด้วยแล้วยิ่งไม่สามารถสังเกตเห็นรอยผลดังกล่าวได้เลย

แต่ทว่าการศัลยกรรมปลูกผม จะได้ผลที่สมบูรณ์สามารถแก้ไขปัญหาหัวล้านได้อย่างถาวรก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยของร่างกายด้วย เพราะว่าถึงแม้ รากผม ที่นำมาปลูกถ่ายจะมีความแข็งแรงมากแค่ไหน แต่ถ้าร่างกายของเราไม่แข็งแรงก็อาจจะส่งผลให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่นั้นอาจจะอ่อนแอลงได้เช่นเดียว

สาเหตุที่จะทำให้รากผมที่ทำการปลูกทดแทนอ่อนแอ

1. การดำเนินชีวิต
การดำเนินชีวิตของผู้เข้ารับการ ศัลยกรรมปลูกผม ถ้าในชีวิตประจำวันต้องเผชิญกับความเครียด ความกดดันที่สูง หรือพักผ่อนไม่เพียงพอจนเกิดอการเจ็บป่วยทำให้ร่างกายอ่อนแอแล้ว จะส่งผลให้ร่างกายมีการกระตุ้นวงจรชีวิตของเส้นผมให้เกิดเร็วขึ้น นั่นคือ ช่วงอายุของเส้นผมจะสั้นลงจากที่เส้นผมควรมีอายุ 6-10 ปีก็จะหลดลงเหลือเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ส่งผลให้อายุของรากผมที่ควรจะยาวนานถึง 120-200 ปีก็จะลดสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ปีด้วยเช่นกัน จึงทำให้ผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรมปลูกผมมีโอกาสที่จะกลับมาหัวล้านได้อีกเมื่อมีอายุมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่ทำศัลยกรรมปลูกผมมาแล้วควรที่จะดูแลร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ รู้จักผ่อนคลายความเครียดเป็นประจำ จึงจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะกลับมาหัวล้านอย่างได้ผล 

2. การปลูกผมที่ไม่ได้มาตรฐาน
การปลูกผมด้วยการผ่าตัดย้าย รากผม หรือการเจาะจัดเป็นการศัลยกรรมเสริมความงามชนิดหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การผ่าตัดปลูกผม จึงจะทำให้การปลูกผมที่เกิดขึ้นจะได้ผลดีที่สุด รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่จะมีความแข็งแรงสมบูรณ์มากที่สุด แต่ถ้าผู้ที่ทำการผ่าตัดปลูกผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในการผ่าตัดไม่เพียงพอแล้ว ย่อมทำให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่อาจจะไม่สมบูรณ์ 100% เนื่องจากรากผมมีความบอบช้ำในขั้นตอนการผ่าตัดหรือเลือกรากผมที่ไม่สมบูรณ์มาทำการปลูกถ่าย ทำให้เส้นผมที่

เกิดขึ้นใหม่มีน้อยหรือเส้นผมอ่อนแอหลุดร่วงได้ง่าย จึงทำให้มีโอกาสที่ผมจะบางและอาจจะกลับมาหัวล้านอีกก็เป็นได้ ดังนั้นการเลือกสถานที่และแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมปลูกผมควรเลือกแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลที่เชื่อถือได้ ในการผ่าตัดก็ควรทำในสถานที่ที่ได้มาตรฐานสะอาดถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและผลการผ่าตัดที่ดี

การผ่าตัด ศัลยกรรมปลูกผม ด้วยการนำรากผมที่แข็งแรงไปปลูกยังบริเวณที่รากผมไม่แข็งแรงนั้น นับเป็นวิธีการที่ช่วยแก้ไขปัญหาหัวล้าน ผมบางอย่างได้ผลอย่างถาวร จึงนับว่าการ ศัลยกรรมปลูกรากผม เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่มีปัญหาผมบางหรือหัวล้านได้เป็นอย่างดี แต่การทำศัลยกรรมปลูกผมก็ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานที่ที่ถูกสุขลักษณะด้วย เพื่อที่ผลของการรักษาผมบาง หัวล้านจะมีประสิทธิภาพเต็มร้อย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ส่วนประกอบของ เครื่องสำอาง ที่ควรทราบ

0
ส่วนประกอบของเครื่องสำอางต่างๆ ที่ควรทราบ
เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อทำความสะอาด หรือเสริมแต่งให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณะ
ส่วนประกอบของเครื่องสำอางต่างๆ ที่ควรทราบ
กลิตเตอร์ มีประกายมุกอนุภาคขนาดใหญ่ผสมอยู่ จึงมีความระยิบระยับมากเป็นพิเศษ ช่วยทำให้ตาหรือเล็บดูระยิบระยับแวววาวเหมือนเครื่องประดับโลหะ

เครื่องสำอาง

เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ด้วยการ ทา ถู นวด พ่น หรือโรย เพื่อ ทำความสะอาด หรือเสริมแต่งให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ โดยในสมัยแรกๆ นั้น ใช้เครื่อง สำอางเนื่องจากความจำเป็น เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ

เอทานอล ( Ethanol )
เอทานอลระเหยเป็นไอได้และช่วยกระชับผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงนิยมใช้ในโลชั่นหรือยาสมานผิวแฮร์โทนิคและน้ำหอมซึ่งมีเอทานอลผสมอยู่ในปริมาณมาก นอกจากจะช่วยกระชับผิวแล้ว ยังช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดการติดเชื้อได้อีกด้วย

พาราเบน ( Paraben )
เป็นสารที่มีคุณสมบัติที่ช่วยอุดการก่อตัวของเชื้อโรคและเชื้อราได้ดี เป็นส่วนประกอบของสารกันบูดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่นผลิตภัณฑ์อาหารและยา แต่ถือว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัยอันควร เป็นต้นเหตุของกระและริ้วรอย และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นสารต้องห้ามใน เครื่องสำอาง ในไม่ช้านี้

อัลลันโทอิน ( Allantoin )
อัลลันโทอิน เป็นสารสกัดจากใบและรากของต้นคอมเฟรย์ที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศยุโรปและเอเชีย ช่วยให้ผิวคงสภาพปกติและเร่งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อให้แข็งแรง

ว่านหางจระเข้ ( Aloe )
วุ้นว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยกรดแอมิโน วิตามิน เอนไซม์และแร่ธาตุหลากหลายชนิด น้ำที่สกัดจากว่านหางจระเข้มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังรักษาความสมดุลของค่า pH ของผิวได้อย่างยอดเยี่ยม

คาโมมายล์ ( Camomile )
คาโมมายล์ช่วยคงสภาพผิวให้เป็นปกติได้เป็นอย่างดีและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ในน้ำมันคาโมมายด์นั้นมีบิซาโบลอลและคามาซูลีนเป็นส่วนประกอบหลัก

เชียบัตเตอร์ ( Shea Butter )
เป็นสารสกัดจากต้นคาริเทจากแอฟริกา เป็นน้ำมันที่ผลิตโดยกระบวนการสกัดเย็น (การสกัดโดยไม่ใช้ความร้อน) ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ซึมซาบสู่ผิวได้ดีและบำรุงผิวได้อย่างยอดเยี่ยม

กลีเซอรีน ( Glycerine )
กลีเซอรีนมีสารบำรุงและสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่มีประสิทธิภาพสูง เป็น เครื่องสำอาง ที่สกัดมาจากผักจึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และช่วยลดอาการระคายเคืองลงได้

สารสกัด BHA ( Beta Hydroxy Acid )
BHA ที่ใช้ใน เครื่องสำอาง ถือเป็นกรดซาลิไซลิกอย่างหนึ่ง ก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่า AHA และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ BHA ซึ่งเป็นสารที่ละลายในไขมัน จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นหนังกำพร้า แต่ก็ซึมเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้และทำปฏิกิริยากับเซลล์ที่ตายแล้วในร่องรูขุมขน

สารสกัด AHA ( Alpha Hydroxy Acid )
ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและทำให้ผิวดูสม่ำเสมอ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัด AHA 10%  ขึ้นไป แต่การใช้มากจนเกินไปอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้นในแต่ละวันจึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA เกิน 1 ชนิด และต้องควรให้ความสำคัญกับการเลือกครีมกันแดด

สารอนุพันธ์ของวิตามินเอหรือเรตินอยด์ ( Retinoid )
สารต้านอนุมูลอิสระที่รู้จักกันในชื่อเรตินอยด์นั้น เป็นสารอนุพันธ์ของวิตามินเอที่แข็งแรงที่สุด ช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ ช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย แต่ก็อาจส่งผลข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้งหรือระคายเคือง ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีแพนทีนอล ( หรือโปรวิตามินบี 5 ) หรือมีวิตามินอีที่ช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงเหล่านี้รวมอยู่หรือไม่ หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอยด์จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดด้วย

เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อทำความสะอาด หรือเสริมแต่งให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณะ

คำศัพท์บนฉลาก เครื่องสำอาง ที่ต้องรู้

SPF และ PA
ค่า SPF ใน เครื่องสำอาง หมายถึงระยะเวลาที่ช่วยป้องกันรังสี UVB
ค่า SPF 1 หมายถึงช่วยป้องได้ 15 นาที ดังนั้น SPF 35 หมายถึง ช่วยปกป้องผิวได้อย่างต่อเนื่องนาน 35 x 15 = 525 นาที หรือประมาณ 8 ชั่วโมง
PA คือค่าดัชนีการป้องกันผิวจากรังสี UVA ไม่ได้แสดงค่าเป็นตัวเลข แต่แสดงประสิทธิภาพการป้องกันเป็นค่า +

ดีท็อกซ์ ( Detox )
การกำจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายมนุษย์ สำหรับในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั้น หมายถึง หน้าที่ในการขับสารพิษที่สะสมในผิวหนังอันเนื่องมาจากมลพิษในสิ่งแวดล้อมหรือจากความเครียด

ลิฟติ้ง ( Lifting ) / เฟิร์มมิ่ง ( Firming )
ช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยบำรุงและทำให้ชั้นหนังแท้มีความยืดหยุ่น มักพบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้หญิงวัย 30 ขึ้น ไป

ลองลาสติ้ง ( Long-lasting )
ทำให้ เครื่องสำอาง ติดทนนาน

คอนเซนเตรท ( Concentrate )
สารที่มีความเข้มข้น อุดมไปด้วยสารบำรุงและมักจะมีเนื้อข้น

โอเทอร์มอล ( Eau Thermale )
น้ำแร่จากน้ำพุร้อน ส่วนใหญ่ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งผลิตในเขตยุโรปประเภทที่ใช้น้ำแร่เป็นตัวทำละลาย

พอร์ไทเทนนิ่ง ( Pore Tightening )
ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำความสะอาดและกระชับรูขุมขน 

ลิควิด ( Liquid ) / ฟลูอิด ( Fluid )
เนื้อ เครื่องสำอาง สภาพใกล้เคียงกับของเหลว

มอยส์เจอไรเซอร์ ( Moisturizer )
สารที่ให้ผิวชุ่มชื้น

ออยล์ฟรี ( Oil-free )
ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันผสมอยู่ในปริมาณที่น้อยมากซึ่งจำเป็นสำหรับผิวมันหรือผิวที่มีสิว

วอเตอร์พรู๊ฟ ( Waterproof )
มีคุณสมบัติกันน้ำ เครื่องสำอาง จะไม่เลอะเปรอะเปื้อนเมื่อสัมผัสกับน้ำ

เนื้อครีม เครื่องสำอาง

กลอส ( Gloss )
มีลักษณะเรียบลื่นและใสเหมือนทาแว็กซ์หรือทาเล็บ ตัวอย่างไอเทมประเภทนี้คือ ลิปกลอส

แมตต์ ( Matte )
หมายถึงสภาพเนื้อด้าน ไม่มีประกายหรือความมันวาวเลย เวลาทาลิปสติกเนื้อแมตต์ สีที่ปรากฏบนริมฝีปากจะไม่แตกต่างจากสีของลิปสติกในแท่ง

กลิตเตอร์ ( Glitter )
มีประกายมุกที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ผสมอยู่ จึงมีความระยิบระยับมากเป็นพิเศษ ช่วยทำให้ตาหรือเล็บดูระยิบระยับแวววาวเหมือนเครื่องประดับโลหะ

เชียร์ ( Sheer )
เนื้อ เครื่องสำอาง ชนิดนี้จะให้ความรู้สึกสว่างใสและไร้สี ให้ความแวววาวที่ทำให้ผิวดูเปล่งประกาย

ชิมเมอร์ ( Shimmer )
หมายถึง “ระยิบระยับอย่างละเอียดอ่อน” มีมุกผสมอยู่เล็กน้อย ให้ความระยิบระยับแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับแสงที่ส่องมายังใบหน้า ให้ความรู้สึกผิวมีสุขภาพดี

สปาร์คลิ่ง ( Spakling )
ค่อนข้างเป็นประกายระยิบระยับด้วยความแพรวพราวของประกายมุก ใช้แต่งได้หลายลุคตามขนาดอนุภาคของมุก

รวมคำศัพท์เทคนิคการแต่งหน้า

เฉดดิ้ง ( Shading )
เป็นการใช้เทคนิคของแสงและเงา คือการทำให้พื้นที่รอบนอกของใบหน้ามีสีเข้มกว่าสีผิว 1 โทน ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลง

กราเดชั่น ( Gradation )
การนำสีต่างกันมาใช้ร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ โดยทำให้มองไม่เห็นรอยต่อที่ชัดเจนระหว่าง 2 สีนั้น

เบลนดิ้ง ( Blending )
การเกลี่ยสีและเนื้อ เครื่องสำอาง ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน สามารถแต่งหน้าให้ดูสวยสง่าและแลดูมีระดับได้มากกว่าการใช้เพียงสีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

วิธีสร้างเสน่ห์ให้ผิวสวยน่าหลงไหล

0
การตกหลุมรักผิวของคุณเอง
ผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ จะสวยขึ้น เพราะยิ่งส่องบ่อยก็ยิ่งเป็นการใส่ใจในใบหน้าตัวเองมากขึ้นและรู้สึกรักใบของหน้าตัวเอง
การตกหลุมรักผิวของคุณเอง
ผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ จะสวยขึ้น เพราะยิ่งส่องบ่อยก็ยิ่งเป็นการใส่ใจในใบหน้าตัวเองมากขึ้นและรู้สึกรักใบของหน้าตัวเอง

ผิวหนัง

“ มาเป็นเพื่อนซี้กับกระจกกันเถอะ ”
วันนี้เราจะมาชวนสาว ๆ มาทำความคุ้นเคยกับใบหน้าของตัวเองกัน รู้ไหมว่าผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ มักถูกมองว่าเป็นพวกชอบหลงตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่เป็นการหลงตัวเองอะไรเลย พวกหลงตัวเองที่รู้จักรักตัวเองนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ชอบใบหน้าของตัวเองแล้ว ต้องถือว่ามีสุขภาพจิตที่ดีกว่ามาก เวลาอยู่ที่บ้านก็ควร วางกระจกไว้ใกล้ตัวบ้าง เวลาออกนอกบ้านก็หมั่นสำรวจตัวเองในกระจก ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่การฝึกนิสัยให้เป็นคนรักตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญ

ส่องกระจกในบริเวณที่มีแสงธรรมชาติส่องถึง
ในการแต่งหน้าลุคธรรมชาติในช่วงกลางวันจะกลายเป็นเรื่องยากในทันที หากโต๊ะเครื่องแป้งของคุณอยู่ในบริเวณที่อับแสงหรือแสงไม่พอ ควรปรับแสงบริเวณโต๊ะเครื่องแป้งให้สว่างใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติมากที่สุด

พกกระจกที่ส่องแล้วดูสวย
กระจกที่ส่องแล้วชวนทะเลาะอยู่เสมอจะสะท้อนภาพใบหน้าที่ใหญ่และหย่อนยาน ส่วน ผิวหนัง นั้นจะดูขรุขระไปเลย แต่ถ้ามีกระจกที่ส่องแล้วสวยทุกครั้งอยู่เสมอ กระจกอย่างนั้นจะทำให้คุณอยากส่องดูใบหน้าของตัวเองบ่อย ๆ ต้องวางกระจกอันนี้ไว้ใกล้ ๆ ตัว ส่องบ่อย ๆ และพยายามดูแลตัวเองให้มากขึ้น คุณจะพบว่าตัวเองเริ่มจะสวยขึ้น

หาเมคอัพโซนที่ซ่อนอยู่บนใบหน้า
ในการแต่งหน้านั้นสิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่การแต่งทั้งใบหน้า แต่เป็นการเน้นส่วนที่สำคัญบนใบหน้า การเน้นเฉพาะบางส่วนจะทำให้ใบหน้าดูเล็กลงและโครงหน้าโดยรวมชัดเจนขึ้น ใบหน้าของคนเรามีหลายโซน และถ้ารู้จักโซนบนใบหน้าเป็นอย่างดีแล้วเส้นทางการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแต่งหน้าก็ไม่ไกลนัก มาลองทำความรู้จักกับเมคอัพโซนกันดูดีกว่า แล้วมาดูสิว่าส่วนไหนที่ควรเน้นให้เข้มและส่วนไหนที่ควรทำให้สว่าง

ลองค้นหาส่วนที่มีเสน่ห์ที่สุดบนใบหน้าของตัวเองดู
เมื่อคุณส่องกระจกคราใดแล้วเห็นแต่ส่วนที่ตัวเองไม่ชอบแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าคุณได้ใช้กระจกผิดวิธีแล้วล่ะ บางครั้งส่วนที่คิดว่าเป็นปมด้อยอาจจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด ถ้าคุณเข้าใจตรงจุดนี้แล้วการใช้เครื่องสำอางเพื่อเพิ่มเสน่ห์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปลองทำดูให้หมด ทั้งยิ้มกว้าง ขยิบตา หรือแม้แต่สีหน้ายั่วยวน
ถ้าคุณทำแต่สีหน้าที่ดูน่าเบื่ออยู่เสมอ เสน่ห์ของหญิงงามในตัวคุณก็จะอยู่ได้ไม่นาน ที่จริงแล้วผู้คนมักเข้าใกล้และมองดูใบหน้าของคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงสีหน้าและแสดงออกได้อย่างหลากหลาย ลองส่องกระจกแล้วทำหน้าดี ๆ ให้ถูกกาลเทศะ และพัฒนา 4 รูปแบบใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง การฝึกแสดงสีหน้าต่าง ๆ จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและช่วยรักษาความยืดหยุ่นบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี 

ผิวโซน C คือบริเวณโหนกแก้มที่เชื่อมต่อมายังโหนกคิ้ว เป็นบริเวณที่มักเกิดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เนื่องจากผิวหนัง บริเวณนี้บอบบาง เกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ง่าย จึงต้องดูแลกันเป็นพิเศษ ถ้าใช้ไฮไลท์ประกายมุกละเอียดทาบริเวณโซน C ให้สว่างขึ้น ใบหน้าจะดูเรียวยาวขึ้น และใบหน้าด้านข้างจะดูสวยขึ้นอีกด้วย

ผิวโซน T คือบริเวณหน้าผากจนถึงปลายจมูกที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปตัว T เป็นบริเวณที่มีการหลั่งน้ำมันมากที่สุดและเห็นรูขุมขนได้ชัดเจนที่สุด จึงต้องล้างหน้าอย่างระมัดระวัง เราสามารถปรับแต่งความยาวหน้าหรือไม่ก็ทำให้ใบหน้าดูมีมิติได้ เมื่อทาแป้งหรือไฮไลท์มุกบริเวณโซน T ที่สั้นบ้างยาวบ้างตามลักษณะโครงหน้า

ผิวโซน U คือบริเวณใต้ริมฝีปาก คนที่คางสั้นถ้าไฮไลท์บริเวณโซน U ให้ใหญ่ประมาณลูกปิงปอง จะทำให้คางดูเรียวยาวและดูมีมิติมากขึ้น สำหรับคนคางยาว ทาเฉดดิ้งสีเข้มที่ซ่อนอยู่จะทำให้คางดูสั้นลง

ผิวโซนแอ๊ปเปิ้ล คือบริเวณแก้มที่เวลายิ้มแล้วเนื้ออูมออกมา บริเวณนี้ให้เป็นเบลนด์บลัชออนให้ดูเป็นธรรมชาติและปัดไปข้างหลังเล็กน้อย สำหรับสาวเอเชีย ถ้าปัดบลัชออนบริเวณกลางโซนแอปเปิ้ลนี้จะทำให้ใบหน้าดูเล็กลงได้

ผิวโซน สามเหลี่ยม คือพื้นที่รูปสามเหลี่ยมตั้งแต่ใต้ตามาจนถึงปีกจมูก ผิวหนัง บริเวณนี้จะบางและไม่ค่อยผลิตน้ำมัน จึงเกิดริ้วรอยและรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ง่าย จึงควรได้รับสารอาหารและความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ การตรวจสอบว่าน้ำเหลืองไหลเวียนดีหรือไม่ ถ้าไฮไลท์ให้บริเวณนี้สว่างขึ้น ใบหน้าจะดูสว่างสดใสและนุ่มนวล คนหน้าตอบควรใช้ไฮไลท์เนื้อแมตต์แทนชนิดผสมมุก

เคล็ดลับความงาม 10 ประการแบบดาราเกาหลี

1.นวดผิวหน้าด้วยตัวเอง
หลังล้างหน้าทุกๆครั้ง ให้นวดผิวหน้าเบาๆเพื่อให้ผิวผ่อนคลายประมาณ 3 นาที

2.รักษาความสะอาด ผิว
ถึงแม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางดีแค่ไหนถ้ามือไม่สะอาดหรือเก็บเครื่องสำอางไว้ในที่ที่ไม่สะอาดก็ไม่มีประโยชน์อะไร เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ทำให้คนสวยขึ้นก็จริง แต่ถ้าอยู่ในสภาพที่ไม่สะอาด เช่น พัฟฟ์ที่สกปรกและดำ นอกจากจะสร้างปัญหาแล้ว ยังอาจทำลายความงามที่มีอยู่อีกด้วย

3.ใส่ใจในการกินดื่ม
ในความเป็นจริงแล้วดารานักแสดงจำนวนมากมีพฤติกรรมการกินที่ค่อนข้างแปลก รู้ไหมว่าสิ่งที่พวกเขาพกติดตัวอยู่ตลอดคืออะไร คำตอบก็คือน้ำและวิตามิน การเตรียมขวดน้ำและผลไม้ไว้ใกล้ตัวเป็นเรื่องพื้นฐาน ถ้าอยากมี ผิวพรรณ สดใสและชุ่มชื้นต้องรู้จักบริโภคน้ำและวิตามินให้เพียงพอ

4. เป็นเจ้าหญิงกระจก
ผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ จะสวยขึ้น เพราะยิ่งส่องบ่อยก็ยิ่งเป็นการใส่ใจในใบหน้าตัวเองมากขึ้นและรู้สึกรักใบของหน้าตัวเอง สำหรับบางคนยิ่งสภาพใบหน้าแย่ลงเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เจ้าของใบหน้าหลีกเลี่ยงที่จะส่องกระจกมากเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องเช็คใบหน้าของตัวเองอยู่เสมอด้วย

5.ตั้งบิวตี้เดย์สัปดาห์ละ 1 วัน
ใช่ว่าเวลาผ่านไปแล้วจะทำให้คนเราสวยขึ้นเองได้ แต่ต้องใช้เวลาในการเสริมแต่งให้สวยขึ้นต่างหาก ใน 1 สัปดาห์ต้องเลือก 1 วันให้เป็นวันแห่งความงาม ไม่ว่าจะทำเล็บ นวดหน้า เข้าร้านเสริมสวย หรือมาสก์หน้า ต้องรู้จักจัดเวลาทำกิจกรรมที่จำเป็นต่อความงาม ลองชวนคุณแม่ พี่สาว น้องสาวหรือเพื่อน ๆ ไปด้วย นั่นเป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าและสนุกสนานมากเลยทีเดียว

6.ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าให้พอเหมาะ
คลีนซิ่งออยหรือโลชั่นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์นวดหน้า ดังนั้น ห้ามใช้นวดหน้าเป็นเวลานาน ๆ แต่ให้ใช้เช็ดเครื่องสำอางออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การาใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าชนิดโฟมก็เช่นกัน ควรบีบโฟมลงบนฝ่ามือและขยี้ให้เกิดฟองพอสมควรแล้วค่อยทำความสะอาดใบหน้า ถ้าใช้ฟองโฟมถูหน้านาน ๆ สารลดแรงตึง ผิวหนัง ในผลิตภัณฑ์จะไปกระตุ้นผิวจนเกิดการระคายเคืองได้ ตอนเช้าควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น ส่วนสกินแคร์ที่ใช้อยู่ถ้าลดลงไปสัก 2 ขั้นตอนจะทำให้แต่งหน้าได้ดีขึ้น

7.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการเดิน
เพื่อสุขภาพ ผิวพรรณ ที่ดีขึ้น ซึ่งรวมไปถึงผิวหน้าด้วย การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นสิ่งจำเป็น การออกกำลังกายเพื่อความงามที่ดีที่สุดคือการเดิน ไม่ว่าจะเป็นการเดินในสวนสาธารณะ ตามทางเดินริมแม่น้ำ หรือภูเขาใกล้ ๆ ก็ตาม การดื่มน้ำหลังจากสูดสารไฟทอนไซด์ที่ออกมาจากต้นสนจะช่วยลดสารพิษในร่างกายได้ และทำให้ผิวยืดหยุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ

8.ปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตตลอด 365 วัน
การปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในทุกวันเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ แต่ว่าค่าการป้องกันผิวที่จำเป็นก็แตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันและประเภทผิวของแต่ละบุคคล ถ้าทำกิจกรรมในที่ร่มเสียเป็นส่วนใหญ่ก็ใช้สารกันแดดที่มีค่า SPF 15-20 ถ้าทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อย ๆ ก็ค่า SPF 30 ขึ้นไปถึงจะเหมาะ SPF เป็นค่าการป้องกันผิวจาก UVB ที่ทำให้ ผิวหนัง เกรียมแดดและเกิดผื่นแดง ส่วน PA คือค่าการป้องกัน UVA ที่กระตุ้นให้เกิดการย้อมเม็ดสีและทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ถ้าต้องการปกป้องผิวให้ปลอดภัยก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่ามีส่วนประกอบทั้ง SPF และ PA

9.ใช้สกินแคร์น้อยชิ้น
เครื่องสำอางประกอบด้วยสารเคมีต่าง ๆ และมีส่วนผสมหลายชนิด ยิ่งทามาก ผิวก็ยิ่งอ่อนแอ ใช้แค่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เข้ากับตนได้ดีที่สุดเพียง 2 – 3 ชิ้นก็เพียงพอ สกินแคร์ยิ่งน้อยเท่าไหร่ผิวก็จะตอบสนองต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น

10.ใช้บริการคลินิกเสริมความงามอย่างระมัดระวัง
คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญหรือบริการของคลินิกเพื่อความงามนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ผิวที่เกิดปัญหาเล็กน้อยสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ การไม่ยอมให้ ผิวพรรณ ได้ฟื้นฟูสภาพผิวเองตามธรรมชาติ กลับไปขอความช่วยเหลือจากหมอ ศัลยกรรมเลเซอร์และการลอกหน้า รวมทั้งการรักษาด้วยการฉีดยานั้นเห็นผลทันตาก็จริง แต่ในระยะยาวจะทำให้ผิวอ่อนแอและต้องพึ่งหมอเรื่อยไป ควรดูแลผิวด้วยวิธีการที่อ่อนโยนอย่างเครื่องสำอางหรือการนวด เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าการป้องกันสูงจะมีปริมาณน้ำมันมาก ถ้าผิวมันควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีค่าการปกป้องต่ำ ถ้าใช้เมคอัพเบสที่มีส่วนผสมของสารป้องกัน UV จะช่วยลดขั้นตอนการแต่งหน้าได้

กินอะไรให้ผิวสวย

ผลไม้สดตามฤดูกาล
ผลไม้เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งองุ่นตามฤดูกาลถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารต้านความชรา บลูเบอรี่ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และแตงโมในช่วงฤดูร้อนที่ช่วยขับปัสสาวะและของเสียในร่างกาย อย่างไรก็ตามผลไม้ทุกชนิดล้วนมีสารอาหารจากธรรมชาติที่ต่างกันไป จึงควรบริโภคผลไม้ให้หลากหลาย เน้นผลไม้ 5 สี ได้แก่ สีแดง ( แตงโม ) สีเหลือง ( ส้ม ) สีเขียว ( แอปเปิ้ลเขียว ) สีม่วง  (องุ่น ) สีขาว ( สาลี่ )

น้ำ
น้ำช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้นและช่วยขับสารพิษในร่างกาย ควรเลือกดื่มน้ำที่มีแร่ธาตุสูงและมีค่า pH ราว 7.5 ซึ่งมีความเป็นด่างอ่อน ๆ การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าและก่อนนอนจะช่วยให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป

ชา
เวลาที่ผิวเปราะบางและดูหมองคล้ำนั้น การดื่มชาช่วยได้ ไม่ใช่ดื่มแค่เพียงถ้วยเดียวเท่านั้นแต่ควรดื่มประมาณ 1 ลิตร ผู้ดื่มชาสมุนไพรที่ไม่มีกาเฟอีนในช่วงเย็นจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น อีกทั้งยังช่วยขับสารพิษในร่างกายอีกด้วย เช้าวันต่อมาจะทำให้หน้าไม่บวมและแต่งหน้าได้สวยขึ้น

ไวน์และไวน์ข้าว
การดื่มไวน์และไวน์ข้าว (ชองจู คือ ไวน์ที่ได้จากการหมักข้าว ใสคล้ายน้ำเปล่า) ซึ่งดีต่อผิวก็จริงแต่การให้ผิวสัมผัสกับแอลกอฮอล์ทั้งสองชนิดนี้โดยตรงจะได้ผลดีมาก เวลามาสก์หน้าด้วยไวน์แดง สาร AHA ในไวน์แดงจะช่วยกำจัดผิวหนังที่ตายแล้วให้ออกไปอย่างอ่อนโยนและทำให้ ผิวนุ่ม ขึ้น ส่วนไวน์ข้าวนั้นเหมาะที่จะใช้เวลาอาบน้ำ ไวน์ข้าวเป็นเครื่องอาบน้ำจากธรรมชาติที่ดีเยี่ยมที่สุดในการกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและคงความชุ่มชื้นไว้ได้

อาหารเผ็ด ๆ อาหารอุ่น ๆ
การกินอาหารเผ็ด ๆ หรือน้ำแกงอุ่น ๆ ถือเป็นวัฒนธรรมการกินอันเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นเพราะในพริกเผ็ด ๆ มีสารแคปไซซินที่ถือว่าเป็นตัวแทนของการลดน้ำหนักและสารต้านอนุมูลอิสระ สาวเกาหลีจึงมีผิวที่แลดูอ่อนเยาว์และยืดหยุ่น แต่ควรบริโภคในปริมาณพอเหมาะเพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารทำงานหนักและควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด

อาหารที่มีเส้นใย
ระบบย่อยอาหารที่ทำงานได้ไม่ดีนักมักจะสร้างปัญหาให้แก่ผิว นอกจากการกินจะต้องดีแล้ว การขับถ่ายก็ต้องดีด้วย การกินอาหารที่มีเส้นใยสูงอย่างผัก มันเทศและสาหร่าย จะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี ส่งผลให้ไม่เหลือสิ่งสกปรกตกค้างบน ผิวหนัง นอกจากนี้การกินข้าวกล้องถือว่าส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักและช่วยป้องกันไม่ให้ท้องผูกอีกด้วย

อย่าลืมอุ่นเครื่องก่อนแต่งหน้า

การแต่งหน้าไม่ได้เริ่มขึ้นในตอนเช้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นต่างหาก ถ้าอยากแต่งหน้าให้สนุกและมีประสิทธิภาพแล้วควรจะอุ่นเครื่องก่อนแต่งหน้าสัก 10 – 20 ชั่วโมง พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ถือเป็นการลงทุนให้กับผิวในทุก ๆ คืน ซึ่งจะส่งผลต่อผิวในวันรุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การล้างหน้าอย่างพิถีพิถัน การรับสารอาหารอย่างพอเหมาะ การดื่มน้ำให้เพียงพอ การยืดเส้นยืดสาย รวมถึงการนอนหลับให้เพียงพอ นอกจากนี้คือการนวดหน้าด้วยตนเองทุก ๆ คืน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เมื่อยล้าและทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นวดแค่ 3 นาทีก็พอ ถึงจะดูเล็กน้อยแต่ถ้าทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพียงไม่กี่เดือนต่อมาจะรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

ขั้นตอนการนวดหน้าด้วยตัวเองวันละ 3 นาที มีดังนี้
1.หันศีรษะไปทางด้านข้างแล้วใช้นิ้วกดนวดเป็นจุด ๆไปตามบริเวณที่รู้สึกแข็ง
2.กดบริเวณโหนกแก้มและแก้มค้างเป็นจุดๆ
3.ถ้ากดตรงกลางคางจะช่วยลดบวมได้
4.แบ่งคิ้วเป็น 3 ส่วนแล้วกดค้างเป็นจุดๆ ตั้งแต่หัวคิ้วจนถึงหางคิ้ว
5.ทุกครั้งที่เคี้ยวอาหารให้บริหารกล้ามเนื้อคางด้วย ถ้ากดและนวดบริเวณกระดูกคางจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้
6.ใช้นิ้วนวดบริเวณแก้มเบา ๆ เหมือนดีดเปียโน

ผิวนุ่มชุ่มชื้นทุกฤดูกาล

ทะนุถนอมบำรุงมือ
ถึงจะใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าแล้วก็ตาม แต่ถ้าผิวมือแห้ง เวลาที่เราบำรุงผิวหน้าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็จะไปบำรุงมือแทน พูดอีกอย่างคือแค่มือเท่านั้นแหละที่จะได้รับการบำรุงทุกครั้งที่เราสัมผัสใบหน้าโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว มือของเราจะได้ฉกฉวยความชุ่มชื้นจากใบหน้าออกมา ดังนั้น ก่อนที่เราจะบำรุงผิวหน้าต้องเริ่มจากการบำรุงผิวมือเสียก่อน ใช้แฮนด์ครีมบำรุงผิวมือให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ไม่มีผลิตภัณฑ์ชิ้นไหนที่จะช่วยรักษากลิ่นกายของคุณไว้ได้ทั้งวันเท่ากับแฮนด์ครีมอีกแล้ว ดังนั้น เวลาเลือกซื้อก็ควรเลือกแฮนด์ครีมที่มีกลิ่นหอมละมุน

บำรุงผิวกายให้เท่ากับผิวหน้า
ผิวหนัง เป็นอวัยวะที่มีพื้นที่มากที่สุดในร่างกาย ถ้าผิวกายแห้ง ผิวหน้าก็ยอมแห้งขึ้นด้วยอย่างแน่นอน ทุก ๆ คืนหลังอาบน้ำ ผสมน้ำมันอโรมากลิ่นที่คุณชอบกับครีมหรือโลชั่นทาตัวแล้วนวดให้ทั่วเรือนร่างอย่างอ่อนโยน นอกจากผิวกายจะเนียนนุ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดตามแนวแขนขาดีขึ้นอีกด้วย รวมถึงส่งผลดีทำให้ใบหน้าใสขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยืดหยุ่นของบริเวณคอลงมาจนถึงหน้าอกนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับผิวหน้า จึงต้องพยายามรักษาความสวยงามให้เป็นธรรมชาติเนียนกระชับด้วยครีมทาคอ บาธออยล์ และครีมทาตัวที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว

กลิ่นน้ำหอมที่ผู้หญิงควรรู้

หากคุณเป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมการแต่งหน้าในสไตล์ที่แตกต่างกันตามโอกาสและสถานที่ คุณมักจะใช้น้ำหอมที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน ในวันที่ใส่เสื้อหนังสไตล์ไบเกอร์แจ็คเก็ตสุดเซ็กซี่ กับวันที่ใส่เสื้อเชิ้ตขาวเรียบ ๆ หรือวันที่ใส่มินิวันพีซสีดำ ถ้าใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันหมดคงฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

การเลือกน้ำหอมกลิ่นเฉพาะสำหรับคุณ
น้ำหอมของแบรนด์เครื่องสำอางซึ่งเป็นที่รู้จัก ถึงแม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูสวยและน่าสนใจ แต่ร่างกายของคนเราแต่ละคนนั้น ตอบสนองต่อน้ำหอมแตกต่างกันออกไป มีเหมือนกันที่บางคนได้กลิ่นน้ำหอพอตื่นขึ้นมาแล้วปวดหัวหรือไม่ก็ทำให้ตาล้า ขนาดตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างกายต่อต้านกลิ่นนั้นง่าย ดังนั้น จึงควรเลือกน้ำหอมที่ฉีดแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำหอมนั้น

บางครั้งกลิ่นเฉพาะของเราก็ไม่ได้มาจากน้ำหอมเสมอไป หลังอาบน้ำถ้าผสมครีมที่ไม่มีกลิ่นกับบาธออยล์กลิ่นที่ชอบแล้วทาให้ทั่วตัว จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ได้ตลอดวัน ข้อดีคือกลิ่นไม่ฉุนจนเกินไปและติดทนนาน

การเลือกน้ำหอมให้เข้ากับเสื้อผ้าอย่างง่าย ๆ
ในวันที่ต้องเลือกน้ำหอมให้เข้ากับเครื่องแต่งกาย วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเลือกจากสี แยกน้ำหอมที่มีอยู่นับสิบไว้ตามสีให้เห็นชัดเจน น้ำหอมที่ไม่มีสี สีเหลือง สีชมพู สีแดง สีส้ม สีฟ้า สีเขียว สีม่วง แม้กระทั่งสีดำ กลิ่นของพืชพรรณดอกไม้ในน้ำหอมสามารถแบ่งได้ตามสีของน้ำหอม สีหรือภาพลักษณ์ของเสื้อผ้าก็แบ่งในลักษณะคล้าย ๆ กันด้วย เวลาใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีฟ้าพาสเทล ถ้าฉีดน้ำหอม Philosophy Baby Grace สลากฟ้าจะให้กลิ่นหอมสดชื่น และเวลาที่เสื้อผ้าท่อนบนเป็นสีไวน์แดงสุดเซ็กซี่ ถ้าฉีดน้ำหอมสีกุหลาบสีเข้ม หรือไม่ก็ Serge Lute ns จะได้กลิ่นยั่วยวนของดอกซ่อนกลิ่นทั่วร่างกาย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

มังคุด ราชินีแห่งผลไม้ ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง

0
เปลือกมังคุด ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง
เปลือกมังคุดมีสารแซนโทน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ โดดเด่นในด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์
เปลือกมังคุด ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง
มังคุด (Mangosteen) คือ ผลไม้ท้องถิ่นของไทย โดยที่เปลือกของมังคุดมีสารแซนโทน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิตามิน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์

ประโยชน์ของมังคุด

มังคุดมังคุด ( Mangosteen ) คือ เป็นพันธุ์ผลไม้เขตร้อนไม่ผลัดใบชนิดหนึ่งของไทยมีประโยชน์และสรรพคุณได้รับขนานนามว่า “ ราชินีแห่งผลไม้ ” เพราะว่ามีกลีบเลี้ยงที่เหมือนมงกุฎ โดยมังคุดเป็นผลไม้เมืองร้อน ผลมังคุด มีลักษณะเป็นผลทรงกลมขนาดพอดีมือ เปลือกมังคุดหนาสีม่วงอมแดง เมื่อแก่จัดสีจะค่อนไปทางน้ำตาล ส่วนของเปลือกจะมีความชุ่มฉ่ำที่ด้านใน บิออกก็จะเป็นน้ำสีม่วงติดเนื้อของส่วนเปลือก แล้วพบเนื้อมังคุดสีขาวเรียงเป็นกลีบคล้ายส้มอยู่ด้านใน มังคุดจัดอยู่ในกลุ่มของไม้ยืนต้นที่มีความสูงมากกว่า 10 เมตร ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ที่มีเนื้อใบค่อนข้างหนาและเหนียว ผิวใบเป็นมันเงา ดอกอาจออกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ก็ได้ ขึ้นตรงซอกใบที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณปลายกิ่ง ซึ่งการทานเนื้อมังคุดก็ช่วยเรื่องการขับถ่าย และส่วนของเปลือกมังคุดก็ยังมีประโยชน์อีกด้วย

เปลือกมังคุดใช้ทำอะไรได้บ้าง

วงการเครื่องสำอางเริ่มนำเปลือกมังคุดมาทำเป็นส่วนผสมในสบู่มังคุดเพื่อชำระล้างผิวให้สะอาดหมดจด แล้วต่อยอดเปลือกมังคุดไปยังผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในรูปแบบอื่นๆ เช่น ครีมเปลือกมังคุดบำรุงผิวพร้อมแก้ปัญหาบางประการของผิว ผลิตภัณฑ์เปลือกมังคุดสำหรับทำความสะอาดเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับเตรียมผิวก่อนการบำรุง เป็นต้น ต่อมาจึงเริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับสรรพคุณของเปลือกมังคุด จนได้รู้ข้อเท็จจริงที่ว่าเปลือกมังคุดนั้นไม่ได้มีคุณค่าอยู่แค่เรื่องความสวยความงาม แต่มีคุณประโยชน์ต่อวงการแพทย์ด้วยเหมือนกัน 

เนื้อมังคุด สามารถมาทำอาหารคาวและหวาน เช่น แกง ยำ และอาหารหวาน เช่น มังคุดลอยแก้ว แยมมังคุด มังคุดกวน มังคุดแช่อิ่ม มีเส้นกากใยสูง ช่วยเรื่องการขับถ่ายและมีวิตามินเกลือแร่สูงมาก เช่น กรดอินทรีย์ น้ำตาล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดี และมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียดได้อีกด้วย

น้ำมังคุด ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการหลั่งสาร Interleukin Iและ Tumor Necrosis Factor ช่วยยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ลดอาการแพ้ภูมิตัวเอง ( ในโรค SLE ) และลดการอักเสบ ในผู้ป่วยเบาหวาน ตับเสื่อม ไตวาย ข้อเข่าเสื่อม ความดันโลหิตสูง โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ ความผิดปกติของสมองอันเนื่องจากการอักเสบ

ลักษณะของเปลือกมังคุดที่มีสรรพคุณทางยา

ใช่ว่าเปลือกมังคุดทุกผลจะเอามาใช้สำหรับทำยาได้ดีเสมอไป ต้องเป็นเปลือกมังคุดจากผลที่สมบูรณ์และแก่จัดเท่านั้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ดีอยู่ที่ประมาณ 1.5-2.5 นิ้ว ผิวภายนอกเรียบเกลี้ยง ไม่มีรอยของโรคและแมลง เปลือกมีความหนาแข็ง ไม่นิ่ม ไม่ช้ำ สีน้ำตาลเข้มอมม่วงสวยงาม แบบนี้ที่ใต้ผิวของเปลือกจะมีต่อมน้ำยางอยู่มาก ซึ่งเป็นส่วนออกฤทธิ์ที่สำคัญของเปลือกมังคุดนั่นเอง ยางที่ว่านี้หมายถึงน้ำยางที่มีสีเหลือง ไม่ใช่น้ำสีอมม่วงที่ได้เห็นตอนบิเปลือกมังคุดออก

สรรพคุณของมังคุดตามตำรับยาไทย

ความจริงเรารู้จักการนำเปลือกมังคุดมาใช้ทำสูตรยามาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แต่เพราะไม่ได้มีการสืบทอดอย่างเด่นชัดนัก เป็นเพียงการบอกเล่าปากต่อปากในช่วงระแวกไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้น จึงไม่ค่อยมีคนรู้มากเท่าที่ควร ครั้นเมื่อวงการเครื่องสำอางหยิบเปลือกมังคุดมาใช้งาน ผู้คนจึงให้ความสนใจและกลับมาศึกษาคุณสมบัติของเปลือกมังคุดกัน อีกรอบ สูตรยาจากเปลือกมังคุดที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยก่อน อย่างแรกเลยจะเป็นการใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วงเรื้อรัง ไปจนถึงถ่ายเป็นมูกเลือด ด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีรสฝาดในเปลือกมังคุดนั่นเอง ทำให้อาการ  เหล่านี้ลดน้อยลงได้ วิธีการใช้ก็ยิ่งง่าย คือนำเปลือกผลสดฝนกับน้ำแล้วทาน หรือจะเอาไปตากแห้งก่อนนำมาต้มน้ำดื่มก็ได้เหมือนกัน ต่อมาก็คือการใช้เพื่อสมานแผล ทั้งแผลเปื่อย แผลพุพอง ใช้ได้ทั้งหมด ว่ากันว่าช่วยเร่งให้แผลหายได้รวดเร็วกว่าปกติ วิธีการคือใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใส แล้วเอาน้ำมาทาบางๆ บริเวณแผล แต่ต้องระมัดระวังเรื่องของความสะอาดด้วย ไม่ก็จะกลายเป็นว่าทำให้แผลติดเชื้อไปแทน อีกอย่างหนึ่งคือการใช้เปลือกมังคุดเพื่อรักษาโรคผิวหนังที่ไม่รุนแรงนัก เช่น ผื่นแพ้ กลากเกลื้อน เป็นต้น โดยใช้เปลือกมังคุดต้มกับน้ำ แล้วใช้น้ำนั้นอาบชำระร่างกายเป็นประจำ อาจเร่งให้เห็นผลมากขึ้นอีกด้วยการเอาน้ำต้มนั้นมาทาผิวบริเวณที่มีปัญหาด้วยก็ได้

เปลือกมังคุดมีสารแซนโทน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ โดดเด่นในด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์

สารออกฤทธิ์สำคัญในเปลือกมังคุด

แม้ว่าแต่เดิมเราจะรู้วิธีการใช้ประโยชน์จากเปลืองมังคุดกันพอสมควรแล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้เรารู้ว่าองค์ประกอบสำคัญในเปลือกมังคุดคืออะไร ก็ช่วยให้เราสามารถนำวัตถุดิบตัวนี้ไปใช้งานได้อย่างตรงจุดและแพร่หลายมากขึ้นอีก สารตัวสำคัญที่ว่านี้ก็คือ แทนนิน ( tannin ) และแซนโทน ( xanthone ) 

เปลือกมังคุดมีสารแทนนิน เป็นสารที่มีรสฝาด สามารถจับตัวกับโปรตีนได้ดี ละลายน้ำได้ดีเช่นเดียวกัน หากเป็นในวงการอุตสาหกรรม สารแทนนินจะใช้เพื่อการฟอกหนังสัตว์ โดยทำให้โปรตีนตกตะกอน หนังสัตว์จึงอ่อนนุ่มขึ้น แต่ในวงการแพทย์สารแทนนินเป็นส่วนผสมของยาที่ใช้ทั้งภายนอกและภายใน ตัวอย่างคือ ยาที่ช่วยควบคุมสมดุลการหลั่งฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ยาถ่ายพยาธิ ยาแก้ท้องเสีย เป็นต้น

เปลือกมังคุดมีสารแซนโทน เป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ โดดเด่นในด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ แซนโทนมีอนุพันธ์มากถึง 200 ชนิด และแต่ละชนิดก็ยังมีคุณสมบัติปลีกย่อยที่แตกต่างกันอีก อีกทั้งยังเป็นสารที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม จึงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก

มังคุด-ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง
เปลือกมังคุด มีสารแซนโทนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์

สรรพคุณทางยาจากเปลือกมังคุด

สารต้านอนุมูลอิสระ : ในเมื่อเปลือกมังคุดมีสารแซนโทนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระ คุณสมบัติอย่างแรกที่เด่นชัดและไม่พูดถึงไม่ได้เลยจึงเป็นประเด็นของการต้านอนุมูลอิสระนี่เอง โดยสารออกฤทธิ์จะทำหน้าที่สลายอนุมูลอิสระที่ถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติ ตลอดจนยับยั้งการเกิดใหม่ที่มีต้นเหตุมาจากปฏิกิริยาในร่างกาย พร้อมกันนี้ก็ยังสามารถลดการเกิดออกซิเดชันของ คลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี ( LDL ) ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย

ช่วยลดภาวะอุดตันของหลอดเลือด : เปลือกมังคุดมีสารออกฤทธิ์สำคัญในมังคุดจะช่วยเสริมสร้างให้หลอดเลือดมีความแข็งแรง ยืดหยุ่นและไม่เปราะแตกได้ง่าย พร้อมกับช่วยยับยั้งการก่อตัวของเหล่าจุลินทรีย์ที่เป็นพิษ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องนัก จุลินทรีย์กลุ่มนี้หากมีปริมาณมากขึ้นก็จะทับถมและอุดตันในเส้นเลือด ส่งผลให้การลำเลียงเลือดทำได้ไม่สะดวก 

ฟื้นฟูสภาพของกระเพาะอาหาร : ประเด็นของกระเพาะอาหารไม่ได้มีแค่เรื่องแผลในกระเพาะ หรือท้องอืดท้องเฟ้อจากพฤติกรรมการกินเท่านั้น ยังมีปัจจัยในเรื่องของอายุที่เพิ่มมากขึ้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นธรรมดาที่เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เซลล์และอวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็ย่อมเกิดความเสื่อมสภาพ ในกระเพาะอาหารก็เช่นกัน จากที่เคยย่อยง่ายก็ไม่เหมือนเดิม ศักยภาพการดูดซึมสารอาหารก็ลดน้อยลงด้วย อาการท้องเสีย ท้องอืดจึงตามมา เปลือกมังคุดจะช่วยปรับสมดุลและฟื้นฟูความเสียหายเหล่านี้

รักษาแผลเปื่อยในปาก : ไม่ว่าบาดแผลจะเกิดจากอะไรและเกิดขึ้นที่บริเวณไหน หากใส่ยาเพื่อสมานแผลได้ก็ควรใส่ ในช่องปากก็ไม่ได้เป็นกรณียกเว้น เรามักจะใช้ยาแบบที่เป็นน้ำหรือครีมป้ายที่แผลก่อนนอน เพื่อให้ยาติดอยู่บริเวณแผลได้นานและออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ซึ่งกว่าแผลจะหายก็ใช้เวลามากน้อยต่างกันไปตามความรุนแรงของบาดแผล แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสมุนไพรบ้านเรามีคุณสมบัติน่าสนใจกว่ายาแผนปัจจุบันหลายเท่า เพราะเปลือกมังคุดช่วยสมานแผลภายในช่องปาก ให้รู้สึกดีขึ้นได้ภายใน 24 ชั่วโมง และช่วยฆ่าเชื้อไปด้วยในตัว ผลพลอยได้จากการใช้เปลือกมังคุดรักษาแผลก็คือ ช่วยบำรุงให้เงือกและช่องปากมีสุขภาพแข็งแรง

ช่วยในระบบขับถ่าย : นอกจากสารออกฤทธิ์ต่างๆ แล้ว คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของเปลือกมังคุดก็คือมีปริมาณของไฟเบอร์สูงมาก จึงมีผลต่อระบบทางเดินของลำไส้และระบบขับถ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเมื่อทานเข้าไปไฟเบอร์ก็จะทำหน้าที่กวาดล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และทางเดินอาหาร ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายในเวลาต่อมา ป้องกันปัญหาท้องผูก และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ในระยะยาว

ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า : สารสกัดจากเปลือกมังคุดมีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉง จิตใจก็ไม่หม่นหมองหรือซึมเศร้า หากได้ทานสารสกัดจากเปลือกมังคุดเป็นประจำก็จะช่วยให้เกิดสุขภาพจิตที่ดี และส่งผลให้กลายเป็นคนนอนหลับได้ง่าย

ช่วยบรรเทาอาการแพ้ : ในเปลือกมังคุดมีสารที่ช่วยยับยั้งการสังเคราะห์สารกลุ่มพลอสตาแกลนดินอีทูอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสารที่เร่งให้เกิดกระบวนการอักเสบอันเข้าข่ายของอาการแพ้ และสารสกัดจากเปลือกมังคุดตัวเดียวกันนี้ก็ยังช่วยปรับเรื่องสมดุลการทำงานของอินซูลินอีกด้วย

ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง : นี่ถือเป็นงานวิจัยชิ้นโบว์แดงเลยก็ว่าได้ เพราะนักวิจัยไทยทำการศึกษาเกี่ยวกับสารเคมีสำคัญในเปลือกมังคุด แล้วก็พบว่ามีสารที่ชื่อ GM-1 ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ช่วยลดอาการอักเสบได้ดี และมีรายงานจากการวิจัยว่า สารในเปลือกมังคุด สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ เพราะนอกจากจะฆ่าเชื้อและลดการอักเสบแล้ว ก็ยังช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นตัวหลักในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งนั่นเอง

ยับยั้งเชื้อ HIV บางตัว : สารสกัดเมทานอลจากเปลือกผลมังคุดช่วยยับยั้งเอนไซม์โพรทีเอส ( HIV-1 pro-tease ) ซึ่งเป็นเชื้อที่จำเป็นต่อวงจรชีวิตของเชื้อ HIV และสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกผลมังคุด ยังสามารถยับยั้งเอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริปเทส ( reverse transcriptase ) ในเชื้อ HIV ได้อีกด้วย

ประโยชน์ของมังคุดกับความงาม

1. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ : ศัตรูตัวร้ายของผิวสุขภาพดีก็คืออนุมูลอิสระนี่เอง ยิ่งมีมากเท่าไรความสวยงามก็จะลดลงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่ออนุมูลอิสระมา สิวฝ้า กระ ริ้วรอยตื้นลึกก็ตามมา สารสกัดจากเปลืองมังคุดที่เน้นช่วยเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระโดยตรง ก็จะมีทั้งแบบอาหารเสริมที่ต้องทานเข้าไป และแบบที่อยู่ในรูปของเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวภายนอก สะดวกแบบไหนก็เลือกใช้ได้เลย

2. แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น : การบำรุงผิวด้วยมังคุดจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความเนียนนุ่มขึ้น เนื่องจากมังคุดมีคุณสมบัติในการคงความชุ่มชื้นให้กับผิว ดังนั้นคนที่มีปัญหาผิวแห้ง มังคุดก็เป็นตัวช่วยที่ดีไม่น้อยเหมือนกัน

3. ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย : คุณสมบัติข้อนี้มีผลต่อสิวบนใบหน้า เพราะเชื้อแบคทีเรียเป็นต้นตอของการเกิดสิวอับเสบ หากผิวหน้ามีเชื้อแบคทีเรียเลวอยู่เป็นจำนวนมากก็จะมีโอกาสเกิดสิวได้บ่อย ดังนั้นการกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่จำเป็นออกไปจึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการรักษาสิวบนใบหน้าที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

4. เพิ่มความเต่งตึงให้ผิวพรรณ : เปลือกมังคุดมีส่วนช่วยในการกระชับรูขุมขนและสมานผิวที่มีปัญหาทั้งหมด ผิวพรรณจึงดูเปล่งปลั่งเต่งตึงขึ้นมาได้

5. ช่วยชะลอความชรา : สารออกฤทธิ์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระของเปลือกมังคุด จะช่วยให้เซลล์แข็งแรง เปล่งปลั่ง ไม่ถูกทำลายโดยง่าย และสะท้อนผลลัพธ์ให้เห็นกันชัดๆ ที่ผิวพรรณภายนอกที่ดูสดใส อ่อนกว่าวัย

6. ลดปริมาณเม็ดสีที่ผิวหนัง : แม้ว่าคุณสมบัติข้อนี้จะไม่ได้โดดเด่นเทียบเท่าสมุนไพรตัวอื่น อย่างเช่น โรสแมรี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเปลือกมังคุดมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน โดยตรงเข้าจัดการกับส่วนที่ดูแลอัตราการผลิตเม็ดสีของผิวหนัง จุดด่างดำต่างๆ จึงลบเลือนไป ผิวดูขาวใสนวลเนียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

มังคุด มากด้วยคุณค่าทางยาและบำรุงความงาม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://women.haijai.com [20 มีนาคม 2561].

เปลือกมังคุด สรรพคุณยอดเยี่ยม มีประโยชน์เกินคาด (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.lookmhee.com [20 มีนาคม 2561].

เปลือกมังคุดช่วยรักษาสิวและลบจุดด่างดำ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.fat108.com [20 มีนาคม 2561].

มะขามป้อม ประโยชน์และสรรพคุณมากมาย

0
มะขามป้อม มากด้วยประโยชน์และสรรพคุณ
มะขามป้อมเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ เป็นไม้ยืนต้นที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นอาหารและยารักษาโรคได้ดี
มะขามป้อม มากด้วยประโยชน์และสรรพคุณ
มะขามป้อมเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ เป็นไม้ยืนต้นที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นอาหารและยารักษาโรคได้ดี

มะขามป้อม

มะขามป้อม ( Indian gooseberry ) คือ ผลไม้พื้นบ้านที่มีประโยชน์และสรรพคุณทางด้านสมุนไพร เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สายพันธุ์คล้ายมะขาม แต่มีลักษณะเป็นผลกลมขนาดเล็ก มีสีเขียวอมเหลืองเปลือกบาง รสชาติเปรี้ยว ขม และฝาด จุดเด่นของผลไม้ชนิดนี้ก็คือมีค่าวิตามินซีที่สูงมาก เรียกว่าสูงกว่าส้มหลายเท่าตัวเลยทีเดียว มีสารอนุมูลอิสระ ซึ่งมีทั้งสรรพคุณและประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นการบำบัดหรือรักษาโรคต่างๆ ที่ต้องใช้วิตามินซีช่วย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังพบว่าสามารถป้องกัน รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ เมื่อกินมะขามป้อมสด 1-3 กรัมต่อวันเป็นเวลา 21 วัน

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica

มะขามป้อม จัดอยู่ในกลุ่มไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง สามารถเพาะปลูกได้ทั่วไปในพื้นที่เขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลากหลายชื่อเรียกที่เปลี่ยนแปลงไปตามภาษาท้องถิ่นนั้นๆ เช่น กันโตด กำทวด สันยาส่า เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่พบมะขามป้อมได้จะมีความสูงของลำต้นอยู่ที่ประมาณ 10-18 เมตร มองผิวเผินก็คล้ายคลึงกับต้นมะขามฝักอยู่เหมือนกัน เพราะมีใบเป็นใบประกอบคู่ที่มีใบย่อยทรงรีแตกออกมาทั้งสองข้าง ขอบใบเรียบ ปลายใบมน และจะผลัดใบตามฤดู ส่วน ของดอกเราจะเห็นขึ้นเป็นกระจุกสีขาว ดอกมีขนาดค่อนข้างเล็กและอยู่ชิดกับโคนใบ ส่วนของผลมีลักษณะกลมมนสีเขียวอ่อน ดูคล้ายว่าเนื้อจะใสจนมองเห็นข้างในได้แต่ก็ไม่เห็น เมื่อมะขามป้อมสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง แต่ก็ไม่ต่างจากตอนที่ยังเป็นผลอ่อนๆ มากนัก โดยทั่วไปเนื้อจะหนาเพียง 5-7 มิลลิเมตรเท่านั้น เนื้อกรอบฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวอมฝาด แต่กลับทำให้น้ำลายรู้สึกหวานได้ในเวลาต่อมา สามารถทานสดก็ได้ แต่นิยมนำมะขามป้อมแปรรูปมากกว่า

องค์ประกอบทางเคมีของ มะขามป้อม

จากการวิจัยมะขามป้อมสดพบว่ามีวิตามินซีที่อยู่ในกลุ่มของ ascorbic acid มีมากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักเนื้อมะขามป้อม 100 กรัม ซึ่งเป็นค่าที่สูงมาก ascorbic acid เป็นวิตามินซีที่พบได้ในธรรมชาติ คุณสมบัติละลายน้ำได้ดีและร่างกายมนุษย์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีสารประกอบอื่นๆ ที่สำคัญดังนี้

  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มแทนนิน (tannin) เป็นสารที่ให้รสฝาด มีฤทธิ์ในการสมานแผลและบรรเทาอาการท้องเสีย ได้แก่ กรดชิบูราจิก ( chebulagic acid ) เอมบริคานิน ( emblicanin A, B ) และพูนิกลูโคนิน ( punigluconin )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มคูมารินส์ ( coumarins ) มีคุณสมบัติในการต้านการแข็งตัวของเลือด ได้แก่ กรดเอลลาจิก( ellagic acid )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ( flavonoids ) จัดเป็นวิตามินอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แอสตรากาลิน ( astragalin ) เคอซิติน ( quercetin ) และรูติน ( rutin )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มไดเทอร์ปีนส์ ( diterpenes ) สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านจุลชีพต่างๆ ได้แก่ จิบเบอเรลลิน ( gibberellin )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มแอลคาลอยด์ ( alkaloids ) เป็นสารอินทรีย์ที่มีสมบัติเป็นเบส มีส่วนในการควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ ฟิลแลนทีน ( phyllantine ) ฟิลแลนทิดีน ( phyllantidine )

สรรพคุณของมะขามป้อมตามตำรับยาไทย

มะขามป้อม เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีประวัติยาวนาน ประเทศอินเดียมีการปรุงยาด้วยส่วนประกอบของมะขามป้อมมากมาย แล้วก็แพร่หลายแบบปากต่อปากไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย และต่อไปนี้ก็คือตัวอย่างของสรรพคุณและวิธีใช้ตามข้อมูลที่มีบันทึกไว้

มะขามป้อมแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย : ถ้าอาการยังไม่หนักมากนัก ก็สามารถนำส่วนของรากมะขามป้อมที่แห้งสนิทดีแล้วมาช่วยบรรเทาอาการลงได้ โดยนำรากแห้งนั้นไปล้างทำความสะอาดให้ดี อาจลวกน้ำร้อนซ้ำอีกก็ได้ แล้วค่อยใส่หม้อต้มกับน้ำ เมื่อน้ำข้นได้ที่ก็นำมาดื่มทีละนิดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น

มะขามป้อมแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย : เมื่อรู้ตัวว่าโดนกัดหรือต่อย หากมีเหล็กในก็ให้เอาออกจนเรียบร้อยดีเสียก่อน แล้วใช้รากสดๆ ของมะขามป้อมที่บดละเอียดดีแล้ว มาพอกไว้ที่แผล เป็นการแก้พิษ บรรเทาอาการปวดบวมและอักเสบที่ไม่รุนแรงได้

มะขามป้อมช่วยสมานแผล : ใช้เปลือกของส่วนลำต้นมะขามป้อม ล้างให้สะอาดแล้วตากแดดจนแห้งสนิท จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียด ใช้โรยที่ปากแผลเพื่อเร่งให้แผลแห้งเร็วขึ้น
บรรเทาอาการปวดกระเพาะอาหาร และปวดเมื่อยตามกระดูก : ใช้ส่วนของปมก้านต้มกับน้ำแล้วดื่ม

มะขามป้อมบรรเทาอาการหวัด ไอ เจ็บคอ : อันที่จริงผลไม้ที่มีรสออกเปรี้ยวเกือบทั้งหมดสามารถช่วยลดอาการไอและเจ็บคอได้ แต่มะขามป้อมถือว่าให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ทั้งยังมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยละลายเสมหะได้ด้วย วิธีการใช้ก็ไม่ยุ่งยาก คือทานผลสดของมะขามป้อมได้เลย หรือจะนำมาตำให้ละเอียดเพื่อผสมกับน้ำผึ้งก่อนทานก็ได้ แต่ต้องเลือกผลที่แก่จัดสักหน่อย ให้ผิวออกเหลืองมากกว่าเขียวจึงจะได้สรรพคุณเต็มที่

มะขามป้อมบำรุงผม : มะขามป้อม เป็นวัตถุดิบที่หลายคนไม่นึกถึงเลยสำหรับการใช้เพื่อบำรุงผม มักจะไปนึกถึงดอกอัญชันและผลมะกรูดเสียมากกว่า แต่ผลแห้งของมะขามป้อมนั้นมีสรรพคุณเป็นสารชะล้างอ่อนๆ ที่ช่วยให้ผมดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัยได้ดี ถึงขนาดที่มีการจดสิทธิบัตรกันอย่างจริงจัง ขั้นตอนการนำมาใช้งานก็คือ แช่มะขามป้อมลงในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ข้ามคืนและใช้น้ำนั้นล้างผมเป็นน้ำสุดท้ายหลังการสระผมทุกครั้ง

มะขามป้อมบรรเทาอาการปวดฟัน : เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ไม่ว่าจะเป็นฟันผุ เหงือกบวม รำมะนาด ก็สามารถใช้มะขามป้อมช่วยบรรเทาอาการในเบื้องต้นได้ และหลายครั้งก็ช่วยรักษาให้อาการเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้น ให้ใช้ปมกิ่งต้มน้ำจนข้น แล้วใช้น้ำนั้นอมบ้วนปากทั้งเช้าเย็นหลังการแปรงฟัน

มะขามป้อมแก้อาการน้ำเหลืองเสีย : ระบบน้ำเหลืองเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพที่ดีหรือไม่ดี คนที่ระบบน้ำเหลืองเสีย เมื่อเป็นแผลเพียงเล็กน้อยก็จะหายช้า พร้อมกับทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ให้ดูต่างหน้า เมื่อสัมผัสอะไรนิดหน่อยก็เสี่ยงที่จะแพ้และเกิดอาการคัน ผู้ที่มีระบบน้ำเหลืองไม่ดีจึงควรทานผลสดของมะขามป้อมเป็นประจำวันละลูก หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว

มะขามป้อม ประโยชน์เป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาและความชุ่มชื้น เป็นอาหารและยารักษาโรคได้ดี ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด

ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของมะขามป้อม

มะขามป้อมลดระดับคลอเลสเตอรอล : มะขามป้อม ถูกใช้เพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลในวงการแพทย์ทางเลือก ด้วยว่ามีสารเคมีสำคัญหลายตัวที่ออกฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเลือดได้ เช่น สารเพกทิน ( pectin ) และสารฟลาโวนอยด์ ( flavonoid ) ซึ่งได้ทำการทดสอบสรรพคุณข้อนี้ในกลุ่มผู้ชายจำนวนหนึ่ง แบ่งเป็นกลุ่มที่มีสุขภาพดีและกลุ่มที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง วิธีการคือให้ทานอาหารเสริมที่ผลิตมาจากมะขามป้อมแห้งเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 28 วันติดต่อกัน พบว่ามีอัตราการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้ทดลองทั้งสองกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีการทดลองซ้ำอีกในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อให้ทานสารสกัดจากมะขามป้อมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็พบผลลัพธ์เช่นเดียวกัน นั่นคือระดับคอเลสเตอรอลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

มะขามป้อมลดระดับน้ำตาลในเลือด : อันที่จริง มะขามป้อม ถูกหยิบมาใช้กับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะเชื่อว่าช่วยลดทอนความเสียหายในร่างกายที่เกิดจากโรคเบาหวานได้ จึงมีการนำมาวิจัยเพื่อหาข้อสรุปที่แน่ชัดอีกครั้ง ด้วยการทดสอบในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่มีโรคแทรกซ้อนอื่นใดจำนวนหนึ่ง ซึ่งการทดสอบในลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง วิธีการคือแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของมะขามป้อม ในขณะที่ อีกกลุ่มจะไม่ได้ทานอาหารเสริมตัวเดียวกันนี้ เมื่อสิ้นสุดการทดสอบและทำการวัดผล พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจริง แต่ยังไม่สามารถระบุปริมาณที่เหมาะสมในการใช้งานและผลข้างเคียงเมื่อใช้มะขามป้อมเป็นเวลานานด้วย

มะขามป้อมลดความอ้วน : ประเด็นนี้เราจะได้เห็นว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในปัจจุบัน มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ใช้สารสกัดจาก มะขามป้อม เป็นส่วนผสมหลัก แต่จะได้ผลจริงแท้แค่ไหนต้องไปดูงานวิจัยชิ้นนี้ มีการนำมะขามป้อมมาสกัดเอาสารเคมีที่สำคัญและทดสอบกับผู้ป่วยโรคอ้วน โดยให้ทานสารสกัดนี้วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 500 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 3เดือน สิ่งแรกที่พบคือผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลลดลงโดยเฉพาะส่วนของคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ทั้งยังลดความเสี่ยงต่อภาวะแข็งตัวของเกล็ดเลือดได้ด้วย อย่างไรก็ตามมะขามป้อมยังมีข้อจำกัดอยู่เล็กน้อย คือไม่สามารถใช้ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะมากๆ ได้ รวมไปถึงผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีโรคแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรงอื่นๆ

มะขามป้อมบรรเทาอาการปวดตามข้อ : เนื่องจากแพทย์อายุรเวทของอินเดียจะมีการใช้ มะขามป้อม เพื่อบรรเทาอาการอักเสบอยู่เสมอๆ จึงทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าองค์ประกอบสำคัญในมะขามป้อมน่าจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดตามข้อต่อต่างๆ ได้ ทดสอบโดยให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่าทานยาสมุนไพรจากมะขามป้อมต่อเนื่อง 24 สัปดาห์ พบว่าอาการปวดข้อเข่าดีขึ้นจริง และเมื่อทานต่อเนื่องไปอีก ข้อเข่าก็มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันก็พบว่ามีผลข้างเคียงด้วยเหมือนกัน นั่นคือทำให้ตับเกิดการอักเสบ จึงต้องมีการวิจัยเพื่อต่อยอดด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีก ถึงจะนำมาใช้ประโยชน์ได้

มะขามป้อมต้านมะเร็ง : มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติต้านมะเร็งในมะขามป้อมอย่างต่อเนื่อง เพราะองค์ประกอบหลายตัวมีความคล้ายคลึงกับยาเคมีที่ใช้เพื่อบำบัดโรคมะเร็ง เช่น กรดแกลลอก กรดเอลลาจิก ไพโรแกลลอด คอริลาจิน เป็นต้น เริ่มแรกทำการทดสอบด้วยใช้สารสกัด มะขามป้อม ร่วมกับยาเคมีบำบัด เปรียบเทียบกับการใช้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว สรุปว่าได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันในผู้ป่วยมะเร็งบางราย จึงมีความหวังว่าน่าจะใช้สารสกัดมะขามป้อมเพื่อลดปริมาณยาเคมีลงบางส่วน แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปการใช้งานได้อย่างชัดเจน ต่อมาจึงมีการทดลองอีกในหนูทดลองที่เป็นมะเร็งช่องท้อง โดยให้สารสกัดมะขามป้อมทางปากเป็นเวลา 5 วัน พบว่าก้อนมะเร็งในช่องท้องมีขนาดเล็กลง นั่นหมายความว่าสารออกฤทธิ์ในมะขามป้อมช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากใช้ในค่าความเข้มข้นที่สูงมากเกินไป ก็สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ปกติได้เช่นเดียวกัน

เมนูของทานเล่น รสเด็ดจากมะขามป้อม

  • มะขามป้อมคลุกพริกเกลือ
  • ตำมะขามป้อม
  • น้ำพริกมะขามป้อมปลาแห้ง
  • มะขามป้อมแช่อิ่ม
  • มะขามป้อมดอง
  • มะขามป้อมอบแห้ง
  • มะขามป้อมดอง 3 รส
  • บ๊วยมะขามป้อม

ข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์จากมะขามป้อม

แม้ว่ามะขามป้อมจะมีสรรพคุณที่น่าสนใจมากมาย แต่หากจะใช้ในรูปแบบของยารักษาโรคก็ต้องมีขีดจำกัดในการใช้ด้วย เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายในระยะยาว ข้อควรระวังต่างๆ มีดังนี้
1. ผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณการทานก่อนเสมอ เพราะแต่ละคนมีระดับน้ำตาลที่ต้องควบคุมแตกต่างกัน สูงไปก็ไม่ได้ ต่ำไปก็ไม่ดี
2. สตรีมีครรภ์และคุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรไม่ควรทานในปริมาณมาก เพราะยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
3. งดทาน มะขามป้อม ก่อนเข้ารับการผ่าตัดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ 2 สัปดาห์ เพราะมีสารออกฤทธิ์ที่ส่งผลต่อภาวะเลือดออกผิดปกติในบางกรณี

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง


เอกสารอ้างอิง

“Phyllanthus emblica information from NPGS/GRIN”. US Department of Agriculture. http://www.ars-grin.gov/cgi-bin/npgs/html/taxon.pl?28119. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-03-06.
มะขามป้อม ศูนย์ปฏิบัติการพืชเศรษฐกิจ

DO-ME ประโยชน์ของIndian Gooseberry
ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ 2551 พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่271 หน้า

สมอไทยราชาสมุนไพร พุทธโอสถ

0
"สมอไทย" ราชาสมุนไพร พุทธโอสถ
สมอไทย เป็นสมุนไพรที่มีตำนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นสมุนไพรที่ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ
"สมอไทย" ราชาสมุนไพร พุทธโอสถ
สมอไทย เป็นสมุนไพรที่มีตำนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นสมุนไพรที่ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ

สมอไทย

สมอไทย ( Chebulic Myrobalans ) เป็นสมุนไพรในตำราพุทธโอสถครั้งบรรพกาล ปัจจุบันสมอไทย ยังเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในบรรดาผลไม้อบแห้งที่วางขายเป็นห่อเล็กๆ ตามท่ารถ ตามตลาดนัดและตามมุมขายของภายในวัด สมอแช่อิ่มเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่น้อยหน้ามะม่วง มะขาม หรือเม็ดบ๊วย ด้วยรสชาติเป็นเอกลักษณ์ที่ยิ่งทานก็ยิ่งอร่อย ใครได้ลองทานสักครั้งก็มักติดใจและต้องหามาทานอีกเมื่อมีโอกาส หลายคนรู้จักสมอในรูปแบบที่ว่านี้เพียงอย่างเดียว เพราะสมอที่เป็นผลสดซื้อหาไม่ได้ง่ายๆ แล้วในปัจจุบัน ทันทีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ก็จะมีกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปตั้งท่ารออยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่คุ้มที่ชาวสวนจะนำออกมาวางขายเอง เพราะน้อยคนนักที่จะรู้ว่าผลสมอสดๆ เอาไปทำอะไรได้บ้าง แม้ว่าราคาค่างวดในท้องตลาดของสมอจะดูไม่ได้มีมูลค่าสูงมากนัก แต่นี่คือสมุนไพรที่มีตำนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเลยทีเดียว เพราะเป็นสมุนไพรในไม่กี่ชนิดที่ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ และอยู่ในรายการอาหารปานะของพระสงฆ์มาโดยตลอด นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงสมุนไพรพื้นบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจอะไร 

สมอไทยเป็นไม้พื้นเมืองที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่พื้นที่ เช่น ส้มหม้อ มาแน่ เป็นต้น สมอเป็นไม่ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีจังหวะผลัดใบเป็นช่วงๆ ลำต้นมีความสูงอยู่ที่ 20-30 เมตร เปลือกหุ้มลำต้นมีสีเทาอมดำ แต่พอแกะออกสักชั้นหนึ่ง เปลือกด้านในกลับมีสีเหลืองแกมน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยวปลายมน ด้านบนมันเงาแต่ด้านล่างเป็นขุยขน ออกดอกเป็นแบบช่อสีขาวอมเหลืองและมีกลิ่นหอม ผลสมอมีลักษณะกลมรี ยาวบ้างสั้นบ้าง ผิวเกลี้ยงหรือมีสันให้เห็นบางๆ มีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ดอยู่กึ่งกลางด้านใน เมื่อแก่จัดจะมีสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวแกมน้ำตาลแดง

องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญของลูกสมอไทย

สารออกฤทธิ์ที่น่าสนใจในสมอมีหลายตัวด้วยกัน กลุ่มแรกคือสารกลุ่มฟิโนลิกส์ ( phenolics ) ได้แก่ กรดเคบูโลนิก ( chebulonic acid ) มีคุณสมบัติในการต่อต้านเซลล์มะเร็งอย่างรุนแรง จึงเป็นสารกลุ่มที่ถูกจับตามากที่สุดในวงการแพทย์ เพราะหากนำมาใช้ได้เต็มศักยภาพจะเกิดประโยชน์มหาศาล ต่อมาคือกรดแกลลิก ( gallic acid ) มีหน้าที่ในการต่อต้านการออกซิเดชัน สารคอริลาจิน ( corilagin ) ช่วยต้านความเจ็บปวดบางประเภทได้ นอกจากนี้ก็ยังมี terchebin glucogallin ellagic acid sennoside A chebulin catechol และ tannic acid

สรรพคุณของสมอไทย

สมอไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ ราชาสมุนไพร ” เพราะมีคุณประโยชน์ที่หลากหลายมาก ทั้งยังเป็นส่วนผสมหลักในยาอายุวัฒนะอย่างตรีผลาด้วย นั่นหมายความว่ามีรูปแบบการใช้ประโยชน์จากสมอไทยที่ควรรู้อยู่ไม่น้อย และที่ยกมานี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

สมอไทยบรรเทาอาการเจ็บคอ : สิ่งที่สังเกตได้ทันทีที่ทานผลแก่ของสมอไทย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลสดหรือแปรรูปมาแล้ว เช่น สมอแช่อิ่ม เป็นต้น จะเกิดความรู้สึกชุ่มคอ และบรรเทาอาการเจ็บคอลงได้ หากไม่ชอบทานผลสมอ ก็อาจทำเป็นยาชงใช้อมกลั้วคอแก้อาการก็ได้เช่นเดียวกัน โดยเลือกผลสดแก่ๆ ของสมอไทย นำมาล้างน้ำทำความสะอาดให้ดี ก่อนฝานเนื้อไปตากแห้งด้วยแดดจัดสักประมาณ 3-4 วัน เมื่อเห็นว่าแห้งสนิทดีแล้วก็นำมาบดเป็นผงละเอียด บรรจุใส่โหลที่มีฝาปิดสนิท จะใช้งานเมื่อไรก็ตักมาชงกับน้ำอุ่นได้ทันที ข้อควรระวังคือช่วงของการตากแห้ง ต้องแน่ใจว่าแห้งแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นโอกาสที่ผงยาชงจากสมอจะกลายเป็นเชื้อราก็จะมีสูงมาก 

สมอไทยสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ : ผลสดของสมอไทยที่แก่จัดจะมีรสชาติฝาดเด่นชัด ซึ่งรสฝาดนี่เองที่มีสารออกฤทธิ์สำคัญ ที่ทำให้บาดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ทั้งหมดบรรเทาอาการบาดเจ็บลงได้ เรียกว่าสามารถใช้สมอเพื่อสมานแผลภายในได้นั่นเอง วิธีการก็คือ ทานผลสมอไทยสดๆ วันละ 2-3 ผล ยิ่งถ้าเลือกเอาเฉพาะผลที่มีรสฝาดจัดได้ด้วยก็ยิ่งดี

สมอไทยบำรุงหัวใจ : เพียงนำส่วนเปลือกบริเวณลำต้นของ สมอไทย มาล้างทำความสะอาด ก่อนนำมาต้มกับน้ำเพื่อใช้ดื่ม โดยไม่ต้องเคี่ยวให้ข้นนักเพราะจะยิ่งทำให้ดื่มได้ยาก ต้มเพียงน้ำเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายกับการต้มชาก็เพียงพอ สารเคมีให้ส่วนเปลือกจะเข้าไปกระตุ้นให้หัวใจทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

สมอไทยชะลอความเสื่อมของวัย : สารฟิโนลิกส์ในสมอมีความโดดเด่นมากในการชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ จากผลงานวิจัยพบว่าสารตัวนี้สามารถชะลอความชราได้ผลมากถึง 89 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระไปด้วย แค่เลือกทานผลสมอที่สุกกำลังดีอย่างน้อยวันละ 1 ผลก็เพียงพอแล้ว

สมอไทยยับยั้งการเกิดและการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง : มีการทดลองเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ในผลสมอไทยที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งเอาไว้มากมาย ประเภทของเซลล์มะเร็งที่เคยทดสอบแล้วได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระดูก สารฟิโนลิกส์ในผลสมอเป็นพระเอกในประเด็นนี้เช่นเดียวกัน โดยจะทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเติบโตและค่อยๆ ตายไป หากมีความเสี่ยงแต่ยังไม่ทันเกิด ฟิโนลิกส์ก็จะเปลี่ยนหน้าที่เป็นการป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งที่ว่านั้นเกิดขึ้นได้ วิธีการทานก็ไม่ยุ่งยากอะไรนัก ทั้งยังสามารถเลือกทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

  • สมอไทยน้ำสมอไทยเข้มข้น : เลือกลูกสมอที่แก่จัดมาล้างทำความสะอาดหลายๆ น้ำ เฉือนเปลือกออกแล้วเลือกแต่ส่วนเนื้อในใส่ลงในเครื่องปั่น เมื่อปั่นจะเหลวดีแล้วจึงกรองเอาแต่น้ำ กรอกใส่ขวดเอาไว้ นำมาทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้วก่อนอาหารเช้า-เย็น
  • สมอไทยผงสมอชงดื่ม : เลือกเอาลูกสมอที่แก่จัดมาทำความสะอาด แล้วเฉือนเนื้อตากแดดจัดเพื่อให้แห้งสนิท จากนั้นจึงบดเป็นผงละเอียดเก็บใส่กระปุกไว้ เมื่อต้องการใช้ก็ตักมาครั้งละ 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนยา ดื่มทุกวันเช้า-เย็นก่อนอาหาร

สมอไทยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง : วิธีนี้เป็นสูตรโบราณตามตำราที่ว่ากันว่าเป็นยาบำรุงร่างกายขนานเอกเลยทีเดียว ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการกระตุ้นความกำหนัดเช่นเดียวกับยาบำรุงร่างกายอื่นๆ ส่วนประกอบคือ ลูกสมอไทย 1 น้ำสะอาด 1 แก้ว แช่ส่วนผสมทั้งสองไว้ข้ามคืน แล้วทานทั้งเนื้อและน้ำหลังตื่นนอนทันที จะช่วยแก้ความรู้สึกอ่อนเพลีย ร่างกายกลับมาสดชื่น และมีกำลังวังชาที่จะทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน 

สมอไทยช่วยย่อยอาหาร : สำหรับคนที่มีปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อบ่อยๆ จากการที่อาหารไม่ย่อย ลูก สมอไทย เป็นสมุนไพรที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการทานผลสมอไทยที่สุกแล้วทุกครั้งหลังทานอาหาร สัก 1-2 ผลก็เพียงพอ สารออกฤทธิ์ในสมอจะไปกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมันจะมีผลในระยะยาวด้วย หมายความว่าไม่จำเป็นต้องทานไปตลอดก็ได้ พอทานไปสักพักใหญ่ๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอาการท้องอืดแล้วก็หยุดทานได้ทันทีโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

แก้ปัญหาเชื้อราที่ผิวหนัง และโรคผิวหนังบางชนิด : โรคผิวหนังที่ว่านี้จะเป็นประเภทที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก เช่น กลากเกลื้อน ผื่นคัน เป็นต้น ให้ใช้ส่วนของเปลือกลำต้นสมอไทย หรือจะเป็นส่วนแก่นที่อยู่ด้านในก็ได้ นำมาล้างทำความสะอาดเอาฝุ่นผงและคราบต่างๆ ที่ไม่ต้องการออกไป จากนั้นนำมาต้มน้ำเพื่อผสมน้ำอาบ ทำเช่นนี้เป็นประจำจนกว่าเชื้อราหรือโรคผิวหนังเหล่านั้นจะหายไป

ลดไขมัน ลดความอ้วน : สมอไทย มีสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยในการดักจับไขมันที่เข้าสู่ร่างกายใหม่ๆ ให้เร่งระบายออก จึงไม่เกิดเป็นไขมันสะสม แต่ก็ไม่ได้ดึงเอาไขมันเก่าที่สะสมไว้แล้วออกมาใช้ ดังนั้นหากจะทานสมอไทยเพื่อลดไขมันหรือลดความอ้วน ก็ต้องออกกำลังการร่วมด้วย วิธีการใช้คือ นำผลอ่อนไปต้มด้วยอัตราส่วน ลูกสมอ 5 ผลกับน้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง ค่อยๆ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนกว่าน้ำจะเริ่มข้น แล้วกรองเอาแต่น้ำเพื่อดื่มให้หมดในรวดเดียว อาจปรุงรสเพิ่มเพื่อให้ทานง่ายด้วยการเติมเกลือลงไปเล็กน้อยขณะที่ต้ม

สมอไทยเป็นสมุนไพรโบราณ ได้ชื่อว่าเป็น“ราชาสมุนไพรไทย” เป็นจัดเป็นผลไม้ป่าที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ และอยู่ในรายการอาหารปานะของพระสงฆ์

ความพิเศษในรสชาติของสมอไทย

อย่างที่เรารู้กันดีว่ารสชาติของสมุนไพรเป็นจุดหนึ่งที่จะระบุได้ว่า สมุนไพรเหล่านั้นมีสรรพคุณไปในทางใดได้บ้าง และแต่ละชนิดก็จะมีรสเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย ส่วนใหญ่มักมีเพียงหนึ่งรสชาติหลักเท่านั้น เช่น บอระเพ็ดมีรสขม มะขามป้อมมีรสเปรี้ยวอมฝาด ขิงมีรสเผ็ดร้อน เป็นต้น แต่สำหรับสมอไทย นั้นมีความพิเศษตรงที่ในผลเดียวมีรสชาติที่หลากหลาย ตามแต่ระดับความอ่อนแก่ของผล ซึ่งเมื่อรสชาติเปลี่ยนไปสรรพคุณก็เปลี่ยนตามไปด้วย ดังนี้

  • สมอไทยมีรสเปรี้ยว : เป็นรสชาติหลักขณะที่สมอยังเป็นผลอ่อนอยู่ สรรพคุณหลักคือละลายเสมหะ แก้ไอ บรรเทาอาการระคายคอและกระหายน้ำ
  • สมอไทยมีรสฝาด : สรรพคุณช่วยเรื่องการสมานแผลภายใน ไล่ตั้งแต่ช่องปากที่เป็นเยื่อบุอ่อนๆ ไปจนถึงส่วนของผนังลำไส้ บรรเทาอาการท้องเสีย แก้ปวดบิด ระงับการถ่ายที่มากเกินไปไปได้ด้วย
  • สมอไทยมีรสหวาน : แม้ว่าสมุนไพรรสหวานจะไม่ค่อยมีสรรพคุณทางยามากนัก แต่ก็ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงร่างกายโดยรวมอยู่ดี หากทำงานหรือกิจกรรมอื่นใดมาทั้งวัน ร่างกายอ่อนเพลียเหนื่อยล้า ก็สามารถทานสมอรสหวานเพื่อเสริมกำลังได้
  • สมอไทยมีรสขม : โดดเด่นด้านบรรเทาอาการไข้ ตัวร้อน ตลอดจนถอนพิษต่างๆ ทั้งจากแมลงสัตว์กัดต่อยและอาหารที่ทานเข้าไป ช่วยบำรุงน้ำดีในร่างกาย กระตุ้นระบบการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพ
  • สมอไทยมีรสเผ็ด : คงไม่ได้เผ็ดจัดจ้านเหมือนกับพริกขี้หนู แต่ก็รับรู้ได้ว่ามีความเผ็ดร้อนอยู่ รสนี้ช่วยเรื่องการขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ บรรเทาอาการปวด จุกเสียด ในช่องท้องเนื่องจากลมปริมาณมาก และช่วยย่อยอาหาร
  • รสเค็ม : รสนี้ช่วยในเรื่องของความสวยความงาม เพราะจะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ช่วยปรับสมดุลระบบน้ำเหลือง ใช้แก้อาการเมารถ เมาเรือ แก้พิษ และช่วยให้นอนหลับสนิทได้ตลอดทั้งคืน
    ลูกสมอไทยแต่ละผลจะไม่ได้มีรสชาติเดียว อย่างเช่น เมื่อยังเป็นผลอ่อนก็มีเปรี้ยวนำ แล้วอาจผสมด้วยฝาดหรือขม เมื่อเป็นผลแก่ความเปรี้ยวลดลง ก็อาจจะกลายเป็นรสหวานคู่กับรสฝาดแทนได้

ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของสมอไทย

  • ส่วนของเปลือกสำต้น เมื่อแก่ได้ที่สามารถใช้เพื่อย้อมผ้าได้ สีที่ออกมาเป็นโทนดำอมแดง
  • ใบอ่อนใช้เป็นแผ่นห่อยาสูบได้
  • ใบแก่นำมาใช้ย้อมผ้า ได้สีเขียวขี้ม้าหรือสีเหลืองอมน้ำตาล ขึ้นอยู่กับสีใบที่เราเลือกใช้
  • ผลดิบกินเป็นผลไม้สดหรือนำไปดองเกลือ รสเปรี้ยวขมอมฝาด มีแทนนินเป็นจำนวนมาก
  • ผลอ่อนใช้เป็นยาระบาย ผลแก่เป็นยาฝาดสมาน แก้ลมจุกเสียด
  • เยื่อหุ้มเมล็ดแก้ขัดและโรคเกี่ยวกับน้ำดี มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ช
  • ผลสุก 5 – 6 ผลต้มกับน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ใช้เป็นระบายอ่อนๆ ใช้น้ำประมาณ 1 ถ้วยแก้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

www.Thaicrudedrug.com วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, e-magazine.info,

Caldecott, Todd (2006). Ayurveda: The Divine Science of Life. Elsevier/Mosby. ISBN 0-7234-3410-7. Contains a detailed monograph on Terminalia chebula(Haritaki; Abhaya) as well as a discussion of health benefits and usage in clinical practice. Available online at http://www.toddcaldecott.com/index.php/herbs/learning-herbs/361-haritaki

สรรพคุณและประโยชน์ของกระชายดำ

0
สรรพคุณและประโยชน์ของ "กระชายดำ"
กระชายดำ เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกในวงศ์เดียวกับขิง ข่า และขมิ้น
สรรพคุณและประโยชน์ของ "กระชายดำ"
กระชายดำ เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกในวงศ์เดียวกับขิง ข่า และขมิ้น

กระชายดำ

กระชายดำ ( Black galingale ) คือ พืชสมุนไพรในวงศ์เดียวกับขิง ข่าและขมิ้น บางท้องถิ่นเรียกว่าว่านจังงัง ว่านพญานกยูง ระแอน เป็นต้น กระชายดำจัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุอยู่ได้หลายปีทีเดียว มีหัวเหง้าฝังอยู่ใต้ดิน แล้วแตกยอดเป็นลำตันเรียวยาวโผล่ขึ้นมาพ้นดินสูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร กาบใบเป็นสีแดงอ่อนอมม่วงรูปไข่ ออกดอกเป็นช่อสีชมพูอ่อน ลักษณะหัวของกระชายดำจะไม่เหมือนกับกระชายที่เราเอามาเป็นเครื่องแกงทำอาหาร แต่จะไปคล้ายคลึงกับหัวขิงหรือขมิ้นมากกว่า ครั้นผ่าดูเนื้อในจึงเห็นว่าเป็นสีม่วงเข้มไปทางน้ำเงิน แล้วแต่ระดับความอ่อนแก่ของหัวกระชายดำ  

สรรพคุณทางยาของกระชายดำ

ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่าง เป็นแหล่งที่พบ กระชายดำ ได้มากที่สุด เราไม่ค่อยได้เห็นว่ามีใครนำกระชายดำมาทำเป็นเมนูอาหารคาวหวาน อย่างมากก็คือนำไปตากแห้งเพื่อชงดื่มเป็นชาหรือทานสด แต่เดิมชาวเขาจะพกกระชายดำติดตัวไว้เสมอ เป็นเหมือนยาประจำกาย ใช้ทานได้เมื่อรู้สึกปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย ต่อมาหมอชาวบ้านจึงนำมาใช้ให้กว้างขึ้น จึงได้รู้ว่ากระชายดำช่วยรักษาอาการปวดท้อง และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย จึงมีการนำไปดัดแปลงให้ทานได้ง่าย และมีการปรุงสูตรยาขึ้นมาโดยนำกระชายดำไปร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ก็จะได้ยาอายุวัฒนะที่บำรุงร่างกาย ขับลม แก้ปวด บำรุงเส้นผมและขน ว่ากันว่าถ้าทานเป็นประจำก็ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอีกด้วย

กระชายดำกินตอนไหน และองค์ประกอบทางเคมีของกระชายดำมีอะไรบ้าง

กินกระชายดำก่อนนอนจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดได้ดีสารเคมีกลุ่มที่เด่นที่สุดใน กระชายดำ ก็คือ สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เป็นสารที่พบได้มากในเม็ดสีของพืชผัก ธัญพืชและเปลือกไม้ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในมนุษย์ โดยระดับความเข้มข้นมีผลต่อการออกฤทธิ์โดยตรง บางชนิดสามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าวิตามินซีและอีถึง 50 เท่า อีกกลุ่มหนึ่งคือ สารกลุ่มไกลไซด์ เป็นสารเคมีสำคัญที่มีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นน้ำตาลและส่วนที่ไม่ใช่ ออกฤทธิ์ในทางเภสัชวิทยาได้หลายหลาย เช่น ออกฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น 

สรรพคุณและประโยชน์ของกระชายดำ

เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ : มีการทดลองในหนูเพศผู้ถึง 4 กลุ่ม เป็นเวลายาวนานกว่า 4 สัปดาห์ พบว่าการใช้กระชายดำกับหนูทดลอง ไม่พบว่ากระชายดำมีผลต่อน้ำหนักของอวัยวะสืบพันธุ์แต่อย่างใด แต่มีผลต่อต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิและจำนวนครั้งในการหลั่ง จึงสรุปได้ว่ากระชายดำมีผลต่อการกระตุ้นทางเพศ โดยที่ไม่มีผลต่อฮีโมโกลบิน เม็ดเลือดขาว และตับ หมายความว่าไม่เป็นพิษจากการใช้งาน แต่ก็ยังมีแนบท้ายเล็กๆ ว่าอาจจะยังไม่เหมาะสมกับการใช้ในคนที่ปริมาณสูงและใช้เป็นเวลายาวนาน

ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและหลอดเลือด : หากนำ กระชายดำ มาสกัดเอาสารเคมีสำคัญด้วยเอทานอล เราจะได้สารพิเศษที่มีคุณสมบัติคลายหลอดเลือดแดงใหญ่ การทดสอบในเนื้อเยื่อบุผนังหลอดเลือดดำจากรกของมนุษย์ พบว่ามีการเสริมสร้างเซลล์มากขึ้น และเมื่อทดลองในกล้ามเนื้อหัวใจของหนู กระชายดำก็ออกฤทธิ์ลดการทำงานหนักของหัวใจลง และลดการเพิ่มแคลเซียมชั่วคราวในหัวใจด้วย ซึ่งแคลเซียมเหล่านี้นี่เองที่จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือดและทำให้เกิดปัญหาต่อการส่งถ่ายเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ส่งผลต่อกระบวนการเมทาบอลิซึมของไขมัน : มีงานวิจัยจากญี่ปุ่นระบุไว้ว่า สารสกัดจากส่วนของเหง้ากระชายดำสามารถลดความเสื่อมของอัตราการเกิดเมทาบอลิซึมได้อย่างดี เมื่อทดลองในหนูที่มีโรคอ้วนก็พบว่า มีอัตราการลดไขมันสะสมที่ดีขึ้น เพราะมีการดึงไขมันเก่าออกมาใช้และไขมันใหม่ก็ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นพลังงานอย่างรวดเร็ว จึงไม่ถูกนำไปแปรรูปและสะสมเอาไว้ในร่างกาย

ออกฤทธิ์ต่อต้านอาการอักเสบ : 5,7-dimethoxyflavone ( 5,7-DMF ) คือสารเคมีตัวสำคัญที่สามารถสกัดมาได้จากเหง้าของ กระชายดำ เป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต้านอาการอักเสบต่างๆ มีการทดสอบและสรุปความไว้ว่า สารสกัดจากกระชายดำตัวนี้ช่วยต้านการอักเสบได้เทียบเท่ากับยามาตรฐานหลายชนิดเลย ทั้งแอสไพริน ไฮโดรคอร์ทิโซน และอินเมทาซิน ใช้เพื่อลดการอักเสบได้ทั้งภายนอกและภายใน จากหลักฐานการรักษาอาการอักเสบที่ปอดและอาการอักเสบบวมแดงที่เท้าของหนูทดลอง

มีสรรพคุณเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง : สารในกลุ่ม methoxyflavones ซึ่งสกัดได้จากเหง้า กระชายดำ ด้วยการใช้เอทานอลในการสกัด มีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งหลายชนิด ทำให้เซลล์มะเร็งตายในรูปแบบของ apoptosis คือเซลล์จะค่อยๆ หดตัวเล็กลง จนนิวเคลียสแตกออกเป็นชิ้นๆ เยื้อหุ้มเซลล์โป่งพองเป็นถุง สุดท้ายเซลล์ก็แตกสลายไป  

บำบัดภาวะต่อมลูกหมากโต : ต่อมลูกหมากโตเป็นอาการป่วยที่พบได้ในเพศชาย คือต่อมลูกหมากมีขนาดขยายใหญ่ผิดปกติจนเป็นปัญหาต่อระบบทางเดินปัสสาวะ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ มีงานวิจัยที่ทดลองในหนูเป็นระยะเวลามากกว่า 14 วัน พบว่าสารสกัดจากกระชายดำส่งผลดีต่อลูกหมายพอสมควร ช่วยลดขนาดต่อมลูกหมากลงได้ แต่ก็ยังต้องทำงานวิจัยเพื่อข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นอีกทั้งในด้านสรรพคุณที่ได้และความปลอดภัยในการใช้งาน ก่อนจะนำไปใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยต่อลูกหมากโตต่อไป

ปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง : กระชายดำผู้หญิงวัยทองทานได้ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงให้อยู่ในระดับปกติ

กระชายดำเป็นพืชสมุนไพรในวงศ์เดียวกับขิง ข่าและขมิ้น ใช้แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้อาการปวดท้อง และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้

งานวิจัยที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้กระชายดำ

1. การศึกษาเรื่องกระชายดำกับสมรรถภาพทางร่างกายในผู้สูงอายุ
ใช้การทดสอบในผู้สูงอายุราว 45 คน โดยให้ทานยาหลอกที่ทำจากสารสกัดกระชายดำเป็นเวลากว่า 2 เดือน เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสมรรถภาพทางร่างกาย และวัดผลด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การวัดแรงบีบมือ การวัดระยะทางที่เดินได้ในช่วงเวลาที่กำหนด การสลับลุกนั่งในช่วงสั้นๆ เป็นต้น พบว่ากระชายดำช่วยเพิ่มระดับความแข็งแรงของร่างกายผู้สูงอายุได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังช่วยลดภาวะเครียดที่เป็นผลกระทบมาจากการที่อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายระบบต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย

2. การศึกษาเรื่องกระชายดำกับความสามารถในการออกกำลังกาย
เมื่อเราได้รู้แล้วว่าสารสกัดจากกระชายดำนั้นมีผลต่อความแข็งแรงของร่างกายจริง เราจึงมาต่อยอดด้วยการทดสอบผลที่เกิดกับนักกีฬา ว่ากระชายดำจะทำให้พวกเขามีความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ โดยทดสอบกับกลุ่มนักกีฬา 2 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มที่ทานและไม่ได้ทานสารสกัดจากกระชายดำ พบว่าไม่มีผลลัพธ์อย่างเป็นนัยสำคัญว่าทั้งสองกลุ่มจะมีความสามารถในการออกกำลังกายที่ต่างกัน หรือในผู้ที่ทานสารสกัดกระชายดำเข้าไป ก็ไม่ได้มีความสามารถในการออกกำลังกายที่พัฒนาไปจากเดิม

พิษของกระชายดำ

แม้ว่า กระชายดำ จะมีสรรพคุณที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ก็มีประเด็นของความเป็นพิษจากการใช้งานด้วยเหมือนกัน นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กระชายดำไม่ได้ถูกใช้ในหลายๆ วงการเช่นเดียวกับสมุนไพรตัวอื่นๆ จากการทดลองในหนูทดลอง หลายครั้งทำให้หนูทดลองเสียชีวิตไป บ้างเกิดจากน้ำหนักตัวมากเกินไป บ้างเกิดจากน้ำหนักตัวน้อยเกินไป และอีกไม่น้อยที่มีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูงโดยเฉพาะหนูเพศเมีย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นลักษณะของการใช้สารสกัดกระชายดำในระยะเวลานาน จึงต้องมีการศึกษาในด้านพิษวิทยากันอย่างจริงจัง พบว่ามีค่าต่างๆ ในร่างกายของหนูเปลี่ยนแปลงไปจริง แต่ยังอยู่ในช่วงที่น่าจะเป็นไปได้ และเมื่อตรวจความเป็นพิษเรื้อรังในอวัยวะต่างๆ ก็ไม่พบว่ามีพิษสะสมแต่อย่างใด จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการทดลองในมนุษย์เพิ่มเติม ดังนั้นก็ควรระวังในการรับประทานสารสกัดเหล่านี้ไว้บ้าง ไม่ควรทานในปริมาณมากหรือทานในระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป

ขนาดและวิธีในการรับประทานกระชายดำเพื่อสรรพคุณทางยา

กระชายดำ ก็เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง สามารถทานสดได้เช่นเดียวกับพืชผักอื่นๆ ทั่วไป หรือจะนำไปเป็นเครื่องเคียงอาหารคาวก็ย่อมได้ ถึงอย่างนั้นตามตำราหมอยาพื้นบ้านก็ยังแนะนำวิธีการปรุงเป็นยาเพื่อหวังให้ได้รับสรรพคุณเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

  • เหง้าสดดองเหล้าหรือน้ำผึ้ง : ใช้เหง้าสดๆ ประมาณ 5 เหง้ามาล้างทำความสะอาด เอาเศษโคลนดินออกให้เรียบร้อย แล้วปอกเปลือกหรือฝานเป็นแว่นหนาสักหน่อย ใส่โหลแก้วเพื่อดอง แล้วเติมเหล้าขาวหรือน้ำผึ้งลงไป บ้างก็ว่าใช้น้ำดื่มธรรมดาก็ได้เหมือนกัน ทิ้งไว้ในโหลสักประมาณ 1 สัปดาห์ถึงเริ่มเอามาทานได้ โดยให้ทานหลังอาหารมื้อเย็นวันละครั้งเท่านั้น
  • ทำเป็นชา : ใช้เหง้าสดที่ล้างสะอาดดีแล้ว ฝานเป็นแผ่นบางๆ ก่อนนำไปตากแดดจนแห้งสนิทดี อาจใช้เวลา 3-4 วันสำหรับวันที่มีแดดจัด จากนั้นนำมาอบเพื่อฆ่าเชื้ออีกที ก่อนเก็บใส่โหลหรือกระปุกไว้ เมื่อต้องการทานก็หยิบออกมาชงกับน้ำร้อน ดื่มเมื่อไรก็ได้ ข้อควรระวังคือเชื้อรา ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตากแห้งสนิทแล้วจริง ตลอดจนภาชนะไม่มีความชื้นอยู่

นอกจากนี้ก็ยังมีสารสกัด กระชายดำ ที่ถูกแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ยา บ้างทำออกมาในรูปแคปซูล บ้างทำออกมาในรูปผง ก็สามารถเลือกซื้อหามาทานได้ตามความสะดวก สิ่งสำคัญคืออย่าลืมอ่านข้อควรระวัง พร้อมขนาดและวิธีใช้ที่ข้างบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจนเสมอ เพื่อให้ได้สรรพคุณตามต้องการและไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น

กระชายดำ ข้อควรระวัง

  • เมื่อทานกระชายดำในปริมาณที่สูงเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการหัวใจสั่นได้ ดังนั้นจึงต้องหยุดหรือลดปริมาณที่ใช้ทันทีที่มีสัญญาณเกิดขึ้น
  • ห้ามใช้กระชายดำในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ หรือหากต้องการใช้จริงๆ ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้ความยินยอมเสียก่อน
  • การทานกระชายดำปริมาณมากมีผลต่อการกระตุ้นการทำงานของไต ในภาวะเลวร้ายที่สุดก็อาจถึงขั้นไตวายได้
  • เด็กเล็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2547. “ตอน กระชายดำ“. อ้างอิงใน: เทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2543. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [19 พ.ย. 2013].

ห้องสมุดดิจิทัลเกษตรไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กระชายดำ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: anchan.lib.ku.ac.th/aglib/bitstream. [19 พ.ย. 2013].

ว่านเพชรหึง ว่านหางช้าง สรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดา

0
"ว่านเพชรหึง" กล้วยไม่ยักษ์ที่สรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดา
ว่านเพชรหึง หรือ ว่านหางช้าง จัดเป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เป็นยาอายุวัฒนะและยาบำรุงกำลัง มีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการอักเสบ
"ว่านเพชรหึง" กล้วยไม่ยักษ์ที่สรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดา
ว่านเพชรหึง หรือ ว่านหางช้าง จัดเป็นกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เป็นยาอายุวัฒนะและยาบำรุงกำลัง มีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการอักเสบ

สรรพคุณว่านเพชรหึง

ว่านเพชรหึง หรือ กล้วยไม้ยักษ์ มีสรรพคุณทายามากกว่าความสวยงามในรูปแบบของดอกไม้ หากพูดถึงสมุนไพรในบ้านเราที่ถูกหยิบใช้เพื่อการปรุงยารักษาโรคหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ วัตถุดิบที่นึกถึงเสมอก็ต้องเป็นกลุ่มของพืชผักพื้นบ้านหรือต้นไม้พื้นถิ่น น้อยนักที่จะเป็นจำพวกไม้ดอกไม้ประดับ ไม่เหมือนกับสมุนไพรในต่างประเทศที่มีกลุ่มของดอกไม้มากพอสมควร เช่น ซากุระ ลาเวนเดอร์ ทิวลิป เป็นต้น แต่ถึงจะมีน้อยก็ใช่ ว่าไม่มีเลย อย่างว่านเพชรหึงที่เรากำลังจะลงรายละเอียดอยู่นี้ ก็เป็นว่านที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของดอกกล้วยไม้ ซึ่งเพาะปลูกได้ในพื้นที่ป่าดิบชื้น แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ของประเทศไทยนี่เอง ว่านเพชรหึงไม่ได้เป็นกล้วยไม้ที่หาดูได้ยากเย็นอะไรนัก หลายคนก็พบเห็นจนคุ้นชินแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าดอกกล้วยไม้สวยๆ ช่อนี้มีสรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดาเลย

การปลูกว่านเพชรหึง ควรเลือกซื้อว่านเพชรหึงราคาเท่าไหร่

กล้วยไม้เพรชหึงเมื่อโตเต็มที่จะมีกอขนาดใหญ่สูงราวๆ 3 เมตร ทำให้กล้วยไม้เพรชหึงราคาสูงถึง 30,000 บาท สำหรับผู้ที่ต้องการนำว่านเพชรหึงไปปลูกแนะนำให้ซื้อเป็นกอเล็ก ราคาประมาณ 300-500 บาท การปลูกว่านเพชรสามารถปลูกในที่กึ่งแดดถึงแดดแต่ไม่จัดมากนัก ใช้กาบมะพร้าวสับเป็นเครื่องปลูกขณะต้นยังเล็ก และใช้กาบมะพร้าวสับผสมอิฐแดงทุบเมื่อต้นโตขึ้น ไม่ควรรดน้ำจนชุ่มแฉะเพราะจะทำให้กอเน่าง่ายหรือเป็นโรคง่าย

ลักษณะว่านเพชรหึง หรือกล้วยไม้เพชรหึง

กล้วยไม้เพชรหึงแตกกอใหญ่ ระบบรากค่อนข้างหนาแน่นและจะแตกแขนงที่บริเวณปลายรากแบบที่แตกแล้วชี้ขึ้นด้านบน มีชื่อท้องถิ่นอีกหลายชื่อ ได้แก่ ว่านหางช้าง กล้วยกา ตับตาน มือตับแก ว่านงูเหลือม ว่านหางช้าง เอื้อง และพร้าว มีรูปร่างลักษณะที่มองรวดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นกล้วยไม้ยักษ์แน่นอน ใบเป็นใบเดี่ยวที่เรียงสลับ ความยาวจากโคนถึงปลายใบเฉลี่ยอยู่ที่ 50 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม และก้านใบหุ้มลำตันไว้อย่างสวยงาม ดอกออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ยาวได้มากสุดถึง 3 เมตร กลีบดอกมีสีเหลืองหม่น และมีจุดแต้มสีน้ำตาลม่วงกระจายทั่วกลีบอีกทีหนึ่ง เรียกว่า กล้วยไม้ลายเสือ แถมยังเป็นดอกกล้วยไม้ที่ทนทานมาก เพราะออกดอกแต่ละครั้งก็จะชูดอกและค่อยๆ ทยอยบานในช่วงระยะเวลานาน ไม่ช้ำและไม่ร่วงโรยไปง่ายๆ ส่วนของผลจะมีสีเขียวอ่อน ในหนึ่งผลมี 3 พูนูนออกมาให้เห็นชัดเจน รูปร่างยาวเรียว เมื่อผลแก่จัดก็จะแตกออกเป็น 3 กลีบ เผยให้เห็นเมล็ดสีดำด้านใน ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์ต่อไปตามธรรมชาติ โดยเมล็ดเหล่านี้จะหลุดออกจากผลแล้วปลิวไปตามลมนั่นเอง ส่วนมากเรานิยมใช้ต้นว่านเพชรหึงเพื่อการประดับตกแต่งมากกว่าอย่างอื่น เพราะยังมีงานวิจัยในทางเภสัชวิทยาหรือคลินิกน้อยมาก ทำให้เรายังไม่อาจรู้ถึงสรรพคุณทั้งหมดของว่านเพชรหึงได้

ว่านเพชรหึงใช้เป็นยาอายุวัฒนะ : สารออกฤทธิ์ในว่านจะช่วยปรับสมดุลร่างกายและบำรุงกำลังได้ สิ่งใดที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรเป็นก็สามารถกลับมาเป็นปกติ และเมื่อร่างกายเข้าสู่สมดุลจึงทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงโดยธรรมชาติ วิธีการนำว่านเพชรหึงมาใช้ประโยชน์ก็คือ เลือกส่วนของลำต้นและก้านใบที่แก่สักหน่อยมาล้างทำความสะอาด ก่อนหั่นให้เป็นแว่นบางๆ ดองกับเหล้าไว้จิบเพียงเล็กน้อยหลังมื้ออาหาร 

ว่านเพชรหึงบรรเทาอาการไอและเจ็บคอ : เราจะใช้ส่วนของเหง้าที่มีฤทธิ์เย็นจัดมาทำเป็นยา โดยใช้เหง้าตากแห้ง พุทธาจีน จี่อ้วง โงวบี่จี้แห้ง ขิง โส่ยชินและมั่วอึ้ง ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนเกือบทั้งหมด ต้มรวมกันในหม้อเดียวเพื่อนำน้ำนั้นมาดื่มในรูปแบบของน้ำสมุนไพร จะช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ ลดความระคายเคือง และลดอาการกระหายน้ำ สามารถจิบได้ตลอดทั้งวันแทนการดื่มน้ำเปล่าในช่วงที่มีอาการ หากรู้สึกว่ารสชาติดื่มยากให้เติมน้ำผึ้งแทนน้ำตาล

ว่านเพชรหึงช่วยขับลมให้กระเพาะอาหารและลำไส้ : หากมีอาการแน่นท้องเนื่องจากมีลมในกระเพาะอาหารมาก โดยเจาะจงไปที่ต้นเหตุของการทานอาหารเป็นหลัก ไม่รวมอาการข้างเคียงที่เกิดจากโรคประจำตัวอื่นๆ แบบนี้ว่านเพชรหึงสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ โดยนำลำต้นและก้านใบมาล้างให้สะอาด แล้วดองกับเหล้าหรือน้ำผึ้งก็ได้ จิบเพียงเล็กน้อยร่วมกับมื้ออาหารในช่วงที่มีอาการเท่านั้น

ว่านเพชรหึงบรรเทาอาการแสบร้อนในลำคอ : โดยปกติอาการแสบร้อนสามารถหายได้เองเมื่อดื่มน้ำอย่างเพียงพอ มักเป็นในวันที่อากาศร้อนจัด หรือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะเป็นไข้ไม่สบาย เมื่อดื่มน้ำมากแล้วก็ยังไม่หาย ก็สามารถใช้ส่วนเหง้าของว่านเพชรหึงแบบสดๆ มาล้างทำความสะอาด แล้วบดให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชูกับน้ำสะอาดเพียงเล็กน้อย บีบคั้นเพื่อเอาน้ำ ค่อยๆ จิบให้ไหลผ่านช่วงคอช้าๆ บ้างก็ใช้วิธีเอาสำลีปั้นเป็นก้อน ชุบกับน้ำยาจากว่านให้ชุ่ม อมก้อนสำลีนั้นไว้ในปากแล้วค่อยๆ กลืนแค่ส่วนของน้ำลงไป

ว่านเพชรหึงรักษาท้องมาน : อาการท้องมานเป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่ทำให้ท้องโตเหมือนคนมีครรภ์ แต่เป็นการสะสมของน้ำในช่องท้อง ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบมาจากโรคเกี่ยวกับตับหรือหัวใจ นอกจากการใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาแล้ว ก็ยังสามารถใช้สมุนไพรมาช่วยเพื่อลดเคมีที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ โดยนำเหง้าสดของว่านเพชรหึงมาล้างให้ปราศจากคราบดินโคลน ใช้มีดขูดเอาผิวนอกออกแล้วปั่นให้ละเอียด คั้นเอาแค่น้ำจากเหง้าและไม่ต้องผสมน้ำอื่นๆ เพิ่มอีก ใช้ดื่มกินบ่อยๆ

ว่านเพชรหึงรักษาผดผื่นคัน : ผดผื่นคันที่ว่านี้ไล่ระดับความรุนแรงตั้งแต่อาการแพ้เล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงผื่นคันที่อักเสบและมีหนองได้เลย เราใช้เหง้าตากแห้งต้มกับน้ำจนเดือดได้ที่ เติมเกลือแกงลงไปเล็กน้อย ต้มต่ออีกจนกว่าเกลือจะละลายดี พักไว้ให้เย็น หากทำปริมาณมากให้กรอกใส่ภาชนะแช่ตู้เย็นไว้ได้ นำน้ำนั้นมาทาบริเวณที่เป็นผดผื่นคันให้ทั่ว ทั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะมีอาการดีขึ้น   

ว่านเพชรหึงรักษาฝีในระยะเริ่มต้น : ความน่ากลัวของฝีก็คือ มักเกิดในที่ลับและเจ็บปวดมาก หากรักษาเร็วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปล่อยไว้หรือไม่รู้ตัวว่าเป็นฝี ก็จะกลายเป็นหนองลึกและต้องผ่าออก ว่านเพชรหึงสามารถช่วยได้ในระยะต้นของการเป็นฝีเท่านั้น สังเกตจากปริมาณของหนอง จะเห็นเพียงจุดขาวๆ ที่ไม่เป็นวงกว้างนัก ใช้เหง้าแห้งบดผง ผสมกับดอกไม้จีนบดผงเช่นกัน เมื่อจะทานก็ให้ใส่น้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย ฝีจะค่อยๆ ลดอาการอักเสบลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ส่วนของลำต้นฝนกับน้ำซาวข้าว แล้วนำน้ำนั้นมาทาพอกบริเวณฝี ก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน

ว่านเพชรหึงรักษาโรคคางทูม : อาการของโรคคางทูมคือ คางจะบวมผิดรูปร่างไปจนสังเกตเห็นได้ อาจบวมพร้อมกันทั้งสองด้านหรือบวมเพียงด้านเดียวก็ได้ ผู้ป่วยส่วนมากมักมีอาการไข้ตัวร้อนร่วมด้วย ปกติโรคคางทูมจะหายได้เอง เพียงแต่ใช้ระยะเวลาเป็นสัปดาห์ ก็สามารถเร่งให้หายเร็วขึ้นได้ ด้วยการใช้เหง้าสดของว่านเพชรหึงมาต้มกินวันละ 2 ครั้ง ไม่นานก็จะหายเป็นปกติ

ว่านเพชรหึงใช้เป็นยาระบาย : ส่วนของใบว่านมีสารออกฤทธิ์ที่เป็นยาระบายอ่อนๆ อยู่ด้วย เพียงแค่นำใบสดมาประมาณ 3-4 ใบ ต้มน้ำดื่ม ก็จะช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่มน้ำสมุนไพรคือช่วงก่อนนอน เพื่อให้ระบายถ่ายท้องในตอนเช้าพอดี

ว่านเพชรหึงใช้ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย : นำส่วนของลำต้นมาบดละเอียด คั้นเอาน้ำออก ใช้เพียงแค่ส่วนของกากมาพอกบริเวณแผลที่ถูกกัด ผึ้งต่อย มดกัด ฤทธิ์ยาจะช่วยดูดซับสารพิษออกมาได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามใช้กับกรณีของงูพิษ เพราะงูนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า

ว่านเพชรหึง หรือ ว่านหางช้าง จัดเป็นกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เป็นยาอายุวัฒนะและยาบำรุงกำลัง มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการอักเสบ

ว่านเพชรหึงกับวงการความสวยความงาม

มีงานวิจัยเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์สำคัญในว่านเพชรหึงโดยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. พบว่ามีสารชีวภาพที่ต้านเอนไซม์อิลาสเตส ( elastase )และลดการสร้างเอนไซม์คอลลาจิเนส ( collagenase ) ในผิวได้ ซึ่งเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง และบั่นทอนความอ่อนเยาว์ของผิวในทุกๆ ด้าน เมื่อสกัดสารที่ว่านี้ออกมาจากว่านเพชรหึง แล้วนำมากักเก็บไว้ในรูปของอนุภาคนาโนไขมัน ก็จะช่วยเพิ่มจุดเด่นด้านการซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดีขึ้น และยังเป็นการรักษาสภาพความคงตัวของสารออกฤทธิ์เหล่านั้นเอาไว้ได้อีกด้วย จากข้อมูลงานวิจัยชิ้นนี้ ทำให้มีผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวและเครื่องประทินโฉมต่างๆ ให้ความสนใจอย่างมาก และเอาไปพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ร่วมกับสารสกัดอื่นๆ จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงประเด็นที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติมในทางเภสัชวิทยาของว่านเพชรหึง

  • มีการทดลองในหนูด้วยสารสกัดจากว่านเพชรหึง พบว่าสามารถรักษาอาการบวมและอักเสบของหนูตัวใหญ่ได้ แต่เป็นการอักเสบที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงอยู่ จึงยังไม่มีการนำมาต่อยอดในมนุษย์
  • เมื่อสกัดสารออกฤทธิ์ในว่านเพชรหึงด้วยเหล้า แล้วนำไปใช้กับกระต่าย พบว่าระดับความดันโลหิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • น้ำที่คั้นจากเหง้าสดมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเอสโตรเจน ( estrogen ) ในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง แต่จะมีปริมาณมากกว่าในเพศชาย แต่ก็จำเป็นต้องมีอีกหลายปัจจัยร่วมด้วย
  • มีการทำวิจัยเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอล โดยศึกษาจากสารสกัดว่านเพชรหึงที่สกัดด้วยกระบวนการต่างๆ เช่น สกัดด้วยน้ำ สกัดด้วยแอลกอฮอล์ เป็นต้น พบว่ามีสารออกฤทธิ์ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแม้ว่าจะสกัดด้วยน้ำธรรมดา จึงน่าจะต่อยอดไปเป็นชาชงจากว่านเพชรหึงได้
  •  เคยมีข้อมูลว่าว่านเพชรหึงถูกบันทึกอยู่ในตำรายาสมุนไพร ซึ่งค้นคว้าและวิจัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่ามีคุณสมบัติในการต่อต้าน มะเร็งเต้านม โดยต้องใช้ส่วนเหง้าที่ขึ้นในบางพื้นที่เท่านั้น เพราะพื้นที่ที่แตกต่างจะทำให้สารออกฤทธิ์มีความเข้มข้นต่างกันไปด้วย และสูตรยาที่ว่านี้ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการนำเหง้ามาล้างทำความสะอาด สับหรือบดให้มีขนาดเล็ก ต้มกับน้ำด้วยไฟอ่อน ค่อยๆ เคี่ยวจนน้ำงวดขึ้น ทานวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ อย่างไรก็ตามไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการวิจัยมากนัก และอาจยังต้องศึกษาถึงผลข้างเคียงในการใช้สูตรยาเป็นเวลานานต่อไปอีก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ว่านเพชรหึง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [6 ธ.ค. 2013].

ผู้จัดการออนไลน์. “เชิญชมว่านเพชรหึง กล้วยไม้ใหญ่ที่สุดในโลกออกดอกสะพรั่งแค่ปีละ 3 เดือน“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [6 ธ.ค. 2013].

ผมสวยได้ง่ายๆด้วยสมุนไพรใบหมี่

0
ผมสวยได้ง่ายๆด้วยสมุนไพร “ใบหมี่”
ใบหมี่เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ช่วยกำจัดเหา ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม บำรุงหนังศีรษะ ฆ่าเชื้อรา
ผมสวยได้ง่ายๆด้วยสมุนไพร “ใบหมี่”
ใบหมี่เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ช่วยกำจัดเหา ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม บำรุงหนังศีรษะ ฆ่าเชื้อรา

ใบหมี่

ใบหมี่ เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นที่พบมากในเขตภาคเหนือและภาคอีสาน อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนวงกว้างเท่าไรนัก เพราะยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพของสมุนไพรเท่าที่ควร แต่ก็มีชื่อเสียงพอตัวในกลุ่มของแชมพูสมุนไพร ด้วยว่าเป็นพืชใบหอมที่มีกลิ่นสุดพิเศษและมีคุณสมบัติที่ดีต่อเส้นผมด้วย ถึงขนาดที่กลายเป็นสูตรลับซึ่งใช้ต่อเนื่องยาวนานมามากกว่า 20 ปีแล้ว แต่เดิมหญิงสาวจากทุกชนเผ่าจะใช้ใบหมี่เป็นส่วนผสมสำคัญในการสระผม ด้วยการนำใบและเปลือกมาต้มเอาน้ำ แล้วใช้สระผมโดยไม่ต้องผสมสิ่งใดเพิ่ม ว่ากันว่าใบหมี่มีสารออกฤทธิ์ที่มีลักษณะเป็นเมือกลื่น ผมจึงนุ่มสลวยเป็นเงางามและไม่พันกัน แล้วก็มีสรรพคุณในการรักษารังแคกับแก้เหาได้ด้วย อย่างไรก็ตามใบหมี่ยังมีสรรพคุณที่ถูกซ่อนไว้อีกหลายอย่าง เรียกว่าแทบจะในทุกส่วนประกอบของต้นใบหมี่กันเลยทีเดียว 

ใบหมี่ มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ ได้แก่ หมี หมี่เหม็น ใบเหมือดแกว หมูทะลวง ตังสีไพร ดอกจุ๋ม มือเบาะ เป็นต้น ซึ่งแต่ละตำรับยาก็จะเขียนระบุชื่อของใบหมี่แตกต่างกันไปด้วย เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สนใจเกิดความสับสนได้บ่อยครั้ง ต้นใบหมี่เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงตั้งแต่ 5 เมตรไปจนถึง 15 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลมทึบ ตามยอดอ่อนและกิ่งอ่อนจะมีขนละเอียดเส้นสั้นๆ ขึ้นปกคลุมจนทั่ว ลำตันมีสีน้ำตาล เมื่อแก่แล้วก็จะแต่เป็นร่องตามยาว ใบเป็นใบเดี่ยวรูปวงรีที่ค่อนข้างมีเนื้อใบหนา แตกออกจากกิ่งแบบเรียงสลับ ผิวบนเป็นมันเรียบลื่น ผิวใต้ใบเป็นขนอ่อนๆ ส่วนใบมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลุ่มดอกมีสีเหลือง ไม่มีกลีบดอก มีเพียงใบประดับ กลีบเลี้ยงและเกสรตัวผู้จำนวนมาก สีเหลืองที่เรามองเห็นก็เป็นสีของเกสรตัวผู้นี่เอง ผลมีขนาดเล็ก เป็นเม็ดกลมสีเขียวสด อยู่เกาะกลุ่มกันเป็นพวงคล้ายกับมะเขือพวง เมื่อสุกผลจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม

องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญของใบหมี่

สารออกฤทธิ์ที่พบมากได้แก่ สารแทนนิน ( tannin ) ซึ่งเป็นสารโมเลกุลใหญ่และมีโครงสร้างซับซ้อน โดยธรรมชาติจะมีรสออกฝาด ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลและต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อมาคือสารฟลาโวนอยด์ ( flavonoid ) เป็นสารในกลุ่มพอลิฟีนอล โดดเด่นด้านการต้านอนุมูลอิสระ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สารเมือก ( mucilage ) เป็นสารที่มีพอลิแซกคาไรด์เป็นส่วนประกอบ และเป็นตัวที่ทำให้ ใบหมี่ เหมาะกับการนำมาใช้เพื่อสระผมนั่นเอง นอกจากนี้ก็จะมี actinodaphnine, boldine, iso-boldine, laurelliptine, N-acetyl- laurelliptine, laruotetanine, N-acetyl-laurotetanine, N-methyl-laurotetanine, liriodenine, Litsea arabinoxylan PPS, litseferine, polysaccharide, reticuline และsebiferine

สรรพคุณของใบหมี่

บำรุงหนังศีรษะ ฆ่าเชื้อราและลดการหลุดร่วงของเส้นผม : นี่เป็นสรรพคุณข้อแรกที่ต้องกล่าวถึง เพราะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับคนเมืองน่านมาแล้ว ด้วยผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพรจาก ใบหมี่ นั่นเอง สูตรที่ใช้เป็นตำรับยาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ กระบวนการคือนำใบหมี่สดๆ ที่โตเต็มวัยแล้วมาย่อยให้มีขนาดเล็กลงด้วยการหั่นซอย แล้วนำไปหมักในถังสักช่วงหนึ่งก่อน เมื่อได้ที่จึงค่อยเอามาต้มและปั่นให้ละเอียดอีกทีหนึ่ง จะได้น้ำสมุนไพรใบหมี่ที่เข้มข้นพร้อมสารสกัดสำคัญที่ออกฤทธิ์ต่อเส้นผมและหนังศีรษะโดยเฉพาะ แต่เดิมเมื่อได้อย่างนี้แล้วก็นำไปสระผมได้เลย แต่ปัจจุบันก็มีการปรับปรุงให้เกิดความรู้สึกน่าใช้มากขึ้น ด้วยการนำไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่ช่วยให้เกิดฟอง บรรจุใส่ภาชนะไว้ใช้งานหรือจัดจำหน่ายได้เลย ที่สำคัญแชมพูที่ว่านี้ไม่ต้องเติมน้ำหอมสังเคราะห์เพิ่มอีก เพราะมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของสมุนไพรใบหมี่อยู่แล้ว แถมยังหอมติดทนนานตลอดทั้งวันอีกด้วย

กำจัดเหา : ขนาดเชื้อราบนหนังศีรษะสมุนไพร ใบหมี่ ยังกำจัดให้สิ้นซากไปได้ แล้วกับแค่เหาตัวเล็กๆ มีหรือจะจัดการไม่ได้ หากคนภาคกลางกำจัดเหาด้วยใบน้อยหน่า คนทางเหนือเขาก็กำจัดเหาด้วยใบหมี่นี่แหละ วิธีการนั้นง่ายมากเลือกใบแก่ๆ จากต้น นำมาบดให้ละเอียดแล้วยีให้ทั่วศีรษะ จะให้ได้ผลดีต้องหมักทิ้งไว้ด้วย ยิ่งนานก็ยิ่งดี แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ อย่างน้อยขอให้ได้สักประมาณ 20 นาทีก่อนค่อยล้างออกแล้วสระผมตามปกติ วิธีนี้เป็นธรรมชาติและไม่มีสารตกค้างหรืออันตรายใดๆ จึงทำได้บ่อยตามที่ต้องการ และควรทำติดต่อกันในช่วงแรกจนกว่าจะเห็นว่าเหาหมดไปหรือลดน้อยลง

แก้ฝีที่มีหนอง : เรื่องของฝีจะว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่เชิง เพราะมันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการรักษาและตำแหน่งที่เกิดฝีขึ้น ถ้าเกิดในที่ลับและยังรักษาล่าช้า รับรองว่าเกิดหนองพร้อมกับจบที่การฝ่าออก ในขณะที่ถ้าตัดสินใจรักษาได้เร็วก็อาจจะแค่ทานยาเท่านั้น ใบหมี่ เป็นตัวยาสมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการของฝีที่มีหนองได้ด้วย โดยใช้ส่วนของรากมาตำให้ละเอียดหรือจะปั่นกับน้ำเพียงเล็กน้อยก็ได้ นำมาพอกบริเวณที่เป็นฝีสักพักใหญ่ๆ แล้วล้างออก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรักษาฝีให้หายขาด จะช่วยทำให้อาการอักเสบและเป็นหนองลดน้อยลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาต่อไปด้วย

บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ : แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในวงศ์เดียวกับขิงข่าหรือขมิ้น แต่ ใบหมี่ ก็มีสรรพคุณในการขับลมจากกระเพาะอาหารได้เช่นเดียวกัน โดยการนำส่วนของรากใบหมี่มาล้างทำความสะอาดแล้วต้มกับน้ำจนข้นงวด นำน้ำนั้นมาดื่มกิน สักพักอาการก็จะดีขึ้นเอง

แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ : ประจำเดือนของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นหนึ่งสัญญาณที่จะบอกได้ว่าตอนนี้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ หากเมื่อไรมีอาการประจำเดือนขาด มากระปริดกระปรอย ไปจนถึงมามากเกินกว่าปกติ ก็ต้องตรวจเช็คให้รู้แน่ว่าเป็นโรคร้ายหรือไม่ ถ้าใช่ก็เข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ต่อไป แต่ในบางคนเป็นเพียงการเสียสมดุลของร่างกายหรือเลือดลมไม่ดีเท่านั้น แบบนี้ก็สามารถใช้สมุนไพรใบหมี่ช่วยได้ โดยเลือกรากที่ดูสมบูรณ์สักหน่อย ล้างให้สะอาดอย่าให้ติดคราบดินโคลน ตากให้แห้งสนิทด้วยแดดแรงสัก 3-4 วัน จากนั้นนำมาดองกับเหล้าขาว ใช้จิบหลังมื้ออาหารวันละครั้ง

แก้ปวดฟันและแก้ปัญหากลิ่นปาก : อาการปวดฟันนั้นค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว แต่สำหรับกลิ่นปาก ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามันเกิดได้จากหลายสาเหตุ หากเป็นเพราะระบบภายในไม่ดี เช่น ไม่ขับถ่าย มีสารพิษสะสมจำนวนมากในระบบทางเดินอาหาร หรือเป็นโรคร้ายแรงที่ทำให้เกิดความเสียหายของอวัยวะภายใน แบบนี้ ใบหมี่ ช่วยอะไรไม่ได้ แต่จะช่วยได้ในกรณีที่เป็นกลิ่นปากจากปัญหาในช่องปากเพียงอย่างเดียว เช่น ฟันผุ ฟันคุด รำมะนาด เป็นต้น วิธีการคือมองหาส่วนเปลือกที่ลำต้นซึ่งแก่สักหน่อย นำไปฝนกับน้ำสะอาดและป้ายไปตามจุดที่รู้สึกปวดฝันหรือมีสัญญาณฟันผุ ทำซ้ำทุกครั้งที่แปรงฟัน และเมื่อต้องการระงับกลิ่นปากก็ฝนกับน้ำสะอาดปริมาณมากสักหน่อย แล้วเอามาอมบ้วนปากหลายๆ ครั้ง

แก้อาการผดผื่นคัน : ส่วนเปลือกของ ใบหมี่ นอกจากแก้ปัญหาช่องปากได้แล้ว ก็ยังใช้เพื่อรักษาผดผื่นจากอาการแพ้ต่างๆ ได้ด้วย โดยนำเปลือกไปล้างให้สะอาด ก่อนใส่หม้อลงต้ม ไม่ต้องรอจนข้นมากนัก แค่น้ำเริ่มเปลี่ยนสีก็เพียงพอแล้ว ปล่อยทิ้งเอาไว้ให้อุ่นแล้วใช้อาบชำระร่างกาย

รักษากลากเกลื้อน : รูปแบบการนำใบหมี่มารักษาโรคผิวหนังจำพวกกลากเกลื้อนทำได้ 2 วิธี อย่างแรกคือการใช้ส่วนของเปลือกมาต้มน้ำอาบเช่นเดียวกับการแก้อาการผดผื่นคัน อีกอย่างคือการใบสดที่ตำละเอียดดีแล้วมาขัดถูและทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน ทำอย่างสม่ำเสมอก็จะเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจในเวลาไม่นาน

ห้ามเลือด : ทันทีที่เกิดบาดแผลมีเลือดออก ก็สามารถนำสมุนไพร ใบหมี่ มาใช้ได้แบบเดียวกับการใช้ยาสามัญประจำบ้านทั่วไป แต่เนื่องจากมีขั้นตอนก่อนใช้งานเล็กน้อย จึงต้องทำเตรียมติดบ้านเอาไว้แต่เนิ่นๆ เลย ด้วยการนำเปลือกต้นใบหมี่ไปล้างทำความสะอาด แล้วตากให้พอแห้ง นำมาบดให้ละเอียดเป็นผง บรรจุใส่ขวดโหลที่ฆ่าเชื้อแล้วพร้อมมีฝาปิดมิดชิด ครั้นจะใช้ก็ตักออกมาพอประมาณ ผสมเข้ากับน้ำสะอาดหรือน้ำนมก็ได้ ใช้สำหรับทาแผลห้ามเลือดและลดอาการอักเสบที่แผลได้

“ ใบหมี่ ” เป็นพืชใบหอมที่มีกลิ่นสุดพิเศษและมีคุณสมบัติที่ดีต่อเส้นผม รักษารังแค บำรุงหนังศีรษะ ลดการหลุดร่วงของเส้นผม

คุณประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของใบหมี่

ก่อนจะไปลงรายละเอียดในประโยชน์ของ ใบหมี่ อย่างแรกที่ต้องรู้ก่อนเลยก็คือ ผลของใบหมี่เมื่อสุกแล้วสามารถรับประทานได้ เหมือนกับพืชผักทั่วไป เพียงแต่รสชาติอาจไม่ค่อยถูกปากคนทั่วไปมากนัก

  • ใบหมี่ใช้สำหรับช่วยในการบ่มผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย ขนุน มะม่วง โดยลดระยะเวลาบ่มให้สั้นลง
  •  ส่วนของดอกสามารถนำมาตากแห้งและอบน้ำหอมเพื่อใช้เป็นของชำร่วยได้
  • ยางจากลำตันนิยมใช้เพื่อทาเครื่องจักสาน เพื่อให้ทนทานและมีผิวสัมผัสที่หนาขึ้น
  • สารเมือกในใบหมี่ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืดให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้หลายประเภท
  • ส่วนประกอบของต้นใบหมี่ใช้สำหรับการย้อมผ้าได้ 2 ส่วน ส่วนแรกคือใบ เมื่อนำมาย้อมก็จะให้สีเขียวสดสวยงาม อีกส่วนคือเปลือก เป็นตัวช่วยให้ผ้าที่ย้อมติดสีดีขึ้น

ผงที่บดละเอียดจากส่วนของเปลือกต้นใบหมี่ ใช้ทำเป็นธูปจุดไล่แมลงได้

ข้อมูลเพิ่มเติมในทางเภสัชวิทยาของใบหมี่

1. ส่วนของ ใบหมี่ มีสารออกฤทธิ์ที่ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ดีมาก ทั้งยังยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ได้ด้วย
2. น้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้จากต้นใบหมี่ มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับ
3. สารสกัดเมทานอลของส่วนผิวใบ มีสารเคมีสำคัญที่ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วงและโรคบิด
4. รากของต้นใบหมี่ เป็นวัตถุดิบพื้นฐานที่นิยมผสมในยาเย็น ยาผง และยาแก้ซาง
5. ใบหมี่มีความเป็นพิษด้วยเหมือนกัน เพราะผลจากการทดลองในหนู พบว่ามีหนูเสียชีวิตไปประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ดังนั้นหากเราจะใช้สมุนไพรใบหมี่เพื่อรับประทาน ก็อาจจะต้องเลี่ยงที่จะใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “การนำสมุนไพรใบหมี่มาใช้ทางเครื่องสำอาง APPLICATION OF BAI MEE (Litsea glutinosa) IN COSMETICS”.

[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.ist.cmu.ac.th/researchunit/pcrnc/. [28 ก.ย. 2014].
ลานปัญญา. (by bangsai). “ต้นหมี่…”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : lanpanya.com/proiad/archives/152. [28 ก.ย. 2014].

สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [28 ก.ย. 2014].