สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Moderna COVID-19 (mRNA-1273)

0
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Moderna COVID-19 (mRNA-1273)
วัคซีนโมเดิร์นนามีสารออกฤทธิ์ใช้สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Moderna COVID-19 (mRNA-1273)
วัคซีนโมเดิร์นนามีสารออกฤทธิ์ใช้สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

วัคซีนโมเดิร์นนา

วัคซีนโมเดิร์นนา (Moderna) มีโมเลกุลที่เรียกว่า mRNA (messenger Ribonucleic Acid) เป็น สารพันธุกรรมที่อยู่ในเซลล์ร่างกายทำหน้าที่ออกคำสั่งให้เซลล์ผลิตโปรตีนขึ้นตามรหัสคำสั่งนั้นๆ เป็นกลไกปกติของร่างกาย ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด19 แต่ไม่มีไวรัสแล้วและไม่สามารถทำให้เกิดCOVID-19 ได้ วัคซีนโมเดิร์นนามีสารออกฤทธิ์ใช้สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 mRNA มีบทบาทพื้นฐานในชีววิทยาของมนุษย์ โดยถ่ายโอนคำสั่งที่เก็บไว้ใน DNA เพื่อสร้างโปรตีนที่จำเป็นในทุกเซลล์ที่มีชีวิต เอ็มอาร์เอ็นเอเป็นโมเลกุลสายเดี่ยวที่นำรหัสพันธุกรรมจาก DNA ในนิวเคลียสของเซลล์ไปยัง ไรโบโซม ซึ่งเป็นกลไกสร้างโปรตีนของเซลล์ mRNA สั่งให้เซลล์ของผู้ป่วยผลิตโปรตีนที่ป้องกัน บำบัด หรือรักษาโรค และองค์การอนามัยโลกได้อนุมัติใช้ได้ใน 76 ประเทศ

ปริมาณยาที่แนะนำสำหรับวัคซีนโมเดิร์นนาเพื่อป้องกันโควิด-19

  • ผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดิร์นนาฉีดเข้ากล้าม ตามข้อกำหนด 2 เข็ม ปริมาณยาที่ใช้ 100 ไมโครกรัม, 0.5 มิลลิลิตรต่อครั้ง ควรเว้นระยะห่างกัน 1 เดือน หรือ 28 วัน หากจำเป็นสามารถขยายเวลาออกไปได้เป็น 42 วัน
  • หากบูสวัคซีนโมเดิร์นนาเข็ม 3 ปริมาณ 0.25 มิลลิลิตร ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 28 วัน หรือ 2 เดือนนับจากฉีดเข็มที่ 2

วัคซีนโมเดิร์นนาทำงานอย่างไร

การทำงานนั้นเป็นการเตรียมร่างกายเพื่อป้องกันตัวเองจาก COVID-19 ประกอบด้วยโมเลกุลที่เรียกว่า mRNA ซึ่งเป็นการสร้างโปรตีนบนพื้นผิวของไวรัส SARS-CoV-2 ที่ไวรัสต้องการเข้าสู่เซลล์ของร่างกายมนุษย์ เมื่อฉีดวัคซีนเซลล์บางส่วนจะอ่านคำสั่ง mRNA และผลิตโปรตีนขัดขวางเชื้อไวรัสชั่วคราว ระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นจะรับรู้ว่าโปรตีนนี้เป็นสิ่งแปลกปลอมร่างกายจะผลิตแอนติบอดีและกระตุ้นทีเซลล์ หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อโจมตีไวรัสนั้น หากภายหลังบุคคลนั้นสัมผัสกับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาจะรับรู้และพร้อมที่จะปกป้องร่างกายจากไวรัสโควิด-19

กลุ่มบุคคลใดบ้างเหมาะได้รับการฉีดวัคซีนโมเดิร์นนาได้บ้าง

  • ผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคปอด โรคตับ และโรคไต
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องยังสามารถฉีดวัคซีนได้
  • ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือ HIV
  • ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ไม่รุนแรง โรคหอบหืด
  • สตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการฉีดวัคซีน
  • คุณแม่ช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการฉีดวัคซีน
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนหน้าเป็นเวลา 6 เดือน นับจากวันที่ติดเชื้อ

แพทย์แนะนำให้ฉีดวัคซีนโมเดิร์นาสำหรับผู้ที่เป็นโรคร่วมดังที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากบุคคลกลุ่นนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เชื้อลงปอดที่รุนแรงได้

กลุ่มบุคคลใดบ้างไม่เหมาะได้รับการฉัดวัคซีนโมเดิร์นนาบ้าง

  • ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • ผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอมาก
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้อย่างรุนแรงในวัคซีนเข็มแรก (ไม่ควรรับวัคซีนนี้หรือวัคซีน mRNA อื่นๆ)

วัคซีนโมเดิร์นนามีประสิทธิภาพแค่ไหน?

วัคซีน Moderna ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพประมาณ 94.1% ในการป้องกันโรคโควิด-19 โดยเริ่มตั้งแต่ 14 วันหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก

อย่างไรก็ตามการได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม ทุกชนิดทุกยี่ห้อสามารถลดความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่าไม่ฉีดเลย เพื่อเป็นการสร้างระบบภูมิคุ้มกันหมู่ หากบุคคลใดที่ยังกังกลเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อปฏิบัติตามขั้นตอนคำแนะนำก่อนการเข้ารับวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคแพ้นมวัวในเด็กทารกและเด็กเล็ก

0
โรคแพ้นมวัวในเด็กทารกและเด็กเล็ก
อาการแพ้นมวัว เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองที่ผิดปกติต่อโปรตีนในนมวัวและนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ
โรคแพ้นมวัวในเด็กทารกและเด็กเล็ก
อาการแพ้นมวัว เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองที่ผิดปกติต่อโปรตีนในนมวัวและนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ

แพ้นมวัว

แพ้นมวัว ( Cow milk allergy ) หรือที่เรียกว่าโรคภูมิแพ้โปรตีนนม ( cow milk protein allergy ( CMPA ) คือ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองที่ผิดปกติต่อโปรตีนในนมวัวและนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ มักเกิดในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 1 ปี โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันจะปกป้องร่างกายของเราจากเชื้อโรคสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย เช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เมื่อระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติอาจแสดงอาการตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการแพ้นมอย่างรุนแรง (anaphylaxis) ดังนั้น ทำให้โปรตีนในนมวัวเป็นสารอันตรายสามารถทำลายกระเพาะอาหาร และลำไส้ของทารกได้ ในขณะที่อาการแพ้นมวัวเป็นหนึ่งในอาการแพ้อาหารที่พบบ่อยที่สุดซึ่งส่งผลต่อทารกและเด็กในประเทศไทยมีเด็กแรกเกิดประมาณปีละ 8 แสนคน และยังมีเด็กอีกประมาณ 2 หมื่นคน โดยส่วนใหญ่อาการแพ้นมวัวในเด็กมักมีอาการที่บ่งชีถึงการแพ้นมหลายอย่าง

สาเหตุของการแพ้นมวัว

การแพ้นมวัวไม่ใช้จะเกิดขึ้นกับเด็กทุกคน แต่บางคนที่แพ้คือโปรตีนนม 2 ชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในลูกน้อย คือ
1. บีตา-แล็กโทโกลบูลิน ( Beta-Lactoglobulin ) เป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของเวย์โปรตีนทั้งหมดของนมวัว ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้นมสูงถึง 82 เปอร์เซ็นต์
2. เคซีน ( Casein ) เป็นโปรตีนหลักในน้ำนมดิบโดยผ่านกระบวนการต้มด้วยความร้อนสูงถึง 100 องศาเซลเซียส และใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์โปรตีนผง ซึ่งในน้ำนมแม่มีเคซีน Casein น้อยกว่านมวัว และนมแม่ไม่มี Beta-Lactoglobulin ดังนั้น อาการแพ้นมแม่จึงพบได้น้อยมาก

อาการแพ้นมวัวในเด็ก

อาการแพ้จะแสดงออกมี 2 ประเภท คือ อาการแพ้แบบเกิดหลังสัมผัสไม่เกิน 2 ชั่วโมง ( IgE-mediated ) และออกการแพ้แบบเกิดหลังสัมผัสอาจใช้เวลาเป็นวัน (non-IgE mediated) โดยทั้งสองประเภทมีอาการที่แตกต่างกัน เมื่อกินนมเข้าไปร่างกายจะตอบสนองทันทีโดยมีน้ำมูกไหล ผื่นแดง คัน ลมพิษ และหายใจถี่ แต่ในบางคนจะมีอาการแพ้ที่ช้ากว่ามักเริ่มภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากกินนมนั่นเอง โดยอาการแพ้นม แบ่งออกตามระบบได้ ดังนี้ อาการทั่วไป ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ระบบผิวหนัง และระบบโลหิต ได้แก่

1. อาการแพ้นมทั่วไปในเด็ก

  • ใบหน้าบวมแดง
  • เด็กรู้สึกไม่สบายตัวเริ่มงอแงมาก
  • เด็กทารกแรกเกิดร้องไห้ไม่ยอมนอน เกิดจากท้องอืด หรือจุดเสียด
  • เด็กทารกน้ำหนักเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น
  • กรดไหลย้อนในเด็ก

2. ระบบทางเดินอาหาร

  • แหวะนม หรืออาเจียน
  • บ้วนน้ำลาย
  • ปวดท้อง
  • ท้องเสียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 2-4 ครั้งต่อวัน เป็นระยะเวลานานกว่า 5-7 วัน
  • ท้องอืดเรอบ่อยเพราะมีแก๊สมาก
  • อุจจาระเป็นเลือดในเด็กทารก เนื่องจากลำไส้อักเสบ

3. ระบบทางเดินหายใจ

  • คัดจมูก
  • เป็นหวัด หรือน้ำมูกไหล
  • โรคหอบหืด
  • ไอ หรือจาม
  • ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอบวม
  • หลอดลมอักเสบ
  • หายใจถี่
  • หายใจไม่ออก

4. ระบบผิวหนัง

5. ระบบโลหิต

ผู้ที่เสี่ยงต่อการแพ้นมวัวมากที่สุด

อาการเด็กแพ้นมวัวถือได้ว่าเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมาก มักส่งผลกระทบมากที่สุดในทารกที่อายุน้อยกว่า 1 ปี อัตราความเสี่ยงประมาณ 2 – 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งความเสี่ยงในทารกจะลดลงเมื่อเด็กโตขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเด็กที่อายุ 5 ปีขึ้นไปน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์นั่นเอง

โรคแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อไหร่

  • เด็กมีอายุ 1 ปี อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อ คิดเป็นร้อยละ 45-56 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุ 2 ปี คิดเป็นร้อยละ 60-77 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุ 3 ปี คิดเป็นร้อยละ 84-87 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุ 5 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 90-95 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุเกินอายุ 10 ปีคิดเป็นร้อยละ 1% เปอร์เซ็นต์

ควรพาเด็กที่มีอาการแพ้นมวัวไปพบแพทย์เมื่อใด

หากลูกของคุณเริ่มมีอาการต่อไปนี้ คือ ไม่กินนม อ่อนเพลีย นอนเยอะผิดปกติ มีไข้ อาเจียน หรือท้องเสียอย่างรุนแรง น้ำหนักลด และอุจจาระมีเลือดปน ให้รีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันที

การวินิจฉัยอาการแพ้นมวัว

แพทย์จะตรวจดูอาการของทารกก่อน และสอบถามประวัติการแพ้นมวัวของพ่อแม่ หากสงสัยว่าแพ้โปรตีนนมวัว (CMPA) หรือที่เรียกว่าแพ้นมวัว (CMA) แพทย์จะทำการทดสอบภูมิแพ้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้โปรตีนนม การแพ้อาการ หรือแพ้นมวัวหรือไม่ โดยการทดสอบต้องทำการตรวจเลือด การทดสอบอาการแพ้ที่ผิวหนัง การทดสอบการแพ้อาหาร เป็นต้น

การรักษาอาการแพ้นมวัว

หากเด็กทารกได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้นมวัว แพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนนมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม

  • ผู้ปกครองของเด็กควรอ่านฉลากสินค้าก่อนซื้อนมอย่างละเอียดทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการกินนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดในเด็กทารก
  • ควรเปลี่ยนนมสูตรพิเศษสำหรับเด็กที่มีอาการแพ้นมวัวแทน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Pfizer (BNT162b2 mRNA Covid-19)

0
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Pfizer (BNT162b2 mRNA Covid-19)
วัคซีนไฟเซอร์ เป็นการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโคโรนาไวรัส และสร้างภูมิคุ้มกันแบบแอคทีฟเพื่อป้องกัน COVID-19
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Pfizer (BNT162b2 mRNA Covid-19)
วัคซีนไฟเซอร์ เป็นการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโคโรนาไวรัส และสร้างภูมิคุ้มกันแบบแอคทีฟเพื่อป้องกัน COVID-19

วัคซีนไฟเซอร์

วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) มีชื่อทางการว่า BNT162b2 ชื่อบริษัทผู้ผลิต Pfizer, Inc. และ BioNTech คือ วัคซีนประเภท mRNA ที่เป็นการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา ดังนั้นในวัคซีนจึงไม่ได้มีอนุภาคของเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียที่ตายแล้วอยู่ภายในเลย ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโคโรนาไวรัส และสร้างภูมิคุ้มกันแบบแอคทีฟเพื่อป้องกัน COVID-19 ที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 ในบุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไป BNT162b2 คือ โมเลกุลสายเดี่ยวที่เข้ารหัสโปรตีนไวรัส S1S2 ที่ปรับให้เหมาะสมเข้ารหัสแอนติเจนของไกลโคโปรตีนป้องกันไวรัส SARS-CoV-2 ส่งผลให้เกิดโปรตีนกลายพันธุ์ของโพรลีนสองตัวที่ยึดโปรตีนเพื่อขัดขวาง S1S2 กระตุ้นแอนติบอดีที่ทำให้ไวรัสมีค่าเป็นกลาง และองค์การอนามัยโลกได้อนุมัติใน 103 ประเทศ

ส่วนประกอบของวัคซีน

สารออกฤทธิ์ของวัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค คือ BNT162b2 ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมสำหรับโปรตีนขัดขวางการโคโรนาไวรัส ภายในแคปซูลไขมันส่วนผสมทั่วไปที่ใช้ในวัคซีนที่มีอยู่ทั้งในวัคซีน Pfizer และ AstraZeneca ได้แก่

  • ซูโครส (น้ำตาล)
  • สารควบคุมความเป็นกรด เช่น ฮิสติดีน เกลือโซเดียมและโพแทสเซียม

ปริมาณยาที่แนะนำสำหรับวัคซีนไฟเซอร์เพื่อป้องกันโควิด-19

ปริมาณยาที่ปลอดภัยและประสิทธิภาพของยา BNT162b2 ขนาด 30 ไมโครกรัม หรือ 0.3 มิลลิลิตรต่อครั้ง ฉีดเข้ากล้ามเนื้อส่วนบนแขนทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเป็นเวลา 21 วัน แล้วนั่งพักเพื่อสังเกตอาการเฉียบพลัน
ของผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเวลา 30 นาทีหลังการฉีดวัคซีน

วัคซีนโควิดไฟเซอร์ทำงานอย่างไร

เมื่อบุคคลได้รับ BNT162b2 ร่างกายจะกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีตามธรรมชาติ และกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกัน COVID-19

วัคซีนซีนไฟเซอร์ใช้อย่างไร?

รูปแบบยาต้องเจือจางด้วยน้ำเกลือก่อนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อส่วนบนของต้นแขน

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ COVID-19 ที่รุนแรง

  • โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดรุนแรง
  • โรคหัวใจและหลอดเลือดเรื้อรัง
  • โรคไตเรื้อรัง
  • โรคตับเรื้อรัง
  • โรคทางระบบประสาทเรื้อรัง
  • โรคเบาหวาน
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร้อง
  • ความผิดปกติของม้าม
  • โรคอ้วนลงพุง
  • โรคจิตขั้นรุนแรง
  • ผู้ดูแลผู้ป่วย
  • ผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา

กลุ่มบุคคลใดบ้างเหมาะได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ได้บ้าง

  • วัคซีนไฟเซอร์เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่อายุระหว่าง 18 ถึง 64 ปีที่มีความเสี่ยงสูงต่อ COVID-19 ที่รุนแรง
  • ผู้ที่อายุ 18 ถึง 64 ปีที่มีการสัมผัสกับเชื้อโรคโควิด-19 ในสถาบันหรือจากการประกอบอาชีพที่พบปะผู้คนบ่อยครั้ง
  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหอบหืด โรคปอด โรคตับ หรือไต
  • ผู้ติดเชื้อ HIV
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อ COVID-19 ในอดีตเป็นเวลา 6 เดือน นับจากวันที่ติดเชื้อ
  • สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร แนะนำให้ฉีดวัคซีน Pfizer ป้องกันโควิด-19 สำหรับสตรีมีครรภ์และคุณแม่ช่วงให้นมบุตร เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงจากโควิด-19

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนด หรือการแท้งบุตรมากขึ้นหากติดเชื้อโควิด-19 ในระหว่างตั้งครรภ์ วิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องแม่และลูกจากความเสี่ยงเหล่านี้คือรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สองโดส

กลุ่มบุคคลใดบ้างไม่เหมาะได้รับการฉัดวัคซีนไฟเซอร์ได้บ้าง

  • เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
  • ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่กำลังเข้ารับการรักษาตัวอยู่
  • ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง หลังจากได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรก ไม่ควรรับวัคซีนเข็มที่ 2
  • ผู้ที่มีอาการแพ้วัคซีนหลังฉีดทันที เช่น ลมพิษ บวม หรือหายใจลำบาก

วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพแค่ไหน?

วัคซีน Pfizer BioNTech ต้านโควิด-19 มีประสิทธิภาพ 95% ต่อการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ตามอาการ

ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ของ BNT162b2 คืออะไร?

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ BNT162b2 ซึ่งส่งผลกระทบมากกว่า 1 ใน 10 คน คืออาการปวดบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ปวดข้อและมีไข้ อาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้มักมีความรุนแรงน้อยหรือปานกลาง และอาการจะดีขึ้นได้ภายในสองสามวัน
หลังจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์

สถานการณ์โรคโคโรนาไวรัส 2019 หรือ โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกหลายสิบล้านคนทั้งเด็กเล็ก วัยรุุ่น วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่แออัด รวมถึงเจ้าหน้าที่แนวหน้าหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นด้านหน้าที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการติดเชื้อไวรัส Covid-19 วัคซีนไฟเซอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่รุนแรงลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) มีอะไรบ้าง

0
วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) มีอะไรบ้าง
วัคซีนโควิดได้รับการออกแบบมา เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิดลดความรุนแรงลง
วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) มีอะไรบ้าง
วัคซีนโควิดได้รับการออกแบบมา เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิดลดความรุนแรงลง

วัคซีนโควิด

วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) ในปัจจุบันวัคซีนมีหลายประเภทแต่ละประเภทได้รับการออกแบบมา เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิดลดความรุนแรงลง ดังนั้น การพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงได้อย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้าน coronavirus สายพันธุ์ใหม่ล้วนเป็นอุปสรรคสำหรับนักวิทยาศาสตร์ทำให้ผู้คนมากกว่า 3.86 พันล้านคนทั่วโลกได้รับวัคซีนโควิด-19 คิดเป็นสัดส่วน 50.2 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก ผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด19 ทั่วโลกกำลังพยายามพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด19 ที่กำลังระบาดทั้ง 4 สายพันธุ์ ดังนี้

โควิด-19 สายพันธุ์อันตรายที่พบการระบาดในไทย

1. โควิดสารพันธุ์บราซิล ชื่อทางวิทยาศาสตร์ P.1 หรือ แกมม่า มีรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ลดประสิทธิภาพวัคซีน
2. โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ B.1.1.7 หรือ อัลฟ่า สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น 40-70%
3. โควิดสารพันธุ์อินเดีย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ B.1.617.2 หรือ เดลต้า และเดลต้าพลัส (Delta Plus) สามารถแพร่ระบาดได้เร็ว ติดเชื้อง่าย หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้
4. โควิดสายพันธุ์แอฟริการใต้ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ B.1.351 หรือ เบต้า สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็ว แพร่เชื้อไวขึ้นประมาณ 50% ลดประสิทธิภาพแอนติบอดี้

ประเภทวัคซีนโควิด-19 ชนิดต่างๆ

1. วัคซีนชนิดเชื้อที่มีชีวิต (Live-attenuated vaccines) ได้มาจากเชื้อโคโรนาไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคใช้ไวรัสในรูปแบบอ่อนแอภายใต้สภาวะห้องปฏิบัติการ เพื่อกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้มกันที่ดียิ่งขึ้นหรือสร้างแอนติบอดี
2. วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine) เป็นวัคซีนเชื้อตายใช้เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคที่ตายแล้ว
3. วัคซีนชนิดสารพันธุกรรม (Messenger RNA หรือเรียกอีกอย่างว่าวัคซีน mRNA) ใช้เทคโนโลยีผลิตวัคซีนโควิด-19 บางตัวสร้างโปรตีนเพื่อกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้ามกัน
4. วัคซีนทอกซอยด์ (Toxoid vaccines) ใช้สารพิษที่เป็นอันตรายสร้างภูมิคุ้มกันให้กับส่วนต่าง ๆ ของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคแทนตัวเชื้อโรคเอง เป็นการใช้สารพิษที่เกิดจากไวรัสเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับส่วนของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด19
5. วัคซีนหน่วยย่อย รีคอมบิแนนท์ พอลิแซ็กคาไรด์ และคอนจูเกต (Subunit, recombinant, polysaccharide, and conjugate vaccines) เป็นวัคซีนที่ทําจากโปรตีนส่วนอื่นของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรค (Protein subunit vaccine)
6. วัคซีนไวรัสเวกเตอร์ (Viral vector vaccines) เป็นวัคซีนไวรัสที่เป็นพาหะนำโรคเพื่อต่อต้านโรคติดเชื้ออื่นๆ (Recombinant viral vector vaccine) เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ซิกา ไข้หวัดใหญ่ และเอชไอวี

การทำงานของวัคซีนต้านเชื้อโควิด-19

วัคซีนทำงานโดยการฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้รู้จักและต่อสู้กับเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค ไวรัส หรือแบคทีเรีย ในการทำของวัคซีนโควิดจะต้องนำโมเลกุลบางชนิดจากเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ซึ่งโมเลกุลเหล่านี้เรียกว่า “แอนติเจน” มีอยู่ในไวรัสและแบคทีเรียทั้งหมดโดยการฉีดแอนติเจนเข้าสู่ร่างกายระบบภูมิคุ้มกันสามารถเรียนรู้ที่จะจดจำแอนติเจนเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัยว่าเป็นผู้บุกรุกที่เป็นศัตรูร่างกายจะสร้างแอนติบอดี และจดจำรหัสไว้สำหรับอนาคต หากแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสปรากฏขึ้นอีกครั้ง ระบบภูมิคุ้มกันจะรับรู้แอนติเจนทันที และโจมตีอย่างรุนแรงก่อนที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายและทำให้มนุษย์เจ็บป่วยได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โควิดสายพันธุ์เดลต้าพลัส

0
โควิดสายพันธุ์เดลตาพลัส Delta Plus กลายพันธุ์จากสายพันเดลตาซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามของไวรัส
โควิดสายพันธุ์เดลต้าพลัส
โควิดสายพันธุ์เดลตาพลัส Delta Plus กลายพันธุ์จากสายพันเดลตาซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามของไวรัส

โควิดเดลตาพลัส

โควิดสายพันธุ์เดลตาพลัส Delta Plus (B.1.617.21.1 หรือ AY.4.2) คือ โควิดกลายพันธุ์จากสายพันเดลตา (B.1.617.2) เกิดจากการกลายพันธุ์แบบ K417N ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามของไวรัส พบครั้งแรกในแถบยุโรปช่วงเดือนมีนาคม และพบในประเทศอินเดีย ช่วงเดือนเมษายน ในปัจจุบันพบว่าสายพันธุ์เดลตาพลัส มีการระบาดในหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น โปแลนด์ เนปาล รัสเซีย จีน ตุรกี เดนมาร์ค อินเดีย รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยผู้เชี่ยวชาญประเทศอังกฤษระบุว่า Covid สายพันธุ์ ‘เดลต้าพลัส’ แพร่เชื้อได้ง่ายกว่าเดลต้า โควิดสายพันธุ์เดลต้า (Delta) พบครั้งแรกในอินเดีย มีความสามารถในการจับเซลล์ของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น ติดง่ายขึ้น แพร่กระเชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว และยังมีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลตา พลัส (Delta Plus) ที่มีคุณสมบัติหลบภูมิคุ้มกันได้ดี ติดต่อเชื้อได้ง่ายแพร่กระจายเชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) ซึ่งในปัจจุบันพบว่า มีการระบาดมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก

อาการของสายพันธุ์เดลต้า

  • ปวดศีรษะ
  • มีน้ำมูก
  • เจ็บคอ
  • มีไข้
  • ไม่ค่อยพบการสูญเสียการรับรส
  • อาการคล้ายไข้หวัด

วิธีป้องกันตนเอง

  • สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน
  • หมั่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือสบู่บ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่เสี่ยง แออัด ไม่ปลอดโปร่ง
  • เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล Social Distancing
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19
  • หากมีความผิดปกติ หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อ ควรรีบมาพบแพทย์

สายพันธุ์ Covid-19 ที่ต้องระวัง

1 มิ.ย. 2564 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศเปลี่ยนการเรียกชื่อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ โดยมีชื่อเรียกและความรุนแรงของแต่ละสายพันธุ์ดังต่อไปนี้

สายพันธุ์แกมม่า P.1 (สายพันธุ์บราซิล) รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เลี่ยงภูมิคุ้มกัน ลดประสิทธิภาพวัคซีน

สายพันธุ์อัลฟ่า B.1.1.7 (สายพันธุ์อังกฤษ) เลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น 40-70%

สายพันธุ์เดลต้า B.1.617 (สายพันธุ์อินเดีย) ระบาดเร็ว แพร่เชื้อง่าย หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

สายพันธุ์เบต้า B.1.351 (สายพันธุ์แอฟริการใต้) ระบาดรวดเร็ว แพร่เชื้อไวขึ้นราว 50% ลดประสิทธิภาพแอนติบอดี้

7 วัคซีนป้องกันการติดเชื่อที่รุนแรงที่องค์การอนามัยโลกอนุมัติให้ใช้

1. mRNA-1273 หรือ โมเดิร์นนา อนุมัติใน 76 ประเทศ
2. BNT162b2 หรือ ไฟเซอร์/BioNTech ได้รับการอนุมัติใน 103 ประเทศ
3. Ad26.COV2.S หรือ Janssen (Johnson & Johnson) อนุมัติใน 75 ประเทศ
4. AZD1222 หรือ อ็อกซ์ฟอร์ด/แอสตร้าเซเนก้า ได้รับการอนุมัติใน 124 ประเทศ
5. Serum Institute of India Covishield (สูตรออกซ์ฟอร์ด/แอสตร้าเซเนก้า) อนุมัติใน 46 ประเทศ
6. BBIBP-CorV (Vero Cells) หรือ Sinopharm (ปักกิ่ง) ได้รับการอนุมัติใน 68 ประเทศ
7. Sinovac หรือ CoronaVac ได้รับการอนุมัติใน 42 ประเทศ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอชไพโลไร (H. Pylori ) สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร

0
เอชไพโลไร (H. Pylori ) สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ติดต่อจากคนสู่คน เป็นได้ทุกเพศทุกวัย
เอชไพโลไร (H. Pylori ) สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ติดต่อจากคนสู่คน เป็นได้ทุกเพศทุกวัย

เอชไพโลไร (H. Pylori)

เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H. Pylori) คือ เชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ติดต่อจากคนสู่คนซึ่งสามารถติดเชื้อชนิดนี้ได้กับทุกเพศทุกวัย และเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหาร เชื้อเอชไพโลไรมีคุณสมบัติพิเศษสามารถผลิตด่างขึ้นป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกรดทำลาย ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลงจึงทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ แต่บางรายเชื้ออาจทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นรวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารด้วย

สาเหตุของการติดเชื้อ H. Pylori

  • เกิดจากการสัมผัสเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
  • รับประทานอาหารและดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อ
  • รับประทานอาหารแช่งแข็งที่ปรุงไม่สุก หรืออาหารดิบ

อาการของการติดเชื้อ H. Pylori

  • มีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง บริเวณใต้ลิ้นปี่
  • อาการปวดก่อนหรือหลังอาหาร
  • มีอาการปวดแสบ จุกเสียดลิ้นปี่
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • เรอบ่อย
  • อุจจาระมีสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด
  • น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ

วิธีตรวจหาเชื้อ H. Pylori

  • การเป่าลมหายใจ และวัดหาระดับยูเรีย
  • การส่องกล้องทางเดินกระเพาะอาหารส่วนบนเพื่อตัดชิ้นเนื้อ
  • การตรวจอุจจาระ
  • ตรวจเลือด

การป้องกันการติดเชื้อ H. Pylori

  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะจัดเตรียมหรือรับประทานอาหาร
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงไม่สุก
  • ดูแลอุปกรณ์การทำอาหารและภาชนะให้สะอาดอยู่เสมอ
  • หากมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร หรือเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ควรพบแพทย์

โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ H. Pylori

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พยาธิตัวกลม ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้จริงหรือไม่ 

0
พยาธิตัวกลม ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้จริงหรือไม่ 
พยาธิตัวกลม สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้สุนัขหรือแมว ในมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการได้รับไข่พยาธิเข้าทางปาก
พยาธิตัวกลม ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้จริงหรือไม่ 
พยาธิตัวกลม สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้สุนัขหรือแมว ในมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการได้รับไข่พยาธิเข้าทางปาก

พยาธิตัวกลม

พยาธิตัวกลม (Toxocariasis) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้สุนัขหรือแมว ไข่พยาธิสามารถอยู่ได้เป็นเวลานานในสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่นที่มีดิน ทราย สนามหญ้า การติดเชื้อพยาธิในมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการได้รับไข่พยาธิเข้าทางปาก โดยสุนัขหรือแมวได้ถ่ายอุจจาระลงในดินและมนุษย์ก็ได้รับไข่พยาธิตัวกลมจากการสัมผัสดิน ทราย หรือพืชที่ปนเปื้อนนั้นเอง ส่วนใหญ่มักพบในเด็กติดเชื้อจากการเล่นในบริเวณที่อาจมีการปนเปื้อนอุจจาระของสุนัขและแมวที่มีไข่พยาธิ ลักษณะของพยาธิตัวกลมมีรูปร่างยาวกลมมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับชนิด พยาธิตัวกลมที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่มักอาศัยอยู่ในดินหรืออุจจาระที่ติดเชื้อนั้นเอง

การวินิจฉัยและการทดสอบการติดเชื้อพยาธิตัวกลม

แพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยอาการเบื้องต้นว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อพยาธิตัวกลม โดยมีขั้นตอนการตรวจอื่นๆ ในการวินิจฉัยร่วมด้วย ได้แก่

  • การตรวจร่างกายทั่วไป
  • เก็บตัวอย่างอุจจาระและปัสสาวะของผู้ป่วย เพื่อตรวจหาไข่หรือตัวอ่อนพยาธิตัวกลม
  • การตรวจเลือด เพื่อค้นหาการติดเชื้อในเลือด
  • การตรวจชิ้นเนื้อ
  • อัลตราซาวนด์ เพื่อค้นหาพยาธิในต่อมน้ำเหลือง
  • x-ray เพื่อดูขนาดและปริมาณพยาธิในลำไส้
  • ซีทีสแกน เพื่อดูภาพพยาธิในช่องท้องและสำไส้

สาเหตุการเกิดพยาธิตัวกลม

  • ผู้สัมผัสดินหรือสิ่งสกปรกปนเปื้อนไข่หรือตัวอ่อนพยาธิตัวกลม
  • ผู้ที่อาศัยในประเทศเขตร้อน
  • เด็กที่ชอบเล่นดิน
  • ชุมชนที่มีสุขภิบาลไม่ดี
  • สภาพชุมชนแออัด
  • มีภาวะทุพโภชนาการ
  • ชอบกินผักดิบ
  • ชอบกินเนื้อสัตว์แบบสุกๆ ดิบๆ
  • สัมผัสกับมูลสัตว์ด้วยมือเปล่า
  • ผู้ที่ชอบท่องเที่ยวตามธรรมชาติป่า เขา หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่เขตร้อน
  • ผู้ที่ไม่ชอบใส่รองเท้า หรือเดินเท้าเปล่า
  • ผู้ที่ใช้น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่ผ่านการกรองหรือต้มให้สุกก่อน
  • คนในประเทศที่ยังยากจนขาดสุขาภิบาลที่เหมาะสม
  • ชุมชนที่ขาดการกำจัดอุจจาระที่เหมาะสม
  • นำอุจจาระที่ปนเปื้อนไข่หรือตัวอ่อนพยาธิตัวกลมมาทำเป็นปุ๋ยสดสำหรับใช้รดพืชผลทางการเกษตร

อาการผู้ติดเชื้อพยาธิตัวกลม

  • ไอ
  • เป็นไข้
  • กระสับกระส่าย
  • นอนไม่หลับ
  •  อาเจียน
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง
  • หายใจเสียงดัง
  • ร่างกายแคระแกร็น หรือตัวเตี้ยกว่าปกติ
  • ท้องโต หรือ ภาวะทุพโภชนาการ

ระยะชีวิตของพยาธิตัวกลม

  • ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนในลำไส้ของโฮสต์
  • ตัวอ่อนจะเคลื่อนที่ผ่านร่างกาย ผ่านทางกระแสเลือดไปยังปอด
  • ตัวอ่อนจะโตเต็มที่ในปอดก่อนเข้าคอ
  • หากกลืนเข้าไป ตัวอ่อนจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้และเติบโตเป็นตัวเต็มวัย
  • พยาธิตัวกลมตัวเมียจะผลิตไข่ได้ประมาณ 200,000 ฟองต่อวัน
  • ไข่พยาธิจะออกจากร่างกายปนไปกับอุจจาระของคน

การป้องกันพยาธิตัวกลมในลำไส้

  • ควรกรองน้ำ หรือต้มน้ำก่อนดื่มทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำในสถานที่ที่น้ำไม่สะอาด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสดินที่ปนเปื้อนอุจจาระ
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนหลังทำอาหาร หรือหยิบอาหารรับประทาน
  • เมื่อซื้ออาหาร ผัก ผลไม้ ควรล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง
  • กำจัดสิ่งปฎฺิกูลในที่ที่เหมาะสม
  • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักดิบในช่วงหน้าฝน

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของพยาธิตัวกลม

  • การอุดตันในท่อที่เชื่อมต่อกับตับหรือตับอ่อน
  • การอุดตันในลำไส้ทำให้เกิดอาการปวดและอาเจียน
  • การทำให้เกิดการขาดสารอาหารในเด็ก และหยุดการเจริญเติบโตตัวเล็กกว่าปกติหรือแคระแกรน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคแพนิค อันตรายหรือไม่

0
โรคแพนิค อันตรายหรือไม่
แพนิคเป็นอาการตื่นตระหนก รู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ เสียขวัญ หวาดกลัวอย่างกะทันหันเป็นประจำทุกวัน เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อตึงเครียด หรืออันตราย
โรคแพนิค อันตรายหรือไม่
ตื่นตระหนก รู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ เสียขวัญ หดหู่ เบื่อหน่าย หวาดกลัวอย่างกะทันหันเป็นประจำทุกวัน

โรคแพนิค

โรคแพนิค ( Panic Disorder ) คือ โรคตื่นตระหนกทำให้รู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ เสียขวัญ หวาดกลัวอย่างกะทันหันเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียด หรือเป็นอันตราย อาจมีอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงมากไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน

อาการของโรคตื่นตระหนก

  • ปากแห้ง
  • หัวใจเต้นแรง หรือใจสั่น
  • หายใจถี่
  • ตัวสั่น
  • เหงื่อออก หรือหนาวสั่น
  • รู้สึกหน้ามืด
  • คลื่นไส้
  • อาการวิงเวียนศีรษะ
  • รู้สึกเสียวซ่าน หรือมือเท้าชา
  • เจ็บหน้าอก
  • ร้อนวูบวาบ
  • ท้องไส้ปั่นป่วน
  • รู้สึกเหมือนกำลังสำลัก

สาเหตุของโรคแพนิคที่เกิดขึ้นได้บ่อย

แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคตื่นตระหนกจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหลายคนเชื่อว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
ชีวภาพ และจิตวิทยาร่วมกันมีบทบาทดังนี้

  • อายุ : โรคแพนิคอาการตื่นตระหนกมักเกิดขึ้นระหว่างอายุ 18 ถึง 35 ปี
  • เพศ : ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติพบว่า ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคแพนิคมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า
  • พันธุศาสตร์ : หากมีคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดทางสายเลือดที่เป็นโรคแพนิค คุณก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคแพนิคได้เช่นกัน
  • ผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต : มีโอกาสเกิดอาการแพนิคได้มากกว่าคนทั่วไป
  • การใช้สารเสพติด : ผู้เสพเป็นเวลานานๆ ส่งผลกระทบต่อสมอง หวาดกลัว ก้าวร้าว นอนไม่หลับ
  • การได้รับอุบัติเหตุ : การบาดเจ็บรุนแรงหรือเจอเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
  • การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่กะทันหัน เช่น การสูญเสียคนที่เป็นที่รักไป การหย่าร้าง มีลูก ตกงานเป็นต้น

การรักษาโรคแพนิค

โดยทั่วไปการรักษาอาการตื่นตระหนกมักได้รับการรักษาทางจิตเวช โดยจิตแพทย์ นักจิตบำบัด โยคะบำบัด และการใช้ยา

  • จิตบำบัด เป็นการพูดคุยถือเป็นการรักษาทางเลือกแรกที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเสียขวัญ ตื่นตระหนก และเรียนรู้วิธีการรับมือที่จะเกิดขึ้นอีก
  • การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressants) เป็นยาปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุลย์
  • การใช้ยาระงับอาการวิตกกังวล (Anti-anxiety drugs) เป็นยานอนหลับกดการทำงานของสมองช่วยคลายเครียดกังวลใจ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคตื่นตระหนก

นอกจากนั้นผู้ป่วยโรคแพนิคยังเสี่ยงที่จะมีความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคซึมเศร้า หรือ Depression
  • โรควิตกกังวลทั่วไป หรือ Generalized Anxiety Disorder (GAD)
  • โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ Obsessive-Compulsive Disorder (OCD)
  • โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง หรือ Post-traumatic stress disorder (PTSD)
  • โรคกลัวการเข้าสังคม หรือ Social anxiety disorder (SAD)

อย่างไรก็ตามผู้ที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคแพนิค ต้องฝึกการตั้งสติ ลดความเครียด โดยการทำกิจกรรมที่คุณรู้สึกทำแล้วสบายใจ สงบ หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงที่อาจทำให้โรคแพนิคกำเริบขึ้นได้นั้นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เจาะลึกข้อมูล“ฝากไข่” สิ่งดีๆสำหรับคุณผู้หญิงมีบุตรยาก

0

ทำความรู้จัก การฝากไข่คืออะไร มีขั้นตอน วิธีการทำอย่างไรบ้าง 

ภาวะมีบุตรยาก เป็นภาวะที่เปรียบเสมือนฝันร้ายของเหล่าคุณผู้หญิงที่ใฝ่ฝันอยากมีบุตร เพราะด้วยความที่ตนเองได้ประสบภาวะนี้จะทำให้รังไข่มีประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก

ส่งผลให้ไม่สามารถมีบุตรได้แม้ว่าจะไม่ได้คุมกำเนิดก็ตาม แต่ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีมากมาย เพื่อช่วยเหลือเหล่าคุณผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก หรือ ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร หนึ่งใน เทคโนโลยีนั้น มีชื่อว่า การฝากไข่ ด้วยเทคโนโลยีนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า จะจุดประกายความฝันที่มืดมิดของเหล่าคุณผู้หญิงที่บุตรยาก ให้กลับมาสว่างอีกครั้ง 

ในบทความนี้ผู้เขียนจะพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับ เทคโนโลยีการฝากไข่ ที่ทำให้คุณผู้หญิงทุกท่านสามารถวางแผนชีวิตการมีบุตรกับคู่รักของคุณได้ อีกครั้ง

การฝากไข่ คืออะไร ? มาทำความรู้จักกัน

ฝากไข่ คือ การนำไข่ที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ของคุณผู้หญิงออกมาจากรังไข่ เพื่อนำไปเก็บโดยการแช่แข็ง (Egg freezing หรือ Oocyte cryopreservation) ในห้องปฏิบัติการที่ดูแลโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์เฉพาะทาง ไข่ที่ถูกเก็บจะถูกแช่ด้วยไนโตรเจนเหลว -195 องศาสเซลเซียส ซึ่งขั้นตอนนี้จะถูกเรียกว่า Vitrification ซึ่งการแช่ด้วยไนโตรเจนเหลว จะทำให้ไข่ที่อยู่ในสภาพดีทั้งหมดนั้นยังคงสภาพและคุณภาพที่ดี แม้จะถูกเก็บไว้นาน 

ใครที่เหมาะที่จะฝากไข่  ?

การฝากไข่นั้น ไม่ได้จำกัดแค่ผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก แต่ผู้หญิงที่ต้องการวางแผนชีวิตในอนาคตทุกท่านก็สามารถฝากไข่ไว้ได้เช่นกัน แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่สมควรอย่างยื่งที่จะต้องเข้ารับการฝากไข่ หากต้องการที่จะมีบุตร คือกลุ่มดังต่อไปนี้ 

  • ผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมตั้งครรถ์ ผู้หญิงในกลุ่มนี้คือกลุ่มที่อาจจะยังมีงาน ยังอยากเที่ยวอยู่ อยากใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นให้คุ้มค่า การฝากไข่จึงช่วยให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ สามารถมาวางแผนการมีบุตรในภายหลังได้
  • ผู้หญิงที่มีปัญหาสุขภาพตรงระบบสืบพันธุ์ ผู้หญิงในกลุ่มนี้ คือกลุ่มผู้หญิงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฝากไข่ เพราะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสที่จะเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ 

( Endometriosis) หรือ มีโอกาสเป็น ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate cyst) เนื่องด้วยโรคพวกนี้เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติตรงรังไข่

  • ผู้หญิงที่มีปัญหาพันธุกรรมเกี่ยวกับรังไข่ ผู้หญิงกลุ่มนี้คือกลุ่มอาการเทอร์เนอร์ ซินโดรม ( Turner Syndrome) และกลุ่มอาการโครโมโซมXเปราะบาง (Fragile X syndrome) ซึ่งอาการเหล่านี้คือต้นตอของปัญหารังไข่ของคุณผู้หญิงเสื่อมเร็ว
  • ผู้หญิงที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดบริเวณรังไข่ ผู้หญิงกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องเข้ารับการรักษาโรคที่เกิดบริเวณรังไช่ เพื่อให้เซลล์ไข่ของท่านปลอดภัยการฝากไข่จึงเป็นวิธีที่สมควร เพื่อให้คุณผู้หญิงสามารถมีลูกได้หลังเข้ารับการรักษาและหายดีเรียบร้อย
  • ผู้หญิงที่ครอบครัวมีประวัติประจำเดือนหมดก่อนเวลาอันควร โดยทั่วไปผู้หญิงจะเริ่มประจำเดือนหมดตอนอายุ  50 ปี  แต่ถ้าประจำเดือนหมดก่อนช่วงอายุดังกล่าวนั้นหมายความว่า คุณผู้หญิงประจำเดือนหมดก่อนวัย ซึ่งนั่นหมายความว่า ช่วงอายุที่สามารถตั้งครรถ์ได้ก็จะลดลงไปด้วย เพื่อให้ คุณผู้หญิงที่มีประวัติดังกล่าวได้มีโอกาสมีบุตร แพทย์จึงแนะนำการฝากไข่
  • ผู้หญิงที่กำลังรักษาโรคมะเร็ง การรักษาโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ เคมีบำบัด (Chemotherapy) และการฉายแสง (Radiotheraphy) ซึ่งการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้ส่งผลให้รังไข่ผลิตไข่ได้น้อยลงและคุณภาพต่ำลง ถือว่าส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงโดยตรง
  • ผู้หญิงที่ใช้วิธีเด็กหลอดแก้ว (IVF) แล้วไม่ได้ผล สำหรับคุณผู้หญิงที่ทำเด็กหลอดแก้วแล้วไม่สำเร็จ ไม่ต้องกังวลไป แพทย์จะแนะนำให้คุณทำการฝากไข่

การเตรียมตัวก่อนการฝากไข่

ก่อนเริ่มฝากไข่ เราจะต้องพบแพทย์ และคุยรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการฝากไข่ เพื่อให้เราเข้าใจว่า เรากำลังทำอะไร และแพทย์จะแนะนำด้วยว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อการฝากไข่ ซึ่งมีทั้งหมดดังนี้

  1. กระตุ้นรังไข่ด้วยปริมาณยาตามที่แพทย์สั่ง
  2. ทานอาหารประเภทโปรตีนเพื่อช่วยบำรุงไข่
  3. ทานวิตามินตามที่แพทย์แนะนำ
  4. งดการทำกิจกรรมหนักๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ได้รับบการกระทบกระเทือน
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ
  6. งดภาวะความเครียด

ขั้นตอนการฝากไข่ มีกี่วิธี เจาะลึกให้รู้ก่อนไปทำ !

หลายท่านคงจะสงสัยว่า วิธีฝากไข่นั้นเริ่มจากอะไร ต้องเตรียมตัวอย่างไร ในหัวข้อนี้เราจะมาบอกทุกท่านเองครับ 

การที่คุณผู้หญิงจะเข้ารับการฝากไข่นั้น จะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อรับการปรึกษาก่อน แพทย์จะแนะนำการฝากไข่ และการเตรียมร่างกายก่อนวันนัดมาเก็บไข่ครับ โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่จะได้รับคำแนะนำให้ทานอาหารจำพวกโปรตีน และหากประจำเดือนมาให้รีบโทรเข้ามา เพื่อทำการอัลตราซาวน์

ขั้นตอนที่ 1 หลังจากพบแพทย์แล้ว แพทย์จะนัดมาอีกทีเพื่อตรวจอัลตราซาวน์ดูรังไข่ และ ตรวจระดับฮอร์โมนโดยการเจาะเลือด 

ขั้นตอนที่ 2 หลังจากตรวจอัลตราซาวน์เรียบร้อย พยาบาลจะสอนให้เราฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะทำให้ร่างกายเราผลิตไข่ได้มากกว่าปกติ ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะฮอร์โมนนี้ผลิตออกมาเลียนแบบฮอร์โมนธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายแน่นอน ซึ่งเราต้องฉีดเองวันละครั้งตรงสะดือ ซึ่งฮอร์โมนนี้มีชื่อว่า Gonal-f® (follitropin alfa for injection) เป็นตัวยา Follicle Stimulating Hormone (FSH) เป็นตัวที่ใช้ฉีดยาเพื่อกระตุ้นไข่

ขั้นตอนที่ 3 เมื่อฉีดฮอร์โมนได้ประมาณ 4 วัน แพทย์จะนัดมาทำการอัลตราซาวน์อีกครั้ง เพื่อวัดดูขนาดของไข่ พร้อมกับเจาะเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน ถ้าการตรวจฮอร์โมนออกมามี ฮอร์โมน  LH (Luteinizing Hormone) สูงหรือต่ำเกินไป จะทำให้มีปัญหาเรื่องการโตของไข่ แพทย์จะให้ฮอร์โมนอีกตัวเพื่อปรับระดับ LH ให้เหมาะสม และจะนัดเพื่อมาเก็บไข่อีกที

ขั้นตอนที่ 5 เมื่อถึงเวลาที่ไข่พร้อมเก็บแล้ว คุณหมอจะนัดมาฉีดฮอร์โมน ชื่อ hCG (Human Chorionic Gonadotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ไข่สุกพร้อมเก็บ

ขั้นตอนที่ 6 แพทย์จะนัดมาเก็บไข่ โดยแพทย์จะให้ยาสลบทางสายน้ำเกลือ และจะเริ่มสอดอุปกรณ์ทีมีลักษณะหัวเข็มเข้าไปในรังไข่ แล้วใช้อุปกรณ์นั้นดูดไข่เราออกมา และไข่ที่ถูกดูดออกมาจะถูกนำไปเก็บโดยการแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ -195  องศาเซลเซียส

ขั้นตอนที่ 7 เมื่อพักฟื้นแล้ว พทแพทย์อีกครั้ง แพทย์จะบอกเราว่าเก็บไข่มาได้กี่ฟอง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการฝากไข่ครับ

อาการผลข้างเคียงที่อาจเกิดหลังฝากไข่

การฝากไข่นับเป็นวิธีที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยมาก เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงอย่าได้กังวลไปครับ แต่ผลข้างเคียงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จะมี อาการคลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย อาจมีอาการปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย หรือแน่นท้องได้ เป็นต้นครับ แต่ทั้งนี้ ถ้ามีอาการผิดปกติ หรือ มีอาการผลข้างเคียงที่รุนแรง ควรรีบติดต่อแพทย์ทันทีครับ เพื่อความปลอดภัยครับ

ฝากไข่ อายุเท่าไรดี? เตรียมพร้อมก่อนถึงเวลา

จริงๆแล้วไม่มีกำหนด แต่สิ่งที่กำหนดคือคุณภาพของรังไข่ เรา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ช่วงอายุ 20-30 ปี จะเป็นช่วงที่เรียกว่า อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ไข่มีความสมบูรณ์มาก และมีอัตรารอดที่สูงมากอีกด้วย ในทางกลับกัน ถ้า ผู้ฝากไข่ อายุมากกว่า 35 ปี โอกาสสำเร็จก็น้อยลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สำเร็จนะครับ
ทั้งนี้ ทั้งนั้น การฝากไข่เพื่อตั้งครรถ์ในอนาคตไม่ใช่วิธีที่ได้ผลอย่างนอนมีโอกาส ล้มเหลว ขึ้นอยู่กับปัจจัย ความแข็งแรงของร่างกายผู้หญิง ความแข็งแร็งของอสุจิที่ผู้ชายได้ฝากเชื้ออสุจิไว้  และอายุเป็นต้น

ฝากไข่ราคาเท่าไร ถ้าจะฝากไข่ต้องเสียเงินเท่าไร

เราไม่สามารถบอกราคาได้ตรงๆ ว่าราคาการฝากไข่นั้นราคาเท่าไร เพราะราคาค่าบริการต่างๆ ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลที่เราขอรับบริการการฝากไข่  แต่เราสามารถกำหนดราคาคร่าวๆได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ จะแบ่งเป็นสองช่วง โดยช่วงแรกคือ ค่าบริการทางการแพทย์และค่าบริการระหว่างขั้นตอนการฝากไข่ จะอยู่ที่ราคาประมาณ 100,000-150,000 บาท และค่าบริการในการเก็บรักษาไข่ จะเสียเป็นรายปีปีละประมาณ 1,500 – 5,000 บาทต่อปี โดยความผันผวนของราคานี้ ขึ้นอยู่กับราคาที่ทางโรงพยาบาลตั้งขึ้น และ จำนวนไข่ที่เราได้ฝาก

ฝากไข่ ที่ไหนดี ?  เราควรตัดสินใจอย่างไรในการดูรีวิว เลือกสถานที่ขอรับบริการการฝากไข่

ปัจจุบัน มีสถานพยาบาล หรือ โรงพยาบาลมากมายที่มีบริการรับฝากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ฝากไข่ รพ จุฬา ฝากไข่ รามา ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก BeyondIVF นอกจากนี้ยังมีสถานที่ให้บริการดีๆ อีกมากมาย ได้ยินแบบนี้แล้วคุณผู้หญิงคงสงสัยว่า ถ้ามีที่ดีๆมากมายแล้ว ดิชั้นควรจะใช้ปัจจัยใดบ้างในการเลือก สถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่เหมาะสมในการฝากไข่

  1. ความใกล้-ไกล ระหว่างที่พักของเราและโรงพยาบาล ปัจจัยนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐาน เพราะ ทำให้เราสะดวกในการเดินทางเวลามีปัญหาฉุกเฉิน หรือ เดินทางกลับหลังจากเก็บไข่เสร็จเรียบร้อย
  2. หาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ ว่าเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านนี้หรือไม่ ปัจจัยนี้คือสิ่งสำคัญเพราะแพทย์จะทำหน้าที่ตั้งแต่เราก้าวเท้าเข้าไปเพื่อขอรับบริการฝากไข่ ไปจนถึง หลังเสร็จการฝากไข่แล้ว เพราะฉะนั้น แพทย์จึงควรเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านการเจริญพันธุ์ เพราะจะทำให้เราอุ่นใจได้
  3. โรงพยาบาลควรมีศูนย์สำหรับผู้มีบุตรยาก หรือ ศูนย์เจริญพันธุ์โดยเฉพาะ เพราะ ทำให้เราวางใจได้ว่า เมื่อเราเข้ารับบริการจากที่นั่นแล้ว เครื่องมือของเขาจะพร้อมเสมอ และทำให้การฝากไข่สำเร็จลุล่วง
  4. ค่าใช้จ่าย สำหรับคนที่ต้องการจะประหยัด การเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลรัฐอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า และไม่ต้องกังวลครับ ปัจจุบัน โรงพยาบาลรัฐมีทั้งความปลอดภัยและเครื่องมือที่ทันสมัยแล้วเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น การฝากไข่ รพ จุฬา ฝากไข่ รามา แม้กระทั่งที่ โรงพยาบาลศิริราชครับ
  5. สุขอนามัย ในโรงพยาบาลนั้นๆ อันนี้คือสิ่งสำคัญเพราะ ถ้ามีสุขอนามัยในโรงพยาบาลน้อย เรามีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อครับ

มุมรวมคำถามข้อสงสัย เกี่ยวกับการฝากไข่เพิ่มเติม

อัตราการตั้งครรถ์ของไข่ที่ฝากไว้ ดีกว่าปกติอย่างไร ? 

ถ้าอายุ 20-30 ปี ซึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ โอกาสสำเร็จหรืออัตรารอดของไข่ อาจจะสูงถึง 80%-90% เลยทีเดียว นอกจากนี้ วัยนี้ยังเป็นวัยที่ผลิตไข่ได้มากที่สุดจึงเพิ่มโอกาสไปอีก เนื่องด้วยเหตุผลนี้ ถ้าเราฝากไข่ไว้ในช่วง อายุประมาณนี้ตามที่กล่าว แล้วนำไปใช้ในอนาคตเมื่อพร้อมมีบุตร โอกาสสำเร็จจึงมีมากขึ้น กว่าวิธีการทางธรรมชาติ

ในการฝากไข่ สามารถฝากไข่เก็บไว้ได้กี่ปี

สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ทางผู้เขียนบอกได้เลยว่า คุณผู้หญิงสามารถเก็บไข่ได้นานตามที่ต้องการ ขอเพียงมีสารเพิ่มความเย็น (ซึ่งก็คือ ไนโตรเจนเหลว) เพียงพอ ก็สามารถเก็บไว้ได้จนกว่าคุณผู้หญิงจะพร้อม แต่ผู้เขียนแนะนำว่าควร นำไข่ที่แช่มาใช้ก่อนอายุ 50 ปี เพราะ ถ้าอายุมากกว่านี้ จะมีโอกาสทำให้ประสบปัญหาโรคแทรกซ้อนซึ่งเป็นอุปสรรคในการตั้งครรถ์ได้

ฝากไข่เจ็บไหม

ไม่ต้องกังวลเลยครับ จากที่ผู้เขียนศึกษามา เจ็บสุด ก็คือตอนปักเข็มให้น้ำเกลือครับ หลายคนอาจจะคิดว่าตอนฉีดยาฮอร์โมนเจ็บ แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นครับ และตอนดูดไข่มาเก็บเราจะอยู่ในฤทธิ์ยาสลบทำให้ไม่รู้สึกตัวครับ สิ่งที่ควรระวังคือผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างที่กล่าวไปข้างบนครับ เพราะ อาการปวดหน่วงตรงช่องท้อง จะมีลักษณะคล้ายการปวดประจำเดือนครับ ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาให้เราทานเพื่อบรรเทาอยู่แล้วครับ

อายุ 40 ปี ไม่สายแน่นอนที่จะฝากไข่

สำหรับหัวข้อนี้ เอาใจคุณผู้หญิง อายุ 40 ที่มีความสงสัยว่า อายุ 40 แล้วยังฝากไข่ได้ไหม คำตอบคือ ฝากได้ครับ ไม่มีปัญหา แต่อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น เพราะ อาจจะต้องมีการฉีดยากระตุ้นรังไข่ หลายรอบ และทำการเก็บไข่หลายรอบมากกว่า วัยเจริญพันธุ์ เพื่อหาไข่ที่แข็งแรง เพราะวัย 40 เป็นวัยที่เลยวัยเจริญพันธุ์แล้ว ทำให้ร่างกาย ผลิตไข่ได้น้อยลงและคุณภาพอาจจะลดลงครับ ทั้งนี้ ขั้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคุณผู้หญิงด้วยครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ คำตอบเกี่ยวกับการฝากไข่ ได้ครบครันเลยใช่ไหมครับ สุดท้ายนี้ผู้เขียนอยากจะบอกคุณผู้หญิงทุกท่านว่า ไม่มีคำว่าแพงเกินไป หรือ ถูกเกินไปครับ

สำหรับการฝากไข่ เพราะเรากำลังพูดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดชีวิตน้อยๆ 1 ชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้ และ ไม่มีคำว่าสายเกินไปครับ เพราะ ตอนนี้ คุณผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมมีบุตร สามารถฝากไข่เพื่อเตรียมตัวสำหรับการมีบุตรในวัยที่พร้อมแล้วได้ครับ ตอนนี้โลกเราได้สร้างโอกาสให้ใครหลายคนมากขึ้น ทางผู้เขียนหวังว่าคุณผู้หญิงทุกท่านจะใช้โอกาสที่มีอย่างคุ้มค่า และ มีบุตรได้ดั่งตามที่คุณผู้หญิงฝันครับ 

หรือสามารถดู รีวิวฝากไข่ เพิ่มเติมได้จากช่องทางนี้ครับ รีวิวฝากไข่ แชร์ประสบการณ์จริง แนะนำ ละเอียดครบทุกขั้นตอน Beyond IVF

ธุรกิจเดลิเวอรี่ตอบโจทย์ทุกความสะดวก รวดเร็วดีจริงหรือไม่

0
ธุรกิจเดลิเวอรี่ตอบโจทย์ทุกความสะดวก รวดเร็วดีจริงหรือไม่
เดลิเวอรี่เป็นบริการจัดส่งถึงที่ เมื่อสั่งสินค้าแล้วบริการจัดส่งให้ในทันที ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้
ธุรกิจเดลิเวอรี่ตอบโจทย์ทุกความสะดวก รวดเร็วดีจริงหรือไม่
เดลิเวอรี่เป็นบริการจัดส่งถึงที่ เมื่อสั่งสินค้าแล้วบริการจัดส่งให้ในทันที ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้

เดลิเวอรี่

เดลิเวอรี่ (Delivery) คือ บริการจัดส่งถึงที่ เมื่อสั่งสินค้า/บริการจัดส่งให้ในทันที เช่น จัดส่งดอกไม้ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าต่างๆอีกมากมาย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปแต่ละร้านด้วยต้นเอง หรือบางร้านอาจมีบริการเก็บเงินปลายทางให้อีกด้วย และยังเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้ให้หลายคน ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเดลิเวอรี่อยู่หลายราย

เหตุผลสำคัญที่คนนิยมสั่งอาหารเดลิเวอรี่

การสั่งเดลิเวอรี่ กลายเป็นเรื่องปกติของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเมนูอร่อยแบบร้อนหรือเย็นก็ออเดอร์ผ่านทางเดลิเวอรี่ได้มากขึ้น จนทำให้หลายร้านต้องปรับตัวมารับเดลิเวอรี่มากขึ้น และยิ่งในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ช่องทางการขายและซื้อทางออนไลน์มากขึ้น บางคนไม่เคยใช้บริการเดลิเวอรี่ เมื่อทดลองใช้ก็เกิดอาการติดใจในความในเรื่อง

  • เข้าถึงของอร่อยได้ง่าย ส่งตรงถึงหน้าบ้าน
  • กินได้หลากหลาย ครบทุกความอร่อยในมื้อเดียว
  • งานรัดตัว ไม่มีเวลา
  • ขี้เกียจออกจากบ้าน
  • เบื่อรถติด หาที่จอดรถไม่ได้
  • ไม่อยากจะเดินทางไปที่ร้านเอง
  • สั่งง่ายแค่คลิ๊ก
  • มีช่องทางการชำระเงินให้เลือกมากกว่า 1 ช่องทาง
  • มีอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่มให้เลือกหลากหลาย
  • รับคูปองส่วนลดเมื่อสั่งอาหารครบ 200 บาทขึ้นไป
  • โปรโมชั่นเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า
  • ส่งเร็วทันใจ หากอยู่ในระยะทางที่ไม่เกิน 1 กิโลเมตร
  • เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคลดการสัมผัส
  • ไม่ต้องเสียเวลาไปรอคิวนานๆ
  • สามารถสั่งอาหารพร้อม ๆ กันหลายร้านได้ในมื้อเดียว

พฤติกรรม ทัศนคติของกลุ่มผู้บริโภค

BABY BOOMER (1946–1964)
– ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านมากขึ้น
– หันมาช๊อปออนไลน์มากขึ้น เพราะสะดวกสบาย
– อยู่บ้านมากขึ้น ลดทานอาหารนอกบ้านหรือท่องเที่ยวน้อยลง
– ใช้โซเชียลมีเดียลดความโดดเดี่ยวมากขึ้น แชร์ข้อมูลสุขภาพ และแฟชั่นให้กับเพื่อน ๆ
GEN X (1965–1980)
– เป็นวัยที่ชอบสิทธิพิเศษ ของสมนาคุณ หรือสะสมแต้มสมาชิก
– ใส่ใจเรื่องสุขภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
GEN Y / MILLENIALS (1980–1994)
– สนใจธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัย ตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์ตามความชื่นชอบ
– ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลชีวิต เช่น เสียง ASMR คอร์สฟิตเนสออนไลน์ หรืออาหารคลีน
– ชอบใช้โซเชียลมีเดีย แชร์กิจกรรมวันหยุด โชว์ไลฟ์สไตล์หรูหรา
– มีความเชื่อมั่นในความจริงใจของธุรกิจ และความซื่อสัตย์ต่อกลุ่มลูกค้า
GEN Z (1994–2010)
– เสพสื่อและไขข้อเท็จจริง พร้อมแสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์มากขึ้น
– ภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ ไม่ยึดถือเรื่องความสวย มีคาร์แรกเตอร์ชัดเจน
– มีอิทธิพลกับการเงิน เพราะสามารถทำเงินได้จากการสตรีมมิ่งและธุรกิจออนไลน์
– เป็นส่วนสำคัญในเทรนด์โซเชียลมีเดีย เพราะการเรียนรู้และเปิดรับได้ง่ายจึงสามารถกระจายคอนเทนต์ได้รวดเร็ว
ALPHA (2010–2024)
– เป็นวัยที่พึ่งพาแอปลพิเคชั่นและเทคโนโลยีมากสุดในยุคโควิด-19
– บริการฟู้ดเดลิเวอรี่มีร้านค้าให้เลือกอาหารและของว่างให้เด็กหลากหลาย
– ต้องการแบรนด์สินค้า อาหาร และเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถรีวิวได้ไม่เกินจริง

พฤติกรรมของผู้บริโภคของคนกรุงเทพในแต่ละกลุ่ม

คนกรุงเทพมีการใช้บริการจัดส่งอาหารมากสุด 5 ครั้งต่อเดือนต่อคนโดยแบ่งเป็น

  • กลุ่มนักเรียนนักศึกษา (18 – 20 ปี) มีการใช้บริการสั่งอาหาร 4.8 ครั้งต่อเดือน
  • วัยเริ่มต้นวัยทำงาน (21 – 30 ปี) มีการใช้บริการสั่งอาหาร 5.2 ครั้งต่อเดือน
  • คนทำงานทั่วไป (อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป) มีการใช้บริการสั่งอาหารอยู่ที่ 4.8 ครั้งต่อเดือน

เปรียบเทียบความนิยมระหว่าง อาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่ม

1. อาหาร เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ยำ ทอด ส้มตำ พิซซ่า 71.5%
2. เครื่องดื่ม เช่น น้ำชง ชาไข่มุก น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้ 19.43%
3. ขนมหวาน เช่น ขนมไทย เบเกอรี่ 9.07%

เมนูที่คนไทยนิยมสั่งออนไลน์ผ่านแอป Food Delivery

1. เครื่องดื่ม หรือชานมไข่มุก
2. เมนูทอดและย่าง
3. อาหารฟาสฟู้ด
4. ก๋วยเตี๋ยว/อาหารประเภทเส้น
5. ขนมปัง / เบเกอรี่

ตารางเปรียบเทียบ 6 แอพ Food Delivery

Food Delivery ค่าบริการ (โดยประมาณ) ระยะเวลาการจัดส่ง พื้นที่ให้บริการ
Grab เริ่มต้นที่ 8 บาท 20-40 นาที ทั่วประเทศ
Foodpanda เริ่มต้นที่ 9 บาท 30-50 นาที ทั่วประเทศ
Gojek 5 กม. แรกเริ่อมต้น 10 บาท กทม. และปริมณฑล
LINE MAN เริ่มต้นที่ 10 บาท 40-50 นาที กทม. ปริมณฑล และทุกภูมิภาค
Robinhood 4 กม. แรกเริ่อมต้น 9 บาท กทม. และปริมณฑล
Lalamove เริ่มต้นที่ 55 บาท 45-60 นาที กทม. และปริมณฑล

สินค้าออนไลน์ที่น่าขายที่สุด?

1. อาหารกล่อง เป็นแบบเมนูเดียวจบ มีทั้งอาหารไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือเกาหลี
2. อาหารซีฟู๊ด เป็นเมนูท๊อปบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเมนูปูดอง กุ้งเแช่น้ำปลา หรือทะเลเผา
3. น้ำพริก เป็นอาหารแห้งที่ลูกค้าชอบซื้อไปเก็บไว้ทาน เช่น น้ำพริกแห้ง น้ำพริกผัด
4. อาหารประเภททอด เป็นเมนูทอดที่ไม่ธรรมดา เช่น ต้องมีสูตรเด็ด หรือ มีไอเดียที่แปลกและน่ากินมากกว่าร้านทั่วไป
5. อาหารคลีน เป็นอาหารของเทรนด์หนุ่มสาวรักสุขภาพที่กำลังมาแรง
6. ผลไม้สด เป็นอีกประเภทที่ลูกค้าสนใจสั่งมากอยู่ไม่น้อย และผลไม้ต้องมีคุณภาพ แพ็คเกจสวย
7. อาหารสดแช่แข็ง เป็นสินค้าที่ขนส่งง่าย เป็นที่ต้องการของลูกค้าทั่วไป เช่น ปลาสด กุ้งสด หมึกสด
8. เบเกอรี่ เป็นอีกสินค้าที่ขายดี เช่น เค้ก ขนมปัง คุกกี้ หรือขนมไทย ซึ่งการจัดส่งง่าย มีช่องทางการจัดส่งหลากหลาย

เดลิเวอรี่ ทำให้หลายคนมีงานทำ ทำให้ได้กินของอร่อยโดยไม่ต้องเดินทาง ทำให้ร้านค้าเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น เมื่อมีประโยชน์ ก็เกิดการใช้ จะใช้เพื่อความสะดวก ความคุ้มค่า ช่วยบริหารเวลา หรือช่วยอุดหนุนร้านค้า ซึ่งทำให้บริการเดลิเวอรี่ครองใจคนในยุคปัจจุบันมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม