รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022

0
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022
การนอนหลับสนิทมีความสำคัญต่อสุขภาพ
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022
การนอนหลับเพื่อสุขภาพต้องเริ่มจากการนอนหลับสนิท

แพทย์ได้เสนอเรื่องการนอนหลับที่ดีที่สุดสำหรับปี 2022 คือ การนอนหลับเพื่อสุขภาพโดยเริ่มจากการนอนหลับสนิทมีความสำคัญต่อสุขภาพ และการอดนอนนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การนอนช่วยชะลอวัยต้องเริ่มจากการฝึกร่างกายและจิตใจให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่

เคล็ดลับการนอนชะลอวัยที่เห็นผลชัดเจน

เราอาจเคยได้ยินบ่อยๆว่า “การนอนวันละ 8 ชั่วโมงจะดีต่อสุขภาพ” วิธีนี้ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำจะต้องเป็นการนอนที่มีคุณภาพเท่านั้น เข้านอนก่อน 4 ทุ่มร่างกายจึงจะฟื้นตัวและสร้างเซลล์ใหม่ชะลอความแก่ของเซลล์ในร่างกายในช่วงที่เราหลับลึก ยกตัวอย่างการนอนชะลอวัย
– เวลาตื่น 6:00 น. – ให้เข้านอนเวลา 21:00 น. / 22:30 น. / 24:00 น. / 01:30 น.
– เวลาตื่น 7:30 น. – ให้เข้านอนเวลา 3:00 น. / 1:30 น. / 24:00 น. / 22:30 น.

รู้ได้อย่างไรว่าเราหลับลึกจริงหรือไหม

ทางการแพทย์มีการแบ่งการนอนออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงการนอนหลับที่ไม่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (NON Rapid Eye Movement – NREM) และช่วงการนอนหลับที่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movement – REM) การหลับส่วนใหญ่ในวงจร แบ่งย่อยได้อีก 3 ระยะ คือ
1. ช่วงเริ่มหลับ หรือช่วงหลับตื้น สังเกตอาการจากร่างกายทำงานช้าลง รู้สึกผ่อนคลาย เป็นช่วงที่นอนหลับสนิทที่สุดใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
2. ช่วงรอยต่อระหว่างเริ่มหลับกับหลับลึก หรือช่วงหลับกลาง สังเกตจากการเต้นของหัวใจเริ่มเต้นช้าลง แต่ยังรับรู้ความเคลื่อนไหวและได้ยินเสียงจากภายนอกอยู่ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
3. ช่วงหลับลึกที่สุด สังเกตอาการจากร่างกายจะอ่อนเพลีย หนักตา งัวเงียมากที่สุด ปลุกให้ตื่นยาก ไม่ได้ยินเสียงภายนอก บางคนอาจเริ่มฝันที่สมจริง เช่น ฝันว่าตกจากที่สูง หรือฝันว่าปวดฉี่แล้วฉี่รดที่นอน

เป็นอย่างไรบ้างค่ะสำหรับข่าวสารดีๆ การนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022 จะทำให้ทุกคนหน้าเด็กลงด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด เพื่อนๆควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน และไม่ควรสูบบุหรี่ก่อนเข้านอน เพียงเท่านี้การนอนช่วยชะลอวัยช่วยให้ใบหน้าของคุณกลับมาสดชื่นแจ่มใสแน่นอนค่ะ

อาหารกับกรุ๊ปเลือดมีความสำคัญกันอย่างไร

0
อาหารกับกรุ๊ปเลือดมีความสำคัญกันอย่างไร
การกินอาหารไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด อาจส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้ และเซลล์ตามร่างกายและส่วนต่างๆเสื่อมลงได้
อาหารกับกรุ๊ปเลือดมีความสำคัญกันอย่างไร
การกินอาหารไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด อาจส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้ และเซลล์ตามร่างกายและส่วนต่างๆเสื่อมลงได้

กรุ๊ปเลือด

กรุ๊ปเลือด ( ABO blood group) แต่ละกรุ๊ป มีสารเคมีในเลือดที่แตกต่างกัน การกินอาหารไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด อาจส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้ และเซลล์ตามร่างกายและส่วนต่างๆเสื่อมลงได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องอาหารตามกรุ๊ปเลือด และสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต คือ อาหาร และทำไมต้องกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดกินอาหารอย่างไรให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือด

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป A

เลือดกรุ๊ป A คนที่มีเลือดกลุ่มนี้จะย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไม่ค่อยดีนัก แนะนำเป็น

1. อาหารประเภทเนื้อปลา แต่ควรหลีกเลี่ยงปลาตาเดียวปละปลาจะละเม็ด เนื่องจากมีเลกตินสูง ทำให้เลือดหนืด
2. ผัก ทานได้ทุกชนิด ทั้งผักสุกและดิบ
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ควรหลีกเลี่ยง กล้วย แคนตาลูป แตงโม มะม่วง มะละกอ ส้ม เพราะจะระคายเคืองกระเพาะอาหาร
4. เครื่องดื่ม ที่แนะนำ คือ ชา กาแฟ ไวน์แดง ควรหลีกเลี่ยง เบียร์ โชดา และน้ำอัดลม จะทำให้เพิ่มกรดในกระเพาะ

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป B

เลือดกรุ๊ป B เป็นหมู่เลือดที่อยู่ง่าย กินง่าย รับประทานอะไรก็ได้ สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้หลากหลาย เช่น

1. จำพวก เนื้อไก่งวง เนื้อแกะ และปลาต่างๆ ควรหลีกเลี่ยง เนื้อไก่ กุ้ง ปู หอย เพราะมีผลต่อการทำงานของระบบทำให้อ้วนง่าย
2. ผัก ควรทานผักใบเขียวทุกชนิด ช่วยป้องกันอาการคันและภูมิแพ้ได้
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ ลูกพลับ ลูกแพร์ และทับทิม
4. เครื่องดื่ม ให้ดื่มน้ำขิง ชาเชียว โสม ช่วยเรื่องบำรุงประสาท

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป O

เลือดกรุ๊ป O หมู่เลือดนี้กระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี จึงหิวง่าย และอ้วนง่าย แนะนำทานอาหารจำพวก

1. เนื้อสัตว์แทบทุกชนิด เนื่องจากกระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารได้ง่ายกว่ากรุ๊ปอื่นแถมยังดูดซึมสารอาหารได้ดี
2. ผัก ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยงจำพวกผักตระกูลกะหล่ำ มีผลต่อไทรอยด์ มะกอกดอง เห็ดหอม อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ส่วนมะเขือยาวและมันฝรั่ง ส่งผลทำให้ปวดข้อ
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ ส้ม สตรอเบอรี่ มะพร้าว แคนตาลูป จะทำให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป
4. เครื่องดื่ม ควรเป็นชาสมุนไพร ส่วนชาที่มาจากใบชา และ ชา กาแฟ เบียร์ ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะเข้าไปอีก

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป AB

เลือดกรุ๊ป AB กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือด A กับ B วิธีรับประทานอาหารสามารถรับประทานแบบลูกผสม เน้นเนื้อ เน้นผักสลับกันไปมาได้ เช่น

1. ควรทานน้ำเต้าหู้ ปาซาร์ดีน ส่วนเนื้อสัตว์ควรทานแต่น้อย คือ เนื้อแกะ เนื้อไก่งวง และควรหลีกเลี่ยง เนื้อไก่ ปลาเนื้อขาวเพราะย่อยยาก
2. ผัก ทานได้เกือบทุกชนิด ควรหลีกเลี่ยง ถั่วแดง เมล็ดฟักทอง ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ กล้วย และฝรั่ง เพราะย่อยยาก
4. เครื่องดื่ม แนะนำให้ดื่มไวน์แดง ชาคาโมมาย ชาเขียว หรือน้ำอุ่นผสมมะนาว ช่วยย่อยล้างระบบลำไส้

การกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดให้สุขภาพดีอย่างไรนั้น ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย จะช่วยส่งผลโดยรวมทั้งสุขภาพร่างกาย และสุขภาพทางจิตใจอยู่ในระดับปกติ เมื่อร่างกายดี สุขภาพจิตก็จะดีตามมาด้วย ทานให้ถูก ทานให้เหมาะ ที่สำคัญทานให้ครบ 5 หมู่

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

การตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยต้นเองเบื้องต้น (ATK)

0
การตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยต้นเองเบื้องต้น (ATK)
ชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น สามารถตรวจด้วยตนเองได้ ง่ายและรวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 15-30 นาที
การตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยต้นเองเบื้องต้น (ATK)
ATK ชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น สามารถตรวจด้วยตนเองได้ ง่ายและรวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 15-30 นาที

Antigen test kit

ATK (Antigen test kit) คือ ชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น ที่ทดสอบอย่างง่ายและรวดเร็ว ต่อการใช้งานลักษณะคล้ายกับชุดการตรวจตั้งครรภ์ ที่สามารถตรวจด้วยตนเองได้ และรู้ผลภายในเวลา 15-30 นาที

วิธีการใช้ ATK

ก่อนการทำการตรวจใช้ทุกครั้ง สิ่งสำคัญคือ ต้องความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆด้วยแอลกอฮอล์ ให้เรียบร้อย ล้างมือ สวมถุงมือ และตรวจสอบวันหมดอายุของชุดตรวจ จากนั้นเริ่มทำการตรวจตามขั้นตอน ดังนี้
1. เปิดซอง ก้านSwab ห้ามสัมผัสปลายสำลี
2. สอดก้าน Swab ในโพลงจมูก ทีละข้าง หมุน 5-10 รอบ ความลึกของไม้ Swab ตามคู่มือ
3. จุ่มก้านที่เก็บตัวอย่างลงในหลอดน้ำยา หมุนก้าน 5-10 ครั้ง
4. นำหลอดดูดน้ำยา หยดลงช่อง 2-3 หยด รอผล 15-30 นาที

การอ่านผลการตรวจ ATK

ก่อนอื่นต้องขออธิบายความหมายของอักษรภาษาอังกฤษตัว T และ C ที่อยู่บนอุปกรณ์ชุดตรวจATK
ตัว T ( T คือ Test line) ใช้สำหรับอ่านผลการทดสอบ ในการตรวจค่าว่าเป็น บวก หรือ ลบ ตัว C ( C คือ Control line) คือแถบควบคุมที่จะบอกว่า ผลการทดสอบน่าเชื่อถือหรือไม่
1.หากตรงตัวอักษร C ขึ้นสีแดงขีดเดียว ซึ่งแปลว่า ผลตรวจเป็นลบ (Negative) ไม่พบเชื้อ
2.หากตรงตัวอักษร C และ T ขึ้นสีแดง 2 ขีด ซึ่งก็แปลว่า ผลตรวจเป็นบวก (Positive) พบเชื้อ
3.หากไม่ขึ้นขีดสีแดง ที่ตัว C และ ตัว T หรือมีสีแดงเฉพาะตรงตัว T ก็อาจจะเป็นไปได้ที่แผ่นเทสมีปัญหา

ความแม่นยำของการตรวจ ATK

การใช้ชุดตรวจATK สำหรับตรวจด้วยตนเอง มีความแม่นยำในระดับเบื้องต้น ถ้าเราได้รับเชื้อมาไม่นานและได้รับเชื้อมาไม่มาก เมื่อทำการตรวจก็อาจได้ผลเป็นลบได้ ดังนั้น ถ้าเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากตรวจในวันแรก 3-5 วัน ด้วยวิธีการตรวจแบบ RT-PCR ซึ่งเป็นการตรวจที่แม่ยำ ที่ตรวจหาเชื้อได้แม้จะพบเชื้อที่น้อย เพื่อยืนยันผลอีกครั้ง

ข้อดีของการตรวจแบบ ATK

1.เป็นชุดทดสอบที่ตรวจง่าย สามารถตรวจด้วยตนเองได้
2.สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาไม่นาน เพื่อช่วยลดการรอคอยในการตรวจ
3.ทราบผลภายในเวลา 15-30 นาที
4.หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก
5.ถ้าชุดตรวจมีคุณภาพและตรวจถูกต้อง ทราบผลเป็นบวก จะช่วยแยกผู้ป่วยออกจากผู้ที่ไม่ป่วยได้เร็วขึ้น

ข้อเสียของการตรวจแบบ ATK

1.ต้องทำการตรวจซ้ำ 2 ครั้ง ตรวจครั้งแรกคือตรวจเบื้อต้น ตรวจครั้งที่ 2 คือตรวจยืนยันผล
2.บางครั้งตรวจ ให้ผลเป็นบวกปลอม คือ ตรวจแบบ ATK ได้ผลเป็นบวก แต่ ตรวจแบบ RT-PCRผลเป็นลบ
ซึ่งการตรวจการ RT-PCR จะให้ผลที่แม่นยำกว่า ก็จะไม่ค่อยมีปัญหาในการไม่พบเชื้อ
3.ถ้าตรวจแบบ ATK ผลออกมาเป็นลบ และตรวจแบบ RT-PCR ผลเป็นบวก ก็จะเกิดปัญหาในการพบเชื้อขึ้น
และต้องทำการตรวจผลการยืนยันอีกครั้ง

การตรวจแบบ ATK เหมาะกับใคร

1.เหมาะกับผู้ที่สงสัยจะติดเชื้อ หรือไม่แสดงอาการ
2.เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจหาเชื้อในเบื้องต้น
3.แหล่งชุมชน และสถานบันเทิง ในการตรวจเบื้องต้น

ข้อควรระวังในการใช้ชุดตรวจ ATK

ชุดตรวจ ATK ต้องมี อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) การเก็บรักษานั้น ต้องเก็บในที่อุณภูมิกำหนด และต้องตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้งานทุกครั้ง และอย่าเปิดหรือฉีกบรรจุภัณฑ์ก่อนการใช้งาน หรือห้ามนำอุปกรณ์ที่ทำการใช้แล้วมาทำการทดสอบซ้ำ

จะทำอย่างไรเมื่อผลจากชุดตรวจ ATK เป็นบวก

เมื่อรู้ว่าได้พบเชื้อ ผลเป็นบวก แยกตัวออกมา เพื่อกักตัว และรีบติดต่อสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อทางโรงพยาบาลจะได้จัดส่งรถมารับ เพื่อทำการตรวจหาเชื้อที่แน่นอนอีกครั้ง และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อไปอย่างไรก็ตามการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ ATK ซึ่งเป็นการตรวจในเบื้องต้น ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่ออกมารองรับปัญหาเหล่านี้ แม้จะได้ผลไม่ครบ 100 % แต่ก็สามารถใช้คัดกรองในเบื้องต้นได้ เพื่อให้รู้ว่าเราอยู่ในภาวะพบเชื้อแล้วหรือยัง และเข้าทำการรักษาอย่างไรต่อไป

ATK เมื่อใช้แล้วกำจัดอย่างไรให้ปลอดภัย

ชุดตรวจโควิด-19 ATK ที่ใช้แล้ว ถือเป็นขยะที่มีความเสี่ยง ต่อการแพร่กระจายเชื้อโรคต่อผู้จัดเก็บขยะหลังการตรวจเชื้อด้วย จึงจำเป็นให้คัดแยกขยะออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ขยะที่ไม่ได้ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งที่ใช้ทดสอบ เช่น เอกสารกำกับชุดตรวจ และกล่องบรรจุภัณฑ์ ขยะประเภทนี้ให้เก็บรวบรวมทิ้งถังขยะทั่วไปที่มีฝาปิดมิดชิดได้เลย
2. ขยะที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งที่ใช้ทดสอบ เช่น ตลับหรือแผ่นทดสอบ หลอดใส่น้ำยา ฝาหลอดหยด ไม้ Swap ขยะประเภทนี้ถือเป็นขยะที่มีความเสี่ยงสูง ต้องแยกจัดการจากขยะทั่วไป เพราะมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อโรคได้ จึงขอให้ผู้ที่ใช้ ATK กำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค หรือ ใส่ถุงขยะสีแดง 2 ชั้น มัดปากถุงด้วยเชือกให้แน่น แล้วฉีดพ่น สารโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5,000 ppm หรือเตรียมจากน้ำยาฟอกขาว ผสมน้ำอัตราส่วน 1 : 10 หรือแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ บริเวณปากถุงด้วยสารฆ่าเชื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โควิดโอไมครอน (Omicron) หรือ Covid -19 กลายพันธุ์ B.1.1.529

0
เชื้อ Covid -19 กลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โควิดโอไมครอน (Omicron)
โควิดกลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โอไมครอน (Omicron) คือ เชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่กลายพันธุ์อย่างรุนแรง มีตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง มีการกลายพันธุ์ถึง 32 ครั้ง
เชื้อ Covid -19 กลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โควิดโอไมครอน (Omicron)
โควิดกลายพันธุ์โอไมครอนเป็นเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่รุนแรง มีตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง มีการกลายพันธุ์ถึง 32 ครั้ง

โควิดโอไมครอน

โควิดกลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โอไมครอน (Omicron) คือ เชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่กลายพันธุ์อย่างรุนแรงและองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นสายพันธุ์ “น่ากังวล” มีตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง มีการกลายพันธุ์ถึง 32 ครั้ง

แหล่งกำเนิด

โควิดสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) พบครั้งแรกจังหวัดเคาเต็ง (Gauteng) ของแอฟริกาใต้ แรกเริ่มมีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.1.529 ก่อนที่ WHO จะตั้งชื่อเรียกให้ตามลำดับตัวอักษรกรีกว่า โอไมครอน สามารถแพร่กระจายได้ในอากาศ เพียงแค่บริเวณนั้นมีผู้ติดเชื้อก็สามารถแพร่ไปสู่อีกคนที่อยู่บริเวณนั้นได้เช่นกัน

อาการผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน

  • มีไข้
  • น้ำมูกไหล
  • ไอ
  • เจ็บคอ
  • ปวดหัว

วัคซีนจะยังใช้ได้ผลอยู่หรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าวัคซีนที่มีอยู่อาจจัดการกับไวรัสกลายพันธุ์ได้ไม่ดีเท่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยป้องกันไม่ได้เลย เพราะวัคซีนที่มีสามารถช่วยให้คนไม่ล้มป่วยหนักจากโควิดสายพันธุ์หลักอื่น ๆ อย่างเดลตา อัลฟา เบตา และแกมมา

ควรบูสเตอร์โดสเมื่อใด

แพทย์แนะนำให้ไปฉีดวัคซีนให้ครบโดสตามที่แนะนำและบูสตามกำหนด เพื่อให้สามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ที่มีอยู่และที่กำลังจะเกิดขึ้น

ทำไมเชื้อถึงกลายพันธุ์เรื่อย ๆ

เชื้อไวรัสที่ผลิตสร้างตัวเองขึ้นซ้ำ ๆ แต่บางทีกระบวนการที่ผิดพลาดไม่สมบูรณ์แบบไปเปลี่ยนพันธุกรรมตัวเองทำให้เกิดเป็นเชื้อไวรัสแบบใหม่หรือที่กลายพันธุ์นั่นเองหากกระบวนนั้นช่วยให้ไวรัสดังกล่าวอยู่รอดได้ เชื้อกลายพันธุ์ก็จะแพร่ระบาดมากขึ้นยิ่งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีโอกาสผลิตตัวเองขึ้นซ้ำ ๆ ในร่างกายมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจะเกิดขึ้นในคนไข้หนึ่งคนที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว และให้เวลากับไวรัสตัวนั้นในการกลายพันธุ์

ข้อควรระวัง

ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ ได้แก่ แอฟริกาใต้ นามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตินี มาลาวี และโมซัมบิก รัฐนิวเซาท์เวลส์ ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และผู้ที่เดินทางมาจากที่อื่นให้กักตัวตามกฎหมายกำหนด

วิธีป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

1. รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากผู้อื่น (อย่างน้อย 1 เมตร) แม้ว่าผู้นั้นจะไม่ได้ป่วยก็ตาม
2. สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือเว้นระยะห่างไม่ได้
3. หลีกเลี่ยงพื้นที่ปิด หรือพื้นที่แออัด ไม่มีอาการสถ่ายเท
4. ล้างมือบ่อยๆ โดยใช้สบู่และน้ำ หรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมหลักเป็นแอลกอฮอล์
5. รับวัคซีนเมื่อได้รับสิทธิ์ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในพื้นที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน
6. รับวัคซีนให้ครบโดส และบูสเตอร์โดสตามกำหนดนัดหมาย
7. ปิดจมูกและปากด้วยข้อพับด้านในข้อศอกหรือกระดาษชำระเมื่อไอหรือจามเก็บตัวอยู่บ้านเมื่อรู้สึกไม่สบาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ความรู้เบื้องต้นของเด็กหลอดแก้ว ICSI คำตอบของผู้มีบุตรยาก !

0
Close up of Sperm swimming towards the blue egg in a blue background. 3D Illustration Rendering.

เด็กหลอดแก้ว

ปัญหาการลูกยาก เป็นปัญหาที่หลายคู่ครองอาจกำลังประสบปัญหาอยู่ ด้วยหลายๆสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของฮอร์โมนฝ่ายชายหญิง อายุ หรือ ความไม่พร้อมของร่างกาย แม้ว่าจะมีหลายคนที่ศึกษาวิธีการแก้ปัญหาการมีบุตรยาก ไม่ว่าจะออกกำลังกาย หรือ การเลือกกินอาหารบำรุง แต่ก็ไม่สามารถกะรันตีได้ว่า จะสามารถแก้ปัญหาได้จริง แต่อย่าพึ่งถอดใจไป เพราะด้วยวิทยาการแพทย์สมัยใหม่ได้มีวิธีการที่สามารถเพิ่มโอกาสในการมีลูกได้แล้ว ซึ่งวิธีที่เป็นที่รู้จักอย่างเเพร่หลายคือ เด็กหลอดแก้ว

เด็กหลอดแก้ว คืออะไร ?

การทำเด็กหลอดแก้ว คือ การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย โดยการนำเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิงและอสุจิจากฝ่ายชายมาทำการผสมกันในห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิสนธิจนได้ตัวอ่อนมา ก็จะย้ายตัวอ่อนกลับเข้าไปในครรภ์ของคุณแม่ เพื่อให้ทำการตั้งครรภ์ต่อไป การทำเด็กหลอดเเก้วเรียกเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆได้ว่า IVF (In-vitro Fertilization) แล้ว ICSI คืออะไรหละ ?

ทำเด็กหลอดแก้ว
ทำเด็กหลอดแก้ว

ความแตกต่างระหว่าง ICSI และ IVF

ทั้ง ICSI และ IVF ก็เป็นชื่อเรียกวิธีการทำเด็กหลอดแก้วทั้งคู่ แต่เพื่อให้เข้าใจว่า ICSI คืออะไรอย่างถ่องแท้ เราจะมาดูถึงข้อแตกต่างระหว่าง ICSI หรือ IVF

  • IVF จากที่กล่าวมาข้างต้น คือ การปฏิสนธินอกร่างกาย โดยนำเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิงและอสุจิจากฝ่ายชายมาทำการผสมกันในห้องปฏิบัติการ และปล่อยอสุจิและไข่ผสมกันเองตามธรรมชาติ
  • ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ก็คือ การปฏิสนธินอกร่างกายเช่นกัน โดยนำเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิงและอสุจิจากฝ่ายชายมาทำการผสมกันในห้องปฏิบัติการ แต่จุดที่ต่างกันคือ ICSI จะคัดเลือกเฉพาะอสุจิที่แข็งแรงที่สุดไปผสมกับไข่ที่เก็บมา

ดังนั้นความต่างของ ICSI และ IVF คือ ขั้นตอนการปฏิสนธิ IVF จะปล่อยใช้เซลล์อสุจิทั้งหมดที่มี นำไปผสมกับไข่ ตามกระบวนการทางธรรมชาติ แต่ ICSI จะคัดเลือดอสุจิที่แข็งแรงที่สุดมาเพียงหนึ่งตัวไปผสมกับไข่เลย โดยไม่ต้องรอกระบวนการที่ปล่อยให้อสุจิว่ายเข้าไปยังไข่ เพื่อทำการปฏิสนธิ เพราะมีบางกรณีที่การทำเด็กหลอดแก้ว IVF ก็อาจไม่ได้ผล

  1. เซลล์อสุจิของฝ่ายชายมีน้ำน้อย และไม่แข็งแรง
  2. เปลืองไข่ของฝ่ายหญิงมีความหนาจนเซลล์อสุจิไม่สามารถเจาะผ่านเปลือกไข่เข้าไปทำการปฏิสนธิได้

หรือก็คือ ICSI คือ IVF แบบพรีเมียมที่มีการเพิ่มขั้นตอนเข้ามาเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว

ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI

  1. การปรึกษาแพทย์ : เริ่มตั้งแต่การเลือกสถานพยาบาลที่เหมาะสม โดยดูรีวิว เช็คความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาลแห่งนั้นก่อน และเนื่องจากการทำเด็กหลอดแก้วมีค่าใช้จ่ายที่สูง จึงควรเช็คราคาให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงค่อยพบแพทย์ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องรายละเอียดของขั้นตอนการทำ วันนัดครั้งต่อไป และวิธีการเตรียมตัวของทั้งฝ่ายชายและหญิง
  2. เริ่มฉีดยากระตุ้นไข่ : ทำการตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนของร่างกายเพื่อประเมินการทำงานของรังไข่และตรวจอัลตราซาวด์ จากนั้นพิจารณาเลือกยากระตุ้นที่เหมาะสมก่อนจะฉีดเข้าไปในรังไข่ โดยการฉีดยากระตุ้นไข่จะมีการฉีดทั้งหมด 3 ขั้นตอน คือ
  • ฉีดยาตัวแรก (Recombinant FSH) เป็นการฉีดเพื่อกระตุ้นไข่หลายๆใบก่อน
  • ฉีดยาตัวที่สอง (GnRH antagonist) เป็นการฉีดเพื่อไม่ให้ไข่ตกก่อนเวลา ในขั้นตอนนี้จะมีการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อคอยดูการเจริญเติบโตของไข่ ตรวจประมาณ 3 ครั้ง เพื่อดูว่าจะเก็บไข่ออกมาจากร่างกายได้ในวันไหน
  • ฉีดยาตัวที่สาม (hCG) เป็นการฉีดเพื่อให้ไข่สุกพร้อมๆกัน และตกในอีก 36 ชั่วโมง
  1. การเก็บไข่และคัดแยกเซลล์อสุจิ
  • การเก็บไข่ สามารถเก็บผ่านทางช่องคลอด ก่อนเริ่มขั้นตอนจะให้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือด เพื่อให้นอนหลับก่อน จากนั้นค่อยเริ่มโดยใช้หัวตรวจอัลตราซาวด์ขนาดเล็ก เพื่อตรวจหาไข่ จากนั้นค่อยทำการดูดของเหลวออกมา และใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจหาไข่ และจึงค่อยนำมาเพาะเลี้ยงในน้ำยาเลี้ยงไข่ เพื่อเตรียมสำหรับการผสม
  • การคัดแยกอสุจิ โดยฝ่ายชายควรงดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการหลั่งน้ำอสุจิออกประมาณ 3 – 7 วัน ก่อนเริ่มขั้นตอน การคัดแยกต้องเริ่มจากการเก็บน้ำเชื้อในภาชนะปลอดเชื้อ จากนั้นส่งไปคัดแยกเซลล์อสุจิออกจากน้ำอสุจิ 
  1. การทำ ICSI : แพทย์จะเลือดคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดและฉีดเข้าไปผสมกับไข่โดยตรง เพื่อให้ได้ตัวอ่อน
  2. การเลี้ยงตัวอ่อน : จะเลี้ยงในตู้ควบคุมอุณหภูมิ ให้สามารถปรับควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อเร่งให้เกิดการแบ่งเซลล์ หลังจากปล่อยให้แบ่งเซลล์ได้ระยะหนึ่ง (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความเร็วในการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนนั้น) จนตัวอ่อนเข้าสู่ระยะ Blastocyst เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ขั้นต่อไป
  3. การย้ายตัวอ่อน : เริ่มด้วยการตรวจโพรงมดลูกก่อนว่าปกติดีหรือไม่ จากนั้นทำการตรวจอัลตราซาวด์ก่อนเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมก่อน เนื่องจากผู้หญิงมีโครงสร้างร่างกายที่แตกต่างกันการย้ายตัวอ่อนจะสามารถได้โดยดูดตัวอ่อนผ่านทางสาย และสายนั้นจะสอดผ่านปากมดลูก เพื่อนำตัวอ่อนไปวางไว้บนเยื่อบุโพรงมดลูก
  4. ตรวจการตั้งครรภ์ : หลังจาการทำย้ายตัวอ่อนเสร็จแล้ว ก็ต้องทำการตรวจครรภ์เป็นระยะเพื่อดูว่าตัวอ่อนเจริญเติบโตในครรภ์ตามปกติหรือเปล่า

การทำเด็กหลอดแก้วเหมาะสำหรับกรณีไหน

การทำเด็กหลอดแก้ว คือการปฏิสนธิภายนอก เป็นวิธีช่วยในเรื่องการมีลูกสำหรับคนที่มีปัญหาต่างๆ ซึ่งการทำเด็กหลอดแก้ว เหมาะสมกับคู่ที่มีกรณีดังนี้

  • ฝ่ายหญิงมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ลูกในท้องจะมีความเสี่ยงที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
  • ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่ตีบ หรือ ตันทั้งสองข้าง
  • ฝ่ายหญิงมีภาวะตกไข่ผิดปกติ
  • ฝ่ายหญิงมีเปลือกไข่หนา ทำให้อสุจิไม่สามารถเจาะเข้าไปเพื่อทพการปฏิสนธิ
  • ฝ่ายชายมีปริมาณอสุจิน้อย หรือ อสุจิไม่แข็งแรง
  • ฝ่ายชายทำหมันไปแล้ว แต่ยังอยากมีลูกอีก

การเตรียมตัวทำเด็กหลอดแก้ว

ถึงแม้ว่าการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI จะมีโอกาสสำเร็จสูง แต่ทั้งฝ่ายชายและหญิงเองก็ต้องมีการเตรียมตัว เช่นกัน มีรายละเอียด ดังนี้

การเตรียมตัวของฝ่ายหญิง

  • งดอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มนี้ เครื่องดื่มเเอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน อาหารที่ไม่ปรุงสุก อาหารที่มีไขมัน และ น้ำตาลสูง
  • รับประทานอาหารบำรุงสุขภาพ เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้เเข็งแรง
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • บริหารจัดการอารมณ์ไม่ให้มีความเครียด
  • งดการสูบบุหรี่
  • ในช่วงการเก็บไข่ พยายามรักษาช่วงท้องให้มีความอบอุ่น โดยงดทานของเย็น เช่น แตงโม หรือ แคนตาลูป
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ช่วงเก็บไข่ 3 – 4 วันจึงถึงช่วงตั้งครรภ์

การเตรียมตัวของฝ่ายชาย

  • งดอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มนี้ เครื่องดื่มเเอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน
  • งดการสูบบุหรี่
  • รับประทานอาหรบำรุง เช่น ไข่ กล้วย และ เน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์
  • งดการอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น เพราะถ้าร่างกายมีอุณหภูมิสูงจะสร้างอสุจิได้ไม่ดี
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการหลั่งอสุจิ ก่อนการคัดเเยกอสุจิ 3 – 7 วัน

ข้อควรระวังหลังจากเริ่มทำเด็กหลอดแก้ว

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วแล้ว แม้คุณแม่จะสามารถทำกิจกรรมวัตรประจำวันได้ปกติ แต่ก็ยังไม่ควรชะล่าใจ ยังมีข้อควรระวังที่ต้องปฏิบัติตาม

  1. หลังจากกระบวนการฝังตัวอ่อนในมดลูกแล้ว ควรนอนพัก 1 – 2 ชั่วโมงก่อน ถึงค่อยกลับบ้าน
  2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  3. ไม่ทำงานหนักเป็นเวลา 2 – 3 วัน หลังจากการฝังตัวอ่อน
  4. งดการออกกำลังกาย
  5. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่จะกระทบกระเทือนไปยังช่วงท้อง
  6. รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย งดอาหารที่อาจทำให้ท้องเสียหรือท้องผูก เพราะจะทำให้ต้องเกร็งหน้าท้อง
  7. รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ ซึ่งมักจะเป็นยาที่ควบคุมฮอร์โมนในร่างกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝังตัวของตัวอ่อนขณะอยู่ในมดลูก
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว

ค่าใช้จ่ายการทำเด็กหลอดแก้ว

ราคาประมาณอยู่ที่ 175,000 บาท เป็นต้นไป ซึ่งค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้วของแต่ละที่จะไม่ทิ้งห่าง

กันเท่าไหร่นัก มักเริ่มที่หลักแสน แต่สถานพยาบาลเกือบทุกแห่งให้ชำระเงินแบบผ่อนได้ เพื่อให้ทุกคนที่สนใจอยากจะมีลูกน้อย มีโอกาสที่จะได้ทำเด็กหลอดแก้วได้

การเลือกสถานที่สำหรับ IVF หรือ ICSI

การทำเด็กหลอดแก้ว เป็นเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความสามารถ และอุปกรณ์ที่ครบครัน ดังนั้นการเลือกสถานที่ให้เหมาะสมจึงต้องเลือกอย่างระมัดระวัง ดูความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาล โดยต้องมั่นใจว่า ทางสถานพยาบาลมีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องหรือไม่ นอกจานี้การอ่านรีวิวของผู้ใช้บริการคนก่อนๆ จะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้น และแทบไม่ต้องเป็นห่วงเลยว่าจะหาสถานพยาบาลที่รับทำเด็กหลอดแก้วได้ยาก เพราะในปัจจุบันที่ไทยมีทั้งโรงพยาบาล คลีนิค และศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากอยู่มากมายหลายที่ ที่มากประสบการณ์และพร้อมให้บริการ

คำถามที่คนสงสัย

ทำเด็กหลอดแก้ว เลือกเพศได้ไหม ?

การทำเด็กหลอดแก้วทั้งแบบ IVF หรือ ICSI ไม่สามารถเลือกเพศของลูกได้ แต่สามารถรับรู้เพศล่วงหน้าได้

ทำเด็กหลอดแก้ว ทำเด็กแฝดได้ไหม ?

มีโอกาส 30 – 35% ที่จะได้เด็กแฝด แต่เเพทย์ไม่แนะนำให้ตั้งท้องเด็กแฝดในการทำเด็กหลอดแก้ว เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเเทรกซ้อน หรือ ร่างกายไม่สมบูรร์ได้

โอกาสและความเสี่ยงในการทำเด็กหลอดแก้ว ?

มีโอกาสเฉลี่ยประมาณ 32% ที่จะตั้งท้องได้ และฝ่ายหญิงจะมีผลข้างเคียงจากยาแต่ไม่ส่งผลร้ายที่รุนแรง

ผลจากการทำเด็กหลอดแก้ว
ผลจากการทำเด็กหลอดแก้ว

สรุป

การทำเด็กหลอดแก้ว เป็นการสร้างโอกาสให้พ่อแม่ที่มีลูกยากได้มีลูกเป็นของตัวเอง แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเตรียมพร้อมทั้งค่าใช้จ่าย เพราะนอกจาค่าใช้จ่ายการทำเด็กหลอดแก้วค่อนข้างสูงแล้ว การเลี้ยงดูลูกต่อจากนี้ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอีกเช่นกัน ดังนั้นขอให้วางแผนการเงินให้ดี และขอให้ทุกท่านโชคดีมีโอกาสได้อุ้มบุตรหลานของตัวเองนะครับ

 

แนะนำ อาหารเสริมน้ำนม หลังคลอด ที่จะช่วยให้น้ำนมมีคุณภาพ

0
อาหารเสริมเพิ่มน้ำนม
อาหารเสริมเพิ่มน้ำนม

อาหารเสริมน้ำนม

คุณแม่มือใหม่หลายๆท่านที่กำลังประสบปัญหาน้ำนมน้อย คงกำลังหาวิธีการต่างๆเพื่อเพิ่มน้ำนมหรือกระตุ้นน้ำนมเพื่อให้ลูกน้อยได้มีน้ำนมกินอย่างเพียงพอ ซึ่งการเพิ่มน้ำนมก็มีหลากหลายวิธี

ทั้งวิธีการกระตุ้นทางธรรมชาติ และ การทาอาหารเสริมน้ำนม แต่วันนี้เราจะมาสรุปให้เห็นภาพรายละเอียด วิธีการเพิ่มน้ำนมด้วยอาหารเสริมน้ำนม

การทานอาหารเสริมน้ำนมเป็นการเติมสารอาหารเข้าไปในร่างกาย เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม โดยสารอาหารที่มีความจำเป็นในการสร้างน้ำนมจะมี โปรตีน แคลเซียม และวิตามินชนิดต่างๆเช่น วิตามินเอ บี1 บี 2 และ ซี

ซึ่งเป็นวิตามินบำรุงน้ำนมทั้งสิ้น เพราะน้ำนมเป็นทั้งอาหารและสารอาหารที่ใช้บำรุงร่างกายของลูกน้อย ทำให้การเลือกทานอาหารในช่วงให้นมลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก แต่ก่อนอื่นเราไปทำความเข้าใจถึงคุณค่าของน้ำนมแม่กันก่อน ว่ามีประโยชน์ขนาดไหน

น้ำนมแม่ มีสารอาหารมากมายหลายชนิดที่จำเป็นต้องการเจริญเติบโตของลูกน้อย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง และนมแม่สามารถย่อยและดูดซึมได้ง่าย ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย จึงเหมาะสำหรับเด็กทารกอย่างมาก นอกจากนี้แล้วการกินนมแม่ยังไม่มีผลข้างเคียงเหมือนนมชนิดอื่น เช่น นมวัว หรือ นมถั่วเหลือง ที่อาจก่อให้เกิดอาหารแพ้โปรตีนขึ้นมาได้ 

จึงเห็นได้ว่า น้ำนมแม่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยหากต้องการสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ลูกน้อย ถัดมาเราจะมารู้จักกับอาหารเสริมน้ำนมแม่ที่สามารถทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน 

เมนูอาหารเสริมน้ำนมทำง่ายๆ ที่บ้าน

การเสริมน้ำนมโดยการทำอาหารทานเองจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากเราเลือกใช้วัตถุดิบได้ถูกต้อง และเป็นวัตถุดิบที่มีสารอาหารที่นมแม่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายและปลอดภัย

เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาติย่อมปลอดภัยที่สุด และนอกจากนี้เรายังสามารถเลือกวัตถุดิบเองและปรุงรสชาติที่ชอบได้เองตามความต้องการ ซึ่งผักผลไม้ที่มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงน้ำนมแม่ที่สามารถเอาไปปรุงอาหารได้ก็จะมี หัวปลี, กุ่ยช่าย, ขิง, ใบแมงลัก, มะรุม, กระเพรา, ตำลึง, มะละกอ, มะขาม, ฟักทอง, เมล็ดขนุน, ซึ่งเราได้หยิบตัวอย่าง 5 เมนูพื้นฐานที่มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก แต่มั่นใจได้ว่าแน่นไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์แน่นอน

เมนูที่ 1 : ต้มข่าไก่ใส่หัวปลี

หัวปลีเป็นผักยอดนิยม ที่มีสารอาหารครบถ้วนเหมาะสมกับการบำรุงน้ำนมอย่างมาก ต้มข่าไก่ปรุงรสแบบ

ทั่วไป เปลี่ยนใช้เนื้อส่วนอกไก่เพื่อลดไขมัน ใส่หัวปลีและใส่เห็ดฟางที่มีสารต้านอนุมูลอิสระลงไปเพิ่ม แค่นี้จากต้มข่าไก่ธรรมดาก็กลายเป็นอาหารเสริมน้ำนมที่ดีได้แล้ว

สารอาหาร : ในหัวปลี มีวิตามินซี โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส 

สรรพคุณ : กระตุ้นการสร้างและเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่

เมนูที่ 2 : ไก่ผัดขิง

ไก่ผัดขิง เมนูง่ายๆ ขั้นตอนการทำไม่ซับซ้อน นำเนื้อไก่ ขิงซอย ต้มหอม เห็ดหูหนู เติมเครื่องปรุง ผัดให้เข้ากัน  ก็เสร็จแล้ว
สารอาหาร : ในขิง มีวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และคาร์โบไฮเดรต

สรรพคุณ : ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้น้ำนมไหลได้ดี และช่วยอาการแก้คลื่นไส้ อาเจียน

เมนูที่ 3 : แกงจืดตำลึง

แกงจืดตำลึง ต้มหมูสับหรือเนื้อชนิดใดก็ได้ในน้ำเดือด ใส่เครื่องปรุง ตบท้ายด้วยใบตำลึง สามารถใส่ไข่เพื่อเพิ่มโปรตีนไข่ได้

สารอาหาร : ในตำลึงมี วิตามินเอ บี1 บี2 ซี ธาตุเหล็ก และแคลเซียม

สรรพคุณ : ช่วยบำรุงน้ำนมแม่

เมนูที่ 4 : ฟักทองแกงบวด

ตบท้ายด้วยของหวาน อย่างฟักทองแกงบวด โดยต้มฟักทองที่เป็นวัตถุดิบหลักกับกะทิ ใบเตย โรยหน้าด้วยมะพร้าว

สารอาหาร : ในฟ้องทองมี วิตามิน เอ บี ซี ฟอสฟอรัส และ เบต้าแคโรทีน

สรรพคุณ : ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ และช่วยให้ผิวพรรณสดใส

แต่ถ้าคุณแม่ที่คิดว่า เมนูอาหารเสริมน้ำนมที่แนะนำมายังไม่เพียงพอ การมองหาตัวช่วยอื่นๆก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน เช่นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม ซึ่งเราก็มีเกร็ดความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์อาหารเสริเพิ่มมน้ำนม จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มาฝากให้อีก เพื่อช่วยในการประกอบการตัดสินใจก่อนที่คุณแม่จะหามารับประทานกัน

อาหารเสริมเพิ่มน้ำนม ช่วยเพิ่มและบำรุงน้ำนมได้จริงไหม ?

สารอาหารมากมายหลายชนิดมีสรรพคุณบำรุงร่างกายที่แตกต่างกัน สำหรับการบำรุงน้ำนมเองก็มีสารอาหารเฉพาะในการบำรุงเช่นกัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็มีหลายชนิดเช่นกัน ดังนั้นการเลือกทานอาหารเสริมควรดูก่อนว่าเราขาดสารอาหารตัวไหน และดูว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมตัวนั้นมีสารอาหารที่เราต้องการหรือไม่

สารอาหารที่ได้จากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม

  • โปรตีน : เป็นสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างน้ำนมให้ลูก และนอกจากนี้หลังที่คุณแม่พึ่งคลอดก็ต้องการบำรุงเช่นกัน เพราะร่างกายอ่อนล้าและเสียเลือดจากการคลอดไปมาก
  • แคลเซียม : เป็นสารอาหารที่ใช้บำรุงนมแม่ โดยแคลเซียมในนมแม่จะนำไปสร้างกระดูกและฟันให้กับลูกน้อย
  • วิตามินเอ : เป็นสารอาหารสำคัญที่ใช้ร่างกายต้องการเพื่อนำไปใช้สร้างน้ำนมแม่
  • วิตามินบี1 : ในการให้นมแม่จะทำให้คุณแม่ขาดวิตามินบี1 ดังนั้นต้องหารสารอาหารตัวนี้มาเติมให้ร่างกายตลอด เพราะการขาดวิตามินบี1 จะส่งผลให้เกิดโรคเหน็บชา ซึ่งจะส่งผลไปยังลูกด้วย
  • วิตามินบี2 : เป็นสารอาหารสำคัญที่ใช้ร่างกายต้องการเพื่อนำไปใช้สร้างน้ำนมแม่
  • วิตามินซี และ Zinc : เป็นสารอาหารที่บำรุงน้ำนม ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
  • วิตามินดี : เป็นสารอาหารที่ใช่บำรุงกระดูกเช่นกัน
  • ไอโอดีน : เป็นสารอาหารที่ช่วยพัฒนาสมอง
  • เบต้าแคโรทีน : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยพัฒนาสายตา และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้
  • โอเมก้า3 : ช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง และช่วยเสริมสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ

สารอาหารบำรุงน้ำนมที่กล่าวไว้ข้างต้น เป็นรายชื่อสารอาหารที่สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมทั่วไป แต่อาหารเสริมน้ำนมแต่ละชนิดมีสูตรและส่วนประกอบที่ไม่เหมือนกัน ทั้งสารอาหารและปริมาณในอาหารเสริมแต่ละตัวจึงมีความแตกต่างกัน เช่น อาหารเสริมบางชนิดอาจจะเน้นไปที่วิตามินบำรุงน้ำนม 

การเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงน้ำนม หรือ วิตามินบำรุงน้ำนม

การเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงน้ำนม หรือ วิตามินบำรุงน้ำนม จะมีหลายรูปแบบตั้งแต่แบบเม็ดแคปซูล ผสมน้ำกิน ซึ่งล้วนแล้วเเต่ผ่านการแปรรูปมาเพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนเลือกซื้อมารับประทานเสมอ ซึ่งจุดที่ควรสังเกตก่อนเลือกซื้อมีดังนี้

  1. เช็คส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม ว่ามาจากธรรมชาติ หรือ มาจากการสังเคราะห์ขึ้นมา โดยควรเลือกที่ผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมจากธรรมชาติปราศจากสารเคมี
  2. หน่วยงานที่รับรองผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่สามารถรับรองความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ โดยถ้ามีตราของหน่วยงานนั้นรับรองก็เชื่อได้ว่าสินค้ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ต้องมั่นใจว่า เป็นตรารับรองจริงๆไม่ใช่การสมอ้างหรือสวมเลขรับรองของผู้ผลิตเจ้าอื่น หน่วยงานที่สามารถออกมาตรฐานให้การรับรองได้ก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง โดยเราจะยกชื่อที่ติดหูสำหรับใครหลายคนขึ้นมา
  • องค์การอาหารและยา (อย.) : กำกับดูแล ส่งเสริมการนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก
  • Good Manufacturing Practice (GMP) : ระบบประกันคุณภาพการผลิตสินค้า ที่จะตรวจสอบขั้นตอนการผลิตของสินค้านั้นว่า สะอาด มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค หรือไม่
  1. เช็คผลตอบรับ หรือ อ่านรีวิวผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมเหล่านั้น จากลูกค้าคนอื่นก่อน ในยุคที่คนใช้โซเชียลมาก การหาอ่านรีวิวจากหลายๆคนที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์มาก่อน ก็เป็นอีกหนี่งวิธีที่สามารถทำได้ การอ่านความเห็นจากคนมากมาย เราจะได้เห็นความเห็นที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินได้เช่นกัน
  2. การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะแพทย์จะวินิจฉัยร่างกายเราก่อน เพื่อพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม หรือ วิตามินเพิ่มน้ำนมที่เลือกมามีความจำเป็นกับร่างกายของเราไหม 

สรุป

จริงอยู่ที่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมหลายๆยี่ห้อ มีสรรพคุณและสารอาหารมากมาย และรับประทานได้ง่าย แต่ก็ไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเป็นหลัก ควรทานเป็นอาหารเสริม และควรมุ่งเน้นไปที่การทานอาหารปรุงสุก ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ และมีสารอาหารที่บำรุงน้ำนม มากกว่าการพึ่งผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้การแล้วการเพิ่มน้ำนมให้ลูกน้อยก็ยังมีปัจจัยอื่นๆที่สามารถช่วยได้อีกเช่นกัน ทั้งการนวดน้ำนม การดื่มน้ำให้มากๆ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ ก็เป็นการช่วยอีกทางหนึ่งเช่นกัน เราหว่าว่าบทความนี้จะให้ความรู้และช่วยคุณแม่มือใหม่ทุกคนให้ก้าวข้ามปัญหาน้ำนมน้อยได้ครับ

อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance)

0
อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance)
อาการการย่อยแลกโทสบกพร่องเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโทสได้หมด ซึ่งแล็กโทสที่เหลือจากการย่อยจะทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการผิดปกติ
อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance)
อาการกอาการการย่อยแลกโทสบกพร่องเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโทสได้หมด ทำให้เกิดอาการผิดปกติในการย่อยแลกโทส

การย่อยแลกโทสบกพร่อง

อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance) คือ การที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโทสได้หมด โดยมักพบน้ำตาลชนิดนี้ในนมสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ซึ่งแล็กโทสที่เหลือจากการย่อยจะทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย เป็นต้น พบได้ทั่วไปในผู้ใหญ่ 65-70% พบมากสุดในประเทศในทวีปเอเชีย และพบน้อยในยุโรปสแกนดิเนเวีย ไม่มีอาการร้ายแรง แต่จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว

อาการของภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

อาการหลังจากรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมไปแล้วประมาณ 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำตาลแล็กโทสที่เข้าสู่ร่างกาย และปริมาณเอนไซม์แล็กเทส (Lactase) ที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเพื่อนำมาย่อยแล็กโทส เช่น

อาการของภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

อาการหลังจากรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมไปแล้วประมาณ 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำตาลแล็กโทสที่เข้าสู่ร่างกาย และปริมาณเอนไซม์แล็กเทส (Lactase) ที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเพื่อนำมาย่อยแล็กโทส เช่น

  • ปวดท้อง
  • ท้องอืด มีลมในลำไส้
  • ท้องเสีย
  • คลื่นไส้ และอาจตามมาด้วยการอาเจียน
  • มีเสียงท้องร้องจากการบีบตัวในกระเพาะอาหาร
  • ท้องไส้ปั่นป่วน
  • ผายลม

สาเหตุของภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

  • ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้หมด
  • ร่างกายผลิตเอนไซม์แล็กเทสน้อยลง
  • ผลกระทบจากโรคบางชนิดหรือการรักษา
  • เกิดความผิดปกติตั้งแต่เกิด โดยเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่

การวินิจฉัยภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

แพทย์อาจวิเคราะห์ภาวะนี้ได้โดยดูจากอาการและการตอบสนองของร่างกายผู้ป่วยเมื่อลดปริมาณนมที่ดื่ม หากยังไม่ชัดเจนก็อาจตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
1. ตรวจอุจจาระ
2. ตรวจระดับไฮโดรเจนในลมหายใจ
3. ทดสอบความสามารถในการย่อยน้ำตาลแล็กโทส
4. ตรวจชิ้นเนื้อลำไส้เล็ก

การป้องกัน หรือหลีกเลี่ยงอาการแพ้แลคโตส

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม หรือรับประทานในปริมาณที่น้อยลง และทานอาหารอื่นๆ ที่แคลเซียมสูงทดแทน
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีแล็กโทสในปริมาณน้อย หรือไม่มีแล็กโทสเลย เช่น โยเกิร์ต นมพร่องมันเนย หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ระบุว่ามีแล็กโทสในปริมาณน้อย เป็นต้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มเอนไซม์แล็กเทสก่อนรับประทานอาหารที่ทำจากนม
  • หลีกเลี่ยงการดื่มนมขณะท้องว่าง เพราะอาการจะเป็นมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าดื่มนมพร้อมอาหาร จะสามารถทนปริมาณแลคโตสได้มากขึ้น
  • หากรับประทานอาหารนอกบ้าน ควรเลือกอาหาร ที่ปราศจากน้ำตาลแลคโตส (Lactose free) หรือแจ้งทางร้านก่อนสั่งอาหาร
  • ใช้นมที่ปราศจาก น้ำตาลแลคโตส (Lactose free milk) หรือใช้น้ำนมที่สกัดจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมมะพร้าว ทนแทนนมวัว
  • ใช้เอนไซม์แลคเตสสังเคราะห์ ทานพร้อมกับเมื่อดื่มนมคำแรก

โรคแทรกซ้อนของการแพ้แลคโตส

หากกังวลกับอาหารที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน ควรปรึกษานักโภชนาการเพิ่มเติม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ปัญหาโรคติดเกม จัดการอย่างไรดี

0
ปัญหาโรคติดเกม จัดการอย่างไรดี
โรคติดเกม เป็นอาการทางจิตที่รุนแรงและต้องได้รับการบำบัดรักษาเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเกมออนไลน์ หรือ วิดีโอเกม
ปัญหาโรคติดเกม จัดการอย่างไรดี
โรคติดเกม เป็นอาการทางจิตที่รุนแรงและต้องได้รับการบำบัดรักษาเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเกมออนไลน์ หรือ วิดีโอเกม

ติดเกม

โรคติดเกม (Gaming disorder) คือ อาการทางจิตที่รุนแรงและต้องได้รับการบำบัดรักษาเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเกมออนไลน์ หรือ วิดีโอเกม

สาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกม

1. การเลี้ยงดูในครอบครัว
2. ขาดกฎระเบียบกติกาในบ้าน
3. ไม่มีกิจกรรมที่สนุกสนานให้เด็กทำ หรือ ไม่มีกิจกรรมที่ทุกคนทำร่วมกัน
4. พ่อแม่อาจไม่มีเวลาควบคุมเด็กหรือมองไม่เห็นความจำเป็นของการจำกัดเวลาในการเล่นเกมของเด็ก
5. ปัจจัยในตัวเด็ก เช่น เหงา อยากมีเพื่อน เครียด

พฤติกรรมการติดเกม

1. เมื่อต้องหยุดเล่นหรือถูกขัดจังหวะ จะรู้สึกโกรธ และหงุดหงิดฉุนเฉียวอย่างรุนแรง แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
2. แยกตัวออกจากสังคม ตัดขาดจากโลกภายนอก เลือกที่จะใช้เวลาอยู่หน้าจอมากกว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง
3. ละเลยความรับผิดชอบ การเรียน การทำงาน ตลอดจนกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ
4. คิดและหมกมุ่นอยู่แต่กับการเล่นเกม วางแผนเพื่อที่จะเอาชนะในการเล่นเกมครั้งต่อไป จะโมโหฉุนเฉียวมากถ้าเล่นเกมแพ้
5. ไม่สามารถหยุดเล่นได้ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่ามีผลกระทบต่อตนเองอย่างมาก พยายามและดิ้นรนอย่างมากเพื่อให้ได้เล่นเกม
6. ไม่ยอมรับความจริงว่าตนเองมีปัญหาติดเกม
7. ใช้เวลาในการเล่นนานขึ้นเรื่อยๆ
8. พูดโกหก หรือขโมยเงินเพื่อเอาไปเล่นเกม ไม่ยอมไปโรงเรียน หรือเล่นจนกลายเป็นการติดการพนันในที่สุด

ลักษณะของเกมออนไลน์ในปัจจุบัน

1. ท้าทาย ชวนให้แข่งขัน
2. มีขั้นตอน ได้รับรางวัล เมื่อทำภาระกิจสำเร็จ
3. มีการสวมบทบาทสมมติในเกม โดยไม่ต้องเปิดเผยว่าเป็นใคร
4. เล่นกันเป็นกลุ่มได้ เล่นด้วยกันได้ ชวนกันเล่นได้

ผลเสียจากการติดเกม

1. น้ำหนักเกิน ปวดคอ ปวดหลัง ปวดข้อมือหรือข้อศอก เส้นเอ็นและปลายประสาทอักเสบ ไม่สนใจดูแลตนเอง
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน / ทำงานลดลง
3. ยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เก็บตัว ละเลยการเข้าสังคม ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
4. หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห โวยวาย พูดจาหยาบคาย ก้าวร้าว รุนแรง สมาธิสั้น ต่อต้าน ซึมเศร้า วิตกกังวล ลักขโมย
5. เวลานอนหลับไม่เพียงพอและขาดคุณภาพ อ่อนเพลีย
6. การควบคุมยับยั้งตนเอง การควบคุมอารมณ์ ความจำ ความสามารถในการตัดสินใจ และแก้ปัญหาลดลง สมาธิสั้น
7. อาจจะมีการเลียนแบบพฤติกรรมความรุนแรงจากเกมได้
8. รับประทานอาหารไม่เพียงพอ ไม่อยากอาหาร เพราะอยากเอาเวลาไปเล่นเกมมากกว่า และใช้สารเสพติด
9. ปวดตา มองเบลอ ไม่ชัด มีปัญหาสายตาสั้นเทียม นำไปสู่ปัญหาสายตาสั้นจริง
10. ร่างกายไม่แข็งแรง เนื่องจากไม่ค่อยมีการขยับร่างกาย ไม่ออกกำลังกาย หรือวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป

ข้อดีของการเล่นเกม (ในระยะเวลาที่พอเหมาะ)

1. ฝึกภาษา
2. ฝึกพิมพ์ไว
3. พัฒนาสมอง ฝึกไหวพริบ
4. เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์
5. เสริมสร้างในการมองเห็นและก็การบังคับสายตา
6. พัฒนาทักษะในการตัดสินใจที่ดี
7. พัฒนาความสัมพันธ์เพื่อนพ้องได้เป็นอย่างดี
8. พัฒนา IQ
9. สร้างรายได้และอาชีพ
10. ลดความเครียด และความกดดันบางอย่าง

วิธีช่วยเหลือเด็กติดเกม

1. ผู้ปกครองควรให้เวลากับเด็กมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กก่อนเริ่มการปรับพฤติกรรม
2. ค่อยๆ ปรับพฤติกรรม ปรับเวลา อย่าสั่งหยุดทันทีทันใด เด็กจะเกิดการต่อต้าน
3. ตกลงกติกา กำหนดเวลาการเล่นเกมที่เหมาะสม ให้ลดลงเรื่อยๆ เด็ดขาด ไม่มีต่อรอง
4. ผู้ปกครอง หากิจกรรมมารองรับ ใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้น
5. สร้างแรงจูงใจในการเลิกให้กับเด็ก เช่น หากกำลังปรับลดชั่วโมงการเล่นเกม ค่อยๆปรับพฤติกรรมทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่สม่ำเสมอ
6. หากมีข้อสงสัยควรขอคำแนะนำจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเด็กติดเกมให้ดีขึ้น ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเปลี่ยนและปรับกันทั้งคู่ ทั้งเด็กและพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง รวมถึงคนรอบข้างที่บ้านและที่โรงเรียน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไวอาก้า

0
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไวอาก้า
ไวอาก้า หรือ Sildenafil เป็นสารที่ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศ ช่วยรักษาอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไวอาก้า
ไวอาก้า หรือ Sildenafil เป็นสารที่ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศ ช่วยรักษาอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

ไวอาก้า

ไวอาก้า (Viagra) หรือ Sildenafil คือ สารที่ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศ ช่วยรักษาอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว นกเขาไม่ขัน ช่วยให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวได้ดี ไม่อ่อนตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED) เนื่องจากกลไกการทำงานของ ไวอากร้า ( Viagra ) จริง ๆ จะเข้าไปกระตุ้นให้หลอดเลือดขยาย ซึ่งส่งผลให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น ช่วยให้สมองสั่งการผ่านเส้นประสาทไปยังอวัยวะเพศทำให้แข็งตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ จนการร่วมรักดำเนินไปได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้เรื่องการใช้ยาไวอากร้าไม่ควรใช้กับยาชนิดอื่นๆ โดยไม่ได้รับการแนะนำการแพทย์ ก็เป็นจุดที่ควรระวัง เพราะอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้

ไวอากร้าที่มีขายในท้องตลาด

1. Sildenafil หรือ ไวอากร้า (ยอดนิยม)
เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กินก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง คือ มีผลเสียต่อจอเรตินาในตา ทำให้จะเห็นทุกอย่างเป็นสีฟ้า แต่อาการจะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง
2. Vardenafil หรือ เลวิตร้า
ยาตัวนี้ดีพอๆ กับซิลเดนาฟิล แต่ออกฤทธิ์ได้ไวกว่า 1 ชั่วโมง เพราะเป็นแบบละลายในปากทำให้ได้ผลไว แต่ก็พบว่าบางคนอาจแพ้หรือมีผลข้างเคียงได้เช่นกัน
3. Tadalafil หรือ เซียลิส
ยาตัวนี้บางคนอาจจะเรียกกันว่า ยาวันหยุด หรือ Holiday Pill ซึ่งชนิดนี้เป็นตัวที่ผู้ชายส่วนใหญ่เลือกกินเพราะออกฤทธิ์ได้ยาวนานถึง 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว เป็นยาที่แรง แต่ก็เสี่ยงกับผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้น
4. Avanafil หรือ สเตนดร้า
ยาชนิดนี้เป็นตัวใหม่ที่พึ่งได้รับการรับรองจากอเมริกาและแถบยุโรป ซึ่งข้อดีของมันคือ เป็นชนิดเดียวที่ออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุด ภายใน 15 นาทีหลังกินยา จะกินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ แต่ข้อเสียของมันก็คือ คนที่กินยาไนเตรทห้ามทานเด็ดขาด เพราะทำให้เกิดความดันต่ำจนเสียชีวิตได้เลย

ผลข้างเคียงของไวอาก้า

1. หัวใจเต้นเร็ว มีอาการเหนื่อยง่าย เหงื่อออกง่าย หากใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ ต้องใช้อย่างระมัดระวังและเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
2. อาการของผู้ใช้ยาครั้งแรกที่พบได้บ่อยๆ คือ ปวดศีรษะ หน้าแดง ร้อนวูบวาบ คลื่นไส้ ตาพร่ามัว ตาพร่าแสงแดดง่าย หรือ มองเห็นแสงสีฟ้าสีเขียว
3. ภาวะองคชาตแข็งค้าง และการสูญเสียการได้ยินอย่างเฉียบพลัน

ข้อควรระวัง

1. ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยานี้หรือส่วนประกอบอื่นๆในตำรับยา
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ สมองขาดเลือด (Stroke) หรือมีปัญหาเรื่องความดันโลหิตต่ำ เคยมีประวัติการมองเห็นลดลง หรือสูญเสียการมองเห็น ให้แจ้งแพทย์ก่อนเริ่มกินยา
3. ห้ามใช้ยา Viagra ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่ใช้ยาขยายหลอดเลือดกลุ่มไนเตรดที่ส่วนใหญ่ใช้บรรเทาอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ เช่น Nitroglycerine, Isosorbide Mononitrate, Isosorbide dinitrate เพราะอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ อาจถึงแก่ชีวิตได้
4. ไม่มีข้อบ่งใช้ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี และไม่มีข้อบ่งใช้ในเพศหญิง
5. ห้ามใช้ยาร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดอื่นๆ เช่น อีริโทรมัยซิน (Erythromycin) ยาชนิดนี้เป็นยาต้านเชื้อรา ที่จะไปเสริมฤทธิ์ทำให้เกิดผลข้างเคียง อาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
6. ไม่ควรรับประทานยาร่วมกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ โดยเด็ดขาด

สารอาหารที่ออกฤทธิ์คล้ายไวอาก้า

ไวอากร้า ผู้หญิงกินได้ไหมหรือไม่

ยาไวอากร้าสำหรับผู้หญิง ชื่อว่า ฟลิแบนเซริน ซึ่งจะออกฤทธิ์ต่างกับไวอาก้าสำหรับผู้ชาย ยานี้จะออกฤทธิ์ต่อสมอง ปรับสมดุลของระบบในสมองที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นความพอใจและอารมณ์ทางเพศ ในขณะที่ไวอากร้าสำหรับผู้ชายจะส่งผลต่อปริมาณเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศชาย

ปัญหาสุขภาพของคนวัย 50 ปีขึ้นไป

อาหารที่เหมาะสมต่อสุขภาพของคนวัย 50 ปีขึ้นไป

1. โปรตีน ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุทั่วไปที่ไม่มีโรคประจําตัวรุนแรงที่ความต้องการโปรตีนสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ ควรเลือกโปรตีนที่เคี้ยวง่ายหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ดักแด้ไหม ไข่ตุ๋น เนื้อปลา หมูสับหมักนิ่ม หรือเนื้อสัตว์ตุ๋น นม เต้าหู้ เลือดหมู หรือไก่ เป็นต้น โดยสลับทานทั้งเนื้อสัตว์สีแดงและสีขาว เพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอ
2. แป้ง ควรทานมือละ 3-4 ทัพพี เลือกประเภทนิ่ม เช่น ข้าวต้ม ข้าวหุงนิ่มๆ ขนมปังนิ่มๆ ฟักทอง มันนึงเนื้อนิ่มๆ หรือวุ้นเส้น เป็นต้น
3. ผักผลไม้ ควรทานผักมื้อละ 1-2 ทัพพี และผลไม้มื้อละ 1 ฝ่ามือ โดยเลือกแบบที่นิ่มหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ผักที่ต้มหรือปรุงจนนิ่ม ส้ม มะละกอ แก้วมังกร แตงโม มะม่วงสุก กล้วยสุก ผักหรือผลไม้ปั่นพร้อมกาก เป็นต้น จะช่วยให้ระบบร่างกายทํางานได้ดีขึ้น และป้องกันท้องผูก
4. เครื่องปรุงรส ทานน้ำมันและน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน น้ำปลาหรือซีอิ๊วไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะช่วยป้องกันโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และอีกหลายๆ
5. การดื่มนมวัว หรือนมถั่วเหลือง (นมถั่วเหลืองแนะนําประเภท UHT เนื่องจากมีการเติมแคลเซียมให้เท่าแคลเซียมในนมวัว) โดยทานวันละ 1-2 แก้ว จะช่วยรักษามวลกระดูกและกล้ามเนื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วัคซีน Janssen COVID-19 ของ Johnson & Johnson คืออะไร?

0
วัคซีน Janssen COVID-19 ของ Johnson & Johnson คืออะไร?
ได้รับอนุญาติใช้ได้ทั้งในวัยรุ่น 18 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีสุขภาพแข็งแรงสำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
วัคซีน Janssen COVID-19 ของ Johnson & Johnson คืออะไร?
ได้รับอนุญาติใช้ได้ทั้งในวัยรุ่น 18 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีสุขภาพแข็งแรงสำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

วัคซีน Janssen

Janssen (จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน) Ad26.COV2.S คือ วัคซีนป้องกันโรค coronavirus 2019 (COVID-19) ที่ได้รับอนุญาติใช้ได้ทั้งในวัยรุ่น 18 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีสุขภาพแข็งแรง สำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกันขณะที่วัคซีน Ad26.COV2.S นั้นพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในการพัฒนาวัคซีนอีโบลา
ประกอบด้วยไวรัสในตระกูล adenovirus ที่สามารถตัดแต่งพันธุกรรม และไม่สามารถทำให้เกิด COVID-19 ได้ ซึ่งให้มียีนสำหรับสร้างโปรตีนที่พบใน SARS-CoV-2 เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ของมนุษย์มีจีโนมดีเอ็นเอ (DNA) จะถูกแทรกเข้าไปในยีนที่เข้ารหัสโปรตีนเพื่อขัดขวางไวรัสซาร์ส-โควี-2 เป็นไวรัสที่มีการอุบัติใหม่ และสามารถก่อโรคโควิด-19 ในมนุษย์ได้

ส่วนผสมอื่นๆ ในวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

  • 2-ไฮดรอกซีโพรพิล-β-ไซโคลเด็กซ์ทริน (HBCD) หรือ 2-hydroxypropyl-β-cyclodextrin (HBCD)
  • กรดซิตริกโมโนไฮเดรต หรือ citric acid monohydrate
  • เอทานอล หรือ ethanol
  • กรดไฮโดรคลอริก หรือ hydrochloric acid
  • โพลีซอร์เบต 80 หรือ polysorbate 80
  • เกลือแกง หรือ sodium chloride
  • โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือ sodium hydroxide
  • ไตรโซเดียมซิเตรตไดไฮเดรต หรือ trisodium citrate dihydrate
  • น้ำสำหรับฉีดยา หรือ water for injection

วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ใช้อย่างไร?

วัคซีน Ad26.COV2.S หรือ Johnson & Johnson จะฉีด 1 ครั้งเข้ากล้ามเนื้อ 0.5 มิลลิลิตร บริเวณต้นแขน เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

ปริมาณบูสเตอร์วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

ได้รับอนุญาตใช้ในผู้ใหญ่ทุกคนโดยการบูสวัคซีนอย่างน้อย 2 เดือนหลังจากเสร็จสิ้นการฉีดวัคซีนเบื้องต้น ปริมาณบูสอายุ ≥18 ปี เท่ากันปริมาณ 0.5 mL

ใครไม่ควรรับวัคซีน Janssen COVID‑19?

  • มีอาการแพ้อย่างรุนแรงหลังจากฉีดวัคซีนครั้งก่อน
  • มีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบบางชนิดของวัคซีนนี้

ผลข้างเคียงของวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันที่พบบ่อย

1. อาการที่่บริเวณที่ฉีดวัคซีน

  • ปวดบริเวณที่ฉีด
  • ผิวหนังบวมแดง
  • รู้สึกเจ็บปวด

2. อาการอื่นๆ ทั่วไป

  • หนาวสั่น
  • มีไข้
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดข้อ
  • คลื่นไส้
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

3. อาการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง

  • ลมพิษ มีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย
  • อาการบวมที่ริมฝีปาก ใบหน้า ลำคอบวม ลิ้น หรือทางเดินหายใจ
  • หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
  • ปวดท้อง อาเจียน และท้องเสีย
  • หมดสติ
  • ความดันโลหิตต่ำอย่างกะทันหัน
  • รู้สึกเสียวซ่าบริเวณผิวหนัง
  • หูอื้อถาวร
  • อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม
  • ลิ่มเลือดที่เกี่ยวกับเกล็ดเลือดต่ำ

ข้อดีของการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19

  • ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
  • ช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ไปยังสมาชิกในครอบครัว เพื่อน หรือบุคคลอื่นที่คุณติดต่อด้วย
  • วัคซีนป้องกันโควิด-19 ช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วยหนัก แม้ว่าจะติดเชื้อโควิด-19 ก็ตาม หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม