ประโยชน์ของ ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านที่มากคุณค่า

0
ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านที่มากไปด้วยประโยชน์
ขมิ้น เป็นพืชสมุนไพรที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อของเหง้ามีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีแสด
ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านที่มากไปด้วยประโยชน์
ขมิ้น เป็นพืชสมุนไพรที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อของเหง้ามีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีแสด

ขมิ้น หรือขมิ้นชัน

ขมิ้น ( turmeric ) เป็น พืชสมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในแถบเอเชีย ใช้ทั้งปรุงรสอาหารและเป็นวัตถุดิบในตำรับยาหลายขนาน ด้วยกลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความเผ็ดร้อนที่กำลังดี ไม่แสบเหมือนพริก ผสมกับความขมอีกเล็กน้อยตามแบบของพืชจำพวกเหง้า พร้อมให้สีสันเหลืองนวลเด่นชัด ขมิ้น จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการทำเครื่องแกง นอกจากนี้ก็มีการนำไปสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เครื่องประทินโฉม และยารักษาโรค 

สมุนไพรพื้นบ้าน ขมิ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า ขมิ้นชัน มีลำต้นสูงราวๆ 50-60 เซนติเมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดินแล้วแตกใบโผล่เหนือดินขึ้นมา ลักษณะใบเป็นใบกว้างรูปร่างคล้ายหอกปลายแหลมสีเขียวเข้ม บริเวณก้านเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ดอกมีลักษณะเป็นช่อใหญ่ปลายสีชมพูอ่อน สามารถเพาะปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน และเก็บเกี่ยวเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ตลอดทั้งปี

องค์ประกอบสำคัญในขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้าน

สมุนไพรพื้นบ้านที่สารออกฤทธิ์สำคัญสีเหลืองที่ทำให้ ขมิ้น มีเอกลักษณ์ชัดเจนก็คือ เคอร์คูมิน ( curcumin ) เป็นสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ ( curcuminoid ) ที่พบมากในพืชวงศ์ขิง อย่างเช่น ขิง ขมิ้น ว่านนางคำ เป็นต้น อันที่จริงในขมิ้นชันจะมีอยู่ 3 ตัวหลักได้แก่ เคอร์คูมิน ( curcumin ) ดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน ( demethoxycurcumin ) และบิสดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน ( bisdemethoxycurcumin ) ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่ดีทั้งหมด แต่ตัวที่โดดเด่นมากกว่าเพื่อนก็คือ เคอร์คูมิน ( curcumin ) ซึ่งเป็นสารประเภทโพลีฟีนอล ( polyphenolic phytochemical ) มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการของกรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ดี ช่วยเรื่องอาหารไม่ย่อย ต้านการเกิดมะเร็ง แก้ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และต้านปรสิตบางกลุ่มได้ นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนช่วยในการคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งจากอาการปวดต่างๆ ได้ด้วย

สมุนไพรพื้นบ้านคุณค่าทางโภชนาการของขมิ้น

ขมิ้นชันยังมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินอี เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก  เส้นใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

ขมิ้นกับการรักษาโรค

โรคผิวหนัง : อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเคอร์คูมิน ( curcumin ) มีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังด้วย โดยออกฤทธิ์ดีเยี่ยมกับผู้ป่วยที่เกิดอาการคันตามผิวหนัง กระบวนการคือช่วยยับยั้งการอักเสบทั้งภายในร่างกายและบริเวณผิวหนังภายนอก ในผู้ป่วยที่มีอาการไตวายเรื้อรัง เมื่อทดสอบด้วยการทาน ขมิ้น พบว่ามีอาการคันลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงผู้ป่วยที่ผิวหนังคันเพราะสัมผัสสารพิษบางประเภทมาก่อนหน้านี้ ก็ช่วยให้ความระคายเคืองที่ผิวลดลงได้ แต่ยังไม่มีการยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ขมิ้นชันเพื่อรักษาโรคผิวหนังในระยะยาว

โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s Disease ) : อัลไซเมอร์คือภาวะผิดปกติที่เกี่ยวกับสมอง เป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงไปถึงการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มักเป็นผู้สูงอายุและคนวัยทำงาน อาการเด่นชัดคือหลงลืม อารมณ์แปรปรวนและสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป มีหลายงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ขมิ้น อาจมีประโยชน์ต่อการรักษาอัลไซเมอร์ โดยเจาะจงไปยังกลุ่มที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมและความจำเสื่อม ส่วนในกลุ่มอาการแบบอื่นยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนนัก ยังต้องมีการศึกษาเพื่อขยายผลกันต่อไปอีก

อาการจุกเสียดแน่นท้อง : เมื่อไรที่มีอาการแน่นท้อง มีลมในท้องมากจนอึดอัด หรือจุกเสียดโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ขมิ้นชัน จะเป็นสมุนไพรตัวแรกๆ ที่นึกถึง บ้างก็เอามาทานสดๆ บ้างก็เลือกทานแบบที่เป็นยาแคปซูล หากไม่ได้เป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงก็พบว่าขมิ้นชันช่วยได้ทุกครั้งไป สมุนไพรพื้นบ้านขมิ้นมีสารเคอร์คูมิน ( curcumin ) มีคุณสมบัติในการยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและบรรเทาอาการจุกเสียดในระบบทางเดินอาหารได้

โรคตาอักเสบ : ในเมื่อลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของขมิ้นก็คือต้านการอักเสบ ดังนั้นไม่ว่าอาการอักเสบเกิดขึ้นที่ส่วนใดของร่างกาย ขมิ้นก็ย่อมช่วยบรรเทาหรือรักษาให้หายขาดได้แน่นอน โรคตาอักเสบก็เช่นเดียวกัน เคยมีการทดสอบกับผู้ป่วยโรครูเวียอักเสบ เป็นโรคที่ส่วนของม่านตา เนื้อเยื่อคอรอยด์และเนื่อเยื่อ Ciliary body เกิดการอักเสบ โดยทำการทดสอบกับผู้ป่วยถึง 30 กว่าคน ได้ผลว่ามีอาการดีขึ้นในช่วงสองสัปดาห์แรก นอกจากนี้ ขมิ้น ยังช่วยบรรเทาความระคายเคืองหรือความไม่สบายตาจากโรคตากลุ่มอื่น ๆ ได้ด้วย

ภาวะซึมเศร้า : โรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่มีผู้ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนไม่น้อยเลย ภาวะซึมเศร้าคือลักษณะของอารมณ์ที่เศร้าสร้อย หดหู่ สะเทือนใจ ร้องไห้ง่าย ท้อแท้ง่าย เรื่องที่เคยเป็นเรื่องเล็กน้อยก็กลายเรื่องใหญ่โตและดูอ่อนไหวไปหมด ซึ่งโรคนี้ต้องได้รับการบำบัดและรักษาอย่างถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ในส่วนของ ขมิ้น นั้นก็ช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้ด้วยเหมือนกัน โดยมีการทดสอบการใช้สารเคอร์คูมิน ( curcumin ) ในขมิ้นกับผู้ป่วยภาวะซึมเศร้า ด้วยการทานในรูปของสารสกัดปริมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่องเป็นเวลารวมประมาณ 8 สัปดาห์ พบว่าในช่วงแรกของการใช้สารเคอร์คูมิน ( curcumin ) ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างของอารมณ์มากนักเมื่อเทียบกับตอนที่ยังไม่ได้ใช้ แต่พอผ่านเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังกลับพบว่าผู้ป่วยมีภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก จึงสรุปได้ว่าสารออกฤทธิ์ที่สำคัญในขมิ้นช่วยลดภาวะซึมเศร้าลงได้จริง อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีการทดสอบหรือทำงานวิจัยในลักษณะที่ยาวนานกว่านี้ หรือมีการใช้สารเคอร์คูมิน ( curcumin )ในปริมาณอื่น ๆ

แก้อาการตกขาว : อาการตกขาวในผู้หญิงมีทั้งแบบที่ปกติและผิดปกติ หลายคนตกขาวเป็นประจำก่อนการมีรอบเดือน แต่จะต้องไม่มีกลิ่นคาว ไม่มีสีคล้ำ ไม่คัน ไม่แสบ และไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นๆ ถึงจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องหาทางแก้หรือรักษาแต่อย่างใด ในทางกลับกันถ้าตกขาวนั้นผิดปกติหรือแม้แต่มีปริมาณมากเกินไปจนเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ก็สามารถใช้ ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านช่วยบรรเทาอาการได้ด้วย ว่ากันว่าการทานขมิ้นสดจะช่วยแก้ที่ต้นเหตุของอาการตกขาวที่เกิดขึ้นได้ แต่เป็นเพียงความผิดปกติที่ไม่รุนแรงมากนักเท่านั้น หากเกิดจากมะเร็งปากมดลูกหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ก็ต้องเข้าพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจรักษาดีกว่า

ช่วยลดคลอเรสเตอรอล : ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันหรือมีระดับคลอเรสเตอรอลสูง บางส่วนแพทย์ก็ให้ทาน ขมิ้น แบบแคปซูลช่วยเพื่อลดการใช้ยาเกินความจำเป็น ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดี ด้วยขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้านมีส่วนสำคัญในการลดไขมันคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี ( LDL ) หรือไม่มันที่ไม่ดีออกไปได้ แถมยังเพิ่มไขมันส่วนดี HDL ได้อีกด้วย ดังนั้นระดับคลอเรสเตอรอลจึงลดลงและอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เรื่องนี้ไม่ใช้แค่ความรู้สึกนึกคิดไปเองเท่านั้น แต่มีงานวิจัยรับรองจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยทดลองใช้สารสกัดน้ำมันจากหัวขมิ้นกับสัตว์ทดลองเป็นเวลา 45 วัน พบว่ามีอัตราการลดลงของ LDL พร้อมกับอัตราการเพิ่มขึ้นของ HDL อย่างน่าสนใจ

ช่วยป้องกันมะเร็ง : สมุนไพรพื้นบ้านคุณสมบัติที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของ ขมิ้น ก็คือมีองค์ประกอบสำคัญที่ออกฤทธิ์ยับบั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ หรือเซลล์เนื้อร้ายได้ด้วย กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กลุ่มที่ขึ้นชื่ออย่างมากในการนำสมุนไพรไทยมาประยุกต์ใช้และต่อยอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ทำงานวิจัยมกมายเกี่ยวกับผลของการใช้ขมิ้นชันต่อความเปลี่ยนแปลงของโรคมะเร็ง พบว่าสารออกฤทธิ์สำคัญในขมิ้นชันมีศักยภาพในการป้องกันกระบวนการของการเกิดมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยยับยั้งการเติบโต ยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ทั้งยังช่วยปรับระบบภูมิต้านทานของร่างกายให้สมบูรณ์ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ดีขึ้น ประเภทของมะเร็งที่ทดลองแล้วว่าขมิ้นมีช่วยในการช่วยลดอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็งก็คือ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งกระดูก

ขมิ้น หรือ ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่นอกจากจะมีคุณสมบัติในการรักษาโรคที่หลากหลายอย่างแล้ว ยังสามารถใช้กับผิวพรรณด้านความสวยความงามได้อีกด้วย

แนะนำเมนูเด็ดจากขมิ้น

1. ไก่ผัดขมิ้น
2. ปลาช้อนต้มขมิ้น
3. ไก่บ้านต้มชมิ้น
4. หมูสะเต๊ะหมักขมิ้น
5. ข้าวหมกไก่ ใส่ขมิ้น
6. ไก่ย่าง ไก่ทอดขมิ้น
7. ผักกระเพรากึ๋นไก่
8. แกงเหลืองปลากะพง
9. แกงขมิ้นลูกชิ้นปลากราย
10. แกงกะหรี่ขมิ้น

ขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้านกับเรื่องความสวยความงาม

นอกจากจะเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคที่หลากหลายอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ขมิ้น ก็ยังมีอิทธิพลต่อประเด็นของความสวยความงามอีกด้วย มีการใช้งานกับผิวพรรณมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยที่ยังไม่ได้มีผลการทดลองหรืองานวิจัยใดๆ แต่พิสูจน์กันด้วยผลลัพธ์ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการใช้ขมิ้นชันกับวงการความงาม

บำรุงผิวให้นวลเนียนและดูผุดผ่อง : ด้วยสีเหลืองนวลของขมิ้นโดยเฉพาะขมิ้นสดและสารออกฤทธิ์บางอย่าง เมื่อนำมาพอกและขัดผิวเป็นประจำจึงช่วยผลัดเซลล์ผิวและขับผิวให้ดูผ่องขึ้น สมัยก่อนจะมีการเอาหัวขมิ้นสดมาฝนจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด ผสมกับมะขามเปียกแล้วใช้ขัดผิว แต่เดี๋ยวนี้มีแบบที่เป็นผงขมิ้นสำเร็จรูปให้เลือกใช้กันแล้ว ขมิ้นถือเป็นสมุนไพรอันดับต้นๆ ที่คนจะนึกถึงหากอยากได้ผิวสวยใส เพราะผิวดีขึ้นแน่นอนและถาวร แม้จะใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลชัด แต่ก็ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์

ช่วยรักษาสิวหัวเล็ก : จุดเด่นข้อหนึ่งของ ขมิ้น ก็คือช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ดังนั้นเมื่อนำขมิ้นสมุนไพรพื้นบ้านมาพอกที่หัวสิวทิ้งไว้ด้วยระยะเวลาที่เหมาะสม จึงช่วยลดการอักเสบและเร่งให้สิวหายเร็วขึ้นได้ นอกจากนี้ก็ยังใช้พอกหน้าเพื่อขับสิวเสี้ยนได้ด้วย

ลดความมันบนใบหน้า : กลไกการลดความมันบนใบหน้าของขมิ้นก็คือ มีสารออกฤทธิ์ที่ไปลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันบริเวณผิวชั้นนอกให้น้อยลง หน้าที่เคยมันเยิ้มระหว่างวันจึงหายไป แต่ต้องระวังในการใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเพราะผิวหน้าอาจจะแห้งเกินไป และสำหรับใครที่มีผิวหน้าแห้งอยู่แล้ว คงต้องใช้ส่วนประกอบอื่นๆ ร่วมด้วยในเรื่องของความชุ่มชื้น เช่น น้ำผึ้ง น้ำนม น้ำมันบำรุงผิวบางชนิด เป็นต้น

ช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ : ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน และขึ้นชื่อในเรื่องการลดเลือนริ้วรอยด้วยเหมือนกัน ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ ริ้วรอยที่เคยมีจึงแลดูจางลง

ถึงแม้ว่า ขมิ้น สมุนไพรพื้นบ้านจะเป็นพืชสมุนไพรที่เราคุ้นเคยกันมายาวนาน และก็มีสรรพคุณแทบจะครอบจักรวาล แต่การใช้งานขมิ้นในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทานแบบสด ทานแบบสารสกัด ใช้พอกผิว ใช้ขัดตัว เป็นต้น ล้วนมีวิธีการและอัตราการใช้ที่เหมาะสมอยู่ หากใช้น้อยไปก็ไม่ได้ผล ใช้มากไปก็อาจเป็นอันตรายได้ในบางกรณี ยิ่งถ้าใช้ผิดวิธีก็เสียทั้งวัตถุดิบและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน ที่สำคัญถ้าเลือกใช้ขมิ้นในรูปของผลิตภัณฑ์สำเร็จ ต้องดูรายละเอียดของส่วนประกอบ แหล่งผลิต วันเดือนปีที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ตลอดจนข้อห้ามหรือข้อควรระวังต่างๆ ด้วย เพราะผลิตภัณฑ์สำเร็จนั้นมีกระบวนการบางอย่างที่แตกต่างไปจากการทานหัว ขมิ้น สดๆ เราจึงต้องใส่ใจเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยจริงๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

กองบรรณาธิการ. ขมิ้นชันกับมะเร็ง : กรุงเทพฯ : แบงค์คอกบุ๊คส์.

ขมิ้นกับสรรพคุณทางยา (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.pobpad.com [17 มีนาคม 2561].

Turmeric, Curcumin (Curcuma longa) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.sigmaaldrich.com [17 มีนาคม 2561].

ไพล ประโยชน์และสรรพคุณที่ใครหลายคนเคยมองข้าม

0
ประโยชน์และสรรพคุณของ ไพล
ไพลมีสารในกลุ่มเคอร์คิวมินอยด์เหมือนในขมิ้น ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวขาว ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ
ประโยชน์และสรรพคุณของ ไพล
ไพลมีสารในกลุ่มเคอร์คิวมินอยด์เหมือนในขมิ้น ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวขาว ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ

ไพล

ไพล หรือว่านไพล (Zingiber Cassumunar) คือ พืชล้มลุกที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นขึ้นเป็นกอ ออกดอกช่อสีนวลกับใบประดับสีออกม่วงแดง ทุกส่วนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด ส่วนดอกมีสรรพคุณช่วยขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย ส่วนลำต้นช่วยเรื่องปรับสมดุล ใบช่วยแก้ปวดเมื่อยหรือมีไข้ และรากช่วยบรรเทาอาการเลือดกำเดาไหลได้ แต่ส่วนที่สำคัญและมีคุณค่ามากที่สุดก็คือส่วนเหง้าที่แก่จัดได้ที่แล้ว มีสรรพคุณและสารสำคัญหลากลายจนได้จัดเป็นหนึ่งเครื่องยาสมุนไพรพื้นฐานที่ได้รับความสนใจ ตลอดจนมีงานวิจัยรองรับมากมายอีกด้วย

สุดยอดสมุนไพรอีกตัวหนึ่งของบ้านเราที่ถูกหยิบใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณก็คือ “ ไพล ” บ้างก็เรียกว่านไพล ปูขมิ้น ว่านไฟ ไพลเหลือง แล้วแต่ภูมิภาค หลายคนแยกไม่ค่อยออกระหว่างไพลกับขมิ้น เพราะหากมองเพียงผิวเผิน รูปร่างหน้าตาก็เป็นเหง้าเหมือนกันแถมเมื่อผ่าดูเนื้อในก็ยังมีสีเหลืองเหมือนกันอีกด้วย แต่เมื่อคุ้นเคยกับสมุนไพรยอดนิยมทั้งสองชนิดนี้แล้วก็จะแยกออกได้ไม่ยากเลย ขมิ้นจะมีขนาดของหัวเหง้าเล็กกว่าไพลอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสีเนื้อในของขมิ้นจะออกเหลืองส้ม สีเข้มสดใส ส่วนไพลสีออกเหลืองนวลคล้ายสีของคัสตาร์ด นอกจากนี้ผิวสัมผัสเปลือกหุ้มของไพลก็ยังหยาบขรุขระมากกว่าขมิ้นอีกด้วย

องค์ประกอบสำคัญของไพล

ไพล เป็นพืชสมุนไพรกลุ่มเดียวกันกับขมิ้น สรรพคุณของไพลจึงมีสารสีเหลืองที่เรียกว่าเคอร์คูมิน ( Curcumin ) เหมือนกัน แต่จะต่างกันในรายละเอียด เพราะเคอร์คูมินก็ยังแยกย่อยออกไปอีกหลายชนิด นั่นทำให้สรรพคุณในการรักษาโรคของสมุนไพรทั้งสองไม่เหมือนกันซะทีเดียว และก็ไม่สามารถใช้แทนกันได้ ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาจะคล้ายคลึงกันมากขนาดไหนก็ตาม ตัวอย่างของสารเคอร์คูมินที่พบในไพลได้แก่ cassumunin A-C อนุพันธ์แนฟโทควิโนน ( naphthoquinone derivatives ) อนุพันธ์บิวทานอยด์ (  butanoid der ivat ives ) เป็นต้น สารที่พบอีกกลุ่มหนึ่งก็คือสารกลุ่มฟีนิลบิวทานอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบได้ อย่างเช่น butadiene ( DMPBD ) นอกจากนี้ก็มีส่วนของน้ำมันระเหยมากกว่าร้อยละ 80 สารเคมีสำคัญที่อยู่ในน้ำมันหอมระเหยก็จะเป็นกลุ่มของมอโนเทอร์พีน ( monoterpene ) เช่น แอลฟา-ไพนีน ซาบินีน แอลฟา-เทอร์พินีน แกมมา-เทอร์พินีน และเทอร์พีน- 4-ออล แต่อย่างไรก็ตามปริมาณของสารเคมีเหล่านี้จะแปรผันไปตามแหล่งกำเนิดของไพล จึงทำให้การเลือกนำมาใช้ต้องพิจารณาปัจจัยตรงนี้เพิ่มเติมด้วย

สรรพคุณของไพลและวิธีการใช้งาน

สรรพคุณของไพลลดอาการอักเสบภายนอก : อย่างที่ได้รู้กันไปแล้วว่าในหัว ไพล มีส่วนของน้ำมันระเหยอยู่มาก และในนั้นก็มีสารออกฤทธิ์สำคัญที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ แก้เคล็ดขัดยอก ปวดบวมและฟกช้ำได้ ยังไม่พอหากเป็นอาการปวดเมื่อยก็สามารถช่วยบรรเทาให้เบาลงได้เหมือนกัน โดยนำเหง้าสดที่มีคุณภาพดีมาประมาณ 1 เหง้า ล้างทำความสะอาดคราบดินโคลนออกให้หมดก่อนนำมาตำละเอียด บีบคั้นจนน้ำออกมา แล้วใช้น้ำนั้นทาถูบริเวณที่ต้องการ หรือจะทำให้เป็นลักษณะของลูกประคบก็ได้ สรรพคุณของไพลคือใช้เหง้าสดตำละเอียดผสมกับเกลือหรือการบูรเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากันดี แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดมาห่อด้วยผ้า มัดเป็นทรงกลมแบบลูกประคบ ตอนใช้งานก็เอาไปอังไอน้ำให้ร้อนแล้วค่อยๆ ประคบตามบริเวณที่มีอาการ

สรรพคุณของไพลบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และขับลม : ไพล เป็นสมุนไพรที่ถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในประเภทเดียวกับ ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น และคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สมุนไพรในกลุ่มนี้มีเหมือนกันก็คือ ช่วยขับลมในช่องท้องได้ดี จึงลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ทั้งหมด โดยจะใช้เป็นเหง้าแห้งบดละเอียดปริมาณ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อนที่ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย ดื่มเหมือนชาเป็นช่วงๆ

สรรพคุณของไพลบรรเทาอาการบิดหรือท้องเสีย : ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าโรคบิดและท้องเสียนั้นมีความรุนแรงหลายระดับ และบางครั้งก็เป็นเชื้อโรคที่ร้ายแรง ดังนั้นการรักษาหรือบรรเทาอาการด้วยสมุนไพรก็ต้องเลือกใช้ตามความเหมาะสมด้วย หากเป็นหนักก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาดีกว่า วิธีการใช้ ไพล ก็คือ ฝานเหง้าสดให้เป็นแว่นบางๆ สัก 4-5 แว่น บดให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ เมื่อได้แล้วจึงเติมเกลือเล็กน้อย ทานจนหมด หรือจะเปลี่ยนเป็นการฝนด้วยน้ำปูนใสแล้วทานก็ได้เหมือนกัน

สรรพคุณของไพลบรรเทาอาการของโรคหอบหืด : ไพล ที่สารออกฤทธิ์สำคัญที่มีผลต่อการขยายหลอดลม ซึ่งมีการวิจัยในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหอบหืดมาแล้ว ด้วยการให้ทานไพลในรูปแบบของแคปซูล 200 มิลลิกรัม พบว่าอาการหอบที่มีนั้นลดลง ทั้งยังสามารถใช้เพื่อป้องกันอาการหอบหืดเรื้อรังได้ดีในเด็กและผู้ใหญ่ รูปแบบการเตรียมยาสมุนไพรที่นอกเหนือไปจากการทำเป็นแคปซูลก็คือ ใช้เหง้าไพลแห้ง 5 ส่วน พริกไทยและดีปลีอย่างละ 2 ส่วน กานพลูและพิมเสนอย่างละ 1 ส่วน นำทั้งหมดบดผสมรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว ใช้ผงยานั้นชงกับน้ำร้อนดื่ม หากยังรู้สึกว่าทานยากก็เติมน้ำผึ้งลงไปได้ อย่างไรก็ตามการรักษาโรคหอบหืดด้วยไพลนั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นควรมีการทดสอบการแพ้หรือผลข้างเคียงต่างๆ เอาไว้ด้วย

สรรพคุณของไพลป้องกันยุง : หากมี ไพล ติดครัวอยู่สักเหง้าหนึ่งก็ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อยาทากันยุงแบบเคมีเลย เพราะไพลนี่แหละกันยุงชะงัดนัก โดยใช้ผงเหง้าไพลแช่ในแอลกอฮอล์ 95 เปอร์เซ็นต์ ทำการระเหยให้เข้มข้นมากขึ้นก่อนนำมาใช้งาน สามารถทาได้ทั้งตัวยกเว้นส่วนของใบหน้า เพราะหลายคนก็ผิวแพ้ง่ายและแพ้ส่วนที่เป็นแอลกอฮอล์นั่นเอง ความพิเศษของยาทากันยุงจากเหง้าไพลนี้ก็คือ เมื่อทาแล้วสบายผิว มีกลิ่นหอมและไม่รู้สึกแสบร้อน

ไพล สมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ รักษาอาการได้สารพัด เป็นหนึ่งเครื่องยาสมุนไพรพื้นฐาน คนสมัยก่อนนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำลูกประคบ แก้ฟกช้ำ ปวด บวม

น้ำมันไพล ของดีประจำบ้าน

ไพล น้ำมันหอมระเหยในเหง้าไพลนั้นมีสรรพคุณดีงามหลายอย่าง แก้วิงเวียนได้ แก้ง่วงนอนได้ เคยถูกใช้เพื่อปรับความสมดุลในด้านจิตใจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หมอยาสุรินทร์มักใช้ไพลเป็นส่วนผสมในการอบตัวให้คนวิกลจริต เพราะน้ำมันหอมระเหยนั้นจะช่วยให้จิตใจสงบลงได้ ถึงขนาดที่มีความเชื่อว่าไพลนั้นใช้ไล่ผีได้เลยทีเดียว คาดว่าคงเป็นผู้ป่วยที่มีจิตไม่ปกติในสมัยก่อนนั่นเอง

รูปแบบของการดึงเอาน้ำมันหอมระเหยจาก ไพล มาใช้ประโยชน์ ที่นิยมมากที่สุดคือการทำ “ น้ำมันไพล ” หลายคนคงเคยได้เห็นบรรดาขวดแก้วขนาดเล็กที่บรรจุน้ำสีเหลืองนวล กลิ่นหอมเฉพาะตัว ยิ่งผู้สูงอายุยิ่งชอบใช้ถูนวดตามตัวบ้าง ใช้สูดดมและทาถูตรงกระหม่อมบ้าง ก็เรียกได้ว่าเป็นน้ำมันสารพัดประโยชน์เลยทีเดียว หากฟกช้ำก็ใช้น้ำมันทาบางๆ สักวันละ 2 ครั้ง ไม่นานก็จะดีขึ้น ถ้ามีอาการบวมก็ทาน้ำมันบางๆ เช่นกันแต่ควรนวดคลึงไปด้วย แม้แต่เหน็บชาก็ยังใช้ได้ โดยเอาน้ำมันไพลหยดใส่ผ้าที่ห่อเป็นก้อน จากนั้นนำมานวดประคบตรงที่เป็นเหน็บ โรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ใช้น้ำมันไพลเป็นน้ำมันพื้นฐานในการผลิตน้ำมันชนิดอื่นๆ ตลอดจนครีมแก้อาการต่างๆ ด้วย

ไพลมีกี่ชนิด และนิยมใช้ทำอะไร

ว่านไพลมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษระการใช้งานที่ต่างกัน

  • ไพลแดง ขับลม ขับประจำเดือน มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ แก้บิด สมานลำไส้ ภายนอก เหง้าสดฝนทาแก้เคล็ดยอก ฟกบวม เส้นตึง เมื่อยขบ เหน็บชา และสมานแผล
  • ไพลเหลิอง เป็นว่านที่นิยมใช้ในการรักษาอาการอักเสบ ปวด บวม ฟกช้ำ
  • ไพลขาว เป็นว่านที่มีอานุภาพในทางคงกระพันชาตรี ใช้กินหรือเคี้ยวเพื่อคงกระพันชาตรี
  • ไพลดำ เป็นว่านทางคงกระพันชาตรี มีการนำมาใช้ในทางไสยศาสตร์ เช่น คงกระพันชาตรี ซึ่งจะต้องเสกด้วยเวทมนตร์คาถา เช่น พุทธังเป็นยา ธัมมังรักษา สังฆังหาย ตะหัง นะหิโสตัง หรือ “นะโมพุทธายะ” 7 จบ สำหรับว่านไพลดำนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทคือ ว่านไพลดำชนิดเนื้อในหัวเป็นสีม่วงอมน้ำตาลจะเด่นในเรื่องของอยู่ยงคงกระพัน และว่านไพลดำชนิดเนื้อในหัวเป็นสีดำ ซึ่งจะเด่นในเรื่องการชักนำเงินทอง

สรรพคุณของไพล สูตรลับทำน้ำมันไพล

แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการทำพอสมควร แต่จากสรรพคุณของ ไพล ทั้งหมดก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างที่สุด เพราะเราทำเองย่อมได้น้ำมันไพลที่มีคุณภาพคับแก้ว คือใส่ส่วนผสมแบบหนักเครื่องได้ แถมต้นทุนที่เป็นเม็ดเงินก็ถูก ยิ่งถ้าในครัวเรือนมีสมาชิกมาก ทำสักหนแล้วแจกจ่ายกันไว้ใช้ก็ยิ่งดี

ส่วนผสมน้ำมันไพล
1. เหง้าไพลสดฝานแว่น 2 แก้ว
2. น้ำมันมะพร้าว 1 แก้ว
3. การบูร 1 ช้อนชา
4. ดอกกานพลู 1 ช้อนชา
หากต้องการทำปริมาณที่มากกว่านี้ ก็ใช้วิธีการเทียบสัดส่วนเอาได้เลย

ขั้นตอนการทำน้ำมันไพล
• เทน้ำมันที่เตรียมไว้ลงในกระทะ แล้วยกขึ้นตั้งไฟ
• เมื่อน้ำมันร้อนจัดจึงใส่แว่นไพลลงไปทั้งหมด คล้ายๆ กับการทอดกล้วยแขก
• เบาไฟลงให้เหลือแค่ไฟกลาง ไม่นานนัก ไพลจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแก่
• ช้อนเอาชิ้นไพลออก ใส่การพลูที่ตำละเอียดลงไปแล้วเบาไฟลงอีกให้เป็นไฟอ่อนๆ เท่านั้น พักไว้ 10 นาที
• กรองน้ำมันนั้นด้วยผ้าขาวบาง แล้วตั้งไว้เพื่อรอให้น้ำมันหายร้อน
• เติมการบูรลงไป ก่อนเทใส่ขวดที่มีฝาปิดสนิท

สรรพคุณของไพลตำ
ตำรับยาที่น่าสนใจเหล่านี้คือตำรับยาที่ใช้กันมาแต่โบราณ ซึ่งที่ยกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และหลายอย่างก็ต้องเลือกเอาตามความเหมาะสมอีกด้วย เพราะบางโรคก็มีองค์ความรู้ที่ละเอียดลออมากกว่าสมัยก่อนแล้ว
บรรเทาอาการมือเท้าเย็น : ตำหัวไพลเพื่อคั้นเอาน้ำ แล้วผสมกับพริกไทยทา
แก้ร้อนใน : ใช้เหง้าสดตำละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาทาน
แก้ผดผื่นคัน : เอาเหง้าสดฝนกับน้ำ แล้วนำมาทาให้ทั่ว
ผิวถลอกจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ : ฝนกับน้ำสะอาด ใช้ทาแผลทุกวันจนกว่าจะหาย
แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ : ทุบเหง้าไพลแก่ แล้วดมกลิ่นหอมของไพลนั้น
เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่หลังคลอด : นำไพลมาต้มจนนิ่มดี กินเป็นประจำระหว่างอยู่ไฟ
เสริมความแข็งแรงให้เด็กอ่อน : ฝนเหง้าไพลสดกับน้ำสะอาด ใช้เพื่ออาบชำระร่างกายเด็กเล็ก
บรรเทาอาการแผลไฟลวก : ฝนเหง้าไพลสดแล้วผสมกับน้ำกระทกรกหรือน้ำเกลือ ทาบริเวณแผล
ถอนพิษตัวบุ้ง : เอาเหง้าไพลไปเผาไฟ แล้วค่อยๆ ประคบบริเวณที่สัมผัสตัวบุ้งในขณะที่ไพลยังอุ่นๆ อยู่
บรรเทาอาการหน้ามืด ตาลาย : ใช้ส่วนของหัวเหง้าและใบของไพล รวมกับใบมะกรูดและใบมะนาว ใช้อบตัว
ใช้เป็นยาชาเฉพาะที่แบบชั่วคราว : คั้นน้ำจากหัวเหง้าไพลสด เน้นให้เข้มข้นเป็นพิเศษ แล้วนำมาทาบริเวณที่ต้องการ

เรื่องน่ารู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับไพล
ความจริงแล้ว ไพล มีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแน่นอนว่าสรรพคุณของไพลแต่ละสายพันธุ์ก็จะส่วนที่ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ไพลที่เราพบเห็นได้ทั่วไปและนำมาใช้กับตำรับยาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เราเรียกว่า “ ไพลเหลือง ” แต่เดิมเรามักใช้ทำสูตรยาคู่กับไพลดำ แต่ต่อมาไพลดำกลับมีบทบาทในด้านเครื่องเทศมากกว่าและค่อนข้างหายาก จึงเหลือใช้เพียงแค่ไพลเหลืองเรื่อยมา อีกประการหนึ่ง ไพล เป็นพืชที่มีพิษต่อตับด้วย จึงต้องระมัดระวังในการใช้ทานเพื่อรักษาโรคหรือบำรุงร่างกายติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ข้อสรุปในด้านความเป็นพิษนี้มีการทดลองในหนูมาแล้ว พบว่าตับของหนูมีอาการเป็นพิษในระยะเวลา 1 ปี หนูมีอัตราเติบโตที่ช้าลง แต่ไม่มีความผิดปกติในอวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ และหากเป็นคนที่มีผิวบอบบางมาก น้ำมันไพลก็อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“ไพล” สรรพคุณ-ประโยชน์ของไพล สุดยอดสมุนไพรที่ไม่ได้มีดีแค่บำรุงน้ำนม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sukkaphap-d.com [17 มีนาคม 2561].

“ไพล” สุดยอดสมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.banhealthy.com [16 มีนาคม 2561].

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร

0
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร
อาหารเสริม คือ อาหารที่เราทำการรับประทานเพิ่มเติมจากการรับประทานอาหารหลักทั้ง 5 หมู่ สำหรับผู้ที่มีร่างกายอย่ในสภาวะปกติไม่มีอาหารเจ็บป่วย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ มีการทำการผลิตออกมาในรูปแบบที่สามารถรับประทานได้ง่าย มีลักษณะเป็นผงสำหรับชงทาน เพียงแค่ใส่น้ำคนให้ละลาย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีที่มาอย่างไร

การรักษาผู้ป่วยนอกจากการรักษาทางการแพทย์ ด้วยการผ่าตัด การรับประทานยาแล้ว การดูแลด้านโภชนการสำหรับผู้ป่วยก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการรักษาด้านการแพทย์เลยทีเดียว เพราะว่าผู้ป่วยที่ได้รับสารอาหารครบถ้วนต่อและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายตามความเหมาะสมของโรคที่ตนเองเป็นอยู่นั้น

จะทำให้ร่างกาย  ของผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น จึงมีโอกาสที่จะหายจากโรคได้เร็วและมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการดูแลด้านโภชนการ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ออกมาสำหรับผู้ป่วย เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รับสารอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ ถึงแม้ว่าผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์จะไม่สามารถทำการรักษาให้ผู้ป่วยหายจากโรคที่เป็นอยู่ได้เหมือนกับการรับประทานยา แต่ว่าผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์จะเข้าไปช่วยเพิ่มความสมดุลของสารอาหารภายในร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อระบบทำงานได้ดีการฟื้นฟู ซ่อมแซมและรักษาร่างกายให้หายจากการเจ็บป่วยย่อมมีโอกาสหายได้มากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น แต่ในมีผู้ป่วยบางรายมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์กับอาหารเสริมทั่วไปว่าเป็นสิ่งเดียวกัน สามารถรับประทานได้เหมือนกัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยจึงหันไปรับประทานอาหารเสริมแทนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ เพราะด้วยราคาที่ถูกกว่าและคิดว่ามีคุณสมบัติที่เหมือนกันสามารถรับประทานแทนกันได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการป่วยที่หนักขึ้นหรืออาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานอาหารเสริมที่ไม่เหมะสมกับโรคที่เป็นอยู่ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่รับประทานอาหารเสริมวิตามินรวม ทำให้มีความอยากอาหารและรับประทานอาหารมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ปัจจุบันนี้อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีวางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ในรูปแบบผงหรือพร้อมดื่ม มีการโฆษณาสรรพคุณให้ผู้บริโภคฟังมากมาย บางชนิดบอกว่าสามารถช่วยให้ร่างกายแข็งแรง บางชนิดช่วยรักษาโรคได้ บางก็โฆษณาว่าเป็นอาหารเสริมทางการแพทย์แต่บางชนิดก็บอกเพียงว่าเป็นอาหารเสริม แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ต่างกันอย่างไร

อาหารเสริม และ ผลิตเสริมอาหารทางการแพทย์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

อาหารเสริม ( Complementary foods ) คือ อาหารที่เราทำการรับประทานเพิ่มเติมจากการรับประทานอาหาร หลักทั้ง 5 หมู่ ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมเหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายอย่ในสภาวะปกติไม่มีอาหารเจ็บป่วยของโรคเกิดขึ้น ซึ่งอาหารเสริมจะเข้าไปเพิ่มประมาณสารอาหารที่ร่างกายต้องการแต่ได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอจากการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และเกลือแร่ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมมักจะรับประทานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อความสวยงาม ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตสมวัย และช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเท่านั้น

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ ( Dietary supplements หรือ Food supplements หรือ Nutritional supplements ) คือ อาหารที่มีสารอาหารเหมือนอาหารที่รับประทานอยู่ในชีวิตประจำวันไม่ใช่ยาที่ใช้ในการรักษาโรคให้หายได้ แต่เป็นอาหารที่ทำการผลิตและออกแบบตามหลักของโภชนการบำบัดที่ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยให้ดีขึ้น โดยมีการดัดแปลงอาหารให้อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถทำการย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เมื่อรับประทานเข้าไปสู่ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารอาหารและนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายได้ทันที จึงช่วยลดปัญหาการขาดสารอาหาร ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะมีหลายรูปแบบทั้งแบบที่ออกแบบมาสำหรับเสริมสารอาหารให้กับผู้ที่อยู่ในสภาวะปกติ เช่น ผู้สูงอายุ และแบบที่มีสารอาหารเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการสารอาหารบางชนิดมากเป็นพิเศษ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิต เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะได้รับการออกแบบมาให้มีสารอาหารที่ผู้ป่วยเหล่านั้นต้องการในปริมาณที่เพียงพอและไม่มีปริมาณสารอาหารต้องห้ามสำหรับผู้ป่วยผสมอยู่ด้วย จึงช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากภาวะขาดสารอาหารที่ทำให้ระบบภายในเกิดความผิดปกติ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะอยู่ในรูปแบบที่รับประทานง่าย ผู้ป่วยจึงสามารถรับประทานได้ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการ ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยได้รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายมีพลังงาน สามารถฟื้นฟูและต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่จนร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดหลากหลายชนิด มีทั้งสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา และผู้ป่วย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์แบ่งออกได้ดังนี้

1.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วน
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วน คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ชนิดนี้ทำมาจากอาหารหลักทั้ง 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมันดี โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย นำมาดัดแปลงให้อยู่ในรูปที่สามารถรับประทานได้ง่าย โดยปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายตามหลักวิชาการทางการแพทย์ ไม่มีการเพิ่มหรือเสริมสารอาหารชนิดใดเป็นพิเศษเข้าไปในตัวผลิตภัณฑ์ จึงเหมาะสมกับผู้ที่ร่างกายอยู่ในสภาวะปกติแต่ไม่สามารถรับประทานอาหารหลักให้ได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่หรือผู้ที่ต้องรับประทานอาหารทางสายยาง เช่น คนที่รู้สึกเบื่ออาหาร ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่นอนติดเตียง เป็นต้น

2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ป่วยโดยเฉพาะ เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละโรคจะมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันไป เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องได้รับอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่แต่ต้องระวังในเรื่องของปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากอาหาร ซึ่งอาหารเสริมเวย์โปรตีนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณโปรตีนที่เพียงพอสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกายในกระบวนการเผาผลาญที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติจึงช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อให้คงอยู่ไม่ถูกตึงไปใช้จนหมด และลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดจึงช่วยลดความเสี่ยงในของการมีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสูงได้ หรือในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับการให้เคมีบำบัดที่เกิดอาการข้างเคียงจึงมีความรู้สึกเบื่ออาหารไม่อยากรับประทานอาหาร ต้องได้รับโปรตีน วิตามิน เกลือแร่และสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงกว่าปกติ เพื่อช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ลดอาการข้างเคียงและทำลายเซลล์มะเร็ง เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยนี้สามารถรับประทานไปพร้อมกับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์ทางเลือกได้ตามปกติ

นอกจากทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ทั้ง 2 ชนิดนี้แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์อีกรูปแบบหนึ่งคือแบบที่มีการเสริมสารอาหารใดสารอาหารหนึ่งเป็นพิเศษ เพื่อช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขาดสารอาหารดังกล่าว เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เสริมเส้นใยอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เสริมเวย์โปรตีนสำหรับมีปัญหากล้ามเนื้อเหี่ยวย่น เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์แบบนี้คนทั่วไปสามารถรับประทานเสริมในชีวิตประจำวันได้ เพื่อให้ระบบการทำงานภายในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกระบบ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดหลายชนิดทั้งสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ คนชราและผู้ป่วย ซึ่งแต่ละแบบได้มีการออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายตามหลักทางการแพทย์และหลักของโภชนการบำบัด การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทยสามารถรับประทานควบคู่ไปกับการรับ ประทานอาหารหลักหรือรับประทานแทนอาหารหลักก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์และลักษณะของผู้บริโภคด้วย เช่น ผู้สูงวัยนอนติดเตียงที่ต้องได้รับอาหารทางสายยาง ผู้ป่วยอัมพาตหรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ด้วยตนเองก็สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์สูตรครบถ้วนทางสายยางเพื่อทดแทนอาหารหลักได้ หรือในผู้ป่วยที่สามารถรับประทานอาหารได้เอง เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ที่ถึงแม้จะรับประทานอาหารได้เองแต่ก็รับประทานได้น้อย ส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ร่วมด้วยก็จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการที่เป็นอยู่ได้เร็วขึ้นนั่นเอง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นรูปแบบใหม่ของการพัฒนาด้านโภชนการบำบัด (Novel Therapeutic Nutrition) ที่มีการค้นคว้า วิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องถึงความสำคัญด้านโภชนการต่อผู้ป่วยเฉพาะโรค

ข้อดีของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์

1.ทานง่าย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์มีการทำการผลิตออกมาในรูปแบบที่สามารถรับประทานได้ง่าย เช่น มีลักษณะเป็นผงสำหรับชงทาน เพียงแค่ใส่น้ำคนให้ละลายก็สามารถรับประทานได้ รวมถึงการออกแบบกลิ่นและรสชาติของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับการรับประทาน ซึ่งด้วยลักษณะที่ท่านง่ายและมีขั้นตอนการเตรียมที่ไม่ยุ่งยาก จึงทำให้ผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุรับประทานได้ดีจึงช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี

2.มีสารอาหารเพียงพอ
การรับประทานอาหารหลักในแต่ละมื้อ ร่างกายอาจจะได้รับปริมาณสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อยเกินไป อาหารที่รับประทานมีสารอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ หรือร่างกายไม่สามารถทำการย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไปได้ ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสารอาหาร แต่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะประกอบไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เอนไซม์ ใยอาหาร ในมี ปริมาณที่เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละประเภท และสารอาหารทุกชนิดล้วนอยู่รูปแบบที่ใช้งานได้ง่าย จึงหมดช่วยแก้ปัญหาสารอาหารไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารอย่างได้ผล ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ร่วมกับการรับประทานอาหารหลักหรือรับประทานแทนอาหารหลักในผู้ป่วยบางราย จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ

3.มีลักษณะที่เฉพาะตรงตามความต้องการ
ร่างกายของคนแต่ละช่วงอายุหรือร่างกายของผู้ป่วยแต่ละโรคล้วนมีความต้องการของสารอาหารในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบางครั้งการเลือกรับประทานอาหารหลักเพียงอย่างเดียว สารอาหารที่ได้รับจากอาหารในแต่ละมื้อของวันอาจยังไม่เพียงพอและไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายทั้งหมด ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารหลักจึงสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้นในขนาดที่เหมาะสมและเพียงพอกับร่างกายของทุกเพศ ทุกวัย ทุกโรค ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายมีการทำงานที่เป็นปกติ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคสูงขึ้นและยังช่วยผู้ป่วยฟื้นตัวให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ได้เร็วขึ้น

การเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตจากผู้ผลิตที่ได้มาตารฐานน่าเชื่อถือได้ มีการรับรองจากองค์กรอาหารและยาหรือสถาบันที่ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตทั้งในและต่างประเทศ มีการบอกถึงส่วนผสมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดถึงสัดส่วนของสารอาหาร บรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุต้องปิดมิดชิดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารอื่นเข้ามาปนเปื้อนได้ในขณะที่ทำการขนส่ง มีการระบุอัตราส่วนในการบริโภคอย่างชัดเจน พร้อมทั้งระบุด้วยว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นชนิดใด เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปหรือว่าผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวใดบ้าง ปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโค ซึ่งข้อมูลทุกอย่างจะต้องมีระบุอยู่บบรรจุภัณฑ์เพื่อที่ผู้บริโภครับรู้ได้อย่างชัดเจน

จะเห็นว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่ต้องการเพิ่มสารอาหารให้เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย แต่การเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ต้องมีความเข้าใจเสียก่อนว่า ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่ยาที่ช่วยรักษาโรคให้หายได้ เพราะมีผู้ป่วยบางรายเข้าใจว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะสามารถช่วยให้หายจากอาการป่วยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ จึงรับประทานผลิตเหล่านี้เพียงอย่างเดียว ไม่รับประทานอาหารหลัก ไม่รับประทานยาและไม่ยอมไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา ซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์นี้อาจจะส่งผลให้อาการของโรคที่เป็นอยู่มีอาการที่แย่ลงได้ในอนาคต เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องนั่นเอง

ดังนั้นผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์นั้นสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคที่เป็นอยู่ได้ เนื่องจากสารอาหารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้เข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภายในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายให้สามารถต่อสู้เชื้อโรคที่อยู่ภายในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นและเมื่อทำงานร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคแล้วจึงทำให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ได้นั่นเอง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์เป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหรือความเสื่อมของร่างกายสำหรับผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจากการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวัน หรือผู้ที่ต้องการสารอาหารบางชนิดมากกว่าปกติที่ควรได้รับต่อวัน หรือผู้ที่ต้องทำการควบคุมปริมาณสารอาหารบางชนิดไม่ให้ได้รับมากเกินไป ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารทั้งสิ้น ซึ่งการรับประทานอาหารที่เรารับประทนกันอยู่ทุกวันอาจจะไม่ตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด

ดังนั้นการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จึงเป็นทางเลือกหใม่ที่เกิดขึ้นสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วย เด็กที่ต้องการสารอาหารที่เพิ่มขึ้นแตกต่างกันออกไป การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ที่เหมาะสมแล้วย่อมทำให้ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ตามวัยอย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ป่วยการรับประทานอาหารเสริมทางการแพทย์ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับโภชนาการบำบัดเสียก่อน หรือรับประทานตามที่มีการระบุจากผู้ผลิตเท่านั้น เพื่อที่การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์จะส่งผลดีที่สุดต่อร่างกายของผู้บริโภคนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

https://www.nestlehealthscience-th.com/

Victora CG, Bahl R, Barros AJD, et al, for The Lancet Breastfeeding Series Group. Breastfeeding in the 21st century: epidemiology, mechanisms, and lifelong effect. Lancet 2016; 387: 475–90.

Black, R.etal., ‘Maternal and child undernutrition and overweight in low-Income and middle-income countries’, The Lancet, vol.382, no. 9890, 3 August 2013, pp.427-451.

I am text block. Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

โภชนาการเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพทางการแพทย์

0
a box of toothbrushesโภชนาการเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพทางการแพทย์
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
การเลือกรับประทานอาหารเสริมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งสามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ และควรเลือกรับประทานอาหารเสริมเกรดการแพทย์เท่านั้น

อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ส่งผลต่อโภชนาการและการทำงานของตับ ระบบดูดซึมน้ำตาลในเลือดจึงผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำพลังงานไปใช้ได้อย่างเหมาะสม เมื่อปล่อยให้เป็นเรื้อรัง อาจเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไต โรคระบบประสาท และปัญหาการมองเห็นถึงขั้นตาบอดได้ การเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสมจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนเหล่านี้

อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จำเป็นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน  ( Insulin ) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้อินซูลินไม่สามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย ดังนั้นเมื่อปริมาณฮอร์โมนอินซูลินน้อยหรือฮอร์โมนอินซูลินสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายได้ ส่งผลให้น้ำตาลที่คงเหลืออยู่ในกระแสเลือดมีปริมาณสูงขึ้น

โรคเบาหวานที่พบได้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

โรคเบาหวานที่พบได้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ1. เบาหวานชนิดที่ 1 ( Type 1 Diabetes ) คือ โรคเบาหวานที่เกิดจากการขาดอินซูลิน เพราะเบต้าเซลล์ (Beta cells) ที่อยู่ในตับอ่อนไม่สามารถทำการผลิตออร์โมนอินซูลินออกมาได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดความผิดปกติจึงเข้าไปยับยั้งหรือไปทำลายเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถทำการสร้างฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้จะมีอายุประมาณ 5-24 ปี

2. เบาหวานชนิดที่ 2 ( Type 2 Diabetes ) คือ เบาหวานที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ในตับอ่อนที่มีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินหรือเกิดเนื่องจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยหรือที่เรียกว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน ( Insulin Resistance )” ภาวะดื้ออินซูลินนี้อาจเป็นสาเหตุของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับตับซึ่งเป็นที่มาของโรคเบาหวาน นอกจากความเสื่อมที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น ซึ่งเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมหรือพฤติกรรมการดำรงชีวิต เช่น การไม่ออกกำลังกาย ความอ้วนหรือโรคอ้วน การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงตลอดเวลา ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคเบาที่พบส่วนใหญ่ประมาณ 90 % ของผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้

3. เบาหวานชนิดที่ 3 ( Type 3 Diabetes ) หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ( Gestational Diabetes Mellitus ) คือ เบาหวานชนิดนี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงมีการตั้งครรภ์ แม้ว่าจะไม่เคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากช่วงที่ตั้งครรภ์บางคนร่างกายจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินน้อยลง ดังนั้นถ้าร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถทำการผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดภาวะโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ขึ้น แต่เมื่อคลอดลูกแล้วอาการของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นก็จะหายไปเอง แต่ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในขณะที่ตั้งครรภ์นั้นจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้

นอกจากเบาหวานทั้ง 3 ชนิดแล้ว ยังมีเบาหวานชนิดพิเศษอื่น ๆ ที่มีสาเหตุแบบเฉพาะเจาะจง เช่น การเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ผลจากการผ่าตัด การเสพยาเสพติด การเกิดภาวะขาดสารอาหาร โรคตับอ่อน การได้รับยากลุ่มสเตีบรอยด์ เป็นต้น ซึ่งเบาหวานชนิดพิเศษพบได้น้อยมากประมาณ 1 % ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด โรคเบาหวานสามารถตรวจเช็คได้ด้วยการตรวจวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด

โรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin )

อาการผู้ป่วยโรคเบาหวาน

อาการผู้ป่วยโรคเบาหวาน1. บาดแผลหายช้า แผลเบาหวาน ( Diabetic Ulcer ) เป็นอาการที่พบได้มากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมากผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อเป็นแผลจะหายช้ากว่าคนทั่วไป เนื่องจากหลอดเลือดที่นำพาเลือดไปเลี้ยงส่วนที่เป็นแผลมีการตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลหมุนเวียนไปหล่อเลี้ยงที่บริเวณบาดแผลได้ ส่งผลให้แผลหายช้าและมักเนื้อที่บริเวณบาดแผลจะมีโอกาสตายมากขึ้นจนกลายเป็นแผลลุกลาม

2. กินบ่อยแต่น้ำหนักลด ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการหิวบ่อยเนื่องจากไม่สามารถดึงน้ำตาลที่มีอยู่ในกระแสเลือดเข้าไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ทำให้ร่างกายรู้สึกหิวตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะกินบ่อยขึ้นแต่พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานกลับมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างชัดเจน เนื่องร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้ได้ จึงทำการดึงไขมันและโปรตีนที่อยู่ในร่างกายมาใช้แทน ทำให้น้ำหนักตัวของผู้ป่วยลดลงอย่างรวดเร็ว

3. ปัสสาวะบ่อย ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายต้องทำการขับน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงมีอาการปัสสาวะบ่อย

4. อ่อนเพลีย ( Fatigue ) ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการอ่อนเพลีย แขนขาเหมือนอ่อนแรง อารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิน ฉุนเฉียวง่าย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่มีอยู่ในกระแสเลือดมาเปลี่ยนเป็นพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานรู้สึกไม่มีแรงและรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลาส่งผลต่ออารมณ์ทำให้หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย

5. อาการชาที่ปลายประสาท ( Diabetic polyneuropathy ) ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการชาที่บริเวณปลายประสาท เช่น ชาที่บรเวณปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า เนื่องจากปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดที่มีปริมาณสูง จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับประจุทางเคมีในกระแสเลือดส่งผลให้เส้นประสาทที่ทำหน้าที่ในการนำไฟฟ้าไม่สามารถทำการส่งสัญญาณไปยังปลายเส้นประสาทได้ และปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงจะทำให้เกิดอาการอักเสบที่เส้นประสาทตามอวัยวะส่วนต่างๆ ทำให้เกิดอาการชา โดยจะเริ่มที่บริเวณเส้นประสาทส่วนปลาย ที่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าก่อน

โรคเบาหวานเป็นโรคที่สามารถตรวจพบได้ในระยะเริ่มแรก ไม่ต้องรอให้อาการของโรคอยู่ในขั้นรุนแรงถึงจะตรวจพบได้เหมือนโรคบางชนิด โรคเบาหวานเป็นโรคที่มีความร้ายแรงเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นของกโรคเบาหวานที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ซึ่งโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นและพบได้มากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเกี่ยวกับปลายเส้นประสาทชาและการตาบอดเนื่องจากเบาหวานขึ้นตา พบว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่สร้างความผลกระทบกับการดำรงชีวิตของผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องทำการรักษาด้วยการควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดอยู่ในสภาวะปกติอยู่เสมอ

การควบคุมปริมาณน้ำตาลเพื่อรักษาโรคเบาหวาน

  1. การควบคุมปริมาณน้ำตาลเพื่อรักษาโรคเบาหวานการรักษาด้วยการฉีดหรือกินฮอร์โมนอินซูลิน
    การรักษาด้วยการฉีดหรือกินฮอร์โมนอินซูลินเพื่อควบคุมอาการของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมให้ไม่เกิดเป็นอันตรายกับตัวผู้ป่วยได้ ซึ่งรักษาด้วยการผู้ป่วยรับประทานหรือทำการฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือดทดแทนฮอร์โมนอินซูลินตามธรรมชาติ เพื่อที่ร่างกายจะได้ทำการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้ ซึ่งการรับประทานหรือการฉีดฮอร์โมนอินซูลินนี้ต้องได้รับการควบคุมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้เอง นอกจากนั้นแล้วผู้ป่วยยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย การรักษาด้วยวิธีนี้มักจะใช้ทำการรักษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอิซูลินตามธรรมชาติได้เอง หรือจะใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหนักมากและต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ร่างกายสามารถปรับสมดุลได้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งทำการรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไป เมื่อร่างกายมีการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินในระดับที่ปกติแล้ว แพทย์จะทำการหยุดการให้ฮอร์โมนอินซูลินและใช้การรักษาวิธีอื่นแทน

2. การรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาที่ช่วยรักษาระดับปริมาณน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุล เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว ถ้ามีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสูงอยู่ตลอดเวลา เช่น โรคไต โรคหัวใจ เป็นต้น โดยตัวยาจะมีหน้าที่ในการออกฤทธิ์อยู่ 2 ลักษณะ คือ
2.1 ตัวยาจะทำหน้าที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินให้สามารถทำหน้าที่ในการดูดซึมน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น จึงสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้
2.2 ตัวยาจะทำหน้าที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนให้มีการสร้างฮอร์โมนอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้น เมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินที่มากขึ้น ก็จะสามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดได้มากขึ้นตามปริมาณของฮอร์โมนอินซูลินนั่นเอง
ซึ่งปริมาณยาหรือชนิดของยาที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้นั้น จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยคำนึงถึงตัวผู้ป่วยเป็นหลัก

3. การรักษาด้วยออกกำลังกาย
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาในการรักษาเสมอไปเพราะโรคเบาหวานสามารถที่จะรักษาได้ด้วยตัวผู้ป่วยเอง ซึ่งการออกกำลังกาย นับเป็นวิธีที่ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ เพราะการออกกำลังกายจะเป็นลดปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในเลือดให้น้อยลงจนอยู่ในระดับที่ปกติ โดยร่างกายจะทำการดึงน้ำตาลเข้าไปเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการออกกำลัง นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะบริเวณเส้นประสาทส่วนปลายจึงช่วยลดอาการปลายเส้นประสาทชา แต่ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องเป็นการออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก เช่น การวิ่งเหยาะ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือการทำกิจกรรมภายในบ้าน เป็นต้น

4. อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวานกับการควบคุมอาหาร
การควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถรับประทานอาหารทุกอย่างได้เหมือนคนทั่วไป ซึ่งอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานคือ

  • อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง
    ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยในปริมาณที่สูงแต่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เช่น ผัก ผลไม้พืชตระกูลถั่ว ธัญพืช ผักใบเขียวเป็นต้น เพราะอาหารประเภทนี้จะเป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในการสร้างสมดุลของระบบการทำงาน แต่มีปริมาณไขมันและคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ และเส้นใยยังช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้เป็นอย่างดี จึงช่วยลดปริมาณน้ำตาลให้เลือดให้น้อยลง
  • กินให้ครบทุกมื้อ ในแต่ละวันควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ห้ามอดอาหารมื้อใดเป็นอันขาดเพราะจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำตาลซึ่งจะส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยเกิดออาการช็อคได้เช่นเดียวกับการได้รับปริมาณน้ำตาลสูงเกินไป ซึ่งปริมาณอาหารควรเลือกอาหารที่มีไขมันไม่เกิน 30% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการทั้งหมดต่อวัน ควรเลือกรับประทานไขมันดี เช่น ไขมันจากปลา หรือไขมันจากพืช และงดทานไขมันจากหมู ไก่ กะทิที่มีไขมันอิ่มตัวมาก  เพราะเมื่อทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงร่างกายจะย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง
  • งดของหวาน ของหวานเป็นอาหารต้องห้ามของผู้ป่วยโรคเบาหวานเลยทีเดียว เพราะของหวานเป็นอาหารที่มีน้ำตาลในปริมาณที่สูงมากเมื่อรับประทานเข้าไป จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งจะเป็นอันตรายกับผู้ป่วย 

การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสภาวะปกติเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและความสำคัญกับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะทานยาแต่ถ้าไม่ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายเลย ปริมาณน้ำตาลก็ยังสามารถขึ้นได้เรื่อย ๆ ทำให้แพทย์ต้องทำการเพิ่มปริมาณยาให้กับผู้ป่วยเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่สูงเกินค่ามาตรฐาน

นอกจากยาที่ช่วยในการรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาอาหารเสริมที่สามารถช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งมีการค้นคว้าและวิจัยจนพบว่ามีอาหารเสริมสามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสภาวะปกติเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและความสำคัญกับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอย่างมาก

อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมน้ำตาลได้

1. สมุนไพร
สมุนไพรหลายชนิดที่มีส่วนช่วยในการควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด เช่น โสม เห็ดหลินจือ ซึ่งสมุนไพรจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินให้สามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดได้มากขึ้น

2. โครเมียม ( Chromium )
โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีหน้าที่ในการกระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาล ไขมันและคาร์โบไฮเดรตให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน โครเมียมที่อยู่ใน อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จะเข้าไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้ตับอ่อนมีประสิทธิภาพในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้มากขึ้น และยังทำหน้าที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนอินซูลินสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการดูดซึมน้ำตาล

3. เวย์โปรตีน
เวย์โปรตีนเป็น อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีการแนะนำให้รับประทานเวย์โปรตีนก่อนการรับประทานอาหารทุกมื้อ เวย์โปรตีนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนในการสร้างฮอร์โมนอินซูลินให้มีการสร้างอินซูลินออกมาเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถทำการดูดซึมน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเวย์โปรตีนเป็นโปรตีนที่สามารถดูดซึมได้ง่าย เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายจะดูดซึมเวย์โปรตีนก่อนการดูดซึมน้ำตาล จึงช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดได้เป็นอย่างดี ซึ่งเวย์ โปรตีนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีลักษณะแตกต่างจากเวย์โปรตีนทั่วไป นั่นคือ เวย์โปรตีนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีปริมาณน้ำตาล ไขมันต่ำ แต่เวย์โปรตีนทั่วไปจะมีปริมาณน้ำตาล ไขมันที่ให้พลังงานสูงไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน 

การเลือกรับประทาน อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะว่าอาหารเสริมสามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ดี ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารเสริมเกรดการแพทย์เท่านั้น เพราะว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่าย ดังนั้นถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารเสริมที่มีการปนเปื้อนของสารที่เป็นอันตราย อาจจะทำให้เกิดอาหารแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ และควรเลือกผู้ผลิตอาหารเสริมที่ได้การรับรองจากสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ บรรจุภัณฑ์ต้องมีการระบุส่วนผสมทุกชนิดอย่างชัดเจนทั้งปริมาณและสัดส่วนที่มีอยู่ในอาหารเสริม เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้ทราบปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคต่อวัน

การรับประทาน อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จะช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และไปพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง เพื่อทำการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้อาการของโรคเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ป่วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

สารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นกับการบำรุงผิวด้วยวิตามิน

0
การบำรุงผิวด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็น
วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ติดกับเอนไซม์ เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การบำรุงผิวด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็น
วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ติดกับเอนไซม์ เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

สารต้านอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระ ได้จากการรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่นั้นมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่พบว่าเมื่อมีอายุมากขึ้นคุณหมอจะบอกว่าต้องรับประทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ สารต้านอนุมูลอิสระจึงจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายมีความสมดุลส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง เพราะวิตามินสามารถช่วยซ่อมแซมและลดความเสื่อมสภาพของผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ รวมทั้งส่งผลให้เรามีอายุที่ยืนยาวได้ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักวิตามินว่าคือสิ่งใด เหตุใดสารต้านอนุมูลอิสระจึงมีความสำคัญต่อร่างกายมากมายนัก และวิตามินสามารถช่วยบำรุงผิวพรรณและลดความเสื่อมหรือชะลอความเยาว์วัยได้อย่างไร

ความเสื่อมหรือความชราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะหญิงหรือชายทุกคนล้วนต้องแก่ชราด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งบ่งบอกถึงความชราได้อย่างชัดเจนและเป็นสิ่งแรกที่เกิดความชราก็คือ ผิวพรรณภายนอกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะว่าเซลล์ผิวหนังที่มีอายุได้ประมาณ 20-30 วันก็จะตายและหลุดออกเป็นขี้ไคล นอกจากนั้นยังมีลักษณะของผิวพรรณที่บ่งบอกถึงความชรามีอยู่ด้วยกันหลายแบบ

  • ชั้นหนังกำพร้า ( Epidermis ) มีขนาดที่บางลง 10 – 50% ของความหนา ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและแพ้ได้ง่าย
  • stratum spinosum มีอาการฝ่อ ( atrophy ) เกิดขึ้นทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยซึ่งเป็นที่มาของเกิดริ้วรอย
  • เซลล์ผิวหนังที่หมดอาอายุแล้วไม่สามารถหลุดลอกออกมาจากชั้นหนังกำพร้าได้ ทำให้บริเวณผิวมีลักษณะคล้ายกับสะเก็ดสีขาวเกิดขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยให้เซลล์ผิวไม่เสื่อมสภาพเร็ว
  • ผิวหนังเกิดการสูญเสียน้ำมันที่มีอยู่ตามธรรมชาติในชั้นของผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังเกิดอาการแห้งขาดความชุ่มชื่นและยังส่งผลให้เกิดอาการคันเนื่องมากจากผิวหนังแห้ง
  • ชั้นหนังแท้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง เนื่องจากมีการเซลล์ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไปในปริมาณที่น้อยลง ผิวหนังจึงขาดคอลลาเจนและอีลาสตินส่งผลให้ผิวชั้นหนังแท้มีขนาดความหนาลดลง จึงมีลักษณะคล้ายกับมวนบุหรี่ที่ยับ ๆ
  • ปริมาณของชั้นไขมันที่อยู่ในชั้นหนังแท้ยังมีขนาดที่บางลง เนื่องจากมีสารสร้างไขมันขึ้นมาทดแทนไขมันที่สูญเสียไปน้อยลงจึงเกิดช่องว่างระหว่างชั้นหนังแท้และชั้นหนังกำพร้ามีขนาดทีกว้างมากขึ้น ส่งผลให้ผิวชั้นหนังแท้เกิดช่องว่างโดยเฉพาะที่บริเวณใต้ตาเกิดเป็นถุงใต้เตา ที่บริเวณแก้มทำให้แก้มมีลักษณะหย่อนยาน

สารต้านอนุมูลอิสระ มีความทนต่อความชราจะนำมาซึ่งความเสื่อมของผิวพรรณเป็นสิ่งแรกก่อนที่จะเข้าไปสู่อวัยวะอย่างอื่น เช่น กล้ามเนื้อ กระดูกและสมอง ซึ่งสังเกตได้ว่าเมื่อเราอายุประมาณ 30 ปีผิวหนังของเราก็จะเริ่มมีปัญหาและริ้วรอยเกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่กล้ามเนื้อ สมอง กระดูกยังสามารถใช้งานได้อย่างปกติ ไม่มีความบกพร่องหรือความเสื่อมที่บ่งบอกถึงความชราที่เกิดขึ้นเลย

เซลล์ผิวหนังที่มีอายุได้ประมาณ 20-30 วันก็จะตายและหลุดออกเป็นขี้ไคล

สารต้านอนุมูลอิสระสาเหตุที่มาของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณ

1. พันธุกรรม ( Gene )  ลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับมาจากพ่อแม่และบรรพบุรุษที่สามารถกำหนดอายุของเซลล์ภายในร่างกายว่าจะมีอายุอยู่ได้นานแค่ไหน และร่างกายจะเกิดความเสื่อมของระบบการทำงานเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งพันธุกรรมของแต่ละบุคคลจะความแตกต่างกันออกไป เช่น ชาวยุโปกับชาวเอเชีย เราจะพบว่าชาวยุโรปจะมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่แสดงถึงความแก่ชรา ทั้งริ้วรอย ความหมองคล้ำมากกว่าชาวเอเชียที่จะมีลักษณะที่ดูอ่อนเยาว์กว่าชาวยุโรปทั้งที่มีอายุเท่ากัน ที่เป็นแช่นนั้นก็เนื่องมาจากลักษณะทางพันธุกรรมนที่ทำหน้าที่ควบคุมอายุของเซลล์มีความต่างกันนั่นเอง

2. การทำงานของระบบการสร้างของเซลล์ ( cellular senescence )
ร่างกายของเราจะมีกระบวนการสร้าง สารต้านอนุมูลอิสระ และย่อยสลายเซลล์เพื่อรักษาสมดุลของปริมาณเซลล์และขจัดเซลล์ที่หมดอายุออกจากร่างกาย โดยใช้เอนไซม์ เช่น เอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase หรือ metalloproteinase-1, MMP-1 ) และ เอนไซม์ stromelysin ( metalloproteinase-3, MMP-3 ) ที่มีทำหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจน ซึ่งเอนไซม์ชนิดนี้จะสามารถยับยั้งด้วย tissue inhibitorof metalloproteinases ( TIMPs ) ซึ่งในสภาวะปกติที่ร่างกายไม่เกิดความชราปริมาณตัวยับยั้งเอนไซม์จะมีมากกว่าปริมาณของเอนไซม์ จึงทำให้เอนไซม์สามารถทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้ในปริมาณที่น้อย แต่ในสภาวะที่ร่างกายเกิดความชราหรือความเสื่อมเกิดขึ้นนั้น ปริมาณของตัวยับยั้งการทำงานของเอนไซม์จะมีน้อยกว่าปริมาณของเอนไซม์ จึงทำให้เอนไซม์สามารถทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้มากกว่าปกติ จึงส่งผลให้ชั้นหนังแท้เกิดช่องว่างมากขึ้น เนื่องจากปริมาณคอลลาเจนที่สร้างขึ้นมาและมีอยู่ในร่างกายไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างได้หมด

3. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน
สารต้านอนุมูลอิสระ กับฮอร์ใมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ในการแสดงออกของเพศหญิง เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นมาจากรังไข่ ฮอร์โมนเอสโตรเจนนอกจากมีหน้าที่ในการแสดงออกของเพศหญิงแล้ว ฮอร์โมนนี้ยังมีหน้าที่ในการช่วยกระตุ้นการสร้างไฟโบรบลาสต์ ( Fibroblast ) ที่ทำหน้าที่ช่วยในการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินที่อยู่ใต้ผิวเพื่อนำมาทดแทนคอลลาเจนและอีลาสตินที่ต้องสูญเสียไปตามธรรมชาติ และยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างเม็ดสีเมลานินที่อยู่ในชั้นผิวเมลาโนไซต์ ( Melanocyte ) ให้สามารถทำงานได้เพิ่มมากขึ้น ในการป้องกันการเกิดผิวหมองคล้ำ ฝ้าและกระ ดังนั้นถ้าร่างกายมีการสร้างไฟโบรบลาสต์น้อยลงเนื่องจากปริมาณฮอรโมนเอสโตรเจนที่น้อยลงตามอายุแล้ว ก็จะส่งผลให้ผิวเกิดความเสื่อมขึ้นเป็นที่มาของความแก่ของผิวหนัง

4. สารอนุมูลอิสระ ( Free Radical )
สารอนุมูลอิสระ มีทั้งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายและการได้รับจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เนื่องจากอนุมูลอิสระมีอยู่รอบตัวเรา ทั้งในอาหาร อากาศที่เราสัมผัสอยู่ทุกวัน แสงแดด ความร้อน เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณน้อย ร่างกายจะสามารถขจัดอนุมูลอิสระออกมาได้เองตามธรรมชาติ แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับปริมาณสารอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่น ( Oxidative stress ) ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ( Oxidation ) รีดักชั่น ( Reduction ) โดยเฉพาะอนุมูลอิสระออกซิเจน ( Reactive oxygen species หรือ ROS ) และ อนุมูลอิสระไนโตรเจน ( Reactive nitrogen species หรือ RNS ) ที่ได้รับจากภายนอก เช่น ควันบุหรี่ ควันรถ สารเคมี แสงแดด เป็นต้น โดยเฉพาะแสงแดดที่ทอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา จนถึง 16.00 นาฬิกาที่มีความเข้มข้นของรังสีอัตราไวโอเลตสูง จะมีทำให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่น ( Oxidative stress ) ซึ่งกระบวนการภาวะเครียดออกซิเดชั่นจะทำให้ผิวหนังเกิดความเสื่อมได้จากการที่ อนุมูลอิสระออกซิเจน ( Reactive oxygen species หรือ ROS ) และ อนุมูลอิสระไนโตรเจน ( Reactive nitrogen species หรือ RNS ) เข้าไปกระตุ้นการทำงานภายในนิวเคลียสของเซลล์ในระบบการสร้างเอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase หรือ metalloproteinase-1, MMP-1 ) และ เอนไซม์ stromelysin ( metalloproteinase-3, MMP-3 ) ทำให้เกิดกระบวนการทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังส่งผลให้ปริมาณคอลลาเจนลดลงจึงทำให้ผิวแลดูแก่และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

จากปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวพรรณเกิดควาเสื่อม พบว่าสารอนุมูลอิสระที่ได้รับภายนอกส่งผลให้เกิดความเสื่อมของผิวพรรณมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากอนุมูลอิสระที่ได้รับจากภายนอกจะเข้าไปกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นทำให้ระบบการทำงานภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการขจัดอนุมูลอิสระหรือ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่ในร่างกายมีปริมาณที่น้อยก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดความเสื่อมได้มากขึ้นโดยเฉพาะส่วนของผิวพรรณที่เกิดความเสื่อมก่อนอวัยวะอื่น ดังนั้นเวชศาสตร์ชะลอวัยจึงให้ความสำคัญกับการทำงานของระบบเอนไซม์ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อระบบเอนไซม์ของร่างกายสามารถทำงานได้ดี การขจัดสารอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกายออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระบบการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวสามารถสร้างคอลลาเจนขึ้นมาทดแทนปริมาณคอลลาเจนที่สูญเสียไปได้อย่างเพียงพอ

เอนไซม์ ( Enzyme ) คือ โปรตีนที่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวเร่งในการเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ภายในร่างกายของเรา ส่งผลให้ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ทั้งปฏิกิริยาการสร้างและปฏิกิริยาการสลายทุกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในร่างกายนั้น จะต้องอาศัยเอนไซม์ในการเร่งให้เกิดการปฏิกิริยาแทบทั้งสิ้น จึงเห็นได้ว่าเอนไซม์นับเป็นสารที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำงานของร่างกาย แต่การทำงานของเอ็นไซม์บางชนิดจะไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวของเอนไซม์เอง แต่จะต้องมีตัวช่วยอย่างโคเอนไซม์ ( Co-enzyme ) เข้ามาช่วย เอนไซม์จึงจะสามารถทำการเร่งการเกิดปฏิกิริยาให้ระบบสามารถทำงานได้

โคเอนไซม์ ( Co-enzyme ) คือ โมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์ขนาดเล็ก แต่สารประกอบอินทรีย์นี้จะไม่ใช่โปรตีนเหมือนกับเอนไซม์ ซึ่งโมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์ดังกล่าวจะเข้ามาเกาะอยู่กับโครงสร้างของเอนไซม์ส่วนที่ไม่สามารถเข้าไปเร่งทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ หรือที่เรียกว่า “อะโพเอนไซม์ ( Apoenzyme )” เพื่อทำให้เอนไซม์สามารถทำการเร่งปฏิกิริยาทางชีวิเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายให้สามารถเกิดขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โคเอนไซม์ที่มีความสำคัญต่อร่างกายส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของวิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามินซี วิตามินดี วิตามินเอ เป็นต้น
“วิตามิน” มาจากการรวมกันของคำสองคำ คือ ไวตา ( VITA ) รวมกับคำว่า เอมีน ( AMIN ) ที่หมายถึง สารอินทรีย์ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในปริมาณเล็กน้อยเพียงแค่มิลลิกรัมหรือไมโครกรัมต่อวันเท่านั้น ซึ่งวิตามินนี้เป็นสารเคมีอินทรีย์ที่มีโมเลกุลของคาร์บอน วิตามินเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะวิตามินจะมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของระบบภายในร่างกายทุกระบบ ช่วยกระตุ้นและส่งเสริมเอนไซม์ให้สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังให้มีการสร้างในปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ลดความแก่ที่เกิดขึ้นกับผิวหนังได้เป็นอย่างดี

วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ติดกับเอนไซม์ เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1. วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ( Water soluble )
วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ คือ วิตามินชนิดนี้สามารถละลายได้ดีในน้ำ เช่น วิตามินซี วิตามินบี เป็นต้น เมื่อวิตามินชนิดนี้ละลายได้ในน้ำจึงทำให้เมื่อร่างกายได้รับวิตามินเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไม่เกิดการสะสมวิตามินชนิดนี้ไว้ในร่างกายเพื่อใช้ในอนาคต แต่จะขับออกจากร่างกายทันทีที่เหลือจากการใช้งาน โดยจะทำการขับออกมาทางปัสสาวะเป็นส่วนมาก ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับวิตามินนี้จากภายนอกวิตามินจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการทำงานของร่างกายในทันทีและส่วนเกินจากการใช้งานร่างกายก็จะทำการขับออกมาทันทีเช่นกัน ทำให้เป็นวิตามินชนิดนี้เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการเพิ่มอยู่ตลอดเวลาจากภายนอกร่างกาย และวิตามินชนิดนี้ยังสามารถถูกทำลายได้ด้วยความร้อนอีกด้วย 

2. วิตามินที่ละลายในไขมัน ( Fat soluble )
วิตามินที่ละลายในไขมัน คือ วิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดีและวิตามินเค เป็นต้น วิตามินชนิดนี้เมื่อร่างกายได้รับเข้าสู่ร่างกายส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้งานในการสร้างสมดุลให้กับร่างกาย และส่วนเกินที่เหลือจากการใช้งานร่างกายจะนำไปเก็บไว้ที่ตับและบริเวณของเนื้อเยื่อไขมันต่าง ๆ โดยเฉพาะส่วนที่มีการสะสมของไขมันในปริมาณที่สูง เช่น ต้นขา พุง สะโพก และร่างกายไม่สามารถขจัดวิตามินที่ละลายได้ในไขมันออกจากร่างกายได้ทำให้แต่การเก็บสะสมไว้ในไขมันของร่างกาย ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับและมีการสะสมจนทำให้วิตามินชนิดมีมากเกินไปในร่างกายก็จะส่งผลให้เกิดภาวะที่เป็นพิษได้ เช่น ผมร่วง ท้องเสีย อาเจียน ปวดศีรษะ ตับบวมโต ปวดกระดูก และเกิดอาการเลือดหยุดไหลยาก เป็นต้น ร่างกายจึงไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินที่ละลายได้ในไขมันทุกวัน

วิตามินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ ( Co-enzyme ) ติดอยู่กับเอนไซม์เพื่อช่วยให้เอนไซม์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินจะทำหน้าที่ช่วยป้องกันความชราของผิวหนังอยู่ 2 รูปแบบ

1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
โดยเฉพาะวิตามินซีจะสามารถเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้เป็นอย่างดี โดยที่วิตามินจะเข้าไปทำหน้าที่ในการเติมหมู่ไฮดรอกซิล ( hydroxyl group ) ให้กับไฮโดรโพรลีน ( Hydropropren ) กลายเป็นโปรคอลลาเจน ( procollagen ) และโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) ต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนเริ่มต้นในการสร้างสารตั้งต้นสำหรับการสังเคราะห์คอลลาเจนให้กับร่างกาย โดยเมื่อร่างกายทำให้มีการสร้างโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) เพิ่มขึ้น เมื่อมีปริมาณโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) เพิ่มขึ้น เอนไซม์ lysyl oxidase จะสามารถทำการรวมโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) ให้กลายเป็นเส้นใยคอลลาเจนได้ในปริมาณที่มากขึ้น นั้นคือวิตามินมีหน้าที่ช่วยให้มีการสร้างคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นถ้าร่างกายขาดวิตามินแล้วก็จะส่งผลให้ไม่มีการสร้างโทรโปคอลลาเจน ( tropocollagen ) ที่จะนำไปผลิตคอลลาเจน จึงทำให้ปริมาณคอลลาเจนในร่างกายลดลงนั่นเอง

2. ลดการสลายคอลลาเจน
โดยวิตามินนับเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ชั้นเยี่ยมที่ช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายผนังเซลล์และสร้างเอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase ) ได้ เนื่องจากวิตามินเป็นโมเลกุลที่มีความว่องไวในการจับกับตัวรับและสามารถเข้าไปยับยั้งการ โดยวิตามินที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระออกซิเจน ( Reactive oxygen species หรือ ROS )และ อนุมูลอิสระไนโตรเจน ( Reactive nitrogen species หรือ RNS ) ก่อนที่อนุมูลอิสระทั้งสองนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของนิวเคลียสภายในเซลล์เพื่อสร้างเอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase ) ออกมาทำการย่อยสลายคอลลาเจน ทำให้เซลล์ไม่มีการสร้างเอนไซม์เอนไซม์คอลลาเลส ( Collagenase ) คอลลาเจนที่อยู่ภายในร่างกายจึงไม่ถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวหนังมีปริมาณคอลลาเจนสูง ช่วยในการ

เมื่อร่างกายได้รับวิตามินไม่เพียงพอจนร่างกายเกิดภาวะขาดความสมดุลของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายแล้ว จะส่งผลให้การทำงานของเอนไซม์มีการทำงานที่ผิดปกติและอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายกระบวนการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นน้อยลงและยังเข้าไปกระตุ้นการสลายคอลลาเจนที่มีอยู่ให้อ่อนแอ เนื่องจากการทำงานของเอนไซม์ทำการสลายคอลลาเจนได้มากขึ้น จึงทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดความเสื่อมสภาพมากขึ้น จึงทำให้ผิวหนังดูแก่เร็วกว่าที่ควร ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลตามที่ร่างกายต้องการจึงเป็นหนทางที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณได้เป็นอย่างดี โดยวิตามินจะทำหน้าที่ในการส่งเสริมให้ระบบการสร้างคอลลาเจนมีการทำงานที่ดีขึ้น ทำให้มีการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น และช่วยลดการสลายคอลลาเจนทำให้คอลลาเจนมีความแข็งแรง และวิตามินยังเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทรงประสิทธิภาพยอดเยี่ยม จึงช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวและคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังโดนทำลายได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง ตึงกระชับดูอ่อนเยาว์ ซึ่งการรับประทานอาหารประจำวันเพียงอย่างเดียว ร่างกายอาจได้รับวิตามินที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินและ สารต้านอนุมูลอิสระ ให้กับร่างกาย เพื่อที่ระบบการทำงานของร่างกายจะได้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพที่สมบูรณ์อายุยืนยาวนับร้อยปีแบบมีคุณภาพ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน. ผิวสวย : กรุงเทพฯ: บริษัท สามเจริญพาณิชย์, 2558.

Idson B: Vitamins of the skin; Cosmet Toilet 1993: 79-92.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

อาหารเสริมทางการแพทย์ ที่เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง

0
อาหารเสริมทางการแพทย์
การรับประทานผัก ผลไม้ควรเลือกรับประทานให้ครบทุกสีหรืออย่างน้อย 3 สีต่อวันจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง
อาหารเสริมทางการแพทย์
อาหารที่มีโปรตีนสูงจะประกอบไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกายที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน

อาหารเสริมทางการแพทย์ คือ

อาหารเสริมทางการแพทย์ ( Medical Supplements ) คืออะไร? เมื่อร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วย ร่างกายต้องการสารอาหารมากกว่าคนปกติ เพื่อที่จะได้นำสารอาหารเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบภายในร่างกายให้กลับมามีสภาพที่แข็งแรงดังเดิม โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องการสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

โรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นผู้ป่วยที่มีความกังวลใจในหลายด้าน ทั้งด้านการรักษาการดูแลตนเองและการเลือกรับประทานอาหาร  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ทำให้เราได้รับข่าวสารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่ส่งผลให้เกิดมะเร็งหรือส่งผลให้มะเร็งเกิดการลุกลามมากขึ้น ดังนั้นเมื่อตนเองเป็นโรคมะเร็งเกิดขึ้นจึงมีความกังวลใจเกี่ยวกับการรับประทานอาหารว่าอาหารบางชนิดอาจจะส่งผลให้มะเร็งที่เป็นอยู่เกิดการแพร่กระจายลุกลามมากขึ้นกว่าเดิม จึงเลือกที่จะไม่รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารบางชนิดเพียงอย่างเดียวตลอดเวลา เช่น ผัก ผลไม้ และไม่ยอมรับประทานอาหารประเภทอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ เลยแม้แต่น้อย ด้วยความเชื่อที่ว่าการรับประทานผักและผลไม้จะสามารถช่วยให้หายจากโรคมะเร็งได้ ซึ่งการรับประทานแต่เฉพาะผักและผลไม้เพียงอย่างเดียวจะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหารที่จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยอ่อนแอไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อมะเร็ง บางครั้งอาจจะส่งผลให้ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งอ่อนแอมากขึ้น หรือเกิดภาวะที่ขาดสารอาหารจนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ดังนั้นการเลือกอาหารและการรับประทานอาหารให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็งเลยทีเดียว และหากจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็งก็จะสามารถทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ อาหารเสริมทางการแพทย์ ควรทานคู่กับอาหารปกติเพราะการได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้น นอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูและหายจากอาหารป่วยได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในขณะที่เข้ารับการรักษาในแต่ละขั้นตอนได้อีกด้วย

โรคมะเร็งเกิดขึ้นจากการที่เซลล์ภายในร่างกายมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ สาเหตุของเซลล์มะเร็งเกิดจากการกลายพันธ์ของดีเอ็นเอ ( DNA ) ที่อยู่ภายในเซลล์ ซึ่งเซลล์มะเร็งจะสามารถทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และยังสามารถแพร่กระจายไปทำลายเซลล์ที่อวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลได้อีกด้วย

การรักษามะเร็งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ

1. การรักษาด้วยการผ่าตัด คือ การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อหรือก้อเซลล์มะเร็งออกมาจากร่างกาย เพื่อลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในร่างกายได้ ซึ่งการรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจะในระยะที่ 1 หรือระยะ 2 ที่ยังมีการลุกลามไม่มากเท่านั้น การผ่าตัดไม่สามารถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ ต้องทำการรักษาด้วยการฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วยเท่านั้น

2. การรักษาด้วยการฉายรังสี ( Radiotherapy ) คือ การฉายรังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า อนุภาคอิเลคตรอน อนุภาคโปรตอน อนุภาคนิวตรอน เป็นต้น โดยจะทำการฉายรังสีเข้าไปยังตำแหน่งที่มีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น รังสีที่ฉายเข้าสู่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปทำลายสารพันธุกรรมที่อยู่ภายในของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้สารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งเกิดความเสียหายจนเซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด

3. การรักษาด้วยเคมีบำบัด ( Chemotherapy ) หรือการทำคีโม คือ การให้ยาเคมีเพื่อทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถทำการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้และตาย การให้ยาเคมีบำบัดจึงสามารถควบคุมและลดขนาดของก้อนมะเร็งให้มีขนาดคงที่หรือเล็กลงได้ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นของร่างกาย และยังสามารถช่วยบรรเทาปวดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ด้วย

แต่สำหรับการรักษามะเร็งเต้านมยังมีการรักษาด้วย การบำบัดด้วยฮอร์โมน ( Endocrine Therapy ) เป็นการรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย เพราะว่ามะเร็งเต้านมจะสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ดังนั้นการลดปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งไม่ให้มีการลุกลามมากขึ้น ซึ่งบางครั้งการรักษาโรคมะเร็งไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีการเดียวแล้วจะรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องใช้การรักษาร่วมกันมากกว่า 1 วิธี จึงจะสามารถทำการมะเร็งให้หายขาดและไม่กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งในขณะที่ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนผู้ป่วยก็จะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไป

ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการสารอาหารมากกว่าปกติเป็นอย่างมาก อาหารเสริมทางการแพทย์ เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายทำการผลิตสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) ที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งการอักเสบนี้จะเข้าไปเพิ่มให้มีเผาผลาญพลังงานเกิดมากขึ้นจนกลายเป็นภาวะไฮเพอร์เมแทบอลิก ( Hypermetabolic ) ที่มีอัตราเร็วของกระบวนการเมแทบอลิซึม ( Metabolism ) ที่สูงกว่าปกติจึงทำให้มีการสลายโปรตีน ไขมันที่มีในร่างกายมากขึ้น จนร่างกายต้องเกิดการสูญเสียไขมันและโปรตีนมากผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดความเครียดของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีความกังวลและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการรักษาโรคมะเร็ง ความเครียดที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างการผลิตฮอร์โมนแห่งความเครียด ( Stress hormones ) เช่น แอดรีนาลิน ( Adrenalin ) และ คอร์ติซอล ( Cortisol ) ส่งผลให้ร่างกายมีอัตราการเมตาบิลิซึมสูงเช่นเดียวกับการเพิ่มของสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) เมื่อร่างกายมีอัตราการเมตาบอลิซึมที่มากกว่าปกติ ร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหารที่มากขึ้นเพื่อนำเข้ามาใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึมที่เกิดขึ้น แต่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารเท่าเดิมหรือน้อยกว่าปกติ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมกับต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ร่างกายก็จะเกิดภาวะขาดสมดุลของโภชนการหรือเกิดภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก เพราะผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลงเนื่องจากการขาดสารอาหารนี้

อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง คือ อาหารเสริมทางการแพทย์ (

Medical Supplements ) ที่มีความบริสุทธิ์และไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย

อาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยมะเร็ง คือ

1. อาหารที่มีโปรตีนสูง
อาหารที่มีโปรตีนสูงจะประกอบไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกายที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันการติดเชื้อและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจากเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี ซึ่งแหล่งโปรตีนที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง คือ เนื้อปลา ไข่ไก่ โดยเฉพาะโปรตีนจากไข่ขาว นม ถั่วต่างๆ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื่องจากอันตราการเมตาบอลิซึมที่เกิดขึ้นสูงกว่าปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยจึงต้องได้รับอาหารที่มีโปรตีนและกรดอะมิโนอย่างเหมาะสมและเพียงพอ

2. อาหารที่ให้พลังงานสูง
ผู้ป่วยโรคมะเร็งส่วนมากมักจะรับประทานอาหารได้น้อย เนื่องมากจากความเครียดและอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในระหว่างการรักษา เช่น อาการเบื่ออาหาร อาเจียน การรับรสและกลิ่นอาหารเปลี่ยนไป แผลในปากทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง จึงรับประทานอาหารได้น้อยลง ดังนั้นอาหารที่รับประทานจึงควรเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เพื่อที่ว่ารับประทานเพียงเล็กน้อยก็สามารถให้พลังงานได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว

3. กินผักผลไม้ให้ครบ 5 สี
ผักและผลไม้มีสารอาหารในกลุ่ม ไฟโตนิวเทรียนท์สูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ถึงแม้ว่าสารอาหารเหล่านี้จะไม่ได้ให้พลังงานกับร่างกายโดยตรง แต่วิตามินและแร่ธาตุเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายมีความสมดุล สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเร่งการเกิดปฏิกิริยาในการสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย และวิตามิน แร่ธาตุที่อยู่ในผักผลไม้ยังจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตเพื่อป้องกันการลุกลามและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นการรับประทานผักผลไม้ทุกวันก็จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีภูมิต้านทานโรคและป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี การรับประทานผัก ผลไม้ควรเลือกรับประทานให้ครบทุกสีหรืออย่างน้อย 3 สีต่อวันจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ผักผลไม้ 5 สีต้านโรค
1. สีแดง บำรุงผิว ลดการเกิดสิว ป้องกันมะเร็งได้
2. สีเขียว ต้านริ้วรอย ช่วยในการขับถ่าย ต้านโรคมะเร็ง
3. สีส้ม ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ลดไขมันในเลือด
4. สีม่วง ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้เส้นผมเงางาม
5. สีขาว ลดการอักเสบ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ช่วยลดอาการปวดข้อเข่า
ดังนั้น จึงควรรับประทานผักและผลไม้ที่หลากสีให้ได้ 400-500 กรัมต่อวันจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ

4. กินไขมัน
ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนมีความเชื่อว่าไม่ควรรับประทานไขมัน แต่ที่จริงแล้วผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการไขมันเข้าสู่ร่างกายมากกว่าคนปกติเสียด้วย เพื่อมาทดแทนไขมันที่สูญเสียไปในขณะที่ร่างกายเกิดกระบวนการเมตาบอลิซึมที่เกิดมากขึ้น เพราะไขมันเป็นแหล่งที่ให้พลังงาน เป็นแหล่งสะสมของวิตามินที่ละลายในไขมันและยังให้กรดไขมันที่มีความจำเป็นบางชนิดต่อร่างกายอีกด้วย แต่ว่าไขมันที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคมะเร็งควรเป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และงดไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวหรือไขมันทรานซ์ เช่น มันหมู มันไก่ กะทิ เนย เป็นต้น ซึ่งไขมันที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งมากที่สุด ก็คือ ไขมันที่มาจากเนื้อปลา เพราะว่าในไขมันปลาจะมีกรดโอเมก้า 3 ที่สามารถช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อให้มีการอักเสบน้อยลงในผู้ป่วยมะเร็งที่ทำการรักษาด้วยการผ่าตัด การฉายแสงหรือผลอาการข้างเคียงทีเกิดขึ้นจากการให้เคมีบำบัดได้

การรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่พบว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่จะอยู่ในภาวะที่ไม่มีความอยากอาหาร มีการรับประทานอาหารน้อยลง จึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการจะสังเกตได้ว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งแทบทุกคนจะมีร่างกายที่ผายผอมและมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้นในการฟื้นฟูและรักษาอาการอักเสบที่เกิดขึ้นของเซลล์ภายในร่างกาย หรือในผู้ป่วยบางรายรู้สึกเบื่ออาหารไม่อยากรับประทานอาหาร หรืออยากรับประทานอาหารบางชนิดแต่อาหารดังกล่าวไม่สามารถที่จะรับประทานได้ในขณะที่เป็นโรคมะเร็งจึงทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารน้อยลงหรือบางรายไม่ยอมที่จะรับประทานอาหารเลย จึงทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร แต่การที่จะบังคับให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือการจัดอาหารให้มีสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยก็เป็นไปได้ยาก ทั้งสภาวะร่างกายที่ไม่พร้อมจะรับประทานอาหารและสภาวะจิตใจที่เครียดจากอาการป่วยส่งผลให้ความอยากอาหารลดลง

การเลือกอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องคำนึกถึงปริมาณโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งร่วมกับการรับประทานอาหารหลักจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี การรับประทานอาหารเสริมก็เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้นแม้จะบริโภคอาหารน้อยลงหรือเท่าเดิม โดยการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยเสริมสารอาหารให้กับผู้ป่วย ซึ่งอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง เมื่อบริโภคตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่ทำการออกแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งอาหารเสริมอาหารที่ทำการผลิตจะมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ

อาหารเสริมสามารถแบ่งออกเป็น 3 เกรด คือ

1. Feed Grade คือ อาหารที่เกรดต่ำที่สุด เป็นเกรดอาหารที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับการผลิตอาหารให้กับสัตว์รับประทาน มีราคาถูกแต่คุณภาพไม่เหมาะสมกับการรับประทานของคนทั่วไป

2. Food Grade คือ อาหารหรืออาหารเสริมที่มีคุณภาพเท่ากับการผลิตอาหารทั่วไป ซึ่งอาหารเสริมที่อยู่ในเกรดนี้จะมีจำหน่ายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด ไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา ( Food and Drug Administration ) ไม่จำเป็นต้องระบุส่วนผสมของอาหารเสริมทั้งหมดบนฉลากของสินค้า อาหารเสริมชนิดนี้จะมีการปนเปื้อนจากสารเคมีอื่นได้ประมาณร้อยละ 30 เราสามารถนำมาปรุงอาหารเพื่อรับประทานหรือรับประทานเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรงแต่ไม่เกิดโทษกับร่างกาย แต่ว่าสารอาหารที่ได้รับจากอาหารเสริมชนิดนี้ ร่างกายอาจจะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ทั้งหมดตามที่ระบุไว้ที่ฉลากของสินค้า ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแตกตัวของสารที่อยู่ในอาหารเสริมนั่นเอง

3. Medical Supplements คือ อาหารเสริมที่มีการคุณภาพสูงที่สุดในบรรดาอาหารเสริมทั้งหมด ซึ่งคุณภาพและขั้นตอนการผลิตอาหารเสริมชนิดนี้จะเหมือนกับการผลิตยาที่ใช้ในการรักษาโรคทุกอย่าง จึงเรียกอาหารเสริมชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “ อาหารเสริมเกรดยา ” ซึ่งอาหารเสริมเกรดยาจะต้องมีความบริสุทธิ์ของสารอาหารมากว่าร้อยละ 90 และต้องไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีอื่น เช่น สารพิษ โลหะหนัก ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารอาหารที่อยู่ในอาหารเสริมเกรดยานี้จะสามารถทำการแตกตัวเพื่อให้ร่างกายสามารถทำการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณที่ทำการระบุไว้ในฉลากของสินค้า นอกจากนั้นบนฉลากของอาหารเสริมเกรดยาจะต้องระบุส่วนผสมทั้งหมดที่อยู่ในอาหารเสริมนี้อย่างละเอียด ซึ่งปริมาณสารอาหารและคุณภาพของสารออกฤทธิ์ที่ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่มีอยู่ในอาหารเสริมจะต้องมีปริมาณที่คงที่ตลอดอายุของอาหารเสริมที่ระบุไว้บนฉลากของสินค้า อาหารเสริมเกรดยาจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากความบริสุทธิ์ของสารอาหารและขั้นตอนการผลิตที่เหมือนกับยานั่นเอง เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการสารอาหารสูงและระวังเรื่องสารปนเปื้อนที่อาจจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้

ดังนั้น อาหารเสริมคนป่วยกินข้าวไม่ได้ ควรทานอาหารเสริมที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงเป็นอาหารเกรดยา เนื่องจากอาหารเสริมชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนการที่สูงและมีการสารปนเปื้อนที่น้อยมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงที่เกิดจากการได้รับสารพิษบางชนิดได้เป็นอย่างดี

ผลดีของการได้รับอาหารเสริมทางการแพทย์ในผู้ป่วยมะเร็ง คือ

1. ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็ว
เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งจะมีอัตราการเมตาบอลิซึมที่สูงกว่าคนปกติจึงต้องใช้โปรตีน ไขมันและสารอาหารต่าง ๆ มากกว่าปกติ แต่การรับประทานอาหารหลักเพียงอย่างเดียวบางครั้งร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าต้องการให้ได้รับสารอาหารให้เพียงพอก็อาจจะต้องรับประทานอาหารมากกว่าปกติถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นไปได้ยากสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในขณะทำการรักษา เนื่องจากผลข้างเคียงในการรักษาผู้ป่วยจะไม่มีความอยากอาหาร จึงสามารถรับประทานอาหารได้น้อยลงเสียด้วย หรืออาการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นภายในช่องปาก ( mucositis ) ในผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดร่วมกับการรักษาด้วยการฉายแสง เพราะเมื่อผู้ป่วยเกิดแผลที่ภายในช่องปากแล้ว  ผู้ป่วยจะเจ็บปวดและทรมานมากโดยเฉพาะเวลารับประทานอาหาร ทำให้รับประทานอาหารด้วยความยากลำบาก จนรู้สึกไม่อยากรับประทานอาหารเพราะกลัวที่จะเจ็บปวดเวลาที่รับประทานอาหาร ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารและสุขภาพทรุดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าได้รับประทานอาหารเสริมเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย ก็จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารมากขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากอาหารเสริมเกรดยา ( Pharmaceutical Grade ) มีองค์ประกอบของสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เข้มข้นสูงเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง นอกจากนั้นสารอาหารที่อยู่ในอาหารเสริมนั้นร่างกายยังสามารถดึงไปใช้ได้โดยตรงไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายหลายขั้นตอนให้สิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อร่างกายมีโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ร่างกายก็จะสามารถนำพลังงานที่ได้มาซ่อมแซมเซลล์และช่วยในการฟื้นฟูร่างกายที่ถูกทำลายไปให้ฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้น

2. เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
การเข้ารับการให้เคมีบำบัดในแต่ละรอบจะต้องทำกาตรวจวัดปริมาณของเม็ดเลือดขาวก่อนที่จะทำการให้เคมีบำบัดทุกครั้ง ถ้าจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดก็จะไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ เพราะการที่เม็ดเลือดขาวต่ำทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มาก ดังนั้นเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะที่ทำการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องมีเม็ดเลือดขาวในปริมาณที่เหมาะสมก่อนจึงจะทำการให้เคมีบำบัดในครั้งต่อไปได้ แต่การรับประทานอาหารทั่วไปเพียงอย่างเดียวบางครั้งสารอาหารที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในเลือดให้เพิ่มขึ้นในปริมาณที่สามารถเข้ารับการในรอบต่อไปได้ตามที่แพทย์นัด ไม่ต้องเลื่อนไปเพื่อรอให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพิ่มอีก ซึ่งในระหว่างที่ทำการรอนี้เซลล์มะเร็งอาจจะมีการลุกลามมากขึ้นได้ ทำให้ผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ต้องมีการเพิ่มปริมาณยาและเวลาในการรักษาเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเสียกำลังใจซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการรักษาโรคมะเร็ง

อาหารเสริมที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง คือ อาหารเสริมชนิดสำเร็จรูปเกรดการแพทย์  ที่มีความบริสุทธิ์และไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ การเลือกอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องคำนึกถึงปริมาณโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ไม่มากจนเกินไปจนอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกายต้องทำงานหนักซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้
นอกจากการดูแลด้านโภชนาการด้วยการเลือกอาหารให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยรับประทานอาหารและเสริมด้วยอาหารเสริมที่ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งจะฟื้นตัวและสามารถรักษาตัวให้หายจากโรคมะเร็งได้แล้ว การดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยให้มีกำลังพร้อมที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคมะเร็งมากขึ้น

สนใจสั่งซื้ออาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยคลิ๊ก Line: @ amprohealth

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

www.nestlehealthscience-th.com/

“EPIC (European Prospective Investigation into Cancer and Nutrition) Study”. epic.iarc.fr. International Agency for Research on Cancer: World Health Organization.

“Diet, healthy eating and cancer”. info.cancerresearchuk.org. Cancer Research UK.

การฟื้นฟูและดูแลผิวหน้าจากปัญหาต่าง ๆ

0
การฟื้นฟูและดูแลผิวหน้าจากปัญหาต่าง ๆ
ใบหน้าเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจที่ทำหน้าที่ในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ และช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น
การฟื้นฟูและดูแลผิวหน้าจากปัญหาต่าง ๆ
ใบหน้าเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจที่ทำหน้าที่ในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ และช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น

การฟื้นฟูผิวหน้า

สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันทำให้เลี่ยงไม่ได้กับปัญหาผิวในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ซึ่งอาจทำให้ลืม การฟื้นฟูผิวหน้า นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน เพราะใบหน้าเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจที่ทำหน้าที่ในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ ออกสู่ภายนอกให้ผู้อื่นรับรู้ ใบหน้าที่งดงาม มีผิวพรรณเปล่งปลั่งย่อมสร้างความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของใบหน้า และใบหน้าที่งดงามยังช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็นด้วย ตามศาสตร์การรักษาของคนจีนให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่ปรากฏบนใบหน้า เพราะสิ่งเหล่านั้นสามารถบ่งบอกอาการป่วยที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้

ใบหน้าประกอบไปด้วยคิ้ว ดวงตา จมูกและปาก วางเรียงกันตั้งแต่ด้านบนลงมาด้านล่าง นอกจากองค์ประกอบทั้งสี่ที่ช่วยสร้างความสวยงามให้กับใบหน้าแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ใบหน้ามีความสมบูรณ์ นั่นคือ ผิวพรรณของใบหน้า เพราะว่าบางคนมีโครงสร้างของใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ มีหน้าเป็นวงรี ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ปากอวบอิ่มรับกับโครงหน้า แต่ผิวพรรณบนใบหน้ากลับแห้งกราน หยาบบ่งบอกถึงการขาดความชุ่มชื่น ที่ทำให้ใบหน้านั้นดูหม่นหมองไม่น่ามอง แต่บางคนมีโครงหน้าใบหน้าที่ธรรมดาไม่มีสิ่งใดโดนเด่นน่ามอง ทว่าผิวพรรณบนใบหน้ากลับเรียบเนียนมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งสดใส ไร้ปัญหาผิวใด ๆ ใบหน้าที่มีผิวพรรณแบบนี้กลายเป็นใบหน้าที่ชวนมอง สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็นแล้ว

ชาวจีนยังใช้การสังเกตลักษณะผิวพรรณบนใบหน้าในการรักษาโรคที่เกิดขึ้นในร่างกาย โดยจะมีการสังเกตลักษณะของอวัยวะที่อยู่บนใบหน้า ด้วยความเชื่อของแพทย์ชาวจีนที่ว่าลักษณะของอวัยวะต่างๆ ที่อยู่บนใบหน้านั้นสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ภายในร่างกายได้เกือบ และการที่จะทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสไร้ปัญหาได้นั้นก็ต่อเมื่อระบบภายในของร่างกายมีการทำงานที่สมบูรณ์จึงส่งผลออกมาสู่ผิวพรรณที่ดีนั่นเอง

ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วการที่ ผิวหน้า มีความแข็งแรงปราศจากปัญหาได้ก็ต่อเมื่อคอลลาเจนประเภทที่ 1 ( Collagen Type 1 ) อยู่ใต้ผิวมีปริมาณที่เหมาะสม คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความชุ่มชื่นและความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง บริเวณที่มีคอลลาเจนอยู่ในปริมาณสูง บริเวณนั้นจะไม่มีปัญหาของผิวหน้า เช่น ผิวแห้ง รอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา และบริเวณดังกล่าวจะมีผิวที่ชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นดี เต่งตึง กระชับ นอกจากนั้นคอลลาเจนยังเข้าไปเติมเต็มช่องว่างที่อยู่ใต้ผิวจนเต็มป้องกันการยุบตัวของผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นเมื่อช่องว่างใต้ผิวมีมาก

ช่วงวัยเด็กกระบวนการการสร้างคอลลาเจนมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถสร้างคอลลาเจนได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อทดแทนคอลลาเจนที่อายุขัยและสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นมาตามขนาดร่างกายที่ใหญ่เพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น แต่ทว่าเมื่ออายุมากกว่า 20- 25 ปีกระบวนการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายจะมีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลให้ปริมาณคอลลาเจนที่เกิดขึ้นมีปริมาณน้อยลง ทำให้คอลลาเจนที่ในร่างกายไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน โดยเฉพาะที่บริเวณช่องว่างใต้ผิวหนังที่เมื่อปริมาณคอลลาเจนลดลง ช่องว่างจะมีมากขึ้นทำให้เกิดการยุบตัวลงของชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น และเมื่อ ผิวหน้า มีการสูญเสียคอลลาเจนที่เป็นแหล่งความชุ่มชื้นไปจึงทำให้ผิวหน้าโดนทำลายจากแสงแดด อนุมูลอิสระเกิดเป็นผิวหน้าหยาบแห้งกร้านไม่นุ่มเนียน มีฝ้า กระและรอยไหม้เกิดขึ้นได้ โดยปกติคอลลาเจนจะมีการสลายไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อมีการสลายก็ย่อมมีกระบวนการสร้างเกิดขึ้นพร้อมกัน ในวัยเด็กกระบวนการสร้างจะเกิดขึ้นมากกว่ากระบวนการทำลายคอลลาเจน แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนจะลดลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ต่างจากการะบวนการสลายคอลลาเจนที่ยังคงอยู่เท่าเดิม ทำให้ใบหน้าเกิดปัญาเกี่ยวกับผิวมากขึ้นนั่นเอง นอกจากกระบวนการทำลายคอลลาเจนที่เกิดขึ้นภายในร่างกายแล้ว ความเสื่อมคอลลาเจนในร่างกายอาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายนอก

คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความชุ่มชื่นและความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง บริเวณที่มีคอลลาเจนอยู่ในปริมาณสูง บริเวณนั้นจะไม่มีปัญหาของผิวหน้า

ปัจจัยที่ส่งผลให้คอลลาเจนใต้ผิวโดนทำลายจากภายนอก คือ

1. แสงแดด

แสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี ( UV ) โดยแบ่งออกมาเป็น 3 ประเภทตามลักษณะความยาวคลื่น คือ ยูวีเอ ( UVA ), ยูวีบี ( UVB ), และยูวีซี ( UVC ) ซึ่งรังสียูวีจะซึมเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่เริ่มสัมผัสกับ ผิวหน้า โดยรังสียูวีจะทำให้ผิวภายนอกถูกเผาไหม้จากความร้อนที่เกิดอาการแสบร้อน เป็นรอยแดงไหม้ กลายเป็นฝ้า กระแดด รอยถลอก รอยแผลได้ และเมื่อซึมเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังก็จะเข้าไป

ทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้คอลลาเจนเกิดความเสื่อมและสลายตัวไปนำมาซึ่งกระเนื้อ ริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยอันควร และอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดของรังสียูวีก็คือการเข้าไปทำลายดีเอ็นเอที่อยู่ภายในเชลล์ผิวหนังจนเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง รังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อ ผิวหน้า คือรัวงสียูวีที่อยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 16.00 น. แม้ว่าอากาศจะร้อนหรือไม่ร้อนปริมาณรังสียูวีก็จะมีปริมาณที่ไม่แตกต่างกัน

2. สารอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ ( Free Radicle ) คือ โมเลกุลที่อยู่ในสภาวะที่ไม่เสถียรเนื่องจากขาดอิเล็กตรอนอย่างน้อย 1 ตัว อนุมูลอิสระพบได้ทั่วไปรอบตัว ๆ เราทั้งจากสิ่งแวดล้อม เช่น ควันรถยนต์ การเผาไหม้ ฝุ่น ควันบุหรี่ จากอาการ ความร้อน รังสีแกมมา การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า และจากภายในร่างกายที่มาจากผลผลิตของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่ออนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายจะทำการจับตัวและเข้าไปทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ( Oxidation ) กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะผนังของเซลล์ จนสร้างความเสียหายให้กับผนังของเซลล์เกิดการฉีกขาด ส่งผลให้เซลล์สูญเสียน้ำและอาหารที่อยู่ภายในออกมา เซลล์จึงมีสภาพที่อ่อนแอและมีการเหี่ยวย่นลง จึงเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวแห้งหยาบกร้าน บนใบหน้า และอนุมูลอิสระยังสามารถเข้าไปทำปฏิกิริยากับดีเอ็นของเซลล์จนทำให้เกิดการกลายพันธุ์กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

3. การดื่มน้ำ

น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต ร่างกายมนุษย์เราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ส่วนเลยทีเดียว น้ำมีหน้าที่ในการควบคุมอุณหภูมิ ความดัน สมดุลทางประจุและสมดุลความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย และน้ำยังเป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์อีกด้วย ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับน้ำสะอาดในปริมาณที่น้อยก็จะส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะระบบการขจัดของเสียออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายไม่สามารถขจัดของเสียออกมาได้หมด ของเสียก็จะเกิดการสะสมภายในร่างกาย เมื่อมีการสะสมในปริมาณที่มากขึ้นสารพิษเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ระบบทุกระบบเกิดความผิดปกติตามไปด้วย และน้ำที่อยู่ภายในเซลล์ก็จะสกปรกเต็มไปด้วยสารพิษ และสารพิษก็จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้คอลลาเจนมีปริมาณลดลง เกิดความริ้วรอย ฝ้า กระ ความหมองคล้ำ ผิวหนังแห้ง หยาบบนใบหน้า

4. การกิน

การที่ร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงได้ เราต้องรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อที่ระบบการทำงานภายในร่างกายจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อใดก็ตามที่เรารับประทานอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เองแล้ว ก็จะส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ระบบการสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมและ การฟื้นฟูผิวหน้า ส่วนที่สึกหรอไม่สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะกระบวนการสร้างคอลลาเจนต้องอาศัยวิตามินเป็นตัวช่วยอย่างมาก ดังนั้นถ้าร่างกายเกิดภาวะขาดสมดุลของวิตามินแล้ว กระบวนการผลิตคอลลาเจนก็จะไม่สามารถสร้างคอลลาเจนออกมาได้ นอกจากนั้นถ้าร่างกายขาดสมดุลของวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายก็จะส่งผลให้กระบวนการผลิตฮอร์โมนภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ ไม่สามารถผลิตโกรทฮอร์โมนที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและความผิดปกติของระบบการทำงานภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและปัญหาผิวบนใบหน้าอีกด้วย

5. การพักผ่อน

การพักผ่อนที่เพียงพอด้วยการนอนจะส่งผลให้ร่างกายมีการสร้างโกรทฮอร์โมน โกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone: GH ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “น้ำพุแห่งความหนุ่มสาว” โกรทฮอร์โมนเป็นฮอร์โมนที่หลั่งอออกมาจากต่อมไร้ท่อ ช่วงวัยเด็กฮอร์โมนมีหน้าที่ในการควบคุมเจริญเติบโตของร่างกายให้เหมาะสมกับช่วงวัย ควบคุมความกระดูกให้แข็งแรง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีการเจริญเติบโต ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน สร้างพัฒนาการของสมอง โกรทฮอร์โมนเป็นโปรตีนที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน ( Amino-acid ) จำนวน 191 ชนิด ฮอร์โมนนี้ร่างกายจะมีการสร้างตลอดชีวิต แต่จะมีปริมาณการสร้างที่ไม่เท่ากันโดยในวัยเด็กหรือในวัยที่กำลังเจริญเติบโตจะมีการสร้างฮอร์โมนชนิดนี้ในปริมาณที่สูงมาก แต่เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่โกรทฮอร์โมนจะเปลี่ยนหน้าที่จากการสร้างความเจริญเติบโตเป็นการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้สามารถทำงานได้เหมือนเดิมคล้ายกับการคงความหนุ่มสาวให้คงอยู่ยาวนานขึ้นนั้นเอง ซึ่งร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนในช่วงการนอนหลับลึกตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงประมาณตีหนึ่งครึ่ง ดังนั้นถ้าช่วงเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งครึ่งถ้าเรายังไม่เข้าสู่สภาวะการหลับลึกแล้ว ร่างกายก็จะไม่มีการหลั่งของโกรทฮอร์โมนออกมาก ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการซ่อมแซมระบบการทำงานที่มีความผิดปกติเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดความเสื่อมโดยเฉพาะบริเวณ ผิวหน้า ที่จะมีการแสดงปัญหาออกมาอย่างชัดเจน เช่น หน้าหมองคล้ำ ริ้วรอยที่รอบดวงตา ผิวหนังเหี่ยว เป็นต้น

จะพบว่าปัจจัยข้างต้นนี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่เร่งความเสื่อมให้กับการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวและฮอร์โมนที่มีผลต่อการเกิดปัญหาผิวพรรณบนใบหน้า ปัจจุบันนี้ได้มีการความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ต้องการช่วยใน การฟื้นฟูผิวหน้า และดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นกับผิวบนใบหน้าที่สามารถช่วยฟื้นฟูแลแก้ปัญหาผิวพรรณบนใบหน้าอย่างได้ผล ทำให้ใบหน้ามีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลดูอ่อนกว่าวัย

การรักษานี้จะทำการออกแบบการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ทั้งการกิน การนอน การออกกำลังเพื่อช่วยในการสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ทั้งทางด้านโภชนาการด้วยการให้รับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่ร่างกายขาดจนส่งผลให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนและโกรทฮอร์โมนมีความผิดปกติ ซึ่งการออกแบบนี้จะเป็นการออกแบบเฉพาะจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่สร้างผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน

การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่ร่างกายขาดจะช่วยให้ระบบการทำงานที่ช่วยสร้างโกรทฮอร์โมนมีการทำงานที่ดีขึ้นสามารถสร้างโกรทฮอร์โมนได้มากขึ้น เนื่องจากโกรทฮอร์โมนมีองค์ประกอบจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดสมดุลของกรดอะมิโนและวิตามินบางชนิดก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการสร้างโกรทฮอร์โมนลดลง ดังนั้นเมื่อร่างกายมีปริมาณกรดอะมิโนที่ได้จากอาหารเสริมและวิตามิน เช่น แอล-ไลซีน ( L-Lysine ),แอล-กลูตามีน ( L-glutamine ) แอล-ไกลซีน ( L-Glycine ), แอล-เฟนิลอลานีน ( L-Phenylalanine ), แอล-คาร์นิทีน ( L-Carnitine ), แอล-อาร์จินีน ( L-Arginine ) เป็นต้น กรดอะมิโนที่ได้จากอาหารเสริมนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบการผลิตฮอร์โมนของต่อมไร้ท่อให้มีการสร้างและหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาจากภายในร่างกายให้มากขึ้น โกรทฮอร์โมนจะข้าไปช่วยเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญไขมัน น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกาย จึงช่วยลดการที่ไขมันจะเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่บริเวณใบหน้าอย่างได้ผล ทำให้เลือดสามารถเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ที่บริเวณใบหน้า เซลล์จึงมีจึงมีความแข็งแรงสามารถทนทานต่อการทำลายของแสงแดดและสารอนุมูลอิสระจากภายนอก และยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลเจนและอีลาสตินที่อยู่ใต้ผิวหนัง จึงสามารถช่วยป้องกันและลดความเสื่อมของเซลล์บนใบหน้าซึ่งเป็นที่มาของปัญหาผิว เช่น ฝ้า กระ ผิวแห้งกร้าน รอยไหม้ ได้เป็นอย่างดี

นอกจากการสร้างโกรทฮอร์โมนแล้ว การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินยังสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวได้ด้วยการเสริมอาหารและวิตามิน ที่มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนใต้ผิว เช่น วิตามินซี ( Vitamin C ), ไลโคปีน ( Lycopene ), ไลซีน ( Lysine ), ทองแดง ( Copper ) เป็นต้น โดยอาการเสริมและวิตามินจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ดังนั้นถ้าร่างกายเกิดภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุก็จะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นคอลลาเจนได้ ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอในการสร้างเอนไซม์แล้ว การสร้างคอลลาเจนก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทำให้คอลลาเจนสามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้ผิวหนังที่อยู่ด้านนอกไม่มีการยุบตัว จึงไม่เกิดรอยเหี่ยวย่น ตีนกา และคอลลาเจนยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับใบหน้าอีกด้วย จึงช่วยทำให้ ผิวหน้า ดูสดใส เต่งตึงเรียบเนียน มีน้ำมีนวลแลดูอ่อนเยาว์ น่ามองไม่ว่าใครพบเห็นก็มีแต่ความประทับใจในผิวพรรณที่ดูดี
การดูแลสุขภาพจากภายในด้วยการรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเสริมด้วยอาหารเสริมโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อที่ร่างกายจะได้มีสมดุลทางโภชนาการครบถ้วนส่งผลให้ระบบการทำงานภายในร่างกายเกิดขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์จากภายในก็จะส่งผลถึงการแสดงออกภายนอก ทั้งด้านจิตใจที่สดใส ใบหน้าที่สดชื่น รวมถึงปัญหาผิวพรรณ ริ้วรอยบนใบหน้าก็จะหมดไปด้วย การฟื้นฟูผิวหน้า และดูแลอย่างตรงจุดทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณดูดี บุคลิกความมั่นใจที่มีก็เต็มร้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

ทำความรู้จักกับ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine )

0
ทำความรู้จักกับเวชศาสตร์ชะลอวัย Anti-Aging Medicine
เวชศาสตร์ชะลอวัย คือ ศาสตร์ทางการแพทย์ที่เน้นการดูแลสุขภาพจากภายในร่างกาย ดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้อยู่ในสภาวะที่แข็งแรงสมบูรณ์
ทำความรู้จักกับเวชศาสตร์ชะลอวัย Anti-Aging Medicine
ความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายแบบที่แสดงออกภายนอก สามารถสังเกตเห็นได้ภายนอก เช่น ความเหี่ยวของผิวหนัง การเปลี่ยนของสีผม

เวชศาสตร์ชะลอวัย

เวชศาสตร์ชะลอวัยคืออะไร ? เมื่อการเพิ่มขึ้นของอายุเป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และสิ่งที่มาควบคู่กับอายุที่เพิ่มขึ้นก็คือความเสื่อมหรือความชรา ( Aging ) ความชราเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาของคนทุกคน เพราะความชราเป็นการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงของระบบการทำงานของอวัยวะและต่อมต่าง ๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย เมื่อระบบอวัยวะและต่อมมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงย่อมส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอตามไปด้วย ซึ่งความชราที่เกิดขึ้นนับเป็นโรคชนิดหนึ่งทางการแพทย์ คือ โรคชรา ถึงแม้ว่าโรคชราจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถป้องกันได้จึงมีการศึกษาและพัฒนาศาสตร์ที่ทำการรักษาโรคชราขึ้นมา ซึ่งศาสตร์นั้นคือ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) ที่ช่วยลดความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานของร่างกาย จึงช่วยลดความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้ลดลงหรือเกิดขึ้นช้าลงได้ 

แต่ก่อนที่จะทำความรู้จักกับ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) เรามาทำความรู้จักกับความชราก่อนว่ามีแบบใดบ้างและมีสาเหตุมาจากอะไร ความชราจึงเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา

ความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายมี 2 แบบ คือ

1. แบบที่แสดงออกภายนอก คือ ความชราที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ภายนอก เช่น ความเหี่ยวของผิวหนัง การเปลี่ยนของสีผม เป็นต้น

2. แบบที่ไม่แสดงออกภายนอก คือ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น ระบบการเผาพลาญ ระบบการขจัดของเสีย ระบบการผลิตฮอร์โมนของต่อมต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางลบ คือ ประสิทธิภาพการทำงานลดลงทำให้ระบบมีการทำงานที่ลดลงตามไปด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบนี้จะเกิดขึ้นที่ละน้อยและไม่ส่งผลต่อร่างกายในระยะแรก แต่เมื่อผ่านไปเป็นระยะหนึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกหงุดหงิด นอนไม่หลับ ไม่มีแรง และเจ็บป่วยได้ง่าย

พบว่าความชรา ( Aging ) เป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะกับตัวเองและผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือคนในครอบครัวที่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ความชราที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งเราสามารถแบ่งปัจจัยที่ทำให้ร่างกายชราได้

สาเหตุที่ทำให้ร่างกายแก่ หรือ ชรา

1. การใช้งานหนักเกินไป ( Overuse )

ร่างกายของคนเราก็เหมือนกับเครื่องจักรที่เมื่อทำงานนานหรือทำงานหนักก็จะเกิดการเสื่อมสภาพ ประสิทธิภาพการทำงานลดลงหรือบางระบบของเครื่องจักรไม่สามารถทำงานได้เหมือนตอนที่ติดตั้งใหม่ ดังนั้นถ้าเราใช้ร่างกายทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องใช้แรงมากหรือทำงานที่ต้องใช้สมองมีความเครียดสูง การพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายทำงานตลอดเวลา การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์จนร่างกายต้องเร่งขจัดของเสียออกมามากขึ้น การไม่ออกกำลังกายอย่างถูกต้องทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทุกสิ่งล้วนทำให้ระบบภายในของร่างกายเกิดความเสื่อมขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งความเสื่อมจะค่อยๆ เกิดขึ้นและสะสมจนส่งผลต่อการทำงานในภาพรวมของร่างกาย การใช้งานร่างกายอย่างหนักอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ จะทำให้เซลล์มีอายุสั้นลงเพราะต้องทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับร่างกายจนไม่มีเวลาฟื้นฟูหรือซ่อมแซมตัวเองให้แข็งแรง 

2. ภาวะฮอร์โมนบกพร่อง ( Hormonal Insufficiency )

เมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้นระบบการผลิตฮอร์โมนภายในร่างกายจะมีการทำงานที่ลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การรับประทานอาหารที่ไม่ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง ต้องได้รับจากภายนอกเท่านั้น ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับวิตามินในปริมาณที่ไม่เพียงพอย่อมส่งผลให้เกิดภาวะขาดฮอร์โมนเกิดขึ้น เพราะวิตามินมีส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมน จึงทำให้ปริมาณฮอร์โมนที่มีหน้าที่ช่วยในการสร้างเซลล์และซ่อมแซมเซลล์มีปริมาณลดลง ส่งผลให้เซลล์อ่อนแอลงและมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการทำงานของระบบอวัยวะภายใน ทำให้ระบบของร่างกายเกิดความชรา

3. พันธุกรรม ( Genetic )

พันธุกรรมเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเลือกได้ เพราะเป็นการถ่ายทอดออกมาจากบรรพบุรุษที่เราไม่สามารถเลือกได้นั่นเอง พันธุกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กำหนดว่าร่างกายของเราจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ยกตัวอย่างเช่น บางครอบครัวพ่อแม่เป็นคนที่ผมเริ่มหงอกเมื่ออายุประมาณ 30 ปี เมื่อลูกเกิดมาก็จะมีผมหงอกเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 30 ปีเช่นกัน แต่ในบางครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนที่ผมหงอกช้า โดยจะเริ่มมีผมงหงอกเมื่ออายุประมาณ 60 ปี เมื่อลูกเกิดมาก็จะเริ่มมีผมหงอกที่อายุประมาณ 60 ปีเช่นกัน เป็นต้น ดังนั้นพันธุกรรมจึงเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเกิดความชราช้าหรือเร็วได้เช่นกัน

4. การเกิดสารอนุมูลอิสระ ( Free Radical )

อนุมูลอิสระเป็นสารที่เข้ามาทำปฏิกิริยากับออกซิเดชั่นกับเซลล์ ทำให้เซลล์เกิดความเสื่อม โดยที่อนุมูลอิสระจะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ทำให้เซลล์สูญเสียน้ำที่อยู่ภายในจนเซลล์เกิดการเสื่อมสภาพและตายไปในที่สุด หรือเข้าไปทำลายดีเอ็นเอของเซลล์จนเซลล์ไม่สามารถทำการซ่อมแซมตัวเองให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม ถึงแม้ว่าเซลล์เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องตายไปแต่อนุมูลอิสระจะเข้ามาเร่งปฏิกิริยาทำให้เซลล์ตายเร็วขึ้น ดังนั้นถ้าร่างกายมีอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมากแล้วเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกายย่อมเกิดความเสื่อมสภาพมากขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายเกิดความชราเร็วขึ้นตามไปด้วย

เวชศาสตร์ชะลอวัย ที่ช่วยลดความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานของร่างกาย จึงช่วยลดความชราที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้ลดลงหรือเกิดขึ้นช้าลงได้

5. การอักเสบเรื้อรัง

คนที่อ้วนมีไขมันสะสมเยอะ เซลล์ไขมันจะปล่อยสารอักเสบออกมาทำให้หลอดเลือดอักเสบ พอหลอดเลือดอักเสบก็จะมีไขมันไปเกาะที่หลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและก็เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองตีบได้

6. ภาวะน้ำตาลสะสม

เกิดจากการที่เรารับประทานน้ำตาล หรืออาหารจำพวกแป้งมากๆ พอถูกย่อยกลายเป็นน้ำตาลไปแล้ว น้ำตาลจะไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนในร่างกาย ทำให้โปรตีนหรือเซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ เหมือนเอาเนื้อไปแช่ในน้ำหวานนานๆ เนื้อก็แปรสภาพก็ทำให้เซลล์เสื่อม

7. การสะสมของสารพิษ

จากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เราต้องสัมผัส เช่น ควันบุหรี่ รังสี สารเคมี โลหะหนัก ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป พวกสารพิษต่างๆ จะไปสะสมที่เซลล์ ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ

8. ภาวะเป็นกรด

ร่างกายจะมีการสร้างกรด ส่วนหนึ่งมาจากอาหารที่เรารับประทาน (โปรตีนสูง) และอีกส่วนหนึ่งมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ร่างกายจะปรับสมดุลของกรดเหล่านี้ให้กลับสู่ปกติโดย ตับจะทำหน้าที่เปลี่ยนกรดบางชนิดให้เป็นด่าง ปอดจะช่วยขับกรดออกจากร่างกายในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์และไตจะขับกรดออกทางปัสสาวะในรูปของแอมโมเนีย ดังนั้นภาวะเป็นกรดจะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ

9. ภาวะเสื่อมสภาพของเซลล์ต้นกำเนิด หรือที่เรียกว่า สเต็มเซลล์

เมื่ออายุมากขึ้นเวลาที่ไม่สบายจะหายช้า ไม่เหมือนตอนที่เป็นเด็ก เพราะเซลล์ต้นกำเนิดของเราหรือสเต็มเซลล์มีการเสื่อมสภาพลง การซ่อมแซมก็น้อยลงกว่าปกติ

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายเกิดความชรา ( Aging ) บางปัจจัยเราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้อย่างพันธุกรรมกับอายุที่เราไม่สามารถเลือกและหยุดให้อยู่กับที่ได้ แต่สารอนุมูลอิสระกับการใช้งานร่างกายเป็นปัจจัยที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ และปัจจัยทั้งสองยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ความชราเกิดขึ้นมากและรวดเร็วอีกด้วย

ความชราเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตัวเองและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถที่จะทำให้ความชราเกิดขึ้นช้าลงได้ ด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมการผลิตเซลล์ต้นกำเนิด ( Stem cell ) หรือแม้แต่การสร้างโคลนนิ่งของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา ทำให้เราค้นพบวิธีการที่สามารถช่วยชะลอความชราและเร่งการฟื้นฟูหรือซ่อมแซมระบบภายในของร่างกายให้สามารถกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ด้วยวิธีการรักษาสุขภาพแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine )

เวชศาสตร์ชะลอวัย คืออะไร มีข้อดีอย่างไร

เมื่อได้ยินคำว่าชะลอวัย เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงการบำรุงและดูแลผิวพรรณการลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ที่จริงแล้วการลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นเป็นเพียงหนึ่งในการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยเท่านั้นเอง แต่แท้ที่จริงแล้ว

เวชศาสตร์ชะลอวัยคือ ศาสตร์ทางการแพทย์แขนงหนึ่งที่เน้นการดูแลสุขภาพจากภายในร่างกาย การดูแลจะทำการดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้อยู่ในสภาวะที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยการรักษาจะเน้นรักษาแบบป้องกันแบบองค์รวม คือ การดูแลระบบการทำงานของร่างกายทั้งร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดีหรือมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงตามกาลเวลาที่เพิ่มขึ้นของร่างกายพร้อมทั้งค้นหาสาเหตุของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับร่างกายว่ามีสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร เพื่อที่จะได้ทำการป้องกันไม่ให้สาเหตุดังกล่าวสร้างผลกระทบต่อการทำงานของระบบ จนทำให้เกิดอาการป่วยหรือการเสื่อมเกิดขึ้นอีก   

การรักษาแบบเวชศาสตร์จะต่างจากการรักษาแบบทั่วไป เพราะว่าการรักษาแบบทั่วไปเมื่อมีอาการป่วยแล้วจึงจะไปหาหมอเพื่อทำการรักษาให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ โดยแพทย์จะทำการรักษาอาการที่เป็นอยู่อย่างให้หายไป แต่ไม่ได้รักษาที่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดอาการป่วยดังกล่าว เราจึงมีโอกาสที่จะป่วยแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะสาเหตุที่ทำให้เราป่วยยังอยู่ภายในร่างกายนั่นเอง เช่น คนที่มีอาการไอ มีน้ำมูก เมื่อไปพบแพทย์ทำการรักษา แพทย์จะให้ทานยาแก้ไอกับยาลดน้ำมูกเพื่อรักษาอาการดังกล่าวให้หาย

สำหรับการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) แล้ว จะทำการรักษาอาการที่เป็นอยู่ในปัจจุบันร่วมกับการตรวจหาสาหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอและมีน้ำมูกว่ามีสาเหตุมาจากอะไร เช่น เกิดจากการแพ้อากาศหรือเกิดจากการอักเสบเนื่องจากความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันหรือเกิดจากความผิดปกติของระบบการทำงานที่จุดใด เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็จะมุ่งรักษาอย่างตรงจุด เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้ไม่มีอาการไอและมีน้ำมูกเกิดขึ้นอีกในอนาคต

จะเห็นว่าการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) มุ่งเน้นกับความสำคัญของการทำงานของระบบร่างกายซึ่งจะสามารถดูแลสุขภาพให้มีความแข็งแรงในระยะยาวมากกว่าการรักษาอาการแบบชั่วคราวหรืออาการเฉพาะหน้าให้หาย การรักษาด้วยศาสตร์ชะลอวัยจึงเป็นการรักษาที่เน้นผลในระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น ดังนั้นผู้ที่เข้ารับการรักษาจะต้องใช้เวลาในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1-3 เดือนจึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน แต่ทว่าเมื่อเกิดผลขึ้นแล้วผลที่เกิดขึ้นจะยั่งยืนและส่งผลให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้นในอนาคต ไม่ใช่ว่ารักษาวันนี้หายแต่อีก 5 วันกลับมาป่วยเหมือนเดิมอีก

ขั้นตอนการรักษาของ เวชศาสตร์ชะลอวัย

เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) เป็นการรักษาทางการแพทย์หรือแพทย์ทางเลือกอีกแขนงหนึ่งที่ได้รับความนิยม ซึ่งขั้นตอนในการรักษาก็จะสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1. สอบประวัติ

การรักษาทางการแพทย์ทุกอย่างต้องเริ่มมาจากการสอบประวัติของผู้ป่วยก่อน เพื่อทำความรู้จักข้อมูลพื้นฐานของตัวบุคคลว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคใดบ้าง ซึ่งโรคที่มีความเสี่ยงจะเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ

1.1 พันธุกรรม โรคบางโรคสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาสู่ลูกหลานได้ ถึงแม้ว่ายังไม่มีอาการแสดงในขณะที่ยังมีอายุน้อยแต่ก็ไม่แน่ว่าเมื่อมีอายุมากขึ้น โรคดังกล่าวอาจจะแสดงอาการออกมาหรืออาจจะไม่แสดงอาการออกมาเลยก็ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น 

1.2 พฤติกรรม การกระทำเป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดโรค เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การกินอาหารจำพวกแป้งสูง การนอนน้อย การไม่กินผักผลไม้ พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่อการทำงานของระบบภายในร่างกายให้อยู่ในสภาวะไม่สมดุล หรือบางพฤติกรรมก็เป็นการเพิ่มอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการสอบประวัติโดยละเอียดของผู้ป่วย เพื่อที่จะเป็นส่วนช่วยในการรักษาต่อไป

2. การตรวจเลือด ( Blood Test )

การตรวจเลือดของการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย จะมีความแตกต่างจากการตรวจเลือดของการตรวจสุขภาพทั่วไปเพราะว่าการตรวจสุขภาพทั่วไปจะเป็นการตรวจเพื่อทำการตรวจเช็คว่าร่างกายมีอาการของโรคใดเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ แต่การตรวจแบบ Anti-Aging Medicine จะทำการตรวจอย่างละเอียดถึงการทำงานของระบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานเป็นอย่างไร เช่น อัตราการเผาผลาญพลังงาน ( Metabolism ) อัตราการยืดหดของกล้ามเนื้อ เป็นต้น นอกจากนั้นยังทำการตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ และระดับวิตามินในร่างกายว่าร่างกายมีปริมาณมากน้อยเท่าใด เพราะว่าการที่ร่างกายจะเกิดโรคได้นั้นจะต้องมีระบบภายในร่างกายเกิดการทำงานที่ผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดโรคขึ้น โดยเฉพาะปริมาณฮอร์โมนและวิตามินที่มีอยู่ในร่างกาย เนื่องจากทั้งสองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการทำงานของระบบอวัยวะให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ฮอร์โมนและวิตามินจะเข้ามาเชื่อมประสานการทำงานของแต่ละระบบให้มีความสอดคล้องกัน เพราะว่าร่างกายของเราไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนด้วยการทำงานของระบบอวัยวะใดเพียงระบบเดียวเท่านั้น แต่ทุกระบบของร่างกายต้องทำงานประสานกันอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป กระเพาะอาหารทำการย่อยอาหาร ลำไส้เล็กทำการดูดซึมสารอาหาร ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย กระแสเลือดทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย จะเห็นว่าถ้าอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งไม่ทำงาน ร่างกายก็จะเกิดความผิดปกติในทันที ซึ่งฮอร์โมนและวิตามินจะเป็นตัวช่วยในการประสานงานให้ทุกระบบทำงานอย่างสอดประสานกัน ดังนั้นถ้าปริมาณฮอร์โมนหรือวิตามินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะมากไปหรือน้อยไป ย่อมส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติตามไปด้วยโดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมของร่างกาย เช่น เทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) เมลาโทนิน ( Melatonin ) เซโรโทนิน ( Serotonin ) เอสโตรเจน ( Estrogen ) เป็นต้น 

3. การตรวจยีนส์ ( Gene Test )

ยีนส์ เป็นลักษณะที่เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะตรวจเมื่ออายุเท่าใด ลักษณะของยีนส์ก็จะยังเหมือนเดิมทุกประการ ซึ่งการตรวจในระดับยีนส์นี้จะช่วยให้ทราบถึงลักษณะเฉพาะของบุคคลได้เป็นอย่างดี ว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคใดบ้าง เพราะว่ายีนส์จะบ่งบอกทุกอย่างออกมาให้แพทย์ได้ทราบอย่างชัดเจน และการตรวจยีนส์ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าพฤติกรรมใดบ้างที่สร้างความเสี่ยงให้กับร่างกายในการเกิดโรคในอนาคต

จะพบว่า เวชศาสตร์ชะลอวัย จะให้ความสำคัญกับทุกอย่างที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบอวัยวะร่างกาย ทั้งฮอร์โมน วิตามินและแร่ธาตุ ภูมิต้านทานของร่างกาย กรดอะมิโน กรดไขมันจำเป็น และสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงการตรวจสอบรหัสพันธุกรรมว่าลักษณะยีนส์ที่ได้รับการถ่ายทอดมีความเสี่ยงในการเกิดโรคใดบ้าง โดยก่อนที่จะทำการรักษาแพทย์จะทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทุกอย่างอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้นำข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบนี้มาออกแบบหรือวางแผนการการรักษาได้อย่างถูกต้อง

การรักษาด้วย เวชศาสตร์ชะลอวัยจะว่าเป็นการรักษาก็ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยา เพราะว่าคนที่เข้ารับการรักษาส่วนมากจะไม่ใช่ผู้ที่มีอาการป่วยเกิดขึ้น แต่เป็นผู้ที่ไม่ต้องการให้ตัวเองป่วย จึงเป็นการรักษาที่ทำการดูแลระบบการดำเนินชีวิตว่าต้องปฏิบัติอย่างไร ร่างกายขาดสารอาหารชนิดไหนและต้องเพิ่มหรือเสริมสารอาหารชนิดให้มาก ลดอาหารชนิดใดให้น้อยลง และต้องออกกำลังอย่างไรจึงเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งการออกแบบทุกอย่างนั้นจะเป็นลักษณะที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับคนอื่นได้

เวชศาตร์ชะลอวัย เหมาะกับใคร

เวชศาสตร์ชะลอวัย เหมาะกับทุกคนตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดาหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีก็สามารถเข้ารับการรักษาได้ แต่ว่าถ้าเข้ารับการรักษายิ่งเร็วก็จะยิ่งดีกับร่างกายของเรา เพราะว่าการรักษาแบบ เวชศาสตร์ชะลอวัย ( Anti Aging Medicine ) เปรียบเสมือนเส้นทางการเดินทางที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อที่เราจะไม่ต้องพบเจอกับอุปสรรคด้านสุขภาพ หรือแม้ว่าจะต้องพบบ้างแต่ก็เป็นเพียงอาการเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การรักษาด้วย จะทำให้เราเป็นบุคคลที่มีอายุยืนยาวแบบมีคุณภาพสูง นั่นคือ การมีอายุที่ยืนยาวโดยที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เจ็บป่วย มีสุขภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ร่าเริงแจ่มใส มีความจำที่แม่นยำ ผิวพรรณผ่องใสน่ามอง ไม่ใช่เป็นคนที่มีอายุยืนยาวแบบที่ต้องนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ได้รับอาหารทางสายยาง หายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ เวชศาสตร์ชะลอวัย จึงเป็นศาสตร์การรักษาที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติและมีความสุขแบบที่ทุกคนใฝ่ฝันหา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

การจัดเตรียมวิตามินและอาหารเสริมเฉพาะบุคคลในเวชศาสตร์ชะลอวัย

0
การจัดเตรียมวิตามินและอาหารเสริมเฉพาะบุคคลในเวชศาสตร์ชะลอวัย
วิตามิน คือ สารประกอบอินทรีย์ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
การจัดเตรียมวิตามินและอาหารเสริมเฉพาะบุคคลในเวชศาสตร์ชะลอวัย
การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินเฉพาะบุคคลเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าร่างกายของคนเรามีความต้องการที่ต่างกัน

วิตามิน และอาหารเสริม

การจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม เฉพาะบุคคล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับผลเลือดและสรรถภาพของร่างกายการดำรงชีวิตของคนในสังคมยุคปัจจุบันต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เร่งด่วนไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะการเดินทาง การักผ่อน และการรับประทานอาหารเพื่อให้ทันต่อความก้าวหน้าของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ที่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเราก็สามารถคุยกับคนที่อยู่อีกซีกโลกได้ ทำให้ชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความเครียด ความกดดัน สารพิษจากสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าความเร่งรีบทุกช่วงเวลา ทำให้เรามีเวลาในการเลือกสรรอาหารมารับประทานน้อยลงหรือแม้กระทั้งไม่เคยสนใจเลยว่าอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันมีสารอาหารอะไรบ้างหรือไม่ รับประทานเพียงแค่ให้อิ่มท้องเพื่ออยู่รอดไปวันวัน ทั้งอาหารฟาสฟูตส์ที่เต็มไปด้วยแป้ง น้ำตาลหรืออาหารปรุงสำเร็จที่ผ่านกระบวนการจนสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไม่หลงเหลืออยู่เหลือแต่กากเส้นใยเท่านั้นที่รับประทานเข้าไป จะมีสักกี่คนที่ยังให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารเพื่อที่ร่างกายจะได้รับสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ จากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าคนไทยเกินครึ่ง ได้รับสารอาหารจากการรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ในแต่ละวันและมีแนวโน้มที่คนไทยจะมีภาวะขาดสารอาหารเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัยทำงาน ที่ต่างก็มุ่งไปกับการทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวจนละเลยความสนใจเรื่องการรับประทานอาหาร ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสารอาหารโดยเฉพาะสารอาหารหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 นั่นคือ วิตามินและเกลือแร่ที่อยู่ในผักและผลไม้นั่นเอง

แต่ก็มีบางคนที่บอกว่ากินผักผลไม้เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีทางที่ร่างกายจะเกิดภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายแน่นอน แต่ทว่าพอไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดกลับพบว่ามีการระบุอย่างชัดเจนว่าร่างกายมีภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจสำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการบริโภคผักผลไม้ที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้น ไม่ได้มีผลต่อการรับวิตามินและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกายมากเท่าใดนัก เพราะผักผลไม้ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันต้องผ่านการเดินทางขนส่งและเก็บรักษามาเป็นเวลาหลายวันกว่าจะถึงมือผู้บริโภคอย่างเรา ต้องผ่านทั้งความร้อน ความชื้นและมีการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) กับอากาศมานับครั้งไม่ถ้วย ส่งผลให้ผักผลไม้เหล่าสูญเสียวิตามินและแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกายไปเกือบหมดแล้ว เมื่อรับประทานเข้าไปก็ไม่ต่างกับการกินกากใยอาหารเข้าไปเสียเท่าใดนัก ต่างจากผักผลไม้ที่เก็บสด ๆ จากต้นแล้วนำมารับประทานในทันทีที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นอยู่ครบถ้วน ที่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วร่างกายจะได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งการที่เราจะรับประทานผักผลไม้จากต้นก็คงเป็นไปได้ยากในสังคมยุคนี้ หรือแม้แต่การนำผักผลไม้มาปรุงด้วยกรรมวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อน การผ่านความร้อนสูงทั้งระยะสั้นและระยะยาวล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้วิตามินและแร่ธาตุสูญเสียออกไปจนหมด

เราทราบกันแล้วว่าวิตามินนั้นมีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ถ้าร่างกายมีปริมาณวิตามินไม่สมดุลก็จะส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติได้

วิตามิน คือ สารประกอบอินทรีย์ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด วิตามินบางชนิดร่างกายสามารถสังเคราะห์ออกมาได้น้อยมากไม่เพียงต่อความต้องการของร่างกายและวิตามินบางชนิดร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เองต้องได้รับจากภายนอก คือ ได้รับจากอาหารและสิ่งแวดล้อมเช่น แสงแดด ถึงแม้ว่าร่างกายของเราจำเป็นจะต้องใช้วิตามินในปริมาณเล็กน้อยแต่กลับมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมหาศาลเลยทีเดียว ทำให้ร่างกายไม่สามามารถขาดวิตามินได้แม้เพียงชนิดเดียว เพราะวิตามินจะเข้าไปสร้างสมดุลให้กับร่างกาย พร้อมทั้งควบคุมการทำงานของระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนให้เปลี่ยนกลายเป็นกล้ามเนื้อ ช่วยในควบคุมการเจริญของเซลล์และเนื้อเยื่อให้กลายเป็นเซลล์เฉพาะตำแหน่งตามอวัยวะต่าง ๆ ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายเซลล์และอวัยวะภายในร่างกาย รวมถึงวิตามินยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยประสานงานการส่งสัญญาณของระบบประสาทอีกด้วย 

ถ้าร่างกายมีภาวะขาดวิตามินเกิดขึ้นก็จะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติขึ้น อาการของผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินจะไม่แสดงออกในทันที แต่อาการขาดวิตามินจะค่อย ๆ สะสมมากขึ้นทีละน้อย แบบค่อยเป็นคอยไปจนในที่สุดอาหารขาดวิตามินจะส่งผลให้ระบบการทำงานเกิดความผิดปกติอย่างรุนแรงและมีการแสดงออกมาอย่างชัดเจน เช่น มีอาการนอนไม่หลับหรือมักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนส่งผลให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดข้อ ผิวแห้งหยาบกร้านแตก อารมณ์เสีย หงุดหงิดง่ายและบ่อยโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อที่ขาเกิดอาการกระตุกหรือเป็นตะคริวโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการปวดหรือชาที่บริเวณปลายมือและเท้า เลือดกำเดาออกง่ายและบ่อยครั้ง บาดแผลมีเลือดออกมาและเลือดหยุดไหลช้า ปากแห้งแตกหรือเป็นโรคปากนกกระจอก อาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอาการที่เกิดเนื่องจากภาวะร่างกายขาดวิตามินทั้งสิ้น

พบว่าปัจจุบันมีคนที่มีอาการดังกล่าวเป็นจำนวนมากและยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดอาการเหล่านั้นคือจากการรับประทานอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ ส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือเกิดภาวะขาดวิตามิน แต่ถ้าจะมุ่งหวังให้ได้รับประทานผักผลไม้สดจากต้นเพื่อที่จะได้รับปริมาณวิตามินที่ครบถ้วนก็คงทำได้ยากมาก ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการคิดค้นพัฒนาและผลิตวิตามินในรูปแบบของวิตามินและอาหารเสริมออกมาจำหน่ายเพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดวิตามินที่เกิดขึ้น

อาหารเสริมและวิตามินที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่สกัดมาจากวัตถุดิบธรรมชาติหรือทำการสังเคราะห์ขึ้นมาจากกระบวนการวิทยาศาสตร์ ที่เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ด้วยความสะดวกสบายในการรับประทานและความเร่งรีบของวิถีชีวิตการบริโภคอาหารเสริมและวิตามินจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว การกำหนดปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันที่มีการกำหนดอย่างชัดเจนจากผู้ผลิตเป็นปริมาณที่กำหนดหรือแนะนำให้บริโภคต่อวันโดยกระทรวงสาธารณสุขกำหนด (RDI) ซึ่งปริมาณที่กำหนดขึ้นเป็นปริมาณที่มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายต่อวันและไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย สำหรับผู้ที่มีร่างกายอยู่ในภาวะปกติไม่ใช่สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะขาดวิตามิน ด้วยเหตุนี้ทำให้ผลที่ได้รับจากการรับประทาน วิตามินและอาหารเสริม ในแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน บางคนรับประทานวิตามินและอาหารเสริมแล้วรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่งอ่อนกว่าวัย สดชื่นไม่อ่อนเพลีย อารมณ์แจ่มใส แต่บางคนรับประทานวิตามินและอาหารเสริมชนิดเดียวกันในปริมาณที่เท่ากันทุกวัน แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าผิวหน้ามีกระ ฝ้าเพิ่มมากขึ้น วิงเวียนศีรษะหน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน แทนที่ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นกลับรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลง เพราะการรับประทานอาหารเสริมและวิตามินเข้าไปจนทำให้เกิดภาวะวิตามินเกิน ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติ โดยเฉพาะระบบการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ที่มีตับและไตเป็นอวัยวะหลักในการทำหน้าที่นี้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรรับประทาน วิตามินและอาหารเสริม ชนิดใดในปริมาณเท่าใดกัน จึงจะส่งผลเสียต่อร่างกายและยังทำให้ร่างกายได้รับปริมาณวิตามินเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 

ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ด้วยการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่มีวิธีการออกแบบและจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม เฉพาะบุคคล (Customized Vitamins) เพื่อที่ร่างกายจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้ผู้รับประทานได้รับประโยชน์จากอาหารเสริมและวิตามินอย่างสูงสุดตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการผิวพรรณ ภูมิต้านทานโรค โดย วิตามินและอาหารเสริม ที่ทำการจัดเตรียมไว้จะมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกายอย่างพอดีไม่น้อยไปจนรับประทานแล้วไม่สามารถเข้าไปปรับสมดุลเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบภายในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่มากเกินไปจนทำให้ร่างกายเกิดภาวะเกินของสารอาหารจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

การออกแบบและจัดเตรียมวิตามินให้พอดีกับความต้องการของแต่ละบุคคลเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยที่ช่วยรักษาในเชิงป้องกันความเสื่อมของร่างกาย เป็นรักษาสมดุลเพื่อดูแลระบบการทำงานภายในของร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อระบบภายในมีการทำงานที่ดีสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกก็จะดีตามไปด้วยหรือที่เรียกว่าสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกนั่นเอง และด้วยความต้องการของแต่ละคนนั้นมีต่างกันเกี่ยวกับการชะลอวัย บางคนต้องการป้องกันโรคที่อาจขึ้นในอนาคต บาคนต้องการให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนเยาว์ บางคนต้องการให้ชะลอความเสื่อมของร่างกายเพื่อที่จะได้มีอายุยืนยาวแบบมีคุณภาพตลอดอายุขัย ซึ่งทุกความต้องการจะมีการจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม ที่ต่างกันออกไป

วิธีการออกแบบและจัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging) จะต้องทำการพิจาณาจากผลการตรวจวิเคราะห์ปริมาณวิตามิน แร่ธาตุ เกลือแร่และสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่เลือด ลักษณะทางพันธุกรรม เช่น อัตราการเผาพลาญพลังงาน อัตราการเมตาบอลิซึม โรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด โรคความดันโลหิต รวมถึงการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่สามารถสร้างความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า ความเครียด ความแข็งแรงของร่างกาย โรคประจำตัว การออกกำลังกาย เพศและอายุ ทุกอย่างล้วนต้องนำมาวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อออกแบบ วิตามินและอาหารเสริม เฉพาะบุคคล

เมื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทราบความต้องการและทำการตรวจวิเคราะห์ข้อมูลโดยรวมบุคคลแล้ว ก็จะทำการเลือกวิตามินและอาหารเสริมที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของคนผู้นั้น โดยจะมีการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมออกมาอย่างชัดเจนว่าจะต้องมี วิตามินและอาหารเสริม ชนิดใดในปริมาณเท่าใด ที่สามารถเข้าไปสร้างสมดุลทางโภชนาการและช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบที่มีความผิดปกติให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยรักษาการทำงานระบบให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคงเดิมไม่มีความเสื่อมเกิดขึ้น ส่งผลให้เมื่อรับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่มีการออกแบบมาอย่างเฉพาะแล้ว ร่างกายจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกด้านตรงตามความต้องการของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นด้านผิวพรรณ ด้านสุขภาพ ซึ่งลักษณะของวิตามินและอาหารเสริมที่จัดทำออกมาจะมีความเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ร่วมกับบุคคลอื่นได้ ซึ่งวิตามินและอาหารเสริมที่นำมารับประทานอาจจะอยู่ในรูปที่นำมาผสมกันหรือให้รับประทานแยกแต่ละชนิดก็ได้ 

การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินเฉพาะบุคคลเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าร่างกายของคนเรามีความต้องการที่ต่างกัน การที่จะสร้างสมดุลด้านโภชนาการให้กับเกิดขึ้นกับร่างกายของแต่ละคนย่อมต้องได้รับปริมาณสารอาหารที่ต่างกันตามไปด้วย ซึ่งการสร้างสมดุลทางโภชนาการด้วยการรับประทานให้ครบ 5 หมู่ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ยากด้วยการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว ในยุคปัจจุบันนี้ที่มนุษย์เราดำรงชีวิตด้วยความเร่งรีบไปเสียทุกอย่าง แต่ถ้ามีการรับประทานวิตามินและอาหารเสริมที่ไม่เหมาะสมแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายได้รับ วิตามินและสารอาหาร บางชนิดเกินความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้ระบบการขจัดของเสียออกมาอย่างตับและไตต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อขจัดของเสียที่มาจากการรับประทานอาหารเสริมออกจากร่างกาย ซึ่งระบบการขจัดของเสียอาจเกิดการทำงานที่ผิดปกติได้ เมื่อระบบการขจัดของเสียไม่สามารถขจัดของเสียออกมาได้จนหมด ของเสียก็จะสะสมอยู่ในร่างกายและส่งผลเสียทำให้เกิดโรคร้ายแรงในอนาคตได้ ดังนั้นการที่รับประทานอาหารเสริมและวิตามินที่มีการออกแบบมาเฉพาะสำหรับร่างกายของแต่ละบุคคลแล้ว ปัญหาการตกค้างของอาหารเสริมและวิตามินส่วนเกินจนกลายเป็นสารพิษในร่างกายย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะวิตามินและอาหารเสริมที่รับประทานเข้าไปร่างกายจะนำไปใช้ได้อย่างหมดจึงไม่หลงเหลือตกค้างเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

การออกแบบ จัดเตรียม วิตามินและอาหารเสริม เป็นการรักษาของเวชศาสตร์ชะลอวัยเป็นการรักษาในเชิงบูรณาการ ที่เน้นการรักษาในเชิงป้องกันการเกิดโรค โดยการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ด้วยการเสริมสารอาหารและวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเพื่อสร้างความสมดุลทางโภชนาการที่ส่งผลให้ระบบต่างของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัย มีอายุยืนนับร้อยปีอย่างสุขกายสบายใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009

การตรวจเช็คร่างกายได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน

0
การตรวจเช็คร่างกายได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน
การดำรงชีวิตในสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบ การแข่งขันทำให้เกิดความเครียดส่งผลต่อเนื่องมาสู่สุขภาพกายที่อ่อนแอ
การตรวจเช็คร่างกายได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน
ออกซิเจนที่บริสุทธิ์เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตรวจเช็คร่างกาย

การ ตรวจเช็คร่างกาย ได้ถึงระดับสารชีวโมเลกุลขนาดเล็ก เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ระดับวิตามินและแร่ธาตุ เพื่อผิวพรรณอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์หลายล้านเซลล์ เซลล์แต่ละส่วนก็จะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าการทำงานของเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกายของเราผิดปกติ ไม่ว่าจะทำงานมากเกินความจำเป็นหรือทำงานงานกว่าความต้องการของร่างกาย ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดโรคร้ายในอนาคต

การทำงานของเซลล์จะมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพความสมบูรณ์ ที่สามารถส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงได้นั้นก็ต่อเมื่อร่างกายมีองค์ประกอบทั้ง 4 อย่าง

ปัจจัยการทำงานของเซลล์ที่มีประสิทธิภาพมี 4 ขั้นตอน

1.ออกซิเจนที่บริสุทธิ์เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ออกซิเจนเป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดขาดไม่ได้ เพราะถ้าร่างกายมีภาวะขาดออกซิเจนแล้วย่อมมีความเสี่ยงในการเสียชีวิต เนื่องจากออกซิเจนเป็นตัวที่ช่วยในการเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ภายในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นถ้าร่างกายขาดออกซิเจนแล้วปฏิกิริยาภายในร่างกายก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

2.ร่างกายปราศจากสารพิษ

ทุกวันร่างกายของเราจะได้รับสารพิษอยู่ตลอดเวลา ทั้งสารพิษที่ได้รับจากภายนอก เช่น มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ ทางอาหารเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องโดยที่เราอาจจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าได้รับสารพิษเข้าไป และสารพิษที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทำงานของระบบภายในร่างกายเอง แต่ทว่าปกติแล้วร่างกายของเราจะมีกระบวนการขับสารพิษเหล่าออกมาจากร่างกายอยู่แล้ว ทั้งการหายใจออก การถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ทุกอย่างล้วนเป็นการขับสารพิษทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งการขับสารพิษจะเกิดอย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับน้ำสะอาดและอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

3.โภชนาการที่สมดุล

ร่างกายของมนุษย์คงอยู่ได้ด้วยการทำงานของเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย การทำงานของเซลล์จะมีประสิทธิภาพที่ดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่บริโภคเข้าไป โดยที่ร่างกายในภาวะปกติจะมีความต้องการอาหารประเภทผัก ผลไม้ นมซึ่งจัดเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างเข้าสู่ร่างกายร้อยละ 80 และต้องการอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไขมัน คาร์โบไอเดรตซึ่งจัดเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดเพียงแค่ร้อยละ 20 ของปริมาณสารอาหารที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งการรับประทานอาหารจะทำให้เราได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ เช่น วิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุ กรดอะมิโน โปรตีน เป็นต้น สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เองมีมากถึง 46 ชนิดด้วยกัน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้เราจะได้รับจากการรับประทานอาหารเข้าไปในแต่ละวัน ดังนั้นการรับประทานอาหารให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่สมดุลจึงมีความสำคัญมากในการสร้างสุขภาพที่แข็งแรง เพราะถ้าเราได้รับสารอาหารที่ไม่ครบตามความต้องการของร่างกาย ก็จะส่งผลให้เซลล์มีการทำงานที่ผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิตได้ 

4.การมีสุขภาพจิตที่ดี

การดำรงชีวิตในสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบ การแข่งขันทำให้เกิดความเครียดส่งผลต่อเนื่องมาสู่สุขภาพกายที่อ่อนแอ เนื่องจากความเครียดที่เกิดขึ้นจะทำให้ระบบการทำงานภายในร่างกายผิดปกติได้เช่นเดียวกับการได้รับสารพิษและออกซิเจนไม่ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นเราจึงต้องดูแลสุขภาพจิตให้ดีควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพกาย

การที่เราจะมีชีวิตที่อายุยืนยาวและปราศจากโรคแล้ว การปฏิบัติตามทั้ง 4 ปัจจัยจะต้องครบถ้วนทั้งปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย มีออกซิเจนที่บริสุทธิ์อย่างเพียงพอ มีการดื่มน้ำสะอาดและอาหารที่ช่วยล้างสารพิษออกมาจากร่างกายได้ดี และเมื่อเรามีสุขภาพกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้วสุขภาพจิตย่อมเข้มแข็งตามไปด้วย

แต่สำหรับสภาวะสังคมในปัจจุบันที่คนส่วนมากต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบไปเสียทุกอิริยาบถ การที่เราจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนย่อมเป็นไปได้ยาก ทั้งจากค่านิยมการบริโภคอาหาร ค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารในแต่ละมื้อ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นที่มาของความเสื่อมที่เกิดขึ้นจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามิน กรดอะมิโน หรือแร่ธาตุบางชนิด ที่มีความสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง

ปัจจุบันผู้ที่รักษ์สุขภาพคิดว่าทำการ ตรวจสุขภาพ ประจำปีจะสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยทำการ ตรวจร่างกาย เพื่อตรวจหาความเสี่ยงหรือภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคใดขึ้นบ้างหรือไม่ เช่น การสะสมของไขมันดีและเลว ปริมาณคอเรสเตอรอล เป็นต้น ซึ่งการ ตรวจร่างกาย แบบทั่วไปจะเป็นการตรวจวัดปริมาณสารที่ก่อให้เกิดโรคที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้ทำการค้นหาถึงสาเหตุที่ทำให้ปริมาณของสารดังกล่าวว่าเกิดขึ้น ว่าเกิดเนื่องจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบใด ดังนั้นการตรวจสุขภาพจึงบ่งบอกได้เพียงสถานะการณ์ในปัจจุบันของร่างกายได้หรือบอกว่าจะมีโอกาสเป็นโรคใดก็ต่อเมื่อมีอาการของโรคนั้นแสดงขึ้นมาให้เห็นแล้วเท่านั้น แต่ถ้ายังไม่มีการสะสมหรืออาการของโรคยังไม่เริ่มแสดงออกมา การ ตรวจร่างกาย ประจำปีก็จะไม่สามารถบอกได้ว่าร่างกายมีความเสี่ยงของโรคบ้าง ซึ่งการที่อาการของโรคได้แสดงอาหารบางส่วนออกมาแล้ว แสดงว่าความเสี่ยงในการเกิดของโรคย่อมสูงขึ้นไปด้วย หรือบางโรคที่ไม่มีอาการเบื้องต้นแสดงออกมาและจะแสดงอาหารให้เรารับรู้ก็ต่อเมื่ออาการของโรคอยู่ในขั้นวิกฤติแล้วเท่านั้น จึงทำการ ตรวจร่างกาย ทั่วไปไม่พบอาการหรือระบุความเสี่ยงในระยะที่สามารถทำการรักษาได้ ดังนั้นจึงมีหลายครั้้งที่ทำการตรวจสุขภาพพบว่าร่างกายปกติดี แต่เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งกลับพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคและความร้ายแรงของโรคก็อยู่ในระยะที่ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ในระยะเวลาอันสั้น 

จากปัญหาที่พบรวมกับความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ต้องการรักษาผู้ป่วยในเชิงบูรณาการ คือ การรักษาที่ต้องการป้องกันการเกิดโรคมากกว่าที่จะรักษาอาหารของโรคที่เกิดขึ้นแล้ว จึงมีการคิดค้นวิธีการ ตรวจสุขภาพ ที่สามารถทำการ ตรวจเช็คร่างกาย แบบความละเอียดและแม่นยำ ซึ่งการตรวจนี้เราจะต้องทำการตรวจถึงระดับโมเลกุลของร่างกายที่นิยมใช้ในการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัย

ทำไมถึงเราต้องทำการตรวจถึงระดับโมเลกุล

อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าการ ตรวจสุขภาพ แบบทั่วไปที่เราตรวจประจำปีเป็นเพียงการตรวจเพื่อดูความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแล้วภายในร่างกาย แต่ทว่าการตรวจสุขภาพของเวชศาสตร์ชะลอวัยจะทำการตรวจสอบถึงระดับโมเลกุลมีจุดประสงค์ที่แตกต่างจากการตรวจสุขภาพทั่วไป ถึงแม้ว่าการตรวจจะมีลักษณะเบื้องต้นที่เหมือนกันคือ มีการสอบประวัติครอบครัวและการตรวจเลือดเช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพประจำปี แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือการตรวจระดับโมเลกุล ซึ่งการตรวจระดับโมเลกุลนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การตรวจยีนส์ ( Gene Test ) ซึ่งการตรวจยีนส์นี้มีความละเอียดและแม่นยำสูงมาก และการตรวจเลือดโดยวิธีการสกัดสารพันธุกรรมที่มีอยู่ในเลือดซึ่งวิธีการนี้นิยมใช้ในการตรวจหาสารก่อมะเร็งบางชนิด

ยีนส์ ( Gene ) เป็นรหัสพันธุกรรมที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ร่างกายของเราทุกคนจะมียีนส์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวอยู่ภายใน โดยยีนส์ของคนคนเดียวกันจะมีลักษณะที่เหมือนกันทั้งหมดทุกเซลล์ ยีนส์นี้จะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อและแม่มาสู่ลูก โดยรหัสพันธุกรรมจะขดพันกันเป็นเกลียวอยู่ตรงกลางภายในนิวเคลียสของเซลล์ เราเรียกรหัสพันธุกรรมนี้ว่าว่าสายพันธุกรรม ( DNA ) ซึ่งรหัสพันธุกรรมมีหน้าที่ในการควบคุมการแสดงออกของร่างกาย เช่น สีผิว สีตา สีผม ความสูง รวมถึงโรคบางชนิดด้วย โดยรหัสพันธุกรรมร้อยละ 99.9 จะมีโครงสร้างที่เหมือนกันทุกคนแต่จะมีเพียงแค่ร้อยละ 0.1 เท่านั้นที่เป็นรหัสพันธุกรรมที่แสดงถึงความแตกต่างที่เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลนั้น

ดังนั้นการตรวจสอบยีนส์ที่มีอยู่ในร่างกายของเราจะทำให้เราทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในร่างกายของเราอย่างละเอียด ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ ระดับวิตามินและแร่ธาตุ ปริมาณกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากเซลล์ของร่างกายก็เปรียบเสมือนสมุดบันทึกที่ทำการจดบันทึกทุกอย่างที่ร่างกายได้รับ ไม่ว่าจะได้รับในปริมาณที่มากหรือน้อย ซึ่งการจดบันทึกของเซลล์จะออกมาในรูปแบบการทำงานของระบบภายในร่างกาย อย่างที่เราทราบกันว่าสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เองนั้นมีมากถึง 46 ชนิด ซึ่งสารอาหารที่จำเป็นเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการกระตุ้นการทำงานของระบบและสร้างฮอร์โมนที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต ( Growth Hormone ) ที่มีหน้าที่ช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายให้มีความแข็งแรง

การตรวจระดับโมเลกุลจะทำการตรวจด้วยการสกัดสารพันธุกรรมที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อที่บริเวณกระพุ้งแก้มด้านในปาก นำไปเข้าทำการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจวิเคราะห์ที่ได้รับจากการตรวจระดับโมเลกุลของเนื้อเยื่อ จะทำให้เราทราบถึงระบบการทำงานภายในของร่างกายของเราอย่างละเอียดทุกอย่าง

ทั้งการทำงานของเซลล์ในระบบทุกระบบว่ามีปกติหรือมีความผิดปกติใดเกิดขึ้น เช่น ระบบการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ระบบการเผาพลาญ ระบบการสร้างฮอร์โมน เป็นต้น การตรวจระดับโมเลกุลจะทำให้เราทราบว่าร่างกายมีสภาวะการขาดสารอาหาร วิตามินหรือเกลือแร่ชนิดใดจึงส่งผลให้การทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติขึ้นหรือมีความเสี่ยงในการเกิดโรคชนิดใดที่มีการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม รวมถึงสามารถบ่งบอกได้ว่ายีนส์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีความแข็งแรงหรืออ่อนแอ

ซึ่งเมื่อเราทราบผลตรวจระดับโมเลกุลแล้ว เราสามารถนำผลตรวจที่ได้รับมาทำการวางแผนในการดำเนินชีวิตอย่างได้ผล เพราะผลการตรวจระดับโมเลกุลจะบอกเราว่าร่างกายของเราขาดสารอาหาร วิตามินหรือแร่ธาตุชนิดใด เมื่อเราทราบแล้วเราก็จำเป็นต้องเสริมสารอาหารที่ร่างกายขาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยการแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล โดยที่คนแต่ละคนจะมีปริมาณสารอาหรที่ขาดหรือเกินแตกต่างกันไปตามพันธุกรรมและพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเสริมเข้าไปให้มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ระบบการทำงานของร่างกายย่อมหลับมามีประสิทธิภาพในการทำงานเหมือนเดิมโอกาสที่ร่างกายจะเกิดความเสื่อมก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะระบบการสร้างโกรทฮอร์โมนที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต การซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ที่อยู่ในร่างกายก็จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นส่งผลให้เซลล์ภายในร่างกายสามารถฟื้นฟูตัวเองให้กลับมามีความแข็งแรง ซึ่งเมื่อเซลล์มีความแข็งแรงแล้วระบบการทำงานภายในย่อมดี ทั้งระบบการขจัดของเสียที่สามารถขจัดของเสียออกจากร่างกายจนหมดไม่ตกค้างจนเกิดเป็นพิษต่อร่างกาย ระบบการเผาพลาญที่สามารถสร้างพลพลังงานส่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทำให้สมองแจ่มใส ร่างกายกระปรี่กระเปล่าสดชื่น ตื่นขึ้นมาไม่อ่อนเพลีย การสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นของร่างกายที่มีหน้าที่ในการประสานงานการทำงานของทุกระบบให้สามารถทำงานได้อย่างสอดประสานทั้งการหายใจ การกลืนกิน การดูดซึมอาหาร การเต้นของหัวใจ เมื่อระบบทุกอย่างของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ร่างกายของเราก็จะคงสภาพไม่เกิดความเสื่อมซึ่งก็เหมือนกับเราสามารถทำการชะลอวัยไว้ได้ ไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยแม้ว่าอายุจะมากขึ้น แต่ก็ช่วยเหลือตนเองได้อย่างเช่นคนหนุ่มสาว

การตรวจระดับโมเลกุลนี้นอกจากจะทำให้ทราบถึงการขาดสารอาหารของร่างกายแล้ว ยังสามารถบอกถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะที่พิเศษมากอีกอย่างหนึ่งของการตรวจระดับโมเลกุล การที่เรารู้ว่ามีความเสี่ยงของโรคนี้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาทำให้เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในอนาคตได้อย่างถูกต้อง การป้องกันโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้สามารถทำได้ด้วยกันปลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดโรคที่ตรวจพบว่าเป็นชนิดใดและสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เช่น คนที่มีการถ่ายทอดโรคเบาหวาน จะต้องปฏิบัติตนเข่นไรถึงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ ซึ่งเมื่อเราปฏิบัติตามแนวทางที่แพทย์ได้ทำการกำหนดไว้ เราก็จะมีโอกาสที่จะไม่ต้องเป็นโรคเบาหวานได้ หรือแม้แต่คนที่มียีนส์มะเร็งเต้านมก็สามารถป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งเต้านมได้ เพียงแค่ควบคุมอาหารที่จะเข้าไปกระตุ้นยีนส์มะเร็งให้มีการแสดงอาการออกมา การออกกำลังกายที่สามารถป้องกันไม่ยีนส์มะเร็งเจริญเติบโต หรือแม้แต่การรับประทานอาหารเสริมที่ช่วยลดความเสี่ยงและควบคุมไม่ให้ยีนส์มะเร็งสามารถแสดงออกทางพันธุกรรมได้ เพียงเท่านี้ร่างกายก็ไม่ต้องป่วยเป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาแล้ว 

นอกจากระบบภายในของร่างกายแล้ว ลักษณะภายนอกของร่างกายก็จะมีสภาพที่ไม่เสื่อมด้วยเช่นกัน การที่ผิวพรรณเกิดการเหี่ยวย่น เนื่องจากเซลล์ผิวหนังโดนทำลายทั้งจากสารอนุมูลอิสระจากภายนอกและความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นเมื่อระบบการทำงานของร่างกายมีประสิทธิภาพสูงจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารเสริมการทำงานของระบบ ทำให้เซลล์ผิวหนังมีความแข็งแรงสามารถป้องกันและฟื้นฟูจากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ เซลล์มีผนังเซลล์ที่แข็งแรงสามารถอุ้มน้ำที่อยู่ภายในไม่ให้เกิดการสูญเสีย จึงส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แลดูอ่อนเยาว์แม้ว่าอายุจะมากขึ้น

การ ตรวจเช็คร่างกาย ระดับสารชีวะโมเลกุลขนาดเล็กสามารถตรวจสอบปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ ระดับวิตามินและแร่ธาตุ ที่ร่างกายขาดและทำการเสริมสารอาหารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถนำสารอาหารเหล่านี้เข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบให้ทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคทั้งที่เป็นโรคร้ายแรงและโรคไม่ร้ายแรงในอนาคตอย่างได้ผล ทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณอ่อนเยาว์

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009