Home Blog Page 162

เป็นมะเร็งตายแล้วไปไหน ?

0
เป็นมะเร็งตายแล้วไปไหน?
คนที่เป็นมะเร็งแล้วตายด้วยมะเร็งนั้นเป็นการการที่ทรมานและเจ็บปวดจนนาทีสุดท้าย
เป็นมะเร็งตายแล้วไปไหน?
คนที่เป็นมะเร็งแล้วตายด้วยมะเร็งนั้นเป็นอาการที่ทรมานและเจ็บปวดจนนาทีสุดท้าย

เป็นมะเร็งตาย

คนส่วนใหญ่เป็น มะเร็ง ( cance ) ตาย คุณเคยสงสัยไหมตายแล้วไปไหน? ตายแล้วยังต้องทรมานไหม? และอีกหลายคำถามกับเรื่องหลังความตาย ดิฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่าตายไปไหน ตายแล้วจะเจ็บปวดเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือป่าว แต่ความสงสัยนี่ก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบ เพราะว่าดิฉันยังไม่เคยตายและคนที่ตายแล้วก็ยังไม่มีใครมาบอกกับดิฉันด้วย แต่ถ้ามาบอกดิฉันก็คงไม่กล้าคุยด้วยหรอกค่ะ ยอมรับตรงๆ ว่ากลัวมาก ในความเป็นจริงคนเราทุกคนต้องตายเป็นสัจธรรมชีวิตที่หนีไม่พ้น มีเกิดย่อมมีตายแต่จะตายช้าหรือตายเร็วนั่นก็อีกเรื่องหนึ่งว่ามั้ยค่ะ แล้วเราจะกลัวความตายไปทำไม เพราะสักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย แต่ที่รู้ๆอย่างหนึ่งก็คือ ไม่อยากตายด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็ง ( cance ) ทำไมนะหรือคะ

คุณเคยเห็นคนเป็น มะเร็ง ( cance ) ก่อนตายไหม? ถ้าไม่เคยคงไม่รู้หรอกว่ามันทรมานมากแค่ไหน ดิฉันเคยเห็นคนตายด้วยโรคมะเร็งมาแล้วอย่างน้อย 2 คน ทั้งสองคนนี้เป็นป้ากับลุงของดิฉันเองค่ะ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั้งคู่ ป้าเป็นมะเร็งปอด ( Lung cancer ) ป้าป่วยรักษาตัวด้วยโรคมะเร็ง ( cance ) นานนับปีกว่าจะเสียชีวิต ดิฉันไปดูแลป้าเป็นประจำ กว่าป้าจะตรวจเจอมะเร็งป้าก็เป็นขั้นสุดท้ายเสียแล้ว

ด้วยความที่สมัยก่อนการเข้าถึงหมอไม่ง่ายเหมือนสมัยนี้ พอตรวจเจอก็ช้าไปสำหรับการรักษาให้หายได้ ป้าต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานมาก เวลาที่ดิฉันไปเยี่ยมแก แกก็บ่นปวดเมื่อยเนื้อตัวไปทั้งตัว นวดให้ป้าหน่อยแต่พอนวดไปป้าก็จะบ่นว่าเจ็บ โดนตรงไหนก็เจ็บตรงนั้น ตัวป้าบวมเป่งเนื้อตึงแน่นไปหมดทั้งตัวเลย เวลากดลงไปเนื้อจะบุ่มเป็นรอยกด เวลาไม่ไปโดนตัวแก แกก็ยังบ่นว่าปวดอยู่เรื่อยๆ กินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ร่างกายซูบผอมไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดกับคนอื่น ดิฉันเคยแอบเห็นแกร้องไห้กับลุงแฟนแกเป็นประจำว่าทรมานเหลือเกินพี่จ๋า เมื่อไหร่ฉันจะหายเสียที พร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมา เห็นแล้วน้ำตาดิฉันก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หลังจากแกรักษาตัวอยู่ปีกว่าป้าก็เสียชีวิตลงพร้อมกับความเจ็บปวดที่ไม่จางหายจากความรู้สึกของฉันสักที

คนที่สองก็คือ ลุงต่อ ชีวิตแกเมาทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ลูกหลานเตือนให้หยุดกินเหล้าเท่าไหร่แกก็ไม่ฟัง แกว่าความสุขของแกจะมายุ่งอะไรด้วย จนวันหนึ่งปวดท้องหนักมากต้องส่งเข้าโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าแกเป็นมะเร็งตับ ( liver cancer ) ระยะสุดท้าย ลูกหลานทำทุกวิถีทางในการรักษาเพื่อให้แกหาย ทั้งหาหมอแพทย์ปัจจุบันและหมอแผนไทย หลังตรวจเจอมะเร็งแค่ 3 เดือน อาการแกก็ทรุดหนักอย่างน่าตกใจ แกร้องครวญครางตลอดเวลา บ่นว่าปวดท้อง ปวดขา ปวดแขน ช่วยแกด้วย แม้แต่แวลานอนยังมีเสียงครางเพราะความเจ็บปวดออกมาเลยค่ะ หมอบอกว่ารักษาไม่ได้แล้วให้ลูกหลานทำใจไว้รอเวลาที่จะได้เท่านั้น พร้อมทั้งให้แผ่นมอร์ฟีนแก้ปวดอย่างดีมาใช้เวลาที่แกปวดมากๆ แผ่นหนึ่งติดได้วันเดียวแกก็ปวดเหมือนเดิม แกร้องไห้บอกทรมานเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เวลาที่แกปวดหน้าซีดปากซีด สั่นไปหมดทั้งตัว เราทุกคนก็ได้แต่ปลอบและคอยให้กำลังใจว่าเดี๋ยวก็หาย ใจเย็นๆ อดทนหน่อยนะ แต่แกทนไม่ไหวตายหลังจากที่ตรวจเจอ มะเร็ง (cance) เพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น แกจากไปพร้อมกับเสียงครางของแห่งความเจ็บปวด 

เชื่อมั้ย! เวลาที่ดิฉันเห็นสีหน้าแววตาของคนที่เจ็บปวดจาก มะเร็ง ( cancer ) แล้ว เหมือนรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดปานจะขาดใจที่สื่อออกมาจากแววตาคู่นั้น คนที่เสียชีวิตด้วยโรงมะเร็งทุกคนต้องทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัส ไม่มีใครที่ตายด้วยมะเร็งแล้วไม่ต้องเจ็บปวด แล้วแบบนี้คุณคิดว่าคนที่ตายด้วยมะเร็งจะไปอย่างสงบไหม ดิฉันคิดว่าคงไม่แน่นอนค่ะ ณ วันนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งตายแล้วไปไหนแต่สิ่งที่ดิฉันรู้คือการตายด้วยมะเร็งมันทรมาน ที่คงไม่มีใครต้องการ  ดิฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่อยากตายด้วยโรคมะเร็ง อยากตายอย่างไม่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวด แค่นี้ดิฉันก็มีความสุขมากพอแล้ว คุณล่ะอยากตายด้วยโรคมะเร็งไหม?

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วิธีเด็ดๆ พฤติกรรมแบบคุณนั่นแหละ ที่จะเป็นมะเร็งตาย

0
วิธีเด็ดๆ พฤติกรรมแบบคุณนั่นแหละ ที่จะเป็นมะเร็งตาย
การไม่ดูแลสุขภาพร่างกายและการกินอาจส่งผลให้เป็นสาเหตุของมะเร็งได้โดยไม่รู้ตัว
วิธีเด็ดๆ พฤติกรรมแบบคุณนั่นแหละ ที่จะเป็นมะเร็งตาย
การไม่ดูแลสุขภาพร่างกายและการกินอาจส่งผลให้เป็นสาเหตุของมะเร็งได้โดยไม่รู้ตัว

พฤติกรรมเสี่ยงเป็นมะเร็งตาย

ระวัง!! พฤติกรรมเสี่ยง ที่คุณทำอยู่อาจทำให้คุณเป็น มะเร็ง ( cance ) ได้นะ หลายคนคิดว่าดูแลตัวเองดีมากแบบนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นมะเร็งตายหรอก แต่ว่าถ้าคุณยังมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ( cance ) อยู่ คุณก็สามารถเป็นมะเร็งตายได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ากินอาหารแพง กินอาหารหรูหราตามห้างหรือร้านอาหารทุกวัน เข้าฟิตเนสออกกำลังกาย แค่นี้คุณจะไม่เป็นมะเร็ง ( cance ) ถ้าคุณยังมีพฤติกรรมแบบนี้รับรองว่าคุณมีโอกาสเป็นมะเร็งตายเหมือนกันนะ คุณคิดว่าพฤติกรรมอะไรบ้างที่ทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

1. เครียดกับทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องได้ดั่งใจฉัน ถ้าไม่ได้ดั่งใจฉัน ฉันจะเครียดคิดมาก เรื่องของใครรับรู้รับฟังและเก็บมาคิดทั้งหมด รับรองว่าถ้าคุณเป็นคนอย่างนี้คุณเตรียมตัวเป็น มะเร็ง ( cance ) ได้เลยค่ะ เพราะว่าเวลาที่เราเครียดจะทำให้เซลล์ทำงานหนักและอนุมูลอิสระภายในร่างกายเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เซลล์อ่อนแอลงถูกทำลายกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ง่าย หรือถ้ามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นสักนิด เจ้าความเครียดจะไปกระตุ้นให้เจ้าเซลล์มะเร็งจะเติบโตแบบทวีคูณ โตเอาโตเอาอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งเครียดมากยิ่งโตเร็ว ดังนั้นเราควรรู้จักผ่อนคลายความรู้สึก ทำใจให้โล่งไม่คิดมาก รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง อะไรไม่ใช่เรื่องของเราอย่าเอามาคิด

2. สูบบุหรี่ รู้ไหมว่าในบุหรี่มีสารพิษหลายพันชนิดและมี 60 กว่าชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าคุณยังสูบบุหรี่อยู่ทุกวัน แสดงว่าคุณรับสารก่อมะเร็งมาสะสมอยู่ในร่างกายทุกวัน แล้วแบบนี้คุณจะรอดจากการเป็นมะเร็ง ( cance ) ได้เหรอ ขอบอกว่าไม่มีทางค่ะ ถ้าคุณยังสูบบุหรี่อยู่คุณมีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้นถึง 88 % ทีเดียวนะ รวมถึงยาเส้นด้วยหรือแม้แต่สูดควันบุหรี่จากคนรอบข้างคุณก็มีโอกาสเป็น มะเร็ง ( cance ) ได้เหมือนกัน รู้อย่างนี้หยุดสูบบุหรี่ อย่าเข้าใกล้คนสูบบุหรี่ อย่าอยู่ในสถานที่มีควันบุหรี่ดีที่สุด

3. ดื่มเหล้า เวลาที่เราดื่มเหล้า แอลกอฮล์ที่อยู่ในเหล้าจะเข้าไปทำลายเซลล์ในร่างกาย ทำให้เซลล์อ่อนแอลงทุกครั้งที่ทำการดื่มเหล้า เซลล์ที่อ่อนแอจึงถูกทำลายกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ( Cancer cells ) ได้ง่าย แล้วแบบนี้จะกินไปทำไมเหล้าเนี่ย ไม่เห็นจะมีประโยชน์เลย ถ้าอยากกินเหล้าให้มีประโยชน์ลองหันมากินไวท์วันละ 1 แก้ว แบบนี้ดีต่อสุขภาพมากกว่านะคะ
4. กินอาหารปิ้งย่าง โอ้ย! บุฟเฟต์หมูกะทะก็อร่อย บุฟเฟติ์ปิ้งย่างก็เลิศ กินเท่าไหร่ก็ได้ประหยัดจะตายไป ดีแน่หรือค่ะ! ถ้าต้องประหยัดเงินตอนนี้เอาไว้รักษาตัวในอนาคต เพราะอาหารที่ย่างจนไหม้ดำ อาหารรมควัน ล้วนแต่เป็นอาหารที่เป็นต้นเหตุของ มะเร็ง ( cance ) ที่เป็นยังงั้นก็เพราะอาหารพวกนี้จะมีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ สารนี้จะเข้าไปขัดขวางไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปจับตัวกับเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ไม่ได้ เซลล์อ่อนแอง่ายต่อการทำลายจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ( Cancer cells ) และในควันที่เกิดตอนปิ้งย่างยังมีสาร Polycyclic Aromatic Hydrocarbon หรือ PAH ที่เป็นสารก่อมะเร็ง ( Carcinogenic ) ชนิดร้ายแรงมาก ที่พบอยู่ในควันทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นควันรถ ควันจากการเผาไหม้ขยะ รวมถึงควันจากการปิ้งย่างด้วย แบบนี้เวลากินปิ้งย่างเราก็ได้รับสารก่อมะเร็งทั้งทางปากและทางจมูกเลยสินี่

5. กินของหมักดอง เปรี้ยวจี๊ดพูดแล้วน้ำลายสอทันที แต่รู้หรือป่าวว่าของหมักดองนี่มีสารก่อมะเร็งด้วยนะ ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งก็อย่ากินจะดีที่สุด ของหมักดองที่ว่านี่ไม่ใช่ผลไม้ดองอย่างเดี่ยวนะคะ แต่รวมถึงพวกกุนเชียง หมูยอ ปลาร้า ปลาจ่อม กะปิ น้ำปลา ผักกาดดอง หน่อไม้ดอง ผักเซียนดองด้วยนะ ที่ว่าของหมักดองทำให้เกิดมะเร็งก็เพราะว่าในการดองมีการใช้ขัณฑสกร สารกันเชื้อรา สารกันบูด ซึ่งสารพวกนี้มีการวิจัยและทดสอบแล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าเรากินเข้าไปเราก็รับสารก่อ มะเร็ง ( cance ) เข้าไปเต็มๆ เลยค่ะ เพราะฉะนั้นอย่ากินเป็นดีที่สุด

6. กินแต่เนื้อสัตว์และอาหารไขมันสูง ชีวิตนี้ฉันจะกินแต่เนื้อสัตว์ ทั้งสเต็ก หมูปิ้ง ไก่ย่าง มันหมูลวกจิ้ม หังไก่ทอด อาหารสุดโปรดที่มีแต่โทษ เดี๋ยวนี้เวลาจะนอนยังไม่ค่อยมีจะให้ทำอาหารกินเองก็คงยาก ไปหาซื้อกินง่ายและสะดวกกว่าเยอะ ไม่ว่าจะข้าวราดแกง อาหารตามสั่งที่แสนจะง่ายและสะดวก แต่ว่าอาหารพวกนี้มีแต่เนื้อสัตว์ น้ำมัน เครื่องปรุงรส น้ำปลา น้ำตาล ผงชูรส จะมีผักมาก็แตงกว่า 2 ชิ้น ใบกระเพาะ 3-4 ใบ กับพริก 2-3 ชิ้น นี่ละจำนวนผักที่ได้กินในแต่ละวัน รู้ไหมว่า?ในเนื้อสัตว์มีทั้งไขมันและสารเร่งที่คนเลี้ยงใช้เร่งให้เนื้อมีสีแดงสดน่ากินโดยเฉพาะเนื้อหมู และเมื่อคนกินเนื้อสัตว์เข้าไปไตจะต้องทำงานหนักถึง 3 เท่าจากปกติ เพื่อทำการขับสารพิษที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ เช่น กรดยูริก สารยูเรีย แอมโมเนีย ที่เกิดจากขั้นตอนการย่อยเนื้อสัตว์ในร่างกาย ถ้าร่างกายขับออกมาไม่หมดสารพวกนี้จะตกค้างก่อให้เกิดอันตรายต่อเซลล์เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง ( Cancer cells ) แต่ถ้าขับออกมาได้หมดไตก็ต้องทำงานหนักทำให้ไตเสื่อมสภาพเร็วขึ้น แบบนี้จะขับออกหมดหรือไม่หมดร่างากายก็พังอยู่ดีจริงไหมค่ะ ดังนั้นควรลดการกินเนื้อสัตว์ลงหันมากินผักผลไม้แทนรับรองว่าเยี่ยม

7. น้ำหนักเกินพิกัด คงไม่มีใครอยากอ้วนกันหรอกค่ะ ดิฉันก็เหมือนกันแต่จะทำไงได้ก็อาหารแต่ละอย่างน่ากินเสียเหลือเกิน ทั้งกาแฟเย็น ขนมปังอบใหม่ๆ กลิ่นหอมยั่วใจ เค้กก้อนโตสีสันน่ากิน แล้วแบบนี้ใครจะอดใจไหว กินขนาดนี้อ้วนก็คงไม่แปลก อ้าว!อ้วนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมะเร็งล่ะ เกี่ยวก็เพราะว่าไขมันสว่นเกินที่ทำให้เราอ้วน ไขมันส่วนนี้จะสร้างออร์โมนเอสโตรเจนออกมาจนเกินความจำเป็นของร่างกาย ฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ ถ้ากระตุ้นมากเซลล์ก็จะเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็งไงค่ะ น้ำหนักที่ดีควรอยู่ในดัชนีมวลกาย ( Body mass index หรือ BMI ) คือ น้ำหนักเป็นกิโลกรัม / ( ส่วนสูงเป็นเมตร )²  ถ้า BMI มากกว่า 25 แสดงว่าคุณอยู่ในภาวะมีความเสี่ยงต่อ มะเร็ง ( cance ) แล้วนะค่ะ ควรลดน้ำหนักได้แล้วค่ะ

8. นอนน้อย เกิดมาทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ตื่นเช้ามาไปทำงาน เลิกงานไปเที่ยวกลางคืนต่อกลับบ้านตีสองค่อยนอน ชีวิตมีสีสันแบบนี้สิสุดเหวี่ยง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง ระวังเอาไว้ให้ดีนะคะ เพราะคุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งอย่างแรง ที่เป็นยังงั้นก็เพราะว่าเวลานอนคือเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ถ้าเรานอนน้อยพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมเซลล์ได้ เซลล์จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ ทำให้เซลล์โดนทำลายจากอนุมูลอิสรหรือเกิดการกลายพันธุ์เซลล์มะเร็ง ( Cancer cells ) ถ้าจะให้ดีเราควรนอนวันละ 7 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งตอนนี้และในอนาคต

ที่ดิฉันพูดมาคุณมีพฤติกรรมอะไรบ้าง? ถ้ามีต้องหยุดทำเสียแต่วันนี้นะคะ หันมาทำตามคำแนะนำที่ดิฉันบอกไว้ ไม่ยังงั้นคุณได้เป็นมะเร็งตายแน่ ถ้าไม่เชื่อก็คุณจะทำต่อไปดิฉันก็ไม่ว่านะคะ คุณจะได้รู้ว่าดิฉันพูดจริงหรือป่าวว่าทำพฤติกรรมที่ว่ามาทั้งหมดเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง แต่เมื่อถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้วที่จะหยุดพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหลายแล้วเริ่มต้นใหม่ แล้วคุณจะเสียใจว่าทำไมไม่เชื่อดิฉันตั้งแต่วันนี้ เลิกเถอะค่ะกับพฤติกรรมเสี่ยงแล้วชีวิตคุณจะมีความสุขกับสุขภาพที่แข็งแรงปราศจาก มะเร็ง ( cance )

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ไม่มีใครอยากเป็นมะเร็งตาย แต่เราก็ตายด้วยโรคมะเร็ง

0
ไม่มีใครอยากเป็นมะเร็งตาย แต่เราก็ตายด้วยโรคมะเร็ง
มะเร็งเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากเป็นและเมื่อเป็นมะเร็งแล้วก็ไม่อยากมีใครตายเพราะมะเร็ง
ไม่มีใครอยากเป็นมะเร็งตาย แต่เราก็ตายด้วยโรคมะเร็ง
มะเร็งเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากเป็นและเมื่อเป็นมะเร็งแล้วก็ไม่อยากมีใครตายเพราะมะเร็ง

ไม่มีใครอยากเป็นมะเร็งตาย

ใครอยากตายด้วยโรค มะเร็ง ( Cancer ) ยกมือขึ้น? ถามมาได้ไงไม่คิด ไม่มีใครเค้าอยากเป็นกันหรอกมะเร็งเนี่ย ดิฉันคนหนึ่งละที่ไม่ยกมือเป็นอันขาด ดั่งคำของพระพุทธเจ้าเคยพูดไว้ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” คือการไม่เจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต ยิ่งถ้าเป็นโรคมะเร็ง ( Cancer ) ด้วยแล้วดิฉันขอไม่เป็นเด็ดขาดค่ะ ทำไมนะหรือค่ะ? การรักษามะเร็งไม่ใช่ว่าแค่กินยา 2-3 วันแล้วจะหายได้เหมือนเวลาเป็นหวัดเจ็บคอนี่คะ

การรักษามะเร็งต้องเจ็บตัวผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออกมา ต้องทนเจ็บปวดจากผลข้างเคียงของการให้รังสีหรือเคมีบำบัด จะกินก็ลำบาก เจ็บคอจะกินข้าวแต่ละทีนึกว่ามีเข็มมาทิ่มอยู่ในคอสักสิบเล่ม นอนก็ไม่หลับ คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศรีษะ ผมร่วงเกือบหมดหัวถึงแม้ว่าจะขึ้นใหม่ตอนหลังก็เถอะค่ะ ถ้าไม่เป็นมันก็คงจะดีกว่า แถมยังต้องเสียทั้งเงิน ทั้งเวลาในการรักษา ถึงรัฐบาลจะให้รักษาฟรี แต่ก็คงไม่มีใครไปส่งหรือให้น้ำมันรถในการเดินทางเราฟรีหรอกค่ะ จะไปคนเดียวก็ไม่ได้ต้องมีญาติไปด้วยอีก ที่นี้ทำไงค่ะ คนใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นสามี เป็นน้องก็ต้องหยุดงานเพื่อพาไปหาหมอทำให้ขาดรายได้ แล้วไม่ใช่ว่าไปครั้งเดียวจบไม่ต้องไปอีกนะคะ ต้องไปเป็นสิบสิบครั้งกว่าจะรักษาหาย เรียกว่าถ้าเป็น มะเร็ง ( Cancer ) ก็มีแต่เสียกับเสียทั้งนั้น อีกอย่างก็ผลข้างเคียงจากการให้รังสีหรือเคมีบำบัดนี่ทรมานจริงๆ ดิฉันเห็นแล้วทั้งสงสารทั้งกลัวเกิดขึ้นในใจ ที่กล้าพูดอย่างนี้ก็เพราะว่าพี่สาวดิฉันเป็นมะเร็งเต้านม ( breast cancer ) และเคยไปให้เคมีบำบัดมาแล้ว ดิฉันเคยถามพี่ว่าเป็นไงบ้าง? เจ็บมากไหม? คำตอบที่ได้รับทำเอาดิฉันน้ำตาซึมทีเดียวค่ะ พี่บอกว่ามันปวดไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว จะนั่งจะนอนจะยืนก็ปวด ทำยังไงก็ไม่หายได้แต่ทนอย่างเดียว แต่ก็ต้องทนเพราะยังห่วงลูกอยู่ ลูกยังเล็กเหลือเกิน ถ้าพี่เป็นอะไรไปลูกพี่จะอยู่ยังไง พี่ต้องอดทนจนถึงที่สุด ดิฉันได้ฟังก็รู้สึกสะเทือนใจมากแต่ก็ทำได้แค่พูดให้กำลังใจว่าเดี๋ยวก็หาย หมอสมัยนี้เค้าเก่งรักษาหายอยู่แล้ว เห็นแบบนี้ทำให้ดิฉันไม่อยากเป็น มะเร็ง ( cance ) มาก แต่เชื่อมั้ยคะ คนจำนวนไม่น้อยถึงไม่อยากเป็นมะเร็ง ( cance ) แต่ก็ต้องตายด้วยโรคมะเร็งอยู่ดี ที่เป็นยังงั้นก็เพราะการใช้ชีวิตของเราเองนั่นแหละที่ทำให้เราเป็นมะเร็งได้โดยที่เราไม่รู้ตัว จากความเร่งรีบและความรักสบายในการชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เราเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้มากขึ้น ทั้งอาหารการกินที่ต้องกินอย่างรีบเร่งหรือกินบุฟเฟต์ปิ้งย่างที่เตาไหม้แล้วไหม้อีก มลพิษที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งควันบุหรี่ ควันรถ สารพิษที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรม เหล้าที่ทุกคนดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน มีงานที่เลี้ยงที่ไหนต้องมีเหล้าไว้ให้ดื่มกันไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานบวช งานศพ รับรองว่ามีเหล้าให้กินทุกงานค่ะ นี่ยังไม่รวมค่านิยมในการกินที่ต้องกินเนื้อสัตว์ถึงจะเป็นคนรวย ถ้ากินผักกินหญ้าเป็นคนจน ทำให้คนหันมากินเนื้อสัตว์กันมากกว่าการกินผักผลไม้ อาหารฟ้าดฟู้ดส์แบรนด์นอกกินแล้วดูดีมีเงิน ทุกอย่างที่ดิฉันพูดมานี่เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งทุกอย่าง

แล้วแบบนี้! ถึงเราจะไม่อยากเป็น มะเร็ง ( cance ) ตายแต่เราก็คงต้องตายด้วยมะเร็งแน่ๆ เพราะแม้แต่ในอากาศที่เราสูดดมเข้าไปยังทำให้เกิดมะเร็งได้เลย นี่ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ อยู่กับสารก่อ มะเร็ง ( cance ) ทุกวัน ไม่หันมาใส่ใจสุขภาพ ด้วยการเลือกกินผักผลไม้ปลอดสารพิษแทนการกินฟาดฟุดส์ บุฟเฟต์ปิ้งย่าง และเนื้อสัตว์ หันมาออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที ดื่มน้ำสะอาดมากๆ แทนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม งดสูบบุหรี่หรืออยู่ในที่มีควันบุหรี่อบอวลอยู่ เพียงแค่นี้ดิฉันรับรองว่าเมื่อคุณไม่ตายด้วยโรคมะเร็งชัวร์

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ถั่วขาว ( Navy Bean ) ตัวช่วยในการลดน้ำหนัก

0
ถั่วขาว (Navy Bean) ตัวช่วยในการลดน้ำหนัก
ถั่วขาวมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และมีใยอาหารสูง มีสารที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์อะไมเลสช่วยย่อยแป้ง
ถั่วขาว (Navy Bean) ตัวช่วยในการลดน้ำหนัก
ถั่วขาวมีสารอาหารที่มีประโยชน์ โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และมีใยอาหารสูง มีสารที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์อะไมเลสช่วยย่อยแป้ง

ถั่วขาว

ถั่วขาว ( Navy Bean ) คือ พืชตระกูลถั่วจัดเป็นพืชวงศ์เดียวกับถั่วเหลือง มีชื่อเดิมว่า ถั่วแฮริคอต ( Haricot Bean ) มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา ซึ่งมีการปลูกถั่วขาวอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่สูงของประเทศ ต่อมาชาวแอทเทกส์ ( Aztecs ) ได้นำไปปลูกยังอเมริกากลาง และมีการแพร่ขยายพันธุ์เข้าไปยังยุโรป อเมริกาเหนือ อังกฤษ เรื่อยมาจนในปัจจุบันนี้มีการปลูกอยู่ทั่วไป และได้มีการนำมาผลิตเป็นอาหารและนำมาสกัดสารใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเสริมหลายชนิด ในปัจจุบันนี้ประเทศหลักที่ส่งออกถั่วขาวของโลกคือประเทศลาตินอเมริกา

ประเทศไทยเราก็มีการนำเข้าถั่วขาวด้วยเช่นกัน  ถึงแม้ว่าเราจะมีการปลูกถั่วขาวแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของท้องตลาดภายในประเทศ ถั่วขาวในประเทศไทยมีการเรียกอยู่หลายชื่อด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสถานที่เพาะปลูก เช่น ภาคใต้เรียก “โปรงหรือโปรย” สตูลเรียก “ปร้ย” จันทบุรีเรียกว่า “ประสักขาว” เพชรบุรีเรียกว่า “ลุ่ย” เป็นต้น

ลักษณะทั่วไปของ ถั่วขาว

ถั่วขาว มีลักษณะคล้ายกับถั่วฝักยาวและถั่วบอร์ลอตติ ( Borlotti Bean ) จัดเป็นพืชตระกูลถั่วที่เป็นพืชล้มลุกมีอายุประมาณหนึ่งปีหรือที่เรียกว่าพืชฤดูเดียว ลำต้นขึ้นเป็นพุ่มไม่สูงมากนักมีใบหนาทึบ ถั่วขาวบางสายพันธุ์มีพุ่มสูงกว่า 15 เซนติเมตรแต่บางายพันธุ์จะมีความสูงเฉลี่ย 8-15 เซนติเมตรเท่านั้น ลักษณะของพุ่มมีรูปทรงคล้ายปิรามิดเหมือนกับต้นของถั่วแขกและถั่วแดงหลวง ส่วนโคนต้นมีขนาดใหญ่ ลำต้นถั่วขาวมีเปลือกหยาบสีเทาหรือสีน้ำตาลรอบต้น ซึ่งทำให้รอบๆ ต้นมีช่องอากาศขนาดเล็กอยู่ทั่วไป รากจะงอกออกมาจากบริเวณโคนต้นที่เรียกว่ารากอากาศ

ใบ ส่วนของใบจะยื่นออกมาบริเวณข้อของต้น ใบมี ถั่วขาว ลักษณะเป็นกลุ่มที่ปลายก้านโดยแต่ละกลุ่มจะมี 3 ใบ  ลักษณะของใบถั่วขาวคล้ายกับใบโพธิ์ คือมีฐานใบกว้าง ส่วนปลายแหลม ลักษณะเนื้อบนใบเนียนเรียบเช่นเดียวกับขอบใบ ด้านบนของใบมีสีเขียวเข้มกว่าด้านล่างของใบ มีขนเล็กๆ คล้ายกำมะหยี่อยู่รอบใบ

ดอก ดอกจะออกเป็นช่อในหนึ่งช่อจะมีดอกอยู่ประมาณ 3 ดอกต่อหนึ่งช่อซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของ ถั่วขาว ดอกมีขาวอมม่วง ดอกถั่วขาวเป็นดอกสมบูรณ์เพศเช่นเดียวกับดอกถั่วชนิดอื่นๆ นั่นคือมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน สมารถผสมพันธุ์กันเกิดเป็นผลได้โดยไม่ต้องอาศัยเกสรจากดอกอื่น ดอกจะมีก้านยื่นออกมาจากช่อมีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ก้านของช่อดอกจะยื่นออกมาจากซอกของก้านในที่ติดกันอยู่

ฝัก ผลของต้นถั่วขาวเราเรียกว่าฝักเหมือนถั่วชนิดอื่น มีลักษณะกลมเป็นทรงกระบอกยาวเรียวยาวหรือเรียวโค้ง มีความยาวกประมาณ 7-14 เซนติเมตร มีความกว้างประมาณ 0.4-0.6 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาล ถั่วขาวจะมีการออกดอกและให้ผลผลิตเกือบทั้งปี ฝักมีเมล็ดอยู่ภายใน การเรียงของเมล็ดจะเรียงตามแนวยาวของฝัก จำนวนเมล็ดจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความยาวและความสมบูรณ์ของฝัก ซึ่งเมล็ดเป็นส่วนที่รับประทานได้ เมล็ดมีสีขาวเป็นทรงกลมซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ถั่วขาว เมล็ดมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดถั่วแดงหลวง

คุณสมบัติและประโยชน์ของ ถั่วขาว

ถั่วขาว เป็นถั่วที่มีคุณค่าทางอาหารไม่ต่างจากถั่วชนิดอื่น แต่สาเหตุที่ทำให้ถั่วขาวเป็นที่รู้จักกันมากก็คือการที่ถั่วขาวช่วยลดน้ำหนักได้ การที่ถั่วขาวช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากในถั่วขาวมีฟาซิโอลามิน ( Phaseolamin ) ที่จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์แอลฟา อะไมเลส ( Alpha amylase ) ที่เป็นตัวย่อยสลายแป้งที่ร่างกายได้รับเข้าไปให้มีขนาดเล็กจนกลายเป็นน้ำตาลที่ร่างกายสมารถดูดซึมได้ เมื่อฟาซิโอลามิน ( Phaseolamin ) ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์แอลฟา อะไมเลส ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลหรือเปลี่ยนได้ช้าลง ทำให้ปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายจะดูดซึมเข้าไปก็น้อยลง น้ำหนักเราจึงไม่ขึ้นและลดลงเมื่อได้รับฟาซิโอลามิน ( Phaseolamin ) ซึ่งได้มีการนำสารสกัดจากถั่วขาวไปผสมในอาหารเสริม กาแฟ ชา เช่น กาแฟผสมถัวขาว ถั่วขาวผสมคอลลาเจน เป็นต้น เพื่อลดน้ำหนักเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่เป็นแบบผงไว้สำหรับชงดื่มและแบบอัดเม็ดพร้อมทานได้ทันที

การรับประทาน ถั่วขาว สามารถรับประทานได้ทั้งที่แปรรูปเป็นอาหารเสริมแล้ว และนำมาปรุงอาหารหรือขนมหวานเพื่อรับประทานได้ทันที เช่น น้ำเต้าหู้ ถั่วขาวกะทิสด เป็นต้น หรือจะนำมาทำให้อยู่ในรูปแป้งที่นำไปทำขนมได้อีกด้วย แต่ว่าไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก เพราะว่าถั่วขาวที่อยู่ในท้องตลาดมีราคาแพงและหาซื้อได้ยาก ไม่เหมาะที่จะนำมาปรุงอาหารรับประทานเองหรือทำเพื่อจำหน่าย คนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักควรเลือกทานอาหารที่มีถั่วขาวเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย รับรองว่าคุณจะมีหุ่นสวย เพรียวได้ไม่ยาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Willett, Walter C. (2006-04-13). “Trans Fatty Acids and Cardiovascular Disease”. New England Journal of Medicine.

The Importance of Carbohydrate, Protein, and Fat”. McKinley Health Center. University of Illinois at Urbana-Champaign. Retrieved 20 September 2014.

การออกกำลังกายน้อย ก็เป็นมะเร็งตายได้

0
การออกกำลังกายน้อย ก็เป็นมะเร็งตายได้
การออกกำลังกายน้อยหรือไม่ออกกำลังกายเลย จะทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายน้อย ก็เป็นมะเร็งตายได้
การออกกำลังกายน้อยหรือไม่ออกกำลังกายเลย จะทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

ออกกำลังกายน้อยระวังเป็นมะเร็ง

การออกกำลังกายน้อยเป็นมะเร็งตายได้จริงหรือ? แต่ทำไมออกกำลังกายน้อยถึงเป็น มะเร็ง ( Cancer ) ได้อีกล่ะ? ออกกำลังกายจะมากจะน้อยก็น่าจะป้องกันมะเร็งได้เหมือกัน ขอบอกก่อนนะคะ ว่าโดยส่วนตัวแล้วดิฉันเป็นคนที่ขี้เกียจออกกำลังกายมากเลย แหม! แค่ทำงานในสวนก็เหนื่อยเหลือเกินแล้ว ก็เหมือนกับการออกกำลังกายแล้วไม่ใช่เหรอ จะให้ไปออกกำลังกายอีกทำไม คงไม่ใช่แค่ดิฉันที่ขี้เกียจออกกำลังกายหรอก เชื่อว่าหลายคนก็คงเป็นเหมือนดิฉันใช่มั้ยคะ ถ้าเราเอาแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ยอมออกกำลังกายเลยหรือออกกำลังกายน้อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ รับรองว่าเราเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็น ดิฉันไม่ได้ยกเมฆเอาเองนะคะ เพราะมีผลการวิจัยออกมาจากหลายสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ยืนยันว่าการออกกำลังช่วยลดการเป็นมะเร็งได้ โดยมีการทดลองในหนูทดลองได้มีการแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน กินอาหารที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งแบบไม่จำกัด และหนูทดลองกลุ่มที่สองไม่ได้ให้ออกกำลังกายเลย กินอาหารเหมือนหนูทดลองกลุ่มแรกทุกอย่าง ปรากฏว่าหนูทดลองกลุ่มแรกเป็นมะเร็งแค่ 18 % ต่างจากหนูทดลองกลุ่มที่ 2 ที่พบว่าเป็นมะเร็งถึง 88 % เลยทีเดียว

และยังมีการวิจัยอีกอย่างที่ทำการศึกษาและบันทึกข้อมูลของผู้ร่วมการทดลองเป็นเวลา 15 ปี พบว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน มีอัตราการเป็น มะเร็ง ( Cancer ) น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลยหรือออกกำลังกายน้อยกว่า 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จากผลการวิจัยทั้งสองจึงสรุปได้ว่า

โดยการออกกำลังที่ป้องกัน มะเร็ง ( Cancer ) ได้ดีที่สุดคือการ ออกกำลังกาย แบบกลางและแบบหนัก โดยวัดจากาการเต้นของหัวใจเป็นเกณฑ์ หลายคนคงสงสัยว่าการออกกำลังแบบกลางและแบบหนักมันเป็นยังไง มาค่ะ มาดูกันว่าการออกกำลังแบ่งยังไงได้บ้าง

การออกกำลังกายน้อยหรือไม่ออกกำลังกายเลย จะทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ( Cancer ) ได้มากกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกาย

การออกกำลังการ แบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ

1.แอนาแอโรบิค ( Anaerobic ) หรือเวทเทรนนิ่ง ( Weight training )

เป็นการ ออกกำลังกาย แบบมีแรงต้าน ( Resistance Exercise ) เป็นการออกกำลังกายแบบที่ไม่ใช้ออกซิเจนเข้ามามีส่วนช่วยในการเผาผลาญพลังงาน การออกกำลังกายแบบนี้จะมีลักษณะการใช้พลังงานในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่บริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ยกน้ำหนัก ( Weight Training ) การยกดัมเบล เป็นต้น การออกกำลังกายแบบนี้จะเน้นไปที่ส่วนของกล้ามเนื้อมัดขาวเป็นส่วนมาก กล้ามเนื้อมัดขาวจะใช้พลังงานสูงมากในการเคลื่อนไหวแต่ว่าระยะเวลาในการใช้พลังงานจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และจะทำการดึงพลังงานจากไกลโคเจนที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อและพลังงานในตับมาใช้ ไม่ใช่การเปลี่ยนไขมันที่อยู่ในร่างกายมาเป็นพลังงานในการออกกำลังกาย ซึ่งจะเป็นการเน้นความทนทานของกล้ามเนื้อและยังสามารถรักษามวลกล้ามเนื้อในร่างกายให้คงอยู่ทำให้ร่างกายมีรูปร่างและสัดส่วนที่สวยงาม พร้อมทั้งยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานแบบขั้นต่ำให้เกิดขึ้นกับร่างกายได้เป็นอย่างดี

2. แอโรบิค ( Aerobic ) หรือคาร์ดิโอ ( Cardio )

เป็นการ ออกกำลังกาย แบบที่มีการใช้ออกซิเจนเข้ามามีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันที่อยู่ในร่างกายให้เปลี่ยนมาเป็นพลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายแบบนี้ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีจึงจะสามารถดึงไขมันออกมาเผาพลาญได้ เช่น ว่ายน้ำ การวิ่ง การปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค เป็นต้น การออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจนจะเน้นไปที่ส่วนของกล้ามเนื้อมัดแดง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและอัตราการหายใจของร่างกาย จึงมีส่วนช่วยในการเพิ่มความแข็งแรงของระบบไหลเวียนเลือก การเต้นของหัวใจ การขยายตัวและหดตัวของปอดมีการทำงานที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกายแบบนี้จะเป็นไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถช่วยลดมวลไขมันส่วนเกินได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

เพิ่งรู้นะเนี่ย…ว่าการ ออกกำลังกาย แบ่งแบบนี้ รู้แบบนี้ดิฉันจะได้เลือกออกกำลังกายได้อย่างถูกต้อง ชีวิตนี้จะได้ห่างไกล มะเร็ง ( Cancer ) มากๆ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะออกกำลังกายเหมือนกันได้หมดนะคะ เราต้องเลือกแบบที่เหมาะสมกับอายุของเราด้วย ไม่ใช่ว่าอายุ 60 ปีจะมาวิ่งเร็วจัดเหมือนคนอายุ 30 ปีก็คงไม่ดีแน่ค่ะ เพราะแทนที่จะไม่เป็นมะเร็งเดี๋ยวอาจจะเสียชีวิตเพราะหัวใจวายเอาเสียก่อน ดังนั้นคนที่อายุ 60 ปีแต่เดินหรือเดินเร็วก็พอแล้วเพราะการเดินหรือเดินเร็ว  สำหรับคนอายุ 60 นับเป็นการออกกำลังแบบหนักแล้ว แต่ไม่ว่าจะออกกำลังแบบไหนจะเบา กลางหรือหนัก เราควรออกอย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไปถึงจะช่วยป้องกันมะเร็ง ( Cancer ) ได้ ไม่ใช่ออกกำลังกายแค่ 1-2 วันต่อสัปดาห์ ถึงจะออกกำลังแบบหนักก็ถือเป็นการออกกำลังน้อยอยู่ดี แบบนี้ป้องกัน มะเร็ง ( Cancer ) ได้ไม่มากหรอกค่ะ เดี่ยวนี้ดิฉันออกกำลังกายทุกวันเลยค่ะ วันละชั่วโมงเป็นอย่างต่ำทุกวัน จนกลายเป็นเสพติดการออกกำลังกายไปแล้ว วันไหนไม่ได้ไปออกกำลังกายจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ถ้าได้ไป ออกกำลังกาย ไม่ว่าจะไปเต้นแอโรบิค ไปปั่นจักรยานตอนเช้า ไปวิ่งรอบสนามหรือเล่นเครื่องเล่นสำหรับออกกำลังกายที่ทาง อบต.จัดไว้ให้พอได้เหงื่อก็ชื่นใจแล้วค่ะ ตอนนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี หน้าตาแจ่มใส่ หุ่นสวยจนสาวอายุ 20 ยังต้องอิจฉาเลยค่ะ แล้วคุณล่ะ!! วันนี้คุณออกกำลังกายกันแล้วหรือยัง? เวลาแค่ 30 นาทีต่อวัน 4 วันต่อสัปดาห์ไม่นานเกินไปสำหรับการดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคร้ายอย่างมะเร็ง ดีกว่าใช้เวลาที่เหลือในการรักษามะเร็ง เชื่อดิฉันสิคะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูบบุหรี่ และยาสูบ 22% ตายด้วยมะเร็ง

0
สูบบุหรี่ และยาสูบ 22% ตายด้วยมะเร็ง
บุหรี่เป็นสารเสพติดที่กระตุ้นประสาทที่ไม่พิษกฎหมาย แต่มีผิดร้ายแรงเพราะในควันมีสารผิดอยู่มากมาย
สูบบุหรี่ และยาสูบ 22% ตายด้วยมะเร็ง
บุหรี่เป็นสารเสพติดที่กระตุ้นประสาทที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่มีพิษร้ายแรงเพราะในควันมีสารผิดอยู่มากมาย

สูบบุหรี่เพียงมวนตายด้วยมะเร็ง

คุณเชื่อไหมว่าคนไทยตายด้วย บุหรี่ ปีละครึ่งแสน!! ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อค่ะ เพราะจากสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าคนไทยตายด้วยโรคที่เกิดจากบุหรี่ปีละ 50,000 กว่าคน ทั้งถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ โรคความดัน และ มะเร็ง อย่าว่าแต่เมืองไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาเลยค่ะ ประเทศที่ได้ชื่อว่าพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังมีคนที่ตายจากบุหรี่ปีละนับแสนคนเลยทีเดียว ซึ่งร้อยละ 22 ตายด้วยโรคมะเร็งปอด ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของการตายที่เกิดจากบุหรี่ที่เดียวนะคะ

แล้วทำไมคนถึงชอบ สูบบุหรี่ กันนักก็ไม่รู้นะคะ ทั้งวัยรุ่น ทั้งคนแก่ อย่าว่าแต่คนอื่นเลยค่ะ คุณพ่อของดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สูบตั้งแต่หนุ่มยันแก่ยังไม่ยอมเลิกสูบเลยค่ะ พ่อดิฉันเป็นคนหนึ่งที่สูบบุหรี่จัด หนักสุดนี่สูบวันละ 2 ซองเลยทีเดียว ตอนเราเด็กๆ พอคุณครูจะบอกว่าสูบบุหรี่ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เราก็มาบอกพ่อว่าการสูบบุหรี่ไม่ดีนะ พ่อควรเลิกสูบได้แล้ว แทนที่พ่อจะเชื่อและเลิกสูบ กลับมาว่าดุดิฉันเสียอีกว่าเรื่องของท่าน พอโตขึ้นดิฉันก็ยังเตือนท่านอีกหลายครั้งแต่ผลก็เหมือนเดิม พ่อไม่เลิกสูบบุหรี่ พอดิฉันเรียนจบมหาลัย พ่ออายุประมาณ 55 ปี แกป่วยเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่เป็นเดือน หมอตรวจแล้วแต่ก็ยังระบุโรคไม่ชัดเจน แต่ก็บอกว่ามีความน่าจะเป็นถุงลมโป่งพองกับมะเร็งปอด เชื่อว่าน่าจะมีต้นเหตุมาจากบุหรี่เป็นหลัก เชื่อมั้ยคะว่า พอพ่อออกจากโรงพยาบาล พ่อเลิกบุหรี่ได้ทันทีเลยค่ะ อย่างนี้ต้องเรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่นอนโรงพยาบาลไม่เลิกบุหรี่ อย่าหาว่าดิฉันเป็นคนอกตัญญูเลยนะคะ ที่ว่าพ่อตัวเองแบบนี้แต่มันก็เป็นความจริงนี่น่า เค้ารณรงค์กันแทบเป็นแทบตาย ข้างซองก็มีรูปน่าเกลียดน่ากลัว เพื่อจะให้เลิกบุหรี่ก็ยังไม่ยอมเลิกสูบ และคงมีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนพ่อของดิฉันที่ไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่ คิดว่าสูบมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ร่างกายก็แข็งแรงดีไม่ป่วยไม่ไข้ แต่คุณอย่าลืมสิคะ ว่าตอนนี้คุณยังหนุ่มแน่นร่างกายยังแข็งแรงอยู่คุณก็ยังไม่ป่วยสิ แต่ถ้าคุณแก่ตัวร่างกายอ่อนแอลง เมื่อนั้นรับรองว่าเชื้อร้ายจากบุหรี่มันจัดการคุณแน่

ชนิดของมะเร็งปอด

มะเร็งปอดเกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดเป็นกลุ่มก้อนของเซลล์ที่ผิดปกติ ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อมีขนาดใหญ่ มีจำนวนมาก และแพร่ไปตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
มะเร็งปอดจะทำลายชีวิตของผู้ป่วยได้รวดเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับชนิดของ มะเร็ง
มะเร็งปอดแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามขนาดของเซลล์ ซึ่งความแตกต่างของขนาดเซลล์นี้มีความสำคัญ เนื่องจากวิธีการรักษาจะแตกต่างกัน

  • มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก ( small cell lung cancer ) พบได้ประมาณ 10-15% เซลล์จะเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่ามะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว การรักษาจะไม่ใช้วิธีการผ่าตัด ส่วนมากจะรักษาด้วยการใช้ยาหรือฉายรังสี
  • มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ( non-small cell lung cancer ) พบได้บ่อยกว่ามะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (พบได้ประมาณ 85-90%) แต่จะแพร่กระจายได้ช้ากว่า และสามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัดหากพบตั้งแต่เนิ่นๆ

” บุหรี่เพียงหนึ่งมวน ทำให้คุณอายุสั้นลง 7 นาที “

สารอันตรายที่ประกอบในมวนบุหรี่

คุณรู้ไหมทำไมสูบบุหรี่ถึงทำให้เกิด มะเร็ง ได้? บุหรี่ เป็นแค่ใบไม้ที่มาจากธรรมชาติ นำมาหั่นแล้วม้วนๆ เป็นมวนให้สูบกัน ทำไมถึงทำให้เกิดมะเร็งได้ล่ะ ที่เป็นยังงั้นก็เพราะว่าในใบยาสูบมีสารที่ชื่อว่าทาร์หรือน้ำมันดินอยู่ เมื่อใบยาสูบโดนความร้อนสารนี้จะหลั่งออกมา นอกจากทาร์ที่เป็นสารทำให้เกิดมะเร็งแล้ว การผลิตบุหรี่ยังมีการเพิ่มสารเคมีเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ เพิ่มลูกเล่นให้คนสูบติดใจ สารเคมีที่มีอยู่ในบุหรี่ เช่น อะซิโตน สารหนู คลอโรฟอร์ม ไซยาไนด์ ปรอท นิโคติน ดีดีที โพแทสเซียมไนเตรต มีเทน คาเฟอีน เชื่อมั้ยว่า!! ในบุหรี่มีสารพิษถึง 4,000 กว่าชนิดและมีสารที่ก่อมะเร็งอยู่ 60 กว่าชนิดเชียวละ ฟังแล้วน่ากลัวชะมัด ม้วนเล็กนิดเดียวแต่อัดแน่นไปด้วยสารอันตรายทั้งนั้น สารที่ว่านี้เราสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

1.กลุ่มนิโคติน จัดเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณน้อยจะกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวมีแรงในการทำงาน แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินไปจะเข้าไปกดประสาทส่วนกลางทำให้การรับรู้ช้า และเมื่อถูกดูดซึมเข้าไปยังไตจะทำให้หลังสารอิพิเนฟริน ( Epinephrine ) ที่เป็นสาเหตุของความดันสูง หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ สารนิโคตินเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนติด บุหรี่  เพราะเมื่อร่างกายขาดไปจะรู้สึกหงุดหงิด ง่วงนอน ทำงานไม่ได้ แต่เมื่อได้รับเข้าไปร่างกายจะสดใสขึ้นมาทันตา ทำให้คนต้องการสูบบุหรี่อยู่เรื่อยๆ

2.กลุ่มทาร์หรือน้ำมันดิน มีลักษณะเป็นของเหลวน้ำตาลเข้มดำ ทาร์จะระเหยออกมาเวลาที่ใบยาสูบโดนความร้อน ที่เราเห็นเป็นคราบสีดำๆ เกาะติดอยู่ตามปาก ตามฟันของคนที่สูบบุหรี่นั่นเอง ทาร์นี้จะประกอบด้วยสารหลายชนิดซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นสารก่อเกิด มะเร็ง โดยสารทาร์นี้จะเข้าไปจับตัวที่ปอดได้เป็นอย่างดี และค่อยๆ ทำลายเซลล์ปอดที่ละน้อยจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

3.กลุ่มก๊าซคาร์บอนมอนอ็อกไซด์ เป็นสารที่สกัดกั้นไม่ให้ออกซิเจนจับตัวกับเม็ดเลือดแดง เมื่อร่างกายได้รับมากจะทำให้เกิดการขาดออกซิเจน วิงเวียนศรีษะ หน้ามืด มึนงง เหนื่อยง่าย เมื่อร่างกายขาดออกซิเจน เซลล์จะอ่อนแอและถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระเกิดการกลายพันธุ์กลายเป็นเซลล์ มะเร็ง โดยเฉพาะตามอวัยวะของระบบหายใจที่ควันบุหรี่ผ่าน เช่น ปอด หลอดลม กระเพาะอาหาร คอหอย กล่องเสียง ช่องปาก เป็นต้น

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสารก่อมะเร็งที่มีในบุหรี่ นอกจากสารพวกนี้ยังมี ไซยาไนต์ที่ทำลายเบื่อบุผิวหลอดลม แอมโมเนียที่ทำลายหลอดลมและเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งด้วยเช่นกัน

บุหรี่อันตรายถึงขนาดนี้ หันมาสูบยาเส้นดีกว่า ยาเส้นไม่มีสารปรุงแต่งที่เป็นอันตรายนี่น่า แหม! เข้าใจคิดเข้าข้างตัวเองกันนะคะ จะสูบบุหรี่หรือยาเส้นก็อันตรายเหมือนกันค่ะ รู้ไหมค่ะ??? ว่ายาเส้นนี่อันตรายกว่าบุหรี่ถึง 20 เท่าเชียวนะ ทำไมนะหรือ? ก็ยาเส้นก็คือใบยาสูบชนิดเดียวกับที่ใช้ในบุหรี่และยังมีสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงอีกเพียบ รู้ไหมว่าการปลูกต้นยาสูบจะทำการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงมากกว่าการปลูกพืชผักทั่วไปถึง 3 เท่า เพื่อที่ใบยาสูบที่ได้จะสวยไม่มีตำหนิและได้ผลผลิตในปริมาณที่มาก ซึ่งสารเคมีที่ใช้กำจัดแมลงนั้นจะสะสมอยู่ในร่างกายคนได้นานมาก แบบว่าตายผ่อนส่งแบบที่เค้าว่ากันจริงๆ การสูบยาเส้นเราจะได้รับสารโดยตรงไม่มีตัวกรองเหมือนการสูบบุหรี่ที่มีก้นกรองช่วยกรองสารพิษ ถึงแม้จะช่วยกรองได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีตัวช่วยว่ามั้ยค่ะ ทำให้การสูบยาเส้นเราจะได้รับสารพิษมากกว่าการสูบบุหรี่ถึง 20 เท่า ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่าการสูบบุหรี่ไงคะ

คุณคิดว่าสูบมากขนาดไหนถึงจัดว่าเป็นอันตราย? การสูบบุหรี่ไม่ว่าสูบมากหรือสูบน้อยก็อันตรายทั้งสิ้น แต่ระยะเวลาที่จะแสดงผลร้ายต่อร่างกายออกมานั้นก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายด้วย คนที่มีร่างกายแข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำแต่สูบบุหรี่ อาจจะไช้เวลานานหน่อยกว่าเซลล์จะถูกทำลายกลายเป็นเซลล์มะเร็ง แต่สำหรับคนที่มีร่างกายอ่อนแอ กินอาหารที่มีไม่มีประโยชน์ วันๆ เอาแต่กินนอน แบบนี้เซลล์จะถูกทำลายได้ง่าย ก็จะเกิดเชื้อมะเร็งได้เร็วขึ้น

แบบนี้ฉันไม่ สูบบุหรี่ ก็ไม่ต้องเสี่ยงเป็นมะเร็งสิ อย่าเพิ่งชะล่าใจไปนะคะ คนที่ไม่สูบบุหรี่ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นมะเร็งที่มีต้นเหตุจากบุหรี่นะคะ เพราะถึงคุณไม่สูบแต่ถ้าคุณได้รับควันบุหรี่จากคนข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนสูบบุหรี่พ่นควันบุหรี่ออกมา และคุณสูดควันเหล่านั้นเข้าไป การทำแบบนี้ก็เหมือนกับคุณสูบบุหรี่ด้วยเหมือนกัน หรือที่เราเรียกกันว่า ผู้สูบบุหรี่มือสอง ( Secondhand Smoker ) คุณก็เสี่ยงเป็น มะเร็งและเสียชีวิตพอๆ กับคนที่สูบบุหรี่โดยตรงเลยทีเดียว ทางที่ดีถ้าเราเห็นคนสูบบุหรี่เราไม่ควรเข้าไปอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ไปในสถานที่อับอากาศที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้เป็นอันขาด และถ้าคนในครอบครัวยังสูบบุหรี่อยู่ก็ควรให้เลิกสูบบุหรี่จะดีที่สุด เพราะว่านอกจากจะช่วยรักษาสุขภาพให้แข็งแรง มีชีวิตอยู่กับเราไปได้อีกนาน ยังช่วยครอบครัวประหยัดเงินในการซื้อบุหรี่มาสูบอีกด้วย เดี๋ยวนี้บุหรี่หนึ่งซองราคาเกือบ 200 บาทแล้ว เหมือนพ่อของดิฉันไงค่ะ พอเลิกบุหรี่แล้ว ตอนนี้แข็งแรงกว่าเมื่อก่อนแม้จะอายุเลยเลข 6 มาแล้ว ยังดูเหมือนหนุ่มวัย 50 ต้นๆ อยู่เลยค่ะ จะหาว่าอวยพ่อก็ไม่ผิด แหม! ก็พ่อดิฉันหล่อจริงนะคะ วันนี้คุณเลิกสูบบุหรี่เพื่อตัวคุณเองและคนที่รักคุณแล้วหรือยัง? ถ้ายังคุณควรเริ่มได้แล้วก่อนที่จะสายเกินไป เราเตือนคุณแล้วนะ!

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ในคนเรามีมะเร็งมากกว่า 100 ชนิด

0
มากกว่า 100 ชนิดมะเร็ง ในคนเรา
มะเร็งมีมากมายหลายร้อยชนิดโดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่5กลุ่ม คือมะเร็งเลือดและไขกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งผิวหนัง
มากกว่า 100 ชนิดมะเร็ง ในคนเรา
มะเร็งมีมากมายหลายร้อยชนิดโดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่5กลุ่ม คือมะเร็งเลือดและไขกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งผิวหนัง

ชนิดของมะเร็ง

คุณคิดว่า มะเร็ง มีกี่ชนิด? 10 ชนิด… 20 ชนิด…30 ชนิด…ตอบเหมือนกันไหม ตอนแรกดิฉันก็ตอบเท่านี้แหละค่ะ ถ้าคุณตอบแบบนี้ดิฉันขอบอกว่าผิดค่ะ ผิดไปไกลโขทีเดียว เพราะว่ามะเร็งมีทั้งหมดร้อยกว่าชนิดเลยค่ะ อะ! อะ! ฟังแล้วไม่ต้องตกใจนะคะ มันเป็นความจริง จริงนะ นี่เป็นแค่มะเร็งในคนเท่านั้นยังไม่นับรวมมะเร็งในสัตว์

มะเร็ง…เจ้าเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นในร่างกายเรานี้มันร้ายสมชื่อ ทำลายล้างทุกอย่างที่เจอ แถมยังแพร่กระจายเชื้อสายได้อีกนับสิบนับร้อยสร้างความเสียหายให้กับร่างกายคนเรา วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับมะเร็งกันดีกว่าค่ะ ว่ามะเร็งนับร้อยชนิดนี่ มีอะไรบ้าง?

กลุ่มมะเร็งตามลักษณะต้นกำเนิดหรือแหล่งที่อยู่จนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง

มะเร็ง ทั้ง 100 กว่าชนิดที่มีอยู่นั้น เราสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน ตามลักษณะต้นกำเนิดหรือแหล่งที่อยู่ของเซลล์ที่เกิดการกลายพันธุ์จนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง คือ

” คนเราเป็นมะเร็งชนิดไหนกันมากที่สุด “

1. มะเร็งคาร์ซิโนมา ( Carcinoma ) เป็น มะเร็ง ที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผิว ( Epithelium ) ที่มีการเพิ่มจำนวนมากผิดปกติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง เซลล์เยื่อบุผิว คือ เซลล์ที่อยู่ภายนอกสุดของอวัยวะทั้งอวัยวะภายในและอวัยภายนอกของร่างกาย เช่น ผิวหนัง หนังศรีษะ จัดเป็นเซลล์เยื่อบุผิวภายนอก ส่วนเยื่อบุผิวภายในก็คือ เซลล์ด้านนอกสุดที่ปกคลุมอวัยวะ เช่น เซลล์รังไข่ เยื่อบุหลอดเลือด เยื่อบุผิวในช่องปากและอวัยวะในระบบทางเดินอาหารด้วย คนที่จะป่วยเป็นมะเร็งแบบนี้มักจะเป็นคนที่มีอายุตั้งแต่ 30-45 ปีขึ้นไป ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเซลล์เยื่อบุนี้จะเป็นด่านแรกที่โดนทำลายกลายเป็นเซลล์มะเร็งนั่นเอง มะเร็งชนิดนี้ที่เรารู้จักกันดี คือ มะเร็งปอด มะเร็งเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งกะเพาะปัสสาวะ มะเร็งกะเพาะอาหาร มะเร็งเกี่ยวกับระบบศรีษะ มะเร็งเกี่ยวกับระบบลำคอ มะเร็งเกี่ยวกับระบบหู คอ จมูก มะเร็งตับ มะเร็งผิวหนัง ชื่อมะเร็งที่พูดมานี่รับรองว่าคงคุ้นหูทุกคนกันแน่นอน ก็มะเร็งชนิดนี้เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในคนเรานี่ค่ะ พบมากถึงร้อยละ 90 ทีเดียวและเป็น มะเร็ง ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตกันมากที่สุด

2. มะเร็งซาร์โคมา ( Sarcoma ) คือ มะเร็ง ที่เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่ออ่อน ( Soft Tissue ) เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective tissue ) หรือเซลล์เนื้อเยื่อเสริม ( Supportive Tissue ) มีการแบ่งตัวที่ผิดปกติ เนื้อเยื่อชนิดนี้จะมีหน้าที่ช่วยรักษารูปร่าง ป้องกัน ช่วยเหลือการทำงานของเนื้อเยื่อและช่วยยึดโครงร่างต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น เอ็นกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ เอ็นกระดูก ไขกระดูก กระดูกอ่อน หลอดเลือด เส้นประสาทและพังผืด เป็นต้น มะเร็งชนิดนี้พบได้ในเด็ก มะเร็งในเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดถึงคนแก่แต่ว่าจะพบมากในเด็ก ที่พบมากในเด็กก็เพราะว่าเด็กต้องสร้างเนื้อเยื่ออ่อนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเพื่อให้ร่างกายโตขึ้นตามวัย แต่คนโตจะมีการสร้างเซลล์เพียงแค่ชดเชยเซลล์ที่ตายไปเท่านั้นทำให้พบมะเร็งชนิดนี้น้อยกว่าในเด็ก เช่น มะเร็งไขกระดูก มะเร็งหลอดเลือด มะเร็งกระดูกอ่อน มะเร็งพังผืด เป็นต้น

3. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ( Lymphoma ) คือ มะเร็ง ที่เกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในต่อมน้ำหลืองหรือเนื้อเยื่อของน้ำเหลือง มีการเพิ่มจำนวนอย่างไร้ขีดจำจัด เพิ่มจำนวนไม่หยุดแม้ร่างกายจะสั่งหยุดแล้วก็ตาม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนี่แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ 

  • ชนิดฮอดจ์กิน ( Hodgkin Lymphoma ) คือมะเร็งเลือดและมะเร็งไขกระดูก มะเร็งชนิดนี้จะพบเซลล์มะเร็งที่เลือดและไขกระดูกมีขนาดใหญ่มาเรียกว่า Reed-Sternberg ซึ่งเราจะไม่พบก้อน Reed-Sternberg ในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่น
  • ชนิดนอนฮอดจ์กิน ( Non-Hodgkin Lymphoma ) คือ มะเร็ง ต่อมน้ำเหลืองที่เกิดความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte เกิดการแบ่งตัวไม่หยุดจนกลายเป็นก้อนมะเร็ง

4. มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemias ) หรือลูคีเมีย คือมะเร็งที่เกิดจากไขกระดูกทำการผลิตตัวอ่อนเม็ดเลือดขาวออกมามากผิดปกติ ตัวอ่อนเม็ดเลือดขาวนี้ไม่มีประโยชน์แถมยังขัดขวางการสร้างเม็ดเลือดขาวแบบปกติ เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานน้อยลง เกิดการติดเชื้อได้ง่าย และเม็ดเลือดแดงกับเกล็ดเลือดมีจำนวนน้อยลง ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ขาดออกซิเจนหายใจลำบากเพราะไม่มีเม็ดเลือดแดงกับเกล็ดเลือดพาสารอาหารและออกซิเจนไปส่งยังอวัยวะต่างๆ
5. มะเร็งผิวหนัง ( Melanoma ) คือเป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิว ( Melanocyte ) เช่น การเกิดไฝ ( Mole ) เป็นการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติของเม็ดสี แต่ยังไม่อันตรายจึงไม่จัดเป็นมะเร็ง แต่ถ้าไฝยังมีการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วทำให้มีลักษะรูปร่างแปลกมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น และแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นได้ เช่น ต่อมน้ำเหลืองไฝก็จะกลายเป็น มะเร็ง

โอ้โห้!! มะเร็ง นี่เกิดได้กับอวัยวะทุกส่วนของเราเลยนะ แบบนี้จะมีเป็นร้อยชนิดก็ไม่แปลกใจเลย  น่ากลัวที่สุดเลยเจ้ามะเร็งร้ายจอมทำลายล้าง แบบนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดีแล้ว เจ้ามะเร็งตัวร้ายจะได้ไม่ย่างกลายเข้ามาทำอันตรายกับร่างกายของเรา อย่าลืมกินผักผลไม้ให้มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ แค่นี้ก็ห่างไกลเจ้ามะเร็งร้ายไปหลายก้าวกันแล้วค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สัญญาณและอาการเป็นมะเร็ง ระวังเอาไว้ !

0
สัญญาณและอาการเป็นมะเร็ง ระวังเอาไว้
ร่างกายสามารถส่งสัญญาณเตือนเราให้เรารับรู้ได้ทันทีที่มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นข้างใน โดยการแสดงสัญญาณต่างๆของโรคนั้นๆออกมาให้พบ
สัญญาณและอาการเป็นมะเร็ง ระวังเอาไว้
ร่างกายสามารถส่งสัญญาณเตือนเราให้เรารับรู้ได้ทันทีที่มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นข้างใน โดยการแสดงสัญญาณต่างๆออกมาให้พบ เช่นท้องอืด ไอเรื้อรัง

สัญญาณเตือนของมะเร็ง

คุณคิดว่า มะเร็ง มี สัญญาณเตือน หรือเปล่า? แล้วสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่าคุณอาจจะเป็นมะเร็ง? คุณอยากรู้เหมือนดิฉันไหม? ทุกคนคงไม่อยากรู้แน่นอนว่าตัวเองมีสัญญาณเตือนของมะเร็ง รู้ไหม!! ว่าร่างกายของคนเรานี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเห็นเลยค่ะ เพราะไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย ร่างกายสามารถส่งสัญญาณเตือนเราให้เรารับรู้ได้ทันทีที่มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นข้างใน บอกได้ว่าตอนนี้คุณมีเชื้อโรคหรือเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นแล้วนะ รีบไปตรวจดูเดี๋ยวนี้เลย จะได้รักษาได้ทันท่วงที รักษาเสียก่อนที่เชื้อมะเร็งจะลุกลามไปมากกว่านี้ อะ..อะ..อยากรู้แล้วสิว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่จะบ่งบอกว่าเราอาจมีเชื้อมะเร็งมาแอบอยู่ในร่างกายของเราแล้ว มาค่ะ มาดูกันสิว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่เราต้องระวัง

1.ไอเรื้อรัง อาการไอที่ว่านี้ไม่ใช่อาการไอจากเป็นหวัดที่เมื่ออาการหวัดหายอาการไอก็หายไปด้วย แต่เป็นอาการไอนี้จะยังคงอยู่แม้อาการหวัดจะหายไปแล้ว กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ไอแบบแห้ง เจ็บหน้าอกเวลาไอ มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจไม่ทันเวลาไอ อาการเจ็บคอและมีเสมหะปนเลือดออกมาด้วย ซึ่งอาการไอที่ว่านี้จะไอเป็นเวลานานนับเดือนหรือหลายเดือนต่อเนื่อง รักษายังไงก็ไม่หายไอเสียที ถ้ามีอาการ สัญญาณเตือน อย่างนี้ไม่น่าไว้ใจแล้วนะคะ เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปอดหรือ มะเร็ง ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจได้

2.ท้องอืด ท้องเสีย กินอะไรนิดหน่อยก็จุกเสียดแน่นท้องเหมือนอาหารไม่ย่อย หรืออยู่ดีๆ ก็ปวดท้องอย่างรุนแรงแบบกระทันหัน อุจจาระมีเลือดปนออกมาเป็นประจำหรือท้องเสียบ่อยๆ หรือท้องเสียสลับกับท้องผูกอยู่บ่อยๆ ในบางคนก็มีอาการท้องผูกอย่างรุนแรง แบบที่ทั้งอาทิตย์ไม่ถ่ายเลย กินยาถ่ายก็ถ่ายออกมานิดเดียวเอง ท้องบวมอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีอาการแบบนี้แสดงว่าคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้แล้วนะคะ ควรต้องไปพบหมอเพื่อตรวจว่ามีสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับระบบขับถ่ายและลำไส้หรือไม่ แถวบ้านดิฉันมีคุณลุงท่านหนึ่ง ท้องนี่บวมโตเหมือนคนท้องสัก 4-5 เดือน ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าอ้วนลงพุงเหมือนคนสูงอายุทั่วไป แต่มีอาการถ่ายไม่ออกท้องผูก ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแค่ท้องผูกธรรมดา กินมะละกอสุกวันละลูกก็แล้ว กินยาถ่ายช่วงแรกก็ถ่ายดี แต่พอครั้งสองครั้งสามก็ไม่ถ่ายเหมือนเดิม ลุงบอกว่าเวลาที่จะถ่ายจะปวดท้องมาก กินยาก็ไม่หาย ถ่ายก็ไม่ถ่ายออกหรือถ่ายออกมานิดเดียวเอง ทรมานมากเลย พอไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ต้องตัดลำไส้บางส่วนออกทิ้งไป นี่แค่ถ่ายไม่ออกนะ เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้สึกว่าปวดท้องมากจนผิดสังเกตต้องไปหาหมอตรวจเพื่อความแน่ใจนะคะ

“อย่ามองข้ามสัญญาณเตือนต่างๆ ที่ร่างกายกำลังจะบอกอะไรกับคุณ”

3.น้ำหนักลดลง สาวๆหลายคนคงคิดว่าอยู่ดีๆ น้ำหนักลดลงหุ่นผอมเพรียวก็ดีสิ แต่ถ้าลดลงทั้งๆ ทีไม่ได้ควบคุมอาหาร ไม่ได้ออกกำลังกาย แถมน้ำหนักที่ลดก็มากจนน่าตกใจโดยลดลงมากกว่า 5 กิโลกรัมภายใน 1-2 สัปดาห์ แบบนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงมากทั้งในผู้หญิงหรือผู้ชาย และถ้าน้ำหนักยังลดลงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะกินอาหารมากขึ้น อย่าละเลยคิดว่าน้ำหนักลดแบบนี้ก็ดีแล้วจะได้ไม่อ้วนเกินเกณฑ์จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็ง แบบนี้ดิฉันขอบอกเลยคิดผิดค่ะ ถ้ามีอาการแบบนี้ดิฉันว่าควรรีบตรวจเพื่อหาต้นตอที่ทำให้น้ำหนักลดลงได้เลย เพราะอาการอย่างนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร มะเร็งปอดได้นะคะ อย่านิ่งนอนใจ

4.ปวดมดลูกหรือท้องน้อย นี่เป็นอาการปวดที่ผู้หญิงต้องสนใจเป็นพิเศษ เพราะว่าท้องน้อยหรือมดลูกเป็นอวัยวะที่บอบบางมากสำหรับผู้หญิงเรา เมื่อมีอาการปวดท้องน้อยเป็นประจำหรือปวดประจำเดือนมากผิดปกติ และประจำเดือนมามากผิดปกติคือประจำเดือนมามากกว่า 3-5 วัน ซึ่งบางคนมีประจำเดือน 20 วันต่อเดือนทีเดียว แบบนี้ถือว่าผิดปกติให้ไปตรวจว่าเป็นเพราะอะไร บางครั้งอาจจะไม่ใช่มะเร็งแต่ก็มีอัตราเสี่ยงที่จะเกิด มะเร็ง เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงได้ ทั้ง มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งปากมดลูก จึงต้องทำการตรวจให้แน่ใจก่อน 

ยังอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงก็คือเต้านม เราต้องทำการตรวจด้วยตัวเองเป็นประจำ ว่าในเต้านมของเรามีก้อนเนื้อหรือไตแข็งๆ เกิดขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามีให้รีบไปพบหมอเพื่อตรวจว่าเป็นก้อนเนื้อธรรมดาหรือเนื้อร้าย มะเร็งเต้านม กันแน่ จะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที

นี่เป็น สัญญาณเตือน หรืออาการที่เราควรระวังเอาไว้ ถ้ามีอาการเหล่านี้แสดงมาให้เห็น ดิฉันขอเตือนให้รีบไปพบหมอกันอย่างด่วน อย่านิ่งนอนใจเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะคะ ดิฉันเองเวลาที่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติมากๆ ต้องรีบไปหาหมอตรวจเลยค่ะ เพราะว่าคนรอบตัวเป็นกันหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นกระต่ายตื่นตูมที่เป็นนิดเป็นนิดเป็นหน่อยก็ต้องไปหาหมอนะ ดิฉันจะสังเกตอาการอย่างน้อย 3-5 วันก่อน ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นค่อยไปหาหมอที่อนามัยแถวบ้านก่อนเป็นอันดับแรก คุณล่ะมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า คุณไปหาหมอตรวจแล้วหรือยัง ถ้ายังระวังตัวเอาไว้นะ คุณอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่มีกำลังจะเป็น มะเร็ง ก็ได้

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เป็นมะเร็งก่อนจึงเริ่มรักษามะเร็ง ?

0
เป็นมะเร็งก่อนจึงเริ่มรักษามะเร็ง
การดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากมะเร็งคือการดูแลสุขภาพร่างกายและอาหารการกิน เช่นการกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกผัก อาหารรสจืด
เป็นมะเร็งก่อนจึงเริ่มรักษามะเร็ง
การดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากมะเร็งคือการดูแลสุขภาพร่างกายและอาหารการกิน เช่นการกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกผัก

มะเร็งรักษาได้จริงหรือ ?

เป็น มะเร็ง แล้วค่อยรักษาดี ? หรือดูแลตัวเองก่อนที่จะเป็นมะเร็ง ? เป็นคุณจะเลือกอย่างไหนละคะ ? ถ้าเป็นดิฉันขอเลือกดูแลตัวเองก่อนที่จะเป็นมะเร็งค่ะ เชื่อว่าหลายคนก็คงเลือกเหมือนดิฉันใช่มั้ย เพราะเมื่อเป็นมะเร็งแล้วก็ต้องรักษา ต้องเดินทางไปหาหมอทุกอาทิตย์ ต้องโดนเข็มเจาะโน้นนิดเจาะนี่หน่อยเพื่อเอาไปตรวจ บางครั้งก็ต้องผ่าตัดเพื่อเอาชิ้นเนื้อออกจากร่างกาย รับรองว่าต้องมีเกิดขึ้นแน่นอนกับการรักษามะเร็งไม่ว่าจะเป็นระยะไหนก็ตาม ขนาดแค่เจาะเลือดดิฉันยังกลัวเจ็บเลยค่ะ กว่าจะเจาะเลือดได้แต่ละครั้งทำใจเป็นนานสองนาน จนนางพยาบอลต้องปลอบเหมือนปลอบเด็กอยู่ทุกครั้ง นับประสาอะไรกับการผ่าตัดแค่นึกถึงก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาแล้ว แบบนี้รับรองว่าดิฉันคงไม่รอให้เป็นมะเร็งก่อนแล้วค่อยรักษาแน่นอน ถ้าเราไม่อยากเป็นมะเร็งแล้วเราจะวิธีป้องกันยังไงไม่ให้เป็นมะเร็ง ?

ถ้าดิฉันบอกว่าวิธีป้องกันให้ไม่เกิดมะเร็งให้ฟังกันทุกคนต้องตกใจแน่ๆเลย ว่าทำไมมันถึงง่ายอย่างนี้ รู้อย่างนี้ทำมาตั้งนานแล้ว ดิฉันขอบอกก่อนนะคะว่าวิธีที่ดิฉันนำมาเสนอนี้ ดิฉันรวมรวบมาจากคำแนะนำมาจากคุณหมอบอกกับคนไข้ที่รักษามะเร็งจนหายแล้วว่าควรปฏิบัติตัวยังไงถึงจะไม่เป็นมะเร็งอีก อ่านจากหนังสือการป้องกันมะเร็งบ้าง มารวบรวมและปรับนิดหน่อยให้เข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อให้ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก มาดูวิธีป้องกันมะเร็งกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

1. กินผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ อาหารเป็นอันดับหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะว่าเราต้องกินเข้าไปในร่างทุกวันวันละหลายมื้อ การเลือกกินอาหารที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง เราต้องเลือกกินผักและผลไม้มากกว่าที่จะกินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว โดยเฉพาะส่วนที่เป็นไขมันและเนื้อแดง ต้องกินผักผลไม้ให้ได้ 2 ใน 3 ของอาหารที่เรากินเข้าไปทั้งหมด นั่นหมายถึงว่าถ้าเรากินเนื้อสัตว์ 2 ขีด เราก็ต้องกินผักผลไม้อย่างน้อย 4 ขีดหรือกินเกินครึ่งหนึ่งของอาหารที่เราทานในแต่ละวันเป็นอย่างน้อย เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ชอบที่จะกินเนื้อสัตว์มากกว่าการกินผักผลไม้

แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าการกินผักผลไม้นี่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็น มะเร็ง ได้ชะงัดนักนะคะ เพราะว่าในผักผลไม้นั้นมีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค และที่สำคัญผักผลไม้มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นยอดที่ไม่ในเนื้อสัตว์ สารต่อต้านอนุมูลอิสระนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเซลล์ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ แล้วแบบนี้คุณจะเลือกกินผักผลไม้หรือว่าจะเลือกกินเนื้อสัตว์กันล่ะ แต่ที่ดิฉันพูดนี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องกินแต่ผักผลไม้นะ คุณกินเนื้อสัตว์ได้แต่กินให้น้อยลง กินเพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหารไม่ใช่กินเป็นอาหารหลักเพียงอย่างเดียว

” มะเร็งสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด ฮอร์โมน ยารักษาตรงเป้า การปลูกถ่ายไขกระดูก /สเต็มเซลล์ การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ และรักษาแบบประคับประคอง “

ผักผลไม้ที่นำมากินต้องเลือกผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษไม่มีสารพิษตกค้างอยู่มากิน เดี๋ยวนี้มีหลายสวนที่ได้รับการรับรองว่าไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะมีการรณรงค์ให้ปลูกแบบอินทรีย์กันมากขึ้น ทั้งลงทุนน้อยและขายได้ราคาดี แถวบ้านดิฉันตอนนี้ก็นิยมปลูกผักผลไม้แบบนี้กันแทบทุกสวนแล้ว แต่สำหรับคนที่ต้องซื้อมากินดิฉันแนะนำว่าให้นำผักผลไม้มาล้างให้สะอาดด้วย น้ำอุ่นผสมเบกกิ้งโซดา น้ำด่างทับทิม น้ำอุ่นผสมเกลือ หรือน้ำผสมน้ำสมสายชู วิธีการล้างให้แช่ไว้ในน้ำประมาณ 10-20 นาทีและล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง ถ้าใครไม่มีสารที่ใช้ล้างก็ให้เปิดน้ำไหลผ่านเพื่อล้างหลายๆ ครั้งก็ช่วยได้เหมือนกัน แค่นี้ก็กินผักผลไม้ได้อย่างสบายใจแล้ว   

2. กินอาหารรสจืด ดิฉันเป็นคนที่ชอบกินอาหารรสจัดมาก ทั้งต้มยำ แกง น้ำพริก เจอข้อนี้เข้าไปตอนแรกก็ทำใจยากมากเลยค่ะ จะให้กินแต่ต้มจืด ผัดผักคงทำไม่ได้แน่ แต่จริงแล้วที่บอกว่าอาหารรสจืดไม่ใช่ให้กินแต่อาหารจำพวกต้มจืดเพียงอย่างเดียว เราสามารถกินอาหารได้ทุกประเภท แต่ปรุงรสให้เบาลง อย่าเค็มจัด อย่าหวานจัด อย่าเผ็ดจัด และไม่ควรใช้เครื่องปรุงรสสำเร็จรูป ผงชูรส ให้ใช้แค่เกลือ น้ำตาล น้ำปลาได้นิดหน่อย ปรุงรสชาติให้กลมกล่อมก็พอแล้ว ตอนแรกที่ทำก็แอบคิดในใจว่าจะกินได้หรือเปล่าเนี่ย ช่วงแรกที่กินขอบอกว่าโอ้ย! ไม่อยากกินเลยแต่พอกินไปได้สักวันสองวันดิฉันก็เริ่มชินกับรสจืดนี้แล้ว บางครั้งไปกินก๋วยเตี๋ยวนอกบ้านไม่ต้องปรุงเลยนะ เพราะว่าน้ำซุปของเค้ามีรสจัดอยู่แล้ว การกินอาหารรสจืดนี่นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็น มะเร็ง แล้วยังช่วยให้ผิวพรรณของเราเนียนนุ่มไม่หยาบกระด้างอีกด้วย

3. งดของหมักของดอง นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทำร้ายจิตใจดิฉันมาก เพราะดิฉันนี่เป็นแฟนคลับของผลไม้ดองเลยต้องซื้อทุกครั้งที่เห็น แต่คุณรู้หรือไม่ว่าของดองมีส่วนผสมของแซกคาริน ( Saccharin ) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “ ขัณฑสกร หรือ ดีน้ำตาล ” ที่มีผลการวิจัยพบว่าสารนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้โดยเฉพาะ มะเร็ง ในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ยังรวมถึง หน่อไม้ดอง ไข่เยี่ยวม้า ผักกาดดอง แหนม หมูยอ รวมถึงการถนอมอาหารที่ใช้เกลือเป็นตัวช่วย เช่น ไขเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า กะปิ ด้วย อาหารทุกอย่างที่กล่าวมาควรหลีกเลี่ยงรับประทานหรือรับประทานนานๆครั้งก็ได้ แต่ห้ามรับประทานติดต่อกันเป็นประจำนะคะ

4. ควบคุมน้ำหนัก น้ำหนักเป็นสิ่งที่บ่งบอกสุขภาพของตัวเองได้เป็นอย่างดี เราสังเกตได้จากคนที่ไปรักษาตัวหรือมีโรคประจำตัวส่วนมากจะมีรูปร่างอ้วนมีน้ำหนักเกินมาตาฐาน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์หรือไม่ ให้คำนวณจากสูตร

ผู้หญิง [ ( ส่วนสูง (เซนติเมตร ) – 150 ) x 0.7 ] + 45 = น้ำหนักตามเกณฑ์โดยประมาณของผู้หญิง
ผู้ชาย  [ (ส่วนสูง ( เซนติเมตร ) – 150 ) x 0.7 ] + 50  = น้ำหนักตามเกณฑ์โดยประมาณของผู้ชาย

ค่าน้ำหนักที่คำนวณได้เราสามารถ +/- 2 กิโลกรัม คือต่ำกว่า 2 กิโลกรัมและสูงกว่าที่ 2 กิโลกรัม ก็คือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ถ้าใครคิดคำนวณแล้วมีน้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์มากต้องลดน้ำหนักให้เข้ามาอยู่ในเกณฑ์กันแบบด่วนๆ นะ การที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์จะช่วยป้องกันการเป็นโรค มะเร็ง ได้ถึง 20% เชียวนะ ดิฉันเองถือว่าโชคดีที่ไม่ได้มีน้ำหนักเกิน แต่ก็ต้องควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากกว่านี้เพราะตอนนี้น้ำหนักก็สูงที่สุดในเกณฑ์แล้ว

5. ดื่มน้ำมากให้เพียงพอ น้ำสะอาดเป็นน้ำที่ดีที่สุดที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้นะคะ เราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร เพื่อล้างสารพิษในร่างกายและช่วยให้เซลล์มีความแข็งแรงมีอายุยืนยาว แต่บางคนไม่ชอบดื่มน้ำเพราะเมื่อดื่มแล้วต้องเดินเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น ดิฉันก็เป็นเหมือนกันเพราะขี้เกียจเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่รู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำมากๆ จะช่วยล้างสารพิษตกค้างออกมาจากร่างกายได้ดีที่สุด แต่น้ำที่ดื่มเข้าไปควรเป็นน้ำธรรมดาน้ำแร่หรือน้ำมะพร้าวจากลูกมะพร้าวเท่านั้น ไม่ควรดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟหรือเครื่องดื่มสำเร็จรูปทุกชนิดแทนการดื่มน้ำเปล่า เพราะว่านอกจากจะไม่ได้ประโยชน์ในการล้างสารพิษแล้ว น้ำดื่มพวกนี้ยังมีน้ำตาล สารปรุงแต่งกลิ่นสี และสารกันบูดผสมอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิด มะเร็ง ได้อีกด้วย เดี๋ยวนี้ดิฉันดื่มน้ำวันละ 3 ลิตรทุกวันค่ะ ถึงจะเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นแต่ดิฉันรู้สึกว่าร่างกายสดใสกว่าแต่ก่อน ผิวก็ดูเปล่งปลั่งมากขึ้นด้วยนะ เห็นผลกันจริงๆ ชอบก็ตรงนี้ละค่ะ

6. งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า เพราะว่าได้มีการสำตรวจและทำการวิจัยพบว่าการสูบบุหรี่และการดื่มเหล้านั้นเป็นตัวกระตุ้นการเกิดมะเร็งที่ดีมาก ดังนั้นถ้าเราต้องการที่ป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งเราก็ไม่ควรที่จะดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ จะสูบมากสูบน้อยก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะบุหรี่และเหล้าจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่อยู่ในร่างกายให้อ่อนแอลงไม่มีภูมิต้านทานโรค เซลล์จึงถูกทำลายได้ง่ายจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด ใครที่กำลังสูบบุหรี่ก็ควรเลิกสูบเสียนะคะ อนาคตจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเป็นมะเร็ง อันนี้ยังรวมถึงคนที่ทำงานอยู่ในสถานที่อับที่มีการสูบบุหรี่ก็มีความเสี่ยงเหมือนกันนะ เช่น คนทำงานตามผับบาร์ที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ ถึงเราไม่สูบแต่เราก็สูดควันเข้าปอดไปด้วยเหมือนกัน ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงค่ะ

7. ออกกำลังกาย ต้าน มะเร็ง ได้ถ้าเราควรออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 วัน แค่เดินต่อเนื่องวันละ 30 นาทีก็ยังดี เพื่อเป็นการบริหารร่างกายให้แข็งแรง สร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ดิฉันเองเดี๋ยวนี้ อบต.แถวบ้านมีการส่งเสริมเรื่องการออกกำลังกาย ตอนเย็นจะมีครูฝึกมาสอนเต้นแอโรบิคบ้าง สอนรำกระบี่กระบอง และบางครั้งดิฉันก็ออกไปปั่นจักรยานตอนเช้ากับป้าๆ น้าๆ ในหมู่บ้านบรรยากาศดีมาก ได้ทั้งสุขภาพได้ทั้งสังคม สุขภาพกายดีสุขภาพใจก็แข็งแรงไปด้วย

8. ตรวจสุขภาพประจำปี เป็นการป้องกันโรค มะเร็ง อันดับสุดท้าย การไปตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีเพื่อเป็นการเช็คว่ามีอะไรในร่างกายผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ เวลาที่เจ็บป่วยหรือปวดมากผิดปกติก็ต้องไปหาหมอเพื่อตรวจดูด้วยว่ามีสาเหตุมาจากอะไรเป็นอันตรายไหม ถ้าเป็นมะเร็งจะได้รักษาแต่เนิ่นๆ ไม่ปล่อยทิ้งไว้จนเป็นขั้นลุกลามที่รักษาได้ยาก ในปัจจุบันนี้มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดขึ้นมา เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งได้ เช่น มะเร็งปากมดลูก ซึ่งถ้ามีให้ฉีดเราก็ควรไปฉีด ส่วนตัวดิฉันก็ไปฉีดมาแล้วเป็นการป้องกันไว้ก่อน

ที่กล่าวมาเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงในการเกิด มะเร็ง หลายคนคิดว่าไม่ง่ายเหมือนที่บอกตอนแรกเลย อ่านแล้วดูยุ่งยากจัง สิ่งโน้นก็ไม่ได้สิ่งนี่ก็ไม่ได้ ง่ายสิคะ ลองคิดตามนะคะ ถ้าเรารับประทานผักผลไม้เป็นหลักเนื้อสัตว์เป็นรอง ดื่มน้ำสะอาด 3 ลิตรทุกวัน สองอย่างนี้จะทำให้น้ำหนักตัวเราอยู่ในเกณฑ์ไม่อ้วน ออกกำลังกายมีกิจกรรมทำ มีสังคมที่รักสุขภาพก็ไม่อยากสูบบุหรี่ ไม่อยากกินเหล้า เพียงเท่านี้ชีวิตเราก็ห่างไกลจากมะเร็งแล้วจริงไหมคะ วันนี้คุณเริ่มป้องกันมะเร็งแล้วหรือยังค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะเร็ง คุณรู้จักดีแล้วหรือ ?

0
มะเร็ง คุณรู้จักดีแล้วหรือ
มะเร็งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ร่างกายได้รับเข้าไปแบบไม่รู้ตัว
มะเร็ง คุณรู้จักดีแล้วหรือ
มะเร็งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ร่างกายได้รับเข้าไปแบบไม่รู้ตัว

มะเร็งคืออะไร ?

เมื่อพูดถึง มะเร็ง เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักกันดีว่ามะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง แต่ละปีจะมีคนเสียชีวิตด้วยโรคนี้ประมาณ 60,000 กว่าคน ชนิดมะเร็งที่มักพบในผู้หญิง คือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม ส่วนผู้ชาย มะเร็งปอด มะเร็งตับ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่สูญเสียคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดด้วยโรคมะเร็ง ถามว่าเคยคิดไหมว่าคนรอบตัวจะเป็นป่วยและเสียชีวิตด้วยนี้ ตอบตรงๆ เลยนะว่าไม่เคยคิด ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะดิฉันคิดว่าครอบครัวไม่มีความเสี่ยงที่น่าจะเป็นมะเร็งได้เลย ก็เพราะดิฉันเป็นคนต่างจังหวัดมีอาชีพเกษตรกรรม พูดง่ายๆ ก็คือทำสวนค่ะ ชีวิตตื่นเช้ามาก็กินข้าว เข้าสวนทำงาน แดดร้อนก็พักหลบใต้ร่มไม้ เย็นกลับเข้าบ้านอาบน้ำนอน อาหารการกินก็เก็บผักแถวบ้าน เนื้อสัตว์ก็ออกไปซื้อเอาตามตลาดนัด รอบบ้านมีต้นไม้เขียวชอุ่ม อากาศเย็นสบายบริสุทธิ์อย่างที่คนเมืองกรุงเรียกกัน แล้วคุณคิดว่าคนที่ดำรงชีวิตอย่างนี้น่าจะป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือเปล่า?

หลายคนคิดว่าถ้าอยู่แบบนี้แล้วยังเป็น มะเร็ง คนในเมืองก็คงเป็นกันทุกคนแล้ว แต่มันไม่เป็นแบบนั้นสิคะ เพราะว่าคนในครอบครัวดิฉันป่วยเป็นโรคมะเร็งกันหลายคนทีเดียว แถมคนที่ป่วยยังเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ตอนแรกดิฉันก็มีความเชื่อเหมือนคนทั่วไปว่ามะเร็งปอด มะเร็งตับเกิดจากการกินเหล้ามาก เกิดจากการสูบบุหรี่จัด แล้วทำไมคนที่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ถึงเป็นมะเร็งได้นะ?

มะเร็งที่พบบ่อยในเพศหญิง

มะเร็งที่พบบ่อยในเพศชาย

สาเหตุการเกิด มะเร็ง

ด้วยที่ว่าคนใกล้ตัวหลายคนต้องรักษาตัวจากโรคมะเร็งปากมดลูก เราก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มาโดยปริยายว่าสาเหตุการเกิด มะเร็ง มีอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัย คือ

1.ปัจจัยภายนอก หมายถึง สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราหรือของที่รับเข้าสู่ร่างกายจากภายนอกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่รับประทานเข้าไป อากาศที่เราสูดดม ยารักษาโรค เครื่องดื่ม สิ่งเหล่านี้จัดเป็นปัจจัยภายนอกทั้งหมดที่อาจจะเป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็งได้

2.ปัจจัยภายใน หมายถึง ความผิดปกติที่ถ่ายทอดมาทางพันธุ์กรรม การถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก ความบกพร่องเกี่ยวกับระบบคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ความผิดปกติที่เกิดขึ้นตั่งแต่กำเนิด

เชื่อมั้ยว่าปัจจัยภายนอกมีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งมากถึง 90% ส่วนปัจจัยภายในนั้นมีผลเพียงแค่ 5% เท่านั้น แบบนี้ถึงคนที่ไม่มีพันธุกรรมที่ผิดปกติก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ แต่มันก็ยังไม่ได้ช่วยแก้ข้อสงสัยของดิฉันได้เลยว่า  ทำไมคนที่บ้านถึงเป็น มะเร็ง ได้ ดิฉันก็เลยมาสังเกตสิ่งรอบตัวว่าอะไรบ้างที่น่าจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ ถึงกับต้องตกใจและแปลกใจมากทีเดียว เพราะว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวในการทำสวนนั้นล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ สิ่งเหล่านั้นคือ ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ปุ๋ยเคมี ยาเร่งดอก ยาเร่งใบ ที่เราใช้อยู่ทุกวันในการทำสวน เวลาที่ทำการผสมยาเพื่อทำการฉีดพ่นก็ไม่ใส่ถุงมือ มือก็ต้องสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง เวลาที่ฉีดพ่นก็ไม่สวมหน้ากากกันสารเคมี เมื่อฉีดพ่นแล้วละอองยาก็ยังอบอวนอยู่รอบตัวตลอดเวลา และยังสะสมอยู่บนผักที่เราเก็บมากินด้วย เวลาใส่ปุ๋ยก็ใช้มือหยิบปุ๋ยโรยไปบนพื้นดิน สารเคมีย่อมซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง ดิฉันถึงกับตกใจมากกับสิ่งที่รับรู้ เจ้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้ามีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่มาก ที่เป็นสารดูดซึมมีผลต่อการทำลายระบบประสาทของสัตว์เมื่อได้รับในปริมาณมากก็จะตาย ซึ่งมันก็มีอันตรายกับมนุษย์เราเช่นเดียวกัน เพียงแต่เราตัวโตกว่าผลที่ได้รับจึงเป็นแค่การสะสมในร่างกายไม่ถึงกับตายในทันที แต่เมื่อมันสะสมในร่างกายนานๆเข้า สารเคมีก็จะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับเซลล์ในร่างกาย จนเซลล์เกิดความผิดปกติและกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด แล้วคนในสังคมเมืองที่ต้องอยู่กับมลพิษทั้งควันรถ ฝุ่นละออง สารเคมีจากอุตสาหกรรมทั้งเล็กทั้งใหญ่ คนที่ทำงานกับรังสีสารเคมีจะมีโอกาสเป็น มะเร็ง ได้มากกว่าคนบ้านนอกอย่างดิฉันกี่เท่ากัน

เหล้า สูบบุหรี่ เสพสิ่งเสพติดทุกชนิด มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง เพราะเหล้า บุหรี่ เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็งได้ดีมากที่สุด

แต่เอ๋! เวลาที่ไปหาหมอ คุณหมอไม่ได้บอกว่าเป็นมะเร็งนะ แต่บอกว่าเป็นก้อนเนื้อขอเอาไปตรวจก่อน ตรวจเสร็จบางทีก็บอกว่าเป็น มะเร็ง บางทีก็บอกว่าเป็นเนื้องอกบ้างล่ะ สงสัยกันไหม? ดิฉันเองก็สงสัยค่ะ เลยถามคุณหมอที่รักษาว่ามันคืออะไร คุณหมอก็อธิบายให้ฟังยาวเยียดเลย สรุปเอาใจความง่ายก็คือ ร่างกายของเรามีการสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไปอยู่ตลอดเวลา เช่น เวลาที่เราเป็นแผลเนื้อหลุดไป เรารักษาทายาสักพักเนื้อก็จะกลับมาเต็มเหมือนเดิม นั่นคือเซลล์บริเวณนั้นมีการสร้างขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่หลุดไป เมื่อสร้างมาทดแทนจนครบปริมาณที่หายไปก็จะร่างกายก็หยุดสร้างเพิ่มทันที เมื่อครบร่างกายก็จะมีคำสั่งให้หยุดสร้างทันที การสร้างเซลล์ก็จะหยุดทันทีไม่มีการสร้างต่อ แต่ถ้าร่างกายสั่งให้หยุดแล้วยังมีการสร้างเซลล์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด ส่วนที่เกินมานี่แหละที่เรียกว่าเนื้องอก ที่พูดถึงมานี่คือแผลภายนอก ลองนึกว่ามันเกิดขึ้นภายในร่างกายของเราสิ เซลล์ที่ยื่นออกมาภายในเราเรียกว่า “ เนื้องอก ” เจ้าเนื้องอกนี่มีอยู่ 2 ชนิดค่ะ มีชนิดที่ไม่เป็นอันตรายเรียกว่า “เนื้องอกธรรมดา” กับชนิดที่เป็นอันตรายเรียกว่า “ เนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็ง ”

1.เนื้องอกธรรมดา ( Benign Tumor ) คือเนื้อที่งอกออกมาเป็นก้อน ใช้ระยะเวลาในการแบ่งตัวหรือเจริญเติบโตเป็นเวลานานมากกว่าจะสร้างความเสียหายให้กับร่างกายและเติบโตอยู่ที่เดียวไม่มีการแพร่ขยายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายทั้งที่อยู่ใกล้เคียงและส่วนที่ห่างออกไป เนื้องอกชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่มีข้อแม้นะ ว่ามันต้องไม่เจริญเติบโตไปทับอวัยวะสำคัญของร่างกาย เช่น เส้นเลือด เส้นประสาท เพราะว่าถ้ามีการเติบโตไปทับอวัยวะสำคัญก็อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน
2.เนื้องอกที่เป็นอันตราย ( Malignant หรือ Cancerous Tumor ) หรือ ” เนื้อร้าย “ หรือที่เรามักเรียกว่า “ เซลล์มะเร็ง ” เป็นเนื้องอกที่มีการเจริญเติบโตแบบไร้ขีดจำกัดเช่นเดียวกัน มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมาก เนื้องอกชนิดนี้สามารถแพร่กระจายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ตลอดเวลาและสามารถแพร่ไปได้ทั่วร่างกาย ทั้งที่อยู่ใกล้เคียงหรือห่างไกลโดยอาศัยการกระจายตัวไปตามกระแสเลือด เรียกว่าเลือดไปถึงไหนเซลล์ มะเร็ง ก็ไปถึงที่นั่นด้วย เจ้าเนื้อนี่มันร้ายสมชื่อจริงๆ เพราะไม่ว่ามันจะอยู่ตรงไหนมันจะทำลายเซลล์ดีๆ ที่อยู่ข้างเคียงทั้งหมด ทำให้เราร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วย หนักที่สุดก็เสียชีวิต

การตรวจก็ตัดชิ้นเนื้อที่งอกออกมาไปตรวจว่าเป็นเนื้อร้ายหรือเนื้องอกธรรมดา ถ้าเป็นเนื้องอกธรรมดาแค่ตัดทิ้งก็จบข่าวไม่ต้องกังวลอะไรมาก แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายที่นี้ก็ต้องมาดูว่าเป็นระยะไหน ต้องทำการรักษาอย่างไร ยิ่งเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยในการตรวจหาและรักษา มะเร็ง อย่างได้ผลมากมาย ทั้งการตรวจในระยะแรกเริ่มของเซลล์มะเร็งทำให้รักษาได้อย่างทันท่วงที ทำให้สามารถรักษาได้ก่อนที่เซลล์มะเร็งจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่น

มะเร็ง อาจไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอีกต่อไปถ้าเรารู้วิธีป้องกันและดูแลตัวเองให้อยู่ห่างจากปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดิฉันเองก็ถอยห่างจากปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้ที่บ้านใช้สารที่หมักจากธรรมชาติในการไล่ศัตรูพืช ปุ๋ยก็ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มาจากมูลสัตว์ หญ้าก็ใช้วิธีการถอนกับตัดแทนการฉีดยาฆ่าหญ้า เป็นเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดภัยต่อร่างกายตนเองแถมยังขายได้ราคาดีด้วยนะ แบบนี้เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่เสี่ยงกับการเป็นโรคมะเร็งและครอบครัวก็มีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วยค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม