Home Blog Page 142

การฉายรังสีรักษามะเร็งมีผลข้างเคียงต่อการมองเห็นอย่างไร

0
การฉายรังสีรักษามะเร็งมีผลกระทบอะไรต่อการมองเห็น
ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาและการมองเห็นจากการเกิดเส้นประสาทตาเสื่อมหลังจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง
การฉายรังสีรักษามะเร็งมีผลกระทบอะไรต่อการมองเห็น
ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาและการมองเห็นจากการเกิดเส้นประสาทตาเสื่อมหลังจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง

มะเร็งรักษาด้วยการฉายรังสีกระทบต่อการมองเห็น

การฉายรังสีเพื่อทำการรักษา โรคมะเร็ง ที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง ในการรักษาอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาและ การมองเห็น เนื่องจากการเกิดเส้นประสาทตาเสื่อมภายหลังการฉายรังสีรักษามะเร็ง ( radiation-induced optic neuropathy / RION ) ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นผลที่มีความรุนแรงค่อยข้างสูงและสามารถเกิดขึ้นได้อย่าง รวดเร็ว ถึงแม้ว่าผลกระทบที่เกิดนี้จะพบได้น้อยมากก็ตาม ดังนั้นก่อนที่จะทำการรักษาแพทย์ต้องทำการกำหนดค่าขอบเขต ( Constraint ) ของส่วน Optic Apparatus เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการข้างเคียงข้างต้น ความผิดปกติของสายตาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีแล้วประมาณ 2.5 ปีเป็นต้นไป ซึ่งการประเมินการมองเห็นของผู้ป่วยสามารถทำได้ 2 วิธี คือ

1. การประเมินโดยใช้ค่า Visual Acutiy ( VA ) คือค่าระยะที่ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ โดยคนทั่วไปจะสามารถมองเห็นได้ที่ระยะ 100 ฟุต ซึ่งในการรายงานจะรายงานเป็นค่าที่สามารถมองเห็นได้ของผู้ป่วย/ค่าที่คนทั่วไปมองเห็น เช่น 20/100 หมายความว่าผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ที่ระยะ 20 ฟุต เป็นต้น

2. การตรวจลานสายตา คือ การตรวจปริมาณหรือระยะที่ผู้ป่วยมะเร็งเห็นได้จริง เทียบกับปริมาณหรือระยะที่ผู้ป่วยมะเร็งควรจะต้องมองเห็นได้
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับดวงตาที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทตาจะทำให้เกิดสูญเสีย การมองเห็น ของตาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ( Monocular ) แต่ถ้าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นอยู่ใกล้เคียงกับส่วนของ Optic Chiasm จะส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นของตาทั้งสองข้าง เพราะว่าการเกิดการบาดเจ็บที่บริเวณนี้ที่ตาข้างใดข้างหนึ่งแล้วจะส่งผลกระทบไปสู่ตาอีกข้างหนึ่งได้ด้วยการฉายรังสีรักษามะเร็งแบบ Pitutitary Adenoma จะส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บที่ส่วนของ Inferior Central Optic chiasm ซึ่งเมื่ออาการบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นผู้ป่วยจะมีการมองเห็นแบบลานตา ( VF ) ซึ่งลักษณะความผิดปกติจะเป็นแบบ Bilateral Upper Outer Quadrant แต่ทว่าถ้าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดกับส่วนของ Proximal Optic Tract จะทำให้ข้างที่เป็น Optic Tract สูญเสีย การมองเห็น ไป แต่ก็จะเกิดขึ้นกับข้างที่เป็น Optic Tract เท่านั้น ส่วนตาอีกข้างจะไม่เกิดผลกระทบนี้

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาหลังการรักษามะเร็งไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Retina หรือ Optic nerve หรือ Optic หรือ Occipital Lobes ต่างก็สร้างผลกระทบต่อการมองเห็นของดวงตาทั้งสิ้น และการแบ่งระยะของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการได้รับรังสีเข้าสู่บริเวณ Optic Nerve หรือ Chiasm ก็ไม่สามารถแบ่งออกได้อย่างชัดเจน เพราะว่าปัญหา การมองเห็น ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนี้อาจจะเกิดเนื่องจากสาเหตุอื่นร่วมด้วยได้ เช่น การเป็นต้อกระจก ภาวะตาแห้ง เป็นต้น แต่เราก็

สามารถระบุผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้

1. ตำแหน่งที่มีรอยโรค ( Lesion ) เกิดขึ้นอยู่ที่บริเวณของ Chiasm โดยตรง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Bilateral Temporal VF

2. ตำแหน่งที่มีรอยโรค ( Lesion ) เกิดขึ้นอยู่ที่บริเวณส่วนหลังของ Chiasm จะส่งผลกระทบต่อลานสายตา (VF) ทั้งสองข้างของผู้ป่วย

3. ตำแหน่งที่มีรอยโรค ( Lesion ) เกิดขึ้นอยู่ที่ส่วนด้านหน้าของ Chiasm จะส่งผลกระทบทำให้ลานสายตาของผู้ป่วยในข้างที่มีอาการเกิดขึ้น

มะเร็งกับคำนิยาม Volume ของส่วน Optic Apparatus

ตั้งแต่ส่วนหลังของเส้นประสาทตา ( Optic nerve ) ของตรงกลางของ Globe ผ่านมายังส่วนของตรงกลางของ Orbit โดยที่กล้ามเนื้อตาจะพุ่งผ่านขึ้นมา Opticcanals ที่อยู่ในตำแหน่ง Medial ที่มีต่อ Anterior Clinoid Process ของส่วนกระดูกปีกเล็กของกระดูกสฟีนอยด์ ( Lesser Wings ) ในส่วนของ Sphenoid และยังสามารถแบ่งเป็นเส้นประสาททั้งส่วนซ้ายและขวา และตรงกับตำแหน่งของส่วนไขว้เส้นประสาท (Optic Chiasm ) และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ medial Fibers จะทำการข้ามไปยังส่วนของเส้ในประสาทตา ( Optic Tract ) ของตาที่อยู่ในด้านตรงข้าม ซึ่งในตอนที่ Lateral fibers จะคงมีอยู่ที่ Tract ที่อยู่ในส่วนของข้างเดียวกันกับ Optic Chiasm ที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับตัวอักษร X ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ในตำแน่งเหนือต่อจาก Sella Turcica และส่วนของเส้นประสาทตาจะพาดผ่านไปส่วนหน้าต่อ Pituitary Stalk ที่อยู่ด้านข้างและมีการล้อมรอบโดย Internal Carotid Arteries ซึ่งจากการทำ Ct หรือ MRI ทให้เห็นว่า Optic Tract อยู่ทางด้านหลังของ Optic Chiasm ก่อนที่ Fibers ที่อยู่อย่างกระจัดกระจายจะมีลักษณะกลืนไปกับส่วนของเนื้อสมอง ซึ่งส่วนของตัว optic Nerve นั้นจะมี ความหนาอยู่ประมาณ 2-5 มิลลิเมตรเท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่บางมาก ดังนั้นในการทำ MRI เพื่อที่จะได้เห็นอย่างชัดเจนใน T1 และ T2 แล้ว ควรตัดให้มีระยะน้อยกว่า 3 มิลลิเมตรจะเป็นระยะที่ดีที่สุด เพราะจะสามารถเห็นได้ตลอดทั้งแนวของส่วน Optic Apparatus ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องทำการ Contour อย่างต่อเนื่องเพราะว่าถ้าหากมีการพลาดช่วงใดช่วงหนึ่งไปแล้วจะทำให้การประมวลผล Dose

Volume Histogram มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อการรักษาผู้ป่วย
Dose-Volume Data

พบว่าจากการศึกษาเกี่ยวกับการเกิดสภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เกิดขึ้นกับผู้ป่วยทีทำการรักษาด้วยการฉายรังสีทั้งที่ทำการฉายแบบ Single fraction และแบบ Multiple fraction ซึ่ง

ผู้ป่วยมะเร็งจะมีปัญหาทางด้านสายตาและการมองเห็น หรืออาจทำให้สูญเสียการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เนื่องจากเส้นประสาทตาเกิดการเสื่อมหลังจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งที่บริเวณส่วนศีรษะ ลำคอและสมอง

1. Single Fraction Therapy

จากการรายงานการศึกษาของ Tishler พร้อมกับคณะของเขา พบว่าการทำ Radiosurgery จะส่งผลให้เกิด Optic Nerve Injury ขึ้น และยังพบว่าค่าปริมาณรังสีที่ Optic nerve จะสามารถทนได้มีค่าปริมาณรังสีที่ประมาณ 8 Gy และปริมาณรังสีที่น้อยที่สุดคือ 9.7 Gy จึงจะส่งผลให้เกิด OPTIC Neuropathy
ต่อมา Stafford กับคณะได้ทำการรายงานผลการศึกษาจากการศึกษาสภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy (RION) พบว่าในผู้ป่วยจำนวนทั้งหมด 215 คน มีผู้ป่วยที่เกิดสภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy (RION) จำนวน 4 คน การฉายรังสีศัยกรรม (Radiosurgery) เข้าสู่ผู้ป่วยโดยมีปริมาณรังสีเฉลี่ยที่เข้าสู่ optic chiasm ได้รับเท่ากับ 10 Gy จะพบว่า โอกาสการเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ที่ Dmax ต่าง ๆ สามารถสรุปได้ดังนี้

  • Dmax น้อยกว่า 8 Gy โอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีค่าประมาณร้อยละ 1.7
  • Dmax อยู่ระหว่าง 8-10 Gy โอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีค่าประมาณร้อยละ 1.8
  • Dmax อยู่ระหว่าง 10-12 Gy นั้นจะไม่มีโอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION )
  • Dmax มากกว่า 12 Gy โอกาสการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีค่าประมาณร้อยละ 6.9

2. Multiple Fractions Therapy

ได้มีการศึกษาถึงปริมาณรังสีที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถตาบอดได้ โดย Emami กับคณะได้ทำการรายงานว่าผู้ป่วยที่มีโอกาสตาบอดคือผู้ป่วยที่ได้รับปริมาณรังสีที่ 50 Gy จะมีโอกาสตาบอดได้ประมาณร้อยละ 5 แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับรังสีที่ปริมาณมากกว่า 60-65 Gy จะมีโอกาสตาบอดได้มากถึงร้อยละ 50 ทีเดียว และเมื่อมีการศึกษาต่อมาพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับปริมาณรังสีที่มี Dmax ต่ำกว่า 59 Gy หรือได้รับรังสีที่เข้าที่ส่วนของ Chiasm ประมาณ 53.7 Gy หรือได้รับรังสีที่ Optic nerve ปริมาณ 56.8 Gy ผู้ป่วยที่ได้รับรังสีดังที่กล่าวมาจะไม่มีการเกิดภาวะ เกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เลย แต่ถ้ามีการได้รับรังสีเข้าสู่ส่วนของ Optic Nerve ที่ Dmax ที่มีปริมาณรังสีมากกว่า 64 Gy และปริมาณรังสีโดยรวมสูงกว่า 60 Gy แล้วร้อยละ 25 ของผู้ป่วยจะมีผลกระทบข้างเคียงที่ตาเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง ซึ่งผลกระทบข้างเคียงที่เกิดขึ้นนี้จะมีค่าลดลงเมื่อผ่านไปนานกว่า 10 ปี

ต่อมา Hoppe ได้ทำการกำหนดค่า Dmax ของ Optic Nerve ให้มีค่าไม่เกิน 50 Gy แต่ว่า Martel ได้ทำการกำหนดค่า Contraint ว่าควรมีค่าไม่เกิน 60 Gy และต่อมา Daly ได้ทำการกำหนดค่าทั้งสอง คือ ปริมาณรังสีที่ Optic Nerve ควรมีค่าไม่เกิน 54 Gy และปริมาณรังสีที่ Optic Chiasm ไม่ควรมีค่าเกิน 45Gy ซึ่งในผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ( Pitutiary Tumor ) พบว่าเส้นประสาทตาจะสามารถทนต่อปริมาณรังสีได้ลดลง และระยะที่จะทำให้เกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ก็มีระยะเวลาที่ลดลงด้วยเช่นกัน เพราะผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีที่ประมาณ 46 Gy จะส่งผลให้เกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ในระยะเวลาเพียงแค่ 10-11 เดือนหลังจากที่ได้รับการฉายรังสี

นอกจากปริมาณรังสีที่ได้รับทั้งหมดแล้ว ยังพบอีกว่าการเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ยังขึ้นอยู่กับ Fraction Size อีกด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับรังสีที่ปริมาณ 60-70 Gy และมีการให้ Dose/fraction อยู่ที่ ≥ 1.9 Gy จะมีความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) สูงถึงร้อยละ 50 แต่ถ้ามีการให้ Dose/fraction อยู่ที่ < 1.9 Gy Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) จะน้อยลงเหลือเพียงแค่ร้อยละ 11 เท่านั้น นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีแบบ Hyperfraction ที่ได้รับการให้ครั้งละ 1.2Gy / Fraction ทั้งเช้าและเย็นนั้นไม่พบการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เลยแม้แต่น้อย จึงพบว่าการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มีจำนวนที่ลดลงเมื่อลดการฉายรังสีให้เหลือเพียงวันละ 2 ครั้ง

ปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความเสี่ยงกับการเกิด Radiation Induced Optic Neuropathy ( RION )

ปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) นอกจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ได้รับแล้วก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก คือ

1. อายุ ผู้ป่วยที่มีอายุสูงจะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) สูงกว่าผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า จากการศึกษาของ Persons กับคณะจากผู้ป่วย 3 กลุ่ม คือ

  • ผู้ป่วยกลุ่มที่ 1 ที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี ที่ได้รับรังสีมากกว่า 60 Gy มีบริเวณ Optic Nerve ร้อยละ 58 กับการได้รับรังสีที่บริเวณ Optic nerve มากกว่า 70 Gy จะการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ประมาณร้อยละ 4
  • ผู้ป่วยกลุ่มที่ 2 ที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี พบว่าเมื่อได้รับรังสีมากกว่า 60 Gy ประมาณร้อยละ 26 กับผู้ป่วยที่ได้รับรังสีที่ปริมาณมากกว่า 70 Gy ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13
  • ผู้ป่วยกลุ่มที่ 3 ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป พบว่าเมื่อได้รับรังสีมากกว่า 60 Gy ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14

ความเสี่ยงที่จะเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13
นั้นแสดงว่าผู้ป่วยที่มีอายุมากเมื่อทำการรักษาด้วยการฉายรังสีแล้วจะมีความเสี่ยงในการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) มากกว่าผู้ป่วยที่มีอายุน้อยนั่นเอง

2. โรคประจำตัว ถ้าผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอยู่ก่อนที่จะทำการรักษาด้วยการฉายรังสีแล้ว โอกาสที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะแทรกซ้อน Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ขึ้นก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

Dose Volume limits ที่มีการแนะนำสำหรับผู้ป่วย

อาการตาบอดเป็นผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยจะได้รับหลังจากที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสี แต่ถ้าปริมาณรังสีที่ได้รับมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 50 Gyหรือที่ Dmax มีค่าต่ำกว่า 55 Gy แล้วโอกาสที่จะเกิดอาการข้างเคียงจนทำให้ตาบอดเกิดขึ้นได้น้อยมากหรือแทบไม่เกิดขึ้นเลย แต่ในทางกลับกันซึ่งปริมาณรังสีที่สามารถสร้างผลกระทบต้องมีปริมาณมากกว่า 55 Gy ขึ้นไปและถ้าทำการให้ fraction size ที่ต่ำกว่า 2 Gy ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 3-7 เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าผู้ป่วยมีการได้รับรังสีที่ปริมาณมากกว่า 60 Gy ความเสี่ยงในการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) จะเพิ่มขึ้นอีกร้อนละ 8-20 เลยทีเดียว

แต่ในการรักษาเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองนั้นมีการแนะนำให้ทำการตั้งค่า Constranit โดนที่ Dmax ควรมีค่าไม่เกิน 46 Gy เท่านั้น และต้องใช้ 1.8 Gy / Fraction จึงจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วย และการใช้เทคนิค Stereotactic Radiosurgery ในการฉายรังสีเพียงแค่ครั้งเดียวจะทำให้ค่า Dmax ต่ำกว่า 8 Gy ซึ่งจะส่งผลให้การเกิดภาวะ Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) เกิดขึ้นได้น้อยลงไปอีก แต่ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ถ้ามีการเพิ่มปริมาณรังสีในการรักษา ซึ่งสามารถทำการสรุปได้ดังตาราง

อวัยวะ ปริมาตร เทคนิคการฉายรังสี EndPoint Dose (Gy), or dose/volume parameters Rate (%) หมายเหตุ
Optic nerve/ chiasm   Whole organ

Whole organ  Whole organ

3D-CRT

3D-CRT  3D-CRT

Optic neuropathy

Optic neuropathy  Optic neuropathy

Dmax < 55

Dmax < 55-60  Dmax > 60

< 3 3-7 >7-20

–      –

Whole organ SRS
(single fraction)
Optic neuropathy Dmax < 12 < 10

การรักษาด้วยรังสีย่อมมีผลกระทบเกิดขึ้นได้ แต่ว่าการกำหนดค่าปริมาณรังสี วิธีการฉายรังสีและการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยก่อนที่จะทำการฉายรังสี จะสามารถช่วยให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้น้อยลง โดยเฉพาะการเกิด Radiation induced Optic Neuropathy ( RION ) ที่สามารถทำให้ผู้ป่วยตาบอดได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง 

อิ่มใจ ชิตาพนารักษ์. ผลกระทบจากการรักษาโรคมะเร็ง. เชียงใหม่: ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2557.

Lessell S. Friendly fire:Neurogenic visual loss from radiation therapy. J Neuroophthalmol. 24:243-250, 2004.

Jiang GL, Tucker SL, Guttenbenberger R, et al. Radiation-induced injury to the visual pathway. Radiother Oncol. 30:17-25, 1994.

Klin LB, Kim JY, Ceballos R. Radiation opticneuropathy. Ophthalmol.92:1118-1126, 1985.

การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว White Blood Cell ( WBC )

0
เซลล์เม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดขาวเป็นเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งคอยป้องกันร่างกายจากเชื้อก่อโรคและสารแปลกปลอมต่างๆ
การตรวจเม็ดเลือดขาววัดค่าอะไรได้บ้าง
เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งคอยป้องกันร่างกายจากเชื้อก่อโรคและสารแปลกปลอมต่างๆ

เซลล์เม็ดเลือดขาว

เซลล์เม็ดเลือดขาว White Blood Cell ( WBC ) ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค เพื่อป้องกันร่างกายให้ปลอดภัยจากจุลชีพก่อโรค ซึ่งได้แก่ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา รวมถึงเซลล์ดีของร่างกายที่กลายพันธุ์เป็นเซลล์ร้ายอย่างเช่นมะเร็ง แต่เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่ปกป้องโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเก๊าต์ โรคถุงลมโป่งพอง ฯลฯ และโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของสภาพร่างกาย

วัตถุประสงค์ในการตรวจเซลล์เม็ดเลือดขาว

เป็นการตรวจนับเซลล์เม็ดเลือดขาวว่ามีจำนวนระดับปกติหรือไม่ เพื่อแสดงสภาวะของสุขภาพว่าร่างกายกำลังเกิดโรคใดโรคหนึ่งหรือไม่

วิธีการตรวจ

การตรวจเซลล์เม็ดเลือดขาว จะต้องเจาะเลือดผู้ต้องการตรวจเลือด โดยจะใส่สารกันเลือดแข็งไว้ในหลอดบรรจุเลือดเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือด จากนั้นส่งห้องปฏิบัติการทางการแพทย์โดยใช้เครื่องอัตโนมัติในการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ทันที เครื่องตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์แบบอัตโนมัติจะแสดงผลการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ โดยเครื่องอัตโนมัติเลือดนี้จะมีวิธีการเขย่าให้เลือดถูกผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน เครื่องอัตโนมัติประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่จะสามารถวิเคราะห์องค์ประกอในเลือดได้อย่างแม่นยำ

เครื่องอัตโนมัติสามารถตรวจนับจำนวนเซลล์และวิเคราะห์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์วินิจฉัยโรคของแพทย์ อาทิ วินิจฉัยผู้ป่วยว่าเป็นโรคโลหิตจาง เป็นต้น

วิธีการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์โดยเฉพาะนั้น สามารถทำได้ดีกว่าเครื่องตรวจอัตโนมัติ แต่ผลการนับอาจไม่แม่นยำเท่า

ค่าปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาว

ค่าปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวควรจะมีจำนวนเท่าไหร่นั้น มีสูตรคำนวณได้ ดังนี้คือ
จำนวนนับค่าปกติเซลล์เม็ดเลือดขาว = 5,000-11,000 เซลล์ / ลูกบาศก์มิลลิลิตร ของน้ำเลือด
หรือ ( 5 – 11 x 109 / L ) นั่นเอง

ค่าผิดปกติของเม็ดเลือดขาว

1. จากผลการตรวจเลือด หาผลตรวจค่าเม็ดเลือดขาวออกมาในทางน้อย อาจแสดงผลว่า
1.1 ร่างกายกำลังติดเชื้อก่อโรคร้ายแรงบางชนิดเช่น เชื้อโรคชนิดไวรัส
1.2 ร่างกายอัมีภาวะภูมิต้านทานโรคที่กำลังต่ำลง
1.3 ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินบีต่างๆ
1.4 ไขกระดูกมีความผิดปกติหรือมีโรคสำคัญ
1.5 ได้รับยารักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อการทำลายเม็ดเลือดขาว
2. และหากผลการตรวจเลือด หาผลตรวจค่าเม็ดเลือดขาวออกมาในทางมาก อาจแสดงผลว่า
2.1 ร่างกายอาจกำลังเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บจากการถูกจุลชีพก่อโรค
2.2 เกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งซึ่งแอบแฝงซ่อนตัว ซึ่งไม่สามารถใช้เครื่องมือแพทย์ชนิดใดตรวจได้ในขณะนั้น
2.3 ร่างกายเกิดการติดเชื้อจากจุลินทรีย์ที่ร้ายแรงบางชนิดจึงกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาต่อสู้
2.4 อาจเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ( leukemia )
2.5 ต่อมไทรอยด์อาจทำงานหนักผิดปกติ

เม็ดเลือดขาวมีกี่ชนิด

เซลล์เม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด เกิดมาจากไขกระดูกซึ่งสามารถแยกย่อยได้ 5 ชนิด ดังนี้

1.เซลล์ชนิดนิวโตรฟิล ( Neutrophil ) หรือ PMN
เป็นเซลล์ชนิดหนึงในเม็ดเลือดขาว เกิดมาจากไขกระดูก มีหน้าที่สำคัญในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราและจุลชีพอื่นๆที่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย เป็นเหมือนด่านแรกของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันร่างกายเมื่อได้รับเชื้อโรค

วัตถุประสงค์ในการตรวจ นิวโตรฟิล
ตรวจเพื่อให้ทราบจำนวนหรือปริมาณเซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีจำนวนเป็นเปอร์เซ็นมากที่สุด
ค่าปกติของนิวโตรฟิล ( Neutrophil ) หรือ PMN
จำนวนนับนิวโตรฟิล ( Neutrophil ) ค่าปกติ = 2,500-8,000 เซลล์ / ลูกบาศก์มิลลิลิตร

ค่าผิดปกติของนิวโตรฟิล จากการตรวจเลือด
1. ในทางน้อย อาจแสดงว่า
1.1 ร่างกายกำลังขาดแคลนสารอาหารที่สำคัญบางตัว เช่น วิตามินบี 12 หรือกรดโฟลิก
1.2 ร่างกายอาจเกิดบาดแผลขนาดใหญ่ หรืออาจได้รับการฉายรังสี หรือรับยาคีโม
1.3 ร่างกายตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคสำคัญ เช่น ไทฟอยด์ ไวรัสตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด โรคคางทูม เป็นต้น
2. ในทางมาก อาจแสดงว่า
2.1 ร่างกายกำลังตกอยู่ในสภาวะความเครียด
2.2 ร่างกายได้รับการติดเชื้อจากโรคสำคัญ
2.3 ร่างกายเกิดการอักเสบจากโรคทั่วไปเช่น โรคกล้ามเนื้ออักเสบ โรคปวดข้อ

2.เซลล์ชนิดลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte ) หรือ Lymph
ลิมโฟไซต์เป็นเซลล์ชนิดหนึงในเม็ดเลือดขาวที่เกิดมาจากไขกระดูก ลิมโฟไซต์ตามปกติจะมีอยู่สองขนาด คือ
1. ลิมโฟไซต์แบบใหญ่ แบบนี้จะมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 15 ไมครอนหรือ 15 ไมโครเมตรซึ่งส่วนนี้มักจะไม่อยู่ภายในส่วนของกระแสเลือดแต่จะไปอยู่ตามบริเวณของเนื้อเยื่อ ตามหลอดน้ำเหลือง
2.ลิมโฟไซต์แบบเล็ก แบบนี้จะมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 6 จนถึง 8 ไมครอนหรือ 6 จนถึง 8 ไมโครเมตรซึ่งนั่นก็มักที่จะเป็นแบบ T-CELLS ภายในส่วนของกระแสเลือด ซึ่งแบ่งเป็นหน่วยย่อย 3 ชนิด ได้แก่
2.1 B-cells ( เซลล์ผู้ช่วย ) มีจำนวน 15 % ของลิมโฟไซต์ มีหน้าที่ตรวจสอบจุลชีพก่อโรคทั้งหลาย และสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายโดยตรง มีค่าปกติอยู่ที่ 100 – 450 cells / µL
2.2 T-cells  มีจำนวน 80 % ของลิมโฟไซต์ มีหน้าที่ในการฆ่าหรือทำลายจุลชีพก่อโรคทุกชนิด มีค่าปกติอยู่ที่ 800 – 2,500 cells / µL
2.3 Natural Killer Cells มีจำนวนเพียง 5 % ของลิมโฟไซต์ ทำหน้าที่ฆ่าหรือทำลายโดยไม่เลือกทั้งจุลชีพก่อโรคและเซลล์ของร่างกายที่กลายพันธุ์ไปเป็นมะเร็ง รวมถึงเซลล์ดีอื่นๆของร่างกายที่มีไวรัสแอบแฝง จะมีค่าปกติอยู่ที่ 75 – 500 cells / µL

ค่าปกติของลิมโฟไซต์
จำนวนนับ ลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte ) ค่าปกติ = 1,000 – 4,000 เซลล์ / ลูกบาศก์มิลลิลิตร

ค่าผิดปกติของลิมโฟไซต์ จากผลการตรวจเลือด
1. ในทางน้อย อาจแสดงว่า
1.1 ร่างกายอาจได้รับเชื้อ HIV / AIDS โดยไม่รู้ตัว
1.2 ร่างกายกำลังตกอยู่ในสภาวะความเครียด
1.3 อาจได้รับยารักษาด้วยคีโมหรือเคมีบำบัดชนิดที่ไปกดไขกระดูก
1.4 ร่างกายอาจเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
1.5 อาจได้รับการรักษาด้วยวิธีรังสีบำบัดหรือฉายรังสีเอกซเรย์หรือ TC scan บ่อยเกินไป
2. ในทางมาก อาจแสดงว่า
2.1 ร่างกายเกิดภาวะตับอักเสบจากไวรัส
2.2 ร่างกายได้รับเชื้อโรคชนิดร้ายแรง เช่น ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค คางทูม
2.3 อยู่ในสภาวะหลังรับการถ่ายเลือด

เซลล์เม็ดเลือดขาว White Blood Cell ( WBC ) ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค เพื่อป้องกันร่างกายให้ปลอดภัยจากจุลชีพก่อโรค

3.เซลล์ชนิดโมโนไซต์ ( Monocyte ) หรือ Mono
เป็นเซลล์ เม็ดเลือดขาว ชนิดหนึ่งที่เกิดจากไขกระดูก ทำหน้าที่ตระเวนในหลอดเลือดเพื่อหาจุลชีพ เมื่อพบจุลชีพที่กำลังก่อตัวในหลอดเลือด โมโนไซต์ที่อยู่ใกล้สุดจะเข้าจับจุลชีพโดยเร็วด้วยการรีดตัวให้เล็กและผ่านเข้าไปยังเนื้อเยื่อจากนั้นจะขยายตัวเป็นแมคโครฟาจเพื่อเขมือบจุลชีพแล้วปล่อยเอนไซม์ย่อยสลายและเก็บเศษจุลชีพต่างๆ

วัตถุประสงค์ในการตรวจโมโนไซต์ ( Monocyte ) หรือ Mono
เพื่อตรวจสอบนับ จำนวนเซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว ( WBC ) ที่เรียกว่าโมโนไซต์

ค่าปกติของโมโนไซต์ ( Monocyte ) หรือ Mono
จำนวนนับ โมโนไซต์ = 100 – 700 เซลล์ / ลูกบาศก์มิลลิลิตร

ค่าผิดปกติของโมโนไซต์ จากผลการตรวจเลือด
1. ในทางน้อย อาจแสดงผลว่า
1.1 เกิดโรคโลหิตจางจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว
1.2 เกิดโรคโลหิตจางจากไขกระดูกเสื่อม
2. ในทางมาก อาจแสดงผลว่า
2.1 อาจเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก
2.2 อาจเกิดโรคลำไส้อักเสบ
2.3 ร่างกายมีการติดเชื้อจากไวรัสหรือพาราสิต
2.4 อาจเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

4.เซลล์ชนิดอีโอซิโนฟิล ( Eosinophil ) หรือ Eos
เป็นเซลล์อีกชนิดหนึ่งของเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีจำนวนเพียงประมาณ 1- 4 เปอร์เซ็นต์ของ WBC เท่านั้น มีหน้าที่ในการช่วยทำลายสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในร่างกาย โดยช่วยให้อาการภูมิแพ้ลดลงหรือหมดไป

วัตถุประสงค์ในการตรวจอีโอซิโนฟิล
เพื่อตรวจสอบนับ จำนวนเซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว ( WBC ) ที่เรียกว่าโมโนไซต์

ค่าปกติของอีโอซิโนฟิล
จำนวนนับ อีโอซิโนฟิล = 50 – 500 เซลล์ / ลูกบาศก์มิลลิลิตร

ค่าผิดปกติของอีโอซิโนฟิล ( Eosinophil ) จากผลการตรวจเลือด
1. ในทางน้อย อาจแสดงว่า
1.1 อาจตกอยู่ในภาวะเครียดจนทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโคสเตอรอยด์ซึ่งอาจสร้างความเสียหายไปทั่วร่างกาย
1.2 อาจเกิดอาการคุชชิง ( Cushing Syndrome ) ซึ่งจะมีไขมันส่วนบนของร่างกายผิดปกติ
2. ในทางมาก อาจแสดงว่า
2.1 การมีที่อยู่อาศัยหรือการใช้ชีวิตที่ทำให้เป็นบ่อเกิดของการสร้างภูมิแพ้
2.2 ร่างกายอาจเผชิญกับศาลสร้างภูมิแพ้อย่างกะทันหัน เช่นที่อยู่อาศัยมีมลพิษสูง
2.3 อาจเกิดโรคเลือดหรือโรคข้อ
2.4 อาจได้รับยารักษาโรคอื่นแต่ยานั้นส่งผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการแพ้

5. เซลล์ชนิดเบโซฟิล ( Basophil ) หรือ Baso
เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งของ เม็ดเลือดขาว ที่มีจำนวนน้อยที่สุดเพียงประมาณ 1 % มีบทบาทสำคัญในการควบคุมร่างกายไม่ให้หลั่งสารฮีสตามีนออกมามากจนเกินไปเมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ

วัตถุประสงค์ในการตรวจ เบโซฟิล
เพื่อตรวจสอบหาระดับของ เบโซฟิล (Basophil) หรือ Baso ซึ่งเป็นเซลล์ย่อยในเม็ดเลือดขาว

ค่าปกติของเบโซฟิล
จำนวนนับ เบโซฟิล ( Basophil ) = 25 – 100 เซลล์ / ลูกบาศก์มิลลิลิตร

จะเห็นได้ว่า การตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาวนั้น ต้องตรวจละเอียดลึกไปถึงเซลล์เม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด เพื่อให้ทราบถึงปัญหาสุขภาพอันเกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวอย่างแท้จริง

[/vc_column_text]

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล,พลเอก. คู่มือแปล ผลเลือด เล่มแรก: กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์, 2554. 372 หน้า: 1.เลือด-การตรวจ. I. ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-48-7.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0.

“A Snapshot of Leukemia”. NCI. Archived from the original on 4 July 2014. Retrieved 18 June 2014.

Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation, American Association of Blood Banks, retrieved 25 July 2014.

ค่า ESR บอกสัญญาณอะไรในร่างกาย เรียนรู้เพื่อการป้องกันโรค

0
ค่า ESR บอกสัญญาณอะไรในร่างกาย เรียนรู้เพื่อการป้องกันโรค
สารตรวจคุณสมบัติพิเศษของเลือดมีอะไรบ้าง
การใช้สารตรวจเพื่อหาสิ่งผิดปกติในร่างกายจากการตกตะกอนของเลือดแดงที่จะบอกถึงความร้ายแรงของโรค

ค่า Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR )

ค่า ESR (Erythrocyte Sedimentation Rate) เป็นค่าที่ใช้ในการตรวจหาการอักเสบภายในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยบ่งชี้ถึงสัญญาณของโรคต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ หรือโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อ การตรวจค่า ESR เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประเมินสภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย แม้ว่าจะไม่สามารถบอกสาเหตุของการอักเสบได้โดยตรง แต่การมีค่า ESR ที่สูงหรือผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนให้เราระมัดระวังและตรวจสอบสุขภาพเพิ่มเติม เพื่อป้องกันและรักษาโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

การตรวจการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง

เป็นการตรวจอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงใน 1 ชั่วโมง ที่บ่งบอกว่ามีการอักเสบ แต่ไม่ได้บอกสาเหตุของการอักเสบ

การตรวจการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงสามารถตรวจค่าแยกย่อยได้ดังนี้

การตรวจค่า ESR /mm / hr

สำหรับวัตถุประสงค์ เพื่อทราบเกี่ยวกับอัตราการตกตะกอนของทางเม็ดเลือดแดง ESR ในการทราบผลนั้นจะใช้วิธีการนำเอาส่วนที่เป็นเลือดอันได้มาจากการนำเอาหลอดและเข็มดูดเลือดออกมาแบบทันทีจากนั้นก็ใส่เข้าไปภายในหลอดรับเลือดแล้วทิ้งนับเวลาเป็นระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง เมื่อถึงเวลาที่กำหนดให้สังเกตว่ามีส่วนที่เป็นเม็ดเลือดแดงเกิดการตกตะกอนสูงขึ้นมาโดยจะวัดเป็นปริมาณลักษณะมิลลิเมตร สำหรับอัตราของความสูงที่เกิดขึ้นนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ความแตกต่างเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการบ่งชี้ลักษณะความร้ายแรงของโรค ลักษณะอาการอักเสบ ลักษณะอาการขาดเลือดในส่วนของเนื้อเยื่อที่ในบางส่วนอาจเกิดการตายลง
ในการสรุปนั้นในส่วนของอัตราค่า ESR นั้นเป็นสิ่งที่แสดงค่าแบบหยาบ ๆ จะไม่มีการเจาะจงเข้าไปที่ส่วนของอวัยวะอันเป็นส่วนเกิดโรคหรือไม่สามารถที่จะนำไปใช้ในการเป็นเครื่องช่วยเพื่อที่จะบ่งชี้ในระดับชั้นขั้นต้นอย่างง่ายต่อขั้นของการเตรียมการในการทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายไม่ให้เกิดความยุ่งยากและทำให้เกิดการประหยัด ส่วนของเม็ดเลือดแดงนั้นตามปกติมักจะมีโปรตีนที่อยู่ภายในส่วนของฮีโมโกลบินอยู่จำนวนหนึ่ง โปรตีนนี้จะส่งผลทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นมีระดับของน้ำหนักที่สูงกว่าในส่วนของพลาสมานั่นจึงทำให้เกิดการตกตะกอนเกิดขึ้น ทำให้เห็นว่าส่วนของการตกตะกอนนั้นค่อย ๆ จมลงไปที่ก้นของหลอดทดลอง ในบุคคลที่มีสุขภาพเป็นปกตินั้นจะมีอัตราความเร็วที่จะส่งผลทำให้เกิดการตกตะกอนได้ส่วนหนึ่งแต่ในบุคคลที่ป่วยเป็นโรคบางประเภทจะส่งผลทำให้โปรตีนนั้นเกิดการเพิ่มขึ้นได้ภายในกระแสเลือด การนี้จึงทำให้ค่า Erythrocyte Sedimentation Rate ESR นั้นย่อมมีค่าที่สูงมากกว่าตามปกติ ( เมื่อผ่านการเทียบกับส่วนของมาตรฐานผู้ที่สุขภาพเป็นไปตามปกติ )

ค่าปกติทั่วไป ( หน่วย : มม / ชั่วโมง )

ชาย : ค่า ESR ≤ 15 mm / hr

หญิง : ค่า ESR ≤ 20 mm / hr

เด็ก : ค่า  ESR ≤ 10 mm / hr

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

การตรวจค่า RETICULOVYTE COUNT%

การตรวจค่า RETICULOVYTE COUNT - ค่า ESR บอกสัญญาณอะไรในร่างกาย เรียนรู้เพื่อการป้องกันโรคการตรวจค่า RETICULOVYTE COUNT% เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะทราบจำนวนของเม็ดเลือดแดง ที่ยังคงไม่เติบโตแบบเต็มที่แต่กลับมีการหลุดเข้าไปอยู่ภายในกระแสเลือด ตรวจออกมาในลักษณะของร้อยละ ( เปอร์เซ็นต์ )
ส่วนของ RETICULOVYTE เป็นส่วนของเม็ดเลือดแดงแบบที่เรียกว่าอยู่ในช่วงของวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ เป็นส่วนที่มีร่องรอยของทางนิวเคลียสที่หลงเหลืออยู่เป็นลักษณะของจุดสีม่วงออกปนน้ำเงินติดอยู่ในนั้น ( หากคุณลองนำไปมองผ่านด้วยกล้องขายนั้นคุณจะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันกับตาข่าย ) ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ยังไม่มีคุณสมบัติพร้อมต่อการเข้าไปทำหน้าที่สำคัญที่เป็นเสมือนกับเม็ดเลือดแดงแบบทั่วไปที่อยู่ภายในกระแสเลือด

ส่วนของการที่ RETICULOVYTE นั้นหากเข้าไปอยู่ภายในกระแสเลือดแบบที่สูงเกินไปมากกว่าเกณฑ์ที่ได้มีการกำหนดนั่นย่อมแสดงถึงอาจเป็นการสร้างการเกิดความผิดปกติของส่วนไขกระดูกซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่เป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญและเป็นแหล่งในการผลิตเม็ดเลือดแดงหรืออาจจะเป็นการที่ร่างกายนั้นเกิดการสูญเสียเลือดหรืออาจเกิดความต้องการเกี่ยวกับกับออกซิเจนที่สูงผิดปกตินั่นจึงทำให้เกิดการต้องเร่งส่ง RETICULOVYTE ไปยังกระแสเลือด นอกจากนี้ยังรวมถึงการเกิดโรคโลหิตจางได้เช่นกัน
สำหรับค่า RETICULOVYTE COUNT ประกอบด้วย

– ค่า RETICULOVYTE COUNT นั้นเป็นส่วนที่จะต้องยึดถือให้เป็นไปตามค่าที่ได้มีการระบุเอาไว้ภายในส่วนของรายงานที่ใช้ในการแสดงผลเลือด

– ค่าที่เป็นไปตามปกติ

RETICULOVYTE COUNT เท่ากับ 0.5 – 2.0 % ของ RBC

 

หากเป็นกรณีของค่าผิดปกติของทาง RETICULOVYTE COUNT นั้นมีด้วยกันดังนี้

1. ในกรณีของทางน้อย นั่นอาจจะเป็นการแสดงผลว่า

  • เป็นผลที่อาจเกิดจากเรื่องของการมีพฤติกรรมบริโภคอาหารี่ขาดกรดสำคัญอย่าง “ กรดโฟลิก ” จนส่งผลทำให้เกิดโรคอันตรายอย่างโรคโลหิตจางประเภทร้ายแรง
  • เป็นสิ่งที่สามารถส่งผลทำให้เกิดโรคโลหิตจางที่เป็นผลมาจากการขาดธาตุเหล็ก
  • เป็นสิ่งที่อาจเกิดกรได้รับการทำเคมีบำบัด การทำฉายรังสีบำบัด
  • อาจเป็นกำลังเกิดการป่วยเป็นโรคมะเร็ง
  • อาจเป็นการเกิดภาวะล้มเหลวภายในไขกระดูกเกิดขึ้นได้

2. ในกรณีของทางมาก นั่นอาจจะเป็นการแสดงผลว่า

  • เม็ดเลือดแดงนั้นอาจเกิดการถูกทำลายลงด้วยสาเหตุต่าง ๆ อาทิเช่น เกิดจากการที่ระบบของภูมิคุ้มกัน, อาจเกิดจากการที่ป่วยเป็นโรคของฮีโมโกลบิน อาจเกิดจากโรคของม้าม
  • อาจจะเกิดขึ้นจากการตกเลือด อาทิเช่น การป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวาร ในช่วงระยะเวลา 3 จนถึง 4 วันที่ผ่านมานั้นจึงส่งผลทำให้ในส่วนของไขกระดูกจำเป็นที่จะต้องรีบทำการผลิตเม็ดเลือดจนส่งผลทำให้เม็ดเลือดแดงที่ยังมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ( ยังอยู่ในช่วงของวัยรุ่น ) จะถูกผลักให้ออกไปสู่ส่วนของกระแสเลือดในระยะเวลาก่อนเวลาและระยะเวลาก่อนวัยอันควร      [adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]
  • อาจจะเกิดการตอบสนองต่อระบบการรักษาอาการที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ขาดวิตามินบี 12 หรือขาดธาตุโฟเลต ซึ่งจะเป็นสิ่งที่อาจส่งผลกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดเลือดแดงที่มากเกินไปในช่วงเวลาหนึ่งทำให้เม็ดเลือดที่เป็นเม็ดเลือดวัยรุ่นนั้นเกิดการหลุดเข้าไปภายในกระแสเลือดมากกว่าเดิมและอาจจะมีความเร็วมากกว่าที่ควรจะเป็น

การตรวจค่า Inclusion Body %

การตรวจค่า Inclusion Body % เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งวัตถุประสงค์คือ เพื่อต้องการทราบว่าในกระแสเลือดแดงที่ผิดปกติ ซึงเป็นจุดน้ำเงินเข้ม ติดอยู่ในเม็ดเลือดแดงบางเม็ดหรือไม่ ซึ่งถ้ามี มีอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ ” Inclusion Body ” จะเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ยังมีส่วนขอนิวเคลียสติดหลงเหลืออยู่ โดยปกติเมื่อเม็ดเลือดเแดงโตเต็มที่จะไม่มีนิวเคลียส และไม่แบ่งตัว แต่ถ้าปรากฏจุดในเม็ดเลือดแดงนั่นแสดงถึงการเกิดความผิดปกติ อาจเกิดจากร่างกายได้รับโลหะเป็นพิษ หรือขาดสารอาหารบางอย่าง รวมทั้งอาจเกิดความพกพร่องของไขกระดูกที่ผลิตเม็ดเลือด หรือความพกพร่องของม้าม ดังนั้นเมื่อค่าที่ตรวจพบมีเปอร์เซ็นต์มากกว่า 0 ย่อมแสดงถึงความร้ายแรงของโรคมากขึ้นเท่านั้น

การตรวจค่า HEINZ BODIES %

การตรวจค่า HEINZ BODIES % เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อต้องการทราบเกี่ยวกับส่วนของเม็ดเลือดแดงที่อยู่ภายในประแสเลือด ซึ่งจะมีจุดคล้ายกันกับสิ่งสำคัญอย่าง “ INCLUSION BODY ” แต่จะเป็นไปในลักษณะที่ใหญ่กว่าและจะมีสีที่ดูออกม่วงและดูใส สังเกตว่ามีอยู่ภายในนั้นหรือไม่ หากมีพบอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง HEINZ BODIES นั้นอาจเกิดขึ้นจากผลของการขาดเอนไซม์ประเภท G-6 PD เกิดจากการที่ค่าของฮีโมลโกลบินที่อยู่ภายในเม็ดเลือดมีค่าไม่กันในแต่ละเม็ด อาจเกิดจากการป่วยด้วยโรคโลหิตจางประเภทธาลัสซีเมีย อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ในการเกิดโรคโลหิตจางประเภทต้านทางการทำลายตัวเอง หากเป็นกรณีของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงดีไม่ควรที่จะต้องมี HEINZ BODIES อยู่ภายในกระแสเลือด และนั่นจึงทำให้ไม่มีการกำหนดเกี่ยวกับค่าปกติที่ควรเป็นของ HEINZ BODIES ไว้เลยนั่นเอง

การตรวจค่า G-6 PD IU/100 ml.RBC

การตรวจค่า G-6 PD IU/100 ml.RBC เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะได้ทราบว่าค่าเอนไซม์แบบ GLUCOSE-6-PHOSPHATE DEHYDROGENASE (G-6 PD) ตรวจดูว่ามีจำนวนที่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ สูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์มากน้อยเท่าใด หากพบว่าเข้าเกณฑ์ต่ำกว่าแบบนี้จะเรียกว่า “ G-6 DEFICIENCY ”
คำว่า “ G-6 PD ” นั้นเป็นส่วนของเอนไซม์ประเภทหนึ่งที่สามารถช่วยในเรื่องของการเผาผลาญกลูโคสได้และยังเป็นตัวที่ช่วยเรื่องของการปกป้องเม็ดเลือดแดงได้ในช่วงที่มีการใช้ยาเพื่อต่อสู้ในระหว่างการรักษาอีกด้วย ในกรณีของการเกิดอาการอย่างการขาดเอนไซม์ประเภท G-6 PD นั้นเรียดอีกชื่อหนึ่งว่า “ G-6 PD DEFICIENCY ” ซึ่งจะส่งผลที่ร้ายแรงในลักษณะแบบใดแบบหนึ่งหรือไม่ก็ส่งผลแบบพร้อมกันทีเดียวไปเลยได้เช่นกัน

กลุ่มยาที่อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและตกตะกอน ในกลุ่มผู้อยู่ในภาวะ G-6 PD deficiency

Actanilid              Methylene blue       Quinidine
Antimalarials       Nalidxic acid            Sulfa
Antipyretics         Nitrofurantion          Sulfonamides
Ascorbic acid       Phenacetic               Thiazide diuretics
Aspirin                Phenazopyridine       TOBUTamide
Dapsone             Primaquine               Vitamin K

สำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัวเป็นโรค G-6 PD deficiency ก็มักจะมีอาการที่แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดคือ ผิวซีดผิดปกติ เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว หายใจแบบสั้นๆ มีอาการของโรคดีซ่าน ม้ามโต และปัสสาวะออกเป็นสีชา

ค่าเอนโซม์ G-6 PD อาจแสดงได้ 2 วิธี คือ เป็นจำนวน I.U. ( International unit ) ต่อน้ำหนัก 1 กรัม ของฮีโมโกลบิน หรือเป็นจำนวน I.U. ต่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยตัวเลขค่าเอนไซม์ปกติของ G-6 PD ที่นิยมใช้กันอยู่มีดังนี้

1. 4.3 – 11.8 I.U. ต่อกรัมของฮีโมโกลบิน

 

2. 146 – 376 I.U. per 10 ยกกำลัง ( 12 ) / RBC ยกกำลัง ( 10-1 )

 

ค่าปกติของเอนไซม์ ประกอบด้วย

1.สิ่งที่ยึดถือไว้ตามที่ค่าที่ได้มีการระบุเอาไว้ในส่วนของใบแสดงรายละเอียด

2.ค่าที่เป็นค่าตามปกติ สำหรับค่าที่เป็นค่าผิดปกติของตัวเอนไซม์ประเภท G-6 PD นั้นสำหรับทางน้อยนั้นอาจจะเป็นผลมาจากการที่เป็น G-6 PD DEFICIENCY ( ซึ่งจะเป็นไปได้จริงหากพบว่ามีอาการที่เป็นไปตามข้อที่ 4 ร่วม ) อาจเป็นสิ่งที่เกิดจากโรคโลหิตจางประเภทเม็ดเลือดแดงเกิดการแตกได้ง่าย แต่หากเป็นในกรณีของทางมากนั่นก็อาจจะแสดงผลมาจากการที่ร่างกายนั้นเกิดโรคโลหิตจางประเภทที่ร้ายแรงมากเนื่องจากการขาดวิตามิน B12 อาจเกิดจากโรคโลหิตจางประเภทเม็ดเลือดแดงเกิดภาวะโต อาจเกิดขึ้นจากการขาดเลือดในส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเกิดจากปัญหาของต่อมไทรอยด์เกิดการทำงานมากเกินไป

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

การตรวจค่า Malaria

การตรวจค่า Malaria เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบว่ามีเชื้อของไข้มาลาเรียที่เกิดการเข้าสู่ร่างกายและเข้าไปอยู่ภายในกระแสเลือดบ้างหรือไม่ มีการติดเชื้อมากน้อยเพียงใด เชื้อมาลาเรียเป็นเชื้อที่อยู่ในกลุ่มของ PLAMODIUM เป็นเชื้อที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้แต่จะต้องนำมาโดยพาหะสำคัญ นั่นคือ ยุงก้นปล่อง ( ตัวเมีย ) ที่จะทำการเจาะ ดูดกินเลือดของมนุษย์จากนั้นก็จะปล่อยเชื้อมาลาเรียเข้าไปภายในเลือดของมนุษย์เราผ่านทางน้ำลายของยุงนั่นเอง เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะเข้าไปเจริญเติบโตอยู่ภายในเม็ดเลือดแดงและนั่นก็ไม่ใช่การดีกับเม็ดเลือดแดงเลย จะเป็นตัวที่ส่งผลเข้าไปทำลายโดยตรง เชื้อประเภทนี้ไม่สามารถที่จะติดต่อระหว่างคนสู่คนได้ เมื่อใดที่เม็ดเลือดแดงเกิดการแตกสลายลงเนื่องจากเชื้อมาลาเรียนั่นจะเป็นการส่งผลกระทบในเรื่องของการลดประสิทธิภาพเกี่ยวกับกระบวนการขนส่งออกซิเจนรวมถึงสารอาหารประเภทต่าง ๆ ที่จะส่งไปเลี้ยงเซลล์ภายในร่างกาย และเซลล์เหล่านั้นก็จะไม่คงเหลือพลังงานที่เพียงพอในการจะได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างที่ควรจะเป็นอีกทั้งร่างกายยังไม่สามารถที่จะรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายได้จนทำให้เกิดอาการหนาวสั่นหรือที่เราเรียกกันว่าอาการไข้จับสั่น สำหรับวิธีการตรวจก็สามารถทำได้ด้วยการเจาะเลือดแล้วนำไปฉาบลงบนกระจก จากนั้นก็นำไปส่องด้วยสิ่งที่รู้จักกันดีอย่าง “กล้องจุลทรรศน์” ส่วนนี้มักจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะทาง เจ้าหน้าที่ทางด้านเทคนิคการแพทย์

การตรวจค่า Bleeding Time min.

การตรวจค่า Bleeding Time min เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะทราบว่าภายในผิวหนังของคนเราเมื่อเกิดบาดแผลขึ้นจนทำให้มีเลือดไหลจะต้อใช้เวลาเท่าใดเลือดถึงจะสามารถทำการสร้างสิ่งสำคัญอย่างลิ่มเลือดขึ้นมาได้และทำให้เลือดหยุดไหลได้เอง
การ BLEEDING TIME เป็นเรื่องของการทดสอบแบบง่ายซึ่งทางผู้ที่ทำการทดสอบจะต้องเป็นบุคคลที่ทำงานทางด้านการแพทย์หรือทางด้านการพยาบาลโดยเฉพาะเท่านั้น สำหรับวิธีการตรวจสอบคือผู้ที่เข้ารับการทดสอบนั้นจะต้องถูกกพันแขนด้วยแผ่นยางแบบอัดลม ( ที่ใช้ในการวัดความดันโลหิตนั่นเอง ) ที่ส่วนของงแขนท่อนบน จุดเดียวกับที่ทำการวัดความดันโลหิต ในการอัดลมเข้าไปจะให้ความดันอยู่ที่ 40 มิลลิเมตรปรอท
ค่าปกติของ Bleeding time
สำหรับค่าปกติให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด ( ถ้ามี ) หรือค่าปกติทั่วไปคือ

Bleeding time : 3 – 6 min

 

ค่าผิดปกติของ Bleeding time

1.ในทางน้อย อาจแสดงว่า ร่างกายมีเกล็ดเลือดมากเกินไป

2.ในทางมาก อาจแสดงว่า ร่างกายมีเกล็ดเลือดต่ำเกินไป ( thrombocytopenia ) อาจเกิดจากการขาดวิตามิน ซี ไขกระดูกอาจทำงานบกพร่อง ทำให้ผลิตเกล็ดเลือดออกมาในปริมาณที่ต่ำเกินไป กำลังเกิดโรคมะเร็งในไขกระดูก เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) เกิดสภาวะม้ามทำงานเกิน ( hypersplenism ) หรือม้ามโต จึงทำลายเกล็ดเลือดมากกว่าปกติ และอาจเกิดโรคตับร้ายแรง

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

การตรวจค่า Clotting Time min

การตรวจค่า Clotting Time min เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อที่จะทราบเกี่ยวกับเวลา ( นาที ) ในช่วงที่เลือดไหลออกมาจากร่างกายและเกิดสภาวะการแข็งตัวเกิดขึ้น ซึ่งใช้เวลานานเท่าใด
สำหรับวิธีในการทดสอบนั้นก็จะมีลักษณะที่เป็นไปคล้ายกันกับวิธีการตรวจเลือดแบบทั่วไป คือ จะใช้วิธีการเจาะเลือดโดยจะดูดเลือดออกมาจากทางหลอดเลือดดำและนำเอาเลือดที่เจาะได้ใส่ลงไปภายในหลอดเลือดที่ได้มีการหล่อน้ำเอาไว้ด้วยอุณหภูมิที่มีระดับเท่ากันกับอุณหภูมิของร่างกายคนเรา นั่นคือ 98.6 องศาฟาเรนไฮต์ ( เท่ากับอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ) ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่จะนำเอาเลือดที่ได้ไปส่งให้กับทางห้องปฏิบัติการเพื่อเข้ารับการตรวจในขั้นต่อไป เมื่อทางเจ้าหน้าที่ของห้องปฏิบัติการได้รับเลือดเรียบร้อยทางเจ้าหน้าที่จะทำการเอียงคว่ำหลอดเลือดลงโดยจะทำการกลับหลอดเลือดไปมาเป็นประจำทุกระยะเวลา 30 วินาทีจนกว่าที่เลือดนั้นจะหยุดสภาพของการเป็นของเหลวลงซึ่งทั้งนี้จะเริ่มทำการเริ่มจับเวลาจนกระทั่งถึงเวลาที่เลือดเกิดการแข็งตัวและจะทำการตับเวลาใหม่อีกครั้งเริ่มตั้งแต่ช่วงที่เลือดเกิดการแข็งตัวยาวไปจนกระทั่งถึงเวลาที่เกิดการยุบตัวลงไปประมาณร้อยละ 50 ( สามารถสังเกตได้จากทางด้านข้างของตัวหลอดแก้ว )

CLOTTING TIME นั้นมักที่จะใช้ในการทดสอบร่วมกันกับส่วนของการยุบตัวของเลือดโดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่เริ่มมีการแข็งตัวเกิดขึ้น ( CLOT RETRACTIONหรือ การยุบตัวของก้อนเลือดจะ ) ซึ่งมีค่าปกติคือ

  • ค่าปกติของ CLOTTING TIME ตามปกติจะอยู่ที่ 5 – 8 นาที
  • ค่าปกติของการยุบตัวของก้อนเลือดจะปกติอยู่ที่ 50% ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง

สำหรับค่าของ CLOTTING TIME นั้นหากเป็นค่าที่ตั้งแต่ 8 นาทีขึ้นไปนั่นอาจจะเป็นการแสดงผลเกี่ยวกับ
1.ร่างกายนั้นอาจจะเกิดการขาดในส่วนขององค์ประกอบที่เป็นตัวช่วยในการทำให้เลือดนั้นเกิดการจับตัวเป็นก้อนแบบรุนแรง อาทิเช่น ค่าโปรตีนรวมที่อยู่ภายในเลือดอาจจะมีปริมาณที่ต่ำมากเกินไป , อาจจะมีค่าของแคลเซียมที่อยู่ภายในเลือดน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดทั้งนี้หากกรณีนี้มีวิตามินเคที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าด้วยนั่นจะยิ่งเป็นการทำให้เกิดการจับตัวของเลือดมากยิ่งขึ้น

2.อาจจะมีส่วนของยาประเภทยาลิ่มเลือดที่อาจตกค้างอยู่ภายในกระแสเลือด ตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดประเภทยา NSAID หรือยาแอสไพลิน เป็นต้น

เลือดมนุษย์ได้ถูกเปรียบเทียบไว้ว่าเป็นเสมือนโบกี้ตู้รถไฟที่มีการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ซึ่งความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดก็จะคล้ายกับล้อ เพลา ความจุของที่นั่ง ถ้าไม่มีความเสียหายก็จะนำสินค้าและผู้โดยสารไปถึงจุดหมายอย่างไร้ปัญหา

การตรวจค่า Hb Typing

การตรวจค่า Hb Typing เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) มีวัตถุประสงค์สำคัญก็เพื่อทราบชนิดของ Hb ( ฮีโมโกลบิน ) ว่าประเภทใดมีความโดดเด่น และจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงจำนวนของประเภทอื่น ๆ ในลักษณะของเปอร์เซ็นต์ที่ครบถ้วนก็เป็นได้
มีเครื่องมือประเภทหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์แบบสมัยใหม่ที่สามารถทำการตรวจวัดขนาดอนุภาคของสิ่งที่เป็นสารแขวนลอยที่อยู่ภายในของเหลวได้ มีชื่อเรียกว่า “ HEMOGLOBIN ELECTROPHORESIS ” สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีความสามารถในการดำเนินการตรวจแยกความแตกต่างของฮีโมลโกลบินแต่ละประเภทในเลือดที่มีความผิดปกติที่เป็นสิ่งสืบเนื่องจากเรื่องของพันธุกรรม

สำหรับประเภทของฮีโมโกลบินที่มีความสำคัญและอาจจะสามารถทำการตรวจสอบได้มากถึง 6 ชนิดด้วยกัน นั่นคือ
1.Hb A1 เป็นฮีโมโกลบินประเภทส่วนใหญ่ที่สามารถพบได้ซึ่งแสดงในเรื่องของคุณสมบัติที่บ่งบอกให้เห็นถึงลักษณะความเป็นปกติของ RBC ( เม็ดเลือดแดง )

2. Hb A2 เป็นฮีโมโกลบินประเภทส่วนน้อย สามารถพบได้ประมาณร้อยละ 2 ถึง 3 สำหรับกรณีที่พบว่ามีอยู่น้อยจริงนั่นอาจจะเป็นเรื่องของความผิดปกติของส่วนฮีโมโกลบินทั้งหมดที่อยู่ภายในเลือด

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

3. Hb S เป็นฮีโมโกลบินประเภทที่ไม่เป็นไปตามปกติซึ่งจะแสดงถึงลักษณะภาวะที่เป็นภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคโลหิตจางอันมีผลมาจากการที่เม็ดเลือดแดง Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) มีลักษณะแบบรูปเคียวซึ่งรูปแบบนี้เป็นลักษณะที่ผิดปกติในส่วนของเม็ดเลือดแดง ( รูปแบบที่ควรจะเป็นจะต้องเป็นไปในลักษณะจานกลมแบน )

4. Hb C เป็นฮีโมโกลบินประเภทที่มีความผอดปกติเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน มักจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีลักษณะบรรพบุรุษเป็นแบบข้ามสายพันธุ์ ทำให้เม็ดเลือดแดงที่มีส่วนของ Hb C มีอายุที่สั้นลงแถมยังมีโอกาสที่จะแตกได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย

5. Hb F เป็นฮีโมโกบินของทารกที่อยู่ในครรภ์ และยังคงมีเหลืออยู่ในผู้ใหญ่ไม่มากนัก ซึ่งถ้ามีมากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ในร่างกายตั้งแต่อายุ 3 ขวบขึ้นไป จะถือว่า เฮโมโกบินในเลือดมีความผิดปกติ

6. Hb H เป็นฮีโมโกบินที่ผิดปกติค่อนข้างร้ายแรง เพราะมียีนแอลฟา 1 ตัว และเบตา 3 ตัว แทนที่จะมีอย่างละ 2 ตัวเท่ากันตามที่ควรจะเป็น ดังนั้นผู้ที่มี Hb H โดเด่นจะเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางชนิด H disease หรือ โลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดแอลฟาธาลัสซีเมีย

ค่าปกติของฮีโมโกลบินแต่ละชนิดโดยประมาณ ( ที่ควรตรวจพบ )

ผู้ใหญ่/ ผู้สูงอายุ ค่าโดยประมาณ
Hb A1 95 – 98 %
Hb A2 2 -3 %
Hb F 0.8 – 2 %
Hb S 0 %
Hb C 0 %

 

เด็ก  ( พิจารณาเฉพาะ Hb F ) ค่าโดยประมาณ
แรกเกิด Hb F 50 – 80 %
< 6 เดือน Hb F < 8 %
> 6 เดือน Hb F 1 – 2 %

 

ค่าความผิดปกติของส่วนฮีโมโกลบินแต่ละประเภท

สำหรับเรื่องของค่าความผิดปกติของส่วนฮีโมโกลบินแต่ละประเภทนั้นอาจจะเป็นการแสดงถึงผลการเกิดโรคที่เกี่ยวกับเลือดในประเภทต่าง ๆ ที่เป็นผลจากการวิเคราะห์ค่าของ Hb ในผลตรวจเลือดนั่นเอง

1. โรค SICKLE CELL DISEASE นั้นจะมีลักษณะการแสดงค่า 4 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ

ค่า Hb ผลเลือด
S 80 – 100%
A1 0%
A2 2 -3 %
F 2 %

 

ในส่วนของเม็ดเลือดแดงนั้นจะมีลักษณะที่มีรูปทรงคล้ายคลึงกับเคียวที่ใช้ในการเกี่ยวข้าวซึ่งทำให้การพาส่วนของออกซิเจนเป็นไปแบบที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นนั่นจึงกลายเป็นการเกิดโรคโลหิตจางประเภทที่เรียกว่า “ SICKLE CELL ANEMIA ” นั่นเอง สำหรับเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะแบบคล้ายเคียวเกี่ยวข้าวนี้จะต้องผ่านในส่วนของหลอดเลือดที่มีขนาดค่อนข้างเล็กนี้แบบที่เรียกว่าขลุกขลักมากและนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้เกิดการอุดตันเกิดขึ้นจนส่งผลทำให้เนื้อเยื่อบางส่วนเกิดการขาดเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยง หากยิ่งเป็นการเกิดที่ส่วนของหลอดเลือดหัวใจ เกิดขึ้นในสมองนั่นจะยิ่งเป็นการนำอันตรายอย่างร้ายแรงมาสู่ชีวิต ทั้งนี้อาจจะเป็นการส่งผลทำให้เกิดการเจ็บปวดเกิดขึ้นได้ อาจทำให้แผลเกิดการเน่าเปื่อยอันเป็นผลมาจากกการที่มีเลือดไปเลี้ยงส่วนเหล่านั้นไม่ถึง

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

SICKLE CELL DISEASE เป็นสิ่งที่สามารถจะติดต่อทางด้านพันธุกรรมได้ หากในครอบครัวบุคคลที่เป็นบิดาหรือเป็นมารดาคนใดคนหนึ่งก็ตามป่วยเป็น SICKLE CELL DISEASE แต่อีกฝ่ายนั้นเป็นปกติซึ่งนั่นสามารถที่จะส่งผลกระทบต่อบุตรทุกคนของตนเองได้ ทำให้บุตรทุกคนนั้นสามารถที่เป็นพาหะขอโรคเม็ดเลือดแดงรูปคล้ายเคียวได้

2. โรค SICKLE CELL TRAIT ในผลเลือดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้

ค่า Hb ผลเลือด
S 20 – 40 %
A1 60 – 80 %
A2 2 -3 %
F 2 %

ตนเองไม่เกิดอาการเจ็บป่วยใดๆ คงมีสุขภาพปกติเช่นคนทั่วไป แต่อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมให้แก่บุตรในลำดับถัดไป

3. โรค HEMOGLOBIN C DISEASE ในผลเลือดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้

ค่า Hb ผลเลือด
C 90 – 100 %
A1 0 %
A2 2 -3 %
F 2 %

 

Hb C Disease มีต้นกำเนิดมาจากชนเชื้อสายแอฟริกันตะวันตก ในปัจจุบันมักจะพบได้มากในกลุ่มคนผิวดำ อาการทั่วไปมักไม่ร้ายแรง ซึ่งจะแสดงให้เห็นโรคโลหิตจางอ่อนๆ ( mild anemia ) โดยมีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าค่าปกติ มีม้ามขนาดใหญ่ และอาจมีนิ่วในถุงน้ำดี ( gallstone ) ร่วมด้วย ซึ่งอาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมคล้ายคลึงกับ Hb S Disease

4. HEMOGLOBIN H DISEASE ผลเลือดจะแสดงค่าของ Hb อยู่ในเกณฑ์ดังต่อไปนี้

ค่า Hb ผลเลือด
A1 65 – 90 %
A2 2 -3 %
H 5 – 30 %

 

โรคนี้อาจจะเกิดขึ้นจากยีนของทาง Hb ซึ่งอาจจะมีความผิดปกติได้มากถึง 3 ตัวจากจำนวน 4 ตัว ซึ่งนั่นทำให้มีโอกาสที่จะเกิดโรคโลหิตจางระดับกลางจนถึงระดับที่ร้ายแรง อาจจะมีอาการรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าปกติ หากส่วนของแอลฟายีนนั้นมีเหลืออยู่เพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้นซึ่งจะมีลักษณะโครงสร้างทางด้านเคมีที่ทำการเกาะติดกันจนกลายเป็นทางยาว แบบนี้เรียกว่า “ HEMOGLOBIN H CONSTANT SPRING DISEASE ” จะทำให้อาการแสดงของโรค โลหิตจางนั้นค่อย ๆ ร้ายแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะมาพร้อมกับอาการดีซ่านซึ่งอาการนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ป่วยจะมีลักษณะผิวออกเหลือง ตาก็จะเหลือง พบว่าม้ามมีลักษณะโต อาจจะพบว่าเกิดนิ่วที่ภายในถุงน้ำดีได้ สำหรับสิ่งที่เป็นพวกของแสลง เป็นของที่เป็นพิษสำหรับโรคนี้ นั่นก็คือ ลูกเหม็น ถั่วฟาว่า เป็นต้น อาจกินกรดโฟลิกเพื่อเยียวยา

5. THALASSEMIA MAJOR จะมีค่าผลเลือดของ Hb ดังนี้

ค่า Hb ผลเลือด
A1 5 – 20 %
A2 2 -3 %
F 65 – 100 %

 

สำหรับโรคนี้นั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับส่วนของฮีโมโกลบินที่อยู่ภายในเม็ดเลือดแดงซึ่งนั่นจะปรากฎยีนประเภทแอลฟาจำนวน2ตัว ยีนประเภทเบตาจำนวน 2 ตัวโดยจะอยู่กันอย่างสมดุล ซึ่งบุคคลใดก็ตามที่ยีนใดมีความผิดปกติเกิดขึ้นถึงสองตัวหรืออาจจะมากกว่านั้นนั่นจะเป็นการทำให้สามารถที่จะเกิดโรค THALASSEMIA MAJOR ยิ่งหากพบว่ายีนที่มีความปิดปกตินั้นมีด้วยกันสองตัวแถมยังเป็นยีนประเภทเบตาทั้งคู่นั่นก็จะเรียกว่า “ COOLEY’S ANEMIA ” โรคนี้ได้รับการสืบทอดทางพันธุกรรม เป็นโรคโลหิตจางชนิดร้ายแรงอาการจะเกิดขึ้นหลังคลอดประมาณ 2 ปี สามารถรักษาได้ด้วยการถ่ายเลือด แต่อาจมีธาตุเหล็กตกค้างสะสมในร่างการซึ่งจำเป็นต้องได้รับยาขับธาตุเหล็กด้วย

6. THALASSEMIA MINOR ผลเลือดจะมีการแสดงค่าของ Hb ดังนี้

ค่า Hb ผลเลือด
A1 50 – 85 %
A2 4 – 6 %
F 1 – 3 %

 

โรคนี้นั้นเป็นผลมาจากการที่ยีนจากจำนวน 4 ตัวในฮีโมโกลบิน คือ แอลฟาจำนวน 2 ตัวและตัวเบตาจำนวน 2 ตัว เกิดความผิดปกติเกิดขึ้นที่ในยีนตัวใดตัวหนึ่ง หากส่วนที่เป็นยีนที่มีความผิดปกติเป็นประเภทแอลฟาจำนวน 1 ตัวนั่นก็จะไม่เป็นการปรากฏถึงความผิดปกติทางด้านสุขภาพแต่อย่างใด ไม่สามารถพบเห็นได้แต่บุคคลนี้จะกลายเป็นบุคคลที่อาจจะทำหน้าที่ในการเป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อแบบเงียบ ๆ ทางด้านของพันธุกรรมไปสู่บุคคลที่เป็นบุตรหลานในอนาคตต่อไป แต่หากพบว่ายีนที่มีความผิดปกติกลับเป็นประเภทเบตา ก็จะสามารถปรากฏอาการโรคที่เป็นไปแบบอ่อน ๆ ให้เห็นและยังสามารถที่จะถ่ายทอดส่งต่อทางด้านพันธุกรรมได้เช่นกัน

การตรวจค่า COAGULOGRAM

การตรวจค่า COAGULOGRAM เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) วัตถุประสงค์เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะของวิธีในการสร้างตารางเพื่อที่จะนำเอาเลือดออกมาตรวจสอบ ทำการวัดผลการรักษาในส่วนของอาการเกิดเลือดไหลแบบไม่หยุด หรือเป็นส่วนที่เลือดเกิดการขาดคุณสมบัติของการสร้างลิ่มเลือดที่จะเป็นการส่งผลให้เกิดอันตรายเกิดขึ้นได้ เรียกแบบง่าย ๆ ว่าเป็นการสร้างตารางในการสร้างลิ่มเลือดหรือเป็นการสร้างแบบฟอร์มลักษณะว่าง ๆ เพื่อที่จะใช้ไว้ให้ทางแพทย์นั้นสามารถที่จะกรอกรายละเอียดเพื่อตรวจเจาะเลือดนั่นเอง
COAGULOGRAM เป็นตารางที่ใช้เพื่อการเอาไว้ช่วยจำเกี่ยวกับผลการรักษาหรือเพื่อการแก้ไขส่วนของสภาวะเลือดที่มีลักษณะใสมากเกินไป
ตาราง COAGULOGRAM เป็นตารางที่มีความหมายโดยนัยว่าเป็นตัวในการบ่งชี้ปัจจัยของการมีเลือดไหลออกซึ่งนั่นย่อมเป็นการแสดงผลในลักษณะของการไหลของเลือด แสดงให้เห็นถึงการไหลที่รวดเร็ว การไหลที่ล่าช้า การหยุดไหลซึ่งมีปัจจัยที่แสดงให้เห็น

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

HEMATOCRIT เป็นเรื่องของความหนาแน่นของส่วนเม็ดเลือดแดง หากพบว่ามีความหนาแน่นที่มากนั่นก็สามารถที่จะช่วยทำให้เลือดเกิดการหยุดไหลได้ง่ายดายแต่หากมีความหนาแน่นที่น้อยเลือดนั้นก็จะเกิดการหยุดไหลได้ช้าลง

BLOOD CLOTTING ส่วนนี้ก็เป็นค่าของเวลาที่เป็นไปตามมาตรฐานซึ่งจะใช้ในการอ้างอิงเพื่อพิจารณาว่าเลือดนั้นควรที่แข็งตัวในช่วงเวลาเท่าใด

RETRACTION OF BLOOD CLOT ส่วนนี้จะเป็นค่าของการยุบตัวของตัวก้อนเลือด
ทางการแพทย์นั้นยังคงมีตัวบ่งชีประเภทอื่น ๆ อีกมากมายที่ทางแพทย์ผู้ที่ทำหน้าที่ในการเป็นผู้ตรวจจะเห็นสมควรที่จะเลือกนำมาใช้ในเคสผู้ป่วยแต่ละราย ทำให้ COAGULOGRAM ของแต่ละบุคคลอาจที่จะมีตัวบ่งชี้ที่มีความแตกต่างกันออกไป

  1. คำว่า NORM นั่นหมายถึงคำว่า NORMAL ที่หมายถึงลักษณะค่าตามปกติของตัวปัจจัยบ่งชี้ในแต่ละประเภท

2. คำว่า PRIOR TO THERAPY นั้นเป็นสิ่งที่หมายถึงค่าในการตรวจพบช่วงก่อนที่จะเข้ารับการบำบัดรักษา สำหรับผลของการรักษาจากตัวยาที่มีการนำมาใช้เพื่อการรักษาและได้ถูกระบุโดยจำนวนวันที่ตรวจจากทางแพทย์ที่เป็นผู้ให้การรักษา

3. คำว่า “แช่นำแข็งขณะนำส่ง” นั้นมีความหมายว่า เป็นสิ่งที่เป็นคำแนะนำของทางเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำการ

เจาะดูดเลือดมีการปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.ทางเจ้าหน้าที่จะทำการเจาะเลือดออกมาในปริมาณ 2.7 มิลลิลิตร

2.จากนั้นได้ทำการใส่น้ำยาประเภท SODIUM CITRATE ลงไปเพื่อที่จะเป็นการป้องกันการแข็งตัวของเลือด

3.ปิดหลอดที่ใช้ในการบรรจุเลือดทันทีซึ่งจุกนั้นมีลักษณะครอบเป็นสีฟ้า

4. MIX เป็นขั้นตอนของการมิกซ์ คือเขย่าเลือดกับน้ำยาให้กันแบบสมบูรณ์

5.นำไปแช่ลงในน้ำแข็งและส่งไปยังห้องปฏิบัติการต่อไป

การตรวจค่า APTT ( ratio ) / sec

การตรวจค่า APTT ( ratio ) / sec เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งคำว่า APTT นั้นเป็นคำที่ย่อมาจาก ACTIVATED PARTIAL THROMBOPLASTIN TIME โดย THROMBOPLASTIN นั้นเป็นเหล่าโปรตีนทั้งหลายที่ได้ฝังอยู่ภายในส่วนของผนังหลอดเลือดซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญอันเกิดจากระบบภายในร่างกายของคนเรานั่นเอง และ Ratio คืออัตราส่วนของเวลาภายหลังการกินยาที่ทำให้เลือดใส ต่อ เวลาเดิม วัตถุประสงค์คือ เพื่อตรวจสอบส่วนของการสร้างลิ่มเลือดในบุคคลที่มีปริมาณของเลือดข้น ลักษณะนี้จะเป็นสิ่งที่อันตรายอันเนื่องมาจากสภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยในการ ทดสอบจะใช้ส่วนของน้ำยาประเภทพิเศษเข้าช่วยเพื่อตรวจว่าเลือดนั้นจะเกิดการแข็งตัวเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลาเท่าใด ทั้งนี้หากเมื่อใดที่มีการทานยาประเภทที่สามารถช่วยในการละลายลิ่มเลือดได้จำเป้นจะต้องงรอเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมง แล้วค่อยทำการทดสอบแบบ APTT อีกรอบ สำหรับวิธีการในการคิดอัตราส่วนนั้นจะคิดโดยการนำเอาเวลาในช่วงหลังทานยาหารกับเวลาในช่วงก่อนที่จะทานยา

ค่าปกติของ APTT และ Ratio

APTT = 30 – 40 sec
Ratio = 1.5 – 2.5 sec

 

ค่าวิกฤติของ APTT

APTT = > 70 sec

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

ค่าผิดปกติของ APTT

1.หากพบค่าความผิดปกติไปในทางน้อย แสดงได้ว่า เลือดอาจจะข้นเกินไป จึงเกิดเป็นลิ้มเลือดกระจายไปทั่วหลอดเลือด ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ และอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นต้น

2.หากพบค่าความผิดปกติในทางมากอาจแสดงได้ว่า มีเลือดใสเกินไปเพราะขาดโปรตีนบางตัว กำลังป่วยด้วยโรคตับแข็ง ขาดวิตามินเค มียาเฮพารินตกค้างอยู่ในกระแสเลือด หรืออาจเกิดบาดแผลที่ทำให้เลือดหยุดไหลยากได้
ข้อสรุป กรณีของคนมีน้ำเลือดใสหรือข้นกว่าปกตินั้น อาจเป็นคุณสมบัติปกติ เฉพาะบุคคลหนึ่งบุคคลก็ได้ ดังนั้น การพิจารณาเพียงค่าเวลาปกติ APTT คือ 30 – 40 วินาที จึงอาจผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ โดยเหตุนี้ จึงควรพิจารณาจากอัตราส่วนที่ได้จากการคำนวณง่ายๆ ดังนี้

อัตราส่วน = เวลา ( วินาที ) หลังจากกินยาให้เลือดใส ÷ เวลา ( วินาที ) ก่อนกินยา

การตรวจค่า PT ( INR ) /SEC

การตรวจค่า PT ( INR ) /SEC เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะทราบเกี่ยวกับระยะเวลาโดยคิดเป็นวินาทีที่ส่วนของเลือดนั้นได้ถูกดูดออกมาใส่ลงไปในตัวหลอดแก้วเกิดการแข็งตัวโดยอาศัยตัวช่วยที่สำคัญจากระบบปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วยเพิ่มเติม และที่สำคัญจะต้องมีการเติมน้ำยาประเภทน้ำยาแคลเซียมมาตรฐานและจะเรียกส่วนของปฏิกิริยานี้ในชื่อ “ RECALCIFICATION ” ให้เกิดขึ้นในเลือดแล้วจึงค่อยทำการจับระยะเวลาของการแข็งตัวต่อ สำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไปนั้นมักจะมีความคล้ายคลึงกันกับวิธีการหาค่า APTT ที่จะมีความแตกต่างออกไปตรงที่มีการใช้ปัจจัยภายนอกซึ่งนั่นก็จะเป็นสิ่งที่มาช่วยในการทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดเกิดขึ้นได้ วิธีการตรวจเลือดในส่วนนี้จะเป็นสิ่งที่ส่งผลเป็นประโยชน์อย่างมากต่อบุคคลที่มีพยาธิของโรคหัวใจโดยเฉพาะ

คำว่า PT นั้นเป็นสิ่งที่ย่อมาจาก “ PROTHROMBIN TIME ” PROTHROMBIN นั้นเป็นสารประกอบประเภทหนึ่งที่เป็นสารประกอบผสมของน้ำตาลกับโปรตีนซึ่งจะลอยอยู่ภายในส่วนของพลาสมา PROTHROMBIN นั้นเป็นสิ่งที่กลายเป็นสารตั้งต้นของ THROMBIN ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเอนไซม์ที่มีความสำคัญมากในการเกิดปฏิกิริยาของการเปลี่ยนโปรตีน FIBRINOGEN ให้กลายเป็น FIBRIN นั่นก็คือ ลิ่มเลือดที่มีลักษณะปิดหรือมีลักษณะของการอุดรอยเปิดของส่วนบาดแผลจนทำให้คุณนั้นสามารถที่จะเห็นได้ว่าเกิดเป็นส่วนที่บริเวณโยรอบของแผลมีลักษณะนูนขึ้นเมื่อแผลนั้นหายดีแล้ว
PT นั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในช่วงระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจะได้จากวิธีการทดสอบเลือดที่ทำการเจาะออกมาหลังจากที่ผ่านการเติมน้ำยาประเภทแคลเซียมลงไปแล้วจนทำให้เลือดนั้นเกิดการแข็งตัวเกิดขึ้น สำหรับบุคคลที่มีสุขภาพดีค่ามาตรฐานของค่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 12 นาที

น้ำเลือดนั้นสำหรับของคนบางคนอาจสามารถแข็งตัวได้อย่างรวดเร็วเฉพาะเมื่อได้ทานยาละลายลิ่มเลือดเท่านั้น แบบนี้จะเป็นการส่งผลทำให้การจับเวลานั้นมีระยะเวลาที่ยาวนานมากขึ้นตามไปด้วย เวลาคิดค่าเวลานั้นจะคิดออกมาในเชิงของอัตราส่วน วิธีคิดคือ ให้นำเอาเวลาของการที่เลือดแข็งตัวหลังจากทานยาไปหารกับเวลาของการที่เลือดแข็งตัวก่อนทานยา อัตราส่วนที่คุณคิดได้นี้อาจจะใช้ในการนำไปเป็นดัชนีที่ใช้บ่งชี้น้ำเลือดว่าน้ำเลือดนั้นมีระดับความเข้มข้นที่มากไปใช่หรือไม่ ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก ระดับความเข้มข้นของเลือดสามารถที่จะกลายเป็นสิ่งอันตรายต่อการเปิดหรือการปิดลิ้นที่อยู่ระหว่างห้องหัวใจและยังสามารถทำให้หัวใจนั้นเต้นในจังหวะที่แรงมากขึ้นในกระบวนการส่งเลือดดำเข้าไปภายในปอดหรือส่งเลือดแดงไปตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย  [adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

ทางด้านขององค์การอนามัยโลก (WHO) นั้นได้ออกมาประกาศเกี่ยวกับค่าที่เป็นอัตราส่วนตามมาตรฐานโดยได้ออกมากำหนดไว้เมื่อปี 1983 นั่นก็เพื่อที่จะเป็นสิ่งที่เป็นความปลอดภัยต่อบุคคลที่ใช้ยาประเภทยาละลายลิ่มเลือดหรือเพื่อเป็นการทำให้ความข้นของเลือดลดลง ค่าที่กล่าวถึงนี้มีชื่อเต็ม ๆ ว่า อัตราส่วนที่เป็นไปตามปกติตามเกณฑ์มาตรฐานในระดับนานาชาติหรือ INR และ WHO ได้ยืนยันว่าค่า INR นั้นสามารถที่จะใช้ได้กับกรณีของผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคหัวใจเต้นสั่นรัว ผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดดำเกิดการอักเสบจนส่งผลทำให้เกิดลิ่มเลือด ผู้ป่วยใช้ลิ้นหัวใจเทียม

WHO ได้กำหนดค่า INR อยู่ที่ 2.0 -3.5

 

การตรวจค่า TT (RATIO)/SEC

การตรวจค่า TT (RATIO)/SEC เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) มีวัตถุประสงค์หลัดเพื่อที่จะทราบเกี่ยวกับ FIBRINOGEN ซึ่งเป็นประเภทของโปรตีนที่อยู่ภายในเลือดคอยทำหน้าที่ในการสร้างลิ่มเลือดให้เกิดขึ้น ส่วนของ THROMBIN นั้นก็เป็นเอนไซม์ประเภทหนึ่งที่สามารถช่วยในการเปลี่ยน FIBRINOGEN ให้กลายเป็น FIBRIN นั้นเอง ในการที่จะดำเนินการตรวจสอบเลือดในข้อนี้จะเป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับคุณสมบัติของเอนไซม์ชื่อ TROMBIN ซึ่งนั่นก็จะแตกต่างไปจากการตรวจปัจจัยที่เป็นปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่ล้วนแต่สามารถมีบทบาทในการเข้าไปช่วยทำให้เลือดมีการแข็งตัวได้ ( TT หมายถึง THROMBIN )

ส่วนในการเจาะเลือดมาตรวจสอบนั้นการดำเนินการจะคล้ายคลึงกันกับการตรวจเพื่อหาค่า APTT และค่า PT ซึ่งเมื่อได้เลือดออกมาแล้ว ได้นำไปใส่ไว้ภายในหลอดเลือดแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการทดสอบด้วยน้ำยาทรอมบินที่เป็นไปตามมาตรฐานอันสร้างขึ้นมาจากมนุษย์เราหรือสร้างขึ้นมาจากวัวที่มีผลทำให้เลือดเกิดการแข็งตัวเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลา 2-3 วินาที (รูปแบบนี้ในกรณีที่เป็นบุคคลที่มีลักษณะสุขภาพที่เป็นไปตามปกติ) และหากเป็นกรณีอยากจะทราบเกี่ยวกับ THROMBBIN RATIO ให้ส่วนของผู้ที่ทำหน้าที่ในการถูกตรวจสอบทานยาประเภทยาละลายลิ่มเลือดเข้าไป จากนั้นก็พักรอเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมงแล้วค่อยดำเนินการตรวจเลือดใหม่อีกครั้งด้วยการใช้วิธีเติมน้ำยาในลักษณะเดิมเข้าไปซึ่งนั่นจะเป็นการช่วยเพิ่มระยะเวลาให้มีความยาวนานมากขึ้น
ในเรื่องของค่าที่เป็นค่าปกติของ TT กับค่า TT RATIO นั้นค่า TT จะอยู่ที่ 2-3 วินาที ส่วน TT RATIO นั้นให้ยังคงยึดหลักตามค่ามาตรฐานที่เป็นไปตามปกติอันอยู่ภายในรายงานผลการตรวจเลือดซึ่งค่าปกติของทาง TT นั้นจะเป็นสิ่งที่สามารถแสดงผลได้อย่างคล้ายคลึงกับผลของทาง APTT และ PT

น้ำเลือดในร่างกายมนุษย์มีความพิเศษ สามารถนำออกมาตรวจวิเคราะห์ได้ เช่น ค่าความเร็วของการตกตะกอน ความเร็วของการแข็งตัว ความเร็วในการห้ามเลือดได้เองเมื่อได้รับบาดเจ็บ และสามารถนำมาบ่งชี้ความเป็นโรคได้อีกด้วย

การตรวจค่า IgG

การตรวจค่า IgG เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) เป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับลักษณะภูมิต้านทานประเภทหนึ่งที่อยู่ภายในร่างกายซึ่งนั่นก็จะเริ่มต้นจากการที่สร้างโดยโปรตีน ภูมิต้านทานประเภทแรกที่บอกเลยว่าสำคัญมากตัวนี้มีชื่อแบบเต็ม ๆ ก็คือ “ IMMMUNOGLOBULLIN G ” หรือที่เรียกกันแบบย่อย ๆ ว่า “ IgG ” นั่นเอง
1.คำว่า IMMUNO นั้นเป็นคำที่มาจากทางภาษาลาตินซึ่งมีความหมายว่า การไม่มีโรคหรือการต้านทานโรค
2.คำว่า GLOBULIN คำนี้ก็เป็นคำที่มาจากคำว่า GLOBULUS ซึ่งก็เป็นภาษาลาตินเช่นกัน แปลว่า ทรงกลม
3.คำว่า GLPBULIN นั้นเป็นสิ่งที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะสร้างขึ้นมาโดยระบบของผนังเซลล์ส่วนเนื้อเยื่อเป็นหลักรองลงมาก็จะเป็นการผลิตที่บริเวณของตับนั้นจึงทำให้ Ig นั้นจึงกลายเป็นหมายความว่าเป็นโปรตีนที่มีลักษณะทรงกลมและยังมีคุณสมบัติในเรื่องของการช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคได้นั่นเอง

สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นแน่นอนว่าย่อมรวมถึงมนุษย์เราด้วยเช่นกัน เป็นกลุ่มที่สามารถปรากฏสิ่งสำคัญอย่างสารภูมิต้านทานได้โดยในปัจจุบันทางด้านของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถค้นพบได้จำนวน 5 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ IgA IgM IgE IgE IgD      [adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

องค์ประกอบของทางด้าน IMMUNOGLOBULIN นั้นจะประกอบไปด้วยสารประเภทโปรตีนที่ยังคงลอยอยู่ภายในพลาสมาจากนั้นก็จะเข้าไปจับตัวกับทางด้านของเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภทลิมโฟไซต์เพื่อที่จะส่งผลทำให้เกิดคุณสมบัติพิเศษในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันต่อไปแต่สำหรับส่วนของภูมิคุ้มกัน Ig แต่ละประเภทนั้นจะค่อนข้างมีความแตกต่างทางด้านของการป้องกันโรคในระดับจึงทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องทำการแยกประเภทด้วยการเพิ่มตัวอักษรภาษาอังกฤษลงไปเพื่อให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจน โดยเฉพาะ IgG เป็นตัวที่สำคัญมาก เพราะเป็นส่วนที่สามารถพบได้สูงมากถึงร้อยละ 75 ของสารที่เป็นสารภูมิคุ้มกันที่อยู่ภายในร่างกายของคนเราโดยเฉพาะแต่สารตัวนี้จะเป็นตัวที่ถูกจัดเอาไว้ให้เป็นสารประเภทพื้นฐานที่มีความพร้อมต่อการดำเนินการจับตัวกันเองเพื่อที่จะสร้าง Ig ประเภทอื่น ๆ ขึ้นมา ทางด้านของรูปร่างอันเป็นโครงสร้างเชิงเคมีของ IgG นั้นจะมีรูปลักษณะที่เป็นตัวอักษรวาย (Y) โดยจะทำการนับเป็นแบบ 1 หรือจะเรียกว่า Monomer นอกจากนี้ IgG นั้นยังเป็นสิ่งที่มีบทบาททางด้านระบบของภูมิคุ้มกันโรคอีกมากมาย อาทิเช่น เป็นสิ่งที่ช่วยในเรื่องของการทำล้างจุลชีพก่อโรคที่อยู่ภายในร่างกายให้หมดไปซึ่งตามปกติมักจะเกิดขึ้นจากแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อราได้

สำหรับหญิงสาวที่กำลังอยู่ในช่วงของการตั้งครรภ์ก็สามารถที่จะส่งผ่าน IgG นั้นจากทางมารดาส่งต่อไปที่ทารกภายในครรภ์ของคุณแม่ได้ซึ่งนั่นก็เปรียบเสมือนเป็นการสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคให้เกิดขึ้นกับตัวทารกไปโดยปริยาย ทำให้เด็กทารกที่เมื่อถึงเวลาคลอดออกมาแล้วภายในช่วงระยะเวลา 2-3 เดือนlสามารถที่จะรอดพ้นจากบรรดาพวกจุลชีพที่ทำให้เกิดโรคอันตรายต่าง ๆ
กรณีที่พบว่าค่าของ IgG นั้นมีความผิดปกติอาจเกิดขึ้นจากการที่เกิดมีภาวะเลือดออกได้ง่ายกว่าที่ควรจะเป็นหรือที่เราเรียกกันว่าโรค WISKOTT โรคนี้จะพบว่าผู้ป่วยอาจเกิดอาการผื่นแดงเกิดขึ้น มีระดับของเกล็ดเลือดที่ค่อนข้างต่ำ ระดับของภูมิคุ้มกันเองก็ลดต่ำลงและเวลาที่ถ่ายก็อาจจะพบว่ามีเลือดปนออกมาได้เช่นกัน

การตรวจค่า IgM

การตรวจค่า IgM เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ  ESR วัตถุประสงค์การตรวจ เพื่อที่จะทราบเกี่ยวกับสภาวะของตัวภูมิต้านทานแบบเฉพาะตัวโดยจะมีชื่อว่า ” IgM ” ซึ่ง IgM นั้นมีบทบาทในเชิงเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างสิ่งที่เป็นสารแบบพิเศษเพื่อการแบ่งหมู่เลือดซึ่งจะเป็นตัวที่เคลือบเม็ดเลือดแดง เป็นตัวที่จะบ่งบอกว่าหมู่เลือดนั้นเป็นหมู่เลือดประเภทใด IgM นั้นเป็นสิ่งที่สามารถสร้างสารแอนติบอดีให้กับตัวผิวหนังของเซลล์ที่อยู่ทางด้านนอกของ B-CELL จะทำให้ B-CELL นั้นเกิดการกระตือรือร้นหรือเกิดลักษณะกระหายอยากจะเข้าไปโจมตี อยากจะเข้าไปพิสูจน์เพื่อทราบในส่วนของจุลชีพที่สามารถก่อโรคอันเป็นสิ่งที่ล่วงล้ำเข้าไปภายในร่างกาย IgM นั้นก็เป็นสิ่งที่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของส่วน B-CELL เพื่อที่จะช่วยเข้าไปทำลายจุลชีพที่เป็นตัวก่อนโรคในช่วงแรกให้หมดไปได้

1. ค่าปกติในส่วนของ IgM นั้นตามปกติจะอยู่ที่ 55 – 375 mg/dL แต่ในทางผิดปกติค่าของ Ig นั้น

2. อยู่ในระดับต่ำ อาจเกิดจากการได้รับยาบางประเภทที่เข้าไปกดตัวภูมิต้านทาน อาจจะป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

3. แต่หากเป็นกรณีที่มีมากนั่นก็อาจจะเป็นการเกิดการอักเสบแบบเรื้อรังอันเป็นผลมาจากโรคบางประเภท อาทิเช่น โรคตับอักเสบ เป็นต้น อาจเกิดจากโรคประเภทโรคภูมิต้านทานเกิดการทำลายตนเองง อาจเกิดจากสภาวะการอักเสบแบบเฉียบพลัน เพราะตัวของ IgM นั้นเป็นหน่วยรบแบบพิเศษที่ต้องเข้าไปปะทะในจุดแรกที่เจอจุลชีพอันเข้ามาภายในร่างกายพร้อมทั้งจะทำการระบบพลแบบเต็มที่จนนั่นทำให้ค่าของ IgM สูงมากขึ้นนั่นเอง

การตรวจค่า IgA

การตรวจค่า IgA เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ ESR วัตถุประสงค์การตรวจ เพื่อที่จะทราบเกี่ยวกับสภาวะของตัวภูมิต้านทานแบบเฉพาะตัวโดยจะมีชื่อว่า ” IgA ” ซึ่งในร่างกายมีจำนวนเพียงร้อยละ 15 ของ Ig ส่วนใหญ่มักจะปรากฏออกมาในรูปแบบของเหลวเป็นหลัก จะมาในลักษณะของสารคัดหลั่งที่เป็นมูกออกมาเช่น น้ำตา น้ำลาย น้ำนมเหลือง ในน้ำย่อยในลำไส้เล็ก ในน้ำเมือกในช่องคลอด ในสารคัดหลั่งที่ต่อมลูกหมาก อยู่ในเมือกที่ผนังคอยทำหน้าที่ในการปกป้องทางเดินหายใจยาวไปนับตั้งแต่โพรงจมูกจนกระทั่งปอด
IgA เป็นสิ่งที่สามารถกำจัดเชื้อประเภทเล็ก ๆ ที่หลุดเข้าไปอยู่ภายในร่างกาย สามารถจะเข้าไปปะทะและโดยจับโดยส่วนของมูกหรือเมือก ตลอดในช่วงของช่องทางซึ่งจะไม่ลุกลามขยายตัวสร้างความเสียหายต่อร่างกาย ซึ่งถ้าเกิดค่าผิดปกติจะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้อย่างเคย เช่น การทรงตัวขณะเดิน ความผิดปกติในการเคลื่อนไหวแขน ลูกตา ลิ้น เป็นต้น หรืออาจเกิดภาวะเส้นเลือดฝอยพอง ขาดโปรตีน หรือถึงขั้นเกิดโรคตับเรื้อรัง ภาวะติดเชื้อ การอักเสบจากโรคบางโรคในลำไส้

การตรวจค่า IEP

การตรวจค่า IEP เป็นการแสดงผลส่วนหนึ่งในระบบการตรวจ ESR วัตถุประสงค์การตรวจ เพื่อที่จะได้ทราบเกี่ยวกับระบบของสนามแม่เหล็กที่ใช้ในการตรวจแยกส่วนของโปรตีน ซึ่งจะมีคุณสมบัติในการเป็นตัวป้องกันคุ้มกันโรคทั้งในส่วนของงเซรุ่มที่อยู่ในเลือด และส่วนของน้ำปัสสาวะ เฉพาะการใช้แบบ IEP เพื่อตรวจเลือดนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ทราบได้ว่า ภูมิคุ้มกันนั้นหรือสิ่งที่เรียกว่า IMMUNOGLOBULIN นั้นแต่ละประเภทจะมีปริมาณมากน้อยเท่าใด สำหรับกรณีของโรคร้ายและการได้รับกระบวนการรักษานั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทราบว่าตัวภูมิคุ้มกันนั้นมีค่าที่สูงมากน้อยเพียงใด นั่นก็เพื่อที่จะได้ทราบเกี่ยวกับผลของการตอบสนองต่อการรักษา และค่า IEP นั้นยังสามารถที่จะใช้ในการนำไปตรวจโรคบางประเภทได้ อาทิเช่น โรคมะเร็งในส่วนของไขกระดูก เป็นต้น

1. คำว่า ELETROPHORESIS นั้นเป็นสิ่งที่แปลได้ว่า “ การแยกส่วนของอนุภาคที่เป็นอนุภาคแขวนลอนอันอยู่ภายในของเหลวด้วยตัวระบบสำคัญอย่างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ” นั่นจึงสามารถที่จะสรุปได้ว่า IEP ก็เป็นการแยกเอาประเภทของโปรตีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวภูมิคุ้มกันที่มีลักษณะเป็นสารแขวนลอยที่อยู่ภายในเลือดผ่านระบบสนามแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้สามารถที่จะทราบได้ว่าแต่ละประเภทนั้นมีระดับปริมาณมากน้อยเท่าใด- ค่าปกติในส่วนของ IgM นั้นตามปกติจะอยู่ที่ 55 – 375 mg / dL แต่ในทางผิดปกติค่าของ Ig นั้น

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

2. คำว่า IEP นั้นเป็นสิ่งที่ย่อมาจาก IMMUNOGLOBULIN คำว่า IMMUNO นั้นหากจะแปลตรงตัวแปลได้ว่า “ ภูมิคุ้มกัน ”

3. คำว่า ELETROPHORESIS นั้นเป็นสิ่งที่แปลได้ว่า “ การแยกส่วนของอนุภาคที่เป็นอนุภาคแขวนลอนอันอยู่ภายในของเหลวด้วยตัวระบบสำคัญอย่างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
และสามารถที่จะสรุปได้ว่า IEP ก็เป็นการแยกเอาประเภทของโปรตีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวภูมิคุ้มกันที่มีลักษณะเป็นสารแขวนลอยที่อยู่ภายในเลือดผ่านระบบสนามแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้สามารถที่จะทราบได้ว่าแต่ละประเภทนั้นมีระดับปริมาณมากน้อยเท่าใด

ตารางแยกชนิดโปรตีนที่มีภูมิคุ้มกันจากเลือดของผู้ที่มีสุขภาพเลือดปกติ 

ชนิดของ  immunoglobulin ค่าปกติ ( ผู้ใหญ่ ) ( mg/dL )
IgG  565 – 1,765
IgA 85 – 385
IgM  55 – 375
IgE เล็กน้อย
IgD เล็กน้อย

 

บทบาทสำคัญของ IMMUNOGLOBULIN แต่ละประเภท

1. IgG นั้นเป็นสิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันอันมีปริมาณสูงสุดถึงร้อยละ 75 ของภูมิคุ้มกันของเลือด IgG นั้นจะถูกผลิตขึ้นมาในปริมาณเพิ่มมากขึ้นในทุกครั้งที่ร่างกายต้องเจอกับสารที่เป็นสารแปลกปลอมที่เกิดขึ้นจากตัวจุลชีพที่เข้ามาอยู่ภายในร่างกายของคนเรา อาทิเช่น สำหรับกรณีของการฉีดวัคซีนซ้ำทางด้านของ IgG จะทำการสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นมาให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนภายในระยะเวลา 5 วันจนถึง 7 วัน ส่วนของ IgG นั้นจะคอยอยู่เฝ้าระวังพวกเชื้อโรคต่าง ๆ ภายในกระแสเลือด ภายในเนื้อเยื่อ ยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ IgG ของตัวผู้เป็นแม่จะสามารถถ่ายทอดส่งต่อไปยังทารกได้นั่นจึงทำให้ในเด็กทารกเกิดภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นภายในร่างกาย ทำให้เมื่อเด็กคลอดออกมาจะยังคงสามารถทนต่อเชื้อโรคได้ไปในตัว

2. IgA นั้นก็เป็นอีกหนึ่งภูมิคุ้มกันที่เป็นลำดับรองลงมา นั่นคือ สามารถพบได้อยู่เพียงร้อยละ 15 เท่านั้น ในบางส่วนจะอยู่ภายในกระแสเลือด ในบางส่วนจะอยู่ในสารคัดหลั่งของทางด้านระบบทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร อาทิเช่น น้ำลาย นำนมเหลือง ฯลฯ ในช่วงที่เป็นช่วงเดือนแรกของการคลอดสิ่งนี้สามารถพบได้ในส่วนของโพรงจมูกหรือน้ำตาของทารกได้

[adinserter name=”oralimpact”]

3. IgM นั้นก็เป็นอีกหนึ่งภูมิคุ้มกันประเภทแรกที่จะเข้าไปต่อกรกับพวกเชื้อโรคที่เข้ามาภายในร่างกายของคนเรา ดังนั้น IgM จึงเป็นสิ่งที่สามารถทำหน้าที่โดยตรงต่อภารกิจในการดำเนินการสร้างภูมิคุ้มกันโรคหรือที่คุ้นหูกันดีว่า ANTIBODY จากทางด้านการฉีดวัคซีน อาทิเช่น โรคโปลิโอ เป็นต้น ซึ่งนั่นจำเป็นที่จะต้องใช้ช่วงระยะเวลายาวนานประมาณ 10 วันจนถึง 14 วัน เพื่อที่ส่วนของภูมิคุ้มกันนั้นจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ นั่นก็คือ จะต้องทำงานร่วมกันกับ B-CELL ตัว IgM นั้นส่วนใหญ่มักจะอยู่ภายในกระแสเลือด รองลงมาก็จะอยู่ตามส่วนของเนื้อเยื่อหรือตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ IgM นั้นเป็นสิ่งที่จำคอบทำหน้าที่ในการกำหนดหมู่ของเลือดพร้อมทั้งกำหนด Rh ร่วมด้วย IgM นั้นมักที่จะแสดงถึงปฏิกิริยาที่มีความเด่นชัดอย่างมากยามเมื่อเกิดการอักเสบเกิดขึ้น แต่ไม่สามารถผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งถ้าทารกมีค่า IgM สูงผิดปกติ จำเป็นต้องวินิจฉัยวิอาจได้รับเชื้อผ่านทางท่อปัสสาวะมารดา เช่น โรคหัดเยอรมัน หรือโรคติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ของมารดา

4. IgE เป็นภูมิคุ้มกันที่ใช้เฝ้าระวัง สารสร้างภูมิแพ้จากจุลชีพก่อโรคใดๆ เช่น จากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา

5. นับเป็นจำนวนที่น้อยที่สุด และปัจจุบันยังไม่ทราบบทบาทที่แน่ชัด

IEP ในลักษณะภาพรวม มีส่วนของ Ig นั้นจะมีเฉพาะเพียง 3 ตัว นั่นคือ IgG IgM และท้ายสุดคือ IgA ซึ่งล้วนแต่มีบทบาทสำคัญต่อลักษณะการแดงผลที่มีต่อสภาวะในเรื่องของภูมิต้านทานโรคที่แต่ละประเภทก็ต่างมีความแตกต่างกันออกไปและหากเป็นกรณีใดที่พบว่ามีการแสดงค่าในลักษณะที่สูงกว่าเกณฑ์หรือต่ำกว่าเกณฑ์สามารถที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่านั่นกำลังเข้าสู่การเกิดลักษณะสภาวะตามผิดปกติต่อระบบในร่างกาย หากจะทำการพิจารณาค่าของทั้งสามอาจจะสามารถทำให้คุณได้ทราบถึงข้อบ่งชี้เกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสภาวะของโรค

ตารางแสดงภาพรวม IEP

IgG  IgA IgM แสดงสภาวะ/โรค
ปกติ ต่ำ ปกติ Acute lymphocytic leukemia

( มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เฉียบพลัน )

ต่ำ ต่ำ ต่ำ Chronic lymphocytic leukemia

( มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เรื้อรัง )

ปกติ ต่ำ ปกติ Acute myelocytic leukemia

( มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไขกระดูกเฉียบพลัน )

ปกติ ปกติ ปกติ Chronic myelocytic leukemia

( มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไขกระดูกเรื้อรัง )

ปกติ ต่ำ ปกติ Hodgkin’s disease

( โรคฮอดกินส์ )

สูง ปกติ สูง Hepatitis

( โรคตับอักเสบ )

ปกติ สูง สูง Biliary cirrhosis

( โรคตับแข็งเหตุน้ำดี )

สูง ปกติ สูง Rheumatoid arthritis

( โรคข้ออักเสบจากรูมาตอยด์ )

สูง สูง สูง Systemic lupus erythematosus

( โรคผิวหนังผื่นแดงชนิดลูปุส )

สูง สูง ปกติ Nephrotic syndrome

( สภาวะของโรคไต )

ข้อควรพิจารณา
การแปลผล Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ควรทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตกของเม็ดเลือดแดง เช่น อายุ เพศ ภาวะซีด ภาวะเลือดข้น เม็ดเลือดแดงมีขนาดหรือรูปร่างผิดปกติ การเกาะกลุ่มกันของเม็ดเลือดแดง (autoagglutination) การตั้งครรภ์ ระยะของรอบประจำเดือน การใช้ยาบางชนิด ฯลฯ
1. Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) เป็น Indirect measurement ต้องแปลผลร่วมกับ Clinical และวัด Acute phase reactant ร่วมกับตัวอื่นด้วย เช่น CRP
2. Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ที่สูงมาก[>100] มี DDX ที่มักเกี่ยวกับโรค Autoimmune และ Chronic systemic inflamation , Ig disease ect
3. Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) ในผู้หญิงค่าปกติสูงกว่าผู้ชายและสูงขึ้นตามอายุ ในคนท้อง Erythrocyte Sedimentation Rate ( ESR ) สูง อาจเกิดจาก RBCs mass เพิ่มมากขึ้น

รายละเอียดเพิ่มเติมของ Erythrocyte Sedimentation Rate (ESR)

1. ความหมายของ Erythrocyte Sedimentation Rate (ESR)
2. วิธีการตรวจวัด ESR และหลักการทำงาน
3. ค่าปกติและค่าผิดปกติของ ESR
4. สาเหตุของค่า ESR สูงและต่ำ
5. ความสัมพันธ์ระหว่าง ESR และโรคต่าง ๆ
– การติดเชื้อ
– โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
– โรคอัมพาต
– โรคเกี่ยวกับระบบเส้นเลือด
– โรคมะเร็ง
6. ข้อควรระวังและข้อจำกัดของการตรวจ ESR
7. การตีความผลการตรวจ ESR ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ
8. การป้องกันและการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับค่า ESR ผิดปกติ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล,พลเอก. คู่มือแปล ผลเลือด เล่มแรก: กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์, 2554. 372 หน้า: 1.เลือด-การตรวจ. I. ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-48-7.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0.

Napolitano, LM.American College of Critical Care Medicine of the Society of Critical Care, Medicine; Eastern Association for the Surgery of Trauma Practice Management, Workgroup (Dec 2009).

American Association of Blood Banks (24 April 2014), “Five Things Physicians and Patients Should Question”, Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation, American Association of Blood Banks, retrieved 25 July 2014.

การตรวจเช็คเต้านมด้วยตนเอง

0
ตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ( Breast Selfexam )
การตรวจเช็คเต้านมด้วยตนเอง เป็นการตรวจหาความผิดปกติของเต้านม ที่อาจนำไปสู่สาเหตุการเกิดมะเร็งเต้านม
การตรวจเช็คเต้านมด้วยตนเอง ( Breast Selfexam )
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นการตรวจหาความผิดปกติของเต้านม ที่อาจนำไปสู่สาเหตุการเกิดมะเร็งเต้านม

ตรวจเต้านมด้วยตนเอง คือ

การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ( Breast Selfexam ) สามารถทำได้เมื่อมีอายุ 20 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจเต้านมตนเองทุกเดือนหลังประจำเดือนหมดไปแล้ว 3-5 วัน หรือลองเลือกวันใดวันหนึ่งของเดือน เช่น วันที่ 1 หรือวันที่เกิดของตัวเอง เพื่อที่จะได้ตรวจเป็นประจำและสม่ำเสมอ เนื่องจากในปัจจุบันมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้เป็นอับดับหนึ่งของมะเร็งในผู้หญิง การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ทำให้สามารถ วินิจฉัยมะเร็งเต้านมเบื้องต้นได้ก่อนที่จะมีอาการ

ขั้นตอนการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง

การตรวจเต้านม ท่ายืน

1. ดูเต้านม

  • เริ่มจากการถอดเสื้อออกให้หมด ยืนตรงหน้ากระจกใช้มือทั้ง 2 ข้างท้าวเอว สังเกตขนาดและรูปร่างของเต้านมรวมทั้งสีของผิวหนังที่เต้านม ให้สังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในภาวะปกติผู้ที่ไม่เคยรับการผ่าตัดเต้านมมาก่อน เต้านมทั้ง 2 ข้างควรมีขนาดใกล้เคียงกัน ไม่บิดเบี้ยวหรือผิดรูปไม่บวม ไม่มีรอยนูนที่ผิวหนัง หรือรอยบุ๋มของผิวหนังคล้ายเป็นลักยิ้ม สีผิวหนังปกติต้องไม่บวมแดงซึ่ง สังเกตได้จากการเห็นรูขุมขนชัดเจนมากกว่าปกติสังเกตระดับของหัวนมทั้ง 2 ข้าง ควรมีระดับที่ใกล้เคียงกัน หัวนมไม่บุ๋ม ยกเว้น บางคนอาจเป็นมาแต่กำเนิด ไม่มีแผลที่หัวนมหรือฐานหัวนม ถ้าพบว่ามีลักษณะผิดปกติดังกล่าวข้างต้น อาจมีสาเหตุมาจาก มะเร็งเต้านมได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • สังเกตว่ามีน้ำออกจากหัวนมข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างหรือ ไม่อาจเป็นน้ำสีเหลือง ใสเป็นน้ำปนเลือด หรือสีเหมือนน้ำนม
  • ขยับเอามือไปเท้าเอว แล้วเกร็งหน้าอกขึ้น ลองดูว่าเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ควรขยับให้เห็นด้านข้างทั้งสองข้างด้วย
  • โน้มตัวหรือก้มหัวไปด้านหน้า เพื่อเช็คความผิดปกติอีกครั้ง

2. ขอบเขตในการคลำเต้านม ให้ครอบคลุมบริเวณเต้านม ดังนี้      

  • การคลำในแนวขึ้น-ลง จาใต้เต้านม (ลูบขึ้น-ลง) เริ่มจาคลำใต้เต้านมขึ้นไปถึงกระดูกไหปลาร้า แล้วขยับนิ้วทั้งสามนิ้วคลำในแนวขึ้นลง สลับกันไปเรื่อย ๆ จนทั้วเต้านม
  • การคลำในแนวรูปลิ่ม ( ลูบเข้าหาหัวนม ) เริ่มคลำส่วนบนของเต้านมจนถึงฐานนม แล้วคลำกลับขึ้นสู่ยอด ทำไปเรื่อย ๆ จนทั่วทั้งเต้านม
  • การคลำในแนวก้นหอย ( วนเป็นวงกลม ) เริ่มคลำจากส่วนบนของเต้านมตามแนวก้นหอยไปจนถึงฐานนมบริเวณรอบรักแร้
  • ท่านอน สำหรับการตรวจเต้านมขวา ให้ใช้หมอนหรือผ้าห่มวางไว้ใต้ไหล่ขวา ส่วนมือขวาให้ชูขึ้นเหนือศีรษะหรือประสานไว้ที่ท้ายทอย จากนั้นใช้นิ้วมือซ้ายคลำเต้านมขวาให้ทั่วเหมือนท่ายืน เมื่อเรียบร้อยก็ให้สลับมาทำอีกข้างหนึ่ง

การตรวจเต้านม ท่านั่ง

การตรวจเต้านมในท่านั่งจะตรวจเต้านมในส่วนบนได้ดี ซึ่งการตรวจจะใช้มือข้างตรงข้ามคลำเต้านม ให้นิ้วชี้นิ้วกลาง และนิ้ว นางชิดกัน ใช้อุ้งนิ้วทั้งสามคลำเป็นวงกลม จากตรงกลางออกสู่ด้าน นอกของเต้านมต่อมาคลำจากด้านบน โดยการลูบจากบริเวณ ใต้กระดูกไหปลาร้าลงมาที่ราวนมในแนวตั้งให้ทั่วทั้งเต้านม และสุดท้ายคลำจากฐานหัวนมออกทางด้านนอกตามแนวรัศมี ให้ทั่ว ทั้งเต้านมตรวจในลักษณะเดียวกันในเต้านมข้างตรงข้าม ปกติเนื้อเต้านมควรเรียบ ไม่มีก้อน ไม่มีผื่น และไม่มีแผล

การตรวจเต้านม ท่านอน

  • นอนราบยกมือข้างหนึ่งไว้ใต้ศีรษะ ใช้หมอนหนุนไหล่ข้างที่จะคลำ และใช้มืออีกข้างตรวจคลำทุกส่วนของเต้านมทีละข้าง
  • เริ่มคลำจากส่วนนอกและเหนือสุดของเต้านม เวียนไปรอบเต้านม ค่อย ๆ เคลื่อนมือเข้ามาเป็นวงแคบ ๆ จนถึงบริเวณเต้านมให้ทั่วทุกส่วน
  • บีบหัวนมเบา ๆ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติไหลออกมาหรือไม่

ลักษณะของก้อนมะเร็งเต้านม

สำหรับก้อนที่อาจจะเป็นมะเร็งเต้านมนั้น มีลักษณะ คือ เป็นก้อนหนาๆ ไม่มีขอบ ไม่เคลื่อนที่ เมื่อคลำไปเจอจะรู้สึกได้ทันทีว่ามีความแตกต่างกับเนื้อนมบริเวณรอบ ๆ  หรือเมื่อเทียบกับเต้านมอีกข้าง แต่ถ้าหากเป็นก้อนกลม ๆ กดแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาได้ มีขนาดใหญ่เท่าลูกชิ้น อาจเป็นถุงน้ำ พังผืด ( Fibrocystic ) ที่ไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย แต่ถ้าหากอยากให้มั่นใจมากที่สุด ก็แนะนำให้ไปตรวจกับแพทย์ภายหลังคลำเจอก้อน

บริเวณที่มักพบก้อนมะเร็ง

  • ด้านบนติดกับรักแร้ สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 50
  • ด้านบนด้านใน สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 15
  • ด้านล่างด้านนอก สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 11
  • ด้านล่างด้านใน สามารถพบก้อนมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 6

การตรวจหามะเร็งเต้านมเพิ่มเติม

ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งเต้านม จนทำให้อาการของโรคเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ป่วยจึงมักมีอาการ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไอเรื้อรัง หายใจเหนื่อยหอบ น้ำหนักลด แพทย์อาจจะต้องทำการเอกซเรย์ดูอวัยวะภายในชิ้นต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบดูว่าเชื้อมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังจุดไหนบ้างแล้ว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

3 วิธี 6 ขั้นตอนง่ายๆ ในการคัดกรองมะเร็งเต้านมเบื้องต้น (ออนไลน์). สืบค้นจาก :https://www.ryt9.com [15 สิงหาคม 2562].

ผลกระทบจากการฉายรังสีรักษามะเร็งต่อระบบไหลเวียนโลหิต

0
การฉายรังสีมีผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต ส่งผลต่อไปยังหัวใจ
ภาวะหัวใจวายเกิดจากการฉายรังสี
การฉายรังสีรักษามะเร็งส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย

การฉายรังสีรักษามะเร็งส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต

การรักษาโรคมะเร็งด้วย การฉายรังสีจะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนเลือด ของผู้ป่วยทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเกิดเนื่องจากรังสีสร้างผลเสียกับ parenchyma cell ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น เซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด Mucosal Epithelium, Base Cell Epidermis เป็นต้น โดยรังสีจะปล่อยสารที่มีลักษณะเหมือนกับ Histamine ออกมาทำให้ parenchyma cell เกิดอาการบาดเจ็บส่งผลให้ภายในระบบหมุนเวียนของ  เลือดเกิดภาวะอักเสบขึ้น อาการที่สามารถพบได้ เช่น การขยายตัวของหลอดเลือด ( Vascular dilatation ) และมีการเกิดอาการแทรกซ้อนที่บริเวณของหลอดเลือดฝอย หรือการเกิด interstital edema เป็นต้น

ผลกระทบมะเร็งที่เกิดขึ้นเฉพาะที่กับ ระบบไหลเวียนเลือด จะเป็นชนิดเรื้อรังมากกว่าที่จะเป็นชนิดเฉียบพลัน ซึ่งจะมีความต่างกับการบาดเจ็บของ Parenchyma cell ที่มักจะเกิดผลกระทบชนิดเฉียบพลัน เมื่อมีผลกระทบเกิดขึ้นจะส่งผลให้กระบวนการขนส่งสารอาหารจากเลือดแดงที่อยู่ภายในหลอดเลือดแดงส่งไปยังเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในเนื้อเยื่อเกิดขึ้นน้อยลงจนทำให้เส้นเลือดฝอยเกิดการฝ่อตัวลง ( Parenchymal Atrophy ) ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเส้นเลือดฝอยน้อยลง ( Telangiectasis ) ส่งผลให้เส้นเลือดมีการขยายตัวและมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดขึ้นกับเส้นเลือดทุกส่วนที่อยู่ภายในร่างกาย

ผู้ป่วยที่เคยได้รับ การฉายรังสี ที่บริเวณหัวใจสามารถพบว่ามีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น มะเร็งเต้านม Lymphoma Seminoma มะเร็งปอด ซึ่งผลกระทบชนิดฉับพลันที่พบได้แก่ Pericardditus ซึ่งอาการข้างเคียงชนิดเฉียบพลันที่เกิดขึ้นจะเป็นอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่ว่าอาการข้างเคียงชนิดเรื้อรังที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการฉายรังสีเป็นระยะเวลาเป็นปีหรือหลายปี คือ ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และเราได้ทำการแบ่งระดับความรุนแรงของผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นทั้งทางคลินิกและ Subclinical ที่จะสามารถบอกถึงความรุนแรงของภาวะ radiotherapy-induced heart disease ได้ดังนี้

1. อาการทางคลินิกที่พบได้แก่ กลุ่มโรคหัวใจที่มีความเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการเกิดของโรคได้ดังนี้

1.1 กลุ่มโรคที่เกิดขึ้นแบบเฉพาะที่ ( Regional )

  • โรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary Artery disease ( CAD )
  • โรคลิ้นหัวใจ ( Valvular disease )
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ( Myocardial infarction ( MI )

1.2 กลุ่มโรคที่เกิดขึ้นกับทั้งระบบของอวัยวะ ( Global )

  • อาร์ริทเมียจากการรักษามะเร็ง ( Arrhythmia ) หรือภาวะที่หัวใจมีการเต้นที่ผิดจังหวะ
  • Autonomic Dysfranction
  • หัวใจวายจากการรักษามะเร็ง ( Congestive Heart Failure ( CHF ) คือ การที่หัวใจไม่สามารถทำการสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้หรือการทำงานของหัวใจเกิดล้มเหลวส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆเกิดภาวะขาดออกซิเจน   
  • ภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ Pericarditis/Pericardial Effusion

ซึ่งผู้ป่วยจะมีภาวะเสี่ยงมากถึง 1.5-3.5 เท่าก็ต่อเมื่อมีการได้รับรังสีเข้าสู่ส่วนที่เกิดอาการ ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงลักษณะของ Clinical Endpoint ดังนี้

ภาวะหัวใจวายผลกระทบจากการรักษามะเร็ง ( Congestive Heart Failure หรือ CHF )

พบว่าภาวะหัวใจวายที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ทำการรักษาด้วย การฉายรังสี มีโอกาสที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ แต่สำหรับผู้ป่วยที่ทำการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอด์กิน ( Hodgkin lymphoma ) ที่ใช้ Subcarinal Blacking พบว่าภาวะหัวใจวายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากกว่าการเสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจเกิดภาวะขาดเลือด ซึ่งความเสี่ยงในการเสียชีวิตของผู้ป่วยจะลดลงเหลือเพียงแค่ 1.4 เท่า จากที่มีอันตราเสี่ยงมากถึง 5.4 และต่อมา Adams พร้อมกับคณะของเขายังได้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีแบบ Mantle Irradiation นั้นจะมีโอกาสที่จะรอดชีวิตสูงกว่าแต่จะมีความดันเลือดที่เกิดขึ้นในขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อส่งเลือดเข้าสู่เส้นเลือด (Diastolic) จะมีความผิดปกติมากกว่าความดันเลือดขณะที่อยู่ในการพัก ( Systolic ) อีกด้วย

โรคหัวใจขาดเลือด ( Ischemic Heart Disease )
พบว่าการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณหัวใจข้างซ้ายจะส่งผลให้มีภาวะเสี่ยงในการเกิด Cardiac Mortality มากกว่าถึง 1.5 เท่าในการฉายรังสีเข้าสู่หัวใจทางด้านซ้าย และส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.27 เลยทีเดียว

ภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ( Pericardial disease )
การเกิดเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นชนิดเรื้อรัง คือเกิดหลังจากที่ผู้ป่วยทำการรักษาด้วย การฉายรังสี ผ่านไปแล้วเป็นระยะเวลาที่นาน ซึ่งการเกิดจะไม่ค่อยแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ถ้าทำการตรวจจะพบว่ามี  Chronic Pericardial Effusion เกิดขึ้นได้ และส่วนมากอาการที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถหายเองได้ แต่ก็มีส่วนน้อยประมาณร้อยละ 20 ที่จะสามารถกลายเป็น Constrictive Pericaditis ซึ่งเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นจำเป็นจะต้องทำ Pericardectomy

โรคลิ้นหัวใจ ( Valvular Disease )
พบว่าการฉายรังสีที่ Internal Mammary node ส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติที่บริเวณของลิ้นหัวใจซึ่งความเสี่ยงในการเกิด Valvula Dysfunction มีมากกว่า 3.17 เท่าของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีและมีค่าสูงมากถึงร้อยละ 16-40 คนปกติ

โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจากการฉายรังสี
ผลกระทบใน การรักษามะเร็ง ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับ การฉายรังสี เข้าสู่บริเวณ mediastinum คือ การที่มีนำเกิดขึ้นภายในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ ( Pericardial Effeusion ) ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบถาวรและแบบชั่วคราว ซึ่งกาสรเกิดชนิดชั่วคราวจะเกิดขึ้นได้มากกว่าและสามารถทำการตรวจด้วยการทำเอกซเรย์หรือหารตรวจด้วยคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง ( Echocardiography ) ซึ่งผลกระทบข้างเคียงที่เกิดขึ้นชนิดชั่วคราวนี้จะสามารถหายเองได้ในระยะ 2-5 เดือนแต่ถ้าเป็นชนิดถาวรต้องทำการผ่าตัดเพื่อป้องกันการเกิด Constricitive Pericarditis ผู้ป่วยสามารถเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนนี้ได้ประมาณร้อยละ 6

ซึ่งความสัมพันธ์ระกว่างปริมาณรังสีกับการเกิดอาการแทรกซ้อน พบว่า ที่ปริมาณรังสีต่ำกว่า 40 Gy จะมีการเกิดอาการแทรกซ้อนที่ค่อนข้างน้อยมากและจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณรังสี โดยเมื่อมีปริมาณรังสีที่ 50 Gy จะมีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนร้อยละ 10 และที่ปริมาณรังสี 60 Gy ค่ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 50 นอกจากนั้นแล้วเมื่อค่า Dose-Volume histogram ( DVH ) ควรมีค่าปริมาณรังสีที่ไม่เกิน 50 Gy ( rV50 ) ด้วย

การมีน้ำอยู่ในช่องเนื้อหุ้มหัวใจสามารถทำการตรวจพบได้เมื่อมีน้ำอยู่ในช่องเยื่อหุ้มหัวใจอย่างน้อย 250 มิลลิลิตร ด้วยการเอกซเรย์ แต่ถ้าทำการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงจะสามารถตรวจพบเมื่อมีน้ำเพียงแค่ 25 มิลิลิตรเท่านั้น แสดงว่าถ้าทำการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงเราจะมีโอกาสพบโรคในระยะเริ่มต้นและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

โรคหลอดเลือดหัวใจที่เกิดขึ้นจากการฉายรังสี
ผู้ป่วยที่เคยได้รับรังสีมาก่อนที่จะทำการรักษาและในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 42 ปี พบว่าเมื่อได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่ประมาณ 30-50 Gy เข้าสู่ส่วนของ Mediastium จะนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจขึ้น แสดงว่าการาฉายรังสีที่หัวใจนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยอการดั้งกล่าวจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับ การฉายรังสี ไปแล้วประมาณ 5 ปีขึ้นไป

ผู้ป่วยที่รักษามะเร็งเต้านมด้วยวิธีการฉายรังสี มีความเสี่ยงมากขึ้นในการเป็นโรคหัวใจ ซึ่งความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นไม่ว่าจะมากหรือน้อย อาการที่เกิดขึ้นคือหลอดเลือดจะแข็งตัวและอุดตัน มีโอกาสในการเกิดโรคหัวใจสูงในเวลาต่อมา

ลักษณะทางพยาธิวิทยา

เมื่อทำการตรวจศพของผู้ป่วยที่เสียชีวิตที่มีประวัติการรักษาด้วยการฉายรังสีที่มีปริมาณรังสีสูง ๆ เข้าสู่บริเวณ Mediastium จะมีลักษณะดังนี้

1. เยื่อบุหัวใจ ( Endocardium ) และเยื่อหุ้มหัวใจ ( Pericardium ) มีความหนาขึ้นเนื่องตากการที่คอลลาเจนเข้ามาแทนที่ Adipose Tissue

2. มีการเกิด Fibrinous Exudates ที่เป็นทั้งแบบ Fibroblast และแบบ Fibrous Adhesion อีกเป็นจำนวนมาก

3. มีการเกิด Diffuse Interstitial Fibrosis ที่ส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจ โดยที่เส้นใยกล้ามเนื้อของกหัวใจจะมีการแยกออกจากกัน โดมีความหนาของคอลลาเจนเข้ามาเป็นตัวแยก

เมื่อทำการศึกษาต่อมาพบว่าผู้ป่วยจะมีการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบลงมากกว่าร้อยละ 75 หลังจากที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีไปแล้วประมาณ 4 ปี

พยาธิกำเนิดและพยาธิสรีรวิทยา

โรคเยื่อหุ้มหัวใจเกิดการอักเสบเนื่องจาก การฉายรังสี สามารถเกิดขึ้นได้เอง ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจที่เคยได้รับการฉายรังสีมาก่อนหรือไม่ ซึ่งโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 4 เดือนหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีและสามารถหายได้เองในเวลาต่อมา ถ้าไม่มีการเกิด Cardiac Insuffciency ที่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บที่พบในกล้ามเนื้อหัวใจที่เกิดขึ้นในภายหลัง ที่จะเข้ามาทำให้โรคเยื่อหุ้มหัวใจมีอาการหนักขึ้นกว่าเดิม

การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจที่เกิดขึ้นหลังจากจากที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีนั้นจะเกิดขึ้นในระยะเวลาต่อมา ก็ต่อเมื่อการฉายรังสีนั้นได้ทำความเสียหายให้กับ Capillary Bed ไปแล้วนั่นเอง ส่งผลให้ความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอยที่อยู่ในหัวใจค่อย ๆ มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ทำการฉายรังสีไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน และจะมีการลดลงอย่างรวดเร็วของ Capillary Bed จะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีอาการหรือสัญญาณอื่น ๆ ตามมา และการที่กล้ามเนื้อหัวใจมี่สามารทำหน้าที่ได้ โดยที่ก่อนที่ความหนาแน่ของหลอดเลือดฝอยจะลดลงนั้นจะมีการลดลงของการะบวนการ Proliferative Response ของส่วนของ Endothelial Cell รวมถึงมีการที่เอนไซม์ Alkaline Phosphatase ของชั้น Endothelium ด้วย

ประสิทธิภาพในการทำงานและโครงสร้างของระบบเส้นเลือดฝอยจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการฉายรังสีแล้วประมาณ 1 ปีหรือมากกว่า

กลไกทางชีววิทยาของ Radiation-Induced Cardiovascular Damage

สามารถอธิบายได้ดังนี้

1.มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงหน้าที่แบบ Reversible ที่เกิดขึ้นภายใน Capillary Endothelial Cell

2.Lymphocyte เข้ามา Adhesion โดยมีการทำร่วมกับการเกิด Extrasvastion ของส่วนหลอดเลือด

3.เกิดกระบวนการสร้าง Thrombus ที่จะส่งผลให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กเกิดขึ้น ทำให้ความหนาแน่นของส่วน capillary ลดลงแบะยังมีการสูญเสียการทำงานของเอนไซม์ Alkaline Phosphatase ด้วย

4.มีการเกิด Proliferation ที่ของ Endothelial Cells อย่างเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับความหนาแน่นของ Capillary ที่มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้เกิดสภาวะขากเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายและกลายเป็นพังผืดเกิดขึ้น
ผลกระทบจากการ Fractionation ต่อโรคหัวใจที่มากจาก การฉายรังสี

โรคเยื่อหุ้มหัวใจเกิดการอักเสบจะมีความสัมพันธ์กับประมาณรังสีที่ใช้ในการฉายแต่ละครั้ง โดยที่ถ้าค่าปริมาณรังสีมีค่ามากกว่า 3 Gy จะสร้างผลกระทบให้กับตัวผู้ป่วย โดยพบว่าเมื่อผู้ป่วยมีการได้รับปริมาณรังสีโดยรวมกับเยื่อหุ้มหัวใจด้านหน้าทั้งสองข้างเท่ากันจะส่งผลให้การเกิดโรคเยื่อหุ้มหัวใจมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากกว่าการได้รับรังสีทั้งสองข้างไม่ เท่ากัน

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นต่อกันระหว่างการฉายรังสีให้กับหัวใจร่วมกับการใช้ยาเคมีบำบัด

โรคหัวใจจาก การรักษามะเร็ง ที่เกิดจากการใช้ยา Doxorubicin มีโอกาสที่จะสามารถสร้างความเสียหายกับหัวใจได้โดยตรง โดยยา Doxorubicin จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ และยังพบด้วยว่าการให้ยาเคมีบำบัดส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากถึงครึ่งหนึ่งเลยที่เดียว และยังพบอีกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีร่วมกับการให้เคมีบำบัดจะมีโอการเกิดโรคได้มากกว่าผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งด้วย และปริมาณยาที่เหมาะสมในการรักษาคือ ปริมาณยาโดยรวมมีเกิน 450 mg/m2
หรือสามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า การเกิด Radiationinduced Heart Disease จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามปริมาณชองส่วนของหัวใจที่ได้รับรังสี ปริมาณรังสีและ Dose Per Fraction ที่มีค่ามากกว่า 2 Gy ต่อครั้ง
ผลกระทบที่เกิดจากการฉายรังสีที่บริเวณเส้นเลือดใหญ่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดใหญ่ยังไมมีข้อยืนยันที่ชัดเจนเสียทีเดียว แต่ก็มีการศึกษาและรายงานผลได้บ้าง ว่าผลกระทบทีเกิดขึ้นกับเส้นเลือดใหญ่จะเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น ๆ มากกว่าจะเกิดขึ้นจากการได้รับการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเส้นเลือดแดงที่ส่วนคอ ( Carotid ) เส้นเลือดที่ออกจากหัวใจ ( Arota ) และเส้นเหลือที่บริเวณต้นขา ( Femora ) ที่ได้รับการฉายรังส่งผลให้มีการเกิด Spontaneous Rupture พบว่าอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจะเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผ่าตัดร่วมด้วย

การรักษา Radiation Induced Cardivascular Disease

1. การใช้ยาที่อยู่ในกลุ่ม Angiotensin Conver Ting Enzyme Inhibitors ( ACEIs )
ประกอบด้วยยา ACEIs และ Statins ที่สามารถช่วยในการลดความดันโลหิต และยังช่วยยับยั้งการสร้าง Angiotensin II ด้วย จึงช่วยทำให้เส้นเลือดเกิดการผ่อนคลาย ยาในกลุ่มนี้สามารถช่วยป้องกันการเกิดของโรคหัวใจที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติและที่เกิดขึ้นจากการได้รับ การฉายรังสี

2. การใช้ยาในการยับยั้งกระบวนการเกิดการอักเสบและกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อนการแข็งตัวของลิ่มเลือด ( Inhibition of Inflammatory and Pro-Throbotic Process )
ยาในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการเกด Vasoconstriction และยังความเป็น Antiinflammatory ที่ได้รับการทดลองถึงประสิทธิภาพของยาต้านเกร็ดเลือด Clopidogrel, Antiplatelet, Nitric Oxiderelesing Form  ( NCX 4016 ) ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ Endothelial ที่มีความผิดปกตินั้นกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ นอกจากนั้นแล้ว Antiplatelet กับ Clopidogrel ยังมีความสามารถในการยับบั้งการเกิด Platelet aggregation อีกด้วย

3. การใช้ยาที่อยู่ในกลุ่ม Statins
ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติที่สามารถช่วยยับยั้งการสร้าง cholesterol ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคหัวใจที่มีได้มีสาเกตุจากการได้รับการฉายรังสี แต่ในส่วนของ Statins จะเข้าไปช่วยในการชะลอการเกิดของ Formation ในส่วนของ Atherosclerotic Plaques และยังสามารถช่วยลดหรือรักษาขนาดของ plaques ที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนั้นยังช่วยลดความเสี่ยงของ plaques ที่มีความเสี่ยงจะแตกออกแล้วเกิดเป็นลิ่มเลือดที่เข้าไปอุดตันในเส้นเลือดได้ และยังสามารถช่วยลดอาการอักเสบที่มีได้ด้วย

การรักษาด้วย การฉายรังสี ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะได้ทำการรักษาผู้ป่วยจากโรคมะเร็งให้หายได้โดยที่มีการใช้ Dose Distribution ที่ดีมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดมากขึ้น และพบว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับหัวใจก็มีค่าลดลงตามไปด้วย ซึ่งเป็นความพยายามของแพทย์ผู้ทำการรักษาที่มีความพยายามที่จะฉายรังสีให้ตรงกับส่วนที่ต้องการทำลายมากที่สุด โดยที่มีการกระจายของรังสีไปยังส่วนอื่น ๆน้อยที่สุด หรือฉายให้ตรงกับเป้าหมายมากกที่สุดนั้นเอง และยังมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอีกมากมาย และยังมีการใช้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัดเข้ามาช่วยในการรักษาเพื่อเป็นการลดปริมาณรังสีที่ใช้ในการรักษาให้น้อยลง จึงสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับการรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในบริเวณที่มีความใกล้เคียงกับหัวใจ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

อิ่มใจ ชิตาพนารักษ์. ผลกระทบจากการรักษาโรคมะเร็ง. เชียงใหม่: ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2557.

Schweizer E. Ueber spezifische Roentgenschaedigungen des Herzmuskels. Strahlentherapie. 18:812-828, 1924.

Cohn KE, Stewart JR, Fajardo LF, et al. Heart disease following radiation. J Med. 46:281-298, 1967.

Gilladoga AC, Corazon M, Tan CC, et al. Cardiotoxicity of adriamycin in children. Cancer Chemother. 6:209-215, 1975.

อาหารอะไรบ้างที่มีสารจับออกซิเจนบำรุงเซลล์ผิว?

0
แครอตสีส้ม
แครอต พืชกินหัวที่มีเบตาแคโรทีนสูง
น้ำผลไม้สดปั่น แหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น
น้ำผลไม้สด แหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น

สารจับออกซิเจน

เชื่อว่าทุกคนคงจะคุ้นเคยกับการเกิดสนิมของเหล็กและเหล็กกล้ากันเป็นอย่างดี การเกิดสนิมของเหล็กกล้า การเกิดสนิมเหล็ก (เหล็กออกไซด์) เป็นผลมาจากการเติมออกซิเจน (ออกซิเดชั่น) เป็นปฏิกิริยาเคมีระหว่างเหล็กกับออกซิเจนในอากาศ เหล็กจะไม่เกิดสนิมหากเอาเฉพาะเหล็กและออกซิเจนมาไว้ด้วยกัน การเกิดสนิมของเหล็กจำเป็นต้องมีตัวเหนี่ยวนำ และตัวเหนี่ยวนำตามธรรมชาติที่ทำให้เหล็กเป็นสนิมก็คือ ความชื้น น้ำ และอากาศ เป็นการทำงานประสานแบบร่วมด้วยช่วยกันอย่างสมบูรณ์แบบที่ทำให้ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเหล็กและเกิดเป็นสนิมขึ้น เมื่อมีสนิมเคลือบผิวนอกของเหล็ก ปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนก็จะชะลอตัวลง เพราะว่าออกซิเจนจะแทรกตัวลงไปถึงเนื้อเหล็กที่ยังไม่เป็นสนิมได้ยากขึ้น สนิมจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าออกซิเจนสัมผัสผิวเหล็กไม่ได้ ถ้าเราเอาสนิมกับตัวการเกิดสนิมคือสัญญาณที่แสดงถึงความเก่า ความแก่ หรือความชรา และความชราภาพของเหล็ก กล่าวคือ ถ้าแก่เกินวัยเมื่อเทียบกับเหล็กซึ่งอยู่ในที่แห้งก็ไม่เป็นสนิม

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รายการ สารจับออกซิเจน ต่างๆ

วิตามินเอและสารพวกแคโรทีน

วิตามินเอที่มีในอาหารแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ วิตามินเอชนิดน้ำมัน ( เรทินอล ) ได้จากสัตว์ โดยเฉพาะจากตับ เช่น น้ำมันตับปลา เรทินอลมักจับอยู่กับกรดไขมัน เช่น กรดพาลมิทิก อีกรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ คือ เบตาแคโรทีนที่ได้จากพืช เบตาแคโรทีนจะเปลี่ยนสภาพเป็นวิตามินเอภายในร่างกาย ดังนั้น ในบางครั้งจึงเรียกสารชนิดนี้ว่า สารต้นกำเนิดของวิตามินเอ เป็นที่ทราบกันว่า เบตาแคโรทีนมีความสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรคตาบอดกลางคืน โภชนสารสำคัญชนิดนี้มักเป็นส่วนหนึ่งของระบบอาหาร ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและการแก่ก่อนวัย ในฐานะชีว สารจับออกซิเจน เบตาแคโรทีนเป็นสารจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกระบวนการหลายอย่างของร่างกาย และเป็นสารป้องกันภายในที่ให้ผลดีเยี่ยมต่อการเกิดสภาพเกรียมแดด

วิตามินเอชนิดน้ำมัน แม้จะเป็นชนิดที่ใช้ในโภชนาการ แต่ก็มีคุณสมบัติสู้แคโรทีนไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายเก็บสะสมวิตามินเอชนิดน้ำมันไว้ตามเนื้อเยื่อต่างๆ หากร่างกายสะสมวิตามินเอเอาไว้มาก ๆ อาจก่อให้เกิดพิษภัยได้ เช่น ทำให้ง่วงนอน หงุดหงิด และปวดศีรษะ การให้อาหารประเภทตับเป็นส่วนประกอบแก่หญิงมีครรภ์มากๆ หรือการให้วิตามินเอชนิดน้ำมัน ต้องบอกเลยว่าข้อห้ามเด็ดขาด เพราะเคยปรากฏแล้วว่าทารกที่คลอดออกมาพิการ เนื่องจากขณะที่แม่กำลังตั้งครรภ์ได้รับวิตามินเอชนิดน้ำมันเกินขนาด มาตรวัดปริมาณวิตามินเอชนิดน้ำมันใช้เป็นหน่วยสากล (IU) ถ้าใช้เสริมอาหารห้ามกินเกินวันละ 7,500 หน่วยสากล โดยทั่วไปแล้วเพียง 2500 หน่วยสากลก็เพียงพอ ปริมาณนี้เป็นปริมาณที่แนะนำในยุโรป ซึ่งเท่ากับเรทินอล 800 ไมโครกรัม ส่วนทางสหรัฐฯ แนะนำให้รับได้ถึง 5,000 หน่วยสากล หรือเท่ากับเรทินอล 1,600 ไมโครกรัม

อาหารที่มีเบตาแคโรทีน ไม่ปรากฏว่าทำให้เกิดพิษเนื่องจากร่างกายจะเปลี่ยนแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอตามที่ต้องการเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ขับถ่ายทิ้งไป แคโรทีนเป็นสารที่ละลายได้ในน้ำและกระจายไปทั่วร่างได้อย่างรวดเร็ว ขนาดเดียวกันร่างกายก็ขับถ่ายออกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน จึงต้องกินอาหารที่มีสารชนิดนี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะคงระดับวิตามินเอในกระแสเลือดอยู่ตลอดเวลา เบตาแคโรทีนส่วนเกินที่ร่างกายได้รับจากอาหาร ซึ่งมีทางเป็นไปได้ทางเดียวคือ ได้จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตขึ้น และเบตาแคโรทีนบริสุทธิ์จะเปลี่ยนสีเป็นไขมันในร่างกาย ทำให้ผิวหนังเป็นสีเหลืองน้ำตาล ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้เป็นที่นิยมในหมู่คนที่ต้องการมีผิวสีน้ำตาลโดยไม่ต้องออกแดด
สารจำพวกแคโรทีนอยด์เท่าที่รู้จักกันมีอยู่มากกว่า 600 ชนิด ทุกชนิดมีศักยภาพที่จะเป็นชีว สารจับออกซิเจน แต่เบตาแคโรทีนเป็นรูปแบบทางโภชนาการที่ดีที่สุดของแคโรทีนอยด์ ที่มีฤทธิ์แรงในการจับออกซิเจนและมีอยู่ในอาหาร มีรูปแบบที่สำคัญดังนี้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • ไลโคปีน (มะเขือเทศ)
  • อัลฟาแคโรทีน (แครอท)
  • เบตาคลิพโทแซนทิน (ส้มต่างๆ)
  • ลิวทีนและซีแอกแซนทิน (ผักโขม หรือผักขม และบรอกโคลี)
  • แคนทาแซนทิน (มีอยู่ทั่วไปในอาหาร)

ตารางที่แสดงปริมาณวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีอยู่ในอาหาร

วิตามินเอ (แคโรทีน) จากผัก (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
หัวแครอทแก่ดิบ 8115
หัวแครอทต้ม 7560
หัวแครอทอ่อนดิบ 5330
มันเทศต้ม 3960
 ผักโขมต้มและพริกแดง  3840
 ผักโขมดิบ  3535
 ผักโขมกระป๋องอุ่น  3370
แพงพวยน้ำ, ผักแช่แข็งต้ม 2520
ถั่วงอกเขียวต้ม 2270
มันฝรั่งเผา 1840
ซุปมะเขือเทศข้น 1300
มัสตาร์ดและเครส 1280
แมงเกเทาต์กวนและทอด 725
แมงเกเทาต์ต้ม 665
มะเขือเทศดิบ 640
ต้นหอมดิบ 620
คูร์เกตสด 500
บร็อกโคลีต้ม 475
กระเจี๊ยบต้ม 465
กะหล่ำเขียวดิบ 385
ผักกาดหอมเขียว 335
กะหล่ำปมต้ม 320
พริกเขียวดิบ 265
ถั่วเมล็ดกลมสดต้ม 250
ถั่วปากอ้าต้ม 225
มะเขือเทศกระป๋อง 220
ถั่วสีเขียว (แช่แข็ง) ปรุงสุก 180
สวีทต้ม 165
ยี่หร่าสด 140
ข้าวโพดกระป๋องอุ่น 110
แตงกวาดิบ, กะหล่ำดอกต้ม, ถั่วกระป๋อง 60
กะหล่ำดอกสด, เซเลอรี 50
กะหล่ำปลีขาวดิบ, หอมใหญ่ทอด 40
หัวบีทต้ม 27
ถั่วแขกต้ม, เทอร์นิพ 20
มันฝรั่ง, เห็ด, หัวผักกาด 0

ตารางแสดงปริมาณ วิตามินเอ (แคโรทีน) ที่อยู่ในสมุนไพรและเครื่องเทศ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินเอ (แคโรทีน) สมุนไพรและเครื่องเทศ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
ผักชีสด 4040
หริกขี้หนู, พริกชี้ฟ้า 3625
เซจตากแห้ง 3540
ใบไทม์ตากแห้ง 2280
พริกป่น 2100
โรสแมรีตากแห้ง 1880

 

ตารางแสดงปริมาณวิตามินเอ (แคโรทีน) ที่มีในผลไม้ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินเอ (แคโรทีน) จากผลไม้ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
มะม่วงสุก 1800
มะม่วงกระป๋อง 1470
แตงแคนตาลูป  1000
มะละกอ 810
เสาวรส 750
แอปริคอทแห้ง 545
แอปริคอทดิบ 405
พลัมดิบ 295
มะละกอกระป๋อง 255
แดมซันกวน 240
แตงโม 230
มะกอกฝรั่ง 180
แอปริคอทกระป๋อง  155
ฝรั่งกระป๋อง 145
ส้มแมนดารินกระป๋อง 105
ส้มจีน 97
แบลกเคอเเรนต์กวน 78
คลีเมนไทน์, ลูกท้อกระป๋อง, ซัทสึมะ 75
แบลกเบอร์รีกวน 68
พลัมกวน 62
มะเดื่อแห้ง 59
ลูกท้อสด 58
ท้อเปลือกเรียบสด, แตงฮันนีดิว 48
กูสเบอร์รีกวน 41
กีวีสด 37
ส้มสด, โกฐน้ำเต้า 28
เชอร์รีสด 25
กล้วย 21
สาลี่สด 19
มะนาวฝรั่ง, สับปะรดสด, แอปเปิ้ล 18
องุ่น 17
เกรฟฟรุต (ส้มแก้ว), อินทผาลัมสด 15
แอปเปิลกวน 14
ลูกเกด, แตงซัลทานา 12
สับปะรดกระป๋อง 0
อะโวคาโด 11
ผลไม้รวมแห้ง 9
สตรอเบอร์รี 8
เคอร์แรนต์ 6
ราสพ์เบอร์รี, ส้มแก้วกระป๋อง, ลิ้นจี่, แตงแกลเลีย, เปลือกส้ม, สาลี่กระป๋อง 0 หรือน้อยมาก

 

ผลไม้ตระกูลแตงมีประโยชน์มาก ผลไม้เหล่านี้มีค่าวิตามินเอตั้งแต่ 0 คือ แตงแกลเลีย แตงโม 230 และสูงสุดคือแตงแคนตาลูป 1000 แอปริคอตมีวิตามินเอสูงเมื่อทำแห้ง แต่ผลไม้อื่น เช่น ลูกเกด องุ่นแห้ง มีคุณค่าต่ำลง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิตามินบี

วิตามินบีประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด มีอยู่ตามธรรมชาติในอาหาร วิตามินกลุ่มนี้มักไม่ถือว่าเป็นสารจับออกซิเจน แต่วิตามินกลุ่มนี้เป็นวิตามินที่ยังคงพึ่งพาวิตามินที่เป็นสารจับออกซิเจนอยู่ เช่น วิตามินซี

กรดโฟลิก (วิตามินบี ซี) และ ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี2) เป็นวิตามินบีที่สำคัญในฐานะที่เป็นปัจจัยในการจับออกซิเจน วิตามินทั้งสองนี้พบได้ทั่วไปในอาหาร แต่มักเกิดภาวะการขาดกรดโฟลิกได้ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าการขาดวิตามินชนิดนี้สามารถทำให้ทารกพิการ สำหรับบทบาทของวิตามินอีร่วมกับวิตามินซีซึ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อการเป็นโรคหัวใจ

ในวงการโภชนาการ มีความตื่นกลัวในเรื่องการขาดกรดโฟลิกซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาแก่สุขภาพ ดังนั้น ในแผนโภชนาการเกี่ยวกับสารจับออกซิเจนที่เหมาะสมจะต้องเพิ่มกรดโฟลิกเข้าไปด้วยอย่างน้อยวันละ 400 ไมโครกรัม

การขาดวิตามินบี2 มักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีปัญหาเรื่องตาและการอักเสบระบมเรื้อรัง อาการเหล่านี้มักบรรเทาได้ด้วยโภชนาการสารจับออกซิเจนชนิดหลัก ๆ

วิตามินซี

โภชนาการสารจับออกซิเจนที่สำคัญเป็นวิตามินที่สำคัญด้วย วิตามินซีมีความสามารถในการฟื้นฟูวงจรทางเคมีต่าง ๆ ในระดับเซลล์ และเป็นตัวขับเคลื่อนของระบบการจับออกซิเจนหลายระบบ ความจริงแล้ววิตามินซีไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวทำงานโดยตรง ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักของกระบวนการทางเคมี วิตามินซีเป็นเพียงตัวกระตุ้นสารต่าง ๆ ที่ไม่สามารถทำงานได้นอกจากความช่วยเหลือของวิตามินซีเท่านั้น วงจรของสารจับออกซิเจนในการใช้สารอาหารที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ยูบิควิโนน (Co-Q10) เป็นตัวอย่างที่ช่วยให้คิดว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องกินในลักษณะสารอาหารเสริม เพราะว่าวิตามินซี สามารถทำให้ร่างกายสร้างยูบิควิโนนขึ้นได้ภายในเซลล์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิดที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับ โค-คิว10 อาจเกิดขึ้นเองได้ในร่างกายด้วยการอาศัยวิตามินซี

วิตามินซีเป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ มีอยู่ทั่วไปในผลไม้และผัก สัตว์เลือดอุ่นบางประเภทสามารถสังเคราะห์วิตามินชนิดนี้ขึ้นได้เองในร่างกาย แต่มนุษย์ขาดสมรรถภาพทางด้านนี้ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีจากอาหาร การที่สัตว์บางประเภทยังสามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เองและยอมรับว่าวิตามินซีเป็นเพียงตัวกระตุ้นระบบการรับและให้ออกซิเจนภายในเซลล์มากกว่าเป็นตัวกระทำน่าจะเป็นความถูกต้อง การที่มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นเองได้นั้น คาดว่าแต่ก่อนมนุษย์ได้รับสารอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีอยู่เป็นเวลานานนานจนกระทั่งร่างกายหรือวิธีสังเคราะห์วิตามินชนิดหมดไป

ตารางปริมาณวิตามินซีที่ได้จากผัก (มิลลิกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินซีจากผัก (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
พริกหวานแดงดิบ 140
พริกหวานเขียวดิบ 120
กะหล่ำปมดิบ 90
พริกหวานแดงสุก 81
สาหร่ายเคลป์ต้ม 71
พริกหวานเขียวสุก 69
แพงพวยน้ำ 62
กะหล่ำดอกสด, กะหล่ำปมต้ม 60
กะหล่ำแดงดิบ 55
แมงเกเทาต์ปรุงสุก 54
กะหล่ําเขียวดิบ 49
บรอคโคลีสุก, มะเขือเทศเผา 44
กะหล่ำดอกดิบ 43
มัสตาร์ดและแพงพวย 40
ซอสมะเขือเทศข้น 38
กะหล่ำขาวดิบ 35
ถั่วงอกเขียวต้ม 30
ผักโขมดิบ 26
กะหล่ำดอก, ต้นหอมดิบ, ผักโขมต้ม 25
คูร์เกตสด 21
กะหล่ำดอกสุก, เสาวรส, กะหล่ำเขียวต้ม 20
กระเทียมดิบ 17
หัวพาร์สมิพ, หัวผักกาดแดง,มะเขือเทศ, มันเทศ 17
คูร์เกตทอด,มันเทศต้มทั้งเปลือก, หัวผักกาดสวิดต้ม 15
มันเทศเผาทั้งเปลือก 14
มันฝรั่งอบ, ถั่วเมล็ดกลมต้ม, มะเขือเทศกระป๋อง 12
หน่อไม้ฝรั่ง, หัวพาร์สนิพต้ม, หัวผักกาดเทอร์นิพต้ม 10
เซเลอรีต้ม 8
กระเทียมยักษ์ต้ม, ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด 7
แครอทแก่ดิบ 6
หอมใหญ่ดิบ, หัวบีทดิบและต้ม, ผักกาดหอม 5
ผักกาดหอมไอศเบิก, แครอทแก่สุก, ยี่หร่าดิบ 3
แครอทกระป๋องอุ่น ,เห็ด 1
หัวบีทดอง 0

 

ตารางปริมาณวิตามินซีที่ได้จากผลไม้ (มิลลิกรัมต่อ100 กรัม)

วิตามินซีจากผลไม้ (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
 ฝรั่งกระป๋อง  180
 แบลคเคอเเรนต์กวน 115
 สตรอเบอรี่สด 77
 มะละกอ 60
 ผลกีวี 59
 มะนาวฝรั่ง 58
 คลีเมนไทน์, ส้ม 54
 ลิ้นจี่สด 45
 มะม่วงดิบ, ท้อเปลือกเรียบ  37
 เกรฟฟรุต (ส้มแก้ว) สด  36
 เกรฟฟรุต (ส้มแก้ว) กระป๋อง  33
 ราสพ์เบอรี่ดิบ  32
 ลูกท้อสด  31
 ลิ้นจี่กระป๋อง  28
 กูสเบอร์รี่กระป๋อง, ซัทสึมะ  27
 แตงแคนตาลูป  26
เสาวรส 23
สลัดผลไม้ทำเอง 16
ส้มแมนดารินกระป๋อง 15
แตงแกลเลีย ผลไม้รวมกระป๋อง 14
 อินทผลัมสด, กล้วย, เชอรี่, กูสเบอร์รี่กวน 12
 แอปเปิลกวน, แบลกเบอร์รีกวน, มะม่วงกระป๋อง  10
 แตงฮันนีดิว 9 9
 แตงโม 8
 อะโวคาโด, สาลี่  6
 แอปริคอทกระป๋อง, แดมซัน, ลูกท้อกระป๋อง, โกฐน้ำเต้ากวน   5
 องุ่น, สาลี่กระป๋อง, พลัม 3
แอปริคอตแห้ง, ผลไม้รวมตากแห้ง, ลูกเกด, ซัลทานา 1

 

ปัจจุบันอาหารที่ให้วิตามินซีอาจมีน้อยหรือมีวิตามินซีในปริมาณที่น้อยกว่าในสมัยก่อน ในขณะเดียวกันปริมาณที่ทางยุโรปและสหรัฐแนะนำก็น้อยมากเช่นเดียวกันคือ ให้ได้รับวันละ 60 มิลลิกรัม แต่รายการโภชนาการ สารจับออกซิเจน ส่วนมากกลับแนะนำว่าควรได้รับอย่างน้อยวันละ 200 มิลลิกรัม [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ร่างกายของเราแต่ละคนมีความไวต่อวิตามินซีไม่เท่ากัน อาการที่พบได้บ่อยคือ ทวารหนักระบมและท้องเดิน จึงต้องระมัดระวังให้มากหากจะใช้วิตามินซีเกินกว่าวันละ 1-2 กรัม นอกเหนือไปจากที่มีในอาหารที่ได้รับอยู่ตามปกติแล้ว
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือการเกิดภาวะความเป็นกรดมากเกินไป แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้วิตามินซีชนิดเป็นกลาง เช่น แคลเซียมแอสคอร์เบต ซึ่งร่างกายจะขับถ่ายวิตามินซีออกได้เร็วมาก ดังนั้น หากจะใช้วิตามินซีเสริม ควรแบ่งขนาดเป็นขนาดย่อย กินสม่ำเสมอตลอดวัน แทนที่จะกินวิตามินซีขนาดสูงแทนวันละมื้อเดียว
ในปัจจุบันเชื่อว่าวิตามินซีเป็น สารจับออกซิเจน หลักที่ให้ผลดีหลายประการ เช่น เพิ่มภูมิต้านทาน บรรเทาอาการไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ ลดโคเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจและการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันการแก่ก่อนวัย ย่นระยะเวลาการสมานแผลและการบาดเจ็บ และหยุดอาการเลือดออกตามไรฟัน

สำหรับวิตามินซี นั้น เป็นสารจับออกซิเจนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในส่วนของวิตามินซีเองไม่ได้เป็นอะไรที่วิเศษอย่างที่คิด เบต้าแคโรทีนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสารจับออกซิเจนที่มีประโยชน์มาก แต่จากการทดลองใช้สารนี้เพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าสารนี้สามารถก่อปัญหามากกว่าที่จะแก้ปัญหา แม้จะเพิ่มวิตามินอีลงไปช่วยทั้งวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารจับออกซิเจนถึง 3 ชนิด ก็ยังไม่ปรากฏว่าสารทั้ง 3 เมื่อใช้ร่วมกันแล้วจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้

โค-คิว10 (ยูบิเดคารีโนน หรือยูบิควิโนน10)

ยูบิควิโนน (Ubiquinone) หรือที่เป็นที่รู้จักกันในนาม โค-คิว10 เป็นสารควิโนน (Quinone) ชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในทุกแห่งของร่างกาย สารนี้ไม่ได้เป็นวิตามิน แต่เป็นเอนไซม์ของร่างกายซึ่งทำหน้าที่เป็น สารจับออกซิเจน และทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารเคมีทำลายเซลล์ จึงมีบทบาทในการป้องกันเซลล์ที่มีชีวิต ยูบิควิโนนมีความคล้ายกับวิตามินเค2 มากคือ ทั้งสองเป็นสารที่ละลายในไขมัน ถ้าใช้กิน มักใช้ในรูปสารละลายหรือในรูปผงละเอียด (วิตามินเคก็ทำหน้าที่เป็นสารจับออกซิเจนด้วย) ยังไม่มีข้อมูลหลักฐานที่แสดงว่าสารนี้มีประสิทธิภาพต่อโรคเหงือกและความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษากันอยู่ โดยมีความหวังว่าสารนี้จะมีประโยชน์ เพราะเป็นสารที่ให้ความปลอดภัยสูงเมื่อรับประทาน สารนี้มีคุณสมบัติไม่ต่างไปจากโภชนาสารจับออกซิเจนชนิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยด์

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายอย่างมีโค-คิว10 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความมุ่งหมายให้เป็น สารจับออกซิเจน แต่ยังมีข้อกังขาในเรื่องของการดูดซึมสารนี้ มีการทำโค-คิว10 ปริมาณสูงถึง 100 มิลลิกรัมหรือมากกว่านั้น ในรูปเม็ดหรือแคปซูลออกจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ปริมาณการดูดซึมของเอนไซม์ชนิดนี้ต่ำมากจนไม่คุ้มที่จะซื้อ เพราะในคนเรามีสารชนิดนี้เพียงพอแล้ว และไม่ต้องการเพิ่มแต่อย่างใด

การเพิ่มขึ้นของปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด สามารถส่งผลให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายคนเรา ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปจนถึงระดับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ ดังนั้นวิตามินต่างๆจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการจับออกซิเจน

ไซยานินและโอลิโกเมอริก โพแอนโทไซยานิดิน (OPCs)

ไซยานิน (Cyanin) มีที่มาจากภาษากรีก ไคอะนอส (Kyanos) แปลว่าสีน้ำเงิน คำต่อท้ายหรืออาคม ซัยแอน (Cyan) ในชื่อสารเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าสารเหล่านี้จะมีความเกี่ยวข้องกับซัยอะไนด์เสมอไป สารจำพวกแอนโทไซอะนิน และ โพรแอนไทซัยอะนิดิน พบได้ทั่วไปในพืชและมีความเกี่ยวข้องกับไบโอฟลาโวนอยด์อย่างใกล้ชิด สารเหล่านี้ให้สีและเป็น สารจับออกซิเจน ซึ่งอาจมีความสำคัญในการคงสมดุลของการรับและให้ออกซิเจนในระดับสูง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ซัยอะไนด์เป็นยาพิษและสารนี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีและแพร่หลายมากที่สุดด้วยไฮโดรเจนซัยอะไนด์บริสุทธิ์ เป็นตัวขัดขวางการทำงานของออกซิเจนในร่างกายและปิดกั้นการทำงานของระบบเอนไซม์ตามธรรมชาติ ทำให้สารนี้มีพิษร้ายแรงมาก เมื่อได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นการสูดดมหรือกินก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้อย่างรวดเร็ว

โมเลกุลของซัยอะไนด์ ประกอบด้วยคาร์บอนจับกับไนโตรเจนและสามารถไปจับกับสารอื่น ๆ ดังปรากฏในสารอินทรีย์หลายชนิด และดังที่ปรากฏในอาหารต่าง ๆ อาหารที่มีซัยอะไนด์ ( ในรูปไกลโคไซด์ ) คือมีเปลือกเมล็ดอัลมอนด์ เป็นสารออกฤทธิ์รู้จักกันในชื่อว่า วิตามินบี17 แลทริล หรืออะมิกดาลิน ได้มีการโฆษณาให้ใช้สารนี้ในแผนการรักษาโรคมะเร็งแบบองค์รวม และเชื่อว่ามันได้ผลซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าไม่ติดที่ส่วนของซัยอะไนด์ในโมเลกุลซึ่งมีพิษถึงตายและอะมิกดาลินก็คงจะมีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนอยู่บ้าง การใช้สารนี้ต้องใช้ในลักษณะการเสริมเข้าไปในแผนการรักษาซึ่งเรียกว่าการรักษาแบบองค์รวม ในสหราชอาณาจักรต้องใช้สารนี้ตามใบสั่งยา แต่ประเทศอื่นหรือในหลาย ๆ ประเทศสามารถซื้อหาสารนี้ได้โดยเสรี

วิตามินอี : ดี-แอลฟาโทโคเฟอรอล

วิตามินเอเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมันที่อยู่ตามธรรมชาติในถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี เมล็ดพืชที่กำลังงอก ( ถั่วงอก ) ผักสีเขียวเข้ม ไข่ เมล็ดผลไม้เปลือกแข็ง และน้ำมันพืช

วิตามินตามความหมายทั่วไปมักหมายถึง แอลฟาโทโคเฟอรอล แต่ก็ยังมีโทโคเฟอรอลอย่างอื่นอีก เช่น เบตา-และแกมมา-โทโคเฟอรอล โทโคเฟอรอล ทุกรูปแบบมีฤทธิ์จับออกซิเจน และมักมีส่วนร่วมอยู่ในอาหารธรรมชาติที่มีวิตามินเอด้วย ไม่ว่ารูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือหลายรูปแบบ ในธรรมชาติดี-แอลฟาเป็นรูปแบบที่มีฤทธิ์แรง จากการสังเคราะห์ ดีแอล มีฤทธิ์อ่อนกว่า แต่ทางด้านชีววิทยาแล้วถือว่าเป็นสารที่มีลักษณะทางเคมีที่ใกล้เคียงกับ ดี-แอลฟา-โทโคเฟอรอล สามารถถือได้ว่าเป็น สารจับออกซิเจน ได้ทั้งนั้น และในฐานะเป็นสารป้องกันด้วย

ตารางวิตามินอีในอาหาร (มิลลิกรัมต่อ100 กรัม)

แหล่งที่พบวิตามินอี (ไมโครกรัมต่อ100 กรัม)
น้ำมันจมูกข้าวสาลี 136.65
น้ำมันเมล็ดทานตะวัน 49.22
น้ำมันเมล็ดคำฝอย 40.68
เฮเซลนัท 24.98
เฮเซลนัท 24.98
เมล็ดอัลมอนด์ 23.98
จมูกข้าวสาลี 22
น้ำมันตับปลาคอด 20
น้ำมันข้าวโพด 17.24
น้ำมันถั่วเหลือง 16.29
น้ำมันถั่วลิสง 15.16
ข้าวโพดคั่ว 110.3
มาร์ซิแพนทำเอง 10.82
ครีมทาขนมปังไขมันต่ำ 8.00
บราซิลนัท 7.18
ซอสมะเขือเทศข้น 5.37
สะระแหน่สด 5.00
มันเทศต้ม 4.39
พีแคน 4.34
มันฮ่อ 3.83
อะโวคาโด 3.83
มุสลี 3.20
ขนมเค้ก 2.83
รำข้าวสาลี 2.60
แป้งเปียกทาฮินิ 2.57
เมล็ดงา 2.53
พาสตรีจากธัญพืชทั้งเปลือก 2.37
เค้กข้าวโอ๊ต 2.14
แบลกเบอร์รี 2.03
วีทพัพ 2.00
มะกอกฝรั่ง 1.99
ข้าวโอ๊ตหมด 1.50
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 1.30
ขนมปังข้าวไร้ 1.20
มะม่วง 1.05
แบลกเคอร์แรนต์ 1.00

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อาหารดังกล่าวมีประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยเรื่องสมดุลการรับและให้ออกซิเจน จากการวิจัยในเรื่องวิตามินอี บ่งชี้ว่าสารจำพวกโทโคไทรอีนอล มีความสำคัญในฐานะที่เป็นสารขจัดอนุมูลอิสระฤทธิ์แรงสามารถพบได้ทั่วไปในอาหารที่มีวิตามินอี

เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารธรรมชาติที่มีองค์ประกอบของวิตามินอีทุกชนิดอยู่ร่วมกันเป็นอาหารที่ดีที่สุด เช่นเดียวกันกับในกรณีของเบตาแคโรทีน ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ก็ตามจะต้องได้มาจากธรรมชาติในรูปสารเข้มข้น ในกรณีของวิตามินเอคือ โทโคเฟอรอล อะซิเทตและโทโคเฟอรอล ซักซิเนต สารทั้งสองนี้เป็นสารเอสเตอร์ ( สารประกอบอินทรีย์ ) ซึ่งคงตัว และเป็นที่นิยมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

วิตามินอีเป็นวิตามินที่มักจะแนะนำให้ใช้รักษาภาวะการเป็นหมันของหญิง กามตายด้านในผู้ชาย และโรคของหลอดเลือด แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถพิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ได้ มีเพียงบางคนที่รายงานว่ากินวิตามินอีแล้วได้ประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามพอสรุปได้ว่าวิตามินอีอาจมีส่วนช่วยสำหรับผู้หญิงที่ต้องการตั้งครรภ์หรือกำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าวิตามินอีช่วยให้มีการตั้งครรภ์หรือป้องกันการแท้งได้ แต่ฤทธิ์ในการจับออกซิเจนของวิตามินนี้จะช่วยป้องกันทารกในครรภ์จากอันตรายอันเนื่องมาจากอนุมูลอิสระได้อย่างแน่นอน

เมื่อนำวิตามินอีมาใช้เป็นยาทาภายนอกปรากฏว่าสามารถทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้นและทำให้สภาพของผิวหนังดูดีขึ้น ในขณะเดียวกันเมื่อนำมาใช้กินปรากฏว่าสามารถบรรเทาอาการของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้บ้าง วิตามินอีเมื่อร่วมกับ สารจับออกซิเจน ชนิดอื่นจะทำงานได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีลีเนียมและวิตามินซี และจะช่วยป้องกันไม่ให้กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในร่างกายกลายไปเป็นสารอันตรายจำพวกเปอร์ออกไซด์ ทางยุโรปแนะนำให้รับวิตามินอีวันละ 10 มิลลิกรัม หรือ 14.9 หน่วยสากล ส่วนทางสหรัฐฯ แนะนำให้ได้รับวันละ 30 มิลลิกรัม หลายคนเชื่อว่าขนาดที่ใช้เสริมอาหารที่พอเหมาะน่าจะอยู่ที่ 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน

แร่ธาตุและเอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมูเทส ( เอสโอดี-SOD ) ทองแดง แมงกานีส และสังกะสี

แร่ธาตุทั้ง 3 ชนิด มีส่วนร่วมอยู่ในระบบเอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมูเทส (SOD) เอนไซม์เหล่านี้ทำหน้าที่ตามชื่อคือสลายเพอร์ออกไซด์ ซึ่งเป็นสารเติมออกซิเจนที่มีพิษร้ายแรงมากและร่างกายต้องทำลายลงให้ได้เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ ร่างกายสร้างเอนไซม์สลายเพอร์ออกไซด์จากกรดอะมิโนซึ่งได้มาจากโปรตีนที่ย่อยแล้ว หากต้องการเสริมอาหาร ขอแนะนำให้เสริม แมงกานีสและสังกะสีในขนาดปานกลาง แต่เสริมทองแดงในขนาดต่ำ หากไม่ได้อยู่ในความควบคุมดูแลของผู้รู้ ควรหลีกเลี่ยงการเสริมอาหารด้วยทองแดงเพียงอย่างเดียว โดยปกติร่างกายของเราได้รับทองแดงและแร่ธาตุอื่นเพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การเสริมแร่ธาตุที่ดีที่สุดควรใช้แร่ธาตุในรูปของกรดอะมิโน ซีเลต สารเหล่านี้มักมีจำหน่ายในรูปกลูโคเนต แอสพาร์เทต และออโรเทต ซึ่งจะปลดปล่อยแร่ธาตุออกมาอย่างช้า ๆ เป็นการหลีกเลี่ยงการมีแร่ธาตุที่เข้มข้นเกินไปในกระเพาะอาหารซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องได้ (สารประกอบอนินทรีย์ธรรมดา เช่น คลอไรด์ และฟอสเฟต ก่อให้เกิดปัญหานี้) เอสโอดี ที่มีจำหน่ายอยู่นั้นได้มาจากเยื่อของสัตว์โดยผ่านกระบวนการพิเศษในการทำให้เข้มข้น ส่วนอันดับสุดท้ายมักมีแคทาเลส ซึ่งเป็นเอนไซม์จับออกซิเจนฤทธิ์แรงอีกชนิดหนึ่ง หากสังเกตภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเห็นได้ว่าความเข้มข้นแสดงเป็นหน่วย MFU (Biological Unit Activity)

นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่า เอสโอดีไม่มีประสิทธิภาพเมื่อใช้วิธีกิน เนื่องจากเอสโอดีจะถูกทำลายด้วยน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร แต่อนุมูลอิสระมีฤทธิ์เมื่ออยู่ในทางเดินอาหาร ดังนั้น การกินเอนไซม์ชนิดนี้จึงช่วยป้องกันพิษของอนุมูลอิสระในทางเดินอาหารได้ หากต้องการทำลายอนุมูลอิสระในกระแสเลือดหรือเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ก็ยังมีเอนไซม์ เอสโอดีชนิดฉีดจำหน่ายอยู่ในบางประเทศ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอสโอดีมีอยู่หลายขนาด ถ้าได้รับวันละไม่ถึง 10,000 หน่วย ก็น่าจะเพียงพอ

แมงกานีสในรูปกรดอะมิโนซีเลต ซึ่งให้แมงกานีส 5มิลลิกรัม น่าจะเป็นขนาดที่ดีที่สุดและแนะนำให้ได้สังกะสีมากถึงวันละ 15 มิลลิกรัม บางคนอาจใช้ถึงวันละ 100 มิลลิกรัม แต่ต้องอยู่ในความดูแลจากผู้รู้

ซีลีเนียมและกลูตาไธโอน

ซีลีเนียมเป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อชีวิตในระบบเอนไซม์จับออกซิเจนที่เรียกว่า กลูตาไธโอนเพอร์ออกซิเดส ซึ่งมีหน้าที่ทำลายสารจำพวกเปอร์ออกไซด์ที่เป็นอันตราย จากการศึกษาพบว่าดินที่ขาดแร่ธาตุชนิดนี้สามารถบอกได้ว่า โรคมะเร็งจะเพิ่มจำนวนขึ้น พืชที่เติบโตในแหล่งที่ดินขาดธาตุซีลีเนียมไม่สามารถเป็นอาหารที่ดีให้ซีลีเนียมอย่างเพียงพอทั้งแก่สัตว์และมนุษย์ ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในแหล่งดังกล่าวจึงอาจจำเป็นต้องพึ่งการเสริมอาหารด้วยซีลีเนียม แต่ก็ต้องพึงระวังให้มากเพราะถ้าได้รับมากเกินไปกระเพาะจะเป็นพิษ การเสริมอาหารด้วยซีลีเนียมควรเป็นซีลีเนียมจากธรรมชาติ เช่น จากยีสต์ หรือในรูปแบบของซีลีโนเมไทโอนีน ควรหลีกเลี่ยงการเสริมด้วยซีลีไนต์ หรือซิลิเนต เพราะเป็นรูปแบบที่ไม่ดีของยูเรเนียมที่จะนำมาใช้เสริมอาหาร แต่ผู้ผลิตบางรายอาจนำเอาสารดังกล่าวมาเพียงผสมกับยีสต์เท่านั้น จึงต้องอ่านฉลากให้ถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารดังกล่าวผสมอยู่    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ซีลีเนียมในฐานะเป็น สารจับออกซิเจน ทำงานร่วมกับวิตามินอี และกลูตาไธโอนอย่างใกล้ชิด กลูตาไธโอนเป็นสารไทรเพปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิดคือ กลูตามีน ซีสทีน และไกลซีน จับกับซีลีเนียมในระบบเอนไซม์กลูตาไธโอนเพอร์ออกซิเดสภายในร่างกาย การเสริมอาหารด้วยไทรเพปไทด์ดังกล่าว อาจเสริมในรูปไทรเพปไทด์โดยตรง หรือเสริมในรูปที่มีส่วนประกอบทั้ง 3 ดังกล่าว เพื่อให้ร่างกายนำไปผลิตเป็นกลูต้าไธโอนเอง

ในฐานะ สารจับออกซิเจน กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติต่อต้านโรคมะเร็ง และจับกับอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ขณะนี้ยังไม่มีการแนะนำปริมาณการใช้อย่างเป็นทางการแต่มักแนะนำสำหรับผู้สูงอายุ ควรได้รับวันละ 150-300 มิลลิกรัม น่าจะเพียงพอ

ไบโอฟลาโวนอยด์ : วิตามินพี

เมื่อปี พ.ศ. 2471 แอลเบิร์ต เซนต์-จีออร์จี ได้พบสารป้องกันและบำบัดโรคลักปิดลักเปิดจากผลไม้ตระกูลส้มซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ดร.จีออร์จีได้ประกาศว่าวิตามินซีเป็นปัจจัยจำเป็นต่อชีวิต นอกจากนี้ยังมีสารเคมีชนิดอื่นที่อยู่ในผลไม้จำพวกส้มและจากแหล่งอื่นอีกเป็นอันมากที่เป็นแหล่งวิตามินซี สารเหล่านั้นทำงานร่วมกันและเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันวิตามินดังกล่าว สารจำพวกไบโอฟลาโวนอยด์มีอยู่มากมาย ขณะนี้แยกออกมาได้แล้วถึง 4000 ชนิด

พืชผลิตสารต่าง ๆ ขึ้นด้วยกระบวนการทางเคมี เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วก็ยังคงมีสารดังกล่าวต่างๆ อยู่อย่างครบถ้วน สารหลายชนิดนำไปใช้ในการสร้างสารอย่างใดอย่างหนึ่ง และสารสุดท้ายที่เกิดขึ้นในวงจรนั้นจะมีโมเลกุลที่คงตัวมากที่สุด ในกรณีของสารไบโอฟลาโวนอยด์ สารที่สร้างขึ้นมาในสารนี้อันดับท้ายสุดเป็นสารประเภทน้ำตาล ในช่วงของห่วงโซ่การผลิตจนกว่าจะถึงผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย จะมีสารอื่นซึ่งมีคุณสมบัติในการจับออกซิเจนเกิดขึ้นด้วย สารหลักที่นักวิเคราะห์พบจากพืชต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ มาเป็นสารที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของกระบวนการห่วงโซ่ดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งสารออกฤทธิ์ที่แยกออกมาได้เป็นสารที่มีความคงตัวสูง ซึ่งมักต้องใช้กรรมวิธีดัดแปลงในห้องปฏิบัติการ และขณะนี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าสารที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการดังกล่าวมีคุณค่าอย่างสูงทางด้านโภชนาการและยา

หลังจากที่ ดร.จีออร์จี ได้กล่าวแสดงผลงานออกมาแล้ว วิตามินซีชนิดแรกที่รู้จักคือวิตามินพี แต่เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ถึงอาการหรือภาวะการขาดสารดังกล่าว เนื่องจากวิตามินพี เป็นสารออกฤทธิ์ร่วมกับวิตามินซีเท่านั้น การใช้คำว่าวิตามินกับสารดังกล่าว จึงต้องตกไปกลายเป็นชื่อที่ซ้ำกันอย่างง่าย ๆ ว่า ไบโอฟลาโวนอยด์ แม้จะมีการศึกษาวิจัยที่สนับสนุนการค้นพบแล้วก็ตาม แต่โภชนากรและแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับว่าไบโอฟลาโวนอยด์มีความสำคัญทางโภชนาการแต่เดิมโภชนากรมองไบโอฟลาโวนอยด์เช่นเดียวกับพวกใยอาหาร จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ จึงยอมรับให้อยู่ในฐานะของสารอาหาร และมีความสำคัญต่อกระบวนการดำรงชีวิตของมนุษย์อยู่น้อยมาก
ไบโอฟลาโวนอยด์มีอยู่ทั่วไปในผลไม้และผัก แหล่งไบโอฟลาโวนอยด์ที่สำคัญนอกจากผลไม้จำพวกส้มแล้วยังมีผักสีเขียวเข้ม เช่นผักโขม บล็อกโคลี่ เป็นต้น ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีผลไม้หรือผักดังกล่าวแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจช่วยให้ร่างกายได้รับ สารจับออกซิเจน มากพอที่จะป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ยังมีข้อขัดแย้งอยู่ในเรื่องการดูดซึมสารไบโอฟลาโวนอยด์ สารนี้ส่วนมากจะออกมากับอุจจาระ โดยอาจมีการดูดซึมบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะไม่ใช้สารนี้เพียงแต่ร่างกายต้องการสารไบโอฟลาโวนอยด์ในชีวิตประจำวันเป็นจำนวนที่น้อยมาก สำหรับบางสถานการณ์ซึ่งร่างกายต้องการจับออกซิเจนชนิดเจาะจง แต่การสังเกตประสิทธิผลของไบโอฟลาโวนอยด์ก็ไม่สามารถจะละเลยได้ แม้ว่าปริมาณไบโอฟลาโวนอยด์ที่ร่างกายได้รับมากถึงร้อยละ 60 ไม่มีการดูดซึมและที่เหลือก็ยังไม่ทราบอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น กระนั้นก็ตามอาจเป็นได้ว่าลำพังการทำหน้าที่จับออกซิเจนในทางเดินอาหารก็น่าจะเป็นการเพียงพอแล้วที่จะสรุปได้ว่าการกินผลไม้และผักมาก ๆ สามารถป้องกันโรคมะเร็งในทางเดินอาหารได้

รูทิน

ไบโอฟลาโวนอยด์ที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือรูทิน เพราะมีการใช้รูทิน ร่วมกับวิตามินซีในทางยามากกว่า 40 ปี แล้ว การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวปรากฏว่ามีผลทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ลดความดันโลหิตและลดคอเลสเตอรอล แหล่งรูทินตามธรรมชาติที่ดีที่สุดคือ ข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่าวีท (ข้าวโพดทะเลทราย) หากใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปริมาณ 500-1500 มิลลิกรัมต่อวันก็น่าจะเพียงพอ

เฮสเพอริดิ

เป็นไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับรูทิน พบมากในผลไม้ จำพวกมะนาวและส้ม มีฤทธิ์จับออกซิเจนต่ำกว่ารูทินเล็กน้อย แต่ออกฤทธิ์ใกล้เคียงกันมากเมื่อใช่ร่วมกับวิตามินซี แนะนำให้ใช้เฉพาะเจาะจงสำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดเปราะและช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด โดยทั่วไปผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดเปราะและแตกง่ายจะเห็นได้ชัดเจนที่บริเวณแก้ม ผู้ที่มีเส้นเลือดไม่แข็งแรงอาจเป็นเพราะออกซิเจนเป็นตัวทำให้เกิดการแข็งตัวของผนังหลอดเลือดซึ่งทำให้เส้นเลือดกรอบ เปราะ (ขาดความหยุ่นตัวตามธรรมชาติ) เป็นการแข็งตัวของเส้นเลือดเทียบได้กับการเกิดสนิมของเหล็ก (การเติมออกซิเจนให้เหล็ก) อันเป็นการเปรียบเทียบที่ใกล้เคียงที่สุด จะเห็นได้จากภายในร่างกายมนุษย์ การใช้เฮสเพอริดิ 600 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินซี 500 -1500 มิลลิกรัมต่อวัน    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เควอร์เซทิน

เป็นไบโอฟลาโวนอยด์อีกชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะทางเคมีใกล้เคียงกับรูทินมาก พบในผักตระกูลกะหล่ำ ชา และเปลือกผลแอปเปิ้ล อาหารธรรมชาติที่ดีควรให้เควอร์เซทินประมาณวันละ 50-100 มิลลิกรัม เควอร์เซทิน ช่วยป้องกันปฏิกิริยาการแพ้โดยยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ของร่างกาย เควอร์เซทินเป็น สารจับออกซิเจน ที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการอักเสบที่ดีเยี่ยม หากขาดสารนี้ในอาหาร อาจทำให้เกิดโรคแพ้อากาศ ไข้ละอองฟาง หอบหืด เรือนกวางหรือโรคสะเก็ดเงิน และโรคผิวหนังผื่นคัน

เชื่อว่าไบโอฟลาโวนอยด์ชนิดนี้มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อไวรัส และเพื่อให้เควอร์เซทินทำงานร่วมกับวิตามินซี อาจช่วยป้องกันหรือบรรเทาอาการโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดธรรมดาได้ ว่ากันว่าเอนไซม์จากสับปะรดคือ โบรเมลิน ช่วยในการดูดซึมเควอร์เซทิน และจากการวิจัยยังพบต่อไปอีกว่าเควอร์เซทินมีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดโรคเนื้องอกอีกด้วย จับออกซิเจน เควอร์เซทินเป็นไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์แรงกว่ารูทิน ดังนั้น เมื่อให้รูทินแล้วไม่เห็นผลเมื่อให้เควอร์เซทิน ทั้งนี้เนื่องจากการดูดซึมเควอร์เซทินดีกว่าและต้องการการย่อยน้อยกว่ารูทินนั่นเอง จากการทดลองกับคนไข้เส้นเลือดเปราะและความดันโลหิตสูงรายหนึ่ง โดยให้เควอร์เซทินวันละ 60 มิลลิกรัม ปรากฏว่าได้ผลดีกว่าให้รูทินวันละ 400 มิลลิกรัม

มีคำถามในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้เควอร์เซทิน แต่คำถามเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นคำถามที่ไร้สาระเพราะตัวกรรมวิธีการวิจัยและการแปลผลการวิจัยที่ผิดไปจากผลที่เคยทำมาแต่เดิม ทำให้เกิดมีข้อสงสัยขึ้น ยิ่งความนิยมอาหารธรรมชาติมีการแพร่หลายมากขึ้น ฝ่ายสโตร์ก็จะไม่ยอมหยุดที่จะทำลายความเชื่อถือในการแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ เพราะข้อสงสัยสามารถนำไปสู่การใช้ยาราคาแพงซึ่งทำกำไรให้อย่างมหาศาลแก่ทางฝ่ายแพทย์และเภสัชกรรม

โพลีฟีนอล

หรือ โพลีเฟโนลิก ไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นสารเคมีที่ได้จากพืช เช่น แคเทซิน แทนนิน และโพรแอนโทซัยอะนิดิน สารนี้มีอยู่มากมายหลายชนิดในพืชทุกชนิด มีคุณสมบัติในการจับออกซิเจน หลายชนิดมีฤทธิ์กัดกร่อนและทำให้ระคายเคือง จึงจำเป็นต้องเลือกชนิดของอนุพันธ์โพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติทางชีวให้เข้ากับร่างกายมนุษย์มาใช้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สารเหล่านี้พบได้ในปริมาณสูงในเปลือกไม้บางชนิด ผลไม้บางชนิด เช่น หมาก ปุ่มใบไม้ เช่น เบญกานี ชา ซึ่งผลิตขึ้นด้วยการหมักใบชาแล้วทำให้แห้ง ไวน์แดงก็มีฟลาโวนอยด์ประเภท โพลีฟีนอลเหล่านี้เช่นกันและ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการโฆษณาคุณประโยชน์ของไวน์แดงเป็นการใหญ่ โดยอ้างว่าชาวฝรั่งเศสซึ่งกินอาหารไขมันสูง ทำให้มีโคเลสเตอรอลสูงตามไปด้วย แต่ไวน์แดงกลับช่วยป้องกันชาวฝรั่งเศสเหล่านั้นไม่ให้ได้รับผลร้ายจากอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงได้ ถ้าอย่างนั้น หากชาวอังกฤษจะดื่มน้ำชาไม่ใส่นม ชาวอังกฤษก็คงจะได้รับประโยชน์จากการดื่มของโปรดของตนเช่นกัน ถั่วเหลืองก็มี สารจับออกซิเจน ชนิดนี้อยู่ ชาวญี่ปุ่นซึ่งกินถั่วเหลืองปริมาณมากจึงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชาวฟินแลนด์ซึ่งกินถั่วเหลืองน้อยมากนั่นเอง

เรื่องปัญหาสุขภาพที่สารจับออกซิเจนช่วยได้อันมีมากมายทำให้เกิดการวิจัยค้นหาอย่างจริงจัง เพื่อที่จะได้มาซึ่งประโยชน์เฉพาะของสารจากพืชดอกงิ้ว
แม้ว่าไบโอฟลาโวนอยด์บางอย่างเช่น รูทิน เฮสเพอริดินและเควอร์เซทิน จะมีจำหน่ายอยู่ก็ตาม แต่ที่เหลืออีกประมาณ 4000 ชนิดที่ สามารถระบุได้ จึงต้องได้รับจากผลิตภัณฑ์ผสม ผลิตภัณฑ์ผสมที่ดีที่สุดคืออาหารที่ประกอบหรือปรุงเอง นอกจากนี้อาหารธรรมชาติชนิดเข้มข้นเพิ่งมีจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้เอง สารเหล่านั้นมีหลายอย่าง เช่น น้ำผึ้ง นมผึ้ง และเกสรดอกไม้ มีคุณสมบัติที่สามารถจัดวางไว้ในตำแหน่ง สารจับออกซิเจน ได้ อาจเป็นเพราะมีการยกย่องผลิตภัณฑ์เหล่านี้กันอย่างเลิศเลอ ซึ่งเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ดูเลิศหรูขึ้น

เกสรดอกไม้ (pollen)

เป็นแหล่งที่มีไบโอฟลาโวนอยด์และสารอาหารอื่น เช่น วิตามิน กรดอะมิโน และเอนไซม์ อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่การเก็บเกสรดอกไม้มาทำการค้าเป็นเรื่องยาก ดังนั้น บริษัทผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพจึงต้องพึ่งพาผึ้ง ต้องดัดแปลงทางเข้าสู่รวงผึ้งเป็นพิเศษ เพื่อแย่งชิงเอาสิ่งที่ผึ้งนำติดตัวมาจากการเที่ยวหาอาหารมาเป็นของตน ผึ้งรวบรวมเกสรดอกไม้ที่มีสารไบโอฟลาโวนอยด์ต่าง ๆ กัน แล้วแต่ว่าจะมีดอกไม้ชนิดไหนอยู่ในบริเวณที่เพิ่งออกหากิน เกสรดอกไม้ทุกชนิดมีคุณสมบัติเป็นตัวจับออกซิเจนอย่างดี และด้วยเหตุว่าเกสรดอกไม้มีเอนไซม์ธรรมชาติอยู่ด้วย จึงอาจช่วยให้ไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในสภาพที่พร้อมจะมีการดูดซึม

เกสรดอกไม้หรือเกสรผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการแนะนำกันอย่างแพร่หลายและกว้างขวางเพื่อเพิ่มพลัง เสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังหนุ่ม และป้องกันโรคที่จะเกิดแก่ต่อมลูกหมาก เมื่อไม่นานมานี้เอง เกสรผึ้งจัดได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยอดนิยมในหมู่คนแก่ โดยเชื่อว่าเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคที่เกิดจากความเสื่อมโทรมที่เป็นต้นเหตุ เช่น โรคข้ออักเสบ เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

น้ำผึ้ง

ที่มีจำหน่ายอยู่ในขณะนี้มีหลายรูปแบบ น้ำผึ้งทุกชนิดมีน้ำตาลซูโครสหรือน้ำตาลทรายเป็นส่วนประกอบหลัก น้ำผึ้งบางชนิดมีเกสรดอกไม้และขี้ผึ้ง ซึ่งเป็นแหล่งอุดมด้วย สารจับออกซิเจน มีการแนะนำกันอย่างกว้างขวางให้ใช้เพื่อบำรุงสุขภาพโดยทั่วไป และก็คงได้ประโยชน์ไม่น้อยจากสารจับออกซิเจนที่มีอยู่

นมผึ้ง

เป็นอาหารที่ผึ้งงานบรรจงปรุงเป็นพิเศษสำหรับพญาผึ้ง เป็นอาหารสุขภาพที่มีข้อกังขากันอย่างมากที่สุด การวิเคราะห์สารอาหารในนมผึ้งก็ยังไม่ให้ผลกระจ่างชัดนัก เท่าที่ทราบนมผึ้งมีกรดอินทรีย์ วิตามิน กรดอะมิโนและน้ำ แต่คุณสมบัติเป็น สารจับออกซิเจน ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายจะมีมากน้อยเพียงใดและมีคุณค่าเพียงไหน ยังคงต้องรอผลการวิจัยต่อไปในอนาคต ปัจจุบันข้อสงสัยมีอยู่ว่าคงมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะผู้ซื้อทั่วโลกยังมีการซื้อซ้ำกันอยู่

ยาง-ชัน

ผึ้งมีผลิตภัณฑ์อีกชนิดหนึ่งซึ่งอาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุดคือเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นยาฆ่าเชื้ออย่างแรง ผึ้งใช้ชันสำหรับป้องกันรวงผึ้งไม่ให้เกิดการติดเชื้อ การนำผลิตภัณฑ์จากผึ้งชนิดนี้มาใช้กับมนุษย์ปรากฏว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดคิดเป็นอันมาก แต่ปัญหาก็ยังคงมีอยู่ กล่าวคือเป็นเรื่องธรรมดาที่สารซึ่งได้จากธรรมชาติจะต้องมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันไป แม้ความเข้มข้นจะแตกต่างกันไปตามสภาวะ ประกอบกับยังมีวิธีทดสอบที่เป็นหลักเกณฑ์แน่นอน ดังนั้น ความต่างในเรื่องคุณภาพและส่วนประกอบเช่นนี้ก่อให้เกิดช่องทางแก่ผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับผลิตภัณฑ์ยาธรรมชาติ ให้หยิบยกเอาชันผึ้งที่มีคุณภาพต่ำขึ้นมาเป็นข้อโจมตีและชี้ให้เห็นปัญหาซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเกิดผิวหนังอักเสบ พวกนั้นอาจเข้าไปสู่ผลิตภัณฑ์ชันผึ้งชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าจนได้

ยางหรือชันผึ้งประกอบด้วยยางหรือชันจากต้นไม้ตามแหล่งหากินของผึ้งแต่ละรัง ส่วนประกอบสำคัญของชันผึ้ง คือ ไบโอฟลาโวนอยด์และสารเคมีตั้งต้นของสารไบโอฟลาโวนอยด์เหล่านั้น อาจเป็นกรด เช่น กรดเฟอรูลิก ซินนามิก เบนโซอิก และแคฟเฟอิก รวมทั้งเอสเตอร์ และแอลกอฮอล์ธรรมดาธรรมดา เช่น เอทิลหรือเบนซิน แอลกอฮอล์ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

จากการวิจัยยางหรือชันปรากฏผลออกมาว่ามีฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อยีสต์ ซึ่งทำให้ลิ้นเป็นฝ้า เชื้อเฮลิโคแบคเทอร์โพโลรี เชื่อกันว่ามีส่วนร่วมในการทำให้เกิดแผลอักเสบในทางเดินอาหารโดยใช้รับประทาน เมื่อทำเป็นครีมก็ใช้รักษาโรคเริมและสิวได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการหอบหืดและโรคข้ออักเสบอีกด้วย หากจะกล่าวว่าธรรมชาติรักษาโรคได้อย่างครอบจักรวาล ยางหรือชันก็มีคุณสมบัติดังกล่าว ไม่มีข้อยกเว้น ลักษณะการจับออกซิเจนของยางและชันครอบคลุมกว้างขวางมาก จึงเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐ แม้ว่าสารที่เป็นส่วนประกอบแต่ละชนิดจะให้ผลไม่มากนักก็ตาม แต่เมื่อมีสารหลายชนิดอยู่รวมกัน การออกฤทธิ์จึงเป็นการเสริมซึ่งกันและกัน และควรจะได้รับการศึกษาอย่างถี่ถ้วน เพื่อนำเอาประโยชน์ดังกล่าวมาใช้แก่ทั้งคนและสัตว์

ปัญหาสำคัญของทั้งเกสรผึ้งและชันผึ้งก็คือ การปนเปื้อนสารพิษทางเกษตรและมลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่เกิดแก่ผึ้งเลี้ยง ปัจจุบันอาจจะดีขึ้นเพราะมีกรรมวิธีที่ดีในการเก็บผลผลิตและการทำให้บริสุทธิ์ หากจะซื้อควรเลือกซื้อเฉพาะยี่ห้อที่มีการรับประกันคุณภาพเท่านั้น และทราบแหล่งที่เลี้ยงผึ้งด้วยก็จะยิ่งดี ผึ้งมักชอบทำชันจากยางของต้นพอพลาร์ รองลงมาคือ ยางจากต้นเฟอร์ ดังนั้น อีกวิธีหนึ่งในการดูคุณภาพของชันผึ้งก็คือดูฉลากว่าผึ้งนั้นเลี้ยงไว้ในบริเวณที่มีต้นไม้ชนิดใด

เปลือกต้นสน

ผึ้งทำชันผึ้งมาจากยางไม้นานาชนิดตามแต่จะหาได้ เปลือกไม้เป็นแหล่งที่มีโพลีเฟโนลิก ไบโอฟลาโวนอยด์อย่างอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่ตามชายทะเลของประเทศฝรั่งเศสด้านมหาสมุทรแอตแลนติกคือสนไพนัส มาริทิมา อุตสาหกรรมยาศึกษาและวิจัยเปลือกสนชนิดนี้เป็นพิเศษ แล้วนำเอามาสกัด ได้เป็น สารจับออกซิเจน ฤทธิ์แรงที่ชื่อว่า พิโนเจนอล

สารที่สกัดได้จากเปลือกสน มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับชัน คือมี สารจับออกซิเจน เป็นส่วนประกอบมากมายหลายชนิด ที่เหนือกว่าก็คือกรรมวิธีในการผลิต ผู้ผลิตจดสิทธิบัตรกรรมวิธีผลิตและรับประกันความสม่ำเสมอของส่วนประกอบ คุณสมบัติต่างๆ ของสารที่สกัดจากเปลือกสนมีความคล้ายคลึงกับสารไบโอฟลาโวนอยด์ชนิดอื่น ๆ จากการวิจัยอย่างละเอียดพบว่าผลิตภัณฑ์นี้ช่วยได้ในเรื่องของหลอดเลือดช่วงล่างของร่างกาย โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ขา การให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการขาเป็นตะคริว เส้นเลือดขอด ขาหัก ริดสีดวงทวารได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูเหมือนว่าสารสกัดจากพืชที่อุดมด้วยไบโอฟลาโวนอยด์จะให้ผลคล้ายกันหากได้มีการวิจัยอย่างจริงจังดังเช่นที่ทำกับเปลือกส่วนดังกล่าว พิกโนเจนอลไม่ได้เป็นสารเคมีบริสุทธิ์หรือมีสารเคมีอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ผู้ผลิตสามารถรับประกันคุณภาพได้ด้วยกรรมวิธีการผลิต พิโนเจนอลไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากับเควอร์เซทิน เฮสเพอริดิน หรือรูทินบริสุทธิ์ แต่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับยางหรือชันมากกว่าไบโอฟลาโวนอยด์อย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ

อาจจะเป็นได้ว่ามีไบโอฟลาโวนอยด์ผสมออกมาจำหน่ายอีกหลายชนิด แต่ต้องพิจารณาข้อกล่าวอ้างในเรื่องสรรพคุณของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้ดี

สมุนไพรและโภชนสารจากพืชในฐานะสารจับออกซิเจน

รายชื่อสมุนไพรที่มีคุณสมบัติจับออกซิเจนดูจะมีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องกินสมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ เป็นต้นว่า ใบแปะก๊วย โสมหรือ เอคิเนเชีย เป็น สารจับออกซิเจน เสมอไป แต่ไม่ได้หมายความว่าผลจากสมุนไพรเหล่านี้ที่มีต่อสุขภาพจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติในการจับออกซิเจนที่สมุนไพรดังกล่าวมีอยู่ ซึ่งอาจมีความสำคัญยิ่งในเรื่องประสิทธิภาพที่เจาะจงต่อสถานการณ์ สมุนไพรต่าง ๆ มีส่วนประกอบซึ่งเสริมฤทธิ์กันและกันโดยเฉพาะคุณสมบัติในการจับออกซิเจน

การรักษาด้วยสมุนไพรเป็นการรักษาในลักษณะองค์รวม ให้ผลต่อร่างกายมากกว่าการรักษาด้วยยาวิเศษโมเลกุลเดี่ยวมากมายนัก สมุนไพรส่วนใหญ่มีโพลีแซคคาไรด์ แร่ธาตุ วิตามิน ฟลาโวนอยด์ โปรตีน ไกลโคไซด์ และเซลลูโลสเป็นส่วนประกอบ ขณะที่สาร 1 หรือ 2 อย่างทำงานในลักษณะสารออกฤทธิ์ สารอื่นก็ทำหน้าที่ปรับให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล สมุนไพรอาจมีผิดพลาดน้อยกว่าเคมีอย่างมากมายก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว เพราะยาเคมีไม่มีตัวปรับสมดุลอยู่เลย เป็นเพียงสารเคมีที่มีกระบวนการผลิตราคาถูกและการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทำได้ง่ายกว่าสมุนไพร

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับใช้กับออกซิเจนที่ดีและปลอดภัยที่สุดคืออาหารและสมุนไพร ต่อไปนี้คือตัวอย่างพืชบางชนิดที่มีสารกับออกซิเจนและใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ตัวอย่างพืชบางชนิดที่มีสารกับออกซิเจนและใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ฟลาโวนไกลโคไซด์ ได้จากแปะก๊วย
ไซลิมาริน ได้จากผักโขมหนาม
ไพรแอนโทไซอะนิดิน (OPCs) ได้จากเมล็ดองุ่นสกัดและเปลือกต้นสน
แคเทซิน โพลีฟีนอล ฟลาโวนอยด์ ได้จากชาเขียว
แคพไซซิน ได้จากพริก โรสแมรี่ และขิง
ไลโคปีน ได้จากมะเขือเทศ
ลิโมนีน ได้จากผลไม้จำพวกส้ม
น้ำส้มไซเดอร์ ได้จากแอปเปิ้ล
เซซามินอล ได้จากเมล็ดงา
แอลลิซิน ได้จากกระเทียม

ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนสมุนไพรในโลก แต่ก็คงพอแสดงให้เห็นว่ามีแหล่ง สารจับออกซิเจน ซึ่งอาจนำมาใช้ป้องกันการเสื่อมของสุขภาพและนำมาใช้เสริมสุขภาพได้  [adinserter name=”navtra”]

ผู้คนทางตะวันออกของโลกพากันละเลยหรือหลงลืมสมุนไพรดี ๆ ซึ่งมีมากกว่าทางตะวันตก ไทยเรามียาบำรุงธาตุ ยาหอม ยาอายุวัฒนะ ยาเหล่านี้บางอย่างประกอบด้วยสมุนไพรมากมาย โดยมีเหตุผลว่าตัวยาสมุนไพรบางอย่างอาจออกฤทธิ์เสริมกัน บางอย่างอาจออกฤทธิ์ถ่วงดุลกัน สมุนไพรจึงเป็นยาที่ออกฤทธิ์อย่างนุ่มนวล

กรดแอลฟาไลโพอิ

เป็นสารโคเอนไซม์ชนิดหนึ่งซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในเครบส์ซัยเคิล เปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน และแอลฟาไลโพอิกเป็น สารจับออกซิเจน ที่มีฤทธิ์แรงมาก ไม่เพียงแต่จะทำลายอนุมูลอิสระด้วยตนเองเท่านั้น แต่ยังชุบชีวิตสารจับออกซิเจนชนิดอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามิน เอ ซี อี และกลูตาไธโอน ทำให้สารเหล่านี้สามารถไล่จับอนุมูลอิสระต่อไปได้อีก และเนื่องจากกรดแอลฟาไลโพอิกละลายได้ทั้งในน้ำและในน้ำมัน จึงทำหน้าที่เป็นสะพานหลักสำหรับการเชื่อมในระดับเซลล์ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันเซลล์ทั้งภายในและจากภายนอกเซลล์อีกด้วย

แม้ร่างกายจะผลิตกรดแอลฟาไลโพอิกได้เองก็ตาม แต่การเสริมด้วยสารดังกล่าววันละ 100 -200 มิลลิกรัม ก็ดูว่าจะเป็นประโยชน์มาก การได้รับกรดแอลฟาไลโพอิกในปริมาณสูง เช่นวันละ 800 มิลลิกรัม จะสามารถช่วยฟื้นสภาพของเส้นประสาทของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้ และอาหารที่เป็นแหล่งของกรดแอลฟาไลโพอิก คือมันฝรั่ง แครอท เผือก และมันเทศ

แร่ธาตุทุกชนิดต่างก็มีศักยภาพในการรับหรือให้ออกซิเจนหรือประจุไฟฟ้าซึ่งเรียกกันว่า “รีดอกซ์โพเทนเซียล
( Redox Potential )” ศักยภาพนี้วัดได้ด้วยสมรรถนะในการจับออกซิเจน แร่ที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนรุนแรงที่สุดก็คือ โซเดียมและโพแทสเซียม เมื่อแร่ทั้งสองนี้สัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ จะเกิดการเผาไหม้ขึ้นทันที จะเกิดเป็นเปลวไฟขึ้นไป ดูแล้วน่าสนุกสนานตื่นเต้นมาก จึงกล่าวได้ว่าแร่ดังกล่าวเป็นสารรับประจุไฟฟ้าลบหรือเป็นสารจับออกซิเจนอย่างแรง ดังนั้นออกซิเจนจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกาย และการได้รับสารจับออกซิเจนที่ดีที่สุดก็คือการได้รับประทานอาหารที่สมดุล ถ้าจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือคนไข้ที่กำลังพักฟื้นหลังการเจ็บป่วยก็สามารถทำได้ แต่ต้องได้อาหารจากธรรมชาติและในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ต้องทำให้อาหารโดยรวมมีความสมดุลด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติ

0
ร่างกายมีการเพิ่มภูมิคุ้มกันธรรมชาติโดยแอนติบอดี
ร่างกายมีการเพิ่มภูมิคุ้มกันธรรมชาติโดยแอนติบอดี
วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติ
ระบบภูมิคุ้มกันคือระบบที่ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยการร่วมมือกันระหว่างเซลล์ที่เป็นภูมิคุ้มกัน

ภูมิคุ้มกัน

มนุษย์เราตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ สามารถก้าวผ่านความลำบากมาได้ และมีชีวิตอยู่รอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ นั่นก็เพราะพวกเขาพยายามที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง จากการที่ต้องผจญกับภยันตรายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ หรืออื่นๆ ซึ่งเมื่อมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันจนเอาชนะสิ่งเหล่านี้มาได้ จึงสามารถมีชีวิตรอดอยู่เท่าทุกวันนี้นั่นเอง

โดยทั้งนี้ระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติจะสามารถตอบสนองกับสิ่งที่ต้องเผชิญได้อย่างไม่หยุดหย่อนเสมอ ทั้งยังมี ประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างสูงสุดอีกด้วย โดยเฉพาะกับแบคทีเรีย รา ยีสต์ และไวรัส โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบและจัดการกับสิ่งแปลกปลอมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นไปอีก ต้องบอกเลยว่าในอดีต สมัยบรรพบุรุษนั้น ไม่ได้มีการฆ่าเชื้อในอาหารเหมือนสมัยปัจจุบัน อาหารส่วนมากจึงมักจะมียีส เชื้อราและพวกแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่เสมอ ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการคิดค้นการฆ่าเชื้อขึ้นมา ทำให้มนุษย์เราไม่ได้เจอกับเชื้อโรคมากนัก และในขณะเดียวกัน ภูมิคุ้มกันธรรมชาติของเราก็ลดลงไปอีกด้วย รวมถึงสภาวะแวดล้อมปลอดเชื้อที่สร้างขึ้นมา ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลงเช่นกัน ดังนั้นจึงเล็งเห็นว่า ควรเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นไปอีก โดยสามารถทำได้ด้วยการพยายามรับสิ่งที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

ยกตัวอย่างการรับธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย ที่อยากแนะนำมากที่สุดคือ การโพรโพลิส ซึ่งก็คือสารบางอย่างที่ผึ้งได้สร้างขึ้นมาจากของเหลวและยางไม้ในยอดอ่อนของพืชนั่นเอง โดยจะมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้อย่างดีเยี่ยมทั้งยังช่วยต้านการอักเสบได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นอกจากนี้ก็มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นเช่นกัน
แอนติบอดีเป็นเหมือนขีปนาวุธโจมตีศัตรูภายนอก

แอนติบอดีในร่างกายของเรา จะมีบทบาทเป็นเหมือนกับศูนย์กลางของระบบภูมิคุ้มกันแบบฮิวมอรัล ซึ่งก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับขีปนาวุธที่พร้อมจะโจมตีศัตรูภายนอกอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย โดยกลไกการสร้างแอนติบอดี ก็มีดังนี้
เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคอะไรก็ตาม แมคโครฟาจจะเข้าจัดการเชื้อโรคนั้นทันที แล้วตามด้วยส่งสัญญาณไปยังลิมโฟไซต์ทีผู้ช่วย และส่งสัญญาณต่อไปยังลิมโฟไซต์เซลล์บี จากนั้นก็จะเกิดการสร้างแอนติบอดีขึ้นมาเพื่อเข้าจับกับเชื้อโรคในทันทีพร้อมทำลายให้สิ้นซากไป โดยทั้งนี้แอนติบอดีจะมีโครงสร้างเป็นโปรตีน ที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวอักษร Y และมีน้ำหนักของโมเลกุลประมาณ 200,000 ดาลตัน โดยแอนติบอดีจะจดจำชนิดของเชื้อโรคที่เคยเข้าสู่ร่างกายเอาไว้ หากมีเชื้อโรคตัวเดิมเข้ามาอีก ก็จะตรงเข้าจับและทำลายทันทีนั่นเอง
นอกจากนี้แอนติบอดียังมีหน้าที่อื่นอีกด้วย โดยแอนติบอดีจะมีหลากหลายชนิด ซึ่งชนด IgG จะทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคและช่วยในเรื่องของวัคซีน ส่วนแอนติบอดีชนิด IgE ก็จะทำหน้าที่ในการสร้างปฏิกิริยาการเกิดภูมิแพ้ และยังมีแอนติบอดีชนิด IgA ที่จะทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบทางเดินอาหารอีกด้วย เพราะแอนติบอดีชนิดนี้จะอยู่ในของเหลวในลำไส้เป็นส่วนใหญ่

หน้าที่หลักของภูมิคุ้มกันและการเจ็บป่วย

มนุษย์เรามีชีวิตรอดมาได้จนเท่าทุกวันนี้ จะต้องเผชิญกับเชื้อก่อโรคที่น่ากลัวมาอย่างมากมายและยาวนาน จึงได้มีการก่อภูมิคุ้มกันขึ้นมา เพื่อให้สามารถต้านกับเชื้อโรคร้ายเหล่านั้นได้อยู่เสมอ แต่นอกจากเชื้อโรคภายนอกที่ร่างกายต้องเผชิญแล้ว ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายที่จะต้องเจออีกด้วย เช่นการกลายพันธุ์ของเซลล์ ที่เปลี่ยนไปเป็นมะเร็งนั่นเอง ดังนั้นเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่รอดจากภัยคุกคามเหล่านี้ จึงต้องรวมพลังกันเพื่อปกป้องร่างกายให้พ้นจากการคุกคามของศัตรู โดยพลังที่ว่านั้นก็คือพลังภูมิคุ้มกันนั่นเอง     
สำหรับหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกัน หลักๆ เลยก็คือ จะช่วยปกป้องร่างกายให้พ้นจากการคุกคามของศัตรูภายนอก พร้อมดูแลสุขภาพและลดการเสื่อมถอยของอวัยวะภายในร่างกาย และยังป้องกันการเกิดมะเร็งรวมถึงอาการป่วยทางจิต   อย่างเช่น โรคซึมเศร้าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ระบบภูมิคุ้มกันก็ทำให้เราต้องเผชิญกับเชื้อโรคและการเจ็บป่วยแบบใหม่ที่ยังไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การแพ้ละอองเกสรดอกไม้ การเป็นผื่นแพ้ที่ผิวหนัง และอาจเกิดภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเองได้อีกด้วย ซึ่งเป็นเหตุมาจากการสูญเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน จึงทำให้ร่างกายต้องพยายามเพิ่มความแข็งแรงให้กับภูมิคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้หากเรามีพลังภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น ก็จะช่วยป้องกันไวรัสก่อโรคได้มากขึ้นไปอีก และยังช่วยฟื้นตัวจากอาการอ่อนเพลียหรือการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมอีกด้วย นอกจากนี้ก็จะทำให้เมตาบอลิซึม ( Metabolism ) ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายสามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม พร้อมกับป้องกันความเสื่อมถอยของโครงสร้างต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเซลล์มะเร็ง พบว่าร่างกายของคนเราจะมีการก่อเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมาตลอดเวลา ตกประมาณวันละ 3,000-5,000 เซลล์เลยทีเดียว ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันจึงต้องทำงานหนัก ด้วยการคอมตรวจการไปทั่วร่างกายเพื่อเข้าทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไปในทันที โดยที่เซลล์มะเร็งยังไม่ทันได้ก่อตัวเป็นเนื้อร้าย

ระบบภูมิคุ้มกันคือระบบที่ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยการร่วมมือกันระหว่างเซลล์ที่เป็นภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาว กับสารภายในร่างกาย

การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ป้องกันการติดเชื้อ  ดูแลสุขภาพ  ป้องกันความเสื่อมถอย
ป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ และแบคทีเรียก่อโรค ช่วยให้ฟื้นจากอาการอ่อนเพลีย หรือเจ็บป่วยและความเครียด เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เสริมสร้างเมแทบอลิซึม ให้สมบูรณ์ ช่วงให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี ป้องกันความเสื่อม
ถอยของโครงสร้างต่าง ๆ ภายในเซลล์

อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการสูญเสียสมดุลของภูมิคุ้มกัน

เซลล์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเพิ่มพลังภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราก็คือ เซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งพบว่าในกระแสเลือดของคนเรานั้นจะมีเม็ดเลือดขาวอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ ลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte ) แมคโครฟาจ ( Macrophage ) และแกรนูโลไซต์ ( Granulocyte ) โดยลิมโฟไซต์ก็ยังแบ่งออกได้อีกเป็น ชนิดเซลล์บี ชนิดเซลล์ทีและ ชนิดเซลล์เอ็นเค ลิมโฟไซต์ที่ไขกระดูกจะพัฒนาการไปเป็นเซลล์บี ส่วนลิมโฟไซต์ที่ต้อมไทมัสก็จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ทีและทำหน้าที่ในการสร้างแอนติบอดี นอกจากนี้เซลล์ทีก็ยังแบ่งออกได้เป็น เซลล์ทีผู้ช่วย (Helper T cell) จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างแอนติบอดี โดยมี 2 กลุ่มคือ Th- 1 และ Th- 2
Th- 1 เป็นเซลล์ที่จะทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกันแบบเซลล์ ช่วยให้มีการตอบสนองในด้านภูมิคุ้มกันในสภาวะที่มีการติดเชื้อ ซึ่งระบบก็จะปล่อยเซลล์ทีเพชรฌฆาตออกมา เพื่อเข้าจัดการกับไวรัสในทันที นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการร่วมทำงานกับเซลล์เอ็นเคเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่จะก่อตัวขึ้นทุกวันกว่า 5,000 เซลล์อีกด้วย
Th- 2 เป็นเซลล์ที่จะใช้โปรตีนในกระแสเลือดหรือที่เรียกว่า แอนติบอดี ในการก่อให้เกิดการตอบสนองของภูมิคุ้มกันแบบฮิวมอรัล เมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ โดยเซลล์ชนิดนี้จะชักนำให้เกิดการสร้างแอนติบอดีขึ้นมาในทันทีเพื่อต้านเชื้อไวรัสหรือเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญต่ออาการของโรคภูมิแพ้อีกด้วย
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า Th- 1 และ Th- 2 นั้น จะทำหน้าที่ในการรักษาความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันเหมือนกันอยู่คนละด้าน ซึ่งหากด้านใดด้านหนึ่งเกิดความเสียสมดุลไป ก็จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้หรือภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเองได้ง่าย โดยทั้งนี้ภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเอง ก็จะมีทั้งโรคต่อมไทรอยด์อักเสบฮาชิโมโต โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นสมดุลของ “แบบเซลล์” และ “แบบฮิวมอรัล”

แผนภูมิรูปภาพแสดงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
แผนภูมิรูปภาพแสดงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ถ้าทั้งสองด้านสูญเสียการทำงาน ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง ซึมเศร้า และถ้าด้านใดด้านหนึ่งทำงานเด่นกว่า นั่นก็เป็นสาเหตุของผิวหนังผื่นแพ้ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณคลิปสุขภาพดีๆจาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

ฟุจิตะ, โคอิชิโร. ภูมิคุ้มกัน บอดี้การ์ดส่วนตัว. กรุงเทพฯ : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น),2555. 1.วิทยาภูมิคุ้มกัน. I.ศักดา ดาดวง,ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 616.079 ISBN 978-974-443-517-0.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Gherardi E. The Concept of Immunity. History and Applications. Archived 2007-01-02 at the Wayback Machine. Immunology Course Medical School, University of Pavia.

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

มาทำความรู้จักผิวแต่ละประเภทกันเถอะ

0
มาทำความรู้จักผิวแต่ละประเภทกันเถอะ
ดูแลผิวพรรณให้สวยงามปราศจากริ้วรอย แลดูมีสุขภาพดีและอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ
มาทำความรู้จักผิวแต่ละประเภทกันเถอะ
เราทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์ผิวได้ แต่เราสามารถชะลอกระบวนการดังกล่าวได้

ผิวหนัง ( Skin )

ผิวพรรณ ( Skin ) ที่สวยงามปราศจากริ้วรอย แลดูมีสุขภาพดีและอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนานำมาซึ่งความพึงพอใจแก่ผู้เป็นเจ้าของและผู้พบเห็น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมากไปกับการรักษาผิวพรรณที่ล้ำสมัย การใช้เครื่องประทินผิวราคาแพง รวมไปถึงอาหารเสริมบำรุงผิวหลากหลายชนิด เพื่อรักษาผิวพรรณของตนให้สวยใสอยู่เสมอ แต่การจะได้มาซึ่งผิวที่สวยงามและอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืนได้นั้น จะต้องเรียนรู้องค์ประกอบพื้นฐานของผิว ธรรมชาติของผิว และวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้องอย่างเป็นอย่างดี นั่นคือความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผิวพรรณที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับการดูแลผิวพรรณได้อย่างถูกต้องเพื่อการมีผิวที่สวยงามอย่างยั่งยืน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ธรรมชาติของผิว

ผิวหนัง ( Skin ) เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีการคาดกันว่าหากนำผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย มาแบ่งออกจะได้พื้นที่มากกว่า 1,000 ตารางนิ้ว และมีน้ำหนักประมาณร้อยละ 16 ของน้ำหนักตัว ผิวหนังทำหน้าที่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการห่อหุ้มและปกป้องอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ปกป้องเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายหรือแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ช่วยขับถ่ายของเสีย ช่วยปกป้องรังสีอัลตราไวโอเลตไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย และเป็นปราการด่านแรกในการรับแรงกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเช่น แสงแดด ความร้อนและความเย็น เป็นต้น

เมื่อเวลาล่วงเลยไปเซลล์และเนื้อเยื่อของอวัยวะต่าง ๆ รวมไปถึง ผิวหนัง ( Skin ) จะเกิดการเสื่อมสภาพ ผิวหนังจากที่เคยเต่งตึง เปล่งปลั่ง เยาว์วัย กลับกลายเป็นผิวที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย หมองคล้ำ ไม่น่ามอง มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำตามมามากมาย กระบวนการเสื่อมสภาพของผิวหนังดังกล่าวเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งตัวการสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมดังกล่าวนั่นคือ อนุมูลอิสระ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัย 2 ประการได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก นั่นเอง

ปัจจัยภายใน คือกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในขณะที่ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ แสงแดด ความร้อน สารพิษมลภาวะ แอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือแม้แต่การดูแลผิวที่ผิดวิธี เป็นต้น

อนุมูลอิสระ คือสารประกอบใด ๆ ที่เมื่อรวมเข้ากับออกซิเจนแล้ว จะเกิดการสูญเสียอิเล็กตรอนภายในโมเลกุลไป ทำให้โมเลกุลดังกล่าวขาดความสมดุล ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน โมเลกุลนั้นจำเป็นต้องดึงอิเล็กตรอนจากโมเลกุลข้างเคียงมาไว้กับตัวทำให้โมเลกุลข้างเคียงขาดความเสถียรจนต้องแย่งอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์มาอีก ปฏิกิริยาดังกล่าวจะเกิดติดต่อกันกลายเป็นลูกโซ่ไม่จบสิ้น เราเรียกโมเลกุลที่อิเล็กตรอนหายไปว่า อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและโรคร้ายต่าง ๆ หากปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่มีการแบ่งเซลล์และถอดแบบ DNA จากเซลล์แม่ไปยังเซลล์ลูกจะก่อให้เกิดความเสียหายในระดับ DNA ของเซลล์เกิดใหม่จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

แม้ว่าเราไม่อาจหลีกเลี่ยงกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์ผิวได้ แต่เราสามารถชะลอกระบวนการดังกล่าวได้ โดยให้เกิดช้าลง ด้วยการเอาใจใส่ปัจจัยทั้งสองอย่างเท่า ๆ กัน เพื่อลดความเสื่อมโทรมที่มาจากปัจจัยภายนอก พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัด การอยู่ในสภาวะที่เป็นพิษ ไม่อยู่ในสถานที่ที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเป็นเวลานาน ๆ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และกาเฟอีน ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตลบอบอวนไปด้วยควันบุหรี่ และหมั่นดูแลผิวพรรณอย่างถูกวิธีและเหมาะสม เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สำหรับความเสื่อมโทรมที่เกิดจากปัจจัยภายใน สามารถชะลอให้เกิดช้าลงได้ ด้วยการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ในสัดส่วนที่พอเหมาะ รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้สด ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่าที่จำเป็น ควรดื่มน้ำสะอาดให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความตึงเครียดอยู่เสมอ เป็นต้น ถ้าเราดูแลผิวอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ผิวพรรณของเราก็จะคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น

ผิวสวย คือผิวแบบไหน?

หากจะถามว่าผิวลักษณะใดที่จัดว่าเป็นผิวที่สวยงาม คงมีคนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะคนไทยต่างเข้าใจว่าผิวสวยคือผิวที่มีความขาวใส ปราศจากริ้วรอย และจุดด่างดำ แต่คำตอบในประเทศยุโรปอาจจะบอกว่าผิวที่สวยงาม คือผิวที่มีสีคล้ำแดด แลดูสุขภาพดี และมองว่าคนที่มีผิวขาวนั้นซีด บ่งบอกถึงมีการมีสุขภาพที่อ่อนแอและการมีกระหรือฝ้าประปรายบนใบหน้านั้น ดูดีมีชีวิตชีวากว่าคนที่มีผิวขาวโพลนซึ่งดูเหมือนพลาสติก เป็นต้น

ด้วยรสนิยมที่แตกต่างกันทำให้ใครหลายหลายคนสับสนกับนิยามของผิวสวยที่แท้จริง ผิวที่สวยงามนั้นเป็นอย่างไร? ผิวที่ขาวใสเป็นธรรมชาติคือนิยามของผิวสวยแล้วนิยามความงามของคนมีผิวสีจะเป็นเช่นไร? พวกเขาจะไม่มีคนสวยบ้างเลยหรือ? อย่างไรก็ตามหากมองดูตามหลักของความถูกต้องแล้ว ผิวที่ถือว่าเป็นผิวสวยนั้น จะต้องมีองค์ประกอบด้วยคุณสมบัติ 6 ประการ ได้แก่ ผ่องใส ชุ่มชื่น ไร้จุดด่างดำ นุ่มนวล กระชับละเอียด และเต่งตึง หากผิวของคุณมีคุณสมบัติ ครบทั้ง 6 ประการ ขอให้ภูมิใจได้เลยว่าว่าคุณมีผิวสวยงามในอุดมคติและเพื่อที่จะตรวจสอบให้รู้ว่าผิวของคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วนหรือไม่ เรามีวิธีสังเกตนี้

ผิวขาวใส

มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้ผิวพรรณขาดความผ่องใสจนนำไปสู่ผิวที่หยาบกร้านและหมองคล้ำ ได้แก่ การตกค้างของเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ การได้รับรังสียูวีติดต่อกันเป็นเวลานาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความตึงเครียด รวมไปถึงการได้รับสารอาหารที่ไม่เหมาะสมจนนำไปสู่ความร่วงโรยและเสื่อมสภาพของผิวในที่สุด

หากคุณกำลังประสบปัญหาผิวพรรณขาดความผ่องใส การรักษาผิวให้กลับมามีความสวยงามดังเดิมนั้น จะเน้นที่การดูแลผิวในส่วนหนังแท้เป็นหลัก การกินอาหารให้ได้สัดส่วน โดยเน้นอาหารที่มีสารอาหารจำเป็นสำหรับผิวให้มาก ๆ การกินวิตามินซีเสริม อย่าเครียด หมั่นทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวี แม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม ทาครีมบำรุงผิวในช่วงเช้าและก่อนนอนเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวและปกป้องผิวจากอากาศร้อนและหนาว พักผ่อนให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หากจำเป็นต้องดื่มให้ดื่มในปริมาณน้อย ๆ และนาน ๆ ครั้ง เท่านั้น นอกจากนี้ควรขัดผิวอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไป รวมถึงการนวดผิวเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการทำงานของชั้น ผิวหนัง ( Skin )

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวชุ่มชื้น

เป็นผิวที่มีอัตราส่วนระหว่างน้ำและน้ำมันอยู่ในระดับสมดุลที่มีน้ำหล่อเลี้ยง ไม่แห้งกร้าน แลดูผ่องใส สามารถแต่งหน้าได้เรียบเนียน แป้งติดหน้าดีขึ้น ผิวนุ่มชุ่มชื้น หากใช้นิ้วกดผิวจะเด้งคืนตัวกลับมาทันที สัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าผิวขาดความชุ่มชื้น ได้แก่ ใบหน้ามีน้ำมันส่วนเกินประปราย ในขณะที่ผิวบริเวณรอบตาและรอบปากซึ่งเป็นผิวที่มีความบอบบางกลับแห้งหรือแตกเป็นขุย เมื่อทาแป้งหรือเครื่องสำอางแป้งจะร่อนไม่ติดหน้า วิธีแก้จะเน้นที่การดูแลผิวชั้นหนังแท้เป็นหลัก กินผักและผลไม้ให้มาก และดื่มน้ำสะอาดให้มากเพื่อชดเชยน้ำที่ผิวสูญเสียไป ควรใช้โลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ หรือครีมที่มีความเข้มข้นสูงและมีสรรพคุณในการรักษาระดับน้ำใต้ผิว หากพบว่าผิวบริเวณรอบดวงตาและรอบปากแห้งง่ายให้ทาอายครีมและปิโตรเลียมเจลเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวบริเวณดังกล่าวเอาไว้

ไร้จุดด่างดำ

จุดด่างดำมีลักษณะเป็นจุดสีดำกระจายตัวตาม ผิวหนัง ( Skin ) ในบริเวณที่โดนแดดบ่อย ๆ จากการรวมตัวกันของเมลานิน เมื่อผิวถูกกระตุ้นด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตที่มาพร้อมกับแสงแดดที่ร้อนแรง ในช่วงที่อายุยังน้อยเมลานินดังกล่าวจะมีความสามารถในการกระจายตัวกลับไปอยู่ที่เดิมได้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ค่อยพบจุดด่างดำในคนวัยหนุ่มสาวสักเท่าใด แต่เมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการกระจายตัวของเมลานินดังกล่าวจะลดน้อยลง ยังผลให้เกิดจุดเม็ดสีดำกระจายอยู่ตามผิวหนังอย่างถาวร วิธีที่จะป้องกันการเกิดจุดด่างดำดังกล่าวที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดโดยตรงโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป แม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม

ผิวนุ่มนวลกระชับ

เป็นผิวที่แลดูอ่อนกว่าวัย มีสัดส่วนของน้ำและน้ำมันในระดับที่สมดุล แลดูชุ่มชื้น ผ่องใสมีน้ำมีนวล มีริ้วรอยน้อย เมื่อใช้นิ้วกดลงไปผิวจะเด้งกลับมาในทันที วิธีรักษาผิวให้นุ่มนวลจะเน้นที่การรักษาในระดับหนังกำพร้าเป็นหลัก โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และแต่ละหมู่ต้องได้สัดส่วนที่เหมาะสม เน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูง ดื่มน้ำให้มาก ใช้ทรีทเม้นท์ชนิดครีมเพื่อรักษาระดับของน้ำและน้ำมันใน ผิวหนัง ( Skin ) ใช้มาส์กพอกหน้าเป็นประจำควบคู่ไปกับการใช้เครื่องสำอางที่มีสรรพคุณในการบำรุงรักษาชั้นหนังแท้ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ความร่วงโรยของผิวพรรณ เช่น แสงแดด ฝุ่นละออง อากาศที่เย็นหรือร้อนจนเกินไป ทาครีมบำรุงทั้งตอนเช้าและตอนเย็นเพื่อปกป้องผิวจากความเสื่อมโทรม ทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญแสงแดดเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากรังสียูวี  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวละเอียด

เป็นผิวที่มีระดับของน้ำและน้ำมันที่สมดุลกันดี แลดูอ่อนนุ่ม ไม่มีการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทาแป้งหรือเครื่องสำอางติดทนดี เส้นใยผิวเรียงเป็นระเบียบ และมีความมันอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ผิวหน้าละเอียดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรนนิบัติผิวชั้นหนังกำพร้าเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำเกิดการตกค้างของสิ่งสกปรกตามรูขุมขน ได้แก่ ความเครียด โภชนาการที่ไม่เหมาะสม การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่และแต่ละหมู่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เน้นหมู่ใดหมู่หนึ่งมากจนเกินไป กินผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูงมากๆ นอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ควบคุมความมันโดยเฉพาะ ใช้โลชั่นหรือครีมเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว หมั่นขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไปอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ผิวเต่งตึง

ผิวที่หย่อนยานหรือขาดความกระชับเกิดจากการที่เส้นใยในชั้นหนังแท้มีความหนาตัวขึ้น ผิวหนัง ( Skin ) จึงขาดแรงตึง ขาดความยืดหยุ่น มีการสันดาปที่น้อยลง เกิดความสับสนจนนำไปสู่การหย่อนคล้อยของผิวในที่สุด ผิวที่เต่งตึงเป็นผิวที่แลดูผุดผ่อง เนียนละเอียด ผิวหนังบริเวณปากและรอบดวงตากระชับไม่หย่อนคล้อย หนังตาและมุมปากไม่หย่อนยาน รูปหน้าโดยรวมกระชับเต่งตึง เมื่อใช้นิ้วกดแล้วผิวจะเด้งกลับมาทันที ผิวมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อที่จะรักษาความกระชับเต่งตึงของผิวเอาไว้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้การดูแลชั้นหนังแท้เป็นพิเศษ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์และถูกสัดส่วน เน้นผักผลไม้ที่มีวิตามินสูง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ใช้เครื่องสำอางที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นใยผิว ดื่มน้ำให้มากเพื่อชดเชยน้ำที่ผิวสูญเสียไป ใช้เครื่องสำอางที่มีฤทธิ์ในการรักษาสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันในผิว หมั่นขัดผิวที่ตายแล้วอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละครั้ง นวดผิวเป็นประจำเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนให้ดียิ่งขึ้น

สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นคือลักษณะในการพิจารณาผิวขั้นพื้นฐานว่าผิวเช่นไรจึงจะเรียกว่าเป็นผิวสวย เป็นที่น่าสังเกตว่าสีผิวไม่ได้ถูกจัดไว้ในเกณฑ์การพิจารณาผิวแต่อย่างใด จึงทำให้เรามั่นใจว่าแม้ว่าเราจะมีสีผิวอะไรก็ตาม เราทุกคนก็สามารถมีผิวสวยได้ด้วยกันทั้งนั้น และการกินอาหารที่ได้สัดส่วน โดยเน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูง การออกกำลังกายที่เหมาะสม การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การงดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ทุกชนิด และการไม่เครียดจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีผิวสวยอย่างยั่งยืน ดังนั้น การมีผิวสวยเราไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากไปกับเครื่องสำอางราคาแพงที่โฆษณาสรรพคุณว่ามีฤทธิ์ในการปรับสีผิวให้ขาว หรือเข้าสถานเสริมความงามเพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ยุ่งยากแต่อย่างใด ขอเพียงแค่ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐาน และข้อปฏิบัติปลีกย่อยต่าง ๆ ผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

การมีผิวที่สวยงาม ปราศจากริ้วรอย แลดูมีสุขภาพดีและอ่อนกว่าวัย ล้วนเป็นที่ต้องการของทุกคน จึงยอมเสียเงินราคาแพงเพื่อรักษาผิว รวมไปถึงอาหารเสริมบำรุงผิวทั้งหลายด้วย    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เรียนรู้เรื่องชั้นของผิว

เพื่อที่จะดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ถึงองค์ประกอบพื้นฐานให้ดีเสียก่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือชั้นของผิว ชั้นของผิวหมายถึงส่วนประกอบของผิวที่ทำหน้าที่และลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปแล้วผิวจะมีทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ ผิวชั้นนอกหรือหนังกำพร้า ( Epidermis ) ชั้นหนังแท้ ( Dermis ) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ( Fat Layer )

ผิวชั้นนอกหรือหนังกำพร้า ( Epidermis )

ผิวชั้นนอกมีความสำคัญในฐานะที่เป็นด่านแรกที่กั้นระหว่างสิ่งแวดล้อมภายนอกกับอวัยวะภายในร่างกายของเรา และยังถือว่าเป็นชั้นผิวที่มีความสำคัญในการกำหนดความสวยงามของผิวพรรณโดยรวมได้อีกด้วย แม้ว่าการมีผิวที่สวยใส แลดูอ่อนกว่าวัยจะขึ้นอยู่กับผิวทุกชั้นก็ตาม จะว่าไปแล้วผิวชั้นนอกก็ไม่ต่างอะไรกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราสวมใส่อยู่ทุกวัน เสื้อผ้าเนื้อดี มีสีสันสวยงามและตัดเย็บอย่างประณีต ย่อมทำให้ผู้สวมใส่ดูดีไปด้วย ผิวชั้นนอกหรือชั้นหนังกำพร้าประกอบไปด้วยเซลล์จำนวน 5 ชั้น ผิวชั้นนี้มีความบางมากจนสามารถเปรียบได้กับความหนาของกระดาษ 1 แผ่นเลยทีเดียว

ชั้นหนังกำพร้าเป็นบริเวณที่มีการผลิตเซลล์ผิว เป็นที่อยู่ของเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตเม็ดสีผิว
เมลานินเป็นที่เกิดกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งจะมีการทดแทนเซลล์ผิวที่ตายแล้วด้วยการผลิตเซลล์ผิวเกิดใหม่ตลอดเวลาโดยจะมีการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ไปอยู่ชั้นบนสุด ซึ่งเราเรียกผิวชั้นนี้ว่า Horny Layer หรือ Stratum Corneum ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีอายุราว 14 วัน หลังจากนั้นจะหลุดลอกออกไปในรูปของขี้ไคลและ ผิวหนัง ( Skin ) จะสร้างเซลล์ผิวใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนเซลล์ผิวเเทนหลุดลอกออกไป

ซึ่งกระบวนการในการสร้างเซลล์ผิวใหม่จะกินเวลาอีก 14 วันเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าทุก ๆ 28 วัน ผิวหนัง ( Skin ) จะมีการผลัดเซลล์ผิว 1 ครั้ง แต่ครั้งนี้ความถี่ของกระบวนการจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุเป็นหลัก ในวัยหนุ่มสาวผิวอาจมีการผลัดเซลล์ที่ดีและเร็วกว่า (ประมาณ 28-30 วันต่อครั้ง) แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการดังกล่าวจะเกิดช้าลงและห่างกัน (ประมาณ 45-50 วัน) เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังชั้นนี้จะหนาและเรียงตัวกันไม่สม่ำเสมออย่างเคย เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกว่าผิวไม่เรียบเนียนและขาดความยืดหยุ่น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ชั้นหนังแท้ ( Dermis )

ชั้นหนังแท้เป็นชั้นที่อยู่ลึกกว่าผิวชั้นนอกลงมา มีความหนามากกว่าผิวชั้นนอกประมาณ 20-40 เท่า เป็นชั้นที่มีความหนามากถึงร้อยละ 90 ของโครงสร้างผิวทั้งหมด ผิวชั้นหนังแท้ประกอบไปด้วยปลายประสาทรับความรู้สึก ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ รากขน เส้นเลือด ต่อมเหงื่อและต่อมไขมันที่อยู่ในชั้นหนังแท้จะทำหน้าที่ในการผลิตน้ำมันและเหงื่อออกมาเคลือบผิวหนังชั้นนอกไว้บาง ๆ น้ำมันดังกล่าวมีประโยชน์ในการช่วยรักษาน้ำใต้ผิวหนัง และมีฤทธิ์ในการป้องกันเชื้อโรคแบคทีเรีย และเชื้อรา แต่น่าเสียดายที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนใหญ่มีฤทธิ์ในการชะล้างสารที่มีประโยชน์เหล่านี้ออกไปจนหมดสิ้น จนทำให้เกิดผลร้ายต่อผิว ทำให้ผิวแห้งแพ้ง่าย สมดุลความเป็นกรดด่างของผิวเสียไป

นอกจากนี้ผิวชั้นหนังแท้ยังประกอบไปด้วยคอลลาเจน ( Collagen ) อีลาสติน ( Elastin ) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความยืดหยุ่นของผิวพรรณ คอลลาเจนและโปรตีนมีหน้าที่ในการเสริมสร้างความแข็งแรง และความหนาแน่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวกระชับเต่งตึง ช่วยซ่อมแซมผิวที่เป็นแผลด้วยการสร้างเนื้อเยื่อบาง ๆ มาปกคลุมไว้ เส้นใยอีลาสตินมีหน้าที่ในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ทำให้ ผิวหนัง ( Skin ) คืนรูปหลังการเคลื่อนไหว หากชั้นหนังแท้มีคอลลาเจนหรือเส้นใยอีลาสตินน้อย จะนำไปสู่การมีริ้วรอยหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอายุมากขึ้นคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินจะมีการเสื่อมสลาย ยังผลให้ผิวเกิดริ้วรอยหย่อนคล้อยและขาดความยืดหยุ่นในที่สุด

ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ( Fat Layer )

เป็นส่วนล่างสุดของโครงสร้างของ ผิวหนัง ( Skin ) เป็นชั้นที่ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยรับแรงกระแทกและสะสมพลังงาน ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยไขมันและไฟเบอร์ ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอวัยวะที่อยู่ลึกลงไป ช่วยทำให้ผิวหนาและนุ่ม ทำหน้าที่คล้ายผ้าห่มที่คอยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย สำหรับคนอ้วนจะมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนากว่าคนผอม จะขี้ร้อนและรู้สึกอบอุ่นกว่าคนผอมเมื่อฤดูหนาวมาถึง

เมื่อมีอายุมากขึ้นเซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังจะมีน้อยลง ส่งผลให้ผิวบางลง ไม่ยืดหยุ่นเหมือนก่อน และเริ่มมีริ้วรอยมากขึ้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือค่อนข้างเจ้าเนื้อจะไม่ค่อยประสบปัญหานี้มากนัก เนื่องจากมีเซลล์ไขมันที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นตัวได้ดี แต่อย่างไรก็ตามชั้นไขมันจะลดลงเมื่อกาลเวลาผ่านไป ยังผลให้ผิวหนังด้านบนมีการหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นในที่สุด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากองค์ประกอบของ ผิวหนัง ( Skin ) จะส่งผลต่อความเต่งตึงและความอ่อนเยาว์แล้ว กระดูกที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกายก็มีบทบาทต่อความอ่อนเยาว์ของผิวไม่แพ้กัน กระดูกที่แข็งแรงจะมีประสิทธิภาพในการพยุงผิวหนังให้คงตัวได้ดี ทำให้ผิวหนังสร้างความเต่งตึงไม่หย่อนคล้อยไว้ได้ ไม่ว่าผิวหนังจะพยายามพยุงตัวเองไว้สักเท่าไร หากปราศจากโครงสร้างที่แข็งแรงคอยรองรับกล้ามเนื้อของผิวหนังก็จะเสียรูป นำไปสู่การหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยในที่สุด

สีของผิว

เมื่อถูกถามเรื่องสีผิวเชื่อว่าแต่ละคนคงให้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน บ้างก็ว่าสีขาว สีขาวอมชมพู สีน้ำตาล สีแดง สีน้ำผึ้งหรือแม้แต่สีช็อกโกแลต หรือสีกาแฟใส่นมก็มี ซึ่งนั่นก็ล้วนแต่เป็นมุมมองของแต่ละคนว่ามองสีผิวของตัวเองเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตามหากพูดถึงสีผิวตามหลักการแพทย์แล้ว แพทย์ ผิวหนัง ( Skin ) แบ่งสีผิวออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ผิวขาว
( White Skin ) ผิวเหลือง ( Yellow Skin ) ผิวสีน้ำตาล ( Brown Skin ) โดยแบ่งตามจำนวนเมลานินในผิวของแต่ละคน

เมลานินคือเม็ดสี ทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดความเข้มของสีผิวในแต่ละคน บางคนอาจขาวมาก ในขณะที่บางคนอาจมีผิวคล้ำไปจนถึงดำ นอกจากนี้เมลานินยังทำหน้าที่ในการป้องกันผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตและยังเป็นตัวกำหนดความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตัวเองได้อีกด้วย

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่าสีผิวที่แตกต่างกันจะมีความต้านทานแสงแดดและความสามารถในการกลับคืนสภาพเดิมของผิวหลังจากถูกแสงแดดที่แตกต่างกัน ดังจะเห็นได้จากคนจำนวนมากแม้ว่าจะตากแดดเป็นเวลานาน แต่ผิวกลับไม่ดำหรืออาจคล้ำลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มีบางคนที่ผิวอาจกลายเป็นสีแดงทันทีแม้ว่าจะตากแดดเพียงเล็กน้อย และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตากแดดแล้วจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการกลับมาขาวอีกครั้ง ในขณะที่บางคนอาจใช้เวลานานกว่าจะกลับมาขาวได้อีก เป็นต้น

ผิวขาว

เป็นผิวที่มีเมลานินหรือเม็ดสีอยู่ในปริมาณที่น้อยหรือแทบจะไม่มีเลย จะพบในชาวคอเคเชียนที่มีผิวขาวมากไปจนถึงผิวสีเผือก ผิวขาวจะยากต่อการเปลี่ยนสี ดังจะเห็นได้จากฝรั่งจำนวนมากที่แม้ว่าจะเสียเวลานอนอาบแดดเป็นเวลานาน ผิวของพวกเค้าก็คล้ำลงเพียงเล็กน้อยและจะกลับมาขาวซีดเหมือนเดิมเพียงระยะเวลาไม่นาน เมื่อโดนแดดแรง ๆ ผิวขาวจะมีการอักเสบและแดงชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการฟื้นตัวและซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกลับมาขาวใสได้ดังเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มีการพบว่าผิวขาวสามารถตอบสนองได้ดีต่อกระบวนการเสริมความงามทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ที่มีผิวขาวเพราะไม่ว่าจะทำการผลัดเซลล์ผิวแบบง่าย ๆ หรือแม้แต่การศัลยกรรมยกกระชับใบหน้าที่มีกระบวนการที่ซับซ้อนก็รวมเข้ากันได้กับคนที่มีผิวขาวทั้งสิ้น

ผิวขาวใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เนื่องจากผิวขาวมีเมลานินหรือเม็ดสีที่ทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตอยู่น้อยหรือแทบจะไม่มีเลย ทำให้ความสามารถในการปกป้องตัวเองโดยธรรมชาติจากรังสีอันตรายไม่มีประสิทธิภาพ ผิวขาวจึงเป็นผิวที่บอบบาง ไม่มีความต้านทานแสงแดด ไวต่อแสงแดด จึงทำให้ถูกทำลาย เกิดริ้วรอย และเสื่อมโทรมได้ง่าย และสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดสำหรับคนที่มีผิวขาวคือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนผิวสีอื่น ๆ

ผิวเหลือง

นับว่าเป็นความโชคดีของคนผิวเหลือง เนื่องจากผิวเหลืองเป็นผิวที่ละเอียดเนียนนุ่ม ไม่ค่อยมีริ้วรอย มีปริมาณของ
เมลานินอยู่ในระดับกลาง ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ทำให้สีผิวมีความเข้มอยู่ในระดับกลางกลางตั้งแต่สีเบจอ่อน ๆ ไปจนถึงสีเหลืองและสีแทน จะพบในชาวมองโกลอยด์หรือชาวเอเชีย คนผิวเหลืองเป็นคนที่มีความต้านทานต่อแสงแดดได้ดีในระดับหนึ่งกล่าวคือมากกว่าคนผิวขาวแต่น้อยกว่าคนผิวสีน้ำตาลหรือสีดำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นผิวที่ดีแต่คนผิวเหลืองก็มีปัญหาอยู่บ้าง เช่น เป็นคนมีผิวที่ค่อนข้างแห้งจึงทำให้มีริ้วรอยมากกว่าคนที่มีผิวมัน นอกจากนี้ยังมีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ และมีอาการระคายเคืองง่ายอีกด้วย และมีโอกาสคล้ำหรือดำลงทีละนิดเมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานานหรืออย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะแก้ปัญหาของคนผิวเหลืองจึงได้รับการแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไป ทำให้ผิวชุ่มชื้นแลดูมีชีวิตชีวาควรหมั่นขัดผิวเป็นประจำ เพื่อรักษาสีผิวให้สม่ำเสมอและเนียนเรียบไร้ริ้วรอย

ผิวสีน้ำตาล

เป็นผิวของคนที่มีสีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำสนิท เป็นผิวที่มีเมลานินหรือเม็ดสีในปริมาณมาก พบในพวกนิกรอยด์หรือนิโกร มีความต้านทานแสงแดดสูง เป็นผิวค่อนข้างมันเพราะมีต่อมไขมันในปริมาณมาก จึงทำให้ผิวไม่ค่อยมีริ้วรอย เนื่องจากมีความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่ดีเยี่ยม จึงทำให้ผิวสีน้ำตาลมีความเรียบเนียน กระชับ เต่งตึง และแลดูอ่อนกว่าวัย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผิวสีน้ำตาลมีปริมาณของต่อมไขมันอยู่หนาแน่นมากเป็นพิเศษ จึงทำให้ประสบปัญหาเรื่องสิวอักเสบอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้หลังจากเกิดอุบัติเหตุ หรือการทำศัลยกรรมใด ๆ ผิวสีนี้จะมีโอกาสเป็นรอยแผลนูนหรือเกิดรอยดำค่อนข้างสูงอีกด้วย ผิวประเภทนี้เมื่อโดนแสงแดดจัดจะไม่ไหม้หรือหลุดลอก แต่จะยิ่งคล้ำหรือดำมากขึ้น

ประเภทของผิว

เนื่องจาก ผิวหนัง ( Skin ) ของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การดูแลผิวอย่างผิดวิธีอาจส่งผลต่อสุขภาพผิวพรรณอย่างคาดไม่ถึง จากการวิจัยพบว่าการปล่อยผิวตามธรรมชาติโดยไม่ปฏิบัติดูแลเลย ยังดีกว่าการหมั่นดูแลผิวด้วยวิธีที่ผิด ๆ เพื่อที่จะรักษาความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของผิวให้อยู่ได้ยาวนานที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะตัวและการดูแลผิวแต่ละประเภทอย่างถูกต้องให้ดีเสียก่อน

ผิวธรรมดา

ผิวธรรมดาเป็นผิวที่มีความยืดหยุ่นของเซลล์ผิวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่แห้งหรือมันจนเกินไป เนียนเรียบเกลี้ยงเกลา ไม่ค่อยมีปัญหาผิว เช่น สิว ฝ้า ตุ่ม หรือผดผื่น คนที่มีผิวธรรมดาไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลหรือการบำรุงรักษาที่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพื่อที่จะรักษาผิวให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ควรใช้วิธีการบำรุงผิวที่เรียบง่ายและสะดวกต่อการปฏิบัติให้มากที่สุด เมื่อทำความสะอาดผิวแล้ว ควรซับผิวให้หมาด บำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณน้อย

  • ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวจากสมุนไพรธรรมชาติ เพราะมีความอ่อนโยนต่อผิว ปัจจุบันออกแบบมาให้ใช้ง่าย สะดวก นั่นคือ สบู่สมุนไพรธรรมชาติ ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือกใช้ที่เหมาะกับสภาพผิว สามารถใช้ชำระล้างผิวหน้าและผิวกายได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็นได้อย่างปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ คลีนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และสารทำความสะอาดที่รุนแรง
    ควรปกป้องผิวจากรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอยของผิวด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน และไม่ควรลืมที่จะเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยการมาสก์หรือผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละครั้ง

ผิวแห้ง

ผิวแห้งเป็นผิวที่ไม่มีน้ำมีนวล แลดูไม่ชุ่มชื้น หลังจากทำความสะอาดจะรู้สึกว่าผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย และมีอาการคัน อาการแห้งของผิวมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การใช้สารเคมีบางประเภท เช่น เรตินอยด์ หรือเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • คนที่มีผิวแห้งควรมาสก์ผิวสัปดาห์ละครั้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ดื่มน้ำให้มาก ( อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ) และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องออกไปข้างนอก หรือต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆเพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมและริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
  • เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ซับผิวให้พอหมาด ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้กับผิวให้มากที่สุด ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน
  • ควรทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรธรรมชาติที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวเช่น สาร SLS,SLES นอกจากนี้สบู่สมุนไพรธรรมชาติยังมีมอยส์เจอร์ไรซ์เซอร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอีกด้วย
  • ผู้เชี่ยวชาญด้าน  แนะนำว่ามอยส์เจอไรเซอร์ที่ดีที่สามารถจัดเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้นาน ควรมีส่วนผสมของสารที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับตัวสร้างความชุ่มชื้นที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ เช่น กรดไฮยาลูโลนิก และ โซเดียม พีซีเอ นอกจากนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ให้ได้มากและยาวนานยิ่งขึ้น บริษัทเครื่องสำอางหลายแห่งได้มีการผสมสารบางตัวได้แก่ Colloidal Oatmeal เข้าไปในเครื่องสำอาง ทำให้เครื่องสำอางนั้นมีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยรักษาผิวที่แห้งให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นได้นานขึ้น

ผิวมัน

ผิวมันเป็นผิวที่มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันมากเกินไป ทำให้ผิวแลดูเป็นมันแวววาว สกปรก มีรูขุมขนกว้าง และเป็นสิวได้ง่าย แต่ข้อดีของผิวมันคือ ชุ่มชื้นอยู่เสมอ จึงไม่ค่อยเกิดริ้วรอยได้ง่ายเหมือนผิวแห้ง เนื่องจากมีลักษณะที่แตกต่างจากผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง การปฏิบัติต่อผิวมันจึงต้องมีความแตกต่างออกไปด้วย

  • หากผิวมันมาก หลังจากทำความสะอาดตามปกติ ให้เช็ดผิวด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและแอลกอฮอล์ หลาย ๆ ตำราบอกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิว แต่หากคุณเป็นคนที่มีผิวมันมาก ( ผิวยังคงมันอยู่แม้ว่าจะล้างทำความสะอาดหลายครั้งแล้วก็ตาม ) แอลกอฮอล์ กลับเป็นผลดีต่อคนผิวมัน
  • ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก หรือกรดเอเอชเอ เนื่องจากจะช่วยลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันให้น้อยลง
  • หากต้องออกไปข้างนอกหรือต้องเผชิญกับแสงแดดอย่าลืมใช้ครีมกันแดดและใช้โคลนมาส์กผิวหน้าสัปดาห์ละครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะผิวมีน้ำและน้ำมันมากเกินพอแล้ว การทามอยส์เจอร์ไรเซอร์จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมันให้แก่ใบหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ในที่สุด หากอยากใช้หรือจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
  • แต่สำหรับคนที่มีผิวมันมาก ๆ หากทำตามขั้นตอนแล้วยังพบว่าผิวยังคงมันอยู่ ให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ ซัลเฟอร์ กรดอาเซเลอิก และเรตินอยด์ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวผสม

ผิวผสมหมายถึงผิวที่มีบริเวณที่เป็นผิวแห้งและผิวมันรวมกันอยู่ โดยทั่วไปคนที่มีผิวผสมจะมีความมันบริเวณทีโซน ได้แก่ บริเวณหน้าผาก จมูก และคาง ในขณะที่ผิวบริเวณแก้มจะแห้ง ผู้ที่มีผิวผสมหลายคนอาจประสบปัญหา ผิวหนัง (Skin) อักเสบอันเนื่องมาจากการที่ผิวหนังผลิตน้ำมันมากเกินไป มีเชื้อราขึ้นบริเวณหนังศีรษะและคิ้ว ทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง รังแค และอาการดังกล่าวอาจลุกลามมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ แต่สำหรับผู้ที่มีผิวผสมทั่วไป การดูแลสภาพผิวอาจยุ่งยากหรือซับซ้อนมากกว่าคนที่มีผิวแห้ง ผิวธรรมดา หรือผิวมัน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้วิธีการดูแลผิวแห้งและผิวมันควบคู่กันไป

  • เมื่อต้องการออกไปข้างนอกหรือต้องเผชิญกับแสงแดด ให้ทาครีมกันแดดทุกครั้ง
  • ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรธรรมชาติที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวเช่น สาร SLS,SLES เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น
  • เมื่อทำความสะอาดผิวเรียบร้อยแล้ว ให้ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันในบริเวณผิวที่เเห้ง มาส์กหน้าด้วยมาส์กที่ออกแบบมาเพื่อคนผิวผสมโดยทำสัปดาห์ละครั้ง
  • เพื่อป้องกันการเกิดรังแคหรือเชื้อราบริเวณหนังศีรษะ เนื่องจากมีน้ำมันมากเกินไปให้ใช้แชมพูที่มีฤทธิ์ต่อต้านการเกิดรังแค เช่น แชมพูที่มีส่วนผสมของ Pyrithione Zinc หรือ Selenium Sulfide หรือแชมพูที่มีฤทธิ์ในการขจัดเชื้อรา เช่น Ketoconazole โดยใช้วันเว้นวันจนกว่าจะสามารถควบคุมรังแคและเชื้อราได้ หลังจากนั้นควรใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

ผิวแพ้ง่าย

เป็นผิวอีกประเภทหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ มีคนจำนวนไม่น้อยสับสนระหว่างอาการแพ้ที่เป็นปกติกับอาการแพ้ที่ผิดปกติ อาการแพ้ที่เป็นปกติคืออาการแพ้ที่เกิดจากการสัมผัสกับสารเคมี หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรด ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางหรือสารทำความสะอาดที่รุนแรง เป็นต้น อาการแพ้ดังกล่าวถือว่าเป็นอาการปกติและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ในขณะที่ผิวแพ้ง่ายคือผิวที่มีอาการแพ้ที่ผิดปกติ นอกจากจะแพ้สารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองแล้ว ผิวแพ้ง่ายยังอาจมีอาการแพ้ในสิ่งที่ไม่น่าจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ เช่น ความเย็น ความร้อน ลม เป็นต้น แต่เพื่อให้แน่ใจว่าอาการแพ้ที่เป็นอยู่มีสาเหตุมาจากสภาพผิว หรือเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองโดยไม่รู้ตัว ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ ผิวหนัง (Skin) ผู้เชี่ยวชาญ หากพบว่าอาการแพ้ที่คุณเป็นอยู่เกิดจากสภาพผิว

[adinserter name=”navtra”]

  • เมื่อต้องออกแดด ควรทาครีมกันแดดชนิดบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ เนื่องจากโทนเนอร์ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น สารทำความสะอาดที่รุนแรง แอลกอฮอล์ สารกันบูด น้ำหอม สีสังเคราะห์ เป็นต้น
  • ใช้เครื่องสำอางที่ติดทนนานให้น้อยลง และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารชะล้างที่รุนแรง
  • หากต้องแต่งหน้าควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ล้างออกได้ง่าย ๆ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์หรือน้ำแร่แทน
  • ทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง หลังจากทำความสะอาดทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดอาการอุดตันของรูขุมขนซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวได้ในที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม สาร SLS,SLES ที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

Armstrong, Wayne P. “Identification Of Major Fruit Types”. Wayne’s Word: An On-Line Textbook of Natural History. Archived from the original on November 20, 2011. Retrieved 2013-08-17.

ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการรักษาผิวให้สวยใสอ่อนกว่าวัย

0
การนวดหน้าเป็นอีกวิธีในการดูแลผิว
การนวดหน้าเป็นอีกวิธีในการดูแลผิว
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คุณเลือกดีกับผิวของคุณแล้วหรือยัง
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คุณเลือกดีกับผิวของคุณแล้วหรือยัง

ดูแลรักษาผิว

เมื่อพูดถึงเรื่องของผลิตภัณฑ์ ดูแลรักษาผิว แล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะทดลองใช้หรือปฏิบัติตามเพียงเพราะโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณว่าดีอย่างนั้นว่าดีอย่างนี้ เพราะผลที่ตามมาไม่เพียงแค่เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น แต่ผิวหน้าอาจจะเสียหายยับเยินยากเกินจะเยียวยาได้ เพราะครีมกระปุกที่คุณใช้นั้นอาจมีสารปรอทหรือสารออกฤทธิ์ที่ไม่ถูกสัดส่วนมากเกินไปจนสร้างปัญหาแก่ผิวหรือไม่ก็น้อยเกินไปจนไม่เห็นผลใด ๆ เลย ทางที่ดีที่สุดคือการทดสอบอาการแพ้ให้แน่ชัดเสียก่อน โดยตรวจสอบเอกสารกำกับหรือสอบถามรายละเอียดจากผู้ขายเสียก่อน หากคำตอบที่ได้ไม่ชัดเจนพอแนะนำว่าอย่าซื้อมาใช้เป็นดีที่สุด

การนวดหน้าเป็นประจำจะช่วยลดวัยได้จริงหรือ?

มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการนวดหน้าเป็นประจำจะช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย และแลดูอ่อนกว่าวัยได้ สถาบันเสริมความงามจำนวนมากยังหยิบยกเอาวิธีการนวดใบหน้าเพื่อความอ่อนเยาว์มาเป็นจุดขายของตนอยู่ ในขณะที่ตำราบางเล่มกลับพูดถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการนวดหน้าในสิ่งที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

ในตำราด้านความสวยความงามบางเล่มระบุไว้ว่า การนวดหน้าไม่เพียงแต่จะช่วยลบเลือนริ้วรอยหรือทำให้ใบหน้าเต่งตึงอย่างที่เข้าใจกันเท่านั้น แต่การกระตุ้นใบหน้าบ่อยครั้งจนเกินไปอย่างการนวดหน้านั้นกลับช่วยเร่งให้กล้ามเนื้อใบหน้าหย่อนคล้อยจนเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรเสียด้วยซ้ำ จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยสับสนว่าแท้จริงแล้วการนวดหน้าจะช่วย ดูแลรักษาผิว ให้ความอ่อนเยาว์หรือเป็นผลร้ายต่อความงามกันแน่

ความจริงแล้วการนวดหน้าไม่อาจ ดูแลรักษาผิว ลดริ้วรอย กระชับผิวให้เต่งตึง หรือทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนวัยได้แม้แต่น้อย ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือได้ชิ้นใดออกมาสนับสนุนความคิดที่ว่าการนวดหน้าสามารถลดวัยและกระชับใบหน้าให้เต่งตึงได้จริง

สิ่งที่การนวดหน้าสามารถทำได้คือการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ใบหน้าแลดูมีเลือดฝาดทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ในบางรายอาจรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองแลดูดีขึ้น แต่นั่นเป็นเพียงชั่วคราวและไม่อาจลบเลือนริ้วรอยให้หายไปได้แต่อย่างใด เมื่อเวลาผ่านไปใบหน้าก็จะกลับมามีสภาพดังเดิม

ในขณะเดียวกันก็มีบางตำราได้ระบุไว้ว่า การนวดหน้าอาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากในชีวิตประจำวันใบหน้าของเราถูกใช้ในการแสดงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น การยิ้ม ขมวดคิ้ว หัวเราะ ยิงฟัน และอื่น ๆ อีกมากมาย หากยิ่งไปกระตุ้นเพิ่มอีกก็จะยิ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าและพัฒนาไปสู่การหย่อนคล้อยได้ในที่สุด

ครีมบำรุงผิวที่ทำจากสารสกัดจากธรรมชาติจะดีต่อผิวมากกว่า

ไม่เป็นความจริงเสมอไปในปัจจุบันกระแสของการรักษาสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยม ผู้ผลิตสินค้าจึงพยายามหาจุดขายของตัวเองด้วยการนำสินค้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติเพื่อหวังผลทางยอดขายไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยา รักษาโรค หรือแม้แต่เครื่องสำอาง

เพื่อเป็นการตอบรับกระแสความคลั่งไคล้ธรรมชาติของผู้บริโภค ผู้ผลิตเครื่องสำอางจำนวนมากพยายามนำส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติใส่เข้าไปไว้ในเครื่องสำอางเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ในขณะที่ส่วนผสมอื่น ๆ ก็ยังเป็นสารสังเคราะห์หรือสารที่เป็นอันตรายแอบแฝงอยู่เช่นเดิม ดังนั้น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเครื่องสำอางชนิดนั้น ๆ เป็นเครื่องสำอางที่มาจากธรรมชาติ 100% หรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเครื่องสำอางที่ทำมาจากธรรมชาติ 100% ก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องสำอางดังกล่าวจะใช้ได้ผลดีกว่าเครื่องสำอางที่ได้จากสารสังเคราะห์เสมอไป สารสกัดจากธรรมชาติบางตัวไม่มีคุณภาพหรือใช้ไม่ได้ผล ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่สำคัญว่าเครื่องสำอางนั้นจะทำมาจากสารสังเคราะห์หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เครื่องสำอางที่ดีจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด หลักสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องสำอางคือ หากใช้แล้วรู้สึกดีหรือเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนแน่นอน เครื่องสำอางนั้นก็เหมาะกับคุณ

ครีมบำรุงผิวราคาแพงย่อมใช้ได้ผลดีกว่าครีมราคาถูก

เพื่อที่จะมีสภาพผิวที่ดีขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยยอมเสียเงินเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือนเพื่อซื้อเครื่องสำอางราคาแพงมาประทินผิว เพราะคิดว่าเครื่องสำอางราคาแพงจะมีประสิทธิภาพในการ ดูแลรักษาผิว ที่ดีและสามารถรักษาปัญหาผิวที่เป็นอยู่อย่างได้ผล จนทำให้ใครหลายคนต่างเรียกร้องที่จะซื้อเครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุดมาใช้อย่างไร้เหตุผล

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่แม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางที่มีราคาไม่แพงมากแต่กลับได้ผลดี กว่าผู้ที่ใช้เครื่องสำอางราคาแพงอย่างน่าตกใจ บางคนกลับไม่เห็นประสิทธิภาพของเครื่องสำอางนั้นอย่างชัดเจน ส่งผลให้คนจำนวนมากต่างสงสัยว่าแท้จริงแล้วเครื่องสำอางราคาแพงที่ใช้อยู่นั้นให้ผลดีจริงอย่างที่โฆษณาไว้หรือไม่

อาจจะจริงเป็นบางส่วน เพราะเครื่องสำอางที่ดีย่อมใช้ส่วนผสมที่ดี ซึ่งนั่นทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องสำอางบางยี่ห้อที่มีราคาแพงมากจนน่าใจหาย อาจเป็นเพราะต้นทุนในการผลิตส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังต้องทุ่มทุนให้กับค่าโฆษณาส่วนหนึ่ง จนทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ในขณะที่ประสิทธิภาพของเครื่องสำอางกลับไม่แตกต่างหรือดีกว่ายี่ห้ออื่นที่มีราคาใกล้เคียงแต่อย่างใด

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ไม่สำคัญว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ราคาถูกหรือแพงแต่สำคัญอยู่ที่วิธีใช้ผลิตภัณฑ์มากกว่า หากใช้ถูกต้องตามวิธีก็จะได้ประโยชน์ในทางกลับกัน แม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุดในท้องตลาดแต่ถ้าใช้ผิดวิธี แทนที่จะได้รับประโยชน์จากเครื่องสำอางนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอาจเป็นการสูญเสียเงินไปโดยใช่เหตุและอาจได้ผลเสียแถมมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย

การที่เครื่องสำอางชนิดใดชนิดหนึ่ง จะใช้ได้ผลดีหรือไม่นั้นมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวเครื่องสำอางเองที่ต้องทำมาจากส่วนผสมที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพในการ ดูแลรักษาผิว ที่ดีเยี่ยม นอกจากวิธีการใช้เครื่องสำอางที่ถูกต้องแล้ว ลักษณะของผิวพรรณของตัวผู้ใช้เองก็มีความสำคัญด้วย เนื่องจากลักษณะของผิวพรรณและปัญหาผิวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ผู้ชายคนหนึ่งอาจรู้สึกได้ผลดีเมื่อใช้เครื่องสำอางชนิดหนึ่ง ในขณะที่ผู้ใช้คนอื่นอาจไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเลยก็เป็นได้   

ผลิตภัณฑ์สามารถให้ผลดีได้ ถ้าไม่รู้จักใช้ให้พอเหมาะพอดีไม่มากหรือน้อยเกิดไป และการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้ถูกวิธีก็มีผลต่อการออกฤทธิ์ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องราคาแพงหรือสกัดจากธรรมชาติ

ครีมหน้าขาวใช้ได้ผลจริงหรือแค่โฆษณาชวนเชื่อ

ด้วยค่านิยมของคนในสังคมที่ชื่นชอบการมีผิวขาวใสอมชมพู ทำให้บริษัทเครื่องสำอางต่างคิดค้นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีฤทธิ์ในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นหรือที่รู้จักกันในชื่อว่าครีมหน้าขาวออกมาเอาใจผู้บริโภคกันอย่างมากมาย ครีมหน้าขาวแต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน และมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันด้วย บ้างก็ใช้ได้ผลดีบ้างก็ใช้ไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของครีมหน้าขาวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับส่วนประกอบที่มีอยู่ในครีมนั้น ๆ

ครีมหน้าขาวที่มีประสิทธิภาพจะประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความเข้มข้นที่มากพอจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปแล้วครีมหน้าขาวที่มีราคาแพงจะมีสารออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้นในปริมาณที่เข้มข้นมากพอ จะมีประสิทธิภาพในการปรับสีผิวมากกว่า ในขณะที่ครีมราคาถูกอาจมีสารออกฤทธิ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่มีความเข้มข้นมากพอ จนทำให้บางยี่ห้อใช้แล้วไม่ได้ผล

ครีมหน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งส่วนใหญ่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำหน้าที่ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยจะเริ่มทำงานตั้งแต่การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสี ทำลายเอนไซม์การสร้างเม็ดสีและยับยั้งการกระจายตัวของเม็ดสีไม่ให้กระจายตัวไปตามเซลล์ผิว นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำให้หลุดลอกออกไปอย่างรวดเร็ว

ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าการใช้ครีมหน้าขาวที่ดีและปลอดภัย ครีมจะต้องมีประสิทธิภาพในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต้องไม่เปลี่ยนสีผิวจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือเปลี่ยนเป็นคนละโทนสี นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมหน้าขาวที่ทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดธรรมชาติ เพราะครีมดังกล่าวอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตราย ซึ่งได้แก่ สารไฮโดรควิโนนหรือสเตียรอยด์ ถึงแม้ว่าครีมหน้าขาวหลายชนิดใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังมีครีมบางยี่ห้อหลอกลวงผู้บริโภคด้วยการเติมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ในการเคลือบผิวภายนอกเอาไว้ เช่น สารไทเทเนียมออกไซด์ แต่ไม่ได้ออกฤทธิ์ในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นแต่อย่างใด ผิวจะแลดูขาวขึ้นเมื่ออยู่กลางแดด แต่จะกลับมาคล้ำเหมือนเดิมเมื่ออาบน้ำหรือล้างออก

แต่เพื่อผิวพรรณที่ขาวใสขึ้น นอกจากการเลือกใช้ครีมหน้าขาวที่มีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพและมีความเข้มข้นมากพอแล้ว ควรเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิตบางอย่างควบคู่ไปด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม เช่น การหลีกเลี่ยงแดดซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการหมองคล้ำและหยาบกร้านของผิว ควรดื่มน้ำสะอาดให้มาก กินอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม ผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น

การดูแลผิวหลายขั้นตอนจะช่วยทำให้ผิวดีจริงหรือไม่

เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ปัจจุบันมีบริษัทผลิตเครื่องสำอางมากมายออกมาโฆษณาสินค้าของตัวเองที่ผลิตออกมาเป็นชุด ๆ มีชุดเล็กบ้าง ชุดใหญ่บ้าง บางชุดประกอบด้วยผลิตภัณฑ์มากกว่า 5 ชิ้นขึ้นไป เป็นต้นว่า สบู่โทนเนอร์ทำความสะอาดผิว โลชั่นกระชับผิว มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมบำรุง และอีกสารพัดครีม โดยอ้างว่าหากดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ของตนทุกขั้นตอนนี้จะทำให้ผิวสวย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณกลับออกมาเตือนถึงโทษที่เกิดจากการดูแลผิวหลายขั้นตอนว่า
การดูแลผิวที่มากเกินความจำเป็นนอกจากจะไม่ช่วย ดูแลรักษาผิว ให้ดูดีแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวพรรณได้โดยไม่รู้ตัว การทำความสะอาด หรือการดูแลผิวที่มากเกินไปจะทำให้เซลล์ผิวได้รับความเสียหาย ระคายเคืองและอาจนำไปสู่อาการแพ้ในที่สุด

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผลิตจากบริษัทเครื่องสำอางจะใช้ได้ผลดีกว่าเครื่องสำอางที่ทำขึ้นใช้เอง

ไม่แน่เสมอไป ซึ่งอาจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา หากจะเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงที่บริษัทผู้ผลิตกล่าวอ้างสรรพคุณอย่างมากมายต้องจ่ายเงินนับหมื่นบาทในแต่ละเดือน แต่อาจจะเป็นสิ่งที่แสนธรรมดายิ่งกว่าหากค้นพบว่าคุณสามารถมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งเต่งตึงและแลดูอ่อนกว่าวัยได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผสมขึ้นเองจากที่บ้าน ในขณะเดียวกันก็สามารถประหยัดเงินได้มากเมื่อเทียบกับราคาเครื่องสำอางตามเคาน์เตอร์ที่ซื้อมา การทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใช้เองที่บ้านฟังดูอาจเป็นเรื่องยุ่งยากและดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้สักหน่อย แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายหากรู้ส่วนประกอบและวิธีทำที่ถูกต้อง

เวชภัณฑ์บำรุงผิวที่ทำขึ้นเองจะมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวได้ดีกว่าเครื่องสำอางที่บริษัททำขึ้น เนื่องจากสามารถกำหนดความเข้มข้นของส่วนผสมที่เหมาะกับสภาพผิวได้ด้วยตัวเองตามความต้องการ เนื่องจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่วางขายตามท้องตลาดจำนวนมากที่แอบอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวที่ดีเยี่ยมกลับไม่มีส่วนผสมที่ช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอย หากมีก็มีความเข้มข้นที่น้อยเกินไปจนทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นตามที่โฆษณาไว้ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถตัดสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวที่เครื่องสำอางทั่วไปมีออกไปได้ เช่น หัวน้ำหอม สีสังเคราะห์ หรือสารกันบูด เนื่องจากสามารถปรุงได้เองที่บ้าน ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงมีความใหม่สดอยู่เสมอ ทำให้ส่วนผสมต่าง ๆในครีมมีประสิทธิภาพสูงสุดในการบำรุงผิว ในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมายเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อดังที่ต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลส่วนหนึ่งไปกับค่าหีบห่อที่หรูหราและค่าโฆษณา

เหตุผลสุดท้ายที่ทำให้เครื่องสำอางที่บ้านดีกว่าเครื่องสำอางตามเคาน์เตอร์นั่นก็คือ เครื่องสำอางจะใหม่สดอยู่เสมอ มีการพบว่าสารเคมีที่ไม่ว่าจะได้มาจากธรรมชาติหรือจากการสังเคราะห์จะเสื่อมสลายเมื่อเวลาผ่านไป และสารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับน้ำ อากาศ หรือแม้แต่ทำปฏิกิริยากันเองระหว่างส่วนผสมด้วยกัน เมื่อสารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอางเหล่านั้นเสื่อมคุณภาพลง นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วยังอาจส่งผลร้ายต่อผิวได้หากนำมาใช้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เครื่องสำอางที่ขายอยู่ตามเคาน์เตอร์หรือตามร้านค้าทั่วไปจะมีการผลิตออกมาแล้วหลายปี หรืออย่างเร็วที่สุดก็หลายเดือน ซึ่งในระหว่างที่เครื่องสำอางดังกล่าวถูกผลิตขึ้น ถูกเก็บไว้ในสต๊อกโรงงาน เดินทางไปที่ร้านค้าและถูกเก็บไว้บนเชลฟ์ ยังไม่รวมถึงช่วงเวลาที่คุณเก็บมันไว้ในตู้เย็นหรือหน้ากระจกอีกนานร่วมเดือนกว่าจะใช้หมด ส่วนผสมที่มีประโยชน์บางอย่างอาจเสื่อมสลายไปเรียบร้อยแล้วก็ได้และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ เมื่อคุณเปิดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นแล้ว กระบวนการเสื่อมสลายของสินค้าจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมันต้องสัมผัสกับ อากาศ น้ำรวมไปจนถึงได้รับเชื้อโรคที่ติดมากับนิ้วมือของคุณหากไม่ระมัดระวังให้ดี

ในทางตรงกันข้าม เครื่องสำอางที่ทำขึ้นเองสามารถกะปริมาณที่จะใช้ให้หมดในแต่ละครั้งด้วยตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจลงมือผสม ยังผลให้สามารถใช้ได้หมดในแต่ละครั้งโดยไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้นาน ทำให้ผิวได้รับประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในเครื่องสำอางอย่างเต็มที่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

5 ขั้นตอนสู่ความงามสำหรับผิวพรรณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

0
5 ขั้นตอนสู่ความงามสำหรับผิวพรรณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
การทำความสะอาดผิวด้วยวิธีง่ายๆไม่ยุ่งยากและเห็นผล
5 ขั้นตอนสู่ความงามสำหรับผิวพรรณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
ขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดผิวด้วยตนเองตามผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

การดูแลผิวพรรณ

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ Simple is the best ” ขั้นตอน การดูแลผิวพรรณ ที่ดีจะต้องไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นานและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม ( เพราะอย่างน้อยเราทุกคนคงไม่พอใจนักหากต้องเสียเวลานานนับชั่วโมงในการดูแลผิวหน้า ในช่วงตอนเช้าที่เร่งรีบ ) ด้วยขั้นตอนที่ง่ายและใช้เวลาเพียงน้อยนิดในแต่ละวัน คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะปรนนิบัติผิวอย่างสม่ำเสมอและได้ผลลัพธ์ในการดูแลผิวที่ดีเยี่ยม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโดยทั่วไปแล้วการดูแลผิววันละ 2 ครั้ง ถือเป็นการเหมาะสมที่สุด ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ในขณะที่การดูแลผิวที่มากจนเกินความจำเป็น เช่น การล้างหน้ามากเกินไปหรือการขัดหน้าบ่อยครั้ง อาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขั้นตอนการดูแลผิวพรรณที่ดี

บันไดขั้นที่ 1 การทำความสะอาด

โดยทั่วไปแล้ว การทำความสะอาด มีจุดประสงค์เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกจำพวกเหงื่อไคล ฝุ่นละออง เครื่องสำอางและสารเคมีออกจากผิว นอกจากนี้การทำความสะอาดยังมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผิวอีกด้วย

สำหรับการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือสารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ผิวที่สะอาดจะดูดซึมสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ดีกว่าผิวที่สกปรก เต็มไปด้วยเหงื่อไคล เครื่องสำอาง หรือสารเคมีที่เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาด ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อผิวพรรณเพียงอย่างเดียว การทำความสะอาดที่มากเกินไปหรือการทำความสะอาดผิวที่ผิดวิธีนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อผิวแล้ว ยังอาจเป็นสาเหตุของความเสียหายและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณได้อีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณแนะนำว่าในวันหนึ่ง ๆ เราควรทำความสะอาดผิววันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและก่อนเข้านอนด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์ ( ยกเว้นคนที่มีผิวมันมาก ๆ )และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวเช่น สาร SLS,SLES ผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดผิว ที่ดีต้องเหมาะสมกับสภาพผิวและมีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะคอยเก็บรักษาน้ำไว้ในผิว

ขั้นตอนการทำความสะอาดผิวที่ถูกวิธีควรเริ่มจาก
1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยนต่อผิวและไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวเช่น สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติ
2. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางของมือทั้งสองข้างถูผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ ประมาณ 30 วินาที
3. ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอย่างเบามือหลาย ๆ ครั้ง เพื่อขจัดสาร ทำความสะอาดผิว ให้หมดจด หลีกเลี่ยงการใช้มือถู บีบ หรือขยี้หน้าอย่างแรง หลีกเลี่ยงการใช้น้ำฉีดเข้าใบหน้าตรง ๆ
4. ซับหน้าด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ แค่พอหมาด หลีกเลี่ยงการถูหน้าจนแห้งสนิทเกินไป หรือถูหน้าอย่างรุนแรง
5. ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ทั่วใบหน้า เพื่อให้มอยเจอร์ไรเซอร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นเซลล์ผิวโดยใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดวนเป็นวงกลมอย่างเบามือให้ทั่วใบหน้า
6. ปิดท้ายด้วยการตบใบหน้าเบาๆ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะซึมซาบเข้าสู่ผิวหน้าได้ดียิ่งขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพผิวที่ดี นอกจากจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว การรักษาความสะอาดผิวพรรณก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ควรหมั่นรักษาความสะอาดของผิวอย่างสม่ำเสมอ เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว ไม่มีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายเช่น น้ำหอมแอลกอฮอล์ ( ยกเว้นในรายที่มีผิวมันมาก ๆ )และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวเช่น สาร SLS,SLES การทำความสะอาดผิว ที่ถูกต้องและเหมาะสม ผิวของคุณไม่เพียงจะสะอาดเท่านั้น แต่ยังคงความแข็งแรงและมีสภาพเตรียมพร้อมให้สารบำรุงจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ทาลงไปเพื่อเข้าไปบำรุงผิวที่อยู่ในชั้นลึกอย่างเต็มที่

ผิวมัน
หมายถึงผิวจะมีความมันส่วนเกิน การล้างหน้าที่บ่อยเกินไปนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้ผิวยิ่งมันวาวมากกว่าเดิมจนเกิดเป็นสิวอุดตันตามมา รวมถึงอาจเกิดอาการแห้ง แพ้ ระคายเคืองอันเนื่องมาจากการขัดถู หรือการสัมผัสกับสารเคมีรุนแรงที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดผิว บ่อยครั้งก็เป็นได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าในแต่ละวันผู้ที่มีผิวมันควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ได้แก่ เช้าและก่อนนอน และหากเป็นไปได้ให้ใช้น้ำสะอาดก็พอ

วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดความมันและสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนใบหน้าให้หลุดออกไปแล้ว ยังไม่เป็นการรบกวนผิวหรือกระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคืองอีกด้วย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวเช่น สาร SLS,SLES

ผิวผสม
ผิวผสมจะมีความมันบริเวณทีโซนมากกว่าปกติ เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผิวพรรณชนิดนี้มากเป็นพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณกลับมีความเห็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยแนะนำว่าในขณะล้างหน้าควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูผิวบริเวณทีโซนที่มากจนเกินไป ควรล้างหน้าอย่างเบามือ เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากสารเคมีที่เป็นพิษ น้ำหอม แอลกอฮอล์ สาร SLS,SLES ที่อาจทำให้ผิวหน้าระคายเคือง แพ้และแห้งกร้านได้ หากพบว่าบริเวณทีโซนยังคงมีความมันหลงเหลืออยู่หลังจากการล้างน้ำ ให้ใช้โทนเนอร์เช็ดวันเว้นวัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยทำความสะอาดคราบมันและสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าได้ดีแล้ว ยังคงความชุ่มชื้นของผิวพรรณเอาไว้อีกด้วย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ไม่หยาบกร้าน หรือระคายเคือง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวแห้งและผิวบอบบาง
เป็นผิวที่ต่อมไขมันมีการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวน้อยและมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความชุ่มชื้นและเกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ วิธี ทำความสะอาดผิว ที่ดีที่สุดสำหรับผิวทั้งสองประเภทนี้ต้องเน้นที่ความอ่อนโยนให้มาก เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มี น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ เช่น สาร SLS,SLES ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารถนอมผิว หรือครีมที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ล้างออกได้ง่ายด้วยน้ำเปล่า เพื่อลดการสัมผัสขัดหรือถูใบหน้าที่มากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่อาการระคายเคืองได้ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเย็นจัดหรือร้อนจัดเกินไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอบไอน้ำหรือการอบซาวน่าที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวได้รับความเสียหาย รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการขัดหรือถูผิว เช่น ฟองน้ำ หรือผ้า เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง ช้ำและติดเชื้อได้ง่าย

บันไดขั้นที่ 2 การใช้โทนเนอร์

มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการใช้โทนเนอร์เป็นหนึ่งในขั้นตอนการดูแลผิวที่ขาดไม่ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมีความคิดเห็นตรงกันข้าม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าโทนเนอร์ไม่มีความจำเป็นต่อการรักษาผิวพรรณ อย่างน้อยก็ไม่เสมอไป Toner เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันมาก เนื่องจากหลังจากการ ทำความสะอาดผิว ตามปกติ บ่อยครั้งที่คนผิวมันมากจะพบว่าผิวยังคงมีความมันหลงเหลืออยู่และการใช้โทนเนอร์สามารถขจัดความมันดังกล่าวได้อย่างหมดจด แต่สำหรับคนที่มีผิวประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่าย การใช้โทนเนอร์อาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ก็เป็นได้

โทนเนอร์ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือวิตซ์เฮเซล ( Witch Hazel ) ซึ่งมีคุณสมบัติในการขจัดความมันส่วนเกิน ที่อาจทำให้ผิวแห้งและมีอาการระคายเคืองได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้โทนเนอร์เช็ดผิวหลังจาก ทำความสะอาดผิว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ให้เลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของคาโมไมล์ ซึ่งจะทำให้ผิวนุ่มนวล ชุ่มชื้นและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้จะดีกว่า

แม้ว่าโทนเนอร์จะมีประสิทธิภาพในการขจัดความมันส่วนเกินได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็ยังมีการถกเถียงถึงประโยชน์ที่แท้จริงที่มีต่อผิวพรรณ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าโทนเนอร์มีฤทธิ์ในการช่วยปิดรูขุมขนทำให้รูขุมขนกระชับยิ่งขึ้นหลังจากทำความสะอาด ซึ่งนั่นจะเป็นการลดความเสี่ยงในการแทรกซึมเข้าสู่ผิวของเชื้อโรคและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ส่วนผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ กลับคิดว่า หากโทนเนอร์มีประสิทธิภาพเช่นนั้นจริง คนส่วนใหญ่นิยมทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนต่างต้องการให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวให้มากที่สุดเพื่อการบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพ แต่การใช้โทนเนอร์ก่อนการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวจะเป็นการปิดรูขุมขน ทำให้สารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวไม่อาจซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

จึงหมายความว่าการใช้โทนเนอร์ก่อนทาครีมจะทำให้ผิวไม่ได้รับการบำรุงจากสารที่ออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ นั่นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการของทุกคน นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกว่า เพื่อการมีสุขภาพผิวที่ดีสิ่งที่ต้องทำก็แค่ ทำความสะอาดผิว ตามปกติเวลาชะล้างสิ่งสกปรกคราบไคล รวมไปจนถึงเครื่องสำอางออกเท่านั้น ไม่ควรใช้โทนเนอร์เช็ดไขมันออกไปจนหมด เนื่องจากการขจัดน้ำมันบนผิวหน้าออกไปจะส่งผลให้ผิวแห้งจนเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การระคายเคืองและแพ้ง่ายในเวลาต่อมา ในขณะที่การปล่อยให้ใบหน้ามีน้ำมันเคลือบอยู่สักเล็กน้อยกลับส่งผลดีต่อผิวมากกว่า

เนื่องจากประสิทธิภาพของโทนเนอร์ยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัด การปล่อยให้ใบหน้ามีน้ำมันธรรมชาติเคลือบเพียงบาง ๆอาจส่งผลดีต่อสุขภาพผิว และใช่ว่าทุกคนจะเหมาะไปเสียหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย ดังนั้น จึงมีผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่าหากต้องการกระชับใบหน้าและรูขุมขนเอาไว้โดยปราศจากการใช้โทนเนอร์ หลังจากที่ทาครีมบำรุงผิวแล้วให้รอจนกระทั่งครีมบำรุงซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด ( วิธีนี้จะช่วยให้ผิวของคุณได้รับสารที่มีประโยชน์จากครีมบำรุงอย่างเต็มที่ ) แล้วจบลงด้วยการใช้ถุงน้ำแข็งประคบผิวเป็นเวลา 2-3 นาที แทน สำหรับผู้ที่มีตู้เย็นที่มีช่องแช่แข็งขนาดใหญ่และสะอาดมากพอ การอังใบหน้าด้วยไอเย็นจากช่องแช่แข็งดังกล่าวเป็นเวลา 5 นาที ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดและรูขุมขนหดตัว ทำให้ใบหน้าและรูขุมขนกระชับนั่นเอง

ในกรณีที่ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว หลังจากที่ล้าง ทำความสะอาดผิว ใบหน้าตามปกติเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ใบชาเขียวแช่แข็งเช็ดใบหน้าอย่างเบามือ ความเย็นจากใบชานอกจากจะช่วยปิดรูขุมขนทำให้รูขุมขนกระชับแล้ว สารกาเฟอีนและสารแทน นินที่อยู่ในใบชายังมีสรรพคุณช่วยลดอาการตาบวม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาก่อนวัยอันควร และช่วยกระชับใบหน้า ทำให้ใบหน้าของคุณกระชับแลดูอ่อนกว่าวัย นอกจากนี้สารโพลีฟีนอลที่อยู่ในใบชาเขียวยังมีฤทธิ์เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมอีกด้วย การใช้ใบชาเขียวเช็ดหน้าหลังจากทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ใบหน้าเต่งตึง ไร้ริ้วรอย แลดูอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น

บันไดขั้นที่ 3 การใช้มอยส์เจอไรเซอร์

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ และมอยเจอร์ไรเซอร์ก็มิใช่สิ่งที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพผิวที่ดีเสมอไป นอกจากนี้การทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ผิดวิธี รวมไปถึงการเลือกมอยส์เจอไรเซอร์โดยปราศจากการพิจารณาให้ดีอาจส่งผลเสียต่อผิวพรรณมากกว่าที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ มอยส์เจอร์ไรเซอร์เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวผสม ( บริเวณแก้มทั้งสองข้างซึ่งเป็นผิวแห้ง ) แต่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่มีผิวมันและผิวธรรมดา เนื่องจากผิวมันจะมีการผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณที่มากเกินพอ การทามอยส์เจอไรเซอร์ลงไปอีกอาจก่อให้เกิดโทษได้
ผิวธรรมดาจะมีการผลิตน้ำมันและสารที่ทำให้ผิวอ่อนนุ่ม รวมไปจนถึงสารที่ดึงดูดความชื้นออกมาเคลือบผิวในปริมาณที่เพียงพอ เว้นเสียแต่ในกรณีที่อากาศแห้งมาก หรือผิวสัมผัสกับน้ำมากจนเกิดอาการแห้งตึง คนที่มีผิวแห้งจึงควรทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำมัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว ทำให้ผิวทำหน้าที่เป็นปกติ ลดอาการระคายเคือง หรืออาการแพ้ ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ในขณะที่การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ผิดประเภทหรือมากเกินไป อาจทำให้ผิวมีความมันมากขึ้น จนนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน สิว ผิวหนังอักเสบ และปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ แต่ก็ช่วยได้เพียงแค่รักษาความชุ่มชื้นของผิวพรรณเท่านั้น มันไม่อาจช่วยในการป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือสัญญาณแห่งความเสื่อมโทรมของผิวได้แต่อย่างใด เพื่อแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมดังกล่าว คุณจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสรรพคุณในการรักษาโดยเฉพาะ

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงผิวส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นรวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ผิวชุ่มชื้น เนียนนุ่มน่าสัมผัสมากขึ้น คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวได้เลยทันทีโดยไม่ต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ร่วมด้วย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ปริมาณของสารให้ความชุ่มชื้นที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ก่อนแล้วตามด้วยครีมบำรุงผิว เนื่องจาก Moisturizer จะเข้าไปขัดขวางการซึมซาบของสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิว ทำให้ผิวได้รับประโยชน์จากสารที่มีประโยชน์น้อยลง

เพื่อให้ได้ประโยชน์จากส่วนผสมในครีมบำรุงผิวมากที่สุดและมีผิวพรรณที่ชุ่มชื้นพอเหมาะ หลังจากที่คุณ ทำความสะอาดผิว เรียบร้อยแล้วให้ซับผิวด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ พอหมาด ผิวที่สะอาดนุ่มและมีความชื้นจะซึมซาบสารที่มีประโยชน์จากครีมบำรุงได้ดีกว่า ให้ทาครีมบำรุงผิวลงไป ทิ้งไว้สักครู่ รอให้สารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด แล้วจึงค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ลงไปอย่างเบามือ

บันไดขั้นที่ 4 การใช้ครีมกันแดด

คนส่วนใหญ่เข้าใจกันเป็นอย่างดีว่าแสงแดดเป็นตัวทำร้ายผิวพรรณตัวฉกาจ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนยังไม่เข้าใจก็คือ ครีมกันแดดส่วนใหญ่ไม่อาจปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอยได้ การหลบแดดเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าหากคุณปรารถนาที่จะคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณเอาไว้ให้ได้นาน ๆ การหลบแดดคือทางออกทางหนึ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยได้แม้ว่าจะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม

รังสียูวีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ UVA (400 นาโนมิเตอร์) UVB ( 320 นาโนมิเตอร์ ) UVC ( 100 นาโนมิเตอร์ ) แต่รังสียูวีที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ UVA และ UVB เนื่องจากรังสีเหล่านี้สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลก และสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ผิวพรรณได้ ในขณะที่ UVC จะถูกชั้นโอโซนดูดซับเอาไว้จนไม่สามารถทะลุผ่านมายังพื้นโลกได้ ดังนั้น เราจะยังคงปลอดภัยจากรังสีดังกล่าวตราบใดที่เรายังไม่ทำลายชั้นโอโซนที่มีประโยชน์นี้ให้หมดไปเสียก่อน รังสี UVA จะมีความสามารถในการแทรกซึมลงไปถึงชั้นหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งเป็นชั้นที่ก่อให้เกิดริ้วรอยอย่างถาวรได้ ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ในขณะที่รังสี UVB แม้ว่าจะไม่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นในได้ เพราะจะถูกผิวหนังชั้นนอกดูดซับเอาไว้แต่ก็สามารถทำให้ผิวไหม้เกรียมได้ รังสียูวีทั้ง 2 ชนิดนี้ ต่างมีความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เท่าๆ กัน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ครีมกันแดดที่ดีจะต้องช่วยปกป้องผิวสวยของคุณจากรังสียูวีเอ ( UVA ) และยูวีบี ( UVB ) และป้องกันผิวไม่ให้ถูกแดดแผดเผาจนไหม้เกรียม ป้องกันการเกิดริ้วรอยและมะเร็งผิวหนัง เพื่อให้ได้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการเลือกซื้อคือดูที่ค่า SPF ( Sun Protection Factor ) ของครีมกันแดด ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงระดับในการป้องกันแสงแดดของครีมกันแดดนั้น

อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกกลางแจ้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นจากการทำลายของแสงแดดแต่อย่างใด ค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไปจะช่วยป้องกันผิวของคุณจากรังสี UVB ทำให้ผิวไม่มีรอยไหม้เมื่อต้องอยู่กลางแดดได้ในระยะหนึ่ง แต่ไม่ได้ป้องกันจากรังสี UVA ได้ ดังนั้นในการเลือกซื้อครีมกันแดด นอกจากจะดูที่ค่า SPF แล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูจำนวนเปอร์เซ็นต์ของรังสียูวีที่ครีมกันแดดสามารถป้องกันได้ ควรให้ตัวเลขแรกมากกว่าร้อยละ 90 ขึ้นไป

สารเคมีที่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสียูวีที่ผสมอยู่ในครีมกันแดดจะมีลักษณะเป็นผงละเอียด ได้แก่ ซิงค์ออกไซด์ ( Zinc Oxide ) และไทเทเนียมออกไซด์ ( Titanium Oxide ) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบี อย่างไรก็ตามในขณะนี้ได้มีการพัฒนาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีอันตรายที่มาพร้อมกับแสงแดดขึ้นมาใหม่ ได้แก่ Mexoryl และ Avobenzone หรือที่รู้จักกันในชื่อพาร์ซัล 1789 ( Parsol 1789 )  หรือ Methoxydibenzoylmethane ทั้งสองเป็นสารตัวใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในยุโรปมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสียูวีที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพยายาม ในการพัฒนาสารป้องกันแสงแดดที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสีอันตรายอย่างแพร่หลาย แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับออกมายอมรับว่าในขณะนี้ยังไม่มีครีมกันแดดตัวใดที่มีคุณสมบัติดีพอในการป้องกันรังสียูวี

มีการพบว่าครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นน้ำใส จะมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเสื่อมคุณภาพได้ง่าย และจะหมดฤทธิ์ได้เร็วเมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นาน ในขณะที่ครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นครีมข้นแม้ว่าจะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้น้อยกว่าและอยู่ได้นานกว่า แต่มันกลับทำให้ผิวแลดูสกปรก ด้าน มัน รูขุมขนอุดตัน และหลุดลอกได้ง่ายเนื่องจากไม่ซึมเข้าสู่ผิว จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการพัฒนาครีมกันแดดที่อยู่ในรูปของซิงค์ออกไซด์ให้มีลักษณะโปร่งแสง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Z-Cote ซึ่งทางผู้ผลิตอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบีได้อย่างดีเยี่ยมที่สุด ในขณะที่ออกฤทธิ์ได้นานกว่าและโปร่งแสงกว่า [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขั้นตอนการดูแลผิวพรรณที่ดีต้องไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน มีขั้นตอนไม่ยาก ใช้เวลาน้อย และให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม

ข้อจำกัดของครีมกันแดด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในการผลิตครีมกันแดดจะก้าวไกลไปสักเท่าไร และไม่ว่าครีมกันแดดนั้นจะมีความสามารถในการป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ดีสักเท่าไร ครีมกันแดดก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่บ้างดังนี้

ประการที่ 1 รังสียูวีเอสามารถทะลุทะลวงผ่านทุกสิ่งทุกอย่างได้ โดยมีการพบว่าถึงแม้จะสวมหมวก หรือหลบอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา แสงแดดที่สะท้อนเข้ามาในร่มหรือในห้องจะยังคงมีรังสียูวีหลงเหลือมากถึง 1 ใน 3 ของรังสีทั้งหมด นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะทาครีมกันแดดมาสักเท่าไร รังสียูวีเอ ที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยเหี่ยวย่นก็ยังคงมีโอกาสเล็ดลอดเข้าไปทำลายผิวชั้นในให้ได้รับความเสียหายได้อยู่วันยังค่ำ

ประการที่ 2 ก็คือ ครีมกันแดดส่วนใหญ่จะหลุดลอกออกไปได้ง่ายเมื่อโดนเหงื่อ ดังนั้น จึงเป็นการง่ายที่จะเผลอไปเช็ด หรือซับครีมกันแดดเหล่านั้นออกไปจนหมด ระหว่างที่อยู่กลางแจ้งแดดร้อนอบอ้าว ส่งผลให้ผิวของคุณเปลือยเปล่าไม่มีเกราะป้องกัน

ประการที่ 3 ก็คือ เนื่องจากฤทธิ์ของครีมกันแดดจะอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จึงไม่อาจปกป้องผิวได้ตลอดไป ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จึงจำเป็นต้องทาซ้ำอีกเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังต้องการการปกป้องจากครีมกันแดดอยู่ ด้วยความเร่งรีบและความไม่สะดวกต่าง ๆ จึงมีแนวโน้มที่จะหลงลืมหรือละเลยการทาครีมกันแดดซ้ำอีกครั้ง

เมื่อการปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความอ่อนเยาว์และการมีสุขภาพโดยรวมที่ดี และครีมกันแดดยังคงมีข้อจำกัดมากมาย การปกป้องผิวสวยด้วยอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น หมวกปีกกว้าง ร่มกันรังสียูวี แว่นตากันแดด หรือแม้แต่เสื้อผ้าแขน-ขายาวก็ยังคงเป็นทางเลือกสู่ผิวสวยที่คุณไม่ควรละเลย เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งนอกจากจะทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมแล้ว เราควรป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง กางร่ม หรือ 2 แว่นกันแดดเสมอ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการหลบเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุดจะเป็นวิธีรักษาผิวที่ดีที่สุดในขณะนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ออกมากล่าวถึงผลเสียของการหลบแดดมากเกินไป ว่าการได้รับแสงแดดที่น้อยเกินไปจะไปรบกวนวัฎจักรของการหลับและการตื่นของร่างกาย มีผลกระทบต่อการผลิตสารเคมีบางตัวของสมอง เช่น เซโรโทนิน และเมลาโทนิน ซึ่งจะนำไปสู่การมีจิตใจหดหู่ และนอนไม่หลับ นอกจากนี้ การไม่ได้รับแสงแดด ยังส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตวิตามินดีของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะขาดวิตามินดีที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะกระดูกพรุนและภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้อีกด้วย

ตารางค่า SPF ที่เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่างๆ

กิจกรรม  ค่า SPF ที่ขอแนะนำ
ทำสวนหลังบ้าน 25
ทำงานในห้องทำงาน 15
เดินทางท่องเที่ยว 20
เดินริมถนนในตอนกลางวัน 30
ยืนคุยโทรศัพท์สาธารณะ 15 นาที 20
นั่งรถเมล์ 25
ขี่มอเตอร์ไซค์กลางแจ้งไปซื้อของปากซอย 30
เล่นกีฬาทางบกกลางแจ้ง 40
เล่นกีฬาทางน้ำกลางแจ้ง 50

 

บันไดขั้นที่ 5 การผลัดเซลล์ผิว

การผลัดเซลล์ผิวที่จะกล่าวถึงนี้หมายถึงการผลัดเซลล์ผิวที่สามารถทำได้เองเป็นประจำ มิใช่การผลัดเซลล์ผิวที่ใช้สารเคมีหรือเลเซอร์ที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด การผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอจะคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ช่วยลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ตื้น ๆ ได้ดี ทำให้ผิวพรรณสดใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากนี้ยังพบว่าการผลัดเซลล์ผิวช่วยให้สารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดความมันในคนที่มีผิวมันได้อีกด้วย การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวส่วนนอกที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป หรือเอาไว้แต่ผิวเกิดใหม่ที่แข็งแรงสดใส แต่อย่างไรก็ตาม การผลัดเซลล์ผิวไม่อาจลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ลึกและชัดเจนให้หายไปได้ เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวไม่อาจเข้าลึกถึงชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของริ้วรอยได้ จึงเป็นวิธีการรักษาที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง
โดยทั่วไปแล้วผิวจะมีกระบวนการผลิตเซลล์ผิวอย่างต่อเนื่องตามธรรมชาติ หากปราศจากกระบวนการนี้ ผิวจะมีความหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ลึก ชัดเจน และมีความยากมาก เมื่ออายุยังน้อยกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น ( มากกว่า 30 ปี ) กระบวนการดังกล่าวจะช้าลง

ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับประโยชน์จากการผลัดเซลล์ผิว ผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ผู้ที่มีผิวมันรวมไปจนถึงผู้มีปัญหาผิวหน้าจะได้รับประโยชน์จากการผลัดเซลล์ผิวด้วย เนื่องจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้การสะสมของเซลล์ที่ตายแล้วมีน้อยลง ทำให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัยและมีแนวโน้มที่จะมีริ้วรอยน้อยลง นอกจากมีการผลัดเซลล์ผิวแล้ว ยังช่วยลดความมันของผิวให้น้อยลงอีกด้วย ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณมาก ๆ จะไม่ค่อยได้รับประโยชน์จากการผลัดเซลล์ผิวเท่าใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่ายเพราะการผลัดเซลล์ผิวอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดอาการระคายเคืองผิว จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 – 3 วัน ในการทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมรวมตัวกัน การผลัดเซลล์ผิวที่บ่อย หรือรุนแรงเกินไปอาจทำให้เซลล์ผิวที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับความเสียหาย เกิดอาการระคายเคืองหรือหลุดลอกออกไปจนเกิดเป็นแผลได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการผลิตเซลล์ผิวอย่างเต็มที่และไม่เกิดอันตราย ควรผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในขณะที่ผู้มีผิวมันมากควรผลัดเซลล์ผิวทุกวัน สำหรับผู้ที่ผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายควรลดความถี่ลง สิ่งที่บ่งชี้ว่าคุณผลัดเซลล์ผิวมากเกินไปคือผิวหน้าจะแห้ง มีอาการระคายเคือง หรือแพ้ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ให้คุณหยุดทำแล้วปล่อยให้ผิวได้ฟื้นฟู และลดความถี่ในการทำให้น้อยลง

เมื่อต้องผลัดเซลล์ผิวนอกจากสภาพผิวแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนลงมือทำคือวัตถุดิบที่นำมาใช้ผลัดเซลล์ผิว ขั้นตอนการทำและเทคนิคในการทำรวมไปจนถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อสภาพผิว เช่น โภชนาการ ฤดูกาลและอายุ ผู้ที่ได้รับอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะมีสุขภาพผิวที่ดีอย่างยั่งยืนและง่ายต่อการดูแลรักษามากกว่าผู้ที่เอาแต่ทาครีมบำรุง การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารจากอาหารไขมันต่ำมาเป็นอาหารที่มีไขมันมากขึ้น สามารถเปลี่ยนผิวที่แห้งให้กลายเป็นผิวธรรมดาได้ ในช่วงฤดูร้อนผิวจะมีแนวโน้มที่จะมันมากกว่าปกติ และจะแห้งยิ่งขึ้นในช่วงฤดูหนาว ผิวสีเข้มจะได้รับอันตรายจากแสงแดดน้อยกว่าคนผิวขาว  [adinserter name=”navtra”]

ดังนั้น ผู้ที่มีผิวขาวจึงจำเป็นต้องปกป้องผิวจากแสงแดดอันร้อนแรง ด้วยการเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพและบางเบามากพอที่จะทาซ้ำได้ตลอดทั้งวัน เซลล์ผิวจะมีการผลัดตัวช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น ผู้ที่อายุน้อยหรือผิวที่มีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงไม่มีความจำเป็นต้องผลัดเซลล์ผิวหรืออาจผลัดให้น้อยลง ภาวะหมดประจำเดือนอาจทำให้ผิวมันและผิวธรรมดากลายเป็นผิวแห้งได้ ดังนั้น ขั้นตอนในการ ดูแลทำความสะอาดผิว จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับปัจจัยเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

https://mahosot.com/