Home Blog Page 161

ซิลิเนียม ( Selenium ) สารอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง

0
ซิลิเนียม (Selenium) สารอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง
อาหารจะพบซีลีเนียมได้มากเป็นอาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ ปลาทูน่า จมูกข้าวสาลี รำข้าว หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ บรอกโคลี ข้าวกล้อง
ซิลิเนียม (Selenium) สารอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง
อาหารจะพบซีลีเนียมได้มากเป็นอาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ ปลาทูน่า จมูกข้าวสาลี รำข้าว หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ บรอกโคลี ข้าวกล้อง

ซีลีเนียม ( Selenium )

ซีลีเนียม ( Selenium ) คือ แร่ธาตุอีกชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ส่วนใหญ่จะพบในร่างกายน้อยมาก ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายสามารถสกัดได้เองจากยีสต์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

หน้าที่สำคัญของซีลีเนียม

1. ซีลีเนียมทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของน้ำย่อยชนิดหนึ่ง ชื่อว่าน้ำย่อยกลูทาไทโอนเปอร์ออกซิเดส Glutathione Peroxidade โดยจะช่วยกระตุ้นการกำจัดไฮโดรเปอร์ออกไซด์และออแกนิคเปอร์ออกไซด์ให้หมดไป รวมถึงป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อถูกทำลายอีกด้วย ซึ่งจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับวิตามินอีด้วยนั่นเอง และนอกจากนี้จากการศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ ก็พบว่าซีลีเนียมสามารถต้านการเกิดมะเร็งได้เหมือนกัน โดยเฉพาะ มะเร็งต่อมลูกหมาก เพราะพบว่าเมื่อซีลีเนียมในร่างกายต่ำ ก็จะมีโอกาสเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากสูงขึ้น

2. ซีลีเนียมช่วยในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายและการติดลูก ทำให้ร่างกายมีการเติบโตอย่างสมวัย

3. ซีลีเนียมช่วยให้เนื้อเยื่อสามารถหายใจได้ดีและรับส่งอีเล็กตรอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

4. ซีลีเนียมทำหน้าที่ในการประสานการทำงานของเอนไซม์ระหว่าง วิตามินดี วิตามินซี และ วิตามินเอ

การดูดซึมและการเก็บซีลีเนียม ( Selenium )

ซีลีเนียม สามารถถูกดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็ก แต่ก็ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของซีลีเนียมและกำมะถันด้วย ว่ามีความสมดุลกันมากแค่ไหน ส่วนการเก็บซีลีเนียมไว้ในร่างกาย จะเก็บไว้ที่ตับและไตมากที่สุด โดยคิดเป็น 4-5 เท่าของซีลีเนียมที่ พบอยู่ในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่นๆ และจะมีบางส่วนที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ โดยหากพบว่ามีซีลีเนียมถูกขับออกมาทางอุจจาระด้วย นั่นแสดงว่าอาจมีความผิดปกติหรือมีการดูดซึมที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง

แหล่งอาหารที่พบซีลีเนียม ( Selenium )

สำหรับแหล่งอาหารที่พบซีลีเนียมส่วนใหญ่จะพบได้มากในอาหารทะเล ตับ ไต และเนื้อสัตว์ และพบได้น้อยมากในพืช โดยซีลีเนียมที่พบในพืชนั้นก็จะขึ้นอยู่กับซีลีเนียมที่มีอยู่ในดินที่ปลูกด้วยนั่นเอง โดยพืชที่มีซีลีเนียมได้แก่ ต้นหอม มะเขือเทศ ถั่ว จมูกข้าว หน่อไม้ กระเทียม เมล็ดพืช หอมแดงและหอมใหญ่ เป็นต้น

ปริมาณซีลีเนียมอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทยวัยต่าง ๆ 

เพศ อายุ ปริมาณที่ควรได้รับ หน่วย
เด็ก 1-3 ปี 20 ไมโครกรัม/วัน
เด็ก 4-8 ปี 30 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่น 9-12 ปี 40 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่น 13-18 ปี 55 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ 19-≥ 71 ปี 55 ไมโครกรัม/วัน
หญิงตั้งครรภ์ ควรเพิ่มอีก 5 ไมโครกรัม/วัน
หญิงให้นมบุตร ควรเพิ่มอีก 15 ไมโครกรัม/วัน

การขาดซีลีเนียม ( Selenium )

พบว่าเมื่อร่างกายขาดซีลีเนียมหรือได้รับน้อยเกินไป จะทำให้แก่ก่อนกำหนดได้ สังเกตได้จากริ้วรอยก่อนวัยและผิวที่เหี่ยวย่นลง นั่นก็เพราะซีลีเนียมจะทำหน้าที่ในการรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ หากมีซีลีเนียมน้อย จึงส่งผลดังกล่าวนั่นเอง นอกจากนี้ยังพบว่าในเด็กที่มีซีลีเนียมน้อยก็มักจะมีปัญหาฟันผุต้องถอนและอุดบ่อยมากอีกด้วย อย่างไรก็ตามยังไม่มีทฤษฎีที่สามารถอธิบายได้

การเป็นพิษของซีลีเนียม ( Selenium )

การได้รับซีลีเนียมเข้าสู่ร่างกายมาเกินไป คือ 5-10 ส่วนต่อล้าน จะทำให้ซีลีเนียมเข้าไปแทนที่กำมะถันที่อยู่ในอณูของซีนทีน เมไทโอนีนและซีสเทอีน เป็นผลให้ร่างกายไม่สามารถนำกรดอะมิโนเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งก็ส่งผลเสียต่อระบบต่างๆ ในร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว และที่สังเกตได้ชัดที่สุด ก็คือ อาการเล็บฉีก ผมแห้งขาดความชุ่มชื่น และผมแตกปลายนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Ruyle, George. “Poisonous Plants on Arizona Rangelands” (PDF). The University of Arizona. Retrieved 2009-01-05.

House, James E. (2008). Inorganic chemistry. Academic Press. p. 524. ISBN 0-12-356786-6.

Magnetic susceptibility of the elements and inorganic compounds, in Lide, D. R., ed. (2005). CRC Handbook of Chemistry and Physics (86th ed.). Boca Raton (FL): CRC Press. ISBN 0-8493-0486-5.

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.

โครเมียมทำหน้าที่อะไรในร่างกาย ( Chromium )

0
โครเมียมทำหน้าที่อะไรในร่างกาย (Chromium)
โครเมี่ยมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพื่อการเจริญเติบโต ซึ่งมีส่วนสำคัญในขบวนการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคส คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
โครเมียมทำหน้าที่อะไรในร่างกาย (Chromium)
โครเมี่ยมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพื่อการเจริญเติบโต ซึ่งมีส่วนสำคัญในขบวนการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคส คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

โครเมียม ( Chromium )

โครเมียม ( Chromium ) คือ ส่วนประกอบสำคัญของสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า GTF โดยสารชนิดนี้จะมี ไนอะซิน โครเมียมและกรดอะมิโนบางอย่างเป็นส่วนประกอบอยู่ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ร่างกายสามารถนำกลูโคสมาใช้ได้และสามารถควบ คุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ไม่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย นอกจากนี้ก็พบว่าร่างกายของคนเราจะมีโครเมียมอยู่น้อยกว่า 6 มิลลิกรัม แต่จะค่อยๆลดลงเมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง

หน้าที่ของโครเมียม (Chromium)

1. โครเมียมช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยที่เกี่ยวกับการเผาผลาญกลูโคสให้เป็นพลังงานและสังเคราะห์กรดไขมันและคอเลสเตอรอล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2. โครเมียมช่วยให้อินซูลินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป ซึ่งพบว่าหากร่างกายขาดโครเมียม ก็จะทำให้มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงหรือมีคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงได้ และด้วยเหตุนี้เองแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นเบาหวาน ทานโครเมียมในรูปของแคปซูลเสริมเข้าไปนั่นเอง

3. โครเมียมทำงานร่วมกับ RNA เพื่อการสังเคราะห์โปรตีนอย่างมีประสิทธิภาพ

4. โครเมียมทำหน้าที่ในการป้องกันพิษที่เกิดจากตะกั่ว

การดูดซึมโครเมียม ( Chromium )

ร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมโครเมียมจากอาหารได้ที่ร้อยละ 0.5 และจะขับออกมาทางปัสสาวะมากถึง 5-10 ไมโครกรัมต่อวัน ส่วนที่ถูกขับออกทางอุจจาระก็จะมีน้อยมาก

แหล่งเก็บโครเมียม ( Chromium )

โดยปกติแล้วโครเมียมจะถูกเก็บไว้ที่ไต ม้ามและอัณฑะ เป็นส่วนใหญ่ และจะถูกเก็บไว้ที่ตับอ่อน สมอง ปอดและ หัวใจในปริมาณที่น้อยมาก นอกจากนี้ปริมาณของโครเมียมก็จะลดลงไปตามอายุอีกด้วย

แหล่งที่พบโครเมียม
โครเมียมมักจะพบได้มากที่สุดในไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนยแข็ง ยีสต์ เนื้อสัตว์และธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ส่วนในผักผลไม้จะพบในปริมาณที่น้อยมาก

ปริมาณโครเมียมอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทยวัยต่าง ๆ

เพศ อายุ ปริมาณ หน่วย
ทารก 6-11 เดือน 5.5 ไมโครกรัม/วัน
เด็ก 1-3 ปี 11 ไมโครกรัม/วัน
เด็ก 4-8 ปี 15 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้ชาย 9-12 ปี 25 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้ชาย 13-18 ปี 35 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้หญิง  9-12 ปี 21 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้หญิง 13-18 ปี 24 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้ชาย 19-50 ปี 35 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้ชาย 51 – ≥ 71 ปี 30 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้หญิง 19-50 ปี 25 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้หญิง 51 – ≥ 71 ปี 20 ไมโครกรัม/วัน
หญิงตั้งครรภ์ ควรเพิ่มอีก 5 ไมโครกรัม/วัน
หญิงให้นมบุตร ควรเพิ่มอีก 20 ไมโครกรัม/วัน

ผลจากการขาดโครเมียม ( Chromium )

เมื่อร่างกายได้รับโครเมียมน้อยกว่าปกติ จะทำให้ไกลโคเจนที่สะสมไว้ในร่างกายลดลงไปอย่างรวดเร็ว และทำให้การเผาผลาญกรดอะมิโนมีความผิดปกติอีกด้วย นอกจากนี้ก็จะไปเพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดและทำให้ผนังเส้นเลือดเป็นแผลได้เหมือนกันและนอกจากนี้การขาดโครเมียมก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ เพราะจะทำให้อินซูลินทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ จึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างน่าตกใจและยังลดอัตราการเจริญเติบโตลงอีกด้วย

การเป็นพิษของโครเมียม ( Chromium )

โครเมียม แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็เป็นอันตรายไม่ น้อยเหมือนกัน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็งนั่นเอง โดยทางสำนักงานมาตรฐานอาหารของอังกฤษ ก็ได้ออกมาเตือนว่าไม่ควรทานเกินวันละ 10 มิลลิกรัมเด็ดขาด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Brandes, E. A.; Greenaway, H. T.; Stone, H. E. N. (1956). “Ductility in Chromium”. Nature. 178 (587): 587.

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.

โคบอลท์จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร ( Cobalt )

0
โคบอลท์เป็นธาตุที่มีความสำคัญต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็ก พบในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เช่น เนื้อ ตับ หอยนางรม
โคบอลท์จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร (Cobalt)
โคบอลท์เป็นธาตุที่มีความสำคัญต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็ก พบในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เช่น เนื้อสัตว์ ตับ หอยนางรม

โคบอลท์

โคบอลท์ ( Cobalt ) คือ แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เกลือของโคบอลต์มีความจำเป็นต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทั้งนี้ไอโซโทปของโคบอลต์-60 ใช้สามารถใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินบีสิบสอง ( Vitamin B12 ) ซึ่งก็มีหน้าที่สำคัญคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของน้ำย่อยในร่าง กาย ให้มีการผลิตน้ำย่อยออกมาตามปกติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยบำรุงรักษาเม็ดเลือดแดงให้เป็นไปตามปกติอีกด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะไม่สามารถสังเคราะห์แร่ธาตุชนิดนี้ขึ้นมาเองได้ จึงต้องเสริมโคบอลท์ ให้กับร่างกายด้วยการทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เท่านั้น และด้วยเหตุนี้คนที่กินมังสวิรัติหรือกินเจอย่างเคร่งครัด จึงมักจะมีปัญหาการขาดโคบอลท์ได้มากกว่าคนทั่วไปนั่นเอง

การดูดซึมและการขับโคบอลท์

ร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมโคบอลท์ได้ดีที่ลำไส้เล็ก โดยจะถูกดูดซึมที่ประมาณร้อยละ 70-80 ของโคบอลท์ที่ได้รับเข้าไป และจะถูกขับออกทางปัสสาวะมากถึงร้อยละ 65 ที่เหลือก็จะถูกขับออกทางอุจจาระ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ส่วนแหล่งที่ใช้ในการเก็บโคบอลท์ ก็คือ เม็ดเลือด ตับ ไต ม้ามและตับอ่อน

แหล่งอาหารที่พบโคบอลท์

โคบอลท์ สามารถพบได้ดีในแหล่งอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ โดยอาหารที่พบโคบอลท์ได้มากที่สุด คือ เนื้อ ไต ตับ นมหอยกาบ และหอยนางรม

ปริมาณที่แนะนำในการบริโภคโคบอลท์

เนื่องจากโคบอลท์มักจะพบในปริมาณที่น้อยมาก จึงไม่มีปริมาณที่แนะนำ ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะได้รับจากอาหารประเภทโปรตีนเฉลี่ยประมาณวันละ 5-8 ไมโครกรัม

ผลจากการขาดโคบอลท์

เมื่อร่างกายขาดโคบอลท์จะทำให้มีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะในวัยเด็ก และอาจป่วยด้วยโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติอีกด้วย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนและถูกวิธี ก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางประสาทอย่างถาวรได้เหมือนกัน ซึ่งหากได้รับโคบอลท์มากเกินไปอาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ใหญ่ผิดปกติได้

การเป็นพิษของโคบอลท์

ถึงแม้ว่าโคบอลท์จะมีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย แต่หากได้รับมากเกินไป ก็อาจจะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในคนที่มีปัญหาต่อมธัยรอยด์โต การลดปริมาณโคบอลท์ให้น้อยลงจะทำให้ต่อมไทรอยด์กลับมามีขนาดปกติได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยมีปัญหาการได้รับโคบอลท์เกินมากนัก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Enghag, Per (2004). “Cobalt”. Encyclopedia of the elements: technical data, history, processing, applications. p. 667. ISBN 978-3-527-30666-4.

Murthy, V. S. R (2003). “Magnetic Properties of Materials”. Structure And Properties Of Engineering Materials. p. 381. ISBN 978-0-07-048287-6.

Greenwood, Norman N.; Earnshaw, Alan (1997). Chemistry of the Elements (2nd ed.). Butterworth-Heinemann. pp. 1117–1119. ISBN 0-08-037941-9.

การสูญเสียสารอาหารในอาหารที่คุณคาดไม่ถึง ( Nutrient Losses )

0
การสูญเสียสารอาหารในอาหารที่คุณคาดไม่ถึง ( Nutrient Losses )
การสูญเสียคุณค่าของสารอาหาร (Nutrient Losses)
การเก็บรักษาอาหารอาจทำให้สูญเสียอาหารคุณค่าต่างๆทางโภชนาการได้ เช่นการแช่แข็ง

การสูญเสียคุณค่าของสารอาหาร

การสูญเสียสารอาหาร ( Nutrient Losses ) ในอาหารที่คุณคาดไม่ถึงอาจเกิดขึ้นในขั้นตอนการเตรียมหรือปรุงอาหารที่เราทำทุกวัน โดยบางครั้งการต้ม ผัด หรือทอดอาหารอาจทำให้สารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินและแร่ธาตุสูญหายไปโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ปัจจัยหลายอย่างเช่น การเลือกใช้กระทะที่ไม่เหมาะสม การใช้ความร้อนสูงเกินไป หรือการเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้อง ล้วนส่งผลกระทบต่อคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่เรากิน ดังนั้นการเลือกวิธีการปรุงที่ถูกต้องและการรักษาอาหารให้ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถรับสารอาหารที่ครบถ้วนและไม่สูญหายไปอย่างไม่จำเป็น.

การสูญเสียคุณค่าของสารอาหารในระหว่างการเก็บ

การสูญเสียคุณค่าของสารอาหารในระหว่างการเก็บโดยปกติแล้วการสูญเสียคุณค่าของสารอาหารจะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน เช่น อุณหภูมิของแสงแดด ออกซิเจน ความชื้นและระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บ โดยสารอาหารที่นิยมเปลี่ยนแปลงและสูญเสียออกไปในขั้นตอนนี้ก็คือวิตามินนั่นเอง ส่วนไขมัน โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต จะยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนนี้

1. อาหารที่มีความชื้นต่ำ
เหมาะกับการเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง เพื่อให้เกิดการสูญเสียคุณค่าทางสารอาหารน้อยที่สุด เพราะหากสถานที่เก็บมีอุณหภูมิสูงเกินไปก็จะกระตุ้นให้เกิดการออกซิเดชั่นของไขมันและทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนแปลง รวมถึงคุณค่าอาหารก็ลดลงด้วย และการถูกทำลายจากแมลงก็มีผลให้คุณค่าของสารอาหารสูญเสียไปเช่นกัน โดยอาหารประเภทนี้ได้แก่ เมล็ดพืช ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น

2. ผลไม้
การเก็บผลไม้ส่วนใหญ่จะมีการเก็บตั้งแต่ยังดิบแล้วจึงนำมาบ่มจนสุกก่อนกิน ซึ่งระหว่างการบ่มนั้นก็จะทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าของสารอาหาร ( Nutrient Losses ) บางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ ซึ่งก็คือ แป้งและกรดจะมีปริมาณลดลง น้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น วิตามินซี ( Vitamin C ) ค่อยๆ ลดลงตามระยะเวลาที่เก็บ ยิ่งผลไม้สุกงอมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ปริมาณของวิตามินซีลดลงมากเท่านั้น ส่วนวิตามินเอ ( Vitamin A ) จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าวิตามินเอจะยังคงมีความครบถ้วนในขั้นตอนการเก็บมากที่สุด

3. ผัก
ในการเก็บเกี่ยวของผักจะมีความแตกต่างกัน เพราะผักแต่ละชนิดจะมีการสูญเสียคุณค่าของสารอาหาร (Nutrient Losses)ที่ต่างกันไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

  • อุณหภูมิในการเก็บ ผักแต่ละชนิดจะมีความเหมาะสมในการเก็บในอุณหภูมิที่แตกต่างกันไป โดยหากถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าทางอาหารในปริมาณมากได้ เช่น บร็อคโคลี่ เมื่อเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องจะเกิดการสูญเสียวิตามินซีไปอย่างรวดเร็ว แต่จะเกิดการสูญเสียทางสารอาหารน้อยลงเมื่อเก็บไว้ในตู้เย็น หรือกะหล่ำปลี เป็นผักที่มีการสูญเสียคุณค่าทางอาหารน้อยที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องก็ตาม แต่จะต้องระมัดระวังไม่ให้ผักเหี่ยว ส่วนมันฝรั่งจะเก็บได้ยากพอสมควร เพราะเหมาะกับอุณหภูมิในการเก็บที่ 10 องศาเซลเซียส โดยหากอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทำให้มันฝรั่งกลายเป็นสีน้ำตาล และหากอุณหภูมิสูง ก็จะทำให้ต้นอ่อนงอกได้อีกด้วย
  • ความชื้น โดยปกติแล้วผักที่มีน้ำหรือความชื้นเป็นองค์ประกอบอยู่มาก มักจะไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน และมีการสูญเสียคุณค่าของสารอาหารได้ง่าย โดยการเก็บควรเก็บไว้ในถุงเพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นซึมผ่านออกไปจากผัก ก็จะสามารถยืดอายุผักไม่ให้เหี่ยวและรักษาคุณค่าของผักได้ดี
  • ระยะเวลาในการเก็บ โดยส่วนใหญ่แล้วคุณค่าทางสารอาหารที่สามารถสูญเสียได้ง่ายตามระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวก็คือวิตามินซีนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่นมันฝรั่งสด ที่เก็บจากไร่ 100 กรัม มีวิตามินซีอยู่ 60 มิลลิกรัม และหลังจากได้เก็บมันฝรั่งไว้ได้ประมาณ 3 เดือน ก็พบว่ามีการสูญเสียวิตามินซีไปมากถึงร้อยละ 75 จากนั้นก็มีการสูญเสียลดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นผักที่มีวิตามินซีจึงไม่ควรเก็บไว้นานเกินไป
  • ชนิดของผัก เพราะผักแต่ละชนิดจะมีอัตราการสูญเสียคุณค่าทางอาหารที่ต่างกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับชนิดของผักด้วย ซึ่งก็จะมีความสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ เช่น การเก็บผักชีฝรั่งและพริกหวานไว้ที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 9 วัน จะเกิดการสูญเสียแคโรทีนประมาณร้อยละ 80 แต่หากเป็นต้นกระเทียมจะมีการสูญเสียทางสารอาหารมากกว่า โดยพบว่าแค่เก็บไว้นาน 3 วัน ก็สูญเสียแคโรทีนได้มากถึงร้อยละ 53 เลยทีเดียว
    ในขั้นตอนกระบวนการแปรรูอาหารให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ จะทำให้เกิดการสูญเสียสารอาหาร เช่น การหั่น การล้าง การทอด การละลายในไขมัน การได้รับความร้อน
    ในปัจจุบัน สารอาหารจากน้ำผักกำลังเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางสารอาหารซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และนิยมนำมาดื่มกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งอาจเป็นน้ำผักที่ทำจากผักเพียงอย่างเดียวหรืออาจจะมีการผสมผลไม้ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยและเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารให้มากขึ้นด้วยก็ได้ นอกจากนี้ก็อาจจะมีการปรุงรสเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เพื่อให้น้ำผักมีรสชาติที่อร่อย น่าดื่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย โดยทั้งนี้ก็ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับวิตามินจากน้ำผักที่ผลิตเสร็จทันทีและในผักผลไม้สดที่นำมาทำ ก็พบว่าวิตามินที่อยู่ในน้ำผักผลไม้ที่ผลิตเสร็จทันที มีน้อยกว่าวิตามินในผักผลไม้สดที่นำมาทำเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าได้มีการสูญเสียคุณค่าทางอาหารและวิตามินส่วนใหญ่ไปในระหว่างการปั่นนั่นเอง นอกจากนี้ยังพบอีกว่า เมื่อเก็บน้ำผักไว้เป็นเวลานาน ก็จะเกิดการค่อยๆ สูญเสียวิตามินจากน้ำผักไปทีละนิด โดยเฉพาะเมื่อเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง แต่หากเก็บไว้ในตู้เย็น ก็จะช่วยชะลอการสูญเสียคุณค่าทางอาหารได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นจึงนิยมเก็บน้ำผลไม้ไว้ในตู้เย็นมากที่สุด

4. เนื้อสัตว์
โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมเก็บอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไว้ในช่องแช่แข็ง ซึ่งก็ช่วยลดการสูญเสียของคุณค่าทางอาหารและชะลอการเน่าเสียได้ดี แต่ในการแช่แข็งก็มีปัจจัยที่ทำให้สารอาหารสูญเสียไปได้เหมือนกัน คือ

  • ความเร็วในการแช่แข็ง หรืออุณหภูมิที่ใช้ในการแช่นั่นเอง โดยหากอุณหภูมิต่ำก็จะแช่แข็งได้เร็วยิ่งขึ้น และช่วยรักษาความคงอยู่ของคุณค่าของอาหารได้มากขึ้นด้วย ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมก็คือต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียสนั่นเอง แต่จากการสำรวจพบว่าตามบ้านส่วนใหญ่นิยมใช้อุณหภูมิที่สูงกว่ากำหนด จึงทำให้การสูญเสียคุณค่าของสารอาหาร ( Nutrient Losses ) ไปพอสมควร
    • การแช่แข็งเนื้อสัตว์ด้วยอุณหภูมิที่ -10 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า จะช่วยให้มีการสูญเสียวิตามินซีและวิตามินบี 1 น้อยกว่าการแช่แข็งที่อุณหภูมิสูงกว่านี้
    • อุณหภูมิของตู้เย็นที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะไม่คงที่ มีการขึ้นลงของอุณหภูมิอยู่เสมอซึ่งเป็นผลให้เกิดการสูญเสียวิตามินไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวิตามินซี ส่วนพวกแคโรทีน วิตามินบี 2 (Vitamin B2) เหล็กหรือแคลเซียมและวิตามินเอ มักจะทนต่อสภาพในการเก็บได้ดีที่สุด
    • ระยะเวลาที่ใช้ในการแช่แข็ง โดยพบว่ายิ่งมีการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในช่องแช่แข็งนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดการสูญเสียวิตามินซี วิตามินบี 1 และ วิตามินบี 2 มากเท่านั้น แม้ว่าในช่วงแรกๆ จะสามารถเก็บวิตามินเหล่านี้ไว้ได้ดีก็ตาม
    • ขนาดของชิ้นเนื้อที่เก็บ โดยพบว่าวิตามินบี 6 จะสามารถสูญเสียได้อย่างรวดเร็วมากในชิ้นเนื้อที่มีขนาดเล็ก เพราะฉะนั้นจึงควรเก็บชิ้นเนื้อแบบเป็นก้อนใหญ่ๆ จะดีที่สุด
    • ชนิดของเนื้อ โดยพบว่าปลาจะมีการสูญเสียคุณค่าของสารอาหาร ( Nutrient Losses ) มากที่สุดเมื่ออยู่ในระหว่างการแช่แข็ง นั่นก็เพราะว่าปลามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งมากกว่าในเนื้อหมูหรือเนื้อวัว อย่างไรก็ตาม ปลาแต่ละชนิดก็จะมีการสูญเสียคุณค่าทางอาหารในระยะเวลาเก็บต่างกัน โดยปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาสวาย ปลาเฮริง จะมีอายุการเก็บ 4-6 เดือน ที่อุณหภูมิเดียวกัน อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการจัดการก่อนที่จะนำมาแช่แข็งด้วย ยิ่งนำมาแช่แข็งช้าเท่าไหร่ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงมากเท่านั้น ซึ่งจะมีผลต่อลักษณะเนื้อและสารอาหารที่มีอยู่ในปลาโดยตรง
    • วิธีการคืนตัว หมายถึงการนำอาหารที่แช่แข็งออกมาทำให้กลับคืนตัวเหมือนเดิมเพื่อทำอาหาร ซึ่งจะมีการสูญเสียคุณค่าอาหารได้ เช่น โปรตีนและวิตามินบี โดยจะสูญเสียไปพร้อมกับน้ำเลือดที่ไหลซึมออกมา เพราะฉะนั้นการคืนตัวของอาหารแช่แข็งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ เพราะมีผลทั้งสารอาหารที่มีอยู่และการยอมรับทางประสาทสัมผัสของเนื้อ ในแง่ความนุ่มได้นั่นเอง

5. ผลิตภัณฑ์จากสัตว์
ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ได้จากสัตว์ จะมีการสูญเสียคุณค่าทางอาหาร คือ

  • ไข่ จะสูญเสียคุณค่าทางสารอาหารได้ดี เมื่อถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำมาก อย่างไรก็ตาม การเก็บไข่ไว้นานเกินไปก็จะส่งผลให้เกิดการสูญเสียวิตามินบางตัว
  • นม สำหรับการสูญเสียคุณค่าทางอาหารในน้ำนมจะขึ้นอยู่กับแสงสว่าง อุณหภูมิที่นมผ่านขบวนการมา และปริมาณออกซิเจน ดังนั้นจึงไม่ควรเก็บนมไว้ในที่ที่มีแสงสว่างส่องถึง หรือมีอุณหภูมิสูงเกินไปเพราะจะทำให้สูญเสียคุณค่าของอาหาร เช่น วิตามินบีสอง วิตามินซี โดยเฉพาะหากใส่นมไว้ในขวดแก้วใสหรือพลาสติกใสด้วยแล้ว ซึ่งจะมีการสูญเสีย มากถึงร้อยละ 50 แต่หากนมถูกแสงแบบแสงมัวๆ ก็จะเกิดการสูญเสียวิตามินบีสองประมาณร้อยละ 20 นอกจากนี้ไรโบเฟลวินที่มีอยู่ในน้ำนมก็จะจะเปลี่ยนเป็น ลูมิโครม Lumichrome และลูมิเฟลวิน Lumiflavin ซึ่งมีฤทธิ์เป็นตัวเร่งทำให้เกิดการทำลายวิตามินซีในนมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้นมที่ถูกแสงแดดเป็นเวลานานก็จะทำให้กลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย
    ดังนั้นการเก็บนมเพื่อให้มีคุณค่าทางอาหารยังคงอยู่มากที่สุด จึงควรเก็บไว้ในกล่องลังหรือเก็บให้พ้นจากแสงสว่างและอุณหภูมิความร้อนจากแสงแดด แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรเก็บไว้นานเกินไป เพราะยิ่งเก็บนานก็จะยิ่งเกิดการสูญเสียวิตามินบี 2 ได้มากเหมือนกัน

การสูญเสียคุณค่าทางอาหารในขณะเตรียมก่อนหุงต้ม

การสูญเสียคุณค่าทางอาหารในขณะเตรียมก่อนหุงต้ม - การสูญเสียสารอาหารในอาหารที่คุณคาดไม่ถึง ( Nutrient Losses )การเตรียมก็คือการนำอาหารมาทำให้พร้อมสำหรับที่จะประกอบอาหารและหุงต้มนั่นเอง โดยมีวิธีการเปลี่ยนหลากหลายวิธีต่างกันไป เช่น การล่าง การแช่น้ำ การหั่น เป็นต้น

1. การปอก ตัด คว้าน ฯลฯ โดยเฉพาะการปอกเปลือกของผักผลไม้ออก เพราะเป็นส่วนที่คนไม่นิยมกินกัน แต่รู้ไหมว่าเปลือกของผลไม้และเนื้อเยื่อส่วนที่ติดอยู่กับเปลือก ส่วนใหญ่จะมีวิตามินสูงกว่าเนื้อหรือน้ำภายในซะอีก ดังนั้นจึงเท่ากับว่าได้นำเอาสารอาหารทิ้งไปเป็นจำนวนมากนั่นเอง ( ยกเว้นสับปะรด ไส้กลางของสับปะรดจะมีวิตามินซีสูงกว่าเนื้อ ) ดังนั้นเพื่อให้เกิดการสูญเสียคุณค่าของอาหารน้อยที่สุด ผักหรือผลไม้เปลือกบางที่กินได้ทั้งเปลือกก็ควรกินทั้งเปลือก เช่น แตงกวา แต่ถ้าเป็นผักผลไม้ที่จำเป็นต้องปอกเปลือก ก็ควรปอกให้บางที่สุดเช่นกัน หรืออาจใช้วิธีการขูดผิวสำหรับผักผลไม้บางชนิดแทน เช่น แครอท ซึ่งก็จะช่วยสงวนคุณค่าของอาหารไว้ได้ดี นอกจากนี้จากการทดลองกับมันฝรั่งก็พบว่าการปอกเปลือกมันฝรั่งแล้วต้มจะมีการสูญเสียวิตามินซีมากถึงร้อยละ 50 แต่มันฝรั่งที่นำมาต้มโดยไม่ปอกเปลือกจะสูญเสียวิตามินซีและคุณค่าทางสารอาหารแค่ร้อยละ 20 เท่านั้น ส่วนผักบางชนิดก็สามารถทานได้เลยโดยไม่ต้องปอกเปลือกให้หมด เช่น บวบเหลี่ยมที่ไม่แก่เกินไป ก็ปอกเอาเหลี่ยมออกเท่านั้นหรือฟักทองก็ปอกออกเป็นบางส่วน เท่านี้ก็จะทำให้ผักเหล่านี้ยังคงคุณค่าทางอาหารไว้มากที่สุดแล้ว นอกจากนี้จากการวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์ดลีย์ ได้พบว่าเปลือกของแอปเปิ้ลแดงหนึ่งผลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมากเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม เลยทีเดียวและยังอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินที่มีประโยชน์มากมาย จึงนิยมให้ทานแอปเปิลทั้งเปลือกมากกว่าการปอกเปลือกออกนั่นเอง

ส่วนในประเภทผักใบนั้น ใบที่อยู่ส่วนนอกที่คนชอบเอาออกเวลาเตรียมอาหาร จะเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและแคโรทีนสูงมาก จึงเป็นการสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปมากทีเดียว นั่นก็เพราะแคโรทีนส่วนใหญ่มักจะอยู่ในส่วนที่เป็นสีมากกว่าในส่วนขาว ดังนั้นที่ลำต้นและก้านของผักใบจึงพบสารอาหารที่น้อยกว่าใบนั่นเอง แถมใบที่อยู่ด้านนอกก็มักจะมีวิตามินและแร่ธาตุที่มากกว่าใบที่อยู่ด้านในอีกด้วย หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ส่วนที่มีสีเข้มกว่าจะมีประโยชน์มากกว่านั่นเอง ดังนั้นในกรณีที่ทานผักประเภทใบ ควรหลีกเลี่ยงการนำใบที่อยู่ด้านนอกออกจะดีที่สุด

2. การล้างหรือแช่ผักในน้ำ ก็ส่งผลให้เกิดการสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปเช่นกัน โดยเฉพาะสารอาหารที่สามารถละลายน้ำได้ โดยจะเกิดการสูญเสียมากน้อยแค่ไหน ก็ย่อมขึ้นอยู่กับ

  • อุณหภูมิของน้ำ หากอุณหภูมิสูง สารอาหารต่างๆ จะถูกละลายออกไปเร็วมากขึ้น จึงควรล้างหรือแช่ผักในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำหรืออุณหภูมิปกติ
  • หากอาหารมีผิวหน้าตัดมากเท่าไหร่ ก็จะสูญเสียคุณค่าทางอาหารออกไปเร็วมากเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีการหั่นก่อนนำไปล้าง ดังนั้นแนะนำให้ล้างก่อนนำมาหั่นจะดีที่สุด เพื่อลดการสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปนั่นเอง
  • ระยะเวลาที่ใช้ในการแช่น้ำ โดยพบว่ายิ่งมีการแช่ผักผลไม้ในน้ำนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งเกิดการสูญเสียของสารอาหารมากเท่านั้น จึงไม่ควรใช้เวลาในการล้างหรือแช่นานเกินไป
    การซาวข้าวก็เช่นกัน ยิ่งมีการซาวข้าวหลายครั้งก็จะสูญเสียวิตามินบี 1 มากขึ้นเท่านั้น โดยพบว่าหากเป็นข้าวขาวจะสูญเสียที่ร้อยละ 25 ต่อครั้ง หากเป็นข้าวแดงจะสูญเสียที่ร้อยละ 10 ต่อครั้ง เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็อย่าเผลอซาวข้าวมากเกินไปเลยเชียว

3. การหั่นผัก ก็ทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าทางอาหารมากเช่นกัน เพราะในระหว่างการหั่นจะทำให้ย่อยแอสคอร์เบส ( Ascorbase ) ทำปฏิกิริยากับวิตามินซีและเกิดการสูญเสียวิตามินซีออกไปในที่สุด ทั้งแร่ธาตุต่างๆ ก็อาจจะสูญเสียออกมาได้ตรงบริเวณที่หั่นอีกด้วย ดังนั้นควรหั่นผักให้มีขนาดพอเหมาะไม่มีขนาดที่เล็กเกินไปหรือใหญ่เกินไปจะดีกว่าเพราะผักที่มีขนาดใหญ่ จะต้องใช้ระยะเวลาในการต้มหรือผัดเพื่อให้สุกนานกว่าผักชิ้นเล็ก จึงมีโอกาสที่จะสูญเสียสารอาหารมากกว่าผักชิ้นเล็กนั่นเอง ส่วนมีดที่ใช้หั่นผักก็จะต้องเป็นมีดที่มีความคมมากพอสมควรด้วยเพื่อไม่ให้เซลล์ของผักเกิดการช้ำมากเกินไป ซึ่งเป็นทางหนึ่งที่ทำให้สูญเสียคุณค่าของสารอาหารได้มากขึ้นนั่นเอง และที่ สำคัญเมื่อหั่นผักเรียบร้อยแล้วแนะนำให้นำไปประกอบอาหารทันที เพราะหากตั้งไว้นานๆ จะเกิดการสูญเสียคุณค่าทางอาหารออกมาเรื่อยๆ กว่าจะได้ประกอบอาหาร คุณค่าของผักก็หายไปเป็นจำนวนมากแล้วนั่นเอง ส่วนการเตรียมผักที่จะใช้ในการทำสลัด แนะนำว่าไม่ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพราะการหั่นเป็นชิ้นเล็กจะทำให้มีพื้นที่ผิวมาก ซึ่งวิตามินซีและวิตามินที่ละลายน้ำจะเกิดการสูญเสียในการล้างและการต้มด้วยน้ำได้นั่นเอง

4. การแช่อาหารในน้ำ พบว่าจะทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้ำเยอะมาก โดยเฉพาะเมื่อมีการแช่ในน้ำปูนใส เพราะน้ำปูนใสมีฤทธิ์เป็นด่าง จึงทำให้วิตามินบี 1 สลายตัวและสูญเสียไปจากอาหารได้ง่าย เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงวิธีนี้

การสูญเสียคุณค่าอาหารระหว่างการประกอบอาหาร

การสูญเสียของคุณค่าทางอาหารสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างการประกอบอาหาร โดยจะมีอัตราการสูญเสียที่แตกต่างกันไปตามชนิดของอาหาร นั่นก็เพราะอาหารแต่ละชนิดจะมีความคงทนต่อความร้อน แสงสว่าง ออกซิเจนและความเป็นกรดด่างที่แตกต่างกันนั่นเอง ถ้าเป็นการประกอบอาหารด้วยความร้อนชื้น เช่น เมื่อมีการเติมน้ำลงไปในการหุงต้มด้วย ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินที่ละลายในน้ำได้มากมาก แต่หากมีการประกอบอาหารแบบมีความร้อนแห้งและใช้น้ำมันเป็นองค์ประกอบ อย่างเช่น การผัด การทอด ก็จะมีการสูญเสียวิตามินและแร่ธาตุที่ละลายในไขมันได้ไปนั่นเอง สรุปก็คือ ไม่ว่าประกอบอาหารด้วยวิธีใด ก็ล้วนมีการสูญเสียคุณค่าทางอาหารทั้งสิ้น

1. การต้ม โดยส่วนใหญ่การใช้ความร้อนในการหุงต้มอาหารจะส่งผลให้ขาดคุณค่าทางอาหารบางอย่างไปได้ แต่จะมากหรือน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ด้วย

  • ปริมาณของความร้อนที่ใช้ในการหุงต้ม โดยความร้อนจะทำให้ผนังเซลล์สลายตัวหรืออ่อนตัวลง ซึ่งจะทำให้วิตามินต่างๆ สูญเสียออกไปได้ จึงควรใช้ไฟแรงในการหุงต้ม เพื่อทำให้อาหารสุกเร็วและเกิดการสูญเสียน้อยที่สุด
  • เวลาที่ใช้ในการปรุงอาหาร โดยพบว่า ยิ่งใช้เวลาในการปรุงอาหารนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้สูญเสียคุณค่าอาหารมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการหุงต้มให้น้อยที่สุด เพื่อคงคุณค่าของอาหารไว้ให้มากที่สุดนั่นเอง และยังช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นแรงของอาหารบางชนิดได้อีกด้วย โดยจะเห็นได้ว่ามีการสูญเสียวิตามินในการประกอบอาหารที่ใช้น้ำและระยะเวลาในการหุงต้มที่ต่างกันอย่างไรบ้าง
    1. เวลา 1 นาที ที่อุณหภูมิ 177° และ 9 นาที ที่ 121°
    2. เวลา 5 นาที ที่อุณหภูมิ 177° และ 10 นาที ที่ 121°
    3. น้ำ : ผัก = 4 : 1
    4. น้ำ : ผัก = 0.5 : 1 
    จะเห็นได้ว่าหากเป็นการต้มเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อหมู ซึ่งหากต้มเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการสูญเสียซีสทีนที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็นมากถึงร้อยละ 44 แต่กรดอะมิโนจำเป็นชนิดอื่นๆ ยังคงอยู่ครบถ้วน และยังจะเกิดการสูญเสียวิตามินที่จำเป็น อย่างวิตามินบี 2 วิตามินบี 1 กรดแพนโทเธนิคและไนอาซินได้อีกด้วย
  • ชนิดของภาชนะที่นำมาใช้ในการหุงต้ม โดยพบว่าภาชนะที่มีการเคลือบหรือเป็นแบบแก้วทนไฟ จะสามารถรักษาคุณค่าทางอาหารได้มากกว่าภาชนะที่ทำจากอลูมิเนียม ทองเหลืองหรือทองแดง
  • การใส่สารเคมีลงไปในขั้นตอนการทำอาหาร ซึ่งอาจจะสามารถรักษาวิตามินและสารอาหารบางชนิดให้คงอยู่ได้ แต่ก็อาจจะสูญเสียวิตามินหรือสารอาหารบางชนิดไปได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อย่นระยะเวลาในการหุงต้ม แนะนำว่าควรใช้หม้ออัดความดันจะดีที่สุด และจากการศึกษาวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์แห่งวีทีทีเทคโนโลยีในเมืองเอสปู ประเทศฟินแลนด์ ก็ยังพบอีกว่าการลวกผักด้วยน้ำร้อนจะทำลายเอนไซม์ที่มีอยู่ในผักได้ โดยอาจทำให้รสชาติของผักเปลี่ยนแปลงไป และอาจทำลายสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักได้มากถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว

2. การนึ่ง เป็นวิธีการสงวนคุณค่าอาหาร ที่จะสามารถคงคุณค่าของอาหารไว้ได้ดี แต่ควรใช้น้ำในการนึ่งให้น้อยที่สุดด้วย และที่สำคัญในขณะทำการนึ่งจะต้องปิดฝาให้ดี เพื่อไม่ให้วิตามินบี2 ถูกทำลายนั่นเอง

3. การย่าง จะทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินที่ละลายในน้ำและวิตามินที่มีการละลายในไขมันได้ เช่น วิตามินบี1 จะสูญเสียประมาณร้อยละ 20-60 ไนอาซิน สูญเสียประมาณร้อยละ 10-40 ส่วนวิตามินเอ พบว่าหากมีการย่างบนเตาถ่านที่มีอุณหภูมิประมาณ 95° ใช้เวลา 10 นาที จะสูญเสียวิตามินเอประมาณร้อยละ 33 และหากเป็นการนำขนมปังมาปิ้งจะทำให้สูญเสียวิตามินไปประมาณร้อยละ 15-20 ขึ้นอยู่กับขนาดชิ้นของขนมปังว่ามีความหนาหรือบางมากแค่ไหนด้วย

4. การทอดผัก จะทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร ( Nutrient Losses ) ไปเป็นอย่างมาก เช่น วิตามินบี1 จะสูญเสียประมาณร้อยละ 15 วิตามินเอจะละลายในน้ำมันที่ใช้ทอดได้ โดยจำการทดลองทอดไข่ดาวในน้ำมันพืชกับทอดไข่เจียว โดยใช้อุณหภูมิ 150° เวลา 3 นาที พบว่าวิตามินเอจะสูญเสียประมาณร้อยละ 45-52 และไขเจียวจะสูญเสียประมาณร้อยละ 61-66 นอกจากนี้ก็ยังพบว่าเบต้าแคโรทีนจะสูญเสียไปจากการทอดมากกว่าวิตามินเอ ซึ่งถือเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากทีเดียว
ส่วนที่เป็นเนื้อสัตว์ การให้ความร้อนกับอาหารถ้ามีการทอดเนื้อสัตว์จนสุกเกินไป ก็จะทำให้เนื้อแข็งเคี้ยวยาก กระเพาะอาหารจะย่อยได้ไม่หมด และต้องสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปอย่างเปล่าประโยชน์ ด้วยการถูกขับออกมาจากร่างกายนั่นเอง

5.การผัด แนะนำให้ใส่น้ำมันแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และต้องไม่มีการพรมน้ำหรือเติมน้ำลงไป ก็จะช่วยคงคุณค่าทางอาหารของผักไว้ได้ดี อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะเหมาะกับผักที่มีความอ่อนนุ่มเท่านั้น เพราะสามารถทำให้สุกได้เร็ว จึงไม่สูญเสียคุณค่าทางอาหารมากเกินไปนั่นเอง
นอกจากนี้ไขมันที่นำมาใช้ในการทอดหรือผัดก็มีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าในอาหารเช่นกัน นั่นก็เพราะเมื่อไขมันได้รับความร้อนจนถึงจุดหนึ่งจะเกิดเป็นควันขึ้นมา และมีการสลายตัวของไขมันกลายเป็นกรดไขมัน ทำให้วิตามินในอาหารที่นำมาทอดด้วยความร้อนสูงสลายตัวเสื่อมไปด้วย และหากมีการนำน้ำมันที่ผ่านการทอดหลายครั้งแล้วมาใช้ก็จะเกิดการสูญเสียคุณค่าทางอาหารมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งไปอีกและเกิดไขมันทรานส์เป็นพิษกับร่างกาย

6. การตุ๋น จะช่วยสงวนคุณค่าของอาหารประเภทเนื้อไว้ได้ดีที่สุด และเนื่องจากการตุ๋นทำให้เนื้อเปื่อยย่อยง่าย ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมและนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเนื่องจากการตุ๋นจะต้องใช้หม้ออัดความดัน โดยมีคุณสมบัติคือภายในหม้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ระยะเวลาที่ใช้ในการหุงต้มสั้นลงกว่าเดิม และสามารถคงคุณค่าทางอาหารไว้ได้มากนั่นเอง โดยเฉพาะวิตามินซี แต่อย่างไรก็ตาม การตุ๋นก็ไม่ควรต้มจนสุกมากเกินไป เพราะจะส่งผลให้รสชาติแย่ลงได้และอาจสูญเสียคุณค่าทางอาหารมากอีกด้วย ดังนั้นจึงควรควบคุมระยะเวลาในการหุงต้มให้ดี

7. การอบ เป็นอีกวิธีที่จะช่วยสงวนคุณค่าทางอาหารได้อย่างดีเยี่ยม แต่ในขณะเดียวกันการที่ความร้อนค่อยๆ ผ่านไปในอาหารอย่างช้าๆ ในขณะที่อบ ก็จะทำให้สูญเสียวิตามินซีได้มากเช่นกัน ดังนั้นในการอบจึงแนะนำให้เปิดเตาอบให้ร้อนเสียก่อน แล้วจึงนำอาหารลงไปอบ เท่านี้ก็จะช่วยลดระยะเวลาที่วิตามินซีในอาหารจะถูกทำลายได้ดี และสามารถคงคุณค่าทางอาหารให้มีความสมบูรณ์มากที่สุดอีกด้วย การอบจึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยคงคุณค่าของอาหารไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

8. การทำให้สุกโดยใช้ไมโครเวฟ เป็นวิธีที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยประหยัดเวลาและประหยัดพลังงานได้ดี โดยจากงานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าการประกอบอาหารเนื้อสัตว์ในเตาไมโครเวฟจะสามารถประหยัดเวลาได้มากถึง 4-5 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้เตาอบและยังช่วยลดการสูญเสียวิตามินในอาหารได้อีกด้วย โดยเฉพาะวิตามินบี1 สำหรับวิตามินบี6 จะคงที่ในการหุงต้มพวกสัตว์ปีก แต่จะมีการสูญเสียได้อย่างรวดเร็วมากในเนื้อหมู และสำหรับการใช้ไมโครเวฟในการหุงต้มผักนั้น พบว่าจะสามารถคงคุณค่าของวิตามินซีได้มากถึงร้อยละ 80-90 เพราะสามารถทำให้สุกได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่สูญเสียคุณค่าอาหารไปมากนัก และเนื่องจากการใช้ไมโครเวฟจะมีน้ำเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย จึงทำให้สูญเสียคุณค่าอาหารน้อยลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรอุ่นอาหารที่อยู่ในภาชนะประเภทพลาสติก เพราะจะเกิดสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ และนอกจากนี้ยังพบว่าการประกอบอาหารโดยใช้เตาไมโครเวฟมีส่วนในการทำลายสารต้านอนุมูลอิสระโดยตรงอีกด้วย ซึ่งอาจมีสารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งได้เลยทีเดียว

การสูญเสียคุณค่าอาหารในขั้นการเก็บอาหารที่สำเร็จแล้ว

อาหารที่ปรุงสำเร็จแล้วหากมีการเก็บไว้หรืออุ่นซ้ำโดยไม่ได้ทานให้หมดในทันที จะเกิดการสูญเสียคุณค่าอาหารได้ หรือการตักใส่ภาชนะตั้งไว้เป็นเวลานานก็อาจมีการสูญเสียคุณค่าอาหารเช่นกัน โดยกรณีที่เป็นผักจะมีการสูญเสียวิตามินซีในผักมากขึ้น ซึ่งจะสูญเสียไปตามระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บอาหารนั่นเอง เพราะฉะนั้นหลังปรุงอาหารเสร็จควรทานทันที ไม่ควรทิ้งไว้ค้างคืนเด็ดขาด หรือแม้แต่การแช่ตู้เย็นไว้ ก็ยังทำให้คุณค่าทางอาหารลดต่ำลงเช่นกัน

การสูญเสียคุณค่าอาหารในกระบวนการแปรรูปอาหาร

การแปรรูปอาหาร เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบันและมีประโยชน์ต่อประชาชนไม่น้อย เพราะด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารในปริมาณมากที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง โดยเหตุผลทั่วไปของการแปรรูปอาหารก็คือ
1. ทำให้เก็บอาหารไว้เป็นระยะเวลานานขึ้น เพราะการแปรรูปส่วนใหญ่จะช่วยถนอมอาหารด้วย
2. ทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค จึงลดการติดเชื้อหรือป่วยได้ดี
3. อาหารย่อยได้ดีขึ้นและเพิ่มคุณค่าอาหารให้มีประโยชน์ยิ่งขึ้นไปอีก
4. เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค เพราะทานได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยุ่งยากและมีรสชาติอร่อย
5. สามารถเติมสารอาหารบางอย่างลงไปได้ เช่น วิตามินดีในนม โดยจะยิ่งเพิ่มคุณค่าของอาหารให้มากขึ้นไปอีกนั่นเอง
6. ลดสารที่เป็นพิษ จึงป้องกันการสะสมของสารอันตรายในร่างกายได้ดี โดยเฉพาะสารที่จะทำให้เป็นมะเร็งได้
7. เปลี่ยนลักษณะทางกายภาพของอาหาร

อย่างไรก็ตามการนำวัตถุดิบอาหารมาผ่านการแปรรูป ก็ไม่ได้ทำให้อาหารมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นเสมอไป ในบางครั้งก็อาจทำให้คุณค่าทางอาหารลดน้อยลงได้เหมือนกัน โดยจะขึ้นอยู่กับสภาวะของการแปรรูปนั่นเอง ว่ามีผลต่ออาหารที่นำมาแปรรูปมากแค่ไหน เช่น สภาพการเป็นกรดด่างของส่วนผสม การมีอากาศ ออกซิเจน แสง ความร้อน เป็นต้น โดยจากการศึกษาก็พบว่า การแปรรูปส่วนใหญ่จะทำให้สูญเสียน้ำหนักของอาหารไป ทำให้คุณภาพของโปรตีนลดลงและอาจมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไปจากความเป็นจริงได้ โดยเฉพาะการเหม็นหืนที่เกิดตอนการสี โดยจะทำ ให้วิตามินบี 1 ลดลงได้ในที่สุด นอกจากนี้ในการแปรรูปมักจะสูญเสียวิตามินที่มีการละลายในน้ำไป จากการล้างทำความสะอาดหรือแช่น้ำนั่นเองและวิตามินบางชนิดที่ไม่ทนต่อความร้อนหรือมีการละลายในไขมันได้ ก็อาจเกิดการสูญเสียออกไปเช่นกัน

สำหรับการแปรรูปโดยวิธีการถนอมอาหารก็มีหลายวิธี เช่น การให้ความร้อน การให้ความเย็น การทำให้แห้ง และการหมัก เป็นต้น โดยการแปรรูปก็มักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับอาหารในหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ ขนาด สี หรือลักษณะของเนื้ออาหาร ดังนั้นผู้ผลิตส่วนใหญ่จึงพยายามเลือกวิธีการแปรรูปที่จะช่วยถนอมอาหารได้ดีไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสม เพื่อคงรสชาติของอาหารให้ยังคงอยู่และมีรสชาติดีมากที่สุด

การสูญเสียคุณค่าทางสารอาหารจากการใช้ความร้อนในการถนอมอาหาร

โดยจะเสียคุณค่าสารอาหารมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการแปรรูปอาหาร
2. ความทนทานของสารอาหารแต่ละชนิด
3. ลักษณะของอาหารแต่ละชนิด
4. ระดับความร้อนที่ใช้ในการแปรรูป
5. ภาชนะที่ใช้บรรจุและการเก็บ
6. การใช้ความระมัดระวังเมื่ออาหารได้รับความร้อน

การสูญเสียคุณค่าทางสารอาหารจากการใช้ความเย็นในการถนอมอาหาร

การแช่แข็งอาหารเป็นวิธีการถนอมอาหาร ที่สามารถรักษากลิ่นรสและคุณค่าทางอาหารของอาหารเอาไว้ได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ เนื่องจากการแช่แข็งไม่ได้ทำให้วิตามินต่างๆ ถูกทำลาย แต่การสูญเสียวิตามินต่างๆ นั้นมักจะเกิดขึ้นในระหว่างการเตรียมของเพื่อจะทำการแช่แข็ง โดยเฉพาะวิตามินชนิดละลายในน้ำ เช่น ขั้นตอนการล้าง ตัดแต่ง การลวกและทำให้เย็น

ในระหว่างการลวกและทำให้เย็นจะทำให้สูญเสียวิตามินซีไปประมาณร้อยละ 10-50 และสูญเสียวิตามินบีหนึ่งประมาณร้อยละ 9-60 ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผักชนิดไหนและมีขั้นตอนในการลวกอย่างไร เช่น ขนาดของผัก ปริมาณของผักที่นำไปลวกในแต่ละครั้ง และความเร็วในการทำให้เย็น เป็นต้น การลวกโดยวิธีการใช้ไอน้ำจะทำให้คุณค่าทางสารอาหารสูญเสียน้อยกว่าการใช้น้ำร้อนในการลวก และหากเป็นการใช้ไมโครเวฟหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นๆ ในการลวกจะทำให้สูญเสียคุณค่าทางสารอาหารน้อยกว่าการลวกโดยใช้ไอน้ำ
ส่วนผลไม้และเนื้อสัตว์ก่อนที่จะนำไปแช่แข็งนั้น จะมีการเตรียมแค่ขั้นต้อนในการล้างและตัดแต่งให้ได้ขนาดตามต้องการเท่านั้น ซึ่งหากมีความระมัดระวังในการเตรียมก็จะทำให้สูญเสียคุณค่าทางสารอาหารน้อย

การสูญเสียคุณค่าทางสารอาหารจากการใช้วิธีดึงความชื้นออกจากอาหาร

อาหารที่ผ่านการแช่แข็งนั้น อาจจะยังสูญเสียคุณค่าทางสารอาหารได้อีกแต่จะมากหรือน้อย ก็แล้วแต่ชนิดของอาหาร ระยะเวลาที่ใช้เก็บ และการทำให้อาหารคืนรูปก่อนที่จะนำไปหุงต้ม ซึ่งหากนำอาหารแต่ละชนิดมาเปรียบเทียบกันแล้ว อาหารจำพวกผักจะมีการสูญเสียวิตามินซีประมาณร้อยละ 50 ส่วนผลไม้จะมีการสูญเสียวิตามินซีในปริมาณที่น้อยกว่าคือ ร้อยละ 30 แต่สำหรับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์วิตามินที่สูญเสียเป็นส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มวิตามินบี
การทำให้อาหารแห้งและการทำให้อาหารข้นนั้นเป็นการแปรรูปอาหารโดยการดึงเอาน้ำออกมาจากอาหาร เพื่อให้อาหารลดความชื้นลงจนกระทั่งระงับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ ซึ่งมักจะใช้วิธีให้ความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อให้น้ำระเหยออกจากอาหาร ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอุณหภูมิที่ใช้จะสูงกว่าอุณหภูมิห้องแต่ต่ำกว่าอุณหภูมิที่ใช้สเตอริไลซ์อาหาร การถนอมอาหารด้วยวิธีนี้จึงสามารถคงคุณค่าทางสารอาหารของผลิตภัณฑ์เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ยิ่งในปัจจุบันมีเครื่องมือเครื่องใช้ในการอบแห้ง ที่สามารถทำให้อาหารแห้งได้มากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การใช้ความร้อนจากตู้อบแห้ง การแช่แข็งแล้วทำให้แห้ง การทำให้แห้งแบบพ่นฝอย เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีความเหมาะสมกับอาหารแต่ละประเภทแตกต่างกันออกไป แต่ก็สามารถทำให้อาหารยังคงรักษาคุณภาพเอาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณค่าทางสารอาหาร

การสูญเสียคุณค่าทางสารอาหารจากการใช้วิธีการหมักดอง

การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของอินทรีย์สาร หรือที่เรียกว่าการหมักดอง ( Fermentation ) นั้น ทำได้โดยการใช้น้ำย่อยที่ที่จุลินทรีย์สร้างขึ้น และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในสภาวะที่มีอากาศหรือไม่มีอากาศ ซึ่งลักษณะของอาหารที่ผ่านกระบวนการหมักดองนั้นจะมีความแตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของกลิ่นรส เนื้อสัมผัสรวมทั้งคุณค่าทางอาหารก็จะเปลี่ยนแปลงไปไปด้วย ในเรื่องของโภชนาการนั้นการหมักมีบทบาทที่สำคัญ คือ เป็นการช่วยเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารให้อาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติมีคุณค่าทางสารอาหารเพิ่มมากขึ้น มากกว่าอาหารที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการหมัก เช่น ในนมเปรี้ยว ซึ่งเป็นอาหารที่เกิดจากการใช้เชื้อแลคโตบาซิลลัส บุลการีคัส Lactobocillus Bulgaricus กับสเตรปโตค๊อกคัส เทอร์โมฟิลลัส Streptococcus Thermophiles มาหมักกับน้ำนม ซึ่งผลที่ได้ก็คืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าที่มีในนมสด เนื่องจากในนมเปรี้ยวมีโปรตีนเคซีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เพราะจะถูกย่อยสลายได้ง่ายกว่าโปรตีนเคซีนที่มีอยู่ในน้ำนมสดถึง 2-3 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่โปรตีนเคซีนส่วนหนึ่งถูกแบคทีเรียที่ใช้ในกระบวนการผลิตนมเปรี้ยวย่อยสลายไป ส่งผลให้ร่างกายสามารถย่อยโปรตีนเคซีนได้ง่ายมากขึ้น และสามารถที่จะดูดซึมเอาไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นโดยมีการทดลองทำการศึกษาการเจริญเติบโตของหนูระหว่างหนูที่เลี้ยงด้วยนมเปรี้ยวที่หมักจากเชื้อแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส บุลการีคัส และสเตรปโตค๊อกคัส เทอร์โมฟิลลัส กับหนูที่เลี้ยงด้วยนมสด พบว่าหนูที่เลี้ยงด้วยนมเปรี้ยวจะมีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่าหนูที่เลี้ยงด้วยนมสด สำหรับอาหารประเภทธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งผู้ที่ไม่ได้รับโปรตีนอย่างพอเพียงต้องได้รับเป็นอาหารหลักนั้น เนื่องจากโปรตีนที่มีอยู่ในธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง มีคุณภาพน้อยกว่าโปรตีนที่มีอยู่ในสัตว์ ขบวน การหมักก็จะช่วยให้อาหารประเภทธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้งมีคุณภาพของโปรตีนเพิ่มสูงขึ้น เช่น เทมเป้ จากตารางแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของค่า PER ของอาหารภายหลังจากผ่านขบวนการหมัก ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าในอาหารบางอย่างมีคุณภาพของโปรตีนเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อทำการทดลองโดยศึกษาการเจริญเติบโตของหนูไม่สามารถที่จะได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่า การเจริญเติบโตของหนูเป็นผลมาจากคุณภาพของโปรตีนที่เพิ่มมากขึ้น หรือเป็นเพราะในระหว่างขวนการการหมักได้มีการเปลี่ยนแปลงของสารอาหารอื่นด้วย

วิธีการเก็บอาหารเพื่อรักษาคุณค่าเอาไว้

  • สารอาหารไม่ว่าจะเป็นพืชและสัตว์ จะสูญเสียคุณค่าทางสาอาหารไปในระหว่างการเก็บรักษามากน้อยแตกต่างกันไป วิธีการเก็บที่จะสามารถถนอมรักษาคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้ดีที่สุด การเก็บอาหารเอาไว้ที่ ๆ มีอุณหภูมิต่ำ และอาหารที่นำมาเก็บจะต้องเป็นอาหารที่อยู่ในสภาพที่ดีมีความสดใหม่ ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป ไม่เน่า ไม่ช้ำ ไม่ถูกกระทบกระเทือนหรือทับกันจนเกิดแผลหรือถูกแมลงกัดกิน และต้องมีความสะอาดเพราะถ้าหากมีจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ และเชื้อราปะปนจะทำให้อาหารเน่าเสียเร็วขึ้น 
  • อาหารแต่ละชนิดจะใช้อุณหภูมิในการเก็บแตกต่างกัน คือ อุณหภูมิต่ำกว่า 0° จะเหมาะกับการเก็บเนื้อสัตว์ทุกประเภทที่ต้องการเก็บเอาไว้เป็นเวลานานซึ่งอาจจะนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนและผักผลไม้ เช่น องุ่น มะพร้าว แอปเปิล กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ แครอท เป็นต้น ส่วนอุณหภูมิสูงกว่า 0° เล็กน้อย จะเหมาะกับการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ใช้ประจำวันและเก็บผัก ผลไม้ เช่น สับปะรดสุก ถั่วแขก มะเขือเทศสุก ส้มเกลี้ยง แตงกวา เป็นต้น และอุณหภูมิเย็นปานกลาง ( 10 20° ) เหมาะสมสำหรับเก็บอาหารพวก ไข่ นม เนย กล้วยดิบ มะเขือยาว หัวหอมใหญ่ มันเทศ ฟักทอง มะเขือเทศดิบ เป็นต้น
  • อุณหภูมิปกติ (อุณหภูมิห้อง ) เหมาะกับการเก็บผลไม้บางอย่าง เช่น กล้วยสุก เพราะถ้าหากเอาไปไว้เก็บในที่เย็น จะทำให้เปลือกดำ นอกจากนี้อุณหภูมิห้องยังเหมาะสำหรับเก็บผักที่ใช้ประกอบอาหารประจำวันอีกด้วย

นอกเหนือไปจากวิธีใช้ความเย็นในการเก็บถนอมอาหารแล้วน้ำการใช้มัน เช่น พาราฟีนเคลือบผิวของผักและผลไม้ จะทำให้การระเหยของน้ำจากผักและผลไม้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยยืดเวลาสุกให้ยาวนานขึ้นหากต้องขนส่งไปยังที่อยู่ห่างไกลรวมทั้งระยะเวลาการจำหน่ายในร้านไม่เพียงแต่การเคลือบผิวของผักผลไม้จะช่วยยืดระยะเวลาของความสดออกไปได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผักและผลไม้แลดูสดน่ารับประทานยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็มีผักและผลไม้ที่เคลือบผิวได้ผล อย่างเช่น มะพร้าว ส้ม มะเขือเทศ แตงกวา พริกยักษ์ เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สิริพันธุ์ จุลกรังคะ. โภชนศาสตร์เบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 9.–กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,2558. 314 หน้า. 1.โภชนาการ. RA784.ส37 2558 ISBN 978-616-556-046-7.

“Office of Dietary Supplements – Riboflavin”. ods.od.nih.gov. 11 February 2016. Archived from the original on 20 December 2016. Retrieved 30 December 2016.

Squires, Victor R. (2011). The Role of Food, Agriculture, Forestry and Fisheries in Human Nutrition – Volume IV. EOLSS Publications. p. 121. ISBN 9781848261952. Archived from the original on 2016-12-30.

เมื่ออาหารเข้าปาก เกิดกระบวนการอะไรขึ้นในร่างกาย

0
เมื่ออาหารเข้าปาก เกิดกระบวนการอะไรขึ้นในร่างกาย
เมื่ออาการเข้าสู่ปากระบบต่างๆในร่างกายจะเริ่มทำงาน เริ่มจากฟัน ลิ้น ต่อมน้ำลาย คอหอย กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
เมื่ออาหารเข้าปาก เกิดกระบวนการอะไรขึ้นในร่างกาย
เมื่ออาการเข้าสู่ปากระบบต่างๆในร่างกายจะเริ่มทำงาน เริ่มจากฟัน ลิ้น ต่อมน้ำลาย คอหอย กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่

เมื่ออาหารเข้าปาก

ร่างกายของเราเมื่อมี อาหารเข้าปาก ไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เพราะร่างกายของเราสามารถทำงานทุกอย่างได้เองโดยที่ไม่ต้องมีคนสั่ง คนคอยชี้ว่าต้องทำสิ่งใดในเวลาใด แต่ว่าเมื่อถึงเวลาแล้วร่างกายของเราจะทำงานโดยอัตโนมัติ อย่างเมื่อถึงเวลาอาหาร บางครั้งเรายังไม่รู้เลยว่าถึงเวลารับประทานอาหารแล้ว แต่ร่างกายก็ส่งสัญญานเตือนมาให้เราทราบว่าถึงเวลาอาหาร  แล้วร่างกายต้องการอาหาร สัญญาณที่ว่าก็คืออาการหิว ท้องร้อง มือสั่นและปวดท้อง สำหรับบางคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติก็จะมีอาการหน้ามืด ตาลาย ไม่มีแรงคล้ายจะเป็นลม เมื่อมีอาหารเหล่านี่เกิดขึ้นเชื่อว่าทุกคนต้องรีบหาอาหารเข้าปากโดยด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำตาล บางคนที่ไม่ได้รับประทานอาหารตามที่ตนเองต้องการแล้ว ก็จะมีอารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเห็น ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่เกิดอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เราเรียกอารมณ์หงุดหงิดนี้ว่า โมโหหิว เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเป็นกันแน่นอน เวลาที่หิวแล้วไม่ได้รับประทานอาหารตามที่ต้องการ ซึ่งอาการนี้จะหายไปโดยสิ้นเชิงเมื่อรับประทานอาหารเข้าไป เสมือนกับว่าอารมณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ว่าได้ แล้วเพราะเกิดอะไรขึ้นในร่างกายเมื่ออาหารเข้าปาก จึงทำให้อารมณ์ของเราเปลี่ยนแปลงไปได้ 

การรับประทานอาหารถ้าเรารับประทานอาหารแต่พอดีกับความต้องการของร่างกาย อาหารที่รับประทานเข้าไปก็จะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าเกิดโทษ แต่ทว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารับประทานอาหารมากกว่าที่ร่างกายต้องการ นั่นคือรับประทานตามคนอื่น เช่น เพื่อนชวนกินแต่เราไม่หิว  ด้วยความเกรงใจเราก็ต้องกินด้วย หรือเห็นว่าอาหารน่ากินก็กินเข้าไปทั้งที่ไม่ได้หิว  หรือในกรณีของเด็กทารกที่พ่อแม่ต้องการให้หยุดร้องไห้จึงทำการป้อนนมทุกครั้งที่ลูกร้องไห้ โดยที่เด็กไม่ได้หิวจริงหรือยังไม่ถึงเวลาที่เด็กต้องกินนม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะว่าการที่ร่างกายได้รับอาหารมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง เกิดกรดเกินในกระเพราะและกรดไกลย้อนขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าสะสมเป็นเวลานานแล้ว จะทำให้เกิดโรคอ้วนได้

อาหารที่รับประทานเข้าไป

ตั้งแต่อาหารเข้าปาก อาหารก็จะเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารจนย่อยออกมาเป็นกากถึงขบวนการขับถ่ายทางทวารหนักขึ้นอยู่กับประเภทอาหารในการใช้เวลาย่อยว่าจะนานแค่ไหน

โรคอ้วนเป็นสาเหตุต้นของโรคอื่นๆ ตามมาเช่น โรคหัวใจ โรคความดัน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น เมื่อเรารับประทานอาหารแล้วเกิดอะไรขึ้นในร่างกายเมื่ออาหารเข้าปากเรากันนะ เชื่อว่าหลายคนคงเคยสงสัยกันว่าเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปในร่างกายแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นในร่างกายของเรากับอาหารนั้นบ้าง

กระบวนการแรกของการรับประทานจะเริ่มต้นที่ปาก โดยมีฟันทำหน้าที่บดเคี้นวอาหารให้มีชิ้นเล็ก ลิ้นมีหน้าที่รับรู้รสชาติของอาหารที่เรารับประทาน ต่อมน้ำลายมีหน้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร หลังจากที่อาหารถูกเคี้ยวที่ปากแล้วจะถูกส่งต่อไปยังกระเพาะอาหารผ่านคอหอยกับหลอดอาหารลงไปสู่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารมีหน้าที่เก็บกักอาหารไว้และย่อยอาหารด้วยเอ็นไซม์และกรดเกลือที่มีอยู่ในกระเพาะอาหาร การที่เราเคลื่อนไหวหลังจากที่รับประทานอาหารเข้าไปจะเป็นการช่วยคลุกเคล้าอาหารให้กับเอ็นไซม์และน้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ที่กระเพาะอาหารจะย่อยอาหารให้เป็นโมเลกุลเล็กและส่งต่อไปยังลำไส้เล็กจะทำการเปลี่ยนอาหารที่อยู่ในรูปของแข็งที่มาจากกระเพาะอาหารให้อยู่ในรูปของเหลว และทำการดูดซึมสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารผ่านทางผนังลำไส้เล็กไหลเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อนำไปใช้ต่อไป

นอกจากนั้นเมื่อลำไส้เล็กได้รับอาหารเข้ามาจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งเอ็นไซม์กับโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต และกระตุ้นต่อมน้ำดีให้หลั่งน้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็กตอนต้นเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร กากใยอาหารที่เหลือจากการย่อยของลำไส้เล็กจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่ที่อยู่ต่อจากลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ดูดซึมน้ำและเกลือแร่บางส่วนที่หลงเหลืออยู่ในกากใยอาหารทำให้กากใยรวมตัวกันเป็นก้อนพร้อมที่จะถูกขับออกมาจากลำไส้ใหญ่ผ่านทางทวารหนัก ทวารหนักคือลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อหูรูดมีหน้าที่ขับถ่ายของเสียหรือกากใยอาหารที่ผ่านการดูดซึมสารอาหารออกไปจนหมดแล้วออกมา บริเวณผนังของลำไส้ใหญ่จะมีการขับเมือกออกมาช่วยในการเคลื่อนที่ของกากใยอาหาร ซึ่งกากใยอาหารที่อยู่ในลำไส้ใหญ่จะเรียกว่า “อุจจาระ” นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกายเมื่ออาหารเข้าปาก นั่นคือเมื่ออาหารเข้าปากจะผ่านคอหอยและหลอดอาหารลงสู่กระเพาะเพื่อทำการย่อยส่งผ่านปยังลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กเป็นจุดสุดท้ายที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร พร้อมทั้งทำการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ส้นเลือด และส่งต่อกากใยอาหารที่เหลือไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อขับออกจากร่างกายทางทวารหนัก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง 

Kong F, Singh RP (June 2008). “Disintegration of solid foods in human stomach”. J. Food Sci. 73 (5): R67–80.

Maton, Anthea; Jean Hopkins; Charles William McLaughlin; Susan Johnson; Maryanna Quon Warner; David LaHart; Jill D. Wright (1993). Human Biology and Health. Englewood Cliffs, New Jersey, US: Prentice Hall. ISBN 0-13-981176-1.

Pocock, Gillian (2006). Human Physiology (Third ed.). Oxford University Press. p. 382. ISBN 978-0-19-856878-0.

คุณประโยชน์ของน้ำ ( Water – H2O )

0
คุณประโยชน์ของน้ำ (Water – H2O)
น้ำมีลักษณะโปร่งใส ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ที่ประกอบด้วยออกซิเจนและไฮโดรเจน
คุณประโยชน์ของน้ำ (Water – H2O)
น้ำมีลักษณะโปร่งใส ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ที่ประกอบด้วยออกซิเจนและไฮโดรเจน

คุณประโยชน์ของน้ำ

น้ำ ( Water หรือ H2O ) เป็นส่วนประกอบหลักในร่างกายมนุษย์ 55% ถึง 78% ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยมีความสำคัญรองมาจากอากาศเลยทีเดียว ซึ่งพบว่าคนเราสามารถเสียชีวิตได้แค่ไม่ได้รับน้ำประมาณ 2-3 วันเท่านั้น จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ ดื่มน้ำให้เพียงพอของร่างกายอยู่เสมอนั่นเอง นอกจากนี้ในร่างกายของคนเราก็จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด คือประมาณร้อยละ 60 ของน้ำหนักตัว และสำหรับเด็กทารกแรกเกิด ก็จะมีน้ำมากถึงร้อยละ 75-80 ของน้ำหนักตัวเลยทีเดียว และในบทความนี้ก็จะมากล่าวถึงปริมาณของน้ำทั้งหมดในร่างกาย ความต้องการน้ำของร่างกาย การรักษาความสมดุลของน้ำและปัจจัยที่ทำให้ต้องการน้ำ รวมถึงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นเมื่อได้รับน้ำน้อยเกินไป โดยมีข้อมูลดังต่อไปนี้

องค์ประกอบของน้ำในร่างกาย

ร่างกายของคนเราจะมีน้ำกระจายอยู่ทั่วไปตามเซลล์ต่างๆ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ
1. น้ำที่อยู่ในเซลล์ ( Intracellular Fluid ) โดยจะมีปริมาณร้อยละ 38 ของน้ำหนักตัว และสามารถพบได้ในเซลล์ทุกเซลล์ โดยหน้าที่ของน้ำที่อยู่ในเซลล์ ก็จะช่วยละลายสารเคมีต่างๆ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเมแทบอลิซึมต่างๆ ได้ดีนั่นเอง
2. น้ำที่อยู่นอกเซลล์ ( Extracelluar Fluid ) โดยจะมีอยู่ประมาณร้อยละ 22 ของน้ำหนักตัว ซึ่งก็จะแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือ

– น้ำที่อยู่ในกระแสโลหิต โดยน้ำจะผ่านเข้าไปยังเลือดตามหลักการออสโมซิส ซึ่งจะมีโปรตีนภายในหลอดเลือดทำหน้าที่ในการดึงน้ำเข้าไปนั่นเอง

– น้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์ โดยจะทำหน้าที่ในการส่งสารต่างๆ ระหว่างเซลล์และกระแสโลหิต ส่วนใหญ่จะพบอยู่ตามช่องโพรงของอวัยวะ เช่น น้ำหล่อลื่นในกระดูก น้ำเหลืองและน้ำในไขสันหลัง เป็นต้น

หน้าที่ของน้ำในร่างกาย

น้ำในร่างกายของคนเราจะมีหน้าที่หลายอย่างด้วยกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 5 ข้อดังนี้

1. เป็นองค์ประกอบของเซลล์ น้ำจะทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์และเลือด รวมถึงน้ำตา ปัสสาวะ น้ำเหลือง เหงื่อและเอนไซม์ด้วย โดยเซลล์ต่างๆ นี้ก็จะมีปริมาณของน้ำที่แตกต่างกันไป โดยสามารถศึกษาได้จากตารางดังต่อไปนี้

ชนิดเนื้อเยื่อ ปริมาณน้ำ ( ร้อยละ)
ไต 83
หัวใจ 79
ปอด 79
กล้ามเนื้อ 76
สมอง 75
ผิวหนัง 72
ตับ 68
โครงกระดูก 22
เนื้อเยื่อไขมัน 10

 

2. รักษาสมดุลของน้ำภายในร่างกาย ร่างกายของคนเราจะเกิดความสมดุลได้จะต้องมีน้ำเป็นตัวช่วย ซึ่งน้ำจะทำหน้าที่ในการเคลื่อนผ่านผนังเซลล์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของไอออน ซึ่งไอออนที่มีประจุบวกก็จะจับคู่กับไอออนที่มีประจุลบ ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่า ปริมาตรของน้ำที่อยู่นอกเซลล์จะขึ้นอยู่กับโพแทสเซียมและฟอตเฟตในเซลล์ และขึ้นอยู่กับโซเดียมและคลอไรด์ที่อยู่นอกเซลล์เช่นกัน

3. เป็นตัวทำละลาย น้ำเป็นตัวทำละลายที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดบน้ำจะรวมอยู่ในสารละลายต่างๆ และช่วยให้เซลล์นำของเสียออกจากเซลล์โดยมีสารละลายเป็นตัวพาไป ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกนำไปยังปอด ผิวหนังและไต เพื่อทำการเจือจางและขับออกไปจากร่างกายนั่นเอง

4. ควบคมอุณหภูมิของร่างกาย น้ำสามารถควบคุมอุณหภูมิของร่ากายให้คงที่ได้ดี โดยจะทำหน้าที่กระจายความร้อนไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอย่างทั่วถึง จึงทำให้ความร้อนของร่างกายอยู่ในระดับที่สม่ำเสมอ และหากมีความร้อนเกินเกณฑ์ น้ำก็จะช่วยในการขับความร้อนส่วนเกินออกจากร่างกายอีกด้วย ซึ่งความร้อนประมาณร้อยละ 25 ก็จะถูกระเหยออกทางปอดและผิวหนัง

5. ช่วยในการหล่อลื่น น้ำมีส่วนช่วยในการหล่อลื่นได้เป็นอย่างดี โดยจะทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการเสียดสีและลดการบาดเจ็บที่อาจเกิดจากการเสียดสีได้อีกด้วย

การดื่มน้ำให้เพียงพอและสม่ำเสมอมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ควรดื่มอย่างน้อยน้ำ 8-10 แก้วต่อวัน

การรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย

โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะพยายามรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายให้มีความคงที่อยู่เสมอ โดยหากน้ำในร่างกายลดลงหรือมีน้อยเกินไป ร่างกายก็จะเกิดการกระตุ้นไปยังสมองส่วนกลางที่เป็นส่วนควบคุมการกระหายน้ำให้เกิดความรู้สึกอยากดื่มน้ำมากขึ้น และมีการดูดซึมน้ำกลับจากไตเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มีการขับน้ำออกจากร่างกายน้อยลง เพื่อคงความสมดุลของร่างกายไว้อยู่เสมอนอกจากนี้น้ำหรือของเหลวที่อยู่ในร่างกายก็มีความสัมพันธ์กับปริมาณของโซเดียมด้วย โดยหากโซเดียมต่ำ ปริมาณของเหลวก็จะต่ำ แต่หากโซเดียมสูง ปริมาณของเหลวก็จะสูง นั่นก็เพราะน้ำจะต้องทำหน้าที่ในการนำพาโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ซึ่งหากน้ำมีน้อยกว่าโซเดียม ก็จะทำให้นำพาโซเดียมออกไปได้น้อยและเกิดความไม่สมดุลได้นั่นเอง

ตารางแสดงการหมุนเวียนของน้ำภายในร่างกาย เพื่อรักษาความสมดุล

ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ มิลลิลิตร/วัน ปริมาณน้ำที่ร่างกายสูญเสีย  มิลลิลิตร/วัน
จากการดื่มน้ำ 1,000 ลมหายใจ 400
จากอาหาร 1,000 เหงื่อ 500
จากเมแทบอลิซึม 350 อุจจาระ 150
ปัสสาวะ 1,300
 รวม 2,350  รวม 2,350

 

1. ปริมาณของน้ำที่ร่างกายได้รับ
โดยปกติแล้วในหนึ่งวันร่างกายจะได้รับน้ำประมาณวันละ 2,350 มิลลิลิตร ซึ่งได้มาจาก
– การดื่มน้ำ 1,000 มิลลิลิตรต่อวัน
– น้ำจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ส่วนใหญ่จะได้ประมาณ 1,000 มิลลิลิตร
– น้ำจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย เพราะกระบวนการดังกล่าวจะทำให้ได้น้ำออกมา ซึ่งจะมีประมาณ 350 มิลลิลิตร แบ่งได้เป็น น้ำที่ได้จากไขมัน 100 กรัม 107.1 มิลลิลิตร , น้ำที่ได้จากคาร์โบไฮเดรต 100 กรัม 55.5 มิลลิลิตร , น้ำที่ได้จากโปรตีน 100 กรัม 41.3 มิลลิลิตร

2. ปริมาณของน้ำที่ถูกขับออกจากร่างกาย
ใน 1 วัน ร่างกายจะมีการขับน้ำออกเท่ากับปริมาณของน้ำที่ได้รับในแต่ละวัน คือ 2,350 มิลลิลิตร โดยขับออกผ่านทางช่องทางดังต่อไปนี้

– ไต โดยปกติแล้วไตจะทำหน้าที่ในการแยกและกรองของเสียที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกาย พร้อมส่งกลับสารอาหารและน้ำที่มีประโยชน์กลับคืนสู่กรแสเลือดต่อ เพื่อนำไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกายนั่นเอง ซึ่งในขณะเดียวกันก็จะช่วยควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายให้เกิดความเหมาะสมด้วย โดยของเสียที่ถูกขับออกไปนอกร่างกายนั้น ก็จะถูกตรงผ่านไปทางท่อไต ลงมาสู่กระเพาะปัสสาวะ และถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะนั่นเอง

โดยกระบวนการขับของเสียออกทางไตนั้นก็จะต้องมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งใน 1 นาที ก็จะมีน้ำผ่านไตมากถึง 116 มิลลิกรัมเลยทีเดียว ซึ่งในแต่ละวันพบว่าหากมีการขับถ่ายปัสสาวะน้อย ก็จะทำให้เสี่ยงต่อโรคนิ่วในไตได้ แต่หากได้รับน้ำมากเกินไปก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะนั่นเอง นอกจากนี้เพื่อให้การขับของเสียทางไตมีประสิทธิภาพที่สุด จะต้องมีน้ำไม่ต่ำกว่า 400-600 มิลลิกรัมต่อวันเลยทีเดียวปัจจัยที่ทำให้ปริมาณของปัสสาวะ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้

– ผิวหนัง โดยจะเป็นการสูญเสียน้ำในรูปของเหงื่อ ซึ่งวันหนึ่งจะสูญเสียประมาณ 500 มิลลิกรัม นอกจากนี้ร่างกายของคนเราจะมีต่อมเหงื่อที่แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ Opocrine Sweat Gland ต่อมเหงื่อที่สร้างกลิ่นออกมาด้วย และ Eccrine Sweat Gland ต่อมเหงื่อนที่ไม่มีกลิ่น โดยจะมีลักษณะของเหงื่อเป็นของเหลวใสๆ ซึ่งเหงื่อที่ออกมาก็จะช่วยให้อุณหภูมิของร่างกายคงที่ได้ดี และไม่มีกลิ่นเหมือนกันชนิดแรก นอกจากนี้เหงื่อที่ถูกขับออกมาก็จะมีโซเดียมและคลอไรด์ปนออกมาด้วย ดังนั้นในคนที่ทำงานหนัก เสียเหงื่อเยอะ หรือเป็นนักกีฬาจึงมักจะขาดโซเดียมได้ง่ายนั่นเอง

– ปอด จะมีการระเหยน้ำออกจากร่างกายทางการหายใจ โดยเฉลี่ยวันละประมาณ 300-400 มิลลิกรัม ซึ่งพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้งหรือมีไข้สูง จะมีการสูญเสียน้ำมากกว่าคนปกติทั่วไป โดยคิดเป็นร้อยละ 13 ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

– ระบบทางเดินอาหาร โดยน้ำจะถูกหลั่งออกมาในรูปของน้ำย่อย ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำในอาหารที่ทานเข้าไปด้วย โดยปริมาณน้ำที่หลั่งออกมาในรูปของน้ำย่อยมีดังนี้

น้ำลาย 1,500 มิลลิลิตร
น้ำย่อยของกระเพาะ 2,500 มิลลิลิตร
น้ำดี 500 มิลลิลิตร
น้ำย่อยจากตับอ่อน 700 มิลลิลิตร
น้ำย่อยจากลำไส้เล็ก 3,000 มิลลิลิตร
รวม 8,200 มิลลิลิตร

แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะปริมาณน้ำดังกล่าวจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายบริเวณลำไส้ใหญ่และมีเพียงน้ำ 150 มิลลิลิตรเท่านั้นที่ถูกขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ อย่างไรก็ตามการเพื่อไม่ให้น้ำถูกหลั่งออกมามากเกินไป ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และเน้นทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากๆ พร้อมกับเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูงด้วย

ความต้องการของน้ำในร่างกาย

เพราะร่างกายของคนเราไม่สามารถที่จะสะสมน้ำได้ จึงจำเป็นต้องได้รับน้ำอย่างเพียงพอทุกวัน เพื่อทดแทนน้ำในส่วนที่สูญเสียไปนั่นเอง โดยการดื่มน้ำสามารถดื่มได้ในปริมาณที่ไม่จำกัด และสามารถสังเกตภาวะร่างกายขาดน้ำได้มื่อมีอาการกระหายน้ำมากกว่าปกติอีกด้วย ส่วนความต้องการน้ำของร่างกายต่อวันนั้น จะอยู่ที่ประมาณวันละ 35-40 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือหากเทียบเป็นลิตรก็คือวันละ 2 ลิตรนั่นเอง ซึ่งนั่นถือเป็นปริมาณขั้นต่ำของน้ำที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน และต้องดื่มในปริมาณที่เหมาะสม คือดื่มแบบจิบเรื่อยๆ ตลอดวัน ไม่ใช่ดื่มรวดเดียวใน ปริมาณมาก เพราะนั่นอาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง และน้ำถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไปจนทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก ซึ่งอาจนำมาสู่ผลเสียต่อหัวใจได้นั่นเองนอกจากนี้การดื่มน้ำมากๆ ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ไตสามารถขับของเสียออกมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

เพราะน้ำมีความสำคัญในการเป็นตัวทำละลายของเสียและขับเอาของเสียออกมาในรูปของปัสสาวะ และการขับเสียออกจากช่องทางอื่นๆ เช่น เหงื่อ ก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันหากร่างกายได้รับน้ำน้อยเกินไป ก็จะทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร ปากแห้งและทานอาหารลำบากมากขึ้น เพราะน้ำจะเป็นตัวช่วยให้ปากคอมีความชุ่มชื้น และสามารถกลืนอาหารได้ดีนั่นเอง และสำหรับความเชื่อที่ว่า การดื่มน้ำในระหว่างมื้ออาหารจะไปช่วยลดกรดเกลือในกระเพาะอาหารได้นั้นไม่จริงเลย เพราะน้ำจะผ่านกระเพาะอาหารไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีผลอะไรต่อกระเพาะอาหาร แต่จะช่วยให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างง่ายดายมากขึ้น เพราะทำให้อาหารมีความเปียก นุ่ม นอกจากนี้หากน้ำที่ดื่มข้าไปเป็นน้ำอุ่น ก็จะยิ่งช่วยให้กระเพาะอาหารสามารถเคลื่อนไหวและย่อยอาหารได้ดีมากกว่าเดิมอีกด้วย

ปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับความต้องการน้ำของร่างกาย

ในแต่ละคนและแต่ละวันจะมีความต้องการน้ำที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องด้วย โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้
1. อายุ โดยปกติแล้วเด็กทารกจะมีความต้องการน้ำมากกว่าผู้ใหญ่ โดยคิดเป็น 100 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่เมื่ออายุมากขึ้นความต้องการน้ำของเด็กก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงไป โดยศึกษาได้จากตารางดังต่อไปนี้

ตาราง ความต้องการน้ำของทารกตามขนาดน้ำหนักตัว

น้ำหนัก (กิโลกรัม) ปริมาณน้ำที่ทารกต้องการ (มิลลิลิตร/กิโลกรัม/วัน)
น้อยกว่า 10 100
10-20 50
มากกว่า 20 20

 

2.อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม โดยเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ร่างกายก็จะมีการขับเหงื่อออกมาทางผิวหนังมากกว่าปกติ ทำให้ความต้องการน้ำในวันนั้นเพิ่มมากขึ้นไปด้วย แต่หากวันไหนที่อุณหภูมิลดลงและมีเหงื่อออกน้อย ก็จะไม่ค่อยเกิดความต้องการน้ำมากนัก

ตาราง ปริมาณของน้ำในร่างกายที่เสียไปในภาวะต่างๆ   

การสูญเสียน้ำ อากาศกำลังสบาย อากาศร้อน ออกกำลังมาก 
ผิวหนัง 350 350 350
ทางเดินหายใจ 350 250 650
ปัสสาวะ 1,400 1,200 500
อุจจาระ 100 100 100
เหงื่อ 100 1,400 5,000
รวม 2,300 3,300  6,600

 

3.การออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายจะเร่งให้ร่างกายมีการสูญเสียเหงื่อออกมามากขึ้น รวมถึงมีการสูญเสียน้ำทางปอดจากอัตราการหายใจอีกด้วย ดังนั้นเมื่อออกกำลังกาย ร่างกายจึงมักจะมีความต้องการน้ำมากกว่าปกติ

4.ส่วนประกอบของอาหารที่รับประทาน โดยพบว่าหากรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเยอะ ร่างกายก็จะมีความต้องการน้ำน้อย แต่หากทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบน้อยก็จะทำให้ร่างกายมีความต้องการน้ำสูงขึ้น นอกจากนี้ในคนที่ทานโปรตีนสูง หรือทานอาหารที่มีรสเค็มและมีผงชูรสมากๆ ก็จะทำให้ร่างกายต้องการน้ำสูงมากเช่นกัน
5.ปริมาณของเสียที่ละลายน้ำ เพราะร่างกายต้องทำการขับของเสียเหล่านั้นออกจากร่างกาย ซึ่งก็จะทำให้เกิดการสูญเสียน้ำไปพร้อมกับการกำจัดของเสียด้วย ดังนั้นจึงมักจะทำให้เกิดการกระหายน้ำเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

ความผิดปกติของร่างกายที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำ

โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะมีการรักษาสมดุลของน้ำให้คงที่อยู่เสมอ แต่ในบางครั้งก็อาจเกิดความผิดปกติได้เหมือนกัน ซึ่งความผิดปกติของร่างกายที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับน้ำก็มีดังนี้

1. ร่างกายขาดน้ำ

เมื่อร่างกายขาดน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเพราะดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายมากเกินปกติ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียจากการออกกำลังกาย การอาเจียนและท้องสียอย่างรุนแรง การตกเลือด การมีแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เพราะจะทำให้มีการสูญเสียน้ำทางผิวหนังมากขึ้น นอกจากนี้ในคนที่เป็นเบาหวานที่มักจะสูญเสียน้ำมากกว่าคนปกติเช่นกัน เพราะมีการปัสสาวะบ่อยครั้งโดยไม่สามารถควบคุมได้นั่นเอง ซึ่งการขาดน้ำเท่าไหร่จะมีผลกระทบที่แสดงออกมาอย่างไร ก็สามารถดูได้จากตารางดังต่อไปนี้

ตาราง อาหารที่แสดงเมื่อขาดน้ำ ต่อปริมาณน้ำที่ขาด   

ร้อยละการสูญเสียน้ำผลที่เกิดขึ้น อาการ
2 รู้สึกกระหายน้ำ
4 กล้ามเนื้ออ่อนแรงและทำงานได้น้อยลง
10-12 ทนต่อความร้อนได้น้อยลงและมีอาการอ่อนเพลีย
20 อยู่ในอาการขั้นโคม่าและอาจตายได้

 

จากตารางสรุปได้ว่า เมื่อร่างกายมีการสูญเสียน้ำที่ร้อยละ 2 ของน้ำหนักตัว จะทำให้ปากและริมฝีปากแห้ง น้ำลายน้อยกว่าปกติ ซึ่งในบางคนอาจมีอาการริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุยได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ก็อาจมีอาการผิวแห้งและท้องผูกได้อีกด้วย และหากขาดน้ำที่ร้อยละ 4 ของน้ำหนักตัว ก็จะมีอาการอ่อนเพลียมากกว่าปกติ และอาจรู้สึกว่าไม่มีแรง ไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า นั่นก็เพราะนอกจากร่างกายจะสูญเสียน้ำแล้ว ยังมีการสูญเสียเกลือแร่ไปพร้อมๆ กับน้ำอีกด้วย เป็นผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และมีอาการเมื่อยเกร็งไปทั้งตัว นอกจากนี้ในบางคนก็อาจมีอาการเวียนศีรษะ หน้า มืดบ่อยๆ ได้เหมือนกัน แต่หากขาดน้ำมากถึงร้อยละ 10-12 ของน้ำหนักตัว ก็จะส่งผลให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลียอย่างหนัก พร้อมกับไม่สามารถทนต่อความร้อนได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียจากอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงหรือการอาเจียนต่อเนื่อง เพราะภาวะดังกล่าวจะทำให้ร่างกายขาดความสมดุล น้ำในเซลล์ไหลออกมาข้างนอก และกระบวนการขับน้ำออกเกิดการหยุดชะงัก ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่น้อย โดยหากมีการขาดน้ำมากอย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะไปรบกวนระบบประสาท จนทำให้มีอาการเซื่องซึม ไม่ค่อยร่าเ
ริงและอาจถึงขั้นหมดสติได้เลยทีเดียว โดยในภาวะรุนแรงนี้จะต้องเร่งเสริมน้ำให้กับร่างกายโดยด่วน โดยอาจเป็นการนำน้ำเข้าทางปากหรือเข้าทางเส้นเลือดในกรณีที่ไม่สามารถดื่มน้ำได้ตามปกติ

2. ร่างกายได้รับน้ำมากเกินไป

นอกจากภาวะการขาดน้ำแล้ว การที่ร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปก็อาจเกิดผลเสียตามมาอีกด้วย โดยเฉพาะการดื่มน้ำที่มีส่วนผสมอื่น เช่นเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้ไตต้องทำงานหนักในการพยายามขับของเสียออกมาพร้อมกับน้ำส่วนเกินนั่นเอง นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากการดื่มน้ำในปริมาณมากภายในรวดเดียวอีกด้วย เพราะร่างกายอาจจะดูดซึมน้ำเข้าสู่กระแสเลือดไม่ทัน ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อทำการขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย โดยหากขับน้ำออกจากร่างกายไม่ทัน น้ำก็จะข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ จนทำให้มีอาการบวม และผลที่ตามมาก็คืออาการปวดหัว ชัก กระสับกระส่าย เป็นปอดบวมหรืออาจรุนแรงจนถึงขั้นหมดสติ นอกจากนี้การได้รับน้ำมากเกินไปก็อาจเกิดจากการให้น้ำเกลือในโรงพยาบาลที่ต้องให้น้ำเกลือเข้าสู่กระแสเลือด โดยหากไม่ควบคุมให้ดีก็จะทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษได้

ดังนั้นจึงควรให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเหมาะสมเสมอ คือไม่น้อยและไม่มากเกินไป และเมื่อรู้สึกว่ากระหายน้ำก็ควรรีบดื่มน้ำบ่อยๆ ทันที แต่แนะนำให้ดื่มแบบจิบทีละนิด อย่าดื่มแบบรวดเดียวในปริมาณเยอะๆ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดผลเสียตามมานั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

Van der Leun, Justine (September 2009). “A Closer Look at New Research on Water Safety”. AOL Health. Retrieved September 2009.

Water Fact sheet N°391″. July 2014. Archived from the original on 5 June 2015. Retrieved 24 May 2015.

Exposure Factors Handbook: 2011 Edition (PDF). National Center for Environmental Assessment. September 2011. Archived (PDF) from the original on 24 September 2015. Retrieved 24 May 2015.

ทำลายอนุมูลอิสระด้วย ถั่วบราซิลช่วย ( Pinto Peanut )

0
ถั่วบราซิลช่วยทำลายอนุมูลอิสระได้ (Pinto Peanut)
ถั่วบราซิล หรือ ถั่วลิสงเถา เป็นถั่วที่มีเมล็ดสะสมสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ป้องกันไม่ให้ผนังของหลอดเลือดโดนทำลายจากสารอนุมูลอิสระและคอเลสเตอรอล
ถั่วบราซิลช่วยทำลายอนุมูลอิสระได้ (Pinto Peanut)
ถั่วบราซิล หรือ ถั่วลิสงเถา เป็นถั่วที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ป้องกันไม่ให้ผนังของหลอดเลือดโดนทำลายจากสารอนุมูลอิสระและคอเลสเตอรอล

ถั่วบราซิล

ถั่วบราซิล ( Pinto Peanut ) หรือ ถั่วลิสงเถา เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับนักแต่งสวน เพราะว่านิยมนำมาปลูกเป็นพืชคลุมดินแทนหญ้าบางชนิดเพื่อความสวยงาม ถั่วบราซิลหรือถั่วปิ่นโต ถั่วลิสงเถา ถั่วเปรู และทางการค้าจะรู้จักกันในชื่อ “ ถั่วอมาริลโล ” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Arachis Piotoi เป็นพืชตระกูลถั่วที่อยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE PAPILIONOIDEAE ต้นกำเนิดอยู่แถบอเมริกาใต้โดยเฉพาะประเทศบราซิล

โดยมีลักษณะทั่วไปของถั่วบราซิล

ลำต้นของถั่วบราซิล มีความคล้ายคลึงกับต้นถั่วลิสง ลำต้นมีความสูงไม่มากนักคือสูงประมาณ 5 นิ้ว ลำต้นจะเลื้อยไปตามพื้นดินไม่ชอบที่จะเลื้อยขึ้นไปตามต้นไม้หรือที่เลื้อยขึ้นที่สูงจึงสามรถคลุมดินได้ดีและเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วทีเดียว

ใบของถั่วบราซิล เหมือนกับใบถั่วลิสงแต่ว่าขนาดเล็กกว่าใบของต้นถั่วลิสงเล็กน้อย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพที่มีสารอาหารเพียงพอ การที่ถั่วบราซิลนิยมนำมาปลูกเป็นพืชคลุมดินก็เพราะว่าทนทานต่อสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้ดี ขึ้นได้ดีแม้ว่าจะมีปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงาและเมื่อโดนเหยียบย่ำอยู่เป็นประจำก็ยังทนได้ไม่ตายและไม่เลื้อยขึ้นตามต้นไม้ยืนต้นที่ขึ้นอยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าต้นถั่วจะไปรัดไม้ยืนต้นจนตายเหมือนกับต้นถั่วลายหรือถั่วผี เวลาออกดอกจะทำให้พื้นที่ดูสดใสขึ้นจากดอกที่มีสีเหลืองสด ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ เวลาที่เราเริ่มปลูกในครั้งแรกต้องนำเมล็ดมาเป็นพันธุ์ก่อน เมื่อลำต้นงอกออกมาแล้ว สามารถนำต้นถั่วบราซิลมาปักชำเพื่อขยายพันธุ์ได้ โดยที่ไม่ต้องรอเมล็ดแก่จากต้นพันธุ์ที่นำมาปลูก ทำให้การขยายพันธุ์ทำให้เร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อเมล็ดพันธุ์ด้วย

การดูแลและการปลูก ถั่วบราซิล ให้ได้ผลดีนั้น ควรเริ่มปลูกในช่วงต้นของฤดูฝนโดยการปลูกในตอนแรกควรปลูกด้วยการหว่านเมล็ดก่อน การหว่านให้ใช้เมล็ดในอัตราส่วนเมล็ดถั่วจำนวน 2 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่หรือทำการขุดหลุมที่มีความลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร มีระยะห่างระหว่างหลุมอยู่ที่ประมาณ 50 x 50 เซนติเมตร แล้วค่อยหย่อนเมล็ดพันธุ์แทนการหว่านก็ได้ เพื่อเป็นการประหยัดเมล็ดพันธุ์ถั่วบราซิล แต่ถ้าต้องการนำต้นกล้ามาปลูกแทนการหว่านเมล็ด ให้ทำการเพาะชำต้นกล้าให้มีความสูงประมาณ 10 เซนติเมตรและจัดเตรียมหลุมสำหรับปลูกเหมือนเดิม ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์เมล็ดถั่วถั่วบราซิลจะเริ่มงอก ในช่วงแรกที่ต้นพันธุ์งอกออกมาจากเมล็ดจะเติบโตช้า แต่ว่าเมื่อผ่านไป 1 อาทิตย์ต้นกล้าเริ่มแข็งแรงอัตราการเจริญเติบโตจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว อายุ 1 เดือนขึ้นไปจะเริ่มออกดอกไปเรื่อย โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีการออกมามากที่สุดช่วงเดือน การเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วบราซิลควรจัดเก็บไม่นานเกิน 2-3 เดือนเพราะว่าถ้านานกว่านี้อัตราการงอกจะน้อยกว่า 60-70% ช่วงแรกที่ต้นถั่วบราซิลอาจจะแลดูว่ามีพื้นที่ว่างมาก แต่เมื่อต้นถั่วเจริญเติบโตแล้วต้นถั่วบราซิล จะแผ่ขยายลำต้นไปทั่วพื้นที่เองโดยไม่ต้องนำเมล็ดมาปลูกเพิ่ม

การดูแลรักษา ถั่วบราซิล ช่วง 1-2 เดือนแรกที่ลงต้นกล้าหรือเมื่อเมล็ดพันธุ์เริ่มแทงยอดขึ้นหรือส่วนที่ยื่นออกมาของ Peg ที่มีลักษณะคล้ายเข็มเป็นแท่งเรียวเล็ก และควรทำการกำจัดวัชพืชย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้วัชพืชแย่งสารอาหารในดินไปจนหมดจะทำให้ต้นกล้าไม่เติบโต ประมาณเดือนที่ 3-4 จะเริ่มมีการแทงดอกออกช่ออย่างสวยงามโดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน ดอกจะเริ่มลดลงในเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ส่วนที่เป็นเมล็ดถั่วบราซิลจะอยู่ใต้ดินลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตรจากหน้าดิน หนึ่งฝักมีเพียงหนึ่งเมล็ดเท่านั้น

สามารถเก็บเมล็ด ถั่วบราซิล ได้เมื่ออายุประมาณ 8 เดือนเป็นต้นไป การเก็บเมล็ดถั่วที่อยู่ใต้ดินทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดของดินที่ทำการปลูก ถ้าปลูกในดินร่วนปนทรายก็ให้ขุดทั้งต้นออกมาทำการร่อนดินและทรายออกจนหมดก็จะได้เมล็ด แต่ถ้าเป็นดินเหนียววิธีการจะยุ่งยากกว่าดินปนทราย นั่นคือต้องนำต้นที่ขุดออกมาจากดินมาแช่น้ำไว้ประมาณ 15-20 นาทีเพื่อให้ดินคลายตัวออกจากเมล็ด แล้วค่อยนำไปร่อนเอาดินที่ดินอยู่ เมล็ดที่ได้ให้นำมาล้างให้สะอาดและนำไปตากให้แห้งอย่างน้อย 3 วันก็จะได้เมล็ดถั่วบราซิลที่พร้อมปลูกหรือไปปรุงอาหารได้

ประโยชน์ของ ถั่วบราซิล

ถั่วบราซิล หรือ ถั่วลิสงเถา คือ ถั่วที่มีเมล็ดของถั่วสะสมสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอยู่มาก คือถั่วหนัก 1 ปอนด์จะให้ 186 แคลอรีซึ่งประมาณ 90% ที่ของแคลลอรีที่ได้รับมาจากไขมันที่มีอยู่ในถั่วนั้นเอง มีธาตุซีลิเนียมที่สูงมาก ซีลิเนียมเป็นธาตุที่ป้องกันไม่ให้ผนังของหลอดเลือดโดนทำลายจากสารอนุมูลอิสระและคอเลสเตอรอล ( Cholesterol )ที่เป็นที่มาของไขมันอุดตันและโรคหัวใจอีกด้วย โดย ซีลิเนียมมีเอนไซม์ กลูตาไธโอน เพอคอรซิเดส ( Glutathione Peroxidase ) ที่สามารถยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันและคอเลสเตอรอลให้กลายเป็นไขมันเลว ทำให้ไขมันเลวลดลงลดการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้นั่นเอง ร่างกายจึงต้องการธาตุเซเลเนียมจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้เป็นปกติ และยังช่วยทำให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์กว่าวัย ด้วยการป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวหนังโดนทำลายจากอนุมูลอิสระที่มีอยู่ ไขมัน ในถั่วบราซิลส่วนใหญ่เป็นไขมันดี ไม่อิ่มตัว ช่วยบำรุงหัวใจ ซีลิเนียม ซีลิเนียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและต่มไทรอยด์ ซึ่งในถั่วบราซิล 1 ออนซ์จะได้ซีลิเนียมร้อยละ 774 ของค่าซีลิเนียมที่ร่างกายควรได้รับแมกนีเซียม ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ การผลิตโปรตีน และการดูดซึมพลังงานจากสารอาหารทองแดง ช่วยในการรักษากระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันธ์ ช่วยให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ ช่วยผลิตเมลานิน ช่วยปกป้องและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ถั่วบราซิลมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หลายชนิด แต่ก็มีแคลอรี่และไขมันสูงเช่นกัน

ถั่วบราซิล เป็นถั่วที่สามารถตรึงไนโตรเจนในดินได้เป็นอย่างดี เมื่อนำมาปลูกลงดินแล้วจะมีขยายพันธุ์คลุมดินได้อย่างรวดเร็ว ในสภาวะอากาศที่แห้งแล้งหรือร้อนจัดจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินให้คงอยู่ เพิ่มความสวยงามด้วยสีเขียวและเมื่อออกดอกก็จะได้บรรยากาศที่เปลี่ยนไปโดยที่ไม่ต้องปลูกพืชชนิดอื่นใหม่ ซึ่งนอกจากถั่วบราซิลนั้นมีประโยชน์ทั้งต้นและเมล็ดที่อยู่ใต้ดินแล้ว สำหรับใครที่กำลังมองหาไม้คลุมดินที่มีประโยชน์ครบครันแล้ว ถั่วบราซิลนับเป็นตัวเลือกที่ดีมากเพราะนอกจากต้นจะสวยในการจัดสวนแล้ว ยังสามารถนำเมล็ดมารับประทานได้ด้วย ถ้าคุณคิดจะแต่งสวนด้วยหญ้าญี่ปุ่นลองเปลี่ยนมาเป็นการปลูกต้นถั่วบราซิลแทนก็น่าจะดีนะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. ISBN 978-974-484-346-3.

Heuzé V., Tran G., Delagarde R., Bastianelli D., Lebas F., 2017. Pinto peanut (Arachis pintoi). Feedipedia, a programme by INRA, CIRAD, AFZ and FAO. 

ประโยชน์ของกรดโฟลิก ( โฟเลต หรือวิตามินบี 9 )

0
ประโยชน์ของกรดโฟลิก (โฟลาซินหรือวิตามินบี 9)
กรดโฟลิกเป็นวิตามินบีรวมพบในรูปของผลึกใบหอกสีเหลืองสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อนพบในผักต่างๆ เช่น หน่อไม่ฝรั่ง บร็อคโคลี กระหล่ำดอก คะน้า แครอต
ประโยชน์ของกรดโฟลิก (โฟลาซินหรือวิตามินบี 9)
กรดโฟลิกเป็นวิตามินบีรวมพบในรูปของผลึกใบหอกสีเหลืองสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน พบในผักต่างๆเช่น หน่อไม้ฝรั่ง

กรดโฟลิกคืออะไร

กรดโฟลิก ( Folic Acid ) หรือวิตามินบี9 คือ วิตามินบีชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นอาหารเสริมในช่วงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันภาวะหลอดประสาทไม่ปิดในทารก และยังใช้รักษาภาวะเลือดจางจากการขาดกรดโฟลิก ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของผลึกใบหอกสีเหลืองเป็นกรดโฟลิกบริสุทธิ์ สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน และนอกจากนี้แบคทีเรียในลำไส้ก็สามารถสังเคราะห์กรดโฟลิกขึ้นมาด้วยตนเองได้เหมือนกัน แล้วจะนำกรดโฟลิกไปเก็บไว้ที่ตับประมาณ 5 มิลลิกรัม ส่วนที่เหลือเกินออกมาก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะ

โฟเลต ( Folate ) คือ วิตามินชนิดเดียวกับกรดโฟลิก มีความสำคัญต่อทารกในครรภ์ สามารถพบได้ในอาหารตามธรรมชาติ มักพบในพืชใบเขียวและผลไม้ ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง และหลอดประสาทของทารกพัฒนาไปยังสมองและไขสันหลัง

โฟลิกมีความสำคัญอย่างไร

1. เป็นกรดที่มีความสำคัญต่อการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก RNA-DNA ซึ่งเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อการสืบพันธุ์ของเซลล์และการเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก โดยหากขาดสารชนิดนี้ไปก็จะทำให้การเจริญเติบโตช้าลง หยุดชะงัก หรือเกิดความผิดปกติได้ โดยเฉพาะในทารกในครรภ์ ซึ่งอาจพิการแต่กำเนิดได้เลยทีเดียว

2. ลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของประสาทไขสันหลัง ที่มักจะเกิดกับทารกในครรภ์ได้

3. ช่วยเสริมสร้างการพัฒนาสมองและถือเป็นสารสื่อประสาทที่มีความสำคัญต่อสมองเป็นอย่างมาก

4. เป็นโคเอนไซม์ชนิดหนึ่ง โดยมีชื่อเรียกว่าเททระไฮโดรโฟเลต ซึ่งจะช่วยให้กรดอะมิโนมีการแตกตัวได้ดีขึ้น

5. มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด และช่วยให้เม็ดเลือดมีความแข็งแรงมากขึ้นจึงสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้เป็นอย่างดี และทำหน้าที่เป็นตัวส่งคาร์บอนในการสร้างฮีมอีกด้วย

6. ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร จึงไม่ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารและสามารถกระตุ้นการสร้างกรดเกลือได้อย่างดีเยี่ยม

7. ช่วยส่งไขมันออกจากตับ จึงลดความเสี่ยงโรคไขมันอุดตันในตับได้

8. ทำหน้าที่ในการสังเคราะห์โคลีนและเปลี่ยนกรดนิโคตินิกให้เป็นเอนเม็ทธิล นิโคตินาไมด์ พร้อมกับขับถ่ายออกไปจากร่างกาย

กรดโฟลิก จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม ได้จากการสังเคราะห์ขึ้นส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของผลึกใบหอกสีเหลืองเป็นกรดโฟลิกบริสุทธิ์ สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน

การดูดซึมกรดโฟลิก

กรดโฟลิกจะสามารถถูกดูดซึมได้ดีในลำไส้เล็กของคนเรา ซึ่งเมื่อถูดดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะเปลี่ยนไปเป็นโคเอนไซม์ที่ชื่อว่ากรดเททระไฮโดรโฟเลตและส่งไปเก็บไว้ที่ตับ 5 มิลลิกรัม จากนั้นก็กระจายไปทั่วร่างกายและส่วนที่เกินออกมาก็จะถูกขับออกนั่นเอง นอกจากนี้การใช้ยาคุมกำเนิดก็จะเป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายดูดซึมกรดโฟลิกได้น้อยลงอีกด้วย แต่เนื่องจากแบคทีเรียในลำไส้สามารถสังเคราะห์กรดโฟลิกขึ้นมาได้เอง จึงมักจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น

กรดโฟลิก แหล่งที่พบ

โดยทั่วไปวิตามินโฟลิกสามารถพบได้ในไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม ผักคะน้า แครอท แคนตาลูป ฟักทอง ถั่ว ผักบุ้ง ตำลึง เอพริคอต อะโวคาโด

  • แหล่งของกรดโฟลิกที่พบมาก ได้แก่ ผักใบเขียว ยีสต์ โฮลวีต เครื่องในสัตว์ ตับไต เห็ดและขนมปัง รวมถึงผลไม้ตระกูลส้มด้วย
  • แหล่งของกรดโฟลิกที่พบปานกลาง ได้แก่ ธัญพืชและเนื้อแดง

แหล่งของกรดโฟลิกที่พบน้อย ได้แก่ ผักในสีเขียวอ่อน เนื้อหมู ผักพวกหัว ไข่และผลิตภัณฑ์จากนม

ปริมาณโฟเลทหรือวิตามินบี 9 ที่ควรกินประจำวันสำหรับคนไทยวัยต่างๆ 

เพศ อายุ  ปริมาณโฟเลท หน่วย 
เด็ก 1-3 ปี 150 ไมโครกรัม/วัน
เด็ก 4-8 ปี 200 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่น 9-12 ปี 300 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่น 13-18 ปี 400 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ 19 –≥ 71 ปี 400 ไมโครกรัม/วัน
หญิงตั้งครรภ์ ควรเพิ่มอีก 200 ไมโครกรัม/วัน
หญิงให้นมบุตร ควรเพิ่มอีก 100 ไมโครกรัม/วัน

ผลของการขาดกรดโฟลิก

เมื่อร่างกายขาดกรดโฟลิกหรือได้รับกรดชนิดนี้น้อยเกินไป ก็จะทำให้ขาดโคเอนไซม์ชนิดเททระไฮโดรโฟเลตได้ ซึ่งก็จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของนิวเคลียส และก่อให้เกิดโรคโลหิตจางชนิดที่เม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่และมีปริมาณน้อยลงจากเดิม และอาจมีอาการลิ้นอักเสบ ท้องเดิน เหนื่อยง่าย ขี้หงุดหงิด มีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไป ปวดศีรษะ ความจำสั้นและอาจไม่มีแรงได้อีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดกรดโฟลิก

1. ลำไส้มีการดูดซึมได้แย่ลง จึงทำให้ดูดซึมกรดโฟลิกได้น้อยกว่าปกติ
2. กำลังอยู่ในภาวะที่ร่างกายต้องการกรดโฟลิคมากกว่าปกติ เช่นในขณะให้นมบุตร ตั้งครรภ์หรือกำลังติดเชื้อ
3. ดื่มสุราเรื้อรัง เพราะพิษของสุราจะทำให้การดูดซึมแย่ลง รวมถึงมีการสะสมของกรดโฟลิคที่ต่ำได้น้อยลงด้วย
4. ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจ แลโรคไต เพราะโรคเหล่านี้จะทำให้ร่างกายขับโฟเลตออกมามากขึ้น

ปริมาณ Folic Acid ที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

  • ผู้ใหญ่
    เพศชาย 150-200 ไมโครกรัม/วัน
    เพศหญิง 150-180 ไมโครกรัม/วัน
    ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือวางแผนตั้งครรภ์ 400 ไมโครกรัม/วัน
  • เด็ก
    ทารกแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนด 50 ไมโครกรัม/วัน
    ทารกแรกเกิดอายุ 1-6 เดือน 25-35 ไมโครกรัม/วัน
    เด็กอายุ 1-3 ปี 150 ไมโครกรัม/วัน
    เด็กอายุ 4-8 ปี 200 ไมโครกรัม/วัน
    เด็กอายุ 9-13 ปี 300 ไมโครกรัม/วัน
    เด็กอายุ 14 ปี ขึ้นไป 400 ไมโครกรัม/วัน

 

จากการวิจัยของ ดร.ริจีน พี เอ็ม สตีเกอร์-เทอรินเซน ได้กล่าวว่า ความผิดปกติของยีนส์และภาวะที่ร่างกายได้รับโฟเลตลดลง จะทำให้ทารกในครรภ์มีความผิดปกติ เช่น เพดานโหว่และปากแหว่งได้ ดังนั้นในหญิงตั้งครรภ์จึงต้องทานกรดโฟลิกเสริมเข้าไปให้มากขึ้นนั่นเอง และสำหรับผู้ป่วยที่ขาดกรดโฟลิกก็ควรได้รับสารอาหารที่จะช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงอย่างครบถ้วนด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Pommerville, Glendale Community College Jeffrey C. (2009). Alcamo’s Fundamentals of Microbiology: Body Systems. Jones & Bartlett Publishers. p. 511. ISBN 9780763787127. Archived from the original on 8 September 2017.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.

จังหวะชีวิตของคุณเมื่อเริ่มเป็นโรคมะเร็ง

0
จังหวะชีวิตของคุณเมื่อเริ่มเป็นโรคมะเร็ง
จังหวะชีวิตคือเรื่องของอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราสามารถเลือกที่จะหลีกเลี่ยงป้องกันได้ก่อนที่จะเกิด
จังหวะชีวิตของคุณเมื่อเริ่มเป็นโรคมะเร็ง
จังหวะชีวิตคือเรื่องของอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราสามารถเลือกที่จะหลีกเลี่ยงป้องกันได้ก่อนที่จะเกิด

ชีวิตที่เริ่มเป็นโรคมะเร็ง ( cance )

คุณอยากรู้ไหมเมื่อไหร่กันที่คุณเริ่มเป็น มะเร็ง ( cance ) แล้ว? ดิฉันเองก็อยากล่วงรู้อนาคตได้เหมือนกันนะคะ จะได้รู้ว่าลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งงวดนี้จะออกอะไร จะได้รวยเสียที แต่ว่าดิฉันไม่รู้นี่สิคะ เสียดายจริงๆ คุณไม่มีทางที่จะรู้อนาคตล่วงหน้าได้แบบแป๊ะๆ แน่นอน แต่การคาดเดาอนาคตนั้นเดาได้ไม่ยากหรอกค่ะ ว่าจังหวะชีวิตของคุณจะเป็นเช่นไร

เอาตัวอย่างง่ายๆนะ สมมุติว่าคุณเป็นนักเรียน คุณตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือทุกวัน เมื่อถึงเวลาสอบคุณก็ต้องสอบได้ในอันดับที่ดีๆ ไม่มีทางสอบตก ทางกลับกันถ้าคุณไม่ตั้งใจเรียน ไม่อ่านหนังสือ รับรองว่าคุณสอบตกแน่ๆ ค่ะ เป็นไงค่ะ ดิฉันเดาอนาคตเก่งมั้ย พอจะไปเป็นหมอดูได้มั้ยค่ะ ดิฉันล้อเล่นค่ะ อ้าว! แล้วแบบนี้เราก็รู้ได้สิว่าเราเริ่มเป็นมะเร็งแล้ว

รู้ได้ค่ะ ดิฉันรู้ล่วงหน้าได้นะว่าจังหวะชีวิตของคุณเริ่มเป็น มะเร็ง ( cance ) แล้วหรือยัง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังหลงในวัตถุนิยม เป็นคนที่ใฝ่หาความสุขจากภายนอก หาความสุขแบบไร้ค่า ปรนเปรอชีวิตตามโฆษณาชวนเชื่อ กินตามกระแสสังคมนิยม อะไรที่ว่าดัง อะไรที่ว่าเด่น อะไรที่ว่าอร่อย ฉันเป็นคนหนึ่งที่ต้องได้กินไม่รู้หรอกว่าอาหารนั้นมีโทษหรือมีประโยชน์ ทำทุกวิถีทางให้เป็นที่ยอมรับของสังคมและเพื่อนฝูง ในแบบผิดๆ ด้วยการเที่ยวเตร่ เสพยา สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หาความสุขสำราญไปวันๆ เอาแต่กินกับนอน ไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกาย เลือกแต่เสียเข้าสู่ร่างกาย แม้ร่างกายร่ำร้อง อ้อนวอนว่าแย่แล้ว ไม่ไหวแล้ว  ก็ยังไม่ยอมหยุด ไม่ยอมฟังเสียงของร่างกาย ยังเพิ่มเติมของเสียและของเน่า อย่าง เหล้า บุหรี่ ไขมัน สารพิษ เข้าสู่ร่างกายอยู่เรื่อยๆ หยิ่งผยองว่าฉันแกร่ง ฉันแข็งแรง จังหวะชีวิตของคุณเป็นแบบนี้หรือเปล่าคะ?

ถ้าจังหวะชีวิตของคุณเป็นแบบนี้ คุณเริ่มเป็น มะเร็ง ( cance ) แล้วค่ะ ดิฉันดูแม่นด้วยขอบอกนะ ห้ามลบหลู่เด็ดขาด ไม่ต้องถามว่าทำไม  เพราะคุณน่าจะรู้ตัวดีกว่าใครว่าทำไม ถ้าคุณไม่อยากเริ่มเป็นมะเร็ง คุณควรหันมาฟังเสียงร่างกายเสียบ้างว่าต้องการอะไร แล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตไร้โรคนั้นสุขมากแค่ไหน ดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่หันมาฟังเสียงจากข้างใน และวันนี้ดิฉันก็สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ ด้วยจังหวะชีวิตที่ห่างไกลจากโรคมะเร็งร้าย

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เป็นมะเร็งแล้วแก้ตัวยาก ตอนไม่เป็นก็ชอบพฤติกรรมเสี่ยง

0
เป็นมะเร็งแล้วแก้ตัวยาก ตอนไม่เป็นก็ชอบพฤติกรรมเสี่ยง
การใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่นะวังหรือไม่มีสติดำเนินชีวิตด้วยพฤติกรรมที่เสี่ยงบ่อยๆ มะเร็งก็จะวิ่งเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว
เป็นมะเร็งแล้วแก้ตัวยาก ตอนไม่เป็นก็ชอบพฤติกรรมเสี่ยง
การใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่นะวังหรือไม่มีสติดำเนินชีวิตด้วยพฤติกรรมที่เสี่ยงบ่อยๆ มะเร็งก็จะวิ่งเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว

พฤติกรรมเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง

เหนื่อยไหมกับการรักษาตัว? ถ้าคุณไปถามคนที่รักษาตัวจาก มะเร็ง ( cance ) ร้าย คุณจะได้รับคำตอบว่า “ เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ ” แต่ก็ต้องสู้ต่อไปเพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่รักให้นานที่สุด ไม่รู้ว่าจะรักษาหายตอนไหน บางคนหมดกำลังใจที่จะต่อสู้กับมะเร็ง ( cance ) ก็ต้องเสียชีวิต ถ้าคุณได้ยินคำตอบแบบนี้คุณจะรู้สึกยังไง? สำหรับดิฉันแล้วรู้สึกถึงความกลัว  ความสิ้นหวัง ความท้อแท้ที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของคนที่เป็นมะเร็ง ( cance ) ไม่มีใครอยากเป็นมะเร็งเพราะมะเร็งมีทั้งที่รักษาหายยาก ในการรักษาต้องใช้ทั้งความอดทน ความเข้มแข็งของทั้งจิตใจ และร่างกาย บางคนรักษาตัวเป็นปีๆ กว่าจะหาย บางคนใช้เวลาหลายปีทีเดียว แต่ใช่ว่ารักษาหายแล้วจะไม่กลับมาเป็นอีกเหมือนกับอีสุกอีใส คางทูม หรือหัดเยอรมัน เพราะมะเร็งรักษาหายแล้วคุณมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกง่ายมาก ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดีตามที่หมอสั่ง ในเมื่อเป็นแบบนี้ดิฉันเชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากเป็นมะเร็งกันหรอก แต่ทุกคนกลับชอบที่จะอยู่กับความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็ง แล้วอะไรคือความเสี่ยงที่ทุกคนชอบกันนักนะ ความเสี่ยงที่ดิฉันพูดถึงก็คือการใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่ระวังของพวกเราเองนี่ล่ะ มะเร็งมันแอบแฝงอยู่ใกล้ตัวเราอย่างน่าตกใจ มันแฝงตัวอยู่ในทุกการดำเนินชีวิตเพื่อรอเวลาที่เผลอ มันก็จะเข้าไปอาศัยอยู่ในตัวคุณ รอเวลาที่ร่างกายคุณอ่อนแอ มันก็จะลงมือทำร้ายทันทีอย่างไม่ปราณี ทำร้ายคุณอย่างแสนสาหัส

คุณลองหันกลับไปดูสิว่าในแต่ละวันคุณทำอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมเสี่ยงกับมะเร็ง? เช้าดื่มกาแฟกับขนมปังขัดขาวยี่ห้อดัง บางวันกินข้าวเหนียวหมูย่างไก่ย่างที่ไหม้เกรียมควันโขมง กลางวันกินฟาดส์ฟูดต์ ไก่ทอดแบรนด์ดัง เฟรนฟรายแบรนด์นอก พิซซาถาดใหญ่ แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโต กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินอาหารที่มีแต่แป้ง คาร์โบไฮเดรต ไขมันสูง กินเสร็จกลับไปนั่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ไม่เคยลุกขึ้นหรือขยับตัวไปไหนนอกจากห้องน้ำ เครียดกับงาน เครียดกับชีวิต เครียดกับการเดินทางฝนตกรถติด กระหายน้ำก็เปิดตู้หยิบน้ำอัดลม เครื่องดื่มสำเร็จรูปแช่เย็นชื่นใจสุดๆ จากร้านสะดวกซื้อ เลิกงานแทนที่จะกลับบ้านนอนพักผ่อน ไม่ค่ะ!ไม่กลับ ขอไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากับเพื่อนฝูงตามผับบาร์ ร้านอาหาร ดื่มเหล้าเคล้าควันบุหรี่ ชมแสงสียามค่ำคืนเสียหน่อย แล้วตีสองตีสามค่อยกลับบ้านนอนเป็นชีวิตที่แสนสุขของใครหลายคน เชื่อว่าอีกหลายคนก็หวังไว้ว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ที่ดิฉันพูดมานี่เป็นสิ่งที่จัดว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็ง ( cance ) ทั้งนั้นนะคะ แต่คุณก็ชอบกันเสียเหลือเกิน   

นี่แหละค่ะ! ดิฉันถึงบอกว่าพวกคุณชอบอยู่กับความเสี่ยงกันจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเป็น มะเร็ง ( cance ) กัน แต่ก็รับทุกสิ่งทุกที่ทำให้เกิด มะเร็ง ( cance ) เข้าสู่ตัวอยู่ตลอด ไม่ว่ากินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง การไม่ออกกำลังกาย การสูบหรือดมควันบุหรี่ การดื่มเหล้า สนใจแต่สิ่งของภายนอกรอบตัวแทนที่จะใส่ใจดูแลสุขภาพภายในของตัวเองให้ดี ด้วยการกินของที่มีประโยชน์ ออกกกำลังกายทุกวัน พักผ่อนมากๆ แต่พอเป็นมะเร็งขึ้นมาก็เสียใจ ได้แต่ตัดพ้อโชคชะตาว่าทำไมตนถึงได้โชคร้ายแบบนี้ ไม่ได้มองย้อนกลับไปดูตัวเองเลยว่ายอมใช้ชีวิตเสี่ยงมากแค่ไหนในแต่ละวัน พอรู้ตัวก็สายเกินแก้เสียแล้วเพราะเจ้ามะเร็งตัวร้ายมันเล่นงานเสียหนักแล้ว ทำได่แต่ก้มหน้ายอมรับและรักษาตัวต่อไป คุณเป็นคนหนึ่งที่ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่หรือป่าว? ถ้าใช่ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ เพราะว่าคุณกำลังจะเป็นมะเร็งในอนาคต หยุดเสี่ยงเสียแต่วันนี้ก่อนที่จะสายเกินแก้ เพราะเมื่อเป็นมะเร็งแล้วจะแก้ตัวได้ยาก

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม