วิธีสร้างเสน่ห์ให้ผิวสวยน่าหลงไหล

0
การตกหลุมรักผิวของคุณเอง
ผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ จะสวยขึ้น เพราะยิ่งส่องบ่อยก็ยิ่งเป็นการใส่ใจในใบหน้าตัวเองมากขึ้นและรู้สึกรักใบของหน้าตัวเอง
การตกหลุมรักผิวของคุณเอง
ผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ จะสวยขึ้น เพราะยิ่งส่องบ่อยก็ยิ่งเป็นการใส่ใจในใบหน้าตัวเองมากขึ้นและรู้สึกรักใบของหน้าตัวเอง

ผิวหนัง

“ มาเป็นเพื่อนซี้กับกระจกกันเถอะ ”
วันนี้เราจะมาชวนสาว ๆ มาทำความคุ้นเคยกับใบหน้าของตัวเองกัน รู้ไหมว่าผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ มักถูกมองว่าเป็นพวกชอบหลงตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่เป็นการหลงตัวเองอะไรเลย พวกหลงตัวเองที่รู้จักรักตัวเองนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ชอบใบหน้าของตัวเองแล้ว ต้องถือว่ามีสุขภาพจิตที่ดีกว่ามาก เวลาอยู่ที่บ้านก็ควร วางกระจกไว้ใกล้ตัวบ้าง เวลาออกนอกบ้านก็หมั่นสำรวจตัวเองในกระจก ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่การฝึกนิสัยให้เป็นคนรักตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญ

ส่องกระจกในบริเวณที่มีแสงธรรมชาติส่องถึง
ในการแต่งหน้าลุคธรรมชาติในช่วงกลางวันจะกลายเป็นเรื่องยากในทันที หากโต๊ะเครื่องแป้งของคุณอยู่ในบริเวณที่อับแสงหรือแสงไม่พอ ควรปรับแสงบริเวณโต๊ะเครื่องแป้งให้สว่างใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติมากที่สุด

พกกระจกที่ส่องแล้วดูสวย
กระจกที่ส่องแล้วชวนทะเลาะอยู่เสมอจะสะท้อนภาพใบหน้าที่ใหญ่และหย่อนยาน ส่วน ผิวหนัง นั้นจะดูขรุขระไปเลย แต่ถ้ามีกระจกที่ส่องแล้วสวยทุกครั้งอยู่เสมอ กระจกอย่างนั้นจะทำให้คุณอยากส่องดูใบหน้าของตัวเองบ่อย ๆ ต้องวางกระจกอันนี้ไว้ใกล้ ๆ ตัว ส่องบ่อย ๆ และพยายามดูแลตัวเองให้มากขึ้น คุณจะพบว่าตัวเองเริ่มจะสวยขึ้น

หาเมคอัพโซนที่ซ่อนอยู่บนใบหน้า
ในการแต่งหน้านั้นสิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่การแต่งทั้งใบหน้า แต่เป็นการเน้นส่วนที่สำคัญบนใบหน้า การเน้นเฉพาะบางส่วนจะทำให้ใบหน้าดูเล็กลงและโครงหน้าโดยรวมชัดเจนขึ้น ใบหน้าของคนเรามีหลายโซน และถ้ารู้จักโซนบนใบหน้าเป็นอย่างดีแล้วเส้นทางการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแต่งหน้าก็ไม่ไกลนัก มาลองทำความรู้จักกับเมคอัพโซนกันดูดีกว่า แล้วมาดูสิว่าส่วนไหนที่ควรเน้นให้เข้มและส่วนไหนที่ควรทำให้สว่าง

ลองค้นหาส่วนที่มีเสน่ห์ที่สุดบนใบหน้าของตัวเองดู
เมื่อคุณส่องกระจกคราใดแล้วเห็นแต่ส่วนที่ตัวเองไม่ชอบแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าคุณได้ใช้กระจกผิดวิธีแล้วล่ะ บางครั้งส่วนที่คิดว่าเป็นปมด้อยอาจจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด ถ้าคุณเข้าใจตรงจุดนี้แล้วการใช้เครื่องสำอางเพื่อเพิ่มเสน่ห์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปลองทำดูให้หมด ทั้งยิ้มกว้าง ขยิบตา หรือแม้แต่สีหน้ายั่วยวน
ถ้าคุณทำแต่สีหน้าที่ดูน่าเบื่ออยู่เสมอ เสน่ห์ของหญิงงามในตัวคุณก็จะอยู่ได้ไม่นาน ที่จริงแล้วผู้คนมักเข้าใกล้และมองดูใบหน้าของคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงสีหน้าและแสดงออกได้อย่างหลากหลาย ลองส่องกระจกแล้วทำหน้าดี ๆ ให้ถูกกาลเทศะ และพัฒนา 4 รูปแบบใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง การฝึกแสดงสีหน้าต่าง ๆ จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและช่วยรักษาความยืดหยุ่นบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี 

ผิวโซน C คือบริเวณโหนกแก้มที่เชื่อมต่อมายังโหนกคิ้ว เป็นบริเวณที่มักเกิดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เนื่องจากผิวหนัง บริเวณนี้บอบบาง เกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ง่าย จึงต้องดูแลกันเป็นพิเศษ ถ้าใช้ไฮไลท์ประกายมุกละเอียดทาบริเวณโซน C ให้สว่างขึ้น ใบหน้าจะดูเรียวยาวขึ้น และใบหน้าด้านข้างจะดูสวยขึ้นอีกด้วย

ผิวโซน T คือบริเวณหน้าผากจนถึงปลายจมูกที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปตัว T เป็นบริเวณที่มีการหลั่งน้ำมันมากที่สุดและเห็นรูขุมขนได้ชัดเจนที่สุด จึงต้องล้างหน้าอย่างระมัดระวัง เราสามารถปรับแต่งความยาวหน้าหรือไม่ก็ทำให้ใบหน้าดูมีมิติได้ เมื่อทาแป้งหรือไฮไลท์มุกบริเวณโซน T ที่สั้นบ้างยาวบ้างตามลักษณะโครงหน้า

ผิวโซน U คือบริเวณใต้ริมฝีปาก คนที่คางสั้นถ้าไฮไลท์บริเวณโซน U ให้ใหญ่ประมาณลูกปิงปอง จะทำให้คางดูเรียวยาวและดูมีมิติมากขึ้น สำหรับคนคางยาว ทาเฉดดิ้งสีเข้มที่ซ่อนอยู่จะทำให้คางดูสั้นลง

ผิวโซนแอ๊ปเปิ้ล คือบริเวณแก้มที่เวลายิ้มแล้วเนื้ออูมออกมา บริเวณนี้ให้เป็นเบลนด์บลัชออนให้ดูเป็นธรรมชาติและปัดไปข้างหลังเล็กน้อย สำหรับสาวเอเชีย ถ้าปัดบลัชออนบริเวณกลางโซนแอปเปิ้ลนี้จะทำให้ใบหน้าดูเล็กลงได้

ผิวโซน สามเหลี่ยม คือพื้นที่รูปสามเหลี่ยมตั้งแต่ใต้ตามาจนถึงปีกจมูก ผิวหนัง บริเวณนี้จะบางและไม่ค่อยผลิตน้ำมัน จึงเกิดริ้วรอยและรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ง่าย จึงควรได้รับสารอาหารและความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ การตรวจสอบว่าน้ำเหลืองไหลเวียนดีหรือไม่ ถ้าไฮไลท์ให้บริเวณนี้สว่างขึ้น ใบหน้าจะดูสว่างสดใสและนุ่มนวล คนหน้าตอบควรใช้ไฮไลท์เนื้อแมตต์แทนชนิดผสมมุก

เคล็ดลับความงาม 10 ประการแบบดาราเกาหลี

1.นวดผิวหน้าด้วยตัวเอง
หลังล้างหน้าทุกๆครั้ง ให้นวดผิวหน้าเบาๆเพื่อให้ผิวผ่อนคลายประมาณ 3 นาที

2.รักษาความสะอาด ผิว
ถึงแม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางดีแค่ไหนถ้ามือไม่สะอาดหรือเก็บเครื่องสำอางไว้ในที่ที่ไม่สะอาดก็ไม่มีประโยชน์อะไร เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ทำให้คนสวยขึ้นก็จริง แต่ถ้าอยู่ในสภาพที่ไม่สะอาด เช่น พัฟฟ์ที่สกปรกและดำ นอกจากจะสร้างปัญหาแล้ว ยังอาจทำลายความงามที่มีอยู่อีกด้วย

3.ใส่ใจในการกินดื่ม
ในความเป็นจริงแล้วดารานักแสดงจำนวนมากมีพฤติกรรมการกินที่ค่อนข้างแปลก รู้ไหมว่าสิ่งที่พวกเขาพกติดตัวอยู่ตลอดคืออะไร คำตอบก็คือน้ำและวิตามิน การเตรียมขวดน้ำและผลไม้ไว้ใกล้ตัวเป็นเรื่องพื้นฐาน ถ้าอยากมี ผิวพรรณ สดใสและชุ่มชื้นต้องรู้จักบริโภคน้ำและวิตามินให้เพียงพอ

4. เป็นเจ้าหญิงกระจก
ผู้หญิงที่ส่องกระจกบ่อย ๆ จะสวยขึ้น เพราะยิ่งส่องบ่อยก็ยิ่งเป็นการใส่ใจในใบหน้าตัวเองมากขึ้นและรู้สึกรักใบของหน้าตัวเอง สำหรับบางคนยิ่งสภาพใบหน้าแย่ลงเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เจ้าของใบหน้าหลีกเลี่ยงที่จะส่องกระจกมากเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องเช็คใบหน้าของตัวเองอยู่เสมอด้วย

5.ตั้งบิวตี้เดย์สัปดาห์ละ 1 วัน
ใช่ว่าเวลาผ่านไปแล้วจะทำให้คนเราสวยขึ้นเองได้ แต่ต้องใช้เวลาในการเสริมแต่งให้สวยขึ้นต่างหาก ใน 1 สัปดาห์ต้องเลือก 1 วันให้เป็นวันแห่งความงาม ไม่ว่าจะทำเล็บ นวดหน้า เข้าร้านเสริมสวย หรือมาสก์หน้า ต้องรู้จักจัดเวลาทำกิจกรรมที่จำเป็นต่อความงาม ลองชวนคุณแม่ พี่สาว น้องสาวหรือเพื่อน ๆ ไปด้วย นั่นเป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าและสนุกสนานมากเลยทีเดียว

6.ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าให้พอเหมาะ
คลีนซิ่งออยหรือโลชั่นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์นวดหน้า ดังนั้น ห้ามใช้นวดหน้าเป็นเวลานาน ๆ แต่ให้ใช้เช็ดเครื่องสำอางออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การาใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าชนิดโฟมก็เช่นกัน ควรบีบโฟมลงบนฝ่ามือและขยี้ให้เกิดฟองพอสมควรแล้วค่อยทำความสะอาดใบหน้า ถ้าใช้ฟองโฟมถูหน้านาน ๆ สารลดแรงตึง ผิวหนัง ในผลิตภัณฑ์จะไปกระตุ้นผิวจนเกิดการระคายเคืองได้ ตอนเช้าควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น ส่วนสกินแคร์ที่ใช้อยู่ถ้าลดลงไปสัก 2 ขั้นตอนจะทำให้แต่งหน้าได้ดีขึ้น

7.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการเดิน
เพื่อสุขภาพ ผิวพรรณ ที่ดีขึ้น ซึ่งรวมไปถึงผิวหน้าด้วย การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นสิ่งจำเป็น การออกกำลังกายเพื่อความงามที่ดีที่สุดคือการเดิน ไม่ว่าจะเป็นการเดินในสวนสาธารณะ ตามทางเดินริมแม่น้ำ หรือภูเขาใกล้ ๆ ก็ตาม การดื่มน้ำหลังจากสูดสารไฟทอนไซด์ที่ออกมาจากต้นสนจะช่วยลดสารพิษในร่างกายได้ และทำให้ผิวยืดหยุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ

8.ปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตตลอด 365 วัน
การปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในทุกวันเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ แต่ว่าค่าการป้องกันผิวที่จำเป็นก็แตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันและประเภทผิวของแต่ละบุคคล ถ้าทำกิจกรรมในที่ร่มเสียเป็นส่วนใหญ่ก็ใช้สารกันแดดที่มีค่า SPF 15-20 ถ้าทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อย ๆ ก็ค่า SPF 30 ขึ้นไปถึงจะเหมาะ SPF เป็นค่าการป้องกันผิวจาก UVB ที่ทำให้ ผิวหนัง เกรียมแดดและเกิดผื่นแดง ส่วน PA คือค่าการป้องกัน UVA ที่กระตุ้นให้เกิดการย้อมเม็ดสีและทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ถ้าต้องการปกป้องผิวให้ปลอดภัยก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่ามีส่วนประกอบทั้ง SPF และ PA

9.ใช้สกินแคร์น้อยชิ้น
เครื่องสำอางประกอบด้วยสารเคมีต่าง ๆ และมีส่วนผสมหลายชนิด ยิ่งทามาก ผิวก็ยิ่งอ่อนแอ ใช้แค่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เข้ากับตนได้ดีที่สุดเพียง 2 – 3 ชิ้นก็เพียงพอ สกินแคร์ยิ่งน้อยเท่าไหร่ผิวก็จะตอบสนองต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น

10.ใช้บริการคลินิกเสริมความงามอย่างระมัดระวัง
คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญหรือบริการของคลินิกเพื่อความงามนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ผิวที่เกิดปัญหาเล็กน้อยสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ การไม่ยอมให้ ผิวพรรณ ได้ฟื้นฟูสภาพผิวเองตามธรรมชาติ กลับไปขอความช่วยเหลือจากหมอ ศัลยกรรมเลเซอร์และการลอกหน้า รวมทั้งการรักษาด้วยการฉีดยานั้นเห็นผลทันตาก็จริง แต่ในระยะยาวจะทำให้ผิวอ่อนแอและต้องพึ่งหมอเรื่อยไป ควรดูแลผิวด้วยวิธีการที่อ่อนโยนอย่างเครื่องสำอางหรือการนวด เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าการป้องกันสูงจะมีปริมาณน้ำมันมาก ถ้าผิวมันควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีค่าการปกป้องต่ำ ถ้าใช้เมคอัพเบสที่มีส่วนผสมของสารป้องกัน UV จะช่วยลดขั้นตอนการแต่งหน้าได้

กินอะไรให้ผิวสวย

ผลไม้สดตามฤดูกาล
ผลไม้เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งองุ่นตามฤดูกาลถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารต้านความชรา บลูเบอรี่ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และแตงโมในช่วงฤดูร้อนที่ช่วยขับปัสสาวะและของเสียในร่างกาย อย่างไรก็ตามผลไม้ทุกชนิดล้วนมีสารอาหารจากธรรมชาติที่ต่างกันไป จึงควรบริโภคผลไม้ให้หลากหลาย เน้นผลไม้ 5 สี ได้แก่ สีแดง ( แตงโม ) สีเหลือง ( ส้ม ) สีเขียว ( แอปเปิ้ลเขียว ) สีม่วง  (องุ่น ) สีขาว ( สาลี่ )

น้ำ
น้ำช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้นและช่วยขับสารพิษในร่างกาย ควรเลือกดื่มน้ำที่มีแร่ธาตุสูงและมีค่า pH ราว 7.5 ซึ่งมีความเป็นด่างอ่อน ๆ การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าและก่อนนอนจะช่วยให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป

ชา
เวลาที่ผิวเปราะบางและดูหมองคล้ำนั้น การดื่มชาช่วยได้ ไม่ใช่ดื่มแค่เพียงถ้วยเดียวเท่านั้นแต่ควรดื่มประมาณ 1 ลิตร ผู้ดื่มชาสมุนไพรที่ไม่มีกาเฟอีนในช่วงเย็นจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น อีกทั้งยังช่วยขับสารพิษในร่างกายอีกด้วย เช้าวันต่อมาจะทำให้หน้าไม่บวมและแต่งหน้าได้สวยขึ้น

ไวน์และไวน์ข้าว
การดื่มไวน์และไวน์ข้าว (ชองจู คือ ไวน์ที่ได้จากการหมักข้าว ใสคล้ายน้ำเปล่า) ซึ่งดีต่อผิวก็จริงแต่การให้ผิวสัมผัสกับแอลกอฮอล์ทั้งสองชนิดนี้โดยตรงจะได้ผลดีมาก เวลามาสก์หน้าด้วยไวน์แดง สาร AHA ในไวน์แดงจะช่วยกำจัดผิวหนังที่ตายแล้วให้ออกไปอย่างอ่อนโยนและทำให้ ผิวนุ่ม ขึ้น ส่วนไวน์ข้าวนั้นเหมาะที่จะใช้เวลาอาบน้ำ ไวน์ข้าวเป็นเครื่องอาบน้ำจากธรรมชาติที่ดีเยี่ยมที่สุดในการกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและคงความชุ่มชื้นไว้ได้

อาหารเผ็ด ๆ อาหารอุ่น ๆ
การกินอาหารเผ็ด ๆ หรือน้ำแกงอุ่น ๆ ถือเป็นวัฒนธรรมการกินอันเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นเพราะในพริกเผ็ด ๆ มีสารแคปไซซินที่ถือว่าเป็นตัวแทนของการลดน้ำหนักและสารต้านอนุมูลอิสระ สาวเกาหลีจึงมีผิวที่แลดูอ่อนเยาว์และยืดหยุ่น แต่ควรบริโภคในปริมาณพอเหมาะเพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารทำงานหนักและควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด

อาหารที่มีเส้นใย
ระบบย่อยอาหารที่ทำงานได้ไม่ดีนักมักจะสร้างปัญหาให้แก่ผิว นอกจากการกินจะต้องดีแล้ว การขับถ่ายก็ต้องดีด้วย การกินอาหารที่มีเส้นใยสูงอย่างผัก มันเทศและสาหร่าย จะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี ส่งผลให้ไม่เหลือสิ่งสกปรกตกค้างบน ผิวหนัง นอกจากนี้การกินข้าวกล้องถือว่าส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักและช่วยป้องกันไม่ให้ท้องผูกอีกด้วย

อย่าลืมอุ่นเครื่องก่อนแต่งหน้า

การแต่งหน้าไม่ได้เริ่มขึ้นในตอนเช้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นต่างหาก ถ้าอยากแต่งหน้าให้สนุกและมีประสิทธิภาพแล้วควรจะอุ่นเครื่องก่อนแต่งหน้าสัก 10 – 20 ชั่วโมง พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ถือเป็นการลงทุนให้กับผิวในทุก ๆ คืน ซึ่งจะส่งผลต่อผิวในวันรุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การล้างหน้าอย่างพิถีพิถัน การรับสารอาหารอย่างพอเหมาะ การดื่มน้ำให้เพียงพอ การยืดเส้นยืดสาย รวมถึงการนอนหลับให้เพียงพอ นอกจากนี้คือการนวดหน้าด้วยตนเองทุก ๆ คืน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เมื่อยล้าและทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นวดแค่ 3 นาทีก็พอ ถึงจะดูเล็กน้อยแต่ถ้าทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพียงไม่กี่เดือนต่อมาจะรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

ขั้นตอนการนวดหน้าด้วยตัวเองวันละ 3 นาที มีดังนี้
1.หันศีรษะไปทางด้านข้างแล้วใช้นิ้วกดนวดเป็นจุด ๆไปตามบริเวณที่รู้สึกแข็ง
2.กดบริเวณโหนกแก้มและแก้มค้างเป็นจุดๆ
3.ถ้ากดตรงกลางคางจะช่วยลดบวมได้
4.แบ่งคิ้วเป็น 3 ส่วนแล้วกดค้างเป็นจุดๆ ตั้งแต่หัวคิ้วจนถึงหางคิ้ว
5.ทุกครั้งที่เคี้ยวอาหารให้บริหารกล้ามเนื้อคางด้วย ถ้ากดและนวดบริเวณกระดูกคางจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้
6.ใช้นิ้วนวดบริเวณแก้มเบา ๆ เหมือนดีดเปียโน

ผิวนุ่มชุ่มชื้นทุกฤดูกาล

ทะนุถนอมบำรุงมือ
ถึงจะใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าแล้วก็ตาม แต่ถ้าผิวมือแห้ง เวลาที่เราบำรุงผิวหน้าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็จะไปบำรุงมือแทน พูดอีกอย่างคือแค่มือเท่านั้นแหละที่จะได้รับการบำรุงทุกครั้งที่เราสัมผัสใบหน้าโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว มือของเราจะได้ฉกฉวยความชุ่มชื้นจากใบหน้าออกมา ดังนั้น ก่อนที่เราจะบำรุงผิวหน้าต้องเริ่มจากการบำรุงผิวมือเสียก่อน ใช้แฮนด์ครีมบำรุงผิวมือให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ไม่มีผลิตภัณฑ์ชิ้นไหนที่จะช่วยรักษากลิ่นกายของคุณไว้ได้ทั้งวันเท่ากับแฮนด์ครีมอีกแล้ว ดังนั้น เวลาเลือกซื้อก็ควรเลือกแฮนด์ครีมที่มีกลิ่นหอมละมุน

บำรุงผิวกายให้เท่ากับผิวหน้า
ผิวหนัง เป็นอวัยวะที่มีพื้นที่มากที่สุดในร่างกาย ถ้าผิวกายแห้ง ผิวหน้าก็ยอมแห้งขึ้นด้วยอย่างแน่นอน ทุก ๆ คืนหลังอาบน้ำ ผสมน้ำมันอโรมากลิ่นที่คุณชอบกับครีมหรือโลชั่นทาตัวแล้วนวดให้ทั่วเรือนร่างอย่างอ่อนโยน นอกจากผิวกายจะเนียนนุ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดตามแนวแขนขาดีขึ้นอีกด้วย รวมถึงส่งผลดีทำให้ใบหน้าใสขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยืดหยุ่นของบริเวณคอลงมาจนถึงหน้าอกนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับผิวหน้า จึงต้องพยายามรักษาความสวยงามให้เป็นธรรมชาติเนียนกระชับด้วยครีมทาคอ บาธออยล์ และครีมทาตัวที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว

กลิ่นน้ำหอมที่ผู้หญิงควรรู้

หากคุณเป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมการแต่งหน้าในสไตล์ที่แตกต่างกันตามโอกาสและสถานที่ คุณมักจะใช้น้ำหอมที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน ในวันที่ใส่เสื้อหนังสไตล์ไบเกอร์แจ็คเก็ตสุดเซ็กซี่ กับวันที่ใส่เสื้อเชิ้ตขาวเรียบ ๆ หรือวันที่ใส่มินิวันพีซสีดำ ถ้าใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันหมดคงฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

การเลือกน้ำหอมกลิ่นเฉพาะสำหรับคุณ
น้ำหอมของแบรนด์เครื่องสำอางซึ่งเป็นที่รู้จัก ถึงแม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูสวยและน่าสนใจ แต่ร่างกายของคนเราแต่ละคนนั้น ตอบสนองต่อน้ำหอมแตกต่างกันออกไป มีเหมือนกันที่บางคนได้กลิ่นน้ำหอพอตื่นขึ้นมาแล้วปวดหัวหรือไม่ก็ทำให้ตาล้า ขนาดตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างกายต่อต้านกลิ่นนั้นง่าย ดังนั้น จึงควรเลือกน้ำหอมที่ฉีดแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำหอมนั้น

บางครั้งกลิ่นเฉพาะของเราก็ไม่ได้มาจากน้ำหอมเสมอไป หลังอาบน้ำถ้าผสมครีมที่ไม่มีกลิ่นกับบาธออยล์กลิ่นที่ชอบแล้วทาให้ทั่วตัว จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ได้ตลอดวัน ข้อดีคือกลิ่นไม่ฉุนจนเกินไปและติดทนนาน

การเลือกน้ำหอมให้เข้ากับเสื้อผ้าอย่างง่าย ๆ
ในวันที่ต้องเลือกน้ำหอมให้เข้ากับเครื่องแต่งกาย วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเลือกจากสี แยกน้ำหอมที่มีอยู่นับสิบไว้ตามสีให้เห็นชัดเจน น้ำหอมที่ไม่มีสี สีเหลือง สีชมพู สีแดง สีส้ม สีฟ้า สีเขียว สีม่วง แม้กระทั่งสีดำ กลิ่นของพืชพรรณดอกไม้ในน้ำหอมสามารถแบ่งได้ตามสีของน้ำหอม สีหรือภาพลักษณ์ของเสื้อผ้าก็แบ่งในลักษณะคล้าย ๆ กันด้วย เวลาใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีฟ้าพาสเทล ถ้าฉีดน้ำหอม Philosophy Baby Grace สลากฟ้าจะให้กลิ่นหอมสดชื่น และเวลาที่เสื้อผ้าท่อนบนเป็นสีไวน์แดงสุดเซ็กซี่ ถ้าฉีดน้ำหอมสีกุหลาบสีเข้ม หรือไม่ก็ Serge Lute ns จะได้กลิ่นยั่วยวนของดอกซ่อนกลิ่นทั่วร่างกาย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

มังคุด ราชินีแห่งผลไม้ ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง

0
เปลือกมังคุด ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง
เปลือกมังคุดมีสารแซนโทน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ โดดเด่นในด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์
เปลือกมังคุด ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง
มังคุด (Mangosteen) คือ ผลไม้ท้องถิ่นของไทย โดยที่เปลือกของมังคุดมีสารแซนโทน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิตามิน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์

ประโยชน์ของมังคุด

มังคุดมังคุด ( Mangosteen ) คือ เป็นพันธุ์ผลไม้เขตร้อนไม่ผลัดใบชนิดหนึ่งของไทยมีประโยชน์และสรรพคุณได้รับขนานนามว่า “ ราชินีแห่งผลไม้ ” เพราะว่ามีกลีบเลี้ยงที่เหมือนมงกุฎ โดยมังคุดเป็นผลไม้เมืองร้อน ผลมังคุด มีลักษณะเป็นผลทรงกลมขนาดพอดีมือ เปลือกมังคุดหนาสีม่วงอมแดง เมื่อแก่จัดสีจะค่อนไปทางน้ำตาล ส่วนของเปลือกจะมีความชุ่มฉ่ำที่ด้านใน บิออกก็จะเป็นน้ำสีม่วงติดเนื้อของส่วนเปลือก แล้วพบเนื้อมังคุดสีขาวเรียงเป็นกลีบคล้ายส้มอยู่ด้านใน มังคุดจัดอยู่ในกลุ่มของไม้ยืนต้นที่มีความสูงมากกว่า 10 เมตร ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ที่มีเนื้อใบค่อนข้างหนาและเหนียว ผิวใบเป็นมันเงา ดอกอาจออกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ก็ได้ ขึ้นตรงซอกใบที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณปลายกิ่ง ซึ่งการทานเนื้อมังคุดก็ช่วยเรื่องการขับถ่าย และส่วนของเปลือกมังคุดก็ยังมีประโยชน์อีกด้วย

เปลือกมังคุดใช้ทำอะไรได้บ้าง

วงการเครื่องสำอางเริ่มนำเปลือกมังคุดมาทำเป็นส่วนผสมในสบู่มังคุดเพื่อชำระล้างผิวให้สะอาดหมดจด แล้วต่อยอดเปลือกมังคุดไปยังผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในรูปแบบอื่นๆ เช่น ครีมเปลือกมังคุดบำรุงผิวพร้อมแก้ปัญหาบางประการของผิว ผลิตภัณฑ์เปลือกมังคุดสำหรับทำความสะอาดเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับเตรียมผิวก่อนการบำรุง เป็นต้น ต่อมาจึงเริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับสรรพคุณของเปลือกมังคุด จนได้รู้ข้อเท็จจริงที่ว่าเปลือกมังคุดนั้นไม่ได้มีคุณค่าอยู่แค่เรื่องความสวยความงาม แต่มีคุณประโยชน์ต่อวงการแพทย์ด้วยเหมือนกัน 

เนื้อมังคุด สามารถมาทำอาหารคาวและหวาน เช่น แกง ยำ และอาหารหวาน เช่น มังคุดลอยแก้ว แยมมังคุด มังคุดกวน มังคุดแช่อิ่ม มีเส้นกากใยสูง ช่วยเรื่องการขับถ่ายและมีวิตามินเกลือแร่สูงมาก เช่น กรดอินทรีย์ น้ำตาล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดี และมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียดได้อีกด้วย

น้ำมังคุด ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการหลั่งสาร Interleukin Iและ Tumor Necrosis Factor ช่วยยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ลดอาการแพ้ภูมิตัวเอง ( ในโรค SLE ) และลดการอักเสบ ในผู้ป่วยเบาหวาน ตับเสื่อม ไตวาย ข้อเข่าเสื่อม ความดันโลหิตสูง โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ ความผิดปกติของสมองอันเนื่องจากการอักเสบ

ลักษณะของเปลือกมังคุดที่มีสรรพคุณทางยา

ใช่ว่าเปลือกมังคุดทุกผลจะเอามาใช้สำหรับทำยาได้ดีเสมอไป ต้องเป็นเปลือกมังคุดจากผลที่สมบูรณ์และแก่จัดเท่านั้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ดีอยู่ที่ประมาณ 1.5-2.5 นิ้ว ผิวภายนอกเรียบเกลี้ยง ไม่มีรอยของโรคและแมลง เปลือกมีความหนาแข็ง ไม่นิ่ม ไม่ช้ำ สีน้ำตาลเข้มอมม่วงสวยงาม แบบนี้ที่ใต้ผิวของเปลือกจะมีต่อมน้ำยางอยู่มาก ซึ่งเป็นส่วนออกฤทธิ์ที่สำคัญของเปลือกมังคุดนั่นเอง ยางที่ว่านี้หมายถึงน้ำยางที่มีสีเหลือง ไม่ใช่น้ำสีอมม่วงที่ได้เห็นตอนบิเปลือกมังคุดออก

สรรพคุณของมังคุดตามตำรับยาไทย

ความจริงเรารู้จักการนำเปลือกมังคุดมาใช้ทำสูตรยามาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แต่เพราะไม่ได้มีการสืบทอดอย่างเด่นชัดนัก เป็นเพียงการบอกเล่าปากต่อปากในช่วงระแวกไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้น จึงไม่ค่อยมีคนรู้มากเท่าที่ควร ครั้นเมื่อวงการเครื่องสำอางหยิบเปลือกมังคุดมาใช้งาน ผู้คนจึงให้ความสนใจและกลับมาศึกษาคุณสมบัติของเปลือกมังคุดกัน อีกรอบ สูตรยาจากเปลือกมังคุดที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยก่อน อย่างแรกเลยจะเป็นการใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วงเรื้อรัง ไปจนถึงถ่ายเป็นมูกเลือด ด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีรสฝาดในเปลือกมังคุดนั่นเอง ทำให้อาการ  เหล่านี้ลดน้อยลงได้ วิธีการใช้ก็ยิ่งง่าย คือนำเปลือกผลสดฝนกับน้ำแล้วทาน หรือจะเอาไปตากแห้งก่อนนำมาต้มน้ำดื่มก็ได้เหมือนกัน ต่อมาก็คือการใช้เพื่อสมานแผล ทั้งแผลเปื่อย แผลพุพอง ใช้ได้ทั้งหมด ว่ากันว่าช่วยเร่งให้แผลหายได้รวดเร็วกว่าปกติ วิธีการคือใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใส แล้วเอาน้ำมาทาบางๆ บริเวณแผล แต่ต้องระมัดระวังเรื่องของความสะอาดด้วย ไม่ก็จะกลายเป็นว่าทำให้แผลติดเชื้อไปแทน อีกอย่างหนึ่งคือการใช้เปลือกมังคุดเพื่อรักษาโรคผิวหนังที่ไม่รุนแรงนัก เช่น ผื่นแพ้ กลากเกลื้อน เป็นต้น โดยใช้เปลือกมังคุดต้มกับน้ำ แล้วใช้น้ำนั้นอาบชำระร่างกายเป็นประจำ อาจเร่งให้เห็นผลมากขึ้นอีกด้วยการเอาน้ำต้มนั้นมาทาผิวบริเวณที่มีปัญหาด้วยก็ได้

เปลือกมังคุดมีสารแซนโทน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ โดดเด่นในด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์

สารออกฤทธิ์สำคัญในเปลือกมังคุด

แม้ว่าแต่เดิมเราจะรู้วิธีการใช้ประโยชน์จากเปลืองมังคุดกันพอสมควรแล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้เรารู้ว่าองค์ประกอบสำคัญในเปลือกมังคุดคืออะไร ก็ช่วยให้เราสามารถนำวัตถุดิบตัวนี้ไปใช้งานได้อย่างตรงจุดและแพร่หลายมากขึ้นอีก สารตัวสำคัญที่ว่านี้ก็คือ แทนนิน ( tannin ) และแซนโทน ( xanthone ) 

เปลือกมังคุดมีสารแทนนิน เป็นสารที่มีรสฝาด สามารถจับตัวกับโปรตีนได้ดี ละลายน้ำได้ดีเช่นเดียวกัน หากเป็นในวงการอุตสาหกรรม สารแทนนินจะใช้เพื่อการฟอกหนังสัตว์ โดยทำให้โปรตีนตกตะกอน หนังสัตว์จึงอ่อนนุ่มขึ้น แต่ในวงการแพทย์สารแทนนินเป็นส่วนผสมของยาที่ใช้ทั้งภายนอกและภายใน ตัวอย่างคือ ยาที่ช่วยควบคุมสมดุลการหลั่งฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ยาถ่ายพยาธิ ยาแก้ท้องเสีย เป็นต้น

เปลือกมังคุดมีสารแซนโทน เป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ โดดเด่นในด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระและมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ แซนโทนมีอนุพันธ์มากถึง 200 ชนิด และแต่ละชนิดก็ยังมีคุณสมบัติปลีกย่อยที่แตกต่างกันอีก อีกทั้งยังเป็นสารที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม จึงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก

มังคุด-ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง
เปลือกมังคุด มีสารแซนโทนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับวิตามิน อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์

สรรพคุณทางยาจากเปลือกมังคุด

สารต้านอนุมูลอิสระ : ในเมื่อเปลือกมังคุดมีสารแซนโทนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระ คุณสมบัติอย่างแรกที่เด่นชัดและไม่พูดถึงไม่ได้เลยจึงเป็นประเด็นของการต้านอนุมูลอิสระนี่เอง โดยสารออกฤทธิ์จะทำหน้าที่สลายอนุมูลอิสระที่ถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติ ตลอดจนยับยั้งการเกิดใหม่ที่มีต้นเหตุมาจากปฏิกิริยาในร่างกาย พร้อมกันนี้ก็ยังสามารถลดการเกิดออกซิเดชันของ คลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี ( LDL ) ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย

ช่วยลดภาวะอุดตันของหลอดเลือด : เปลือกมังคุดมีสารออกฤทธิ์สำคัญในมังคุดจะช่วยเสริมสร้างให้หลอดเลือดมีความแข็งแรง ยืดหยุ่นและไม่เปราะแตกได้ง่าย พร้อมกับช่วยยับยั้งการก่อตัวของเหล่าจุลินทรีย์ที่เป็นพิษ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องนัก จุลินทรีย์กลุ่มนี้หากมีปริมาณมากขึ้นก็จะทับถมและอุดตันในเส้นเลือด ส่งผลให้การลำเลียงเลือดทำได้ไม่สะดวก 

ฟื้นฟูสภาพของกระเพาะอาหาร : ประเด็นของกระเพาะอาหารไม่ได้มีแค่เรื่องแผลในกระเพาะ หรือท้องอืดท้องเฟ้อจากพฤติกรรมการกินเท่านั้น ยังมีปัจจัยในเรื่องของอายุที่เพิ่มมากขึ้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นธรรมดาที่เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เซลล์และอวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็ย่อมเกิดความเสื่อมสภาพ ในกระเพาะอาหารก็เช่นกัน จากที่เคยย่อยง่ายก็ไม่เหมือนเดิม ศักยภาพการดูดซึมสารอาหารก็ลดน้อยลงด้วย อาการท้องเสีย ท้องอืดจึงตามมา เปลือกมังคุดจะช่วยปรับสมดุลและฟื้นฟูความเสียหายเหล่านี้

รักษาแผลเปื่อยในปาก : ไม่ว่าบาดแผลจะเกิดจากอะไรและเกิดขึ้นที่บริเวณไหน หากใส่ยาเพื่อสมานแผลได้ก็ควรใส่ ในช่องปากก็ไม่ได้เป็นกรณียกเว้น เรามักจะใช้ยาแบบที่เป็นน้ำหรือครีมป้ายที่แผลก่อนนอน เพื่อให้ยาติดอยู่บริเวณแผลได้นานและออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ซึ่งกว่าแผลจะหายก็ใช้เวลามากน้อยต่างกันไปตามความรุนแรงของบาดแผล แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสมุนไพรบ้านเรามีคุณสมบัติน่าสนใจกว่ายาแผนปัจจุบันหลายเท่า เพราะเปลือกมังคุดช่วยสมานแผลภายในช่องปาก ให้รู้สึกดีขึ้นได้ภายใน 24 ชั่วโมง และช่วยฆ่าเชื้อไปด้วยในตัว ผลพลอยได้จากการใช้เปลือกมังคุดรักษาแผลก็คือ ช่วยบำรุงให้เงือกและช่องปากมีสุขภาพแข็งแรง

ช่วยในระบบขับถ่าย : นอกจากสารออกฤทธิ์ต่างๆ แล้ว คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของเปลือกมังคุดก็คือมีปริมาณของไฟเบอร์สูงมาก จึงมีผลต่อระบบทางเดินของลำไส้และระบบขับถ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเมื่อทานเข้าไปไฟเบอร์ก็จะทำหน้าที่กวาดล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และทางเดินอาหาร ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายในเวลาต่อมา ป้องกันปัญหาท้องผูก และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ในระยะยาว

ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า : สารสกัดจากเปลือกมังคุดมีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉง จิตใจก็ไม่หม่นหมองหรือซึมเศร้า หากได้ทานสารสกัดจากเปลือกมังคุดเป็นประจำก็จะช่วยให้เกิดสุขภาพจิตที่ดี และส่งผลให้กลายเป็นคนนอนหลับได้ง่าย

ช่วยบรรเทาอาการแพ้ : ในเปลือกมังคุดมีสารที่ช่วยยับยั้งการสังเคราะห์สารกลุ่มพลอสตาแกลนดินอีทูอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสารที่เร่งให้เกิดกระบวนการอักเสบอันเข้าข่ายของอาการแพ้ และสารสกัดจากเปลือกมังคุดตัวเดียวกันนี้ก็ยังช่วยปรับเรื่องสมดุลการทำงานของอินซูลินอีกด้วย

ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง : นี่ถือเป็นงานวิจัยชิ้นโบว์แดงเลยก็ว่าได้ เพราะนักวิจัยไทยทำการศึกษาเกี่ยวกับสารเคมีสำคัญในเปลือกมังคุด แล้วก็พบว่ามีสารที่ชื่อ GM-1 ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ช่วยลดอาการอักเสบได้ดี และมีรายงานจากการวิจัยว่า สารในเปลือกมังคุด สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ เพราะนอกจากจะฆ่าเชื้อและลดการอักเสบแล้ว ก็ยังช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นตัวหลักในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งนั่นเอง

ยับยั้งเชื้อ HIV บางตัว : สารสกัดเมทานอลจากเปลือกผลมังคุดช่วยยับยั้งเอนไซม์โพรทีเอส ( HIV-1 pro-tease ) ซึ่งเป็นเชื้อที่จำเป็นต่อวงจรชีวิตของเชื้อ HIV และสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกผลมังคุด ยังสามารถยับยั้งเอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริปเทส ( reverse transcriptase ) ในเชื้อ HIV ได้อีกด้วย

ประโยชน์ของมังคุดกับความงาม

1. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ : ศัตรูตัวร้ายของผิวสุขภาพดีก็คืออนุมูลอิสระนี่เอง ยิ่งมีมากเท่าไรความสวยงามก็จะลดลงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่ออนุมูลอิสระมา สิวฝ้า กระ ริ้วรอยตื้นลึกก็ตามมา สารสกัดจากเปลืองมังคุดที่เน้นช่วยเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระโดยตรง ก็จะมีทั้งแบบอาหารเสริมที่ต้องทานเข้าไป และแบบที่อยู่ในรูปของเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวภายนอก สะดวกแบบไหนก็เลือกใช้ได้เลย

2. แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น : การบำรุงผิวด้วยมังคุดจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความเนียนนุ่มขึ้น เนื่องจากมังคุดมีคุณสมบัติในการคงความชุ่มชื้นให้กับผิว ดังนั้นคนที่มีปัญหาผิวแห้ง มังคุดก็เป็นตัวช่วยที่ดีไม่น้อยเหมือนกัน

3. ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย : คุณสมบัติข้อนี้มีผลต่อสิวบนใบหน้า เพราะเชื้อแบคทีเรียเป็นต้นตอของการเกิดสิวอับเสบ หากผิวหน้ามีเชื้อแบคทีเรียเลวอยู่เป็นจำนวนมากก็จะมีโอกาสเกิดสิวได้บ่อย ดังนั้นการกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่จำเป็นออกไปจึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการรักษาสิวบนใบหน้าที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

4. เพิ่มความเต่งตึงให้ผิวพรรณ : เปลือกมังคุดมีส่วนช่วยในการกระชับรูขุมขนและสมานผิวที่มีปัญหาทั้งหมด ผิวพรรณจึงดูเปล่งปลั่งเต่งตึงขึ้นมาได้

5. ช่วยชะลอความชรา : สารออกฤทธิ์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระของเปลือกมังคุด จะช่วยให้เซลล์แข็งแรง เปล่งปลั่ง ไม่ถูกทำลายโดยง่าย และสะท้อนผลลัพธ์ให้เห็นกันชัดๆ ที่ผิวพรรณภายนอกที่ดูสดใส อ่อนกว่าวัย

6. ลดปริมาณเม็ดสีที่ผิวหนัง : แม้ว่าคุณสมบัติข้อนี้จะไม่ได้โดดเด่นเทียบเท่าสมุนไพรตัวอื่น อย่างเช่น โรสแมรี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเปลือกมังคุดมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน โดยตรงเข้าจัดการกับส่วนที่ดูแลอัตราการผลิตเม็ดสีของผิวหนัง จุดด่างดำต่างๆ จึงลบเลือนไป ผิวดูขาวใสนวลเนียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

มังคุด มากด้วยคุณค่าทางยาและบำรุงความงาม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://women.haijai.com [20 มีนาคม 2561].

เปลือกมังคุด สรรพคุณยอดเยี่ยม มีประโยชน์เกินคาด (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.lookmhee.com [20 มีนาคม 2561].

เปลือกมังคุดช่วยรักษาสิวและลบจุดด่างดำ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.fat108.com [20 มีนาคม 2561].

มะขามป้อม ประโยชน์และสรรพคุณมากมาย

0
มะขามป้อม มากด้วยประโยชน์และสรรพคุณ
มะขามป้อมเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ เป็นไม้ยืนต้นที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นอาหารและยารักษาโรคได้ดี
มะขามป้อม มากด้วยประโยชน์และสรรพคุณ
มะขามป้อมเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ เป็นไม้ยืนต้นที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นอาหารและยารักษาโรคได้ดี

มะขามป้อม

มะขามป้อม ( Indian gooseberry ) คือ ผลไม้พื้นบ้านที่มีประโยชน์และสรรพคุณทางด้านสมุนไพร เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สายพันธุ์คล้ายมะขาม แต่มีลักษณะเป็นผลกลมขนาดเล็ก มีสีเขียวอมเหลืองเปลือกบาง รสชาติเปรี้ยว ขม และฝาด จุดเด่นของผลไม้ชนิดนี้ก็คือมีค่าวิตามินซีที่สูงมาก เรียกว่าสูงกว่าส้มหลายเท่าตัวเลยทีเดียว มีสารอนุมูลอิสระ ซึ่งมีทั้งสรรพคุณและประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นการบำบัดหรือรักษาโรคต่างๆ ที่ต้องใช้วิตามินซีช่วย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังพบว่าสามารถป้องกัน รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ เมื่อกินมะขามป้อมสด 1-3 กรัมต่อวันเป็นเวลา 21 วัน

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica

มะขามป้อม จัดอยู่ในกลุ่มไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง สามารถเพาะปลูกได้ทั่วไปในพื้นที่เขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลากหลายชื่อเรียกที่เปลี่ยนแปลงไปตามภาษาท้องถิ่นนั้นๆ เช่น กันโตด กำทวด สันยาส่า เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่พบมะขามป้อมได้จะมีความสูงของลำต้นอยู่ที่ประมาณ 10-18 เมตร มองผิวเผินก็คล้ายคลึงกับต้นมะขามฝักอยู่เหมือนกัน เพราะมีใบเป็นใบประกอบคู่ที่มีใบย่อยทรงรีแตกออกมาทั้งสองข้าง ขอบใบเรียบ ปลายใบมน และจะผลัดใบตามฤดู ส่วน ของดอกเราจะเห็นขึ้นเป็นกระจุกสีขาว ดอกมีขนาดค่อนข้างเล็กและอยู่ชิดกับโคนใบ ส่วนของผลมีลักษณะกลมมนสีเขียวอ่อน ดูคล้ายว่าเนื้อจะใสจนมองเห็นข้างในได้แต่ก็ไม่เห็น เมื่อมะขามป้อมสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง แต่ก็ไม่ต่างจากตอนที่ยังเป็นผลอ่อนๆ มากนัก โดยทั่วไปเนื้อจะหนาเพียง 5-7 มิลลิเมตรเท่านั้น เนื้อกรอบฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวอมฝาด แต่กลับทำให้น้ำลายรู้สึกหวานได้ในเวลาต่อมา สามารถทานสดก็ได้ แต่นิยมนำมะขามป้อมแปรรูปมากกว่า

องค์ประกอบทางเคมีของ มะขามป้อม

จากการวิจัยมะขามป้อมสดพบว่ามีวิตามินซีที่อยู่ในกลุ่มของ ascorbic acid มีมากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักเนื้อมะขามป้อม 100 กรัม ซึ่งเป็นค่าที่สูงมาก ascorbic acid เป็นวิตามินซีที่พบได้ในธรรมชาติ คุณสมบัติละลายน้ำได้ดีและร่างกายมนุษย์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีสารประกอบอื่นๆ ที่สำคัญดังนี้

  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มแทนนิน (tannin) เป็นสารที่ให้รสฝาด มีฤทธิ์ในการสมานแผลและบรรเทาอาการท้องเสีย ได้แก่ กรดชิบูราจิก ( chebulagic acid ) เอมบริคานิน ( emblicanin A, B ) และพูนิกลูโคนิน ( punigluconin )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มคูมารินส์ ( coumarins ) มีคุณสมบัติในการต้านการแข็งตัวของเลือด ได้แก่ กรดเอลลาจิก( ellagic acid )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ( flavonoids ) จัดเป็นวิตามินอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แอสตรากาลิน ( astragalin ) เคอซิติน ( quercetin ) และรูติน ( rutin )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มไดเทอร์ปีนส์ ( diterpenes ) สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านจุลชีพต่างๆ ได้แก่ จิบเบอเรลลิน ( gibberellin )
  • มะขามป้อมมีสารกลุ่มแอลคาลอยด์ ( alkaloids ) เป็นสารอินทรีย์ที่มีสมบัติเป็นเบส มีส่วนในการควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ ฟิลแลนทีน ( phyllantine ) ฟิลแลนทิดีน ( phyllantidine )

สรรพคุณของมะขามป้อมตามตำรับยาไทย

มะขามป้อม เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีประวัติยาวนาน ประเทศอินเดียมีการปรุงยาด้วยส่วนประกอบของมะขามป้อมมากมาย แล้วก็แพร่หลายแบบปากต่อปากไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย และต่อไปนี้ก็คือตัวอย่างของสรรพคุณและวิธีใช้ตามข้อมูลที่มีบันทึกไว้

มะขามป้อมแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย : ถ้าอาการยังไม่หนักมากนัก ก็สามารถนำส่วนของรากมะขามป้อมที่แห้งสนิทดีแล้วมาช่วยบรรเทาอาการลงได้ โดยนำรากแห้งนั้นไปล้างทำความสะอาดให้ดี อาจลวกน้ำร้อนซ้ำอีกก็ได้ แล้วค่อยใส่หม้อต้มกับน้ำ เมื่อน้ำข้นได้ที่ก็นำมาดื่มทีละนิดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น

มะขามป้อมแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย : เมื่อรู้ตัวว่าโดนกัดหรือต่อย หากมีเหล็กในก็ให้เอาออกจนเรียบร้อยดีเสียก่อน แล้วใช้รากสดๆ ของมะขามป้อมที่บดละเอียดดีแล้ว มาพอกไว้ที่แผล เป็นการแก้พิษ บรรเทาอาการปวดบวมและอักเสบที่ไม่รุนแรงได้

มะขามป้อมช่วยสมานแผล : ใช้เปลือกของส่วนลำต้นมะขามป้อม ล้างให้สะอาดแล้วตากแดดจนแห้งสนิท จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียด ใช้โรยที่ปากแผลเพื่อเร่งให้แผลแห้งเร็วขึ้น
บรรเทาอาการปวดกระเพาะอาหาร และปวดเมื่อยตามกระดูก : ใช้ส่วนของปมก้านต้มกับน้ำแล้วดื่ม

มะขามป้อมบรรเทาอาการหวัด ไอ เจ็บคอ : อันที่จริงผลไม้ที่มีรสออกเปรี้ยวเกือบทั้งหมดสามารถช่วยลดอาการไอและเจ็บคอได้ แต่มะขามป้อมถือว่าให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ทั้งยังมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยละลายเสมหะได้ด้วย วิธีการใช้ก็ไม่ยุ่งยาก คือทานผลสดของมะขามป้อมได้เลย หรือจะนำมาตำให้ละเอียดเพื่อผสมกับน้ำผึ้งก่อนทานก็ได้ แต่ต้องเลือกผลที่แก่จัดสักหน่อย ให้ผิวออกเหลืองมากกว่าเขียวจึงจะได้สรรพคุณเต็มที่

มะขามป้อมบำรุงผม : มะขามป้อม เป็นวัตถุดิบที่หลายคนไม่นึกถึงเลยสำหรับการใช้เพื่อบำรุงผม มักจะไปนึกถึงดอกอัญชันและผลมะกรูดเสียมากกว่า แต่ผลแห้งของมะขามป้อมนั้นมีสรรพคุณเป็นสารชะล้างอ่อนๆ ที่ช่วยให้ผมดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัยได้ดี ถึงขนาดที่มีการจดสิทธิบัตรกันอย่างจริงจัง ขั้นตอนการนำมาใช้งานก็คือ แช่มะขามป้อมลงในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ข้ามคืนและใช้น้ำนั้นล้างผมเป็นน้ำสุดท้ายหลังการสระผมทุกครั้ง

มะขามป้อมบรรเทาอาการปวดฟัน : เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ไม่ว่าจะเป็นฟันผุ เหงือกบวม รำมะนาด ก็สามารถใช้มะขามป้อมช่วยบรรเทาอาการในเบื้องต้นได้ และหลายครั้งก็ช่วยรักษาให้อาการเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้น ให้ใช้ปมกิ่งต้มน้ำจนข้น แล้วใช้น้ำนั้นอมบ้วนปากทั้งเช้าเย็นหลังการแปรงฟัน

มะขามป้อมแก้อาการน้ำเหลืองเสีย : ระบบน้ำเหลืองเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพที่ดีหรือไม่ดี คนที่ระบบน้ำเหลืองเสีย เมื่อเป็นแผลเพียงเล็กน้อยก็จะหายช้า พร้อมกับทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ให้ดูต่างหน้า เมื่อสัมผัสอะไรนิดหน่อยก็เสี่ยงที่จะแพ้และเกิดอาการคัน ผู้ที่มีระบบน้ำเหลืองไม่ดีจึงควรทานผลสดของมะขามป้อมเป็นประจำวันละลูก หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว

มะขามป้อม ประโยชน์เป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาและความชุ่มชื้น เป็นอาหารและยารักษาโรคได้ดี ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด

ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของมะขามป้อม

มะขามป้อมลดระดับคลอเลสเตอรอล : มะขามป้อม ถูกใช้เพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลในวงการแพทย์ทางเลือก ด้วยว่ามีสารเคมีสำคัญหลายตัวที่ออกฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเลือดได้ เช่น สารเพกทิน ( pectin ) และสารฟลาโวนอยด์ ( flavonoid ) ซึ่งได้ทำการทดสอบสรรพคุณข้อนี้ในกลุ่มผู้ชายจำนวนหนึ่ง แบ่งเป็นกลุ่มที่มีสุขภาพดีและกลุ่มที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง วิธีการคือให้ทานอาหารเสริมที่ผลิตมาจากมะขามป้อมแห้งเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 28 วันติดต่อกัน พบว่ามีอัตราการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้ทดลองทั้งสองกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีการทดลองซ้ำอีกในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อให้ทานสารสกัดจากมะขามป้อมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็พบผลลัพธ์เช่นเดียวกัน นั่นคือระดับคอเลสเตอรอลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

มะขามป้อมลดระดับน้ำตาลในเลือด : อันที่จริง มะขามป้อม ถูกหยิบมาใช้กับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะเชื่อว่าช่วยลดทอนความเสียหายในร่างกายที่เกิดจากโรคเบาหวานได้ จึงมีการนำมาวิจัยเพื่อหาข้อสรุปที่แน่ชัดอีกครั้ง ด้วยการทดสอบในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่มีโรคแทรกซ้อนอื่นใดจำนวนหนึ่ง ซึ่งการทดสอบในลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง วิธีการคือแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของมะขามป้อม ในขณะที่ อีกกลุ่มจะไม่ได้ทานอาหารเสริมตัวเดียวกันนี้ เมื่อสิ้นสุดการทดสอบและทำการวัดผล พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจริง แต่ยังไม่สามารถระบุปริมาณที่เหมาะสมในการใช้งานและผลข้างเคียงเมื่อใช้มะขามป้อมเป็นเวลานานด้วย

มะขามป้อมลดความอ้วน : ประเด็นนี้เราจะได้เห็นว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในปัจจุบัน มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ใช้สารสกัดจาก มะขามป้อม เป็นส่วนผสมหลัก แต่จะได้ผลจริงแท้แค่ไหนต้องไปดูงานวิจัยชิ้นนี้ มีการนำมะขามป้อมมาสกัดเอาสารเคมีที่สำคัญและทดสอบกับผู้ป่วยโรคอ้วน โดยให้ทานสารสกัดนี้วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 500 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 3เดือน สิ่งแรกที่พบคือผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลลดลงโดยเฉพาะส่วนของคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ทั้งยังลดความเสี่ยงต่อภาวะแข็งตัวของเกล็ดเลือดได้ด้วย อย่างไรก็ตามมะขามป้อมยังมีข้อจำกัดอยู่เล็กน้อย คือไม่สามารถใช้ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะมากๆ ได้ รวมไปถึงผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีโรคแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรงอื่นๆ

มะขามป้อมบรรเทาอาการปวดตามข้อ : เนื่องจากแพทย์อายุรเวทของอินเดียจะมีการใช้ มะขามป้อม เพื่อบรรเทาอาการอักเสบอยู่เสมอๆ จึงทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าองค์ประกอบสำคัญในมะขามป้อมน่าจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดตามข้อต่อต่างๆ ได้ ทดสอบโดยให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่าทานยาสมุนไพรจากมะขามป้อมต่อเนื่อง 24 สัปดาห์ พบว่าอาการปวดข้อเข่าดีขึ้นจริง และเมื่อทานต่อเนื่องไปอีก ข้อเข่าก็มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันก็พบว่ามีผลข้างเคียงด้วยเหมือนกัน นั่นคือทำให้ตับเกิดการอักเสบ จึงต้องมีการวิจัยเพื่อต่อยอดด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีก ถึงจะนำมาใช้ประโยชน์ได้

มะขามป้อมต้านมะเร็ง : มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติต้านมะเร็งในมะขามป้อมอย่างต่อเนื่อง เพราะองค์ประกอบหลายตัวมีความคล้ายคลึงกับยาเคมีที่ใช้เพื่อบำบัดโรคมะเร็ง เช่น กรดแกลลอก กรดเอลลาจิก ไพโรแกลลอด คอริลาจิน เป็นต้น เริ่มแรกทำการทดสอบด้วยใช้สารสกัด มะขามป้อม ร่วมกับยาเคมีบำบัด เปรียบเทียบกับการใช้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว สรุปว่าได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันในผู้ป่วยมะเร็งบางราย จึงมีความหวังว่าน่าจะใช้สารสกัดมะขามป้อมเพื่อลดปริมาณยาเคมีลงบางส่วน แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปการใช้งานได้อย่างชัดเจน ต่อมาจึงมีการทดลองอีกในหนูทดลองที่เป็นมะเร็งช่องท้อง โดยให้สารสกัดมะขามป้อมทางปากเป็นเวลา 5 วัน พบว่าก้อนมะเร็งในช่องท้องมีขนาดเล็กลง นั่นหมายความว่าสารออกฤทธิ์ในมะขามป้อมช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากใช้ในค่าความเข้มข้นที่สูงมากเกินไป ก็สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ปกติได้เช่นเดียวกัน

เมนูของทานเล่น รสเด็ดจากมะขามป้อม

  • มะขามป้อมคลุกพริกเกลือ
  • ตำมะขามป้อม
  • น้ำพริกมะขามป้อมปลาแห้ง
  • มะขามป้อมแช่อิ่ม
  • มะขามป้อมดอง
  • มะขามป้อมอบแห้ง
  • มะขามป้อมดอง 3 รส
  • บ๊วยมะขามป้อม

ข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์จากมะขามป้อม

แม้ว่ามะขามป้อมจะมีสรรพคุณที่น่าสนใจมากมาย แต่หากจะใช้ในรูปแบบของยารักษาโรคก็ต้องมีขีดจำกัดในการใช้ด้วย เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายในระยะยาว ข้อควรระวังต่างๆ มีดังนี้
1. ผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณการทานก่อนเสมอ เพราะแต่ละคนมีระดับน้ำตาลที่ต้องควบคุมแตกต่างกัน สูงไปก็ไม่ได้ ต่ำไปก็ไม่ดี
2. สตรีมีครรภ์และคุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรไม่ควรทานในปริมาณมาก เพราะยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
3. งดทาน มะขามป้อม ก่อนเข้ารับการผ่าตัดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ 2 สัปดาห์ เพราะมีสารออกฤทธิ์ที่ส่งผลต่อภาวะเลือดออกผิดปกติในบางกรณี

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง


เอกสารอ้างอิง

“Phyllanthus emblica information from NPGS/GRIN”. US Department of Agriculture. http://www.ars-grin.gov/cgi-bin/npgs/html/taxon.pl?28119. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-03-06.
มะขามป้อม ศูนย์ปฏิบัติการพืชเศรษฐกิจ

DO-ME ประโยชน์ของIndian Gooseberry
ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ 2551 พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่271 หน้า

สมอไทยราชาสมุนไพร พุทธโอสถ

0
"สมอไทย" ราชาสมุนไพร พุทธโอสถ
สมอไทย เป็นสมุนไพรที่มีตำนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นสมุนไพรที่ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ
"สมอไทย" ราชาสมุนไพร พุทธโอสถ
สมอไทย เป็นสมุนไพรที่มีตำนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นสมุนไพรที่ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ

สมอไทย

สมอไทย ( Chebulic Myrobalans ) เป็นสมุนไพรในตำราพุทธโอสถครั้งบรรพกาล ปัจจุบันสมอไทย ยังเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในบรรดาผลไม้อบแห้งที่วางขายเป็นห่อเล็กๆ ตามท่ารถ ตามตลาดนัดและตามมุมขายของภายในวัด สมอแช่อิ่มเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่น้อยหน้ามะม่วง มะขาม หรือเม็ดบ๊วย ด้วยรสชาติเป็นเอกลักษณ์ที่ยิ่งทานก็ยิ่งอร่อย ใครได้ลองทานสักครั้งก็มักติดใจและต้องหามาทานอีกเมื่อมีโอกาส หลายคนรู้จักสมอในรูปแบบที่ว่านี้เพียงอย่างเดียว เพราะสมอที่เป็นผลสดซื้อหาไม่ได้ง่ายๆ แล้วในปัจจุบัน ทันทีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ก็จะมีกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปตั้งท่ารออยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่คุ้มที่ชาวสวนจะนำออกมาวางขายเอง เพราะน้อยคนนักที่จะรู้ว่าผลสมอสดๆ เอาไปทำอะไรได้บ้าง แม้ว่าราคาค่างวดในท้องตลาดของสมอจะดูไม่ได้มีมูลค่าสูงมากนัก แต่นี่คือสมุนไพรที่มีตำนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเลยทีเดียว เพราะเป็นสมุนไพรในไม่กี่ชนิดที่ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ และอยู่ในรายการอาหารปานะของพระสงฆ์มาโดยตลอด นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงสมุนไพรพื้นบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจอะไร 

สมอไทยเป็นไม้พื้นเมืองที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่พื้นที่ เช่น ส้มหม้อ มาแน่ เป็นต้น สมอเป็นไม่ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีจังหวะผลัดใบเป็นช่วงๆ ลำต้นมีความสูงอยู่ที่ 20-30 เมตร เปลือกหุ้มลำต้นมีสีเทาอมดำ แต่พอแกะออกสักชั้นหนึ่ง เปลือกด้านในกลับมีสีเหลืองแกมน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยวปลายมน ด้านบนมันเงาแต่ด้านล่างเป็นขุยขน ออกดอกเป็นแบบช่อสีขาวอมเหลืองและมีกลิ่นหอม ผลสมอมีลักษณะกลมรี ยาวบ้างสั้นบ้าง ผิวเกลี้ยงหรือมีสันให้เห็นบางๆ มีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ดอยู่กึ่งกลางด้านใน เมื่อแก่จัดจะมีสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวแกมน้ำตาลแดง

องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญของลูกสมอไทย

สารออกฤทธิ์ที่น่าสนใจในสมอมีหลายตัวด้วยกัน กลุ่มแรกคือสารกลุ่มฟิโนลิกส์ ( phenolics ) ได้แก่ กรดเคบูโลนิก ( chebulonic acid ) มีคุณสมบัติในการต่อต้านเซลล์มะเร็งอย่างรุนแรง จึงเป็นสารกลุ่มที่ถูกจับตามากที่สุดในวงการแพทย์ เพราะหากนำมาใช้ได้เต็มศักยภาพจะเกิดประโยชน์มหาศาล ต่อมาคือกรดแกลลิก ( gallic acid ) มีหน้าที่ในการต่อต้านการออกซิเดชัน สารคอริลาจิน ( corilagin ) ช่วยต้านความเจ็บปวดบางประเภทได้ นอกจากนี้ก็ยังมี terchebin glucogallin ellagic acid sennoside A chebulin catechol และ tannic acid

สรรพคุณของสมอไทย

สมอไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ ราชาสมุนไพร ” เพราะมีคุณประโยชน์ที่หลากหลายมาก ทั้งยังเป็นส่วนผสมหลักในยาอายุวัฒนะอย่างตรีผลาด้วย นั่นหมายความว่ามีรูปแบบการใช้ประโยชน์จากสมอไทยที่ควรรู้อยู่ไม่น้อย และที่ยกมานี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

สมอไทยบรรเทาอาการเจ็บคอ : สิ่งที่สังเกตได้ทันทีที่ทานผลแก่ของสมอไทย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลสดหรือแปรรูปมาแล้ว เช่น สมอแช่อิ่ม เป็นต้น จะเกิดความรู้สึกชุ่มคอ และบรรเทาอาการเจ็บคอลงได้ หากไม่ชอบทานผลสมอ ก็อาจทำเป็นยาชงใช้อมกลั้วคอแก้อาการก็ได้เช่นเดียวกัน โดยเลือกผลสดแก่ๆ ของสมอไทย นำมาล้างน้ำทำความสะอาดให้ดี ก่อนฝานเนื้อไปตากแห้งด้วยแดดจัดสักประมาณ 3-4 วัน เมื่อเห็นว่าแห้งสนิทดีแล้วก็นำมาบดเป็นผงละเอียด บรรจุใส่โหลที่มีฝาปิดสนิท จะใช้งานเมื่อไรก็ตักมาชงกับน้ำอุ่นได้ทันที ข้อควรระวังคือช่วงของการตากแห้ง ต้องแน่ใจว่าแห้งแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นโอกาสที่ผงยาชงจากสมอจะกลายเป็นเชื้อราก็จะมีสูงมาก 

สมอไทยสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ : ผลสดของสมอไทยที่แก่จัดจะมีรสชาติฝาดเด่นชัด ซึ่งรสฝาดนี่เองที่มีสารออกฤทธิ์สำคัญ ที่ทำให้บาดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ทั้งหมดบรรเทาอาการบาดเจ็บลงได้ เรียกว่าสามารถใช้สมอเพื่อสมานแผลภายในได้นั่นเอง วิธีการก็คือ ทานผลสมอไทยสดๆ วันละ 2-3 ผล ยิ่งถ้าเลือกเอาเฉพาะผลที่มีรสฝาดจัดได้ด้วยก็ยิ่งดี

สมอไทยบำรุงหัวใจ : เพียงนำส่วนเปลือกบริเวณลำต้นของ สมอไทย มาล้างทำความสะอาด ก่อนนำมาต้มกับน้ำเพื่อใช้ดื่ม โดยไม่ต้องเคี่ยวให้ข้นนักเพราะจะยิ่งทำให้ดื่มได้ยาก ต้มเพียงน้ำเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายกับการต้มชาก็เพียงพอ สารเคมีให้ส่วนเปลือกจะเข้าไปกระตุ้นให้หัวใจทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

สมอไทยชะลอความเสื่อมของวัย : สารฟิโนลิกส์ในสมอมีความโดดเด่นมากในการชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ จากผลงานวิจัยพบว่าสารตัวนี้สามารถชะลอความชราได้ผลมากถึง 89 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระไปด้วย แค่เลือกทานผลสมอที่สุกกำลังดีอย่างน้อยวันละ 1 ผลก็เพียงพอแล้ว

สมอไทยยับยั้งการเกิดและการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง : มีการทดลองเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ในผลสมอไทยที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งเอาไว้มากมาย ประเภทของเซลล์มะเร็งที่เคยทดสอบแล้วได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระดูก สารฟิโนลิกส์ในผลสมอเป็นพระเอกในประเด็นนี้เช่นเดียวกัน โดยจะทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเติบโตและค่อยๆ ตายไป หากมีความเสี่ยงแต่ยังไม่ทันเกิด ฟิโนลิกส์ก็จะเปลี่ยนหน้าที่เป็นการป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งที่ว่านั้นเกิดขึ้นได้ วิธีการทานก็ไม่ยุ่งยากอะไรนัก ทั้งยังสามารถเลือกทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

  • สมอไทยน้ำสมอไทยเข้มข้น : เลือกลูกสมอที่แก่จัดมาล้างทำความสะอาดหลายๆ น้ำ เฉือนเปลือกออกแล้วเลือกแต่ส่วนเนื้อในใส่ลงในเครื่องปั่น เมื่อปั่นจะเหลวดีแล้วจึงกรองเอาแต่น้ำ กรอกใส่ขวดเอาไว้ นำมาทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้วก่อนอาหารเช้า-เย็น
  • สมอไทยผงสมอชงดื่ม : เลือกเอาลูกสมอที่แก่จัดมาทำความสะอาด แล้วเฉือนเนื้อตากแดดจัดเพื่อให้แห้งสนิท จากนั้นจึงบดเป็นผงละเอียดเก็บใส่กระปุกไว้ เมื่อต้องการใช้ก็ตักมาครั้งละ 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนยา ดื่มทุกวันเช้า-เย็นก่อนอาหาร

สมอไทยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง : วิธีนี้เป็นสูตรโบราณตามตำราที่ว่ากันว่าเป็นยาบำรุงร่างกายขนานเอกเลยทีเดียว ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการกระตุ้นความกำหนัดเช่นเดียวกับยาบำรุงร่างกายอื่นๆ ส่วนประกอบคือ ลูกสมอไทย 1 น้ำสะอาด 1 แก้ว แช่ส่วนผสมทั้งสองไว้ข้ามคืน แล้วทานทั้งเนื้อและน้ำหลังตื่นนอนทันที จะช่วยแก้ความรู้สึกอ่อนเพลีย ร่างกายกลับมาสดชื่น และมีกำลังวังชาที่จะทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน 

สมอไทยช่วยย่อยอาหาร : สำหรับคนที่มีปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อบ่อยๆ จากการที่อาหารไม่ย่อย ลูก สมอไทย เป็นสมุนไพรที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการทานผลสมอไทยที่สุกแล้วทุกครั้งหลังทานอาหาร สัก 1-2 ผลก็เพียงพอ สารออกฤทธิ์ในสมอจะไปกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมันจะมีผลในระยะยาวด้วย หมายความว่าไม่จำเป็นต้องทานไปตลอดก็ได้ พอทานไปสักพักใหญ่ๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอาการท้องอืดแล้วก็หยุดทานได้ทันทีโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

แก้ปัญหาเชื้อราที่ผิวหนัง และโรคผิวหนังบางชนิด : โรคผิวหนังที่ว่านี้จะเป็นประเภทที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก เช่น กลากเกลื้อน ผื่นคัน เป็นต้น ให้ใช้ส่วนของเปลือกลำต้นสมอไทย หรือจะเป็นส่วนแก่นที่อยู่ด้านในก็ได้ นำมาล้างทำความสะอาดเอาฝุ่นผงและคราบต่างๆ ที่ไม่ต้องการออกไป จากนั้นนำมาต้มน้ำเพื่อผสมน้ำอาบ ทำเช่นนี้เป็นประจำจนกว่าเชื้อราหรือโรคผิวหนังเหล่านั้นจะหายไป

ลดไขมัน ลดความอ้วน : สมอไทย มีสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยในการดักจับไขมันที่เข้าสู่ร่างกายใหม่ๆ ให้เร่งระบายออก จึงไม่เกิดเป็นไขมันสะสม แต่ก็ไม่ได้ดึงเอาไขมันเก่าที่สะสมไว้แล้วออกมาใช้ ดังนั้นหากจะทานสมอไทยเพื่อลดไขมันหรือลดความอ้วน ก็ต้องออกกำลังการร่วมด้วย วิธีการใช้คือ นำผลอ่อนไปต้มด้วยอัตราส่วน ลูกสมอ 5 ผลกับน้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง ค่อยๆ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนกว่าน้ำจะเริ่มข้น แล้วกรองเอาแต่น้ำเพื่อดื่มให้หมดในรวดเดียว อาจปรุงรสเพิ่มเพื่อให้ทานง่ายด้วยการเติมเกลือลงไปเล็กน้อยขณะที่ต้ม

สมอไทยเป็นสมุนไพรโบราณ ได้ชื่อว่าเป็น“ราชาสมุนไพรไทย” เป็นจัดเป็นผลไม้ป่าที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด ถูกกำหนดให้เป็นพุทธโอสถ และอยู่ในรายการอาหารปานะของพระสงฆ์

ความพิเศษในรสชาติของสมอไทย

อย่างที่เรารู้กันดีว่ารสชาติของสมุนไพรเป็นจุดหนึ่งที่จะระบุได้ว่า สมุนไพรเหล่านั้นมีสรรพคุณไปในทางใดได้บ้าง และแต่ละชนิดก็จะมีรสเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย ส่วนใหญ่มักมีเพียงหนึ่งรสชาติหลักเท่านั้น เช่น บอระเพ็ดมีรสขม มะขามป้อมมีรสเปรี้ยวอมฝาด ขิงมีรสเผ็ดร้อน เป็นต้น แต่สำหรับสมอไทย นั้นมีความพิเศษตรงที่ในผลเดียวมีรสชาติที่หลากหลาย ตามแต่ระดับความอ่อนแก่ของผล ซึ่งเมื่อรสชาติเปลี่ยนไปสรรพคุณก็เปลี่ยนตามไปด้วย ดังนี้

  • สมอไทยมีรสเปรี้ยว : เป็นรสชาติหลักขณะที่สมอยังเป็นผลอ่อนอยู่ สรรพคุณหลักคือละลายเสมหะ แก้ไอ บรรเทาอาการระคายคอและกระหายน้ำ
  • สมอไทยมีรสฝาด : สรรพคุณช่วยเรื่องการสมานแผลภายใน ไล่ตั้งแต่ช่องปากที่เป็นเยื่อบุอ่อนๆ ไปจนถึงส่วนของผนังลำไส้ บรรเทาอาการท้องเสีย แก้ปวดบิด ระงับการถ่ายที่มากเกินไปไปได้ด้วย
  • สมอไทยมีรสหวาน : แม้ว่าสมุนไพรรสหวานจะไม่ค่อยมีสรรพคุณทางยามากนัก แต่ก็ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงร่างกายโดยรวมอยู่ดี หากทำงานหรือกิจกรรมอื่นใดมาทั้งวัน ร่างกายอ่อนเพลียเหนื่อยล้า ก็สามารถทานสมอรสหวานเพื่อเสริมกำลังได้
  • สมอไทยมีรสขม : โดดเด่นด้านบรรเทาอาการไข้ ตัวร้อน ตลอดจนถอนพิษต่างๆ ทั้งจากแมลงสัตว์กัดต่อยและอาหารที่ทานเข้าไป ช่วยบำรุงน้ำดีในร่างกาย กระตุ้นระบบการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพ
  • สมอไทยมีรสเผ็ด : คงไม่ได้เผ็ดจัดจ้านเหมือนกับพริกขี้หนู แต่ก็รับรู้ได้ว่ามีความเผ็ดร้อนอยู่ รสนี้ช่วยเรื่องการขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ บรรเทาอาการปวด จุกเสียด ในช่องท้องเนื่องจากลมปริมาณมาก และช่วยย่อยอาหาร
  • รสเค็ม : รสนี้ช่วยในเรื่องของความสวยความงาม เพราะจะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ช่วยปรับสมดุลระบบน้ำเหลือง ใช้แก้อาการเมารถ เมาเรือ แก้พิษ และช่วยให้นอนหลับสนิทได้ตลอดทั้งคืน
    ลูกสมอไทยแต่ละผลจะไม่ได้มีรสชาติเดียว อย่างเช่น เมื่อยังเป็นผลอ่อนก็มีเปรี้ยวนำ แล้วอาจผสมด้วยฝาดหรือขม เมื่อเป็นผลแก่ความเปรี้ยวลดลง ก็อาจจะกลายเป็นรสหวานคู่กับรสฝาดแทนได้

ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของสมอไทย

  • ส่วนของเปลือกสำต้น เมื่อแก่ได้ที่สามารถใช้เพื่อย้อมผ้าได้ สีที่ออกมาเป็นโทนดำอมแดง
  • ใบอ่อนใช้เป็นแผ่นห่อยาสูบได้
  • ใบแก่นำมาใช้ย้อมผ้า ได้สีเขียวขี้ม้าหรือสีเหลืองอมน้ำตาล ขึ้นอยู่กับสีใบที่เราเลือกใช้
  • ผลดิบกินเป็นผลไม้สดหรือนำไปดองเกลือ รสเปรี้ยวขมอมฝาด มีแทนนินเป็นจำนวนมาก
  • ผลอ่อนใช้เป็นยาระบาย ผลแก่เป็นยาฝาดสมาน แก้ลมจุกเสียด
  • เยื่อหุ้มเมล็ดแก้ขัดและโรคเกี่ยวกับน้ำดี มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ช
  • ผลสุก 5 – 6 ผลต้มกับน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ใช้เป็นระบายอ่อนๆ ใช้น้ำประมาณ 1 ถ้วยแก้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

www.Thaicrudedrug.com วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, e-magazine.info,

Caldecott, Todd (2006). Ayurveda: The Divine Science of Life. Elsevier/Mosby. ISBN 0-7234-3410-7. Contains a detailed monograph on Terminalia chebula(Haritaki; Abhaya) as well as a discussion of health benefits and usage in clinical practice. Available online at http://www.toddcaldecott.com/index.php/herbs/learning-herbs/361-haritaki

สรรพคุณและประโยชน์ของกระชายดำ

0
สรรพคุณและประโยชน์ของ "กระชายดำ"
กระชายดำ เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกในวงศ์เดียวกับขิง ข่า และขมิ้น
สรรพคุณและประโยชน์ของ "กระชายดำ"
กระชายดำ เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกในวงศ์เดียวกับขิง ข่า และขมิ้น

กระชายดำ

กระชายดำ ( Black galingale ) คือ พืชสมุนไพรในวงศ์เดียวกับขิง ข่าและขมิ้น บางท้องถิ่นเรียกว่าว่านจังงัง ว่านพญานกยูง ระแอน เป็นต้น กระชายดำจัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุอยู่ได้หลายปีทีเดียว มีหัวเหง้าฝังอยู่ใต้ดิน แล้วแตกยอดเป็นลำตันเรียวยาวโผล่ขึ้นมาพ้นดินสูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร กาบใบเป็นสีแดงอ่อนอมม่วงรูปไข่ ออกดอกเป็นช่อสีชมพูอ่อน ลักษณะหัวของกระชายดำจะไม่เหมือนกับกระชายที่เราเอามาเป็นเครื่องแกงทำอาหาร แต่จะไปคล้ายคลึงกับหัวขิงหรือขมิ้นมากกว่า ครั้นผ่าดูเนื้อในจึงเห็นว่าเป็นสีม่วงเข้มไปทางน้ำเงิน แล้วแต่ระดับความอ่อนแก่ของหัวกระชายดำ  

สรรพคุณทางยาของกระชายดำ

ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่าง เป็นแหล่งที่พบ กระชายดำ ได้มากที่สุด เราไม่ค่อยได้เห็นว่ามีใครนำกระชายดำมาทำเป็นเมนูอาหารคาวหวาน อย่างมากก็คือนำไปตากแห้งเพื่อชงดื่มเป็นชาหรือทานสด แต่เดิมชาวเขาจะพกกระชายดำติดตัวไว้เสมอ เป็นเหมือนยาประจำกาย ใช้ทานได้เมื่อรู้สึกปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย ต่อมาหมอชาวบ้านจึงนำมาใช้ให้กว้างขึ้น จึงได้รู้ว่ากระชายดำช่วยรักษาอาการปวดท้อง และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย จึงมีการนำไปดัดแปลงให้ทานได้ง่าย และมีการปรุงสูตรยาขึ้นมาโดยนำกระชายดำไปร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ก็จะได้ยาอายุวัฒนะที่บำรุงร่างกาย ขับลม แก้ปวด บำรุงเส้นผมและขน ว่ากันว่าถ้าทานเป็นประจำก็ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอีกด้วย

กระชายดำกินตอนไหน และองค์ประกอบทางเคมีของกระชายดำมีอะไรบ้าง

กินกระชายดำก่อนนอนจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดได้ดีสารเคมีกลุ่มที่เด่นที่สุดใน กระชายดำ ก็คือ สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เป็นสารที่พบได้มากในเม็ดสีของพืชผัก ธัญพืชและเปลือกไม้ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในมนุษย์ โดยระดับความเข้มข้นมีผลต่อการออกฤทธิ์โดยตรง บางชนิดสามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าวิตามินซีและอีถึง 50 เท่า อีกกลุ่มหนึ่งคือ สารกลุ่มไกลไซด์ เป็นสารเคมีสำคัญที่มีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นน้ำตาลและส่วนที่ไม่ใช่ ออกฤทธิ์ในทางเภสัชวิทยาได้หลายหลาย เช่น ออกฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น 

สรรพคุณและประโยชน์ของกระชายดำ

เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ : มีการทดลองในหนูเพศผู้ถึง 4 กลุ่ม เป็นเวลายาวนานกว่า 4 สัปดาห์ พบว่าการใช้กระชายดำกับหนูทดลอง ไม่พบว่ากระชายดำมีผลต่อน้ำหนักของอวัยวะสืบพันธุ์แต่อย่างใด แต่มีผลต่อต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิและจำนวนครั้งในการหลั่ง จึงสรุปได้ว่ากระชายดำมีผลต่อการกระตุ้นทางเพศ โดยที่ไม่มีผลต่อฮีโมโกลบิน เม็ดเลือดขาว และตับ หมายความว่าไม่เป็นพิษจากการใช้งาน แต่ก็ยังมีแนบท้ายเล็กๆ ว่าอาจจะยังไม่เหมาะสมกับการใช้ในคนที่ปริมาณสูงและใช้เป็นเวลายาวนาน

ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและหลอดเลือด : หากนำ กระชายดำ มาสกัดเอาสารเคมีสำคัญด้วยเอทานอล เราจะได้สารพิเศษที่มีคุณสมบัติคลายหลอดเลือดแดงใหญ่ การทดสอบในเนื้อเยื่อบุผนังหลอดเลือดดำจากรกของมนุษย์ พบว่ามีการเสริมสร้างเซลล์มากขึ้น และเมื่อทดลองในกล้ามเนื้อหัวใจของหนู กระชายดำก็ออกฤทธิ์ลดการทำงานหนักของหัวใจลง และลดการเพิ่มแคลเซียมชั่วคราวในหัวใจด้วย ซึ่งแคลเซียมเหล่านี้นี่เองที่จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือดและทำให้เกิดปัญหาต่อการส่งถ่ายเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ส่งผลต่อกระบวนการเมทาบอลิซึมของไขมัน : มีงานวิจัยจากญี่ปุ่นระบุไว้ว่า สารสกัดจากส่วนของเหง้ากระชายดำสามารถลดความเสื่อมของอัตราการเกิดเมทาบอลิซึมได้อย่างดี เมื่อทดลองในหนูที่มีโรคอ้วนก็พบว่า มีอัตราการลดไขมันสะสมที่ดีขึ้น เพราะมีการดึงไขมันเก่าออกมาใช้และไขมันใหม่ก็ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นพลังงานอย่างรวดเร็ว จึงไม่ถูกนำไปแปรรูปและสะสมเอาไว้ในร่างกาย

ออกฤทธิ์ต่อต้านอาการอักเสบ : 5,7-dimethoxyflavone ( 5,7-DMF ) คือสารเคมีตัวสำคัญที่สามารถสกัดมาได้จากเหง้าของ กระชายดำ เป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต้านอาการอักเสบต่างๆ มีการทดสอบและสรุปความไว้ว่า สารสกัดจากกระชายดำตัวนี้ช่วยต้านการอักเสบได้เทียบเท่ากับยามาตรฐานหลายชนิดเลย ทั้งแอสไพริน ไฮโดรคอร์ทิโซน และอินเมทาซิน ใช้เพื่อลดการอักเสบได้ทั้งภายนอกและภายใน จากหลักฐานการรักษาอาการอักเสบที่ปอดและอาการอักเสบบวมแดงที่เท้าของหนูทดลอง

มีสรรพคุณเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง : สารในกลุ่ม methoxyflavones ซึ่งสกัดได้จากเหง้า กระชายดำ ด้วยการใช้เอทานอลในการสกัด มีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งหลายชนิด ทำให้เซลล์มะเร็งตายในรูปแบบของ apoptosis คือเซลล์จะค่อยๆ หดตัวเล็กลง จนนิวเคลียสแตกออกเป็นชิ้นๆ เยื้อหุ้มเซลล์โป่งพองเป็นถุง สุดท้ายเซลล์ก็แตกสลายไป  

บำบัดภาวะต่อมลูกหมากโต : ต่อมลูกหมากโตเป็นอาการป่วยที่พบได้ในเพศชาย คือต่อมลูกหมากมีขนาดขยายใหญ่ผิดปกติจนเป็นปัญหาต่อระบบทางเดินปัสสาวะ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ มีงานวิจัยที่ทดลองในหนูเป็นระยะเวลามากกว่า 14 วัน พบว่าสารสกัดจากกระชายดำส่งผลดีต่อลูกหมายพอสมควร ช่วยลดขนาดต่อมลูกหมากลงได้ แต่ก็ยังต้องทำงานวิจัยเพื่อข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นอีกทั้งในด้านสรรพคุณที่ได้และความปลอดภัยในการใช้งาน ก่อนจะนำไปใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยต่อลูกหมากโตต่อไป

ปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง : กระชายดำผู้หญิงวัยทองทานได้ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงให้อยู่ในระดับปกติ

กระชายดำเป็นพืชสมุนไพรในวงศ์เดียวกับขิง ข่าและขมิ้น ใช้แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้อาการปวดท้อง และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้

งานวิจัยที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้กระชายดำ

1. การศึกษาเรื่องกระชายดำกับสมรรถภาพทางร่างกายในผู้สูงอายุ
ใช้การทดสอบในผู้สูงอายุราว 45 คน โดยให้ทานยาหลอกที่ทำจากสารสกัดกระชายดำเป็นเวลากว่า 2 เดือน เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสมรรถภาพทางร่างกาย และวัดผลด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การวัดแรงบีบมือ การวัดระยะทางที่เดินได้ในช่วงเวลาที่กำหนด การสลับลุกนั่งในช่วงสั้นๆ เป็นต้น พบว่ากระชายดำช่วยเพิ่มระดับความแข็งแรงของร่างกายผู้สูงอายุได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังช่วยลดภาวะเครียดที่เป็นผลกระทบมาจากการที่อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายระบบต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย

2. การศึกษาเรื่องกระชายดำกับความสามารถในการออกกำลังกาย
เมื่อเราได้รู้แล้วว่าสารสกัดจากกระชายดำนั้นมีผลต่อความแข็งแรงของร่างกายจริง เราจึงมาต่อยอดด้วยการทดสอบผลที่เกิดกับนักกีฬา ว่ากระชายดำจะทำให้พวกเขามีความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ โดยทดสอบกับกลุ่มนักกีฬา 2 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มที่ทานและไม่ได้ทานสารสกัดจากกระชายดำ พบว่าไม่มีผลลัพธ์อย่างเป็นนัยสำคัญว่าทั้งสองกลุ่มจะมีความสามารถในการออกกำลังกายที่ต่างกัน หรือในผู้ที่ทานสารสกัดกระชายดำเข้าไป ก็ไม่ได้มีความสามารถในการออกกำลังกายที่พัฒนาไปจากเดิม

พิษของกระชายดำ

แม้ว่า กระชายดำ จะมีสรรพคุณที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ก็มีประเด็นของความเป็นพิษจากการใช้งานด้วยเหมือนกัน นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กระชายดำไม่ได้ถูกใช้ในหลายๆ วงการเช่นเดียวกับสมุนไพรตัวอื่นๆ จากการทดลองในหนูทดลอง หลายครั้งทำให้หนูทดลองเสียชีวิตไป บ้างเกิดจากน้ำหนักตัวมากเกินไป บ้างเกิดจากน้ำหนักตัวน้อยเกินไป และอีกไม่น้อยที่มีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูงโดยเฉพาะหนูเพศเมีย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นลักษณะของการใช้สารสกัดกระชายดำในระยะเวลานาน จึงต้องมีการศึกษาในด้านพิษวิทยากันอย่างจริงจัง พบว่ามีค่าต่างๆ ในร่างกายของหนูเปลี่ยนแปลงไปจริง แต่ยังอยู่ในช่วงที่น่าจะเป็นไปได้ และเมื่อตรวจความเป็นพิษเรื้อรังในอวัยวะต่างๆ ก็ไม่พบว่ามีพิษสะสมแต่อย่างใด จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการทดลองในมนุษย์เพิ่มเติม ดังนั้นก็ควรระวังในการรับประทานสารสกัดเหล่านี้ไว้บ้าง ไม่ควรทานในปริมาณมากหรือทานในระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป

ขนาดและวิธีในการรับประทานกระชายดำเพื่อสรรพคุณทางยา

กระชายดำ ก็เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง สามารถทานสดได้เช่นเดียวกับพืชผักอื่นๆ ทั่วไป หรือจะนำไปเป็นเครื่องเคียงอาหารคาวก็ย่อมได้ ถึงอย่างนั้นตามตำราหมอยาพื้นบ้านก็ยังแนะนำวิธีการปรุงเป็นยาเพื่อหวังให้ได้รับสรรพคุณเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

  • เหง้าสดดองเหล้าหรือน้ำผึ้ง : ใช้เหง้าสดๆ ประมาณ 5 เหง้ามาล้างทำความสะอาด เอาเศษโคลนดินออกให้เรียบร้อย แล้วปอกเปลือกหรือฝานเป็นแว่นหนาสักหน่อย ใส่โหลแก้วเพื่อดอง แล้วเติมเหล้าขาวหรือน้ำผึ้งลงไป บ้างก็ว่าใช้น้ำดื่มธรรมดาก็ได้เหมือนกัน ทิ้งไว้ในโหลสักประมาณ 1 สัปดาห์ถึงเริ่มเอามาทานได้ โดยให้ทานหลังอาหารมื้อเย็นวันละครั้งเท่านั้น
  • ทำเป็นชา : ใช้เหง้าสดที่ล้างสะอาดดีแล้ว ฝานเป็นแผ่นบางๆ ก่อนนำไปตากแดดจนแห้งสนิทดี อาจใช้เวลา 3-4 วันสำหรับวันที่มีแดดจัด จากนั้นนำมาอบเพื่อฆ่าเชื้ออีกที ก่อนเก็บใส่โหลหรือกระปุกไว้ เมื่อต้องการทานก็หยิบออกมาชงกับน้ำร้อน ดื่มเมื่อไรก็ได้ ข้อควรระวังคือเชื้อรา ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตากแห้งสนิทแล้วจริง ตลอดจนภาชนะไม่มีความชื้นอยู่

นอกจากนี้ก็ยังมีสารสกัด กระชายดำ ที่ถูกแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ยา บ้างทำออกมาในรูปแคปซูล บ้างทำออกมาในรูปผง ก็สามารถเลือกซื้อหามาทานได้ตามความสะดวก สิ่งสำคัญคืออย่าลืมอ่านข้อควรระวัง พร้อมขนาดและวิธีใช้ที่ข้างบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจนเสมอ เพื่อให้ได้สรรพคุณตามต้องการและไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น

กระชายดำ ข้อควรระวัง

  • เมื่อทานกระชายดำในปริมาณที่สูงเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการหัวใจสั่นได้ ดังนั้นจึงต้องหยุดหรือลดปริมาณที่ใช้ทันทีที่มีสัญญาณเกิดขึ้น
  • ห้ามใช้กระชายดำในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ หรือหากต้องการใช้จริงๆ ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้ความยินยอมเสียก่อน
  • การทานกระชายดำปริมาณมากมีผลต่อการกระตุ้นการทำงานของไต ในภาวะเลวร้ายที่สุดก็อาจถึงขั้นไตวายได้
  • เด็กเล็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2547. “ตอน กระชายดำ“. อ้างอิงใน: เทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2543. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [19 พ.ย. 2013].

ห้องสมุดดิจิทัลเกษตรไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กระชายดำ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: anchan.lib.ku.ac.th/aglib/bitstream. [19 พ.ย. 2013].

ว่านเพชรหึง ว่านหางช้าง สรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดา

0
"ว่านเพชรหึง" กล้วยไม่ยักษ์ที่สรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดา
ว่านเพชรหึง หรือ ว่านหางช้าง จัดเป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เป็นยาอายุวัฒนะและยาบำรุงกำลัง มีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการอักเสบ
"ว่านเพชรหึง" กล้วยไม่ยักษ์ที่สรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดา
ว่านเพชรหึง หรือ ว่านหางช้าง จัดเป็นกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เป็นยาอายุวัฒนะและยาบำรุงกำลัง มีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการอักเสบ

สรรพคุณว่านเพชรหึง

ว่านเพชรหึง หรือ กล้วยไม้ยักษ์ มีสรรพคุณทายามากกว่าความสวยงามในรูปแบบของดอกไม้ หากพูดถึงสมุนไพรในบ้านเราที่ถูกหยิบใช้เพื่อการปรุงยารักษาโรคหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ วัตถุดิบที่นึกถึงเสมอก็ต้องเป็นกลุ่มของพืชผักพื้นบ้านหรือต้นไม้พื้นถิ่น น้อยนักที่จะเป็นจำพวกไม้ดอกไม้ประดับ ไม่เหมือนกับสมุนไพรในต่างประเทศที่มีกลุ่มของดอกไม้มากพอสมควร เช่น ซากุระ ลาเวนเดอร์ ทิวลิป เป็นต้น แต่ถึงจะมีน้อยก็ใช่ ว่าไม่มีเลย อย่างว่านเพชรหึงที่เรากำลังจะลงรายละเอียดอยู่นี้ ก็เป็นว่านที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของดอกกล้วยไม้ ซึ่งเพาะปลูกได้ในพื้นที่ป่าดิบชื้น แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ของประเทศไทยนี่เอง ว่านเพชรหึงไม่ได้เป็นกล้วยไม้ที่หาดูได้ยากเย็นอะไรนัก หลายคนก็พบเห็นจนคุ้นชินแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าดอกกล้วยไม้สวยๆ ช่อนี้มีสรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดาเลย

การปลูกว่านเพชรหึง ควรเลือกซื้อว่านเพชรหึงราคาเท่าไหร่

กล้วยไม้เพรชหึงเมื่อโตเต็มที่จะมีกอขนาดใหญ่สูงราวๆ 3 เมตร ทำให้กล้วยไม้เพรชหึงราคาสูงถึง 30,000 บาท สำหรับผู้ที่ต้องการนำว่านเพชรหึงไปปลูกแนะนำให้ซื้อเป็นกอเล็ก ราคาประมาณ 300-500 บาท การปลูกว่านเพชรสามารถปลูกในที่กึ่งแดดถึงแดดแต่ไม่จัดมากนัก ใช้กาบมะพร้าวสับเป็นเครื่องปลูกขณะต้นยังเล็ก และใช้กาบมะพร้าวสับผสมอิฐแดงทุบเมื่อต้นโตขึ้น ไม่ควรรดน้ำจนชุ่มแฉะเพราะจะทำให้กอเน่าง่ายหรือเป็นโรคง่าย

ลักษณะว่านเพชรหึง หรือกล้วยไม้เพชรหึง

กล้วยไม้เพชรหึงแตกกอใหญ่ ระบบรากค่อนข้างหนาแน่นและจะแตกแขนงที่บริเวณปลายรากแบบที่แตกแล้วชี้ขึ้นด้านบน มีชื่อท้องถิ่นอีกหลายชื่อ ได้แก่ ว่านหางช้าง กล้วยกา ตับตาน มือตับแก ว่านงูเหลือม ว่านหางช้าง เอื้อง และพร้าว มีรูปร่างลักษณะที่มองรวดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นกล้วยไม้ยักษ์แน่นอน ใบเป็นใบเดี่ยวที่เรียงสลับ ความยาวจากโคนถึงปลายใบเฉลี่ยอยู่ที่ 50 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม และก้านใบหุ้มลำตันไว้อย่างสวยงาม ดอกออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ยาวได้มากสุดถึง 3 เมตร กลีบดอกมีสีเหลืองหม่น และมีจุดแต้มสีน้ำตาลม่วงกระจายทั่วกลีบอีกทีหนึ่ง เรียกว่า กล้วยไม้ลายเสือ แถมยังเป็นดอกกล้วยไม้ที่ทนทานมาก เพราะออกดอกแต่ละครั้งก็จะชูดอกและค่อยๆ ทยอยบานในช่วงระยะเวลานาน ไม่ช้ำและไม่ร่วงโรยไปง่ายๆ ส่วนของผลจะมีสีเขียวอ่อน ในหนึ่งผลมี 3 พูนูนออกมาให้เห็นชัดเจน รูปร่างยาวเรียว เมื่อผลแก่จัดก็จะแตกออกเป็น 3 กลีบ เผยให้เห็นเมล็ดสีดำด้านใน ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์ต่อไปตามธรรมชาติ โดยเมล็ดเหล่านี้จะหลุดออกจากผลแล้วปลิวไปตามลมนั่นเอง ส่วนมากเรานิยมใช้ต้นว่านเพชรหึงเพื่อการประดับตกแต่งมากกว่าอย่างอื่น เพราะยังมีงานวิจัยในทางเภสัชวิทยาหรือคลินิกน้อยมาก ทำให้เรายังไม่อาจรู้ถึงสรรพคุณทั้งหมดของว่านเพชรหึงได้

ว่านเพชรหึงใช้เป็นยาอายุวัฒนะ : สารออกฤทธิ์ในว่านจะช่วยปรับสมดุลร่างกายและบำรุงกำลังได้ สิ่งใดที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรเป็นก็สามารถกลับมาเป็นปกติ และเมื่อร่างกายเข้าสู่สมดุลจึงทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงโดยธรรมชาติ วิธีการนำว่านเพชรหึงมาใช้ประโยชน์ก็คือ เลือกส่วนของลำต้นและก้านใบที่แก่สักหน่อยมาล้างทำความสะอาด ก่อนหั่นให้เป็นแว่นบางๆ ดองกับเหล้าไว้จิบเพียงเล็กน้อยหลังมื้ออาหาร 

ว่านเพชรหึงบรรเทาอาการไอและเจ็บคอ : เราจะใช้ส่วนของเหง้าที่มีฤทธิ์เย็นจัดมาทำเป็นยา โดยใช้เหง้าตากแห้ง พุทธาจีน จี่อ้วง โงวบี่จี้แห้ง ขิง โส่ยชินและมั่วอึ้ง ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนเกือบทั้งหมด ต้มรวมกันในหม้อเดียวเพื่อนำน้ำนั้นมาดื่มในรูปแบบของน้ำสมุนไพร จะช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ ลดความระคายเคือง และลดอาการกระหายน้ำ สามารถจิบได้ตลอดทั้งวันแทนการดื่มน้ำเปล่าในช่วงที่มีอาการ หากรู้สึกว่ารสชาติดื่มยากให้เติมน้ำผึ้งแทนน้ำตาล

ว่านเพชรหึงช่วยขับลมให้กระเพาะอาหารและลำไส้ : หากมีอาการแน่นท้องเนื่องจากมีลมในกระเพาะอาหารมาก โดยเจาะจงไปที่ต้นเหตุของการทานอาหารเป็นหลัก ไม่รวมอาการข้างเคียงที่เกิดจากโรคประจำตัวอื่นๆ แบบนี้ว่านเพชรหึงสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ โดยนำลำต้นและก้านใบมาล้างให้สะอาด แล้วดองกับเหล้าหรือน้ำผึ้งก็ได้ จิบเพียงเล็กน้อยร่วมกับมื้ออาหารในช่วงที่มีอาการเท่านั้น

ว่านเพชรหึงบรรเทาอาการแสบร้อนในลำคอ : โดยปกติอาการแสบร้อนสามารถหายได้เองเมื่อดื่มน้ำอย่างเพียงพอ มักเป็นในวันที่อากาศร้อนจัด หรือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะเป็นไข้ไม่สบาย เมื่อดื่มน้ำมากแล้วก็ยังไม่หาย ก็สามารถใช้ส่วนเหง้าของว่านเพชรหึงแบบสดๆ มาล้างทำความสะอาด แล้วบดให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชูกับน้ำสะอาดเพียงเล็กน้อย บีบคั้นเพื่อเอาน้ำ ค่อยๆ จิบให้ไหลผ่านช่วงคอช้าๆ บ้างก็ใช้วิธีเอาสำลีปั้นเป็นก้อน ชุบกับน้ำยาจากว่านให้ชุ่ม อมก้อนสำลีนั้นไว้ในปากแล้วค่อยๆ กลืนแค่ส่วนของน้ำลงไป

ว่านเพชรหึงรักษาท้องมาน : อาการท้องมานเป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่ทำให้ท้องโตเหมือนคนมีครรภ์ แต่เป็นการสะสมของน้ำในช่องท้อง ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบมาจากโรคเกี่ยวกับตับหรือหัวใจ นอกจากการใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาแล้ว ก็ยังสามารถใช้สมุนไพรมาช่วยเพื่อลดเคมีที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ โดยนำเหง้าสดของว่านเพชรหึงมาล้างให้ปราศจากคราบดินโคลน ใช้มีดขูดเอาผิวนอกออกแล้วปั่นให้ละเอียด คั้นเอาแค่น้ำจากเหง้าและไม่ต้องผสมน้ำอื่นๆ เพิ่มอีก ใช้ดื่มกินบ่อยๆ

ว่านเพชรหึงรักษาผดผื่นคัน : ผดผื่นคันที่ว่านี้ไล่ระดับความรุนแรงตั้งแต่อาการแพ้เล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงผื่นคันที่อักเสบและมีหนองได้เลย เราใช้เหง้าตากแห้งต้มกับน้ำจนเดือดได้ที่ เติมเกลือแกงลงไปเล็กน้อย ต้มต่ออีกจนกว่าเกลือจะละลายดี พักไว้ให้เย็น หากทำปริมาณมากให้กรอกใส่ภาชนะแช่ตู้เย็นไว้ได้ นำน้ำนั้นมาทาบริเวณที่เป็นผดผื่นคันให้ทั่ว ทั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะมีอาการดีขึ้น   

ว่านเพชรหึงรักษาฝีในระยะเริ่มต้น : ความน่ากลัวของฝีก็คือ มักเกิดในที่ลับและเจ็บปวดมาก หากรักษาเร็วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปล่อยไว้หรือไม่รู้ตัวว่าเป็นฝี ก็จะกลายเป็นหนองลึกและต้องผ่าออก ว่านเพชรหึงสามารถช่วยได้ในระยะต้นของการเป็นฝีเท่านั้น สังเกตจากปริมาณของหนอง จะเห็นเพียงจุดขาวๆ ที่ไม่เป็นวงกว้างนัก ใช้เหง้าแห้งบดผง ผสมกับดอกไม้จีนบดผงเช่นกัน เมื่อจะทานก็ให้ใส่น้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย ฝีจะค่อยๆ ลดอาการอักเสบลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ส่วนของลำต้นฝนกับน้ำซาวข้าว แล้วนำน้ำนั้นมาทาพอกบริเวณฝี ก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน

ว่านเพชรหึงรักษาโรคคางทูม : อาการของโรคคางทูมคือ คางจะบวมผิดรูปร่างไปจนสังเกตเห็นได้ อาจบวมพร้อมกันทั้งสองด้านหรือบวมเพียงด้านเดียวก็ได้ ผู้ป่วยส่วนมากมักมีอาการไข้ตัวร้อนร่วมด้วย ปกติโรคคางทูมจะหายได้เอง เพียงแต่ใช้ระยะเวลาเป็นสัปดาห์ ก็สามารถเร่งให้หายเร็วขึ้นได้ ด้วยการใช้เหง้าสดของว่านเพชรหึงมาต้มกินวันละ 2 ครั้ง ไม่นานก็จะหายเป็นปกติ

ว่านเพชรหึงใช้เป็นยาระบาย : ส่วนของใบว่านมีสารออกฤทธิ์ที่เป็นยาระบายอ่อนๆ อยู่ด้วย เพียงแค่นำใบสดมาประมาณ 3-4 ใบ ต้มน้ำดื่ม ก็จะช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่มน้ำสมุนไพรคือช่วงก่อนนอน เพื่อให้ระบายถ่ายท้องในตอนเช้าพอดี

ว่านเพชรหึงใช้ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย : นำส่วนของลำต้นมาบดละเอียด คั้นเอาน้ำออก ใช้เพียงแค่ส่วนของกากมาพอกบริเวณแผลที่ถูกกัด ผึ้งต่อย มดกัด ฤทธิ์ยาจะช่วยดูดซับสารพิษออกมาได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามใช้กับกรณีของงูพิษ เพราะงูนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า

ว่านเพชรหึง หรือ ว่านหางช้าง จัดเป็นกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เป็นยาอายุวัฒนะและยาบำรุงกำลัง มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการอักเสบ

ว่านเพชรหึงกับวงการความสวยความงาม

มีงานวิจัยเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์สำคัญในว่านเพชรหึงโดยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. พบว่ามีสารชีวภาพที่ต้านเอนไซม์อิลาสเตส ( elastase )และลดการสร้างเอนไซม์คอลลาจิเนส ( collagenase ) ในผิวได้ ซึ่งเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง และบั่นทอนความอ่อนเยาว์ของผิวในทุกๆ ด้าน เมื่อสกัดสารที่ว่านี้ออกมาจากว่านเพชรหึง แล้วนำมากักเก็บไว้ในรูปของอนุภาคนาโนไขมัน ก็จะช่วยเพิ่มจุดเด่นด้านการซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดีขึ้น และยังเป็นการรักษาสภาพความคงตัวของสารออกฤทธิ์เหล่านั้นเอาไว้ได้อีกด้วย จากข้อมูลงานวิจัยชิ้นนี้ ทำให้มีผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวและเครื่องประทินโฉมต่างๆ ให้ความสนใจอย่างมาก และเอาไปพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ร่วมกับสารสกัดอื่นๆ จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงประเด็นที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติมในทางเภสัชวิทยาของว่านเพชรหึง

  • มีการทดลองในหนูด้วยสารสกัดจากว่านเพชรหึง พบว่าสามารถรักษาอาการบวมและอักเสบของหนูตัวใหญ่ได้ แต่เป็นการอักเสบที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงอยู่ จึงยังไม่มีการนำมาต่อยอดในมนุษย์
  • เมื่อสกัดสารออกฤทธิ์ในว่านเพชรหึงด้วยเหล้า แล้วนำไปใช้กับกระต่าย พบว่าระดับความดันโลหิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • น้ำที่คั้นจากเหง้าสดมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเอสโตรเจน ( estrogen ) ในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง แต่จะมีปริมาณมากกว่าในเพศชาย แต่ก็จำเป็นต้องมีอีกหลายปัจจัยร่วมด้วย
  • มีการทำวิจัยเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอล โดยศึกษาจากสารสกัดว่านเพชรหึงที่สกัดด้วยกระบวนการต่างๆ เช่น สกัดด้วยน้ำ สกัดด้วยแอลกอฮอล์ เป็นต้น พบว่ามีสารออกฤทธิ์ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแม้ว่าจะสกัดด้วยน้ำธรรมดา จึงน่าจะต่อยอดไปเป็นชาชงจากว่านเพชรหึงได้
  •  เคยมีข้อมูลว่าว่านเพชรหึงถูกบันทึกอยู่ในตำรายาสมุนไพร ซึ่งค้นคว้าและวิจัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่ามีคุณสมบัติในการต่อต้าน มะเร็งเต้านม โดยต้องใช้ส่วนเหง้าที่ขึ้นในบางพื้นที่เท่านั้น เพราะพื้นที่ที่แตกต่างจะทำให้สารออกฤทธิ์มีความเข้มข้นต่างกันไปด้วย และสูตรยาที่ว่านี้ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการนำเหง้ามาล้างทำความสะอาด สับหรือบดให้มีขนาดเล็ก ต้มกับน้ำด้วยไฟอ่อน ค่อยๆ เคี่ยวจนน้ำงวดขึ้น ทานวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ อย่างไรก็ตามไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการวิจัยมากนัก และอาจยังต้องศึกษาถึงผลข้างเคียงในการใช้สูตรยาเป็นเวลานานต่อไปอีก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ว่านเพชรหึง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [6 ธ.ค. 2013].

ผู้จัดการออนไลน์. “เชิญชมว่านเพชรหึง กล้วยไม้ใหญ่ที่สุดในโลกออกดอกสะพรั่งแค่ปีละ 3 เดือน“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [6 ธ.ค. 2013].

ผมสวยได้ง่ายๆด้วยสมุนไพรใบหมี่

0
ผมสวยได้ง่ายๆด้วยสมุนไพร “ใบหมี่”
ใบหมี่เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ช่วยกำจัดเหา ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม บำรุงหนังศีรษะ ฆ่าเชื้อรา
ผมสวยได้ง่ายๆด้วยสมุนไพร “ใบหมี่”
ใบหมี่เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ช่วยกำจัดเหา ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม บำรุงหนังศีรษะ ฆ่าเชื้อรา

ใบหมี่

ใบหมี่ เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นที่พบมากในเขตภาคเหนือและภาคอีสาน อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนวงกว้างเท่าไรนัก เพราะยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพของสมุนไพรเท่าที่ควร แต่ก็มีชื่อเสียงพอตัวในกลุ่มของแชมพูสมุนไพร ด้วยว่าเป็นพืชใบหอมที่มีกลิ่นสุดพิเศษและมีคุณสมบัติที่ดีต่อเส้นผมด้วย ถึงขนาดที่กลายเป็นสูตรลับซึ่งใช้ต่อเนื่องยาวนานมามากกว่า 20 ปีแล้ว แต่เดิมหญิงสาวจากทุกชนเผ่าจะใช้ใบหมี่เป็นส่วนผสมสำคัญในการสระผม ด้วยการนำใบและเปลือกมาต้มเอาน้ำ แล้วใช้สระผมโดยไม่ต้องผสมสิ่งใดเพิ่ม ว่ากันว่าใบหมี่มีสารออกฤทธิ์ที่มีลักษณะเป็นเมือกลื่น ผมจึงนุ่มสลวยเป็นเงางามและไม่พันกัน แล้วก็มีสรรพคุณในการรักษารังแคกับแก้เหาได้ด้วย อย่างไรก็ตามใบหมี่ยังมีสรรพคุณที่ถูกซ่อนไว้อีกหลายอย่าง เรียกว่าแทบจะในทุกส่วนประกอบของต้นใบหมี่กันเลยทีเดียว 

ใบหมี่ มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ ได้แก่ หมี หมี่เหม็น ใบเหมือดแกว หมูทะลวง ตังสีไพร ดอกจุ๋ม มือเบาะ เป็นต้น ซึ่งแต่ละตำรับยาก็จะเขียนระบุชื่อของใบหมี่แตกต่างกันไปด้วย เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สนใจเกิดความสับสนได้บ่อยครั้ง ต้นใบหมี่เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงตั้งแต่ 5 เมตรไปจนถึง 15 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลมทึบ ตามยอดอ่อนและกิ่งอ่อนจะมีขนละเอียดเส้นสั้นๆ ขึ้นปกคลุมจนทั่ว ลำตันมีสีน้ำตาล เมื่อแก่แล้วก็จะแต่เป็นร่องตามยาว ใบเป็นใบเดี่ยวรูปวงรีที่ค่อนข้างมีเนื้อใบหนา แตกออกจากกิ่งแบบเรียงสลับ ผิวบนเป็นมันเรียบลื่น ผิวใต้ใบเป็นขนอ่อนๆ ส่วนใบมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลุ่มดอกมีสีเหลือง ไม่มีกลีบดอก มีเพียงใบประดับ กลีบเลี้ยงและเกสรตัวผู้จำนวนมาก สีเหลืองที่เรามองเห็นก็เป็นสีของเกสรตัวผู้นี่เอง ผลมีขนาดเล็ก เป็นเม็ดกลมสีเขียวสด อยู่เกาะกลุ่มกันเป็นพวงคล้ายกับมะเขือพวง เมื่อสุกผลจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม

องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญของใบหมี่

สารออกฤทธิ์ที่พบมากได้แก่ สารแทนนิน ( tannin ) ซึ่งเป็นสารโมเลกุลใหญ่และมีโครงสร้างซับซ้อน โดยธรรมชาติจะมีรสออกฝาด ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลและต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อมาคือสารฟลาโวนอยด์ ( flavonoid ) เป็นสารในกลุ่มพอลิฟีนอล โดดเด่นด้านการต้านอนุมูลอิสระ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สารเมือก ( mucilage ) เป็นสารที่มีพอลิแซกคาไรด์เป็นส่วนประกอบ และเป็นตัวที่ทำให้ ใบหมี่ เหมาะกับการนำมาใช้เพื่อสระผมนั่นเอง นอกจากนี้ก็จะมี actinodaphnine, boldine, iso-boldine, laurelliptine, N-acetyl- laurelliptine, laruotetanine, N-acetyl-laurotetanine, N-methyl-laurotetanine, liriodenine, Litsea arabinoxylan PPS, litseferine, polysaccharide, reticuline และsebiferine

สรรพคุณของใบหมี่

บำรุงหนังศีรษะ ฆ่าเชื้อราและลดการหลุดร่วงของเส้นผม : นี่เป็นสรรพคุณข้อแรกที่ต้องกล่าวถึง เพราะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับคนเมืองน่านมาแล้ว ด้วยผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพรจาก ใบหมี่ นั่นเอง สูตรที่ใช้เป็นตำรับยาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ กระบวนการคือนำใบหมี่สดๆ ที่โตเต็มวัยแล้วมาย่อยให้มีขนาดเล็กลงด้วยการหั่นซอย แล้วนำไปหมักในถังสักช่วงหนึ่งก่อน เมื่อได้ที่จึงค่อยเอามาต้มและปั่นให้ละเอียดอีกทีหนึ่ง จะได้น้ำสมุนไพรใบหมี่ที่เข้มข้นพร้อมสารสกัดสำคัญที่ออกฤทธิ์ต่อเส้นผมและหนังศีรษะโดยเฉพาะ แต่เดิมเมื่อได้อย่างนี้แล้วก็นำไปสระผมได้เลย แต่ปัจจุบันก็มีการปรับปรุงให้เกิดความรู้สึกน่าใช้มากขึ้น ด้วยการนำไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่ช่วยให้เกิดฟอง บรรจุใส่ภาชนะไว้ใช้งานหรือจัดจำหน่ายได้เลย ที่สำคัญแชมพูที่ว่านี้ไม่ต้องเติมน้ำหอมสังเคราะห์เพิ่มอีก เพราะมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของสมุนไพรใบหมี่อยู่แล้ว แถมยังหอมติดทนนานตลอดทั้งวันอีกด้วย

กำจัดเหา : ขนาดเชื้อราบนหนังศีรษะสมุนไพร ใบหมี่ ยังกำจัดให้สิ้นซากไปได้ แล้วกับแค่เหาตัวเล็กๆ มีหรือจะจัดการไม่ได้ หากคนภาคกลางกำจัดเหาด้วยใบน้อยหน่า คนทางเหนือเขาก็กำจัดเหาด้วยใบหมี่นี่แหละ วิธีการนั้นง่ายมากเลือกใบแก่ๆ จากต้น นำมาบดให้ละเอียดแล้วยีให้ทั่วศีรษะ จะให้ได้ผลดีต้องหมักทิ้งไว้ด้วย ยิ่งนานก็ยิ่งดี แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ อย่างน้อยขอให้ได้สักประมาณ 20 นาทีก่อนค่อยล้างออกแล้วสระผมตามปกติ วิธีนี้เป็นธรรมชาติและไม่มีสารตกค้างหรืออันตรายใดๆ จึงทำได้บ่อยตามที่ต้องการ และควรทำติดต่อกันในช่วงแรกจนกว่าจะเห็นว่าเหาหมดไปหรือลดน้อยลง

แก้ฝีที่มีหนอง : เรื่องของฝีจะว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่เชิง เพราะมันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการรักษาและตำแหน่งที่เกิดฝีขึ้น ถ้าเกิดในที่ลับและยังรักษาล่าช้า รับรองว่าเกิดหนองพร้อมกับจบที่การฝ่าออก ในขณะที่ถ้าตัดสินใจรักษาได้เร็วก็อาจจะแค่ทานยาเท่านั้น ใบหมี่ เป็นตัวยาสมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการของฝีที่มีหนองได้ด้วย โดยใช้ส่วนของรากมาตำให้ละเอียดหรือจะปั่นกับน้ำเพียงเล็กน้อยก็ได้ นำมาพอกบริเวณที่เป็นฝีสักพักใหญ่ๆ แล้วล้างออก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรักษาฝีให้หายขาด จะช่วยทำให้อาการอักเสบและเป็นหนองลดน้อยลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาต่อไปด้วย

บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ : แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในวงศ์เดียวกับขิงข่าหรือขมิ้น แต่ ใบหมี่ ก็มีสรรพคุณในการขับลมจากกระเพาะอาหารได้เช่นเดียวกัน โดยการนำส่วนของรากใบหมี่มาล้างทำความสะอาดแล้วต้มกับน้ำจนข้นงวด นำน้ำนั้นมาดื่มกิน สักพักอาการก็จะดีขึ้นเอง

แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ : ประจำเดือนของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นหนึ่งสัญญาณที่จะบอกได้ว่าตอนนี้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ หากเมื่อไรมีอาการประจำเดือนขาด มากระปริดกระปรอย ไปจนถึงมามากเกินกว่าปกติ ก็ต้องตรวจเช็คให้รู้แน่ว่าเป็นโรคร้ายหรือไม่ ถ้าใช่ก็เข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ต่อไป แต่ในบางคนเป็นเพียงการเสียสมดุลของร่างกายหรือเลือดลมไม่ดีเท่านั้น แบบนี้ก็สามารถใช้สมุนไพรใบหมี่ช่วยได้ โดยเลือกรากที่ดูสมบูรณ์สักหน่อย ล้างให้สะอาดอย่าให้ติดคราบดินโคลน ตากให้แห้งสนิทด้วยแดดแรงสัก 3-4 วัน จากนั้นนำมาดองกับเหล้าขาว ใช้จิบหลังมื้ออาหารวันละครั้ง

แก้ปวดฟันและแก้ปัญหากลิ่นปาก : อาการปวดฟันนั้นค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว แต่สำหรับกลิ่นปาก ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามันเกิดได้จากหลายสาเหตุ หากเป็นเพราะระบบภายในไม่ดี เช่น ไม่ขับถ่าย มีสารพิษสะสมจำนวนมากในระบบทางเดินอาหาร หรือเป็นโรคร้ายแรงที่ทำให้เกิดความเสียหายของอวัยวะภายใน แบบนี้ ใบหมี่ ช่วยอะไรไม่ได้ แต่จะช่วยได้ในกรณีที่เป็นกลิ่นปากจากปัญหาในช่องปากเพียงอย่างเดียว เช่น ฟันผุ ฟันคุด รำมะนาด เป็นต้น วิธีการคือมองหาส่วนเปลือกที่ลำต้นซึ่งแก่สักหน่อย นำไปฝนกับน้ำสะอาดและป้ายไปตามจุดที่รู้สึกปวดฝันหรือมีสัญญาณฟันผุ ทำซ้ำทุกครั้งที่แปรงฟัน และเมื่อต้องการระงับกลิ่นปากก็ฝนกับน้ำสะอาดปริมาณมากสักหน่อย แล้วเอามาอมบ้วนปากหลายๆ ครั้ง

แก้อาการผดผื่นคัน : ส่วนเปลือกของ ใบหมี่ นอกจากแก้ปัญหาช่องปากได้แล้ว ก็ยังใช้เพื่อรักษาผดผื่นจากอาการแพ้ต่างๆ ได้ด้วย โดยนำเปลือกไปล้างให้สะอาด ก่อนใส่หม้อลงต้ม ไม่ต้องรอจนข้นมากนัก แค่น้ำเริ่มเปลี่ยนสีก็เพียงพอแล้ว ปล่อยทิ้งเอาไว้ให้อุ่นแล้วใช้อาบชำระร่างกาย

รักษากลากเกลื้อน : รูปแบบการนำใบหมี่มารักษาโรคผิวหนังจำพวกกลากเกลื้อนทำได้ 2 วิธี อย่างแรกคือการใช้ส่วนของเปลือกมาต้มน้ำอาบเช่นเดียวกับการแก้อาการผดผื่นคัน อีกอย่างคือการใบสดที่ตำละเอียดดีแล้วมาขัดถูและทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน ทำอย่างสม่ำเสมอก็จะเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจในเวลาไม่นาน

ห้ามเลือด : ทันทีที่เกิดบาดแผลมีเลือดออก ก็สามารถนำสมุนไพร ใบหมี่ มาใช้ได้แบบเดียวกับการใช้ยาสามัญประจำบ้านทั่วไป แต่เนื่องจากมีขั้นตอนก่อนใช้งานเล็กน้อย จึงต้องทำเตรียมติดบ้านเอาไว้แต่เนิ่นๆ เลย ด้วยการนำเปลือกต้นใบหมี่ไปล้างทำความสะอาด แล้วตากให้พอแห้ง นำมาบดให้ละเอียดเป็นผง บรรจุใส่ขวดโหลที่ฆ่าเชื้อแล้วพร้อมมีฝาปิดมิดชิด ครั้นจะใช้ก็ตักออกมาพอประมาณ ผสมเข้ากับน้ำสะอาดหรือน้ำนมก็ได้ ใช้สำหรับทาแผลห้ามเลือดและลดอาการอักเสบที่แผลได้

“ ใบหมี่ ” เป็นพืชใบหอมที่มีกลิ่นสุดพิเศษและมีคุณสมบัติที่ดีต่อเส้นผม รักษารังแค บำรุงหนังศีรษะ ลดการหลุดร่วงของเส้นผม

คุณประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของใบหมี่

ก่อนจะไปลงรายละเอียดในประโยชน์ของ ใบหมี่ อย่างแรกที่ต้องรู้ก่อนเลยก็คือ ผลของใบหมี่เมื่อสุกแล้วสามารถรับประทานได้ เหมือนกับพืชผักทั่วไป เพียงแต่รสชาติอาจไม่ค่อยถูกปากคนทั่วไปมากนัก

  • ใบหมี่ใช้สำหรับช่วยในการบ่มผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย ขนุน มะม่วง โดยลดระยะเวลาบ่มให้สั้นลง
  •  ส่วนของดอกสามารถนำมาตากแห้งและอบน้ำหอมเพื่อใช้เป็นของชำร่วยได้
  • ยางจากลำตันนิยมใช้เพื่อทาเครื่องจักสาน เพื่อให้ทนทานและมีผิวสัมผัสที่หนาขึ้น
  • สารเมือกในใบหมี่ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืดให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้หลายประเภท
  • ส่วนประกอบของต้นใบหมี่ใช้สำหรับการย้อมผ้าได้ 2 ส่วน ส่วนแรกคือใบ เมื่อนำมาย้อมก็จะให้สีเขียวสดสวยงาม อีกส่วนคือเปลือก เป็นตัวช่วยให้ผ้าที่ย้อมติดสีดีขึ้น

ผงที่บดละเอียดจากส่วนของเปลือกต้นใบหมี่ ใช้ทำเป็นธูปจุดไล่แมลงได้

ข้อมูลเพิ่มเติมในทางเภสัชวิทยาของใบหมี่

1. ส่วนของ ใบหมี่ มีสารออกฤทธิ์ที่ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ดีมาก ทั้งยังยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ได้ด้วย
2. น้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้จากต้นใบหมี่ มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับ
3. สารสกัดเมทานอลของส่วนผิวใบ มีสารเคมีสำคัญที่ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วงและโรคบิด
4. รากของต้นใบหมี่ เป็นวัตถุดิบพื้นฐานที่นิยมผสมในยาเย็น ยาผง และยาแก้ซาง
5. ใบหมี่มีความเป็นพิษด้วยเหมือนกัน เพราะผลจากการทดลองในหนู พบว่ามีหนูเสียชีวิตไปประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ดังนั้นหากเราจะใช้สมุนไพรใบหมี่เพื่อรับประทาน ก็อาจจะต้องเลี่ยงที่จะใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “การนำสมุนไพรใบหมี่มาใช้ทางเครื่องสำอาง APPLICATION OF BAI MEE (Litsea glutinosa) IN COSMETICS”.

[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.ist.cmu.ac.th/researchunit/pcrnc/. [28 ก.ย. 2014].
ลานปัญญา. (by bangsai). “ต้นหมี่…”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : lanpanya.com/proiad/archives/152. [28 ก.ย. 2014].

สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [28 ก.ย. 2014].

ตรีผลาราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ

0
"ตรีผลา" ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ
ตรีผลา คือ ยาสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีส่วนผสมของ สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม ช่วยปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ
"ตรีผลา" ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ
ตรีผลา คือ ยาสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีส่วนผสมของ สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม ช่วยปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ

ตรีผลา

ตรีผลา (Triphala) คือ สมุนไพรที่ประกอบพืชสมุนไพร 3 ชนิด ที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดียถูกนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณมานานกว่า 1,000 ปี เพื่อรักษาอาการต่างๆ ประกอบด้วยผลของ มะขามป้อม หรือ มะขามป้อมอินเดีย (Emblica officinalis) , สมอพิเภก (Terminalia bellirica), สมอไทย(Terminalia chebula) ตรีผลาเป็นที่รู้จักกันทั้งวงการแพทย์ไทยและในกลุ่มของอายุรเวทอินเดียตรีผลาถือเป็นยาพื้นฐานที่เด่นเรื่องการปรับสมดุลของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย และได้ถูกขนานนามว่า“ ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ ”

ข้อมูลโภชนาการในผงตรีผลาหนึ่งช้อนชาหรือประมาณ 2.8 กรัม

พลังงาน 10 แคลอรี่ ใยอาหาร 1 กรัม โปรตีน 0 กรัม ไขมัน 0 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม และ น้ำตาล 0 กรัม

การใช้ตรีผลา

ตรีผลาถูกนำมาแปรรูปและจำหน่ายในรูปแบบผง เครื่องดื่มสมุนไพร สารสกัด แคปซูล หรือยาเม็ด ทั้งในรูปแบบยา อาหารเสริม ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เครื่องดื่มบํารุงร่างกาย ซึ่งพบได้ทั่วไปตามร้านยา ร้านสะดวกซื้อร้านขายอาหารเสริม และในทางออนไลน์

หลายคนอาจจะรู้จัก “ ตรีผลา ” ครั้งแรกจากยาสมุนไพรบำรุงร่างกายหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในช่วงไม่นานมานี้เอง แล้วแทบจะในทันทีก็มีกระแสตามออกมามากมาย ทั้งด้านที่เป็นคุณและด้านที่เป็นโทษ จนทำให้บางคนเริ่มหวาดระแวงแล้วว่า ตรีผลาคืออะไรกันแน่ ตรีผลาอันตราย หรือมีสรรพคุณแบบที่เคยได้ยินมาจริงหรือไม่ เมื่อตัดสินใจลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของตรีผลาอยู่จะปลอดภัยหรืออันตรายมากน้อยแค่ไหน

แม้ว่าบ้านเราอาจไม่คุ้นชื่อ ตรีผลา มากนัก แต่นี่เป็นตำรับยาตามแพทย์แผนไทยโบราณที่มีมานานแสนนานแล้ว ทั้งวงการแพทย์ไทยและในกลุ่มของอายุรเวทอินเดีย ตรีผลาถือเป็นยาพื้นฐานที่เด่นเรื่องการปรับสมดุลของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย ถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็น ราชาแห่งการปรับสมดุลธาตุและล้างพิษ กันเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าสรรพคุณของตรีผลาย่อมมีหลากหลาย และหากใช้อย่างถูกต้องก็ย่อมเกิดประโยชน์ที่มาพร้อมกับความปลอดภัยอย่างแน่นอน

อันที่จริง ตรีผลา นั้นไม่ได้เป็นสมุนไพรพันธุ์ใหม่ หรือเป็นของแปลกประหลาดอะไร แต่เป็นเพียงการนำสมุนไพรพื้นบ้าน 3 ชนิดมารวมเข้าด้วยกัน ตามความหมายของคำคือ ตรี หมายถึง สาม และผลา หมายถึง ผล สมุนไพรทั้ง 3 ที่ถูกเลือกมาเป็นส่วนประกอบได้แก่ ลูกสมอไทย ลูกสมอพิเภกและมะขามป้อม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี แล้วก็เป็นของหาง่ายในบ้านเราอีกด้วย เราอาจนิยามตรีผลาได้อีกแบบก็คือ “ สมุนไพรทรีอินวัน ” นั่นเอง เราลองมาทำความรู้จักสมุนไพรแต่ละชนิดกันดูก่อน

ลูกสมอไทย
สมอไทยเป็นพืชที่พบได้ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร ส่วนสำคัญที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ก็คือส่วนของผล มีลักษณะป้อมๆ คล้ายทรงไข่ ส่วนของเนื้อค่อนข้างหนา รสฝาดเปรี้ยว ผลที่แก่ได้ที่แล้วจะมีสีเขียวอมเหลือง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อผลนั้นแห้ง องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญอยู่ในกลุ่มของสารแทนนิน ( tannin ) จึงโดดเด่นในเรื่องแก้ปัญหาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น แก้ลมจุกเสียด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะเป็นโรคผิวหนัง โรคพยาธิ โรคหัวใจ คลื่นไส้ อาเจียน และอื่นๆ อีกมายมาย แม้ว่าเราจะนิยมใช้ส่วนของผลมากกว่าส่วนอื่น แต่ลำต้น เปลือก ดอก หรือแม้แต่ผลที่ยังอ่อนอยู่ก็สามารถนำมาทำตำรับยาได้ทั้งหมด

ลูกสมอพิเภก
สมอพิเภกเป็นกลุ่มของไม้ผลัดใบที่มีความสูงเฉลี่ยไม่ต่างจากสมอไทย จุดสังเกตคือบริเวณโคนต้นมักมีรากค้ำยันที่เราเรียกว่า “ พูพอน ” ซึ่งมีขนาดใหญ่ เปลือกหนาสีดำแกมขาว ผลมีลักษณะกลมและอยู่รวมกันเป็นพวงโต หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายลำใยอยู่เหมือนกัน เปลือกผลของสมอพิเภกจะต่างจากสมอไทยเล็กน้อย คือมีความแข็งและมีขนที่ละเอียด สามารถทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลดิบจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ ส่วนผลสุกจะช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ลดไข้และรักษาโรคภูมิแพ้ได้ สิ่งที่โดดเด่นของสมอพิเภกก็คือมีสารออกฤทธิ์ที่ต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ได้

มะขามป้อม
มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีค่าวิตามินซีสูงมากชนิดนี้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่พบได้มากในเขตป่าเบญจพรรณ ลักษณะต้นโดยรวมคล้ายต้นมะขามที่ดูโปร่ง ส่วนผลเป็นทรงกลมสีเขียวอ่อน และเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ขนาดของผลอยู่ที่ประมาณเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ทานได้ตั้งแต่ผลเริ่มโตเต็มที่ รสชาติออกเปรี้ยวฝาด และมีความรู้สึกหวานตามมา สรรพคุณคือช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้สดชื่นและแก้อาการผิวหนังอักเสบ มีงานวิจัยว่าช่วยป้องกันโรคมะเร็งและแก้พิษจากสารตะกั่วได้

จะเห็นว่าเพียงลำพังแค่สมุนไพรแต่ละตัวก็มีคุณประโยชน์ที่กว้างขวางครอบคลุมหลายอย่างอยู่แล้ว หากนำมารวมกันด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมตามแบบฉบับของตรีผลา ก็จะยิ่งส่งเสริมกันให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

สมดุลของร่างกายจากธาตุทั้ง 4

แล้วการปรับสมดุลธาตุมันสำคัญอย่างไร ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งทำงานสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และระบบต่างๆ เหล่านี้ ในแนวทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียโบราณ จะแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม 4 ธาตุ ดังนี้

วาตะ หมายถึง ธาตุลม ว่าตามตรงก็คืออากาศ หน้าที่หลักคือควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับอากาศก็จัดเป็นธาตุลม เช่น ระบบหายใจ การเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ปิตตะ หมายถึง ธาตุไฟ ความร้อนต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการของร่างกายทั้งหมดนั่นคือธาตุไฟ ได้แก่ ระบบเผาผลาญอาหาร อุณหภูมิร่างกาย กระบวนการดูดซึมอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ธาตุไฟก็ยังมีผลต่อสีผิวและแววตาด้วย
กผะ หมายถึง ธาตุดินและธาตุน้ำ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของร่างกายเลย ได้แก่ กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น น้ำเหลือง น้ำเลือด เป็นต้น

หากองค์ประกอบทั้ง 3 กลุ่มนี้มีความสมดุลดี จะส่งผลให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่างกายก็จะแข็งแรง แต่เมื่อไรที่มีแม้สักส่วนผิดเพี้ยนไป ก็จะเกิดความผิดปกติขึ้นที่จุดใดจุดหนึ่ง แล้วกระทบเป็นทอดๆ ไปยังส่วนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อระบบย่อยอาหารไม่ดี เริ่มจากท้องอืดท้องเฟ้อ ก็เชื่อมไปยังระบบขับถ่าย ทำให้ถ่ายไม่สะดวกหรือไม่ถ่าย เชื่อมโยงไปถึงระบบหายใจ ถ้าท้องอืดมากก็หายใจลำบาก เป็นต้น

ตรีผลา เป็นยาสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีส่วนผสมของสมุนไพร 3 ชนิดคือ สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม สรรพคุณของตรีผลาช่วยปรับสมดุลและล้างพิษในร่างกาย

ตรีผลาสรรพคุณ

เป็นยาอายุวัฒนะ : หน้าที่หลักของสมุนไพร ตรีผลา ก็คือการดูแลสุขภาพร่างกายแบบองค์รวม โดยการปรับส่วนที่บกพร่องหรือมีปัญหาให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง การทำงานของระบบต่างๆ จึงสอดคล้องและสมบูรณ์ดังเดิม เคยมีผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า ความจริงแล้วมนุษย์เราสามารถเป็นอมตะได้ หากระบบร่างกายไม่ได้ทำงานผิดปกติไปจากเดิมในวันที่เริ่มต้น แต่เพราะความผิดปกติที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เองที่ทำให้มนุษย์มีช่วงอายุที่จำกัด สมุนไพรตรีผลามีส่วนช่วยในการลดอัตราความผิดปกติของร่างกายที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นยาอายุวัฒนะชนิดนี้จึงทำให้ชีวิตยืนยาว กระตุ้นระบบการทำงานของร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

ล้างพิษในระบบร่างกาย : โดยปกติ ตรีผลา จะใช้ในแนวทางแพทย์อายุรเวทในการปรับปรุง 2 ระบบ คือ ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ซึ่งเป็นส่วนที่สะสมสารพิษเอาไว้มาก ใครที่ขับถ่ายไม่ดีก็จะสังเกตเห็นได้ง่าย คือ มีสิวขึ้น ผิวหมองคล้ำ มีกลิ่นตัว และเจ็บป่วยบ่อย นี่คือสัญญาณที่บอกว่าร่างกายมีพิษมากเกินไป ส่วนผสมในตรีผลาทั้ง 3 ชนิด คือ สมอไทย สมอพิเภกและมะขามป้อม จะออกฤทธิ์ร่วมกันเพื่อกระตุ้นกระเพาะอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น จึงหมดปัญหาเรื่องการย่อยอาหารไปได้เปราะหนึ่ง แล้วจะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ โดยไม่ทำให้เกิดอาการปวดบิดหรือมวนท้องเช่นเดียวกันกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ หลังจากระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายกลับเข้าสู่สมดุลดีแล้ว แทบจะทุกอย่างในร่างกายก็จะกลับมาดีขึ้นด้วย และอีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนไม่ค่อยรู้ก็คือ การที่เลือดมีสารอาหารน้อยก็เป็นผลมาจากในลำไส้มีสารพิษหรือมีขยะสะสมเยอะเกินไป ใครที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับการขับถ่ายจึงต้องหันมาใส่ใจบ้างแล้วในตอนนี้

บำรุงสมอง สายตาและผิวพรรณ : การใช้ยาสมุนไพร ตรีผลา อย่างถูกต้องนั้น จะช่วยล้างพิษให้หมดไปจากร่างกาย ผิวพรรณจึงสดใสและแลดูสุขภาพดีขึ้น ทั้งยังมีส่วนผสมของมะขามป้อมที่วิตามินซีสูงมาก จึงส่งเสริมการทำงานของตับและระบบภูมิคุ้มกันได้ดี สามารถต้านไวรัส ต้านการอักเสบและลดไขมันในเส้นเลือดได้ สมองและสายตาจึงมีสุขภาพดีขึ้นไปด้วย

บรรเทาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ : ส่วนประกอบตัวหนึ่งในตรีผลามีคุณสมบัติปรับสมดุลของระบบทางเดินหายใจ ช่วยลดอาการติดขัดและระคายเคืองต่างๆ เช่น อาการไอ หายใจไม่สะดวก เจ็บคอ เป็นต้น หากรับประทานในช่วงที่มีอาการเจ็บป่วยก็จะทุเลาลงได้ หลายคนก็หายเป็นปกติได้เลย แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะไม่ว่าอย่างไรตรีผลานั้นก็ไม่สามารถรักษาต้นเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจที่ร้ายแรงได้ จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่งเท่านั้น

ลดน้ำหนัก : มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำนวนไม่น้อยเลยที่เลือกใช้สมุนไพร ตรีผลา เป็นส่วนประกอบ อันที่จริงก็เคยมีงานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณข้อนี้ด้วยเหมือนกัน โดยใช้ตรีผลาเป็นยาหลอกเพื่อทดสอบกับผู้ป่วยโรคอ้วนจำนวนหนึ่ง ติดต่อกันเป็นระยะเวลามากกว่า 3 สัปดาห์ ผลปรากฏว่าเกือบทั้งหมดมีน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และพบว่าตรีผลามีศักยภาพในการขับไขมันออกจากร่างกายได้ดี แต่ไม่ใช่ส่วนของไขมันสะสม เป็นส่วนของไขมันที่อยู่ในระบบย่อยอาหาร เมื่อเราทานของทอดของมันเข้าไป สารออกฤทธิ์ในตรีผลาจะเร่งขับไขมันเหล่านั้นออกเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมเพิ่มเติม ดังนั้นหากต้องการใช้สมุนไพรเพื่อลดน้ำหนัก ก็ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อเผาผลาญไขมันเก่า

ต่อต้านอนุมูลอิสระ : อนุมูลอิสระก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่มักสร้างปัญหาให้กับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณไม่สดใส มีจุดฝ้ากระ รอยด่างดำต่างๆ อวัยวะภายในทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เป็นต้น ตรีผลา มีสารออกฤทธิ์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก จนได้รับการยอมรับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีงานวิจัยรองรับว่าสารต้านอนุมูลอิสระในตรีผลานั้นช่วยบำรุงสุขภาพ ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคตับ และความเสี่ยงที่จะเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายได้

ตรีผลา กินตอนไหน

การเลือกทาน ตรีผลา ต้องเลือกให้ดี เนื่องจากส่วนผสมของสมุนไพรตรีผลานั้น อันที่จริงก็เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่เราสามารถหาได้ไม่ยาก ดังนั้นหากใครสะดวกที่จะแปรรูปสมุนไพรเพื่อปรุงเป็นตรีผลาเองก็ไม่มีปัญหา เพียงแค่ใช้สมอไทย สมอพิเภกและมะขามป้อมในลักษณะที่บดแห้งแบบละเอียดแล้ว ผสมเข้าด้วยกันในอัตราส่วนต่างๆ ที่ต้องการ สูตรมาตรฐานคืออัตราส่วน สมอไทย: สมอพิเภก: มะขามป้อม เท่ากับ 1:1:1 นอกจากนี้ก็จะมี

• ตรีผลาสูตรสำหรับฤดูฝน : ใช้ป้องกันโรคภัยต่างๆ ที่มากับฤดูฝน อัตราส่วน 3:1:2
• ตรีผลาสูตรสำหรับฤดูหนาว : ปรับสมดุลร่างกายในช่วงที่อากาศหนาวเย็น อัตราส่วน 3:1:2
• ตรีผลาสูตรสำหรับฤดูร้อน : ปรับแก้อาการร้อนใน อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูง ธาตุไฟกำเริบ อัตราส่วน 3:1:2

แต่หากไม่สะดวกที่จะทำ สมุนไพรตรีผลาก็หาซื้อได้ทั่วไปในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบแคปซูลและผงสำหรับชงดื่ม แต่ต้องระวังการปนเปื้อนต่างๆ ให้มาก โดยเฉพาะเชื้อรา ผลิตภัณฑ์ที่สนใจต้องถูกเก็บไว้ในที่แห้งและผลิตมาไม่นานเกินไปนัก

ตรีผลา ยี่ห้อไหนดี

ในการเลือกซื้อตรีผลาเพื่อมาบริโภคนั้น นอกจากเลือกจากตรีผลายี่ห้อไหนดีแล้วจะต้องรู้ด้วยว่าชนิดตรีผลาแบบไหนเหมาะกับเรา เช่น
1. ต้องการตรีผลาลักษณะอย่างไร แบบน้ำหรือแบบแคปซูล เนื่องจากปริมาณความเข้มข้นของตรีผลาจะแตกต่างกันออกไป
ตรีผลาแบบน้ำ มีลักษณะเป็นของเหลวบรรจุมาในขวด อาจมีสมุนไพรชนิดอื่นเข้ามาประกอบขึ้นอยู่กับสูตรการผลิตของแต่ละยี่ห้อ ข้อดีของตรีผลาแบบน้ำคือสามารถนำมาผสมกับน้ำผึ้ง น้ำตาลหรือวัตถุดิบอื่นเพื่อเพิ่มรสชาติให้ทานง่ายขึ้นได้
ตรีผลแบบแคปซูล มีลักษณะเป็นผงบรรจุอยู่ในแคปซูล สามารถย่อยสลายได้ ข้อดีของตรีผลาแบบแคปซูลคือทานง่าย รสชาติหรือกลิ่นมีน้อย พกพาและเก็บรักษาได้สะดวก
2. ชอบรสธรรมชาติ หรือรสหวาน โดยรสธรรมชาติอาจทานยากสำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นหรือรสชาติของสมุนไพรบางตัว ก็สามารถเลือกรสหวานเพื่อให้ทานได้ง่ายขึ้น

ตรีผลาข้อควรระวัง ข้อห้าม

เนื่องจากตรีผลากินเพื่อเป็นยาระบายอ่อนๆ จึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร รวมทั้งมีแก๊สในลำไส้ มีอาการปวดท้อง ท้องร่วง และตะคริว ผลข้างเคียงเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ใช้แต่ละคนบางคนผลข้างเคียงอาจเกิดขึ้นน้อย แต่บางคนที่มีอาการแพ้รุนแรงก็อาจมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียน มีผื่นขึ้น ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเองในเวลาไม่นาน สำหรับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ตรีผลา จะทำให้เลือดประจำเดือนออกมามากกว่าปกติเป็นอันตรายได้เช่นกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Jansen, P.C.M., 2005. Terminalia chebula Retz. [Internet] Record from PROTA4U. Jansen, P.C.M. & Cardon, D. (Editors). PROTA (Plant Resources of Tropical Africa / Ressources végétales de l’Afrique tropicale), Wageningen, Netherlands. Accessed 7 June 2018.

บัวบก หรือใบบัวบก มิได้มีดีแค่แก้ช้ำใน

0
"ใบบัวบก" มิได้มีดีแค่แก้ช้ำใน
ใบบัวบก พืชสมุนไพรผักพื้นบ้าน นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบก ดับกระหาย แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย
"ใบบัวบก" มิได้มีดีแค่แก้ช้ำใน
ใบบัวบก พืชสมุนไพรผักพื้นบ้าน นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบก ดับกระหาย แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย

ใบบัวบก หรือบัวบก

ใบบัวบก ( Gotukola ) หรือ ผักหนอก คือ พืชสมุนไพรผักพื้นบ้านที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม ดับกระหาย แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย ซึ่งมีคุณประโยชน์ทั้งในวงการเครื่องสำอางและวงการแพทย์ หากใครเคยดื่มน้ำใบบัวบกสีเขียวจัดก็จะรู้ว่าเป็นน้ำสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ต้องดื่มตอนที่มันยังเย็นๆ อยู่เท่านั้น เพราะเมื่อปล่อยให้อุณหภูมิสูงขึ้นเท่ากับอุณหภูมิห้องหรือร้อนมากกว่านั้น ใบบัวบกส่วนที่เราใช้รับประทานงอกขึ้นมาเป็นใบเดียว รูปทรงใบคล้ายรูปหัวใจที่มีขอบหยัก ก้านยาวเรียว ใบบัวบกมีดอกด้วยเหมือนกันแต่มีขนาดเล็กมากซ่อนอยู่ตามซอกใบ และมีกลิ่นเฉพาะตัว ทำให้กลิ่นเหม็นเขียวและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างโดดเด่นจนดื่มได้ยากลำบาก และนิยมใช้ใบบัวบกเป็นเครื่องเคียงในการทานคู่กับอาหารเมนูอื่น มากกว่าที่จะนำมาปรุงให้กลายเป็นเมนูหลัก และปัจจุบันได้พัฒนาเป็นใบบัวบกอัดเม็ด หรืออัดแคปซูล ซึ่งทำให้ทานง่ายขึ้น ลดกลิ่นเม็นเขียวสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นเหม็นเขียวของใบบัวบก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Centella asiatica (Linn.) Urban
ชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นไทย : ภาคเหนือเรียก ผักแว่น ภาคอีสานเรียก ผักหนอก ภาคใต้เรียก กะโต่

ใบบัวบก ประโยชน์ของและสรรพคุณ

บำบัดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ : มีการทดลองนำสารสกัดที่ได้จากใบบัวบกมาทดลองในหนูที่มีอาการของกระเพาะอาหารอักเสบ พบว่าอาการอักเสบนั้นลดน้อยลงพร้อมกับระดับความเครียดด้วย ซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ จากการทดลองนี้จึงสรุปได้ว่าสารบางตัวในใบบัวบกสามารถช่วยบำบัดกระเพาะอาหารอักเสบได้จริง โดยปรับสมดุลความตึงเครียดในสมองและป้องกันการบวมพองของเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร และวิธีการใช้งานเพื่อสรรพคุณข้อนี้ก็ง่ายมาก เพียงแค่นำใบบัวบกมาคั้นสดแล้วดื่มเป็นน้ำสมุนไพรเท่านั้นเอง 

รักษาแผลตามร่างกาย : ในใบบัวบกมีสารที่สำคัญตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Madecassol ซึ่งเป็นสารที่มีความพิเศษในการลดระยะเวลาการเกิดแผลและเร่งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา พร้อมกันนี้ก็มีสาร Triterpenoid ที่ช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในผิว จึงเสริมการทำงานของ Madecassol ให้เห็นผลดีมากยิ่งขึ้น มีการทดสอบแล้วว่าสารสกัดกลุ่มนี้สามารถรักษาแผลสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้รับความสนใจอย่างมาก และถูกนำไปดัดแปลงให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้ง่าย เช่น เจลใบบัวบก ครีมสมานแผลจากใบบัวบก เป็นต้น

เสริมสร้างความจำ : หากเราได้เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมรุ่นใหม่ๆ ก็จะพบว่าเริ่มมีส่วนผสมของ ใบบัวบก มากขึ้น นั่นก็เพราะว่าสารสกัดเข้มข้นจากใบบัวบกมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทและสมองด้วย โดยเฉพาะสมองในส่วนของการจดจำ องค์ประกอบสำคัญในใบบัวบกจะทำปฏิกิริยากับฮอร์โมนที่คัดหลั่งจากเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ดูแลเรื่องการนำส่งข้อมูลของปลายประสาท การถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ จึงดำเนินไปอย่างเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ พร้อมทั้งช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่มีผลกระทบต่อความเสื่อมของสมองด้วย สารสกัดจากใบบัวบกจึงถือเป็นอาหารเสริมที่น่าสนใจในการเสริมสร้างการเรียนรู้และจดจำ มากไปกว่านั้นมีงานวิจัยออกมาชัดเจนแล้วว่าสารสกัดเข้มข้นของใบบัวบกมีผลต่อรูปร่างที่ดีของเซลล์ประสาทด้วย

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน : ระบบภูมิคุ้มกันเป็นปราการด่านสำคัญที่สุดของร่างกาย ใครจะป่วยง่ายหรือป่วยยากก็ตรงจุดนี้นี่เอง ดังนั้นการดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด สารกลุ่ม Triterpenoid saponins ใน ใบบัวบก เป็นตัวที่จะทำให้เม็ดเลือด เซลล์ไขกระดูก และแอนติบอดี้ เพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังลดผลข้างเคียงจากการฉายรังสีต่างๆ ด้วย

ลดความดัน : สารสกัดจากใบบัวบกทุกชนิดที่อยู่ในกลุ่ม Triterpenes มีความโดดเด่นมากในการลดความกดดันภายในเส้นเลือด มีงานวิจัยที่เคยทดลองกับหนู โดยให้หนูออกแรงเป็นเวลานานติดต่อกันจนระดับความกดดันภายในร่างกายไม่สมดุล เมื่อให้สารสกัดจากใบบัวบก ไม่นานเท่าไรก็ร่างกายก็ปรับสู่สมดุลอีกครั้งอย่างมีนัยสำคัญ

ต้านอนุมูลอิสระ : ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารอนุมูลอิสระได้ตลอดเวลา และเจ้าสารอนุมูลอิสระนี้ก็มีผลเสียหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยความงามอย่างที่เราได้ยินกัน แต่ครอบคลุมไปถึงความเสื่อมของอวัยวะส่วนต่างๆ ด้วย นั่นหมายความว่ายิ่งมีอนุมูลอิสระในร่างกายน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี มีงานวิจัยที่ให้ผลสรุปว่า ใบบัวบก มีองค์ประกอบสำคัญที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีเทียบเท่ากับโรสแมรี่เลยทีเดียว แต่ก็ต้องใช้ควบคู่กับกระบวนการอื่นๆ ด้วยเพื่อไม่ให้มีสารตกค้างที่เป็นพิษในภายหลัง 

บำบัดอาการอักเสบ : อย่างที่ได้กล่าวไปบ้างแล้วในขั้นต้นว่าสารสกัดใน ใบบัวบก ถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลแผลหลายชนิด มีงานวิจัยทางคลินิกที่นำสารสกัดใบบัวบกในรูปอัดเม็ดสอดไว้ใต้ลิ้นของผู้ป่วย พบว่ามีอัตราการอักเสบของเยื่อหุ้มฟันเรื้อรังลดน้อยลงอย่างชัดเจน มีการเสริมสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงช่วยบรรเทาอาการอักเสบที่มองเห็นได้จากภายนอกรวมไปถึงอาการอักเสบภายใน เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า กินใบบัวบกแก้ช้ำในได้นั่นเอง

ลดความเครียดและวิตกกังวล : เมื่อนำสารสกัดใบบัวบกผสมเข้ากับชะเอมเทศก่อนนำมาใช้งาน พบว่ากระตุ้นให้ร่างกายเกิดความกระฉับกระเฉงขึ้นมากได้ จิตใจแจ่มใสเบิกบาน และลดความวิตกกังวลที่มีอยู่ลงได้ มีการทดลองแบบสุ่มอยู่หลายครั้ง ต่างก็ให้ผลการทดลองสอดคล้องไปในทางเดียวกันว่า ใบบัวบก มีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยควบคุมเซลล์ร่างกายและจิตใจได้จริง นอกจากใช้เพื่อลดความตึงเครียดแล้วก็ยังช่วยให้นอนหลับได้ง่ายด้วย

บรรเทาอาการเส้นเลือดขอด : ใบบัวบกมีสารเคมีที่เรียกว่า TTFCA ( triterpenic fraction of Centella asiatica ) เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์ต่ออาการเส้นเลือดขอด เนื่องจากกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่จำเป็นในการสร้างความแข็งแรงของเยื่อบุและผนังเส้นเลือด เส้นเลือดที่แข็งแรงทำให้มีโอกาสเป็นเส้นเลือดขอดน้อยลง คอลลาเจนและอิลาสตินก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวสุขภาพดี ที่มักสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้ใบบัวบกยังอาจช่วยเรื่องภาวะเลือดไปเลี้ยงหลอดเลือดดำไม่เพียงพอ ด้วยการลดอาการบวมและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

ใบบัวบก พืชสมุนไพรผักพื้นบ้าน นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบก ดับกระหาย แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน และบำรุงร่างกาย ซึ่งมีคุณประโยชน์ทั้งในวงการเครื่องสำอางและวงการแพทย์

ใบบัวบก องค์ประกอบทางเคมี

ใบบัวบก มีองค์ประกอบทางเคมีที่มีประโยชน์หลายชนิด แต่กลุ่มที่สำคัญจะเป็น Triterpenoid saponins ซึ่งเป็นสารไตรเทอร์พีนที่จับตัวกับซาโปนิน เป็นสารที่พืชหลายชนิดสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง คุณสมบัติเด่นคือช่วยลดแรงตึงผิวได้ดี และยังเป็นพิษต่อปลาด้วย เมื่อนำมาวิจัยเพื่อใช้งานจึงพบว่าสารตัวนี้ ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องของการซ่อมแซมบาดแผลได้ดี แม้แต่หลอดเลือดที่มีอาการผิดปกติในทำนองที่ว่าน่าจะเกิดการอักเสบ ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ด้วยเช่นกัน ต่อมาคือ Glycosides เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มักพบในพืชชั้นสูง มีฤทธิ์ทางชีวภาพค่อนข้างมาก ซึ่งยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกมากถึง 11 ชนิด โดยในแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติโดดเด่นแตกต่างกันไป ใบบัวบกจึงมีคุณประโยชน์ทั้งในวงการเครื่องสำอางและวงการแพทย์  

ข้อมูลโภชนาการของใบบัวบกสด

ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัวบกใช้เป็นอาหารกับยารักษาโรคและยังเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการรักษาสุขภาพที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

  • การวิจัยอาหารนานาชาติพบว่า (บัวบกสด 100 กรัม) ให้สารอาหารดังต่อไปนี้
  • แคลเซียม 171 มิลลิกรัม (17% ของ RDI)
  • ธาตุเหล็ก 5.6 มิลลิกรัม (31% ของ RDI)
  • โพแทสเซียม 391 มิลลิกรัม (11% ของ RDI)
  • วิตามินเอ 442 ไมโครกรัม (49% ของ RDI)
  • วิตามินซี 48.5 มิลลิกรัม (81% ของ RDI)
  • วิตามิน B2: 0.19 มิลลิกรัม (9% ของ RDI)

ประสิทธิภาพของใบบัวบกในทางการแพทย์

ใบบัวบก เป็นพืชที่ทานสดก็ได้ หรือแปรรูปปรุงสุกก่อนทานก็ได้ เมื่อทานสดก็ได้ประโยชน์อย่างหนึ่ง เมื่อนำมาคั้นเป็นน้ำสมุนไพรก็ได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง จึงมีการนำใบบัวบกมาสกัดด้วยวิธีต่างๆ ตลอดจนนำไปผสมกับพืชสมุนไพรอื่น พบว่าในแต่ละวิธีการ ต่างก็ให้สรรพคุณที่ดีต่างกันไป และเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของสรรพคุณถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วในวงการแพทย์

1. ประสิทธิภาพในการทำลายแบคทีเรีย : สารสกัด ใบบัวบก ที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ มีศักยภาพในการทำลายแบคทีเรียสูงมาก เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้มากถึง 8 ชนิด ได้แก่ E. coli, Pseudomonas, aeruginosa, Salmonella paratyphi, Salmonella typhi, Shigella boydii, Shigella dysenteriae, Vibrio mimicus และ Vibrio parahemolyticus 

2. ประสิทธิภาพในการทำหน้าที่เป็น Antioxidant : ใบบัวบก ได้รับการยอมรับอย่างสูงมากทั้งในวงการแพทย์และเภสัชกรรม ว่าเป็นตัว Antioxidant ที่ดีมากตัวหนึ่ง มีงานวิจัยบันทึกไว้ว่า ใบบัวบก 84 เปอร์เซ็นต์ เทียบเท่าวิตามินซี 88 เปอร์เซ็นต์ และเทียบเท่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 83 เปอร์เซ็นต์ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก

3. ประสิทธิภาพในการรักษาแผลเปื่อย : สารสกัดสำคัญในกลุ่มนี้ก็คือ Asiaticoside ซึ่งสามารถสกัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างการคั้นใบสดให้กลายเป็นน้ำ มีผลดีต่อแผลในกระเพาะอาหารอย่างมาก อาการอักเสบและความรู้สึกระคายเคืองต่างๆ ลดน้อยลงอย่างชัดเจน แน่นอนว่าสามารถนำไปต่อยอดเพื่อใช้สำหรับรักษาแผลภายนอกได้เช่นกัน

4. ประสิทธิภาพในการควบคุมเซลล์มะเร็ง : จุดเด่นที่เป็นประโยชน์มากๆ ของ ใบบัวบก ก็คือ มีสารสกัดที่สามารถยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ โดยไม่ทำให้เกิดพิษสะสมขึ้นในร่างกาย สามารถทำลายเซลล์มะเร็งผิวหนังและรักษาแผลที่เกิดจากมะเร็งได้ หากสกัดใบบัวบกด้วยน้ำแล้วรับประทานก็ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งภายในลำไส้ได้ด้วย

5. ประสิทธิภาพในการดูแลหัวใจ : หากนำ ใบบัวบก ทั้งต้นมาเข้ากระบวนการสกัดเพื่อใช้งาน จะได้สารเคมีสำคัญที่มีประโยชน์โดยตรงต่อหัวใจ ทำให้การทำงานของหัวใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องการการทำลายเซลล์หัวใจของโรคบางชนิดได้

ใบบัวบกสรรพคุณในศาสตร์แพทย์แผนจีน

ไม่ใช่แค่วงการแพทย์สมัยใหม่ หรือแพทย์แผนไทยเท่านั้นที่นิยมใช้ประโยชน์จาก ใบบัวบก ในศาสตร์แพทย์แผนจีนก็ให้ความสนใจด้วยเหมือนกัน ในภาษาจีนใบบัวบกจะถูกเรียกว่า จิเสวี่ยเฉ่า หมายถึง สมุนไพรที่มีหิมะสะสมอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือจัดเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นนั่นเอง จึงนำมาใช้เพื่อปรับสมดุลร่างกายได้หลายอย่าง ได้แก่

  • ทำให้เลือดเย็นตัวลงเพื่อห้ามเลือดแบบฉับพลัน : ความพิเศษที่แตกต่างไปจากสมุนไพรอื่นๆ ก็คือ ฤทธิ์เย็นใน ใบบัวบก จะทำให้เลือดไม่ไหลออกมานอกเส้นเลือด แต่ยังคงไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดตามปกติ ไม่ได้แข็งตัวจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • ขับลมและขับพิษ : โรคผิวหนังบางชนิดเกิดจากความร้อน เช่น ผื่นคัน หัด หิด เป็นต้น จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น อย่างน้อยก็จะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนตามผิวหนังได้ และเมื่อความระคายเคืองลดน้อยลง อีกไม่นานก็จะหายจากโรคนั้นได้
  • ลดบวม : สมุนไพรแทบทุกชนิดที่มีฤทธิ์เย็นจะช่วยขับความร้อนและปรับระดับชี่ในร่างกาย จึงสามารถขับพิษร้อนและลดอาการบวมที่เกิดจากพิษเหล่านั้นได้   
  • ระบายร้อน : เนื่องจากศาสตร์แพทย์แผนจีนเชื่อว่า ร่างกายจะแข็งแรงได้ต้องอยู่ในสมดุล ไม่ร้อนเกินและไม่เย็นเกิน โรคภัยหลายอย่างเกิดจากระดับความร้อนที่ไม่สมดุล เช่น ตัวร้อน เป็นไข้ เจ็บคอ ติดเชื้อทางเดินหายใจ เป็นต้น เมื่อทำการระบายความร้อนออก ร่างกายก็จะกลับสู่สมดุลอีกครั้งและทำให้โรคภัยทั้งหมดบรรเทาอาการลง

วิธีทำน้ำใบบัวบก

1. เลือกใช้ใบบัวบกที่แก่จัด โดยใช้ทั้งใบต้นและราก นำมาล้างน้ำทำความสะอาด
2. ตัดใบบัวบกเป็น 2-3 ท่อน ก่อนนำมาปั่นรวมกับน้ำเปล่า
3. ผสมน้ำกับใบบัวบกที่ปั่นแล้วคั้น จากนั้นนำกากที่เหลือมาคั้นน้ำที่สองเพื่อให้ได้ตัวยาสมุนไพรที่ยังเหลืออยู่ (ควรใช้น้ำสะอาด และห้ามใช้น้ำร้อนหรือนำน้ำที่คั้นได้ไปต้ม)
4. กรองน้ำบัวบกด้วยผ้าขาวบางห่าง ๆ (แบบผ้ามุ้ง)
5. จากนั้นค่อยๆรินเฉพาะน้ำส่วนใส ๆ มาดื่ม
( น้ำบัวบกที่ดีต้องคั้นใหม่ ๆ จากใบสด ๆ และไม่ควรเก็บน้ำที่คั้นได้ไว้นาน หรือทานไม่หมดควรแช่เย็นเก็บไว้
น้ำเชื่อมถ้าทำมาจากน้ำต้มใบเตย จะทำให้น้ำบัวบกอร่อยมากขึ้น )

ข้อควรระวัง

1. สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยง
2. ผู้ที่เป็นโรคตับ ไม่ควรรับประทาน
3. สำหรับผู้ที่ต้องรับการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม
4. กรณีผู้ที่ใช้ยา เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล ยาเบาหวาน ยาขับปัสสาวะ ยาระงับประสาท หรือยาที่ส่งผลต่อตับ ควรหลีกเลี่ยง
5. ใบบัวบกไม่เหมาะสำหรับเด็ก
6. ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ควรรับประทานใบบัวบกในปริมาณที่ต่ำกว่า

ใบบัวบก หรือผักหนอก มีประโยชน์ทั้งเป็นอาหาร เป็นยาเย็น แก้อ่อนเพลีย ช้ำใน บำรุงร่างกาย และยังใช้เป็นยาภายนอกอีกด้วย เป็นสมุนไพรธรรมดา ซึ่งมีคุณค่ามากหลายสมควรปลูกไว้ใกล้ตัว และสำหรับบางรายควรใช้ด้วยความระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“ใบบัวบก” สรรพคุณ-ประโยชน์ของใบบัวบก แก้ช้ำในว่าดีแล้ว ใช้แก้โรคยิ่งดีใหญ่ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sukkaphap-d.com [17 มีนาคม 2561].

สรรพคุณใบบัวบก ประโยชน์เลอค่า เพื่อความงามและสุขภาพ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://health.kapook.com [17 มีนาคม 2561].

สมุนไพรฟ้าทะลายโจรต้านไข้หวัด

0
ต้านไข้หวัดด้วยสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร"
ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุก โดยมีอายุสั้นๆ เพียงช่วงฤดูเดียว ลำต้นเป็นสีเขียวสดตั้งตรง แผ่กิ่งก้านแบบสันสี่เหลี่ยม ช่วยให้อาการหวัดต่างๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
ต้านไข้หวัดด้วยสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร"
ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ ช่วยให้อาการไข้หวัดต่างๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว

ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร ( Kariyat ) คือ สมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุก โดยมีอายุสั้นๆ เพียงช่วงฤดูเดียวเท่านั้น ลักษณะของลำต้นเป็นสีเขียวสดตั้งตรง แผ่กิ่งก้านแบบสันสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวสีเขียวเข้มรูปคล้ายหอก ผิวใบมันเงาเรียบลื่น ออกดอกสีขาวเป็นช่อเล็กๆ แทรกตามซอกใบและปลายกิ่ง ฟ้าทะลายโจรถูกเรียกในอีกหลายชื่อ ได้แก่ ฟ้าทะลาย หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน เป็นต้น ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ได้จะเป็นส่วนของใบเป็นหลัก รองลงมาเป็นส่วนของต้นที่อยู่ใต้ดิน มักนิยมปลูกไว้ตามบ้านคู่กับพืชผักกินใบอื่นๆ เมื่อไรที่ต้องการใช้ทำยาก็เด็ดมาใช้ได้สดๆ ฟ้าทะลายโจรปลูกขึ้นได้ดีในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ความโด่งดังของพืชสมุนไพรชนิดนี้เริ่มจากการระบาดของโรคหวัดในช่วงหนึ่ง และฟ้าทะลายโจรก็เป็นตัวเอกที่ช่วยให้อาการหวัดต่างๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีทั้งแบบแคปซูล แบบผง และแบบอัดเม็ด

มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees จัดอยู่ในวงศ์ Acanthaceae)
ชื่ออื่น ๆ ชื่อเรียกตามท้องถิ่นอื่น ๆ : ฟ้าสะท้าน ฟ้าทะลาย หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน เมฆทะลาย

องค์ประกอบทางเคมีของฟ้าทะลายโจร

สมุนไพรฟ้าทะลายโจร เป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น มีสารเคมีที่สำคัญอยู่หลายชนิด ซึ่งกระจายอยู่ในทุกส่วน ทั้งต้น ราก ใบ กลุ่มที่เด่นที่สุดคือ สารกลุ่มแลคโตน ( Lactone ) ได้แก่ สารแอนโดรกราโฟไลด์ ( andrographolide ) สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ ( neo-andrographolide ) 14-ดีอ๊อกซี่แอนโดรกราโฟไลด์ ( 14-deoxy-andrographolide ) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ลดปวด ฤทธิ์ลดไข้แก้ไอ และฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งแต่ละตัวก็จะออกฤทธิ์ในทางเภสัชวิทยาแตกต่างกันไป ได้แก่

  • ลดการบีบหรือหดเกร็งตัวของทางเดินอาหาร จึงส่งผลให้อาการบิด ปวดบริเวณช่องท้องลดน้อยลง
  • ลดอาการท้องเสีย โดยทำให้การสูญเสียน้ำทางลำไส้ที่เกิดจากสารพิษต่างๆ ของแบคทีเรียลดลง
  • กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  • ลดไข้และต้านการอักเสบ
  • ต้านอนุมูลอิสระ
  • ลดน้ำตาลในเลือด
  • ส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    แม้ว่า ฟ้าทะลายโจร จะสามารถเก็บเอาไว้ได้นานด้วยการตากแห้ง อบแห้ง บดผงหรือด้วยวิธีปรุงสมุนไพรแบบอื่นๆ แต่สารออกฤทธิ์ที่สำคัญทั้งหมดจะลดลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บเอาไว้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่ได้รับบรรจุชื่อลงในบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทยปี 2549 โดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการระบุข้อบ่งใช้เอาไว้แบบเฉพาะเจาะจงว่า ใช้สำหรับบรรเทาอาการท้องเสียแบบไม่ติดเชื้อ บรรเทาอาการเจ็บคอและสัญญาณต่างๆ ของโรคหวัด แต่แน่นอนว่าสรรพคุณทั้งหมดของฟ้าทะลายโจรไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะนี่เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตัวยาเก่าแก่มากมาย ทั้งตามแผนตำรายาของไทยและของจีน และต่อไปนี้ก็เป็นเพียงบางส่วนที่สำคัญๆ เท่านั้น

รักษาอาการไข้หวัดและเจ็บคอ : ประเด็นนี้จะไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์การรักษาโรคที่สร้างชื่อเสียงให้กับสมุนไพรไทยอย่างฟ้าทะลายโจรเลยทีเดียว ในปี 2009 ที่มีปัญหาโรคไข้หวัดใหญ่ระบาด ฟ้าทะลายโจร กลายเป็นพระเอกที่ช่วยให้ผู้ป่วยหลายคนผ่านพ้นวิกฤติครั้งนั้นไปได้ด้วยดี โดยออกฤทธิ์ด้วยการบรรเทาอาการหวัดไปพร้อมกับสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย จากงานวิจัยพบว่าองค์ประกอบสำคัญในฟ้าทะลายโจรจะทำหน้าที่ป้องกันเชื้อไวรัสไม่ให้ไปเกาะตามผนังเซลล์จนเกิดการอักเสบ อาการเจ็บคอและคัดจมูกต่างๆ จึงบรรเทาลง ในโรงพยาบาลชุมชนหลายแห่งก็ใช้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเป็นตัวเลือกสำหรับการรักษาอาการไข้เจ็บคอด้วย

บรรเทาอาการโรคอุจจาระร่วงและโรคบิดจากแบคทีเรีย : มีการศึกษาวิจัยถึงรูปแบบการออกฤทธิ์สารสกัดจาก ฟ้าทะลายโจร กับโรคอุจจาระร่วงและโรคบิด โดยให้ผู้ป่วยรับประทานยาสมุนไพรที่ทำจากฟ้าทะลายโจรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีอาการป่วย ผลคืออาการอุจจาระร่วงลดลงอย่างเห็นได้ชัด และยังลดการสูญเสียน้ำของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

บรรเทาริดสีดวงทวาร : โรคริดสีดวงเป็นอีกโรคหนึ่งที่สร้างความทรมานให้ผู้ป่วยไม่น้อย และมีอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ลักษณะคือมีก้อนเนื้อปลิ้นออกมาจากภายในขณะที่เบ่งถ่ายอุจจาระ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดมาก มักมีเลือดออกเสมอแต่ปริมาณไม่มากนัก ฟ้าทะลายโจร จะช่วยแก้อาการปวดถ่วงและลดการมีเลือดออกได้ จึงส่งผลให้ขับถ่ายได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาเม็ดสมุนไพรวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าอาการจะดีขึ้น

บรรเทาอาการกระเพาะอาหารอักเสบจากเชื้อไวรัส : จุดเด่นอย่างหนึ่งของ ฟ้าทะลายโจร ก็คือมีฤทธิ์ต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ดังนั้น จึงใช้ได้ผลดีกับอาการกระเพาะอาหารอักเสบที่เกิดมาจากการได้รับเชื้อไวรัสเข้าไป วิธีใช้คือให้ผู้ป่วยทานยาสมุนไพรครั้งละ 3 เม็ดก่อนอาหาร 3 เวลา

ไข้ไทฟอยด์ : หากเป็นไข้หวัดธรรมดาก็คงไม่เท่าไร บางคนที่มีพื้นฐานสุขภาพร่างกายที่ดี อาจจะต้องการเพียงแค่นอนพักให้มากกว่าปกติ 3-4 วันก็จะหายได้เอง แต่มันต่างออกไปถ้าเป็นไข้ไทฟอยด์ เพราะนี่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ซึ่งรุนแรงอย่างมากในเด็ก และแพร่กระจายได้ด้วยการปนเปื้อนในน้ำและอาหาร ลักษณะอาการคือมีไข้สูง ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องผูกและท้องเสีย ฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรก็คือพุ่งเป้าไปที่การทำลายเชื้อไทฟอยด์ที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของต่อมน้ำเหลืองและผนังลำไส้เล็ก ตลอดจนช่วยเร่งการสร้างน้ำดีในตับเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของการย่อยอาหารด้วย เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเป็นไข้ไทฟอยด์ก็สามารถเริ่มทานสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ได้ในทันที โดยทานครั้งละ 2-3 เม็ด ก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อ

รักษาโรคงูสวัด : อีกโรคหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สมัยนี้อาจไม่ค่อยได้เห็นกันมากเท่าไรแล้ว แต่เมื่อก่อนนั้นมีผู้เจ็บป่วยกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเป็นแล้วก็ยังหาทางรักษากันลำบากอีก เพราะองค์ความรู้ทางการแพทย์ยังมีไม่เพียงพอ ต้นเหตุของโรคงูสวัดเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกับโรคอีสุกอีใส จึงไม่น่าแปลกใจที่อาการเกือบจะคล้ายคลึงกัน การออกฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรก็คือการทำลายเชื้อไวรัสโดยตรง ขนาดที่ต้องทานก็คือก่อนอาหาร 2-3 เม็ดในทุกมื้ออาหาร และมีข้อกำหนดว่าต้องทานต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์ แม้อาการเจ็บปวดต่างๆ จะหายไปแล้วก็ตาม เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นโรคงูสวัดซ้ำได้อีกนั่นเอง

บรรเทาอาการแผลอักเสบ : ในเมื่อสรรพคุณที่เด่นๆ อย่างหนึ่งของ ฟ้าทะลายโจร ก็คือต้านอาการอักเสบต่างๆ ดังนั้นจึงใช้เพื่อสมานแผลและลดอักเสบลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย วิธีคือใช้ฟ้าทะลายโจรบดละเอียดเป็นผงแล้วพอกที่แผล อาจใช้วิธีทานร่วมด้วยก็ได้

ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด : ข้อนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานมาก แต่ก็ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพราะฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรคือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง ผู้ป่วยเบาหวานที่มีค่าน้ำตาลสูงจึงสามารถเลือกใช้ได้และให้ผลลัพธ์ที่ดี ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานอีกกลุ่มซึ่งมีค่าน้ำตาลต่ำอยู่แล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะทานฟ้าทะลายโจรไปก่อน

กระบวนการนำฟ้าทะลายโจรมาใช้เพื่อประโยชน์ทางยา

คุณสมบัติอย่างหนึ่งของ ฟ้าทะลายโจร คือมีรสชาติขมมาก แม้จะตรงตามตำราที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” แต่นั่นก็ทำให้หลายคนทานฟ้าทะลายโจรได้ยากจริงๆ จึงต้องมีการแปรรูปเพื่อให้ทานได้ง่ายมากขึ้น ดังนี้

ปั้นเป็นยาลูกกลอน : ส่วนประกอบที่ใช้จะเป็นกิ่งและใบสดๆ นำมาล้างให้สะอาดแล้วตากแดดจนแห้งสนิทดี ก่อนนำมาบดเป็นผง ปั้นผสมกับน้ำผึ้งให้ได้เม็ดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้งอีกครั้งแล้วค่อยเก็บใส่โหลหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ ข้อควรระวังคือ อย่าใส่น้ำผึ้งมากเกินไปนัก จุดประสงค์หลักเราใส่เพื่อให้ช่วยลดความขมโดดของ ฟ้าทะลายโจร เท่านั้น

บรรจุใส่แคปซูล : รูปแบบนี้รับรองว่าทานง่ายแน่นอน เพราะจะไม่มีรสชมเลย และกลิ่นเจือจางมาก กระบวนการคือนำส่วนของใบและลำต้นมาบดให้เป็นผลละเอียด หลังจากล้างทำความสะอาดพร้อมตากแห้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทำเป็นยาอัดเม็ด : จริงๆ อันนี้คล้ายกับการทำยาลูกกลอน เพียงแต่ใช้เครื่องจักรสมัยใหม่เท่านั้น ส่วนผสมที่ใช้ก็เลือกได้หลากหลาย จะเป็นลำต้น ใบหรือรากก็ได้ ตามแต่สรรพคุณที่ต้องการ ขั้นตอนคร่าวๆ ก็คือ ทำความสะอาด อบ บดผงและอัดเม็ด

ต้มกับน้ำสะอาดเพื่อดื่ม : วิธีนี้เป็นการเตรียมยาสมุนไพรที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด เพราะเราสามารถใช้ส่วนของวัตถุดิบที่ยังสดอยู่ได้เลย ไม่ต้องตากแห้งให้เสียเวลา แต่ก็จะมีรสขมมากอยู่ อาจเติมน้ำผึ้งช่วยได้บ้าง ที่สำคัญยาต้มนี้ต้องดื่มต่อเนื่องหลายเวลาในวันเดียว จึงควรต้มทิ้งไว้เป็นหม้อใหญ่สักหน่อยจะได้ไม่ต้องเทียวต้มทุกครั้งที่จะใช้

บดเป็นผงเพื่อใช้พอก : ใช้ส่วนของใบแก่จัด นำมาบดให้ละเอียดทั้งๆ ที่ยังสดนั่นเอง ผสมเกลือเล็กน้อย น้ำเปล่าอีกนิดหน่อย คนจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียวก็ใช้ได้ ตักเอาแต่เนื้อสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ไปพอกแผลแล้วพันทับด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นจึงแกะเปลี่ยนตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

บดเป็นผงเพื่อใช้สูดดม : วิธีการใช้จะคล้ายคลึงกับยานัตถุ์มากกว่ายาดม คือเป็นการสูดเอาควันฟุ้งให้ตรงเข้าไปในคอเลย การเตรียมสมุนไพรก็ใช้ใบตากแห้งมาบดละเอียดแล้วบรรจุใส่ขวดเก็บไว้ เวลาที่เอามาใช้ถ้าผงยาไปติดอยู่บริเวณคอก็จะช่วยเรื่องลดเสมหะและแก้อาการเจ็บคอ แต่ถ้าผงยาติดอยู่ในช่องจมูกก็จะช่วยลดน้ำมูกได้

อาการแพ์ทางพิษวิทยาของฟ้าทะลายโจร

สำหรับคนไข้บางคนที่รับประทานฟ้าทะลายแล้วมีอาการแพ้ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดเอว เวียนศีรษะ อาการผื่นคัน หรือลมพิษ จนถึงอาการแพ้ขั้นรุนแรงให้หยุดใช้ยาทันที

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร

สำหรับคนที่ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อเปลี้ย มือเท้าชาได้ เนื่องจากฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็น จึงควรหยุดใช้ยาหรือไม่ใช้ติดต่อกันนานเกินไป

1. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความดันต่ำและมีอาการท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรือทานฟ้าทะลายโจรแล้วมีอาการแพ้
2. ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ
3. ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตร
4. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอและอักเสบเนื่องจากเหตุเฉพาะเจาะจงอื่นๆ ที่ต้องควบคุมโดยแพทย์

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ฟ้าทะลายโจร สรรพคุณและประโยชน์ เป็นสมุนไพรต้านหวัด (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sukkapab.com [17 มีนาคม 2561].

The Flower Power of the Kariyat Plant (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://lustroushenna.typepad.com [17 มีนาคม 2561].