ฉีดสลายฟิลเลอร์ แก้ฟิลเลอร์เป็นก้อน ตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ฉีดฟิลเลอร์ใหม่ ต้องรอกี่วัน ?

0
ฉีดสลายฟิลเลอร์

สำหรับใครที่ฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน ผิวไม่เรียบเนียน รู้สึกใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ การฉีดสลายฟิลเลอร์ถือเป็นวิธีแก้ไขที่ตรงจุดและรวดเร็ว สามารถปรับให้ผิวกลับคืนสภาพใกล้เคียงกับก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้

บทความนี้ได้รวบรวมสิ่งที่หลายคนอยากรู้เกี่ยวกับการฉีดสลายฟิลเลอร์มาฝากครับ เช่น คืออะไร ? ทำไมต้องฉีดสลายฟิลเลอร์ ? เห็นผลลัพธ์เมื่อไหร่ ? อันตรายไหม ? มีผลข้างเคียงอะไร ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ต้องเตรียมตัวอย่างไร ? และหลังจากฉีดสลาย สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้ไหม ?

ฉีดสลายฟิลเลอร์ คืออะไร ? 

ฉีดสลายฟิลเลอร์ คือ การฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase : HYAL) เข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อลดการยึดเกาะกันของโมเลกุลฟิลเลอร์ และทำให้เนื้อฟิลเลอร์ค่อย ๆ สลายตัวไป ช่วยปรับให้ผิวหนังในจุดที่เคยฉีดฟิลเลอร์กลับคืนสภาพใกล้เคียงกับก่อนการฉีดฟิลเลอร์มากที่สุดครับ

เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสจะทำปฏิกิริยากับกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA: Hyaluronic Acid) จึงสามารถฉีดสลายได้เฉพาะสารเติมเต็มประเภท HA หรือฟิลเลอร์ของแท้เท่านั้น

ฟิลเลอร์สลายได้เองไหม ? ทำไมต้องฉีดสลายฟิลเลอร์ ?

ทำไมต้องฉีดสลายฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิดของแท้ที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายสามารถย่อยสลายจนหมดได้เอง และไม่ทิ้งสารตกค้างครับ ซึ่งอายุการใช้งานของฟิลเลอร์จะอยู่ระหว่าง 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณ และยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดของแต่ละคนร่วมด้วย

ดังนั้นไม่ใช่ทุกเคสจำเป็นจะต้องฉีดสลายครับ การฉีดสลายฟิลเลอร์จะใช้ในกรณีที่เกิดปัญหา หรือไม่พอใจผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ เช่น 

  • ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติ หากฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ประสบการณ์ไม่มากพอ ขาดเทคนิคการฉีด หรือการประเมินใบหน้าที่ถูกต้อง อาจเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งฉีด ใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป 
  • ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน มักเกิดจากเลือกเนื้อไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด หรือใช้เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ฉีดผิดชั้นผิว ฉีดตื้นเกินไป ทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน มองเห็นเป็นก้อนนูน ๆ พบมากในบริเวณใต้ตา เนื่องจากผิวรอบดวงตาบอบบางจึงเห็นเป็นก้อนได้ง่าย ถ้าหมอไม่ชำนาญการฉีด 
  • ไม่พึงพอใจผลลัพธ์ โดยทั่วไปหลังฟิลเลอร์ที่ฉีดเซตตัวเต็มที่ แพทย์จะนัดอีกครั้ง เพื่อประเมินความพึงพอใจ ในบางเคสที่รู้สึกยังไม่ชอบ หรือผลลัพธ์ยังไม่สวยถูกใจ เช่น หน้าผากดูโหนกนูนเกินไป หรือริมฝีปากยังไม่ใช่รูปทรงที่บรีฟไว้ สามารถปรึกษากับแพทย์ เพื่อฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ครับ
  • ฉีดฟิลเลอร์พลาด การฉีดสลายฟิลเลอร์สามารถใช้แก้ไขปัญหาการฉีดฟิลเลอร์พลาดอุดตันเส้นเลือด หากทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน สามารถแก้ปัญหาด้วยการฉีดสลายได้ทัน ก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาเนื้อตาย หรือตาบอดตามมา
  • ต้องการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมซิลิโคน ในเคสที่ฉีดฟิลเลอร์จมูกมาแล้ว แต่ต้องการเปลี่ยนไปเสริมจมูกด้วยซิลิโคนแทน ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปอาจส่งผลต่อการยึดเกาะของแท่งซิลิโคนได้ครับ ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำให้รอฟิลเลอร์สลายให้หมดก่อนถึงจะผ่าตัดเสริมซิลิโคนได้ ซึ่งจะใช้เวลาหลายเดือน แต่สำหรับใครที่ไม่อยากรอนาน จึงนิยมฉีดสลายฟิลเลอร์ เพราะเห็นผลลัพธ์เร็วที่สุด

หลาย ๆ คนจะเห็นได้ว่า สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้จำเป็นต้องฉีดสลายฟิลเลอร์จะเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ครับ ทำให้ขาดเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง และเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม จึงเสี่ยงก่อให้เกิดข้อผิดพลาด และผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้

ทำยังไงให้ฟิลเลอร์สลายเร็ว ๆ ? มีวิธีอื่น ๆ ไหม ?

หากใครไม่พอใจผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดครับ ซึ่งตัวยาจะออกฤทธิ์ทันทีและเห็นผลลัพธ์เต็มที่ใน 2 วัน 

การประคบร้อน ไม่มีผลต่อการสลายฟิลเลอร์

สำหรับวิธีอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออายุของฟิลเลอร์ได้ เช่น การใช้ความร้อน รับประทานอาหารร้อน หรือประคบร้อน สามารถทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วกว่าอายุจริงได้ครับ หากทำในช่วง 14 วันแรก ที่ฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ดี แต่หากฟิลเลอร์เซตตัวเต็มที่แล้ว การโดนความร้อนจะไม่ส่งผลต่ออายุของฟิลเลอร์

ฉีดสลายฟิลเลอร์ได้หมด 100% ไหม ?

หากฉีดฟิลเลอร์ HA ของแท้ การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส สามารถสลายฟิลเลอร์ได้หมด 100% และปรับให้ผิวกลับคืนสภาพใกล้เคียงกับก่อนการฉีดฟิลเลอร์มากที่สุดครับ 

แต่ถ้าใช้ฟิลเลอร์ของปลอมจะไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ จำเป็นต้องผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถนำฟิลเลอร์ของปลอมออกได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะมีความเสี่ยงที่จะโดนเส้นเลือด หรือเส้นประสาทใกล้เคียงได้ ในบางเคสต้องผ่าตัดหรือขุดออกหลายรอบครับ 

ฉีดสลายฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?

การฉีดสลายฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ประสบการณ์สูง มีความปลอดภัยมากครับ เพราะแพทย์สามารถประเมินโดสยาที่เหมาะสมได้ จึงช่วยสลายฟิลเลอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบกับคอลลาเจนในชั้นผิวหนังเดิม หรือเนื้อเยื่อในจุดอื่น ๆ

ฉีดสลายฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงไหม ?

ผลข้างเคียงหลังฉีดสลายฟิลเลอร์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ

  • ผลข้างเคียงทั่วไป หลังฉีดสลายฟิลเลอร์สามารถเกิดอาการบวม หรือระบมในตำแหน่งที่ฉีดได้เป็นปกติครับ เกิดจากการอักเสบของผิวหนังที่โดนเข็มจิ้ม และอาการบวมจากปริมาณยาที่ฉีดเข้าไป ถือเป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย
  • อาการแพ้ยาสลายฟิลเลอร์ เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสที่ใช้ฉีดสลายฟิลเลอร์ เป็นสารสกัดที่มีแหล่งที่มาแตกต่างกันออกไปตามแต่ละยี่ห้อ บางยี่ห้อสกัดมาจากสัตว์ หรือเชื้อแบคทีเรีย จึงอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ตัวยาสลายได้ในบางเคสครับ เช่น มีอาการคัน หรือบวมแดงมากกว่าปกติ 

โดยทั่วไป ก่อนการฉีดสลายฟิลเลอร์ แพทย์จะมีการสอบถามถึงข้อมูลสุขภาพ ประวัติการแพ้ และโรคประจำตัว รวมถึงอธิบายถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดตามมาหลังฉีดสลายฟิลเลอร์ครับ ทุกคนจึงควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากเกิดอาการแพ้ควรรีบมาพบแพทย์ 

ฉีดสลายฟิลเลอร์ ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

ฉีดสลายฟิลเลอร์ปาก

การฉีดสลายฟิลเลอร์สามารถทำได้ทุกตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์ครับ ซึ่งจุดที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นบนใบหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน หรือผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติ เพราะใบหน้าเป็นจุดที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย และทำให้หลายคนเสียความมั่นใจ โดยจุดที่นิยม มีดังนี้

  • ฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตา นิยมแก้ปัญหาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน ทำให้มองเห็นลำฟิลเลอร์ชัดเจน ใต้ตาดูบวม หรือก้อนฟิลเลอร์ย้อยลงมาจนมองเห็นคล้ายกับถุงใต้ตา
  • ฉีดสลายฟิลเลอร์ร่องแก้ม แก้ปัญหาฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อนนูนออกมาบนผิว หรือมองเห็นก้อนฟิลเลอร์เวลายิ้มและหัวเราะ ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน
  • ฉีดสลายฟิลเลอร์หน้าผาก ใช้แก้ปัญหาผิวหน้าผากไม่เรียบ ขรุขระ หรือเป็นคลื่น เวลากดหน้าผากแล้วผิวยุบบุ๋มลงไป รวมถึงใช้แก้หน้าผากที่ดูโหนกนูนเกินพอดีคล้ายกับหัวปลาทอง หรือดูผิดรูปหลังฉีดฟิลเลอร์
  • ฉีดสลายฟิลเลอร์ปาก แก้ปัญหาฉีดฟิลเลอร์ปาก แล้วริมฝีปากดูอวบอิ่มเกินพอดี มองเห็นเป็นก้อน หรือปากดูเจ่อเกินไปคล้ายกับปากเป็ด
  • ฉีดสลายฟิลเลอร์คาง แก้ปัญหาคางยาวและแหลมเกินไปคล้ายกับคางแม่มด หรือฉีดฟิลเลอร์คางแล้วฟิลเลอร์ห้อยย้อยลงมาดูไม่เป็นธรรมชาติ
  • ฉีดสลายฟิลเลอร์จมูก แก้ปัญหาสันจมูกไม่คมและบานออก เกิดจากการเลือกรุ่นและใช้ปริมาณฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม หรือในเคสที่ต้องการผ่าตัดเสริมซิลิโคนจมูก แต่ไม่อยากรอให้ฟิลเลอร์สลายเอง

ฉีดสลายฟิลเลอร์ แล้วสลายทันทีไหม ? กี่วันเห็นผล ?

ตัวยาฉีดสลายฟิลเลอร์สามารถออกฤทธิ์ได้ทันทีไปจนถึง 48 ชั่วโมง หลังฉีดสลายฟิลเลอร์สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ บริเวณที่เคยฉีดฟิลเลอร์จะยุบตัวลงไปประมาณ 60-70% ตั้งแต่ในช่วง 15-20 นาทีแรกครับ โดยผลลัพธ์การฉีดสลายฟิลเลอร์จะเห็นผลเต็มที่ใน 2 วัน คือ ผิวจะยุบตัวและเรียบเนียนเสมอกัน ซึ่งแพทย์จะนัดติดตามผลลัพธ์อีกครั้ง

หลังจากฉีดสลายฟิลเลอร์แล้ว สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้ไหม ? รอกี่วัน ? 

หลังฉีดสลายฟิลเลอร์แล้ว หากใครต้องการฉีดฟิลเลอร์ใหม่สามารถทำได้ครับ แต่ไม่ควรทำทันที แนะนำให้เว้นระยะประมาณ 5-7 วันก่อน เพื่อให้ตัวยาสลายฟิลเลอร์ออกฤทธิ์หมด 

โดยทั่วไปการฉีดสลายแพทย์จะนัดเข้ามาดูผล ว่าฟิลเลอร์ยุบไปหมดหรือไม่ หรือยังมีก้อนอยู่ ถ้ายังมีอยู่ก็สามารถฉีดสลายเพิ่มได้ แต่หากเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาต้องการฉีดฟิลเลอร์ใหม่ แพทย์จะช่วยประเมินสภาพผิวอีกครั้ง หากเนื้อเยื่อบริเวณนั้น ๆ เข้าที่เรียบร้อยดีแล้ว ก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้เลยครับ 

ฉีดสลายฟิลเลอร์ ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

สำหรับใครที่ต้องการฉีดสลายฟิลเลอร์ แนะนำให้เตรียมข้อมูลด้านสุขภาพของตัวเอง ทั้งโรคประจำตัว และประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ครั้งก่อนให้ครบถ้วน เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินโดสยาสลายฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ได้แก่ 

ข้อมูลที่ต้องเตรียมก่อนฉีดสลายฟิลเลอร์
  • กล่องฟิลเลอร์ที่ฉีด แนะนำให้นำกล่องฟิลเลอร์หรือจดเลข Lot. ไปด้วยครับถ้ามี เพื่อให้แพทย์สามารถตรวจสอบว่า ฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นของแท้หรือไม่ เพราะการฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส จะใช้ได้กับฟิลเลอร์ HA ของแท้เท่านั้น หากฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นของปลอม จำเป็นต้องขูดหรือผ่าตัดแทนครับ
  • ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและรุ่นจะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันครับ ส่งผลให้ได้ลักษณะเนื้อเจล คุณสมบัติของฟิลเลอร์ และอายุการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปฟิลเลอร์ที่เนื้อละเอียดมากจะสามารถสลายได้เร็วที่สุด
  • ตำแหน่งที่ฉีด แม้จะใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อและรุ่นเดียวกัน แต่ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ต่างกัน ก็สามารถส่งผลต่ออายุฟิลเลอร์ได้ครับ ในตำแหน่งที่โดนความร้อนเป็นประจำ หรืออยู่ในจุดที่มีการขยับบ่อย ๆ เช่น ริมฝีปาก อัตราการสลายตัวของฟิลเลอร์จะเร็วกว่า และทำให้มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าการฉีดในจุดอื่น ๆ ได้
  • ปริมาณการฉีด กี่ CC และระยะเวลาจากการฉีดนานแค่ไหน ฟิลเลอร์โดยปกติจะค่อย ๆ สลายตัวอยู่แล้วครับ แต่อัตราการสลายตัวของแต่ละยี่ห้อและรุ่นจะไม่เท่ากัน แพทย์จึงจำเป็นต้องทราบปริมาณในการฉีดครั้งแรก และระยะเวลาจากการฉีดฟิลเลอร์ครั้งก่อน เพื่อให้สามารถคำนวณโดสยาฉีดสลายฟิลเลอร์ที่เหมาะสมได้

ฟิลเลอร์ของปลอม ฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ไหม ?

ขูดฟิลเลอร์ปลอม

ฟิลเลอร์ปลอม ไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ครับ เพราะมีส่วนประกอบของสารที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติอย่างซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน เมื่อเวลาผ่านไปจะทิ้งสารตกค้างในร่างกาย และก่อให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ตามมา เช่น บวมแดง อักเสบ ฟิลเลอร์ไหลย้อย หรือทำให้เนื้อตายได้ จึงเป็นอันตรายมากครับ

ในปัจจุบันมีวิธีแก้ปัญหาฟิลเลอร์ปลอม ดังนี้ 

  • ขูดฟิลเลอร์ แพทย์จะผ่าเปิดผิว และใช้เครื่องมือขูดหรือเลาะฟิลเลอร์ออกมา เพื่อแก้ปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง ไหลย้อย หรือทำให้ใบหน้าผิดรูป
  • ผ่าตัดก้อนฟิลเลอร์ หากก้อนฟิลเลอร์ปลอมมีขนาดใหญ่มาก หรือตกค้างอยู่ภายในร่างกายเป็นเวลานาน จนเกิดพังผืดเกาะรอบ จำเป็นต้องผ่าตัดกับศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลครับ

ทั้งการขูดและผ่าตัดฟิลเลอร์ สามารถนำฟิลเลอร์ปลอมออกมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ประมาณ 60-70% เพราะมีความเสี่ยงที่จะโดนเส้นประสาท หรือเส้นเลือดบริเวณใกล้เคียงได้ 

สรุป

สำหรับใครที่อยากฉีดฟิลเลอร์แล้วสวยจบในครั้งเดียว ไม่ต้องแก้ไขด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์ให้วุ่นวาย ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลที่จำเป็น เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ เลือกแพทย์ที่ประสบการณ์สูง และเช็กฟิลเลอร์ของแท้ทุกครั้งครับ

Radiesse คืออะไร ? ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่ม Volume ผิว ปรับผิวเด็ก ได้อย่างไร ?

0
radiesse

radiesse

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผิวจะยุบตัว และสูญเสียความอิ่มฟู ทำให้ใบหน้าดูโทรม และขาดความสดใส ใครที่ต้องการเติม Volume ให้ผิว ปรับให้ผิวดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง คงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ radiesse ซึ่งเป็นนวัตกรรมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพจากโครงสร้างภายในมาบ้าง

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ radiesse ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น radiesse คืออะไร ? ดีอย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? ปลอดภัยไหม ? มีกี่รุ่น ? ฉีดตำแหน่งไหน ? เหมาะกับใคร ? เห็นผลเมื่อไหร่ ? และดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างไร ? 


Radiesse คืออะไร ?

radiesse คือ นวัตกรรมฟื้นฟูสุขภาพ และโครงสร้างผิวแบบองค์รวม (Regenerative Biostimulator) ที่คิดค้นและวิจัยโดย Merz Aesthetics จัดอยู่ในกลุ่มสารเติมเต็มเช่นเดียวกับฟิลเลอร์ แต่ต่างกันตรงที่ radiesse ฟิลเลอร์ มีส่วนประกอบหลักเป็น CaHA (Calcium Hydroxylapatite Microsphere) ส่วนฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ จะเป็นสารเติมเต็ม ด้วย Hyaluronic Acid หรือ HA

ทำความรู้จักเอกลักษณ์ของ Radiesse ด้วยรหัส 5-5-5

เอกลักษณ์ของ radiesse ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพและโครงสร้างผิว ประดุจดังเสียงหัวเราะ 5-5-5 ที่ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ มีดังนี้

  • 5 = CaHA (คา-ฮ่า)

5 ตัวแรก ของ radiesse ที่มีสารประกอบสำคัญ CaHA Microsphere (คา-ฮ่า ไมโครสเฟียร์) ที่เป็นส่วนประกอบหลัก มีลักษณะเป็นอนุภาคทรงกลมขนาดสม่ำเสมอ 25-45 ไมครอน

โดยทั่วไปสาร CaHA เป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยธรรมชาติ ส่วน CaHA ใน radiesse เป็นสาร CaHA ที่ผลิตขึ้นมาทดแทนสาร CaHA ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา มีความปลอดภัยสูง หลังฉีดสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย และไม่กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อต้าน รวมถึงสามารถย่อยสลายได้เองCaHA (Calcium Hydroxylapatite Microsphere)

ในทางการแพทย์ได้มีการใช้งานสารตัวนี้มายาวนานกว่า 25 ปี มีข้อมูลงานวิจัยรับรองกว่า 250 ฉบับ รวมถึงได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น CE Marking และ U.S. FDA การันตีความปลอดภัย

  • 5 = 5 ประการกระตุ้นการคอลลาเจนเส้นใยผิว 

radiesse กระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายผิว 5 ประการ

5 ตัวที่ 2 ของ radiesse คือ 5 การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเส้นใยตาข่ายใต้ผิวขึ้นมาใหม่

  • Collagen Type I เพิ่มขึ้น 150% ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างผิว และปรับผิวให้ดูเด็กลง มีความกระชับและเต่งตึง

คอลลาเจน Type I เป็นชนิดที่มีมากที่สุดในร่างกาย พบมากถึง 90% มีความสำคัญในเรื่องของเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว 

  • Collagen Type III เพิ่มขึ้น 130% ช่วยให้คอลลาเจนในชั้นผิวหนังจัดเรียงใหม่ ปรับให้ผิวเต่งตึง กระชับมากขึ้น ผิวมี Volume และริ้วรอยดูลดลง

คอลลาเจน Type III เป็นคอลลาเจนที่ทำงานร่วมกับคอลลาเจน Type I พบในผิวหนัง กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด มีบทบาทสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวแน่น กระชับ 

  • Elastin เพิ่มขึ้น 260% ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และความแข็งแรง โดยอิลาสตินเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในโครงสร้างหลักของผิวเช่นเดียวกับคอลลาเจน
  • Angiogenesis ช่วยกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดขนาดเล็กใต้ชั้นผิว ทำให้มีสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิวอย่างทั่วถึง ปรับให้ผิวดูอมชมพู มีเลือดฝาด
  • Proteoglycan ช่วยกระตุ้นการสร้างสารน้ำหล่อเลี้ยงผิว ปรับให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และคืนตัวได้ดี

ผลลัพธ์ผิว 3 ประการจาก radiesse

นอกจากผลลัพธ์ 5 ประการข้างต้น หลังฉีด radiesse ยังให้ผลลัพธ์ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีถึง 3 ผลลัพธ์คือ 

  • Healthier ผิวดูสุขภาพดียิ่งขึ้น ปรับผิวเฟิร์ม แน่นกระชับ และอิ่มฟูเด้ง
  • Younger ริ้วรอยลดลง ผิวยกกระชับ และดูอ่อนเยาว์
  • Longer ยืดอายุผิวคุณภาพดีได้ยาวนานขึ้น และคงผลลัพธ์ได้นานถึง 24 เดือน
  • 5 = 5 จุดเด่น ที่ช่วยฟื้นฟูผิว

5 ตัวที่ 3 ของ radiesse คือ จุดเด่นทั้ง 5 ประการของการฟื้นฟูผิว คืนความอ่อนเยาว์ ได้แก่

  • สะดวก ตัวยาของ radiesse มาในรูปแบบเจลในหลอดพร้อมฉีด
  • นิยม มียอดขายไปทั่วโลกกว่า 15 ล้านไซริงค์
  • ปลอดภัย ทางการแพทย์ได้ใช้งานสาร CaHA มานานกว่า 25 ปี และมีข้อมูลงานวิจัยรับรองกว่า 250 ฉบับ
  • วางใจ radiesse ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ CE Marking, U.S. FDA และอย.ไทย
  • ถูกใจจากผู้ใช้จริง สูงถึง 90% จากผลการสำรวจหลังจากใช้ 1 ปี

Radiesse มีหลักการทำงานอย่างไร ?

หลักการทำงานของ Radiesse filler หลังจากแพทย์ฉีดตัวยาของ radiesse เข้าไปในระนาบใต้ผิว ตัวยาที่มีส่วนประกอบหลักอย่าง CaHA จะเข้าไป กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาส (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนรอบ ๆ โครงสร้าง หรือเส้นใยตาข่าย 3 มิติ (3D Matrix) ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นได้ และเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างผิวในชั้นลึก ปรับให้ผิวดูอิ่มฟู และดูสุขภาพดี เรียบเนียนขึ้น และ ชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ ๆ ในอนาคตได้ 

radiesse มีหลักการทำงานอย่างไร


Radiesse ปลอดภัยไหม ?

Radiesse มีความปลอดภัย และได้รับความไว้วางใจจากแพทย์ทั่วโลก การฉีด Radiesse จะมีความปลอดภัยมากขึ้น หากฉีดด้วยตัวยาของแท้ และฉีดกับแพทย์ที่ประสบการณ์สูง 

 ✓ Radiesse ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) มาตรฐาน CE (European Conformity) และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.ไทย) 

 ✓ Radiesse มีใช้งานมาอย่างยาวนาน และมีใช้งานทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็นสารที่เข้ากันได้ดีกับร่างกาย และสามารถสลายออกจากร่างกายด้วยกระบวนการทางธรรมชาติ 

✓ Radiesse มีข้อมูลการวิจัยรองรับ ซึ่งสาร CaHA ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ radiesse มีการใช้งานในด้านการแพทย์มานานกว่า 25 ปี และมีข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์กว่า 250 ฉบับ ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารนี้

✓ Radiesse ไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน (Non-immunogecin Properties) เพราะสาร CaHA ของ radiesse มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับสาร CaHA ภายในร่างกายของเรา จึงไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม ที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ


Radiesse มีกี่รุ่น ?

radiesse มีกี่รุ่น

Radiesse มี 2 รุ่น บรรจุมาในรูปแบบไซริงค์ปริมาณ 1.5 CC ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมีส่วนประกอบเหมือนกัน คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ ไมโครสเฟียร์ (CaHA) 30% และเจลคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (CMC) 70% ทำหน้าที่นำพา CaHA เข้าสู่ตำแหน่งที่ฉีด 

สำหรับความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่น คือ

  • Radiesse Filler ® ไม่มีส่วนผสมของยาชา
  • Radiesse ® (+) หรือ Radiesse ® Plus มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine)

ฉีด Radiesse ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

ฉีด radiesse ตำแหน่งไหนได้บ้าง

การฉีด Radiesse filler นิยมฉีดเพื่อเติม Volume ให้กับผิว แก้ปัญหารอยพับ และร่องลึกบนใบหน้า ซึ่งจุดที่นิยมฉีด มีดังนี้

  • ใบหน้า ช่วยเพิ่ม Volume โดยรวมให้ผิว ทดแทนผิวที่ยุบตัว และปรับให้ผิวกระชับขึ้นครับ สามารถใช้แก้ปัญหาริ้วรอย หรือเติมเต็มหลุมสิวตื้น ๆ ได้
  • หน้าแก้ม ช่วยยกกระชับผิวบริเวณหน้าแก้ม จากอายุที่เพิ่มขึ้น ปรับให้ผิวดูเต่งตึง และหน้าดูเด็กลง
  • ร่องแก้ม และร่องน้ำหมาก ริ้วรอยร่องแก้มและร่องน้ำหมากจะทำให้ใบหน้าดูมีอายุ การฉีด radiesse ช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียน ร่องริ้วรอยดูตื้นขึ้น ใบหน้าจึงดูอ่อนเยาว์ 
  • หลังมือ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การสูญเสียไขมันบริเวณหลังมือ ทำให้สามารถมองเห็นเส้นเอ็นและเส้นเลือดได้ชัดเจน หลายคนจึงนิยมฉีด radiesse ที่มือ เพื่อปรับให้ผิวดูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ

โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ฉีด radiesse ในจุดที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น ใต้ผิวหนังกล้ามเนื้อรอบดวงตา ร่องระหว่างคิ้ว จมูก ปาก หรือรอบปาก 

แต่ถ้าใครมีความกังวลใจในจุดเหล่านี้ สามารถเลือกทำหัตถการอื่น ๆ ได้ครับ เช่น ฉีดฟิลเลอร์, ทำ Hifu หรือทำ Ulthera เพื่อแก้ปัญหาได้ 


ฉีด Radiesse เหมาะกับใครบ้าง ?

การฉีด Radiesse จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวเหล่านี้  

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือรอยเหี่ยวย่น ทั้งบริเวณใบหน้า ลำคอ และหลังมือ 
  • ผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องมุมปาก
  • ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวขาดความชุ่มชื้น หรือมีรูขุมขนกว้าง
  • ผู้ที่เริ่มมีอายุ ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยตามวัย เพิ่มคอลลาเจนให้ผิว ปรับผิวให้ดูอ่อนเยาว์
  • ผู้ที่ผิวหน้าขาดคอลลาเจน ต้องการเพิ่ม Volume ให้กับผิว ปรับให้ผิวดูอิ่มฟู และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต

ข้อควรระวัง การฉีด Radiesse 

การฉีด Radiesse มีข้อควรระวังในบางกลุ่ม เช่น  

  • ผู้ที่ประวัติการแพ้ส่วนประกอบของ radiesse และแพ้ยาชา
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้รุนแรง หรือเคยมีภาวะช็อกจากการแพ้อย่างรุนแรง
  • ผู้ที่ผิวหนังมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูน หรือคีย์ลอยด์สูง
  • ผู้ที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อในผิวหนังตำแหน่งที่จะทำหัตถการ ควรรอให้ผิวกลับเป็นปกติก่อนครับ
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • ผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร 

Radiesse เห็นผลเมื่อไหร่ ?

ผลลัพธ์หลังการฉีด radiesse จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

  • ผลลัพธ์ทันที หลังการฉีด radiesse สามารถเห็นผลได้ทันที รู้สึกผิวกระชับ และริ้วรอยดูจางลง 
  • ผลลัพธ์ระยะเริ่มต้น ในช่วง 1 เดือนแรก ตัวยาของ radiesse จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาส และเกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ช่วยซ่อมแซมชั้นผิว และปรับให้ผิวแน่นมากขึ้น
  • ผลลัพธ์ระยะยาว ใน 3-6 เดือน เมื่อโครงสร้างผิวมีคอลลาเจนหนาแน่น และมีความแข็งแรงมากขึ้น จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเต็มที่ว่า ผิวยกกระชับ ยืดหยุ่น และมีสุขภาพดีคล้ายผิวเด็ก โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

หลังฉีด Radiesse ดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลังฉีด radiesse ดูแลตัวเองอย่างไร

หลังฉีด radiesse สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยมีแนวทางการดูแลตัวเองที่แนะนำ เพื่อช่วยยืดอายุผลลัพธ์หลังฉีด ดังนี้

  • หลังฉีด radiesse สามารถพบอาการบวมเล็กน้อยเป็นปกติ สามารถยุบได้เองใน 72 ชั่วโมง แนะนำให้หลีกเลี่ยงการจับ แตะ ลูบในจุดที่ฉีด
  • งดแต่งหน้า 12 ชั่วโมง หรือจนกว่ารอยเข็มจะหายสนิท
  • งดหัตถการความร้อนสูง และซาวน่า อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • หากรู้สึกมีก้อนใต้ผิวหนัง สามารถกดนวด เพื่อลดอาการได้ครับ
  • ในบางคนหลังฉีดอาจมีรอยช้ำ หรือรอยแดงในบริเวณที่ฉีด เป็นอาการที่สามารถพบได้เช่นกัน เพราะการฉีด radiesse จะฉีดกระจายไปทั่วใบหน้า สามารถประคบเย็น ทาและกินยาที่ช่วยลดอาการช้ำได้ 
  • หากมีการตรวจรักษาร่างกายอื่น ๆ ในจุดที่ฉีด radiesse แนะนำให้แจ้งแพทย์ที่ทำการรักษา

สรุป

Radiesse เป็นนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูสุขภาพผิวจนถึงระดับโครงสร้างผิวชั้นลึก ช่วยปรับให้ผิวมีความยืดหยุ่นได้ อ่อนเยาว์คล้ายผิวเด็ก ถือเป็นตัวช่วยที่ดี สำหรับผู้ต้องการลดอายุผิว คงความอ่อนเยาว์ของผิวให้ยาวนานขึ้น    

ผู้ที่สนใจ ก่อนการฉีด radiesse แนะนำให้ทุกคนศึกษาข้อมูลของหัตถการให้ครบถ้วน รวมถึงให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกความงามที่มีใบอนุญาตถูกต้อง เช็กตัวยา Radiesse ของแท้ และฉีดกับแพทย์ประสบการณ์สูง เพื่อให้ได้รับการบริการที่ปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ

เมโสหน้าใส ตัวช่วยแก้ปัญหาและฟื้นฟูผิวเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์ภายใน 3 วัน

0
เมโสหน้าใส

เมโสหน้าใส

ในยุคที่ “ผิว”เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญ เมโสหน้าใสกลายเป็นหนึ่งในตัวช่วยยอดนิยมที่ตอบโจทย์ความต้องการเรื่องการบำรุงและฟื้นฟูผิวได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้เข็มฉีดสารบำรุงลงไปลึกถึงต้นเหตุปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือแม้กระทั่งการลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ที่สำคัญคือเริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 3 วันหลังทำ

ในบทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับเมโสหน้าใสให้มากขึ้น ว่าเมโสหน้าใส คืออะไร ? ช่วยอะไร มีกี่สูตร แต่ละสูตรช่วยอะไร ? มีเทคนิคการฉีดแบบไหน ? เจ็บไหม ? เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานแค่ไหน ?  อันตรายไหม ? มีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ?   


เมโสหน้าใสคืออะไร ?

เมโสหน้าใสการฉีดเมโสหน้าใส หรือเมโสเทอราปี (Mesotherapy) คือวิธีการบำรุงผิวด้วยการนำสารอาหารและวิตามิน ต่าง ๆ เช่น วิตามิน A, C, E, คอลลาเจน, โคเอนไซม์ Q10, หรือกลูต้าไธโอน ฉีดเข้าไปยังชั้นกลาง (Dermis) ของผิวหน้าโดยตรง เพื่อบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและเปล่งปลั่งอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนใน 3 วัน และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่หลังจากที่ได้รับสารบำรุงครบ 1-2 สัปดาห์

เมโสหน้าใส ถือกำเนิดขึ้นในฝรั่งเศส เดิมทีใช้เพื่อลดอาการปวดในร่างกาย ก่อนจะถูกนำมาปรับใช้ในด้านความงามเนื่องจากได้ผลลัพธ์ที่ดี การฉีดเมโสหน้าใสมีข้อดีคือผลข้างเคียงน้อย และหลังจากทำเสร็จสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น


เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใส มีกี่แบบ ? 

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใส สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ

  1. ฉีดแบบสะกิดทั่วหน้า วิธีนี้จะฉีดตัวยาเมโสหน้าใสลงบนผิวหน้าชั้นตื้น ๆ ด้วยจุดเล็ก ๆ กระจายทั่วหน้า เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ข้อดีคือช่วยให้ผิวชั้นบนได้รับการบำรุง แต่อาจมีข้อเสียคือรอยช้ำแดงจากเข็มและความเสี่ยงในการติดเชื้อหากไม่ดูแลความสะอาดอย่างเหมาะสม ปัจจุบันจึงไม่เป็นที่นิยม

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใส แบบสะกิดทั่วหน้า

  1. ฉีดแบบ 16 จุด เทคนิคนี้ถูกคิดค้นเพื่อลดข้อจำกัดของวิธีที่ 1 โดยฉีดตามจุดเฉพาะที่เกี่ยวกับต่อมน้ำเหลืองเพื่อให้ตัวยากระจายทั่วหน้า ลดรอยเข็มและรอยช้ำ และลดความเจ็บปวด 

นอกจากนี้ยังทำให้ตัวยามีฤทธิ์นานกว่าการฉีดแบบอื่น ๆ ที่คลินิกที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่ จะนิยมใช้วิธีนี้เพราะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีความปลอดภัยสูง 

เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใส แบบ 16 จุด


ฉีดเมโสหน้าใสช่วยอะไรบ้าง ?

ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดเมโสหน้าใส ขึ้นอยู่กับสูตรของตัวยา ซึ่งในแต่ละคลินิกเลือกใช้ในการแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกันของคนไข้ แต่โดยรวมแล้วเมโสหน้าใสจะช่วยในเรื่องของการ

✓ บำรุงผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึก และเพิ่มความกระจ่างใสจากภายในสู่ภายนอก

✓ ลดปัญหาสิว ผดผื่น ผิวอักเสบ ช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ลดผิวอักเสบ ลดผื่นแพ้ ลดสิว และช่วยให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้น

✓ เพิ่มความชุ่มชื้น  ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูฉ่ำวาวและชุ่มชื้นหลังฉีด

✓ ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้จุดด่างดำและรอยฝ้ากระจางลง ปรับสมดุลความชุ่มชื้น ลดความมันส่วนเกิน

✓ ผิวเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง ผิวอิ่มฟู ดูสุขภาพดี 

ผลลัพธ์จะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทำการฉีดเมโสอย่างต่อเนื่อง จึงควรการเลือกคลินิกที่ใช้สูตรตัวยาที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


แนะนำ 7 สูตรเมโสหน้าใส ที่คลินิกส่วนใหญ่เลือกใช้ ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว 

  1. เมโสหน้าใสสูตร Made Collagen ตัวช่วยลดสิว ผดผื่น ลดการอักเสบ ขับสารพิษออกจากผิว เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิว ให้สุขภาพดี ผิวแข็งแรง หากฉีดต่อเนื่องจะทำให้ skin barrier แข็งแรงขึ้น

เมโสหน้าใสสูตร Made Collagen

2. เมโสหน้าใสสูตร Rejuran ยี่ห้อนี้มีส่วนประกอบหลัก Polynucleotide (PN) บริสุทธิ์ เข้มข้น 2% ใช้ฉีดเข้าผิวชั้นหนังแท้ จะช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ กระชับรูขุมขม ให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวฟู ดูฉ่ำวาว ผิวกระจก (glass skin)

เมโสหน้าใสสูตร Rejuran3. เมโสหน้าใสสูตร Filorga (Fillmed NCTF 135 HA) ที่มีส่วนประกอบของ HA + poly revitalisante ทำให้ผิวชุ่มชื้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับเมโสหน้าใสสูตรอื่น ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ กระชับรูขุมขนให้เล็กลง เห็นผลเร็ว (made in paris)

เมโสหน้าใสสูตร Filorga

 

4. เมโสหน้าใสสูตร REVS (NCFS) ตัวช่วยที่เน้นเพิ่มความชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำ บำรุงผิวอย่างล้ำลึก ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน เน้นฉีดอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำ (made in korea)

เมโสหน้าใสสูตร REVS (NCFS)

5. เมโสหน้าใสสูตร Alpha arbutin ตัวช่วยเน้นลดฝ้าโดยตรง ปรับเม็ดสีผิว จุดด่างดำ กระ แต่ฉีดแล้วค่อนข้างแสบ

เมโสหน้าใสสูตร Alpha arbutin

6. เมโสหน้าใสสูตร Tensonez ตัวช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสดูสม่ำเสมอ ลดปัญหาฝ้าบนใบหน้า

เมโสหน้าใสสูตร Tensonez

7. เมโสหน้าใสสูตร Neo-Glutanex Glow ตัวช่วยบำรุงให้ผิวมีความชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ฝ้า กระ หลุมสิว กระชับรูขุมขน

เมโสหน้าใสสูตร Neo-Glutanex Glow


ฉีดเมโสหน้าใส เจ็บไหม ? 

ปกติแล้วการฉีดเมโสหน้าใสจะมีความเจ็บเพียงเล็กน้อย อยู่ในระดับที่สามารถทนได้ หรือไม่เจ็บเลยเพียงแค่ประคบน้ำแข็งในระหว่างฉีดก็ช่วยลดความเจ็บได้แล้วในระดับนึง แต่สำหรับใครที่กลัวเจ็บมาก ๆ สามารถขอแปะยาชาก่อนฉีดกับทางคลินิกได้ 


ฉีดเมโสหน้าใส มีผลข้างเคียงไหม ?

การฉีดเมโสหน้าใสเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เพราะตัวยาเป็นสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส หากเลือกฉีดเมโสหน้าใสแท้ กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานไว้ใจได้ จะพบเพียงผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยเข็มที่ใบหน้า ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 1-3 วัน


ฉีดเมโสหน้าใส เห็นผลภายในกี่วัน ?

การฉีดเมโสหน้าใสจะเริ่มเห็นผลหลังทำประมาณ 3 วัน และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 7-14 วัน ผลลัพธ์ที่ได้สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหลังการฉีด 

สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาผิวให้กระจ่างใส และมีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง ควรฉีดซ้ำทุก 1 สัปดาห์ ในเดือนแรก แล้วค่อยลดลงมาฉีดซ้ำทุก 2 สัปดาห์ในถัดมา เพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้ให้ยาวนานขึ้น


เมโสหน้าใส เหมาะกับใคร ?

การฉีดเมโสหน้าใส เหมาะกับบุคคลที่มีปัญหาผิว เช่น ผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส มีรอยสิว เป็นสิวเรื้อรัง ผิวติดสาร สิวผด ฝ้า กระ จุดด่างดำ มีริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น ผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวหน้าไม่เรียบเนียน และสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การบำรุงผิวอย่างรวดเร็ว เพราะมีประสิทธิภาพกว่าการทาครีมบำรุงหรือทานวิตามิน

อย่างไรก็ตาม การฉีดเมโสหน้าใสอาจไม่เหมาะกับบุคคลที่มี

  • โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคเริม โรคอีสุกอีใส
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีอาการแพ้ยา

ก่อนตัดสินใจฉีดเมโสหน้าใส จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว และเลือกสูตรยาที่เหมาะสม


เมโสหน้าใส อันตรายไหม ?

การทำเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย หากใช้ตัวยาเมโสหน้าใสของแท้ ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐาน สะอาดปลอดเชื้อ 

อย่างไรก็ตาม หากใช้ตัวยาปลอม ไม่ฉีดกับแพทย์มากประสบการณ์หรือซื้อเมโสหน้าใสมาฉีดด้วยตัวเอง รวมถึงทำกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ขาดสุขอนามัย ก็เสี่ยงทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น รอยแดง บวม ช้ำ อาการแพ้ ติดเชื้อ ผิวหน้าอักเสบ ผิวอ่อนแอ ไวต่อแสง 

การปฏิบัติตัวก่อนฉีดเมโสหน้าใส

  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาบางชนิด ที่อาจทำให้เลือดหยุดยาก เช่น ยาแอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการเข้าห้องซาวน่า ก่อนการฉีด 1-2 วัน เพื่อไม่ให้เกิดการเสี่ยงต่อการบวมหรือฟกช้ำ
  • ดูแลสุขภาพผิว ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้าอย่างเพียงพอ และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้ผิวระคายเคืองก่อนการฉีด
  • ปรึกษาแพทย์ หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาบางชนิดอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีด เพื่อประเมินความเสี่ยงและคำแนะนำที่เหมาะสม

หากเคยเลเซอร์หน้ามาก่อนต้องเว้นกี่วัน ? ก่อนฉีดเมโสหน้าใส

หากใครที่เคยทำการเลเซอร์หน้ามาก่อน ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีดเมโสหน้าใส เพื่อให้ผิวหน้ามีเวลาฟื้นตัวจากการรักษาด้วยเลเซอร์ และช่วยลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดเมโสหน้าใส

เมโสหน้าใส ทำร่วมกับหัตถการใดได้บ้าง ?

เมโสหน้าใสสามารถทำร่วมกับหัตถการด้านความงามอื่น ๆ ได้หลายอย่าง เช่น การฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก เมโสแฟต ร้อยไหม ทำ Hifu Ultraformer III, Ulthera, Thermage 

อย่างไรก็ตาม การทำหัตถการใดร่วมกัน ควรได้รับการประเมินและคำแนะนำจากแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ขั้นตอนการฉีดเมโสหน้าใส

ขั้นตอนการฉีดเมโสหน้าใส

  1. ปรึกษาแพทย์ แจ้งแพทย์เกี่ยวกับปัญหาผิว ประวัติการแพ้ ยาที่ทาน โรคประจำตัว จากนั้นแพทย์จะประเมินสภาพผิว และเลือกสูตรเมโสที่เหมาะสม
  2. เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวหน้า เช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกบริเวณที่ฉีดออก เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  3. สามารถขอแปะยาชาได้ในผู้ที่กลัวเจ็บมาก ๆ โดยรอยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที เพื่อลดความเจ็บในขณะฉีด หรือประคบน้ำแข็งระหว่างฉีด เพื่อลดอาการบวมแดงจากรอยเข็ม
  4. การฉีดเมโสหน้าใส จะใช้เข็มขนาดเล็ก โดยฉีด 16 จุดเน้นเฉพาะจุดที่มีปัญหา
  5. รับคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังทำจากแพทย์

การปฎิบัติตัวหลังฉีดเมโสหน้าใส

การปฎิบัติตัวหลังฉีดเมโสหน้าใส

  • หลีกเลี่ยงการกด นวดผิว บริเวณที่ทำทันที ในช่วง 1-2 คืนแรก
  • งดทาครีมบริเวณที่ฉีดเมโสหน้าใส 1 คืน เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบ
  • ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ 2 ลิตรต่อวัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดและมลภาวะ หมั่นทาครีมกันแดด ที่มี SPF50 PA+++ เป็นประจำ
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮออล์ การสูบบุหรี่ อาหารหมักดอง ของมัน ของทอด และอาหารรสจัด
  • ทานยาแก้ปวดและประคบเย็นได้ หากมีอาการปวด บวม หรือช้ำ บริเวณที่ทำ

หัตถการอื่น ๆ ที่ช่วยให้หน้าใส นอกจากเมโสหน้าใส

หมวดหมู่หัตถการ  หัตถการ
1. เลเซอร์หน้าใส
  • เลเซอร์ IPL (Intense Pulsed Light) 
  • เลเซอร์ CO2 Fractional
  • เลเซอร์ Picosecond
2. ทรีตเมนต์หน้าใส
  • ไฮดราเฟเชียล (HydraFacial)
  • Dermabrasion
  • Microdermabrasion
  • Chemical Peel
  • กดสิว
3. การเติมวิตามินผิว
  • ฉีดวิตามินซี ( Vit C )
4. เทคโนโลยีกระชับผิว
  • Thermage FLX
  • Ultherapy
  • Ultraformer III 
5. การบำรุงผิวด้วยตัวเอง
  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การเลือกหัตถการที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์มากประสบการณ์เพื่อประเมินสภาพผิว และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน


เมโสหน้าใส ราคาเท่าไหร่ ?

เมโสหน้าใสราคาขึ้นอยู่กับสูตรเมโสหน้าใสที่ใช้ และจำนวนครั้งที่ฉีด ดังนี้ 

ตัวอย่างราคาเมโสหน้าใส

สูตรเมโสหน้าใส จำนวนครั้ง ราคา
  • มาเด้คอลลาเจน
1 ครั้ง 2,500 บาท
คอร์ส 5 ครั้ง 9,900 บาท
  • Filorga (Fillmed NCTF 135 HA)
1 ครั้ง 9,000 บาท
คอร์ส 5 ครั้ง 39,000 บาท
  • REVS (NCFS)
1 ครั้ง 6,000 บาท
คอร์ส 5 ครั้ง 25,000 บาท
  • Alpha arbutin
  • Tensonez
  • Neo-Glutanex Glow
1 ครั้ง 3,500 บาท
คอร์ส 5 ครั้ง 15,000 บาท


สรุป 

เมโสหน้าใส ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงสภาพผิวให้ดูดีขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถฟื้นฟูและบำรุงผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว รอยด่างดำ ความไม่สม่ำเสมอของสีผิว ริ้วรอยแห่งวัย และปัญหาผิวอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับสูตรเมโสที่เลือกใช้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลผิวแบบเร่งด่วน 

อย่างไรก็ตาม ก่อนทำควรตัดสินใจอย่างรอบคอบ เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ เลือกใช้ตัวยาเมโสหน้าใสแท้ กับคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัย

ฉีดฟิลเลอร์คาง บอกลาปัญหาหน้าสั้น คางตัด เปลี่ยนหน้าให้เรียวสวย ไม่ต้องผ่าตัด

0
ฉีดฟิลเลอร์คาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง

“หน้าเรียว” ถือเป็นหนึ่งในรูปหน้าที่หลายคนต้องการ เพราะมีข้อดีในเรื่องความสวยงาม บุคลิกภาพ รวมถึงโหงวเฮ้ง การ “ฉีดฟิลเลอร์คาง” เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้หน้าดูเรียวสวยได้โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที และดูเป็นธรรมชาติ

ในบทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์คางเอาไว้ให้แล้ว ว่าคืออะไร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ช่วยอะไร เหมาะกับใคร และเรื่องอื่น ๆ ที่น่ารู้ ให้ทำความรู้จักก่อนตัดสินใจไปฉีด


ทำความเข้าใจ ฉีดฟิลเลอร์คาง คืออะไร  ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ วิธีการปรับรูปคางโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการใช้สารเติมเต็มที่เรียกว่า “ฟิลเลอร์” หรือ สารไฮยาลูโรนิค Hyaluronic Acid (HA) ที่มีความปลอดภัยสูง ฉีดเข้าไปบริเวณคาง เพื่อเพิ่มความยาวและปรับรูปทรงคาง ให้เข้ากับสัดส่วนของใบหน้า ช่วยให้คางดูยาวขึ้น แก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม และทำให้โครงหน้าดูเรียวสวยมากขึ้นได้ทันทีหลังการฉีด

ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถเห็นผลได้ทันที และจะอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดของแต่ละบุคคล


ฉีดฟิลเลอร์คาง ช่วยอะไร ?

การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีแก้ไขปัญหาคาง ช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติและสมดุลมากขึ้น เช่น

ฉีดฟิลเลอร์คาง ช่วยอะไร

  • ช่วยแก้ปัญหาคางสั้นหรือคางตัด ที่ทำให้ใบหน้าดูกลมและไม่เรียวสวย
  • ช่วยแก้ปัญหารูปคางที่ไม่สมดุล ไม่เท่ากัน หรือเบี้ยว ให้สมดุลมากขึ้น
  • ช่วยแก้ปัญหาคางบุ๋ม ยุบ ที่ทำให้รูปทรงคางไม่สวย ไม่ได้รูป ให้ได้สัดส่วน
  • ช่วยปรับรูปหน้าที่ไม่สมส่วน ให้ใบหน้าเรียว ดูวีเชฟขึ้น

การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับทรงของคางโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีแผลเป็น

นอกจากนี้ สำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับโหงวเฮ้งคางหรือต้องการเพิ่มความมั่นใจ การฉีดฟิลเลอร์คางยังเป็นทางเลือกที่ช่วยปรับปรุงในเรื่องเหล่านี้ได้อีกด้วย


ปรับโหงวเฮ้งคาง ด้วยการฉีดฟิลเลอร์คาง  ?

โหงวเฮ้งคางเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาโหงวเฮ้งในวิชาฮวงจุ้ยของจีน ซึ่งเชื่อกันว่าลักษณะของคางสามารถบ่งบอกถึงความรู้ความสามารถ และโชคชะตาของบุคคลได้ การดูโหงวเฮ้งคางดีหรือไม่ดี สามารถพิจารณาได้จากลักษณะดังนี้

โหวงเฮ้งคาง

ลักษณะเด่น : คางกลมมน บุคลิกลักษณะโอบอ้อมใจดี สมถะถ่อมตัว วาสนามั่งมีทรัพย์ มีสติปัญญาสูง

ลักษณะด้อย :  คางสองชั้น นิยมวัตถุมากกว่าความรับผิดชอบของตน เป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นน้อย คางสั้น คางตัด จะเป็นคนที่ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ขาดความอดทน

วิธีแก้ไข ในผู้ที่มีลักษณะคางด้อย สามารถฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อปรับรูปทรงคางให้ยาวเรียวขึ้นได้ ช่วยให้คางกลมมนสวย และปรับรูปหน้าให้สมส่วนมากขึ้น


ฉีดฟิลเลอร์คาง เห็นผลภายในกี่สัปดาห์ ?

ฉีดฟิลเลอร์คางเห็นผลทันทีหลังการฉีด แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อให้เวลาฟิลเลอร์สมานรวมกับชั้นผิวให้เรียบเนียน ในระหว่างนี้ อาจมีอาการบวมเล็กน้อยเกิดขึ้นได้เป็นปกติ แล้วจึงจะค่อย ๆ ยุบลง และเห็นผลลัพธ์คางสวย ดูเป็นธรรมชาติ

ฉีดฟิลเลอร์คาง เห็นผลภายในกี่สัปดาห์
ฉีดฟิลเลอร์คาง เห็นผลภายใน 2 สัปดาห์


ฉีดฟิลเลอร์คาง บวมกี่วัน ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง บวมกี่วัน

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง อาจบวมได้ประมาณ 3-7 วัน และฟิลเลอร์จะค่อย ๆ ยุบและเข้าที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2 สัปดาห์ หากเป็นอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์คางแบบปกติ

ส่วนอาการบวมแบบไม่ปกติ ที่จำเป็นต้องพบแพทย์ คืออาการบวมที่ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ก็ยังไม่ดีขึ้น และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการบวมแดง รู้สึกแสบร้อน ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดหรือสีม่วง รู้สึกมีหนองใต้ผิว และปวดมากกว่าปกติบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์คางไป อาจเกิดจากการติดเชื้อและอักเสบรุนแรง การแพ้ฟิลเลอร์ หรือฉีดฟิลเลอร์คางแล้วเป็นก้อน

หากหลังฉีดฟิลเลอร์คางแล้วพบอาการบวมหรือผลข้างเคียงที่ผิดปกติดังกล่าว ควรรีบแจ้งแพทย์ทันทีภายใน 2 สัปดาห์ เพราะช่วงนี้ยังสามารถแก้ไขได้ ถ้าเกิน 2 สัปดาห์ไปแล้ว อาจต้องใช้วิธีฉีดสลายฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขแทน

วิธีลดบวมหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

  • ดื่มน้ำมาก ๆ : เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และเร่งการหายของอาการบวม
  • นอนหนุนหมอนสูง ๆ : เพื่อช่วยลดไม่ให้เลือดไหลเวียนไปที่ใบหน้ามากเกินไปจนอาจทำให้อาการบวมแย่ลงได้
  • ห้ามบีบนวดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์: เพื่อป้องกันการอักเสบ บวมช้ำ รวมถึงคางที่ฉีดมาจะเสียทรง
  • ไม่ควรประคบน้ำแข็งด้วยตัวเอง:  หลายคนอยากลดบวมด้วยการประคบเย็น วิธีนี้ต้องระวังเพราะอาจเผลอออกแรงประคบมากเกินไปจนทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดมาเสียทรง และอุณหภูมิมีผลต่อการเข้าที่ของฟิลเลอร์
  • งดอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการบวม: เช่น อาหารเสริมหรือวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาหารร้อน ๆ ที่ต้องทานหน้าเตา, แอลกอฮอล์, อาหารหวาน, อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ และอาหารหมักดองเป็นต้น

นอกจากนี้ ควรงดพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การเท้าคาง การใส่หมวกกันน็อคแบบรัดแน่น และการนอนคว่ำ เพื่อไม่ให้กดทับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์คาง จนทำให้รู้สึกเจ็บ บวม รวมถึงคางอาจเสียทรงผิดรูปได้


ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้กี่ซีซี ?

ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้สำหรับฉีดฟิลเลอร์คาง โดยปกติจะอยู่ที่ 1-2 ซีซี ก็สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้ว ไ่ม่แนะนำให้ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้คางดูไม่เป็นธรรมชาติ เช่น ดูเหมือนคางแม่มด หรือคางมะม่วง

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น การเกิดก้อนหลังจากการฉีดฟิลเลอร์คาง ดังนั้นควรใช้ปริมาณซีซีที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินก่อนทำ

ฟิลเลอร์ 1 ซีซี ประมาณไหน ?

ปกติแล้ว ฟิลเลอร์แต่ละกล่องจะมีปริมาณ 1 ซีซี หลังจากฉีดออกมาจากไซริงค์แล้ว ขนาดจะประมาณเหรียญ 1 บาท


ข้อดี-ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์คาง

ข้อดี

✔ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากการฉีด ไม่ต้องรอนานหรือทำซ้ำหลายครั้งกว่าจะเห็นผล

✔ ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

✔ เจ็บน้อย เมื่อเทียบกับการผ่าตัดเสริมซิลิโคนคาง

✔ ใช้เวลาทำไม่นานเพียง 30-60 นาที

✔ ไม่ต้องใช้ยาสลบ

✔ ช่วยเสริมมิติให้กับใบหน้า

✔ ช่วยแก้ไขปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางเบี้ยว คางไม่เท่ากัน

ข้อเสีย 

  • ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวร อยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน
  • เสริมคางได้ไม่เกิน 1 เซนติเมตร
  • ไม่เหมาะกับคนที่คางสั้นมาก ๆ และต้องการเสริมคางแบบถาวร
  • อาจเกิดอาการบวม มีรอยแดงหรือเขียว จากรอยเข็มและฟิลเลอร์ในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้

ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ชำนาญในการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่าน อย. และทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน

ความอันตรายที่หลายคนกังวล หรือเคยเห็นตามข่าว ล้วนเกิดจากแพทย์ขาดประสบการณ์ หรือใช้ตัวยาฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

กรณีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์คาง เช่นฉีดฟิลเลอร์คางมาแล้วแต่คางดูยาวเกินไป แหลมเหมือนแม่มด หรือคางย้อย รูปทรงผิดปกติ ฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน เวลาพูดหรือยิ้ม ทำให้ดูไม่ธรรมชาติ เกิดจากแพทย์แพทย์ประสบการณ์น้อย ประเมินปริมาณตัวยาฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม รวมถึงฉีดผิดตำแหน่ง ทำให้หลังฉีดแล้วได้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นพอใจ

ดังนั้น การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน และการปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจถึงขั้นตอน ผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมทั้งความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


ฉีดฟิลเลอร์คาง สลายเองได้ไหม ต้องขูดออกไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง จำเป็นต้องฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ สาร Hyaluronic Acid – HA เท่านั้นถึงจะปลอดภัย เพราะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องขูดออก หรือผ่าตัดออก ในขณะเดียวกันหากฉีดไปแล้วอยากเอาออกหรือไม่ชอบทรง ก็สามารถฉีดสลายออกได้ ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งช่วยสลายออกได้หมด 100 %

ฉีดฟิลเลอร์คาง สลายเองได้ไหม ต้องขูดออกไหม

แต่ในกรณีพลาดฉีดฟิลเลอร์ปลอม จำพวก ซิลิโคนเหลว, พาราฟิน หรือ Polymer สังเคราะห์ ซึ่งเป็นสารที่เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วจะไม่สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ และไม่สามารถฉีดสลายด้วยสารไฮยาลูโรนิเดส (Hyarulonidase) จำเป็นต้องขูดออก หรือผ่าตัดออกเท่านั้น


เลือกฉีดฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี ?

เลือกฉีดฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี

การเลือกฉีดฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ จากการประเมินตามปัญหา ความต้องการ และลักษณะผิวที่มีของแต่ละคน ซึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์คางมีด้วยกันหลายยี่ห้อ จากหลายประเทศ ได้แก่

  • ฟิลเลอร์คางอเมริกา ยี่ห้อ Juvederm  มีหลายรุ่นที่เหมาะกับฉีดฟิลเลอร์คางเช่น 
    • Juvederm  Voluma ฟิลเลอร์เนื้อแน่นและฟูปานกลาง มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นความโค้งมนของคาง สามารถเติมคางได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    • Juvederm Volux ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องคงตัวสูง ขึ้นรูปได้ง่าย ปั้นทรงสวย ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ดีที่สุด
  • ฟิลเลอร์คางสวีเดน ยี่ห้อ Restylane 
    • รุ่น Restylane Perlane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีคุณสมบัติคงตัวสูง ไม่ฟู ใช้สำหรับเสริมทดแทนกระดูกและยังคงความเป็นธรรมชาติ
  • ฟิลเลอร์คางสวิตเซอร์แลนด์ ยี่ห้อ Belotero และ Teoxane
    • Belotero รุ่น Intense ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง มีจุดเด่นในการใช้แก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง
    • Teoxane รุ่น Ultra Deep ฟิลเลอร์เนื้อแน่น  มีคุณสมบัติคงตัวสูง สามารถปั้นขึ้นรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดปรับทรงคาง ให้ใบหน้าเรียวขึ้น
  • ฟิลเลอร์คางอิตาลี ยี่ห้อ Definisse
    • รุ่น Definisse Core ฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า เติม mid-face คาง กรอบหน้า
  • ฟิลเลอร์คางเกาหลี ยี่ห้อ Flore และ Neuramis
    • Flore รุ่น Max ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาในไขมันชั้นลึก คาง/ขมับ
    • Neuramis รุ่น Deep Lidocaine ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความหนืดปานกลาง อิ่มฟู ปั้นทรงง่าย เหมาะสำหรับเติมริ้วรอยร่องลึก

ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วผ่าตัดเสริมคางได้ไหม ?

หากเคยฉีดฟิลเลอร์คางมาแล้วสามารถผ่าตัดเสริมคางได้ค่ะ เพียงแต่ต้องรอให้ฟิลเลอร์คางที่ฉีดมานั้นสลายหมดไปก่อน ซึ่งโดยปกติจะอยู่ได้นาน 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้และการตอบสนองของร่างกายแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพคางหลังฉีดฟิลเลอร์และก่อนตัดสินใจผ่าตัดเสริมคาง เพื่อดูว่าสภาพคางเหมาะสมกับการผ่าตัดหรือไม่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด


การฉีดฟิลเลอร์คางแตกต่างจากการผ่าตัดเสริมคาง อย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์คางและการผ่าตัดเสริมคาง เป็นสองวิธีการที่มีจุดประสงค์เดียวกันในการปรับทรงคางให้สมดุล ดูเรียวสวย แต่ทั้งสองวิธีมีความแตกต่างในเรื่องของวิธีการ ผลลัพธ์ ความเสี่ยงและผลข้างเคียง ระยะเวลาพักฟื้น การดูแล และค่าใช้จ่าย ดังนี้

ฉีดฟิลเลอร์คาง vs ผ่าตัดเสริมคาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง ผ่าตัดเสริมคาง
วิธีการ ใช้สารเติมเต็ม (HA) เพื่อเพิ่มปริมาณและปรับรูปทรงของคางโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำได้รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ซิลิโคนหรือวัสดุอื่นเพื่อเสริมคาง ต้องมีการผ่าตัด มีระยะเวลาในการพักฟื้น
ผลลัพธ์ ให้ผลลัพธ์ชั่วคราว โดยปกติจะอยู่ได้นานระหว่าง 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์และการตอบสนองของร่างกาย ผลลัพธ์จากการผ่าตัดเสริมคางสามารถอยู่ได้ถาวร แต่อาจจะต้องมีการแก้ไขหรือซ่อมแซมในอนาคตได้
ความเสี่ยงและผลข้างเคียง มีความเสี่ยงต่ำ อาจมีผลข้างเคียงเช่น บวม ช้ำ และจะหายไปภายในไม่กี่วัน มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงมากกว่า เช่น การติดเชื้อ ความรู้สึกไม่สบาย หรือปัญหาเกี่ยวกับการวางซิลิโคนเสริมคาง ที่อาจต้องกลับมาแก้ไขเพิ่มเติม
ระยะเวลาและการดูแล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังฉีด ต้องการระยะเวลาในการพักฟื้น อาจต้องหยุดงานหรืองดกิจกรรมบางอย่างไปสักพัก
ค่าใช้จ่าย มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการผ่าตัดเสริมคาง เฉลี่ย 6,900 -18,000.- ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เฉลี่ย 25,000-90,000.-  แต่เป็นการลงทุนระยะยาวเนื่องจากผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร

ทั้งนี้การเลือกว่าจะฉีดฟิลเลอร์คาง หรือผ่าตัดเสริมคาง ควรพิจารณาจากความต้องการอย่างรอบคอบก่อน ทั้งในเรื่องของความต้องการ ความคาดหวังต่อผลลัพธ์ รวมถึงคำแนะนำจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้วิธีการแก้ไขหรือเสริมคางที่เหมาะสมที่สุด


เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์คางอย่างปลอดภัย ที่ไหนดี ?

การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์คางอย่างปลอดภัยควรพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง โดยมีข้อแนะนำในการเลือกคลินิก ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คาง ดังนี้

เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์คางที่ไหนดี

  • เลือกคลินิกได้มาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  • เลือกแพทย์ฉีดฟิลเลอร์คางต้องชำนาญและมีประสบการณ์สูง ผ่านการฉีดมาหลายเคส
  • เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ได้มาตรฐาน ผ่าน อย. อนุญาตให้ตรวจสอบและนำกล่องกลับบ้านได้
  • เลือกคลินิกที่มีราคาในการฉีดฟิลเลอร์คางที่เหมาะสม ไม่ยัดเยียด ขายคอร์ส
  • เลือกคลินิกที่มีพนักงานสุภาพ พร้อมบริการอย่างเข้าใจและใส่ใจ
  • เลือกคลินิกที่มีการนัดหมายเพื่อปรึกษาได้ก่อนทำ และติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์คาง
  • เลือกคลินิกที่สามารถเดินทางไปได้สะดวก มีที่จอดรถเพียงพอ และมีหลายสาขา

รวมวิธีสังเกตฟิลเลอร์คางของแท้

การเช็กฟิลเลอร์ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ ค่อนข้างสังเกตได้อยาก ในเบื้องต้นให้เลือกใช้บริการกับคลินิกที่ได้มารตฐาน เพื่อลดความเสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอม ก่อนฉีดสามารถขอให้หมอแกะกล่องให้ดูต่อหน้า หรือขอตรวจสอบฟิลเลอร์ก่อนฉีด เช่น

  • เช็กเลข Lot: เลข Lot บนกล่อง เลข Lot บนสติกเกอร์ และ เลข Lot บนหลอด ต้องตรงกัน
  • เช็ก QR Code: ฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมี QR Code บนกล่อง เพื่อให้สามารถสแกนเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้

ข้อควรระวัง

  • ฟิลเลอร์ราคาถูกมาก ๆ : อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้วที่ตัวยาไม่ได้มาตรฐาน
  • คลินิกเถื่อน: ใช้ยาปลอม ยาหิ้ว และมักไม่ให้คนไข้เห็นตัวยา หรือตรวจสอบตัวยา ที่สำคัญผู้ฉีดอาจไม่ใช่แพทย์

ฉีดฟิลเลอร์คาง ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาการฉีดฟิลเลอร์คางโดยทั่วไปราคาเริ่มต้นจะอยู่ในช่วง 6,900 – 18,000 ต่อครั้ง / 1ซีซี

ทั้งนี้ ราคาฉีดฟิลเลอร์คาง อาจแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และคลินิกหรือแพทย์ที่ทำ สำหรับการฉีดฟิลเลอร์คาง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปริมาณและยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ราคาที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลที่สุดค่ะ


การปฏิบัติตัวก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์คาง

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

  • หลีกเลี่ยงการทานยาและอาหารบางชนิด: อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด ควรหลีกเลี่ยงยาที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวง่าย เช่น แอสไพริน หรือวิตามิน E และอาหารเสริมบางชนิดที่อาจทำให้เกิดการช้ำง่าย
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์: อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดโอกาสของการเกิดช้ำและบวม
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีประวัติการแพ้ยาหรือมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการฉีด

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด: พยายามอย่าสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
  • หลีกเลี่ยงการไปในที่ร้อนหรือออกกำลังกายหนัก: ควรหลีกเลี่ยงสปา ซาวน่า หรือการออกกำลังกายหนักในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด เพื่อป้องกันการบวมมากขึ้น
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ทำตามคำแนะนำเพิ่มเติมหรือข้อจำกัดใด ๆ ที่แพทย์ให้ไว้หลังทำ
  • การนัดติดตามผล: ควรไปตามนัดเพื่อให้แพทย์ตรวจสอบความพอใจและผลลัพธ์หลังทำ

การปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงได้


สรุป ฉีดฟิลเลอร์คาง

การฉีดฟิลเลอร์คางช่วยให้คางดูเรียวยาวและใบหน้าสมดุลสวยงาม ข้อดีคือผลลัพธ์ทันที ไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น ปลอดภัยเพราะฟิลเลอร์สลายได้เองไม่ทิ้งสารตกค้าง หากไม่พอใจสามารถฉีดสารสลายได้ ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปรับรูปทรงคางและใบหน้า

โรงงานผลิตเครื่องสำอาง OEM พาร์ทเนอร์คนสำคัญช่วยสร้างแบรนด์ครบวงจร

0
โรงงานผลิตเครื่องสำอาง

โรงงานผลิตเครื่องสำอาง

กลยุทธ์ทางการตลาด อาจไม่เพียงพอต่อการทำแบรนด์เครื่องสำอางอีกต่อไป ในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสารสกัด และเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิตเครื่องสำอางมากยิ่งขึ้น ทำให้โรงงานผลิตเครื่องสำอาง เริ่มเข้ามามีบทบาทในการเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่จะช่วยทั้งในเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ และการคุมคุณภาพของเครื่องสำอางในการทำแบรนด์ในระยะยาว


สารสกัดยอดนิยมจากโรงงานผลิตเครื่องสำอาง

หากกล่าวถึงสารสกัดในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแล้ว ทางฝั่งของเจ้าของแบรนด์อาจจะต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะในปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภครู้จักที่จะพลิกหลังกล่อง พร้อมอ่านทุกรายละเอียดและค้นหาทุกสรรพคุณของสารสกัดที่แบรนด์เครื่องสำอางอ้างอิงถึง เพราะฉะนั้นคุณจะต้องมั่นใจว่าสารสกัดที่คุณเลือกนำมาใช้ในการผลิตเครื่องสำอางนั้น เห็นผลลัพธ์ที่ดี และเหมาะกับการผลิตเครื่องสำอางอย่างแท้จริง 

โดยสารสกัดจากที่ได้รับการแนะนำมาจากโรงงานผลิตเครื่องสำอางนั้น มีดังนี้

  • Tranexon : สารสกัดที่อ่อนโยนต่อผิว มีคุณสมบัติลดริ้วรอย ลดรอยดำรอยแดง พร้อมแก้ปัญหาฝ้าลึก ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส
  • AREN BIO S-DNA : สารสกัดจากอสุจิปลาแซลมอน มีคุณสมบัติช่วยปรับสภาพผิว กระชุบรูขุมขนพร้อมซ่อมแซมผิวให้กลับมาสุขภาพดี ดูขาวกระจ่างใส รอยแผลเป็น และริ้วรอยดูจางลง
  • MoistShield HA : สารที่รวม Hyaluronic Acid ทั้ง 8 ชนิดเข้าด้วยกัน มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำในผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นตั้งแต่ผิวชั้นในไปจนถึงผิวชั้นนอก ไม่ระคายเคืองต่อผิว
  • EPITENSIVE : สารสกัดที่มีประสิทธิภาพสูงในการปรับสภาพผิว พร้อมแก้ปัญหารอยสิว และปกปิดผิวได้อย่างเรียบเนียน 
  • Salix Alba : สารสกัดจากธรรมชาติ (เปลือกต้นวิลโลว์) ช่วยปลอบประโลมผิว ผลัดเซลล์ผิว และต่อต้านการเกิดริ้วรอย ช่วยให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
  • GDL : Glucono Delta-Lactone สารสกัดที่ทำหน้าที่คล้าย moisturizer ที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง และช่วยให้เครื่องสำอางติดบนผิวได้ดียิ่งขึ้น

โรงงานผลิตเครื่องสำอางมีกระบวนการ ขั้นตอนอะไรบ้าง

ขั้นตอนการผลิตเครื่องสำอางของ โรงงานผลิตเครื่องสำอาง

สำหรับใครที่สนใจจะทำแบรนด์เครื่องสำอางแต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์สั่งผลิตมาก่อนไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะหากคุณเลือกจ้างโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน และมีการบริการที่ดีแล้ว ทุกอย่างจะเป็นขั้นเป็นตอนง่าย ๆ ดังนี้

เลือกประเภทผลิตภัณฑ์ และสูตรที่ต้องการ 

ในช่วงเริ่มต้นของการติดต่อกับโรงงานผลิตเครื่องสำอาง คุณจำเป็นที่จะต้องมีการสำรวจตลาด พร้อมวิเคราะห์และวางแผนประเภทของผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงสูตรในการผลิตที่ต้องการเพื่อนำเสนอกับทางโรงงาน 

อย่างไรก็ตามหากโรงงานที่คุณเลือกนั้นให้บริการแบบ OEM เครื่องสำอาง จะช่วยให้คุณเบาใจได้มากยิ่งขึ้น เพราะโรงงานผลิตเครื่องสำอางแบบ OEM นั้น มักจะมีสูตรสำเร็จรูปที่พร้อมสำหรับการผลิตเครื่องสำอางในทันทีมากกว่า 100 สูตร ให้คุณสามารถเลือกใช้ได้ในทันที

รับใบเสนอราคา และชำระมัดจำ 

เมื่อการเจรจาเกี่ยวกับรูปแบบของผลิตภัณฑ์ และสูตรเครื่องสำอางผ่านไปได้ด้วยดี ทางโรงงานผลิตเครื่องสำอางก็จะทำการจัดส่งใบเสนอราคา และเรียกชำระมัดจำก้อนแรกก่อนเริ่มงานจริง

เริ่มคิดค้น วิจัย และพัฒนาสูตร  

หลังจากมีการวางใบเสนอราคา และจ่ายมัดจำก้อนแรกแล้ว ทางโรงงานผลิตเครื่องสำอางจะเริ่มการคิดค้น วิจัย และพัฒนาสูตรให้ตรงกับความต้องการของคุณ พร้อมส่งตัวอย่างการผลิตให้ตรวจสอบความถูกต้อง หากทุกอย่างเรียบร้อยดี ทางโรงงานจะได้เริ่มผลิตสินค้าแบบเต็มรูบแปปในขั้นตอนต่อไป 

เริ่มเข้าสู่กระบวนการผลิตครีมและเครื่องสำอาง 

หากรูปแบบผลิตภัณฑ์ และสูตรที่คิดค้นถูกต้องตามความต้องการของคุณ โรงงานผลิตเครื่องสำอางจะเริ่มทำการผลิตสินค้าตามจำนวนออเดอร์จริง

ชำระมัดจำส่วนที่เหลือ  

ก่อนที่การผลิตจะสิ้นสุดลง ทางโรงงานผลิตเครื่องสำอางจะเรียกเก็บมัดจำก้อนสุดท้าย จากนั้นจึงจะทำการผลิตสินค้า หรือเครื่องสำอางให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด

โรงงานผลิตครีมและเครื่องสำอางส่งมอบสินค้า  

เมื่อขั้นตอนการผลิต และการวางมัดจำ วางเงินตามใบเสนอราคาเสร็จสิ้นครบถ้วนดี ทางโรงงานผลิตเครื่องสำอางจะทำการ


เลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่ดี ต้องเลือกอย่างไร?

มาถึงช่วงเวลาสำคัญในการตัดสินใจ หากอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเองแต่ไม่มีความรู้เรื่องโรงงานผลิตเครื่องสำอางมาก่อนต้องเริ่มอย่างไรดี โดยพื้นฐานแล้วคุณควรที่จะเลือกจากปัจจัยดังต่อไปนี้ 

  • เลือกโรงงานผลิตครีม เครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน 
  • เลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่มีประสบการณ์มายาวนาน ไว้ใจได้
  • เลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่ให้บริการครบวงจร และเป็น OEM
  • เลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่มีเครื่องจักรในการผลิตที่ทันสมัย
  • เลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่เข้าใจธุรกิจเครื่องสำอางเป็นอย่างดี
  • เลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่มีบริการขึ้นทะเบียนสินค้าสำหรับผลิต และจัดจำหน่ายให้พร้อม

PURE DERIMA LABORATORIES โรงงานผลิตเครื่องสำอางมาตรฐาน ครบวงจร 

ตอบทุกโจทย์ของโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่คุณกำลังมองหากับ PURE DERIMA LABORATORIES โรงงานผลิตเครื่องสำอางมาตรฐาน GMP, ISO และ HALAL ที่ให้บริการครบวงจร มาพร้อมกับบริการรับผลิตสินค้าแบรนด์ตัวเองกับหลากหลายผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ครีม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว และอื่น ๆ อีกมากมาย

ที่เราแนะนำโรงงานผลิตเครื่องสำอาง PURE DERIMA LABORATORIES ให้กับคุณนั้น เพราะที่ PDL แห่งนี้ นอกจากจะเพียบพร้อมไปด้วยทีมนักวิจัย และนักพัฒนาครีม-เครื่องสำอางแล้ว ยังมีทีมงานที่พร้อมให้คำปรึกษาด้านการตลาดอย่างเต็มใจอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ใครที่กำลังมองหาโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่มากประสบการณ์ ห้ามพลาด! สนใจบริการผลิตเครื่องสำอางจาก PDL ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

Facebook : Pure Derima Laboratories

Line : Purederima

Tel : 02-285-4266

หรือติดต่อโดยตรงได้ที่ Headquarter

88/34-35 TTN Avenue Nanglinchee Road Chong Nonsi Subdistrict, Yannawa District Bangkok 10120

โรงงานผลิตครีมที่ได้มาตรฐานเป็นอย่างไร? ก่อนสร้างแบรนด์ต้องรู้

0
โรงงานผลิตครีม

โรงงานผลิตครีม

หลายคนที่กำลังวางแผนหรือต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์ครีมด้วยตนเอง มักมีข้อสงสัยเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตว่า โรงงานผลิตครีมที่ไหนดีถึงจะมีมาตรฐาน ปลอดภัย หรือการสั่งผลิตครีมนั้นมีวิธีการอย่างไรบ้าง 

ในบทความนี้จึงได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับโรงงานรับผลิตครีม เพื่อเป็นข้อแนะนำให้กับเจ้าของแบรนด์ หรือผู้ที่กำลังวางแผนผลิตครีมของตนเอง สามารถอ่านเนื้อหาได้ด้านล่างนี้เลย!


สารบัญบทความ


ทำแบรนด์ครีม เริ่มตอนนี้ยังทันไหม?

หากใครที่ไม่มั่นใจว่า สามารถผลิตครีมตอนนี้เลยได้ไหม ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? เราจะมาแนะนำว่า ก่อนทำการเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเองควรทำอะไรบ้าง ดังนี้

  • หาโรงงานผลิตครีม บริษัทผลิตครีมที่ปลอดภัย มีการรับรองด้วยมาตรฐานระดับสากล เช่น ISO 22716, ASEAN GMP, HALAL และอื่น ๆ อีกมากมาย
  • สำรวจกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ตัวเองต้องการ เช่น วัยเรียน, วัยทำงาน, ผู้หญิง หรือผู้ชาย เป็นต้น
  • พัฒนาสูตรครีมของแบรนด์ตนเองให้โดดเด่น อาจปรึกษาทางโรงงานครีมที่รับพัฒนาสูตรร่วมด้วย
  • ออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการวางจำหน่าย โดยอาจปรึกษากับโรงงานผลิตครีม เพื่อให้ได้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุด

โรงงานผลิตครีมแบบไหน ที่คนทำธุรกิจครีมควรมองหา?

สั่งผลิตครีม

1. โรงงานผลิตครีมแบบ OEM พร้อมสูตรมาตรฐานมากกว่า 100 สูตร

การเลือกประเภทของโรงงานผลิตครีม ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของขั้นตอนการสร้างแบรนด์เลยก็ว่าได้ โดยโรงงาน OEM คือโรงงานที่รับผลิตสินค้าของแบรนด์นั้น ๆ ให้ลูกค้า พร้อมสูตรสำเร็จให้เลือกมากมาย

2. โรงงานผลิตครีมที่มีมาตรฐาน GMP และมาตรฐานสากล

โรงงานผลิตครีมที่ดีคือ โรงงานที่ได้มาตรฐานระดับสากล มั่นใจว่าสินค้าของคุณปลอดภัย ไม่อันตรายต่อผู้บริโภค โดยมักมีมาตรฐาน เช่น HALAL, ASEAN GMP, ISO 9001 หรือ ISO 22716 เป็นต้น

3. โรงงานผลิตครีมที่มีเทคโนโลยี และเครื่องจักรที่ทันสมัย

อีกหนึ่งปัจจัยที่จะสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณได้มาตรฐานนั่นก็คือ เทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย หากคุณเลือกโรงงานผลิตครีมที่มีปัจจัยเหล่านี้ ก็จะสามารถช่วยให้ครีมของคุณโดดเด่นไม่แพ้แบรนด์อื่น ๆ

4. มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ พร้อมช่วยคิดค้นสูตรและออกแบบผลิตภัณฑ์

โรงงานผลิตครีมที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญจะสามารถช่วยคิดค้นสูตร รวมถึงออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ออกมาตามที่คุณต้องการ พร้อมวางขายเพื่อตีตลาดการเป็นแบรนด์ครีมอันดับต้น ๆ ของตลาด

ทำแบรนด์ครีม ออกแบบผลิตภัณฑ์แบบไหนดี?

หากใครที่เลือกโรงงานผลิตสกินแคร์ หรือผู้รับผลิตครีมได้แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะผลิตครีมแบบได้ดี เราได้รวบรวมผลิตภัณฑ์ที่สามารถส่งผลิตกับโรงงานผลิตครีมมาไว้แล้ว ดังนี้

  • ครีมบำรุงผิว หรือครีมผิวขาว
  • ครีมกันแดด
  • ครีมทาหน้า
  • เซรั่ม ครีมบำรุงหน้า
  • ครีมลดริ้วรอย

 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ปรับหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ละมุนขึ้น แก้ปัญหาขมับตอบ ลึก บุ๋ม

0
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับฉีดฟิลเลอร์ขมับ มักเป็นจุดหนึ่งของใบหน้าที่มักถูกมองข้าม แต่จริง ๆ แล้ว มีความสำคัญมากกว่าที่คิด เพราะไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาขมับตอบ ลึก บุ๋ม แต่ยังเป็นการสร้างมิติให้ใบหน้าดูสมส่วนขึ้น มีความเรียบเนียน ดูสุขภาพดี อ่อนเยาว์ ละมุน และมีความสมดุลมากขึ้นอีกด้วย 

สำหรับใครที่สนใจว่าฉีดฟิลเลอร์ขมับมีดีอย่างไร ? ในบทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องขมับ การฉีดฟิลเลอร์ขมับ ตั้งแต่ประโยชน์ การเตรียมตัว การเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น ไปจนถึงการดูแลตัวเองหลังการฉีด เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นหัตถการที่ไม่ควรพลาด


เข้าใจการฉีดฟิลเลอร์ขมับ

ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ขมับ การศึกษาข้อมูลทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ขมับอย่างละเอียดเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ คืออะไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ คืออะไรการฉีดฟิลเลอร์ขมับ คือหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนสวยเข้ารูปมากขึ้น โดยใช้สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (ฟิลเลอร์) ฉีดเข้าไปบริเวณขมับ เพื่อเติมเต็มรอยบุ๋ม แก้ปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ เต่งตึง อ่อนหวาน และดูอ่อนกว่าวัย

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ต้องใช้กี่ CC ?

ในการฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะใช้ฟิลเลอร์ปริมาณ 2-4 CC ขึ้นอยู่กับความลึก ความตอบ ความบุ๋มของขมับของแต่ละคน 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ยี่ห้อไหนดี ? 

การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์สำหรับใช้ฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์เป็นหลัก โดยแพทย์จะพิจารณาจาก

  1. ความต้องการของคนไข้ ตามปัญหา ความคาดหวัง และงบประมาณ 
  2. คุณสมบัติของฟิลเลอร์ ตามความแข็ง ขนาดโมเลกุล และระยะเวลาคงอยู่

ยี่ห้อ / รุ่นฟิลเลอร์ ที่นิยมใช้ฉีดฟิลเลอร์ขมับฉีดฟิลเลอร์ขมับ ยี่ห้อไหนดี

  • Juvederm Ultra Plus – ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา เนื้อนิ่มและฟูมาก ฉีดแล้วเต็มสวย เหมาะสำหรับเติมขมับหรือร่องลึกต่าง ๆ ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงตามวัย 
  • Juvederm Voluma  –  ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา เนื้อแน่นและฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการเติมขมับได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • Juvederm Volux   –  ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา เนื้อแน่น มีความแข็งและคงตัว ทนต่อแรงขยับได้ดี ช่วยแก้ปัญหาขมับยุบ ขมับตอบ
  • Restylane Volyme  – ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน เนื้อนิ่มปานกลาง เติมชั้นผิวบริเวณใบหน้าให้อิ่มฟู เหมาะสำหรับฉีดเติมเต็มส่วนที่โหลลึกหรือตอบคนที่ผิวบาง
  • Flore Max  –  ฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี เนื้อแน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาในไขมันชั้นลึก คาง/ขมับ
  • Teoxane RHA 2  –  ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื้อนิ่ม ยืดหยุ่น ทนต่อแรงขยับได้ดี ช่วยเสริมในส่วนของขมับที่ยุบตัวลง
  • Teoxane RH 3 – ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื้อนิ่ม แต่ค่อนข้างแน่น ทนต่อแรงขยับได้ดี เหมาะฉีดผิวชั้นลึก แก้ขมับยุบ ขมับตอบ 
  • Teoxane Ultra Deep  –  ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื้อแน่น ปั้นทรงง่าย ไม่ไหล มีความคงตัวสูง
  • Neuramis Volume  –  ฟิลเลอร์จากประเทศเาหลี เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่น คงตัว ขึ้นทรงได้ดี เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึกขมับ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม ?

เส้นเลือด Middle Temporal Artery บริเวณขมับ
เส้นเลือด Middle Temporal Artery บริเวณขมับ

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ ถ้าทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีความชำนาญในการฉีดฟิลเลอร์ขมับ ใช้ฟิลเลอร์แท้ และเทคนิคถูกต้อง ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นน้อยมาก หากเกิดปัญหาแพทย์สามารถจัดการได้ทันที

ความอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ขมับส่วนใหญ่ มักมาจากการฉีดกับแพทย์ที่ไม่ชำนาญ ขาดประประสบการณ์ เช่น หมอกระเป๋า หมอเถื่อน พยาบาล หรือบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ เนื่องจากบริเวณขมับมีเส้นเลือดสำคัญ เช่น Middle Temporal Artery หากฉีดผิดพลาดอาจเสี่ยงตาบอดหรือเนื้อตายได้ 

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ ทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงและความกังวลเรื่องความอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ขมับ

ข้อดี-ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์ขมับ 

ข้อดี

  • แก้ปัญหาขมับตอบ ขมับลึก โหนกแก้มเด่น
  • ทำให้บริเวณขมับตื้นขึ้น ดูหน้าเต็ม หน้าอิ่ม เต่งตึงขึ้น ปรับใบหน้าให้ได้รูปดูสมดุลมากขึ้น
  • ทำให้ใบหน้าดูลละมุน อ่อนเยาว์ขึ้น 
  • ปรับโหงวเฮ้ง ในทางศาสตร์จีนเชื่อกันว่าการมีขมับอิ่มฟู จะส่งผลดีต่อโหงวเฮ้ง
  • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และสามารถอยู่ได้นาน 6 – 24 เดือน
  • ไม่เจ็บมาก แพทย์จะทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำการฉีด
  • ไม่ต้องผ่าตัดเสริมขมับด้วยซิลิโคน
  • ใช้เวลาพักฟื้นน้อย หลังฉีดสามารถกลับบ้านได้เลย

ข้อเสีย 

  • อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม เขียว จากฟิลเลอร์และรอยเข็ม ถือเป็นเรื่องปกติ สามารถหายได้เองครับ 
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวร หลังฉีดฟิลเลอร์จะสลายตัวตามธรรมชาติ ภายใน 6-24 เดือน สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ เพื่อคงผลลัพธ์ 
  • ต้องเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีความชำนาญ เพราะการฉีดฟิลเลอร์ขมับต้องอาศัยความชำนาญ เนื่องบริเวณขมับมีเส้นเลือดสำคัญอยู่ การฉีดต้องระวังเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย เช่น เส้นเลือดอุดตัน ตาบอด

ความรู้เรื่องขมับ

เมื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ขมับแล้วว่าคืออะไร ช่วยเรื่องอะไร มีข้อดีอย่างไรบ้าง การรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของขมับ รู้สาเหตุที่มาของปัญหาบริเวณขมับ ก็จะยิ่งช่วยให้เลือกทำหัตถการที่เหมาะสมได้ 

ขมับ คืออะไร ?ขมับ คืออะไร

ขมับ คือบริเวณที่อยู่ระหว่างหูกับดวงตา เป็นบริเวณที่มีบทบาทสำคัญกับโครงสร้างของใบหน้าและเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เห็นรูปร่างของใบหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

สาเหตุของปัญหาขมับตอบ ลึก บุ๋ม  

  • โครงสร้างกระดูก: โครงสร้างของกระดูกขมับที่ไม่เสมอกันหรือมีขนาดเล็ก สามารถทำให้พื้นที่บริเวณขมับดูบุ๋ม ไม่เท่ากัน หรือดูไม่เรียบเนียนได้
  • การสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง: ไขมันใต้ผิวหนังช่วยให้ผิวหนังดูเต่งตึงและมีสุขภาพดี การสูญเสียไขมันนี้ อาจเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ส่งผลขมับดูตอบ บุ๋ม ลึก ใบหน้าดูโทรม
  • การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ: เมื่ออายุเพิ่มขึ้น มวลกล้ามเนื้อในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายรวมถึงบริเวณขมับอาจลดลง ทำให้ผิวหนังส่วนนั้นไม่แน่นและดูบุ๋ม ไม่เต่งตึง ดูหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูตอบ
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง: ริ้วรอยและความเสียหายจากแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนังบริเวณขมับสูญเสียความยืดหยุ่นและความเข้มข้นของคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นดูบุ๋มลง
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม: บางคนอาจมีลักษณะขมับบุ๋ม ที่เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น

การแก้ไขปัญหาขมับตอบ ลึก บุ๋ม สามารถทำได้โดยการฉีดฟิลเลอร์ขมับ ที่จะช่วยเติมเต็มให้ขมับกลับ

มาดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น


ขมับมีความสำคัญอย่างไรกับใบหน้า ?

ขมับเป็นจุดที่ควรใส่ใจ เพราะว่าส่งผลต่อรูปหน้า บ่งบอกถึงโหงวเฮ้ง แสดงถึงสุขภาพ บ่งบอกอายุ 

ความสำคัญทางด้านความงาม ขมับที่เต็มอิ่ม จะช่วยให้ใบหน้าดูสมมาตร กลมกลืน อ่อนหวาน และดูอ่อนกว่าวัย ส่วนขมับที่ตอบ ยุบ หรือมีรอยบุ๋ม จะทำให้ใบหน้าดูแก่ เคร่งเครียด และดูโทรม

ความสำคัญทางด้านโหงวเฮ้ง เชื่อกันว่าขมับเป็นจุดที่บ่งบอกถึงฐานะ ความมั่นคง และวาสนา คนที่มีขมับเต็มอิ่ม มักจะมีฐานะดี มั่นคง และประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนคนที่มีขมับตอบ ยุบ หรือมีรอยบุ๋ม มักจะพบอุปสรรคในชีวิต การเงินไม่มั่นคง

ขมับสวยดีอย่างไร ?

  • เพิ่มความสมดุลให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูมีเสน่ห์และน่าสนใจมากขึ้น
  • ช่วยให้หน้าดูอ่อนเยาว์ ดูเด็กลง สดใสขึ้น
  • ช่วยให้การแต่งหน้าและการปรับรูปหน้าด้วยเครื่องสำอางต่าง ๆ ดูเนียนมากขึ้น

เหตุผลที่ไม่ควรปล่อยให้ขมับยุบ ขมับตอบ เหตุผลที่ไม่ควรปล่อยให้ขมับยุบ ขมับตอบ

  1. ทำให้ใบหน้าดูโทรม ดูมีอายุ
  2. รูปหน้าไม่ได้สัดส่วน โหนกแก้มดูเด่นชัด 
  3. หน้าดูแข็ง ดูดุ ใบหน้าไม่หวานละมุน 

โหงวเฮ้งขมับ

ความหมาย

ขมับ” เป็นจุดที่บ่งบอกถึงฐานะ ความมั่นคง วาสนา คู่ครอง และความก้าวหน้าในชีวิต เชื่อกันว่าคนที่มีขมับเต็มอิ่ม มักจะมีฐานะดี มั่นคง ประสบความสำเร็จในชีวิต และมีคู่ครองที่ดี ส่วนคนที่มีขมับตอบ ยุบ หรือมีรอยบุ๋ม มักจะพบอุปสรรคในชีวิต การเงินไม่มั่นคง ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นโหงวเฮ้งขมับ

  • ลักษณะของโหงวเฮ้งขมับที่ดี

ขมับเต็มอิ่ม เรียบเนียน กลมกลืนกับใบหน้า มีสีผิวที่สดใส ไม่มีรอยบุ๋ม รอยแผลเป็น หรือเส้นริ้วรอย

และอยู่ในระดับเดียวกับหน้าผาก

  • ลักษณะของโหงวเฮ้งขมับที่ไม่ดี

ขมับตอบ ยุบ มีรอยบุ๋ม รอยแผลเป็น หรือเส้นริ้วรอย หรืออยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหน้าผาก


ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับใคร ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีขมับตอบ ขมับยุบ
  • ผู้ที่มีโหนกแก้มสูง
  • ผู้ที่ต้องการปรับโหงวเฮ้ง

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ไม่เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเลือดออกง่าย
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ
  • ผู้ที่มีรอยแผลเป็น คีลอยด์ บริเวณที่จะฉีด

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ VS เติมไขมันขมับ VS ผ่าตัดเสริมขมับด้วยซิลิโคน แตกต่างกันอย่างไร ?

  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะเป็นการใช้สารไฮยาลูโรนิก แอซิด  (Hyaluronic Acid)  นำมาฉีดเติมเต็มขมับให้ผลลัพธ์ทันที และอยู่ได้ประมาณ 6-24 เดือน หากต้องการรักษาผลลัพธ์ต้องเติมใหม่ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ

  • การเติมไขมันขมับ จะใช้ไขมันจากตัวคนไข้เอง โดยดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายและนำไปฉีดเติมเต็มที่ขมับ ช่วยให้ขมับอิ่มเต็มขึ้น ไม่สามารถฉีดสลายได้ และใช้ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนนาน และอาจต้องฉีดเติมหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการ ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น 

เติมไขมันขมับ

  • การผ่าตัดเสริมขมับด้วยซิลิโคน จะใช้ซิลิโคนเสริมเข้าไปบริเวณขมับ เพื่อปรับรูปขมับให้ดูมีมิติและสมดุลกับใบหน้ามากขึ้น ให้ผลลัพธ์ถาวร ไม่ต้องทำซ้ำ แต่ต้องมีการผ่าตัดและต้องการเวลาพักฟื้น มีความเสี่ยงสูงกว่าวิธีการฉีด เช่น การติดเชื้อ หรือการเคลื่อนที่ของซิลิโคน

ผ่าตัดเสริมขมับด้วยซิลิโคน

จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า ฉีดฟิลเลอร์ขมับ VS เติมไขมันหน้าผาก VS  ผ่าตัดเสริมขมับด้วยซิลิโคน แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีการที่เหมาะสมควรพิจารณาจากความต้องการของตนเอง งบประมาณ และคำแนะนำจากแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง 


ฉีดฟิลเลอร์ขมับ กี่วันเห็นผล ?

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ขมับ ผลลัพธ์สามารถเห็นได้ทันทีหลังการฉีด แต่อาจต้องรอประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ และรอให้อาการบวมหรือช้ำหลังฉีดลดลง จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด


ฉีดฟิลเลอร์ขมับ อยู่ได้นานแค่ไหน ? 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/รุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังการฉีด โดยฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ/รุ่นมีอายุการใช้งานดังนี้ 

ยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ อายุฟิลเลอร์
  • Juvederm Ultra Plus
12 เดือน
  • Juvederm Voluma
18 เดือน
  • Juvederm Volux
18-24 เดือน
  • Restylane Volyme
18 เดือน
  • Flore Max
12 -18 เดือน
  • Teoxane RHA 2
18 เดือน
  • Teoxane RHA 3 
12-18 เดือน
  • Teoxane Ultra Deep
18 เดือน
  • Neuramis Volume
6-9 เดือน

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เจ็บไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับไม่เจ็บมากค่ะ ปกติแต่ละคลินิกจะมีบริการแปะยาชาให้ก่อนฉีดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ ตอนฉีดฟิลเลอร์ขมับเข้าไปช่วงแรก อาจมีอาการตึง ๆ ที่ขมับ ในช่วง 3 วันแรกและจะหายไปได้เอง 


ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ เตรียมตัวอย่างไร ?

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ เตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ เตรียมตัวอย่างไร(1)

  • งดดื่มแอลกอฮอล์
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น เข้าซาวน่า ออกกำลังกาย ชนิด Cardio 
  • หลีกเลี่ยงยาและอาหารบางชนิด เช่น แอสไพริน และอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเขียวช้ำและเลือดออก เช่น วิตามิน E, โอเมก้า 3 อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการฉีด
  • งดทายาผลัดเซลล์ผิว หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging ทุกชนิด 3 วันก่อนฉีด 
  • งดการแวกซ์ ผลัดเซลล์ผิว การดึง หรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ 3 วัน ก่อนฉีด
  • งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง 

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ขมับ

  1. ปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์สภาพผิวและโครงสร้างใบหน้า จากนั้นแพทย์จึงจะค่อยกำหนดจำนวน CC ที่เหมาะสม 
  2. ทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ 
  3. ทายาชา และรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีดฟิลเลอร์ขมับ 
  4. ฉีดฟิลเลอร์ขมับ แพทย์จะให้ดูตัวยาฟิลเลอร์ เพื่อให้คนไข้มั่นใจว่าใช้ฟิลเลอร์ของแท้ในการฉีด จากนั้นจึงค่อยนำเข็มพร้อมกับตัวยาในกล่องฟิลเลอร์มาใช้ฉีดฟิลเลอร์ขมับ 
  5. นวดเบา ๆ หลังฉีดเสร็จ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวอย่างทั่วถึงทั้งบริเวณขมับ 
  6. แพทย์ตรวจสอบผลลัพธ์หลังทำและให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีด 
  7. ติดตามผล หลังผ่านไป 2 สัปดาห์ อาจมีการนัดหมายเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์และความพึงพอใจหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ

หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะมีรอยเขียวช้ำจากเข็ม มีอาการบวมเพียงเล็กน้อย และอาจรู้สึกตึง ๆ บริเวณหัวได้บ้าง อาการเหล่านี้สามารถหายได้เองภายใน 3 วัน เพียงดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์หลังฉีด ไม่ต้องกังวลค่ะ  


ฉีดฟิลเลอร์ขมับแล้วปวดหัวจริงไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับแล้วปวดหัวหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับแล้ว อาจมีอาการปวดหัวเกิดขึ้นได้ค่ะ เนื่องจากขมับเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทสำคัญผ่านไปมา เมื่อฉีดฟิลเลอร์ขมับเข้าไป อาจทำให้รู้สึกมีอาการปวดหัวที่บริเวณนี้ได้ แต่ไม่ต้องกังวลมาก เพราะเป็นเพียงอาการชั่วคราว สามารถหายไปได้เองภายใน 1-3 วัน 


วิธีการดูแลตัวเอง หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ 

  • ห้ามแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA หรือวิตามินซี 24 ชั่วโมงแรก
  • ในช่วงแรกอาจมีอาการบวม ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสจุดฉีด 2-3 วันแล้วอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น 
  • ห้ามให้จุดฉีดสัมผัสความร้อน เช่น แสงแดด, ออกกำลังกาย, ซาวน่า,ไดร์เป่าผม, น้ำอุ่น
  • หลีกเลี่ยงการขยับจุดฉีด 3 วันแรก เพื่อไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ 
  • หากมีอาการปวดศีรษะสามารถทานยาแก้ปวดได้ เช่น ยาพาราเซตามอล
  • งดแอลกอฮอล์ 3 วัน – 2 สัปดาห์
  • งดนอนตะแคง 2 อาทิตย์
  • ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ยกหางตาตกได้ไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ สามารถช่วยยกหางตาตกขึ้นได้ในระดับหนึ่ง เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแล้ว บริเวณขมับจะดูเต่งตึงและกระชับขึ้น ซึ่งส่งผลให้รอยเหี่ยวย่นรอบหางตาหรือตีนกาลดลง และทำให้หางตาที่มีลักษณะตกดูเหมือนยกขึ้นได้ค่ะ


ฉีดฟิลเลอร์ขมับ นวดได้ไหม ?

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ขมับ ควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดที่บริเวณที่ได้รับการฉีดฟิลเลอร์เป็นเวลาอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง การนวดอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่จากตำแหน่งที่ต้องการหรือกระจายตัวไม่เท่ากัน ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ได้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์เพื่อดูแลและรักษาผลลัพธ์ให้ดีที่สุดค่ะ


ฉีดฟิลเลอร์ขมับมานอนตะแคงได้ไหม ?

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ขมับ ควรหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงอย่างน้อย 2-3 คืน เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่หรือการเสียรูปของฟิลเลอร์ การนอนตะแคงอาจทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่เท่ากันหรือเคลื่อนที่ไปจากบริเวณที่ฉีด และทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่สวยงามเท่าที่ควร 


หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ ควรนอนท่าไหน ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ควรนอนท่าไหน

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ขมับแล้ว ควรนอนหลับในท่านอนหงาย โดยหนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยลดอาการบวมและป้องกันฟิลเลอร์จากการเคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งที่ฉีดไว้ ควรหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับหรือเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์ อย่างน้อย 2-3 คืนหลังการฉีด หรือจนกว่าอาการบวมจะลดลงค่ะ


สรุป ฉีดฟิลเลอร์ขมับ 

การฉีดฟิลเลอร์ขมับถือเป็นวิธีแก้ไขปัญหาขมับตอบหรือยุบที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะสามารถเข้าไปช่วยเติมเต็มและปรับรูปขมับให้ดูอิ่มเอิบและเป็นธรรมชาติได้อย่างตรงจุด หลังทำสามารถเห็นผลลัพธ์ทันที โดยไม่ต้องกลับมาทำซ้ำหลายครั้ง และไม่ต้องพักฟื้นนาน 

สำหรับผู้ที่มีปัญหาขมับตอบ โหนกแก้มสูง วิธีนี้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพียงแต่ต้องทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญในคลินิกที่มีมาตรฐาน รวมถึงเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการปรับขมับให้ดูดีขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ? แชร์ 9 ทริก วิธีเลือกคลินิกทำแล้วใต้ตาสดใส ไม่เป็นก้อน!

0
ตัวยาของฟิลเลอร์ที่ใช้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดีก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ? การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความสวยงามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดีหลังทำด้วย

ในบทความนี้ จะมาแนะนำเคล็ดลับในการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ใต้ตาสดใส แก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างตรงจุด ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคากับเงินที่จ่ายไป 


9 สิ่งที่ควรพิจารณา ก่อนตัดสินใจเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการเติมเต็มสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA ) เข้าไปบริเวณใต้ตาเพื่อแก้ปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา รวมถึงริ้วรอยใต้ตา เพื่อช่วยให้ใบหน้าโดยรวม ดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

รีวิวและผลลัพธ์ก่อน-หลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา(1)

ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญจากแพทย์ รวมไปถึงการใช้ฟิลเลอร์แท้ที่มีคุณภาพ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน

ผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แล้วต้องการเห็นผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ดี สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ผลลัพธ์สวยงาม ปลอดภัย ดูเป็นธรรมชาติ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? ควรพิจารณา 9 สิ่งดังต่อไปนี้ 

1. คลินิกต้องได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง 

image15

การพิจารณามาตรฐานและความปลอดภัยของคลินิกที่จะเลือกใช้บริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ

✔ คลินิกต้องผ่านการรับรองและมีใบอนุญาต

คลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องเป็นคลินิกที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และได้รับอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาล จากกระทรวงสาธารณสุข สามารถสังเกตได้ที่ ป้ายชื่อคลินิกที่มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลักแสดงชัดเจน เปิดเผย หรือสามารถนำเอาชื่อคลินิก (ภาษาไทย) ไปตรวจสอบบนเว็บไซต์ตรวจสอบสถานพยาบาล เช็กข้อมูลเป็นความจริงได้ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ใช่คลินิกเถื่อนimage8

✔  คลินิกต้องสะอาด ปลอดเชื้อ และมีอุปกรณ์พร้อมใช้งาน

พื้นที่และบรรยากาศภายในของคลินิกควรสะอาดสะอ้าน กว้างขวาง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่แออัด รวมถึงมีอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาของคลินิก ที่ได้มาตรฐาน ทันสมัย พร้อมใช้งาน รวมถึงมีมาตรการป้องกันการติดเชื้อและการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เพื่อช่วยแก้ไขในกรณีฉุกเฉิน 

✔  คลินิกต้องมีแพทย์อยู่ประจำ 

คลินิกต้องมีแพทย์อยู่ประจำคลินิก โดยแพทย์ต้องแสดงชื่อ-นามสกุล รูปถ่าย รวมทั้งเลขที่ใบประกอบวิชาชีพ (เลขว.) ของแพทย์ให้เห็นอย่างชัดเจน 

2. แพทย์มีประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

การเลือกแพทย์ที่จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญข้อหนึ่ง เนื่องจากความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์มีผลต่อความปลอดภัย และผลลัพธ์หลังทำ 

ข้อดี ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ 

✔ ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แพทย์เข้าใจโครงสร้างใบหน้า ทำให้สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ

✔ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม ฟิลเลอร์เป็นก้อน ตาบอด ฯลฯ 

✔ ผลลัพธ์ที่ได้เหมาะกับใบหน้า แพทย์จะประเมินโครงสร้างใบหน้า รูปหน้า และปัญหาใต้ตาของแต่ละบุคคล เพื่อออกแบบการฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลและเป็นธรรมชาติ

✔ เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้เหมาะสม แพทย์จะเลือกยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ ที่มีความเหมาะสมกับปัญหาใต้ตาของแต่ละคน

✔ ได้รับคำแนะนำและการดูแลหลังทำ ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและมีความปลอดภัย

✔ ประหยัดเวลาและเงิน ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาและเงินไปกับการแก้ไข

จะรู้ได้อย่างไร ว่าแพทย์มีประสบการณ์ ฝีมือดี ? 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี สามารถนำชื่อแพทย์ไปตรวจสอบได้ ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา รวมถึงสืบค้นข้อมูลชื่อแพทย์บน Google เพื่อเช็กประวัติ ผลงานของแพทย์ มีรีวิวจากผู้ใช้บริการหรือไม่ ผลตอบรับเป็นอย่างไร เป็นต้น 

image3

3. ต้องมั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ นำเข้าอย่างถูกต้อง

ตัวยาของฟิลเลอร์ที่ใช้

การเลือกฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องพิจารณาอย่างละเอียด ตัวยาฟิลเลอร์ที่ใช้จะต้องมีความปลอดภัยและเหมาะสมกับคนไข้ 

การฉีดฟิลเลอร์ไม่ว่าจะตำแหน่งใด ต้องมั่นใจก่อนว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยกับ อย. และนำเข้าอย่างถูกต้องเท่านั้น เพื่อช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี

ฟิลเลอร์แท้ ผ่านอย. นำเข้าอย่างถูกต้อง สำคัญอย่างไร ? 

การันตีความปลอดภัย  ฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย.เป็นฟิลเลอร์ที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพอย่างเข้มงวด ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการฉีด 

ตัวยามีคุณภาพ  การใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่าน อย. และนำเข้าอย่างถูกต้อง จะมีกระบวนการจัดเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม สามารถคงคุณสมบัติตัวยาได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อนำมาใช้จึงทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี อยู่ได้นาน และไม่เกิดผลข้างเคียง 

ในขณะเดียวกัน หากเป็นฟิลเลอร์หิ้ว ที่ลักลอบนำมาใช้ จะไม่ผ่านการลงทะเบียน มีการขนส่งผิดวิธี และควบคุมอุณหภูมิตัวยาไม่เหมาะสม ส่งผลให้ตัวยาฟิลเลอร์เสื่อมคุณภาพ เมื่อนำมาฉีดอาจไม่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพไม่ยาวนาน และอาจเสี่ยงเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ 

เพื่อให้มั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นฟิลเลอร์แท้ สามารถให้หมอแกะกล่อง แกะหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า หลังฉีดควรเก็บกล่องและหลอดฟิลเลอร์กลับบ้านหรือถ่ายรูปเก็บไว้ตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์ HA (Hyaluronic Acid) แท้ ที่ได้มาตรฐานจริง ๆ

วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ 

image14

  1. ตรวจสอบเลขทะเบียน อย. บนกล่องฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แท้ทุกชนิดจะต้องมีเลขทะเบียน อย. บนกล่อง สามารถนำเลขอย.ไปตรวจสอบได้บนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ที่นี่ ในหมวดหมู่เครื่องมือแพทย์
  2. ตรวจสอบฉลากภาษาไทยบนกล่องฟิลเลอร์ ที่จะต้องระบุ ชื่อผลิตภัณฑ์ เลขทะเบียน อย. วันผลิต วันหมดอายุ ชื่อผู้ผลิต และข้อมูลติดต่อ
  3. ตรวจสอบให้เลข lot. รุ่นที่ผลิต และวันหมดอายุตรงกันทั้งบนกล่องและหลอด
  4. ตรวจสอบซีลบริเวณกล่องฟิลเลอร์ ว่ามีซีลปิดสนิท ไม่มีร่องรอยการแกะมาก่อน และตัวยาอยู่ในหลอดที่มีเข็มในแพ็กเกจแบบปลอดเชื้อ ไม่มีร่องรอยการเปิดใช้งาน
  5. ตรวจสอบสติกเกอร์และรอยประทับ ฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมีสติกเกอร์พิเศษหรือรอยประทับบนกล่อง
  6. ติดต่อบริษัทผู้ผลิต หากต้องการความมั่นใจเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามเลข lot. หรือข้อมูลคลินิกกับบริษัทผู้นำเข้าฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้น ๆ ได้โดยตรง

ข้อมูลเบอร์โทร ผู้นำเข้าฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ในประเทศไทย 

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane บริเษัทผู้นำเข้า Galderma โทร. 02-0231800 ต่อ 402
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm  บริเษัทผู้นำเข้า Allergan Thailand โทร.02-6404999 ต่อ 1
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero บริเษัทผู้นำเข้า Merz Aesthetics โทร.092-254-2662
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore บริเษัทผู้นำเข้า บอน-ชอง จำกัด  โทร. 081-291-5555
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse บริเษัทผู้นำเข้า เอ.เมนารินี จำกัด โทร. 02 696 8500 ต่อ 3
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Biohyalux บริเษัทผู้นำเข้า โซว เมดิคอล จำกัด โทร. 065 692 8987
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane บริเษัทผู้นำเข้า คอสม่า เมดิคอล จำกัด โทร. 02- 146-5445
  1. ตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ เลขทะเบียน อย. บนเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิต
  2. ใช้แอปพลิเคชันตรวจสอบฟิลเลอร์ เช่น แอป Eztracker ที่ใช้ตรวจสอบฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ของบริษัท Galderma หรือสแกนบาร์โค้ดบนกล่องฟิลเลอร์

4. เช็กรีวิวผลลัพธ์ก่อน-หลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

รีวิวและผลลัพธ์ก่อน-หลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การพิจารณารีวิวและผลลัพธ์ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจากคนไข้ที่เคยใช้บริการกับคลินิกนั้น ๆ เป็นอีกหนึ่งข้อที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยเพิ่มความมั่นใจก่อนฉีดได้ว่าจะไม่เสี่ยงเกิดผลข้างเคียงตามมาภายหลัง 

ข้อดีของการดูรีวิวจากคนที่เคยทำแล้ว มาแชร์ประสบการณ์ มักจะให้ภาพรวม ทั้งในด้านบริการ การดูแล ความเป็นมืออาชีพ รวมถึงผลลัพธ์หลังทำ 

ทั้งนี้ การค้นหารีวิวควรทำผ่านช่องทางหลากหลาย เช่น เว็บไซต์ของคลินิกเอง, เว็บไซต์รีวิวอิสระ, และโซเชียลมีเดีย เช่น Pantip, Google Map, Facebook Review, Facebook Group, หรือ Tiktok เป็นต้น เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมและหลากหลาย 

นอกจากนี้ การขอดูภาพรีวิวก่อน-หลังการทำจากคลินิกโดยตรงเลยก็เป็นวิธีที่ดี ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับคลินิกนั้น ๆ ได้ 

5. เลือกคลินิกที่เดินทางได้สะดวก ใกล้บ้าน 

image5

เมื่อต้องการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ความสะดวกในการเดินทาง คลินิกอยู่ในพื้นที่ ที่ปลอดภัย มองเห็นได้ง่าย เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรให้ความสำคัญ เพราะเมื่อมีการนัดหมาย ติดตามผล หรือมีข้อกังวลใจ คนไข้สามารถเดินทางไปยังคลินิกได้อย่างสะดวกสบาย เช่น ใกล้สถานีรถไฟฟ้า หรือมีที่จอดรถสะดวกสบายหากใช้รถส่วนตัว

6. คลินิกพร้อมให้คำปรึกษา ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การปรึกษาก่อนทำ

การมีโอกาสปรึกษากับแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะช่วยให้คนไข้สามารถประเมินความพึงพอใจก่อนเข้าใช้บริการจริงได้ เพราะได้สัมผัสประสบการณ์ตรงว่าแพทย์ให้คำแนะนำดีไหม รวมถึงรู้อัตราค่าใช้จ่าย รู้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ก่อนตัดสินใจฉีด  

นอกจากนี้ยังสามารถเห็นบรรยากาศภายในคลินิกว่าเป็นอย่างไร สะอาดหรือไม่ พนักงานดูแลอย่างไร ยิ้มแย้มพร้อมให้บริการหรือไม่ เป็นต้น 

7. ราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องสมเหตุสมผล ถูกมาก ๆ ต้องระวัง  

ความสมเหตุสมผลของราคาและค่าใช้จ่าย

ความสมเหตุสมผลของราคาและค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจว่าควรจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับคลินิกนั้นหรือไม่ 

โดยทั่วไปราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีราคามาตรฐานอยู่ สามารถนำราคาไปเปรียบเทียบกับหลาย ๆ คลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ในกรณีพบราคาถูก-แพงต่างกันมาก ๆ ต้องดูด้วยว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นฟิลเลอร์ยี่ห้อใด ถ้าเป็นฟิลเลอร์พรีเมียมจากฝั่งยุโรป จะมีราคาสูงกว่า ฟิลเลอร์ฝั่งเอเชีย อย่างเกาหลี หรือจีน ซึ่งคลินิกต้องแจ้งให้คนไข้ทราบอย่างชัดเจน ว่าใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อใด รุ่นใด 

หากพบราคาถูกมาก ๆ หรือมีคำโฆษณา เช่น ฉีดฟิลเลอร์ไม่จำกัด CC หรือฉีดฟิลเลอร์ราคาเหมาจ่าย ต้องระวัง เพราะอาจเสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้วได้ 

8. คลินิกควรมีการบริการติดตามผลหลังทำ

การบริการและการติดตามผลหลังทำการให้บริการติดตามผลหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงมาตรฐานและความรับผิดชอบของคลินิก และแพทย์ที่ให้บริการ การได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีหลังทำ และยังเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที 

9. คลินิกสามารถติดต่อได้หลากหลายช่องทาง 

image1

ควรเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง เพราะจะช่วยทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น  ไม่ว่าจะอยากถามอะไร เช่น จองคิว หรือปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาที่กังวล ก็ทำได้ง่าย ๆ แถมยังช่วยให้เรามั่นใจว่าคลินิกนี้เชื่อถือได้ ไว้ใจได้ หลังฉีดแล้วมีอะไรไม่แน่ใจ ก็ปรึกษาได้ตลอด ที่สำคัญ ยังให้เราวางแผนชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย ไม่ต้องรอแค่ช่องทางเดียว


หากเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ดี จะส่งผลอย่างไร ?

  • อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม ฟิลเลอร์เป็นก้อน รอยฟกช้ำ การติดเชื้อ ตาอักเสบ ตาบอด
  • ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามความต้องการ ใต้ตาดูไม่เต็ม ใต้ตาดูแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ 
  • เสียเวลา เสียเงิน ต้องเสียเงินแก้ไขหรือเสียเวลาไปกับการรักษาผลข้างเคียง
  • มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ จากการใช้ฟิลเลอร์ปลอม อันตรายต่อร่างกาย มีสารปนเปื้อน 
  • มีปัญหาทางจิตใจ เช่น รู้สึกกังวล เครียด สูญเสียความมั่นใจ

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าผลของการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ดีนั้น มีข้อเสียมากมาย 

ดังนั้น ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิก เพราะมีความสำคัญต่อผลลัพธ์ ความปลอดภัย และสุขภาพ หลัก ๆ ก่อนทำ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ทำโดยแพทย์มากประสบการณ์ และใช้ฟิลเลอร์แท้ ผ่าน อย. นำเข้าอย่างถูกต้องเป็นอันดับแรก


การเตรียมความพร้อม ก่อนไปฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

เมื่อรูู้ 9 สิ่งที่ควรพิจารณาและรู้ว่าควรจะไปฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ? แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมความพร้อมสำหรับไปฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อช่วยให้การฉีดเป็นไปอย่างราบรื่น และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปฎิบัติ ดังนี้ 

  • ประมาณ 1 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มบางประเภท เช่น กระเทียม, ขิง, ใบแปะก๊วย และควรงดการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน, ยาดิคลอฟีแนค รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินอีและน้ำมันตับปลา เนื่องจากอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ทำให้เกิดอาการช้ำและบวมง่ายกว่าปกติ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวและจำเป็นต้องทานยาเหล่านี้เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เพื่อความปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการใด ๆ บนใบหน้า เช่น การนวดหน้าหรือการเลเซอร์ เพื่อป้องกันผลกระทบหรือการระคายเคืองต่อผิวหนัง แต่หากเคยทำมาก่อนแล้วควรเว้น 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นตัวและอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
  • 24 ชั่วโมง ก่อนทำ ควรงดกิจกรรมที่ทำให้หัวใจทำงานหนัก เช่น ออกกำลังกายหนักหรือเข้าซาวน่า เพราะอาจทำให้หลอดเลือดขยายและอาจเพิ่มความเสี่ยงของการช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์
  • 2 วัน ก่อนทำ ควรหลีกเลี่ยงการกำจัดขนบนใบหน้า เช่น การแว็กซ์ โกนขน หรือใช้ครีมกำจัดขน เพื่อป้องกันการระคายเคืองบนผิว
  • 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  เพื่อลดโอกาสเกิดการบวมและรอยช้ำ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิดบนผิวหน้า ที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองหรือเกิดการอักเสบ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเรตินอยด์หรือกรดผลไม้
  • ทำความสะอาดผิวหน้า ล้างหน้าให้สะอาดก่อนไปคลินิก เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
  • เตรียมจิตใจ เพื่อให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงหลังฉีด และเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาตามที่แพทย์แนะนำ

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

image9

  • หลังฉีดสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
  • ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ โดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที ขณะล้างไม่ควรขัดหรือนวดหน้า
  • อยู่ในอากาศเย็น ๆ จะช่วยลดอาการบวมลงได้เร็วขึ้น
  • อาจปวดระบมตามรอยเข็ม สามารถทานยาแก้ปวดได้
  • งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
  • งดทำทรีตเมนต์และซาวน่า 14 วัน 

สรุป ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการที่ใด ควรพิจารณาทั้ง 9 ข้อที่แนะนำไว้ข้างต้นอย่างละเอียด ไม่ควรรีบร้อน ควรใช้เวลาศึกษาข้อมูลและพิจารณาคลินิกแต่ละแห่งที่กำลังสนใจอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจมากที่สุด และหลังทำได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ปลอดภัย คุ้มค่าคุ้มราคากับเงินที่จ่ายไป  

เมโสแฟต ฉีดสลายไขมันเร่งด่วน คืออะไร ? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนฉีด

0
เมโสแฟต

เมโสแฟต

เมโสแฟต หรือการฉีดสลายไขมัน เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมาก ในคนที่ต้องการลดไขมันเฉพาะส่วนแบบเร่งด่วน โดยไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดหรือดูดไขมัน มีผลข้างเคียงน้อย และไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน 

ในบทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับเมโสแฟตให้มากขึ้น ก่อนตัดสินใจไปฉีด ว่ามีข้อควรรู้อะไรบ้าง ? เช่น เมโสแฟต คืออะไร ช่วยอะไร มีขบวนการทำงานอย่างไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้าง ควรเลือกเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี 2024 ใช้กี่ CC กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน ? 

อะไรคือเมโสแฟต ?

เมโสแฟต คืออะไร ?

เมโสแฟต เป็นการฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินในพื้นที่ที่ต้องการ โดยตัวยาที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตมีสารออกฤทธิ์หลัก ๆ ที่ช่วยในการสลายไขมัน คือ 

  • สารสกัด Artichoke extract (Cynara scolymus) ที่ช่วยกระตุ้นการผลิตโคเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับกระบวนการสร้างและเติบโตของเซลล์ ช่วยลดไขมันในร่างกาย และลดการสร้างกรดไขมัน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไขมันส่วนเกิน ต้องการลดไขมันส่วนเฉพาะจุด เช่น ลดแก้ม ลดเหนียง หรือลดเซลลูไลท์
  • Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นให้เอนไซม์ที่ช่วยย่อยไขมันทำงานมากขึ้น ช่วยลดการสร้างไตรกลีเซอไรด์และควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอลในเนื้อเยื่อ
  • L-carnitine ช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานได้มากขึ้น โดยเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน ซึ่งช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน

ทำไมต้องฉีดเมโสแฟต ? 

ทำไมต้องฉีดเมโสแฟต

การฉีดเมโสแฟตเป็นวิธีการลดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัด เป็นการใช้ตัวยาเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสลายไขมันในจุดที่เราไม่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่ออกกำลังกายยังไงก็ไม่หายไป วิธีนี้เป็นวิธีที่มีการเลือกใช้กันอย่างแพร่หลายมากในปัจจุบัน เพราะ

  • เร็วและง่าย ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการใช้มีดผ่าตัด จึงไม่มีแผลหรือต้องพักฟื้น
  • เจ็บน้อย การฉีดจะเจ็บเพียงเล็กน้อยจากการลงเข็ม สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เลยหลังฉีด
  • ลดไขมันเฉพาะจุดได้ดี สามารถเลือกลดไขมันได้ตามจุดที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแก้ม เหนียง ท้อง ขา หรือแขน 
  • ผิวกระชับขึ้น นอกจากลดไขมันแล้ว ยังช่วยให้ผิวในบริเวณนั้นดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น

ฉีดเมโสแฟตแล้วช่วยอะไร ?

การฉีดเมโสแฟตคือการฉีดตัวยาเมโสแฟตเข้าไปในพื้นที่ที่มีไขมันสะสม เพื่อช่วย

  • สลายไขมัน ทำให้ไขมันในบริเวณที่ฉีดสลายและลดลง
  • กระชับผิว  หลังจากไขมันลดลง ผิวในบริเวณนั้นจะดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น
  • ปรับสัดส่วน ช่วยให้รูปร่างและสัดส่วนดูดีขึ้นตามพื้นที่ที่เราต้องการ

เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินแบบเฉพาะจุด บริเวณแก้ม เหนียง หน้าท้อง ขา หรือแขน 

กระบวนการทำงานของเมโสแฟต 

กระบวนการทำงานของการฉีดสลายไขมันเมโสแฟต คือ การใช้ตัวยาช่วยให้ไขมันแตกตัว หรือสลายตัว หลังจากนั้นไขมันจะถูกขับออกทางระบบขับถ่าย ทำให้ไขมันบริเวณที่ฉีดลดลง ดังนี้ 

  1. กระบวนการสลายไขมัน: เมโสแฟต ใช้สารสกัดธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อช่วยลดไขมันในส่วนที่ต้องการ ตัวยาหลักที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตจะอยู่ในกลุ่มของ Phosphatidylcholine, Deoxycholate, Dexpanthenol, L-carnitine, กรดอะมิโน และแร่ธาตุ ซึ่งมาจากแหล่งธรรมชาติอย่างถั่วเหลือง ไข่แดง และวิตามินหลายชนิด โดยที่สารเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมันและสลายเซลล์ไขมัน
  2. กระบวนการกำจัดไขมัน :ไขมันที่ถูกสลายจากตัวยาจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบขับถ่าย การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยเร่งการขับไขมันออกจากร่างกาย
  3. กระบวนการการเห็นผลลัพธ์ :ทำให้บริเวณที่ฉีดเมโสแฟตมีไขมันลดลง ทำให้ผิวดูกระชับและรูปร่างดูดีขึ้น จำนวนครั้งในการฉีด ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่สะสม

ข้อดีของเมโสแฟต 

✔ ลดไขมันส่วนเกิน เมโสแฟตช่วยละลายไขมันในส่วนที่เราไม่ต้องการ ทำให้รูปร่างดูดีขึ้น
✔ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้มีดผ่าตัดหรือเข้าโรงพยาบาล ทำให้ไม่มีแผลหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
✔ ฟื้นตัวเร็ว  หลังฉีดเสร็จสามารถกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นนาน
✔ เจ็บน้อย มีความเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัด ไม่ต้องดูแลตัวเองยุ่งยากหลังทำ
✔ ผิวกระชับ-เรียบเนียน  นอกจากช่วยลดไขมันแล้ว ยังช่วยให้ผิวในบริเวณที่ฉีดดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น
✔ รูปร่าง -สัดส่วนดีขึ้น ช่วยให้สัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดูสมส่วนและมีรูปร่างที่ดูดีขึ้น
✔ เหมาะสำหรับการลดไขมันเฉพาะจุด เช่น ลดไขมันที่แก้ม เหนียง หน้าท้อง ขา หรือแขน ที่อาจลดยากแม้ออกกำลังกาย
✔ ประหยัดงบ ไม่ต้องไปดูดไขมันที่มีราคาสูง เหมาะกับคนที่มีงบจำกัด เพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก 

ข้อเสียเมโสแฟต 

แม้ว่าเมโสแฟตจะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาเช่นกัน  คือ

  • ผลลัพธ์ที่อาจอยู่ได้ไม่นานถาวร หากขาดการดูแล ควบคุมน้ำหนักและไม่มีการออกกำลังกาย ไขมันสามารถกลับมาสะสมใหม่ได้
  • ในคนที่มีไขมันสะสมมาก อาจต้องฉีดหลายครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ 
  • อาจมีผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แต่จะหายไปได้เอง ในช่วงอาทิตย์แรก ๆ หลังทำ
  • เมโสแฟตไม่ใช่ยาลดน้ำหนัก ไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักตัวโดยรวมได้

ฉีดเมโสแฟต ยี่ห้อไหนดี 2024 

ตัวยาเมโสแฟตมีหลายยี่ห้อที่ใช้กันในตลาด แต่ละยี่ห้อมีส่วนผสมและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างยี่ห้อเมโสแฟตที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน 2024 ได้แก่ 

1. เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella 

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella

จุดเด่น

ฉีดแล้วยุบดี ไม่บวมแดง ไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย มีตัวยาที่สกัดจากธรรมชาติ ทั้งสำหรับลดไขมัน ลดเซลลูไลท์ ยกกระชับผิว และลดอาการบวมน้ำ ใช้ฉีดได้หลายส่วนของร่างกาย เช่น เหนียงใต้คาง แก้ม ต้นขา สะโพกและน่อง

2. เมโสแฟตยี่ห้อ FNC30 

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC30

จุดเด่น

ยี่ห้อเมโสแฟตพรีเมียม ฉีดแล้วยุบดี รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีแก้มและเหนียงเยอะจากไขมันส่วนเกิน ตัวยามีกลไกสลายไขมันให้แตกตัว (Special Peptides) ช่วยในการยกกระชับหน้า ปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง และลดการสะสมของชั้นไขมัน

3. เมโสแฟตยี่ห้อ Babi Neo one 

เมโสแฟตยี่ห้อ Babi Neo one

จุดเด่น

เป็นยี่ห้อเมโสแฟตแบบพรีเมียมที่ฮิตมาก ฉีดแล้วแสบน้อยที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย เนื่องจากตัวยามีประสิทธิภาพในการสลายไขมันพร้อมทั้งช่วยยกกระชับผิว ทำให้นิยมใช้ฉีดเพื่อลดแก้ม ลดเหนียง และช่วยให้รูปหน้าดูเรียวขึ้น เห็นผลลัพธ์เร็วภายใน 3 วัน

4. เมโสแฟตยี่ห้อ Vline 

เมโสแฟตยี่ห้อ Vline

จุดเด่น

เป็นเมโสแฟตทางเลือกใหม่จากเกาหลี ที่ช่วยลดเซลลูไลท์ ทำให้ผิวกระชับขึ้น และเร่งให้ไขมันส่วนเกินยุบได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับยี่ห้อ FNC แต่อาจทำให้รู้สึกแสบมากกว่าขณะฉีด

เตือน! ระวังเมโสแฟตปลอม 

เมโสแฟตปลอม

เมโสแฟตปลอม คือ ตัวยาหรือสารที่ลักลอบนำมาใช้แทนตัวยาเมโสแฟตจริงเพื่อฉีดสลายไขมัน แต่ไม่ผ่านมาตรฐานคุณภาพ เนื่องจากอาจมีสารปนเปื้อนหรือสารอันตรายที่ไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (อย.) เช่น สเตียรอยด์ (Steroid) และ ยาสลายฟิลเลอร์ (hyaluronidase)

บางคลินิกจะใช้สารเหล่านี้ ในวิธีที่ผิด ด้วยการนำมาฉีดเพื่อสลายไขมันในปริมาณมาก ๆ ช่วงแรกอาจเห็นผลเร็ว แต่เมื่อผ่านไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ถึงขั้นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ทำให้หน้าบวมกว่าเดิม เสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น หรือส่งผลให้เนื้อยุบลงอย่างรวดเร็ว ผิวเสื่อมสภาพ รวมถึงเกิดริ้วรอยก่อนวัย และผิวหย่อนคล้อย  

ดังนั้น ก่อนเลือกฉีดเมโสแฟต ควรตรวจสอบยี่ห้อเมโสแฟต ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย 

วิธีสังเกตเมโสแฟตแท้-ปลอม 

เมโสแฟตแท้ ✅ 

เมโสแฟตปลอม ❌

แหล่งที่มา
  • คลินิกซื้อตัวยาจากบริษัทผู้นำเข้ายี่ห้อเมโสแฟตนั้น ๆ โดยตรง และมีใบรับรองอย่างถูกต้อง
  • สามารถตรวจสอบจากเลข Lot.บริษัทนำเข้า หรือ QR Code ที่หลังกล่องได้
  • ซื้อจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน มักซื้อขายออนไลน์ และผู้ซื้อไม่ใช่แพทย์ 
ลักษณะของบรรจุภัณฑ์
  • มีฉลากภาษาไทยที่ชัดเจน
  • ข้อมูลบนฉลากตรงกับตัวยาจริง
  • บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพดี
  • ไม่มีฉลากภาษาไทย หรือมีฉลากที่ไม่ชัดเจน
  • ข้อมูลบนฉลากไม่ตรงกับตัวยาจริง
  • บรรจุภัณฑ์ไม่มีเลขทะเบียน อย.
  • บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยมีร่องรอยการแกะ
ผลหลังฉีด
  • เกิดอาการบวมจากตัวยาเพียงเล็กน้อย สามารถหายได้เอง
  • ค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์
  • ไขมันสะสมลดลง
  • รูปหน้าเรียวขึ้น
  • เกิดอาการบวมแดง อักเสบ รุนแรง
  • ผิวหนังเป็นรอยบุ๋ม
  • ติดเชื้อ
  • ผิวหนังบาง
  • เส้นเลือดโป่ง
  • อาการแพ้รุนแรง

เมโสแฟต ซื้อมาฉีดเองได้ไหม ? 

เมโสแฟต ซื้อมาฉีดเองได้ไหม ?

เมโสแฟต ไม่สามารถซื้อมาฉีดเองได้ เนื่องจากเมโสแฟตเป็นตัวยาควบคุม การซื้อตัวยาต้องซื้อโดยแพทย์เท่านั้น เพราะมีกฎหมายควบคุม กรณีที่ซื้อมาฉีดเองได้ การันตีได้ว่าตัวยาที่ซื้อมาเป็นยาปลอม ไม่ได้มาตรฐาน บวกกับนำมาฉีดเอง โดยที่ไม่มีความรู้ กระบวนการฉีดไม่เหมาะสม เสี่ยงเกิดอันตรายได้  

การฉีดเมโสแฟตต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญเท่านั้น เพราะต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะทาง แพทย์จะวิเคราะห์ปริมาณยาและจุดฉีดที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล กรณีการฉีดเองโดยไม่มีความรู้และประสบการณ์อาจโอกาสเสี่ยง อักเสบ ติดเชื้อสูง 

ข้อควรรู้ : การฉีดเมโสแฟตควรทำกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้  กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการ เพื่อความปลอดภัยและการเห็นผลลัพธ์ที่ดี

เมโสแฟต อันตรายไหม ?

เมโสแฟต ปลอดภัย หากได้รับการฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน 

อย่างไรก็ตาม ความอันตรายอาจเกิดขึ้นได้ถ้าใช้เมโสแฟตที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปลอม ซึ่งอาจมีสารปนเปื้อนหรือสารอันตรายที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย.  

นอกจากนี้ การฉีดโดยแพทย์ผู้ที่ขาดประสบการณ์ เช่น หมอกระเป๋า หมอเถื่อน พยาบาล อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ อักเสบ หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่ตามมาได้ 

เมโสแฟตเหมาะกับใคร – ไม่เหมาะกับใคร ? 

เมโสแฟต เหมาะกับ

  • ผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น แก้ม เหนียง หน้าท้อง แขน ขา 
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันในจุดที่ลดยาก แม้จะพยายามออกกำลังกายแล้ว
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันเร่งด่วน ด้วยงบจำกัด
  • ผู้ที่ไม่อยากผ่าตัดหรือดูดไขมัน เพราะกลัวความเจ็บ 

เมโสแฟต ไม่หมาะกับ 

  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง  เช่น โรคหัวใจ, โรคตับ, โรคไต หรือโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด เช่น ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือมีประวัติการเกิดลิ่มเลือด
  • ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร  เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้สารที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟต 
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบที่บริเวณที่จะทำการฉีด ควรรักษาให้หายก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ
  • ผู้ที่มีโรคผิวหนังหรือปัญหาทางผิวหนังที่บริเวณที่จะฉีด เช่น โรคสะเก็ดเงินหรือเอ็กซีมา
  • ผู้ที่มีมะเร็งหรือประวัติของโรคมะเร็ง  เนื่องจากการกระตุ้นการไหลเวียนอาจส่งผลต่อสภาวะของโรค

เมโสแฟตฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

เมโสแฟตสามารถฉีดได้ที่หลายจุดบนร่างกายที่ต้องการลดไขมัน ได้แก่ 

เมโสแฟตฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

  • แก้ม สำหรับคนที่ต้องการลดขนาดแก้มให้เล็กลง
  • คาง ลดไขมันส่วนเกินใต้คาง เหนียง
  • หน้าท้อง ช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง
  • ต้นขา ลดไขมัน ลดเซลลูไลท์ บริเวณต้นขาให้ดูกระชับขึ้น
  • แขน ช่วยให้แขนดูเล็กลง กระชับขึ้น
  • หลัง ลดไขมันส่วนเกินบริเวณหลัง
  • สะโพก ช่วยปรับรูปสะโพกให้ดูมีสัดส่วน เอว S

ฉีดเมโสแฟต สลายไขมันแต่ละจุด ใช้กี่ CC ? 

เมโสแฟต (Meso Fat) โดยส่วนใหญ่แล้ว จะมาในขวดละ 10 CC การฉีดแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ที่พิจารณาจากความเหมาะสม ความต้องการของคนไข้ และจำนวนไขมันที่ต้องการลดในบริเวณนั้น ๆ 

ปริมาณที่ใช้ในการฉีดเมโสแฟตแต่ละจุด โดยประมาณ มีดังนี้ 

  • 6-24 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดแก้ม
  • 6-24 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดเหนียง
  • แขนข้างละ 20-40 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดต้นแขน
  • ขาข้างละ 40 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดต้นขา
  • 40-80 CC สำหรับ ฉีดเมโสแฟตลดหน้าท้อง 

ฉีดเมโสแฟตเจ็บมากไหม ? 

การฉีดเมโสแฟตเจ็บมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณยาที่ใช้ เทคนิคการฉีดของแพทย์ และการแปะยาชา 

โดยปกติแล้ว การฉีดเมโสแฟตจะรู้สึกตึง ๆ และเจ็บเล็กน้อย คล้ายกับการถูกมดกัด ในขณะที่แพทย์กำลังเดินยา ซึ่งจะมีการประคบน้ำแข็งให้ด้วยระหว่างฉีด  

สำหรับใครที่กลัวเจ็บมาก ๆ สามารถแจ้งแพทย์ได้ก่อนทำ เลือกคลินิกที่มีบริการแปะยาชา หรือฉีดยาชา และทานยาแก้ปวดก่อนฉีดเมโสแฟตได้ ไม่ต้องกังวล

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสแฟต

  1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเลือดออกหรือช้ำ เช่น แอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ
  2. ดื่มน้ำมาก ๆ ในวันก่อนทำ เพื่อช่วยให้ร่างกายและผิวพร้อมสำหรับการฉีดเมโสแฟต
  3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดช้ำและบวม

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสแฟตเป็นอย่างดี จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีหลังการฉีดเมโสแฟตและลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงได้ 

ขั้นตอนการฉีดเมโสแฟต 

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปริมาณไขมัน และจำนวน CC ที่จะใช้ในการฉีดเมโสแฟต
  2. เตรียมผิวบริเวณที่จะฉีดเมโสแฟต ด้วยการทำความสะอาดและแปะยาชาก่อนทำ 30 นาที เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีด 
  3. ฉีดเมโสแฟตเข้าไปในบริเวณที่ต้องการลดไขมันส่วนเกิน 
  4. นวดบริเวณที่ฉีดเสร็จ เพื่อช่วยให้ตัวยาเมโสแฟตกระจาย
  5. แพทย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต
  6. นัดติดตามผลหลังฉีด เพื่อประเมินผลลัพธ์หลังทำ

ผลข้างเคียงหลังฉีดเมโสแฟต 

หลังจากฉีดเมโสแฟต อาจเจอผลข้างเคียงทั่วไป คือ 

  • มีรอยเขียวเล็ก ๆ เกิดจากเข็มที่ใช้ฉีดเมโสแฟต ในบางคนที่ผิวบางหรือช้ำง่ายอาจทำให้รอยเขียวเห็นได้ชัดเจน แต่จะหายไปได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมง
  • อาการบวม เนื่องจากเมโสแฟตทำงานโดยการแตกตัวไขมันส่วนเกิน บริเวณที่ฉีดอาจบวมขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณและยี่ห้อของเมโสแฟตที่ใช้ 

ส่วนผลข้างเคียงที่ไม่ควรเกิด แต่อาจเจอได้ คือ 

  • อาการแพ้ พบได้น้อยมาก เพราะเมโสแฟตมีความปลอดภัยเพราะทำมาจากสารสกัดธรรมชาติ แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ต่อสารในเมโสแฟตได้
  • อาการปวดหรืออักเสบ หากขั้นตอนการฉีดไม่สะอาดหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจนำเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราเข้าสู่บริเวณที่ฉีด ทำให้เกิดการอักเสบหรือปวดได้

ทำไมฉีดเมโสแฟตแล้วหน้าบวม บวมกี่วัน ?

หลังฉีดเมโสแฟต จะมีอาการบวมประมาณ ประมาณ 3-4 ชั่วโมงหลังการฉีด เนื่องจากเมโสแฟตทำปฏิกิริยากับเซลล์ไขมัน โดยทำให้ไขมันแตกตัว ส่งผลให้เกิดอาการบวมขึ้น เป็นเรื่องปกติ 

ฉีดเมโสแฟต กี่ครั้งถึงเห็นผล ?

หลังฉีดเมโสแฟต จะค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนใน 1-3 สัปดาห์ โดยไขมันจะเริ่มสลายตัว 10-15% ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและการดูแลตัวเองของแต่ละคน หากต้องการให้ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสแฟตชัดเจนและอยู่ได้นานมากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีไขมันสะสมค่อนข้างมาก ควรฉีดต่อเนื่องประมาณ 4-5 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้

เมโสแฟตฉีด เห็นผลในกี่วัน

ฉีดเมโสแฟต อยู่ได้นานกี่เดือน ? 

เมโสแฟตอยู่ได้นาน 2-3 เดือน หรือมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยูู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีด หากฉีดแล้วไม่ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย ไขมันก็อาจจะกลับมาสะสมเหมือนเดิมได้

วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต 

  1. ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยขับไขมันที่เมโสแฟตสลายออกมาได้ดีขึ้น 
  2. ควรควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารทอดและไขมันสูงเพื่อไม่ให้ไขมันสะสมใหม่ 
  3. ควรออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดินเร็ว หรือแอโรบิก อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อเร่งการลดไขมัน หลังฉีดเมโสแฟต 
  4. นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานปกติและลดไขมันได้ดีขึ้น 

หลังฉีดเมโสแฟตไม่ควรทำอะไร ?

หลังฉีดเมโสแฟต สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นหรือหยุดการแต่งหน้า แต่มีข้อควรระวังเพียงไม่กี่อย่าง คือ 

  1. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า 1 อาทิตย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการบวมหรือฟกช้ำเพิ่ม
  2. ไม่ควรขัดหน้าหรือทำทรีทเม้นต์ผิว และหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดรอยช้ำ
  3. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 3 วัน เพื่อลดอาการบวมช้ำ
  4. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันและน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันไขมันสะสมใหม่

หลังฉีดเมโสแฟต ห้ามกินอะไร ?

หลังฉีดเมโสแฟต ห้ามกินอะไร

หลังฉีดเมโสแฟต สามารถกินอาหารได้ตามปกติ ไม่มีข้อจำกัดเฉพาะ แต่สำหรับอาหารหมักดอง แม้ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด แต่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจมีสารที่ทำให้บวมหรือกระตุ้นการอักเสบ ถ้าจำเป็นต้องกิน ก็ไม่ได้ถือเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดโอกาสบวม

ฉีดเมโสแฟต ราคาเท่าไหร่ ?

ฉีดเมโสแฟต ราคาเริ่มต้นที่

  • 2,000 – 2,500 บาท / 6 CC 
  • 3,200 – 4,000 บาท  / แบบเหมาขวด 10 CC 
  • 9,000 –  9,900 บาท / 5 ครั้ง 6 CC

ทั้งนี้ ราคาเมโสแฟต ยังขึ้นอยู่กับปริมาณ CC ที่ใช้ ยี่ห้อเมโสแฟตที่เลือกใช้ และจำนวนครั้งในการฉีด หากต้องการทราบราคาฉีดเมโสแฟตอย่างชัดเจน แนะนำให้สอบถามข้อมูลกับคลินิกที่สนใจโดยตรง หรือเข้าไปปรึกษากับแพทย์ก่อนได้ 

ฉีดเมโสแฟต ที่ไหนดี ? เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ในด้านความสะอาด ความปลอดภัย 
  • เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ผ่านการฉีดมาหลายเคส เป็นผู้ฉีดเมโสแฟต 
  • เลือกคลินิกที่ใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ มีการเปิดตัวยาให้เช็กก่อนฉีด 
  • เลือกคลินิกที่มีรีวิวก่อน-หลังฉีดเมโสแฟต ให้ดูทั้งแบบรูปและคลิป รวมถึง Comment รีวิวที่พูดถึงคลินิกบนช่องทางสื่อต่าง ๆ 
  • เลือกคลินิกที่เดินทางได้สะดวก ใกล้บ้าน มีหลายสาขา มีที่จอดรถเพียงพอ
  • เลือกคลินิกที่ติดต่อได้สะดวก มีหลากหลายช่องทาง
  • เลือกคลินิกที่มีพนักงานบริการดี สุภาพ ไม่ยัดเยียดคอร์ส

สรุป เมโสแฟต 

สำหรับใครต้องการปรับรูปหน้า ลดแก้มลดเหนียง หรือต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินออกยากด้วยการออกกำลังกาย การฉีดเมโสแฟตถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่ช่วยลดไขมันได้อย่างรวดเร็ว ฉีดแล้วเห็นผลลัพธ์ภายใน 1-3 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนฉีดเมโสแฟต ควรหาข้อมูลอย่างรอบคอบ และเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ต้องมั่นใจว่าใช้ตัวยาเมโสแฟตแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มากประสบการณ์เท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึกอย่างตรงจุด! เลือกยี่ห้อไหนดี ? ใช้กี่ CC ? ราคาเท่าไหร่ ?

0
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ริ้วรอยร่องแก้มเป็นหนึ่งในจุดที่สามารถสังเกตได้ง่าย และส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย จนหลาย ๆ คนเสียความมั่นใจเวลาพูดหรือยิ้ม การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีที่ช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม และปรับให้ผิวบริเวณแก้มเรียบเนียนได้อย่างตรงจุด จึงได้รับความนิยมมากทั้งในผู้ชายและผู้หญิง

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ? ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้อย่างไร ? ใช้กี่ CC ? เลือกยี่ห้อไหนดี ? ราคาเท่าไหร่ ? กี่วันเห็นผล ? และสามารถทำคู่กับหัตถการใดได้บ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ การแก้ปัญหาร่องแก้มลึกด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจล และมีความคงตัว เข้าไปทดแทนโครงสร้างกระดูก หรือเนื้อเยื่อที่ยุบตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร

การฉีด Filler ร่องแก้ม เป็นการแก้ปัญหาร่องแก้มได้อย่างตรงจุด หลังฉีดสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ผิวบริเวณร่องแก้มตื้นขึ้น ลดเลือนริ้วรอยร่องแก้มได้รวดเร็วและเป็นธรรมชาติ และยังช่วยทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดเรียบเนียนขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการเก็บกักเก็บความชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จึงทำให้ผิวดูสุขภาพดี ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

ริ้วรอยร่องแก้ม เกิดจากสาเหตุใด ? 

เพื่อสามารถแก้ปัญหาร่องแก้มได้อย่างตรงจุด การรู้สาเหตุของริ้วรอยร่องแก้มว่าเกิดจากสาเหตุใด ก็จะสามารถวางแผนการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง

1. ริ้วรอยร่องแก้มลึก ที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูกร่องแก้ม

ปัญหาร่องแก้มลึก อย่างเห็นได้ชัด มักพบในคนที่มีอายุ สาเหตุจากเมื่ออายุมากขึ้นโครงสร้างผิวและกระดูกที่เคยยกพยุงใบหน้าจะเริ่มทรุดตัวลง รวมถึงเส้นเอ็นบริเวณใบหน้าเริ่มหย่อน ตามแรงโน้มถ่วงของโลก จึงส่งผลให้ ไขมันชั้นลึกบริเวณหน้าแก้มเปลี่ยนตำแหน่ง เคลื่อนตัวจากบนลงล่าง หรือกองบริเวณข้างร่องแก้ม ใบหน้าส่วนล่างจึงหย่อนคล้อย ใบหน้าโดยรวมดูหน้าตก แก้มตก มองเห็นร่องแก้มลึกได้อย่างชัดเจน 

ร่องแก้มลึกจากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้ม

สาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เข้าไป ทดแทนการทรุดตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้ม เพื่อยกใบหน้าให้ดูกระชับขึ้น ทำให้ริ้วรอยร่องแก้มตื้นขึ้น ใบหน้าดูเล็กลง 

2. ร่องแก้มลึกจากกระดูกบริเวณใต้ตาทรุดตัวลง 

ปัญหาร่องแก้มลึกสามารถเกิดได้จากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตาเช่นกัน ส่งผลทำให้เนื้อแก้มด้านบนหย่อนคล้อยลงมากองอยู่เหนือร่องแก้ม และร่องแก้มดูลึกขึ้น สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์เช่นกัน แต่หากฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเพียงอย่างเดียว จะทำให้ยิ่งมีเนื้อกองมากขึ้น และใบหน้าดูอูม ดูอ้วน ผิดธรรมชาติได้

ร่องแก้มลึกจากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา

การแก้ไขจึงจำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในชั้นกระดูกก่อนเพื่อดึงโครงสร้างผิวโดยรวมขึ้นไปด้านบน จะช่วยให้เนื้อที่กองเหนือร่องแก้มลดลง และร่องแก้มดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากนั้นค่อยฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม  ก็จะได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ 

3. ร่องแก้มลึกจากการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ 

ร่องแก้มลึกจากการแสดงสีหน้า

เมื่อเราแสดงสีหน้าบ่อย ๆ เช่น การยิ้ม หรือหัวเราะ สามารถทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงรั้งร่องแก้มแข็งแรงมากเกินไปได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาร่องแก้มเร็วขึ้น แม้อายุยังไม่มาก

วิธีการสามารถฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเทคนิค Myomodulation ซึ่งเป็นการฉีดฟิลเลอร์กดกล้ามเนื้อ หรือการฉีดหนุน เพื่อควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วน รวมกับการฉีดโบท็อก เทคนิค Dermotoxin ซึ่งจะฉีดโบท็อกในปริมาณน้อยมาก เพื่อคลายกล้ามเนื้อบางจุดที่แข็งมาก ๆ ให้คลายตัวลง ก็จะช่วยให้ร่องแก้มตื้นและเต็มเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

4. ร่องแก้มลึกจากผิวแห้ง ขาดการบำรุง 

ร่องแก้มลึกจากผิวแห้ง

ในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน เพราะต้องเจอกับมลภาวะ และแสงแดดบ่อย ๆ แต่ขาดการบำรุงที่เหมาะสมก็จะส่งผลให้ชั้นผิวบนใบหน้าแห้งและบางลง จึงทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น โดยส่วนใหญ่จะสังเกตเห็นเป็นริ้วรอยร่องแก้มตื้น ๆ หรือเป็นริ้ว ๆ บนชั้นผิว 

ปัญหานี้สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเช่นกัน แต่จะเป็นการฉีดเพื่อเติมความชุ่มชื้นลงในชั้นผิวโดยตรง และเพิ่มการกักเก็บน้ำ นิยมเลือกฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก และเนื้อละเอียด เพื่อให้เรียบเนียนไปกับผิว หลังฉีดแล้วไม่เป็นก้อน ผิวฟู ผิวอิ่มน้ำ ดูสุขภาพดีได้ 

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้กี่ CC ?

ปริมาณ CC ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแต่ละเคส แต่ละสาเหตุ จะไม่เท่ากัน ตัวเองเช่น 

  • เคสทั่วไป ในกลุ่มที่อายุไม่มาก แต่เริ่มมองเห็นริ้วรอยร่องแก้ม หากต้องการปรับผิวให้ดูเรียบเนียน และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต ใช้ฟิลเลอร์ 1-2 CC ในการเติมร่องแก้มทั้ง 2 ข้าง ก็เพียงพอแล้ว 
  • เคสที่อายุมาก ในกลุ่มที่อายุมาก และริ้วรอยร่องแก้มลึก แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ 3-4 CC ครับ และทำร่วมกับหัตถการอื่น เช่น Hifu และร้อยไหม เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ยี่ห้อไหนดี ? อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ยี่ห้อไหนดี

ในปัจจุบันมีฟิลเลอร์ให้เลือกหลายยี่ห้อ โดยยี่ห้อที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม และผ่านการรับรองมาตรฐานและความปลอดภัย จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.ไทย)  มียี่ห้อที่ได้ความนิยม ดังนี้ 

  • Juvederm Ultra Plus (อยู่ได้นาน 12 เดือน) เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และฟูมาก เป็นรุ่นที่มีความยืดหยุ่นสูง และทนต่อการขยับได้ดี เหมาะกับการแก้ปัญหาร่องแก้มลึก จากการเปลี่ยนแปลงตามวัย
  • Juvederm Voluma (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ฟูปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูง นิยมใช้เติมเต็มร่องลึก เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
  • Juvederm Volift (อยู่ได้นาน 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ที่มีความละเอียดมาก สามารถใช้ฉีดเติมร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้น ในเคสที่ผิวบางครับ 
  • Juvederm Volux (อยู่ได้นาน 18-24 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น โมเลกุลขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูง และคงรูปได้ดีที่สุด เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มในชั้นลึก 
  • Restylane Volyme (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูงมาก หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะเรียบเนียนไปกับผิวได้ดี ไม่เป็นก้อน
  • Belotero Intense (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น และยืดหยุ่นได้ดี นิยมใช้ฟื้นฟูหรือเพิ่ม Volume ของชั้นผิว เหมาะกับการแก้ปัญหาร่องแก้มลึก ที่เกิดจากการยุบตัวของผิวหนัง หรือการเสื่อมสภาพตามวัย
  • Definisse Restore (อยู่ได้นาน 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความหนาแน่นปานกลาง เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก หรือความหย่อนคล้อยตามช่วงวัย
  • Definisse Touch (อยู่ได้นาน 8-12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เนียนละเอียด แต่ขึ้นรูปได้ดี หลังฉีดจะกลืนไปกับผิว เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ บริเวณร่องแก้ม
  • Flore AQUA-S (อยู่ได้นาน 6 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น เหมาะกับการฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือเก็บรายละเอียดในผิวชั้นตื้นบริเวณร่องแก้ม 

ยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้มที่ยกตัวอย่างมา เป็นเพียงยี่ห้อ/รุ่น ที่สามารถฉีดเติมบริเวณร่องแก้มได้เท่านั้น ส่วนใครจะเหมาะกับยี่ห้อไหน รุ่นใดจำเป็นต้องประเมินใบหน้า และสภาพผิวกับแพทย์เสียก่อนเพื่อแนะนำฟิลเลอร์รุ่นที่ตอบโจทย์มากที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเท่าไหร่ ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 7,000 – 18,000 บาท ต่อ 1 CC ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงโปรโมชันในคลินิกความงามที่รับบริการ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กี่วันเห็นผล ? กี่วันเข้าที่ ?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กี่วันเห็นผล

หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ร่องลึกดูตื้นขึ้น และผิวดูเรียบเนียน ประมาณ 70-80 % โดยในช่วงแรกอาจมีอาการบวมจากรอยเข็ม และเนื้อฟิลเลอร์ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เนื้อฟิลเลอร์จะเข้าที่ดี และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้ 

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ทำคู่กับอะไรได้บ้าง ? จับคู่กับหัตถการไหนดี ? 

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ ช่วยให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

  • ร้อยไหมดึงร่องแก้ม เหมาะกับในเคสที่มีปัญหาหย่อนคล้อยมาก ๆ สามารถทำการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้าขึ้น รวมกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า และเป็นธรรมชาติมากขึ้น 
  • ฉีดโบท็อกบริเวณร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม จากกล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป สามารถฉีดโบท็อก ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าบางส่วน ในปริมาณเล็กน้อย รวมกับฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อทำให้ยิ้มแล้วหน้าไม่แข็งมากเกินไป 
  • Hifu / Ulthera / Thermage ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาร่องแก้ม ผิวหย่อนคล้อยจากคอลลาเจนที่ลดลง สามารถใช้เครื่องมือยกกระชับ ทั้ง Hifu หรือ Ulthera ช่วยยกกระชับใบหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนก่อน และใช้การฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเติมเต็มในตำแหน่งที่มีปัญหาร่องแก้มลึก ก็จะช่วยให้ใช้ปริมาณฟิลเลอร์น้อยลง ใบหน้าเข้ารูป ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยลำดับการทำต้องเว้นระยะการทำก่อนหลัง ตามที่แพทย์แนะนำในแต่ละเคส

ในแต่ละเคสอาจเลือกทำหัตถการที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ปัญหา แนะนำให้ปรึกษาและประเมินใบหน้ากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ เพื่อช่วยเรียงลำดับการทำหัตถการที่จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้อย่างตรงจุด เห็นผล ช่วยปรับให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ  หลังทำสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า ปลอดภัย ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น