การรักษาเส้นเลือดขอด โดยไม่ต้องนอนพักฟื้น

0
การรักษาเส้นเลือดขอด โดยไม่ต้องนอนพักฟื้น
อาการของเส้นเลือดขอด สามารถมองเห็นเส้นเลือดคดเคี้ยวไปมา ลักษณะเป็นลายเส้นสีเขียวคล้ำ สีม่วงเข้มหรือสีฟ้า นูนออกมาบริเวณน่อง โดยทั่วไปเกิดขึ้นบริเวณขา
การรักษาเส้นเลือดขอด โดยไม่ต้องนอนพักฟื้น
อาการของเส้นเลือดขอด ลักษณะเป็นลายเส้นสีเขียวคล้ำ สีม่วงเข้มหรือสีฟ้า คดเคี้ยวไปมา และนูนออกมาบริเวณน่อง โดยทั่วไปเกิดขึ้นบริเวณขา

เส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอด ( Varicose veins ) เป็นโรคที่เกิดจากมีเลือดดำคั่งอยู่ในเส้นเลือดดำ ทำให้เส้นเลือดโป่งพอง ขยายตัวและขดไปมา ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดกับเส้นเลือดดำได้ทั่วร่างกาย แต่ที่พบบ่อยที่สุดคือ เส้นเลือดดำที่ขาส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนัง ( Superficial vien ) ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนและส่งผลให้เกิดปัญหาในด้านของความสวยงาม เมื่อเกิดขึ้นในผู้หญิง โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีอาชีพที่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ หรือยกของหนัก ผู้หญิง ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุและคนอ้วนจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนปกติ

สาเหตุของเส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอดเกิดจากการทำงานของลิ้นเล็กๆ ( Valve ) ที่มีอยู่หลายลิ้นในเส้นเลือดดำที่เสื่อมประสิทธิภาพลง มักเกิดจากผนังหลอดเลือดและลิ้นที่ควบคุมการไหลของเลือดที่อ่อนแอ ซึ่งลิ้นเหล่านี้มีหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้เลือดดำจากขาไหลย้อนต้านแรงโน้มถ่วงซึ่งอาศัยแรงบีบของกล้ามเนื้อที่ฝ่าเท้าเพื่อให้เลือดดำไหลย้อนกลับสู่หัวใจและไหลลงกลับมาคั่งที่ขาอีกที ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการควบคุมการไหลเวียนของเส้นเลือดดำ และผนังหลอดเลือดที่อาจขยายตัวออกจนสูญเสียความยืดหยุ่น ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ลิ้นที่คอยเปิดปิดนี้อ่อนแอและเสื่อมประสิทธิภาพลง เมื่อการทำงานของลิ้นเล็กๆเหล่านี้เสื่อมประสิทธิภาพลง ก็จะส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดำเสื่อมประสิทธิภาพลดลงเช่นกัน หากลิ้นหลอดเลือดไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ อาจก่อให้เกิดเลือดดำรั่วออกมาและไหลย้อนกลับไปที่ส่วนล่างของร่างกาย ส่งผลให้เลือดดำสะสมในหลอดเลือด และทำให้ผนังเส้นเลือดดำยืด หย่อน โป่งพองจนกลายเป็นเส้นเลือดขอดนั่นเอง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด

อายุ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคนี้มากขึ้น เกินกว่า 70 % ของคนที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปพบว่าเป็นโรคนี้ เนื่องจากการเสื่อมสภาพของลิ้นในหลอดเลือดและเซลล์ผนังเลือด หลอดเลือดเริ่มหลวมและหย่อนตัวลง
เพศ เส้นเลือดขอดสามารถพบได้ทุกเพศ แต่ตามสถิติเดิม เพศหญิงจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเพศชายมากถึง 3 เท่า โดยนักวิจัยชี้ว่าอาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศหญิงที่ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดคลายตัวลง การตั้งครรภ์ที่ส่งผลต่อการเพิ่มความดันในช่องท้อง รวมไปถึงสภาวะหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ ซึ่งหากขาดฮอร์โมนเพศที่ช่วยในการคงความยืดหยุ่นของผนังเส้นเลือดไป ก็จะส่งผลให้มีโอกาสเกิดการรั่วของลิ้นหลอดเลือดและเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดขอดมากขึ้น

พันธุกรรมและเชื้อชาติ ผู้ที่บุคคลในครอบครัวเป็นโรคเส้นเลือดขอดจะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากกกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า และโรคเส้นเลือดขอดยังพบในคนที่มีเชื้อชาติแถบตะวันตกมากที่สุด ทั้งนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับอาหารที่รับประทานด้วยเช่นกัน
อาชีพ อาชีพที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคเส้นเลือดขอดคือ อาชีพที่ต้องยืนหรือนั่งอยู่กับที่นานๆ และอาชีพที่ต้องยกของหนักเพราะเลือดจะไหลเวียนได้ยากขึ้น เช่น ครู พยาบาล แพทย์ พนักงานขายสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสาร เป็นต้น
น้ำหนัก คนที่มีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากขึ้นกว่าคนปกติ ทั้งนี้เพราะคนที่มีน้ำหนักเกินเลือดจะหมุนเวียนได้ไม่สะดวก จะเกิดการคั่งค้างของเลือดบริเวณขามากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการเส้นเลือดขอดได้ง่าย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เพราะฮอร์โมนเพศหญิงโดยตรงที่ส่งผลกระทบต่อการเป็นเส้นเลือดขอด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง เช่น วัยรุ่น วัยทอง หญิงตั้งครรภ์ จึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้มากขึ้น
ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง อาการท้องผูกเรื้อรังส่งผลให้มีความดันช่องท้องเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เพราะต้องออกแรงเบ่งนั่นเอง

ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย สำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตสบายเกินไป ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณขาเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้การไหลเวียนของเลือดทำงานได้ไม่ดี

อาการของเส้นเลือดขอด

อาการเส้นเลือดขอดเริ่มแรกนั้นจะสังเกตเห็นเส้นเลือดผ่านทางผิวหนัง คือสามารถมองเห็นเส้นเลือดคดเคี้ยวไปมา ลักษณะเป็นลายเส้นสีเขียวคล้ำ สีม่วงเข้มหรือสีฟ้า นูนออกมาบริเวณน่อง โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นบริเวณขา อาจจะเกิดขึ้นเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ แต่ยังไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น เมื่อเป็นมากขึ้นอาจเกิดอาการปวดแบบหน่วงๆหรือปวดเมื่อยบริเวณนั้นๆ กล้ามเนื้อในขาส่วนล่างเป็นตะคริวหรือสั่นเป็นจังหวะ ขาส่วนล่างบวมและมีอาการแสบร้อน รู้สึกเจ็บมากขึ้นเมื่อยืนหรือนั่งเป็นเวลานานๆ มีอาการคันรอบๆเส้นเลือด เส้นใดเส้นหนึ่งหรือหลายๆเส้น มีเลือดออกจากเส้นเลือดที่บิดนูน มีอาการปวดในเส้นเลือดบริเวณที่ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง อาการเส้นเลือดขอดมักจะเป็นมากขึ้นในช่วงเวลาบ่ายหรือเย็นและมักจะมีอาการแย่ลงเมื่ออยู่ในสภาพอากาศร้อน หรือเมื่อยืนเป็นเวลานาน แต่เมื่อนอนราบและยกขาขึ้นสูงก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้น หากพบว่าเส้นเลือดแข็งหรือเปลี่ยนสี มีอาการอักเสบของผิวหนังหรือมีแผลพุพองที่ผิวหนังบริเวณใกล้ข้อเท้า นับว่าเป็นอาการรุนแรงของเส้นเลือดขอด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
ภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอด เกิดจากมีเลือดดำคั่งอยู่ในเส้นเลือดดำ ทำให้เส้นเลือดโป่งพอง ขยายตัวและขดไปมา ซึ่งสามารถเกิดกับเส้นเลือดดำได้ทั่วร่างกาย

ภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดขอด

โดยทั่วไปแล้วอาการเส้นเลือดขอดมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายและร้ายแรงถึงชีวิต มักพบเป็นสภาวะอาการที่เป็นเรื่องทั่วไปมากกว่าเช่น อาการปวดเมื่อย รู้สึกหนักๆที่ขา ขาบวม หรือรู้สึกเป็นตะคริว โดยเฉพาะตอนที่ไม่ได้ใช้ขาเป็นเวลานานๆ เช่น เวลานอน แต่ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดขอดในผู้ป่วยเส้นเลือดขอดได้ดังนี้- สีของเท้าคล้ำหรือแดงขึ้น เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอันเนื่องมาจากอาการเส้นเลือดขอดเรื้อรัง
1. เลือดออกอย่างรุนแรงหรือมีปริมาณมาก และหยุดไหลได้ยาก หากถูกของมีคมบาดหรือได้รับบาดเจ็บบริเวณตรงเส้นเลือดขอด
2. ในผู้ป่วยบางรายอาจพบการอักเสบของเส้นเลือดดำร่วมด้วย
3. อาการเส้นเลือดขอดส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี อาจทำให้แผลบริเวณเท้าและขาหายช้าลงกว่าปกติ
4. ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ผิวหนังจะแตกลายและกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด
5. หากมีอาการขาบวมแบบฉับพลันร่วมด้วยกับอาการปวดขา นั่นคือภาวะเส้นเลือดดำส่วนลึกที่มีลิ่มเลือด เป็นภาวะที่ต้องรีบทำการรักษา

การวินิจฉัยโรคเส้นเลือดขอด

โดยทั่วไปแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้จากการซักประวัติอาการ และตรวจดูบริเวณขาทั้ง 2 ข้างในขณะท่ายืนและนอน ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก ยกเว้นในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ขาบวม มีแผลเรื้อรัง มีประวัติการเกิดอุบัติเหตุที่ขา มีเส้นเลือดขอดในวัยเด็ก เป็นต้น จะต้องมีการส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติมอีก เพื่อหาวิธีการรักษาที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้

  • ตรวจดูว่ามีการไหลย้อนของเส้นเลือดดำ
  • ตรวจดูว่ามีการอุดตันของเส้นเลือดดำ
  • การตรวจ CBC ดูการทำงานของเกล็ดเลือด
  • ตรวจการไหลเวียนของเลือดและสภาพเส้นเลือด
  • การฉีดสีเข้าเส้นเลือดดำที่ขอดแล้วเอ็กซเรย์เพื่อดูลักษณะของเส้นเลือด

แนวทางการรักษา

ผู้ป่วยที่เป็นเส้นเลือดขอดอาจไม่จำเป็นต้องทำการรักษา หากไม่มีอาการที่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือรบกวนในการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนผู้ป่วยที่ต้องการทำการรักษาอาการเส้นเลือดขอดอาจมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป อาทิเช่น รักษาเพื่อบรรเทาอาการ เพื่อความสวยงาม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามมากขึ้น ส่วนวิธีการรักษานั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นเลือด ความต้องการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ โดยมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้

การรักษาเส้นเลือดขอดแบบไม่ต้องผ่าตัด
การรักษาด้วยวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดขอดขนาดเล็ก คือมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดไม่เกิน 1 มิลลิเมตร โดยการใส่ถุงน่องสำหรับเส้นเลือดขอดตลอดเวลายกเว้นเวลานอน เพื่อช่วยบีบไล่เลือดในหลอดเลือดและกล้ามเนื้อขาเคลื่อนตัวกลับสู่หัวใจได้ดีและหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่วนปัญหาที่พบบ่อยสุดในการใช้ถุงน่องสำหรับเส้นเลือดขอดคือ ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สะดวกสบายในการสวมใส่เนื่องจากสภาวะอากาศร้อน และการลืมสวมใส่ถุงน่อง การใส่ถุงน่องสำหรับเส้นเลือดขอดจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีอาการอยู่ในระยะเบื้องต้นหรือใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆในภายหลัง แต่วิธีนี้จะไม่สามารถป้องกันการเกิดอาการเส้นเลือดขอดหรือทำให้อาการเส้นเลือดขอดหายไปได้

การฉีดยากระตุ้นให้ผนังเส้นเลือดตีบตัน
การรักษาด้วยวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดขอดขนาดเล็กถึงปานกลาง คือมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดไม่เกิน 3 มิลลิเมตร โดยการฉีดยาที่บรรจุสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการทำลายผนังของเส้นเลือดขอด เข้าไปในเส้นเลือดดำที่เป็นเส้นเลือดขอด เพื่อทำให้ผนังเส้นเลือดบวมจนติดกัน เลือดจึงไม่สามารถไหลผ่านได้ กลายเป็นแผลเป็นและเส้นเลือดตีบตันไปในที่สุด วิธีนี้จะทำให้เส้นเลือดที่เคยโป่งพองค่อยๆ ยุบและหายไปเพียงแค่ 2-3 สัปดาห์เท่านั้น จำเป็นต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางและรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยคือประมาณ 3-4 ครั้งต่อข้าง และแต่ละครั้งจะห่างกันประมาณ 1.5 -2 เดือน ยกเว้นผู้ป่วยรายที่เป็นมากอาจจะต้องเพิ่มจำนวนในการฉีดมากกว่าปกติ หลังจากได้รับการฉีดยาเพื่อที่จะรักษาแล้วผู้ป่วยควรเดินเป็นเวลา 30 นาทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ยาเกิดการกระจายตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาฉีดผู้ป่วยควรสวมถุงน่องสำหรับเส้นเลือดขอดติดต่อกันอย่างน้อย 5-7 วัน ข้อห้ามของการรักษาด้วยวิธีนี้คือ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้สารเคมีที่ใช้ฉีด มีเส้นเลือดอักเสบ หรือเส้นเลือดขอดมีขนาดใหญ่ร่วมกับปัญหาเส้นเลือดดำส่วนลึก แต่การฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำที่ขอดเพื่อให้เส้นเลือดตีบตันนั้นเป็นวิธีการรักษาที่ไม่หายขาด ในระยะยาวอาจมีการกลับมาเป็นซ้ำอีกได้

การรักษาด้วยการผ่าตัด
การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดขอดขนาดปานกลางถึงใหญ่ คือมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดไม่เกิน 6 มิลลิเมตร มีอาการปวดขาและมีลิ้นในเส้นเลือดดำผิดปกติ ตลอดจนมีเส้นเลือดขอดที่เกิดปัญหาแทรกซ้อน วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมและยังคงเป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยเส้นเลือดขอด โดยการผ่าตัดจะดึงเอาเส้นเลือดที่ขอดออกไปทั้งหมด เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีก เหมาะกับการรักษาที่มีเส้นเลือดขอดขนาดใหญ่และยาวมาก ซึ่งไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำที่ขอดเพื่อให้เกิดการตีบตันแบบปกติได้ แน่นอนว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวผ่าตัด หลังจากผ่าตัดในช่วง 3-4 วันแรกควรนอนพักและยกเท้าให้สูง พร้อมกับใส่ถุงน่องสำหรับเส้นเลือดขอดไว้ประมาณ 4-6 สัปดาห์ สำหรับวิธีการรักษาเส้นเลือดขอดด้วยการผ่าตัดเอาเส้นเลือดขอดออกนั้นสามารถหายขาดได้และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะตามมาในภายหลังได้ด้วย ยกเว้นผู้ป่วยบางรายที่ยังมีแขนงของเส้นเลือดขอดหลงเหลืออยู่ ก็อาจจะทำให้มีอาการกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

การรักษาเส้นเลือดขอดด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดขอดขนาดเล็กถึงปานกลาง คือมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดไม่เกิน 3 มิลลิเมตร รวมไปถึงผู้ป่วยที่กลัวการผ่าตัดและเข็มฉีดยา ส่วนผู้ที่เป็นเส้นเลือดฝอยที่ใบหน้าและขาก็สามารถรักษาด้วยวิธีนี้เช่นกัน แต่เส้นเลือดฝอยควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2 มิลลิเมตร การรักษาเส้นเลือดขอดด้วยเลเซอร์จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นจำเพาะซึ่งสามารถยิงผ่านผิวหนังชั้นบนลงไปในบริเวณที่เป็นไปได้อย่างแม่นยำ เซลล์เม็ดเลือดแดงที่ได้รับความร้อนจากแสงนั้นก็จะไปทำลายผนังเส้นเลือดให้หายไป วิธีการรักษานี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากทำได้ง่าย ไม่มีบาดแผลและไม่เกิดรอยแผลเป็น แต่ก็ไม่สามารถใช้รักษาเส้นเลือดขอดขนาดใหญ่และคดเคี้ยวได้

การรักษาเส้นเลือดขอดโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุ
วิธีนี้จะใช้หลักการเดียวกับการรักษาแบบเลเซอร์ โดยแพทย์จะใช้วิธีเจาะผ่านรูเข็มขนาดเล็กแล้วใส่ขดลวด ( Fiberroptic ) เข้าไปสลายเส้นเลือดขอดที่มีปัญหา เครื่องจะเริ่มแปลงพลังงานจากคลื่นวิทยุมาเป็นความร้อน และความร้อนนั้นจะทำให้เส้นใยของคอลลาเจนที่เป็นโครงสร้างสำคัญของผนังเส้นเลือดดำนั้นฝ่อตัวลงไปในที่สุด จากการติดตามผลพบว่าการรักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกมากสุดประมาณ 10 % แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อยและสามารถรักษาได้ด้วยการฉีดยา ภายหลังได้รับการรักษาด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุผู้ป่วยจำเป็นต้องสวมใส่ถุงน่อง และพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา

การรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด
การรักษาด้วยวิธีทานยา จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่ระยะแรกที่มีอาการ ไม่สามารถใช้เมื่อเข้าสู่ระยะที่รุนแรงแล้วได้ ยาที่ใช้จะเป็นยากลุ่มไดออสมิน( Diosmin ) กลุ่มเฮสเพอริดิน( Hesperidin ) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งกระบวนการอักเสบให้ลดลง ลิ้นในเส้นเลือดจึงทำงานได้ตามปกติ

อาการของเส้นเลือดขอด สามารถมองเห็นเส้นเลือดคดเคี้ยวไปมา ลักษณะเป็นลายเส้นสีเขียวคล้ำ สีม่วงเข้มหรือสีฟ้า นูนออกมาบริเวณน่อง โดยทั่วไปเกิดขึ้นบริเวณขา

ข้อดีของการรักษาเส้นเลือดขอดด้วยเลเซอร์

  • ใช้ยาชาเฉพาะที่มีการเกิดเส้นเลือดขอด
  • ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่า 1 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาไม่ต้องนอนพักฟื้นตัวในโรงพยาบาล
  • ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ลดการสูญเสียเลือด
  • ลดรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัดเจน
  • ผู้เข้ารับการเลเซอร์รักษาเส้นเลือดขอดสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติทันทีหลังจากรักษาเส้นเลือดขอดด้วยเลเซอร์
  • ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานได้โดยไม่ต้องนอนพัก
  • รู้สึกเจ็บปวดน้อยมาก เมื่อเทียบกับการรักษาแบบเดิม
  • คุ้มค่ากว่าการรักษาแบบเดิม 

ป้องกันเส้นเลือดขอดได้ด้วยการปรับพฤติกรรม

  • หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง เพื่อทำให้ไม่มีเส้นเลือดขอดเพิ่ม
  • ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป
  • ไม่ควรให้น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน หากผู้ป่วยมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์ควรลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี
  • ควรนั่งหรือนอนยกเท้าให้สูงกว่าระดับหน้าอกเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสู่หัวใจได้ดียิ่งขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งเป็นเวลานานๆ หากจำเป็นควรลุกขึ้นเพื่อขยับตัวหรือเปลี่ยนท่าบ่อยๆ และควรบริหารข้อเท้าไปด้วยในขณะนั่ง
  • หากต้องยืนทำงานเป็นเวลานานๆ ควรสวมใส่ถุงน่องสำหรับป้องกันเส้นเลือดขอดหรือพันผ้าพันแผลชนิดยืดเอาไว้
  • หมั่นออกกำลังกายและเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ขา
  • รับประทานผักและผลไม้มากขึ้นเพื่อป้องกันอาการท้องผูก
  • หากเลือดไหลจากเส้นเลือดขอด ให้นั่งหรือนอนยกเท้าให้สูงกว่าระดับหน้าอกแล้วใช้ผ้าสะอาดกดบริเวณแผลแรงๆ เมื่อเลือดหยุดไหลแล้วให้ทำความสะอาดแผลแบบบาดแผลสดทั่วไป แต่ถ้าแผลมีขนาดใหญ่ อาจต้องผ่าตัดเส้นเลือดขอดออก หรือต้องรักษาแผลโดยวิธีปลูกถ่ายผิวหนังที่นำผิวหนังส่วนอื่นมาปะแทน
  • เมื่อเส้นเลือดขอดโป่งพองมาก ผิวหนังแสบแดง เลือดออกจากเส้นเลือดขอด มีแผลและผื่นใกล้บริเวณข้อเท้าและมีสีคล้ำ หรือมีอาการเส้นเลือดขอดอื่นๆ ที่รบกวนในการดำเนินชีวิตประจำวัน ให้รีบพบแพทย์ทันที
  • เพื่อป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอดซ้ำ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการเส้นเลือดขอดร่วมกับการป้องกันตนเองในข้อต่างๆที่กล่าวไปข้างต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Curri SB et al. (1989) “Changes of cutaneous microcirculation from elasto-compression in chronic venous insufficiency”. In Davy A and Stemmer R (eds.) Phlebology ’89, Montrouge, France, ‘John Libbey Eurotext.

van Rij AM, Chai J, Hill GB, Christie RA (2004). “Incidence of deep vein thrombosis after varicose vein surgery”. Br J Surg. 91 (12): 1582–5. doi:10.1002/bjs.4701. PMID 15386324.

Munasinghe A, Smith C, Kianifard B, Price BA, Holdstock JM, Whiteley MS (2007). “Strip-tract revascularization after stripping of the great saphenous vein”. Br J Surg. 94 (7): 840–3.

การศัลยกรรมยกกระชับแก้ม และสารเติมเต็มโหนกแก้ม

0
การศัลยกรรมยกกระชับแก้ม และสารเติมเต็มโหนกแก้ม
การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เป็นการยกกระชับแก้มให้เต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งตัวจนริ้วรอยหรือร่องแก้มที่ลึกเกิดการคลายตัว และช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อให้เกิดการตึงทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นและร่องแก้มลดลง
การศัลยกรรมยกกระชับแก้ม และสารเติมเต็มโหนกแก้ม
การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน ช่วยยกกระชับแก้มให้เต่งตึง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งตัวจนริ้วรอยหรือร่องแก้มที่ลึกเกิดการคลายตัว

ศัลยกรรม แก้ม

แก้ม คือส่วนเนื้อที่เป็นกระพุ้งอยู่บริเวณในหน้าทั้ง 2 ข้างถัดจากตาลงมา ซึ่งใบหน้าจะแลดูสวยด้วยองค์ประกอบบนในหน้า เช่น ดวงตา คิ้ว ปาก จมูก แก้ม คาง แล้วยังต้องมีรูปทรงและขนาดที่สวยงามและเหมาะสมกับใบหน้าแล้ว ลักษณะโดยรวมของรูปหน้าก็มีส่วนสำคัญที่ส่งให้ใบหน้าแลดูสวยโดดเด่นขึ้นด้วยเช่นกัน โดยการ ศัลยกรรม ลักษณะของรูปหน้าที่ทำให้ดูดีและได้รับความนิยมย่อมเป็นรูปหน้าที่มีลักษณะเรียว ใบหน้ารูปไข่หรือใบหน้าที่มีคางเป็นรูปวีเชฟ (V- Shave) จัดเป็นรูปหน้าที่มีลักษณะที่สวยงาม

ปัญหาที่ทำให้รูปหน้ามีลักษณะไม่สวย

1.แก้มป่องจากไขมัน ลักษณะของ แก้ม ป่องเกิดขึ้นจากการที่บริเวณแก้มมีไขมันสะสมอยู่ ซึ่งลักษณะของไขมันสะสมอยู่ในบริเวณแก้มสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.1 ไขมันที่บริเวณใต้ผิว เป็นไขมันที่เกิดขึ้นจากการรับประทานอาหาร จะเปลี่ยนแปลงตาปริมาณของน้ำหนักตัว ซึ่งไขมันชนิดนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและจะลดลงเมื่อน้ำหนักตัวลดลง
1.2ไขมันที่บริเวณใต้กระพุ้งแก้ม (Buccle Fat) เป็นไขมันที่อยู่ในส่วนใต้กล้ามเนื้อของกระพุ้งแก้ม เป็นไขมันที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ ตามลักษณะทางกรรมพันธุ์ เช่น คนที่มีพ่อแม่ใบหน้าอ้วนกลม ลูกก็จะมีไขมันที่บริเวณนี้มากทำให้ใบหน้าอ้วนกลมมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ ซึ่งไขมันในส่วนนี้จะเปลี่ยนแปลงตามน้ำหนักตัวน้อยมาก ดังนั้นบางคนมีใบหน้าที่กลมต่อให้ทำการลดน้ำหนักมากขนาดไหน ใบหน้าก็ยังคงกลมเช่นเดิม
การสะสมของไขมันทั้งสองแบบในบริเวณแก้มจะทำให้แก้มป่อง ส่งผลให้ลักษณะโดยรวมของรูปหน้าแลดูกลม แก้มยุ้ย จนรูปหน้าอ้วนกลมเป็นพระจันทร์เต็มดวง

2.แก้มตอบ ร่องแก้มลึก เนื่องจากมีเนื้อและไขมันที่บริเวณ แก้ม มีปริมาณที่น้อย ทำให้บริเวณแก้มมีการยุบลงไปคล้ายกับมีหลุมขนาดเล็กอยู่บนใบหน้าทั้งสองข้าง ทำให้รูปหน้าแลดูไม่สดใส โทรมไม่น่ามอง

3.แก้มเหี่ยวย่น เนื่องจากการเสื่อมของผิวหนังและชั้นไขมันที่บริเวณแก้มลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้แก้มเกิดการเหี่ยวย้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ใบหน้าแลดูแก่มีอายุสูง
จะพบว่าแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้ใบหน้าแลดูไม่น่ามอง ซึ่งการแก้ไขปัญหาแก้มเพื่อให้มีรูปหน้าตามต้องการมีวิธีการที่แตกต่างกัน

>> ฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่บทความนี้มีคำตอบ !

>> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

วิธีการแก้ปัญหารูปหน้าตามลักษณะของปัญหา

1.แก้มใหญ่จากไขมัน
ไขมันที่สะสมอยู่บริเวณ แก้ม สามารถทำการ ศัลยกรรม เพื่อลดขนาดได้ ตามความเหมาะสมซึ่งการศัลยกรรมมีดังนี้
1.1 การฉีดยาสลายไขมัน คือการใช้ยาที่มีคุณสมบัติในการสลายไขมันให้กลายเป็นของเหลว โดยกลไกการทำงานของตัวยา คือ ตัวยาจะมีคุณสมบัติเข้าไปทำลายชั้นผนังเซลล์ของไขมัน ( Fat cell wall) ให้เกิดแตกตัวออกจากกัน ทำให้ของเหลวที่อยู่ด้านในเซลล์ไหลของมาในรูปของของเหลวหรือไขมันเหลว ( Lipid Fat ) ซึ่งไขมันเหลวนี้ร่างกายจะทำการขับออกทางเหงื่อ ปัสสาวะและทางอุจจาระนั่นเอง วิธีการฉีดยาสลายไขมัน แพทย์จะทำการฉีดสารดังกล่าวไปยังบริเวณที่ต้องการลดปริมาณของไขมันด้วยเข็มฉีดยา เรียกเทคนิคนี้ว่า “เมโสเธอราพี (Mesotherapy)” ซึ่งตัวยาที่นิยมนำมาใช้ในการฉีดเพื่อสลายไขมัน เช่น Carboxytherapy, Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids ,Minerals เป็นต้น

1.2 การเลเซอร์สลายไขมัน ( Laser Lipolysis )
เป็นการสลายไขมันด้วยการฉายแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,444 นาโนเมตร โดยการนำท่อเลเซอร์ขนาดเล็ก ๆ ที่มีขนาดประมาณ 1 นาโนเมตรเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน แล้วจึงทำการปล่อยแสงเลเซอร์เข้าไปสู่บริเวณไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ไขมันเกิดการสลายตัวกลายเป็นของไขมันเหลว เมื่อไขมันกลายเป็นของเหลวแล้ว แพทย์จะทำการดูดไขมันเหลวออกมาหรือไม่ทำการดูดออกมาแต่ให้ร่างกายค่อย ๆ ทำการขับออกมาเองตามธรรมชาติก็ได้ การใช้เลเซอร์สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินที่บริเวณใต้กระพุงแก้มได้อย่างถาวร และไม่ทำให้ผิวหนังเป็นคลื่นในบริเวณทำการสลายไขมันไปอีกด้วย
1.3 การผ่าตัดไขมันใต้กระพุ้งแก้ม ( Buccal Fat Pad Removal )
การผ่าตัดไขมันเพื่อลดขนาดของ แก้ม นับเป็นการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีไขมันใต้กระพุงแก้ม ( Buccal Fat ) ในปริมาณสูง ซึ่งการผ่าตัดจะนำถุงไขมันที่อยู่ในบริเวณใต้กระพุงแก้มออกมา ทำให้กระพุงแก้มมีขนาดที่เล็กลง จึงสามารถเปลี่ยนจากใบหน้ารูปกลมโตให้กลายเป็นใบหน้ารูปตัววีได้ โดยการผ่าตัดจะทำการผ่าตัดเปิดแผลที่ขนาดประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรในบริเวณฟันกรามที่ภายในช่องปาก เพื่อนำถุงไขมันที่อยู่ใต้กล้ามเนื้อกระพุงแก้มออกมา แล้วจึงทำการเย็บแผล หลังจากที่ทำการผ่าตัดช่วงแรกใบหน้าอาจจะมีการบวมเล็กน้อย ควรทำการประคบเย็นทันทีหลังการผ่าตัด และหลังจากผ่าตัดประมาณ 1-2 เดือน รูปหน้าก็จะเข้าสู่สภาวะปกติ การผ่าตัดนำไขมันกระพุงแก้มเป็นการทำให้แก้มมีขนาดลดลง และใบหน้าเป็นรูปตัววีได้อย่างถาวร เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันใต้กระพุงแก้มเนื่องจากพันธุกรรม

การ ศัลยกรรม เพื่อลดขนาดของไขมันที่บริเวณใต้กระพุงแก้ม เมื่อนำไขมันออกมาแล้วจัดเป็นการศัลยกรรมที่ช่วยให้รูปหน้าเรียวอย่างถาวร แต่การลดปริมาณไขมันใต้ผิวหนังเป็นการขจัดไขมันแบบชั่วคราวเท่านั้น เพราะว่าไขมันที่บริเวณใต้ผิวหนังสามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากการรับประทานอาหาร เช่น แป้ง น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น ซึ่งสามารถสังเกตได้จากเมื่อมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น รูปหน้าจะเปลี่ยนเป็นกลมโตขึ้น แต่เมื่อน้ำหนักลดลงรูปหน้าก็จะเล็กลงตามไปด้วยนั่นเอง

การยกกระชับแก้มจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งตัวจนริ้วรอยหรือร่องแก้มที่ลึกคลายตัว และช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อให้ตึงทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นและร่องแก้มลดลง

2.แก้มตอบ ร่องแก้มลึก
ปัญหา แก้ม ตอบหรือร่องแก้มลึก จะส่งผลให้ใบหน้าแลดูโทรม หน้าแก่กว่าวัย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของใครหลายคน ซึ่งการแก้ไขปัญหาแก้มตอบหรือร่องแก้มลึก สามารถทำได้ดังนี้ 
2.1 การฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
ฟิลเลอร์หรือสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (HA) ที่จัดเป็นสารเติมเต็มที่ช่วยแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึกหรือแก้มตอบ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่บริเวณแก้ม แล้วฟิลเลอร์จะทำการรวมกับน้ำและเก็บกักน้ำไว้ ทำให้แก้มเพื่อเติมเต็มร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าแลดูอวบอิ่ม ผิวเรียบเนียน ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ควรเลือกฉีดแบบชั่วคราวหรือกึ่งถาวร เพราะสามารถเพิ่มและปรับเปลี่ยนลักษณะของแก้มให้เหมาะกับช่วงอายุได้ตลอดเวลา การฉีดฟิลเลอร์เหมาะสำหรับแก้มทที่ตอบไม่มากหรือร่องแก้มตื้น ๆ หรือคนที่ผอมไม่มีไขมันเพียงพอในการนำมาฉีดเติมเต็ม

2.2 การฉีดไขมัน ( Lipofilling )
การฉีดไขมันสามารถช่วยแก้ไขปัญหา แก้ม ตอบหรือร่องลึกได้ ด้วยการนำไขมันจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา เป็นต้น มาผ่านกรรมวิธีเตรียมไขมันให้เหลือเฉพาะไขมันที่สามารถนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกายได้เท่านั้น แล้วจึงนำไขมันดังกล่าวมาฉีดเข้าสู่บริเวณแก้ม ทำให้แก้มมีความเอิบอิ่ม ใบหน้าแลดูสดใส อ่อนเยาว์ ซึ่งการฉีดไขมันผิวหนังทีแก้มจะเรียบเนียนไม่เป็นผิวส้มอย่างแน่นอน และไม่มีการเกิดอาการแพ้หรืออาการข้างเคียงที่เกิดจากร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอม เนื่องจากไขมันที่นำมาฉีดเป็นไขมันที่มาจากร่างกายของเรานั่นเอง การฉีดไขมันเหมาะสำหรับผู้ที่ไขมันเพียงพอกับขนาดของร่องลึกบนแก้ม เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงได้เป็น
2.3 การศัลยกรรมเสริมแก้มเทียม
การ ศัลยกรรม เสริม แก้ม ด้วยการใช้แก้มเทียมเป็นการศัลยกรรมที่สามารถแก้ไขปัญหาแก้มตอบหรือร่องลึกได้อย่างถาวร ซึ่งแก้มเทียมที่นิยมใช้จะทำจากวัสดุที่มีความทนทานและเหมาะสม เช่น ซิลิโคน กระดูกของตัวผู้เข้ารับการศัลยกรรม เช่น กระดูกสะโพก กระดูกหน้าอก เป็นต้น โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลที่ภายในช่องปาก ที่บริเวณเหงือกด้านบนของฟันบนที่เชื่อมกับบริเวณของแก้ม แล้วจึงทำการสอดแก้มเทียมเข้าสู่บริเวณแก้มที่ต้องการเสริม แล้วจึงเย็บปิดแผล

3.แก้มเหี่ยวย่น
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวเริ่มมีความเสื่อมส่งผลให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื่นและเหี่ยวย่นมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มี แก้ม ป่องหรือมีเนื้อที่แก้มมาก เมื่อมีอายุมากขึ้นแก้มจะเกิดการหย่อนคล้อย ซึ่งสามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นได้ดังนี้
3.1 การฉีดโบท็อก ( Botulinum toxin )
การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) เพื่อยกกระชับแก้มให้เต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย โดยโบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อที่เกิดการหดเกร็งตัวจนเกิดเป็นริ้วรอยหรือร่องแก้มที่ลึกเกิดการคลายตัว และช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อที่มีการหย่อนคล้อยให้เกิดการตึงกระชับจึงสามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นและร่องแก้มได้ เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นเพียงเล็กน้อย
3.2 การใช้เลเซอร์ ( LASER )
การใช้เลเซอรร์สามารถช่วยยกกระชับแก้มให้เต่งตึงได้ เพราะเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ใต้ผิวหนังให้เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหน้ามีปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวที่บริเวณแก้มเพิ่มขึ้น จึงทำให้แก้มแต่งตึง เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเพียงเล็กน้อยเพราะการฉายแสงเลเซอร์จะช่วยให้ริ้วรอยดังกล่าวหายได้

3.3 การร้อยไหม ( Threadlift )
คือการยกกระชับด้วยการร้อยไหม เพราะไหมที่ร้อยเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณ แก้ม จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้แก้มมีความเต่งตึงจึงสามารถช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
3.4การผ่าตัดเพื่อยกกรับ ( Facelift )
การผ่าตัดเป็นการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือความหย่อนคล้อยของแก้มที่ได้ผลมากที่สุด โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อดึงหน้าให้ตึงและตัดผิวหนังส่วนเกินที่ทำให้เกิดความหย่อนคล้อยออกไป แล้วจึงทำการเย็บปิดแผล ซึ่งแผลจะอยู่บริเวณไรผมหรือหลังหู ซึ่งสังเกตเห็นได้ยาก โดยเหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้าเหี่ยวย่นมาก ๆ หรือมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เพราะผิวหนังมีความเสื่อมสูงแล้ว อัตราการเปลี่ยนแปลงของผิวน้อย ดังนั้นเมื่อทำการผ่าตัดแล้วผลการดึงจะทำให้แก้มเต่งตึงได้เป็นระยะเวลานานขึ้นนั่นเอง

จะพบว่า ศัลยกรรม แก้ม มีอยู่ด้วยกันหลายแบบเพื่อสร้างรูปหน้าที่สวยงาม ซึ่งการจะเลือกใช้วิธีการศัลยกรรมแบบใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ เพราะนอกจากปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วยังต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้เข้ารับการศัลยกรรมอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Tessier, P. (September 1979). “Facelifting and frontal rhytidectomy”. Transactions of 7th international conference on Plastic and Reconstructive Surgery.

Skoog, Tord Gustav (1974). Plastic Surgery: New Methods and Refinements. Saunders. p. 500. ISBN 978-0721683553.

Mitz, V.; Peyronie M. (July 1976). “The superficial musculo-aponeurotic system (SMAS) in the parotid and cheek area”. Plast Reconstr Surg. 1. 58 (1): 80–8. 

การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม

0
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม
การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมที่ถูกต้อง สามารถช่วยให้แผลที่เกิดขึ้นหลังการทำศัลยกรรมหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม
การประคบเย็น คือ การประคบด้วยความเย็นจัดหลังจากที่ทำการศัลยกรรมมาทันที เพราะความเย็นจะเข้าไปทำให้เส้นเลือดหดตัว และเแข็งตัวทำให้ไหลเลือดช้าลด

ศัลยกรรม

ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรม เพื่อเสริมความงามเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มของผู้หญิง ผู้ชายและเพศที่สามต่างให้ความสนใจและเข้ารับการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรมปาก ศัลยกรรมจมูก ศัลยกรรมคิ้ว ศัลยกรรมคาง การทำศัลยกรรมเปลี่ยนรูปทรงทั้งใบหน้าหรือการทำศัลยกรรมตามอวัยวะส่วน ๆ ต่างของร่างกายให้มีรูปทรงตามที่ต้องการ สามารถสร้างความมั่นใจ สร้างบุคลิกภาพที่ดี เป็นการเปิดโอกาสทางด้านสังคม การงานและอาชีพให้กับตนเองได้ ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมเราควรที่จะทำการศึกษาข้อมูล เลือกวิธีการทำศัลยกรรม สถานที่ทำศัลยกรรมและแพทย์ผู้ให้การบริการในการทำศัลยกรรมให้ดี เพื่อที่ผลของการศัลยกรรมที่ออกมาตามที่ตนเองต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยให้ผลของการศัลยกรรมออกมาดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรม

การเตรียมตัวก่อนทำ ศัลยกรรม ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมที่จะรับการผ่าตัดหรือการศัลยกรรมที่เกิดขึ้น ลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่ทำการศัลยกรรม แต่การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมที่ถูกต้อง สามารถช่วยให้แผลที่เกิดขึ้นหลังการทำศัลยกรรมหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เกิดการอักเสบ แผลฉีกขาดหรือเกิดรอยแผลเป็นที่สังเกตเห็นชัดเจน แต่ถ้าทำการดูแลตนเองหลังจากการทำศัลยกรรมไม่ถูกต้องเหมาะสมแล้วย่อมทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนขึ้นหลังจากการทำศัลยกรรมได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยย่อมส่งผลเพียงแค่ทำให้แผลที่เกิดขึ้นหายช้าต้องอาศัยเวลาในการผักฟื้นนานขึ้น แต่ถ้าผิดพลาดอย่างมากอาการแทรกซ้อนหลังการทำศัลยกรรมย่อมมีความรุนแรงถึงขนาดต้องทำการศัลยกรรมซ้ำอีกครั้งเพื่อตกแต่งหรือปรับปรุงการศัลยกรรมให้ดีขึ้น หรืออาจร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นการดูแลตัวเองหลังการศัลยกรรมจึงมีความสำคัญมาก

การดูแลตัวเองหลังจากศัลยกรรม

1.การประคบเย็น (Cold compression)
การประคบเย็น คือ การประคบด้วยความเย็นจัด ซึ่งการประคบเย็นควรเริ่มทำหลังจากที่ทำการ ศัลยกรรม มาทันที เพราะความเย็นจากการประคบเย็นจะเข้าไปทำให้เส้นเลือดที่บริเวณดังกล่าวเกิดการหดตัว และเลือดมีการแข็งตัวทำให้ไหลช้าลด จึงสามารถช่วยลดการไหลของเลือดที่บริเวณที่เกิดแผล และยังช่วยลดอาการบวมเนื่องจากเลือดไหลไปยังบริเวณแผลได้น้อย จึงทำให้อาการอักเสบของเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวเกิดขึ้นน้อยลงนั่นเอง ผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวจึงมีอาการบวมน้อย สามารถฟื้นตัวได้เร็ว การศัลยกรรมที่เกิดขึ้นก็จะได้รูปทรงตามที่ต้องการ
วิธีการประคบเย็น เริ่มจากนำอุปกรณ์ให้ความเย็น เช่น ผ้ามาห่อน้ำแข็ง เย็น (Hot cold pack) กระเป๋าน้ำเย็น ผ้าเย็น เป็นต้น นำอุปกรณ์มาประคบที่บริเวณทำศัลยกรรม เช่น คาง แก้ม จมูก เต้านม เป็นต้น การประคบเย็นควรประคบในช่วง 3 วันแรกหรือจนอาการบวมเริ่มลดลง โดยให้ทำการประคบวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10-20 นาที และในระหว่างที่ทำการประคบเย็นถ้าอุณหภูมิของเริ่มอุ่นขึ้นก็ควรทำการเปลี่ยนให้มีความเย็นคงที่ในการประคบเย็น เพื่อความเย็นจะได้คงที่และได้ผลเต็มที่

2. การประคบร้อน (Warm compression)
การประคบร้อน คือ การประคบด้วยอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียสแต่ไม่เกิน 45 องสาเซลเซียส เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือเป็นแผลผุพองได้ การประคบร้อนจะประคบหลังจากทำ ศัลยกรรม ประมาณ 4-5 วันหรือหลังจากทำการประคบเย็นแล้วจนแผลและบริเวณทำการศัลยกรรมมีอาการบวมน้อยลง ความร้อนจากการประคบร้อนจะเข้าไปทำการขยายหลอดเลือดส่งผลให้เลือดสามารถหมุนเวียนได้ดีขึ้น ช่วยคลายกล้ามเนื้อ เส้นประสาทและเนื้อเยื่อที่บริเวณทำการศัลยกรรม เมื่อเส้นเลือดมีการขยายตัวเลือดจึงสามารถนำสารอาหารและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อที่บริเวณแผล ทำให้เนื้อเยื่อที่มีการซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น แผลจึงหายกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์ประคบร้อน เช่น ถุงน้ำร้อน กระเป๋าน้ำร้อน เป็นต้น นำไปประคบที่บริเวณทำศัลยกรรมควรทำวันละ 2-3 รอบ โดยประคบรอบละประมาณ 20 นาทีต่อครั้ง โดยแบ่งประคบเป็นครั้ง ๆ ละ 5 – 10 นาที อย่าทำการประคบร้อนต่อเนื่อง 20 นาที เพราะความร้อนจะทำให้ผิวหนังเกิดผุพองได้

3.รับประทานอาหารอ่อน
อาหารสำหรับผู้ที่ทำการ ศัลยกรรม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีรสชาติอ่อนไม่เผ็ด ไม่เค็มหรือหวานจัด และควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ต้องทำการเคลื่อนไหวอวัยวะภายในปากมาก เช่น ต้มจืด โจ๊ก ข้าวต้ม น้ำซุป เป็นต้น เพื่อป้องกันการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการเคี้ยวหรือการกระทบกันของฟันจะทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นแรงสะเทือนจนเกิดการอักเสบ หรืออาหารรสจัดโดยเฉพาะรสเผ็ดจัดจะทำให้แผลเกิดความร้อนจากรสเผ็ดจะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลจากการผ่าตัดมีโอกาสที่จะบวมมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ทำการศัลยกรรมคาง ปาก จมูกที่มีการเปิดแผลภายในปากจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอีกด้วย เพราะแผลในปากมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้มาก เนื่องจากมีความชื้นและต้องสัมผัสกับน้ำลาย อาหารอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

4.นอนให้หัวสูง
ท่านอนที่เหมาะสมกับผู้ที่เข้ารับการ ศัลยกรรม ที่บริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น ใบหน้า คาง คิ้ว เต้านม เป็นต้น ควรนอนให้ศีรษะสูงกว่าส่วนของลำตัวหรือจะนั่งหลับก็ดี เนื่องจากการนอนให้ศีรษะสูงกว่าลำตัวเป็นทำให้เลือดมีการสูบฉีดขึ้นไปยังบริเวณที่ทำการศัลยกรรมได้น้อยลง จึงสามารถช่วยลดอาการบวมให้น้อยลงได้ แต่ถ้านอนราบกับพื้นเลือดจะไหลเข้าสู่บริเวณศีรษะมากขึ้น ทำให้แผลมีอาการบวมมากขึ้น

5.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์จะเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปทั่วร่างกาย ซึ่งทำให้เลือดไหลเข้าสู่บริเวณแผลของการ ศัลยกรรม ทำให้เกิดการบวมเพิ่มขึ้น ดังนั้นหลังจากทำศัลยกรรมควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จนกว่าจะแผลจะหายบวมและปากแผลปิดสนิท

6.งดสูบบุหรี่
สำหรับคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำอยู่แล้ว ควรงดสูบบุหรี่หลังการทำ ศัลยกรรม อย่างน้อย 7 วัน เพราะในบุหรี่มีสารนิโคติน ( Nicotine ) ที่สามารถซึมผ่านทางเนื้อเยื่อผิวหนังเข้าสู่ภายในร่างกายและออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยสารนิดคตินจะทำการกระตุ้นตัวรับสารสื่อประสาทแอเซทิลโคลีนแบบนิโคตินิก ( Nicotinic acetylcholine receptors ) ให้มีการหลั่งของฮอร์โมนอะดรีนาลีน ( Adrenaline ) ในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของหัวใจทำให้หัวใจมีอัตราการเต้นสูงขึ้น จึงทำให้เลือดเกิดการไหลเวียนไปยังบริเวณที่ทำการศัลยกรรม ส่งผลให้เกิดอาการบวมและมีความเสี่ยงในการอักเสบมากขึ้นจากสารพิษที่อยู่ในบุหรี่อีกด้วย

7.ล้างแผลแต่พอดี
แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดเพื่อทำ ศัลยกรรม ความล้างด้วยน้ำเกลือและเช็ดแผลให้แห้งสนิท แล้วทาด้วยยาเบตาดีนหรือยาทาแผลที่แพทย์จ่ายยามาให้ ห้ามให้แผลเปียกหรือโดนน้ำเป็นเวลานานจนกว่าแผลจะแห้งสนิทแล้ว เพราะถ้าน้ำโดนแผลจะทำให้เนื้อเยื่อรอบ ๆ บริเวณปากแผลเกิดการเปื่อยยุ่ยและตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้ำที่โดนแผลมีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกปนเปื้อนอยู่ เชื้อโรคจะเข้าไปทำจับตัวกับเซลล์ผิวหนังทำให้เซลล์ผิวหนังได้รับออกซิเจนและสารอาหารได้น้อย ส่งผลให้กระบวนการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ที่ทำให้แผลเกิดการประสาทตัวช้าจึงทำให้แผลหายช้า และมีความเสี่ยงในการติดเชื้อในกระแสเลือดหากเชื้อโรคมีการแพร่กระจายเข้าสู่เส้นเลือดซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

8.ทานยาตามกำหนด
หลังจากที่ทำการ ศัลยกรรม แพทย์จะให้ยารับประทานเพื่อลดอาการอักเสบ ลดบวมแก่ผู้เข้ารับการศัลยกรรม ดังนั้นให้ผู้ทำศัลยกรรมรับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดมาจนหมด เพราะการรับประทานยาตามกำหนดจะช่วยให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ อาการบวม การต่อต้านสิ่งแลปกปลอมของร่างกาย หรือการเคลื่อนของวัสดุที่ใส่เข้าไป ทำให้ผลการศัลยกรรมออกมาสวยตรงตามความต้องการของคนไข้ และควรไปตามนัดที่แพทย์กำหนดมาทุกครั้ง เพื่อที่แพทย์จะได้ติดตามผลการศัลยกรรม หรือเมื่อเกิดความผดปกติ เช่น แผลบวมมาก มีหนอง หรือวัสดุเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่ต้องการ ควรรีบไปพบแพทย์ในทันที เพื่อให้แพทย์ทำการแก้ไขและรักษา อย่าทำการแก้ไขด้วยตนเองหรือหาซื้อยากินเองอย่างเด็ดขาด

นี่คือข้อปฏิบัติหลังจากการทำการ ศัลยกรรม ข้อปฏิบัติแต่ละข้อนั้นปฏิบัติได้ง่ายและต้องต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรมมีความจำเป็นที่ผู้เข้ารับการศัลยกรรม เพราะถ้าปฏิบัติตนไม่ดีแล้วย่อมทำให้แผลหายช้าต้องอาศัยเวลาในการพักฟื้นนานกว่าปกติ และยังมีความเสี่ยงในการติดเชื้ออีกด้วย แต่รับรองได้ว่าเมื่อปฏิบัติตามแล้วผลการศัลยกรรมที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้คุณสวยสมใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

McQueen KA, Ozgediz D, Riviello R, Hsia RY, Jayaraman S, Sullivan SR, et al. Essential surgery: Integral to the right to health. Health and human rights. 2010 Jun 15;12(1):137-52. PubMed PMID 20930260. Epub 2010/10/12. eng

UN General Assembly. International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights- United Nations Treaty Series. In: Nations U, editor. 1966.

UN Committee on Economic Social and Cultural Rights. CESCR General Comment No. 14: The Right to the Highest Attainable Standard of Health (Art. 12) 2000.

การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง อ่านจบได้ข้อมูลเพิ่มเติมแน่นอน

0
การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง
หลักการเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าการทำศัลยกรรมเพียงเล็กน้อยหรือต้องมีการผ่าตัดเล็ก ล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกายทั้งสิ้น
การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง
คลินิกศัลยกรรมที่เหมาะสมจึงต้องมีใบอนุญาตประกอบการ จากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการยืนยันว่าคลินิกมีคุณสมบัติตรงตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้

คลินิกศัลยกรรม

การทำศัลยกรรมที่ดีสามารถสร้างโอกาสให้กับตนเอง ทั้งทางด้านสังคมและจิตใจ แต่หลายครั้งที่พบว่าการทำศัลยกรรมที่เกิดขึ้นในสถานที่บริการหรือ คลินิกศัลยกรรม บางแห่ง แทนที่จะสร้างความสวยงามให้กับผู้เข้ารับการศัลยกรรมกลับสร้างความเสียหาย ส่งผลให้ต้องสูญเสียความงามตามธรรมชาติ สูญเสียเวลา สูญเสียเงินทองเป็นจำนวนมาก และบางครั้งอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิตก็มี

ปัจจัยที่มีส่วนในการทำศัลยกรรมให้ประสบผลสำเร็จ

1.ความพร้อมของร่างกายในการเข้ารับการผ่าตัด เช่น อายุ สุขภาพ เป็นต้น
2.ความชำนาญและประสบการของแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรม
3.สถานที่ในการทำศัลยกรรม
ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวถึงการเลือก คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมกับตนเอง เพราะปัจจุบันนี้มีสถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการทำศัลยกรรมเกิดขึ้นมากมาย แต่ละคลินิกก็มีการโฆษณาและจัดโปรโมชั่นเพื่อเรียกลูกค้า แล้วหลักในการเลือกว่าจะเข้ารับการทำศัลยกรรมกับคลินิกมีดังนี้

หลักในการเลือกเข้ารับการทำศัลยกรรมกับคลินิก

1.มีใบอนุญาตประกอบการ
คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมต้องมีใบอนุญาตประกอบการ จากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการยืนยันว่าคลินิกมีคุณสมบัติตรงตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นว่าคลินิกดังกล่าวมีความพร้อมในการให้บริการ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม ซึ่งการตรวจสอบว่าคลินิกดังกล่าวเป็นคลินิกที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยการนำชื่อคลินิกและเลขใบอนุญาต 11 หลักที่เขียนอยู่ในใบอนุญาตประกอบการ มาตรวจสอบที่เว็บไซต์ http://privatehospital.hss.moph.go.th หรือติดต่อไปที่หมายเลข 02-1937000 กับ 02-1937999 ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เปิดให้บริการว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
นอกจากการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบแล้ว ควรสังเกตลักษณะโดยทั่วไปของคลินิกด้วย ซึ่งลักษณะของคลินิกศัลยกรรมที่ดี ต้องมีที่ตั้งชัดเจน พื้นที่ภายในห้องตรวจ ห้องผ่าตัด หรือพื้นที่โดยรวมต้องสะอาด อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องที่ใช้ในการตรวจ การผ่าตัดสะอาด มีการฆ่าเชื้อและการดูแลอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน รวมถึงต้องมีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการกู้ชีพ ตรวจวัดสภาพความพร้อมของคนไข้ก่อนเข้ารับการศัลยกรรม ในขณะที่ทำที่ทำการศัลยกรรมและหลังการทำศัลยกรรม เช่น อุปกรณ์วัดความดันโลหิต อุปกรณ์ตรวจสอบคลื่นหัวใจ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนและช่วยเหลือคนไข้ในยามฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

2.ศัลยแพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ศัลยแพทย์ที่ทำหน้าการผ่าตัดศัลยกรรมต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากสภาวิชาชีพของแพทย์หรือ “แพทยสภา” ซึ่งแพทย์ที่ทำการรักษาหรือทำการศัลยกรรมทุกคนต้องผ่านกระบวนการ การประเมินความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ขั้นพื้นฐาน การประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแพทย์คลินิก การประเมินทางด้านทักษะและทางด้านหัตถการทางคลินิก ก่อนที่ทางสภาวิชาชีพของแพทย์จะทำการออกใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้กับแพทย์ท่านนั้น ดังนั้นใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจึงเป็นใบที่สามารถยืนยันว่าแพทย์มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำการรักษาคนไข้ได้ ซึ่งในใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะระบุชื่อ นามสกุล รูปแพทย์และหมายเลขของใบประกอบโรคศิลป์ของแพทย์ที่ทำการรักษา ซึ่งส่วนมากแล้วทุก คลินิกศัลยกรรม จะทำการติดใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ไว้ที่หน้าห้องหรือหน้าคลินิก แต่ถ้าไม่มีติดไว้เราสามารถขอดูใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ได้ และนำหมายเลขใบประกอบวิชาชีพดังกล่าวไปตรวจสอบว่าเป็นเอกสารจริงหรือปลอมได้ที่เว็บไซต์ http://www.tmc.or.th/check_md เพื่อความมั่นใจได้

3.ตรวจสอบยี่ห้อหรือวัสดุที่ใช้ในการทำศัลยกรรม
การศัลยกรรมที่จำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมเข้าไปในร่างกาย เช่น การเสริมจมูก การเสริมเต้านม การเสริมหน้าผาก การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) การฉีดโบท็อก (Botox) ก่อนที่จะทำศัลยกรรม ควรทำการตรวจสอบยี่ห้อของวัสดุที่นำใช้ว่าได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจากกระทรวงอาหารและยา (อย.) หรือไม่ โดยการนำชื่อยี่ห้อของวัสดุดังกล่าวไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/Dserch.asp เนื่องจากการได้รับรองจากกระทรวงอาหารและยาเป็นการยืนยันเบื้องต้นได้ว่าวัสดุดังกล่าวไม่เป็นอันตรายหรือมีพิษต่อร่างกาย จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน การติดเชื้อหรือการแพ้ นอกจากนั้นการทราบยี่ห้อของวัสดุที่นำมาใช้ ยังทำให้เราทราบว่าวัสดุดังกล่าวมีองค์ประกอบหรือผลิตจากวัสดุใด ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้สารที่มีอยู่ในวัสดุดังกล่าวได้

4.ราคาที่เหมาะ
สินค้าทุกชนิดจะมีราคามาตรฐานอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะซื้อสินค้าในปริมาณที่มากขนาดไหน ราคาของสินค้าดังกล่าวถ้ามีคุณภาพจริงก็จะไม่ถูกลงเกินครึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นการเลือกใช้บริการคลินิกเพื่อเข้ารับการศัลยกรรมไม่ควรเลือกที่มีราคาถูกเกินไป เพราะบางครั้งราคาก็สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของวัสดุ บริการและแพทย์ที่นำมาให้บริการศัลยกรรมจากคลินิกนำมาใช้ได้ จึงควรเลือกใช้บริการ คลินิกศัลยกรรม ที่มีราคาสมเหตุสมผลไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป และอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อ หรือโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมที่ทางคลินิกจัดไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แต่ให้เน้นเรื่องคุณภาพของวัสดุ ขั้นตอนการทำงานของแพทย์และแพทย์ผู้ให้บริการในการทำการศัลยกรรมมากกว่าว่าคุ้มค่ากับบริการและผลของการศัลยกรรมที่ได้รับหรือไม่ แต่ก็ไม่เลือกที่ราคาสูเกินความจริงด้วยคิดว่าของแพง คือ ของดี เพราะบางคลินิกทำการตั้งราคาที่สูงมาก และทำการโฆษณาว่าวัสดุที่ใช้เป็นของดี จนผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมหลงเชื่อและไม่ยอมตรวจสอบให้ดีก่อน

5.พบแพทย์ก่อนเข้ารับการทำศัลยกรรม
การเข้ารับบริการศัลยกรรมใน คลินิกศัลยกรรม บางแห่งผู้เข้ารับการศัลยกรรมทำการคุยผ่านนายหน้าหรือเจ้าหน้าที่ให้บริการหน้าเท่านั้น เพื่อทำความเข้าใจและระบุความต้องการของคนไข้ว่าต้องการทำศัลยกรรมอวัยวะส่วนใด และต้องการให้มีรูปร่างลักษณะอย่างไร โดยที่คนไข้ไม่ได้เข้าพบแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรมผู้ทำการศัลยกรรมด้วยตนเองงหรือทำการพูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจทำให้แพทย์เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทำให้ผลของการศัลยกรรมที่ออกมาไม่ตรงตามที่ต้องการ ดังนั้นก่อนที่ผู้เข้ารับการศัลยกรรมจะทำการศัลยกรรมทุกครั้งต้องเข้าไปพูดคุยกับแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมก่อนทุกครั้ง เพื่อทำการปรึกษา แจ้งจุดประสงค์ ตำแหน่งและลักษณะรูปทรงทีต้องการจากการทำศัลยกรรมและเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองสงสัยอย่างละเอียด เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมจากการสื่อสารผ่านบุคคลอื่น และอีกอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ คือเมื่อต้องเข้ารับการทำศัลยกรรมควรเป็นทำการผ่าตัดด้วยแพทย์คนเดิมที่ได้พูดคุยและตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก ไม่ควรคุยกับแพทย์ท่านหนึ่งแล้ว ทำการผ่าตัดศัลยกรรมกับแพทย์อีกท่าน โดยที่ทาง คลินิกศัลยกรรม ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเพื่อให้เราทำการพูดคุยกับแพทย์คนดังกล่าวก่อน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการศัลยกรรมนั่นเอง

6.แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ
แพทย์ผู้ให้บริการควรเลือกเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการทำศัลยกรรมตรงตามอวัยวะที่เราต้องการทำศัลยกรรม เพราะว่าแพทย์แต่ละท่านจะมีความเชี่ยวชาญในการศัลยกรรมแต่ละตำแหน่งไม่เหมือนกัน บางท่านเชี่ยวชาญในการเสริมจมูก บางท่านเชี่ยวชาญในการศัลยกรรมคิ้ว ซึ่งความเชี่ยวชาญจะทำให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาทำให้เมื่อศัลยกรรมออกมาสมดุล เหมาะสมกับใบหน้าของเรา ทำให้ใบหน้าโดดเด่นน่ามองมากยิ่งขึ้น โดยการเลือกแพทย์ในยุคปัจจุบันสามารถดูได้จากผลงานที่ผ่าน และควรฟังจากปากผู้ที่เคยเข้ารับบริการจากแพทย์และคลินิก แต่อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาของพรีเซนเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแบรนด์ของ คลินิกศัลยกรรม ดังกล่าวเท่านั้น
นอกจากนั้นการคุยกับแพทย์สามารถช่วยเพิ่มความเข้าใจระหว่างแพทย์กับคนไข้ถึงจุดประสงค์ในการศัลยกรรมแล้ว ยังทำให้เราทราบถึงทัศนคติและความรู้เบื้องต้นของแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้กับเราด้วย ดังนั้นก่อนที่จะทำการพบแพทย์เราควรหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการศัลยกรรมที่ต้องการทำไว้ก่อน เพื่อที่จะไม่โดนหลอกจากมิจฉาชีพบางคนที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์แต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงคนที่เคยทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์มาก่อนเท่านั้น

นี่คือหลักการเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าการทำศัลยกรรมที่ต้องการจะเป็นการศัลยกรรมเพียงเล็กน้อยหรือการศัลยกรรมที่ต้องมีการผ่าตัดเล็ก ล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องทำการเลือกคลินิกที่ดีและปลอดภัยในการทำศัลยกรรม เพราะหากเกิดความผิดพลาดอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อทราบถึงวิธีการเลือก คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมกับตนเองแล้ว การศัลยกรรมครั้งต่อไปจะช่วยเสริมให้คุณมีเรือนร่างหรือใบหน้าที่สวยงามขึ้นอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

https://kellyplasticsurgery.com/ Miller, M (2005). “What is body dysmorphic disorder?”. Harvard Mental Health Letter. 22: 8. Canning, Andrea (20 July 2009). “Woman’s DIY Plastic Surgery ‘Nightmare'”. ABC News.

Veale, D. Veale D Body dysmorphic disorder Postgraduate Medical Journal 2004;80:67-71, available online from: http://pmj.bmj.com/content/80/940/67

https://misscafebeauty.com/

การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ ไม่ควรพลาดที่จะอ่าน

0
การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ
การทำศัลยกรรมสามารถหรือภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูโดดเด่น สร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง
การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ
การทำศัลยกรรม นับเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ

การทำศัลยกรรม

ปัจจุบันนี้ การทำศัลยกรรม นับเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ เนื่องจากการทำศัลยกรรมสามารถเสริมบุคลิกภาพหรือภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูโดดเด่น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง 

ตามค่านิยมของสังคมปัจจุบันที่คนสวย คนหล่อจะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าคนที่ไม่สวยไม่หล่อ โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่ต้องการได้รับการยอมรับจากสังคม ต้องการให้คนส่วนมากให้ความสำคัญ การชมเชยหรือการชื่นชม จึงให้ความสนใจกับการศัลยกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งการศัลยกรรมใช่ว่าจะสามารถที่จะทำได้ทุกช่วงอายุ เพราะว่าการทำศัลยกรรมในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสมหรือทำในช่วงอายุที่อวัยวะยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่จะส่งผลเสียต่อร่างกาย คือ

ผลเสียจากการทำศัลยกรรมในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสม

1.อวัยวะเติบโตช้าลง
การทำศัลยกรรม ด้วยการผ่าตัดเสริมอวัยวะที่ต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในร่างกาย เช่น การเสริมจมูก การเสริมเต้านม เป็นต้น การวางวัสดุหรือการฉีดวัสดุเข้าไปเพื่อเสริมอวัยวะให้ดูใหญ่หรือสูงขึ้น วัสดุดังกล่าวจะไปกดทับเนื้อเยื่อและกระดูกบริเวณดังกล่าวทำให้เนื้อเยื่อและกระดูกมีการเจริญเติบโตทกว่าที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุ เมื่ออวัยวะเจริญเติบโตได้ช้าลงย่อมส่งผลให้ขนาดและรูปร่างของอวัยวะไม่สมดุลกับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายอีกด้วย เช่น การเสริมจมูกเมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี เมื่ออายุ 18 ปีซึ่งใบหน้าจะมีการเจริญเติบโตที่เต็มที่ ใบหน้าจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่จมูกกลับมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขนาดของใบหน้าทำให้จมูกแลดูมีขนาดที่เล็กแลดูไม่สมดุลและสวยงามนั่นเอง

>> ฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่บทความนี้มีคำตอบ !

>> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

2.รูปทรงไม่สวย
เนื่องจากอวัยวะของร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างต่อและเติบโตสูงสุดที่อายุประมาณ 18-20 ปี ซึ่งถ้าทำการศัลยกรรมก่อนที่ร่างกายจะมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ย่อมทำให้รูปทรงที่เกิดขึ้นจาก การทำศัลยกรรม มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะวัสดุที่ทำการเสริมเข้าไปไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตตามกระดูกหรือเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้รูปทรงที่ทำศัลยกรรมผิดจากที่ต้องการไป หรือการผ่าตัดกระดูกเพื่อดึงหรือปรับรูปทรงของใบหน้า เมื่อกระดูกเจริญเติบโตขึ้น รูปทรงของใบหน้าก็จะเปลี่ยนแปลงไม่เป็นรูปตามที่ได้กำหนดไว้ในครั้งแรกหลังการทำศัลยกรรม

3.เจ็บตัวซ้ำซ้อน
เมื่อศัลยกรรมที่ทำเกิดการผิดรูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตมากขึ้น ส่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ การทำศัลยกรรม ซ้ำเพื่อปรับปรุงรูปทรงของการศัลยกรรมให้เหมาะสมกับโครงสร้างของอวัยวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งบางครั้งการศัลยกรรมซ้ำ อาจจะไม่สามารถปรับปรุงให้อวัยวะกลับมาสวยงามหรือมีขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างได้ เหมือนในการทำศัลยกรรมครั้งแรก เพราะว่าอวัยวะดังกล่าวมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เนื่องจากการกดทับของวัสดุที่ใช้ทำการศัลยกรรมในครั้งแรกหรือกว่าจะสามารถทำให้อวัยวะกลับมาสวยงามตามที่ต้องการ ผู้ป่วยต้องทำการผ่าตัดหลายครั้งนำมาซึ่งความเจ็บปวดซ้ำซ้อน

4.เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น
การทำศัลยกรรม เพื่อแก้ไขมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำศัลยกรรมครั้งแรก เพราะว่าการแก้ไขจะต้องทำการนำวัสดุที่เสริมครั้งแรกออก แล้วจึงจะสามารถทำการใส่วัสดุใหม่เพื่อเสริมเข้าไปแทนที่ได้ ซึ่งบางครั้งเมื่อนำวัสดุเก่าออกแล้วจะไม่สามารถทำการเสริมหรือตกแต่งอวัยวะได้ในทันที ต้องทำการพักฟื้นเพื่อให้ร่างกายทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและกระดูกที่บริเวณดังกล่าวให้กลับสู่สภาวะปกติก่อน ทำให้ผู้เข้ารับการศัลยกรรมต้องทำการผ่าตัดอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ผ่าตัดนำออกและผ่าตัดนำเข้า ซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าหรือสามเท่าหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการผ่าตัด และระยะในการพักฟื้นก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น 2-3 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ
จะพบว่าการศัลยกรรมในช่วงวัยที่ไม่เหมาะสม คือ การศัลยกรรมในช่วงอายุที่อวัยวะของร่างกายมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่นั่นเอง ดังนั้นเมื่อต้องการทำศัลยกรรมควรเลือกทำตามช่วงวัยให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของอวัยวะดังกล่าว ซึ่งช่วงอายุที่เหมาะสมกับการทำศัลยกรรม โดยแบ่งตามอวัยวะของร่างกายดังนี้

การทำศัลยกรรม เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ เนื่องจากช่วยเสริมบุคลิกภาพหรือภาพลักษณ์ให้ดูโดดเด่น และสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง

ช่วงอายุที่เหมาะสมกับการทำศัลยกรรม 

1.กระดูกหน้าผาก ( Frontal bone )
ช่วงอายุสำหรับ การทำศัลยกรรม หน้าผากสามารถแบ่งได้ดังนี้
1.1การเสริมหน้าผาก ด้วยวัสดุเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่มีหน้าผากไม่เรียบเนียน หน้าผากแคบหรือหน้าผากมีลักษณะแบน การเสริมหน้าผากจะทำการเสริมวัสดุเข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งวัสดุที่นิยมนำมาใช้ เช่น ซีเมนต์เชื่อมกระดูก ( Bone cement ) ซิลิโคนแผ่น Gore- Tex ( e-PTFE ) เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ต้องการเสริมหน้าผากหน้าผากควรมีอายุประมาณ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะช่วงอายุดังกล่าวกระดูกหน้าผากจะมีการเจริญเติบโตที่เต็มที่แล้ว เมื่อทำการเสริมหน้าผากที่ช่วงอายุนี้จะทำให้ลักษณะของหน้าผากที่ได้จะมีรูปทรงที่คงที่
1.2 กรอหน้าผาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีลักษณะของสันโหนกคิ้วสูงมากหรือบริเวณหน้าผากบางส่วนมีความสูงมากจนทำให้หน้าผากมีผิวที่ไม่เรียบเนียน การกรอหน้าผากคือการกรอเอากระดูกส่วนที่เป็นผิวหน้าออกไปทำให้กระดูกส่วนที่นูนหรือสูงออกมาราบเนียน ซึ่งการกรอกระดูกควรทำให้ช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป
1.3 ดึงหน้าผากและการยกคิ้ว คือ การดึงเนื้อบริเวณหน้าผากให้ตึง จุดประสงค์เพื่อลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงอายุที่ทำการดึงหน้าผากควรมากกว่า 35 ปี เพราะช่วงอายุดังกล่าวผิวหนังที่บริเวณหน้าผากมีการเสื่อมสมภาพทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นชนิดถาวรขึ้น ซึ่งไม่สามารถรักษาด้วยการทาครีมได้ จึงจัดเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำการศัลยกรรมดึงหน้าผากและยกคิ้ว

2.การศัลยกรรมดวงตา (Eyelid Surgery)
ดวงตาและบริเวณรอบดวงตาจะมีขนาดที่เจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 17-18 ปี ซึ่งการศัลยกรรมดวงตา ไม่ว่าจะเป็นการทำตาสองชั้นด้วยการกรีด การเย็บชั้นหนักตา การเปิดหัวตาหรือหางตา การนำเนื้อหรือไขมันที่บริเวณหนังตาออกเพื่อให้สังเกตชั้นตาได้ชัดเจนขึ้น ควรทำหลังจากช่วงอายุ 18 ปี เนื่องจากทำแล้วดวงตาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดเพิ่มขึ้น จึงทำให้ลักษณะของ การทำศัลยกรรม ที่ทำมาสามารถสังเกตได้ชัดเจน ไม่จางลงหรือเนื้อที่เติบโตขึ้นเข้ามาบดบังชั้นหนังตานั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับถุงใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นกรณีถุงใต้ตาใหญ่ ถุงใต้ตาคล้ำเนื่องจากกรรมพันธุ์ควรทำการศัลยกรรมถุงใต้ตาเมื่อมีอายุมากกว่า 19 ปีหรือทำตอนอายุ 20 ปีจะดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ถุงใต้ตามีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว ถุงใต้ตาจะไม่สามารถเพิ่มขนาดขึ้นในภายหลัง
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของดวงตาก็คือ หนังตาตกหรือผิวหนังเกิดการเหี่ยวย่น สืบเนื่องมากจากอายุที่มากขึ้นทำให้กระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ของผิวหนังเกิดขึ้นน้อยลง ผิวหนังที่บริเวณหนังตาจึงหย่อนลงมาบังชั้นหนังหรือบางครั้งหย่อนลงมาบดบังการมองเห็นของดวงตา สามารถทำการศัลยกรรมเพื่อตัดส่วนของหนังตาที่หย่อนลงมาบดบังได้ ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่ง การทำศัลยกรรม อาจจะต้องทำอีกครั้งเมื่ออายุประมาณ 45-50 ปี เนื่องจากเซลล์ผิวหนังมีความเสื่อมเพิ่มขึ้น 

3.การศัลยกรรมจมูก ( Rhinoplasty )
การศัลยกรรมจมูกไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก ( Augmentation Rhinoplasty ) หรือการผ่าตัดเพื่อลดขนาดจมูก ( Reduction rhinoplasty ) สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่กระดูกโครงสร้างของจมูกมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ดังนั้นเมื่อทำ การทำศัลยกรรมจมูก รูปทรงและลักษณะของจมูกที่ทำไว้จะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการเจริญเติบโตของกระดูกและเนื้อเยื่อที่เพิ่มขึ้น จนทำให้เปลี่ยนขนาดวัสดุให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รูปทรงของจมูกมีลักษณะที่เหมาะสมกับใบหน้า

4.ศัลยกรรมปาก ( Lips Surgery )
การทำศัลยกรรมปาก คือ การผ่าตัดเพื่อปรับปรุงรูปร่างและลักษณะบางอย่างของปากให้เหมาะสมกับใบหน้าหรือตามความชื่นชอบของผู้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่ง การทำศัลยกรรม ปากที่พบได้บ่อย คือ การผ่าตัดริมฝีปากหนาให้มีลักษณะที่บางลง ( Lips Reduction ) การผ่าตัดยกริมฝีปากบน (Upper lips lift, Upper lips lift shortening) และการเสริมขนาดของริมฝีปาก (Lips Augmentation) ซึ่งเหมาะการศัลยกรรมริมฝีปากสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะขนาดของริมฝีปากมีขนาดที่เติบโตเต็มที่แล้ว ผลของการศัลยกรรมที่เกิดขึ้นจะทำให้รูปทรงของปากและลักษณะของริมฝีปากได้รูปที่สวยงาม

5. ศัลยกรรมคาง ( Chin Surgery )
คางเป็นอวัยวะที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกและเนื้อเยื่อเต็มที่เมื่ออายุ 18 ปี ดังนั้น การทำศัลยกรรม คาง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมคราง ( Chin Augmentation ) ด้วยวัสดุเพื่อเพิ่มขนาดและความยาวของคาง การตัดคาง ( Chin Reduction ) หรือการเลื่อนคาง (Chin Sliding) เพื่อลดขนาดและปรับรูปร่างของคางตามต้องการ ควรทำที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปจะดีที่สุด เพราะกระดูกจะไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ทำให้กระดูกไม่เกิดการเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่ทำศัลยกรรมไว้

6.การศัลยกรรมกราม ( Jaw surgery )
คนไทยส่วนมากจะมีกรามที่ใหญ่และขยายออกมาด้านข้าง จึงนิยมที่จะตัดกรามเพื่อให้ใบหน้าและดูเรียว ซึ่งการศัลยกรรมกรามซึ่งเป็นกระดูกหลักของใบหน้า จะต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีจึงจะเหมาะสมใน การทำศัลยกรรม กราม เพราะผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปนั้น กระดูกขากรรไกรจะมีการเจริญเติบโตเต็มแล้ว 

7. ศัลยกรรมหน้าอก ( Breast surgery )
การมีขนาดหน้าที่อกที่ใหญ่หรือขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างจะช่วยให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตนเองไม่แพ้การมีใบหน้าที่สวยงาม ดังนั้นการศัลยกรรมหน้าอกจึงเป็นการศัลยกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยม แต่การศัลยกรรมหน้าอกก็มีช่วงอายุที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน เพราะ การทำศัลยกรรม หน้าอกอาจจะมีผลต่อการให้นมบุตรได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำการศัลยกรรมควรทำการศึกษาข้อมูลเสียก่อนว่าการทำศัลยกรรมวิธีใดที่สามารถให้นมบุตรได้ อย่าลงเชื่อคำโฆษณาของสถานบันเสริมความงามบางแห่ง และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำศัลยกรรมหน้าอก คือ ช่วงอายุตั้งแต่ 18 – 20 ขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนและอวัยวะที่แสดงความเป็นเพศหญิงมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า การทำศัลยกรรม ควรเริ่มทำที่อายุประมาณ 18-20 ปีขึ้นไปเพื่อเสริมสร้างความสวยงามให้กับตนอง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายของทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และหลังจากอายุ 40 -45 ปี เพื่อลดจุดบกพร่องที่เกิดจากความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นถาวร และก่อนที่จะทำศัลยกรรมทุกครั้ง ควรศึกษาหาข้อมูลให้ดี เลือกแพทย์และสถานบริการที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อระหว่างการเข้ารับการศัลยกรรม อย่างนี้แล้วการศัลยกรรมที่เกิดขึ้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้ชีวิตสดใสสวยงามอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Maniglia A.J. (1989), Reconstructive rhinoplasty, The Laryngoscope, 99(8), page 865.

Lock, Stephen etc. (2001). The Oxford Illustrated Companion to Medicine. USA: Oxford University Press. ISBN 0-19-262950-6. (page 652) https://beautytalktips.com/

เช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็น ง่ายๆ ได้สุขภาพ

0
เช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็น ง่ายๆ ได้สุขภาพ
การคำนวณแคลอรี่จากผลไม้รถเข็น
ผลไม้มีส่วนประกอบของไขมันน้อย แคลอรี่น้อย เป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัว และมีวิตามินแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดชื่น

แคลอรี่

การเช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็นเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักหรือสุขภาพ ผลไม้ที่ขายในรถเข็นมักจะมีรสชาติอร่อยและสดใหม่ แต่ก็มีแคลอรี่ที่แตกต่างกันไปในแต่ละชนิด ดังนั้นการรู้จักแคลอรี่ของผลไม้ที่เลือกกินจึงช่วยให้คุณทำการเลือกได้อย่างชาญฉลาด เช่น ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมปริมาณน้ำตาล การเลือกผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำและกินในปริมาณที่พอเหมาะก็จะช่วยให้สุขภาพดีและไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ

ถ้างั้นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลดน้ำหนักกันก่อน สมการง่ายๆ ของการลดความอ้วน ลดปริมาณไขมัน หรืออะไรก็ตาม มีใจความสำคัญอยู่เพียงแค่อย่างเดียว คือ “เอาออกให้มากกว่าเอาเข้า” หมายความว่า ในแต่ละวันเราใช้พลังงานคิดเป็นหน่วยแคลอรี่อยู่ที่ประมาณเท่าไร นี่คือส่วนที่เรา “เอาออก” เราก็แค่เลือกทานอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน เทียบเท่าหรือน้อยกว่าที่เราต้องใช้ นี่คือส่วนที่เรา “เอาเข้า” จึงเป็นที่มาของการลดน้ำหนักหลากหลายรูปแบบ เช่น อดอาหารเพื่อลดการรับพลังงานเข้าสู่ร่างกาย การเร่งออกกำลังกายเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานให้มากขึ้น เป็นต้น ทีนี้พอย้อนกลับมาที่ประเด็นของการเลือกทานผลไม้ ซึ่งขอบอกก่อนว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เราต้องรู้แน่ชัดว่าผลไม้ชนิดไหนมีแคลอรี่อยู่ที่เท่าไร เป็นตัวการที่ช่วยลดน้ำหนัก หรือยิ่งทำให้อ้วนมากขึ้นกันแน่

ข้อดีอย่างหนึ่งของบ้านเราก็คือมีผลไม้ให้เลือกหลากหลายชนิด หาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพง อย่างน้อยๆ แค่ผลไม้ตามฤดูกาลก็เลือกทานได้ไม่รู้เท่าไร และยังมีบริการสุดพิเศษที่น่าจะมีแต่ในบ้านเราเท่านั้น ก็คือ ร้านผลไม้รถเข็น เรียกว่าบริการความสดใหม่ให้ถึงที่ด้วยราคาย่อมเยา ไม่จำเป็นต้องซื้อทานทีละเป็นกิโลๆ แค่สิบยี่สิบบาทก็ได้สุขภาพดีขึ้นอีกนิดนึงแล้ว ที่สำคัญร้านผลไม้รถเข็นยังตอบโจทย์คนทำงานได้มากกว่าร้านขายผลไม้ทั่วไปอีกด้วย สำหรับใครที่เป็นลูกค้าประจำร้านผลไม้รถเข็น และกำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนรูปร่างให้สมส่วนสวยงามมากขึ้น ก็ต้องมารู้จักกับผลไม้รถเข็นเหล่านี้ และเลือกทานให้ตรงจุดมากขึ้น จำไว้ว่าอย่างน้อยต้องให้ความสนใจกับแคลอรี่และน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในผลไม้ทุกชนิด

ผลไม้ยอดนิยมในร้านผลไม้รถเข็น

ผลไม้ยอดนิยมในร้านผลไม้รถเข็น1. แตงโม : ผลไม้เมืองร้อนที่ไม่ว่าร้านไหนก็ต้องมี แตงโมฝานเป็นซีกแล้วแช่น้ำแข็งเอาไว้ ทานทีไรก็เย็นชื่นใจทุกที ยิ่งในช่วงพักกลางวันที่ต้องเดินตากแดดร้อนๆ ไปหาทานมื้อเที่ยง ถ้าได้แตงโมตบท้ายก็ช่วยดับร้อนไปได้หลายระดับเลยทีเดียว เพียงแค่ใช้ความรู้สึกวัดเอา เราก็จะรู้ได้ทันทีว่าแตงโมน่าจะเป็นผลไม้ที่แคลอรี่ต่ำ ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะแตงโมให้พลังงานราวๆ 30 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัมเท่านั้น แถมยังได้ทานน้ำจำนวนมากจากแตงโมอีกด้วย แต่ก็มีสิ่งที่ต้องระวังอยู่เหมือนกัน เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่จัดว่ามีน้ำตาลสูง การทานในปริมาณมากก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักตัวลดน้อยลงสักเท่าไรและยังไม่ค่อยดีนักกับคนที่เป็นโรคเบาหวานอีกด้วย

2. สัปปะรด : ผลไม้สีเหลืองทองที่มีให้เลือกทั้งแบบหวานมาก หวานน้อย และอมเปรี้ยวนิดๆ อีกหนึ่งผลไม้ฉ่ำน้ำที่ทานกันได้ทุกเพศทุกวัย สัปปะรดให้พลังงานสูงกว่าแตงโมเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 50 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม มีข้อดีตรงที่น้ำตาลน้อย และมีสรรพคุณช่วยในการย่อยโปรตีนไม่ให้เกิดการตกค้างอยู่ในลำไส้ วิตามินซีเยอะพอสมควร แต่ด้วยความหวานที่บางครั้งไม่ได้ฉ่ำมากนัก ทำให้หลายคนติดการจิ้มพริกเกลือซึ่งมีน้ำตาลและเกลือ ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของการลดน้ำหนัก กลายเป็นว่าแทนที่จะลดน้ำหนักได้ก็กลับเพิ่มขึ้นและมีอาการตัวบวมมาร่วมด้วย

3. ฝรั่ง : แม้ว่าจะไม่ใช่ผลไม้สุดโปรดของใครหลายๆ คน แต่ต้องบอกว่าฝรั่งเป็นตัวช่วยที่ดีมากสำหรับการลดน้ำหนัก อย่างแรกคือมีค่าพลังงานไม่เยอะเท่าไร อยู่ที่ประมาณ 68 กิโล แคลอรี่ต่อ มะม่วงดอง 100 กรัม กี่แคล
มีปริมาณน้ำตาลน้อยมาก ในขณะที่วิตามินมีค่าสูง ฝรั่งแช่บ๊วย แคล มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มเส้นใยให้กับระบบร่างกาย ล้างพิษ พร้อมกับทำให้อิ่มท้องได้นาน เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ควรมีติดตู้เย็นในบ้านเป็นประจำเลย ทั้งนี้ไม่นับรวมฝรั่งที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว อย่างเช่น ฝรั่งแช่บ๊วย กี่แคล ฝรั่งดอง เป็นต้น

4. ชมพู่ : เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ทานได้ง่าย รสชาติอร่อย และหลายคนชื่นชอบ ทานเมื่อไรก็สดชื่นด้วยปริมาณน้ำที่มาก และความหวานนิดๆ นี่คือตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีมากอีกตัวหนึ่ง ให้ค่าพลังงานอยู่ที่ 28 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัมเท่านั้น น้ำตาลต่ำ วิตามินซีสูง และส่วนมากก็ไม่ค่อยมีใครเอาชมพู่จิ้มพริกเกลือทานด้วย ซึ่งดีมากๆ ระวังเพียงแค่ชมพูต้องไม่มีสีสันที่ผิดแผกจากธรรมชาติมากไป เพราะอาจมีการแช่น้ำตาลมาก่อนนั่นเอง

5. มะม่วง : ความพิเศษของผลไม้ชนิดนี้ก็คือ ช่วยลดน้ำหนักก็ได้ หรือทำให้น้ำหนักสูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้เช่นเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราเลือกทาน มะม่วงแช่บ๊วย กี่แคล ในมะม่วงมีแป้งอยู่เยอะ ดังนั้นจึงค่อนข้างให้พลังงานสูง คือราวๆ 76 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ถ้านับเฉพาะผลไม้ในรถเข็น นี่อาจจะเป็นผลไม้ที่ให้ค่าแคลอรี่สูงที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ในมะม่วงดิบมีไฟเบอร์และวิตามินสูง ซึ่งดีต่อร่างกายทั้งในด้านการขับถ่ายและต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่เมื่อไรที่กลายเป็นมะม่วงสุก เราจะได้น้ำตาลในปริมาณสูงมากมาแทน

6. แคนตาลูป : ผลไม้ที่ติดอันดับต้นๆ ของร้านผลไม้รถเข็น เรียกว่ามาเท่าไรก็หมด เพราะความหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกปากคนทั่วไป ทั้งยังมีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และอื่นๆ อีกมายมาย ค่าพลังงานที่ให้ก็อยู่ในระดับต่ำ ประมาณ 33 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม น้ำตาลก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่มากไปไม่น้อยไป

ผลไม้ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันน้อย แคลอรี่น้อย เป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัว และมีวิตามินแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดชื่น

7. มันแกว : อันที่จริงมันแกวเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับถั่ว นั่นหมายความว่ามีองค์ประกอบที่เป็นแป้งเยอะประมาณหนึ่ง แต่มีส่วนของไฟเบอร์อยู่เยอะด้วยเช่นกัน ทำให้ค่าพลังงานไม่มากมายเหมือนกับการทานถั่ว ในน้ำหนักมันแกว 100 กรัมก็จะมีค่าพลังงานอยู่แค่ 38 กิโลแคลอรี่ จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนัก ระวังก็แต่พริกเกลือที่เอามาจิ้มเท่านั้น หากทานเพียงแค่มันแกวเฉยๆ ไม่จิ้มอะไรเลยก็จะดีกว่า

8. ผลไม้ดอง : ขาดไม่ได้กับผลไม้กลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นมะยมดอง มะม่วงดอง มะดันดอง เป็นต้น ผลไม้ดองไม่ได้มีส่วนประกอบที่ทำให้อ้วนขึ้นโดยตรง แต่มีผลในทางอ้อมอยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ผลไม้ที่เอามาดองก็มักจะมีรสเปรี้ยว ดังนั้นตัดเรื่องน้ำตาลในผลไม้ไปได้เลย และก็ตัดเรื่องวิตามินที่อยู่ในผลไม้ออกไปด้วย เพราะเมื่อผ่านกระบวนการดองมาเรียบร้อยแล้ว วิตามินส่วนใหญ่จะถูกทำลายไป หลงเหลือเอาไว้ไม่มากนัก สิ่งที่เราจะได้รับเต็มๆ จะเป็นโซเดียมที่ทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำได้ และถ้าทานมากไปก็จะกระตุ้นให้ไตทำงานหนัก มีผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวแน่นอน

9. มะละกอ : สุดยอดผลไม้ที่มีดีทั้งเรื่องราคาและคุณสมบัติ มะละกอเป็นผลไม้ที่ปลูกขึ้นได้ง่าย แทบไม่ต้องดูแลเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีประโยชน์หลายหลายมาก มีสารสีที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เป็นต้น ในมะละกอมีค่าพลังงานเพียงแค่ 43 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม แถมน้ำตาลก็มีปริมาณน้อยแม้แต่ในมะละกอสุก

10. กล้วย : นี่อาจไม่ใช่ผลไม้รถเข็นที่หาได้ง่ายนัก จะมีขายแค่บางร้านเท่านั้นและนานๆ ก็จะเห็นสักที แต่เป็นผลไม้ที่ทานง่ายอิ่มท้อง และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน หากเป็นกล้วยหอมจะมีค่าแคลอรี่อยู่ที่ 120 กิโลแคลอรี่ต่อกล้วย 1 ผล ในขณะที่กล้วยน้ำว้ามีค่าแคลอรี่ประมาณ 60 กิโลแคลอรี่ต่อกล้วย 1 ผล ช่วยป้องกันโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็กสูงมาก เหมาะที่จะเลือกทานในช่วงเช้ามากกว่าที่เป็นช่วงบ่ายเป็นต้นไป

นี่คือประเภทผลไม้พร้อมกับค่าแคลอรี่และคุณประโยชน์บางส่วนของผลไม้รถเข็น จะเห็นได้ว่า มีชนิดของผลไม้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับแผงผลไม้ในตลาด และทั้งหมดเป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัวด้วย ขอแค่ทานแต่พอดี ไม่เหมายกคันรถก็เป็นอันใช้ได้ อย่างไรก็ตามบนความสะดวกสบายนี้ก็มีข้อควรระวังอยู่ด้วยเหมือนกัน เพื่อให้การเลือกทานผลไม้รถเข็นดีต่อสุขภาพจริงๆ ต้องไม่ลืมที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายจากผลไม้รถเข็นเหล่านี้

หลักการเลือกทานผลไม้รถเข็น

  • หลักการเลือกทานผลไม้รถเข็นความสะอาด : เนื่องจากผลไม้ทั้งหมดจะถูกปลอกเปลือกแล้วแช่กับน้ำแข็งเอาไว้ในตู้กระจก ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะไม่สะอาดเท่าที่ควร ก่อนเลือกซื้อผลไม้ทุกครั้งจึงควรสังเกตดูภาพรวมของตู้กระจกว่าสะอาดใสดีหรือไม่ สีของน้ำแข็งดูผิดปกติหรือมีฝุ่นผงอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่ ที่สำคัญร้านผลไม้รถเข็นจอดขายอยู่ในจุดที่เต็มไปด้วยมลภาวะหรือไม่
  • เครื่องจิ้ม : ทั้งเกลือ น้ำตาล ผงชูรส เรียกว่าครบเครื่องเรื่องความอร่อย แต่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร แถมหลายคนมักจะขอเครื่องจิ้มพวกนี้เพิ่มจากที่เขาให้มาอีกด้วย เลยไม่รู้ว่าทานผลไม้เป็นหลัก หรือทานเกลือกับน้ำตาลเป็นหลักกันแน่ ถ้าทำได้ทานสดๆ โดยไม่ต้องจิ้มเลยหรือจิ้มให้น้อยที่สุดดีกว่า
  • สีสัน : บางครั้งผลไม้ก็ดูสดมากเสียจนมีสีเข้มเกินกว่าธรรมชาติ ซึ่งดูน่าทานและไม่น่าจะปลอดภัย ตัวอย่างเช่น ฝรั่งแช่บ๊วยที่ช่วงหลังๆ มานี้มีให้เลือกหลากหลายสี เขียวจัดบ้าง ชมพูเข้มบ้าง หรือแม้แต่ผลไม้สดๆ อย่างมันแกวที่หั่นเป็นแท่งยาวๆ ใส่ถุงไว้ ถ้าดูมีสีขาวมากเกินไป ก็อันตรายเหมือนกัน
  • รสชาติ : ถ้าทานแล้วผลไม้มีความหวานติดลิ้น ผิดธรรมชาติของผลไม้ เป็นไปได้ว่าจะมีการใช้สารช่วยเร่งเรื่องความหวาน เช่น ขัณฑสกร เป็นต้น ทันทีที่รู้สึกแปลกกับรสชาติผลไม้ที่เคยทานเป็นประจำ ให้หยุดทานแบบไม่ต้องเสียดายเลย เพราะสารเคมีที่รับเข้าสู่ร่างกายจะสะสมและอันตรายมากในระยะยาว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

NSW Government’s 8700 (kJ) dietary information website”. 8700.com.au. Retrieved 2018-06-11.

Youdim, Adrienne. “Calories: Overview of Nutrition: Merck Manual Home Edition”. Merckmanuals.com. Retrieved 2018-06-11.

ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย

0
ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย
ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ที่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย
ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย
ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ที่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย

ความเครียด

ความเครียด ( stress ) คืออะไร ? ในทุก ๆ วัน มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา มีทั้งการเรื่องที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์นี้อาจนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ในอนาคตจนทำให้หลายๆ ท่านรู้สึกวิตกกังวล หากอาการเหล่านี้ไม่ได้รับการเยียวยา ก็จะกลายเป็นความเครียดได้ในที่สุด โดยเจ้าความเครียดนี้จะส่งผลกระทบหลายๆ อย่างต่อร่ายกายทั้งทางตรงและทางอ้อม

มาทำความรู้จักกับความเครียด

ความเครียด ( stress ) คือ การตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นทั้งทางสรีรวิทยา ( Physiological ) และทางจิตวิทยา ( Psychological ) ต่อสิ่งที่มาคุกคามหรือเป็นอันตราย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญและสิ่งที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในร่างกาย

ความเครียด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ความเครียดเฉียบพลัน หรือ Acute Stress คือ ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เกิดขึ้นทันทีทันใด และร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นโดยทันทีเช่นกัน เมื่อความเครียดนี้หายไปแล้ว ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวให้เข้าสู่สภาวะปกติ เรียกว่าเป็นการรักษาดุลยภาพของร่างกาย ความเครียดเฉียบพลัน ได้แก่ การที่ร่างกายตื่นตระหนกจากเสียงดัง อากาศร้อนหรือเย็น ความกลัวอันตราย ความหิว หรือแม้แต่การอยู่ในที่แออัด ในชุมชนที่มีคนมากๆ เป็นต้น

2. ความเครียดเรื้อรัง หรือ Chronic Stress คือ ความเครียดที่เกิดจากการสะสมเป็นระยะเวลานานหรือเกิดขึ้นทุกวัน ร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนี้แล้วขจัดให้หายไป ไม่สามารถรักษาดุลยภาพให้อยู่ในภาวะปกติได้ ความเครียดประเภทนี้จึงมีความรุนแรงมากกว่าประเภทที่ 1 (ความเครียดฉับพลัน) เพราะอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านบุคลิกภาพและอารมณ์ ผู้ที่กำลังประสบปัญหานี้จึงควรปรึกษาและเข้ารับคำแนะนำจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ตัวอย่างความเครียดแบบเรื้อรัง เช่น ความเครียดจากปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาในครอบครัว ความเหงา ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ และความเครียดจากการอดทนจากภัยคุกคามอันไม่พึงประสงค์ ฯลฯ

สาเหตุของความเครียด

ความเครียดเกิดได้จากหลายๆ ปัจจัย แตกต่างกันในแต่ละบุคคล สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ

  • ด้านร่างกาย ได้แก่ การเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ หรือการเจ็บป่วยแบบเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน เป็นต้น
  • ด้านจิตใจ ได้แก่ ความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ความวิตกกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดในอนาคต หรือแม้แต่ความกลัวต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นต้น
  • ด้านสังคม ได้แก่ ความสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ความขัดแย้งกับคนในครอบครัวหรือที่ทำงานและปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่หรือที่ทำงานใหม่ เป็นต้น

การตอบสนองของร่างกายกับความเครียด

ทุกคนต้องพบเจอกับความเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และในทุกๆ ครั้งร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดและสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งความเครียดนี้หากมองในแง่บวกก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เนื่องจากธรรมชาติให้ติดตัวมากับมนุษย์ทุกคนเพื่อให้เกิดความตื่นตัวและตอบสนองต่อภัยอันตรายภายนอก ให้สามารถเอาตัวรอดได้เมื่อต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงและคับขัน แต่อย่างไรก็ตาม ความเครียดจะกลายเป็นภัยก็ต่อเมื่อ เรามีความเครียดอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการบำบัดผ่อนคลาย จนนำไปสู่การตอบสนองต่อความเครียดในทางที่ผิด ทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ขึ้นกับร่างกาย

การตอบสนองต่อความเครียด ( Stress response ) หรือการปรับตัว ( General adaptation syndrome ) เป็นปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาที่ตอบสนองต่อความเครียด ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ

1. ระยะเตรียมพร้อม ( Alarm Stage ) จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายรับรู้ถึงภัยอันตราย โดยจะเตรียมความพร้อมสำหรับจัดการกับอันตรายนั้นในรูปแบบของการสู้หรือหนี ( fight or flight ) ซึ่งระยะนี้จะถูกควบคุมด้วยระบบประสาทและฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ

2. ระยะต่อต้าน ( Resistance Stage ) จะเกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อต้านกับความเครียดเพื่อให้ร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล

3. ขั้นหยุดการทำงาน ( Exhaustion Stage ) หากร่างกายอยู่ในภาวะเครียดเป็นระยะเวลานาน จะไม่สามารถปรับสมดุลในข้อ 2 ได้ ร่างกายจึงไม่สามารถเข้าสู่ภาวะสมดุล ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาและกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้   

เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนความเครียด อันเกิดจากฮอร์โมน 2 ตัว คือ “คอร์ติซอล ( Cortisol ) และ แอดีนาลีน ( Adrenaline ) ซึ่งหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตทั้งสองข้าง โดยฮอร์โมนความเครียดนี้จะทำให้ร่างกายมีพละกำลังมากพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดหรือกระทำการใหญ่ เช่น การยกของหนักๆ หนีไฟไหม้ การวิ่งหนีภัย เมื่อฮอร์โมนนี้ได้ถูกใช้ไป ความเครียดหรือความกดดันต่างๆ ก็จะหายไปด้วย แต่หากฮอร์โมนชนิดนี้ยังคงอยู่ในร่างกายก็จะส่งผลเสีย เนื่องจากฮอร์โมนนี้จะเพิ่มระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และน้ำตาลในเลือด ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ ตัวสั่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย ไม่มีสมาธิและท้องเสีย เป็นต้น ยิ่งถ้ามีฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นอีก ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นวงกว้าง จนอาจถึงขั้นทำให้หัวใจวายและชีวิตได้

ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยา ต่อสิ่งทีเกิดขึ้นหรือเป็นอันตราย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและไม่คาดคิด ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย

ผลกระทบของความเครียดต่อร่างกาย

ความเครียดนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและอารมณ์แล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรง อันก่อให้เกิดโรคและความผิดปกติหลายอย่าง ดังนี้

  • หัวใจเต้นผิดปกติ เนื่องจากความเครียดจะไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดอาการเจ็บหน้าอก เพราะกลไกการทำงานของหัวใจหนักขึ้น มีการบีบตัวและเต้นเร็วขึ้น จนทำให้เกิดการเต้นที่ผิดปกติของหัวใจและอาจถึงขึ้นหัวใจวายได้
  • ม้ามทำงานหนัก เนื่องจากความเครียดจะไปกระตุ้นให้ม้ามหลั่งเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาในจำนวนมากผิดปกติ
  • ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ในผู้ป่วยที่มีความเครียดเรื้อรัง ร่างกายจะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวและภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อน้อยกว่าคนทั่วไป จึงทำให้ติดเชื้อไข้หวัดและเริมได้ง่าย
  • น้ำตาลในเลือดสูง ความเครียดจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานเกิดการดื้ออินซูลิน    
  • ความต้องการทางเพศลดลง ในผู้หญิงจะมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ แท้งบุตรและมีปัญหาเรื่องการถึงจุดสุดยอดขณะมีเพศสัมพันธ์ ส่วนในผู้ชายจะมีปัญหาเรื่ององคชาติไม่แข็งตัว ไม่มีอารมณ์ทางเพศ เป็นต้น
  • โรคขาดสารอาหาร เนื่องจากความเครียดส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติและจะสลายอาหารจำพวกโปรตีน วิตามิน ไขมัน รวมถึงสารอาหารอื่นๆ มากกว่าปกติ จึงอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้
  • โรคอ้วน ผู้ที่ประสบอาการเครียดจะรู้สึกอยากอาหารจำพวกที่มีรสเค็ม มัน หวาน มากขึ้นทำให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน กลายเป็นโรคอ้วนซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคความดันโลหิตสูง ความเครียดอันเกิดจากความโกรธและความวิตกกังวลนั้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากเป็นบ่อยก็จะส่งผลให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
  • โรคแผลในกระเพราะอาหารและลำไส้ เนื่องจากเมื่อประสบภาวะเครียด ร่างกายจะหลั่งสารแอดดินาลีนออกมา สารนี้มีส่วนในการกระตุ้นให้ผนังลำไส้ขับกรดออกมามากกว่าปกติ เมื่อนานวันเข้าก็จะทำให้กลายเป็นโรคกระเพราะอาหารและลำไส้ได้ในที่สุด
  • โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ จากการศึกษาพบว่าความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคนี้
  • กรดไขมันในเส้นเลือดสูง เมื่อร่างกายเกิดความเครียดจะสร้างกรดไขมันขึ้น เพื่อใช้ในการต่อสู้ เมื่อร่างกายคลายความเครียดลง ระดับกรดไขมันก็จะลดลงด้วย แต่หากมีความเครียดสะสม กรดไขมันนี้ก็จะก่อตัวพอกพูนเกาะอยู่ในผนังเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้
  • ต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติ เนื่องจากความเครียดจะไปยับยั้งการแบ่งเซลล์และการสังเคราะห์ในต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง

วิธีจัดการกับความเครียด

การจัดการกับความเครียดมีด้วยกันหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการใช้ยา ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ โดยต้นเหตุความเครียดของหลายๆ ท่าน อาจสามารถรับมือได้ง่าย ๆ เพียงเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตหรือเปลี่ยนวิธีคิด ดังนี้

  •  เปลี่ยนแปลงทัศนคติ เช่น ลดการแข่งขันกับผู้อื่น รู้จักผ่อนปรนและลดความเข้มงวดลง
  • ปรับปรุงสัมพันธภาพกับคนในครอบครัว หรือบุคคลรอบตัวให้ดีขึ้น
  • ลดเครื่องดื่มบางประเภทที่ช่วยก่อให้เกิดความเครียด เช่น กาแฟและเครื่องดื่มหรือขนมที่มีน้ำตาลสูง
  • ออกกำลังกายหรือทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบเพื่อลดความตึงเครียด ให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย
  • ฝึกมองโลกในแง่ดี เช่น มองผู้อื่นในแง่ดี มองตนเองในแง่ดี รู้จักให้อภัย รู้จักให้กำลังใจตนเองและผู้อื่น รวมถึงฝึกปล่อยวางในสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ 
  • ฝึกวิธีผ่อนคลายร่างกายโดยตรง เช่น ฝึกการหายใจที่ถูกวิธี ฝึกสมาธิ เล่นโยคะหรือนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • ลดพฤติกรรมการชอบทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เพราะทำให้เกิดความกดดัน ต้องแข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งงดการสูบบุหรี่หรือการใช้สารเสพติดชนิดอื่นๆ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับให้เพียงพอ

วิธีรักษาโรคเครียด

ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ไม่สามารถจัดการกับปัญหาความเครียดได้ จนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง การระบายกับเพื่อนหรือบุคคลในครอบครัวอาจไม่เป็นผล ผู้ป่วยจึงมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งมีวิธีการรักษาแตกต่างกันไป ดังนี้

1. ปรึกษาจิตแพทย์ วิธีนี้เป็นวิธีขั้นพื้นฐานที่ช่วยรักษาโรคเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแพทย์จะรับฟัง วิเคราะห์ปัญหาและช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดได้อย่างตรงจุด ผู้ป่วยจึงสามารถจัดการกับอาการความเครียดที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง

2. บำบัดพฤติกรรมและความคิด หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CBT ( Cognitive Behavioural Therapy ) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่โรคเครียดเกิดจากความวิตกกังวลหรือมีแนวคิดบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยแพทย์จะทำความเข้าใจกับความคิดและความรู้สึกของผู้ป่วย ช่วยให้เข้าใจว่าบางความคิดไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้ป่วยสามารถปรับทัศนคติและมองทุกอย่างได้ถูกต้องตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

3. ใช้ยารักษา ในการรักษาแพทย์อาจจะใช้ตัวยาบางชนิดร่วมด้วย ( ส่วนใหญ่จะใช้ยาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ) เพื่อบรรเทาอาการบางอย่าง เช่น หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับหรือซึมเศร้า ฯลฯ ตัวยาที่ใช้ได้แก่

เบต้า บล็อกเกอร์ ( Beta-Blocker ) มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการซึ่งเกิดจากที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ยาชนิดนี้มีข้อดี คือไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง ( สามารถรับประทานในเวลาทำงานได้ ) และไม่ทำให้เสพติด เพราะไม่อยู่ในกลุ่มยาระงับประสาท

ยาไดอะซีแพม ( Diazepam ) ยาชนิดนี้เป็นยาระงับประสาท อยู่ในกลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน ( Benzodiapines ) ซึ่งไม่นิยมนำมาใช้ในการรักษา เว้นแต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีข้อบ่งชี้ให้จำเป็นต้องใช้ ก็จะให้รับประทานในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดอาการดื้อยา ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาเสื่อมลงจนไม่เป็นผลและผู้ป่วยมีโอกาสเสพติดยาได้ง่าย 

นอกจากตัวยาข้างต้น แพทย์อาจใช้ยาชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs ( Selective Serotonin Reuptake Inhibitors ) ยาระงับอาการวิตกกังวล เป็นต้น และในบางรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจใช้วิธีการสะกดจิต หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Hypnotherapy ร่วมด้วย ซึ่งพบไม่มากนักในประเทศไทย ส่วนผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายตนเอง ในบางรายอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายนั้น จะต้องได้รับการดูแลจากนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์อย่างใกล้ชิดจึงมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาระยะยาวที่โรงพยาบาลจนกว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้น จนสามารถดูแลตนเองและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

ความเครียดในระดับต่ำนั้นมีข้อดี คือช่วยกระตุ้นให้เรามีความมุ่งมั่นเพื่อเอาชนะปัญหาและช่วยในการเรียน ตลอดจนการทำงานต่างๆ ให้สำเร็จ แต่หากมีมากจนเกินไปก็จะกลายเป็นบ่อเกิดของโรคและส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมากมายเช่นกัน การรู้จักจัดการกับความเครียดและหาวิธีระบายอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากระบายความเครียดด้วยวิธีที่ผิด เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ พึ่งยานอนหลับหรือพึ่งสารเสพติด อาจก่อให้เกิดปัญหาทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้ โดยในปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลที่รับให้คำแนะนำและปรึกษาปัญหา ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Edmunds, W. John (1997). “Social Ties and Susceptibility to the Common Cold”. JAMA: the Journal of the American Medical Association. 278 (15): 1231; author reply 1232.

Herbert, T. B.; Cohen, S. (1993). “Stress and immunity in humans: a meta-analytic review”. Psychosomatic Medicine. 55 (4): 364–379. doi:10.1097/00006842-199307000-00004.

Ogden, J. (2007). Health Psychology: a textbook (4th ed.), pages 281–282 New York: McGraw-Hill ISBN 0335214711

วิธีดูแลถุงใต้ตา ให้สดใสไม่หมองคล้ำ

0
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา เกิดขึ้นแล้วย่อมจะทำให้ดวงตาที่สวยงามดูหม่นหมอง ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย

ถุงใต้ตา

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่ส่วนกลาง ( Middle Fat ) และถุงไขมันที่อยู่ส่วนด้านใน ( Inner Fat ) ซึ่งโดยปกติถุงไขมันที่อยู่ใต้ดวงตาจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากภายนอก แต่เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นจะทำให้ถุงไขมันมีการขยายขนาดขึ้น วันนี้เรารู้จักประเภทของถุงใต้ตา และวิธีลดถุงใต้ตาตามฝากเพื่อน ๆ ทุกคนมาดูกันเลย

ประเภทของถุงใต้ตา

รอยคล้ำบริเวณถุงใต้ตาเป็นรอยที่สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ลักษณะที่พบคือถุงใต้ตาบวมมีสีคล้ำก่อให้เกิดปัญหาใบหน้า ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเยอะและรอยคล้ำเห็นได้ชัดเจนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ โรตภูมิแพ้ อ่อนเพลียเรื้อรัง ผิวแพ้ง่าย ริ้วรอยก่อนวัย พันธุกรรม ปัญหาถุงใต้ตาจากแสงแดด ซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

1.ถุงใต้ตาเทียม

คือ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน เลือดและน้ำที่บริเวณถุงไขมันที่บริเวณเบ้าตาด้านล่าง ทำให้ถุงไขมันดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นถุงใต้ตาที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ซึ่งสาเหตุของถุงใต้ตามเทียมเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ การร้องไห้เสียน้ำตาในปริมาณมาก การใช้สายตามากจนดวงตาเกิดความเหมื่อยล้า อาการแพ้หรือการอักเสบเนื่องจากได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่บริเวณเบ้าตาจนทำให้เบ้าตาเกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ระบบไหลเวียนของเหลวเกิดความผิดปกติ

2.ถุงใต้ตาแท้

เป็นถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ( Endocrine Gland ) ที่ทำหน้าที่ในการผลิตและหลั่งฮอร์โมน ( Hormone ) ที่ควบคุมการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย เช่น เลือด ไขมัน น้ำเหลือง เป็นต้น ถ้าระบบมีการทำงานที่ผิดปกติเกิดขึ้นจะทำให้มีการสะสมของเหลวหรือไขมันที่บริเวณถุงไขมันใต้ตา ส่งผลให้ถุงใต้ตามีขนาดใหญ่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุของความผิดปกติที่ทำให้เกิดถุงใต้ตาแท้ คือ

2.1กรรมพันธุ์

ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อสามารถทำการถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย 

2.2 อายุ

เมื่ออายุมากขึ้นระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อเกิดการเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและน้ำที่บริเวณถุงไขมันใต้ดวงตากลายมาเป็นถุงใต้ตา

ถึงแม้ว่าการที่ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย แต่ว่าการมีถุงใต้ตาที่ใหญ่ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจในใบหน้าของตนเอง เพราะถุงใต้ตาที่มีขนาดใหญ่และมีสีคล้ำจะทำให้ใบหน้าหม่อนหมองแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเทียมที่เกิดขึ้นได้ง่ายในยามที่ร่างกายและดวงตาอ่อนล้า ดังนั้นการดูแลให้ระบบการไหลเวียนของเหลวที่เกิดขึ้นในร่างกายและบริเวณเบ้าตาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการคั่งค้างของของเหลว น้ำหรือไมมันในถุงไขมันที่บริเวณใต้ตาก็จะสามารถลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งการดูแลร่างกายมีวิธีการดังนี้

วิธีลดถุงใต้ตา เพื่อรักษาถุงใต้ตาได้อย่างถูกต้อง

  • ใช้ช้อนแช่น้ำเย็นประคบถุงใต้ตาประมาณ 30 วินาที เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ถุงใต้ตา
  • ใช้ไข่ขาว ทารอบบริเวณถุงใต้ตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือจนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้เกลือครึ่งช้อนโต๊ะผสมละลายกับน้ำอุ่น จากนั้นนำสำลีแผ่นกลมชุบแปะที่ดวงตาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้ถุงชาแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วนำไปวางบนเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
  • ใช้แตงกวาแช่เย็น หั่นเป็นแว่นแปะรอบดวงตาและถุงใต้ตา เพื่อผ่อนคลายเพิ่มความชุ่มชื่นผิวถุงใต้ตา
  • กดนวดลดถุงใต้ตาบวม โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางให้ปลายนิ้วอยู่บนเนินจมูกค้างทำซ้ำประมาณ 10 วินาที

วิธีการดูแลร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดถุงใต้ตา

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

การที่ระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ มักเริ่มมาจากร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ มีการนอนน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการหรือนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นเพื่อรักษาถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นมานั้นจะต้องทำการพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งสังเกตได้จากหลังจากตื่นนอนแล้งยังรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่ ถ้าร่างกายยังรู้สึกอ่อนเพลียแสดงว่ายังพักผ่อนไม่เพียงพอ และควรนอนเป็นเวลาตั้งแต่ 22.00 – 06.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการนอนหลับที่ดีที่สุด โดยช่วงเวลาประมาณ 24.00 – 01.30 น. เป็นเวลาที่ร่างกายมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone: GH ) ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมเซลล์และระบบการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ และท่าการนอนควรนอนหงาย อย่านอนคว่ำหรือนอนตะแคงตลอดทั้งคืน

2. การนวดคลึงเบ้าตา

การนวดที่บริเวณถุงใต้ตาจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด น้ำ น้ำเหลืองที่มีการคั่งค้างอยู่ในถุงไขมันให้มีการกระจายตัวและช่วยให้มีการไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่บริเวณเบ้าตา ลดความเหมื่อยล้าและเกร็งของกล้ามเนื้อ การนวดสามารถนวดโดยใช้มือนวดคลึงเป็นรูปก้นหอยที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างไปจนถึงบริเวณหางตา การนวดควรนวดทุกวันจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ

ร่างกายมีระบบการควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย โดยค่าความเป็นกรดของร่างกายอยู่ที่ 7.35 -7.45 ถ้าร่างกายมีความเป็นกรดหรือด่างมากกว่าค่ามาตราฐาน ซึ่งมักเกิดจากการร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อย ร่างกายจึงทำการสะสมน้ำไว้ภายในร่างกายเพิ่มขึ้นเพื่อเจือจางความเป็นกรดและด่างให้อยู่ในค่ามาตราฐาน ส่งผลให้มีการสะสมน้ำที่บริเวณถุงใต้ตาเพิ่มขึ้น ถุงใต้ตาจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำวันวันละประมาณ 7-8 แก้วจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงได้ เพราะร่างกายมีการไหลเวียนของน้ำและเลือดในสภาวะสมดุลไม่จำเป็นต้องกักเก็บน้ำไว้ในร่างกาย

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา

4. งดสูบบุหรี่

สารพิษที่อยู่ในบุหรี่ เช่น สารนิโคติน ก็าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สารแคดเมี่ยม ไนตริคออกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์คาร์บอนไดซัลไฟด์ จะมีคุณสมบัติที่ทำให้ผนังของเส้นเลือดมีขนาดที่หนาขึ้น ทำให้ของเหลวไม่สามารถไหลผ่านไปได้ จนเกิดการสะสม โดยเฉพาะที่บริเวณเส้นเลือดฝอยที่บริเวณผิวหนังใต้ดวงตา จึงทำให้มีการสะสมของเหลวที่ถุงไขมันใต้เบ้าตาจนทำให้เกิดถุงใต้ตาเกิดขึ้น สังเกตได้ว่าคนที่สูบบุหรี่จัดถุงใต้ตาจะมีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไป ดังนั้นการงดสูบบุหรี่จึงสามารถช่วยลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

5. ลดใช้สายตา

การใช้สายตาในการเพ่งหรือมองจนกล้ามเนื้อบริเวณเบ้าตาเกิดความเหมื่อยล้าจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นเมื่อต้องทำงานหรือเพ่งมองควรหยุดพักสายตาทุก 15 -20 นาทีเพื่อลดความเหมื่อยล้าของกล้ามเนื้อบริเวณรอบเบ้าตา 

6. ประคบเย็น

เมื่อเกิดถุงใต้ตาขึ้นการประคบเย็นจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ เนื่องจากความเย็นที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระชับถุงไขมันใต้ตาให้มีขนาดที่เล็กลงและทำการขับของเหลวที่อยู่ภายในถุงใต้ตาออกมา โดยการประคบเย็นสามารถประคบด้วยถุงน้ำแข็ง แผ่นเจลประคบเย็น ผ้าชุบน้ำเย็น หรือจะเป็นผัก ผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ที่แช่เย็นจัด เช่น แตงกวา มันฝรั่ง มะเขือเทศ ถุงชา มาวางบนเบ้าตาทั้งสองข้าง วางไว้ประมาณ 15- 20 นาทีต่อครั้ง และควรทำเป็นประจำทุกวัน นอกจากจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้เล็กลงแล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้อีกด้วย

7. การทาครีมบำรุงผิวและลบถุงใต้ตา

การทาครีมบำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงรอบดวงตา สามารถช่วยลดขนาดและการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งครีมบำรุงรอบดวงตาควรเลือกที่มีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวและดวงตา เพราะการทาที่บริเวณรอบดวงตามีความเสี่ยงที่สารในเนื้อครีมจะเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองกับดวงตาได้ ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยลดถุงใต้ตาแล้วอาจจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกด้วย และครีมบำรุงใต้ตาควรแช่เย็นไว้ เพื่อที่เวลาทาครีมนอกจากจะได้ผลจากสารบำรุงที่อยู่ในเนื้อครีมแล้ว ความเย็นที่ได้จากเนื้อครีมก็จะคล้ายกับการประคบเย็นนั่นเอง

8. การใช้คลื่นวิทยุ ( Radio Frequency หรือ RF )

การใช้คลื่นวิทยุที่อยู่ในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz ยิงเข้าไปสู่ที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างที่มีถุงใต้ตาเกิดขึ้น คลื่นวิทยุที่ยิงเข้าไปจะเข้าไปจะเข้าไปสู่ผิวหนังชั้นในสุด ( Subcutaneous fat ) ในขณะที่คลื่นวิทยุผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ด้านในจะทำให้ผิวหนังแต่ชั้นเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อยคล้ายกับการนวด ซึ่งคลื่นวิทยุช่วยกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่บริเวณใต้ตามีความแข็งแรง และยังช่วยกระตุ้นกระบวนการละลายของไขมันป้องกันการกระจายตัวเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองที่บริเวณถุงไขมัน ทำให้ปริมาณไขมันในถุงใต้ตามีปริมาณลดลง ถุงใต้ตาจึงมีความกระชับแบนราบ

9. การใช้เลเซอร์ ( Laser Eye Bag Removal )

เลเซอร์ ( Laser ) สามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ ด้วยเนื่องจากเลเซอร์จะเข้าไปทำการสลายและดูดไขมันส่วนเกินบางส่วนออกมาจากถุงใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด โดยการเปิดแผลและทำการฉายเลเซอร์เข้าไปที่ถุงไขมันที่บริเวณด้านล่างของเบ้าตา ซึ่งการรักษาถุงใต้ตาด้วยการฉายเลเซอร์เป็นการรักษาชนิดที่ไม่ถาวร ถุงใต้ตามีโอกาสที่จะกลับมามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกได้ แต่ก็สามารถทำการฉายเลเซอร์เพื่อลดขนาดของถุงใต้ตาได้ตลอด

10. การผ่าตัดลดขนาดถุงใต้ตา ( Lower Blepharoplasty )

การผ่าตัดนำถุงไขมันที่มีการขยายตัวขึ้นออกเป็นการรักษาภาวะถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุดและเป็นการรักษาแบบถาวรที่ถุงใต้ตาจะไม่กลับมาอีก ซึ่งจะใช้รักษาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อซึ่งมาจากพันธุ์กรรมที่พบมาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลและทำการตัดเอาไขมันส่วนเกินที่อยู่ภายในถุงไขมัน กล้ามเนื้อหรือหนังส่วนเกินที่บริเวณรอบดวงตาที่ถุงไขมันมีการขยายตัวออกมาก ทำให้ถุงไขมันมีขนาดที่เล็กลง เพื่อปรับขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงและผิวหนังรอบดวงตาเรียบเนียน การผ่าตัดเป็นการรักษาถุงใต้ตาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยของดวงตา

จะพบว่าการรักษาถุงใต้ตาสามารถเริ่มได้จากการดูแลร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน รับประทานอาการให้ครบทั้ง 5 หมู่ อย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติตนเช่นนี้จะสามารถป้องกันหรือลดขนาดของถุงใต้ตาเทียมได้ผลเป็นอย่างดี แต่สำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาชนิดถุงใต้ตาแท้การรักษาจำเป็นจะต้องทำการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์หรือการผ่าตัดภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดในขณะที่ทำการผ่าตัดอาจจะทำให้ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ การผ่าตัดตัดถุงใต้ตาออกสามารถช่วยลดปัญหาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่ออย่างได้ผล หลังจากทำการรักษาถุงใต้ตาให้หายแล้วควรดูแลและป้องกันร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตากลับมาเป็นอีก

การลดขนาดถุงใต้ตา ปรับผิวบริเวณเบ้าตาด้านล่างให้เรียบเนียนและดูแลผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จะส่งผลให้ใบหน้าสดใสที่เคยหม่อนหมอง แก่กว่าวัย กลับมาเป็นใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ลดอายุไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://health.howstuffworks.com/wellness/natural-medicine/home-remedies/home-remedies-for-puffy-eyes1.htm

http://momcoloredglasses.com/healthy-living/natural-remedies-puffy-eyes/

แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน

0
แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน
การแต่งตา มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการไล่ระดับสีเพิ่มเลเยอร์ชั้นตาลุคหวานธรรมชาติ หรือสวยหรูดูแพง หรือลุคสาวญี่ปุ่น
แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน
สโมกกี้อายที่เป็นการทำกราเดชั่นสีให้ดูอ่อนโยนลงก็เป็นลุคน่าทึ่งที่แคทวอล์คในฤดูกาลยอมรับ

การแต่งตา

ลุค การแต่งตา มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการไล่ระดับสีเพิ่มเลเยอร์ชั้นตาลุคหวานธรรมชาติ หรือสวยหรูดูแพง หรือลุคสาวญี่ปุ่น และอีกมากมายที่เป็นลุคแต่งตาโทนสุดฮอต

1.แต่งตาโทนสีน้ำตาลตุ่น ลงสีอ่อนให้ทั่วเปลือกตา แล้วตามด้วยสีเข้ม กรีดไลเนอร์สีดำ
2.แต่งตาโทนส้ม แต่งจะเน้นสีส้มช่วงรอยพับตา และขอบตาล่าง กรีดไลเนอร์สีดำเส้นเล็ก
3.แต่งตาโทนสีอ่อน ปาดแค่สีเดียวง่ายๆ ได้ลุคธรรมชาติสวยที่สุด
4.แต่งตาโทนสีทองชิมเมอร์วิบวับ สวยหรูดูแพงแบบสุภาพ
5.แต่งตาโทนสีน้ำตาลกาแฟชิมเมอร์สวยๆ สีน้ำตาลลงแบบอ่อนๆทำให้ดูธรรมชาติ
6.โทนสีชมพูเหลือบมุก เน้นสีชมพูชัดๆที่ช่วงหางตา และขอบตาล่าง
7.สีส้มผสมสีพีช ให้ลุคสดใสแบบซัมเมอร์
8.โทนสีพีชประกายทอง
9.ทาสีครีมทอง และเน้นโทนสีน้ำตาลเข้มช่วงรอยพับตาและะเปลือกตาบน ขอบตาล่างเน้นสีชมพูหวานๆ
10.สโมกกี้อายสีเข้มแต่แต่งให้ดูธรรมชาติ หัวตาที่ขอบตาล่างทาสีทอง
11.แต่งตาโทนสีน้ำตาลประกายชิมเมอร์ กรีดไลเนอร์หางเบาๆ
12.เน้นโทนสีเดียวทั้งเปลือกตา หรือเพิ่มอีกสีให้ดูมีมิติ
13.ชมพูตุ่นเน้นทาสีเดียวที่ขอบตาถึงรอยพับ และลงมาถึงขอบตาล่าง กรีดไลเนอร์เส้นเล็ก
14.แต่งตาสีเดียวอีกกับโทนสีม่วงเหลือบมุก สวยแบบสาวญี่ปุ่น
15.แต่งตาโทนสีพีช กรีดไลเนอร์ทนสีเข้มให้ชิดขอบตามากที่สุด
16.อายแชโดว์สีเดียวโทนสีชมพูตุ่น กรีดอินไลเนอร์ไม่วิงหาง ปัดขนตา
17.โทนสีน้ำตาลแมท เป็นโทนสีที่สวยแบบธรรมชาติสุดๆ
18.โทนสีส้มพีช สดใสนิดๆ ตาดูสวยมีชีวิตชีวา
19.ทาโทนสีเดียวเช่น โทนสีครีม กรีดอินไลเนอร์โทนสีดำให้ตาดูกลมโต
20.แต่งตาโทนสีเดียว โทนสีส้มเนื้อแมท สดใสขึ้น
21.แต่งตาโทนสีน้ำตาลแบบฝรั่ง แต่งยังดูธรรมชาติ
22.สีน้ำตาลมอคค่า สวยธรรมชาติแบบไม่ดูเข้มจนเกินไป
23.โทนสีแดงเบอกันดี เน้นทาแค่ขอบตาถึงลอยพับตา เหลือบมุกวาวๆ ดูโดดเด่น
24.ลงสีชมพูเหลือบมุกก่อนให้ทั่ว ตามด้วยน้ำตาลอมส้มช่วงรอยพับตา
25.โทนสีน้ำตาลอมม่วงหวาน ให้ลุคสวยหวาน

เทคนิคการแต่งตาแบบต่างๆ

แต่งตาสวยไตล์นางแบบชิคส์ๆ

กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดตัวหลวมหลวมๆแมตซ์กับรองเท้าส้นสูง โลกนี้ก็เหมือนกับการแต่งหน้าที่เน้นขอบตาคม การแต่งหน้าที่เน้นเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งนั้น ในบางครั้งก็ดึงดูดสายตาได้มากกว่าการแต่งหน้าอย่างมีสีสันที่เน้นใบหน้าโดยรวมทั้งหมด มารองน้ําตาให้สวยชีสและดึงดูดสายตาผู้คนด้วยเส้นขอบตาที่สะอาด คมชัด แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเฉียบแหลม

  • ใช้อายไลเนอร์ชนิดเจลเขียนขอบตา เริ่มตั้งแต่หัวตาแล้วเพิ่มความหนาขึ้นในส่วนท้ายๆ และเขียนปรายให้ชีคม การเขียนขอบตาที่ค่อนข้างหนาและคมเหมาะกับคนที่มีตาชั้นเดียวมากๆ
  • เบิกตาให้โตแล้วค่อยๆเขียนขอบตาให้เป็นเส้นคมชัดต่อเนื่องกันโดยเริ่มจากหัวตา
  • เขียนขอบตาด้านล่างให้ชิดกับขอบตาด้านในโดยเริ่มเขียนจาก 1 ใน 3 ของขอบตาล่างลากไปจรดกับหางตาบน
  • ทำกราเนชั่นโดยใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลทองทาให้ทั่วขอบตาล่าง

เพิ่มเสน่ห์ดึงดูดใจด้วยการแต่งตาสโมคกี้อาย

แม้แต่สาวๆที่แต่งหน้าไม่แก่ก็เคยลองเขียนขอบตาอยู่บ่อยๆ สิ่งที่คุณต้องเตรียมคือแจ็คเก็ตหนังสีดำ และมินิสเกิร์ตดิทรอยต์ ถึงแม้ว่าจะมีตาแบนๆ ที่ไม่โค้งเว้า แต่ลองแต่งตาแบบสโมกกี้อายที่ทำให้เสน่ห์พุ่งกระฉูดทันตาเห็น

  • ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีดำวาดเส้นคลุมเบ้าตาทั้งหมด และระบายให้เต็ม สำหรับสาวตาชั้นเดียวควรหมั่นตรวจสอบลักษณะดวงตาทั้งสองข้าง เวลาที่ดวงตาทั้งสองข้างดูไม่เท่ากันต้องพยายามแต่งให้ดูเท่ากัน โดยเฉพาะเวลาที่ลืมตา
  • เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอแท่งเดิม ให้บริเวณหัวตาและหางตาตลอดกับเส้นขอบตาด้านบน แนะนำเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ดวงตาสั้น ลองต่อหางตาให้ยาวกว่าความเป็นจริง จะทำให้ดวงตาโดยรวมดูโตและยาวขึ้น
  • ทาอายแชโดว์สีดำให้ทั่วเปลือกตาไปจนถึงเบ้าตา ทับบริเวณที่ใช้ดินสอเขียนไว้เพื่อให้ติดทนนาน เขียนขอบตาด้านล่างให้คมชัดด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจลสีดำ

อายแชโดว์ชนิดผงไม่ค่อยติดทนนานและแต่งตาให้ดูหนังเล่นได้ยาก จึงใช้แต่งตาแบบสโมกกี้อายได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควรหากใช้อายแชโดว์ชนิดนี้เพียงอย่างเดียว แต่หากใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอ ชนิดครีม หรือทาอายแชโดว์ชนิดครีมแล้วทาชนิดผงทับ จะทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน สำหรับอายไลเนอร์ดินสอแนะนำให้ใช้ชนิดกันน้ำ
เวลาที่แต่งตาแบบสโมกกี้อายที่โดนหนักแน่นๆควรเขียนคิ้วให้บางและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ถ้าเน้นทางตาและคิ้วพร้อมพร้อมกัน จะทำให้ไม่สามารถเน้นส่วนใดส่วนหนึ่งได้อย่างแท้จริง

แต่งตาสวยคมลึกลับน่าค้นหา

สโมกกี้อายไม่ได้มีแค่สีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทาเท่านั้น แต่คัลเลอร์สโมกกี้อายที่เป็นการทำกราเดชั่นสีให้ดูอ่อนโยนลงก็เป็นลุคน่าทึ่งที่แคทวอล์คในฤดูกาลยอมรับ วิธีเน้นเส้นอายไลเนอร์มากกว่าการทาอายแชโดว์สีจนทั่วเปลือกตา

  • เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจล เพิ่มความหนาในส่วนท้ายท้ายและเขียนปรายให้ชี้คม
  • เขียนขอบตาล่างยาวประมาณ 1 ใน 3 ให้ชิดกับขอบตาด้านใน โดยเขียนให้เชื่อมต่อกับเส้นขอบตาบนที่วาดไว้
  • ทำกราเดชั่นด้วยการทาอายแชโดว์สีน้ำตาลทองให้ทั่วขอบตาล่าง
  • ทาอายแชโดว์สีเทาผสมประกายมุกเล็กน้อยบริเวณหางตายาวประมาณ 1 ใน 3 ทำกระเดชั่นบริเวณหางตาที่วาดชี้ขึ้นเท่านั้น ขอบตาล่างก็เช่นเดียวกัน ท่ายางบางเบามากๆ ลองใช้แปรงปัดอายแชโดว์ประกายมุกสีสดใสจะช่วยรักษาความแน่นของเนื้อสีประกายมุก รวมทั้งสภาพโดยรวมของดวงตาไว้ได้

สำหรับคนที่หางตาตกหรือมีริ้วรอยรอบดวงตามาก ถ้าเขียนขอบตาโดยใช้สีอื่นนอกจากสีดำจะทำให้หางตาดูชี้ขึ้นและเฉียบคม เวลามีงานปาร์ตี้การแต่งหน้าสไตล์นี้เหมาะกับลุคเซ็กซี่มาก ยิ่งเวลาเขียนขอบตาล่างด้วยดินสอโทนสีเขียว จะให้ความรู้สึกแปลกตาและดูงดงามและใช้ลิปสติกสีมันวาวเนื้อชุ่มชื้นเพื่อแสดงความแข็งแรงและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

แต่งตาลุคสไตล์หวานๆ

การแต่งตาเป็นเสน่ห์ที่สำคัญ เพราะหน้าตาจะหวานหรือเซ็กซี่ก็จะขึ้นอยู่กับการแต่งตา ซึ่งการแต่งตาให้ลุคสวยหวานก็สามารถดึงดูดสายตาได้เช่นกัน

  • ทาอายแชโดว์แบบครีมสีทองมุกบริเวณเปลือกตา และหางตาด้านล่าง
  • ใช้อายไลเนอร์เขียนให้ชิดขอบตาให้มากที่สุด และไม่หนามาก
  • นำคัตเตอร์บัตแต้มอายแชโดว์แบบครีมสีน้ำตาลเข้มทาบริเวณหัวตา
  • ดัดขนตา หรือติดขนตาปลอมแบบไม่หนาเกินไป และใช้มาสคาราปัดขนตาอีกครั้งเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ
    ถ้าชอบลุคเกาหลีหน่อยๆก็เปลี่ยนจากอายแชโดว์สีทองมุกเป็นสีขมพูแทน แล้วใช้อาไลเนอร์ทาบริเวณหัวตาเบาๆ เท่านี้ก็ได้ลุคหวานๆแบบเกาหลีกันแล้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559

เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสันเครื่องสำอาง

0
เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสัน
สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้
เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสัน
สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้

สไตล์

สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้ ซึ่งแต่ละคนก็มีความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นสไตล์การแต่งตัวจึงมีหลากหลายตามบุคลิคของแต่ละคนที่จะทำให้ตัวเองดูเด่นและมีความมั่นใจที่จะแสดงออก

ตัวอย่างสไตล์ที่ได้รับความนิยม

สีพีชไสตล์สาวหวานๆ

หากคุณกังวลกับผิวที่ดูหมองคล้ำ สีเมคอัพที่เหมาะสมที่สุดคือสีพีช หากเติมสีสันให้ดวงตาและแก้มด้วยสีพีชประกายมุกเนื้อละเอียดอ่อนกับสีชมพูโทนนู้ด สีหน้าที่ดูเหนื่อยล้าจะหายไปในพริบตาอย่างแน่นอน หากกังวลว่าตาจะดูบวมการเขียนขอบตาให้เป็นเส้นคมด้วยอายไลเนอร์สีน้ำตาลจะช่วยได้มาก
• ทาเปลือกตาด้วยอายแชโดว์ชนิดครีมผสมมุกสีพีชบางๆให้ทั่ว หลังจากทาอายแชโดว์ชนิดครีม หากทาอายแชโดว์ชนิดแป้งพัฟจะช่วยให้เนื้อสีแน่นและติดทนนาน
• ทาอายแชโดว์สีพีชทับอีกครั้งหนึ่ง
• ใช้อายแชโดว์มุกสีเหลืองอ่อนทาใต้วงตาและบริเวณหัวตา สีพีชและสีเหลืองเป็นสีต่างกัน แต่ให้ความรู้สึกคล้ายกันหากใช้ 2 สีนี้ถ้าด้านบนและใต้ดวงตาจะทำให้ดวงตาดูมีมิติ
• เขียนขอบตาคมบางด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจลสีน้ำตาล
• ทาอายแชโดว์มุกสีน้ำตาลบางๆบนเส้นอายไลเนอร์
• เศษดินบริเวณโหนกแก้มและกรามเพื่อให้ใบหน้าดูเล็ก
• เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก้มด้วยบลัชออนสีคอรัลพีชหรือสีแสดผสมมุก
• ทาลิปสติกสีพีช

สีส้มอารมณ์ป่าเขตร้อนแสนสดชื่น

ผู้หญิงเอเชียมีผิวธรรมชาติที่ค่อนข้างเหลือง สีส้มจึงเป็นหนึ่งในบรรดาสีที่แต่งยากและท้าทาย แต่หากใช้สีบรอนร่วมด้วยแล้วเรื่องก็จะเปลี่ยนไปทันที ไม่มีคู่สีไหนจะเข้ากันได้ดีเท่ากับสีบรอนซ์กับสีส้ม ถ้าไม่อยากดูเชยต้องเลือกลิปสติกเนื้อแมตต์สีส้มสดใสที่ไม่มีประกายระยิบระยับ
• ทาอายแชโดว์ชนิดครีมสีบรอนซ์ทองบางๆให้ทั่วเปลือกตา
• ใช้แปรงทาอายแชโดว์สีบรอนซ์เพิ่มบางๆ
• เขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำตาล
• เขียนขอบตาล่างแค่ส่วนต้น ด้วยดินสอสีทองผสมประกายมุก ใช้สีเมทัลแผนที่บริเวณหัวตาหรือใช้เขียนขอบตาล่างแค่ส่วนต้น
• เน้นเฉพาะหางตาด้วยสีบรอนซ์และสีน้ำตาลทาบลัชออนชนิดครีมสีส้มไม่มีประกายมุกโดยการใช้นิ้วแตะแต้ม ใช้นิ้วแตะบลัชออนปริมาณเล็กน้อยเพียงครั้งเดียวแล้วเบลนด์ให้ไม่เป็นก้อน
• ทาลิปสติกสีส้มสดใส ถ้าต้องการให้สีดูเป็นธรรมชาติ ทาบลัชออนชนิดครีมแทนได้ สีส้มที่เจอสีเหลืองนั้นให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้น
เวลาที่ทาลิปสติกสีสดใสอย่างสีส้มหรือสีชมพูสดพลาดแล้วต้องแก้ไขนั้น ใช้แค่กระดาษทิชชูอย่างเดียวอาจทำได้ยาก แต่หากใช้เอกซ์โฟลิเอเตอร์สำหรับริมฝีปากเช็ดออกแล้วล่ะก็ จะทำความสะอาดริมฝีปากได้โดยไม่เหลือคราบ

สีฟ้าน้ำทะเลให้เต็มสองตา

เพราะหน้าร้อนมาถึงสีที่ทุกคนตามหาเป็นอันดับแรกสุดคือสีฟ้า ถ้าอยากดึงดูดสายตาผู้คนด้วยดวงตาอันเปี่ยมเสน่ห์ แทนที่จะทาอายแชโดว์สีฟ้าจนทั่วเปลือกตา หันมาเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์สีฟ้าแทน สีดีปบลูให้ความรู้สึกสดชื่นและทำให้แลดูอ่อนเยาว์ สวนศรีเนวีบลูนั้นช่วยแต่งดวงตาให้ดูเย็นสบายและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน
• ทาอายแชโดว์สีบรอนซ์อ่อนผสมมุกให้ทั่วทั้งเปลือกตา
• ทาอายแชโดว์สีวอร์มบราวน์เพิ่ม
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีแบล็กบลูเขียนขอบตาบนให้เต็มร่องขนตา
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอดีปบลูเขียนซ้อนขึ้นไปเป็นขอบตาแบบทูโทน
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีเนวีบลูเขียนใต้เส้นดินสอ เป็นเส้นบางๆเพื่อสร้างดวงตาที่คมชัด
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีน้ำตาลเขียนขอบตาล่าง
• ทาบลัชออนสีชมพูโทนเย็นเพิ่มความเปล่งปลั่งสดชื่นให้แก้ม
• ทาลิปสติกสีชมพูที่ให้ความรู้สึกสบายๆ
หากเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ผสมมุกที่เนื้อสีแน่นจะทำให้ดวงตาดูคมชัดและชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูละเอียดอ่อนมากๆ การแต่งหน้าสไตล์นี้ใช้สีแบล็คบลูที่ให้ความรู้สึกสบายๆและโดดเด่นแปลกตา เวลาเขียนขอบตาสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ให้เขียนเพียงขอบตาบนหรือล่างเพียงอย่างเดียว

สีม่วงสไตล์เซ็กซี่แสนยั่วยวน

ถ้าจะให้เลือกสีที่เน้นความโรแมนติกและความเซ็กซี่ไปในตัว แน่นอนว่าต้องเป็นสีม่วง สีม่วงที่ทำให้ดวงตาดูคมลึกและมีเสน่ห์น่าหลงใหลนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เมื่อจับคู่กับสโมกกี้อายหรือไม่ก็ขอบตาแบบดราม่า และอายแชโดว์ที่มีประกายวิบวับ ก็สามารถแต่งเป็นลุคงานปาร์ตี้ได้
• ทาอายแชโดว์สีไอซ์พิ้งค์ประกายมุกบนเปลือกตา
• ทาอายแชโดว์สีม่วงให้ทั่วเปลือกตา และถ้าต่อเนื่องกันไปยังขอบตาล่าง
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีม่วงน้ำเงินเขียนขอบตาบนและล่าง
• ทาอายแชโดว์สีไอซ์พิ้งค์ที่มีสปาร์คลิ่งให้บริเวณหัวตาดูโดดเด่น
• ดัดขนตาและปัดมาสคาร่าให้ขนตาโค้งงอนขึ้น
• ถ้าบลัชออนสีชมพูพีชโดยปัดเป็นแนวเฉลียงที่บริเวณสวนแอปเปิ้ล ให้พยายามแต่งตาขึ้นไปทางด้านบนเหมือนการแต่งเมคอัพที่หางตาสีขึ้น และบลัชออนขึ้นข้างบนเพื่อให้กรอบหน้าดูคมสวย
• ไฮไลท์บริเวณโซน C โซน T และส่วนสามเหลี่ยมให้หน้าดูสว่าง
• ทาลิปกลอสชมพูอ่อนบางๆบริเวณกลางริมฝีปากเท่านั้น

สีแดงสไตล์เรียบหรูดูแพง

ถ้าอยากแต่งหน้าโทนแดงลุคซอฟท์ให้ดูเนียนใสสไตล์เกาหลีแบบออกไปใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ไม่ได้จะโบ๊ะไปงาน แนะนำให้ใช้คุชชั่น เพราะเนื้อจะเบาบางกว่ารองพื้น แล้วตบตามด้วยแป้งอัดแข็งเบาๆ ไม่ต้องคัดเบ้าให้วุ่นวาย ทาปากสีแดงได้แบบสบายใจ ไม่ต้องกลัวใครมองว่าเว่อร์
• เขียนคิ้วตามโครงคิ้วเดิม ผมดำให้เลือกใช้สี Dark Brown และลดความเข้มของสีคิ้วด้วยมาสคาร่าคิ้ว
• ทาอายแชโดว์สีแดงให้ทั่วเปลือกตาและย้ำช่วงหางตา ให้ตาดูมีมิติมากขึ้น
• ใช้อายไลเนอร์แบบปากกากรีดตาบาง ๆ
• ดัดขนตาจากโคนขนตาไปถึงปลายขนตา แล้วปัดมาสคาร่า
• ใช้แปรงแตะอายแชโดว์โทนสีเบจไฮไลท์หัวตาให้ดูมีมิติและดูสว่างขึ้น
• บลัชออนอาจใช้เป็นสีโทนส้มอมแดงก็ได้ ไม่ต้องแดงจี๊ดเท่ากับตาหรือปาก แนะนำให้ปัดเบา ๆ
• เขียนขอบปากด้วยดินสอเขียนขอบปาก หรือแปรงสำหรับทาลิปสติก เพื่อกันลิปสติกเลอะจนต้องลบบ่อยๆ หรืออาจจะทาลงไปเลยแล้วใช้คอนซีลเลอร์ลบขอบปากหลังทาเสร็จก็ได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.