Home Blog Page 2

เลือกโรงงานผลิตครีมที่ไหนดี เคล็ดลับความสำเร็จสำหรับของคนอยากทำแบรนด์ครีม!

0
โรงงานผลิตครีม

โรงงานผลิตครีม

การทำแบรนด์ครีมเป็นของตัวเองถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเมื่อผู้บริโภคได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์แล้วพบว่าดี มีคุณภาพ ก็ไม่พลาดที่จะป้ายยาหรือรีวิวกันต่อเรื่อย ๆ การเลือกโรงงานผลิตครีมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ครีมของคุณประสบความสำเร็จ อยากผลิตครีมที่ดี มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล แถมยังถูกใจผู้ใช้จริงต้องเลือกอย่างไร 

คอลัมน์นี้จะพาคุณไปดูเคล็ด (ไม่) ลับในการเลือกโรงงานครีมที่เจ้าของแบรนด์ครีมจะต้องถูกใจ พร้อมกับสาระดี ๆ เกี่ยวกับ 3 ผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยมจนสั่งผลิตไม่ทัน จะเป็นอย่างไรกันบ้าง ไปอ่านพร้อม ๆ กันเลย


เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกโรงงานผลิตครีมอย่างไรให้ส่งผลดีในระยะยาว

การเลือกโรงงานรับผลิตครีมเป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องเลือกอย่างไร พิจารณาข้อไหนบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กันเลย

1. โรงงานผลิตครีมแบบ OEM & ODM

ข้อแรกคือเลือกโรงงานผลิตครีม โรงงานรับผลิตสกินแคร์แบบ OEM & ODM เพราะโรงงานรับผลิตครีมในรูปแบบนี้ จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกการผลิตได้เหมาะสม ด้วยรูปแบบการรับผลิตครีมอย่าง OEM จะเหมาะกับเจ้าของแบรนด์ที่มีสูตรของตนเองอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องการพัฒนาสูตรเพิ่มเติมไม่ให้ซ้ำใคร

ส่วน ODM จะเป็นการผลิตครีมที่เป็นสูตรมาตรฐานจากโรงงาน ข้อดีคือรวดเร็ว ไม่ต้องพัฒนาหรือปรับสูตรมากมาย สินค้าสามารถจำหน่ายสู่ท้องตลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรูปแบบการผลิตทั้ง 2 แบบก็จะมีข้อดีข้อจำกัดที่ต่างกันออกไป อยู่ที่เจ้าของแบรนด์ครีมว่าจะเลือกแบบใดที่เหมาะกับตนเอง 

2. โรงงานผลิตครีมที่ให้บริการแบบครบวงจร 

การเลือกโรงงานผลิตครีม โรงงานผลิตเครื่องสำอางที่ให้บริการแบบครบวงจรก็สำคัญ เพราะเจ้าของธุรกิจจะไม่ต้องเสียเวลาในการประสานงานไปมาหลายที่ เช่น การขอขึ้นทะเบียนอย. การสกรีนผลิตภัณฑ์ และอื่น ๆ โรงงานผลิตครัมดังกล่าวจะเป็นผู้ดำเนินการ เป็นผู้ช่วยสำคัญในการทำให้ธุรกิจทำแบรนด์ครีมของคุณราบรื่นไปอีกขั้น

3. โรงงานผลิตครีมที่มีทีมนักวิจัยมืออาชีพ

เลือกโรงงานผลิตครีมที่มีทีมนักวิจัยมืออาชีพก็จะยิ่งช่วยให้เจ้าของแบรนด์ครีมสบายใจไปอีก เพราะการมีทีมนักวิจัยมืออาชีพจะช่วยให้ครีมของคุณผ่านการคิดค้น พัฒนา ปรับปรุงสูตรให้ออกมามีคุณภาพ ถูกใจผู้ใช้งาน เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ใครที่กำลังพิจารณาว่าจะเลือกโรงงานผลิตครีมที่ไหนดี จะเลือกจากอะไรบ้างนั้น บอกเลยว่าข้อนี้ไม่ควรมองข้าม

4. โรงงานผลิตครีมที่มีเครื่องจักรนำเข้า ทันสมัย และได้มาตรฐาน

โรงงานรับผลิตครีมที่มีเครื่องจักรที่ทันสมัย เครื่องจักรนำเข้า มาพร้อมกับมาตรฐานก็จะยิ่งช่วยให้เกิดความได้เปรียบมากยิ่งขึ้น เพราะการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยจะช่วยลดเวลาการผลิต การผลิตครีมมีกระบวนการ ระยะเวลาที่เร็วขึ้น แถมยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาดจากการผลิตได้อีกด้วย

5. โรงงานผลิตครีมที่ได้มาตรฐาน GMP, ISO และ HALAL

ข้อสุดท้ายในการพิจารณาโรงงานรับผลิตครีม หนีไม่พ้นในเรื่องมาตรฐานสากลอย่าง GMP, ISO และ HALAL เพราะมาตรฐานเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในเครื่องการันตีคุณภาพ รวมไปถึงการได้รับการยอมรับจากระดับสากล 

3 ผลิตภัณฑ์หลักจากโรงงานผลิตครีมชั้นนำ

แนะนำ 3 ผลิตภัณฑ์หลักจากโรงงานผลิตครีมชั้นนำ ที่ได้รับความนิยมในการสั่งผลิต มีดังต่อไปนี้

Body Care

ผลิตภัณฑ์ Body Care ถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยมในการผลิตจากโรงงานผลิตครีมชั้นนำ เพราะการดูแลผิวกายเป็นเรื่องที่จะขาดไปไม่ได้ ยิ่งแสงแดดและมลภาวะในปัจจุบันการทาครีมกันแดดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องเสริมที่การบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ Body Care  

โดยผลิตภัณฑ์ Body Care ที่ผลิตจากโรงงานผลิตครีมก็มีหลากหลายสูตร ตั้งแต่สูตรให้ความชุ่มชื้น สูตรฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส สูตรช่วยให้ผิวเนียนนุ่นน่าสัมผัส และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเจ้าของแบรนด์ครีมที่สนใจในผลิตภัณฑ์กลุ่นนี้ก็สามารถเลือกได้เลยว่าจะเลือกผลิตสูตรไหนกับทางโรงงาน

Facial Care

ผลิตภัณฑ์หลักต่อมาจากโรงงานผลิตครีมชั้นนำที่ได้รับความนิยมในการผลิตไม่แพ้กันก็คือ ผลิตภัณฑ์ Facial Care ตั้งแต่คลีนซิ่ง, คลีนเซอร์, เซรั่ม, โลชั่นบำรุงผิวหน้า, มอยเจอร์ไรเซอร์ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยม หากเจ้าของแบรนด์ครีมท่านใดยังเลือกไม่ถูกจะผลิตสินค้าชนิดใดออกวางจำหน่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์ Facial Care ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ตอบโจทย์ตลาดไม่แพ้กัน

Make Up

ผลิตภัณฑ์กลุ่มสุดท้ายที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Make Up เช่น รองพื้น, คอนซิลเลอร์, บลัชออน, ลิปสติก, และอื่น ๆ อีกมากมายที่ช่วยเติมแต่งสีสันให้กับใบหน้า ยิ่งยุคปัจจุบันการแต่งหน้ามีหลากหลายรูปแบบที่ได้รับความนิยม การผลิตสินค้าในกลุ่มนี้สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นสร้างแบรนด์ และต้องการเป็นที่พูดถึงในตลาด การเริ่มด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ถือเป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียว


PURE DERIMA LABORATORIES โรงงานผลิตครีมมาตรฐาน บริการครบวงจร

ทำครีมขาย

ในยุคสมัยนี้การมีธุรกิจเป็นของตัวเองถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท้าทายให้กับชีวิต เพราะนอกจากจะช่วยสร้างประสบการณ์แล้ว ยังช่วยสร้างกำไรให้งอกเงยอีกด้วย อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องเลือกโรงงานรับผลิตครีม รับผลิตเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้สินค้าที่ปลอดภัย มีคุณภาพต่อผู้บริโภค ตัวอย่างโรงงานรับผลิตครีมที่ได้มาตรฐานเช่น PDL เป็นโรงงานผลิตครีมที่มีบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่เครื่องจักรที่ทันสมัย ทีมผู้เชี่ยวชาญ และมาตรฐานระดับสากล

ใครที่กำลังพิจารณาและมองหาโรงงานรับผลิตครีมที่มีความเชี่ยวชาญ PDL ถือเป็นอีกหนึ่งโรงงานรับผลิตครีมที่ดี พร้อมให้บริการกับเจ้าของแบรนด์ที่กำลังเริ่มต้น สำหรับใครสนใจสั่งผลิตครีม สามารถติดต่อได้ที่ช่องทางดังนี้ 

Facebook : Pure Derima Laboratories
Line : Purederima 
Tel : 02-285-4266
หรือติดต่อโดยตรงได้ที่ Headquarter
88/34-35 TTN Avenue Nanglinchee Road Chong Nonsi Subdistrict, Yannawa District Bangkok 10120

นมโปรตีนสูง อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มียี่ห้อไหนบ้าง? อัปเดตฉบับปี 2024 

0
นมโปรตีนสูง

นมโปรตีนสูง

หนึ่งในอาหารและเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เหมาะกับทุกเพศทุกวัยก็คงจะไม่พ้น ‘นม’ ที่มีสารอาหารสำคัญมากมาย โดยเฉพาะ ‘โปรตีน’ หนึ่งในสารอาหารหลัก 5 หมู่ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก มีส่วนช่วยในเรื่องความแข็งแรงของร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในแต่ละวัน รวมถึงช่วยในเรื่องของกระดูกและกล้ามเนื้อ 

แต่การทานอาหารปกติหรือการดื่มนมธรรมดาอาจทำให้ได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ ดังนั้น การมีตัวช่วยอย่าง “นมโปรตีนสูง” จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในบทความนี้เราได้รวบรวมยี่ห้อนมโปรตีนสูงไว้เป็นทางเลือกสำหรับบริโภคไว้ให้คุณแล้ว


ข้อควรรู้ก่อนเลือกดื่มนมโปรตีนสูง 

นมโปรตีนสูงน้ำตาลน้อย

โปรตีน เป็นหนึ่งในสารอาหารหลักที่ร่างกายคนเราต้องการมาก นอกจากจะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายแล้ว ยังมีหน้าที่และประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกระดูก, กล้ามเนื้อ, เลือด, ผิวหนัง แม้กระทั่งผมและเล็บก็มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น 

ดังนั้น การได้รับสารอาหารอย่างโปรตีนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างยิ่ง เพราะหากร่างกายได้รับโปรตีนน้อยกว่าความต้องการอาจส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกาย อ่อนเพลีย และภูมิต้านทานต่ำ เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย

ซึ่งปกติแล้วร่างกายจะต้องการโปรตีนประมาณ 1 กรัมต่อ 1 กิโลกรัมต่อวันของน้ำหนักตัว และประมาณ 1.5 กรัมต่อ 1 กิโลกรัมต่อวันของน้ำหนักตัวสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อความต้องการโปรตีน เช่น เพศ, วัย, โรคประจำตัว รวมถึงการตั้งครรภ์ด้วย

เราควรดื่มนมโปรตีนเท่าไหร่

ปกติแล้วผลิตภัณฑ์นมสูตรโปรตีนสูง 1 ขวดจะมีปริมาณโปรตีนอยู่ที่ 15-30 กรัมโดยประมาณ เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่เพียงพอคุณอาจลองคำนวณสัดส่วน 1:1 กรัมโปรตีนต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวได้ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ก็ควรจะรับประทานโปรตีน 50 กรัมโดยประมาณ ทั้งนี้หากมื้ออาหารของคุณแทบจะไม่มีโปรตีนเลยก็อาจรับประทานนมที่โปรตีนสูงประมาณ 1-2 ขวดต่อวัน เป็นต้น

นมโปรตีนมีกี่ชนิด

ในน้ำนมจะประกอบไปด้วยโปรตีนอยู่ 2 ชนิดหลัก ได้แก่ เคซีน (Casein) และเวย์ (Whey) ซึ่งมีคุณสมบัติต่างกัน ดังนี้

  • เคซีน (Casein) เป็นโปรตีนหลักที่พบในนมมากถึง 80% อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการครบถ้วน และยังมีวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิดที่ร่างกายต้องการอีกด้วย
  • เวย์ (Whey) เป็นโปรตีนที่พบในนมอยู่ 20% มักได้หลังจากกระบวนการแยกเคซีนออกจากน้ำนม ให้ปริมาณโปรตีนสูง ย่อยได้เร็ว และอุดมไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็นมากมาย

แนะนำ 4 ยี่ห้อนมโปรตีนสูง ให้ประโยชน์ครบถ้วน 

อาหารเสริมโปรตีน

ทราบถึงประโยชน์ของโปรตีนกันไปแล้ว อย่ารอช้าที่จะเสริมสร้างสุขภาพที่ดีด้วยการรับประทานโปรตีนให้เพียงพอในแต่ละวัน เครื่องดื่มนมโปรตีนสูงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณได้สารอาหารอย่างโปรตีนครบถ้วนง่ายขึ้น ซึ่งเราได้รวบรวมนมที่ให้โปรตีนสูงคุณภาพดีมาไว้ให้คุณแล้ว ดังนี้

Nestlé Boost Optimum

Nestlé Boost Optimum นมโปรตีนสูงที่ให้สารอาหารครบถ้วนใน 1 มื้อ เป็นอาหารทดแทนทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับผู้ที่ต้องการสารอาหารครบถ้วน แต่มีข้อจำกัดไม่สามารถรับประทานอาหารตามปกติได้ อาทิ ผู้สูงอายุที่เบื่ออาหาร ไม่มีฟันเคี้ยวข้าว หรือผู้ป่วยระยะพักฟื้น 

Ensure Gold

อาหารสูตรครบถ้วนในรูปแบบนมโปรตีนสูง Ensure Gold ใช้สำหรับเสริมมื้ออาหาร หรือทานเป็นมื้อหลักในบางมื้อ ใน 1 หน่วยบริโภคอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็น 28 ชนิด อีกทั้งยังมีใยอาหาร ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายอีกด้วย 

Entrasol platinum 

เอนทราซอล เครื่องดื่มนมโปรตีนสูงรูปแบบชงดื่มจากไบโอฟาร์ม สูตรเข้มข้นเสริมสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 21 ชนิด อีกทั้งยังเสริมใยอาหาร ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย การรับประทานเอนทราซอลเพียง 1 แก้ว ให้ประโยชน์เทียบเท่ากับการทานไข่ไก่ต้ม 2 ฟอง, เต้าหู้ขาว 300 กรัม, อกไก่ต้ม 50 กรัม, นม 2 แก้ว, ส้ม 12 ลูก และปลาซาร์ดีน 60 กรัมเลยทีเดียว

เอนทราซอลนมโปรตีนสูง กลิ่นวานิลลา ทานง่าย อร่อย ชงได้ทั้งกับน้ำเย็นและน้ำอุ่น ให้พลังงาน 250 กิโลแคลอรีต่อแก้ว เหมาะกับรับประทานเสริมมื้ออาหารในทุกวัน

Blendera-MF

Blendera-MF นมโปรตีนสูง อาหารสูตรครบถ้วนทางการแพทย์ ให้โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, วิตามิน, แร่ธาตุ และไขมันครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมใน 1 มื้อ ใช้สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงขาดสารอาหาร และสามารถใช้กับผู้ที่ไม่สามารถย่อยแลคโตสได้อีกด้วย


สรุป นมโปรตีนสูง ให้ประโยชน์มาก สายสุขภาพไม่ควรพลาด

เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณโปรตีนและสารอาหารจำเป็นอย่างครบถ้วน การรับประทานอาหารตามปกติอาจทำให้สารอาหารที่ได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ การดื่มนมโปรตีนสูงจึงเป็นทางเลือกสำหรับสารสุขภาพที่ต้องการเสริมโปรตีนและสารอาหารอื่น ๆ อย่างครบถ้วนแบบง่าย ๆ 


เลเซอร์ขนครั้งแรกควรรู้! กำจัดขนถาวรได้อย่างไร ? ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

0
เลเซอร์ขน
เลเซอร์ขน

เลเซอร์ขน เป็นหัตถการกำจัดขนที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงกำลังให้ความสนใจ เพราะหลังทำให้ผลลัพธ์ที่ดี กำจัดขนได้ถาวร และผิวบริเวณที่ทำมีความเรียบเนียน ไม่มีปัญหาขนคุดตามมา 

สำหรับใครที่มีแผนจะซื้อคอร์สเลเซอร์ขน บทความนี้ได้รวบรวมสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำครั้งแรกมาฝาก เช่น เลเซอร์ขน ช่วยกำจัดขนถาวรได้อย่างไร ? ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? มีกี่แบบ เครื่องเลเซอร์ขนรูปแบบไหนที่เหมาะกับคนไทย ? และควรเลือกคลินิกความงามอย่างไร ?


เลเซอร์ขน คืออะไร ? ช่วยกำจัดขนแบบถาวรได้อย่างไร ?

เลเซอร์ขน คือ การกำจัดขนด้วยการส่งลำแสงที่มีขนาดความยาวคลื่นเหมาะสม ลงไปทำลายรากขนแบบเฉพาะเจาะจง โดยเซลล์เม็ดสีเมลานินภายในรากขนจะดูดซับพลังงานแสงจากเครื่องเลเซอร์แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้เนื้อเยื่อ และเส้นเลือดที่เชื่อมต่อบริเวณรากขนถูกทำลาย เส้นขนจึงหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังบริเวณใกล้เคียง

เลเซอร์ขน-คืออะไร

การทำเลเซอร์ขนจะหยุดการเจริญเติบโตของเส้นขนในปัจจุบัน และช่วยชะลอวงจรการเกิดขนใหม่ หากทำอย่างต่อเนื่อง ตามคำแนะนำของแพทย์ เส้นขนจะขึ้นใหม่ช้าลง มีขนาดเล็กลง สีอ่อนลง และค่อย ๆ ขึ้นน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบจะไม่ขึ้นเลยในที่สุด การเลเซอร์ขนจึงถือเป็นวิธีลดจำนวนเส้นขนแบบถาวร 


เลเซอร์ขน ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? 


ตำแหน่งเลเซอร์ขน

เลเซอร์ขนเป็นหัตถการที่ทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย ตามความต้องการของคนไข้ ตัวอย่างจุดที่นิยมทำ มีดังนี้

  • เลเซอร์ไรผม เหมาะกับผู้ที่มีไรผมเยอะ หรือไรผมหนา ต้องการทำให้หน้าผากดูเกลี้ยงเกลา หรือเพิ่มความกว้างปรับโหงวเฮ้งหน้าผากรับทรัพย์ รวมถึงผู้ที่มีปัญหาผดผื่น หรือผิวอักเสบจากการแพ้ไรผมของตัวเอง
  • เลเซอร์ขนบริเวณใบหน้า เช่น ขนหน้า คิ้ว หนวด เครา หรือขนเหนือริมฝีปาก สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ช่วยให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลา แต่งหน้าง่ายขึ้น ลดการระคายเคืองหรือแก้ปัญหาผิวอักเสบจากการโกน
  • เลเซอร์ขนรักแร้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการกำจัดขนบริเวณใต้วงแขน ลดโอกาสเกิดขนคุด หรือผิวหนังไก่จากการแว็กซ์และการโกน รวมถึงช่วยแก้ปัญหาความอับชื้น ลดกลิ่นตัว และกลิ่นไม่พึ่งประสงค์จากการสะสมเหงื่อใต้วงแขน
  • เลเซอร์ขนแขน-ขา ช่วยให้แขนขาเรียบเนียน น่าสัมผัส ครีมบำรุงซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น บางรายที่มีขนเส้นหนาและสีเข้ม หลังเลเซอร์ขนแขนและขา จะทำให้ผิวดูขาวขึ้น เพราะไม่มีเส้นขนมาปกคลุม
  • เลเซอร์ขนในที่ลับหรือจุดซ่อนเร้น เช่น เลเซอร์ขนบิกินี่ เลเซอร์บราซิลเลี่ยน เลเซอร์ Hollywood หรือเลเซอร์ขนน้องชาย เป็นการกำจัดขนที่อาจโผล่มาตามแนวกางเกงชั้นใน ช่วยเพิ่มความมั่นใจเวลาใส่ชุดว่ายน้ำ หรือเพื่อลดความอับชื้นในร่มผ้า
  • เลเซอร์ขนหลัง-ขนหน้าอก-ขนหน้าท้อง นิยมมากในผู้ชายครับ แต่ผู้หญิงก็สามารถทำได้เช่นกัน ช่วยให้ผิวเรียบเนียน และดูขาวขึ้น รวมถึงช่วยแก้ปัญหาขนคุด สิว ผดผื่น ที่เกิดจากความอับชื้น หรือการสะสมเชื้อแบคทีเรีย

เครื่องเลเซอร์ขน แต่ละแบบต่างกันอย่างไร ? แบบไหนเหมาะกับคนไทย ?

เครื่องเลเซอร์ขน แต่ละแบบต่างกันอย่างไร

เครื่องเลเซอร์ขนแต่ละแบบจะเหมาะกับประเภทผิว สีเส้นขน และเป้าหมายในการรักษาของแต่ละบุคคล สำหรับเครื่องเลเซอร์กำจัดขนที่ได้รับความนิยม และคลินิกความงามหลายแห่งให้บริการ มีดังนี้

1. YAG Laser 

YAG Laser หรือ YAG Long Pulse ND YAG เป็นเลเซอร์ความเข้มข้นสูง มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 1,064 nm ออกแบบมาเพื่อทำลายรากขนโดยเฉพาะ สามารถกำจัดเม็ดสีเมลานินได้ดีกว่าเลเซอร์ขนชนิดอื่น ๆ เหมาะกับคนเอเชีย ที่มีเส้นขนสีเข้ม แต่มีสีผิวขาวเหลือง เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดการระคายเคือง และมีผลข้างเคียงน้อยหลังทำ นิยมทำบริเวณรักแร้ บราซิลเลี่ยน และขนหน้า

นอกจากนี้ยังสามารถใช้แก้ปัญหาขนคุด ผิวตุ่มหนังไก่ และรอยดำที่เกิดจากการกำจัดขนวิธีอื่น จุดเด่นของ YAG Laser คือ สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วยลดจำนวนเส้นขนในบริเวณที่ทำลงได้ 20-30% 

2. Diode Laser 

Diode Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ขนที่มีความยาวคลื่นพลังงานที่หลากหลาย ตั้งแต่ 800-1350 nm สามารถปรับให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ทำ และลักษณะผิวและสีขนของแต่ละบุคคลได้ นิยมใช้มากที่สุดคือช่วงความยาว 800-810 nm 

จุดเด่นของเครื่อง Diode Laser คือ สามารถทำลายรากขนได้แม่นยำ มีความอ่อนโยนต่อผิว ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และลดความหมองคล้ำ รวมถึงลดปัญหาการเกิดตุ่มหนังไก่ และขนคุดได้ แต่จำเป็นต้องทำหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ระยะยาว นิยมทำบริเวณพื้นที่กว้าง ๆ เช่น แขน ขา หน้าอก และแผ่นหลัง

3. Alexandrite Laser

Alexandrite Laser หรือ Long-pulsed Alexandrite Laser เป็นเครื่องเลเซอร์กำจัดขนที่ใช้ความยาวคลื่น 755 nm ลงลึกถึงผิวหนังชั้นลึก มีคุณสมบัติทำลายเม็ดสีในรากขน และมีประสิทธิภาพในการกำจัดขนค่อนข้างดี แต่ไม่เหมาะกับคนเอเชีย เพราะมีสีขนที่เข้ม ทำให้เสี่ยงผิวไหม้ หรือผิวเบิร์นได้ง่ายกว่าคนยุโรป

4. Ruby Laser

Ruby Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ชนิดแรกที่ออกแบบมาสำหรับกำจัดขน ใช้ผลึกทับทิมเป็นตัวกลาง ทำให้ได้ความยาวคลื่น 694 nm ซึ่งอยู่ในช่วงแสงสีแดง มีคุณสมบัติจับเม็ดสีเมลานินได้ดี  แต่มีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถทำลายขนได้ถึงรากแบบเลเซอร์ชนิดอื่น เหมาะกับผิวสีอ่อนที่มีขนสีเข้มเท่านั้น จึงไม่เหมาะกับคนเอเชียที่ผิวเข้ม เพราะเสี่ยงผิวไหม้ 

5. IPL

IPL (Intense Pulsed Light) เป็นการยิงลำแสงความเข้มข้นสูงลงบนผิวหนัง แต่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเครื่องเลเซอร์ ตัวเครื่องมีความยาวคลื่นหลายชนิด และสามารถทำลายรากขนได้เช่นเดียวกับเครื่องเลเซอร์ การทำหลาย ๆ ครั้ง จะทำให้ขนที่ขึ้นใหม่สีอ่อนและบางลง สามารถทำบริเวณใบหน้า บิกินีไลน์ หรือส่วนผิวหนังที่บอบบาง

แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้เครื่อง IPL ในการกำจัดขน เพราะเสี่ยงทำให้ผิวไหม้ได้ง่าย และประสิทธิภาพในการทำลายรากขนต่ำกว่าเครื่องเลเซอร์ ทำให้ขนใหม่มีโอกาสกลับมาได้ง่ายกว่า จึงนิยมใช้ IPL ในการแก้ปัญหาผิว เช่น จุดด่างดำ ฝ้า หรือลดรอยแดงจากการอักเสบของผิวหนัง

จะเห็นได้ว่า มีเครื่องเลเซอร์หลายชนิดที่สามารถใช้ในการกำจัดขนได้ แต่สำหรับเครื่องที่นิยมในประเทศไทยจะเป็น YAG Laser และ Diode Laser เพราะมีความยาวคลื่นที่เหมาะสมกับสีขน และผิวของคนเอเชียที่มีความเข้มกว่าคนในแถบยุโรป


ก่อนเลเซอร์ขน เตรียมตัวอย่างไร ?

ก่อนเลเซอร์ขน งดใช้แว็กซ์

เพื่อให้การทำเลเซอร์ขนมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงไม่พึ่งประสงค์ แนะนำให้เตรียมตัว ดังนี้

  • ปรึกษากับแพทย์ก่อนทำหัตถการ เพื่อสอบถามข้อสงสัย และรับคำแนะนำในการเลือกเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว และสีเส้นขน
  • หลีกเลี่ยงการถอน การโกน การแว็กซ์ หรือใช้เครื่องถอนขนอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้สีผิวเข้มขึ้น เช่น การอาบแดด การทำกิจกรรมกลางแดดจัด หรือโลชั่นผิวแทน เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมผลัดเซลล์ผิว หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองบนผิวหนังก่อนทำเลเซอร์ขน เช่น เรตินอล, กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี หรือ AHA, และลูกกลิ้งระงับกลิ่นกาย
  • ตรวจเช็กสภาพผิวในจุดที่ทำ หากมีอาการอักเสบหรือติดเชื้อ จำเป็นต้องรอให้ผิวหนังกลับสู่สภาพปกติก่อน

เลเซอร์ขน มีขั้นตอนอย่างไร ?

ขั้นตอนเลเซอร์ขน อาจมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละคลินิกความงาม ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำ และรุ่นของเครื่องยิงเลเซอร์ที่เลือกใช้ โดยขั้นตอนทั่วไป มีดังนี้

  • การเตรียมผิว : ก่อนทำเลเซอร์ จะมีการเล็มหรือโกนขนบริเวณที่ทำให้เหลือความยาวประมาณ 0.5-1 mm
  • การทำเลเซอร์ขน : แพทย์หรือ Specialist ที่ผ่านเทรนนิ่งการใช้งานเครื่อง จะตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมกับขนาดเส้นขน และสีผิวในจุดที่ทำ ในระหว่างการยิงเลเซอร์ขน เครื่องจะปล่อยลมเย็น เพื่อปกป้องผิวชั้นบนจากความร้อน และบรรเทาอาการเจ็บ

ระยะเวลาในการทำเลเซอร์ขนจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่บริเวณที่ทำ เฉลี่ย 30- 60 นาที ครับ 


หลังเลเซอร์ขน ดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลังเลเซอร์ขน ทาครีมสูตรอ่อนโยน

หลังเลเซอร์ขนสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่มีข้อควรปฏิบัติหลังทำ เพื่อลดความเสี่ยงทำให้ผิวเกิดระคายเคือง และช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น ดังนี้

  • ห้ามขัด สครับผิว หรือเกาบริเวณที่ทำเลเซอร์ขน
  • ควรทายาลดการอักเสบ หรือผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในช่วง 3-7 วัน หรือตามแพทย์สั่ง
  • ในช่วง 7 วันแรก ควรทาครีมบำรุงสูตรอ่อนโยนต่อผิว และงดใช้เครื่องสำอาง หรือครีมที่มีสารก่อการระคายเคือง เช่น สารฟอกสีขาว (Whitening), กรดวิตามิน เอ และกรดผลไม้ 
  • งดกิจกรรมที่ใช้ความร้อน เช่น อาบน้ำร้อน อบซาวน่า ทำสปา รวมถึงหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์

เลเซอร์ขน ที่ไหนดี ? รวมสิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกคลินิกความงาม 

เลเซอร์ขน-ที่ไหนดี

การทำเลเซอร์ขนให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องทำหลายครั้งครับ คนส่วนใหญ่จึงนิยมซื้อคอร์สเลเซอร์ เพราะสามารถรับบริการได้อย่างต่อเนื่อง และมีราคาประหยัดกว่าการจ่ายรายครั้ง ดังนั้นก่อนเลือกคลินิกความงาม แนะนำให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมด้วย 

  • คลินิกความงามที่เปิดถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาต 11 หลักแสดงชัดเจน ภายในคลินิกมีความสะอาด พื้นที่เป็นสัดส่วน และสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ง่ายต่อการเข้ารับบริการ
  • เลเซอร์ขนกับแพทย์ หรือ Specialist ที่ผ่านการอบรมใช้งานเครื่อง มีความรู้ทางกายภาพของเส้นขนและสภาพผิวหนัง สามารถเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้
  • ใช้เครื่องเลเซอร์ที่ได้มาตรฐาน นำเข้าอย่างถูกต้อง และตรวจสอบได้ หากภายในคลินิกความงามมีเครื่องเลเซอร์ให้เลือกหลายแบบ ก็ยิ่งช่วยให้ครอบคลุมกับปัญหาของคนไข้ยิ่งขึ้น
  • รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง อยู่ในเว็บไซต์ที่เป็นกลาง หรือแฟลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่คลินิกไม่สามารถลบรีวิวออกได้เอง เช่น Pantip, Google Review, Facebook
  • มีโปรโมชันที่น่าสนใจ และราคาสมเหตุสมผล ควรเปรียบเทียบโปรโมชันในคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ และดูเครื่องที่ใช้ร่วมด้วย หากเลือกบริการที่ราคาถูกเกินไปจะเสี่ยงเป็นเครื่องปลอมได้

สรุป

สำหรับใครที่อยากทำเลเซอร์ขน ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ปลอดภัย และคุ้มค่าราคา สามารถนำแนวทางการที่เราแนะนำไป มาปรับใช้ ที่สำคัญคือควรเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ใช้เครื่องที่ได้มาตรฐานตรวจสอบได้ และทำหัตถการกับแพทย์หรือ Speciliast ที่ผ่านการอบรมใช้งานเครื่องมาเท่านั้นครับ

คู่มือเลเซอร์ขนรักแร้ครั้งแรก เตรียมตัวอย่างไร ? เลือกทำที่ไหนดี ?

0
เลเซอร์ขนรักแร้
เลเซอร์ขนรักแร้

ในปัจจุบันมีวิธีกำจัดขนรักแร้หลายรูปแบบ ทั้งวิธีที่ทำได้ด้วยตัวเอง และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เลเซอร์ขนรักแร้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจครับ เพราะช่วยกำจัดขนได้ลึกถึงราก แก้ปัญหาขนเส้นใหญ่และหนา ลดกลิ่นตัวจากความอับชื้น และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้าอีกด้วย

สำหรับใครที่ตัดสินใจจะทำเลเซอร์ขนรักแร้เป็นครั้งแรก บทความนี้ได้รวบรวมสิ่งที่ควรรู้มาฝาก เช่น เลเซอร์ขนรักแร้ มีกี่แบบ แต่ละแบบมีหลักการทำงานอย่างไร ? ข้อดี-ข้อเสียในการทำเลเซอร์ขนที่ควรรู้รวมถึงแนวทางดูแลตัวเองก่อน-หลังทำ และควรวิธีเลือกคลินิก


เลเซอร์ขนรักแร้ ช่วยกำจัดขนใต้วงแขนได้อย่างไร ?

เลเซอร์ขนรักแร้ ช่วยกำจัดขนใต้วงแขนอย่างถาวร ด้วยการยิงลำแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเหมาะสมลงไปยังรากขน เซลล์เม็ดสีในรากขนจะดูดซับพลังงานความร้อนจากแสงเลเซอร์ไว้ ทำให้รากขนฝ่อตัวลง และขนหลุดร่วงออกไปได้เอง ช่วยชะลอวงจรการเกิดขนใหม่ได้

เลเซอร์ขนรักแร้ หลักการทำงาน

ทำไมเลเซอร์ขนรักแร้เป็นที่นิยม ?

การทำเลเซอร์ขนรักแร้ได้รับความนิยม เพราะสามารถทำลายได้ลึกถึงรากขน โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังบริเวณใกล้เคียง ลดโอกาสเกิดขนคุด และตุ่มหนังไก่ หากทำเลเซอร์ติดต่อกัน เส้นขนที่ขึ้นใหม่จะลดลง หรือแทบไม่ขึ้นเลย คงผลลัพธ์หลังทำได้นานกว่าการกำจัดขนด้วยวิธีอื่น ๆ ครับ


ปัญหาจากการกำจัดขนด้วยวิธีอื่น

หลาย ๆ คนอาจจะเคยกำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีอื่นมาแล้ว เช่น การแว็กซ์ การโกน การถอน หรือการใช้ครีมกำจัดขน ซึ่งช่วยกำจัดขนได้ แต่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานขนก็ขึ้นมาใหม่ และยังทำให้เกิดปัญหาหรือผลข้างเคียงหลังทำตามมา เช่น

  • ขนคุด : ลักษณะของผิวหนังที่เป็นตุ่มบวมนูนใต้เส้นขน จับแล้วสากมือ ส่วนใหญ่เกิดจากการถอน แว็กซ์ หรือโกน แล้วมีเส้นขนขาดอยู่ในชั้นผิว เมื่อเส้นขนใหม่ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ จะงอกม้วนอยู่ใต้ชั้นผิว และดันผิวขึ้นมาเป็นตุ่มแทน
  • ตุ่มหนังไก่: ผิวรักแร้ไม่เรียบเนียน เป็นตุ่ม มองแล้วเหมือนหนังไก่ เป็นปัญหาที่เกิดจากการถอน และแว็กซ์ ทำให้รูขุมขนรักแร้ขยายตัว มีขนาดใหญ่ขึ้น สังเกตเห็นเป็นตุ่มชัดเจน 
  • ตอขน: การใช้มีดโกน หรือการใช้มูสกำจัดขน มักช่วยกำจัดเส้นขนที่งอกยาวออกมาเท่านั้น แต่ไม่ได้กำจัดถึงราก ทำให้ยังเหลือเป็นตอขน เวลาจับจะรู้สึกผิวไม่เรียบเนียน และขนขึ้นใหม่เร็วกว่าการกำจัดขนวิธีอื่น ๆ 
  • รักแร้ดำ หรือมีรอยเหี่ยวย่น : ผิวรักแร้คล้ำ หรือมีรอยย่นสามารถเกิดได้จากการแพ้สารเคมีในครีมกำจัดขน หรือการเสียดสีเวลาใช้มีดโกน  
ปัญหาจากการกำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีอื่น

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ของเลเซอร์ขนรักแร้

ปัจจุบันวิธีการกำจัดขนรักแร้ที่เห็นผลขัดเจน ไม่ทำร้ายผิว และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ การทำเลเซอร์ขนรักแร้  เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย มาเพื่อประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

ข้อดี

  • กำจัดขนรักแร้ได้ลึกถึงราก
  • คงผลลัพธ์ได้นานกว่าการกำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ต้องทำบ่อย ๆ
  • หากทำเลเซอร์ขนรักแร้ติดต่อกัน ขนจะขึ้นใหม่ช้าลง หรือแทบจะไม่ขึ้นใหม่เลย
  • ลดโอกาสเกิดตุ่มหนังไก่
  • ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ขนคุด หรือรูขุมขนอักเสบ
  • ลดการสะสมของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของกลิ่นตัวหรือกลิ่นไม่พึ่งประสงค์
  • ช่วยให้ผิวใต้วงแขนดูกระจ่างใส เพิ่มความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้า

ข้อเสีย

  • ราคาสูงกว่าการกำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีอื่น ๆ แต่ผลลัพธ์มีความคุ้มค่ามาก
  • จำเป็นต้องทำเลเซอร์ขนรักแร้กับแพทย์หรือ Specialist ที่ผ่านการอบรมใช้งานเครื่องเท่านั้น
  • หากใช้เครื่องเลเซอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน พลังงานไม่เสถียร จะเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เช่น ผิวไหม้ รอยแผลเป็น รอยดำ

เครื่องเลเซอร์ขนรักแร้ มีกี่แบบ ?

เครื่องเลเซอร์ขนรักแร้ มีกี่แบบ

เครื่องเลเซอร์ขนรักแร้ที่นิยมในปัจจุบันจะมีด้วยกัน 3 แบบ ซึ่งแต่ละเครื่องจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • IPL (Intensive Pulsed Light) : เครื่อง IPL ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเลเซอร์ แต่มีการทำงานใกล้เคียงกันครับ ตัวเครื่องจะใช้พลังงานแสงความเข้มข้นสูง ที่ความยาวคลื่น 515-1,200 nm ในการกำจัดขนรักแร้ ทำให้เส้นขนสีอ่อนลงและบางลง ราคาไม่แพงมาก แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่ากับเครื่องเลเซอร์ จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง และเห็นผลช้ากว่า    
  • YAG Laser : เครื่องเลเซอร์ขนรักแร้ที่ใช้ความยาวคลื่นที่ 1,064 nm ออกแบบมาเพื่อทำลายรากขนโดยเฉพาะ ช่วยแก้ปัญหาขนคุด และกำจัดเม็ดสีได้ดี ทำให้รักแร้เรียบเนียนใส สามารถกำจัดเส้นขนได้ 20-30% ตั้งแต่การทำครั้งแรก แต่ราคาจะสูงกว่าเลเซอร์แบบอื่น ๆ
  • Diode Laser : เครื่องเลเซอร์ขนรักแร้ที่มีความยาวคลื่นหลากหลายตั้งแต่ 800-1,350 nm สามารถปรับให้เหมาะสมกับลักษณะสีผิวและเส้นขนของแต่ละคนได้ หลังทำขนจะค่อย ๆ บางลง ราคาสูงกว่า IPL แต่ถูกกว่า YAG

เตรียมตัวก่อนเลเซอร์ขนรักแร้

การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์ขนรักแร้ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากครับ สามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ได้

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเลเซอร์ขนรักแร้ เช่น หลักการทำงานของเลเซอร์ขน วิธีการดูแลตัวเอง การเลือกคลินิกความงาม และคุณสมบัติของเครื่องเลเซอร์ขนรักแร้แต่ละแบบ
  • งดกำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น โกน ถอน หรือแว็กซ์ อย่างน้อย 3-4 สัปดาห์ เพราะพลังงานของเครื่องเลเซอร์จะจับกับเม็ดสีที่รากขน หากถอนออกไปหมด ประสิทธิภาพของการทำเลเซอร์จะลดลง
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์, AHA, BHA และ เรตินอยด์ อย่างน้อย 3 วัน
  • งดทาโรลออน ขัดหรือสครับผิวบริเวณรักแร้ อย่างน้อย 1 สัปดาห์

ขั้นตอนเลเซอร์ขนรักแร้

ขั้นตอนเลเซอร์ขนรักแร้ ตั้งค่าพลังงาน
  • ขั้นตอนเลเซอร์ขนรักแร้ในแต่ละคลินิกความงามอาจแตกต่างกันไปตามเครื่องเลเซอร์ที่ให้บริการครับ แต่จะมีภาพรวม ดังนี้
  • ทำความสะอาดผิวใต้วงแขน และโกนขนให้มีความยาวเหลือเพียง 0.5-1 mm เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการทำเลเซอร์ขนรักแร้
  • สำหรับใครที่กลัวเจ็บ สามารถแจ้งให้คลินิกความงามทายาหรือแปะเจลเย็นก่อนเริ่มยิงพลังงานได้ ซึ่งจะใช้เวลาเพิ่มประมาณ 30 นาที
  • แพทย์หรือ Specialist ตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมกับสีผิวและเส้นขน
  • เริ่มยิงพลังงานเลเซอร์ โดยเครื่องจะเป่าลมเย็น เพื่อปกป้องผิวจากความร้อน และช่วยให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายขึ้น การทำเลเซอร์ขนรักแร้จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที

ข้อควรปฏิบัติหลังเลเซอร์ขนรักแร้

หลังการทำเลเซอร์ขนรักแร้ผิวอาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย สามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน สำหรับแนวทางการดูแลตัวเองหลังเลเซอร์ขน จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และลดโอกาสเกิดการระคายเคือง มีดังนี้ 

  • ทาครีมบำรุงหรือยาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อบรรเทาอาการแสบร้อน และการระคายเคืองในจุดที่ทำ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 3 วัน เพราะอาจทำให้ผิวแห้ง และระคายเคืองได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการสครับผิวเป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงบริเวณรักแร้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เช่น การอาบแดด การอยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง
  • งดโกน ถอน หรือแว็กซ์ขนรักแร้ อย่างน้อย 2 สัปดาห์

เลเซอร์ขนรักแร้ ที่ไหนดี ?

การเลือกสถานที่เลเซอร์ขนรักแร้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะในการทำเลเซอร์ขนให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง หลาย ๆ คนจึงควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ร่วมด้วย ก่อนตัดสินใจซื้อคอร์สเลเซอร์ขนรักแร้

  • คลินิกความงามที่เปิดถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาต 11 หลักแสดงไว้ชัดเจน
  • ที่ตั้งของคลินิกความงามใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ หรืออยู่ในห้างสรรพสินค้า เดินทางสะดวก
  • ทำเลเซอร์ขนรักแร้กับแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการอบรมใช้งานเครื่องเลเซอร์เท่านั้น
  • มีให้บริการเครื่องเลเซอร์ขนรักแร้ที่หลากหลาย และใช้เครื่องที่ได้มาตรฐาน
  • เปรียบเทียบราคาและโปรโมชันในแต่ละคลินิกว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ หากราคาต่ำมากเกินไป เสี่ยงเป็นเครื่องเลเซอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำแล้วไม่เห็นผล หรือผิวไหม้ได้

ประโยชน์ด้านอื่นของเลเซอร์ขนรักแร้ มีไหม ? 

นอกจากเลเซอร์ขนรักแร้จะช่วยลดจำนวนเส้นขนบริเวณรักแร้อย่างถาวรแล้ว ยังสามารถใช้แก้ปัญหาผิวใต้วงแขนได้อีกด้วย

  • รักแร้ขาวขึ้น : เลเซอร์สามารถใช้กำจัดขน และกำจัดเม็ดสีใต้วงแขน แก้ปัญหารอยคล้ำ หรือรอยดำจากการกำจัดขนไม่ถูกวิธี ปรับให้สีผิวกระจ่างใสขึ้น เพิ่มความมั่นใจเวลาแต่งตัว
  • ลดตุ่มหนังไก่ : รักแร้เป็นตุ่มรูขุมขนเหมือนหนังไก่ มักเกิดจากการโกนหรือแว็กซ์ ทำให้รูขุมขนขยายใหญ่ขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่กระตุ้นให้รูขุมขนรักแร้อุดตัน การทำเลเซอร์รักแร้จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจน รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวกลับมาเรียบเนียน
  • ลดรอยพับ หรือรอยย่นรักแร้ : ผิวใต้วงแขนไม่เรียบเนียน มองเห็นเป็นรอยพับ มักเกิดจากการเสียดสีระหว่างผิวรักแร้กับเสื้อผ้า หรือการกำจัดขนด้วยการโกน ถอน และแว็กซ์ ความร้อนของเลเซอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ปรับผิวให้เรียบเนียน
เลเซอร์ขนรักแร้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์ขนรักแร้

เลเซอร์ขนรักแร้ เจ็บไหม ?

การทำเลเซอร์ขนรักแร้ไม่เจ็บครับ มักจะรู้สึกอุ่น ๆ หน่วง ๆ เวลายิงเลเซอร์ และเครื่องเลเซอร์ส่วนใหญ่จะมีระบบเป่าลมเย็นในระหว่างยิงพลังงาน เพื่อช่วยปกป้องผิวและบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวด สำหรับใครที่กังวลเรื่องความเจ็บ สามารถแจ้งให้คลินิกแปะยาชา ทาเจลเย็น หรือประคบเย็นก่อนยิงพลังงานได้

เลเซอร์ขนรักแร้ กี่ครั้งเห็นผล อยู่ได้นานไหม ?

เลเซอร์ขนรักแร้สามารถเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ขึ้นอยู่กับลักษณะเส้นขนของแต่ละคนร่วมด้วย และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเมื่อทำ 5-9 ครั้ง คือ เส้นขนขึ้นใหม่น้อยลง และเส้นบางลง แต่อาจมีบางเส้นขนที่ขึ้นมาใหม่บ้าง จึงควรทำซ้ำต่อเนื่อง เพื่อกำจัดขนให้หมด 
หลังทำเลเซอร์ต่อเนื่อง ผลลัพธ์อยู่ได้นานเฉลี่ย 1-2 ปีหรือนานกว่านั้น หลาย ๆ คนจึงนิยมซื้อเป็นคอร์สเลเซอร์ขนรักแร้ เพื่อให้การกำจัดขนมีประสิทธิภาพ และมีราคาถูกกว่าการจ่ายเป็นรายครั้ง

เลเซอร์ขนรักแร้ ทำบ่อยแค่ไหน ควรเว้นระยะอย่างไร ?

เลเซอร์ขนรักแร้แต่ละครั้งควรเว้นห่างกัน 4-8 สัปดาห์ครับ ในช่วงแรกที่เส้นขนยังมีความหนา มีสีเข้ม และขึ้นใหม่เร็ว อาจจำเป็นต้องทำทุก 4 สัปดาห์ แต่เมื่อเส้นขนเริ่มบางลง เส้นเล็กลง สามารถขยายเวลาได้นานขึ้นเป็นทุก 6-8 สัปดาห์
สำหรับใครที่ใจร้อน อยากทำเลเซอร์ขนรักแร้บ่อยกว่านั้น เพื่อให้เห็นผลลัพธ์เร็ว ๆ ไม่แนะนำครับ เพราะการทำเลเซอร์บ่อยเกินไป อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมา เช่น ผิวแดง ผิวไหม้ หรือระคายเคืองได้ 

เลเซอร์ขนรักแร้ทำให้ผิวบางลงไหม ?

การทำเลเซอร์ขนรักแร้ ไม่ได้ทำให้ผิวบางลงครับ เพราะพลังงานของเครื่องเลเซอร์จะโฟกัสที่รากขนโดยตรง จึงไม่ทำให้ผิวบางหรือก่อให้เกิดอันตรายกับผิวรอบข้าง  

เลเซอร์ขนรักแร้แต่ละครั้ง ด้วยเครื่องเลเซอร์คนละแบบได้ไหม ?

การเลเซอร์ขนรักแร้ด้วยเครื่องเลเซอร์ที่แตกต่างกัน สามารถทำได้ครับ ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียใด ๆ ในบางรายเคยใช้เครื่องเลเซอร์แบบหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถเปลี่ยนเป็นเครื่อง ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น พลังงานแรงและลงลึกได้มากขึ้น หากไม่แน่ใจว่าควรใช้เครื่องแบบใด ก็สามารถขอคำปรึกษาจากคลินิกความงามที่รับบริการได้


สรุป

เลเซอร์ขนรักแร้ เป็นวิธีการกำจัดขนใต้วงแขนได้อย่างถาวร เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก หมดปัญหาขนคุด ตุ่มหนังไก้ใต้วงแขน ช่วยให้คุณมั่นใจได้มากขึ้น สำหรับใครที่ตัดสินใจการทำเลเซอร์ขนรักแร้ และมองหาคอร์สทำเลเซอร์ขนรักแร้ ควรเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ใช้เครื่องเลเซอร์ขนที่ได้มาตรฐาน และทำหัตถการกับแพทย์หรือ Specialist ที่ผ่านการอบรม เพียงเท่านี้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ และบริการปลอดภัยแล้วครับ

ซิลิโคนเจล ยารักษารอยแผลเป็นให้จางลงได้

0
ซิลิโคนเจล รักษาแผลเป็น
ซิลิโคนเจล รักษาแผลเป็น

อาการบาดเจ็บบริเวณผิวหนังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก มีหลายสิ่งรอบตัวที่ล้วนทำให้เกิดแผลเป็นได้ เช่น อุบัติเหตุต่าง ๆ, การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด, การเป็นสิว เป็นต้น 

สำหรับอาการบาดเจ็บบนผิวหนังที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมจะนำมาซึ่งปัญหาของการมีรอยแผลเป็นที่คอยทำลายความมั่นใจในบุคลิกของตนเองยามเมื่อปรากฏบนส่วนที่สำคัญของร่างกาย เช่น ใบหน้า ลำคอ แขน ขา ทำให้ดูไม่สวยงามและอาจเกิดอาการคันอีกด้วย

แต่การดูแลรักษาเบื้องต้นที่เหมาะสมก็สามารถช่วยรักษาแผลเป็นให้จางลง ยกตัวอย่างเช่น การใช้ซิลิโคนเจล ที่จะช่วยลบรอยแผลเป็นบนผิวหนัง ซึ่งมันมีสรรพคุณอะไร และมีวิธีอะไรอีกบ้างที่ช่วยลบรอยแผลเป็นได้ หาคำตอบได้จากบทความนี้


สารบัญบทความ


การปฐมพยาบาลสำหรับแผลหลายประเภท

การรักษาแผลเป็นที่ดีที่สุด คือ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่รอยจะลุกลามจนกลายเป็นรอยแผลเป็น ซึ่งตัวการที่ไปเร่งให้เกิดรอยแผลเป็น คือ อาการแผลติดเชื้อ,รับประทานอาหารปรุงไม่สุก, อาหารหมักดอง, สูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งต้องระมัดระวัง หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

การรักษาความสะอาดเป็นขั้นตอนแรกของการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่จะช่วยให้แผลหายไวยิ่งขึ้น พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการอักเสบที่ทำให้หายยากยิ่งขึ้น พร้อมแนะนำให้หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ๆ ในช่วงที่มีแผลใหม่ภายในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกแผลจะได้ไม่เกิดการปริแตก สุดท้ายเมื่อแผลหายสนิทก็สามารถใช้ซิลิโคนเจลรักษาหากเกิดรอยแผลเป็นขึ้น

ซึ่งแผลก็มีอยู่หลายแบบ โดยการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับรอยแผลต่าง ๆ มีดังนี

ซิลิโคนเจล ลบรอยแผลเป็น

แผลถลอก

ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นทั่วไป ช่วงแรกจะมีสีคล้ำแต่สุดท้ายก็จะกลับมาเรียบเนียน และจางลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไปจนกลายเป็นแผลเป็นที่ดูไม่เด่นชัดนัก การดูแลรักษาให้ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ ทาครีมทาแผลเป็นรอยดำ

แผลจากความร้อน (ไฟไหม้ ท่อไอเสีย น้ำร้อนลวก)

แผลที่มีสาเหตุมาจากความร้อน เช่น ไฟไหม้ ท่อไอเสีย น้ำร้อนลวก จะทำให้ผิวหนังที่อยู่รอบบาดแผลเกิดการหดตัวและดึงรั้ง มีลักษณะเป็นรอยแผลขรุขระ ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ดูคล้าย ๆ กับถูกดึงรั้ง การใช้แผ่นแปะซิลิโคนเจลบนแผลเพื่อรักษาความชุ่มชื้นสามารถลดรอยแผลเป็นให้จางลงได้

แผลจากของมีคม

แผลที่เกิดจากของมีคม เช่น แผลผ่าตัด จะมีลักษณะนูนขึ้นมาจากพื้นผิวหนังระดับปกติ เพราะคอลลาเจนถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมากเกินไป แต่ขอบเขตการเกิดนั้นจะเป็นไปในขอบเขตของบาดแผลเท่านั้น เราควรป้องกันการติดเชื้อ ทำความสะอาดรักษาแผลจนหายสนิทก่อนที่จะใช้ยาซิลิโคนเจลเพื่อทำให้แผลเป็นมีขนาดเล็กลงและดูกลมกลืนกับผิวมากที่สุด 

แผลจากสัตว์เลี้ยง

การปฐมพยาบาลขั้นต้นหลังสัตว์เลี้ยงกัดก็คือการล้างแผลจนสะอาด แล้วทำการสำรวจความรุนแรงของแผล โดยระดับความรุนแรง ประเมินได้ดังนี้

  • แผลไม่รุนแรง ให้ใช้ครีมทาแผลฆ่าเชื้อแล้วปิดแผล ควรทำแผลทุกวันจนหาย
  • แผลไม่ใหญ่มาก แต่มีอาการปวด หลังล้างแผลทำความสะอาด ให้รีบไปพบแพทย์
  • แผลฉีกขาดเลือดเยอะ ควรล้างแผลทำความสะอาด ห้ามเลือดแล้วรีบไปพบแพทย์

รอยแผลเป็นเกิดได้อย่างไร

รอยแผลเป็นนั้นเกิดจากกระบวนการตามธรรมชาติเมื่อผิวหนังได้รับบาดเจ็บก็จะมีการสมานและปิดแผลเพื่อแทนที่ผิวบาดเจ็บหรือเสียหาย รอยแผลเป็นจะเกิดในช่วงที่มีการปรับสภาพหลังแผลปิดสนิทประมาณ 2-3 สัปดาห์ จำนวนคอลลาเจนที่ไม่เป็นระเบียบและมีจำนวนมากจะทำให้เส้นใยไม่ยืดหยุ่นเพียงพอจึงเกิดเป็นรอยแผลเป็น

นอกจากนี้แล้วรอยแผลเป็นยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดดังนี้

  1. แผลเป็นปกติ (normal) มีลักษณะเรียบ ซีด จะค่อย ๆ จางลงตามเวลา
  2. แผลเป็นที่มีลักษณะโตนูน จะมีอยู่ 2 แบบคือ แผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic scar) และแผลเป็นคีลอยด์
  3. แผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไป (depressed scar) มีลักษณะเป็นร่องหรือรูบุ๋มลงไปใต้ผิวหนัง
  4. แผลเป็นที่มีการหดรั้งร่วมด้วย (scar contracture) ลักษณะของแผลจะดึงรั้งผิวโดยรอบให้ดูผิดรูป

รอยแผลเป็นที่กล่าวเบื้องต้นนี้สามารถทำให้ลดเลือน เรียบเนียน จางลงได้ทั้งนี้ขึ้นกับขนาด และความลึก แต่ไม่สามารถทำให้หายไปหมดได้ การรักษาแผลเป็นอาจทำได้ด้วยตัวเองโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลรอยแผลเป็นที่มีขายในท้องตลาด เช่นซิลิโคนเจลที่เป็นทั้งแผ่นแปะและยาทานั่นเอง

รักษาแผลเป็น


รักษารอยแผล ด้วยวิธีใด เหมาะกับแผลประเภทไหน

เพื่อจะได้ลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การผ่าตัด ทำเลเซอร์ อุบัติเหตุ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นสิว ฯลฯ คนไข้สามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งในการรักษาแผลเป็นที่เราจะมาแนะนำให้รู้จักดังต่อไปนี้เพื่อเป็นการลดรอยแผลเป็น หรืออาจเป็นหลาย ๆ วิธีร่วมกันได้

โดยทั่วไปแล้วถ้าบาดแผลเกิดลึกถึงชั้นหนังแท้ หรือเป็นแผลติดเชื้อถึงชั้นหนังแท้ ก็อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นขึ้นได้ สำหรับวิธีลดรอยแผลเป็น จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสามารถใช้ซิลิโคนเจลได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธี โดยสามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะสมกับแผลซึ่งเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน หรืออาจใช้หลายวิธีร่วมกันก็ได้เพื่อให้รอยแผลจางลงให้มากที่สุด

การเลเซอร์แผลเป็น (Laser therapy)

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่แพทย์ต้องเป็นผู้รักษาด้วยการยิงเลเซอร์ส่งพลังงานความร้อนผ่านชั้นผิวลงไปทำลายเนื้อเยื่อที่นูนขึ้นมาให้เรียบขึ้น

การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Intralesional corticosteroid)

เป็นวิธีลดรอยแผลเป็นนูนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยแพทย์จะเป็นผู้ฉีดยาสเตียรอยด์ไปยังแผลนูนโดยตรง ตัวยาที่ฉีดเข้าไปจะช่วยลดอาการอักเสบที่ทำให้เกิดแผลคีลอยด์ได้ ช่วยให้แผลนุ่ม ยุบ และแบนราบในที่สุด วิธีนี้จะเห็นผลก็ต่อเมื่อทำภายใน 1 ปีหลังจากบาดเจ็บมีแผลการใช้งาน : ควรฉีดประมาณ 1 ครั้งต่อเดือน ความถี่จะขึ้นอยู่กับอาการตอบสนองของยา

การผ่าตัดแผลเป็น

การใช้วิธีผ่าตัดเป็นการลดรอยแผลเป็นเพื่อให้ดูดีขึ้น สำหรับการผ่าตัดนั้นทำได้ 2 วิธีคือ ผ่าตัดออกเป็นเส้นตรง หรือตัดออกเป็นรูปซิกแซกเพื่อเอาแผลเก่าออกแล้วเย็บเป็นแผลใหม่อีกครั้ง หรือ ผ่าตัดเพื่อลดขนาดของแผลเป็นให้เล็กลง อาจมีการผ่าตัดมากกว่า 1 ครั้งก็ได้ ปกติแล้วจะใช้ร่วมกับการฉีดยา หรือปิดด้วยแผ่นซิลิโคนเจลแผ่นก็ได้

การใช้แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone gel sheet)

เป็นวิธีรักษาแผลเป็นด้วยการปิดแผ่นซิลิโคนเจลบนแผลที่ปิดสนิทแล้ว หรือหลังจากที่ได้ตัดไหมเรียบร้อยแล้ว วิธีนี้จะช่วยรักษาความชุ่มชื้น ลดอาการอักเสบ ลดการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิวหนังที่เป็นสาเหตุให้เกิดเป็นรอยแผลนูนเกิน ทั้งยังสามารถปรับสีของผิวบริเวณแผลเป็นให้จางลง และแบนราบลงได้ด้วย 

การใช้งาน : ให้แปะแผ่นซิลิโคนเจลต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 12 ชั่วโมงเป็นเวลานานอย่างน้อย 6-12 เดือน

การใช้ผลิตภัณฑ์ซิลิโคนเจลลดรอยแผลเป็น

ผลิตภัณฑ์ซิลิโคนเจลที่เป็นยาทารอยแผลเป็นนั้นเป็นได้ทั้งเจลทาแผลเป็น และครีมทาแผลเป็น การดูแลด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายสะดวกสบายเพราะหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป มีวิธีการใช้ง่าย การพกพาก็สะดวก เพียงแต่ต้องเลือกซื้อซิลิโคนเจลที่เหมาะกับแผลเป็นที่มีด้วย

การใช้งาน : ให้ทาต้องทาเช้าเย็นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6-12 เดือนหลังแผลหาย


สรุปประโยชน์จากซิลิโคนเจล

สำหรับซิลิโคนเจลนั้นไม่ว่าจะเป็นยาทารอยแผลเป็นหรือแบบแผ่นแปะก็จะมีคุณสมบัติเหมือน ๆ กันคือ ช่วยรักษารอยแผลเป็นนูนให้แลดูเรียบเนียนขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถช่วยลดความเจ็บปวดได้ เพียงแต่ว่าแบบชนิดทาสามารถลดอาการคันได้ดีกว่าแบบแปะ นอกเหนือจากนี้ควรดูแลแผลให้สะอาดและชุ่มชื้นอยู่เสมอ ห้ามกด บีบ แคะตุ่มสิว

5 สิ่งควรรู้ ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ? เพื่อผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า ปลอดภัย

0
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี

อยากฉีดฟิลเลอร์แต่ไม่รู้ว่าจะ ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ? เลือกหมออย่างไร ? หมอคนไหนเก่ง ? เรามีคำแนะนำฝาก เพราะการฉีดฟิลเลอร์ใช่ว่าจะฉีดกับใครที่ไหนก็ได้ จำเป็นต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพื่อให้ผลลัพธ์หลังฉีดมีประสิทธิภาพ สวยงาม ปลอดภัย คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป 


5 สิ่งควรรู้ ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ 

ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ? เราอยากให้เข้าใจก่อนว่า การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยฝีมือร่วมกับประสบการณ์ในการฉีดของแพทย์ ต้องใช้ทั้งศาสตร์ความรู้ด้านกายวิภาคและศิลปะในการออกแบบปรับรูปหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม มีความปลอดภัย และเมื่อต้องเลือกว่า จะฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ? เรามี 5 สิ่งควรพิจารณาก่อนเข้าใช้บริการดังนี้ 

1. ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ 

การจะฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้า และคืนความอ่อนเยาว์ให้ได้ดูเป็นธรรมชาติ สวยงาม ตัวแพทย์ผู้ฉีดจำเป็นต้องรู้สาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เพื่อวางแผนฉีดฟิลเลอร์ได้ถูกตำแหน่ง ถูกชั้นผิว เลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์รวมถึงปริมาณการใช้ได้อย่างเหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะออกมาดูเป็นธรรมชาติ ใบหน้าเข้ารูปและอ่อนเยาว์ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเจ้าของใบหน้าได้หลังฉีด  

ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์มากประสบการณ์

นอกจากนี้แพทย์ที่มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์ มักจะมีเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ การลงน้ำหนักมือในการฉีดได้อย่างพอเหมาะ มือเบา จึงช่วยลดอาการบวมช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างดี 

แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าหมอเก่ง หมอมีประสบการณ์ ? 

ปัจจุบันการฉีดฟิลเลอร์เป็นที่นิยมมากขึ้น ทำให้เราสามารถสืบค้นข้อมูล เลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ที่มีหมอเก่ง ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น เว็บไซน์  เฟซบุ๊กเพจ เฟซบุ๊กกลุ่ม ที่ออกมาแชร์เรื่องราวการฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงบอกชื่อแพทย์ บอกพิกัดคลินิก ให้ตามไปใช้บริการได้หากสนใจ ซึ่งวิธีการดูแม้จะมีการเชียร์ให้ทำกับหมอคนนั้น คนนี้ แนะนำให้เช็กประวัติหมอท่านนั้นด้วย มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อ-นามสกุลได้จากฐานข้อมูลแพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/  

อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องตรวจเช็กคือ แพทย์ท่านนั้นเป็นแพทย์ประจำคลินิกนั้น ๆ หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันยังมีแพทย์ที่รับจ้างฉีดตามคลินิกความงาม ทำให้หลังฉีดหากมีข้อสงสัย หรือมีปัญหา การตามตัวหรือดำเนินการแก้ไขปัญหาอาจเป็นไปได้ยาก แนะนำให้เลือกใช้บริการกับแพทย์ที่อยู่ประจำคลินิกนั้น ๆ  

ข้อควรรู้ : ร้านสปา ร้านนวด ร้านเสริมสวย ไม่สามารถให้บริการฉีดฟิลเลอร์ได้ เพราะผิดกฏหมายและเข้าข่ายคลินิกเถื่อน ปัจจุบันยังพบว่ามีการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ชักชวนให้เข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก รวมถึงวิตามินผิวต่าง ๆ  โดยอ้างว่าผู้ให้บริการเป็นแพทย์จริง พร้อมแสดงเลขที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเพื่อให้น่าเชื่อถือ กรณีนี้ถือว่าผิดกฏหมาย และแพทย์จริง ๆ ก็จะไม่รับให้บริการในลักษณะนี้เช่นกัน  จึงไม่แนะนำให้เข้ารับบริการ

2. ฉีดฟิลเลอร์ด้วยผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์แท้ 

การฉีดฟิลเลอร์ไม่ว่าจะตำแหน่งใด ต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านอย. ในประเทศไทยอย่างถูกต้องเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกใช้หลายยี่ห้อ จากหลายประเทศ และราคาที่แตกต่างกัน 

เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์แท้มากขึ้น ฟิลเลอร์แท้คืออะไร ? ฟิลเลอร์แท้คือ ฟิลเลอร์ ประเภทสาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถสลายไปเองได้ ฉีดใหม่ได้เรื่อย ๆ มีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีให้เลือกหลายยี่ห้อที่ผ่านอย. โดยยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและแพทย์ทั่วโลกเลือกใช้ เช่น 

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane จากสวีเดน
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm จากอเมริกา
  •  ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Perfectha จากฝรั่งเศส
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero จากสวิตเซอร์แลนด์
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse จากอิตาลี

ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่านอย .

ยี่ห้อฟิลเลอร์แท้

สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี คือ ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการลงทะเบียน ฟิลเลอร์หิ้วที่ลักลอบนำเข้ามา  ถึงแม้จะเป็นฟิลเลอร์ HA ก็ถือว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม เพราะตัวยาไม่อยู่ในการควบคุม มีการจัดเก็บ ขนส่งที่ไม่เหมาะสม อุณหภูมิการเก็บรักษาไม่คงที่ ทำให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพและเป็นอันตราย ต่อร่างกายเพราะตัวยากลายเป็นสิ่งแปลกปลอม เมื่อนำมาฉีดอาจส่งให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้  

ฉีดฟิลเลอร์แท้

คำถามต่อมา แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าคลินิกนั้น ๆ ใช้ฟิลเลอร์แท้ ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง ?  วิธีตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี เพื่อให้ได้ฟิลเลอร์แท้ เบื้องต้นให้เลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ที่มีการแจ้งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้อย่างชัดเป็นหลัก จากนั้นก่อนฉีดสามารถขอให้หมอแกะกล่องให้ดูต่อหน้า หรือขอตรวจเช็กฟิลเลอร์ก่อนฉีด ซึ่งวิธีสังเกตว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ มีดังนี้ 

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้นต้องมีเลขทะเบียนอย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
  • มีเลข Lot ที่กล่อง เลข Lot ที่หลอด เลข Lot ที่สติกเกอร์ ต้องตรงกัน
  • บอกวันหมดอายุอย่างชัดเจน
  • ฟิลเลอร์บางยี่ห้อ เช่น ฟิลเลอร์ Restylane จะสามารถสแกน QR Code ด้วยแอปพลิเคชัน  Eztraker เพื่อตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ได้ 
  • สามารถโทรสอบถามเลข Lot ได้ที่บริษัทนำเข้าของแต่ละยี่ห้อฟิลเลอร์ เช่น ฟิลเลอร์ Juvederm สามารถติดต่อสอบถามได้ที่บริษัทแอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) ฟิลเลอร์ Restylane สามารถสอบถามได้ที่บริษัทกัลเดอร์มา (ประเทศไทย) เป็นต้น

3. ฉีดฟิลเลอร์ภายใต้คลินิกที่น่าเชื่อ 

ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ควรพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ของคลินิกที่สนใจอย่างละเอียด เพื่อความมั่นใจและความปลอดภัย ดังนี้ 

  • คลินิกมีชื่อแสดงชัดเจน เป็นคลินิกที่เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก สามารถนำชื่อคลินิกไปตรวจสอบสถานพยาบาลเอกชนที่ได้รับอนุญาต บนเว็บไซต์ https://hosp.hss.moph.go.th/ 
  • บรรยากาศคลินิกสะอาด สว่าง ไม่อึดอัด มีห้องทำหัตถการกว้างขวาง เครื่องมือทางการแพทย์ครบครัน ทันสมัย  
  • คลินิกมีการแจ้งชื่อแพทย์ผู้ฉีดอย่างชัดเจน และแพทย์ผู้ฉีดมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเช็กประวัติ และตรวจสอบเลขที่ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา 
  • ใช้ฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อมาตรฐาน ผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก อย. สามารถตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้
  • มีรีวิวจากผู้ใช้บริการคลินิกนั้น ๆ จริง และมีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่หน้าม้า 
  • หากติดต่อสอบถามไปยังคลินิก ทางคลินิกจะต้องแจ้งข้อมูลชัดเจน ไม่ปิดบัง เช่น ถามชื่อแพทย์ผู้ฉีด ถามยี่ห้อฟิลเลอร์ ถามราคาโปรโมชันเป็นต้น 

4. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดีต้องเช็กรีวิว 

การเช็กรีวิวก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ที่สำคัญปัจจุบันทำได้ง่าย มีการแชร์ข้อมูลข่าวสารการใช้บริการมากมาย เราสามารถนำชื่อคลินิกไปหาข้อมูลได้อย่างสะดวกสบาย เมื่อพบข้อมูลแล้ว ก็ควรดูความน่าเชื่อถือด้วย ไม่ควรดูแค่รีวิวสวย ๆ ทำแล้วดี หรือรีวิวแจ้งราคาถูก ๆ โดยเฉพาะรีวิวที่คลินิกเป็นผู้โพสต์เพียงอย่างเดียว เพราะก็จะเห็นแต่เคสสวย ๆ ที่ได้ผลดีเอามาโชว์ ซึ่งเคสสวย ๆ ที่โชว์ 10 เคส จริง ๆ แล้วอาจจะมีเคสหลุดที่ไม่ได้โชว์เป็น 100 เคสก็ได้ 

ดังนั้น ควรดูรีวิวอย่างละเอียด เช็กผลลัพธ์หลังทำ ภาพถ่าย Before-After เป็นอย่างไร แต่งรูปหรือไม่ แนะนำให้สังเกตด้วยว่า Before-After ที่แสดง มีการแต่งหน้าที่แตกต่างกันหรือไม่ เพราะรีวิวส่วนใหญ่ รูป Before จะเป็นหน้าสด แต่รูป After จะแต่งหน้าแบบจัดเต็ม ดูสวยพร้อม ทำให้คนที่ดูรีวิวคาดหวังผลการรักษาที่เกินจริงได้ 

5. ราคาฉีดฟิลเลอร์มาตรฐาน 

ราคาค่าใช้จ่ายมีผลต่อการตัดสินใจก็จริง  แต่การจะฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ที่ไหนคุ้ม จะมองที่ราคาถูก ๆ เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะราคาฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกมาก ๆ มีโปรเหมา ๆ ไม่จำกัด CC  เสี่ยงเจอหมอปลอม ยาปลอม 

สิ่งที่ควรรู้คือ การฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า หรือลดริ้วรอยร่องลึก ต้องใช้ 1. ตัวยาฟิลเลอร์ 2.ใช้ความสามารถแพทย์ 3. ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ 4. ใช้เจ้าหน้าที่-พนักงานลูกมือ  ทั้งหมดนี้ล้วนมีค่าใช้จ่าย 

  • ตัวยาฟิลเลอร์มีค่าต้นทุน
  • แพทย์มีค่ามือ ค่าวิชาชีพ แพทย์ที่มีชื่อเสียง ฝีมือดี ค่ามือย่อมสูงขึ้น 

 กรณีฉีดฟิลเลอร์ราคา 1 พันบาทต้น ต่อ 1 CC เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะราคาต้นทุนฟิลเลอร์แพงกว่ามาก แม้จะแจ้งว่าเป็นฟิลเลอร์เกาหลี ราคาก็จะไม่ถูกมาก เพราะโดยปกติราคาฉีดฟิลเลอร์เกาหลี ตามราคามารตรฐานจะอยู่ที่ 6,000 บาทขึ้นไป ต่อ 1 CC  แต่ถ้าคลินิกดัง หมอมีชื่อเสียง ราคาเฉลี่ยอยู่ 7500 บาทขึ้นไป ต่อ 1 CC 

ฟิลเลอร์ราคาถูก

 เพื่อความปลอดภัย ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ราคาควรอยู่ในระดับมาตรฐาน กรณีพบราคาโปรโมชันถูก ๆ ควรเช็กชื่อหมอ เช็กยี่ห้อฟิลเลอร์ รวมถึงเช็กรีวิวอื่น ๆ ประกอบอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้พลาดใช้ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์หิ้ว หมอเถื่อน ที่สร้างผลเสียหลังฉีดตามมาได้  


สรุป

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ความปลอดภัยควรมาเป็นอันดับ 1 พิจารณาเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน  ให้บริการทำหัตถการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ตัวยาฟิลเลอร์แท้ ที่เหมาะกับตำแหน่งฉีด เพื่อให้ผลลัพธ์หลังการฉีดออกมาดี ดูเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคาที่สุด

โรงงาน OEM แตกต่างจากโรงงานแบบอื่นอย่างไร?

0
oem
oem

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโรงงานที่รับผลิตสินค้าของตนเอง อาจมีหลายคนที่เห็นคำว่า “โรงงาน OEM” ผ่านตากันมาบ้าง แต่อาจยังไม่รู้แน่ชัดว่า โรงงาน OEM นั้นแตกต่างจากโรงงานแบบอื่นหรือไม่ มีจุดเด่นเฉพาะอย่างไร

ในบทความนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับโรงงาน OEM มาแล้วว่า การรับจ้างผลิตแบบ OEM คืออะไร มีความแตกต่างกับโรงงานแบบอื่นหรือไม่ พร้อมข้อดีหากผลิตสินค้าแบบ OEM Manufacturing อ่านข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้านล่างนี้เลย!


OEM คืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่นิยม

oem คือ

โรงงาน OEM ย่อมาจาก Original Equipment Manufacturer ซึ่งเป็นโรงงานที่รับผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ของลูกค้า โดยโรงงาน OEM จะผลิตสินค้าประเภทต่าง ๆ ที่โรงงานรับทำ ซึ่งอาจจะติดแบรนด์หรือไม่ก็ได้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลดต้นทุนในการผลิตสินค้านั่นเอง

ในปัจจุบัน มีโรงงาน OEM หลายแห่งที่มีบริการแบบ One-Stop Service ด้วยการมีนักวิจัยเพื่อพัฒนาสูตรให้กับลูกค้า รับทำแบรนด์ พร้อมวางแผนการตลาดให้กับลูกค้าร่วมด้วย จึงได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการที่ไม่ได้ตั้งโรงงานของตนเอง

นอกจากนี้ การผลิตสินค้าด้วยโรงงาน OEM นั้นยังสามารถเลือกสูตรที่พัฒนาไว้แล้ว เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพของสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน หรือจะเลือกพัฒนาสูตรที่มีอยู่เดิมก็ย่อมได้ เป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้ประกอบการที่ยังตัดสินใจไม่ได้


ข้อดีของการผลิตสินค้าแบบ OEM

ข้อดีของการผลิตสินค้ากับโรงงาน OEM นั้นมีหลากหลายด้วยกัน ซึ่งเราได้รวบรวมข้อดีเบื้องต้นมาไว้แล้ว ดังนี้

  • ไม่ต้องเสียต้นทุนในการสร้างโรงงานเป็นของตัวเองก็สามารถผลิตสินค้าได้
  • สามารถผลิตสินค้าในนามแบรนด์ของตนเองได้
  • หากต้องการผลิตสินค้าในจำนวนน้อยก็สามารถทำได้
  • มีที่ปรึกษา คอยช่วยในด้านการผลิต
  • หากต้องการเปลี่ยนแผนการผลิตหรือปรับการตลาดก็ทำได้ง่าย

การผลิตสินค้าในรูปแบบ OEM – ODM – OBM มีความแตกต่างกันอย่างไร?

หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า โรงงานรับผลิตสินค้า OEM นั้นแตกต่างกับโรงงานประเภทอื่นอย่างไร ในหัวข้อนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลของโรงงานรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบกับโรงงาน OEM ดังนี้ 

ผลิตสินค้าแบบ Original Equipment Manufacturer – OEM

โรงงาน OEM เป็นโรงงานที่รับผลิตสินค้าที่สามารถผลิตโดยอาจติดแบรนด์ลูกค้า หรือหากไม่ต้องการติดแบรนด์ก็ย่อมได้ โดยข้อดีของโรงงาน OEM คือ ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนในการจัดตั้งโรงงานผลิตสินค้าของแบรนด์ตัวเองได้ ทั้งยังสามารถผลิตสินค้าจำนวนน้อยอีกด้วย แต่ข้อเสียคือหากผลิตสินค้าผ่านโรงงาน OEM ในระยะยาวอาจทำให้ต้นทุนกว่าการตั้งโรงงานเองได้ 

ผลิตสินค้าแบบ Original Brand Manufacturer – OBM

โรงงาน OBM เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่แบรนด์ที่มีความมั่นคงจะทำการจัดตั้งโรงงาน OBM เพื่อลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว ฉะนั้น ข้อดีของโรงงานแบบนี้คือ สามารถลดต้นทุนในการผลิตสินค้าจำนวนมาก ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนแผนการตลาดได้ตลอดเวลา แต่มีข้อเสียคือย้ายฐานการผลิตได้ยากนั่นเอง 

ผลิตสินค้าแบบ Original Design Manufacturer – ODM

โรงงาน ODM เป็นโรงงานที่คล้ายกับโรงงานแบบ OEM แต่โรงงานประเภทนี้จะสินค้าให้กับแบรนด์นั้น ๆ แต่ทางแบรนด์จะต้องทำการจัดขาย และวางแผนการตลาดด้วยตนเอง ซึ่งมีข้อดีคล้ายคลึงกับโรงงาน OEM นั่นก็คือ สามารถย้ายฐานการผลิตได้ และมีสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ แต่มีข้อเสียคือต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าโรงงานรูปแบบอื่น


ทำไมถึงควรผลิตสินค้าแบบ OEM?

แล้วทำไมเราจึงควรผลิตสินค้ากับโรงงาน OEM? จากข้อดีที่กล่าวมา โรงงานรับผลิตสินค้า OEM นั้น สามารถช่วยทำให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าในนามแบรนด์ของตนเองได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงกับการแบกรับต้นทุนในการจัดตั้งโรงงานของตนเอง ทั้งยังสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณน้อย ๆ เพื่อทำการทดลองขายอีกด้วย

โรงงาน OEM หลังแห่งมีผู้ให้คำปรึกษา ทั้งในเรื่องของการพัฒนาสูตรสินค้า หรือปรึกษาเกี่ยวกับการตลาด เป็นต้น ผู้ประกอบการหลายคนจึงนิยมในการเลือกใช้บริการกับโรงงาน OEM เพื่อให้การผลิตสินค้าออกมาตรงตามความต้องการและเป้าหมายในตลาดมากที่สุด 


ผลิตสินค้าแบบ OEM กับโรงงานที่น่าเชื่อถือ Pure Derima Laboratories

โรงงาน OEM เป็นโรงงานที่รับผลิตสินค้าและติดแบรนด์ให้กับลูกค้าเจ้านั้น ๆ โดยที่มีมาตรฐานระดับสากลในการรับรองคุณภาพของสินค้าที่ผลิต เพื่อให้สินค้าของคุณได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในท้องตลาด 

ใครที่กำลังมองหาโรงงาน OEM คุณภาพดี เราขอแนะนำ Pure Derima Laboratories โรงงาน OEM ที่ผลิตเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นลิป ครีม หรืออื่น ๆ ก็สามารถทำได้ตามที่ต้องการ โดยมีช่องทางติดต่อดังนี้

Facebook page: Pure Derima Laboratories
Website: Pure Derima Laboratories
Tel: 02-285-4266 และ 061-656-1449
Line: @PureDerima
IG: PureDerima


 

Coolsculpting นวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น ที่ไม่ต้องดูดหรือผ่าตัดให้เจ็บตัว

0
coolsculpting

การลดไขมันส่วนเกิน ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือดูดไขมันออกอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่ไม่ต้องเจ็บตัว อย่าง “coolsculpting” ที่ใช้ความเย็นแบบติดลบ เข้าไปฆ่าเซลล์ไขมันให้ตายลงไปอย่างถาวร โดยไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก และที่สำคัญทำเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เพราะไม่มีแผล ไม่มีการเสียเลือด

ในบทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ CoolSculpting เครื่องสลายไขมันด้วยความเย็น ว่าคืออะไร ? ดีอย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? ปลอดภัยแค่ไหน ? และข้อควรรู้อื่น ๆ ที่ทำให้คุณรู้ได้ว่าทำไมถึงควรเลือกทำ coolsculpting ในการสลายไขมันส่วนเกิน 


CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร ?

CoolSculpting คือ นวัตกรรมสลายไขมันส่วนเกินด้วยความเย็นแบบติดลบ สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา และแขน ได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดหรือดูดไขมัน เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยา (FDA) ทั้งของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย 

CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร _

Coolsculpting  สลายไขมันด้วยความเย็น ทำงานอย่างไร ?

หลักการสำคัญของ Coolsculpting คือ การใช้ความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง ส่งเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง ลึก

ถึงชั้นไขมัน จึงทำให้ไขมันตายและถูกขับออกมาจากร่างกายตามธรรมชาติ บริเวณที่ทำมีปริมาณไขมันลดลง ช่วยให้รูปร่างกระชับ และได้สัดส่วนมากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ รอบข้าง

CoolSculpting ทำงานอย่างไร _

จากภาพข้างบนจะเห็นว่า 

  1. ปริมาณไขมันส่วนเกินจำนวนมากที่กำจัดได้ยาก แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย แต่สามารถกำจัดออกได้ด้วย เครื่อง CoolSculpting โดยใช้หัวดูดพิเศษจับกระชับผิวหนังบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน จากนั้นจะลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วจนถึงประมาณ -11 องศาเซลเซียส
  2. แช่แข็งเซลล์ไขมัน เมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดแข็งตัวของไขมัน เซลล์ไขมันจะเริ่มแข็งตัวและเกิดการแช่แข็ง ในขณะที่เนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบจากความเย็น
  3. ทำลายเซลล์ไขมันด้วยความเย็น เมื่อเซลล์ไขมันถูกแช่แข็งเป็นเวลานานประมาณ 35 นาที จะทำให้เซลล์ไขมันเสียหายและตายในที่สุด จากนั้นร่างกายจะขับเซลล์ไขมันที่ตายออกจากร่างกาย ผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบขับถ่าย ซึ่งจะค่อย ๆ เห็นผลภายใน 1-3 เดือน
  4. ผลลัพธ์จากการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะทำให้ขนาดหรือปริมาตรของไขมันในบริเวณนั้นลดลง โดยสามารถลดลงได้ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง และสามารถกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์มากขึ้น

ข้อดีของ CoolSculpting เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการลดไขมันแบบอื่น

เป็นวิธีการไม่ผ่าตัด (Non-Invasive) ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที

ปลอดภัย เนื่องจากใช้หลักการความเย็นเป็นตัวทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น ๆ

ผลลัพธ์ค่อนข้างถาวร เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาสร้างใหม่

เห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลดน้ำหนักแบบอื่น สามารถลดไขมันจุดเฉพาะได้ดี

ไม่เจ็บ เพียงแค่รู้สึกเย็นและมีความรู้สึกคล้ายถูกกด ไม่ต้องใช้ยาชา

ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง อาจมีอาการบวมนิดหน่อยเป็นระยะสั้น ๆ

เหมาะกับผู้ที่มีรูปร่างค่อนข้างดี แต่มีไขมันส่วนเกินบางจุด


CoolSculpting เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีน้ำหนักปกติหรือน้ำหนักเกินเล็กน้อย 
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ที่ยากต่อการลดด้วยการออกกำลังกาย
  • ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 35 
  • ผู้ที่่ต้องการปรับรูปร่างให้กระชับเฉพาะจุด ไม่ใช่ลดน้ำหนักทั้งตัว
  • ผู้ที่ไม่ต้องการจะผ่าตัดหรือดูดไขมัน เพื่อกำจัดไขมัน 
  • ผู้ที่ไม่อยากมีแผล ไม่อยากพักฟื้นนาน 
  • ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่เป็นข้อห้าม 
    เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น

CoolSculpting ทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

CoolSculpting สามารถใช้สลายไขมันส่วนเกินได้หลายบริเวณเนื่องจากมีหัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์หลายขนาด จึงสามารถกำจัดไขมันได้ทั้งบริเวณหน้าท้อง, เอว, ปีกหลัง, ขาใน, ใต้ก้น, หน้าอก (ผู้ชาย), ต้นแขน, สะโพก, ต้นขาด้านนอก, หัวเข่า หรือเหนียง


หัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting

หัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting จะทำงานโดยการดูดผิวหนังและไขมันส่วนเกินเข้าไปในเครื่อง จากนั้นจะทำความเย็นในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อแช่แข็งและทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก

หัวดูดไขมัน CoolSculpting จะมี 5 หัว เพื่อใช้ในการสลายไขมันบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้  

หัวดูดไขมัน CoolSculpting
  1. หัว Cool Smooth Pro เหมาะสำหรับลดไขมันบริเวณที่มีผิวเรียบ เช่น หน้าท้อง ต้นขาด้านนอก สะโพก หรือใช้ทำ Six Pack
  2. หัว Cool Advantage Plus  เป็นหัวขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับลดไขมันบริเวณที่มีไขมันสะสมหนา เช่น เอว ท้อง 
  3. หัว CoolAdvantage Petite เหมาะกับคนที่มีไขมันน้อย สามารถทำได้ 7 บริเวณ ได้แก่ ท้อง, เอว, แขน, หน้าอก (ผู้ชาย), ปีกหลัง, ขาด้านใน และใต้ก้น
  4. หัว Cooladvantage เป็นหัว applicators ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะกับการลดไขมันบริเวณที่มีไขมันสะสมปานกลาง ทำได้ 7 บริเวณ เหมือนกับหัว CoolAdvantage Petite ได้แก่ ท้อง, เอว, แขน, หน้าอก (ผู้ชาย), ปีกหลัง, ขาด้านใน และใต้ก้น
  5. หัว Cool Mini เป็นหัวขนาดเล็กที่มีความโค้ง เหมาะสำหรับลดไขมันบริเวณเหนียง เนื้อใต้รักแร้ เหนือหน้าอก รวมถึงเนื้อย้วยเหนือเข่า ในบางคนที่ลดด้วยการออกกำลังกายแล้วแต่ไม่ได้ผล

การเลือกว่าจะใช้หัวดูดไขมัน CoolSculpting แบบไหนนั้น แพทย์ที่มีประสบการณ์จะเป็นผู้ออกแบบและเลือกหัวดูดไขมันที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการทำ และปริมาณไขมันสะสมของแต่ละบุคคล 


CoolSculpting ปลอดภัยไหม ?

CoolSculpting เป็นนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่มีความปลอดภัยสูง ผ่าน อย.ไทย และอเมริกา (U.S. FDA) มาพร้อมกับระบบ Freeze Detect ที่จะหยุดการทำงานของเครื่องทันที หากตรวจเจอความเย็นบนชั้นผิวมากเกินไป จึงช่วยป้องกันการเกิดผิวไหม้จากความเย็น Freeze Burn ได้ โดยที่เครื่องเลียนแบบเกรดต่ำยี่ห้ออื่น ๆ ไม่สามารถทำได้

ด้านผลข้างเคียงที่หลายคนกังวล จะเป็นอาการข้างเคียงที่เป็นปกติ เนื่องจากเป็นการใช้ความเย็นแบบติดลบในการฆ่าเซลล์ไขมัน 

  • ผิวอาจมีรอยเขียวช้ำในบางเคส จากการที่แพทย์นวดก้อนไขมัน เพื่อช่วยกระตุ้นกระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดไขมัน  
  • ในช่วง 7-10 วันแรกอาจมีอาการปวดระบม คล้ายการปวดเมื่อยหลังออกกำลังกายในบริเวณที่ทำ
  • มีอาการบวมในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เนื่องจากมีเซลล์ไขมันที่ตายและค้างอยู่ ร่างกายจะต้องใช้เวลาในการกำจัดเซลล์ไขมันเหล่านี้ออกจากระบบเลือดและระบบน้ำเหลือง 
  • ภายใน 3-4 สัปดาห์ จึงจะเริ่มสังเกตเห็นว่าสัดส่วนดูเล็กลงและกระชับขึ้น 
  • เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3 เดือน

วิธีดูเครื่อง CoolSculpting ของแท้

การตรวจสอบเครื่อง CoolSculpting ของแท้อย่างละเอียด จะช่วยให้ได้รับการบริการที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการ

วิธีดูเครื่อง-CoolSculpting-ของแท้

✔ ตรวจสอบชื่อเครื่องว่าเป็นชื่อ “CoolSculpting” เท่านั้น ระวังเครื่องเลียนแบบที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน เช่น “CoolShape” “CoolFreeze” “CoolSlim”

✔ ตรวจสอบโลโก้ โดยเครื่อง CoolSculpting ของแท้ จะมีโลโก้ “CoolSculpting” อยู่ด้านข้างของเครื่อง และโลโก้จะต้องเป็นสีน้ำเงิน มีตัวอักษรที่ชัดเจน

✔ ตรวจสอบบริษัทผู้ผลิต เครื่อง CoolSculpting ของแท้ ผลิตโดยบริษัท “Zeltiq Aesthetics” สามารถตรวจสอบชื่อบริษัทผู้ผลิตได้ที่ด้านหลังของเครื่อง

✔ ตรวจสอบใบอนุญาต คลินิกที่ให้บริการ CoolSculpting จะต้องมีใบอนุญาตจาก “อย.” ควรขอตรวจสอบใบอนุญาตก่อนเข้ารับบริการ

✔ สอบถามข้อมูลจากแพทย์ เกี่ยวกับเครื่อง CoolSculpting ที่ใช้ ว่าเป็นของแท้หรือไม่ แพทย์ที่มีประสบการณ์จะทราบวิธีตรวจสอบเครื่อง CoolSculpting ของแท้


การเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting 

การเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting ไม่มีอะไรมากค่ะ เพียงแค่ดูแลตัวเองด้วยการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เหมือนการทำทรีตเมนต์ปกติได้เลย


ขั้นตอนการทำ CoolSculpting

ขั้นตอนการทำ CoolSculpting
  1. ประเมินและวางแผนบริเวณที่จะสลายไขมัน
  2. ทำความสะอาดผิวบริเวณนั้น
  3. แพทย์ติดตั้งหัว Applicator เข้ากับบริเวณที่ต้องการลดไขมัน
  4. เครื่อง CoolSculpting ส่งความเย็นจัดผ่านหัว Applicator เพื่อทำลายเซลล์ไขมัน ใช้เวลาประมาณ 35 นาที 
  5. ปลดหัว Applicator ออก และนวดบริเวณที่ทำเบา ๆ
  6. ติดตามผลลัพธ์ในช่วง 1-3 เดือน เซลล์ไขมันที่ตายจะค่อย ๆ ถูกขจัดออกจากร่างกาย
  7. ดูผลและพิจารณาการทำ CoolSculpting เพิ่มเติมหากต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ทำ CoolSculpting เจ็บไหม ?

การทำ CoolSculpting เจ็บน้อยมาก เมื่อเครื่องเริ่มทำงานอาจรู้สึกเย็นจัด จะรู้สึกว่าถูกดึงหรือกดเล็กน้อยบริเวณที่ทำ แต่จะไม่ได้รุนแรง ในระหว่างนี้สามารถทำกิจกรรมอื่นไปด้วยได้ เช่น ดูหนัง เล่นมือถือ


การดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting 

หลังทำ Coolsculpting ในช่วง 5-10 นาทีแรกอาจรู้สึกปวดเล็กน้อยจากความเย็น และอาจมีอาการคล้ายปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเอง 

เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น แนะนำให้ดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารแปรรูป น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการสะสมของเซลล์ไขมันใหม่


CoolSculpting ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ?

ผลลัพธ์จากการทำ CoolSculpting อาจแตกต่างกันไปตามบุคคลและบริเวณที่ทำ แต่โดยปกติแล้ว  CoolSculpting 1 หนีบ จะสามารถสลายไขมันได้ประมาณ 60-70 ซีซี และลดเซลล์ไขมันได้ 20-30% ต่อครั้ง ซึ่งเคสส่วนมากมักทำ 2-4 หนีบขึ้นไป เพื่อให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลง

หากต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น อาจต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้ง ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยควรมีระยะห่างระหว่างทำประมาณ 1-3 เดือน เพื่อให้ร่างกายมีเวลากำจัดเซลล์ไขมันที่ตายและปรับสภาพตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นค่ะ


ทำ CoolSculpting แต่ละบริเวณใช้กี่หนีบ ?

CoolSculpting แต่ละบริเวณใช้กี่หนีบ ขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณ และปริมาณไขมันสะสม 

แพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำจำนวนหนีบที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

ทำ CoolSculpting แต่ละบริเวณใช้กี่หนีบ _

ประมาณการใช้หนีบ CoolSculpting ในแต่ละบริเวณ

  • เหนียง ประมาณ 1 หนีบ 
  • เนื้อปลิ้นใต้รักแร้ ประมาณข้างละ 1 หนีบ
  • ต้นแขน ประมาณข้างละ 1 หนีบ
  • เอว ประมาณข้างละ 1-2 หนีบ
  • หน้าท้อง บน ล่าง ประมาณ 2-4 หนีบ
  • ต้นขา ด้านใน หรือ ด้านนอก ประมาณข้างละ 1 หนีบ
  • สะโพก ประมาณข้างละ 1 หนีบ

ปัจจัยที่ส่งผลให้การทำ Coolsculpting ไม่ได้ผล มีอะไรบ้าง ? 

  • การใช้เครื่อง CoolSculpting ของปลอม หรือเครื่องเลียนแบบ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่าน อย. ไทยและสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) ในคลินิกที่ขาดมาตรฐาน 
  • การไม่ได้ทำ CoolSculpting โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรมด้านการทำ Coolsculpting  มาเป็นอย่างดี อาจไม่สามารถประเมินการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด หรือให้ข้อมูลที่ชัดเจน ไม่เหมาะสมกับคนไข้ในแต่ละเคสได้ 
  • ละเลยการดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting การไม่ออกกำลังกาย หรือกลับไปทานอาหารที่ทำให้เซลล์ไขมันเพิ่มขนาดขึ้น เช่น อาหารแปรรูปที่มีแป้ง น้ำตาล อาหารที่มีไขมันสูง ของทอด ของมัน อาจทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร

อยากทำ Coolsculpting ให้เห็นผล ควรทำอย่างไร ?

เมื่อทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลให้การทำ Coolsculpting ไม่ได้ผลกันไปแล้ว ในหัวข้อนี้จะมาแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อให้การทำ Coolsculpting เห็นผลดีที่สุด ดังนี้

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังทำ 
  • ดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้ร่างกายกำจัดไขมันที่ถูกทำลายได้ดียิ่งขึ้น
  • พิจารณาการทำ Coolsculpting ซ้ำหากจำเป็น หลายคนอาจต้องทำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

เลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี ? 

สิ่งที่ควรพิจารณาหลัก ๆ หากไม่รู้ว่าจะเลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี คือ 

เลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี _
  • ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เลขที่ใบอนุญาตจำนวน 11 หลัก และมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย
  • ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ทำ CoolSculpting ที่พร้อมให้คำปรึกษาและอธิบายข้อมูลอย่างชัดเจน
  • ควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่อง CoolSculpting แท้ ได้รับการอนุมัติจาก อย.ไทย และ U.S. FDA
  • ควรดูรีวิว CoolSculpting จากลูกค้าที่เคยใช้บริการ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจ
  • ควรเลือกคลินิกที่มีราคาและโปรโมชัน CoolSculpting สมเหตุสมผล ไม่ควรเลือกเพียงเพราะราคาถูกเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อคุณภาพการทำ

การเลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ดี จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยตามที่คาดหวังค่ะ


CoolSculpting ราคาเท่าไหร่ ? 

ราคาเฉลี่ยของ CoolSculpting ในประเทศไทยเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 8,500 ต่อ 1 หนีบ ทั้งนี้ควรปรึกษาคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อเปรียบเทียบราคาและคุณภาพบริการก่อนตัดสินใจ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้


สรุป

CoolSculpting นับว่าเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยืนยันว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการลดไขมันส่วนเกิน โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือดูดไขมัน หากใครกำลังมองหาวิธีเพิ่มความกระชับให้กับรูปร่าง การทำ CoolSculpting ซึ่งเป็นการใช้ความเย็นในการสลายไขมัน ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจค่ะ

อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยและการเห็นผลลัพธ์ที่ดี ควรเลือกทำกับคลินิกที่มีมาตรฐาน โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้เครื่อง CoolSculpting ของแท้เท่านั้น

ฉีดสลายฟิลเลอร์ เป็นก้อน เป็นลำ กี่วันเห็นผล ต้องทำกี่ครั้ง ราคาแพงไหม ?

0
ฉีดสลายฟิลเลอร์
ฉีดสลายฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พอใจ ผลลัพธ์ไม่เป็นตามคาดหวัง การ “ฉีดสลายฟิลเลอร์” เป็นวิธีการแก้ไขผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่ตรงตามความต้องการ ฉีดฟิลเลอร์แล้วเห็นเป็นก้อน บวม ผิวไม่เรียบเนียน ดูไม่เป็นธรรมชาติได้

ฉีดสลายฟิลเลอร์ คืออะไร ? ช่วยแก้ปัญหาแบบใดได้บ้าง ? มีขั้นตอนการฉีดสลายฟิลเลอร์อย่างไร ? ต้องฉีดกี่ครั้ง กี่วันเห็นผล ? หาคำตอบได้ในบทความนี้


ฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร ? 

การฉีดสลายฟิลเลอร์ (Dissolving Filler) คือ การฉีดสารไฮยาลูโรนิคเดส (Hyaluronidase) เข้าไปในบริเวณใต้ผิวหนังในบริเวณที่มีการฉีดฟิลเลอร์แล้วมีปัญหา หรือไม่พอใจ เห็นเป็นก้อน เป็นลำ ไม่สวยงาม 

ฉีดสลายฟิลเลอร์
(ตัวอย่างฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน มองเห็นเป็นลำ คล้ายถุงใต้ตา)

สาร Hyaluronidase ที่นำมาฉีดสลายจะสามารถสลายได้เฉพาะ ฟิลเลอร์ที่เป็น HA หรือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิค (Hyaluronic Acid) เท่านั้น ซึ่งเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ใช้ในการฉีดเติมเต็มเสริมงามในปัจจุบัน 

วิธีการฉีดสลายฟิลเลอร์ แพทย์ผู้ฉีดจะใช้ปริมาณสาร Hyaluronidase ที่ใกล้เคียงกับสารฟิลเลอร์ที่ฉีดในบริเวณที่ต้องการแก้ไข ดังนั้นก่อนฉีดสลายจะต้องแจ้งข้อมูลให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ว่าฉีดฟิลเลอร์มากี่ CC ฉีดมานานเท่าไร ? ใช้ยี่ห้อ/รุ่น อะไร ? เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการฉีดสลายได้อย่างเหมาะสม 

การทำงานของสาร Hyalurinidase

การทำงานของ Hyaluronidase เมื่อฉีดเข้าไปยังจุดที่ต้องการสลายฟิลเลอร์ สาร Hyaluronidase จะเข้าไปลดการกักเก็บน้ำ ไขมัน และทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ช่วยปรับสมดุลให้ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์กลับมาเรียบเสมอกันเหมือนเดิม หรือมีความใกล้เคียงก่อนที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณนั้น

การทำงานHyaluronidase

ข้อควรรู้ : ในกรณีที่พลาดฉีดฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน ไบโอพลาสติก สาร Hyaluronidase จะไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ปลอมได้ จำเป็นต้องผ่าตัดขูดออกเท่านั้น 


ฉีดฟิลเลอร์แล้วทำไมถึงต้องฉีดสลายฟิลเลอร์

หลาย ๆ คนอาจสงสัย ฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว ทำไมต้องฉีดสลายฟิลเลอร์ออกด้วย ฟิลเลอร์อันตราย หรือมีผลข้างเคียงที่ไม่ควรฉีดหรือไม่ ? 

จริง ๆ แล้ว ฟิลเลอร์แท้ หรือ ฟิลเลอร์ประเภทสาร Hyaluronic Acid ที่มีใช้อยู่ในคลินิกเสริมความงามในปัจจุบันมีความปลอดภัย สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก รวมถึงปรับรูปหน้าให้ดูดี อ่อนเยาว์ได้เป็นอย่างดี แต่ที่หลาย ๆ คนต้องการฉีดสลายออก เป็นเพราะผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นที่พอใจ บางคนฉีดแล้วบวม เป็นก้อน เป็นลำ เนื้อฟิลเลอร์นูนขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ทำให้รู้สึกเสียความมั่นใจ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ  

  • ฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง ฉีดผิดชั้นผิว ใช้เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน บวม ทำให้ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติ 
  • ฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไปหรือใช้รุ่นฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม เอาฟิลเลอร์เนื้อแข็งมาฉีดผิวชั้นตื้นก็จะทำให้เห็นว่ามีก้อนนูนๆ ขึ้น ดูแล้วไม่เป็นธรรมชาติ 

ทั้งหมดนี้เกิดจาก การเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ขาดเทคนิคในการฉีด ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่สวยงามตามที่ต้องการ 

รู้ก่อนตัดสินใจฉีดสลาย

หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมหลังฉีดได้เป็นปกติ หากรู้สึกว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดมาบวม ควรรอประมาณ 14 วัน ซึ่งโดยทั่วไปอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์จะหายได้เอง แต่หากหลังจากนั้นยังมีอาการบวมมาก เป็นก้อน แข็ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการแก้ไข 


ฉีดสลายฟิลเลอร์ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

การฉีดสลายฟิลเลอร์สามารถทำได้ในทุกตำแหน่งที่มีการฉีดฟิลเลอร์ แต่ที่มักพบปัญหาเป็นก้อน บ่อยๆ ได้แก่ ใต้ตา หน้าผาก คาง และริมฝีปาก

ตำแหน่งฉีดสลายฟิลเลอร์

ฉีดสลายฟิลเลอร์กี่ครั้งเห็นผล ?

การฉีดสลายฟิลเลอร์ในครั้งแรก โดยทั่วไปก็จะสามารถสลายได้หมด แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่เคยฉีดมาด้วย ในคนที่ฉีดมาปริมาณมาก อาจจะมีการนัดติดตามผลกลับมาฉีดซ้ำ ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ 

ด้านผลลัพธ์หลังฉีดสลายฟิลเลอร์จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลง ในช่วง 48 ชั่วโมง ตัวยาสาร Hyaluronidase จะออกฤทธิ์ทำฟิลเลอร์ค่อย ๆ สลายออกไปเรื่อย ๆ ในช่วงหลังฉีด ในระหว่างนี้ อาจมีอาการบวมเข็มเล็กน้อย และจะค่อย ๆ ยุบลงจนเป็นปกติ


จะรู้ได้อย่างไรว่าฟิลเลอร์สลายหมดแล้ว

การฉีดสลายฟิลเลอร์แพทย์จะมีนัดติดตามผล เพื่อดูผลลัพธ์ หากหลังจากฉีดไปแล้วว่า ยุบหมดไม่เห็น หรืคลำเป็นก้อน ก็ไม่ต้องฉีดซ้ำอีก 


หลังฉีดสลายฟิลเลอร์แล้ว กลับไปฉีดฟิลเลอร์อีกได้ไหม ?

สำหรับผู้ที่ฉีดสลายฟิลเลอร์จากผลลัพธ์ที่ไม่เป็นที่พอใจ แล้วต้องการกลับมาฉีดฟิลเลอร์ใหม่อีกครั้ง ควรเว้นระยะเวลาไว้ 5-7 วัน เพื่อให้ยาสลายฟิลเลอร์ออกฤทธิ์ให้หมดก่อน และเนื้อเยื่อเริ่มเข้าที่เสียก่อน 


ผลข้างเคียงหลังฉีดสลายฟิลเลอร์มีหรือไม่ ? 

สาร Hyaluronidase ที่นำมาใช้ฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นสารที่มีความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง แต่บางคนอาจรู้สึกคัน ๆ หรือบวมแดงได้หลังฉีด เพราะเป็นการฉีดตัวยาเข้าสู่ผิวหนัง รวมถึงมีการใช้เข็มในการฉีด   

เพื่อความปลอดภัยในการฉีดสลายฟิลเลอร์ แนะนำให้เข้ารับของคำปรึกษาจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความน่าเชื่อ เพื่อประเมินปัญหา และดำเนินการฉีดสลายฟิลเลอร์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัย 


ราคาฉีดสลายฟิลเลอร์ 

ราคาการฉีดสลายฟิลเลอร์ เฉลี่ยอยู่ที่ 2,500-3,000 บาท ต่อ 1 จุด 

วิธีการนับจุด จะนับดังนี้

  • ใต้ตา 2 ข้าง นับเป็น 1 จุด
  • ร่องแก้ม 2 ข้าง นับเป็น 1 จุด
  • หน้าผาก นับเป็น 1 จุด แต่ต้องพิจารณาราคาตามปริมาณยาอีกครั้ง
  • คาง นับเป็น 1 จุด

สรุป 

ใครที่มีปัญหาฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พอใจ ต้องการฉีดสลายฟิลเลอร์ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีรีวิวที่น่าเชื่อถือได้ รวมถึงใครที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์แล้วได้ผลลัพธ์ดี ไม่ต้อง ตามแก้ไขปัญหาภายหลัง ก็ควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิก เลือกแพทย์ผู้ฉีดด้วยเช่น เบื้องต้นควรเลือกใช้บริการคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ เปิดให้บริการอย่างถูกต้องเท่านั้น

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ แก้ขมับตอบ เสริมโหงวเฮ้ง เหมาะกับใคร ? ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง ?

0
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ

สำหรับใครที่มีปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ-บุ๋ม มองเห็นเป็นแอ่งลึก การฉีดฟิลเลอร์ขมับถือเป็นวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ช่วยปรับให้ใบหน้าได้รูป และละมุนมากขึ้น ที่สำคัญตรงตามตำราโหงวเฮ้งขมับที่ดีที่เชื่อว่า ผู้ที่มีขมับเต็มสวยจะได้คู่ครองที่เกื้อหนุนชีวิต มีวาสนาที่ดีครับ 

ใครอยากโหงวเฮ้งดี ใบหน้าละมุนสวย อยากเติมขมับ บทความนี้ได้รวบรวมสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ขมับ มาฝาก เช่น โหงวเฮ้งขมับสวยเป็นอย่างไร ? ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ดีอย่างไร ช่วยเรื่องอะไรได้เหมาะกับใคร ? และก่อน-หลังฉีดควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ คืออะไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA ) ที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจล เข้าไปเติมเต็มบริเวณขมับ ที่ปัญหาขมับตอบ ขมับยุบบุ๋ม ทำให้ขมับเต็มขึ้น ใบหน้าโดยรวมดูสมดุลขึ้น และยังช่วยลดโหนกแก้มในคนที่มีโหนกแก้มเด่นจากการเว้าบริเวณขมับได้ด้วย ภาพรวมใบหน้าจึงดูละมุนขึ้น สดใสขึ้น และดูเด็กลงได้ครับ 

ลักษณะขมับตอบเป็นอย่างไร เกิดจากสาเหตุใด ? 

สำหรับใครที่สงสัยว่า ตัวเองมีปัญหาขมับตอบหรือไม่ ? สามารถสังเกตตัวเองเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • ใช้มือสัมผัสไปบริเวณขมับ ขมับ คือ พื้นที่เล็ก ๆ รูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมู อยู่เหนือบริเวณหางคิ้วและกระดูกโหนกแก้ม ด้านบนชิดกับขอบไรผม และด้านล่างชิดกับขอบกระดูกเบ้าตา หากรู้สึกว่าบริเวณนี้ยุบเป็นแอ่ง หรือบุ๋มลงไปมาก แสดงว่าขมับตอบครับ
  • ส่องกระจกหรือถ่ายภาพหน้าตรง สำหรับคนที่ขมับตอบจะมีข้อสังเกตอยู่ 3 ประการครับ ได้แก่ บริเวณขมับดูเป็นแอ่งหรือยุบหายไป มองเห็นแนวกระดูกหน้าผากชัดเจน และโหนกแก้มเป็นจุดเด่นชัดบนใบหน้า
เช็กขมับตอบ

ส่วนสาเหตุของปัญหาขมับตอบ ขมับลึก เกิดได้จาก

  1. โครงสร้างกะโหลกศีรษะเดิมที่มีลักษณะเป็นแอ่ง 
  2. อายุเพิ่มมากขึ้นทำให้เนื้อเยื่อฝ่อตัวลง และกระดูกทรุดตัว 
  3. การจัดฟันในบางเคสอาจส่งผลให้แก้มตอบ มองเห็นโหนกแก้มเด่นชัด จึงทำให้ขมับดูตอบลงได้เช่นกัน  

ทำความรู้จักโหงวเฮ้งขมับ (ฮูชีเก็ง)

“ขมับ” นอกจากจะสัมพันธ์กับความสมดุลของรูปหน้าแล้ว ยังสัมพันธ์กับโหงวเฮ้งด้วย โดยศาสตร์โหงวเฮ้งจีน (Chinese Physiognomy) ระบุว่า ขมับ หรือ  ฮูชีเก็ง เป็นตำแหน่งที่บ่งบอกถึงคู่ครอง คู่ชีวิต และวาสนาชีวิต 

  • ลักษณะเด่น โหงวเฮ้งขมับดี 

ขมับต้องเต็มอิ่มเต็มรับกับแนวไรผมและหน้าผาก ไม่ยุบ ไม่เว้า หรือเป็นแอ่ง หากมีรอยหางตาไปที่ข้างขมับ ต้องมีจำนวนไม่มาก โดยเชื่อว่าลักษณะขมับเช่นนี้จะช่วยให้ชีวิตคู่จะสมบูรณ์พร้อม วาสนาดี ผู้ชายจะได้ภรรยาเป็นแม่ศรีเรือน และผู้หญิงจะได้สามีที่ดี 

  • ลักษณะด้อยโหงวเฮ้งขมับ 

ในทางตรงข้าม หากมีขมับที่ยุบ บุ๋ม โหนกแก้มเด่น กระดูกโปน หางตามีริ้วรอยและสับสนยุ่งเหยิง เชื่อว่าจะเป็นคนอาภัพคู่ หากฝืนโชคชะตาจนมีคู่ครอง มักจะมีปัญหากันบ่อย หรือบางตำราเพิ่มเติมว่า จะเป็นคนที่ต้องพลัดบ้านพลัดถิ่น

ฉีดฟิลเลอร์ขมับเสริมโหงวเฮ้ง

นอกจากนี้โหงวเฮ้งขมับในผู้หญิงยังเป็นจุดที่ทำนายถึงการดูแลของคู่ครองอีกด้วย มักจะพิจารณาร่วมกับโหงวเฮ้งหน้าผากครับ แบ่งได้ 3 ระดับ 

  • ขมับยุบ – หน้าผากแคบ จะต้องทำงานและพึ่งพาตัวเองเป็นส่วนใหญ่ หากอยากอิ่มท้องและอยู่สุขสบาย
  • ขมับยุบเข้าไปบ้าง – หน้าผากกว้าง ฐานะปานกลาง สามีดูแลเอาใจใส่ดีระดับปานกลาง แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือย แต่ก็อยู่สุขสบาย กินอิ่ม และนอนหลับทุกคืน
  • ขมับเต็ม – หน้าผากกว้าง และอิ่มเอิบ โหงวเฮ้งดีมาก ๆ มักจะได้สามีเป็นเศรษฐี คอยดูแลและเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ลำบาก

ฉีดฟิลเลอร์ขมับดีอย่างไร ? 

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ขมับ คือ สามารถทำให้ขมับ อิ่มเต็ม ได้ทันทีหลังฉีด เป็นวิธีการแก้ปัญหาขมับยุบ ขมับตอบที่เห็นผลเร็วสะดวก ไม่ผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น หลังฉีดสามารถใช้ชีวิตได้ปกติครับ 

✓ ช่วยปรับโหงวเฮ้งขมับให้ดีขึ้นได้ 

✓ ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุล และดูละมุนขึ้น 

หากฉีดฟิลเลอร์ขมับกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าเก่ง ๆ จะสามารถฉีดฟิลเลอร์ขมับรับกับส่วนอื่น ส่งผลให้หน้าดูเป็นรูปไข่สวยงาม และทำให้ผิวข้างแก้มยกขึ้น หน้าดูเด็กลงได้อีกด้วยครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม ? 

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ เป็นหัตถการปรับรูปหน้าที่ปลอดภัยครับ หากมาพร้อมปัจจัยเหล่านี้ 

1.ฉีดฟิลเลอร์ขมับกับแพทย์ที่มากประสบการณ์

จริง ๆ การฉีดฟิลเลอร์ไม่ว่าจะตำแหน่งใดจำเป็นต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น และยิ่งบริเวณขมับที่มีเส้นเลือดสำคัญ ๆ ที่เชื่อมไปยังลูกตา จำเป็นต้องอาศัยฝีมือและประสบการณ์ที่มากพอ มีความรู้ความเข้าใจกายวิภาคโครงสร้างใบหน้าเป็นอย่างดี ถึงจะฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างตรงจุด แม่นยำ รวมไปถึงเลือกใช้ปริมาณและเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดี ขมับอิ่มเต็มสวย เรียบเนียน 

2.ฉีดฟิลเลอร์ขมับด้วยฟิลเลอร์แท้นำเข้าถูกต้อง 

เนื่องจากในปัจจุบันยังมีการใช้ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้วในคลินิกความงามที่ไร้จรรยาบรรณอยู่ครับ เพราะราคาต้นทุนต่ำ สามารถทำกำไรได้มาก แต่ผลเสียจะมาตกที่ตัวคนไข้แทน เพราะฟิลเลอร์หิ้ว ฟิลเลอร์ปลอมเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ถ้าเป็นฟิลเลอร์ HA ที่ลักลอบนำเข้ามา จัดเก็บไม่เหมาะสม ตัวยาจะเสื่อมคุณภาพ หากพลาดฉีดอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ อายุการใช้งานสั้น 

ในกรณีที่ร้ายแรงเป็นฟิลเลอร์ปลอม ผลที่ตามมาอาจทำให้หน้าเสียโฉม ฟิลเลอร์เน่า ฟิลเลอร์ไหลเสียทรงได้ครับ ดังนั้นก่อนฉีดต้องมั่นว่าเป็นฟิลเลอร์ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง เพื่อความสบายใจ ก่อนฉีดควรศึกษาข้อมูลวิธีการตรวจเช็กฟิลเลอร์ไว้บ้าง หรือขอให้แพทย์แกะกล่อง ให้ดูต่อหน้าได้ครับ 

3.ฉีดฟิลเลอร์ขมับกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ 

คลินิกฉีดฟิลเลอร์จะต้องได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตถูกต้อง โดยเช็กได้จากเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก คลินิกความงามที่เปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะแสดงหลักฐานชัดเจน นอกจากนี้สามารถเช็กความสะอาดเรียบร้อย ดูบรรยากาศคลินิก สังเกตอุปกรณ์เครื่องมือว่าสะอาดหรือไม่ร่วมด้วย  

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ มีผลข้างเคียงหรือไม่ ? 

สำหรับผลข้างเคียง หลายคนอาจกังวล เพราะมีข้อมูลฉีดฟิลเลอร์ขมับแล้วจะปวดหัว บวมช้ำ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริงครับ แต่เป็นอาการปกติ ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่อันตราย 

  • อาการปวดหัว เกิดจากบริเวณ ขมับเป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึก และมีเส้นประสาทรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก หลังฉีดจึงอาจรู้สึกปวดหัวในช่วง 1-2 วันแรก แนะนำให้ดูแลตัวเองและกินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 
  • อาการบวมช้ำ เกิดจาก 2 สาเหตุ คือบวมจากเนื้อฟิลเลอร์ และบวมจากการลงเข็ม ซึ่งสามารถหายได้เอง ในช่วง 2-3 วัน ส่วนอาการช้ำ เกิดขึ้นได้ในบางคนครับ โดยเฉพาะคนที่ผิวขาว ผิวช้ำง่าย 
ผลข้างเคียงฉีดฟิลเลอร์ขมับ

ฟิลเลอร์เติมขมับ เหมาะกับใครบ้าง ?

  • ผู้ที่ขยับยุบ ขมับตอบ ต้องการเสริมโหงวเฮ้ง สามารถฉีดฟิลเลอร์ขมับ เพื่อทำให้ขมับอิ่มเต็มโดยอาจทำร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อให้สวยรับกับใบหน้าได้พอดี และเสริมดวงชะตาด้านคู่ครองและการอุปถัมภ์
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความอ่อนหวานให้ใบหน้า หากขมับยุบบุ๋มมองเห็นเป็นแอ่ง จะทำให้ใบหน้าดูแข็งได้ครับ ฉีดฟิลเลอร์ขมับแก้ไขได้  โดยเฉพาะผู้หญิงจะช่วยเพื่อเพิ่มความโค้งมน ปรับใบหน้าให้ใกล้เคียงกับรูปไข่ โครงหน้าจึงดูละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับใคร
  • ผู้ที่ต้องการลดความเด่นของโหนกแก้ม หากโหนกแก้มเด่นเกินไป ใบหน้าจะดูเต็ม แต่ขมับเว้า ใบหน้าจะดูมีอายุครับ การฉีดฟิลเลอร์ขมับสามารถช่วยลดความเด่นของโหนกแก้ม โดยไม่ต้องผ่าตัด และปรับให้ใบหน้าดูเรียวสวยได้
  • ผู้ที่มีอายุเยอะ ที่เนื้อเยื่อบริเวณขมับเริ่มจะฝ่อหรือยุบตัว ทำให้ขมับดูตอบ การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมแอ่งให้เต็ม ปรับให้ผิวบริเวณขมับเต่งตึง อิ่มเอิบ ในบางเคสยังสามารถช่วยแก้ปัญหาเปลือกตาตกได้ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ผู้ที่ใบหน้าขาดความสมมาตร ในบางรายมีปัญหาขมับยุบหรือตอบไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าดูขาดความสมดุลไปด้วย การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมส่วนที่เว้าหรือส่วนที่หายไป ปรับให้ใบหน้าสมมาตรได้
  • ผู้ที่ใบหน้าดูโทรมจากการลดน้ำหนัก ในบางเคสหลังจากลดน้ำหนัก เนื้อบริเวณใบหน้ายุบหายไปด้วย ทำให้ขมับดูยุบและดูตอบครับ การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมให้ขมับดูเต็ม ปรับให้ผิวข้างแก้มยกขึ้น ให้ผลลัพธ์ใบหน้าที่สดใส และหุ่นที่สวยงามไปพร้อม ๆ กัน

ทั้งการฉีดฟิลเลอร์ขมับ ก็มีข้อควรระวังในคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่แพ้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด และเคยมีประวัติแพ้ยาชา, ผู้ที่มีภาวะเลือดไหลไม่หยุด หรือมีแผลฟกช้ำได้ง่าย, ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ง่าย , ผู้ที่มีภาวะผิวหนังอักเสบ เป็นเริม เป็นงูสวัด หรือเป็นสิวในจุดที่จะฉีด รวมถึงผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร แนะนำก่อนฉีดควรแจ้งประวัติหรือโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ใช้กี่ CC ? 

การฉีดฟิลเลอร์ขมับโดยทั่วไปใช้ข้างละ 1-2 CC ปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับความลึกของขมับตอบแต่ละคนครับ หลังการประเมินใบหน้า แพทย์จะแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมที่สุดให้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร อยู่ได้นานแค่ไหน ?  

ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ/รุ่น มีลักษณะเนื้อฟิลเลอร์ต่างกันครับ จึงเหมาะกับการฉีดในแต่ละชั้นผิว ตามลักษณะปัญหาของแต่ละคน 

ยี่ห้อฟิลเลอร์ขมับ

ก่อนฉีดแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสาเหตุและแนะนำยี่ห้อ / รุ่น ที่เหมาะสมให้เป็นราย ๆ ไป ครับ โดยรุ่นที่นิยมฉีดบริเวณขมับ ได้แก่ 

  • Juvederm Ultra Plus (อยู่ได้นาน 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น และฟูมาก เหมาะกับการฉีดเติมเต็มแอ่งขมับหรือร่องลึกต่าง ๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของช่วงอายุ หลังฉีดเติมแอ่งลึกบริเวณขมับฟิลเลอร์จะเต็มสวย
  • Juvederm Voluma (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น และฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง สามารถเติมแอ่งลึกที่ขมับให้เต็มอย่างเป็นธรรมชาติ
  • Juvederm Volux (อยู่ได้นาน 18-24 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น คงตัวได้ดี และทนต่อแรงขยับ ใช้แก้ปัญหาขมับยุบ หรือขมับตอบ
  • Restylane Volyme (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง เหมาะกับการเติมเต็มผิวส่วนที่โหลลึกหรือเป็นแอ่งตอบลงไป ปรับให้ผิวบริเวณใบหน้าดูอิ่มฟู สามารถใช้ในเคสที่ผิวบางได้ครับ
  • Teoxane RHA 2 (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่น และทนต่อแรงขยับได้ดี เหมาะกับการฉีดเสริมในส่วนของขมับที่ยุบตัวลงไป ปรับให้ขมับดูเต็มสวยได้รูป
  • Teoxane RHA 3 (อยู่ได้นาน 12-18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม แต่เนื้อเจลค่อนข้างแน่น สามารถทนต่อแรงขยับได้ดี เหมาะกับการฉีดผิวชั้นลึก เพื่อแก้ขมับยุบ หรือขมับตอบ
  • Teoxane Ultra Deep (อยู่ได้นาน 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ที่มีความคงตัวสูง สามารถปั้นทรงได้ง่าย และไม่ไหลไปจุดอื่น เหมาะกับการปรับโครงสร้างใบหน้า

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการอย่างละเอียด เช่น การเลือกคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน การเช็กฟิลเลอร์ของแท้แต่ละยี่ห้อ และการเลือกแพทย์ประสบการณ์สูง รวมถึงแนวทางอื่น ๆดังนี้

  • ปรึกษาและประเมินใบหน้ากับแพทย์มากประสบการณ์ ซึ่งแพทย์จะช่วยให้คำแนะนำในการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน รวมถึงตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับหัตถการได้
  • แจ้งประวัติสุขภาพให้ครบถ้วน เช่น โรคและยาประจำตัว หัตถการที่เคยทำ หรือประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร
  • งดยาและอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี ยาแอสไพริน น้ำมันปลา และน้ำมันอีฟนิงพริมโรส
  • งดใช้ยาผลัดเซลล์ผิว หรือพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิว เช่น การแว็กซ์ การโกนขน การเลเซอร์ หรือการนวดหน้า ควรงดอย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้าซาวน่า หรือออกกำลังกายหนัก ๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง

หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ ดูแลตัวเองอย่างไร ? 

หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติครับ แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อย เพื่อให้บริเวณที่ฉีดยุบบวมเร็ว ฟิลเลอร์ฟูสวย และช่วยยืดอายุผลลัพธ์หลังฉีดให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแรง ๆ หรือกดทับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เช่น การจับ การนวดคลึง การนั่งเท้าขมับ และการนอนตะแคง ในช่วง 2 สัปดาห์แรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์ขมับเคลื่อนที่ผิดรูปได้ และยังทำให้รู้สึกเจ็บอีกด้วย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยวันละ 8 แก้วหรือ 2 ลิตร เพราะน้ำช่วยให้ฟิลเลอร์ขมับฟูสวย อยู่ได้นาน และยังช่วยให้แผลจากรอยเข็มสมานเร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรม หรือการออกกำลังกายหนัก ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • อยู่ในสถานที่ที่อากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นการแก้ขมับตอบ และปรับขมับให้สวยตามตำราโหงวเฮ้ง ที่ตรงจุดมาก หากอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี และบริการที่ปลอดภัย ควรเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ฉีดกับแพทย์ประสบการณ์สูง และเช็กฟิลเลอร์ของแท้ทุกครั้งครับ