Home Blog Page 143

การดูแลซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวเมื่อมีปัญหา

0
การดูแลซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวเมื่อมีปัญหา
การมีสภาพผิวที่ดีได้นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลใส่ใจตั้งแต่ขั้นพื้นฐานในทุกๆส่วนของร่างกาย
การดูแลซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวเมื่อมีปัญหา
การมีสภาพผิวที่ดีได้นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลใส่ใจตั้งแต่ขั้นพื้นฐานในทุกๆส่วนของร่างกาย

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิว

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผิวพรรณที่ผ่องใสปราศจากริ้วรอยหรือจุดด่างดำ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาและคงปฏิเสธไม่ได้ด้วยเช่นกันว่ามีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้ในสิ่งที่ตนหวังไว้ ในขณะที่คนจำนวนมากต่างก็ประสบปัญหาผิวพรรณด้วยกันทั้งนั้น บ้างก็มีปัญหาเพียงเล็กน้อย บ้างก็มีปัญหามาก คงจะดีไม่น้อยหากสามารถ ดูแลฟื้นฟูสภาพผิว ให้ดูดีได้เท่ากันทุกส่วน เนื่องจากผิวในแต่ละส่วนมีความแตกต่างกัน การที่จะดูผิวให้ถูกต้องจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับผิวในส่วนนั้น ๆ อย่างละเอียดเสียก่อน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผิวส่วนต่าง ๆ และวิธีการแก้ปัญหาผิวที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ กรณีมีดังต่อไปนี้

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีการดูแลฟื้นฟูสภาพผิวต่างๆ

การดูแลฟื้นฟูสภาพผิวหน้าที่มัน

ผิวหน้ามันมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวมากจนเกินไปเป็นผลให้คนเรามีใบหน้ามัน รูขุมขนกว้าง จนเกิดการอุดตันของรูขุมขน เกิดสิวเสี้ยน และอาจรุนแรงจนถึงขั้นมีผิวหนังอักเสบ ( มีอาการหน้ามันมาก ในขณะที่ไรผม คิ้ว และผิวหนังข้างจมูกกับแห้งจนแตกเป็นขุย ) ตามมา มักพบในคนแถบเอเชียที่มีภูมิอากาศร้อนอบอ้าว ปัญหาหน้ามันสามารถดูแลได้ง่าย ๆ ดังนี้

ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อย ๆ นอกจากจะไม่ช่วยลดความมันบนใบหน้าแล้ว ยังอาจเป็นการทำลายไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องผิว ทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ได้ในที่สุด หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้ใช้เครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ( oil free ) เป็นหลัก

หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้า เนื่องจากธรรมชาติของผิวมันจะมีการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวในปริมาณที่มากอยู่แล้ว ยังผลให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น หากดันทุรังทาลงไปอีกจะยิ่งเพิ่มความมันให้กับผิวมากขึ้น จนอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้

สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามันมาก ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Alcohol อาจช่วยหยุดความมันส่วนเกินได้บ้าง
ควรล้างหน้าวันละ 1-2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์หรือสารที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวได้ เช่น สาร SLS,SLES

ในคนที่มีสิวแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีจำพวกเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ กรดซาลิไซลิก เนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และช่วยลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากเกินไปอาจส่งผลให้ผิวแห้งได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่รูขุมขนกว้าง

รูขุมขนกว้างเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มักพบบ่อยและสร้างความปวดหัวให้แก่ผู้ที่ประสบปัญหานี้เป็นอย่างมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาผิวในส่วนอื่น ๆ เลย มักพบรูขุมขนขนาดใหญ่บริเวณด้านข้างหรือปลายจมูก รวมไปถึงบริเวณที่มีความมัน
มาก ๆ แม้ว่ารูขุมขนขนาดใหญ่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ แต่ผู้หญิงหลายคนอาจไม่ชอบเพราะมันทำให้ผิวแลดูหยาบกร้านไม่น่ามอง
รูขุมขนเป็นทางออกของเส้นขนและไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง เราเรียกส่วนนี้ว่าไพโลซีเบเชียสยูนิต สาเหตุที่ทำให้รูขุมขนมีขนาดใหญ่คือ การที่ต่อมไขมันซึ่งเชื่อมต่อกับรูขุมขนดังกล่าวมีขนาดใหญ่และมีการผลิตน้ำมันออกมามาก

วิธีจัดการกับปัญหารูขุมขนกว้างที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้นั่นก็คือการกระชับรูขุมขนด้วยกรดวิตามินเอหรือกรดเอเอชเอในบริเวณที่มีปัญหา จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้บ้าง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทากรดเอเอชเอในตอนเช้าอย่างเบามือ แล้วทากรดวิตามินเอหรือสารผสมกรดวิตามินเอกับกรดไกลโคลิกก่อนนอน อาการรูขุมขนกว้างจะดีขึ้น

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการขัดหน้าหรือการประคบหน้าด้วยน้ำแข็งจะช่วยลดขนาดของรูขุมขนได้ แต่แท้จริงแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อาจทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงได้ การขัดหน้าเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงเท่านั้น ในขณะที่การประคบหน้าด้วยน้ำแข็งก็เพียงแต่ทำให้รูขุมขนหดตัวได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปรูขุมขนก็จะกลับมาขยายใหญ่เท่าเดิม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวหน้าที่แห้ง

อาการผิวหน้าแห้งโดยทั่วไปเกิดจากการขาดน้ำของเซลล์ผิวหนังชั้นบน หรือความสามารถในการลอกตัวของเซลล์ผิวหนังชั้นบนไม่ดีพอ การถูกแสงแดดแผดเผาเป็นเวลานาน การโดนสารเคมีที่มีความรุนแรงบ่อย ๆ สภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำ หรือแม้แต่การดูแลผิวที่มากจนเกินพอดี เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1. วิธีป้องกันมิให้ผิวแห้งคือ
ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
ปรนนิบัติผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม
หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดที่ร้อนแรงโดยตรง
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ร้อนหรือหนาวจัด
การผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี
หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดผิวแห้ง
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือผลิตภัณฑ์ถนอมผิวที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพื่อช่วยสร้างความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารที่ทำให้เกิดแรงตึงผิวอย่างอ่อน ๆ ( Mild Surfactant ) และมีค่าความเป็นกรดด่างที่ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนัง เป็นต้น

2. สำหรับคนที่ชอบแต่งหน้า
หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ปราศจากสารกันบูดหรือหัวน้ำหอม

  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายต่อผิว
  • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) มิเนอรัลออยล์ ( Mineral Oil ) และแว็กซ์ ( Wax ) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าโคลด์ครีม ( Cold Cream ) เพื่อล้างเครื่องสำอางออก และชำระล้างผิวหน้าซ้ำอีกครั้งด้วยสบู่สมุนไพรจากธรรมชาติเพื่อทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจดและสบู่สมุนไพรจากธรรมชาติยังช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์หลังล้างหน้าเพื่อบำรุงผิวทุกครั้ง

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่มีริ้วรอยรอบดวงตา

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่มีความบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าส่วนอื่น ๆ รอยเหี่ยวย่นหรือรอยหมองคล้ำที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตาจะส่งผลให้ใบหน้าแลดูทรุดโทรมได้ชัดเจนที่สุด ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดรอยย่นรอบดวงตาประกอบด้วย 4 ปัจจัยได้แก่ แสงแดด ภาวะขาดความชุ่มชื้น การกระตุ้นผิวรอบดวงตาด้วยความรุนแรงและบ่อยครั้ง หรือแม้แต่การใช้สายตามาก ๆ เป็นต้น เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรงเป็นเวลานาน ๆ หากต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นตาดำ หมวกปีกกว้าง หรือกางร่ม
  • รักษาความชุ่มชื้นรอบดวงตาด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อดวงตาโดยเฉพาะ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ถู หรือขัดผิวรอบบริเวณดวงตาอย่างรุนแรง
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายตาที่มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เกิดอาการตาบวม อันจะนำไปสู่การเกิดริ้วรอยรอบดวงตาในที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ทางสีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิ้มที่มากเกินไป เพราะการหดตัวเข้าหากันของกล้าม-เนื้อใบหน้าที่บ่อยครั้งจนเกินไปจะทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหางตาได้ง่าย
  • ควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ ทุก ๆ 1 ชั่วโมงประมาณ 10-15 นาที ควรกระพริบตาบ่อย ๆ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อตาและทำให้ลูกตาชุ่มชื้น มองออกไปไกล ๆ หรือมองสิ่งของที่เป็นสีเขียว เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อดวงตาที่อ่อนล้า หรืออาจนั่งหลับตาเพื่อให้กล้ามเนื้อดวงตาได้พักผ่อนเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์ หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ ต้องใช้สายตามากๆ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณถุงใต้ตาที่หมองคล้ำ

โดยทั่วไปแล้วปัญหาถุงใต้ตาคล้ำมี 4 ลักษณะ ได้แก่ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ จนทำให้เลือดที่ไปหล่อเลี้ยงผิวรอบดวงตาไหลเวียนไม่สะดวก การที่ผิวบริเวณเปลือกตาล่างหย่อนคล้อยเข้าหากันหรือการที่โพรงเบ้าตาลึกจนทำให้เกิดเงาใต้ตา และดูเหมือนมีถุงใต้ตาคล้ำอยู่ตลอดเวลา การที่ผิวบริเวณใต้ตามีเม็ดสีมากกว่าปกติ ซึ่งมักพบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และการที่มีเลือดสีคล้ำ ทำให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีสีคล้ำไปด้วย

วิธีการรักษาอาการถุงใต้ตาคล้ำที่ถูกต้องคือการแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการ ได้แก่ การนอนหลับให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q10 การใช้เลเซอร์ในการลบรอยดำ หรือการกินอาหารบางอย่างที่มีฤทธิ์ในการรักษาอาการผิดปกติดังกล่าวให้มากกว่าเดิม

การนอนหลับอย่างเพียงพอ นอกจากจะช่วยลดความคล้ำของผิวหนังใต้ตาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพทั่วไปให้สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย ดังจะสังเกตได้จากคนที่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มจะมีใบหน้าที่สดใสเปล่งปลั่ง ในขณะที่คนที่อดนอนบ่อย ๆ มักจะพบว่าดวงตาดำคล้ำ ใบหน้าอิดโรยแล้ว แถมสุขภาพยังไม่สู้ดีอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อป้องกันมิให้เลือดเป็นสีคล้ำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เนื่องจากเนื้อสัตว์มีฤทธิ์ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดและมีสีคล้ำขึ้น ควรกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างเพื่อช่วยปรับเลือดให้มีค่าความเป็นด่างที่สมดุล เช่น ผลไม้รสเปรี้ยวและผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุดของร่างกาย และไวต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจใช้สารเคมีหรือทำการรักษาใด ๆ กับผิวหนังใกล้ดวงตาการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณคอที่ย่น

คอย่นนอกจากจะเป็นสิ่งที่ไม่น่ามองแล้ว คอที่หย่อนยานยังเป็นสิ่งบ่งบอกถึงอายุที่มากขึ้นของผู้หญิงด้วยเช่นกัน นอกจากใบหน้าที่ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคอก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม แม้ว่าจะไม่ต้องปฏิบัติให้มากเท่ากับใบหน้าก็ตาม ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกที่ดึงกล้ามเนื้อของคอให้หย่อนยานลงในแนวดิ่งทุกวินาที

กิจกรรมที่ทำอยู่ทุกวันก็มีส่วนเร่งให้กล้ามเนื้อและผิวบริเวณคอหย่อนยานและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการนอนหนุนหมอนที่ทำให้เกิดริ้วรอยหลังคอ หรือแม้แต่การทาครีมที่ผิดวิธี เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยก่อนวัย หากเป็นไปได้ให้นอนโดยไม่ต้องหนุนหมอนและทาครีมในทิศทางที่ย้อนขึ้นหาใบหน้า หรือในทิศทางต้านแรงโน้มถ่วง หลีกเลี่ยงการทาในแนวดิ่งหรือทากลับไปกลับมา

ความเสื่อมโทรมเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคอหย่อนยานก็ถึงเวลาที่เราจะต้องพึ่งตัวช่วยบางอย่างที่นอกเหนือจากการทำใจ วิธีแก้ไขสัญญาณมี 2 วิธี เช่นการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการผ่าตัดดึงเนื้อที่หย่อนยานให้ตึง และการใช้ Botox ฉีดเข้ากระชับกล้ามเนื้อที่หย่อนยานให้กลับมาตึงอีกครั้ง

ทั้งสองวิธีนี้ต่างก็มีข้อเสียที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนต้องชั่งใจก่อนที่จะทำการผ่าตัด คนไข้ต้องเสียเลือดมาก ต้องนอนพักฟื้นเป็นเวลานานและเสียค่าใช้จ่ายมาก ในขณะที่การฉีดโบท็อกก็มีอันตรายมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากการทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวคลายตัวกลับมาตึงดังเดิม ผู้เชี่ยวชาญต้องใช้โบทอกซ์ในปริมาณที่มากกว่าที่ใช้กับใบหน้า 5-10 เท่า และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมา เช่น ทำให้การตั้งศีรษะเสียสมดุลและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคอมีรอยย่นอยู่บ้างแต่ไม่ถึงกับหย่อนคล้อยจนต้องพึ่งการศัลยกรรม รอยย่นดังกล่าวอาจเกิดจากการขาดน้ำหรือวิตามินมาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ยังผลให้ผิวบริเวณคอเหี่ยวย่น แห้งกร้านและไม่สดใสเท่าที่ควรให้แก้ด้วยการ

  • ทาครีมบำรุงอย่างเบามือทุกเช้าและก่อนนอน
  • ดื่มน้ำให้มากๆ
  • กินผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูงหรือกินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
  • บริหารคออย่างสม่ำเสมอด้วยการเงยหัวไปข้างหลัง อ้าปากให้กว้างที่สุด แล้วหุบให้สนิททันที ทำซ้ำประมาณ 10 ถึง 15 ครั้ง จะช่วยคืนความเต่งตึงและกระชับให้แก่ลำคอได้ไม่ยาก

หัวนมดำ

หัวนมดำเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงจำนวนไม่น้อย แม้ว่าแนวโน้มที่เราจะโชว์ผิวหนังส่วนนี้ให้คนอื่นเห็นจะค่อนข้างน้อยเต็มที แต่การมีหัวนมที่สวยงามย่อมสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจให้แก่ผู้หญิงหลายคนได้ไม่น้อยเช่นกัน

ความต้องการที่จะมีหัวนมเป็นสีชมพูหรือแดงแลดูเป็นธรรมชาติ จึงมีบริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากผลิตครีมหรือยาที่โอ้อวดอ้างสรรพคุณว่ามีฤทธิ์ในการปรับสีของหัวนมที่หมองคล้ำหรือดำให้มีสีจางหรือมีสีชมพูสวยได้ ยังผลให้ผู้หญิงจำนวนมากหาซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาทากันอย่างแพร่หลาย

อาการหัวนมคล้ำหรือดำเป็นอาการที่สืบเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทำให้มีการสร้างและการกระจายตัวของเมลานินเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เมลานินดังกล่าวก็มีขนาดใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีสรรพคุณในการรักษาอาการหัวนมดำหรือคล้ำกว่าปกตินั้น อาจไม่ได้ผลดีเท่าใดนัก เนื่องจากเม็ดสีที่เป็นสาเหตุของหัวนมคล้ำจะถูกสร้างขึ้นในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป และอาการหัวนมคล้ำก็เป็นอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การทายาจะช่วยให้เม็ดสีที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังตื้น ๆ จางลงไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีอีกครั้งหัวนมก็จะกลับมาคล้ำดังเดิม นั่นย่อมหมายความว่าไม่มีทางเลยที่เราจะทำให้หัวนมของเราหายหมองคล้ำได้อย่างถาวร เว้นเสียแต่ว่าเราจะพึ่งการศัลยกรรมด้วยการสักหัวนมให้เป็นสีชมพูหรือแดงระเรื่อตามที่ต้องการ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แต่เนื่องจากสีเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมจึงอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและอาการแพ้ตามมาได้ง่าย ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำเพื่อความปลอดภัยจากอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ดังกล่าว การดูแลทำความสะอาดหัวนมอย่างสม่ำเสมอ และทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิงหรือกรดเอเอชเอที่มีฤทธิ์ในการทำให้ผิวสดใสเหมือนผิวหนังส่วนอื่น ๆ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวรักแร้

อาการดำคล้ำของรักแร้โดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยอัน ได้แก่ การหย่อนคล้อยเข้าหากันของผิวหนังที่มักพบตามข้อพับต่าง ๆ เช่น คอ หรือรักแร้ ยังผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสีคล้ำมากกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเป็นกันทุกคน การเสียดสีกันไปมาของผิวหนังซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณข้อพับ และการหนาขึ้นของผิวหนังหรือที่เรียกว่า Acanthosis Nigrican ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนอ้วน ผู้ป่วยมะเร็งในช่องท้องหรือผู้ป่วยโรคเบาหวาน สิ่งเหล่านี้ถือว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่จากเดิมเคยมีลักแร้ที่ขาวนวลน่ามองแต่วันดีคืนดีกับหมองคล้ำ อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นเข้าร่วมด้วย ซึ่งจะต้องทำการสังเกตและพิจารณาถึงสาเหตุของการเกิดนั้นให้ดี
สำหรับผู้ที่มีรักแร้ดำคล้ำขึ้นมา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำวิธีแก้ไขโดยหากจำเป็นต้องขจัดขนรักแร้ให้เลือกใช้วิธีที่นุ่มนวลและสามารถขจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงอันจะก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองกับผิวหนัง การขจัดขนด้วยเลเซอร์

การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ใช้ทารักแร้และสารเคมีบางตัวที่เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้น อาจสร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวหนังทีละน้อย ๆ จนทำให้ผิวหนังดำคล้ำขึ้นมาได้

การใช้กรดเอเอชเอหรือผลิตภัณฑ์ปรับผิวขาวประเภทไวท์เทนนิงครีมทาบริเวณที่ดำจะช่วยได้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับทําให้รักแร้กลับมาขาวนวลเนียนอย่างที่โฆษณาบอกไว้

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวที่มีกรดเอเอชเอที่เข้มข้นมาก ๆ เพราะกรดที่เข้มข้นมากไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยให้รักแร้ขาวเร็วขึ้นแล้ว แต่ยังอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง อักเสบ เป็นผื่นแดง จนอาจทำให้ผิวหนังดำคล้ำยิ่งกว่าเดิมได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

คำแนะนำสุดท้ายคือการยอมรับสิ่งที่ธรรมชาติให้มา เนื่องจากรักแร้เป็นส่วนที่คล้ำมากกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ อยู่แล้ว และยังไม่มีสิ่งใดสามารถแก้ปัญหานี้ได้ การดูแลรักแร้ที่มากเกินไป ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว ยังเป็นการรบกวนผิวหนังของรักแร้ที่บอบบางให้ระคายเคืองจนเกิดอาการแพ้ อักเสบ และผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นรักแร้ที่สีคล้ำยิ่งกว่าเดิม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณข้อศอก

เมื่อตอนเราเป็นเด็กผู้ใหญ่มักตักเตือนเสมอว่าไม่ให้คลานเข่าหรือเอาศอกวางไว้ตามที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ผิวด้าน ธรรมชาติของผิวหนังจะมีการสร้างตัวเองให้มีความหนาขึ้นเพื่อป้องกันตัว หากได้รับแรงเสียดทานหรือแรงกระแทกอย่างต่อเนื่อง ยังผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวหยาบกร้าน ซึ่งจะเห็นได้จากผิวหนังบริเวณเท้าและมือ หรือตาตุ่มที่จะมีความหนามากขึ้นหากได้รับการเสียดสีหรือรับแรงกระแทกอยู่บ่อยครั้ง

เพื่อป้องกันผิวหนังด้านหรือหยาบกร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณข้อศอก หัวเข่า ตาตุ่ม หรือจุดสำคัญอื่น ๆ ในร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกหรือเสียดสีผิวหนังบริเวณดังกล่าวให้มากที่สุด เช่น ไม่วางศอกไว้ตามที่ต่าง ๆ หรือเท้าคาง ใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน เป็นต้น

การทำเช่นนี้อาจเป็นสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับคนที่เคยชินกับพฤติกรรมดังกล่าว แต่หากคุณฝึกตัวเองอยู่เป็นนิจก็จะติดเป็นนิสัย หากเวลานี้ข้อศอก หัวเข่า หรือตาตุ่มด้านแล้ว เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวและทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเนียนนุ่มยิ่งขึ้น ให้ขัดผิวหนังที่ด้านด้วยสครับที่ทำจากธรรมชาติหรือใยบวบขัดอย่างเบามือที่สุด เพื่อป้องกันอาการอักเสบหรือเกิดการบาดเจ็บเป็นแผล การขัดอย่างเบามือจะช่วยลอกผิวหนังที่หนาเกินไปออกทีละน้อย หลังจากนั้นให้ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอหรือกรดแลคติกที่มีฤทธิ์ในการลอกเซลล์ผิวให้หลุดออกไปอย่างนุ่มนวล นอกจากนั้นควรทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวเป็นประจำ ผิวที่ด้านและหยาบกร้านก็จะเริ่มเนียนนุ่มน่าสัมผัสมากขึ้น

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดสิวบริเวณแผ่นหลัง

สิวที่แผ่นหลังเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบกันบ่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเราที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น สิวเสี้ยนที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังเป็นสาเหตุจากการปล่อยให้แผ่นหลังสัมผัสความชื้น ความร้อน เป็นเวลานาน ๆ และบ่อยครั้ง
ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว บวกกับเครื่องแต่งกายที่หนา ระบายความร้อนและความอับชื้นได้ยาก มีตะเข็บและซิปที่เด่นชัด ยังผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอุดตันจนเกิดเป็นสิวตามมาในที่สุด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อขจัดปัญหานี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญกับความอับชื้น ความร้อน เหงื่อ และการเสียดสีที่มากจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่หนาหรือรัดแน่นจนทำให้รู้สึกอึดอัด ควรใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย สามารถระบายความร้อนและความอับชื้นได้ดี ใส่เสื้อชั้นในแบบไร้สาย ชุดที่ไม่มีตะเข็บเด่นชัดหรือมากจนทำให้เสียดสีกับผิวไปมา เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับและการเสียดสีที่อาจนำไปสู่การเป็นสิว ทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างทั่วถึงและหมดจดทุกครั้งที่อาบน้ำ นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมกับสภาพผิวแล้ว อาจใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในระหว่างที่อาบน้ำ เช่น แปรงถูหลัง เพื่อให้สามารถทำความสะอาดแผ่นหลังได้อย่างทั่วถึง หลีกเลี่ยงการบีบเค้นสิวหรือขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้สิวอักเสบจนเกิดเป็นรอยแผลได้ แต้มแอสตรินเจนต์ (Astringent) ตรงบริเวณที่เป็นสิวอักเสบทุกครั้งหลังอาบน้ำจะช่วยแก้ปัญหาได้ดี

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบนใบหน้าที่เกิดสิว

สิวเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮอร์โมนเพศชายในร่างกาย ระดับน้ำตาลหรือไขมันที่มากเกินไป กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานผิดปกติ การทำความสะอาดผิวที่ไม่ดีพอ ระดับฮอร์โมนขาดความสมดุล อดนอน ท้องผูก ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชายจะไปกระตุ้นทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจากไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่าโคมิโดน ( Comedone ) เมื่อรูขุมขนเกิดการอุดตันจนไม่สามารถระบายไขมันออกมาได้ ทำให้เกิดสิวหัวขาวขึ้นมาให้เห็น และอาจเกิดอาการอักเสบได้ในเวลาต่อมา หากสิวทำปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียหรือได้รับการรบกวนจากการดึง บีบหรือเค้น จนในที่สุดสิวดังกล่าวจะหายไป แต่จะเหลือรอยแผลเป็นเอาไว้แทน

วิธีรักษาสิวสามารถทำได้หลายแบบทั้งแบบที่ใช้ยากินและยาทา ยากิน ได้แก่ ยาลดอาการอักเสบ ยาปฏิชีวนะ รวมไปจนถึงวิตามินบางอย่างที่มีสรรพคุณในการซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดจากการอักเสบของสิว ยาทาสิว ได้แก่ กรดวิตามินเอชนิดทา กรดอะซีเลอิก เบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ เป็นต้น แต่ในการรักษาสิวใด ๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้รักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและประเภทของสิวที่คุณเป็นอยู่ หลีกเลี่ยงการนำยาของคนอื่นมาทาโดยพลการ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง ผิวแห้งจนถึงลอกได้ เพื่อความปลอดภัยและให้แน่ใจว่ารักษาอย่างถูกวิธี ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อเป็นสิว ทำไงดี?

  • เมื่อเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการแคะบีบ หรือแกะสิว
  • ปฏิบัติต่อผิวด้วยความระมัดระวัง เพราะผิวที่อักเสบอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่ยากต่อการรักษาในภายหลังได้
  • หลีกเลี่ยงการล้าง เช็ด หรือสัมผัสใบหน้าอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้งจนเกินไป
  • หากจำเป็นต้องแต่งหน้าให้ใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดสิว
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนังหรือต่อมไขมัน เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
  • หากจำเป็นต้องใช้ยารักษาสิว ให้ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดไม่ควรซื้อยามารักษาเองตามลำพัง

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดจากฝ้า

ฝ้าเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีมากกว่าปกติ จนทำให้ผิวหนังมีสีเข้มกว่าผิวหนังบริเวณรอบ ๆ โดยมีสาเหตุมาจากการเผชิญหน้ากับแสงแดดจัด ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานและบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากอนุมูลอิสระในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น การกินยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ การได้รับรังสียูวีเอและยูวีบีจากแสงแดด ความร้อน และมลภาวะ โดยฝ้าดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน ๆ ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม และอาจมีขนาดเล็ก ๆ เป็นจุดไปจนถึง
ปลื้นขนาดใหญ่น่าเกลียดได้ หากปราศจากการดูแลรักษาที่เหมาะสม ฝ้าอาจมีสีเข้มและมีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

มีการพบว่าคนที่อายุมากกว่า 25 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นฝ้ามากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากกระบวนการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนังด้อยประสิทธิภาพลง ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเป็นฝ้าได้ ด้วยการเผชิญกับปัจจจัยเสี่ยงดังกล่าวและการอ่อนแอลงของผิว ทำให้กระบวนการทำงานของผิวเสียสมดุลจนนำไปสู่การผลิตเมลานินที่ผิดปกติและเกิดเป็นฝ้าในที่สุด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โดยทั่วไปแล้วฝ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ฝ้าชนิดตื้น
เป็นฝ้าที่เกิดในชั้นหนังกำพร้า มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม สังเกตเห็นได้ชัดเจน พบมากบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก

2. ฝ้าชนิดลึก
เป็นฝ้าที่เกิดในชั้นหนังแท้ มีสีอ่อนกว่าชนิดแรก สังเกตไม่ค่อยเห็น ใช้เวลาในการรักษานานกว่าชนิดแรก

3. ฝ้าชนิดผสม
เป็นทั้งฝ้าชนิดตื้นและลึกที่เกิดขึ้นพร้อมกันในบริเวณเดียวกัน

การรักษาฝ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบภายนอกและแบบภายใน แบบภายนอกจะใช้วิธีทายาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินของเซลล์สร้างเม็ดสีจำพวกปรอท สเตียรอยด์ และไฮโดรควิโนนและยาที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกให้หลุดลอกออกไป เช่น กรดวิตามินเอ บีเอชเอ และกรดซาลิไซลิก รวมไปถึงการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ ในขณะที่การรักษาฝ้าแบบภายในผู้เชี่ยวชาญจะให้คนไข้กินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณปรับสมดุลของผิว เช่น อาหารเสริมที่สกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและผิวพรรณ แต่เนื่องจากการรักษาฝ้าจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับยาและสารเคมีอันตรายหลายอย่าง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น การรักษาฝ้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามอาจไม่ช่วยอะไรเลย หากยังคงดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นฝ้าอีกครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาออกมาดีเยี่ยมและป้องกันการกลับมาเป็นฝ้าอีกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยปราศจากการปกป้องผิวจากรังสีอันตราย ทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกไปกลางแจ้ง สวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นตากันแดด หรือกางร่มที่ช่วยกรองรังสียูวี เป็นต้น

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดกระ

กระเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองของผิวหนัง มีสาเหตุมาจากเซลล์สร้างเม็ดสีมากกว่าปกติเมื่อถูกแสงแดด ส่งผลให้เกิดจุดสีเข้มเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไปบนใบหน้าในชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังจะสร้างเมลานินเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้รับแสงแดดแรง ๆ เป็นเวลานานติดต่อกันเพื่อป้องกันมิให้แสงแดดเข้าไปทำร้ายผิว สามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กระสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. กระเด็ก
กระเด็กมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และจะมีสีเข้มมากขึ้นเมื่อโดนแดด มักพบในเด็กฝรั่งช่วง 3 ขวบ มักปรากฏบนผิวที่โดนแดดบ่อย ๆ เช่นใบหน้าและลำคอ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะน้อยลงตามลำดับ

2.กระแดด
กระแดดลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเรียบไม่นูนยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งมีมากขึ้น เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม มักเกิดขึ้นกับผู้ที่ตากแดดบ่อย ๆ

นอกจากกระ 2 ลักษณะนี้แล้ว ยังมีรอยดำอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับกระ เช่น กระเนื้อ กระลึก ไฝธรรมดา ปานโอตะ ปานเบกเคอร์วีนัส ขี้แมลงวัน ปานน้ำตาล ปานดำ มะเร็งผิวหนัง

การรักษากระที่นิยมทำในปัจจุบันมี 3 วิธี ได้แก่ การใช้ยาแต้ม ยาทาและการรักษาด้วยเลเซอร์ ทั้ง 3 วิธีนี้ จะทำลายเซลล์บริเวณที่เป็นกระ ทําให้กระมีสีจางและหายไปในที่สุด การรักษากระด้วยยาแต้มจะเป็นการแต้มกระด้วยสารเคมีที่มีความเป็นกรดสูง ซึ่งจะทำลายเซลล์เม็ดสีที่อยู่บนผิวหนังชั้นนอกให้หลุดลอกออกไป ส่วนการรักษากระด้วยยาทา แพทย์จะใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ในการลอกผิวชั้นนอกให้หลุดออกไป เช่น กรดวิตามินเอ กรดเอเอชเอ ทำให้เม็ดสีที่อยู่ในชั้นผิวดังกล่าวหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น แต่ยังคงเหลือเซลล์สร้างเม็ดสีที่ทำหน้าที่ในการผลิตเม็ดสีในอัตราเท่าเดิม ทำให้กระแลดูจางลง
นอกจากนั้นแพทย์อาจใช้สารเคมีที่ช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติที่จะออกฤทธิ์ในกระบวนการสร้างเม็ดสี
เช่น นิโคไรซ์ ( Licorice ) อาร์บูติน ( Arbutin ) ไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) เป็นต้น

ส่วนการรักษากระด้วยเลเซอร์จะเหมาะสำหรับกระเนื้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นเนื้อนูนขึ้นมาแต่ไม่เหมาะกับกระธรรมดา เนื่องจากความร้อนจากเลเซอร์อาจไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียงให้ได้รับอันตราย ซึ่งอาจก่อให้เกิดรอยดำยิ่งกว่าเดิม เว้นแต่แสงเลเซอร์นั้นจะถูกออกแบบมาให้เหมาะกับกระที่เป็นโดยเฉพาะ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวมุมปาก

มุมปากดำเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจทำลายความมั่นใจของใครหลาย ๆ คนให้หมดลง เพราะคงดูไม่ดีแน่ที่เมื่อคุณเอ่ยปากพูดหรือฉีกยิ้มแล้วแทนที่คู่สนทนาของคุณจะมองเห็นรอยยิ้มที่สวยงาม เขากลับสะดุดตาที่รอยดำคล้ำน่าเกลียดที่มุมปากสองข้างอย่างช่วยไม่ได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รอยดําที่มุมปากทั้งสองข้างเกิดจากการอักเสบเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งมีสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ ภาวะการขาดวิตามินดีที่นำไปสู่โรคปากนกกระจอก และการแพ้สารเคมีที่อยู่ในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่ทำให้รู้สึกคันปากยิบ ๆ ซึ่งต้องเกาปากบ่อย ๆ จนทำให้ผิวหนังบริเวณมุมปากเกิดการอักเสบ หนา และคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อรักษาอาการดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการรักษารอยดำให้จางหายไป เช่น ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ และยาประเภทฮอร์โมนหรือใช้วิธีรักษารอยดำด้วยระบบไอออนโตโฟเรซิส ซึ่งเป็นวิธีที่จะนำสารออกฤทธิ์ในยาซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไปได้ดีกว่าการทาแบบธรรมดา

ทั้งนี้การใช้ยาหรือวิธีการรักษาแบบใดก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหาซื้อยามาทานเอง เพราะนอกจากอาการจะไม่ดีขึ้นแล้วยังอาจก่อให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวริมฝีปาก

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากดำคือการใช้ลิปสติกแล้วทำความสะอาดออกไม่หมด เหลือคราบลิปสติกตามร่องของริมฝีปาก ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี จะทำให้ริมฝีปากหมองคล้ำ เหี่ยว และเห็นรอยแตกอย่างชัดเจน ส่วนการสูบบุหรี่ การเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานานและบ่อยครั้ง และการปล่อยให้ริมฝีปากแห้งขาดความชุ่มชื้นจนหมองคล้ำแห้งกร้านก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากดำด้วยเหมือนกัน

วิธีแก้ไขปัญหาริมฝีปากดําที่ดีที่สุดคือ

  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสี สารกันบูด หรือหัวน้ำหอมที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ได้
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์
  • หากมีโอกาสลองหาสครับที่ออกแบบมาเพื่อขัดริมฝีปากมาใช้ดูจะช่วยให้สามารถทำความสะอาดริมฝีปากได้ดียิ่งขึ้น
  • หมั่นทำความสะอาดริมฝีปากอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณทาลิปสติก ให้ใช้โลชั่นที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดริมฝีปากโดยเฉพาะต้องเช็ดคราบลิปสติกออกให้หมด
  • หลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วให้ทาลิปทรีตเมนต์ก่อนที่จะทาลิปบาล์มเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปากเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว หรือหากต้องทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ เพราะอากาศจะแห้งมาก
  • ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่มแปรงริมฝีปากอย่างเบามือเพื่อขจัดคราบลิปสติกรวมไปจนถึงสิ่งสกปรกอื่น ๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดคราบลิปสติกได้หมดจดแล้ว ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ส่งผลให้ปากนุ่มนวล อิ่มเอิบ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมควรทำทุกวัน
  • ทาลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารกันแดด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
  • หลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก เพราะจะยิ่งทำให้ริมฝีปากแห้งและคล้ำกว่าเดิม
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดโดยปราศจากสิ่งป้องกัน

ริมฝีปากแตกเป็นขุย

เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบเห็นกันบ่อย ๆ อาการแตกหรือแห้งเป็นขุยของริมฝีปาก มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ การดื่มน้ำน้อย การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อากาศหนาว หรืออยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือแม้แต่การแพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น

การแก้ปัญหาอาการแห้งแตกของริมฝีปากให้ใช้เบกกิ้งโซดาผสมน้ำสะอาดสักเล็กน้อยคนให้เข้ากันจนได้ส่วนผสมที่ข้นเหลวป้ายส่วนผสมลงบนริมฝีปากให้ทั่ว ใช้นิ้วถูเบาเบา ๆ ประมาณ 2-3 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดริมฝีปากจะเนียนนุ่มลื่นไม่เป็นขุย ปิดท้ายด้วยการทาวาสลีนบาง ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและเนียนนุ่มเอาไว้

อีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันและใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้นคือ การทาวาสลีนให้ทั่วริมฝีปาก ทิ้งไว้สักพักแล้วเช็ดออกด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ เช็ดขุยแห้ง ๆ ที่เกาะตามริมฝีปากออกให้หมด หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นแล้วนำมาเช็ดริมฝีปากให้ทั่วอีกครั้ง นอกจากจะช่วยขจัดขุยที่ไม่น่าดูออกไปอย่างหมดจดแล้ว ยังทำให้ริมฝีปากเนียนนุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขยามฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อให้ได้ริมฝีปากที่เนียนนุมชุ่มชื้นอย่างถาวรควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำ
  • เพื่อป้องกันอาการแพ้จากสีสังเคราะห์ เปลี่ยนยี่ห้อลิปติกทันทีที่มีอาการแพ้ ทาผลิตภัณฑ์รักษาความชุ่มชื้นที่ออกมาสำหรับริมฝีปากโดยเฉพาะ เพียงเท่านี้ริมฝีปากที่เนียนนุ่มชุ่มชื้นก็จะอยู่กับคุณไปอีกนานเท่านาน
  • ทดสอบลิปสติกที่จะใช้ก่อนทุกครั้ง หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีส่วนผสมของสี น้ำหอม หรือสารกันบูด ( หากเป็นไปได้ ) เลือกลิปสติกที่มีสีอ่อน หากต้องการได้รับประโยชน์ในการบำรุงเพียงอย่างเดียว
  • หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก เพราะจะทำให้ปากแห้งมากยิ่งขึ้น

การที่จะมีผิวในทุกๆส่วนสุขภาพดีทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละส่วนจะต้องมีวิธีการดูแลที่ต่างกัน ดังนั้นเราควรมีความรู้พื้นฐานและวิธีแก้ปัญหาให้ละเอียดเสียก่อน แล้วเราก็จะได้ผิวที่ดีครบทุกส่วนตามที่ใจปรารถนา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่แพ้เครื่องสำอาง

อาการแพ้เครื่องสำอางเกิดจากการที่ร่างกายมีอาการระคายเคือง มีอาการแพ้แสงหรือแพ้ส่วนผสมที่อยู่ในเครื่องสำอาง โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนและระคายเคืองบริเวณที่ทาเครื่องสำอาง ความรุนแรงของอาการแพ้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของความเข้มข้นและความเป็นกรดด่างของเครื่องสำอาง รวมทั้งตำแหน่งที่ทาเครื่องสำอาง โดยทั่วไปแล้วอาการแพ้เครื่องสำอางมักมีหลายรูปแบบ ได้แก่ อาการระคายเคือง อักเสบ มีสิว มีผื่นขาวเป็นลมพิษ ภูมิแพ้ และอาจรุนแรงจนถึงขั้นผมและเล็บเปลี่ยนสีได้

เมื่อเกิดอาการแพ้เครื่องสำอาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณปฏิบัติดังต่อไปนี้
ทดสอบอาการแพ้เครื่องสำอาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ลองทาเครื่องสำอางที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของอาการแพ้ลงบนท้องแขนหรือข้อพับวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 อาทิตย์ หากไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้จากเครื่องสำอางชนิดนั้นน่าจะมีน้อย

การทดสอบอาการแพ้เครื่องสำอาง อีกวิธีหนึ่งคือการทาลงบนใบหน้าด้วยเครื่องสำอางครั้งละ 1 ชนิดตามปกติ หากไม่มีอาการแพ้ใน 2 สัปดาห์ให้ใช้เครื่องสำอางนั้นได้

  • หยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันทีที่มีอาการแพ้
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่รุนแรง ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้น้ำเปล่าและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนละมุน ปราศจากสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมในการทำความสะอาด
  • งดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด มาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบการแพ้ และค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
  • วิธีสุดท้ายคือการใช้แผ่นทดสอบอาการแพ้ ( Patch Test ) มาแปะไว้ที่บริเวณต้นแขนหรือแผ่นหลังเป็นเวลา 3 วัน ไม่ให้ผิวบริเวณดังกล่าวสัมผัสน้ำ เพื่อให้เหงื่อทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่อยู่ในแผ่นทดสอบ แต่การทดสอบด้วยวิธีนี้จะต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากไม่มีอาการแพ้ภายใน 2 สัปดาห์ ให้ใช้เครื่องสำอางนั้นได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวแตกลาย

ปัญหารอยแตกลายของผิวหนังสามารถเกิดได้กับทุกที่ เป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ คนอ้วน หนุ่มสาวในช่วงวัยรุ่นที่ร่างกายจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อที่จะลดความรุนแรงของอาการดังกล่าว เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าเพราะหากเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายขาดหรือให้กลับมาดีได้ดังเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ภาวะผิวแตกลายเกิดจากการที่ผิวหนังชั้นในถูกดึงให้แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว จนเซลล์ไม่อาจแบ่งตัวตามได้ทันจึงเกิดเป็นริ้วรอยแตก มักพบบริเวณใต้ท้องแขน รอบ ๆ รักแร้ ใต้ราวนม หน้าท้อง โดยเฉพาะสีข้าง ท้องน้อย และต้นขา มีลักษณะคล้ายรอยแตกของต้นมะขาม สำหรับบางคนที่รักการกรอผิวหรือขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นนอก ที่เป็นริ้วรอยให้หลุดลอกออกไปพบว่าวิธีดังกล่าวช่วยให้อาการดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดผิวแตกลาย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์นวดบริเวณหน้าท้องด้วยครีมหรือโลชั่นชนิดใดก็ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมของผิวหนังให้คุ้นเคยกับการขยายตัว หมั่นออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้แข็งแรงอยู่เสมอก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแตกให้น้อยลงได้ด้วยเช่นกัน

หากผิวเพิ่งแตกลายควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที แพทย์จะให้ยามาทาและแนะนำให้คนไข้ออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวแข็งแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้รอยแตกดังกล่าวจางและเล็กลงบ้าง ในบางรายอาจหายไปเลยก็ได้ หากอาการดังกล่าวไม่รุนแรงมากนักและสามารถเยียวยา

ตาบวม

ตาบวมเป็นอีกอาการหนึ่งที่มักพบเห็นกันบ่อย ๆ มีสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ การอดนอนติดต่อกันหลายคืน และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนบริเวณผิวหนังรอบดวงตามากเกินไป วิธีแก้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยดูจากสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว

ข้อควรปฏิบัติในการบรรเทาอาการบวมอักเสบของตาให้ลดน้อยลง

  • ให้นำแตงกวามาฝานเป็นแว่น ๆน วางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้สักพักประมาณ 10 นาที ทำวันละหลาย ๆ ครั้ง ความเย็นชุ่มฉ่ำของแตงกวาจะช่วยลดอาการบวมอักเสบของดวงตาลงได้
  • หากอาการบวมยังไม่ทุเลาลงให้ใช้น้ำแข็งห่อด้วยผ้าขาวสะอาด นำมาวางบนเปลือกตา ความเย็นของก้อนน้ำแข็งจะช่วยลดความร้อนผ่าวที่ดวงตาได้ ทำให้ดวงตาที่บวมอักเสบมีอาการดีขึ้น
  • อีกประการหนึ่งคือการนำผ้าขนหนูสะอาดสะอาดชุบน้ำชาอ่อน ๆ พอหมาดมาประคบที่ดวงตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที
  • เพื่อหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว ควรนอนหลับให้เพียงพอ ในระหว่างทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้สายตามาก ๆ ให้พักสายตาเป็นระยะ หลีกเลี่ยงการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนบริเวณผิวหนังรอบดวงตามากเกินไป    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อควรปฎิบัติเพื่อสุขภาพของดวงตา

  • หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ การขยี้ตา หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่จะกระทบกระเทือนต่อดวงตา
  • ควรนอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มาก หมั่นรักษาความสะอาดของใบหน้าและผิวหนังรอบดวงตาด้วยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม

หลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ๆ หรือแสงแดดจ้า ๆ

  • หากพบว่ามีอาการแพ้เกิดขึ้นที่ผิวหนังรอบดวงตา ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที หลีกเลี่ยงการนำสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์บำรุงหลากหลายชนิดมาทาบริเวณผิวหนังรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่อ่อนบางและง่ายต่อการอักเสบและเกิดอันตราย
  • หากจำเป็นต้องแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางที่ผิวหนังบริเวณใกล้ดวงตา ให้แน่ใจเสียก่อนว่าเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวอ่อนโยนและปลอดภัยมากพอ
    หากทำกิจกรรมใดที่ต้องใช้สายตามาก ๆ ให้พักผ่อนกล้ามเนื้อสายตาเป็นระยะ ๆ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวส้นเท้าที่แตก

ส้นเท้าแตกเกิดจากการที่เท้าสัมผัสกับน้ำบ่อยครั้งเกินไปจนทำให้ผิวหนังที่ส้นเท้าเปื่อย อับชื้น หลุดลอก และแตกเป็นริ้ว วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว คือ การลดการสัมผัสน้ำให้น้อยลง ใส่รองเท้าบูททุกครั้งหากต้องทำงานในที่ชื้นแฉะหรือต้องสัมผัสกับสารเคมี หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรงเป็นเวลานาน ๆ ใส่รองเท้าหุ้มส้นเพื่อปกป้องส้นเท้า ซับเท้าให้แห้งเพื่อป้องกันความอับชื้น หลีกเลี่ยงการแช่เท้าในน้ำอุ่นบ่อย ๆ

สำหรับผู้ที่ส้นเท้าแตกไปแล้ว นอกจากการป้องกันมิให้ส้นเท้าสัมผัสกับสิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการลอกและแตกของส้นเท้ามากขึ้นยังต้องปฏิบัติดังนี้ด้วย

  • เลือกใช้ครีมที่มีฤทธิ์ในการลอกเซลล์ผิวที่แตกให้หลุดออกไป เช่น กรดซาลิไซลิก หรือกรดเบนโซอิก
  • บำรุงส้นเท้าด้วยครีมหรือมาเจอไรเซอร์ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของส้นเท้า ทำให้ผิวที่ส้นเท้าอ่อนนุ่ม มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงขึ้น
  • หากต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อความปลอดภัย การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป อาจทำให้ผิวส้นเท้ามีการหลุดลอกมากผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบ ระคายเคืองและยิ่งทำให้ผิวบริเวณส้นเท้าดำและลอกมากกว่าเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เท้าเหม็น

เท้าเหม็นเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำลายความมั่นใจและทำให้เสียบุคลิกภาพ อาการเท้าเหม็นหรือเท้ามีกลิ่นอับเกิดจากเหงื่อที่ออกมาจากเท้าผสมกับเชื้อแบคทีเรีย มีการหมักหมมจนเกิดเป็นกลิ่นอับขึ้นมา

วิธีแก้ปัญหาเท้าเหม็น

  • ใส่ผงระงับเหงื่อที่เท้าซึ่งจะมีลักษณะเป็นแป้งที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์
  • หมั่นนำรองเท้าออกมาตากแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อฆ่าเชื้อโรค หากรองเท้านั้นสามารถตากแดดจัด ๆ ได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ถุงเท้าหรือรองเท้าที่อับชื้น สกปรกหรือหนาจนเกินไป เลือกใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่สามารถระบายอากาศ ความร้อนและความชื้นได้ดี เพื่อลดอัตราการสะสมตัวของเชื้อแบคทีเรีย
  • หมั่นรักษาความสะอาดของเท้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่อน ๆ อย่างสม่ำเสมอและเช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้ง อย่าปล่อยให้เท้าอับชื้น เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นอับแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพมือเหี่ยว

คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าและผิวกาย โดยในแต่ละวันพวกเขาจะใช้เวลาหมดไปกับการดูแลผิวหน้าและผิวกายเป็นเวลาร่วมชั่วโมง ในขณะที่มีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความสำคัญกับผิวบริเวณมือ ทั้ง ๆ ที่มือเป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานมากที่สุด และยังเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อความสวยงามและความอ่อนเยาว์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงเป็นเหตุผลที่เพราะเหตุใดเราจึงพบคนที่แม้ว่าจะมีใบหน้าที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย แต่มีฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวไม่น่ามอง

เช่นเดียวกับฝ่าเท้า มือเป็นอวัยวะที่แทบจะไม่มีต่อมไขมันอยู่เลย ใช้ทำงานอย่างหนัก มือจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบและแห้งกร้านได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ ในแต่ละวันมือของเราต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก คลอรีน สารทำความสะอาดที่รุนแรง แอลกอฮอล์ และสารเคมีที่เป็นอันตรายจากการทำกิจวัตรประจำวัน มือที่ปราศจากการดูแลที่เหมาะสมจะแห้งกร้านและเหี่ยวย่นได้เร็วกว่าปกติ เพื่อคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของมือเอาไว้ นอกจากการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นมากเป็นพิเศษแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากต้องทำภารกิจใด ๆที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่มีความรุนแรง เช่น ซักเสื้อผ้า ล้างจาน ควรสวมถุงมือทุกครั้งเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากสารเคมีที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหมั่นนวดฝ่ามือเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นเลือดลมอย่างสม่ำเสมอ [adinserter name=”navtra”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวเหี่ยวย่น

แม้ว่าจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวเหี่ยวย่นนั้นเกิดขึ้นก่อนวัยอันควร โดยทั่วไปแล้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รอยเหี่ยวย่นในผิวชั้นนอกและรอยเหี่ยวย่นในชั้นหนังแท้ รอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นกับผิวหนังชั้นนอกเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ทำงานลดน้อยลง ยังผลให้ผิวหนังชั้นดังกล่าวมีโอกาสสะสมตัวหนาขึ้น เกิดเป็นรอยหมองคล้ำและเหี่ยวย่นในที่สุด ในขณะที่รอยเหี่ยวย่นที่เกิดในชั้นผิวหนังดังกล่าว มีสาเหตุมาจากแรงโน้มถ่วงของโลกและมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเกิดริ้วรอย เช่น ขมวดคิ้ว ยิ้ม หยีตา การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการเผชิญกับแสงแดดจ้าเป็นเวลานานและบ่อยครั้ง

เมื่อความเต่งตึงและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณต่างเป็นสุดยอดความปรารถนาของทุกคน วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเกิดริ้วรอย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ๆ หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่าลืมทาครีมกันแดด ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว เป็นต้น

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพผิว ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอซึ่งมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสลายให้หลุดลอกออกไปหรือใช้กรดวิตามินเอ หากริ้วรอยดังกล่าวเกิดจากการโดนแสงแดดทำลาย ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารที่ต่อต้านการเกิดริ้วรอย เช่น วิตามินซี วิตามินอี โคเอนไซม์ Q10 เป็นต้น

หากริ้วรอยมีมากหรือรุนแรงเกินกว่าที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะสามารถเยียวยาได้ การพึ่งนวัตกรรมทางการแพทย์อันทันสมัย เช่น การผ่าตัดศัลยกรรม การยิงแสงเลเซอร์ การทำเบบี้เฟส รวมไปจนถึงนวัตกรรมทันสมัยอื่น ๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

การดูแลผิวให้ดูอ่อนกว่าวัยอย่างยั่งยืน

0
การดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัย
การดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัย
การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำอาจทำให้เกิดริ้วรอย
การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำอาจทำให้เกิดริ้วรอย

ริ้วรอย

เราไม่อาจสร้างบ้านที่แข็งแกร่งได้หากปราศจากรากฐานที่มั่งคง กองทัพทหารไม่อาจรบชนะข้าศึกได้หากปราศจากการฝึกฝนที่ดีพอ และเช่นเดียวกันผิวของคุณไม่อาจสวยงามหรือแลดูอ่อนกว่าวัยตามที่ใจปรารถนาได้ หากคุณไม่ทราบกฎแห่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานอย่างเข้าใจเสียก่อน การละเลยกฎพื้นฐานของการดูแลผิวที่ถูกต้อง ทำให้โปรแกรมการดูแลผิวที่คุณกำลังทำอยู่นั้น ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กฎพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรักษาผิวพรรณและป้องกันการเกิด ริ้วรอย ที่ควรรู้มีดังนี้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กฎพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรักษาผิวพรรณและป้องกันการเกิดริ้วรอยที่ควรรู้

สงสัยไหมว่าริ้วรอยความเหี่ยวย่นเกิดขึ้นได้อย่างไร

มีการค้นพบว่า ริ้วรอย ความเหี่ยวย่น รวมไปจนถึงความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในหรือกระบวนการทางธรรมชาติ มีคนจำนวนมากที่ต้องการให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัย แต่กลับทำร้ายผิวพรรณของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยพฤติกรรมที่ทำกันเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย เช่นการใช้เครื่องสำอางที่มากเกินไป การตากแดดแรง ๆ การสัมผัสคลอรีนและการอาบน้ำร้อน การใช้สารทำความสะอาดที่รุนแรง การดูแลผิวที่ผิดวิธีและมากเกินไป การแสดงออกทางสีหน้า การมีน้ำหนักตัวขึ้น ๆ ลง ๆ หรือแม้แต่การดื่มน้ำหรือนอนน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วร้อยความเหี่ยวย่นทั้งสิ้น

การใช้เครื่องสำอางมากเกินไป สาเหตุการเกิดริ้วรอย

คุณสามารถมีผิวพรรณที่สวยงามแลดูอ่อนกว่าวัยได้ แม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางเพียงไม่กี่ชิ้น ขอเพียงแค่รู้จักการใช้มันอย่างถูกวิธีและใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็นับว่าเพียงพอแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มากจนเกินไป โดยเฉพาะเครื่องสําอางที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดรวมไปถึงเคาน์เตอร์เครื่องสำอางทั่วไป เพราะมักจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองแอบแฝงอยู่ เพื่อที่คุณจะมีผิวสุขภาพดีแลดูอ่อนกว่าวัยในระยะยาว แนะนำว่าควรใช้เครื่องสำอางแต่พอเหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องใช้กับผิวหนังบริเวณรอบดวงตา เพราะเป็นบริเวณที่มีความบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายที่สุด คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ติดแน่นทนนานเป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง และอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองสูงเมื่อต้องล้างออกอีกด้วย

ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้า

การแสดงออกทางสีหน้าส่งผลต่อการเกิด ริ้วรอย และความเหี่ยวย่นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การหรี่ตา การขมวดคิ้ว
ใครเลยจะรู้ว่าการแสดงออกทางสีหน้าอาจพัฒนาไปเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ถาวรบนใบหน้าได้ หากถูกแสดงออกบ่อยครั้งจนกลายเป็นความเคยชิน คงไม่มีวิธีใดที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการแสดงสีหน้าได้ดีเท่ากับการเพิ่มความระมัดระวังและหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้ตัวว่ากำลังจะเริ่มหรี่ตาหรือขมวดคิ้วอยู่ ก็ให้หยุดทำทันที ควรเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีในการผ่อนคลายใบหน้าด้วยการค้นหาสาเหตุของการแสดงออกทางสีหน้าให้แน่ชัด หากคุณมีแนวโน้มที่จะหรี่ตาทุกครั้งเมื่อเจอแสงแดดก็ให้หาแว่นตากันแดด หรือหมวกปีกกว้างมาใส่เพื่อลดอัตราการหรี่ตาให้น้อยลง หากพบว่าสาเหตุของการขมวดคิ้วมาจากการมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ชอบชักสีหน้า ก็ให้รู้จักปล่อยวาง สร้างความผ่อนคลาย หมั่นฝึกทำไปเรื่อย ๆ บ่อย ๆ จนเกิดเป็นความเคยชินก็จะช่วยลดอัตราการเกิดริ้วรอยได้อีกทางหนึ่ง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การตากแดดแรงๆ หนึ่งในสาเหตุของการเกิดริ้วรอย

ไม่เป็นการดีแน่ถ้าคุณต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ โดยตรงโดยไร้การป้องกัน รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด ริ้วรอย รอยหมองคล้ำ และความเสื่อมโทรมของผิว การเผชิญหน้ากับแสงแดดที่ร้อนแรงเป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ เช่น การเดินกลางแจ้งโดยปราศจากเครื่องกำบัง การนั่งริมชายหาด หรือการอาบแดด การทำเช่นนี้จะทำให้ผิวหมองคล้ำเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น เป็นกระ ฝ้า แถมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังให้มากขึ้นอีกด้วย ถึงแม้ว่ายังไม่มีครีมกันแดดชนิดใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดริ้วรอยจากแสงแดดที่ดีพอ แต่เป็นการดีที่จะไม่เผชิญหน้ากับแสงแดดโดยตรง จะช่วยป้องกันผิวของคุณจากการถูกแสงแดดทำลายได้บางส่วน ซึ่งร่องรอยที่เกิดจากการทำลายของแสงแดดสามารถรักษาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่าเพื่อความปลอดภัยของผิวพรรณจากการถูกแสงแดดทำลาย การหลบไม่ให้ตัวเองโดนแดดมากที่สุดยังคงเป็นวิธีที่ดี

การสัมผัสคลอรีนและการอาบน้ำที่ร้อนจัด

เป็นการดีที่คุณจะหลีกเลี่ยงการนอนแช่น้ำเป็นเวลานานหรือการอาบน้ำที่ร้อนจัดจนเกินไป เนื่องจากในน้ำประปามีการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค คลอรีนมีฤทธิ์เป็นตัวก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมของผิวพรรณ ในขณะที่น้ำร้อนก็มีผลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผิวพรรณด้วยเช่นกัน เนื่องจากน้ำยิ่งร้อนเท่าใดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อผิวพรรณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณนอนแช่น้ำร้อนเป็นเวลานานและเป็นประจำทุกวัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณก็จะยิ่งสะสมมากขึ้น จนเกิดเป็นความเสื่อมโทรมที่ยากจะเยียวยาให้หายได้ในระยะยาว ดังนั้น เพื่อสุขภาพผิวที่ดีผู้เชี่ยวชาญแนะนำทางออกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการนอนแช่น้ำร้อนว่า จากเดิมที่ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการแช่น้ำร้อน ให้เป็นวันละครั้งหรืออาจน้อยกว่านั้นหากเป็นไปได้ และควรใช้น้ำร้อนที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจำพวก ยาสระผม น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอกที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารซักฟอกชนิดไอออนนิก เพราะโมเลกุลของสารซักฟอกหลังนี้จะเกิดประจุไฟฟ้าเมื่อละลายในน้ำ และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ หากจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ใช้ในปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทางที่ดีควรหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีไอออนิก เช่น สบู่เด็ก สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิวเพราะมีความอ่อนโยนต่อผิวมาก แชมพูที่ออกแบบมาเพื่อเด็กหรือ SHAMPOO BAR สบู่สมุนไพรที่ใช้สำหรับการสระผมโดยเฉพาะ เพราะจะไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์และกลีเซอรีนแทน และควรสวมอุปกรณ์ป้องกันผิวทุกครั้งหากจำเป็นต้องสัมผัสกับสารซักฟอกที่รุนแรง เช่น สวมถุงมือทุกครั้งเมื่อซักผ้าหรือล้างจาน เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากเกินไป

แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องประทินผิวที่มากเกินความจำเป็น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามใจชอบโดยปราศจากการพิจารณาให้ดีเสียก่อนอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าผลดี และยังเป็นการสูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายตัวพร้อมกันจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการใช้ครีมบำรุงผิวบางอย่างในปริมาณที่มากกว่าที่ระบุมาในฉลากจะทำให้ผิวได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น

แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีผลิตภัณฑ์บางอย่างมีฤทธิ์ในการปิดกั้นผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่มีประโยชน์ไม่ให้ซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นเคลือบอยู่ที่ผิวด้านนอกเท่านั้นไม่สามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวที่อยู่ข้างในได้อย่างล้ำลึกตามที่ถูกออกแบบมา ทำให้ผิวไม่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกัน มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิดที่มีสารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวพรรณได้หากนำมาใช้ในปริมาณมากกว่ากำหนด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ หรือกรดเอเอชเอ หากนำมาใช้ผิดวิธี หรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไป แทนที่ผิวจะได้รับประโยชน์จากสารเหล่านี้ ผิวอาจได้รับความเสียหายและได้ความเสื่อมโทรมกลับมาแทน

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณจึงแนะนำว่าเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ต้องเสียไปและให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกครั้งควรอ่านฉลากให้ดีเสียก่อน โดยทำความเข้าใจวิธีการใช้และปริมาณที่ใช้ในแต่ละครั้งด้วย

การทำความสะอาดและขัดผิวมากเกินไป

การทำความสะอาดผิวและการขัดผิวโดยทั่วไปส่งผลดีต่อผิวพรรณ การทำความสะอาดผิวช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่จะนำไปสู่ปัญหาผิวต่าง ๆ ให้หลุดออกไป การขัดผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการสะสม ทำให้ผิวกระจ่างใสเกลี้ยงเกลาไม่มี ริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น แต่การกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวพรรณได้อย่างคาดไม่ถึงหากนำมาใช้ผิดวิธีหรือมากเกินไป การทำความสะอาดผิวที่มากเกินไปจะชะล้างน้ำมันที่ต่อมไขมันใต้ผิวผลิตขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวให้หมดไป ทำให้ผิวแห้ง ไวต่อสิ่งกระตุ้น จนนำไปสู่การเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ในภายหลัง ในขณะที่การขัดผิวบ่อยเกินไปอาจทำลายเซลล์ผิวที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ได้รับความเสียหายหรือหลุดลอกออกไปจนเกิดเป็นริ้วรอย และอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นแผลเป็นได้ในที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าการขัดผิวที่มากเกินไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวในระยะยาว และทำให้ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของผิวที่มีอยู่ตามธรรมชาติลดน้อยลงไปด้วย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีสารซักฟอกที่รุนแรงหรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่อาจทำให้ผิวแห้ง มีอาการระคายเคืองหรือแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนทำความสะอาดผิว และไม่ควรทำความสะอาดผิวมากกว่า 2 ครั้งต่อวัน   [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ปล่อยให้น้ำหนักขึ้นและลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอย

การปล่อยให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น แล้วพยายามลดลงอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยได้เร็วและง่ายพอ ๆ กับการนอนอาบแดด ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผิวขยายตัวออก แต่เมื่อใดที่คุณพยายามลดน้ำหนักตัวลง ไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังจะถูกขจัดออกไป ยังผลให้ผิวจากเดิมที่ขยายตัวยืดออกแล้วหดกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด ริ้วรอย เหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อยตามมา แต่การหย่อนคล้อยของผิวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น อายุ ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้น

มีการพบว่าเมื่อคุณปล่อยตัวให้อ้วนและลดน้ำหนักลงเมื่อมีอายุมาก ผิวจะมีแนวโน้มที่จะหย่อนคล้อยมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันมิให้ผิวหย่อนคล้อย นักโภชนาการแนะนำว่าไม่ควรปล่อยให้ตัวเองอ้วน ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ระวังเรื่องแคลอรี่ที่จะได้รับจากอาหาร ไม่ควรปล่อยตามใจปากเพราะแม้ว่าคุณจะไม่สนใจในเรื่องความสวยงามของผิวพรรณ แต่การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักก็จะส่งผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมของคุณได้เช่นกัน

ดื่มน้ำมากเกินไป

เราเคยได้ยินมาว่าการดื่มน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง แลดูมีน้ำมีนวล ซึ่งผิวที่ชุ่มชื้นมีแนวโน้มที่จะมี ริ้วรอย น้อยลง แต่การดื่มน้ำในปริมาณมากในบางเวลาก็อาจให้ผลในทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมาก 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะปริมาณน้ำที่มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการบวมน้ำในตอนเช้าได้ อาการบวมน้ำเป็นอาการที่เกิดจากการสะสมตัวของของเหลวในเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวพรรณรอบดวงตา เนื่องจากเป็นผิวพรรณที่มีความบอบบาง มีเส้นเลือดฝอยมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น และไม่มีชั้นไขมัน อาการตาบวมในตอนเช้า อันเนื่องมาจากการมีน้ำส่วนเกินมากเกินไปจะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีการยืดและหดตัว ซึ่งจะนำไปสู่การมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ในที่สุด

ริ้วรอยที่เกิดจากการนอน

เป็น ริ้วรอย ที่เกิดจากการนอนผิดพลาดเป็นเวลานาน ๆ มักเกิดขึ้นบริเวณ แก้ม มุมปาก และคาง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าริ้วรอยดังกล่าวจะเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่ออายุ 20 ปี ขึ้นไป และเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยดังกล่าว ให้หลีกเลี่ยงท่านอนที่ส่งเสริมให้เกิดริ้วรอย เช่น การนอนตะแคงข้าง การนอนคว่ำ การนอนหนุนหมอนที่ไม่พอดีกับศีรษะ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มีการพบว่าการนอนหนุนหมอนจะทำให้เกิด ริ้วรอย บริเวณหลังคอ คนที่นอนไม่หนุนหมอนมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยน้อยกว่าคนที่นอนหนุนหมอน เมื่ออายุยังน้อย ริ้วรอยดังกล่าวอาจหายไปเองหลังจากตื่นนอน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยดังกล่าวจะหายเองได้ช้า และอาจเกิดขึ้นอย่างถาวรหากยังคงนอนท่าเดิมไม่เปลี่ยน นอกจากการเปลี่ยนท่านอนจะช่วยได้บ้างแล้ว การเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้ในการนอนบางอย่างก็อาจช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้เช่นกัน ควรเลือกใช้ผ้าปูที่นอนปลอกหมอน หรือผ้าห่มที่ทำมาจากผ้าที่มีความลื่น เช่น ผ้าซาตินแทนผ้าหยาบหรือสาก หรือสวมใส่ชุดนอนที่บางเบาและลื่นแทนชุดที่หนาและหนัก

ผิวจะสวยงาม หรือแลดูอ่อนกว่าวัยได้ดังใจต้องการ ถ้ารู้จักวิธีการดูแลผิวในขั้นพื้นฐานก่อน ซึ่งวิธีดูแลผิวในขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับการรักษาผิวและป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

โภชนาการกับผิวสวย

การกินอาหารที่ดีนอกจากจะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัยแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณสวยเปล่งปลั่งแลดูอ่อนกว่าวัยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนกินอาหารที่ดีมีประโยชน์และได้สัดส่วนที่เหมาะสม แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและการกินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณสามารถทดแทนอาหารมื้อหลักได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมีความเห็นตรงกันข้าม โดยแนะนำว่าแม้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะมีสารบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพมากมายสักเพียงใด แต่สารดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะบำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง สุขภาพดี แลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างยั่งยืนเท่ากับการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

บำรุงผิวทั้งภายในและภายนอกกุญแจสำคัญสู่การมีผิวสวยที่ยั่งยืน

การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์และได้สัดส่วนที่พอเหมาะ นอกจากจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวอีกด้วย สารอาหารที่ต้องการเพื่อเสริมสร้างความสวยงามและความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวพรรณ ได้แก่ วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนรวมไปถึงสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ เพื่อคงความสวยงามและความเต่งตึง เซลล์ของร่างกายต้องการสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก ไม่มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดใดสามารถทดแทนได้ นอกจากนี้ยังมีการพบว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แม้จะมีสารอาหารบำรุงผิวในปริมาณมากก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าสารอาหารที่อยู่ในครีมเหล่านั้นสามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่หรือไม่ สารอาหารเหล่านี้อัดเคลือบอยู่แค่ผิวภายนอกและหลุดลอกออกไปเมื่อตอนอาบน้ำ

สารอาหารที่อยู่ในครีมชนิดหนึ่ง จะมีความสามารถในการซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อันได้แก่ สภาพของผิว ความเข้มข้นของส่วนผสมต่าง ๆ ที่อยู่ในครีมนั้น เทคนิคในการผลิต วิธีการทาครีมที่ถูกต้องและปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป สารอาหารที่อยู่ในครีมก็จะไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวที่อยู่ลึกภายในได้อย่างเต็มที่

ตรงกันข้ามกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาหารที่เรากินเข้าไปกลับมีประสิทธิภาพในการบำรุงเซลล์ผิวได้อย่างทั่วถึงและดีเยี่ยมมากกว่า เมื่อร่างกายรับอาหารเข้าไปแล้ว สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย นั่นหมายความว่าผิวหนังทุกส่วนของร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่ใช่แค่แขนขาหรือผิวหน้าอย่างที่ครีมบำรุงทำ ไม่เพียงแต่จะดีต่อผิวพรรณเท่านั้น การกินอาหารที่ดีและมี  ประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสมย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายที่เหมาะสม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายโดยรวม ( มิใช่แค่ผิวพรรณ ) สมบูรณ์แข็งแรงทำงานเป็นปกติไม่เสื่อมโทรมหรือร่วงโรยได้ง่ายอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาผิวพรรณ หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์คือวิธีที่สมบูรณ์พร้อมในการบำรุงผิวพรรณให้สวยงามแต่อย่างใด ทั้งนี้ เนื่องจากการกินที่ดีจะช่วยเสริมสร้างผิวพรรณให้ดูดีได้ แต่เนื่องจากการเกิด ริ้วรอย และความหย่อนคล้อยของผิวพรรณเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย และปัจจัยทางสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด ลม บุหรี่ และมลภาวะ การมีโภชนาการที่ดีจะช่วยชะลอกระบวนการเกิดริ้วรอยอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางธรรมชาติให้เกิดขึ้นช้าลง ในขณะที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงยังคงมีความสำคัญต่อการมีผิวสวย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อที่จะมีผิวสวยปราศจากริ้วรอยและความเสื่อมโทรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการกินอาหารที่ดีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปกป้องผิวจากรังสียูวีที่มาพร้อมกับแสงแดด ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเซลล์ผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งสารอาหารที่ได้รับจากการกินอาหารเข้าไปไม่อาจช่วยได้

อาหารจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่ผิวสวยต้องการ

อาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพคืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวพรรณด้วยเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังกล่าวไว้ เนื่องจากอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้ดำเนินไปได้ช้าลง เพื่อที่จะมีสุขภาพดี ร่างกายจำเป็นต้องได้รับอาหารที่ได้สัดส่วนและมีความหลากหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของร่างกาย ต่อต้านการเกิด ริ้วรอย และรักษาความเต่งตึงของผิวไว้ได้นาน ๆ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารในปริมาณมากกว่าที่มาตรฐานกำหนด อาหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับทุกคน หากไม่นับการออกกำลังกาย การผ่อนคลายความตึงเครียด การพักผ่อน หรือการควบคุมน้ำหนักแล้ว การกินอาหารถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดคุณภาพชีวิตของแต่ละคน ในขณะที่คนจำนวนมากมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายอ่อนแอ ระบบภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง หรือเป็นโรคที่เกิดจากการมีโภชนาการที่ไม่ดี เช่น โรคขาดสารอาหาร โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมไปจนถึงโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่คนในสังคมสมัยใหม่เป็นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมสมัยใหม่มีการเจริญเติบโตมากขึ้น ประชาชนตื่นตัวในความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เกษตรกรรมแบบใช้สารเคมีรวมไปจนถึงอุตสาหกรรมทางการเกษตรมีการเติบโตมากขึ้น ทำให้พฤติกรรมในการบริโภคของประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมได้มีการเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่พวกเขากินอาหารที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง ธัญพืชที่ไม่มีการแปรรูปที่ซับซ้อน กินผักและผลไม้ที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ มีการเลี้ยงปศุสัตว์ด้วยอาหารธรรมชาติ และเลี้ยงสัตว์จำนวนน้อยเพียงเพื่อกินกันเองภายในครัวเรือน หรือเพื่อการค้าขายที่ไม่มากนัก กลายเป็นการกินอาหารที่ผ่านการแปรรูปที่ซับซ้อน มีการเติมสารเคมี หรือสิ่งแปลกปลอมลงไปในอาหารเพื่อให้มีรูป รส หรือกลิ่นในแบบที่ต้องการ

มีการใช้ฮอร์โมนและสารเคมีในการเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น มีการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาจัดการอาหารการกิน การกินอาหารที่ผ่านการแปรรูป การได้รับสารเคมีและสารพิษที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับมลภาวะที่เกิดจากอุตสาหกรรมสมัยใหม่ขึ้นควบคู่ไปกับการเกิดโรคแปลก ๆ ที่มนุษยชาติไม่เคยประสบมาก่อน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตามในช่วงตอนกลางของศตวรรษ มนุษย์เริ่มตื่นตัวถึงพิษภัยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มนุษย์พบว่าการกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรตที่แปรรูปจนไม่มีสารอาหารที่จำเป็นหลงเหลืออยู่เลย สารเคมีที่ใช้ในการปรุงแต่งอาหารที่มากเกินไป รวมไปจนถึงอาหารที่ผ่านการดัดแปลงอื่น ๆ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ร่วงโรยจนเกิดโรคร้ายตามมาในที่สุด

เฟรดเดอริก แอล ฮอฟมัน แอลแอลดี ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและที่ปรึกษาทางสถิติของบริษัทประกันชีวิตพรูเดนเชียล ไลฟ์ ได้กล่าวว่าการเสียชีวิตของประชากรที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็งมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมในการบริโภคของมนุษยชาติได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารที่ดัดแปลง อาหารที่มีส่วนผสมของสารเคมี เช่น สารกันบูด สีสังเคราะห์ สารเคมีที่ช่วยรักษาความสดของอาหารให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น อาหารแช่เย็น การกินอาหารที่ไม่สด และห่างไกลจากความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ด้วยพฤติกรรมการกินที่ผิดแผกแปลกไปจากเดิม มักพบในคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอุตสาหกรรม รวมไปถึงประชากรที่อาศัยอยู่ในชนบท ที่ความเจริญก้าวหน้าของอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ไปถึง ซึ่งพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั้นเป็นสาเหตุของโรคร้ายและความเสื่อมโทรมของร่างกายที่มนุษยชาติไม่เคยพบมาก่อน

แตกต่างจากสังคมสมัยก่อน ที่มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการทำการเกษตร สัตว์เลี้ยง หรือหาของป่า มนุษย์มีชีวิตอิงแนบกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ กินผักผลไม้ที่ปลูกขึ้นเอง ดื่มน้ำจากบ่อน้ำแร่ที่สะอาด กินข้าวแดง กินเนื้อสัตว์ที่หากินผักหญ้าตามป่าเขา ปรุงแต่งอาหารด้วยสมุนไพร มนุษย์มีชีวิตกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ในขณะที่มนุษย์ในสังคมสมัยใหม่มีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บวกกับความอยากไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์กินอาหารและเครื่องดื่มที่ผ่านกระบวนการดัดแปลง หรือแปรรูปให้มีรูปรสและกลิ่นที่ผิดแปลกไปจากลักษณะดั้งเดิมที่ธรรมชาติสร้างมา กินแป้งขัดขาวบริสุทธิ์ เกลือบริสุทธิ์ น้ำตาลทรายบริสุทธิ์ เนื้อสัตว์สีแดงสด ขนมนมเนยที่หวานมัน เครื่องดื่มใส่สีฟองฟูรสชาติหวานชื่นใจ หรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบชุ่มน้ำมัน เป็นต้น

มีการพบว่าชาวโอกินาวา ( Okinawans ) ในประเทศญี่ปุ่นเป็นประชากรที่มีอายุยืนที่สุดในโลก จากการสำรวจพบว่าอาหารในแต่ละวันที่ชาวโอกินาวากิน จะประกอบไปด้วยข้าวแดง ซุปมิโซะ และสาหร่ายทะเล ผักโขมนึ่ง และชาจัสมิน เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ชาวแคนาดาซึ่งเป็นหนึ่งในประชากรที่มีอัตราเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมากที่สุดกับกินขนมเค้ก มัฟฟิน ไข่ เบคอน ไส้กรอก น้ำเชื่อม เมเปิ้ล และกาแฟเป็นส่วนใหญ่  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
นอกจากนี้ยังมีการพบอีกว่า ชาวโอกินาวามีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชาวอเมริกันถึงร้อยละ 80 และเป็นมะเร็งรังไข่น้อยกว่าชาวอเมริกาเหนือถึงครึ่งหนึ่ง ด้วยนิสัยนิยมการบริโภค ความอยากที่ไม่รู้จักพอ ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็คอยหยิบยื่นสิ่งที่เราปรารถนาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่ลงและเป็นโรคที่เกิดจากการกินมากขึ้นเรื่อย ๆ

ยิ่งเราออกห่างจากธรรมชาติอันเป็นต้นกำเนิดของชีวิตของเรามากขึ้นเท่าไร ร่างกายของเราก็ยิ่งพบกับความเสื่อมโทรม ความร่วงโรยและโรคร้ายมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในความร่วงโรยที่เราค้นพบได้ด้วยตัวเองนั่นก็คือ ความงามของผิวพรรณ การกินอาหารไม่ได้สัดส่วน อาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน อาหารขยะ รวมไปจนถึงสารอาหารที่จำเป็น ทำให้ผิวพรรณร่วงโรยก่อนวัยอันควร มักเป็นสิว ผิวพรรณหยาบกร้าน เป็นรอยกระดำกระะด่าง ขาดความกระชับเต่งตึง

ทั้งนี้ หนึ่งในสาเหตุของความเสื่อมโทรมดังกล่าว มาจากอาหารที่เรากินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง การกินอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพคือการกินอาหารที่มาจากธรรมชาติ มีความหลากหลาย และอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ได้สารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน สารอาหารที่จําเป็นต่อร่างกายได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำสะอาด สารอาหารที่ครบถ้วนจะทำให้สุขภาพแข็งแรงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และไม่อ่อนเพลียหรือล้มป่วยง่าย เมื่อปฏิบัติไปพร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอ การจัดการกับความตึงเครียดอย่างเหมาะสม และการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ระดับที่ปลอดภัย ร่างกายของเราก็จะคงความสมบูรณ์แข็งแรงได้เป็นระยะเวลายาวนาน

อาหารที่ทำให้ผิวสวยใส แลดูอ่อนกว่าวัยอย่างยั่งยืน

นักวิจัยพบว่าการกินอาหารบางอย่างส่งผลให้เรามีสุขภาพดี มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้ดำเนินไปช้าลง นักวิจัยแนะนำให้เรากินอาหารหลากหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก ผลไม้ ผัก และธัญพืช เพื่อว่าร่างกายจะได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างเพียงพอ วิตามินช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง และชุ่มชื้น รักษาเล็บและผมให้แข็งแรงและเงางาม นอกจากนี้วิตามินยังช่วยให้ร่างกายสามารถนำเอาพลังงานจากอาหารที่ร่างกายรับเข้าไปมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะที่แร่ธาตุช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติสุข  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผักและผลไม้สด

จากการศึกษาพบว่า การกินผักและผลไม้สดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผักและผลไม้ที่มีสีเข้มในปริมาณมากอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวพรรณได้ อาหารในแต่ละวันควรประกอบด้วยผักสดร้อยละ 25-30 หากไม่ชอบกินผักสด อาจปรุงผักสดด้วยการตุ๋น นึ่ง ต้ม อบโดยใช้แรงดันเพื่อรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ ผักและผลไม้มีคุณสมบัติในการช่วยลดกระบวนการร่วงโรยและความเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ รวมไปจนถึงผิวพรรณได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากผักและผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidants ) และสารฟลาโวนอยด์ ( Flavonoids ) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากผักและผลไม้อย่างเต็มที่ ควรกินผักและผลไม้ที่สด หลากหลายชนิดและหลากหลายสีสัน เม็ดสีบางชนิดที่พบในผักและผลไม้ เช่นไลโคปีน ( Lycopine ) ที่มักพบในมะเขือเทศ แตงโม และสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) ที่มักพบในบลูเบอร์รี่จะมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยป้องกันดีเอ็นเอและเซลล์จากการทำลายของสารพิษและของเสียซึ่งจะนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์ได้ในที่สุด

นักวิจัยจำนวนมากออกมาแนะนำให้ผู้ป่วยกินผักและผลไม้ 9 ชนิดต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งให้น้อยลง ในขณะที่นักโภชนาการบางท่านกล่าวว่า ความหลากหลายของผักและผลไม้ที่กินในแต่ละวัน มีความสำคัญต่อการมีสุขภาพดี เนื่องจากผักและผลไม้ที่มีความหลากหลายจะให้สารอาหารที่แตกต่างกัน ซึ่งนั่นจะช่วยเติมเต็มสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายขาดไป

มีการวิจัยพบว่า หากกินผักและผลไม้เพียงชนิดเดียวในปริมาณมาก ร่างกายจะได้รับสารอาหารเพียงไม่กี่อย่าง และวิธีที่จะช่วยทำให้มั่นใจได้ว่าได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุจากผักและผลไม้อย่างครบถ้วนคือ การกินอาหารที่มีสีสันหลากหลายคล้ายสีของรุ้งกินน้ำ

เพื่อให้ได้อาหารที่มีสีสันหลากหลายและมีสรรพคุณในการต่อต้านความเสื่อมโทรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินผักและผลไม้ที่มีสีเข้ม เช่น บร็อคโคลี มันเทศ ฟักทอง พริก พริกหวาน มะเขือม่วง กล้วย ส้ม กะหล่ำปลี ผักโขม แครอท ผลเบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ พืชผักที่น่าสนใจได้แก่ แครอท หัวหอม กะหล่ำปลี หัวไชเท้า หัวผักกาดแดง ไชเท้าเขียว ถั่วฝักยาว ผักป่าเบอร์ดอก รากบัว ผักกาดหอม แตงกวา กะหล่ำดอก บร็อกโคลี บรัสเซลสเปราต์ ผักกาดขาวปลี ผักกวางตุ้ง เห็ด เห็ดหอม แครอทเขียว ผักกาดหัวเขียว ฟักทอง ผักคะน้า ผักชีฝรั่ง ต้นกระเทียม หัวกระเทียมที่ยังไม่แก่เต็มที่ เซเลอรี ถั่วลันเตา กะหล่ำปลีม่วง ควรหลีกเลี่ยงผักเขตร้อนเว้นเสียแต่ว่าคุณอาศัยอยู่ในเขตร้อน เช่น ซุกีนี มันฝรั่ง มะเขือเทศ พริกไทยเขียว พริกไทยแดง หน่อไม้ฝรั่ง ปวยเล้ง มันเทศ หัวบีต มันฝรั่งหวาน อโวคาโด อาร์ติโชค เนื่องจากพืชผักเหล่านี้ทำให้เกิดกรด ควรกินผลไม้สด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เลือกผลไม้ตามฤดูกาลที่ปลูกในท้องถิ่น ให้กินผลไม้ในปริมาณปานกลางเป็นครั้งคราวในฤดูกาลของผลไม้นั้น ๆ ผลไม้ที่น่าสนใจได้แก่ สตรอว์เบอร์รี พรุน หม่อน เชอรี่ แอปเปิ้ล องุ่น พีช แพร์ พลัม แตงโม ส้มจีน แอปริคอต แคนตาลูป ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนควรงดหรือจำกัดปริมาณของผลไม้บางจำพวกลงได้แก่ อินทผลัม สับปะรด มะม่วง มะละกอ มะพร้าว มะเดื่อ กล้วย ส้ม และกีวี  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ธัญพืช

ควรกินธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เนื่องจากเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้สมดุล มีใยอาหารสูง มีสารอาหารที่จำเป็นอยู่อย่างครบถ้วนและมีสรรพคุณในการป้องกันโรคภัยที่เกิดจากความเสื่อมโทรมได้เกือบทุกรูปแบบ ควรกินธัญพืชหลายชนิดผสมกัน จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน เพิ่มกำลังวังชา ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานอย่างเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผิวพรรณด้วยเช่นกัน

ในอาหารที่กินประจำวันประมาณร้อยละ 50-60 ควรประกอบไปด้วยธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี อันได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด ข้าวบัควีท ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ปรุงข้าวเหล่านี้ด้วยภาชนะหุงต้มสเตนเลสที่ใช้แรงดัน เพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ อาหารจำพวกข้าวหรือธัญพืชควรกินในรูปของเมล็ดข้าวเต็ม ๆ ไม่มีการดัดแปลง หรือได้รับการบดจนกลายเป็นแป้งหรือนำไปทำเป็นขนมปัง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งแปรรูปเหล่านี้จะย่อยยากและก่อให้เกิดเมือกได้ง่ายกว่าข้าวเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ เลย ธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต และมะเร็งเต้านมให้น้อยลงได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินธัญพืชที่ไม่ผ่านการแปรรูปอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการต้านมะเร็งอย่างเต็มที่

ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวนอร์เวย์พบว่าผู้ที่กินธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปในปริมาณมากและอย่างสม่ำเสมอ จะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจลดลงเกือบร้อยละ 25 จากการทดลองที่ทำโดย Mayo Clinic ในปี 2001 พบว่าผู้ที่กินซีเรียลที่มีเส้นใยอาหารสูงมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารน้อยลง นักโภชนาการแนะนำให้ผู้ป่วยกินซีเรียลที่มีเส้นใยอาหารสูง และธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปให้มีความหลากหลาย โดยแนะนำว่าในแต่ละวันควรได้รับ Serial หรือธัญพืชดังกล่าวประมาณ 4-5 หน่วย

ถั่วและผักทะเล

จากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า การบริโภคถั่วบางชนิดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งให้น้อยลงได้ มีการพบว่าถั่วเหลืองนอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแล้ว ยังมีสรรพคุณในการลดอัตราการเกิดเนื้องอกให้น้อยลงด้วยเช่นกัน ถั่วเหลืองและถั่วบางชนิดมีสารช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในเต้านม กระเพาะอาหาร และผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีการพบว่า สาหร่ายทะเลมีสรรพคุณในการขับสารกัมมันตภาพรังสีออกจากร่างกายอีกด้วย ประมาณร้อยละ 5-10 ของอาหารประจําวันควรประกอบไปด้วย ผักทะเลและถั่ว ได้แก่ ถั่วอาซูกิ ถั่วเตอร์เติลสีขาวและดำ ถั่วเขียว ถั่วแขก ถั่วลิมา ถั่วสปลิท ถั่วแบล็กอาย ถั่วเหลือง ถั่วปินโตะ ถั่วเนวี่ ถั่วแดง วุ้น เต้าหู้ เทมเปะ มิโสะ คอมบุ ซีอิ๊วทามาริ นัตโตะ วากาเมะ เป็นต้น ธัญพืช ถั่ว หรือหัวพืชที่ฝังอยู่ในดินจะมีทั้งเส้นใยที่ละลายในน้ำ และไม่ละลายในน้ำที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบฮอร์โมนภายในร่างกายให้เป็นปกติ ปริมาณสารพิษและของเสียที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ในการป้องกันมะเร็งและความเสื่อมโทรม ให้กินข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวบัควีต และข้าวสาลี เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการก่อตัวของเนื้องอก ต้านเชื้อไวรัส และขับสารก่อมะเร็ง กินถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดป่าน เพราะมีฤทธิ์ในการต้านการก่อตัวและการกระจายตัวของเชื้อมะเร็ง นอกจากสีของถั่วจะมีประโยชน์ในการต้านการเกิดมะเร็งแล้ว ผิวของพืชตระกูลถั่วยังมีสารไฟโตเคมิคอล ( Phytochemicals ) ที่ทำหน้าที่ในการป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากสารก่อมะเร็งได้

ควรกินบร็อคโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และคะน้า เนื่องจากมีสารซัลฟอราเฟน ( Sunforaphane ) ซึ่งทำหน้าที่ในการเสริมสร้างการทำงานของตับในการขจัดสารก่อมะเร็ง หากปราศจากสารชนิดนี้ตับจะต้องทำงานอย่างหนักจนไม่สามารถขจัดสารก่อมะเร็งให้หมดไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งในที่สุด เพื่อที่จะห่างไกลจากโรคมะเร็งและความเสื่อมโทรมของร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินบร็อคโคลี กะหล่ำปลี ขิง แครอท ชาเขียว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์มะเขือเทศ บลูเบอร์รี่ ถั่วเลนทิล ถั่วลิสง ข้าวแดง และข้าวกล้องให้มาก

เนื้อสัตว์

ควรกินเนื้อปลาสีขาวหรืออาหารทะเลประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการกินปลาเนื้อแดงหรือปลาที่มีหนังสีน้ำเงิน เนื่องจากปลาเหล่านี้จะมีไขมันมากกว่าปลาเนื้อขาว นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการกินปลาน้ำจืด เนื่องจากมีสารพิษสะสมอยู่ในเนื้อมากกว่าปลาทะเล รวมถึงการหลีกเลี่ยงการกินหรือจำกัดปริมาณในการกินหากต้องกินเนื้อสัตว์จำพวกห่าน ไก่ฟ้า วัว ลูกวัว ไก่ แกะ หมู ไก่งวง เป็ด ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ เช่น ไข่ ไขมัน เนยแข็ง เนย โยเกิร์ต ไอศกรีม นม นมสกัด ครีม และเนยเทียม เป็นต้น

นอกจากอาหารจำพวกผัก ผลไม้ และธัญพืชแล้วผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้กินอาหารจำพวกโปรตีนที่มีคุณภาพให้มาก โปรตีนให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ ซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยให้แผลหายเร็ว สร้างฮอร์โมนและเอนไซม์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง หากร่างกายได้รับโปรตีนในปริมาณที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของ ร่างกายจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วย และร่างกายมีแนวโน้มที่จะกลับมาป่วยได้อีก

แหล่งโปรตีนคุณภาพดี ได้แก่ เนื้อสัตว์ไร้มัน ปลา ไก่ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ เนื้อ แหล่งของโปรตีนและกรดไขมันที่ร่างกายต้องการเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างพลังงาน เนื้อแดงมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากเนื้อวัวซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สามารถกินได้ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา ไข่ หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่วชนิดต่างๆ ก็เป็นแหล่งของโปรตีนและธาตุเหล็กคุณภาพดีที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้เนื้อวัวจะเป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่นักโภชนาการมักแนะนำให้ผู้ป่วยกินเนื้อปลา เนื้อไก่ หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่ว เช่น โปรตีนเกษตร เต้าหู้ เพื่อหลีกเลี่ยงโคเลสเตอรอลและไขมันชนิดอิ่มตัวที่มีอยู่มากเกินไปในเนื้อวัวนั่นเอง

อาหารประเภทน้ำมัน

ควรหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม รวมไปถึงไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่อยู่ในเนยเทียมและน้ำมันปรุงอาหารบางชนิด จากการศึกษาพบว่าไขมันหรือน้ำมันเป็นหนึ่งในอาหารที่ก่อให้เกิดโรคภัยและความเสื่อมโทรมมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ควรเลือกน้ำมันที่ไม่ผ่านการกลั่นหรือกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ น้ำมันปรุงอาหารที่สามารถใช้ได้ทุกวัน ได้แก่ น้ำมันเมล็ดมัสตาร์ด น้ำมันงา น้ำมันข้าวโพด แต่อย่าใช้มากจนเกินไป สำหรับน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์ เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ควรใช้เป็นครั้งคราว

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันที่ผ่านกระบวนการทางเคมี เช่น เนย น้ำมันหมู น้ำมันพืช หรือเนยเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง ไขมันให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อการเติบโตของร่างกาย การสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่และการสร้างฮอร์โมน ไขมันยังเป็นตัวช่วยละลายวิตามินบางชนิด ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน ทำให้ร่างกายสามารถดูดซับเอาวิตามินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ไขมันยังทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะจากการบาดเจ็บต่าง ๆ เมื่อร่างกายรับแคลอรี่มากเกินความต้องการ ร่างกายจะเก็บสะสมแคลอรี่ส่วนเกินนั้นไว้ในรูปของไขมัน สำหรับสงวนเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น สำหรับไขมันอีก 2 ชนิดที่เหลือ ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายโมเลกุล ซึ่งมักพบในอาหารจำพวกพืช เช่น ผัก ถั่ว ธัญพืชรวมไปถึงน้ำมันที่ทำจากถั่วเหลืองและธัญพืชบางชนิด เช่น คาโนลา ข้าวโพด และถั่วเหลือง กรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 ก็จัดว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายโมเลกุล นอกจากจะพบในผัก ถั่วและธัญพืชแล้ว ยังพบในปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำเย็น เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล งานวิจัยบางชิ้นพบว่า การกินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลเดี่ยวและชนิดหลายโมเลกุลจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลวให้ต่ำลง และยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ให้ต่ำลงอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อาหารว่างและเครื่องปรุง

ควรกินอาหารว่างหรือของหวานที่มีส่วนผสมของธรรมชาติในปริมาณปานกลาง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากอาหารว่างหรือของหวานดังกล่าวมีส่วนผสมของสารให้ความหวานหรือน้ำตาล ให้ใช้น้ำเชื่อมที่ทำมาจากข้าวบาร์เลย์ มอลต์ อามาซาเกะ น้ำแอปเปิ้ล น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ลูกเกด เกาลัดและไซเดอร์แทนน้ำตาลทรายขัดขาว ช็อกโกแลต น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลดิบ น้ำเชื่อมข้าวโพด น้ำอ้อย ฟรักโทส แซคคารีน น้ำผึ้ง น้ำตาลเทอบินาโด และน้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังสามารถใช้อาหารธรรมชาติอื่น ๆมาเป็นส่วนผสมในของหวานได้ เช่น เนยที่ทำจากงา เต้าหู้ ผัก วุ้น ที่ทำจากสาหร่ายแทนไข่ ครีม นม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากสัตว์ ควรกินถั่ว ธัญพืช และเมล็ดพืชคั่วกับเกลือหรือซีอิ๊วเป็นของว่าง หรือขนมเค้กที่ทำจากข้าวหรือธัญพืชที่ไม่มีส่วนผสมของเนย ซึ่งถั่ว ธัญพืช หรือเมล็ดพืชเหมาะสำหรับกินเป็นของว่าง ได้แก่ อัลมอนด์ เมล็ดงา วอลนัท พีแคน เมล็ดดอกทานตะวัน ถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง เป็นต้น

เลือกเครื่องปรุงที่ได้จากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีหรือผ่านกระบวนการแปรรูปใด ๆ เครื่องปรุงรสที่น่าสนใจได้แก่ เกลือทะเลมิโสะ ซีอิ๊วทามาริ โกมาชิโอะ ซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสชนิดหนึ่งที่ทำจากงาดำผสมเกลือ ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารให้มีรสจัดจ้านจนเกินไป ควรกินอาหารที่มีรสอ่อน ๆ หากเป็นไปได้ให้กินรสธรรมชาติ นอกจากเครื่องปรุงรสแล้วอาจเพิ่มรสชาติให้แก่อาหารด้วยของหมักดองบางชนิดที่ทำขึ้นเองที่บ้าน แต่ควรใช้ในปริมาณน้อยเท่านั้น เพื่อช่วยย่อยอาหาร

พืชผักที่เหมาะสำหรับนำมาทำของหมักดอง เช่น หัวไชเท้า แครอท กะหล่ำปลี ผักกาดหัวแดง ผักกาดหัว กะหล่ำดอก โดยนำมาหมักพร้อมกับเกลือทะเล ข้าวสาลี บ๊วยดอง ซีอิ๊วทามาริ มิโสะ อย่าใส่พริก น้ำตาล หรือน้ำส้มสายชู นอกจากเครื่องปรุงรสและอาหารหมักดองที่ช่วยชูรสให้กับอาหารแล้ว ยังสามารถเติมแต่งอาหารให้แลดูน่ากินเป็นครั้งคราวอีกด้วย

สำหรับไชเท้าฝอย ขิงฝอย ขิงดอง หัวผักกาดแดงฝอย มะรุม นอกจากจะช่วยแต่งเติมรสชาติและหน้าตาของอาหารให้แลดูน่ากินขึ้นแล้ว พืชผักเหล่านี้ยังมีสรรพคุณในการลดความเป็นพิษของปลาและอาหารทะเลได้อีกด้วย อีกประการหนึ่งควรแต่งเติมอาหารด้วยพืชพรรณที่มีรสเผ็ด หรือมีกลิ่นแรง เช่น น้ำส้มสายชู พริกป่น พริกไทย หรือโสมจีน เป็นต้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กินอย่างไรไม่ให้แก่ ปฏิบัติสู่การมีผิวสวยใสอ่อนวัยอย่างยั่งยืนใน 7 วัน

เป็นความจริงที่ว่าอาหารที่ดีสำหรับสุขภาพคืออาหารที่ดีสำหรับผิวด้วยเช่นกัน เนื่องจากอาหารที่ดีจะทำให้กระบวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ระบบย่อยอาหาร ระบบเผาผลาญอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบขับถ่ายดำเนินไปอย่างเป็นปกติ เมื่อร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพผิวก็ย่อมดีตามไปด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า อาหารที่ดียังมีส่วนช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้เกิดขึ้นช้าลง เพื่อคงความสมบูรณ์ของผิวพรรณ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินอาหารให้ได้สัดส่วนและมีความหลากหลาย โดยเน้นอาหารที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณเป็นหลัก ซึ่งมีตารางอาหารที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงร่างกายและผิวพรรณภายใน 1 สัปดาห์ เพียงคุณปฏิบัติตามเมนูอาหารเหล่านี้ รับรองว่าภายใน 1 สัปดาห์คุณจะพบว่าสุขภาพโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพผิวพรรณจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

วันที่ 1

มื้อเช้า ข้าวต้มปลากะพง นมแพะ
ตอนสาย น้ำแตงโม
มื้อกลางวัน แกงจืดเต้าหู้ ข้าวกล้อง สลัดผักสีรุ้ง
ตอนบ่าย เมล็ดฟักทอง น้ำแอปเปิ้ล
มื้อเย็น ปลาทูนึ่ง น้ำพริกกะปิ ผักสด ข้าวกล้อง
ตอนค่ำ นมถั่วเหลืองผสมงาดำไม่ใส่น้ำตาล

 

วันที่ 2

มื้อเช้า ข้าวกล้องต้มทะเล นมแพะ น้ำส้มคั้น
ตอนสาย น้ำฝรั่ง
มื้อกลางวัน ปลาช่อนเผา น้ำจิ้มรสเด็ดไม่จัด ผักสดหรือผักลวก ข้าวกล้อง
ตอนบ่าย เมล็ดดอกทานตะวัน ชาสมุนไพร
มื้อเย็น แกงจืดเต้าหู้สาหร่ายทะเล กุ้งนึ่งมะนาว ข้าวกล้อง สลัดผักสีรุ้ง
ตอนค่ำ ชาสมุนไพร

 

วันที่ 3

มื้อเช้า น้ำแร่ผสมน้ำมะนาวคั้นสด แซนวิซทูน่า (ขนมปังโฮวีต) นมแพะ
ตอนสาย น้ำแครอท
มื้อกลางวัน แกงส้มดอกแค ข้าวกล้อง ส้มตำรสไม่จัด
ตอนบ่าย นมถั่วเหลืองไม่ใส่น้ำตาล
มื้อเย็น สลัดทูน่า ข้าวคลุกกะปิ (ข้าวกล้อง) น้ำมะเขือเทศ
ตอนค่ำ แอปเปิ้ลเขียว หรือส้มเขียวหวาน

 

วันที่ 4

มื้อเช้า ข้าวกล้องต้มอกไก่ น้ำเต้าหู้งาดำไม่ใส่น้ำตาล ฝรั่งสด
ตอนสาย ชาสมุนไพร ลูกเกด
มื้อกลางวัน ผัดผักรวมมิตร ต้มจืดเต้าหู้อ่อน ข้าวกล้อง
ตอนบ่าย โยเกิร์ตนมแพะ น้ำแร่
มื้อเย็น สลัดผักสีรุ้ง ต้มยำทะเลรสไม่จัด ข้าวกล้อง
ตอนค่ำ แอปเปิ้ลเขียว หรือแก้วมังกรแช่เย็น

 

วันที่ 5

มื้อเช้า โจ๊กไก่ น้ำแร่บีบน้ำมะนาวคั้นสด นมเปรี้ยว
ตอนสาย ถั่วลิสง น้ำแครอท
มื้อกลางวัน ส้มตำแตงกวารสไม่จัด ก๋วยเตี๋ยวไก่ (เส้นข้าวกล้อง) น้ำมะเขือเทศ
ตอนบ่าย แคนตาลูปแช่เย็น น้ำแร่
มื้อเย็น ยำถั่วพู ปลาช่อนแป๊ะซะ ข้าวกล้อง น้ำสตรอว์เบอร์รี
ตอนค่ำ น้ำข้าวโพด หรือน้ำลูกพรุน

 

วันที่ 6

มื้อเช้า ไข่ต้ม กล้วยน้ำว้า ขนมปังโฮลวีตทาน้ำผึ้ง นมถั่วแดง ผสมงาดำ
ตอนสาย เมล็ดฟักทอง ชาสมุนไพร
มื้อกลางวัน สลัดผักสีรุ้ง น้ำแตงโม พาสต้ามะเขือเทศ
ตอนบ่าย ทอดมันข้าวโพด น้ำแครอท หรือน้ำมะเขือเทศ
มื้อเย็น สลัดผักรวมคลุกน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (ใช้ผัก 4 ชนิดขึ้นไป) ผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ ข้าวกล้อง แกงจืดตำลึงไม่ใส่หมู
ตอนค่ำ น้ำบีทรูต

 

วันที่ 7

มื้อเช้า แซนด์วิซไก่ (ขนมปังโฮลวีต) น้ำลูกเดือย
ตอนสาย เต้าหูทอด แคนตาลูปหั่นชิ้นพอคำแช่เย็น
มื้อกลางวัน ก๋วยเตี๋ยวปลาน้ำใส (เส้นโฮลวีต) สลัดผักรวมคลุกน้ำมันงา (ใช้ผัก 4 ชนิดขึ้นไป) น้ำแร่
ตอนบ่าย น้ำองุ่น หรือน้ำสับปะรด ข้าวโพดอ่อนแช่เย็น
มื้อเย็น หอยทอดใส่ไข่ แกงจืดฟักใส่เห็ดหอม ส้มเขียวหวาน
ตอนค่ำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ชาเขียว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตามการที่จะมีผิวสวยแลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างที่ใจต้องการได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง และปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือความอดทนและคุณภาพของผิวที่คุณมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่บางคนอาจได้ผลดีจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพ แต่อีกหลายคนกลับไม่พบความแตกต่าง นั่นไม่ได้หมายความว่าอาหารสุขภาพที่คุณกินเข้าไปนั้นไม่ได้ผลแต่อย่างใด มีการพบว่าคนที่มีสุขภาพดี เมื่อกินอาหารที่ดีเขาไปแล้ว สารอาหารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในอาหารเหล่านั้นได้มีโอกาสเข้าไปบำรุงผิวอย่างเต็มที่ ในขณะที่คนที่มีร่างกายทรุดโทรมสารอาหารที่ร่างกายรับเข้าไปจำเป็นต้องไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กลับมาเป็นปกติเสียก่อน จึงทำให้ไม่อาจนำไปบำรุงผิวได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การที่ผิวจะสวยใสอย่างที่ใจต้องการจึงจำเป็นต้องอาศัยความอดทนและระยะเวลาอยู่บ้าง

น้ำสะอาดกับผิวสวย

เมื่อพูดถึงในด้านความงามแล้ว ต้องถือว่าน้ำมีประโยชน์ต่อผิวพรรณหลายอย่าง เช่น ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ช่วยทำความสะอาดร่างกาย ช่วยชำระล้างของเสียและสารพิษออกจากเซลล์และเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ชุ่มชื้น มีน้ำมีนวลและลดความเสี่ยงในการเกิด ริ้วรอย อันเนื่องมาจากการมีผิวแห้งกร้านอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น น้ำยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านของสุขภาพอีกมากมาย

จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า การดื่มน้ำสะอาด จำนวน 5 แก้วต่อวัน จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึงร้อยละ 45 มะเร็งเต้านมถึงร้อยละ 80 และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะถึงร้อยละ 50 และจากการวิจัยอีกหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้วต่อวัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังตามหลังและตามข้อต่อต่าง ๆ ได้ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะทราบถึงประโยชน์ของน้ำที่มีต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาร่างกายขาดน้ำโดยพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อาการขาดน้ำจะนำไปสู่ภาวะโลหิตเป็นพิษเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยเป็นส่วนใหญ่ และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของอาการอ่อนเพลีย การเฉยชาของระบบเผาผลาญอาหาร การขุ่นมัวและหดหู่ของอารมณ์และการไม่มีสมาธิในเวลากลางวัน และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นสาเหตุสำคัญที่จะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมและร่วงโรยของผิวพรรณได้อีกด้วย

อาการขาดน้ำทำให้เลือดและของเหลวในร่างกายข้นเหนียว ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อเหี่ยวย่น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้สารพิษในร่างกายไม่ถูกชะล้างออกไป ในทางตรงกันข้ามของเสียและสารพิษต่าง ๆ กับถูกกักเก็บและสะสมอัดแน่นไว้ภายในร่างกายโดยไม่มีทางปลดปล่อยออกไป  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อร่างกายต้องรับเอาสารพิษและของเสียจากทั้งภายนอกและจากภายในที่สร้างขึ้นเองมาสะสมเอาไว้และไม่สามารถขับออกไปได้ ของเสียและสารพิษจะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณขึ้นได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ เซลล์และเนื้อเยื่อจะขยายและตื่นตัว เลือดและของเหลวต่าง ๆ ในร่างกายจะถูกจัดการและมีการไหลเวียนที่ดีขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถชะล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อและกระแสเลือดออกมาได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าคุณอยากมีความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำคือการดื่มน้ำให้มาก เพื่อละลายของเสียและสารพิษที่อยู่ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อ เพื่อเจือจางและปรับค่าพีเอชของของเสียให้มีความเป็นกลาง ก่อนที่จะขับออกไปทางระบบขับถ่าย ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ กาเฟอีน และน้ำตาล เพราะนอกจากจะไม่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำให้แก่ร่างกายแล้ว เครื่องดื่มบางชนิดยังมีฤทธิ์ในการขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดน้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้ำจะมีบทบาทสำคัญต่อการมีร่างกายที่ปราศจากสารพิษและของเสีย แต่การดื่มน้ำต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อนเพราะอาจเป็นการเพิ่มสารพิษให้แก่ร่างกายก่อให้เกิดอันตรายตามมาโดยที่คุณไม่รู้ตัวได้ เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ให้เริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำสะอาด 2 แก้ว ก่อนที่จะกินอาหารใดๆ น้ำจะช่วยชะล้างเมือกและเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารออกมาในช่วงระหว่างวัน ให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ระหว่างมื้อเช้าและมื้อกลางวัน 2-3 แก้วระหว่างมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีก และอีก 1 แก้ว ระหว่างมื้อเย็นและก่อนเข้านอน ในช่วงระหว่างมื้ออาหารให้ดื่มน้ำแยกจากอาหารที่กินต่างหาก ไม่ควรดื่มน้ำพร้อมอาหาร

นอกจากนี้ควรเลือกเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทุกวัน ให้ดื่มน้ำชา น้ำชาพื้นบ้าน กูกิชะ น้ำชาดอก แดนดีเลียน กาแฟที่ทำจากเมล็ดธัญพืช น้ำชาจากข้าวซ้อมมือ น้ำชาจากข้าวบาร์เลย์ น้ำชาจากสาหร่ายทะเล สาระแหน่ สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม คาโมไมล์ หลีกเลี่ยงชาดำ โรสฮิป กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และกาเฟอีนทุกชนิด นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ควรจะล้างสารพิษซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของความเสื่อมโทรมออกจากร่างกายด้วยน้ำสะอาด

โดยในแต่ละวันควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้ว หรือ 1.5-2 ลิตร หรืออาจมากถึง 3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยปรับของเสียหรือสารพิษที่มีความเป็นกรดจำนวนมากให้เจือจาง และมีความเป็นกลาง น้ำสะอาดจะช่วยเจือจางและชะล้างสารพิษดังกล่าวออกจากร่างกายผ่านทางไต ลำไส้และผิวหนัง น้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดเลือด ชะล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อ คืนความชุ่มชื้นสู่เซลล์ผิวและทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำที่อยู่ในอุณหภูมิห้อง บรรจุอยู่ในขวดแก้ว หลีกเลี่ยงน้ำที่เย็นจัด น้ำประปา น้ำที่บรรจุอยู่ในขวดพลาสติก หรือน้ำที่มาจากเครื่องกรองน้ำที่ไม่ได้ล้างมาหลายเดือน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เสริมสร้างความแตกต่างให้ผิวด้วยการออกกำลังกาย

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของมนุษย์จะมีการผลิตสารพิษและของเสียออกมาตลอดเวลา อันเนื่องมาจากกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นภายใน ซึ่งสารพิษและของเสียดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของร่างกาย แต่ในภาวะปกติจะถูกระบบขับถ่ายของเสียของร่างกายขับออกมาในรูปของลมหายใจ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ จึงทำให้สารพิษและของเสียดังกล่าวไม่อาจสร้างความเสียหายกับร่างกายได้

อย่างไรก็ตาม หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบการขับถ่าย ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการกับของเสียและสารพิษดังกล่าวลดน้อยลง ของเสียและสารพิษจะเกิดการสะสมตัวยังผลให้เกิดความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยขึ้นกับระบบ
ต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผิวพรรณด้วยเช่นกัน เราไม่อาจทาสีเนื้อไก่ที่กำลังเสียให้แลดูสดใหม่ได้ตลอดเวลาด้วยสีฉันใด ผิวพรรณก็ไม่อาจสวยสดใสแลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างแท้จริงด้วยการแต่งแต้มเครื่องสำอางฉันนั้น

การที่เราจะมีผิวพรรณที่สดใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัยได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ระบบภายในแข็งแรงเสียก่อน เหมือนอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านได้แนะนำไว้ว่า ผิวพรรณจะสวยงามอย่างยั่งยืนได้นั้นต้องมาจากสุขภาพภายในที่แข็งแรง

ร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้เคลื่อนไหว และของเหลวภายในร่างกายก็ได้รับการออกแบบมาให้มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ในหนังสือชื่อ Spring and Autumn Annals ที่มีการรวบรวมมานานกว่า 2,000 ปีก่อน ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า “หากร่างกายไม่เคลื่อนไหว ของเหลวที่สำคัญต่าง ๆ ภายในร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนที่ เมื่อของเหลวเหล่านั้นไม่เคลื่อนที่ พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะติดขัด และเมื่อพลังงานภายในร่างกายติดขัด ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายก็จะสูญเสียพลังงาน และสิ่งแรกที่จะได้รับผลกระทบคือความสามารถในการทำความสะอาดและซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย”

การเคลื่อนที่ของของเหลวบางอย่าง เช่น น้ำเหลือง จะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย กล่าวคือ หากร่างกายมีการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ น้ำเหลืองก็จะมีความสามารถในการเคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายหยุดนิ่ง น้ำเหลืองก็จะนิ่งหยุด กระแสเลือดจะไหลเวียนได้ช้าลง ระบบการระบายของเสียภายในร่างกายจะหยุดทำงาน ทำให้ของเสียและสารพิษมีการสะสมตัวในเลือดและเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็ว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากนี้การไม่ออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เพียงพอยังเป็นสาเหตุของการติดกันของข้อต่อ และการขาดความยืดหยุ่นของเส้นเอ็น การอุดตันของลำไส้และการลดลงของกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย การทำกิจกรรม หรือการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงอย่างสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดพลังงานและก่อให้เกิดชีวิต ในทางกลับกันความเฉื่อยชา หรือการหยุดนิ่งอยู่กับที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมและความตายในที่สุด

เนื่องจากสารพิษและของเสียจะถูกขับออกจากเซลล์และเนื้อเยื่อเข้าสู่กระแสเลือดและน้ำเหลือง เลือดและน้ำเหลืองที่มีการเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอ ย่อมระบายของเสียออกสู่อวัยวะขับถ่ายได้ดีกว่าเลือดและน้ำเหลืองที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังนั้นถ้าหากไม่คิดที่จะออกกำลังเพื่อกระตุ้นให้ของเหลวภายในร่างกายมีการไหลเวียนเสียบ้าง สารพิษและของเสียที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเนื้อเยื่อจะยังคงวนเวียนอยู่ภายในร่างกาย

เพื่อเสริมสร้างการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ควรออกกําลังกายในรูปแบบที่ไม่ต้องมีการใช้กำลังมาก ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หรือเกิดผลลัพธ์ที่ขัดขวางกระบวนการล้างพิษที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น การออกกำลังกายแบบตะวันตก การออกกำลังกายแบบตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของจีน เช่น รำไทเก๊ก โยคะ ชี่กงหรือไทชิ จะมีรูปแบบของการเคลื่อนไหวร่างกายคือเชื่องช้าและนุ่มนวล โดยเน้นไปที่การยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ขดตัวอยู่ให้คลายออก และการผ่อนคลายข้อต่อจากการถูกเสียดสีหรือถูกบดขยี้กันอย่างรุนแรง

การออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยร่างกายในการซ่อมแซมตัวเองและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่จะทำเพื่อความสนุกสนาน แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียด อาการเหนื่อยหอบ หรือก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของร่างกายแต่อย่างใด

การออกกำลังกายแบบตะวันออกจะช่วยขับสารพิษและของเสียออกไปจากเนื้อเยื่อ กระแสเลือด และน้ำเหลือง ช่วยเพิ่มพลังให้แก่ระบบต่างๆของร่างกาย มากกว่าที่จะใช้พลังงานที่ร่างกายสะสมเอาไว้ หรือทำให้ผู้ออกกำลังกายรู้สึกเหนื่อยอ่อน ช่วยเปิดเนื้อเยื่อทำให้พลังงานและเลือดมีการไหลเวียนอย่างอิสระ ช่วยให้กระบังลมเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ทำให้หายใจได้ลึกและเต็มที่ จึงทำให้กระแสเลือดและเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนในปริมาณมาก ทำให้สภาพแวดล้อมภายในร่างกายมีความเป็นด่าง ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสมแก่การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และเนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก กระบังลมจึงทำงานได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่หัวใจไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อที่จะสูบฉีดเลือดให้เต็มไปด้วยออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากของตะวันตกโดยสิ้นเชิง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การออกกำลังกายแบบตะวันตก เช่น ฟุตบอล ยกน้ำหนัก สกี เทนนิส วิ่ง เป็นรูปแบบของการออกกำลังกายที่ใช้พลังงาน ทำให้ผู้เล่นมีเหงื่อออกมามาก หายใจหอบและเร็ว มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่รวดเร็ว จนอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด และอาการบาดเจ็บขึ้นกับร่างกาย การออกกำลังกายแบบตะวันตกเป็นการออกกำลังกายเพื่อความสนุกมากกว่าที่จะเยียวยาหรือก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย รูปแบบของการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและมีการกระทบกระแทกด้วยความรุนแรงต่อร่างกายแบบนี้ทำให้กล้ามเนื้อของผู้เล่นหดและเกร็งตัว ข้อต่ออัดกันแน่นและมีการเสียดสีกันตลอดเวลา ของเหลวภายในร่างกายถูกขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างเป็นอิสระเท่าที่ควร เป็นเหตุให้ของเสียและสารพิษที่สะสมอยู่ในเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ถูกปลดปล่อยออกมา แต่ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายตลอดเวลา

ซึ่งตรงกันข้ามกับการออกกำลังกายแบบตะวันออก การออกกำลังกายแบบตะวันตกจะทำให้ผู้เล่นมีการหายใจที่เร็วและสั้น และมีอาการเหนื่อยหอบ การหายใจที่สั้นและเร็วจนเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในปริมาณน้อยในขณะที่ร่างกายไม่สามารถปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียออกไปได้มากพอ จึงทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดก๊าซออกซิเจน กระแสเลือดและเนื้อเยื่อจะมีความเป็นกรดสูงเนื่องจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในปริมาณมาก

นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างหนักยังทำให้เกิดกรดแลคติกซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอันเนื่องมาจากการออกแรงกล้ามเนื้ออย่างหนักและรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้สภาพแวดล้อมภายในร่างกายมีสภาพเป็นกรด เพื่อคงความแข็งแรงของร่างกายและความสวยงามอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ควรเลือกวิธีการออกกำลังกายแบบตะวันออกที่มีท่วงท่าที่นุ่มนวล ซึ่งจะเสริมสร้างการทำงานของร่างกายในการขับสารพิษได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นการเต้นของหัวใจในการสูบฉีดโลหิต ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับสารอาหารและออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอ ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นดีขึ้น

ผิวสวยเริ่มจากการพักผ่อนที่เหมาะสม

เชื่อว่าทุกคนต่างรู้ถึงประโยชน์ของการนอนหลับเป็นอย่างดี (อย่างน้อยก็เข้าใจว่า จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าหากได้นอนหลับอย่างเต็มที่ หลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน) มีอยู่หลายครั้งจะเห็นว่าหน้าตาของเราอิดโรย อ่อนล้า และทรุดโทรมทุกครั้งที่พักผ่อนไม่เพียงพอ และอาจล้มป่วยได้หากยังไม่หาเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ตามความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้เนื่องจากการนอนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีสุขภาพโดยรวมที่ดี รวมไปจนถึงผิวพรรณที่ดีที่มิอาจปฏิเสธได้ นอกจากจะมีแนวโน้มที่อาจจะเจ็บป่วยได้ง่ายแล้ว คนที่อดนอนบ่อย ๆ จะมีผิวคล้ำ ซูบซีด แห้งกร้าน และมีริ้วรอยง่ายกว่าคนทั่วไป  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อการมีสุขภาพผิวที่ดีจากการนอน ผู้เชี่ยววชาญกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการนอนให้เพียงพอและมีคุณภาพ แต่อย่างไรถึงจะเรียกว่าการนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพ การนอนที่เพียงพอคือจำนวนชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามจำนวนชั่วโมงในการนอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ 7 ถึง 10 ชั่วโมง สิ่งที่จะบอกให้ทราบว่าคุณได้นอนอย่างเพียงพอแล้วได้แก่

  • สามารถตื่นได้เองโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกหรือให้ใครปลุก
  • รู้สึกแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยพลังเมื่อตื่นขึ้น
  • ไม่ต้องการเพิ่มเวลาอีกซัก 10-20 นาทีเพื่อนอนต่อหลังจากนาฬิกาปลุก
  • ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องดื่มจำพวกชากาแฟ เพื่อปลุกสมองให้กระปรี้กระเปร่า
  • รู้สึกอารมณ์ดี สมองปลอดโปร่งตลอดทั้งวัน
  • ในช่วงระหว่างวัน สามารถทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า สมองลื่นไหลดี ไม่หาวหรือสัปหงก
  • สามารถตื่นได้ในเวลาเดิมทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องนอนเพิ่ม หรือนอนตื่นสายกว่าปกติแม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ตาม

นอกจากการนอนหลับที่เพียงพอแล้ว จำเป็นต้องมีการนอนที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน การนอนที่มีคุณภาพคือการหลับที่ลึกและสนิท ทางการแพทย์จะแบ่งช่วงของการหลับออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ช่วงหลับตื้น (ช่วง 2 ชั่วโมงแรกของการหลับ) และช่วงหลับลึก (หลังจาก 2 ชั่วโมงแรกผ่านไป) ช่วงหลับลึกเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมากเนื่องจากเป็นช่วงที่สมองจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ การที่หลับในช่วงเวลานี้ยาวนาน จะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสมองแจ่มใส ความจำดีเมื่อตื่นขึ้น
นอกจากนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านความงามของผิวพรรณออกมายืนยันถึงคุณประโยชน์ของการนอนที่เพียงพอ และมีคุณภาพต่อผิวพรรณอีกว่า การนอนหลับส่งผลดีต่อการฟื้นฟูของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวพรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองที่ผิวพรรณจะฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง และเต่งตึง ในช่วงที่เราหลับสนิท ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เช่น ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต และฮอร์โมนเพศซึ่งจะส่งผลต่อความสดใสเปล่งปลั่งของผิวพรรณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอจึงมีผิวพรรณที่ผ่องใส เปล่งปลั่ง และดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ

ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นถึงโทษของการละเลยช่วงเวลาทองดังกล่าวว่า สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำงานช่วงกลางคืน มีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและทรุดโทรมของผิวพรรณมากกว่าคนทั่วไปที่นอนตามเวลาปกติ เนื่องจากในช่วงที่ทำงานอยู่นั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2) จะพลาดโอกาสที่จะให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หลังจากที่ต้องเผชิญกับสภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมมาตลอดทั้งวัน เช่น มลภาวะ ความเครียด แสงแดด ความร้อน หรือแม้แต่การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุยกันในระหว่างวัน ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณแห้งกร้าน มีริ้วรอยเหี่ยวย่นหยาบและทรุดโทรมเร็วกว่าปกติ และที่สำคัญการนอนช่วงเช้าก็ไม่อาจทดแทนช่วงเวลาทองที่ผ่านไปแล้วได้ การนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อการหดเกร็งที่เกิดจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในระหว่างวัน จึงทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ช้าลง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าการนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพ ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมและสุขภาพของผิวพรรณ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาในการหลับไม่สนิท หรือหลับอย่างเพียงพอหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน 7-8 ชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อตื่นขึ้นมากับรู้สึกอ่อนเพลีย อิดโรย ราวกับไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน เพื่อการนอนหลับสนิทและยาวนานอย่างเพียงพอ การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนอนก็เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพในการนอนตลอดทั้งคืนที่ไม่ควรละเลย ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการนอนเพื่อการนอนที่มีคุณภาพและเพียงพอ ให้ตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้ให้ครบก่อนเข้านอนทุกครั้ง

  • นั่งสมาธิก่อนเข้านอนเพื่อทำใจให้สงบ
  • เปลี่ยนหลอดไฟในห้องนอนจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดามาเป็นหลอดไฟที่ให้แสงสีเหลืองนวล
  • หากต้องทำงานก่อนนอน ให้หยุดทำงานก่อนเข้านอน 10-15 นาที
  • จัดห้องนอนให้มีบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนให้มากที่สุด
  • อย่าเอางานไปทำในที่นอน หรือนำหนังสือไปอ่านบนเตียง
  • ไม่นำอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ สเตอริโอ เข้าไปไว้ในห้องนอน
  • แยกอุปกรณ์การทำงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน แฟ้มเอกสาร ฯลฯ ออกจากห้องนอน
  • นอนในห้องที่มืดสนิท
  • กินอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรธรรมชาติที่ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น
  • อย่ากินอาหารก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมากก่อนเข้านอน
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัดหรือย่อยยากก่อนเข้านอน
  • หากหิวให้ดื่มนมอุ่นๆ ผสมผงจันทร์เทศสักเล็กน้อยก่อนเข้านอน
  • เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศให้ถ่ายเทสะดวก
  • นอนบนที่นอนที่ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป
  • ชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนนอนทุกครั้ง
  • เลือกใช้อุปกรณ์ในการนอนที่ระบายความร้อนและความชื้นได้ดี
  • ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้นาฬิกาปลุกที่มีลานส่งเสียงดัง แล้วหันมาใช้นาฬิกาแบบดิจิตอลแทน
  • สร้างแสงสลัวที่สงบในห้องนอนด้วยการจุดเทียนหอม
  • เลือกใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณในการผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น เช่น ลาเวนเดอร์ ( Lavender ) มาร์จอแรม ( Marjoram ) คาโมไมล์ ( Chamomile ) เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

บุหรี่ ตัวการแห่งความเสื่อมโทรมที่ต้องหลีกเลี่ยง

บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง มีการพบว่าร้อยละ 30 ของปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่มาจากภายนอกมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่โดยพบว่า 9 ใน 10 ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดจะมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ มีจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าการสูบบุหรี่ก่อให้เกิดมะเร็งปอดแต่เพียงอย่างเดียว แท้จริงแล้วบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของมะเร็งชนิดอื่นอีกมากมายอันได้แก่ มะเร็งสมอง ระบบประสาท ผิวหนัง ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง ตับอ่อน ต่อมน้ำเหลือง ไต กระเพาะปัสสาวะ มดลูก และลำไส้ใหญ่

จากการศึกษาส่วนประกอบของบุหรี่พบว่าบุหรี่ 1 มวนมีสารประกอบทางเคมีมากกว่า 30,000 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดล้วนก่อให้เกิดโทษต่อสุขภาพทั้งสิ้น นอกจากจะมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายจำนวนมากแล้วบุหรี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของความเสียหายและความเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่ออีกด้วย

อนุมูลอิสระที่เกิดจากบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายเอนไซม์ ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งนั่นหมายรวมถึงความอ่อนเยาว์และความงามของผิวพรรณที่จะต้องถูกทำลายไปด้วย คนที่สูบบุหรี่จัดจำนวนมากพบว่าผิวพรรณที่เคยเต่งตึง เรียบเนียน และเปล่งปลั่ง ได้ร่วงโรยเหี่ยวย่นและหมองคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสูบบุหรี่

จากงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการลุกลามของมะเร็งเต้านมไปยังปอดมากกว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมแต่ไม่ได้สูบบุหรี่ นักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งศูนย์การแพทย์ดาวิส ได้ทำการตรวจสอบบันทึกการทดลองของอาสาสมัครหญิงจำนวน 87 คน ที่เป็นมะเร็งเต้านมและมีการกระจายของมะเร็งไปยังปอด นักวิจัยได้ทำการจับคู่อาสาสมัครเหล่านี้กับอาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นมะเร็งเต้านมแต่ไม่พบการกระจายของเชื้อมะเร็งไปยังปอด โดยการจับคู่กันระหว่างอาสาสมัคร 2 กลุ่ม นักวิจัยจับคู่อาสาสมัครที่มีจำนวนปีในการเป็นโรค ขนาดของเนื้องอก ฯลฯ ที่เหมือนกันเข้าด้วยกัน ด้วยผลการตรวจที่ได้

นักวิจัยเห็นพ้องต้องกันว่าการสูบบุหรี่ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการกระจายตัวของเชื้อมะเร็งจากเต้านมไปยังปอดได้ การสูบบุหรี่บั่นทอนสุขภาพ และยังก่อให้เกิดโรคภัยที่นอกเหนือจากโรคมะเร็ง เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว แผลหายช้า โรคเส้นเลือดในสมองตีบ เส้นเลือดโป่งพอง แผลเปื่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้ อสุจิไม่แข็งแรง ทารกแรกเกิดไม่แข็งแรง นัยน์ตาเป็นต้อกระจก
เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการพบว่า การหยุดสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ถึงร้อยละ 30    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณได้ออกมาเตือนสติสิงห์อมควันทั้งหลายถึงพิษภัยของบุหรี่ที่มีต่อสุขภาพและความงาม และรณรงค์ให้หยุดสูบบุหรี่โดยเร็วที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป ด้วยกระแสของการรณรงค์และความตั้งใจจริงของผู้สูบบุหรี่ คนจำนวนมากต่างออกมายอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า ความแตกต่างระหว่างช่วงที่สูบบุหรี่ และหลังจากหยุดสูบบุหรี่ไปแล้ว เมื่อหยุดสูบรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดใส เต็มไปด้วยพลังชีวิต และเหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกว่าริ้วรอยบนผิวพรรณและใบหน้าเริ่มเลือนหายลงไปเรื่อย ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะเดียวกันก็ได้สัญญาว่าจะไม่หวนกลับไปสูบบุหรี่อีกต่อไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ความเครียด ต้นตอแห่งริ้วรอยที่คุณไม่เคยรู้

ความเครียดที่มากเกินไปไม่เคยก่อให้เกิดผลดีกับใครทั้งสิ้น รวมไปถึงผิวพรรณด้วย ทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความเครียดมาแล้วทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักรู้สึกไม่ค่อยสบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ กินไม่ลง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากความตึงเครียดทั้งสิ้น และแน่นอนที่ผิวของเราก็จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่เราเครียด มักแสดงออกทางสีหน้า เช่น ขมวดคิ้ว เม้มปาก ย่นหน้าผาก เป็นต้น

ซึ่งการแสดงออกทางสีหน้าที่ทำบ่อยครั้งจะเป็นการเน้นย้ำกล้ามเนื้อให้หดเกร็ง จนเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นลึกถาวรที่ชั้นหนังแท้ วิธีเดียวที่จะป้องกันการเกิดริ้วรอยจากความตึงเครียดก็คือ การรู้จักผ่อนคลายอย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายอย่างเหมาะสม เช่น ออกกำลังกาย โทรศัพท์ ดูโทรทัศน์ พูดคุยกับเพื่อนหรือสมาชิกในบ้าน หรือนั่งวิปัสสนา กำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดสมาธิจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ จะช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดีช่วยทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย

จากการศึกษาพบว่า การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติและระบบการหลั่งฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงมีความเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจโดยตรง ฮอร์โมนเพศหญิงมีอิทธิพลต่อสภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอย ระบบการขนส่งสารอาหารไปยังผิวหนัง การสะสมไขมันที่ชั้นใต้ผิวหนัง มีการพบว่าในขณะที่เรามีอารมณ์แจ่มใส การทำงานของระบบฮอร์โมนเพศจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่งสดใสกว่าปกติ

ในทางกลับกันขณะที่เราอยู่ในสภาวะตึงเครียดระบบการไหลเวียนโลหิตแปรปรวน ยังผลระบบประสาทอัตโนมัติเสียสมดุล ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ทำให้การลำเลียงสารอาหารมายังเซลล์ผิวหนังต้องติดขัด ผิวพรรณหยาบกร้าน ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากจนทำให้เกิดปัญหาสิวตามมา มีวิธีเดียวที่จะจัดการกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ คือการรู้จักรับมือกับความเครียดอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้กลับมาอยู่ในสภาวะสมดุลและเป็นปกติอีกครั้ง [adinserter name=”navtra”]

การนั่งวิปัสสนา หนึ่งในวิธีที่จะช่วยจัดการกับความเครียดจะเป็นตัวเชื่อมร่างกายและจิตใจเข้าด้วยกัน ทำหน้าที่ในการรักษาระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาวะสมดุลและทำงานด้วยความราบรื่น ทำหน้าที่เหมือนเครื่องสูบฉีดพลังและเลือดที่เต็มไปด้วยสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของการทำงานของเซลล์และเนื้อเยื่อ การหายใจที่ดีและถูกต้องจะช่วยป้องกันและรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้ ช่วยเพิ่มความสามารถที่เกี่ยวกับไฟฟ้าให้กับเซลล์ ช่วยขยายสนามพลังงานของร่างกายทั้งหมด ช่วยปรับร่างกายและจิตใจให้มีความสอดประสานกันด้วยการปรับสมดุลของระบบพลังงานทั้งหมดของร่างกาย

นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง ช่วยลดภาวะติดสารเสพติด ช่วยลดอาการตื่นกลัว ทำให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย ช่วยทำความสะอาดเลือด การหายใจที่ถูกต้องและมีคุณภาพจะทำหน้าที่กระตุ้นเนื้อเยื่อให้ปลดปล่อยสารพิษและของเสียที่สะสมอยู่ภายในออกมา ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อสะอาด ช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดอาการเจ็บปวด ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับฮีโมโกลบิน ทำให้เลือดสะอาดและสดใหม่อยู่เสมอ

นอกจากนี้การหายใจที่ดียังทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่อโรคภัยสูงขึ้นและยังช่วยป้องกันร่างกายจากพลังงานบางชนิด เช่น คลื่นไมโครเวฟ กัมมันตภาพรังสี เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

โครงสร้าง และ ส่วนประกอบของเต้านม

0
ส่วนประกอบภายในเต้านมของผู้หญิง มีกล้ามเนื้อ ไขมัน ท่อน้ำนม เซลล์ผลิตน้ำนม ฐานนม หัวหัว
ส่วนประกอบภายในเต้านมของผู้หญิง มีกล้ามเนื้อ ไขมัน ท่อน้ำนม เซลล์ผลิตน้ำนม ฐานนม หัวหัว

เต้านม คือ

เต้านม ( Breast ) คือ อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายผู้หญิงอยู่บริเวณหน้าอกทั้งสองข้าง เต้านมของเด็กหญิงจะแบนราบ และจะพัฒนาขยายขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงเริ่มเป็นวัยรุ่น เมื่อผู้หญิงมีบุตรเต้านมจะผลิตน้ำนม ประกอบไปด้วยท่อน้ำนมต่อมน้ำนมประมาณ 15–20 ต่อม ตรงปลายของต่อมน้ำนมเล็ก ๆ จะมีถุงกระเปาะขนาดเล็กเป็นแหล่งผลิตน้ำนม ทั้งหมดจะถูกเชื่อมต่อถึงกันโดยท่อน้ำนมและจะไปสิ้นสุดที่หัวนม ส่วนบริเวณช่องว่างระหว่างต่อมน้ำนมและท่อน้ำนมจะเป็นไขมันแทรกตัวอยู่โดยมีกล้ามเนื้อรองรับเต้านมอยู่เหนือกระดูกซี่โครงอีกชั้นหนึ่งเส้นเลือดจากบริเวณกล้ามเนื้อทรวงอกมาหล่อเลี้ยง มีไขมันล้อมรอบกลายเป็นเต้านมแต่ละข้าง มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือเอ็นที่ชื่อคูเปอร์แผ่ยึดระหว่างฐานนมและผิวหนัง ทำหน้าที่ในการพยุงส่วนประกอบของเต้านมให้คงรูป นอกจากนี้เต้านมไม่ใช่เนื้อก้อนใหญ่ ๆ ก้อนหนึ่งแต่แบ่งออกเป็นกลีบ ๆ ไม่ต่างอะไรจากกลีบส้ม มีหัวนมเป็นศูนย์กลางของเต้านม ซึ่งต่อมน้ำนมทุกต่อมมีท่อน้ำนมต่อเชื่อมไปออกที่ปลายหัวนม เป็นทางระบายออกนอกร่างกายให้ทารกดื่มกิน ทั้งหมดถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดแดงจากผนังอก และท่อน้ำเหลืองที่เชื่อมไปถึงต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ และเหตุผลที่เต้านมสามารถสั่นคลอนและห้อยย้อยได้ก็เพราะว่าเอ็นคูเปอร์ไม่ได้ยึดเอาไว้แน่นนั่นเอง

โครงสร้างของเต้านม

เต้านมมีหน้าที่ เป็นอวัยวะสร้างน้ำนม เพื่อเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติสำหรับทารก

1. เส้นเลือดแดงเป็น internal mammary arteries ซึ่งประสานกับ lateral thoracic arteries
2. ท่อน้ำเหลืองติดต่อกับต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้และใต้กระดูกไหปลาร้า
3. เส้นประสาทมาจากเส้นที่ 4-6 ของ intercostal nerves ไปเลี้ยง ส่วนใหญ่ที่หัวนมและลานม

ส่วนประกอบของเต้านม

เต้านมประกอบด้วยต่อมและเนื้อเยื่อไขมันมากมายระหว่างชั้นของผิวหนัง และผนังช่องอก ซึ่งเนื้อเยื่อไขมันนี่เองที่เป็นตัวกำหนดขนาด และรูปร่างของทรวงอก ขณะที่มีบุตรต่อมดังกล่าวจะผลิตน้ำนมส่งผ่านท่อน้ำนมไปยังหัวนม ดังนั้นช่วงที่ให้นมลูก ต่อมน้ำนม และท่อต่างๆ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เต้านมยังประกอบด้วยเส้นเลือด และน้ำเหลือง โดยน้ำเหลืองจะนำของเสียที่เต้านมขับออกไปยังเนื้อเยื่อขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วที่เรียกว่า ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ซึ่งต่อมน้ำเหลืองจะทำหน้าที่กรอง และทำความสะอาดน้ำเหลือง

การเปลี่ยนขนาดของเต้านมจากฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน

  • ช่วงก่อนมีประจำเดือน จะรู้สึกคัดเค้าเต้านมหรือเต้านมขยายใหญ่ขึ้น
  • ช่วงหลังเป็นประจำเดือน ขนาดของเต้านมจะเล็กลง
  • ช่วงตั้งครรภ์เต้านมจะขยายขนาดขึ้น
  • การคุมกำเนิดโดยวิธีต่าง ๆ ซึ่งเป็นการรับฮอร์โมนเพศหญิงจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย ก็อาจทำเต้านมขยายใหญ่ขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนชนิดฉีด กิน หรือทา

ความผิดปกติที่เกิดกับเต้านม

การมีน้ำคัดหลั่งออกมาทางหัวนม ( Nipple Discharge ) ภาวะเช่นนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงของท่อน้ำนม มะเร็งเต้านม ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด และระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์หากพบว่ามีน้ำคัดหลั่งจากหัวนมไหลออกมาเองโดยไม่ได้อยู่ในช่วงของการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

เต้านมอักเสบ ( Mastitis ) เป็นการอักเสบบริเวณเต้านมที่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อยู่ระหว่างการให้นมบุตร เกิดจากการอุดตันของท่อน้ำนมจนทำให้น้ำนมสะสมตัวอยู่ภายในจนเกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย อาการที่พบคือมีก้อนที่เต้านม ปวด บวมแดง และรู้สึกเจ็บเมื่อโดนกดเต้านมบริเวณที่อักเสบ ในเบื้องต้นแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะในการรักษา แต่ถ้าพบว่ามีฝีหรือหนองอักเสบอยู่ภายในก็อาจต้องเจาะหนองหรือผ่าตัดออก

ท่อน้ำนมโป่งพอง ( Mammary duct ectasia ) เกิดกับผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน มีสาเหตุมาจากการอักเสบและอุดตันของท่อน้ำนมบริเวณใต้หัวนม ทำให้เกิดการเจ็บปวดและมีน้ำคัดหลั่งที่ข้นเหนียวสีเทาถึงสีเขียวออกมาทางหัวนม วิธีการรักษาคือให้ใช้น้ำร้อนประคบและบีบเค้นเบาๆ ให้น้ำคัดหลั่งไหลออกมาจนหาย ควบคู่กับการใช้ยาปฏิชีวนะ และหากจำเป็นก็อาจต้องทำการผ่าตัดเอาท่อน้ำนมที่อักเสบออก

ภาวะผู้ชายมีนม ( Gynecomastia ) เป็นอาการที่เนื้อเยื่อเต้านมของผู้ชายเกิดการขยายตัว ทำให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเกิดจากการมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ควบคุมลักษณะความเป็นหญิงที่มากเกินไป

ก้อนที่เต้านมชนิดไม่ร้ายแรง ( Benign Breast Lump ) โดยทั่วไปก้อนที่เต้านม มักพบในผู้หญิงช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป โดยเกิดจากสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้
• ไฟโบรซิสติค ( Fibrocystic Disease ) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำ จนมีก้อนโตขึ้นและเจ็บเต้านมก่อนจะมีรอบเดือน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสองข้างหรือข้างเดียวแต่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อรอบเดือนหมด และจะหายไปเองเมื่อผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนโดยไม่จำเป็นต้องทำการรักษา
• ไฟโปรอดีโนมา ( Fibroadenoma ) เป็นเนื้องอกไม่ร้ายแรงที่เป็นก้อนแข็งขนาดราวๆ 1 – 5 เซนติเมตร ประกอบด้วยพังผืดและเนื้อเยื่อจากต่อมน้ำนม มักไม่มีอาการเจ็บแต่อาจรู้สึกคัดเต้านมบ้าง ก่อนมีรอบดือนเวลาคลำดูจะรู้สึกว่ามันกลิ้งไปมาได้ มักเกิดในผู้หญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์ สามารถรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเอาก้อนออก
• เซลล์ไขมันในเต้านมถูกทำลาย ( Fat Necrosis ) เกิดจากการที่เต้านมได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงและมีเลือดออกในเต้านม มักเกิดในคนที่มีเต้านมใหญ่หรือเกิดจากอุบัติเหตุที่แม้แต่ผู้ป่วยเองก็อาจไม่รู้ตัว ทำให้ไขมันเกิดการอักเสบรวมกันเป็นก้อนและมีอาการช้ำซึ่งอาจจะปวดหรือไม่ก็ได้ สังเกตดูจะพบว่าผิวหนังด้านบนช้ำเลือดช้ำหนอง อาการนี้อาจหายไปได้เองหรือจะทำการผ่าตัดเอาออกก็ได้
• ซีสต์ ( Cysts ) คือเนื้องอกที่เป็นถุงน้ำ บางครั้งอาจเป็นก้อนที่อ่อนนุ่มและเกิดขึ้นก่อนมีรอบเดือน แพทย์อาจทำการรักษาโดยเจาะของเหลวออก ซึ่งหากก้อนยุบลงทันทีหลังจากเจาะและของเหลวนั้นไม่มีสีหรือออกเป็นสีเขียว ก็ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาเพิ่ม แต่ถ้าหากของเหลวมีเลือดเจือปนก็ต้องส่งไปตรวจดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ และอาจต้องใช้วิธีผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก

มะเร็งเต้านม ( Breast Cancer ) จัดเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรงของเต้านม มักไม่แสดงอาการใดๆ ในระยะเริ่มต้น แต่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้จากการเอกซเรย์เต้านมหรือที่เรียกว่าแมมโมแกรม ( Mammogram ) ร่วมกับการอัลตร้าซาวด์ของเต้านม ในระยะถัดมาผู้ป่วยจะสามารถคลำพบก้อนภายในเต้านมได้ด้วยตนเองโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด ซึ่งก้อนที่พบจะไม่เปลี่ยนแปลงขนาดไปตามระยะของการมีรอบเดือน และอาจมีของเหลวไหลออกมาจากหัวนม หรือผิวหนังเหนือเต้านมขรุขระเหมือนผิวส้ม

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

เต้านม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://th.wikipedia.org

สุขภาพของเต้านม ไม่ใช่แค่มะเร็งที่คุณต้องระวัง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.bumrungrad.com

“Breast cancer. Clinical practice guidelines in oncology”. Journal of the National Comprehensive Cancer Network : JNCCN (2): 122–92.

เล่นน้ำสงกรานต์อย่างไรให้สนุกและปลอดภัย 2019

0
เล่นน้ำสงกรานต์อย่างสนุกและระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
เล่นน้ำสงกรานต์อย่างสนุกและระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
สรงน้ำพระตามประเพณีสงกรานต์ด้วยน้ำอบลอยด้วยดอกไม้หอมหลากหลายชนิด
สรงน้ำพระตามประเพณีสงกรานต์ด้วยน้ำอบลอยด้วยดอกไม้หอมหลากหลายชนิด

สงกรานต์

เดือนเมษายนเป็นเดือนที่คนไทยทั้งประเทศต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเป็นเดือนที่มีเทศกาลสำคัญอย่างเทศกาล สงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยเรา เป็นวันที่ครอบครัวคนไทยส่วนมากจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ลูกหลานที่ทำงานไกลบ้านเมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ก็จะเดินทางกลับบ้าน เพื่อเป็นการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ที่ทรงคุณค่า สะท้อนวิถีปฏิบัติอันงดงามของไทย ด้วยการทำบุญ ตักบาตร เข้าวัด ฟังเทศน์ การสรงน้ำพระ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ การเล่นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง พบปะญาติพี่น้องที่ต้องอยู่ห่างไกล เรียกว่าเป็นวันรวมญาติก็ว่าได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับเทศกาลนี้ก็คือ การเล่นน้ำสงกรานต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบโดยเฉพาะวัยรุ่นคนหนุ่มสาว ที่อยากจะเล่นน้ำเพื่อคลายความร้อนเพิ่มความชุ่มช่ำทั้งกายและใจให้กับตัวเองและคนรอบข้าง แต่ทว่าการเล่นน้ำสงกรานต์ให้ปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักด้วยเช่นกัน ซึ่งปีนี้มีแนวทางในการจัดกิจกรรมภาพรวมของประเทศ 3 แนวทาง 14 ด้านในปี2562 มีดังนี้

1. การรณรงค์จัด “สงกรานต์แบบไทย” ได้แก่
1.1 ส่งเสริมให้จังหวัดต่างๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและร่วมกันสืบสานประเพณีต่างๆ เน้นวิถีวัฒนธรรมชูเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น
1.2 ขอความร่วมมือจากประชาชนในการสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทำของประเพณี สงกรานต์แบบไทย เช่น ทำความสะอาดบ้านเรือน วัด สถานที่สาธารณะ ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ เล่นน้ำอย่างพองาม
1.3 รณรงค์ให้แต่งกายด้วยชุดสุภาพ ใช้ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น หรือชุดไทยย้อนยุคเข้าร่วมงาน
1.4 ขอความร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชน ในการจัดกิจกรรมโดยคำนึงถึงวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยจัดให้มีการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕
2. การรณรงค์ “ใช้น้ำคุ้มค่า” ได้แก่
2.1 ขอความร่วมมือสืบสานประเพณีอย่างมีวัฒนธรรม เพื่อใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าสูงสุด ขอความร่วมมืองดใช้รถบรรทุกตระเวนสาดน้ำในพื้นที่ต่างๆ กำหนดระยะเวลาการเล่นน้ำ ให้เลิกเล่นน้ำในเวลาที่กำหนด ห้ามใช้แป้งและสีต่างๆ มาเล่น
2.2 ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและประหยัดน้ำ เช่น ขันขนาดเล็ก ไม่ใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง เล่นน้ำอย่างสุภาพ
2.3 ขอความร่วมมือประชาชนให้ใช้น้ำอย่างประหยัดและน้ำสะอาดเพื่อสุขอนามัย และสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงขาดแคลนน้ำ
3. การรณรงค์ “ทุกชีวาปลอดภัย” ได้แก่
3.1 ขอความร่วมมือภาคเอกชน ผู้ประกอบการ สถานบันเทิง ผู้จัดกิจกรรม กำหนดเวลาเปิด-ปิด จัดกิจกรรมและงดจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามเวลาที่กฎหมายกำหนด
3.2 ควบคุมและรณรงค์ผู้ใช้รถโดยใช้มาตรการเมาไม่ขับ ปลอดแอลกอฮอล์ และมีน้ำใจให้แก่กันในการใช้รถใช้ถนน และพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมให้แจ้งหน่วยงานหรือศูนย์รับแจ้งเหตุของหน่วยงานต่างๆ
3.3 มาตรการเข้ม ลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ถนน และยานพาหนะ และมาตรการด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ความปลอดภัยทางน้ำ-ทางเรือ และหลังเกิดอุบัติเหตุ ควบคุมความเร็วการใช้รถให้ใช้รถใช้ถนนอย่างเคร่งครัด
3.4 กิจกรรมส่งคนกลับบ้าน อำนวยความสะดวกในการเดินทาง การตรวจความพร้อมของผู้ขับรถสาธารณะ ควบคุมและตรวจจับความเร็วของรถบริการสาธารณะด้วยระบบ GPS และเฝ้าระวังยานพาหนะต่างๆ ศูนย์บริการตรวจสภาพรถฟรี รวมถึงมีศูนย์รับแจ้งเหตุร้องเรียนการใช้รถใช้ถนนโดยกรมการขนส่งทางบก และจุดบริการพักรถระหว่างการเดินทางเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล
3.5 สถานที่ที่จัดงานต่างๆ ต้องมีมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน
3.6 การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เช่น พ.ร.บ.การจราจรทางบก
3.7 มีศูนย์แจ้งเตือนภัยสภาพอากาศตลอดช่วงเทศกาล 

วิธีเล่นน้ำสงกรานต์ที่ทำให้คุณสนุกและปลอดภัยไร้กังวล

1.แต่งตัวมิดชิด

ด้วยอากาศที่ร้อนในช่วงวันสงกรานต์หลายคนจึงนิยมที่จะใส่เสื้อที่ระบายอากาศได้ดี เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น ซึ่งการแต่งกายแบบนี้ไม่เหมาะกับการไปเล่นน้ำสงกรานต์เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเราไม่รู้ได้ว่าคนที่มาเล่นสงกรานต์กับเรานั้น เขาเป็นคนเช่นไร ดังนั้นการแต่งกายเพื่อไปเล่นน้ำสงกรานต์ควรแต่งกายให้มิดชิดไม่โป๊ และควรเลือกเสื้อผ้าที่มีสีเข้มมากกว่าสีอ่อน เพราะว่าเสื้อสีอ่อนเมื่อเปียกน้ำแล้ว จะสามารถมองทะลุเห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน

  • เสื้อมีแขน จะแขนสั้นหรือยาวก็ได้ แต่ถ้าแขนยาวจะดีกว่าเพราะนอกจากจะช่วยป้องการการถูกลวนลามแล้ว ยังช่วงปกป้องผิวจากแสงแดดได้อีกด้วย ตัวเสื้อควรมีสีเข้มและมีความยาวคลุมสะโพกเพื่อเวลาที่เรายกแขนเพื่อสาดน้ำ ชายเสื้อจะได้ไม่ยกสูงจนเห็นสัดส่วนของเราได้
  • กางเกงขาไม่สั้นเกินไป ควรสวมกางเกงที่ยาวเหนือเข่าเล็กน้อยหรือกางเกงขายาวเพื่อปกปิดผิวขาจากสายผู้อื่น และช่วยป้องกันแสงแดดเช่นเดียวกับเสื้อแขนยาว ไม่ควรสวมกางเกงยีนส์ที่หนามากเพราะเวลาเปียกน้ำแล้ว กางเกงยีนส์จะหนักทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบาก

2.ใส่แว่นตา

สำหรับคนที่ไม่ได้ใส่แว่นสายตา เวลาที่จะไปเล่นน้ำสงกรานต์ควรหาแว่นตาใส่ เช่น แว่นกันแดด แว่นแฟชั่น เป็นต้น แว่นตาจะช่วยป้องกันดวงตาจากลม แสงแดด น้ำและสิ่งสกปรกที่เราต้องเจอเวลาที่เล่นน้ำ ลดอาการเคืองตา

3.เฮฮาเพื่อนฝูง  

การออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ม่ควรไปเล่นเพียงลำพัง แต่ควรไปเล่นกันเป็นหมู่คณะเพื่อความปลอดภัยของตนเอง  เพราะว่าถ้าบุคคลที่ไม่หวังดีคิดจะทำร้ายหรือลวนลาม เมื่อเห็นว่าเรามีเพื่อนมาด้วยย่อมไม่กล้าที่จะอะไรนั่นเอง และการเล่นน้ำสงกรานต์กับเพื่อนหลาย ๆ คนก็สนุกกว่าการเล่นน้ำคนเดียวด้วย

4.พกแต่สิ่งของจำเป็น

การไปเล่นน้ำไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับที่มีราคาแพงหรือพกเงินเป็นจำนวนมาก เพราะจะทำให้เราเป็นจุดสนใจของมิจฉาชีพได้ จึงควรพกแต่สิ่งของที่จำเป็น เช่น โทรทัพศ์ เงินเล็กน้อย นาฬิกา เป็นต้น และเก็บไว้ในถุงพลาสติกกันน้ำเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าอุปกรณ์เหล่านี้เปียกน้ำ

5.ปะแป้งแต่พอดี

การปะแป้งเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการเล่นน้ำ การปะแป้งก็ควรปะแต่พอดีไม่มากจนเกินไป เพราะถ้าปะแป้งมากจนเข้าตา ปาก จมูกหรือหูของผู้อื่น อาจจะทำให้ผู้อื่นเกิดอาการบาดเจ็บได้ เช่น ตาแดง อาหารพิษ ผดผื่น เป็นต้น และควรให้แป้งที่มีความสะอาด ถูกสุขลักษณะในการนำมาปะแป้งทั้งบนใบหน้าของตัวเองและผู้อื่น

6.เล่นด้วยน้ำสะอาด

น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเล่นสงกรานต์ เพราะเราต้องใช้น้ำในการสาดไปบนตัวผู้อื่นและเราเองก็ต้องโดนน้ำเช่นเดียวกัน ดังนั้นน้ำที่นำมาเล่นสงกรานต์ควรเป็นน้ำสะอาดที่ไม่มีสิ่งเจือปนที่เป็นอันตราย โดยควรเลือกน้ำจากแหล่งที่เหมาะสม เช่น น้ำที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลจัดมาบริการให้ น้ำประปา เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มาจากเชื้อโรคในน้ำ

7.งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เราความสามารถในการควบคุมสติของตัวเราเองลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้เราเกิดอุบัติเหตุหรือโดนผู้อื่นทำร้ายได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเวลาเล่นน้ำจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ถึงแม้ว่าเราจะดูแลตัวเองจากภัยอันตรายรอบตัวได้แล้ว แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพึงระวังไม่น้อยกว่าภัยนอกตัวเลย นั่นคือโรคภัยไข้เจ็บที่มากับการเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์นั่นเอง เพราะว่าการเล่นน้ำเราต้องเจอกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวร้อนจากอากาศรอบตัว เดี๋ยวเย็นจากการโดนสาดน้ำ หรือเชื้อโรคที่ผสมปนมากับน้ำที่นำมาสาดกันก็สามารถทำให้เกิดโรคได้ทั้งสิ้น

โรคที่มากับการเล่นน้ำที่พบได้มากช่วงสงกรานต์

1.โรคตาแดง หรือ โรคเยื่อตาขาวอักเสบ ( Conjunctivitis, Pink Eye )
2.โรคลมแดด ( Heat Stroke )
3.โรคอาหารเป็นพิษ
4.โรคปอดบวม หรือ ไข้หวัด
5.โรคผิวหนัง

นอกจากโรคที่เกิดจากความอับชื้นที่สร้างปัญหากับผิวแล้ว แสงแดดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหนัง เพราะว่าช่วงหน้าร้อนแสงแดดที่ประเทศไทยจะมีความเข้มของรังสียูวีที่สูงมากถึงระดับ 6-9 จากทั้งหมด 11 ระดับ ซึ่งเมื่อผิวหนังโดดแสงแดดนาน ๆ จะทำให้ผิวหนังแสบร้อนและหลุดลอกออกมาเป็นขุยได้ ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไปและมีการระบุว่าเป็น PA+++ เพื่อที่จะช่วยป้องกันผิวหนังจากทั้ง UVA และ UVB ทำการทาก่อนที่จะออกไปเล่นน้ำอย่างน้อย 30 นาที และควรทาครีมกันแดดเพิ่มทุก ๆ 2 ชั่วโมง เสื้อผ้าที่สวมใส่ควรเป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เพื่อช่วยป้องกันแสงแดดด้วยอีกทางหนึ่ง และหลังจากที่เล่นน้ำมาทั้งวันแล้ว ผิวหนังย่อมต้องเกิดการระคายเคืองทั้งจากแสงแดดและสิ่งสกปรกที่มากับน้ำ การดูแลผิวหลังจากเล่นน้ำมาก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผิวสามารถฟื้นฟูตัวเองให้กลับมามีสุขภาพดีได้ดังเดิม

วิธีการดูแลผิวหลังการตากแดดเล่นน้ำสงกรานต์มาทั้งวัน

1.อาบน้ำเย็น หรือ Cool Down 

หลังจากที่เล่นน้ำมาแล้ว เราต้องรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกออกไป และเพื่อการสุขภาพผิวที่ดีควรอาบด้วยน้ำเย็นหรือจะทำการประคบด้วยผ้าชุบน้ำเย็นกับผ้าห่อน้ำแข็งก็ได้เช่นกัน เพื่อเป็นการลดอุณหภูมิของผิวหนังและร่างกายให้เย็นลง หลังจากที่ร่างกายได้รับความร้อนมาแล้วทั้งวัน การอาบน้ำไม่ควรถูด้วยสบู่หรือครีมที่มีสารทำความสะอาดหรือมีสครับที่ช่วยขัดผิว และควรทำการถูสบู่ด้วยความเบามือเพื่อลดการระคายเคืองผิว 

2.บำรุงผิว

การบำรุงเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ทำได้ด้วยการทาหรือผอกผิวด้วยสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเพื่อความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง เช่น ว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว น้ำนม โยเกิร์ต แตงกวา มะเขือเทศ น้ำผึ้ง กล้วย เป็นต้น โดยนำสมุนไพรมาบดให้ละเอียดและทาทิ้งไว้ประมาณครั้งละ 30 นาที เป็นประจำทุกวันจนกว่าผิวจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

3.ทาครีมกันแดด

การทาครีมกันแดดนอกจากช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดเข้าไปทำร้ายเซลล์ผิวหนังเพิ่มแล้ว ในครีมกันแดดยังสีสารช่วยรักษารอยไหม้บนผิวหนังที่เกิดจากแสงแดดด้วย ทำให้ผิวหนังลดอาการแสบร้อนและพลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้นด้วย

ทำตามวิธีขั้นต้นแล้ว รับรองว่าผิวที่เสียจนน่ากลัวเพราะการเล่นน้ำสงกรานต์ของคุณจะกลับมาสวยใสจนต้องตกตะลึงแน่นอน แต่ว่าบางคนเมื่อเล่นน้ำสงกรานต์แล้วผิวก็เสีย แถมยังมีอาการป่วยเป็นผลจากการเล่นน้ำสงกรานต์เสียด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเราอย่างแน่นอน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ

การป้องกันตัวเองไม่ให้ป่วย ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

1.นอนพักให้เพียงพอ

วันสงกรานต์เป็นวันรวมญาติที่นานครั้งจะได้พบเจอกัน หลายคนไม่ยอมหลับยอมนอนนั่งคุยกันจนเช้า และไปเล่นน้ำต่อ ซึ่งการทำเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกายทำให้มีความเสี่ยงต่อการป่วยได้ง่าย ดังนั้นเราต้องนอนอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยได้ 

2.กินอาหารให้ครบทุกมื้อ

บางคนเที่ยวเล่นจนไม่ลืมกินอาหารไปเลย ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ง่าย และยิ่งไปเล่นน้ำต้องตากแดด ตากลม ทำให้ร่างกายอ่อนแอเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นเราต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อเพื่อที่ร่างกายจะได้มีภูมิต้านทานโรคได้สูงขึ้น

3.ดื่มน้ำมาก ๆ

การดื่มน้ำจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแล้ว น้ำยังช่วยชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไปในขณะที่เราเล่นน้ำโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดบ่อยจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้วยังช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่ไม่สูงจนเป็นลมได้

4.ทำร่างกายให้อบอุ่น

หลังจากที่เล่นน้ำทุกครั้งควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันทีทุกครั้ง และสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นกับร่างกายในทันที อย่าอยู่ในชุดที่เปียกชื้นอย่างนั้นตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นไข้หวัดหรือปอดบวม

5.เล่นแต่พอดี  

การเล่นน้ำทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยที่ไม่มีการพักเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นกับร่างกายเลย เพราะการที่ร่างกายต้องเปียกน้ำจะทำให้ร่างกายมีความชื้นสูง และถ้าต้องไปตากแดดด้วยแล้วร่างกายก็จะมีอุณหภูมิภายในสูงขึ้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่เกิดขึ้น หากร่างกายปรับสภาพไม่ทันจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย ดังนั้นควรเล่นน้ำครั้งละประมาณ 1-2 ชั่วโมง และทำการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย แล้วค่อยไปเล่นใหม่อีกครั้งก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่า

การเตรียมตัวที่ดีย่อมทำให้การเล่นสงกรานต์สนุกมากขึ้น ไม่ต้องอดเล่นน้ำเพราะกลัวว่าจะมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นหลังจากที่ผ่านเทศกาลสงกรานต์ไป

ประเพณีสงกรานต์เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย เราคนไทยก็ควรให้ความสำคัญและปฏิบัติตามประเพณีอันดีงามของไทยที่สืบต่อกันมายาวนาน ควรแต่งกายตามวัฒนธรรม ละเล่นอย่างพอดีและปฏิบัติตามคำแนะนำที่เราได้บอกไว้ข้างต้น รับรองว่าวันสงกรานต์ปีนี้ของทุกคนเล่นน้ำสงกรานต์ได้อย่างสนุกและปลอดภัยแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

10 วิธีเล่นน้ำสงกรานต์แบบปลอดภัย ฉบับวัยรุ่น, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : mthai.com.[13 เม.ย. 2560]

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นหวัด, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : wikihow.com.[13 มี.ค. 2561]

วิธีดูแลผิวเสียไหม้แดดหลังสงกรานต์, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : kapook.com.[18 เม.ย. 2557]

ระวัง 5 โรคที่มากับเทศกาลวันสงกรานต์, [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : mamaexpert.com. [9 เม.ย. 2556]

วัคซีนรักษาสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง

0
วัคซีนรักษาสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง
การทดลองวัคซีนเพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์ในหนูทดลอง โดยเจาะจงไปที่การศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันเกิดเอง
วัคซีนรักษาสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง
วัคซีนคือแอนติเจนที่ผลิตมาจากพิษของเชื้อโรคที่ทำให้ไม่มีคุณสมบัติในการก่อให้เกิดโรค แต่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างตัวแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันได้

วัคซีน ( Vaccine )

ภาวะสมองเสื่อมเป็นโรคที่เกิดได้จากหลายสาเหตุและมีลักษณะของอาการหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ความจำเสื่อมหรือเกิดความผิดปกติในระบบควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ ไม่ได้เกิดกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความบกพร่องทางยีนส์มาแต่กำเนิด ขอบข่ายของสมองเสื่อมนั้นกว้างมากๆ และเรายังค้นพบข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา การรักษาจึงมีหลายวิธีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของภาวะสมองเสื่อมในผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล มีตั้งแต่การใช้ยา ใช้วัคซีน การผ่าตัด การบำบัด เป็นต้น และครั้งนี้จะเจาะประเด็นของโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease ) ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างมากของโรคสมองเสื่อมและวัคซีนที่ใช้ในการรักษา

ลักษณะสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ที่ชัดมากๆ ก็คงหนีไม่พ้นอาการหลงๆ ลืมๆ และมีช่วงความทรงจำที่ขาดหายไปอย่างไม่มีนัยสำคัญ นั่นคือบางครั้งอาการก็ปกติ สามารถจดจำทุกอย่างได้ดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่บางครั้งก็มีอาการหนักมากจนต้องทวนซ้ำๆ อยู่ในเรื่องเดิมๆ ไปจนถึงไม่สามารถจดจำสิ่งนั้นได้อีกเลย แต่นี่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของโรคอัลไซเมอร์ เพราะโรคนี้เป็นโรคทางระบบประสาทสมองที่ซับซ้อนมากและเป็นต้นเหตุใหญ่ในการเกิดภาวะสมองเสื่อมด้วย การรักษาส่วนใหญ่ก็จะปรับเปลี่ยนไปตามระดับอาการที่แสดงออกมา เน้นควบคุมและชะลออาการมากกว่าจะรักษาที่ต้นตอให้หายขาด แม้จะมีงานวิจัยตัวยาและวัคซีนที่ใช้เพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีตัวไหนที่ตอบโจทย์ได้จริงๆ ยังคงต้องศึกษาถึงผลกระทบและความเสี่ยงในการใช้ต่อไปอีก ดังนั้นหากจะถามว่าการรักษาอัลไซเมอร์ให้หายเป็นปลิดทิ้งต้องใช้วิธีไหน ก็ต้องตอบว่าตอนนี้ยังไม่มี

วัคซีน คืออะไร

วัคซีน คือสารชีววัตถุหรือแอนติเจน ( Antigen ) ที่ผลิตมาจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรค ซึ่งถูกทำให้ไม่มีคุณสมบัติในการก่อให้เกิดโรคอีกแล้ว แต่ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างตัวแอนติบอดี้ ( Antibody ) หรือภูมิคุ้มกันได้อยู่ ดังนั้นในการผลิตวัคซีนสำหรับรักษาแต่ละโรคจึงต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก และตรวจสอบวัดผลให้แน่ใจจริงๆ ก่อนว่าสามารถนำไปใช้งานได้โดยไม่เป็นอันตราย หากปล่อยปละละเลยในจุดนี้จะทำให้การใช้วัคซีนกลายเป็นการใส่สารพิษเข้าไปในร่างกายแทนที่จะเป็นการรักษาให้หายจากโรคที่เป็นอยู่

การทดลองวัคซีนเพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์ก็เริ่มทำการทดลองในหนูทดลอง โดยเจาะจงไปที่การศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันเกิดเอง ( Active immunization ) หมายถึงภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดจากการฉีดตัวต้นเหตุของเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย โดยมีการลดระดับความรุนแรงของเชื้อโรคนั้นให้น้อยลงก่อน เพื่อให้ร่างกายสามารถจัดการได้ง่าย เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแล้ว ระบบภายในจะเริ่มเรียนรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายเข้ามาและหาวิธีจัดการ ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อป้องกันและกำจัดเชื้อโรคตัวนั้น ตัวอย่างของวัคซีนรักษาโรคอื่นๆ ที่ทำด้วยวิธีนี้ก็คือ โรคไอกรน โรคคอตีบ โรคอหิวาตกโรค โรคไข้รากสาดน้อย เป็นต้น การทดลองนี้หวังผลเพื่อป้องกันการรวมกลุ่มของสารแอมีลอยด์เบต้า ( Beta amyloid หรือ AB ) ที่เป็นตัวการสำคัญในโรคอัลไซเมอร์

การทำงานของวัคซีน

หนูทดลองที่มีลักษณะของโรคอัลไซเมอร์อยู่ก่อนแล้ว ได้รับการฉีดวัคซีนแอมีลอยด์เบต้าแล้วเฝ้าสังเกตการณ์ ผลการทดลองพบว่าปริมาณแผ่นแอมีลอยด์ในสมองของหนูลดจำนวนลง และค่อยๆ เกิดภูมิคุ้มกันที่สามารถต่อต้านสารแอมีลอยด์เบต้าในกระแสเลือดได้ จึงสามารถสรุปประเด็นการทำงานของวัคซีนทดสอบได้ว่า

1. วัคซีนเข้าไปกระตุ้นส่วนไมโครเกลียเซลล์ ซึ่งเป็นส่วนของเซลล์ที่อยู่ในระบบประสาทแต่ไม่ใช่เซลล์ระบบประสาท ทำให้ไมโครเกลียเซลล์กลืนกินสารแอมีลอยด์เบต้าในสมองเข้าไป ส่งผลให้แผ่นแอมีลอยด์เบต้าลดปริมาณลง

2. สารภูมิต้านทานแอมีลอยด์ที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน ทำหน้าที่ป้องกันการรวมกลุ่มกันของสารแอมีลอยด์เบต้า

3. สารแอมีลอยด์เบต้าบางส่วนไหลผ่านทำนบกั้นระหว่างเลือดกับสมองเข้าสู่น้ำไขสันหลัง แล้วไหลต่อไปยังกลุ่มเลือดดำ ตามสมมติฐานอ่างล้างจานรอบข้าง ( Peripheral Sink Hypothesix )

จะเห็นว่าวัคซีนที่ทดลองใช้ได้ผลดีมากในหนูทดลอง กลายเป็นเรื่องน่าสนใจและคุ้มค่าที่จะทดลองใช้ในคนเพื่อให้ได้วัคซีนเพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์ที่เป็นมาตรฐานในท้ายที่สุด แต่เมื่อศาสตราจารย์ นายแพทย์คริสโตเฟอร์ฮอกค์ ( Prof.Dr.Christopher Kock ) และคณะ ได้ทดลองแอมีลอยด์เบต้าวัคซีนในคนเมื่อปี 2546 กลับพบว่าอาสาสมัครจำนวน 18 คนจากทั้งหมด 298 คน คิดเป็นร้อยละ 6 ของอาสาสมัครทั้งหมด มีอาการเยื่อหุ้มสมองและบางส่วนของสมองเกิดอาการอับเสบขึ้นในช่วง 6 เดือนแรก จึงทำให้การศึกษาต้องหยุดชะงักลงในทันที และข้อมูลจากการทดลองที่ได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดหยุดโครงการ ก็พบว่าอาสาสมัครบางคนมีความจำและกระบวนการคิดที่ดีขึ้นจริง แต่ก็มีบางคนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจากการศึกษาครั้งนี้ด้วย ความเสี่ยงของการใช้วัคซีนชนิดนี้จึงมากเกินกว่าจะนำมาใช้งานเพื่อการรักษาอัลไซเมอร์ในผู้ป่วยจริงๆ

เมื่อการยกประเด็นของภูมิคุ้มกันเกิดเอง ( Active immunization ) มาศึกษาและยังไม่ได้ผลแบบที่พึงพอใจ จึงมีการหยิบเอากรณีของการก่อภูมิคุ้มกันรับมา ( Passive immunization ) มาใช้ในการศึกษาต่อยอดแทน ภูมิคุ้มกันรับมา ( Passive immunization ) หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดผลผลิตจากเลือดของสัตว์หรือมนุษย์ก็ได้ ซึ่งรู้แน่ชัดว่ามีภูมิคุ้มกันของโรคนั้นๆ อยู่แล้ว เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายจึงเหมือนว่าได้รับภูมิคุ้มกันโรคนั้นเลยในทันที และร่างกายยังเรียนรู้ที่จะสร้างเลียนแบบภูมิคุ้มกันเหล่านั้นได้ด้วย เมื่อร่างกายสร้างเป็นแล้วก็ถือว่ามีภูมิคุ้มกันโรคโดยสมบูรณ์ การทดลองเพื่อสร้างวัคซีนรักษาโรคอัลไซเมอร์ครั้งนี้ทำการทดลองในหนูทดลองเช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็นการฉีดภูมิคุ้มกันรับมาในหนูที่เป็นอัลไซเมอร์ พบว่าหนูมีศักยภาพของสมองเพิ่มมากขึ้น แต่กลับมีอาการเลือดออกในสมองและหลอดเลือดสมองอักเสบร่วมด้วย

นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้ อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ ( lntravenous lmmunoglobulin: lVlG ) ด้วย โดยฉีดสารสร้างภูมิคุ้มกันรวมกับกระแสเลือดทางหลอดเลือดดำ หวังให้ไปกำจัดแผ่นแอมีลอยด์เบต้าที่เกิดขึ้นในสมอง วิธีการนี้มีการทดลองในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เป็นมนุษย์ด้วยแต่ก็ไม่พบผลการรักษาหรือความเปลี่ยนแปลงใดที่น่าสนใจเป็นพิเศษเลย

ขณะที่การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนสำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ยังคงดำเนินไป ความลับของสาเหตุการเกิดโรคก็เผยให้วงการแพทย์ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์นั่นเอง เราจึงได้เห็นงานวิจัยหลายฉบับกับการทดลองอีกหลายระลอก และเริ่มมีการทดลองในมนุษย์เพิ่มมากขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงใดๆ เพราะเราสามารถกำหนดความสามารถของตัววัคซีนได้แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น สามารถกำหนดได้ว่าวัคซีนต้องมีผลต่อแอมีลอยด์เบต้าที่เป็นพิษเท่านั้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการขยายผลไปถึงการค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนต้านสารโปรตีนเทา ( Tau ) ด้วย เนื่องจากสารโปรตีนเทาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวพันกับโรคอัลไซเมอร์ด้วยเช่นกัน เป็นการศึกษาในสัตว์ทดลองที่ยังไม่มีข้อสรุปอะไรที่เป็นประเด็นสำคัญนัก เพียงแค่ได้รู้ว่ามีความคืบหน้าไปยังสารโปรตีนเทาบ้างแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม วัคซีนสำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ก็ยังไม่มีตัวไหนเลยที่ถูกบรรจุเป็นวัคซีนมาตรฐานซึ่งใช้ได้ทั่วไป ในแต่ละงานวิจัยหรือการทดลอง อาจจะมีวัคซีนหลายตัวที่น่าจะเป็นความหวังในการนำไปต่อยอดได้จริง แต่ก็ยังต้องศึกษาเพื่อยืนยันประสิทธิภาพซ้ำอีกจนกว่าจะแน่ใจ เพราะเพียงเปอร์เซ็นต์เดียวที่ทำให้เกิดอันตรายก็ถือว่าไม่คุ้มค่าต่อการนำมาใช้งาน การต่อสู้กับโรคอัลไซเมอร์ของวงการแพทย์จากอดีตถึงปัจจุบัน อาจจะดูคล้ายกับการเลือกตัดสายไฟที่ไม่รู้แน่ว่าเป็นเส้นไหนแล้วเฝ้าหวังว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีที่สุด แต่มันก็ไม่ใช่การกระทำที่เสียเปล่า เมื่อทุกอย่างมีการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จะเป็นข้อมูลที่ใหญ่หรือเล็กก็สามารถนำไปต่อยอดได้ทั้งหมด ทั้งนักวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์จึงยังต้องค้นคว้ากันต่อไป และมันจะนำไปสู่ผลสำเร็จในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

การตรวจหามะเร็ง มีวิธีการตรวจอะไรบ้าง

0
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งมีวิธีอะไรบ้าง
มะเร็งเกิดขึ้นได้ในอวัยวะต่างๆ ทั้งสมอง ลำไส้ กระเพาะ ปอด ไต
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งมีวิธีอะไรบ้าง
วิธีตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งอย่างละเอียดในผู็ป่วยโรคมะเร็ง

การตรวจหามะเร็ง

การหาตรวจมะเร็ง หมายถึง การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งในทุกด้านตามวิธีการทางการแพทย์ เช่น

  • การวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ?
  • การประเมินระยะของโรคมะเร็งที่เป็นในคนไข้
  • การประเมินสุขภาพผู้ป่วย เพื่อพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสม
  • การประเมินผลในช่วงก่อนการรักษาและหลังการรักษาว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร
  • การติดตามชีวิตของผู้ป่วยเพื่อดูผลการกลับมาเป็นซ้ำของโรคมะเร็ง รวมไปถึงเรื่องของการแพร่กระจาย การเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ 2 เพื่อนำมาทำบันทึกและศึกษาการคัดกรองโรคมะเร็งที่มักเกิดขึ้นบ่อยในอนาคต

  [adinserter name=”มะเร็ง”]

วิธีการตรวจหามะเร็ง

วิธีการตรวจวินิจฉัยมีวิธีการทางการแพทย์ดังต่อนี้

1. การตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายสำหรับผู้สงสัยจะเป็นมะเร็ง มี 2 ลักษณะด้วยกันคือ การตรวจร่างกายทั่วไปและการตรวจเฉพาะที่

1.1 การตรวจร่างกายทั่วไป

การตรวจร่างกายทั่วไปมักตรวจเบื้องต้นโดยพยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาลก่อนพบแพทย์ เพื่อซักประวัติ และดูสุขภาพโดยรวม ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสัญญาณชีพ (ตรวจจับชีพจร การหายใจ วัดอุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิต) การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง หากเป็นผู้ป่วยที่เคยได้รับยาเคมีบำบัด ต้องนำน้ำหนักและส่วนสูงไปคำนวณปริมาณยาเคมี  บำบัดด้วยจากนั้นจึงส่งผู้ป่วยพร้อมข้อมูลไปให้แพทย์ตรวจอาการ ซึ่งแพทย์จะเริ่มตรวจอวัยวะสำคัญ อย่าง ปอด หัวใจ ช่องท้อง ผิวหนังทั่วไป และตรวจต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

1.2 การตรวจร่างกายเฉพาะที่

การตรวจร่างกายเฉพาะที่ แพทย์จะเน้นไปที่จุดที่มีอาการสำคัญ และในตำแหน่งอื่นๆ ที่ผู้ป่วยมีอาการ ประกอบกับกับการตรวจคลำต่อมน้ำเหลืองใกล้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง เช่น หากเป็นก้อนที่คอ ก็จะตรวจคอ ตรวจช่องปาก และต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอด้วย ซึ่งการตรวจเฉพาะที่มักตรวจคู่กับการตรวจร่างกายทั่วไปเสมอ

1.3 การตรวจร่างกายประเมินการแพร่กระจายของโรค

การตรวจร่างกายเพื่อประเมินการแพร่กระจายของโรค แพทย์จะตรวจร่างกายในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ ที่พบบ่อยๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกล ตับ และปอด แพทย์จะตรวจคลำช่องท้องเพื่อดูขนาดของตับและก้อนเนื้อผิดปกติต่างๆ ร่วมกับการตรวจฟังการหายใจดูความผิดปกติของปอด เป็นต้น

2. การตรวจเลือด

เป็นการเจาะเลือดแล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ/แล็บ ( laboratory ) เพื่อดูค่าต่างๆ ในการวินิจฉัยโรคและดูการทำงานของอวัยวะต่างๆ แต่โดยทั่วไปมักเจาะในช่วงเช้า ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการตรวจ เช่น ตรวจเลือดซีบีซี (ตรวจดูค่าเม็ดเลือด) สามารถตรวจได้ทุกเวลา เพราะไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำ การงดอาหารและน้ำในการตรวจเลือดมีตั้งแต่ 1-12 ชั่วโมง ถ้าตรวจเลือดตอนเช้า จะต้องงดอาหารตั้งแต่หลังเที่ยงคืน เพื่อให้ได้ค่าการตรวจถูกต้องแม่นยำ ซึ่งการตรวจเลือดบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือน้ำ โดยเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่มีขนาดใหญ่ ปริมาณเลือดจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่แพทย์ต้องการตรวจ มีตั้งแต่ใช้เป็นหยด ( CBC ) ไปจนถึงประมาณ 15-30 มิลลิลิตรหรือซีซี และทราบผลภายใน 1-24 ชั่วโมง หลังเจาะเลือดเสร็จแล้ว ผู้ป่วยสามารถกินอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ ยกเว้นแพทย์หรือพยาบาลจะมีข้อแนะนำอย่างอื่น  [adinserter name=”มะเร็ง”]

2.1 การตรวจเลือดซีบีซี

การตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด Complete Blood Count ( CBC ) เป็นการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบดูโรคและความแข็งแรงของการทำงานของไขกระดูกว่าเกิดความผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดต่าง ๆ ในร่างกายหรือไม่ วิธีตรวจเหมือนกับการตรวจเลือดทั่วไป ก็คือการเจาะปลายนิ้ว หรือเจาะเข้าที่บริเวณหลอดเลือดดำ ใช้ปริมาณเลือดค่อนข้างน้อย เพียง 1-3 มิลลิลิตรเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องอดน้ำและอาหารก่อนการเจาะเลือด โดยเม็ดเลือดแดงที่จะใช้ในการตรวจสอบ มีดังต่อไปนี้

1. ตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีภาวะซีดจากการขาดเม็ดเลือดแดงหรือไม่

2. การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว White Blood Cell ( WBC ) เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

3. การตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือด ( Platelet Count ) ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด

4. ตรวจสอบลักษณะเม็ดเลือดแดง-ขาว หากเกิดความผิดปกติ จะสามารถวินิจฉัยอาการบางโรคได้ทันที

2.2 การตรวจเลือดดูค่าน้ำตาล

ในกรณีที่ต้องมีการตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะต้องมีการงดอาหารก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 10-20 ชั่วโมง การตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลถือเป็นการประเมินสุขภาพของผู้ป่วยเป็นโดยรวม

2.3 การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไต และต่อมไทรอยด์

เป็นการประเมินสุขภาพของผู้ป่วยอย่างหนึ่ง สำหรับการตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไตจำเป็นต้องงดอาหารและน้ำก่อนตรวจอย่างน้อย 10-12 ชั่วโมง ส่วนการตรวจเลือดดูการทำงานเฉพาะของต่อมไทรอยด์เพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำดื่ม  ถ้าตรวจพบว่าการทำงานของตับผิดปกติมาก ซึ่งแพทย์มักตรวจภาพตับเพิ่มเติมเพื่อยืนยันข้อสงสัย ด้วยการสั่งให้อัลตราซาวด์เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอ็มอาร์ไอ

2.4 การตรวจเลือดดูค่าเกลือแร่

การตรวจเลือดดูค่าเกลือแร่ จะตรวจเพื่อดูค่าสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย หากเกลือแร่เสียสมดุลจะส่งผลให้ความดันโลหิตผิดปกติ มีอาการมึนงง วิงเวียน และหมดสติ ซึ่งในการรักษาโรคมะเร็งหากพบว่าร่างกายอยู่ในภาวะเกินสมดุล ตรวจเลือดแล้วพบว่ามีค่าเกลือแร่ผิดปกติ แพทย์จะต้องหาสาเหตุและให้การรักษาจนกว่าค่าเกลือแร่จะอยู่ในระดับสมดุล จึงจะเริ่มให้การรักษาโรคมะเร็งอีกครั้ง โดยเฉพาะในการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งการตรวจเลือดดูค่าสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายต้องงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 10-12 ชั่วโมง

2.5 การตรวจเลือดอื่นๆ

การตรวจเลือดอื่นๆ จะทำการตรวจเพื่อหาโรคร่วมที่มักพบบ่อยในผู้ป่วยมะเร็ง และอาจส่งผลกระทบถึงการรักษาหรือผลข้างเคียงจากการรักษา โดยเฉพาะการติดเชื้อต่างๆ เช่น ตรวจการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อไวรัสเอชไอวี ( HIV ) หรือเชื้อซิฟิลิส ซึ่งแพทย์ต้องนำมาปรับใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง หรืออาจเป็นโรคติดต่อที่บุคลากรทางแพทย์และผู้ป่วยด้วยกันเอง ต้องระมัดระวังป้องกันเป็นต้น

3. การตรวจสารมะเร็ง

สารมะเร็ง หรือ ทูเมอร์มาร์กเกอร์ ( tumor marker ) เป็นสารประกอบที่อาจสร้างได้ทั้งจากเซลล์ปกติ เซลล์อักเสบ และเซลล์มะเร็งบางชนิด อีกทั้งเป็นได้ทั้งสารเคมี เอนไซม์ สารที่เคยมี เป็นตัวอ่อน ยีน หรือฮอร์โมน ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็ง ซึ่งหากเป็นมะเร็งชนิดที่สร้างสารนี้แล้ว จะพบว่ามีการสร้างสารนี้มากเกินปกติ แพทย์จึงสามารถนำมาใช้ประเมินผลการรักษาพร้อมทั้งใช้ตรวจการแพร่กระจายของเชื้อโรคหรือการเป็นซ้ำ แต่ไม่นิยมนำสารมะเร็งมาใช้เพื่อวินิจฉัยโรคมะเร็ง เพราะอาจได้ผลการตรวจที่ไม่แน่นอน เว้นแต่ในมะเร็งตับชนิดเกิดจากเซลล์ตับ (HCC) และโรคมะเร็งชนิดเจิร์มเซลล์ ( germ cell tumor )เท่านั้น บริเวณที่ตรวจพบสารมะเร็ง สามารถพบได้ทั้งในเลือด ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง หรือของเหลวในร่างกาย โรคมะเร็งที่ยอมรับการตรวจสารมะเร็งเป็นการตรวจมาตรฐาน เพื่อติดตามผลการรักษา ก็เช่น โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งระบบทางเดินน้ำดี โรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งชนิดเจิร์มเซลล์ทูเมอร์ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งรังไข่ และโรคมะเร็งระบบโลหิตวิทยา เป็นต้น  [adinserter name=”มะเร็ง”]

4. การตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะ ก็คือการนำน้ำปัสสาวะของผู้ป่วยไปตรวจด้วยวิธีทางการแพทย์ในห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อ เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะและไต ( การอักเสบ การเกิดนิ่ว รวมทั้งการเกิดโรคเบาหวาน ) การเก็บน้ำปัสสาวะมาตรวจ สามารถเก็บได้ทุกเวลา โดยที่ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำมาก่อน ( แต่ต้องไม่ดื่มน้ำเพิ่ม ) ภาชนะที่มีความจุประมาณ 5 มิลลิลิตรหลังจากนั้นก็รอผลตรวจประมาณ 1-12 ชั่วโมง ( บางโรคอาจใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมง ) ในคนปกติทั่วไปจะมีปัสสาวะปกติต้องมีสีเหลืองอ่อน ใส ไม่มีสิ่งใด ๆ เจือปนเลย

5. การตรวจอุจจาระ

การตรวจอุจจาระที่ถูกต้อง จะต้องเก็บอุจจาระในช่วงเช้า โดยต้องเก็บให้ได้ประมาณ 1-3 ในภาชนะปลอดเชื้อที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จัดเตรียมให้ แล้วนำกลับมาให้เจ้าหน้าที่ ไม่ต้องงดอาหารและน้ำดื่ม ทำตัวตามปกติ การตรวจอุจจาระสามารถตรวจหาไข่พยาธิ ตัวพยาธิ เม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดงได้ โดยจะทราบผลตรวจภายใน 1-24 ชั่วโมง

6. การตรวจย้อมเชื้อ

การตรวจย้อมเชื้อ เป็นการตรวจหาเชื้อโรคในร่างกายจากสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ปัสสาวะหรืออุจจาระ โดยนำสารคัดหลังที่เก็บมาไปย้อมด้วยสารเคมีบางชนิด เพื่อให้ได้ตัวเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ จากนั้นก็นำกล้องจุลทรรศน์ โดยเก็บสารคัดหลังในภาชนะที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมให้ แล้วนำมาส่งคืน จะทราบผลตรวจภายใน 1-24 ชั่วโมง

7. การตรวจเพาะเชื้อ

วิธีนี้แพทย์จะนำสารคัดหลั่ง ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำไขสันหลัง เลือด ชิ้นเนื้อ รวมทั้งเลือดที่ต้องการตรวจ มาเพาะเลี้ยงด้วยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ โดยสามารถทราบผลการตรวจได้ตั้งแต่ 2-3 วัน จนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่ตรวจ เพื่อดูว่าการติดเชื้อนั้นเกิดจากเชื้อโรคอะไรกันแน่ หรือเชื้อชนิดนั้นดื้อหรือตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะชนิดใด แพทย์จะได้เลือกใช้ยาได้อย่างถูกต้อง การตรวจเพาะเชื้อบางชนิดไม่สามารถทำได้ทุกโรงพยาบาล ส่วนใหญ่จะทำได้เฉพาะในโรงพยาบาลหลักหรือไม่ก็ต้องส่งตรวจที่ต่างประเทศ หากเป็นแบบนี้จะทำให้ล่าช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง

8. การตรวจเอกซเรย์

การตรวจเอกซเรย์หรือรังสีวินิจฉัย มีประโยชน์ในการตรวจดูเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่ผิดปกติ เนื้อเยื่อที่มีการอักเสบติดเชื้อ ตลอดจนเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่มีก้อนเนื้อหรือมีแผลซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นแผลมะเร็ง โดยแพทย์จะตัดชิ้นเนื้อ เจาะ หรือดูดเซลล์ไปตรวจทางพยาธิวิทยาหรือเซลล์วิทยา ซึ่งภาพจากการตรวจทางรังสีวินิจฉัยจะมีการบันทึกได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นฟิล์ม ซีดี หรือดีวีดี เป็นได้ทั้งภาพสีและภาพขาวดำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับนโยบายและชนิดของเครื่องแต่ละโรงบาล

8.1 การตรวจเอกซเรย์ธรรมดา

การตรวจเอกซเรย์ธรรมดาเป็นการตรวจภาพอวัยวะภายในเบื้องต้น ด้วยรังสีเอกซ์ ( x-ray ) แบบ 2 มิติเพื่อวินิจฉัยโรคต่างๆ รูปที่ได้ออกมาจึงเป็นแบบภาพรวมของด้านกว้างและด้านขวาง ซึ่งแต่ละภาคจะแสดงผลเพียงด้านเดียวเช่น ด้านหน้าหรือด้านข้าง ส่วนใหญ่มักนำมาดูการแพร่กระจายของโรคมะเร็งเข้าสู่อวัยวะ ใดบ้าง หรือไม่ก็นำมาตรวจดูกระดูก ซึ่งส่วนที่นิยมตรวจก็เช่น ปอด กระดูกขาหรือกระดูกสันหลัง เป็นต้นขั้นตอนในการตรวจเอกซเรย์ธรรมดาไม่มีอะไรยุ่งยาก สามารถตรวจได้เลยเพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาล ถอดเครื่องประดับต่างๆออกให้หมด เนื่องจากเสื้อผ้าหนาๆที่เราสวมไปหรือพวกเครื่องประดับโลหะ เหรียญต่างๆ จะทำให้ได้ผลภาพเอกซเรย์ออกมาผิดปกติ ส่งผลให้การวินิจฉัยผิดพลาดคิดว่าเป็นก้อนเนื้อได้ ส่วนผลจะทราบได้ในวันเดียวกัน หรือหากมีคนตรวจจำนวนมากอย่างช้าไม่น่าจะเกิน 2 วัน ขึ้นอยู่กับความเร่งด่วน  [adinserter name=”มะเร็ง”]

8.2 การตรวจอัลตราซาวด์

การตรวจอัลตราซาวด์ ( โซโนแกรม ) เป็นการตรวจเบื้องต้นที่แพทย์นิยมใช้เช่นกัน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือเอ็มอาร์ไอมาก โดยการทำงานจะเป็นการสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งคลื่นนี้เมื่อผ่านเนื้อเยื่อแต่ละชนิด จะสะท้อนกลับออกมาเป็นภาพ 2 มิติให้เห็น ส่วนใหญ่ใช้กับการตรวจความผิดปกติที่เป็นการอักเสบ เป็นน้ำ เป็นเลือด หรือเป็นก้อนเนื้อ โดยเฉพาะเมื่อสงสัยว่าจะมีการแพร่ของโรคมะเร็งเข้าสู่อวัยวะอื่น เช่น ตรวจตับเพื่อดูว่ามีโรคมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่ตับหรือไม่ เป็นต้น อวัยวะที่นิยมตรวจด้วยอัลตราซาวด์ เช่น ต่อมไทรอยด์ ตับ ไต ช่องท้อง รังไข่ มดลูก การตรวจวัดความหนาของเยื่อบุมดลูก ( เยื่อบุโพรงมดลูก ) เต้านม ในการตรวจอัลตร้าซาวด์ ไม่ต้องกังวลใดๆเพราะไม่มีการเจาะเลือด ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องใช้ยานอนหลับ หรือยาสลบ สตรีมีครรภ์ก็สามารถตรวจได้ โดยผู้ป่วยจะนอนราบบนเตียง เปิดเสื้อผ้าในบริเวณที่แพทย์ต้องการตรวจ จากนั้นแพทย์จะทาเจลใสลงไปบนผิวหนังบริเวณนั้น จะให้ความรู้สึกลื่นๆเย็นๆเพลินๆเพื่อที่จะช่วยให้หัวเครื่องถูบนผิวหนังได้อย่างราบลื่นไม่ฝืดหรือติด และคลื่นเสียงสามารถผ่านจากหัวเครื่องเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพส่วนผลการตรวจโดยทั่วไปแพทย์รังสีจะแจ้งผลคร่าวๆให้ทราบทันที

8.3 การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน ( CT scan:computerized tomography ) แคสแกน ( CAT scan:computerized axial tomography ) เป็นการตรวจที่ให้ผลดีกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา เนื่องจากให้ผลละเอียดเป็นภาพ 3 มิติ เห็นเนื้อเยื่อได้อย่างชัดเจนจากภาพตัดขวางของอวัยวะต่างๆ หลายสิบภาพต่ออวัยวะ การวินิจฉัยจึงแม่นยำขึ้น การตรวจแบบนี้อาจต้องมีงดอาหารและน้ำก่อนตรวจ หากมีการฉีดสารทึบรังสีเพื่อช่วยเพิ่มการเห็นภาพซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ทำการตรวจ

โดยสารทึบรังสีที่ฉีดนี้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น เกิดผื่นคัน หรืออาจแพ้จนช็อก หมดสติ และเสียชีวิต ( แต่พบได้น้อยมาก ) ผู้ป่วยจึงต้องแจ้งประวัติการแพ้ ยา รวมไปถึงโรคประจำตัวให้กับแพทย์ทราบ นอกจากนี้สารดังกล่าวอาจมีผลต่อการทำงานของไต จึงต้องมีการตรวจการทำงานของไตก่อน สำหรับสตรีตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรแพทย์อาจให้งดเลี้ยงทารกด้วยน้ำนมแม่ประมาณ 1-2 วันหลังการฉีดสารทึบรังสี ในขณะที่ตรวจหากมีอาการผิดปกติหรือต้องการติดต่อเจ้าหน้าที่ขณะตรวจก็สามารถพูดติดต่อได้ เพราะด้านในจะมีเครื่องรับเสียง และมีเจ้าหน้าที่รังสีคอยเฝ้าดูผู้ป่วยผ่านกล้องวงจรปิดตลอดเวลา หากมีสิ่งใดผิดปกติเจ้าหน้าที่สามารถช่วยได้ทันที ส่วนเวลาที่ใช้ตรวจประมาณ 20 นาที-1 ชั่วโมง แล้วแต่อวัยวะที่ใช้ตรวจ

เมื่อตรวจเสร็จ เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยนอนหรือนั่งพักจนกว่าจะผ่อนคลายจากการตรวจ เพราะการลุกขึ้นยืนหรือเดินทันทีอาจมึนงงจนหกล้มได้ สำหรับคนที่ไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำ ขอให้ทำการปัสสาวะออกมาให้เร็วที่สุดเพื่อขับสารทึบรังสีออกมา เป็นการลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่อไตได้ ส่วนผลตรวจหากเป็นการตรวจในสถานพยาบาลที่มีผู้ป่วยน้อย มักทราบผลภายใน 1-3 ชั่วโมง แต่ถ้าตรวจในโรงพยาบาลรัฐบาลอาจต้องรอฟังผล 3 ถึง 7 วัน หรือทราบผลวันที่แพทย์นัดเลยทีเดียว

8.4 การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ เอ็มอาร์ไอ ( MRI : magnetic resonance imaging ) มีลักษณะการตรวจและการเตรียมตัวคล้ายกับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นอีกการตรวจที่นิยมในปัจจุบัน โดยแพทย์จะใช้ในกรณีที่การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้ เช่น กระดูก กล้ามเนื้อประสาท ไขสันหลัง และสมอง เนื่องจากมีราคาแพงกว่าการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์มาก ซึ่งการตรวจแบบนี้จะใช้ดูเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับคลื่นวิทยุ ที่ไม่ใช่รังสีเอกซ์ โดยจะให้ผลที่ชัดเจนมากกว่า และสามารถตรวจสอบหลอดเลือดได้ การใช้งานของเครื่องและข้อแนะนำคล้ายกับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์  [adinserter name=”มะเร็ง”]

8.5 การถ่ายภาพรังสีเต้านม

วิธีการถ่ายภาพรังสีของเต้านมหรือที่เราเรียกกันว่า “ แมมโมแกรม ( Mammogram ) ” ซึ่งนี่เป็นวิธีการตรวจแบบที่อาศัยรังสีเอกซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีข้อห้ามมีข้อจำกัดมากมายและเป็นสิ่งที่มีลักษณะเดียวกันกับการเอกซเรย์แบบธรรมดาทั่วไปที่พบเจอตามโรงพยาบาล สำหรับการตรวจแบบนี้จะต้องให้ผู้ป่วยตรวจในลักษณะท่ายืนตรงจากนั้นให้นำเต้านมไปวางลงบนเครื่องทีละข้าง จากนั้นเครื่องก็จะทำการบีบส่วนของเนื้อเต้านม การทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะทำการตรวจโรคที่เกี่ยวกับเต้านม ภาพที่ออกมาจะได้มีความชัดเจน สำหรับการเตรียมตัวสำหรับการไปตรวจแบบแมมโมแกรมจะต้องทำการเตรียมตัวเช่นเดียวกันกับการตรวจเอกซเรย์แบบทั่วไปแต่ที่พิเศษกว่าเล็กน้อย คือ ผู้ป่วยจะต้องไม่ทาโลชั่น ไม่ทาแป้ง ไม่ทาสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวมาเลย เพราะ สิ่งเหล่านั้นอาจทำให้ผลการตรวจเกิดความผิดพลาด อาจกลายเป็นว่าเครื่องแปลผลเป็นพบสิ่งเหล่านั้นเป็นก้อนเนื้อแทน

8.6 การตรวจและการรักษาทางด้านรังสีร่วมรักษา

สำหรับวิธีการรักษาแบบรังสีร่วมรักษาหรือชื่อภาษาอังกฤษ คือ INTERVENTIONAL RADIOLOGY นั้นทางการแพทย์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาขาสำคัญของหน่วยงานทางด้านรังสีวินิจฉัย เป็นวิธีการที่มีทั้งแบบที่เพื่อการตรวจวินิจฉัยกับแบบเพื่อการรักษาโรค และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการให้ผู้ป่วยเซ็นยินยอมที่จะเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ สำหรับการตรวจรักษาแบบนี้ ได้แก่

  • การตรวจภาพรังสีของหลอดเลือด ชื่อภาษาอังกฤษ คือ ANGIOGRAPHY VENOGRAPHY เป็นการตรวจเพื่อตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดภายในร่างกาย เป็นการรักษาสำหรับบุคคลที่เกิดภาวะเลือดออกแบบรุนแรงมาก
  • การบันทึกภาพรังสีที่หลอดเลือดสามารถทำได้ด้วยการนำเอาท่อขนาดเล็กสอดเข้าไปภายในหลอดเลือดซึ่งตามปกติจะมีขนาดของท่ออยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กกลางประมาณ 2 มิลลิเมตร เวลาสอดเข้าไปผ่านทางหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดงก็ได้แล้วแต่ความเห็นควรของทางทีมแพทย์ เมื่อถึงจุดที่ต้องการก็จะทำการฉีดเข้าไปสารที่เป็นสารทึบรังสีฉีดเข้าไปภายในเส้นเลือดเพื่อที่จะให้เกิดภาพที่ชัดเจนมากขึ้นซึ่งสารที่นำมาใช้นั้นจะเป็นสารเดียวกันกับที่ใช้สำหรับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซึ่งผลข้างเคียงก็จะคล้ายๆกัน
  • ผู้ป่วยก่อนที่จะถ่ายภาพรังสีที่หลอดเลือด ต้องงดน้ำ งดอาหาร แต่สามารถที่จะจิบน้ำเบาๆ ได้ ในช่วงระยะเวลา 2 ชั่วโมงก่อนที่จะทำการตรวจร่างกายจริง วิธีการตรวจก็จะให้ผู้ป่วยนอนรายหงายไปกับเตียงจากนั้นจะทำการฉีดยาชาเข้าไปในจุดที่ต้องการจะสอดท่อเข้าไป เมื่อหลังจากที่ทำการตรวจเสร็จเรียบร้อยทางแพทย์ก็จะให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่ภายในห้องพักแบบชั่วคราว เพื่อที่จะสังเกตอาการ จะสังเกตประมาณ 24 ถึง 48 ชั่วโมง ส่วนผลการตรวจก็จะทราบได้ภายในระยะเวลา 3-7 วันหลังจากวันตรวจ

9. การตรวจและรักษาทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์

ใช้เพื่อการตรวจและเพื่อการรักษาโดยการใช้รังสีในลักษณะของยาจะมาในรูปแบบของน้ำยา ( สำหรับในยุคปัจจุบันนี้มีแร่ธาตุไอโอดีนที่ใช้เพื่อการรักษาโรคสำคัญอย่างโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ จะเป็นในรูปแบบของผงแคปซูล ) และในการใช้รังสีสำหรับภายในร่างกายจะเป็นการกิน การฉีด การใส่ลงไปตามโพรง อาทิเช่น โพรงเยื่อหุ้มปอด, โพรงเยื่อในช่องท้อง

9.1 การตรวจสแกนกระดูก

ในการตรวจเพื่อการสแกนกระดูกนั้นสามารถที่จะทำการตรวจได้เลยทันทีโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีการงดอาหารหรืองดน้ำ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรังสีจะเริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำยาและส่วนของแร่รังสีเข้าไปโดยฉีดผ่านทางเส้นลอดเลือดดำที่อยู่ที่แขน หลังจากนั้นก็ให้ผู้ป่วยรอเป็นระยะเวลาประมาณ 30 นาที-2 ชั่วโมงเพื่อที่แร่รังสีที่ฉีดเข้าไปจะได้แพร่กระจายไปทั่วกระดูกทุกส่วน น้ำแร่รังสีที่ทำการฉีดเข้าไปนั้นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะได้ นั่นจึงทำให้ทางทีมแพทย์จึงแจ้งกับทางผู้ป่วยให้ดื่มในปริมาณที่มาก ๆ เข้าไว้ในระหว่างที่กำลังรอตรวจ การตรวจสแกนกระดูกนี้จะใช้เวลาโดยรวมอยู่ที่ 30 นาทีจนถึง 1 ชั่วโมง โรงพยาบาลมักจะให้ผู้ป่วยรับผลการตรวจได้ในทันทีแต่หากเป็นกรณีที่เป็นโรงพยาบาลที่มีจำนวนผู้ตรวจค่อนข้างมากอาจจะทราบผลภายในระเวลา 1 ถึง 3 วัน    [adinserter name=”มะเร็ง”]

9.2 การตรวจแสกนแบบทั้งตัวในกรณีของโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์

สำหรับวิธีนี้จะเป็นการตรวจในภายหลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดไทรอยด์เรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นการช่วยในเรื่องของการวินิจฉัยต่อมไทรอยด์ในส่วนที่เหลือหลังจากเข้ารับการผ่าตัดและในส่วนของเนื้อเยื่อที่อาจมีเชื้อโรคบางโรคแพร่กระจายอยู่ และเพื่อเป็นการติดตามโรคหลังจากเข้ารับการรักษาว่ายังคงมีส่วนของเนื้อต่อมไทรอยด์หลงเหลืออยู่หรือไม่ สำหรับวิธีการตรวจนั้นก็จะมีลักษณะแบบเดียวกันกับการสแกนกระดูก แต่สิ่งที่มีความแตกต่างนั่นคือ ส่วนของน้ำยาแร่รังสีที่ใช้เพราอาจจะเป็นได้ทั้งน้ำยาแร่รังสีไอโอดีนหรืออาจะเป็นแร่รังสีรูปแบบอื่นก็ได้ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทางแพทย์ผู้ให้การรักษาในรายนั้น ๆ

9.3 การตรวจแบบเพ็ตสแกน

การตรวจรูปแบบนี้เป็นการตรวจภาพของชิ้นก้อนเนื้อหรือภาพของอวัยวะทั้งตัวนั่นก็เพื่อเป็นการตรวจวินิจฉัยกรณีการ กลับมาเป็นซ้ำอีกรอบหรือการแพร่กระจายของโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง การตรวจด้วยวิธีนี้เพียงวิธีเดียวไม่นิยมสำหรับการตรวจเพื่อวินิจฉัยลงไปเลยว่าผู้ป่วยนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ เพราะ ผลที่แสดงอาจยังไม่สามารถชีชัดได้อย่างแน่นอนจำเป็นจะต้องมีการตรวจชิ้นเนื้อควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า

9.4 การตรวจการบีบตัวของหัวใจทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์

สำหรับการตรวจรักษาทางด้านของเวชศาสตร์นิวเคลียร์นั้นเป็นวิธีที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นการให้ผู้ป่วยทานแร่รังสีไอโอดีนเข้าไป ซึ่งการทำเช่นนี้จะเป้นที่จะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าด้วยการให้งดรับประทานอาหารทุกประเภท งาการทานยาที่มีส่วนผสมของเหลือแร่ไอโอดีน ในช่วงของก่อนการเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทานเฉพาะอาหารที่เป็นรสจืดเท่านั้น ( ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนการเข้ารับการรักษา ) เนื่องจาก อาหารรสชาติจัดอาจมีส่วนผสมของเกลือไอโอดีนสูง หากทานอาหารรสชาติอื่นอาจส่งผลกระทบต่อการจับแร่รังสีไอโอดีนที่เซลล์มะเร็ง กลายเป็นว่าประสิทธิภาพในการรักษาลดต่ำลงอย่างมากแทน ขั้นตอนของการรักษาผู้ป่วยนั้นทางแพทย์จะให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องพักแบบแยกห้องกับผู้อื่นนั่นก็เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากตัวรังสีที่สามารถจะกระจายไปสู่ผู้อื่นได้ จะให้ผู้ป่วยทำการนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 วันจนถึง 7 วันหรือจนกว่าจะการตรวจวัดผลรังสีที่อยู่ภายในตัว ของผู้ป่วยจะมีปริมาณที่อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับบุคคลอื่นแล้วเท่านั้น ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เข้าไว้เพื่อจะช่วยในเรื่องของการขับรังสีไอโอดันให้ออกไปจากร่างกายได้เร็วมากขึ้น และไม่กลั้นปัสสาวะ

9.5 การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

สำหรับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นมักจะเรียกชื่อย่อแบบสั้น ๆว่า “ ECG ” หรือ “ EKG ” การตรวจแบบนี้เป็นการตรวจภาพของลักษณะการทำงานในส่วนของหัวใจด้วยการเลือกใช้คลื่นเสียง เป็นการตรวจเฉพาะที่ส่วนของห้องตรวจผู้ป่วยขั้นตอนของการตรวจผู้ป่วยจำเป็นต้องทำการถอดเสื้อออกก่อนจากนั้นก็นอนราบหงายบนเตียง แพทย์ผู้ทำการรักษาจะวางมือของตนเองลงไปทาบบนหน้าอกของผู้ป่วยจากนั้นก็จะทำการทางเจลลงไปบนผิว การทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะเพิ่มเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านคลื่นให้มีมากขึ้นให้เป็นไปแบบเดียวกันกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทั่วไปนั่นเอง    [adinserter name=”มะเร็ง”]

ขั้นตอนการตรวจบันทึกภาพหัวใจโดยการใช้คลื่นความความถี่ขั้นสูงนั้นก็เป็นเสมือนกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทั่วไป เป็นวิธีการท่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บ ไม่ต้องมีการฉีดยา ยังคงหายใจได้ตามปกติดังเดิม สำหรับระยะเวลาในการตรวจนั้นจะใช้เวลาโดยประมาณอยู่ที่ 1 ชั่วโมง สามารถที่จะทราบผลได้ภายใน 3 วัน

10. การตรวจทางด้านพยาธิวิทยา

เป็นการตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคด้วยการตัดส่วนของชื้นเนื้อออกมาจากก้อนเนื้อโดยในการนำชิ้นส่วนออกมานั้นจำเป็นจะต้องฝานออกมาให้บางที่สุดเท่าที่จำได้ นำมาย้อมสารเคมีนั่นก็เพื่อเป็นการระบุว่าเนื้อเยื่อชิ้นส่วนที่ตัดออกมานั้นเป็นชิ้นส่วนที่เป็นไปปกติหรือไม่ ทั้งนี้ในการแปลผลการตรวจจะต้องทำการผ่านกล้องจุลทรรศน์โดยทางทีมพยาธิแพทย์เป็นผู้แปลผลเท่านั้น เมื่อตรวจเรียบร้อยแล้วผู้ป่วยสามารถที่จะเดินทางกลับได้ในทันที สำหรับกรณีพิเศษที่จำเป็นจะต้องทำการเตรียมตัวล่วงหน้านั้น คือ อาจมีการให้งดน้ำงดอาหารก่อนผ่าตัด หลังจากที่ผ่าตัดเสร็จอาจต้องให้นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1-3 วันเพื่อที่จะคอยเฝ้าดูอาการต่างๆ

11. การส่องกล้องตรวจอวัยวะภายใน

เป็นการการตรวจอวัยวะโดยใช้ลักษณะการสอดกล้องที่มีขนาดเล็ก สามารถจะโค้ง งอ กล้องที่ใช้แต่ละประเภทนั้นจะมีขนาดของความยาวที่แตกต่างกันไป แตกต่างตามตำแหน่งของงอวัยวะที่มีความประสงค์จะตรวจ โดยสอดเข้าไปในท่อหรือในช่องหรือในโพรงของอวัยวะที่ต้องการทำการตรวจ การส่องกล้องสามารถที่จะตรวจได้ทั้ง

1. การตรวจความผิดปกติในส่วนของเนื้อเยื่อหรือในส่วนของอวัยวะโดยตรงซึ่งวิธีนี้จะเป็นการตรวจได้โดยตรงด้วยตาของทางแพทย์ผู้ดูแล

2. การตรวจด้วยการตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจทางด้านพยาธิวิทยา

3. การตรวจด้วยการเก็บเซลล์ไปทำการตรวจทางด้านเซลล์วิทยา

4. การตรวจด้วยการเก็บสารคัดหลั่งเพื่อนำไปตรวจเชื้อและทำการเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการ

5. การตรวจด้วยการเก็บรักษาบางสิ่งด้วยบางวิธีการเพื่อที่พร้อมกับการนำไปตรวจ อาทิเช่น การตัดติ่งเนื้อเมือก  การจี้ส่วนที่เป็นแผลเลือดออก ( แบบนี้เพื่อที่จะเป็นการช่วยหลุดเลือดโดยอาศัยแสงเลเซอร์ ) เป็นต้น

ส่วนอวัยวะที่สามารถทำการส่องกล้องได้นั้นมีมากมายหลายส่วน อาทิเช่น

  • โพรงจมูก ลำคอ ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจมูก )
  • กล่องเสียง ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจมูกหรือทางปากก็ได้ )
  • ท่อลม ปอด ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจมูก )
  • ช่องอก ( แบบนี้จะเป็นการสอดเข้าไประกว่างช่องว่างของปอดทั้งสองข้าง )
  • กระเพาะอาหาร ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางจปาก )
  • ลำไส้ทุกประเภท ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางทวารหนัก )
  • กระเพาะปัสสาวะ ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางท่อปัสสาวะ )
  • ระบบทางเดินน้ำดีที่อยู่ภายในตับหรือภายนอกตับ ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางปาก )
  • ช่องท้อง ( แบบนี้จะเป็นการสอดกล้องผ่านเข้าไปทางหน้าท้อง )  [adinserter name=”มะเร็ง”]

หรับการเตรียมตัวนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการงดอาหารงดน้ำ การที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่แพทย์ในส่วนของการตรวจรวมถึงช่วยป้องกันการสำลักอาหารยามเมื่อมีการใช้ยานอนหลับ นอกจากนี้ตัวยาอาจจำเป็นต้องงดทาน ไปเลยก็มี อาทิเช่น ยาต้านการแข็งตัว เป็นต้น ส่วนของการงดทานอาหารนั้นมักจะขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ต้องการตรวจ เวลาเข้าไปตรวจในเครื่องนั้นห้ามสวมใส่เครื่องประดับ ห้ามใส่นาฬิกา

การตรวจทางผู้ป่วยนั้นจำเป็นจะต้องแจ้งทางแพทย์หรือทางพยาบาลทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของโรคประจำตัวของตนเอง ต้องแจ้งอย่างละเอียดของการใช้ยาหรืออาหาร สมุนไพรที่ทานอยู่ในปัจจุบันให้ละเอียด เนื่องจาก บางสิ่งหากทางแพทย์พบว่าเป็นสิ่งต้องห้ามอาจจะสั่งให้งดทานสิ่งเหล่านั้นเสียก่อนชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง เมื่อทำการตรวจด้วยกล้องเรียบร้อยแล้วทางแพทย์จะแจ้งกับทางผู้ป่วยให้ทำการนอนพักเป็นระยะเวลาประมาณ 1 จนถึง 2 ชั่วโมง(ระยะเวลานั้นจะขึ้นอยู่กับตัวยาที่ใช้และวิธีที่ใช้ตรวจด้วย) หรือจนกว่าทางผู้ป่วยนั้นจะเริ่มรู้สึกเป็นปกติหรือตื่นขึ้นมา ( ในกรณีที่ได้รับยานอนหลับเข้าไป )

การรักษาด้วยวิธีการส่องกล้องนั้นเรื่องของอาการข้างเคียง ได้แก่

  1. อาจเกิดอาการเลือดออกหรือมีเลือดขังในบริเวณของที่ทำการตัดชิ้นเนื้อออกมา

2. อาจพบว่าน้ำลายของผู้ป่วยหรือส่วนของเสมหะนั้นมีเลือดปนออกมา ( แบบนี้จะเป็นกรณีของการตรวจหูหรือตรวจคอหรือตรวจหลอดลมรวมถึงส่วนของปอดด้วยเช่นกัน )

3. อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ( แบบนี้จะเป็นกรณีของหลอดอาหารหรือส่วนของกระเพาะอาหาร )

12. การตรวจไขกระดูก

เป็นส่วนของเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในโพรงกระดูกไม่ใช่เนื้อเยื่อของกระดูก ส่วนของเนื้อเยื่อนี้จะคอยทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวรวมถึงเกล็ดเลือด ในการตรวจส่วนของไขกระดูกนั้นจะตรวจก็ต่อเมื่อเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณของไขกระดูกจนนำมาสู่การตจรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคต่อไป อาทิเช่น โรคซีด โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวรวมถึงโรคมะเร็งประเภทอื่น ๆ ที่ลุกลามกระจายเข้าไปยังไขกระดูก

การตรวจส่วนนี้ทางแพทย์ พยาบาลจะทำการซักประวัติ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการแพ้ยา เรื่องของอาหาร ยาที่รับประทานเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นยาประเภทที่ส่งผลทำให้เลือดออกง่ายแบบนี้ทางแพทย์อาจถึงขั้นสั่งให้หยุดทานยาประเภทนี้ในทันทีเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 3-10 วัน การตรวจไขกระดูกมักจะตรวจในลักษณะของผู้ป่วนอกเป็นหลัก มักจะใช้เวลาในขั้นตอนทั้งหมดประมาณ 30 นาที-1 ชั่วโมง ( ในบางรายอาจจะยาวนานมากกว่านี้ ) การตรวจนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดอาหาร งดน้ำ เมื่อตรวจเสร็จแล้วทางแพทย์ก็จะให้ผู้ป่วยนอนพักดูอาการสักระยะหนึ่งเพื่อเป็นการสังเกตอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มีไข้ แผลมีการติดเชื้อ แผลเกิดการบวมแดง เป็นต้น และจะต้องไม่ให้แผลนั้นโดนน้ำเป็นระยะเวลา 1-3 วัน หากเมื่อใดที่พบว่าแผลเกิดความผิดปกติก็ควรที่จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยไวที่สุด

13. การตรวจน้ำไขสันหลัง

เป็นการการวินิจฉัยโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับสมองและไขสันหลัง ว่ามีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีเชื้อมะเร็งแพร่กระจายอยู่บ้างหรือไม่ ในกรณีที่พบเชื้อมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่น้ำไขสันหลังแล้ว ก็จะต้องทำการรักษาโดยการให้ยาทางไขน้ำสันหลังเพื่อไปสู้กับเชื้อมะเร็งโดยตรง ทำการโดยเจาะเข้าไปในโพรงน้ำไขสันหลังโดยวิธีการเจาะเข้าเนื้อเยื่อบริเวณข้อกระดูกสันหลังช่วงเอว มีชื่อเรียกแบบง่าย ๆ ว่า “ เจาะหลัง ” ( lumbar puncture ) ก่อนการเจาะหลังทุกครั้ง แพทย์จะต้องทำการซักประวัติผู้ป่วยในส่วนของโรคที่เป็นและยาที่ทานอยู่ในปัจจุบัน หากทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องหยุดยาก่อนเป็นเวลา 3-10 วัน ก่อนตรวจ เพื่อไม่ให้มีเลือดออกในปริมาณมาก  [adinserter name=”มะเร็ง”]

วิธีเจาะคือให้ผู้ป่วยนอนตะแคง เจ้าหน้าที่จะมาตรวจดูบริเวณที่จะเจาะและทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้น ๆ หลังจากนั้นแพทย์จะลงมือฉีดยาชาให้ แล้วใช้เข็มที่มีขนาดเล็กและยาวเป็นพิเศษ เจาะผ่านข้อกระดูกสันหลังส่วนเอวไปที่โพรงน้ำและดูดเอาน้ำไขสันหลังออกมาตามปริมาณที่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ก่อนจะส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เมื่อได้น้ำจากไขสันหลังแล้ว แพทย์ก็จะดึงเข็มออกและกดที่แผลไว้ประมาณ 1-3 นาที หรือจนกว่าน้ำไขสันหลังและเลือดจะหยุดไหล โดยทั่วไปสามารถทราบผลได้ใน 1-15 วัน

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าการตรวจน้ำไขสันหลัง เป็นเพียงการเจาะเข้าไปในโพรงน้ำ ในส่วนนี้จะไม่มีไขสันหลัง และไม่มีกระดูกใด ๆ ทั้งสิ้นจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแค่ให้ผู้ป่วยนอนตะแคง เจ้าหน้าที่จะมาตรวจดูบริเวณที่จะเจาะและทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้น ๆ หลังจากนั้นแพทย์จะลงมือฉีดยาชาให้ แล้วใช้เข็มที่มีขนาดเล็กและยาวเป็นพิเศษ เจาะผ่านข้อกระดูกสันหลังส่วนเอวไปที่โพรงน้ำและดูดเอาน้ำไขสันหลังออกมาตามปริมาณที่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ก่อนจะส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ ( หากมีการรักษาโรคอยู่ แพทย์อาจจะฉีดยารักษาโรคให้ด้วย ) เมื่อได้น้ำจากไขสันหลังแล้ว แพทย์ก็จะดึงแขนออกและกดที่แผลไว้ประมาณ 1-3 นาที หรือจนกว่าน้ำไขสันหลังและเลือดจะหยุดไหล เมื่อผู้ป่วยนอนพักและรู้สึกตัวเป็นปกติ ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะ ก็กลับบ้านได้ทันที ระหว่างนี้ก็ให้ดูแลแผลให้สะอาดและแห้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก เมื่อได้น้ำจากไขสันหลังของผู้ป่วยแล้ว แพทย์ก็จะส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจดูเซลล์และสารต่าง ๆ สำหรับประกอบการวินิจฉัยว่าโรคที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากโรคทางสมองหรือการติดเชื้อมะเร็ง โดยทั่วไปสามารถทราบผลได้ใน 1-15 วัน ซึ่งอาจพบผลข้างเคียงแทรกซ้อน คือการเจ็บบริเวณที่มีการเจาะ สิ่งแรกที่กลับมาถึงบ้านและควรทำ คือการพักผ่อนอย่างน้อย 24 ชั่วโมง งดออกกำลังกายและออกแรงทุกชนิด

14. การตรวจภายในการตรวจแปปสเมียร์และการขูดมดลูก

การตรวจภายในแบบแปบสเมียร์ และการขูดดมดลูก เป็นการตรวจอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง เพื่อหาความผิดปกติต่าง ๆ เช่นการอักเสบ หรือการติดเชื้อมะเร็ง โดยวิธีการตรวจภายในแบบแปบสเมียร์ มีดังต่อไปนี้

  • ให้ผู้ป่วยนอนหงายบนเตียง จัดขาทั้งสองข้างของผู้ป่วยให้ขึ้นบนขาหยั่งเพื่อให้แพทย์ตรวจสอบอวัยวะเพศได้อย่างชัดเจน
  • แพทย์จะทำการตรวจสอบเบื้องต้น ด้วยการคลำอวัยวะเพศภายใน ได้แก่ ช่องคลอด ปากมดลูก และรังไข่
  • หลังจากนั้น แพทย์จะสอดเครื่องมือชนิดหนึ่งผ่านปากช่องคลอด ( เครื่องมือจะมีขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยให้แพทย์เลือกใช้ ) เพื่อเก็บสารคัดหลั่งจากช่องคลอด และปากมดลูก รวมถึงการเก็บเซลล์จากปากมดลูก เพื่อนำไปตรวจหาความผิดปกติ รวมถึงวินิจฉัยว่าใช่เซลล์มะเร็งหรือไม่
  • ในกรณีที่มีการตรวจภายในแล้วพบก้อนเนื้อบริเวณปากมดลูกหรือช่องคลอด แพทย์ก็จะทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ซึ่งจะทำให้การวินิจฉัยว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ชัดเจนยิ่งขึ้น  [adinserter name=”oralimpact”]

หากผลตรวจภายในแบบแปบสเมียร์แสดงผลว่าผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็ง แพทย์ก็จะนัดผู้ป่วยทำการส่องกล้องบริเวณปากมดลูกผ่านทางช่องคลอดต่อไป แต่ถ้าหากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับมดลูกหรือเยื่อบุมดลูก ( ที่ไม่เกี่ยวกับมะเร็ง ) แพทย์จะทำการสอดเครื่องมือขนาดเล็กชนิดหนึ่งเข้าไปในโพรงมดลูก และขูดเอาเยื่อบุมดลูกไปตรวจหาความผิดปกติต่อไป ทราบผลภายในระยะเวลา 3-15 วัน ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ และปัญหาที่พบในแต่ละบุคคล

15. การตรวจทางทวารหนัก

เป็นการตรวจดูรูทวารหนักและผิวหนังภายนอกเพื่อหาความผิดปกติต่าง ๆ มักนิยมตรวจในเพศชาย วิธีการตรวจทางทวารหนัก คือการใช้นิ้วสอดเข้าไปในทวารหนักเพื่อคลำหาก้อนเนื้อ ( ส่วนมากจะเจอในทวารหนัก และในต่อมลูกหมาก ) วิธีนี้เป็นวิธีการตรวจหาความผิดปกติของต่อมลูกหมากที่สามารถทำได้ง่ายและได้ผลดี เมื่อตรวจเสร็จแพทย์ก็จะแจ้งผลให้ทราบในทันที ถ้าหากพบก้อนเนื้อ หรือพบความผิดปกติขึ้น แพทย์ก็จะต้องทำการตรวจให้ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม เช่น การส่องกล้องทวารหนัก

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

Cancer risk. British Journal of Cancer. 2010.

Joris, Isabelle (August 12, 2004). Cells, Tissues, and Disease : Principles of General Pathology: Principles of General Pathology. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-974892-1. Retrieved September 11, 2013.

การพบแพทย์เพื่อประเมินผล และติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง

0
การพบแพทย์ตรงตามโรคเพื่อการประเมินผลและการติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง
แพทย์ตรวจวินิจฉัยอาการต่างๆ เพื่อการประเมินผลและการติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง
การพบแพทย์ตรงตามโรคเพื่อการประเมินผลและการติดตามผลผู้ป่วยมะเร็ง
การพบแพทย์เพื่อสู่ขั้นตอนการรักษาและประเมินอาการติดตามดูอาการ

การพบแพทย์

แพทย์ที่ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งจะประกอบไปด้วยแพทย์มากมายหลายสาขา ซึ่งจะทำงานร่วมกันในการให้การรักษาและจะมีการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาต่อภายในทีมแพทย์อย่างเป็นระบบซึ่ง ได้แก่

  • ศัลยแพทย์สาขาต่าง ๆ ทุกสาขา ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ทุกชนิดโดยใช้วิธีการผ่าตัดเป็นหลัก และในบางกรณีอาจใช้วิธีการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน หรือยาตรงเป้าด้วย
  • แพทย์รังสีรักษา ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ทุกชนิดด้วยการใช้รังสีในการรักษาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการฉายรังสีและการใส่แร่ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาก็จะมีทั้งผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ และบางคนก็ใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน และยาตรงเป้าด้วย
  • อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ทำหน้าที่ให้การรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน หรือยารักษาตรงเป้าโดยจะทำการรักษาผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่เป็นหลัก ซึ่งถ้าหากขาดแพทย์มะเร็งวิทยาเด็กหรือนรีแพทย์มะเร็งวิทยา ( รักษาโรคมะเร็งในระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ) แพทย์กลุ่มนี้ก็จะทำหน้าที่ให้การดูแลรักษาแทน
  • นรีแพทย์มะเร็งวิทยา ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งเฉพาะระบบนรีเวชโดยใช้วิธีผ่าตัด ให้ยาเคมียาฮอร์โมน และยารักษาตรงเป้าแต่ในบางกรณีอายุรแพทย์มะเร็งวิทยาหรือแพทย์รังสีรักษาอาจเป็นผู้ที่ให้ยาเหล่านี้แทนก็ได้ แล้วแต่ว่าแต่ละโรงพยาบาลจะมีระบบเป็นอย่างไร
  • แพทย์รังสีร่วมรักษา คือแพทย์ผู้ทำหน้าที่ให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยการใช้วิธีทางรังสีร่วมรักษา
  • แพทย์มะเร็งวิทยาเด็ก ทำหน้าที่ให้การรักษาผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดและยาต่างๆ

  [adinserter name=”มะเร็ง”]

แพทย์เจ้าของไข้ผู้ป่วยมะเร็ง

ในการรักษาโรคมะเร็งมักใช้ทีมแพทย์ในการให้การรักษา ( มีแพทย์จำนวนหลายคนหลายสาขา ) และเพื่อเป็นการลดโอกาสการตรวจวินิจฉัยหรือรักษาผู้ป่วยซ้ำซ้อนกันที่อาจเกิดขึ้นได้ จึงมีคำที่ใช้เรียกเฉพาะในระบบการทำงานของแพทย์ ได้แก่ แพทย์เจ้าของไข้ แพทย์ที่ปรึกษา และแพทย์ที่เป็นหลักในการรักษาโรคมะเร็ง

แพทย์เจ้าของไข้ผู้ป่วยมะเร็ง หมายถึง แพทย์ผู้ทำหน้าที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคต่างๆ รวมทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอตลอดไป อีกทั้งยังมีการทำงานร่วมกันกับทีมแพทย์ที่ปรึกษาคนอื่น ๆ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีส่วนรับผิดชอบในการดูแลรักษาผู้ป่วย และถึงแม้ว่าแพทย์เจ้าของไข้จะเป็นแพทย์คนแรกที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยที่ เป็นโรคมะเร็ง แต่เมื่อมีการวินิจฉัยแล้วพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคที่แพทย์เจ้าของไข้คนแรกขาดความชำนาญในการรักษา แพทย์เจ้าของไข้คนแรกจะทำการส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการดูแลรักษาแทน ซึ่งถ้าแพทย์เจ้าของไข้ยังคงทำการนัดผู้ป่วยมาเข้ารับการตรวจดูแลรักษาอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็จะยังคงเป็นแพทย์เจ้าของไข้อยู่ ส่วนแพทย์คนอื่นๆก็จะทำหน้าที่เป็นแพทย์ที่ปรึกษาในเรื่องที่ตนมีความชำนาญ แต่ถ้าแพทย์เจ้าของไข้คนแรกไม่มีความถนัดรักษาหรือความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาผู้ป่วยแล้ว ก็จะทำการมอบหมายให้แพทย์ที่อยู่ในทีมที่ปรึกษาคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นแพทย์เจ้าของไข้แทน และแพทย์ที่รับมอบหมายให้เป็นคนดูแลรักษาผู้ป่วยก็จะทำหน้าที่นี้ต่อไป

แพทย์ที่ปรึกษา หมายถึง แพทย์เฉพาะทางที่ได้รับการปรึกษาจากแพทย์เจ้าของไข้ สำหรับการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเฉพาะทางนั้น หากแพทย์ที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์ที่ปรึกษาต้องการตรวจหรือทำการรักษาเพิ่มเติมจากที่ได้รับการศึกษา จะต้องแจ้งแพทย์เจ้าของไข้ให้ได้รับทราบก่อนเสมอ หรืออาจจะส่งตัวผู้ป่วยกลับคืนไปให้แพทย์เจ้าของไข้เป็นรับหน้าที่ดำเนินการ โดยแพทย์ที่ปรึกษาก็จะยังคงมีหน้าที่นัดตรวจและดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตตามความรู้ทางการแพทย์เฉพาะทางสาขาของตน ตรวจโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำของโรค ให้คำแนะนำผู้ป่วยในเรื่องของการดูแลสุขภาพโดยรวมร่วมกับแพทย์เจ้าของไข้ ดูแล ป้องกัน และทำการรักษาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาในสาขาเฉพาะทางด้านตนเอง  [adinserter name=”มะเร็ง”]

แพทย์ที่เป็นหลักในการรักษา หมายถึง แพทย์ผู้ให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการหลัก ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาโรคมะเร็งแต่ละชนิด จะเป็นศัลยแพทย์หรือแพทย์รังสีรักษา ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของของการเกิดโรคมะเร็ง อายุและสุขภาพผู้ป่วย เช่น โรคมะเร็งโพรงหลังจมูก จะใช้วิธีการรักษาหลักโดยวิธีรังสีรักษา เพราะฉะนั้น แพทย์ที่เป็นหลักในการทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยก็คือแพทย์รังสีรักษา ซึ่งจะเป็นหลักสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งชนิดนั้น ๆ ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน

ขั้นตอนการพบแพทย์ 

ขั้นตอนต่าง ๆ ในการไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง เข้ารับการรักษาและประเมินผลที่เกิดขึ้นในระยะต่างๆ ของการดูแลรักษาผู้ป่วย อาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป้าหมายในการตรวจคัดกรองมะเร็ง และความรู้สึกวิตกกังวลในอาการที่ผิดปกติ จากนั้นการดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยตามขั้นตอนต่าง ๆ จะดำเนินไปจนกระทั่งถึงการติดตามโรคในระยะเวลาที่ยาวนานไปจนตลอดชีวิต

  • เริ่มต้นจากการที่ผู้ป่วยแสดงอาการที่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของโรคมะเร็ง มีอาการผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้นหรืออาจเกิดความวิตกกังวลว่าจะเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากมีญาติเป็นมะเร็งและผู้ป่วยก็มีอาการที่คล้ายคลึงกันกับญาติแต่รู้สึกสงสัยหรืออาจเข้ารับการตรวจเพราะกลัวว่าเป็นโรคทางพันธุกรรม หรือรับการตรวจเพื่อการคัดกรองโรคมะเร็ง
  • แพทย์ที่ผู้ป่วยไปพบเพื่อขอรับการตรวจจะเป็นแพทย์สาขาใดก็ได้ อาจเป็นแพทย์ในคลีนิคหรือแพทย์ในโรงพยาบาลจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชนก็ได้ที่อยู่ใกล้บ้าน หรือถ้าหากผู้ป่วยพอมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยอยู่พอสมควร ผู้ป่วยก็สามารถเลือกที่จะไปพบแพทย์ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับอาการของผู้ป่วยได้เลย เช่น มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังควรไปพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านระบบประสาท ซึ่งเป็นศัลยแพทย์หรืออายุรแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา หากพบว่ามีเลือดออกมาจากทางช่องคลอดควรเข้าพบแพทย์สูตินรีเวช หรือหากพบว่ามีก้อนที่บริเวณคอควรไปพบแพทย์หูคอจมูก ( เป็นศัลยแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ) หรืออาจเข้าพบพบแพทย์โรคมะเร็งในสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยาหรือในสาขาอายุรกรรมมะเร็งวิทยาก็ได้

[adinserter name=”มะเร็ง”]

  • พบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย นอกจากอาการสำคัญ ๆ ที่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบแล้ว หากมีความกังวลสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคมะเร็งก็ควรที่จะแจ้งแพทย์ให้ทราบด้วย ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถตอบข้อสงสัยของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน เพราะความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นอาการอย่างหนึ่งเช่นกัน
  • การไปคลินิก เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย หากได้แจ้งอาการให้แพทย์ได้รับทราบและแพทย์ก็จะให้การวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นมะเร็งหรือสงสัยว่าน่าจะเป็นมะเร็ง แพทย์จะให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยให้ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ผู้ป่วยสะดวกหรือมีสิทธิ์เข้ารับการรักษาพยาบาล เมื่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ทำบัตรประจำตัวผู้ป่วยจะสอบถามอาการผู้ป่วยในเบื้องต้น และส่งตัวผู้ป่วยไปยังแผนกตรวจโรคที่เกี่ยวข้องเพื่อรับการรักษาต่อไป
  • การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งในเบื้องต้น กระบวนการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ทุกสาขาจะเป็นแบบเดียวกัน คือจะเริ่มทำการวินิจฉัยจากอาการสำคัญ ๆ ก่อน จากนั้นจึงนำอาการอื่น ๆ มาวินิจฉัยร่วมด้วย ดูประวัติทางการแพทย์อื่นๆ ของผู้ป่วย ดูผลการตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจเฉพาะที่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจภาพเนื้อเยื่อหรืออวัยวะตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการสำคัญ ๆ ที่แสดงออก รวมทั้งอาการอื่นๆ ความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่แพทย์ได้ตรวจพบและดุลพินิจของแพทย์
  • เมื่อผลตรวจชี้ว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นโรคมะเร็ง แพทย์จะทำการส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์เฉพาะทาง ในการรักษาโรคมะเร็งชนิดนั้นๆ เพื่อความแน่นอนในการตรวจวินิจฉัยว่าใช่โรคมะเร็งจริงหรือไม่ และเพื่อที่จะให้การรักษาต่อไป เช่นหากมีก้อนเนื้อในเต้านมเกิดขึ้น จะส่งต่อผู้ป่วยให้ศัลยแพทย์ดำเนินการรักษาต่อ หากสงสัยว่าเป็นโรคเลือด จะส่งต่อผู้ป่วยให้อายุรแพทย์เฉพาะทางระบบโลหิตวิทยา ( ระบบโรคเลือด ) ดำเนินการรักษาต่อ หากผู้ป่วยมีอาการทางลำไส้ อาจส่งต่อผู้ป่วยให้อายุรแพทย์หรือศัลยแพทย์โรคทางเดินอาหารดำเนินการรักษาต่อ หากผู้ป่วยมีอาการทางปัสสาวะ จะส่งผู้ป่วยไปพบแพทย์ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะดำเนินการรักษาต่อ
  • เมื่อผู้ป่วยมะเร็งไปพบแพทย์เฉพาะทาง แพทย์เฉพาะทางจะสอบถามอาการสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นและประวัติทางการแพทย์อื่น ๆ ของผู้ป่วยซ้ำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่นอน ทบทวนผลตรวจต่าง ๆ ของผู้ป่วย เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว แพทย์เฉพาะทางจะทำการนัดผู้ป่วยมาตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะดูดเซลล์นำไปตรวจทางพยาธิวิทยาหรือเซลล์วิทยา เพื่อความแน่นอนในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง แต่ถ้าผู้ป่วยพร้อมที่จะตัดชิ้นเนื้อได้เลย แพทย์ก็จะทำการตัดชิ้นเนื้อในวันนั้น ซึ่งอาจทำโดยแพทย์คนแรกที่ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแพทย์ด้วยว่ามีความชำนาญมากน้อยแค่ไหน  [adinserter name=”มะเร็ง”]
  • พบแพทย์เฉพาะทาง โดยจะดำเนินการส่งตรวจสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยให้มากขึ้น ก่อนตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะ ดูดเซลล์ ศูนย์เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือตรวจเลือดดูข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติม และจะตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะ ดูดเซลล์ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือตรวจเลือดดูข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความมั่นใจ และจะตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะ ดูดเซลล์เมื่อมั่นใจในความปลอดภัยแล้ว
  • หลังจากที่ได้ทราบผลทางพยาธิวิทยาจากการตัดชิ้นเนื้อ หรือผลทางเซลล์วิทยาจากการเจาะ/ดูดเซลล์ แพทย์เฉพาะทางจะสนทนาพูดคุย ให้คำปรึกษา และให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและครอบครัวถึงขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยในขั้นเบื้องต้น แต่ยังไม่สามารถให้การรักษาโรคมะเร็งได้ จนกว่าผู้ป่วยจะได้รับการประเมินสุขภาพและระยะของโรคมะเร็งที่เป็นเสียก่อน ซึ่งในระหว่างที่ผู้ป่วยรอผลการประเมินนี้ แพทย์จะทำการรักษาไปตามอาการสำคัญและอาการอื่น ๆ ที่เกิดร่วมด้วย เช่น ให้ยาบรรเทาปวดแก่ผู้ป่วยเมื่อมีอาการปวด หรือหากผู้ป่วยมีอาการสมองบวมแพทย์ก็จะให้ยาลดอาการสมองบวม
  • หลังจากที่ได้ทราบผลประเมินสุขภาพและยาที่ใช้ในการรักษามะเร็ง แพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยและครอบครัวมาฟังการอธิบายขั้นตอนที่ใช้ในการรักษา เพื่อที่จะได้ร่วมกันศึกษาหรือสอบถามเมื่อมีข้อสงสัยเพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการรักษา และผู้ป่วยกับญาติสายตรงก็อาจจำเป็นที่จะต้องเซ็นยินยอมร่วมกันในการเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะการรักษาทางด้านรังสีรักษา เนื่องจากผู้ป่วยและครอบครัวอาจไม่คุ้นเคยกับการรักษาด้วยวิธีนี้ ผู้ป่วยและครอบครัวจึงควรพูดคุยขอคำปรึกษาจากแพทย์รังสีรักษาโดยตรง สำหรับขั้นตอนในการรักษาโรคมะเร็ง หลังจากที่แพทย์เฉพาะทางได้ข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ป่วยครบถ้วนแล้ว ก็จะทำการพูดคุย อธิบาย ให้คำปรึกษา และให้คำแนะนำถึงวิธีรักษา ผลข้างเคียงแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ในการรักษา การใช้หรือไม่ใช้สิทธิในการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีรวมกันในการรักษา เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด รังสีร่วมรักษา ยาฮอร์โมน ยารักษาตรงเป้า หรืออายุรกรรมทั่วไป แต่ในปัจจุบันนิยมใช้วิธีรักษาหลาย ๆ วิธีรวมกันในเกือบทุกระยะของการเกิดโรค
  • การเริ่มต้นการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด หมายความว่า การผ่าตัดยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากแพทย์จะต้องทราบรายละเอียดทางพยาธิวิทยาเพิ่มเติมให้ครบถ้วนจากการตรวจก้อนเนื้อภายหลังการผ่าตัดเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถใช้เป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีใดในการรักษาต่อไป ซึ่งอาจเป็นรังสีรักษา เคมีบำบัด หรือยาฮอร์โมน แต่ขั้นต่อไปในการรักษาหากมีการใช้ยานอกเหนือไปจากที่ได้กล่าวมาแล้วก็จะมีข้อบ่งชี้ในการใช้ยาอย่างเข้มงวด เฉพาะผู้ป่วยที่แพทย์เห็นว่าหากใช้ยานั้นแล้วจะช่วยยืดชีวิตให้ผู้ป่วยได้อย่างมีคุณภาพอย่างแท้จริง  [adinserter name=”มะเร็ง”]

หลังจากที่ได้ทราบผลการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยาภายหลังจากการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะพูดคุยเรื่องวิธีรักษากับผู้ป่วยอีกครั้ง ซึ่งการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีรังสีรักษาจะต้องทำการส่งต่อตัวผู้ป่วยให้แพทย์รังสีทำการรักษาเสมอ แต่การรักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัด ศัลยแพทย์อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา หรือแพทย์รังสีรักษาอาจจะเป็นผู้ทำก็ได้แล้วแต่ว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น ๆ จะมีระบบเป็นเช่นไร

การรักษาผู้ป่วยหลังจากที่ผ่าตัดแล้ว อาจมีการนำตัวผู้ป่วยส่งคืนแพทย์เจ้าของไข้เพื่อทำการรักษาต่อ โดยศัลยแพทย์จะให้คำแนะนำแก่แพทย์เจ้าของไข้ในเรื่องของขั้นตอนการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือแพทย์เจ้าของไข้อาจส่งตัวผู้ป่วยไปพบแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น ๆ เพื่อขอรับคำปรึกษาก็ได้ แล้วแต่ว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น ๆ จะมีระบบเป็นอย่างไร

การศึกษาแพทย์เฉพาะทางในแต่ละสาขา ภายหลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัด จะมีการนัดหมายล่วงหน้าก่อนเสมอ ส่วนจะเร็วหรือช้าเพียงใดนั้นนั่นก็แล้วแต่ว่าจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนหรือไม่ ปริมาณแพทย์มีเพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่งแพทย์เฉพาะทางก็จะทำการประเมินผู้ป่วยตามขั้นตอนต่าง ๆ แต่ละขั้นตอน เมื่อได้ข้อมูลของผู้ป่วยครบถ้วนแล้วก็จะพูดคุยกับผู้ป่วยและครอบครัวในเรื่องของการรักษา ซึ่งผู้ป่วยก็อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเลยก็ได้

หากผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดหรือระยะที่แพทย์เจ้าของไข้หรือศัลยแพทย์ทำการประเมินแล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด แพทย์เจ้าของไข้หรือศัลยแพทย์จะส่งตัวผู้ป่วยไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็งเพื่อรับคำปรึกษา โดยจะมีอยู่ 2 สาขาหลักคือ แพทย์รังสีรักษาหรืออายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ซึ่งก็จะเป็นการนัดพบผู้ป่วยเช่นกัน

การพบแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาโรคมะเร็ง ผู้ป่วยและครอบครัว ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางตามกำหนดที่ได้นัดหมาย พร้อมด้วยเอกสารทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ต้องนำติดตัวไป เช่น ใบส่งตัวจากแพทย์ที่ส่งผู้ป่วยมา ผลการตรวจต่าง ๆ ของผู้ป่วยโดยเฉพาะผลการตรวจทางพยาธิวิทยา ( ต้องมีใบรายงานผลเป็นทางการจากพยาธิแพทย์ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการวินิจฉัยโรค ) ผลเอกซเรย์หรือสแกน หรือแผ่นซีดีจากการใช้วิธีทางรังสีในการตรวจโรคต่างๆ ชนิดของยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ และเอกสารสิทธิ์ในการรักษา  [adinserter name=”มะเร็ง”]

หลังจากที่แพทย์เฉพาะทางโรคมะเร็งได้ทำการประเมินผู้ป่วยจากอาการสำคัญที่แสดงออก อาการต่าง ๆ ที่เกิดร่วมด้วย การตรวจร่างกาย ผลตรวจต่าง ๆ และได้ทำการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แพทย์จะทำการพูดคุยกับผู้ป่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหากผู้ป่วยและครอบครัวยินยอมที่จะเข้ารับการรักษา จะมีการให้เซ็นใบยินยอมพร้อมทำการนัดหมายวันที่จะเริ่มทำการรักษา และให้การดูแลรักษาผู้ป่วยจนตลอดการรักษา จากนั้นก็จะส่งตัวผู้ป่วยกลับคืนแพทย์ที่ส่งผู้ป่วยมาตรวจรักษา พร้อมนัดผู้ป่วยตรวจอย่างต่อเนื่องในระยะยาวตลอดชีวิตผู้ป่วย

การพบศัลยแพทย์

วิธีการรักษาโดยการผ่าตัดเป็นวิธีที่หลัก ๆ ที่มักใช้กันในการรักษาโรคมะเร็งชนิด ยกเว้นป่วยการเป็นโรคมะเร็งระบบโลหิตวิทยา ( ซึ่งจะใช้ยาเคมีบำบัดเป็นวิธีรักษาหลัก และอาจร่วมกับรังสีรักษาหากมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ ) เพราะฉะนั้น ในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยจึงมักจำเป็นต้องปรึกษาศัลยแพทย์อยู่เสมอ

การพบแพทย์รังสีรักษาโรคมะเร็ง

หากเอ่ยถึงแพทย์สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา หรือ แพทย์รังสีรักษา ควรรู้เลยว่าจะเป็นแพทย์ที่มีความขาดแคลนมากสาขาหนึ่ง เนื่องจากเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็งโดยเฉพาะและมีประจำอยู่แต่ในโรงพยาบาลใหญ่หรือศูนย์มะเร็ง เท่านั้น เราจึงไม่ค่อยพบแพทย์ด้านนี้ออกตรวจคนไข้นอกเหมือนแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น หรือหากมีการตรวจผู้ป่วยนอกก็จะตรวจเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งแล้วเท่านั้น สำหรับผู้ป่วยท่านใดที่จะพบแพทย์ด้านนี้ต้องมีการนัดล่วงหน้า โดยมักเป็นการปรึกษาจากแพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ที่เป็นหลักในการรักษา ซึ่งการรับนัดตรวจอาจเร็วหรือรอนานเป็นเดือนก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยท่านอื่นที่รออยู่และลำดับในการฉายรังสีนั่นเอง

โรคมะเร็งกับการพบอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา

การรักษาด้วยเคมีบำบัดมักให้การรักษาโดยแพทย์หลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น ศัลยแพทย์ นรีแพทย์มะเร็งวิทยา แพทย์รังสีรักษา หรือแพทย์อายุรกรรมทั่วไป ซึ่งแพทย์เหล่านี้จะให้ยาเคมีบำบัดตามขั้นตอนการรักษา แต่หากต้องการให้อายุรแพทย์มะเร็งวิทยาเป็นผู้ให้การรักษา จำต้องส่งต่อผู้ป่วยไปนัดพบอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา

[adinserter name=”มะเร็ง”]

การพบแพทย์รังสีร่วมรักษา

การนัดพบแพทย์รังสีร่วมรักษา จะต้องมีการนัดหมายล่วงหน้าเหมือนนายแพทย์รังสีรักษา และในวันนัดผู้ป่วยต้องพาคนในครอบครัวที่บรรลุนิติภาวะแล้วมาด้วย เพื่อร่วมพูดคุย ซักถาม ปรึกษา และเซ็นยินยอมรับการรักษา พร้อมนำเอกสารและผลการตรวจรักษาต่างๆไปด้วย เหมือนกับการพบแพทย์รังสีรักษาทุกอย่าง หลังครบการรักษา แพทย์จะส่งผู้ป่วยคืนแพทย์ที่ส่งผู้ป่วยมา แต่ยังคงนัดผู้ป่วยเพื่อติดตามผลการรักษาเป็นระยะๆ ตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับวิธีรักษาและดุลพินิจของแพทย์

การรักษาด้วยยาฮอร์โมน

การรักษาด้วยยาฮฮร์โมนส่วนใหญ่เป็นยากิน แต่ก็มีบ้างที่เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือยาพ่นทางจมูก โดยยาฮอร์โมนนี้จะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย ผู้รับการรักษาจึงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก สามารถกินหรือใช้ยาได้เลยเหมือนยาทั่วไป โดยมากมักเป็นยารักษาต่อเนื่องหลังผ่าตัด ซึ่งแพทย์คนเดิมที่ให้การรักษาผู้ป่วยอยู่แล้วสามารถให้ยาได้เลย

การรักษาด้วยยารักษาตรงเป้า

การรักษาด้วยยารักษาตรงเป้าเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย ส่วนใหญ่เป็นยากินหรือยาฉีดทางหลอดเลือดดำ แพทย์ที่ทำการรักษาโรคมะเร็งอยู่แล้วจึงสามารถให้ยาได้เลย เหมือนกับเป็นการรักษาต่อเนื่องจากการรักษาหลัก ( การผ่าตัด รังสีรักษา หรือยาเคมีบำบัด ) โดยไม่จำเป็นต้องมีการนัดหมายแพทย์คนใหม่ ทั้งนี้ยารักษาตรงเป้าเป็นยาที่มีราคาสูงมาก และเป็นตัวยาที่ใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นๆ ยังไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นสาเหตุให้ยาประเภทนี้ยังไม่รวมอยู่ในสิบการใช้ยาของรัฐบาล แต่หากมีเหตุผลที่ดีพอบางครั้งอาจมีการยกเว้น เมื่อแพทย์มีหนังสือชี้แจงถึงความจำเป็นและโอกาสในการยืดอายุผู้ป่วยได้ พร้อมกับทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การประเมินผลผู้ป่วยมะเร็งหลังครบการรักษา

การประเมินผลหลังครบการรักษา เป็นการตรวจเพื่อค้นหาก้อนเนื้อมะเร็งที่อาจยังหลงเหลืออยู่รวมทั้งตรวจการแพร่กระจายของโรค ( ตรวจซ้ำเฉพาะในโรคมะเร็งชนิดที่มีการแพร่กระจายสูงหรืออยู่ในระยะลุกลามรุนแรงโดยขึ้นอยู่กับอาการผู้ป่วยหรือดุลพินิจของแพทย์ ) โดยเมื่อทำการรักษาทุกขั้นตอนแล้ว เมื่อผู้ป่วยพักฟื้นกลับมามีสุขภาพแข็งแรงใกล้เคียงปกติแล้ว อาจนาน 2-3 เดือนหรือ 6 เดือน แพทย์เจ้าของไข้จะทำการตรวจวินิจฉัยค้นหาการหลงเหลืออยู่ของก้อนเนื้อมะเร็ง โดยใช้การตรวจภาพเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต้นกำเนิดโรคมะเร็ง ตรวจเลือดดูค่าสารมะเร็ง ( เมื่อเป็นโรคมะเร็งชนิดสร้างสารมะเร็ง ) และอาจตรวจค้นการแพร่กระจายของมะเร็งซ้ำอีกครั้ง เหมือนกับผู้ป่วยใหม่ ทั้งนี้หากการตรวจต่างๆให้ผลปกติ แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ที่ให้การรักษาจะนัดตรวจผู้ป่วยเป็นระยะๆตลอดชีวิต แต่ถ้าพบว่ามีโรคมะเร็งหลงเหลือหรือโรคแพร่กระจายออกไป แพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ที่เป็นหลักจะเริ่มต้นประเมินระยะของโรคมะเร็งอีกครั้งเหมือนในผู้ป่วยใหม่ และอาจพูดคุย ปรึกษา กับผู้ป่วยและญาติของผู้ป่วยอีกครั้ง  [adinserter name=”มะเร็ง”]

การติดตามผลระยะยาวตลอดชีวิต

หากผลการตรวจผู้ป่วยออกมาไม่พบว่ามีก้อนเนื้อหลงเหลืออยู่หรือไม่มีการแพร่กระจายแล้ว แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ผู้ให้การรักษาทุกสาขาจะทำการตรวจผู้ป่วยเป็นระยะตลอดชีวิต ซึ่งความถี่ในการตรวจนัดอาจแตกต่างกันตามสาขาเฉพาะทางของแพทย์ ซึ่งการตรวจติดตามผลระยะยาวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เป็นการตรวจวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากการรักษาตามสาขาเฉพาะทาง เป็นการตรวจโรคย้อนกลับดูว่าจะเป็นซ้ำหรือมีการแพร่กระจายของโรคมะเร็งหรือไม่เป็นการคัดกรองโรคมะเร็งอีกครั้ง เป็นการดูแลสุขภาพทั่วไป และเป็นการการตรวจวินิจฉัยโรคอื่นๆตามอาการของผู้ป่วย เพื่อให้สุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งกลับมาแข็งแรงดังเดิม

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง ป้องกัน และรักษาผลข้างเคียง แทรกซ้อนจากการรักษา

แพทย์จะมีการนัดตรวจวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาผลข้างเคียง แทรกซ้อนจากการรักษาด้วย โดยทั่วไปจะตรวจหลายอย่าง ได้แก่ การสอบถามอาการสำคัญและอาการต่างๆ ,การตรวจร่างกายทั่วไป และตรวจเฉพาะที่,การตรวจร่างกายตามอาการผิดปกติของผู้ป่วย ,การตรวจเลือด เช่น ตรวจเลือดซีบีซี , ตรวจการทำงานของอวัยวะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต หรือไทรอยด์ , ตรวจเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ เช่น เอกซเรย์ปอด ตลอดจนตรวจอาการอื่นๆของผู้ป่วยที่เป็นประโยชน์ เช่น การส่องกล้องตรวจ หรือ อาการผลข้างเคียงจากการทำรังสีรักษาหรือยาเคมีบำบัด เป็นต้น

สาเหตุโรคมะเร็งที่แพทย์ต้องทำการตรวจเพิ่มเติมคืออะไร

  • จะได้ให้คำแนะนำและให้การรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นการช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อน หรือรักษาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองเรื่องอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการให้ยาต่างๆเพิ่มเติม เช่น ในกรณีผู้ป่วยได้รับการฉายรังสีบริเวณลำคอในโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ เนื่องจากต่อมไทรอยด์ ก็จะมีการให้ไทรอยด์ฮอร์โมนเพิ่มเติม
  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำกายภาพฟื้นฟู เช่น ในโรคมะเร็งเต้านม เพื่อป้องกันแขนบวม หรือโรคมะเร็งศีรษะและลำคอที่ฉายรังสีรักษาผ่านช่องปาก เพื่อป้องกันช่องปากตีบแคบ เป็นต้น
  • เป็นการตรวจวินิจฉัย รักษา และควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง ที่อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนในระยะยาว อีกทั้ง ให้ยาเพื่อป้องกัน ลดความรุนแรง หรือรักษาผลข้างเคียงแทรกซ้อนนี้
  • ให้คำปรึกษาเมื่อผู้ป่วยมีความกังวลใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงแทรกซ้อน และตรวจรักษาอื่นๆตามอาการผู้ป่วย  [adinserter name=”มะเร็ง”]

การตรวจโรคย้อนกลับเป็นซ้ำและหรือโรคแพร่กระจาย

การตรวจโรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจายจะเริ่มตรวจที่ประมาณ 2-3 เดือน 6 เดือนหรือ 1 ปี หลังตรวจประเมินผลหลังครบการรักษาแล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลการตรวจประเมินผลหลังครบการรักษา ชนิดของเซลล์มะเร็ง อวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะโรคก่อนการรักษา อายุและสุขภาพผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ สำหรับการตรวจที่ใช้บ่อย คือการตรวจเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง ซึ่งจะมีขั้นตอนดังนี้

  • สอบถามอาการสำคัญและอาการต่างๆของผู้ป่วยในขณะนั้น พร้อมตรวจร่างกายเฉพาะที่
  • ทำการเอกซเรย์ธรรมดา อัลตร้าซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ ซึ่งมัก
  • ตรวจทุก 3-6 เดือน หรือ 1 ปี ในช่วง 1-3 ปีแรก โดยดูจากอาการผิดปกติของผู้ป่วยหรือดุลพินิจของแพทย์ แต่เมื่อเลย 3 ปีไปแล้วให้ดูที่ชนิด ระยะ อาการ อายุและสุขภาพผู้ป่วย เป็นสำคัญ
  • การตรวจภาพเอกซเรย์ปอดเพื่อดูโรคที่แพร่กระจายมายังปอด มักตรวจทุกปีหรือผู้ป่วยมีอาการผิดปกติทางปอดและหัวใจ
  • การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ มักตรวจทุก 3-6เดือน หรือทุกปีเพื่อดูการแพร่
  • กระจายของโรคมายังตับและโรคของตับ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อีกครั้ง
  • การตรวจเลือดดูค่าสารมะเร็งในโรคมะเร็งชนิดที่สร้างสารมะเร็ง มักตรวจทุก 1-3 เดือน ใน 1-4 ปี แรกหลังครบการรักษา
  • การตรวจสแกนภาพกระดูกทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ มักตรวจเมื่อผู้ป่วยปวดกระดูกเรื้อรัง หรือแพทย์สงสัยว่าโรคจะแพร่กระจายเข้ากระดูก
  • การตรวจภาพสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือเอ็มอาร์ไอ ทำเมื่อผู้ป่วยมีอาการทาง
  • สมอง เช่น ปวดศีรษะมาก มึนงง วิงเวียน คลื่นไส้หรืออาเจียน แขนขาอ่อนแรงเดินเซ หรือบุคลิกภาพเปลี่ยนไป เพื่อดูการแพร่กระจายของโรคเข้าสู่สมอง

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง    [adinserter name=”มะเร็ง”]

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งส่วนใหญ่จะเป็นการคัดกรองมะเร็งที่พบได้มาก และมีวิธีการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ ไม่ยุ่งยาก อีดทั้งไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนกับผู้ป่วย ได้แก่

  • การคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิง ใช้วิธีการถ่ายภาพรังสีเต้านม โดยจะทำการตรวจทุกปีหรือทุก 2-3 ปี ในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งความถี่ของการตรวจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยและผลจากการตรวจครั้งแรก
  • การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก สำหรับผู้ป่วยที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว จะตรวจคัดกรองด้วยแปปสเมียร์ทุกปี หรือตามแพทย์แนะนำ

สำหรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดอื่น มักเป็นการตรวจที่ซับซ้อนมากกว่า และอาจมีผลข้างเคียงแทรกซ้อนได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยมีความสงสัยหรือสนใจการคัดกรองโรคมะเร็งชนิดอื่นก็สามารถปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ได้

การดูแลสุขภาพทั่วไป

ทุกครั้งที่แพทย์นัดจะมีการตรวจสุขภาพทั่วไป โดยประกอบด้วย การสอบถามอาการสำคัญ อาการต่างๆ ในขณะนั้น รวมถึงการตรวจอื่นๆร่วมด้วย เช่น การตรวจเลือดซีบีซี การตรวจโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ตรวจการทำงานของตับและไต และให้คำปรึกษาผู้ป่วยด้านสุขภาพหรือการใช้ชีวิตภายหลังครบการรักษา เป็นต้น

การตรวจวินิจฉัยโรคอื่นๆ ตามอาการของผู้ป่วยมะเร็ง

การตรวจวินิจฉัยโรคอื่นๆแพทย์จะดูตามอาการสำคัญและอาการในขณะนั้นเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด หรือตรวจภาพเนื้อเยื่อและอวัยวะที่มีอาการด้วยการเอกซเรย์ธรรมดา อัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ หากพบว่ามีอาการโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง แพทย์จะเป็นคนให้คำอธิบาย แนะนำ ให้ยาบรรเทาอาการ และให้การรักษาโรคที่กิด หรือส่งผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคนั้น  [adinserter name=”มะเร็ง”]

การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งที่ยังหลงเหลือหลังครบการรักษา โรคย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคแพร่กระจาย

การตรวจวินิจฉัยเพื่อประเมินโรคที่ยังคงเหลืออยู่หลังครบการรักษาโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ หรือโรคแพร่กระจาย เป็นการประเมินผลการรักษาโรคมะเร็งทั้งในช่วงที่รับการรักษา ช่วงหลังครบการรักษา และช่วงติดตามผลระยะยาว โดยมีขั้นตอนและวิธีการเหมือนกัน

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจาย

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำ และโรคแพร่กระจาย แพทย์จะเริ่มดูจากอาการสำคัญของผู้ป่วยขนาดนั้น ตรวจสภาพร่างกายทั่วไป ตรวจเฉพาะที่ ตรวจภาพเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็งหรือมีอาการ ตรวจดูค่าสารมะเร็ง ( เมื่อเป็นเซลล์มะเร็งชนิดที่สร้างสารมะเร็ง ) รวมทั้งสอบถามอาการผิดปกติต่างๆ เพื่อนำมาวินิจฉัยสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อพบว่ามีโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจาย

หากการตรวจพบว่ามะเร็งหลงเหลือหรือโรคย้อนกลับมาเป็นซ้ำแพทย์จะให้การตรวจวินิจฉัยอีกครั้งเหมือนในผู้ป่วยใหม่ เพื่อประเมินระยะโรคและสุขภาพผู้ป่วย แต่จะมีข้อแตกต่างคือ มีการประเมินผลข้างเคียงแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากวิธีรักษาครั้งที่ผ่านมาด้วย

การรักษาโรคมะเร็งหลงเหลือ โรคย้อนกลับเป็นซ้ำหรือโรคแพร่กระจาย

เมื่อแพทย์ได้ผลตรวจวินิจฉัยทุกอย่างครบแล้วจึงทำการประเมินวิธีการรักษา พร้อมพูดคุยให้คำแนะนำทั้ง

[adinserter name=”oralimpact”]

ผู้ป่วยและครอบครัวถึงวิธีการรักษาครั้งนี้ ส่วนวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่ยังหลงเหลือภายหลังครบการรักษาแล้ว อาจเป็นวิธีเดียวหรือหลายวิธีที่นำมาใช้ร่วมกัน ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพของผู้ป่วย ระยะของโรคมะเร็งครั้งใหม่ ข้อจำกัดของแต่ละวิธี ผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากการรักษาที่ผ่านมา ดุลพินิจของแพทย์และความประสงค์ของผู้ป่วยและครอบครัว โดยทั่วไปวิธีการรักษา คือ

  • ดำเนินการผ่าตัด เมื่อยังสามารถผ่าตัดได้และไม่มีผลอันตรายร้ายแรงกับผู้ป่วย
  • ให้รังสีรักษา หากสามารถให้รังสีเพิ่มเติมได้ โดยใช้เทคนิคก้าวหน้า ( Advanced Radiotherap ) หรือใช้รังสีในตำแหน่งใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน
  • ให้ยาฮอร์โมนชนิดใหม่ ให้ยาเคมีบำบัดใหม่ ซึ่งมักเปลี่ยนชนิดหรือปริมาณยา
  • ให้ยารักษาตรงเป้า หากครั้งใหม่เป็นโรคชนิดตอบสนองต่อยาตรงเป้าได้ดี ซึ่งให้แล้วผู้ป่วยจะมีสุขภาพแข็งแรง และมีโอกาสยืดชีวิตผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
  • หากผู้ป่วยมีสุขภาพไม่แข็งแรงอาจให้การรักษาทางอายุรกรรมทั่วไป เพื่อประคับประคองพยุงอาการเมื่อสุขภาพผู้ป่วยไม่แข็งแรงพอสำหรับการรักษาครั้งใหม่ เช่น การให้ยาแก้ปวด เป็นต้น
  • อาจชะลอการรักษาโรคมะเร็งไปก่อนหรือยังไม่มีการรักษาโรคมะเร็งในขณะนั้น ถ้าสุขภาพของผู้ป่วยอ่อนแอไม่สามารถรับการรักษาได้ ตลอดจนการรักษาโรคมะเร็งอาจก่อผลข้างเคียงแทรกซ้อนเพิ่มจนผู้ป่วยขาดคุณภาพชีวิต และที่สำคัญญาติและผู้ป่วยมีความประสงค์ตรงกันว่าไม่รักษา โดยแพทย์จะให้การดูแลสุขภาพผู้ป่วยตามที่ร้องขอ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

พยาบาลสาร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “การดูแลผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะหลังผ่าตัดเปลี่ยนช่องทางขับถ่ายปัสสาวะ”. (พัชรินทร์ ไชยสุรินทร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tci-thaijo.org. [05 พ.ค. 2017].

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและแคปซูลมีอะไรบ้าง

0
สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและแคปซูลมีอะไรบ้าง
วิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายมี เอ บี ซี
สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและแคปซูลมีอะไรบ้าง
วิตามินที่ช่วยจับออกซิเจนและมีความจำเป็นต่อร่างกายมี เอ บี ซี

สารจับออกซิเจน

สารจับออกซิเจน เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารที่ได้สมดุลสามารถให้และจับออกซิเจนแก่ร่างกายได้อย่างเพียงพอ แต่เนื่องจากกรรมวิธีในการประกอบอาหาร การหุงต้มและการเก็บรักษา อาจทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินบางอย่าง การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นหลักประกันได้

วิตามินเอ (Vitamin A)

ร่างกายต้องการ วิตามินเอ ( Vitamin A ) ในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU สำหรับนักมังสวิรัติที่เคร่งครัด คือผู้ไม่ยอมกินอาหารที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิด จึงควรกินวิตามินเอสังเคราะห์ชนิดเม็ดหรือแคปซูลวันละ 800 ไมโครกรัม

วิตามินซี ( Vitamin C )

วิตามินซี ( Vitamin C ) มีจำหน่ายในบ้านเราหลายขนาด อย่างดีที่สุดคือวิตามินซีชนิดที่เป็นกลาง คือไม่เป็นกรดหรือเป็นด่าง และมีสารที่ทำให้สมดุล เช่น ไบโอฟลาโวนอยด์จากธรรมชาติ มีอาเซโรล่าและโรสฮิพส์เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยให้ทานมื้อละ 250 หรือ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 มื้อก็พอ วิตามินซีอย่างผงแม้จะมีราคาถูกมาก แต่ก็มีปัญหาเรื่องการชั่งตวงวัด ซึ่งอาจทำให้คุณได้รับเกินขนาดง่ายมาก

วิตามินอี  ( Vitamin E )

วิตามินอี ( Vitamin E ) กับออกซิเจนเป็นสิ่งที่ผู้คนมองข้ามกันมากที่สุด หากได้รับในปริมาณที่สูง เช่นสูงถึง 2000 หน่วยสากล หรือมิลลิกรัม (วิตามินอีเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่ถือกันว่า 1 หน่วยสากลมีค่าเท่ากับ 1 มิลลิกรัม) วิตามินอีมีส่วนร่วมอยู่ในรายการอาหารจับออกซิเจนหลายรายการ เช่น การรักษาโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและโรคผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุเซลล์ ช่วยในการสืบพันธุ์ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

โค-คิว10 ( Co-Q10 )

โค-คิว 10 อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทจับออกซิเจนยอดนิยมชนิดหนึ่ง แต่ยังมีการวิจัยเกี่ยวกับสารตัวนี้อยู่น้อยมาก วิตามินซีจะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการผลิตโค-คิว10   

เบตาแคโรทีน ( Betacarotene )

เบตาแคโรทีน ( Betacarotene ) นับเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญสำหรับสุขภาพของมนุษย์ ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือ 15 มิลลิกรัม สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายจากเบตาแคโรทีน ขณะนี้ได้พบแล้ว แม้จากการวิจัยพบว่าวิตามินเออาจเป็นพิษได้ถ้ารับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 25,000 หน่วยสากล ( IU ) ต่อวัน แต่ไม่พบว่าเบตาแคโรทีนมีความเป็นพิษแต่อย่างใด

อาหารสีเขียวชนิดเข้มข้น

เป็นอาหารยอดนิยมอีกอย่างและเชื่อกันว่าเป็นอาหารจับออกซิเจนที่ดี ไม่มีใครสงสัยว่าอาหารเรานี้มี สารจับออกซิเจน แต่ผักธรรมดาๆ เช่น บร็อกโคลี และผักโขม ที่มีราคาถูกจะมีคุณภาพดีกว่า

ยาง-ชัน

สารจับออกซิเจน ครอบจักรวาล แต่เนื่องจากมีความแตกต่างกันมากในด้านส่วนประกอบและมาตรฐานความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการยากที่จะแนะนำขนาดที่ควรได้รับในแต่ละวัน

เกสรดอกไม้

เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีลักษณะพิเศษและได้รับความไว้วางใจมากกว่า ยาง-ชัน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเนื่องจากมีความหลากหลายของเกสรดอกไม้ ดังนั้นน้ำผึ้งที่ใช้ทาขนมปัง ราดนม จึงดูน่าเชื่อถือมากกว่า

ซิลิเนียม

เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์อยู่ในรายการ สารจับออกซิเจน แต่การได้รับซีลีเนียมจากอาหารย่อมดีกว่าการรับสารซีลีเนียมเข้าไปโดยตรง ซีลีเนียมโดยตัวเองไม่ได้เป็นสารจับออกซิเจน แต่มีความจำเป็นต่อการสร้างระบบจับออกซิเจนภายในร่างกาย ซิลิเนียมอินทรีย์ 200 ไมโครกรัม เป็นปริมาณสูงสุดที่สามารถจับได้ในแต่ละวันในสภาพเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซีลีเนียมอินทรีย์ เช่น ซิลิไนต์ และซิลิเนต ห้ามใช้เสริมอาหาร 

กลูต้าไธโอน

สารจับออกซิเจน ชนิดหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะมีราคาแพงและไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็นซึ่งเราได้รับอาหารที่มีโปรตีนอยู่แล้ว

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและชนิดแคปซูล

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำหน่ายอยู่มากมายบางชนิดเป็นชนิดผสมอย่างง่ายแต่มีวิตามิน A C และ E เท่านั้น บางอย่างเพิ่มปัจจัยร่วมเข้าไปอีกอย่างหรือหลายอย่าง เช่น ซีลีเนียม ไบโอฟลาโวนอยด์ ทองแดง กรดโฟลิก และสังกะสี ถ้าต้องการซื้อผลิตภัณฑ์จับออกซิเจน พิจารณาสูตรที่สมดุลโดยมีสารหลักดังนี้

ผลิตภัณฑ์สารจับออกซิเจนชนิดเม็ดและชนิดแคปซูล จำนวนหน่วยที่ควรได้รับ
วิตามินเอ ( ควรเป็นเบตาแคโรทีน ) 1,500 – 2,500 หน่วยสากล
วิตามินอี 100 – 150 หน่วยสากล
วิตามินซี 150 – 400 มิลลิกรัม
วิตามินบี 15 – 10 มิลลิกรัม
วิตามินบี 25 -10 มิลลิกรัม
วิตามินบี 62 – 5 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 30-60 มิลลิกรัม
กรดโฟลิก 400 ไมโครกรัม
สังกะสี 1 – 5 มิลลิกรัม
แมงกานีส 1 – 2 มิลลิกรัม
ซีลีเนียม 50 – 150 ไมโครกรัม
ไบโอฟลาโวนอยด์ผสม (เช่น จากเปลือกองุ่น ผลไม้ประเภทส้ม บักวีท ซึ่งมีเควอร์ฌซทิน เอสเพอริดีน รูทิน ฯลฯ)
หรือจะผสมวิตามินดังกล่าวกับผักผง เช่น แครอท กระเทียม แพงพวยน้ำ หรือผักโขม
100 – 300 มิลลิกรัม

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า หากทราบความสำคัญของโภชนาการเหล่านี้เพิ่มขึ้น สารจับออกซิเจน ชนิดเม็ดหรือชนิดแคปซูลจะต้องปรากฏในตลาดมากขึ้น และคงเป็นการยากที่จะตัดสินคุณภาพโดยรู้จักฉลากเพียงประการเดียว มีข้อควรระลึกเมื่อจะตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ดังนี้

1. ผลิตภัณฑ์นั้น เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันกับอาหารตามปกติหรือไม่

2. ผลิตภัณฑ์นั้น เป็นสารชนิดเดียวกันกับที่ร่างกายผลิตขึ้นหรือไม่

3. ผู้ผลิตตั้งผลจากสถาบันวิจัยชั้นนำของสหรัฐ สหราชอาณาจักรหรือเยอรมนีหรือเปล่า

4. ถ้าผู้ผลิตเอาผลการวิจัยจากห้องปฏิบัติการหรือแพทย์เพียงผู้เดียวมากล่าวอ้าง ควรรอข่าวจากแหล่งอื่นก่อนที่จะเสียเงินซื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

หาคำตอบว่าทำไม สารจับออกซิเจน จึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร

0
สารจับออกซิเจนจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร
สารจับออกซิเจนจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร
สารจับออกซิเจนจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร
สารกับออกซิเจน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากในกระบวนการทางเคมีของร่างกาย

สารจับออกซิเจน

สารอาหารทุกหมู่ ถือว่ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ในระยะหลังนี้บทบาทของ สารกับออกซิเจน เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากในกระบวนการทางเคมีของร่างกาย เช่นเดียวกับสารอาหารประเภทกากใย แม้ร่างกายจะย่อยไม่ได้ก็ตาม แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการดำรงชีวิตของมนุษย์ กากใยอาหารที่ได้จากพืชมักมีแร่ธาตุและสารจับออกซิเจนเป็นส่วนประกอบอยู่

โดยพื้นฐานแล้ว วิตามิน แร่ธาตุ กากใย คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ต่างก็ให้สารเคมีเป็นจำนวนมาก จนถึงทุกวันนี้ ยังเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า สารดังกล่าวเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิตแล้ว สำหรับการให้สารจับออกซิเจนแก่ร่างกาย และตามทฤษฎีต้องยอมรับว่าอาหารที่ให้สารต่าง ๆ ดังกล่าว นับเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิตและมีสุขภาพที่ดี

เมื่อไม่นานมานี้ความเชื่อดังกล่าวดูจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อปรากฏว่าจากการทดลองกับสัตว์เป็นจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่า การให้วิตามินและแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนเสริมแก่สัตว์ทดลอง สัตว์มีอายุยืนยาวขึ้น บริษัทการค้าต่าง ๆ หลายบริษัทพากันหาข้อสรุปได้ว่า ถ้าสารเหล่านั้นให้ผลดีแก่สัตว์ ก็ต้องให้ผลดีแก่มนุษย์ด้วยเช่นกัน

จึงมีการผลิตสินค้าจำพวกวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ออกมาจำหน่าย และเสริมด้วยการโฆษณาอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทเหล่านั้นก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อมีการทดลองให้ สารจับออกซิเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเอ ซี และอี แก่มนุษย์เป็นระยะยาว กลับปรากฏว่าการให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านั้นเพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากอาหารปกติที่มนุษย์ได้รับอยู่ ยังมีผลต่อสุขภาพที่น่าสงสัย การทดลองกับมนุษย์ด้วยการเพิ่มสารจับออกซิเจนลงไปในอาหารดำเนินไปเป็นเวลาหลายปี แต่จากผลการทดลองแต่ละอย่างกลับมีแต่คำถามมากกว่าคำตอบ

จากคำถามโดยรวมได้มีการแบ่งกลุ่มกันขึ้นในหมู่นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งกลุ่มที่ 1 สนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่อีกกลุ่มกลับคัดค้านหัวชนฝา ต่างฝ่ายต่างก็หาเสียงสนับสนุนฝ่ายตน และจากความไม่รู้เช่นนี้หากเกิดแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ว่าจะผู้สนับสนุนหรือคัดค้าน อาจทำให้เกิดการหลงทางซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งก็เป็นได้

การเติมสารจับออกซิเจนให้อาหาร

อาหารทุกชนิดต่างก็มีสารเติมออกซิเจนอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้วมากมาย เป็นต้นว่า ในทันทีที่เก็บเกี่ยว ออกซิเจนก็เร่งให้เกิดกระบวนการทำให้ผลผลิตนั้นเน่าเสีย ความพยายามที่จะป้องกันอาหารไม่ให้เน่าเสียเร็วจึงเกิดขึ้น เช่น การอบแห้ง แช่เย็น แช่แข็ง อาบรังสี หรือแม้แต่การใช้สารเคมีเพื่อป้องกันการบูดเน่า ปัญหาก็คือกระบวนการดังกล่าว จะทำให้เกิดพิษภัยได้หรือไม่ เช่นพิษภัยที่เกิดจากการทำลายจุลโภชนสาร เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารกับออกซิเจน

อาหารทุกชนิดต่างก็มีสารเติมออกซิเจนอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้วมากมาย ออกซิเจนก็เร่งให้เกิดกระบวนการทำให้ผลผลิตนั้นเน่าเสีย การป้องกันอาหารไม่ให้เน่าเสียเร็วจึงเกิดขึ้น เช่น การอบแห้ง แช่เย็น แช่แข็ง อาบรังสี

กฎที่สำคัญก็คือ อาหารสดเป็นอาหารที่ดีที่สุด การเก็บอาหารสดเอาไว้แม้ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก็สามารถลดคุณค่าทางโภชนาการของอาหารนั้นลงได้ เป็นต้นว่า สารจับออกซิเจน ลดลงในขณะที่ สารเติมออกซิเจน เกิดขึ้นหรือเพิ่มขึ้นอาจเป็นสารเพอร์ออกไซด์ ซึ่งทำอันตรายแก่ร่างกายได้มากกว่าออกไซด์ธรรมดา ตลอดจนน้ำมันเก่าและน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวอยู่มาก เมื่อเก็บไว้นาน ๆ แล้วนำมาใช้สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แก่เร็ว และเกิดโรคของหลอดเลือดแดงได้ เช่นเดียวกันกับที่ร่างกายขาดสารจับออกซิเจนเอง ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพดังกล่าว

ดังนั้น สมดุลของสารรับและให้ออกซิเจนในอาหารจึงขึ้นอยู่กับปริมาณ สารจับออกซิเจน ที่มีอยู่ในอาหารนั้น สารกันเสียสังเคราะห์บางชนิด เช่น บีเอชที ( Butyl Hydroxy Toluene ) เคยได้รับการเสนอชื่อให้ใช้เป็นยาสำหรับมนุษย์เช่นเดียวกับการป้องกันอาหารไม่ให้เน่าเสีย บางคนเชื่อว่ามีทางป้องกันไม่ให้สารจับออกซิเจนสูญเสียไปในช่วงเวลาการย่อยอาหาร โดยการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารจับออกซิเจน เช่น เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมูเทส ( Superoxide Dismutase ) และไบโอฟลาโวนอยด์ ( Bioflavonoids )

อาหารธรรมชาติและสมุนไพร

วิทยาศาสตร์โดยทั่วไปซึ่งมีมาแต่เดิมนั้น ได้พัฒนามาเป็นวิทยาศาสตร์เฉพาะทางมากขึ้น ตามอัตราความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น นักวิจัยอาจเน้นลงไปถึงจุดเล็ก ๆ เพื่อค้นหาสารมหัศจรรย์ซึ่งยังหาข้อมูลยุติไม่ได้ อีกทั้งนักวิจัยและผู้บริโภคต่างก็มีความต้องการตรงกันอยู่ประการหนึ่งคือ การที่จะได้มาซึ่ง สารจับออกซิเจน อันมหัศจรรย์ แต่ในทางเคมีแล้ว เรื่องการรับและการให้ออกซิเจนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุลใหญ่ 2 หรือเกิน 2 โมเลกุล ยังเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก ปัญหานี้ยังเป็นปัญหาหนักอกของอุตสาหกรรมยาสมุนไพรอยู่เป็นอย่างมาก เพราะต้องเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญด้านยาซึ่งมักจะเชี่ยวชาญในเรื่ององค์ประกอบทางเคมีของโมเลกุลอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ โดยไม่พิจารณาไปถึงองค์รวมซึ่งมีอยู่ในสมุนไพรตามธรรมชาติ 

ธรรมชาติมีกลไกทางเคมีอันสลับซับซ้อนในการป้องกันตนเองอยู่แล้ว คุณสมบัติเช่นนี้มีอยู่ในสัตว์และพืชทุกชนิด กลไกนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสารเคมีจำนวนมากที่มีปฏิกิริยาต่อกัน สมุนไพรที่นำมาใช้ทำยาจะมีความซับซ้อนทางเคมีอยู่มาก แต่เดิมมาเคยใช้สมุนไพรแท้ ๆ เป็นยารักษาโรค ต่อมาแทนที่จะยอมรับกลไกทางเคมีของสมุนไพรโดยรวม เภสัชกรกลับพยายามค้นหา แยกแยะเป็นสารโมเลกุลเดี่ยวซึ่งแสดงสรรพคุณของสมุนไพรชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่ถูกใจเหล่านักเคมี นักทำยา นักอุตสาหกรรม และนักปรับแต่งเป็นอย่างมาก แต่มักไม่เป็นที่ถูกใจคนไข้ เนื่องจากยาสมุนไพรแท้ป้องกันพิษให้แก่คนไข้น้อยกว่าสารอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสกัดออกมาได้ ขณะเดียวกันก็ก่อพิษภัยให้แก่คนไข้เป็นอย่างมาก ยาสกัดดังกล่าว ถ้าใช้ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ ก็พอได้ แต่กำไรที่แท้จริงของบริษัทยาอยู่ที่คนไข้ใช้ยาเป็นระยะยาวนั่นเอง

จากตัวอย่างข้างต้นนับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เพราะสามารถเปรียบเทียบกันได้อย่างลงตัวกับอาหารธรรมชาติที่ทำเองกับอาหารขยะที่ทำขายให้คนอื่นกินแต่ตัวเองไม่กิน มีผู้คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าอาหารที่ผลิตด้วยกระบวนการทันสมัย ทำให้ผู้คนได้รับโภชนาการที่ดีในทัศนะของวิทยาศาสตร์-โภชนาการ แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่อาหารซึ่งผลิตขึ้นมาตามหลักโภชนาการที่ดีนั้น หาได้ทำให้ผู้คนมีสุขภาพดีไปกว่าอาหารธรรมชาติที่ประกอบเอง ซึ่งสารเหล่านั้นต่างก็มีคุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์ทางโภชนาการเฉพาะตัว บางทีลิ้นของผู้ที่กินอาหารธรรมชาติอาจจะบอกได้ว่า อาหารดังกล่าวเป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าอาหารที่ผลิตขึ้นตามกระบวนการก็เป็นได้

ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับกันว่าอาหารธรรมชาติมีสารเคมีธรรมชาติมากกว่าอาหารอุตสาหกรรม และถ้าเชื่อว่า สารจับออกซิเจน เป็นสารสำคัญต่อการดำรงชีวิต ซึ่งเราทราบแล้วว่า มีมากมายหลายกลุ่มซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าว อาจพอสรุปได้ว่าอาหารธรรมชาตินั้นมีความสำคัญมากกว่าอาหารอุตสาหกรรม

การมีสุขภาพที่ดี

หากจะถามว่า เราได้ละเลยหรือหลงลืม สารจับออกซิเจน ซึ่งเป็นประตูนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีไปเป็นเวลานานมาแล้วหรือไม่ คำตอบก็คงเป็นเพราะปัญหาสำคัญของนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่การพิสูจน์ว่าสารจับออกซิเจนอย่างไหนที่ให้ประโยชน์ต่อชีวิต ทำให้ยากต่อการพิสูจน์คุณประโยชน์ของวิตามินและแร่ธาตุเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลของการขาดสารจับออกซิเจนกว่าจะเห็นผลต้องใช้เวลานาน เพราะระบบการรับและให้ออกซิเจนในร่างกายมีการแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะ   

เราต้องกินผักและผลไม้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น แต่เรายังไม่ทราบว่าทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น เท่าที่ทราบคือสารเคมีต่าง ๆ นอกจากวิตามิน กรดไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกากใยอาหารที่มีอยู่ในผลไม้และผัก เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว สารเหล่านี้เกือบทุกชนิดจะมีศักยภาพที่จะทำหน้าที่เป็นสารจับออกซิเจนได้ ส่วนภายนอกร่างกายของเราสารบางอย่างเหล่านั้นอาจมีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนอย่างมาก แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าศักยภาพในการรับและให้ออกซิเจนของสารหนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่น ๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพีเอช ( ความเป็นกรด ด่าง ) และการมีอยู่ของอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจน ( สารเคมีที่สามารถทำลายเซลล์ หากไม่ถูกทำลายฤทธิ์ )

ระบบการรับและให้ออกซิเจนของร่างกาย เป็นระบบที่มีความไวพอ ๆ กับระบบการปรับพีเอชของร่างกาย เนื่องจากร่างกายมีแหล่งในการควบคุมระบบทั้งสอง จึงพอจะอนุมานได้ว่าการได้รับกรด ด่าง สารเติมออกซิเจน หรือสารจับออกซิเจน นอกเหนือไปจากที่มีอยู่ในอาหารตามปกติ จะไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างอะไรมากนัก แต่ประเด็นที่ว่าร่างกายสามารถควบคุมระบบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ก็จำเป็นต้องตกไป เมื่อเราเห็นความเสื่อมโทรมอันเกิดจากการเติมออกซิเจนซึ่งทำให้คนบางคนแก่ก่อนวัย ดังเช่นที่เกิดกับผู้สูบบุหรี่ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าบุหรี่เป็นสิ่งหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการ “ เติมออกซิเจน ” อย่างแรงที่สุดที่มนุษย์รับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ผิวหน้ามีสภาพเหมือนของใช้ที่ทำด้วยเหล็กเก่าคร่ำคร่าเป็นสนิมเกรอะกรัง แม้อายุจะยังไม่ถึง 40 โดยปกติแล้วมีบางส่วนของร่างกาย เช่น กระเพาะอาหารมีกรดเกลือซึ่งเป็นกรดอนินทรีย์ ลำไส้มีไบคาร์บอเนตซึ่งเป็นด่างค่อนข้างแรง กรดและด่างดังกล่าวเมื่ออยู่ในที่อันควรของมันก็ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย แต่สำหรับระดับเซลล์แล้ว แม้จะมีระบบการรับและให้ออกซิเจนควบคุมอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากได้รับสารรับหรือให้ออกซิเจนอย่างแรงแล้ว ระบบนี้ก็ไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ เช่น การกินกรดกำมะถันเข้มข้น ร่างกายย่อมไม่สามารถกำจัดได้ทันก่อนจะถึงแก่ความตาย

ออกซิเจนเป็นสารที่จำเป็นสำหรับชีวิต ขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมโทรม หากระบบการจับออกซิเจนทำงานไม่มีประสิทธิภาพพอ นอกจากนี้ยังมีเหตุอื่นอีกนอกจากการเจ็บไข้และความชราภาพแล้ว การออกกำลังกาย ก็มีผลต่อสมดุลของระบบการรับและให้ออกซิเจนอีกด้วย ทำให้ความต้องการ สารจับออกซิเจน จากอาหารเพิ่มขึ้น

ในขณะที่วิตามินเอ วิตามินซี และ วิตามินอี เป็น สารจับออกซิเจน ซึ่งอยู่ในอาหารซึ่งผ่านการวิจัยมากที่สุด แต่ก็ยังมีสารอื่นอีกมากที่ยังเป็นข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าจะเป็นสารจับออกซิเจนที่ดีได้หรือไม่ และคงจะทราบกันในอนาคต ความจริงที่ต้องยอมรับกันอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม คือไม่มีวันที่จะค้นพบสารจับออกซิเจนอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ เพราะสารเช่นนั้นจะไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้ สารจับออกซิเจนต้องประกอบด้วยสารที่นำมาประกอบเป็นอาหารในลักษณะที่สมดุล จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของสารรับและให้ออกซิเจนในร่างกายได้ สารจับออกซิเจนอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวอาจก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่าอาหารที่ดีที่สมดุล มีความสำคัญเป็นอันดับแรก การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้องมีความมุ่งหมายเพียงเป็นการเสริมและจะต้องทำให้ได้สมดุลเท่านั้น เราจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ชนิดใด ยี่ห้อใด เป็นอาหารแทนอาหารที่ได้จากวัตถุดิบจากธรรมชาติไม่ได้เป็นอันขาด

สารจับออกซิเจนไม่ใช่ยา จะต้องไม่สับสน แต่ยาบางขนานอาจเป็นสารจับออกซิเจนหรือเป็นสารเติมออกซิเจน ได้ด้วยตัวของมันเอง และยาเหล่านี้เมื่อแตกตัวแล้ว อาจมีผลกระทบต่อสมดุลของการรับและให้ออกซิเจนภายในร่างกาย ยาธรรมดาสามัญที่มีศักยภาพในการปล่อยอนุมูลอิสระ คือ ไนโตรฟูแรนโทอิน ( Nitrofurantoin ) ใช้สำหรับโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินปัสสาวะ และเฟนิลบิวทาโซน ( Phenylbutazone ) ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่คนเป็นโรคข้ออักเสบชอบใช้ แต่เป็นยาที่มีอันตรายมาก

ร่างกายมีระบบเอนไซม์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดสมดุลของสารรับและให้ออกซิเจน เป็นต้นว่า ถ้ามีสารเติมออกซิเจนที่เป็นอันตราย เช่น ซุปเปอร์ออกไซด์ หรือเพอร์ออกไซด์อยู่ ก็จะมีระบบเอนไซม์ซูเปอร์ออกไซด์และเพอร์ออกไซด์ ดิสมูเทสไว้กำจัดหรือทำให้เป็นกลาง อาหารที่ได้รับเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของระบบดังกล่าว ภาวะหลอดเลือดตีบตันหรืออุดตัน เกิดจากการพอกพูนของสารเปอร์ออกไซด์ของไขมัน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากระบบเอนไซม์จับออกซิเจนไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ สารอาหารที่อาจช่วยคงประสิทธิภาพของเอนไซม์เหล่านี้ได้คือ กรดอะมิโน วิตามินซี และ วิตามินอี และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ซีลีเนียม ทองแดง สังกะสี และแมงกานีส สารเหล่านี้มีอยู่ในอาหารธรรมชาติ แม้ที่เป็นอาหารพื้นๆ เช่น หัวหอม กระเทียม ก็ยังมีสารที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวน การจับออกซิเจน แต่ปัญหาหนักของนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงเหมือนเดิมคือ ปัญหาว่าจะสกัดแยกแยะ “ สารที่สำคัญแก่ชีวิต ” ออกมาจากหัวหอมหรือกระเทียมได้อย่างไร แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว การมีหัวหอมหัว กระเทียมเป็นส่วนประกอบของอาหาร ก็น่าจะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับหัวหอม หัวกระเทียมให้มากเรื่องนัก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

“Goddard-1926”. NASA. Archived from the original on November 8, 2007. Retrieved November 18, 2007.

Scripps Institute. “Atmospheric Oxygen Research”. Jack Barrett, 2002, “Atomic Structure and Periodicity, (Basic concepts in chemistry, Vol. 9 of Tutorial chemistry texts), Cambridge, U.K.:Royal Society of Chemistry, p. 153, ISBN 0854046577, see [1] accessed January 31, 2015.

ทำความเข้าใจกับชีวสารจับออกซิเจนกันเถอะ

0
ทำความเข้าใจกับชีวสารจับออกซิเจนกันเถอะ
ความเสียหายของเซลล์เกิดจากสารเคมีในร่างกายที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจนหรืออนุมูลอิสระ
ทำความเข้าใจกับชีวสารจับออกซิเจนกันเถอะ
ความเสียหายของเซลล์เกิดจากสารเคมีในร่างกายที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจนหรืออนุมูลอิสระ

สารจับออกซิเจน ( Oxygen )

สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรานั้น ไม่มีสารเคมีที่มีฤทธิ์แรงอย่างเช่น โซเดียม และยังไม่มีสารเคมีที่ไม่มีฤทธิ์ เช่น ทองคำ แต่ก็มีชีว สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ชนิดที่มีฤทธิ์อ่อน สารจับออกซิเจน (Oxygen) ภายในร่างกายของเราออกฤทธิ์ได้ดีในอุณหภูมิปกติของร่างกายและเมื่อภาวะค่าความเป็นกรด,ด่างหรือพีเอชอยู่ที่ 7 ( pH7 )

มีนักวิทยาศาสตร์บางคนได้ออกมาเปิดเผยว่า สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) บางอย่างที่ได้จากอาหารมีฤทธิ์ในการจับออกซิเจนแรงกว่าวิตามินอี คำกล่าวเช่นนี้หากฟังเพียงผิวเผินอาจจะดูเป็นเหมือนเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าหากเจาะลึกลงไปถึงภาวะที่แท้จริงในการออกฤทธิ์ของสารดังกล่าว จะเห็นว่าในบางภาวะ คำกล่าวเช่นนั้นเป็นความจริง เช่นในสภาวะที่เป็นกรดด่างที่เหมาะสม เป็นต้น โดยนัยเดียวกัน สารที่ได้จากอาหารซึ่งจัดได้ว่ามีคุณสมบัติที่ดีในการจับออกซิเจน ( Oxygen ) ก็ต้องออกฤทธิ์ได้ดีในภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกายที่เป็นปกติด้วย

ความเสียหายของเซลล์เกิดจากสารเคมีในร่างกายที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจน ( Oxygen ) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า อนุมูลอิสระ ร่างกายจำเป็นต้องกำจัดหรือสลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ออกไปให้ได้

ไม่ว่าจะได้รับสารที่ได้จากอาหารหรือจากระบบการสร้างสารชนิดนี้ขึ้นมาเองภายในร่างกายก็ตาม เมื่อร่างกายย่อยอาหารแล้วสารอาหารต่างๆ จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดและไหลเวียนไปตามกระแสเลือด สารอาหารดังกล่าวอาจเป็นสารอาหารสำเร็จรูปที่สามารถดูดจับอนุมูลอิสระได้ทันที หรือเป็นสารอาหารที่ร่างกายนำไปใช้ในการสร้างเป็น สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ก็ได้

หากในอาหารมีไม่เพียงพอและร่างกายได้รับแต่อาหารเช่นนี้เป็นประจำ ร่างกายก็จะไม่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ใน การเติมออกซิเจน ( Oxygen ) เหล่านี้ลงไปได้ ทำให้เกิดความเสียหายแก่เนื้อเยื่อต่างๆ เนื่องจากการกระทำของอนุมูลอิสระดังกล่าวทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ภาวะเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายได้รับอาหารที่มีสารจับออกซิเจนอย่างดีและเพียงพอ แต่การดูดซึมสารอาหารของร่างกายอาจไม่ดีนัก

อนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในการเติมออกซิเจนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ 
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
โรคปอด
โรคชรา
ความเสื่อมทางพันธุกรรม
โรคที่ทำให้เกิดความเสื่อมโดยทั่วไป
ภูมิต้านทานลดต่ำ
หลอดเลือดแดงตีบตันหรืออุดตัน
โรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบชนิดต่างๆ เช่น ข้ออักเสบ

นอกจากนี้ยังมีบทความอีกชิ้นหนึ่งในวารสารแลนเซต กล่าวว่า อนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ใน การเติมออกซิเจน ( Oxygen ) ยังมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดโรคได้เป็นร้อยโรค อันที่จริง โดยทฤษฎีแล้วยังไม่สามารถระบุได้จนถึงที่สุด เพราะหากว่าร่างกายไม่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระนี้ได้ การที่จะดำรงชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ ที่ปัญหาสุขภาพเกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระแล้วละก็ สารอาหารจับออกซิเจนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ก็จะมีบทบาทอย่างมหาศาลต่อการมีสุขภาพที่ดีด้วย

นอกจากวิตามินเอ วิตามินซีและ วิตามินอี ซึ่งถือว่าเป็นสารอาหารจับออกซิเจนหลักที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีรายชื่อสารอาหารที่อาจมีคุณสมบัติใน การจับออกซิเจน ( Oxygen ) ปรากฏออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่ยังมีวิวัฒนาการทางด้านการศึกษาเรื่องโภชนาการและส่วนประกอบของอาหารอยู่ แต่ด้วยเหตุผลนานาประการ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนยังคงมีความลังเลสงสัยในเรื่องสารจับออกซิเจนใหม่ ๆ เหล่านี้อยู่ ปัญหาหลักก็คือ จำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดว่า สารดังกล่าวสารใดสารหนึ่งนั้นจะต้องมีฤทธิ์ในการจับออกซิเจนเมื่ออยู่ในกระแสเลือด

อาจกล่าวได้ว่า ในทุก ๆ เดือน ผู้ผลิตวิตามินโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกามักจะพบสารใหม่ ๆ ที่น่าจะมีคุณสมบัติเป็น สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) โดยส่วนใหญ่แล้วมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังไม่เกินไปกว่าสมมติฐานนั้นเท่านั้น ดังนั้น การได้รับอาหารอย่างสมดุลแต่เพียงประการเดียว ร่างกายก็จะได้รับทุกสิ่งเท่าที่ต้องการแล้วโดยไม่ต้องไปขวนขวายหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชื่อแปลกๆ ราคาแพง ๆ เหล่านั้นมากินให้เป็นการเสียเวลาและเสียเงินทองเลย การรับประทานอาหารที่หลากหลายคือ การได้รับสารอาหารกับออกซิเจนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารด้วยผลิตภัณฑ์ราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด

เมื่อพูดถึงร่างกายแล้ว ร่างกายมีความสามารถในการคงคุณภูมิไว้ที่ 37.5 องศาเซลเซียสและภาวะความเป็นกรดด่างที่ 6.8-7.2 นอกจากนี้ยังสามารถคงสมดุลของการให้และรับ ออกซิเจน ( Oxygen ) ไว้ได้อีกด้วย และเพื่อให้กระบวนการเหล่านี้ดำเนินไปได้ด้วยดี โภชนสารที่ได้รับต้องดีและเหมาะสมด้วย การได้รับสารอาหารจากออกซิเจนอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้าได้รับน้อยเกินไปโดยเฉพาะจากอาหารไร้โภชนาการ ก็จะเกิดปัญหาแก่สุขภาพในระยะยาวได้

ในกรณีนี้ ถ้าเราไม่สามารถเพิ่มคุณภาพของอาหารให้ตัวเองได้ การพึ่งพาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อาจทำได้ แต่ก็ต้องทำในขอบเขตและระยะเวลาเท่าที่สามารถแก้ปัญหาได้เท่านั้น หากปัญหาเกิดจากสมรรถภาพในการดูดซึมสารอาหารของร่างกายไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ จึงมีความจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดที่มีส่วนประกอบของ สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ซึ่งมีอัตราของความเข้มข้นสูง ผู้สูงอายุที่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่วนมากมักกล่าวโทษว่าการดูดซึมสารอาหารของร่างกายตนให้เป็นจำเลยร่วมอยู่ด้วยเสมอ

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงบทบาทของ สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ในร่างกายให้ถ่องแท้ และความเข้าใจถึงสมดุลทางชีววิทยาเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุด อีกประการหนึ่งต้องเข้าใจว่าสำหรับผู้คนโดยทั่วไปแล้ว การป้องกันอย่างง่าย ๆ ด้วยอาหาร ก็เป็นการเพียงพอต่อการที่จะคงไว้ซึ่งสมดุลดังกล่าว

ด้วยได้มีการเผยแพร่ความคิดใหม่นี้ออกไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งความคิดนั้นก็คือ ภาวะสมดุลของสารรับและให้ออกซิเจน ( Oxygen ) ซึ่งมนุษย์คงไว้ได้มาหลายชั่วอายุคน และกำลังถูกบีบคั้นด้วยภาวะแวดล้อมสมัยใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีแหล่งปล่อยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวเติมออกซิเจนเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนมากมาย เป็นต้นว่า มลพิษที่เกิดจากสารปรุงแต่งอาหาร สารพิษทางการเกษตรและในบ้านเรือน ควันจากการเผาไหม้ ควันจากท่อไอเสียรถ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ เครื่องบิน และจากแหล่งอื่นๆ นอกจากนี้ควันจากโรงงานที่ปล่อยขึ้นสู่อากาศ น้ำเสียที่ปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้มักสร้างปัญหาให้แก่ร่างกายและจิตใจโดยทั่วไปอย่างสม่ํำเสมอ ทำให้ผู้ผลิตวิตามินมีช่องทางที่จะประกาศว่า ลำพังแต่อาหารเพียงอย่างเดียวไม่เป็นการเพียงพอเสียแล้วที่คนเราจะได้รับสารจับออกซิเจนอย่างเพียงพอ จำเป็นต้องได้รับวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี และผลิตภัณฑ์สารอาหารกับ ออกซิเจน ( Oxygen ) ชนิดเข้มข้นเสริมแก่ทุกคน

ข้อโต้เถียงนี้จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างถ่องแท้และจริงจัง แต่ก็ยังมีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนอยู่น้อยมาก ซึ่งกล่าวถึงส่วนประกอบอันหลากหลายที่มีอยู่ในผลไม้และผักนานาชนิด แต่จะไม่เป็นการดีเลยถ้าจะแนะนำให้ผู้คนซึ่งต้องการมีภาวะโภชนาการที่อุดมด้วย สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) ที่มีอยู่ในอาหาร โดยเพียงแต่ให้บริโภคผลไม้และผักมากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่เจาะจงถึงความหลากหลาย คำแนะนำดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอ มีข้อสงสัยเพียงเล็กน้อยว่าคนส่วนมากจะสามารถได้รับ สารจับออกซิเจน ( Oxygen ) จากอาหารเพียงพอหรือไม่เท่านั้น ข้อสงสัยนี้แก้ได้ด้วยการคัดสรรอาหารตามแต่ละหมวดหมู่โดยเน้นความสดของอาหารเป็นสำคัญ เพราะกระบวนการในการประกอบอาหารไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ย่อมมีส่วนในการทำลายประสิทธิภาพหรือปริมาณของสารจับออกซิเจนที่มีอยู่ในอาหารได้ทั้งสิ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.

Jastrow, Joseph (1936). Story of Human Error. Ayer Publishing. p. 171. ISBN 0-8369-0568-7.