โดนแดดมากๆ เป็นมะเร็งไหม? แดดเมืองไทยน่ากลัวไหม ?

0
โดนแดดมากๆ เป็นมะเร็งไหม? แดดเมืองไทยน่ากลัวไหม ?
การโดนแสงแดดเป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคที่อันตรายอย่างมะเร็งผิวหนังได้
โดนแดดมากๆ เป็นมะเร็งไหม? แดดเมืองไทยน่ากลัวไหม ?
การโดนแสงแดดเป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคที่อันตรายอย่างมะเร็งผิวหนังได้

แสงแดดเสี่ยง มะเร็งผิวหนัง

โอ้ย! ทำไมแดดร้อนขนาดนี้เนี่ย แดดเมืองไทยนี่มันร้อนจริงๆ นะคะ นี่ขนาดว่าดิฉันเป็นคนชอบอากาศอบอุ่นนะเนี่ย แต่อุ่นจนร้อนแบบนี้ก็ต้องขอบายดีกว่าค่ะ จริงอยู่ที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือต้นไม้ แต่ว่าถ้าแสงอาทิตย์จะร้อนแรงขนาดนี้ก็ต้องขอหลบเข้าร่มก่อนแล้ว คุณรู้หรือเปล่า? แสงอาทิตย์นนอกจากจะมีประโยชน์แต่ก็มีโทษเหมือนกันนะ เพราะการโดน แสงแดด เป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคที่อันตรายอย่างมะเร็งผิวหนังได้ด้วย แต่ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับตัวเองเสียหน่อยที่เกิดเป็นคนไทย ทำไมนะหรือคะ? ก็เพราะว่าสีผิวของคนไทยนี่สามารถช่วยป้องกันการเกิด มะเร็งผิวหนัง ได้ดีมากเลยค่ะ ยิ่งคนผิวดำก็จะยิ่งมีความต้านทานมะเร็งผิวหนังมากขึ้น ต่างกับชาวต่างชาติที่มีผิวสีขาวที่มีอันตราเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่าหลายเท่า ถึงจะมีความเสี่ยงมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังชอบที่จะมาอาบแดดที่เมืองไทยกันนะคะ เพื่อความงามตามค่านิยมของคนประเทศของเขา แต่รู้กันหรือเปล่าว่า แสงแดดนี่ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้นะ

ประเทศไทยเรานี่มีคนป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยมาก พบราวๆ ปีละ 300 -400 คนเองนะ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรกว่า 70 ล้านคน ทำให้คนไทยมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งผิวหนังน้อยมากทีเดียว งั้นเรามาทำความรู้จักกับมะเร็งผิวหนังกันก่อนดีกว่า โรคมะเร็งผิวหนังแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ คือ

1. มะเร็งผิวหนังบาซอล เซลล์ คาร์ซิโนมา ( Basal Cell Carcinoma ) หรือ BCC เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นกับเซลล์ชั้นผิวหนังชั้นล่างสุด สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการโดน แสงแดด มากเกินไป พบมากในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปและพบที่ใบหน้ามากกว่าส่วนอื่นของร่างกาย ลักษณะของเนื้อมะเร็งที่พบจะคล้ายกับฝ้าที่เป็นบนใบหน้า แต่จะมีการกระจายตัวใหญ่ขึ้นเร็วผิดปกติ มะเร็งชนิดนี้ที่พบได้มากที่สุด

2. มะเร็งผิวหนังสแควมัส เซลล์ คาร์ซิโนมา ( Squamous Cell Carcinoma ) หรือ SCC เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติขององค์ประกอบของเซลล์ผิวหนังที่เราเรียกว่า สแควเซลล์ ที่มีการแบ่งตัวผิดปกติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง มะเร็งแบบนี้จะมีการเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะคล้ายกับ BCC แต่ว่ามะเร็งชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและต่อมน้ำเหลืองได้จึงมีความรุนแรงมากกว่า

3. มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา ( Melanoma ) เป็นมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิว ( Melanocyte ) เซลล์นี้จะทำหน้าที่ในการสร้างสีผิวให้กับคนเราซึ่งมะเร็งชนิดนี้เป็นชนิดที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดในจำนวนของมะเร็งผิวหนังทั้งหมดที่พบ เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีอันตรายถึงชีวิตได้ทันที เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองหรือเส้นเลือดได้อย่างรวดเร็ว จึงแพร่เข้าไปเป็นเชื้อมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น สมอง ปอด กระดูก เป็นต้น

มะเร็งผิวหนัง เกิดจากการที่เซลล์ผิวหนังโดนทำลายด้วยรังสียูวีที่มีอยู่ใน แสงแดด ยิ่งผิวหนังโดนแดดแรงเท่าไหร่ผิวหนังก็จะยิ่งโดนทำลายมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเซลล์ผิวหนังโดนทำลายจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

แบบที่ 1 เซลล์ที่ถูกเผาไหม้จนหมดอายุ เซลล์ที่ถูกเผาไหม้และหมดอายุร่างกายจะสลัดลอกออก มีลักษณเป็นขุยหรือหนังที่ลอกออกมา เราจะพบว่าเวลาที่ผิวเราไหม้แดง ผ่านไปสักพักผิวหนังจะลอกออกมา นั่นคือเซลล์ที่โดนทำลายจนหมดอายุค่ะ

แบบที่ 2 เซลล์ที่ถูกทำลายเพียงบางส่วน ร่างกายจะทำการซ่อมแซมให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม พร้อมทั้งสร้างเซลล์ผิวหนังขึ้นมาใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายหลุดออกไป

แต่ถ้าขั้นตอนการซ่อมและสร้างเซลล์ผิวหนังนี่เกิดความผิดปกติขึ้น

รังสียูวีเอ ยูวีบีที่อยู่ในแสงแดดเข้าไปทำลายดีเอ็นเอของเซลล์ ทำให้เซลล์มีการสร้างเซลล์ใหม่มากขึ้นและเซลล์ที่ได้รับการซ่อมแซมมีการขยายตัวแบบไม่หยุด เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็งนั่นเอง

แสงแดด นี่อันตรายจริงๆ นะ ถึงเราจะโชคดีที่มีสีผิวที่ช่วยป้องกันการเกิด มะเร็งผิวหนัง ได้มากกว่าคนผิวขาวอย่างชาวต่างชาติก็เถอะค่ะ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีสิทธิ์เป็นมะเร็งผิวหนังนะ แหม..ก็แดดบ้านเราเดี๋ยวนี้นี่ร้อนแรงเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง 10.00 น-16.00 น.นี่ ถ้าต้องเดินออกไปโดนแดดแค่แป๊บเดียวเองแสบไปทั้งตัวแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา หน้า เรียกว่าผิวส่วนไหนโดนแดดก็แสบร้อนไปหมดเลย ดิฉันขอเตือนเลยว่า
ช่วงเวลา 10.00 น -16.00 น. นี่เราไม่ควรไปโดนแดดมากที่สุด ถ้าจำเป็นต้องไปอยู่กลางแจ้งก็ให้ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่หมวกหรือกางร่มกันแสงยูวี และทาครีมกันแดดด้วยก็กันจะดีมาก

ดิฉันเองนี่เวลาจะต้องเข้าไปทำงานในสวนก็ต้องใส่หมวกไอ้โม่งคลุมหน้าคลุมตามิดชิด เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็นแต่ลูกตาเท่านั้นค่ะ ก็ แสงแดด นี่ทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน เป็นฝ้า หน้าดำคล้ำอีกด้วย เป็นใครก็ไม่ชอบกันหรอกค่ะโดยเฉพาะสาวๆ อย่างดิฉัน ไม่ใช่แค่กลัวไม่สวยอย่างเดียวนะคะ ยังกลัวมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากการโดนแดดด้วยค่ะ

อุ้ย ! วันนี้โดนแดดตอนกลางวันด้วยเนี่ยแล้วจะเป็น มะเร็งผิวหนัง ไหมนี่? ยังค่ะ! ยังไม่เป็น! ถ้าเราโดนแดดแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และไม่ได้โดนเป็นประจำก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนังกันหรอกค่ะ เพราะการที่เราจะเป็นมะเร็งผิวหนังได้นั้น ผิวหนังเราต้องโดนแดดที่แรงจัดและโดนเป็นเวลานานต่อเนื่องกันหรือโดนเป็นประจำทุกๆ วัน โดยที่ไม่มีเครื่องป้องกันแสงหรือรังสีใดๆ ตัวอย่างเช่น คนที่ชอบอาบแดดเป็นประจำ ครั้งละหลายชั่วโมงเพื่อสร้างผิวสีแทน อันนี้รวมถึงการอาบแดดด้วยเครื่องสังเคราะห์แสงด้วยไม่ใช่อาบจากแสงธรรมชาติเพียงอย่างเดียว คนที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งและสวมเสื้อผ้าบางๆ สั้นๆ คนที่ทำงานกลางแจ้งโดยไม่มีเครื่องป้องกัน คนที่ทำงานอยู่กับรังสี คนพวกนี้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนปกติที่เดินผ่าน แสงแดด แรงในเวลาสั้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนัง คุณก็ไม่ควรที่จะไปยืนตากแดดกันนะคะ คุณจะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับ มะเร็งผิวหนัง

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?

0
แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?
ภาวะอ้วนทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะในผู้หญิง
แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?
ภาวะอ้วน ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะในผู้หญิง

แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?

คน อ้วน มีโอกาสเป็น มะเร็ง มากกว่าคนผอมจริงหรือ? คนอ้วนที่ดิฉันพูดนี่คือคนที่อยู่ในสภาวะอ้วนหรือเป็นโรคอ้วนนะคะ อย่าเพิ่งตกใจไปสำหรับตนตัวโต เพราะไม่ใช่ว่าแค่คนตัวโตหรือตัวใหญ่ก็จะเป็นโรคอ้วนแล้วนะ เหมือนที่ดิฉันเคยเป็น ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนอ้วนอยู่ตลอดเวลา ก็เวลาไปไหนมาไหนเราก็ตัวใหญ่กว่าใครเพื่อน ด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตรกับน้ำหนัก 65 กิโลกรัม เวลาอยู่กับคนสูง 160 เซนติเมตร เราก็เลยดูอ้วนไปเลย

แต่จริงๆ แล้ว การวัดว่าคนไหนเป็น โรคอ้วน หรือเปล่านั้น เราวัดจากค่าดัชนีมวลกาย ไม่สามารถคาดคะเนเองได้ ถ้าเราดัชนีมวลกายมากกว่า 23 ถือว่า น้ำหนักเกิน เกณฑ์และถ้าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 นี่ถือว่าอยู่ในภาวะอ้วนหรือเป็นโรคอ้วนแล้วนะคะ ต้องระวังตัวกันให้ดีเพราะว่าภาวะอ้วนนี่นำมาซึ่งโรคร้ายแรงอีกหลายโรคเลยทีเดียวค่ะ ทั้งโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคไขมันอุดตัน ที่อันตรายถึงตายได้ถ้าทำการรักษาไม่ทันเวลา ค่าดัชนีมวลกายนี่เราวัดได้จาก น้ำหนักตัว( กิโลกรัม ) / ส่วนสูง ( เมตร ) ค่าที่คิดได้คือค่าดัชนีมวลกายของเราค่ะ

ปัจจุบันนี้คนส่วนมากอยู่ในสภาวะอ้วนกัน นับเป็นปัญหาระดับโลกเลยทีเดียวเชียว บาง คนอ้วน ตั้งแต่เด็กเลยก็มี สาเหตุของโรคอ้วนนอกจากกรรมพันธุ์แล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างก็คือการกินอาหารในชีวิตประจำวันของเราที่มักกินอาหารที่มีแป้ง คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ซึ่งเป็นแหล่งที่ให้พลังงานสูงมาก สูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน เมื่อร่างกายได้รับพลังงานสูงแต่นำมาใช้ไม่หมดก็จะนำมาเปลี่ยนพลังงานที่เหลือให้อยู่ในรูปของไขมันเข้าไปสะสมตามส่วนๆ ต่างของร่างกาย เช่น ต้นขา หน้าท้อง ต้นแขน เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น

แต่ดูเหมือนจะไม่มียามจำเป็นสำหรับคนเรานะ เพราะว่าเราหิวและกินอาหารเติมเข้าไปทุกวัน ทำให้ไขมันสะสมเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นกัน แหม! ก็เดี๋ยวนี้อาหารฟาดฟูดส์มีอยู่ทั่วไปและได้รับความนิยมสูงมาก อีกทั้งร้านสะดวกซื้อที่มีกินอาหารสำเร็จรูปพร้อมกินไว้จำหน่ายอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย ดึก ตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนังๆ ดึกๆ เดินออกมาไม่กี่ก้าวก็มีทั้งขนม นม เนย หลากหลายให้เลือกกิน แบบนี้ไม่ให้ อ้วน ก็คงไม่ไหวแล้วละค่ะ อีกทั้งการดำรงชีวิตที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาทำอาหารที่มีคุณค่า ไม่มีเวลาใส่ใจเลือกอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย วันๆ สนใจแต่ทำงานหาเงินเพื่อมาซื้อของที่ไม่มีประโยชน์มากิน และเก็บเงินไว้รักษาตัวยามป่วยไข้ ไม่มีใครใส่ใจเลือกกินอาหารดีๆ มีคุณค่ามากิน เพราะว่าต้องเสียเวลานั่งทำงาน เสียเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนกับแฟน ทุกอย่างที่ดิฉันพูดมานี่ทำให้คุณเป็นโรคอ้วนได้ทั้งนั้นนะ ซึ่งโรคอ้วนนี้นำมาซึ่งโรคร้ายหลายชนิด รวมถึงโรคมะเร็งตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยไปปีละหลายหมื่นคน

ความอ้วนทำให้เราเป็นมะเร็งได้จริงหรือ? จริงค่ะ!! มีผลการวิจัยจากหลายสถาบันให้การยืนยันมาแล้วว่าคนที่อยู่ในภาวะอ้วนนั้นมีความเสี่ยงในการเกิด มะเร็ง โดยเฉพาะในผู้หญิงเรา ที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 นั้นจะมีภาวะเสี่ยงมาก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าไขมันที่สะสมอยู่ตามร่างกายของคนที่อยู่ในภาวะอ้วนมีมากกว่าคนที่แค่มี น้ำหนักเกิน หรือมีดัชนีมวลกาย 23 เพราะไขมันที่อยู่ในคนที่เป็นโรคอ้วนเป็นไขมันชนิดที่มีสีขาว ( White Adipose Tissue ) ซึ่งเซลล์ไขมันชนิดนี้มีความพิเศษอยู่ด้วย นั่นคือไขมันสีขาวสามารถผลิตฮอร์โมนให้กับร่างกายได้เหมือนกับที่ต่อมไร้ท่อผลิต ฮอร์โมนที่ไขมันสีขาวสามารถผลิตขึ้นมาได้คือ

1.ฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) ฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือที่หลายคนเรียกว่า ฮอร์โมนเพศหญิง และมีความเข้าใจว่าต้องมีอยู่ในผู้หญิงเพียงอย่างเดียว แต่ว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีอยู่ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะมีผลต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนะคะ เพราะว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่ช่วยแสดงความเป็นผู้หญิงให้ชัดเจนมากขึ้น ช่วยเพิ่มขนาดของหน้าอกให้ใหญ่และเต่งตึง ช่วยสร้างผนังมดลูกให้หนาขึ้นเวลาที่ไข่ตกและเพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิกับอสุจิมาแล้ว ช่วยให้เซลล์ผิวมีการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลให้ผิวพรรณเต่งตึงมีน้ำมีนวล แต่ถ้ามีออร์โมนตัวนี้มากขึ้นเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลทำให้อวัยวะที่แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงจะมีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นก้อนมะเร็งในที่สุด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก เป็นต้น

2.ฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin ) เราจะรู้จักว่าอินซูลินเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน แต่หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของฮอร์โมนตัวนี้ คือ เป็นฮอร์โมนที่เข้าไปช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งใช้ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้ามีร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินมากเกินไป จะทำให้การกระบวนกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มีความผิดปกติ เซลล์มีการแบ่งตัวรวดเร็วจนไม่สามารถหยุดยั้งได้ ซึ่งก็จะกลายเป็นเซลล์ มะเร็ง ในที่สุด

ซึ่งฮอร์โมนที่ไขมันผลิตมานั้น เดิมทีร่างกายของเราก็ผลิตเองได้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีการผลิตเพิ่มขึ้นมาจากไขมันอีกก็จะทำให้ฮอร์โมนมีจำนวนมากเกินความจำเป็นที่ร่างกายต้องใช้ ยิ่ง อ้วน มากเท่าไหร่ก็จะมีไขมันมากขึ้นเท่านั้น ฮอร์โมนก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีผลต่อร่างกายของผู้หญิงเราโดยตรง รู้หรือป่าวคะ ว่าฮอร์โมนที่สร้างจากไขมันนี่ไม่สามารถหยุดได้นะคะ ไขมันจะสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีสิ่งใดมาหยุดการสร้างฮอร์โมนของมันได้ ไม่เหมือนกับการสร้างฮอร์โมนของร่างกายที่เมื่อมีฮอร์โมนในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ร่างกายจะมีคำสั่งให้หยุดสร้างทันทีทำให้ฮอร์โมนไม่เกินความจำเป็นไงคะ

แบบนี้นะ ถ้าเราไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ในร่างกาย เราก็ไม่มีไขมันที่จะมาสร้างฮอร์โมนส่วนเกินขึ้นมา เซลล์ก็จะไม่มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เราก็จะไม่เป็น มะเร็ง นั่นเป็นคำตอบที่ดีว่าแค่คุณ ควบคุมน้ำหนัก คุณก็จะไม่เป็นมะเร็งแล้ว สำหรับคนที่ อ้วน อยู่ตอนนี้ก็อย่างเพิ่งตกใจว่า “นี่ฉันจะเป็นมะเร็งหรือ” เพราะว่ายังทันที่คุณป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งได้นะคะ ด้วยการลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์หรือมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18-23 แค่นี้คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าจะอ้วนจนเป็นมะเร็งแล้วค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?

0
แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?
สารพิษจากควันบุหรี่ที่เข้าไปสู่ปอดแล้ว ปอดจะไม่สามารถขจัดสารพิษที่มากับควันบุหรี่ออกไปได้
แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?
สารพิษจากควันบุหรี่ที่เข้าไปสู่ปอดแล้ว ปอดจะไม่สามารถขจัดสารพิษที่มากับควันบุหรี่ออกไปได้

แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?

คุณสูบบุหรี่หรือเปล่าค่ะ? ดิฉันเป็นคนที่ ไม่สูบบุหรี่ และไม่เคยคิดที่จะลองสูบด้วย เพราะว่าไม่ชอบกลิ่นเหม็นของบุหรี่ ที่ว่าไม่ชอบนี่ก็เพราะได้กลิ่นบุหรี่มาตั้งแต่เด็กๆ จากคุณพ่อของดิฉันเอง ตอนเด็กก็ไม่รู้ว่าบุหรี่มันดีหรือไม่ดีหรอกค่ะ รู้อย่างเดียวว่าเวลาได้กลิ่นแล้วเหม็นมากไม่อยากได้กลิ่นไม่อยากเข้าใกล้เลย เชื่อมั้ยคะ ตอนเด็กน่ะ พอพ่อหยิบบุหรี่ขึ้นมาทำท่าจะสูบ ดิฉันจะวิ่งจู๊ดไปจากพ่อทันที แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไรนะได้แต่หัวเราะชอบใจกับความไร้เดียงสาของลูก ที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น

คุณรู้ไหมคะว่าในแต่ละปีจะมีคนเสียชีวิตด้วยมะเร็ง ราว 60,000 กว่าคน 30% ตายจากโรคมะเร็ง และในจำนวนคนที่เป็นมะเร็งตายนี่ 87% ตายจากโรคมะเร็งที่เกิดจากบุหรี่ ซึ่งอันดับหนึ่งของมะเร็งที่เป็นต้นเหตุให้เสียชีวิตกันมากก็คือ “ มะเร็งปอด ” มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่มีอันตรายมาก เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตมากที่สุด ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากการตรวจมะเร็งปอดมักจะตรวจพบในระยะที่มีความรุนแรงมากแล้ว เมื่อตรวจเจอร้อยทั้งร้อยคือตายสถานเดียว โอกาสที่จะรักษาหายนั้นน้อยมากจริงๆ ค่ะ และสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เป็นมะเร็งปอดนี่เกิดจากการสูบบุหรี่มากถึง 92% ทีเดียว แต่เชื่อมั้ยคะ! ว่าถึงจะมีคนตายจากการสูบบุหรี่เป็นจำนวนมากก็ตาม แต่จำนวนคนที่สูบบุหรี่ก็ไม่เคยลดลงเลย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือจำนวนคนที่สูบบุหรี่กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีนี่สิ ถึงทางหน่วยงานรัฐบาล ภาคเอกชนจะมีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ บอกถึงโทษและโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ทั้งยังมีการนำรูปน่าเกลียดน่ากลัวจากผลการสูบบุหรี่มาไว้ที่ข้างซองบุหรี่ก็แล้ว ก็ยังไม่ช่วยให้จำนวนคนสูบบุหรี่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทำให้จำนวนคนที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดนั้นมีเพิ่มขึ้นทุกปี คุณรู้ไหมทำไมบุหรี่ถึงทำให้เกิดมะเร็งได้?

การที่สูบบุหรี่ ทำให้เป็นมะเร็ง ได้ก็เพราะว่าในควันบุหรี่มีสารพิษอยู่มากถึง 4,000 กว่าชนิด แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือในจำนวนนั้นมีสารก่อมะเร็งอยู่ถึง 60 ชนิด จากผลการวิจัยพบว่าเมื่อสารพิษจากควันบุหรี่ที่เข้าไปสู่ปอดแล้ว ปอดจะไม่สามารถขจัดสารพิษที่มากับควันบุหรี่ออกไปได้ เนื่องจากอนุภาคของสารพิษที่อยู่ในควันบุหรี่นี้มีขนาดที่เล็กมากจนเกินความสามารถที่ปอดจะขจัดหรือทำลายออกมาได้ ทั้งๆ ที่โดยปกติแล้วปอดจะขจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าในปอดมาออกไปจนหมด ทำให้นุภาคของสารพิษเกิดการสะสมอยู่ในปอด สารพิษที่สะสมจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้นทีละน้อยๆ จากการอัดควันบุหรี่เข้าไปของคุณทุกๆ วันนั่นแหละค่ะ เมื่อสะสมไปนานๆ เข้าสารพิษนี้ก็จะเข้าไปยับยั้งการสร้างสารต่อต้านยีนส์มะเร็ง ( Anti Nocogene ) และยีนส์ซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์ ( DNA Repair Genes ) ในปอดให้มีการสร้างน้อยลงเรื่อย ๆ จนเซลล์ทั้งสองมีปริมาณไม่เพียงพอในการต่อต้านเซลล์มะเร็งและไม่พอที่จะซ่อมแซมเซลล์ให้กลับมาแข็งแรงได้ หรือสามารถทำงานได้บ้างแต่ก็ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นมาได้เรื่อยๆ เพราะไม่มีตัวมาขัดขวางและทำลายแล้วนั่นเอง

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสารต่อต้านยีนส์มะเร็ง ( Anti Nocogene ) และยีนส์ซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์ ( DNA Repair Genes ) มีหน้าที่ป้องกันการทำลายเซลล์จากเชื้อมะเร็ง และซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายไปให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่เมื่อมันไม่สามารถทำงานได้ก็ไม่มีสิ่งใดมาทำลายเชื้อมะเร็งที่กำลังโตให้หยุดโตได้ เชื้อมะเร็งย่อมได้ใจโตวันโตคืนไม่หยุดเลย ควันบุหรี่ไม่ใช่จะยับยั้งการสร้างสารต่อต้านยีนส์มะเร็ง ( Anti Nocogene ) และยีนส์ซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์ ( DNA Repair Genes ) แค่ที่ปอดเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่มันสามารถก็ยับยั้งไปได้ทุกหนทุกแห่งที่ควันบุหรี่ลอยผ่านไป เรียกว่าไปถึงไหนทำลายถึงนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ช่องปาก หลอดลม หลอดอาหาร  กระเพาะอาหาร กล่องเสียง ถุงลม เป็นที่มาของมะเร็งส่วนต่างๆ ตามระบบหายใจและระบบทางเดินอาหารไงค่ะ และเมื่อมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นแล้ว เรายังสูบบุหรี่อัดควันเข้าไปในร้างกายอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ควันบุหรี่ที่เข้าไปจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของมะเร็งเพราะเมื่อเซลล์มะเร็งได้รับควันบุหรี่มันขยายวงกว้างขึ้นแบบทวีคูณ มีขนาดใหญ่ขึ้นเร็วมากจนน่าตกใจ เซลล์มะเร็งที่โตขึ้นในปอดจะเข้าขัดขวางเซลล์ไม่ให้ทำการรับออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป ทำให้เซลล์ตามร่างกายขาดออกซิเจน ที่จะนำไปหล่อเลี้ยงร่างกายตามส่วนต่างๆ ทำให้ทั่วร่างกายขาดออกซิเจนไปด้วย ร่างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลง เมื่อร่างกายอ่อนแอเซลล์มะเร็งก็ยิ่งโตขึ้นและแพร่กระจายเชื้อไปยังส่วนต่างๆ ต่อไป

แบบนี้ถ้าเราไม่สูบบุหรี่ ก็จะไม่เป็นมะเร็งสิ ใช่ค่ะ! ถ้าคุณไม่สูบบหุรี่ ดิฉันบอกเลยว่าคุณจะมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมากโดยเฉพาะมะเร็งปอด รู้ไหมคะ? คนที่สูบบุหรี่นี่มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 30 เท่าเลยนะ โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่จัดและสูบระยะเวลามากกว่าสิบปี ส่วนคนที่ไม่สูบบุหรี่แต่ว่าอยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่อบอวลอยู่ตลอดเวลา ทั้งในบ้าน ที่ทำงาน สถานบันเทิง รถยนต์หรือโรงหนังบางแห่ง ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมากกว่าปกติถึง 2 เท่าเลย นี่ขนาดไม่ได้สูบเองนะเนี่ยยังต้องเสี่ยงไปด้วยเลย แย่จริงๆ ถึงเราจะไม่ได้สูบเองแต่เราก็ต้องสูดควันบุหรี่เข้าไปในปอดด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือว่าอันตรายแล้วค่ะ ดังนั้นการไม่สูบบุหรี่ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ได้จริงๆ นะ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นมะเร็งก็ควรเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N: บอกอะไรเกี่ยวกับไตของคุณ?

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Urea N
Urine Urea N คือค่าที่ใช้เพื่อวัดหาสารของเสียยูเรียที่ถูกขับทิ้งออกมากับน้ำปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Urea N
Urine Urea N คือค่าที่ใช้เพื่อวัดหาสารของเสียยูเรียที่ถูกขับทิ้งออกมากับน้ำปัสสาวะ

Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N คืออะไร?

Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N เป็นการตรวจวัดระดับยูเรียในเลือดและปัสสาวะตามลำดับ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญในการประเมินการทำงานของไต

ความสำคัญของค่า BUN และ Urine Urea N ต่อสุขภาพไต

ค่า BUN และ Urine Urea N มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินสุขภาพและการทำงานของไต โดยสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติของไตได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ทำไม BUN และ Urine Urea N จึงเป็นตัวบ่งชี้การทำงานของไต?

BUN และ Urine Urea N เป็นตัวบ่งชี้การทำงานของไตเนื่องจากไตมีหน้าที่กำจัดของเสียประเภทยูเรียออกจากร่างกาย ค่าเหล่านี้จึงสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการกรองของไต

ความสัมพันธ์ระหว่างค่า BUN และ Urine Urea N กับการกรองของไตเป็นอย่างไร?

ค่า BUN ที่สูงขึ้นมักบ่งชี้ว่าไตกำลังทำงานหนักขึ้นในการกำจัดยูเรีย ในขณะที่ค่า Urine Urea N ที่ต่ำลงอาจแสดงถึงการกรองของไตที่ลดลง

ค่าเหล่านี้สามารถใช้ติดตามภาวะไตเสื่อมได้หรือไม่?

ใช่ ค่า BUN และ Urine Urea N สามารถใช้ติดตามภาวะไตเสื่อมได้ โดยการเปลี่ยนแปลงของค่าเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงการเสื่อมของไตในระยะยาว

การตรวจ BUN และ Urine Urea N ทำได้อย่างไร?

การตรวจ BUN และ Urine Urea N เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทำได้ง่ายและให้ข้อมูลที่มีประโยชน์

วิธีตรวจ Blood Urea Nitrogen (BUN) คืออะไร?

การตรวจ BUN ทำโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

วิธีตรวจ Urine Urea Nitrogen (Urine Urea N) คืออะไร?

การตรวจ Urine Urea N ทำโดยการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงหรือตัวอย่างปัสสาวะครั้งเดียว แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ค่าปกติของ BUN และ Urine Urea N ควรอยู่ในช่วงใด?

ค่าปกติของ BUN อยู่ในช่วง 7-20 mg/dL สำหรับผู้ใหญ่ ส่วนค่า Urine Urea N ปกติอยู่ที่ประมาณ 6-17 g/24 ชั่วโมง

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บปัสสาวะอย่างเคร่งครัด

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N?

ค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคไตและปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่า BUN สูงกว่าปกติ?

สาเหตุของค่า BUN สูง ได้แก่:

  • โรคไตเรื้อรัง
  • ภาวะขาดน้ำ
  • การรับประทานโปรตีนมากเกินไป
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์

ค่า BUN ต่ำกว่าปกติหมายถึงอะไร?

ค่า BUN ต่ำอาจเกิดจาก:

  • การตั้งครรภ์
  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • โรคตับบางชนิด

ค่า Urine Urea N สูงหรือต่ำมีผลอย่างไรต่อร่างกาย?

ค่า Urine Urea N สูงอาจบ่งชี้ถึงการสลายโปรตีนในร่างกายมากเกินไป ส่วนค่าต่ำอาจแสดงถึงการทำงานของไตที่ลดลง

การแปลผลค่า BUN และ Urine Urea N บ่งบอกถึงสุขภาพไตอย่างไร?

การแปลผลค่า BUN และ Urine Urea N ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า BUN สูงสามารถชี้ไปที่ภาวะหรือโรคอะไรได้บ้าง?

ค่า BUN สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • โรคไตเรื้อรัง
  • ภาวะช็อก
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว
  • การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ

ค่า Urine Urea N มีบทบาทอย่างไรในการประเมินสมดุลโปรตีนในร่างกาย?

ค่า Urine Urea N ช่วยประเมินการสลายโปรตีนในร่างกายและการขับออกของไนโตรเจน ซึ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านโภชนาการ

ค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนอาหารหรือการรักษาตามความเหมาะสม

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N

ค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N อาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease – CKD) มีผลต่อค่า BUN อย่างไร?

โรคไตเรื้อรังทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการกำจัดยูเรีย ส่งผลให้ค่า BUN สูงขึ้น

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ส่งผลต่อ BUN และ Urine Urea N อย่างไร?

ภาวะขาดน้ำทำให้ค่า BUN สูงขึ้นเนื่องจากการลดลงของปริมาณเลือดที่ไหลผ่านไต ในขณะที่ค่า Urine Urea N อาจลดลงเนื่องจากปริมาณปัสสาวะที่น้อยลง

ภาวะการทำงานของตับบกพร่องมีผลต่อค่าทั้งสองอย่างไร?

ภาวะตับบกพร่องอาจทำให้การสร้างยูเรียลดลง ส่งผลให้ค่า BUN และ Urine Urea N ต่ำลง

วิธีดูแลสุขภาพไตให้ค่า BUN และ Urine Urea N อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพไตช่วยรักษาค่า BUN และ Urine Urea N ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพไตและควบคุมระดับ BUN มีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพไต ได้แก่:

  • ผักและผลไม้สด
  • โปรตีนคุณภาพดีในปริมาณที่เหมาะสม
  • อาหารที่มีโซเดียมต่ำ
  • น้ำดื่มสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ

ปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อการลดความเสี่ยงของค่าผิดปกติ

ควรดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไต

วิธีลดความเสี่ยงของโรคไตและภาวะไตเสื่อม

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ BUN และ Urine Urea N?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับไต

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า BUN หรือ Urine Urea N ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • บวมที่ขาหรือข้อเท้า
  • ปัสสาวะลดลงหรือมากขึ้นผิดปกติ
  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า BUN และ Urine Urea N อย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ควบคุมโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจส่งผลต่อไตโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • จัดการความเครียด
  • งดสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจ Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสุขภาพไตและการทำงานของระบบขับถ่าย การเข้าใจถึงความสำคัญของค่าเหล่านี้ การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับ BUN และ Urine Urea N ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ BUN และ Urine Urea N เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพไต และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ BUN และ Urine Urea N หรือสุขภาพไต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพไตและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

William M Rand, Peter L Pellett, and Vernon R Young. Meta-analysis of nitrogen balance studies for estimating protein requirements in healthy adults. Am J Clin Nutr. 2003; 77(1): 109-127.

Frank N. Konstantinides.Nitrogen Balance Studies in Clinical Nutrition. Nutr Clin Pract. 1992; 7: 231-238.

Hoffer L John. Protein and energy provision in critical illness. Am J Clin Nutr. 2003; 78: 906-911.

Urine Glucose คืออะไร? การตรวจปัสสาวะเพื่อเช็กระดับน้ำตาลในร่างกาย

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Glucose
Urine Glucose เป็นค่าที่ใช้ตรวจสอบเพื่อหาน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Glucose
Urine Glucose เป็นค่าที่ใช้ตรวจสอบเพื่อหาน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะ

Urine Glucose คืออะไร?

Urine Glucose หรือน้ำตาลในปัสสาวะ เป็นการตรวจวัดปริมาณน้ำตาลกลูโคสที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ การตรวจนี้เป็นวิธีหนึ่งในการประเมินระดับน้ำตาลในร่างกายและคัดกรองโรคเบาหวาน

ความสำคัญของการตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ

การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะมีความสำคัญในการประเมินสุขภาพและคัดกรองโรคเบาหวานเบื้องต้น โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถตรวจเลือดได้

ทำไมการตรวจ Urine Glucose จึงเป็นตัวบ่งชี้ระดับน้ำตาลในร่างกาย?

การตรวจ Urine Glucose เป็นตัวบ่งชี้ระดับน้ำตาลในร่างกายเนื่องจากไตจะกรองน้ำตาลส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าที่ไตจะดูดซึมกลับได้

Urine Glucose แตกต่างจากการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร?

Urine Glucose แตกต่างจากการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดคือ:

  • ตรวจจากปัสสาวะไม่ใช่เลือด
  • แสดงผลย้อนหลังในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่ค่าปัจจุบัน
  • มีความไวน้อยกว่าการตรวจเลือด

ระดับน้ำตาลในปัสสาวะสามารถใช้คัดกรองโรคเบาหวานได้หรือไม่?

ระดับน้ำตาลในปัสสาวะสามารถใช้คัดกรองโรคเบาหวานเบื้องต้นได้ แต่ไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคได้โดยตรง จำเป็นต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มเติม

การตรวจ Urine Glucose ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Urine Glucose มีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน

วิธีการตรวจ Urine Glucose มีอะไรบ้าง?

  1. การตรวจปัสสาวะด้วยแถบวัดน้ำตาล (Dipstick Test):
    • สะดวก รวดเร็ว ทำได้ที่บ้าน
    • ให้ผลเป็นช่วงค่าโดยประมาณ
  2. การตรวจปัสสาวะแบบ 24 ชั่วโมง:
    • แม่นยำกว่า แสดงปริมาณน้ำตาลทั้งวัน
    • ต้องเก็บปัสสาวะทั้งหมดใน 24 ชั่วโมง
  3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
    • แม่นยำที่สุด ให้ค่าเชิงปริมาณ
    • ต้องส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการ

ค่าปกติของ Urine Glucose ควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ Urine Glucose ควรเป็นลบหรือน้อยกว่า 15 mg/dL ในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บปัสสาวะอย่างถูกต้อง

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ Urine Glucose?

ค่าผิดปกติของ Urine Glucose อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยอื่นๆ

ค่า Urine Glucose สูงบ่งบอกถึงอะไร?

ค่า Urine Glucose สูงอาจบ่งบอกถึง:

  • โรคเบาหวาน
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราว
  • ความผิดปกติของไต

ปัจจัยที่อาจทำให้ค่า Urine Glucose ต่ำผิดปกติคืออะไร?

ค่า Urine Glucose ต่ำผิดปกติพบได้น้อย แต่อาจเกิดจาก:

  • การดื่มน้ำมากเกินไป
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ปัจจัยที่อาจทำให้ค่าผลตรวจคลาดเคลื่อนมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่อาจทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อน ได้แก่:

  • การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงก่อนตรวจ
  • การใช้ยาบางชนิด
  • การเก็บปัสสาวะไม่ถูกวิธี

การแปลผลค่า Urine Glucose บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า Urine Glucose ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

Urine Glucose สูงสามารถบ่งบอกถึงโรคหรือภาวะอะไรได้บ้าง?

Urine Glucose สูงอาจบ่งบอกถึง:

  • โรคเบาหวาน
  • ภาวะตั้งครรภ์
  • โรคไตบางชนิด
  • ภาวะความเครียดทางร่างกาย

น้ำตาลในปัสสาวะสามารถใช้ติดตามระดับน้ำตาลในร่างกายได้อย่างไร?

น้ำตาลในปัสสาวะสามารถใช้ติดตามแนวโน้มของระดับน้ำตาลในร่างกายได้ แต่ไม่แม่นยำเท่าการตรวจน้ำตาลในเลือด

ค่าผิดปกติของ Urine Glucose ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มเติม
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามคำแนะนำ

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Urine Glucose

ค่าผิดปกติของ Urine Glucose อาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคเบาหวานมีผลต่อระดับน้ำตาลในปัสสาวะอย่างไร?

โรคเบาหวานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าที่ไตจะดูดซึมกลับได้ทั้งหมด ส่งผลให้มีน้ำตาลรั่วออกมาในปัสสาวะ

การตั้งครรภ์ส่งผลต่อค่า Urine Glucose หรือไม่?

การตั้งครรภ์อาจทำให้ค่า Urine Glucose สูงขึ้นได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการทำงานของไต

โรคไตและความผิดปกติของระบบกรองไตมีผลต่อ Urine Glucose อย่างไร?

โรคไตบางชนิดอาจทำให้ไตไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลับได้ตามปกติ ส่งผลให้มีน้ำตาลในปัสสาวะแม้ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในปัสสาวะ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน

อาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ได้แก่:

  • ผักและผลไม้สด
  • อาหารที่มีไฟเบอร์สูง
  • โปรตีนคุณภาพดี
  • ไขมันดีจากปลาและถั่ว

พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้สมดุล

พฤติกรรมที่ช่วย ได้แก่:

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • จัดการความเครียด
  • นอนหลับให้เพียงพอ

วิธีลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและภาวะน้ำตาลสูงในปัสสาวะ

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ตรวจสุขภาพประจำปี
  • ควบคุมอาหารและน้ำหนัก
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอหากมีความเสี่ยง

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Urine Glucose?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในร่างกาย

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า Urine Glucose ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • กระหายน้ำบ่อย
  • ปัสสาวะบ่อยหรือมากผิดปกติ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อ่อนเพลียผิดปกติ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจน้ำตาลในปัสสาวะสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดตามที่แพทย์นัด
  • ปรับเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • จัดการความเครียด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล
  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจ Urine Glucose เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการคัดกรองและติดตามระดับน้ำตาลในร่างกายเบื้องต้น การเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจนี้ การแปลผล และการดูแลสุขภาพเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Urine Glucose เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพโดยรวม และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ Urine Glucose หรือสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถควบคุมระดับน้ำตาลและรักษาสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Rose, Burton; Rennke, Helmut (1994). Renal pathophysiology – the essentials (1st ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. p. 194. ISBN 0-683-07354-0.

Han BR, Oh YS, Ahn KH, Kim HY, Hong SC, Oh MJ, Kim HJ, Kim YT, Lee KW, Kim SH. BR, Han (Sep 2010). “Clinical Implication of 2nd Trimester Glycosuria”. Korean J Perinatol. 21

Osmolality ในปัสสาวะคืออะไร? การตรวจค่าความเข้มข้นของสารละลายในปัสสาวะ

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Osmolarity
ค่าการตรวจ Urine Osmolality ที่ได้ สามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย

Osmolality ในปัสสาวะคืออะไร?

Osmolality ในปัสสาวะ คือการวัดความเข้มข้นของสารละลายในปัสสาวะ โดยวัดจำนวนโมเลกุลและไอออนที่ละลายอยู่ในปัสสาวะต่อกิโลกรัมของน้ำ การตรวจค่านี้ช่วยประเมินการทำงานของไตและสมดุลของเหลวในร่างกาย

ความสำคัญของการตรวจ Osmolality ในปัสสาวะ

การตรวจ Osmolality ในปัสสาวะมีความสำคัญในการประเมินการทำงานของไตและสมดุลน้ำในร่างกาย

Osmolality ในปัสสาวะมีบทบาทอย่างไรต่อสมดุลของเหลวในร่างกาย?

Osmolality ในปัสสาวะสะท้อนถึงความสามารถของไตในการเจือจางหรือเข้มข้นปัสสาวะเพื่อรักษาสมดุลน้ำและอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย

ความสัมพันธ์ระหว่าง Osmolality กับการทำงานของไตคืออะไร?

ค่า Osmolality บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของไตในการกรองของเสียและรักษาสมดุลน้ำ ค่าผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการทำงานของไต

การตรวจ Osmolality สามารถใช้ติดตามภาวะขาดน้ำและภาวะน้ำเกินได้หรือไม่?

ใช่ การตรวจ Osmolality สามารถใช้ประเมินภาวะขาดน้ำหรือน้ำเกินได้ โดยค่าสูงอาจบ่งชี้ภาวะขาดน้ำ ส่วนค่าต่ำอาจบ่งชี้ภาวะน้ำเกิน

วิธีตรวจ Osmolality ในปัสสาวะ

การตรวจ Osmolality ในปัสสาวะทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการตรวจ

การตรวจ Osmolality ทำได้อย่างไร?

  1. การเก็บตัวอย่างปัสสาวะแบบสุ่ม:
    • เก็บปัสสาวะครั้งเดียวตามเวลาที่กำหนด
    • สะดวกและรวดเร็ว แต่อาจไม่สะท้อนค่าเฉลี่ยตลอดวัน
  2. การเก็บตัวอย่างปัสสาวะ 24 ชั่วโมง:
    • เก็บปัสสาวะทั้งหมดใน 24 ชั่วโมง
    • ให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่าเกี่ยวกับการทำงานของไตตลอดวัน

ค่าปกติของ Osmolality ในปัสสาวะควรอยู่ในช่วงใด?

ค่าปกติของ Osmolality ในปัสสาวะอยู่ในช่วง 300-900 mOsm/kg สำหรับผู้ใหญ่

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ Osmolality ในปัสสาวะ?

ค่าผิดปกติของ Osmolality ในปัสสาวะอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยภายนอก

ค่า Osmolality สูงกว่าปกติบ่งบอกถึงอะไร?

ค่า Osmolality สูงกว่าปกติอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะขาดน้ำ
  • โรคไตบางชนิด
  • ภาวะเบาจืด (Diabetes Insipidus)

ค่า Osmolality ต่ำกว่าปกติหมายถึงภาวะอะไร?

ค่า Osmolality ต่ำกว่าปกติอาจหมายถึง:

  • ภาวะน้ำเกิน
  • การดื่มน้ำมากเกินไป
  • โรคไตบางชนิดที่ทำให้ไตไม่สามารถเข้มข้นปัสสาวะได้

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่า Osmolality ในปัสสาวะมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่า Osmolality ได้แก่:

  • ปริมาณน้ำที่ดื่ม
  • อาหารที่รับประทาน
  • การออกกำลังกาย
  • ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ

การแปลผลค่า Osmolality ในปัสสาวะบ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า Osmolality ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า Osmolality สูงสัมพันธ์กับภาวะขาดน้ำและโรคเกี่ยวกับไตอย่างไร?

ค่า Osmolality สูงอาจบ่งชี้ถึงภาวะขาดน้ำหรือโรคไตที่ทำให้ไตพยายามเก็บน้ำไว้ในร่างกายมากขึ้น

ค่า Osmolality ต่ำมีผลต่อสมดุลของสารละลายในร่างกายอย่างไร?

ค่า Osmolality ต่ำอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกินในร่างกาย ส่งผลให้เซลล์บวมและอาจเกิดอาการทางระบบประสาทได้

ค่าผิดปกติของ Osmolality ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนการดื่มน้ำและอาหารตามความเหมาะสม

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Osmolality ในปัสสาวะ

ค่าผิดปกติของ Osmolality ในปัสสาวะอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคไตเรื้อรังและภาวะไตวายมีผลต่อค่า Osmolality อย่างไร?

โรคไตเรื้อรังและภาวะไตวายอาจทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการเข้มข้นหรือเจือจางปัสสาวะ ส่งผลให้ค่า Osmolality ผิดปกติ

ภาวะเบาหวานไม่สมดุล (Diabetes Insipidus) ส่งผลต่อค่า Osmolality หรือไม่?

ภาวะเบาหวานไม่สมดุลทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการขับน้ำออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้ค่า Osmolality ในปัสสาวะต่ำผิดปกติ

ภาวะขาดน้ำและภาวะน้ำเกินมีผลต่อค่าความเข้มข้นของปัสสาวะอย่างไร?

ภาวะขาดน้ำทำให้ค่า Osmolality สูงขึ้น ในขณะที่ภาวะน้ำเกินทำให้ค่า Osmolality ต่ำลง

วิธีดูแลสุขภาพให้ค่า Osmolality ในปัสสาวะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาค่า Osmolality ในปัสสาวะให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อวันช่วยควบคุม Osmolality ได้อย่างไร?

การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม (ประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน) ช่วยรักษาสมดุลน้ำในร่างกายและควบคุมค่า Osmolality ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อาหารที่มีผลต่อความเข้มข้นของปัสสาวะควรรับประทานอย่างไร?

ควรรับประทานอาหารที่มีสมดุลของเกลือแร่และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือสูงเกินไป เพื่อช่วยรักษาสมดุลของ Osmolality

วิธีลดความเสี่ยงของภาวะขาดน้ำและภาวะไตเสื่อม

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารสุขภาพ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Osmolality ในปัสสาวะ?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของไต

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า Osmolality ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • กระหายน้ำมากผิดปกติ
  • ปัสสาวะบ่อยหรือน้อยผิดปกติ
  • บวมตามร่างกาย
  • อ่อนเพลียผิดปกติ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ Osmolality สูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า Osmolality และการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนการดื่มน้ำและอาหารตามคำแนะนำของแพทย์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจ Osmolality ในปัสสาวะเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินการทำงานของไตและสมดุลน้ำในร่างกาย การเข้าใจถึงความสำคัญของค่านี้ การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับ Osmolality ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Osmolality ในปัสสาวะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพโดยรวม และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ Osmolality ในปัสสาวะหรือสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสมดุลน้ำและการทำงานของไตให้อยู่ในสภาวะที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Sands, Jeff M.; Layton, Harold E. (2014-01-01). “Advances in Understanding the Urine-Concentrating Mechanism”. Annual Review of Physiology. 76 (1): 387–409.

Urine P-Amylase คืออะไร? การตรวจค่าตับอ่อนผ่านทางปัสสาวะ

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine P-Amylase
การตรวจเพื่อหาค่าเอนไซม์ที่ได้จากตับอ่อนและถูกกรองทิ้งมากับปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine P-Amylase
การตรวจเพื่อหาค่าเอนไซม์ที่ได้จากตับอ่อนและถูกกรองทิ้งมากับปัสสาวะ

Urine P-Amylase คืออะไร?

Urine P-Amylase คือการตรวจวัดระดับเอนไซม์ P-Amylase ในปัสสาวะ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการประเมินการทำงานของตับอ่อนและระบบย่อยอาหาร

ความสำคัญของ P-Amylase ในร่างกาย

P-Amylase เป็นเอนไซม์สำคัญที่ผลิตโดยตับอ่อน มีบทบาทในการย่อยอาหารและสะท้อนถึงสุขภาพของตับอ่อน

P-Amylase คืออะไร และทำหน้าที่อะไรในระบบย่อยอาหาร?

P-Amylase เป็นเอนไซม์ที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็ก ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมและใช้พลังงานจากอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ1

ตับอ่อนมีบทบาทอย่างไรในการผลิตเอนไซม์ P-Amylase?

ตับอ่อนเป็นอวัยวะหลักในการผลิต P-Amylase ความผิดปกติของตับอ่อนจึงส่งผลโดยตรงต่อระดับของเอนไซม์นี้ในร่างกาย1

Urine P-Amylase สามารถบ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อนได้อย่างไร?

ระดับ P-Amylase ในปัสสาวะที่ผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงปัญหาของตับอ่อน เช่น ตับอ่อนอักเสบหรือการอุดตันของท่อตับอ่อน2

การตรวจ Urine P-Amylase ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Urine P-Amylase มีวิธีการหลัก 2 แบบ ซึ่งแต่ละวิธีให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน

วิธีตรวจ Urine P-Amylase มีอะไรบ้าง?

  1. การตรวจปัสสาวะทั่วไป (Urinalysis):
    • ตรวจจากตัวอย่างปัสสาวะครั้งเดียว
    • ให้ผลเบื้องต้นเกี่ยวกับระดับ P-Amylase
  2. การเก็บตัวอย่างปัสสาวะ 24 ชั่วโมง:
    • ให้ผลที่แม่นยำกว่า
    • วัดปริมาณ P-Amylase ที่ขับออกมาตลอด 24 ชั่วโมง6

ค่าปกติของ P-Amylase ในปัสสาวะควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ P-Amylase ในปัสสาวะขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจและห้องปฏิบัติการ แต่โดยทั่วไปควรน้อยกว่า 400 U/L2

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บปัสสาวะอย่างถูกต้อง6

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ Urine P-Amylase?

ค่า Urine P-Amylase ที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยอื่นๆ

ค่า Urine P-Amylase สูงบ่งบอกถึงอะไร?

ค่า Urine P-Amylase สูงอาจบ่งบอกถึง:

  • ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
  • การอุดตันของท่อตับอ่อน
  • นิ่วในท่อน้ำดี12

ค่า Urine P-Amylase ต่ำหมายถึงภาวะอะไร?

ค่า Urine P-Amylase ต่ำอาจหมายถึง:

  • ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง
  • ภาวะทุพโภชนาการรุนแรง2

ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ค่าผลตรวจ P-Amylase ผิดปกติมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่า P-Amylase ได้แก่:

  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • การใช้ยาบางชนิด
  • ภาวะไตเสื่อม2

การแปลผลค่า Urine P-Amylase บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า Urine P-Amylase ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า Urine P-Amylase สูงสัมพันธ์กับภาวะตับอ่อนอักเสบหรือไม่?

ค่า Urine P-Amylase สูงมักสัมพันธ์กับภาวะตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน โดยเฉพาะเมื่อค่าสูงกว่าปกติ 3 เท่าขึ้นไป12

ค่า Urine P-Amylase ต่ำสามารถบ่งบอกถึงโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารหรือไม่?

ค่า Urine P-Amylase ต่ำอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการย่อยอาหารหรือตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง แต่ต้องพิจารณาร่วมกับอาการและการตรวจอื่นๆ2

ค่าผิดปกติของ Urine P-Amylase ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามคำแนะนำ

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Urine P-Amylase

ค่าผิดปกติของ Urine P-Amylase อาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรังมีผลต่อค่า Urine P-Amylase อย่างไร?

ในโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ค่า Urine P-Amylase มักสูงขึ้นอย่างมาก ส่วนในกรณีเรื้อรัง ค่าอาจปกติหรือต่ำลงเล็กน้อย12

นิ่วในถุงน้ำดีและการอุดตันของท่อน้ำดีเกี่ยวข้องกับค่า Urine P-Amylase อย่างไร?

นิ่วในถุงน้ำดีและการอุดตันของท่อน้ำดีอาจทำให้ค่า Urine P-Amylase สูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการอุดตันของท่อตับอ่อน2

ภาวะไตเสื่อมมีผลต่อค่าการขับถ่าย P-Amylase ในปัสสาวะหรือไม่?

ภาวะไตเสื่อมอาจส่งผลต่อการขับถ่าย P-Amylase ทำให้ค่าในปัสสาวะอาจไม่สะท้อนถึงระดับในเลือดได้อย่างแม่นยำ2

วิธีดูแลสุขภาพตับอ่อนให้ค่า Urine P-Amylase อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพตับอ่อนช่วยรักษาค่า Urine P-Amylase ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาตับอ่อนมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ผักและผลไม้สด
  • อาหารที่มีไฟเบอร์สูง
  • โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ถั่ว
  • หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและแอลกอฮอล์1

พฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่ช่วยรักษาสุขภาพตับอ่อน

พฤติกรรมที่ช่วย ได้แก่:

  • งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • รับประทานอาหารสุขภาพ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • จัดการความเครียด1

วิธีลดความเสี่ยงของภาวะตับอ่อนอักเสบและปัญหาทางเดินน้ำดี

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ควบคุมน้ำหนัก
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี12

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Urine P-Amylase?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า Urine P-Amylase ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • ปวดท้องรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณท้องส่วนบน
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ไข้
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ12

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ P-Amylase สูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า P-Amylase และการทำงานของตับอ่อนอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • จัดการความเครียด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจส่งผลต่อตับอ่อนโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจ Urine P-Amylase เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินการทำงานของตับอ่อนและระบบย่อยอาหาร การเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจนี้ การแปลผล และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับ P-Amylase ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับตับอ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Urine P-Amylase เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพตับอ่อน และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ Urine P-Amylase หรือสุขภาพของตับอ่อน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพของตับอ่อนและระบบย่อยอาหารให้แข็งแรงได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Ramasubbu, N.; Paloth, V.; Luo, Y.; Brayer, G. D.; Levine, M. J. (1996). “Structure of Human Salivary α-Amylase at 1.6 Å Resolution: Implications for its Role in the Oral Cavity”. Acta Crystallographica Section.

Rejzek, M.; Stevenson, C. E.; Southard, A. M.; Stanley, D.; Denyer, K.; Smith, A. M.; Naldrett, M. J.; Lawson, D. M.; Field, R. A. (2011). “Chemical genetics and cereal starch metabolism: Structural basis of the non-covalent and covalent inhibition of barley β-amylase”. Molecular BioSystems. 7 (3): 718–730.

Urine Phosphorus คืออะไร? บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับภาวะของร่างกาย?

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Phosphorus
การตรวจสอบปริมาณของฟอสฟอรัส ที่ถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมงเพื่อหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Phosphorus
การตรวจสอบปริมาณของฟอสฟอรัส ที่ถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมงเพื่อหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ

Urine Phosphorus คืออะไร?

Urine Phosphorus คือการตรวจวัดปริมาณฟอสฟอรัสที่ขับออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงสมดุลของฟอสฟอรัสในร่างกายและการทำงานของไต

บทบาทของฟอสฟอรัสในร่างกาย

ฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายหลายด้าน ทั้งการสร้างกระดูกและฟัน การทำงานของเซลล์ และการรักษาสมดุลกรด-ด่าง

ฟอสฟอรัสมีหน้าที่อะไรในร่างกาย?

ฟอสฟอรัสมีหน้าที่สำคัญในการสร้างพลังงาน การสังเคราะห์โปรตีนและ DNA รวมถึงการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์

ฟอสฟอรัสเกี่ยวข้องกับสุขภาพของกระดูกและฟันอย่างไร?

ฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน ช่วยในการสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างของกระดูก

ฟอสฟอรัสมีผลต่อการทำงานของไตและสมดุลแร่ธาตุอย่างไร?

ไตมีหน้าที่ควบคุมระดับฟอสฟอรัสในเลือดโดยการขับออกทางปัสสาวะ การทำงานของไตที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อสมดุลฟอสฟอรัสในร่างกาย

การตรวจ Urine Phosphorus ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Urine Phosphorus มีวิธีการหลัก 2 แบบ ซึ่งแต่ละวิธีให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน

วิธีการตรวจ Urine Phosphorus มีอะไรบ้าง?

  1. การเก็บตัวอย่างปัสสาวะ 24 ชั่วโมง:
    • ให้ข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับการขับฟอสฟอรัสตลอดวัน
    • เหมาะสำหรับการประเมินสมดุลฟอสฟอรัสโดยรวม
  2. การตรวจปัสสาวะแบบสุ่ม:
    • สะดวกและรวดเร็ว
    • เหมาะสำหรับการคัดกรองเบื้องต้น

ค่าปกติของฟอสฟอรัสในปัสสาวะควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของฟอสฟอรัสในปัสสาวะ 24 ชั่วโมงอยู่ที่ประมาณ 0.4-1.3 กรัมต่อวัน

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนตรวจ Urine Phosphorus หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บปัสสาวะอย่างถูกต้อง

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ Urine Phosphorus?

ค่า Urine Phosphorus ที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยภายนอก

ค่า Urine Phosphorus สูงกว่าปกติบ่งบอกถึงภาวะอะไร?

ค่า Urine Phosphorus สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง (Hyperphosphatemia)
  • โรคไตเรื้อรัง
  • ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน

ค่า Urine Phosphorus ต่ำหมายถึงภาวะอะไร?

ค่า Urine Phosphorus ต่ำอาจหมายถึง:

  • ภาวะขาดฟอสเฟต (Hypophosphatemia)
  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • การดูดซึมฟอสเฟตผิดปกติ

ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ค่าผลตรวจฟอสฟอรัสคลาดเคลื่อนมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าฟอสฟอรัส ได้แก่:

  • อาหารที่รับประทาน
  • การใช้ยาบางชนิด
  • ภาวะเครียดทางร่างกาย

การแปลผลค่า Urine Phosphorus บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า Urine Phosphorus ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า Urine Phosphorus สูงสัมพันธ์กับโรคเกี่ยวกับไตหรือกระดูกหรือไม่?

ค่า Urine Phosphorus สูงอาจสัมพันธ์กับโรคไตเรื้อรังหรือความผิดปกติของกระดูก เช่น ภาวะกระดูกพรุน

ค่า Urine Phosphorus ต่ำสามารถบ่งบอกถึงภาวะขาดสารอาหารหรือไม่?

ค่า Urine Phosphorus ต่ำอาจบ่งชี้ถึงภาวะขาดสารอาหารหรือการดูดซึมฟอสเฟตผิดปกติ

ค่าผิดปกติของ Urine Phosphorus ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนอาหารหรือการรักษาตามความเหมาะสม

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Urine Phosphorus

ค่าผิดปกติของ Urine Phosphorus อาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคไตเรื้อรัง (CKD) มีผลต่อค่า Urine Phosphorus อย่างไร?

โรคไตเรื้อรังทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการขับฟอสเฟต ส่งผลให้ค่า Urine Phosphorus อาจต่ำลง แต่ระดับฟอสเฟตในเลือดสูงขึ้น

ภาวะไฮเปอร์ฟอสฟาเตเมีย (Hyperphosphatemia) และผลกระทบต่อร่างกาย

ภาวะไฮเปอร์ฟอสฟาเตเมียอาจทำให้เกิดการสะสมของแคลเซียมในเนื้อเยื่อและหลอดเลือด ส่งผลต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

ภาวะขาดฟอสฟอรัส (Hypophosphatemia) และผลกระทบต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

ภาวะขาดฟอสฟอรัสอาจทำให้กระดูกอ่อนแอ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ทั่วร่างกาย

วิธีดูแลสุขภาพให้ค่า Urine Phosphorus อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาสมดุลฟอสฟอรัสในร่างกาย

อาหารที่ช่วยควบคุมระดับฟอสฟอรัสในร่างกายมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยควบคุมระดับฟอสฟอรัส ได้แก่:

  • ผักและผลไม้สด
  • โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง
  • อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม

การดื่มน้ำและการควบคุมสมดุลแร่ธาตุมีผลต่อฟอสฟอรัสอย่างไร?

การดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยในการขับฟอสฟอรัสส่วนเกินออกจากร่างกาย และช่วยรักษาสมดุลแร่ธาตุโดยรวม

วิธีลดความเสี่ยงของภาวะไตเสื่อมและความผิดปกติของฟอสฟอรัส

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด
  • รับประทานอาหารสุขภาพ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Urine Phosphorus?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสมดุลฟอสฟอรัสในร่างกาย

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า Urine Phosphorus ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • ปวดกระดูกหรือกล้ามเนื้อ
  • ความผิดปกติของการเต้นของหัวใจ
  • อาการบวมตามร่างกาย

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจฟอสฟอรัสสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่าฟอสฟอรัสและการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ควบคุมโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อสมดุลฟอสฟอรัส
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจ Urine Phosphorus เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสมดุลฟอสฟอรัสและการทำงานของไต การเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจนี้ การแปลผล และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับฟอสฟอรัสให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Urine Phosphorus เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพโดยรวม และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ Urine Phosphorus หรือสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสมดุลฟอสฟอรัสและสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Shemesh O, Golbetz H, Kriss JP, Myers BD (November 1985). “Limitations of creatinine as a filtration marker in glomerulopathic patients”. Kidney Int. 25.

Urine Calcium คืออะไร? ความสำคัญและความเสี่ยงต่อภาวะไต

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Calcium
การตรวจวัดค่าแคลเซียมที่ถูกขับทิ้งออกมาพร้อมกับน้ำปัสสาวะในรอบวัน
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Calcium
การตรวจวัดค่าแคลเซียมที่ถูกขับทิ้งออกมาพร้อมกับน้ำปัสสาวะในรอบวัน

Urine Calcium คืออะไร?

Urine Calcium คือการตรวจวัดปริมาณแคลเซียมที่ขับออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงสมดุลแคลเซียมในร่างกาย การทำงานของไต และความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต

บทบาทของแคลเซียมในร่างกายและความสำคัญของการตรวจ Urine Calcium

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายหลายด้าน การตรวจ Urine Calcium ช่วยประเมินสมดุลแคลเซียมและการทำงานของไต

แคลเซียมมีหน้าที่อะไรในร่างกาย?

แคลเซียมมีหน้าที่สำคัญในการสร้างและบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และมีบทบาทในการแข็งตัวของเลือด

Urine Calcium บ่งบอกถึงการทำงานของไตอย่างไร?

ไตมีหน้าที่ควบคุมระดับแคลเซียมในเลือดโดยการขับออกทางปัสสาวะ ค่า Urine Calcium ที่ผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการทำงานของไต

ทำไมการตรวจระดับแคลเซียมในปัสสาวะจึงสำคัญต่อสุขภาพกระดูกและไต?

การตรวจ Urine Calcium ช่วยประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตและโรคกระดูกพรุน รวมถึงติดตามการทำงานของไตในการควบคุมสมดุลแคลเซียม

การตรวจ Urine Calcium ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Urine Calcium มีวิธีการหลัก 2 แบบ ซึ่งแต่ละวิธีให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน

วิธีการตรวจ Urine Calcium มีอะไรบ้าง?

  1. การตรวจปัสสาวะแบบ 24 ชั่วโมง:
    • ให้ข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับการขับแคลเซียมตลอดวัน
    • เหมาะสำหรับการประเมินสมดุลแคลเซียมโดยรวม
  2. การตรวจปัสสาวะสุ่ม:
    • สะดวกและรวดเร็ว
    • เหมาะสำหรับการคัดกรองเบื้องต้น

ค่าปกติของแคลเซียมในปัสสาวะควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของแคลเซียมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมงอยู่ที่ประมาณ 100-300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บปัสสาวะอย่างถูกต้อง และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ Urine Calcium?

ค่า Urine Calcium ที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยภายนอก

ค่า Urine Calcium สูงกว่าปกติบ่งบอกถึงภาวะอะไร?

ค่า Urine Calcium สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia)
  • โรคนิ่วในไต
  • ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน

ค่า Urine Calcium ต่ำกว่าปกติหมายถึงอะไร?

ค่า Urine Calcium ต่ำอาจหมายถึง:

  • ภาวะขาดแคลเซียม
  • โรคไตบางชนิด
  • การดูดซึมแคลเซียมผิดปกติ

ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ค่าผลตรวจแคลเซียมคลาดเคลื่อนมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าแคลเซียม ได้แก่:

  • อาหารที่รับประทาน
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ
  • การออกกำลังกายหนัก

การแปลผลค่า Urine Calcium บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า Urine Calcium ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า Urine Calcium สูงสัมพันธ์กับภาวะนิ่วในไตอย่างไร?

ค่า Urine Calcium สูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วแคลเซียมในไต เนื่องจากแคลเซียมที่มากเกินอาจตกตะกอนและก่อตัวเป็นนิ่ว

ค่า Urine Calcium ต่ำสามารถบ่งบอกถึงโรคกระดูกพรุนหรือไม่?

ค่า Urine Calcium ต่ำอาจบ่งชี้ถึงการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน แต่ต้องประเมินร่วมกับการตรวจอื่นๆ

ค่าผิดปกติของ Urine Calcium ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนอาหารหรือการรักษาตามความเหมาะสม

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Urine Calcium

ค่าผิดปกติของ Urine Calcium อาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคนิ่วในไต (Kidney Stones) มีผลต่อค่า Urine Calcium อย่างไร?

โรคนิ่วในไตมักสัมพันธ์กับค่า Urine Calcium ที่สูง เนื่องจากการสะสมของแคลเซียมในไตและทางเดินปัสสาวะ

ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานผิดปกติมีผลต่อระดับแคลเซียมในปัสสาวะหรือไม่?

ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไปทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดและปัสสาวะสูงขึ้น ส่วนการทำงานน้อยเกินไปอาจทำให้ระดับแคลเซียมในปัสสาวะต่ำลง

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) และความสัมพันธ์กับค่า Urine Calcium

โรคกระดูกพรุนอาจสัมพันธ์กับการสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะมากเกินไป แต่การวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจประเมินอื่นๆ ร่วมด้วย

วิธีดูแลสุขภาพให้ค่า Urine Calcium อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาสมดุลแคลเซียมในร่างกาย

อาหารที่ช่วยควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกายมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยควบคุมระดับแคลเซียม ได้แก่:

  • ผลิตภัณฑ์จากนม
  • ผักใบเขียว
  • ปลาเล็กปลาน้อย
  • อาหารเสริมแคลเซียมตามคำแนะนำของแพทย์

การดื่มน้ำมีผลต่อระดับแคลเซียมในปัสสาวะอย่างไร?

การดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยเจือจางปัสสาวะและลดความเสี่ยงของการเกิดนิ่วแคลเซียมในไต

วิธีลดความเสี่ยงของโรคนิ่วในไตและภาวะไตเสื่อม

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่สมดุล
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานเกลือมากเกินไป

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Urine Calcium?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสมดุลแคลเซียมในร่างกาย

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า Urine Calcium ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • ปวดหลังหรือท้องน้อยรุนแรง
  • ปัสสาวะบ่อยหรือแสบขัด
  • พบเลือดในปัสสาวะ
  • ปวดกระดูกหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจแคลเซียมในปัสสาวะสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่าแคลเซียมและการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจ Urine Calcium เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสมดุลแคลเซียมและการทำงานของไต การเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจนี้ การแปลผล และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับแคลเซียมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Urine Calcium เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพโดยรวม และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ Urine Calcium หรือสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสมดุลแคลเซียมและสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Verónica Jiménez; Joel B. Alderete (Nov 30, 2005). “Theoretical calculations on the tautomerism of uric acid in gas phase and aqueous solution”. Journal of Molecular Structure: THEOCHEM. 755: 209–214.

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

0
ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ความหวัง กำลังใจ
สิ่งที่สำคัญและผู้ป่วยต้องการมากที่สุดก็คือกำลังใจจากคนรอบข้าง บุคคลในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง
ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ความหวัง กำลังใจ
ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายปกติ ขึ้นอยู่ว่าผู้ป่วยทำได้มากน้อยขนาดไหน และได้รับการพักผ่อนที่ดีและเหมาะสม

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ต้องดูแลเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องอาหารการกินและการใช้ชีวิต มะเร็ง เป็นโรคไม่ติดต่อที่มีความรุนแรงของโรคสูงชนิดหนึ่ง ในแต่ละปีจะมีผู้ยอดเสียชีวิตจากโรคมะเร็งชนิดต่างๆเป็นจำนวนมากในทั่วโลกหลายล้านคน รวมถึงในประเทศไทย มะเร็งก็เป็นโรคที่มียอดผู้เสียชีวิตสูงมากด้วยเช่นกัน สาเหตุ หลักๆ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นอกจากความรุนแรงของโรคแล้วก็คือ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะรู้ว่าตนเองมีเชื้อมะเร็งอยู่ในร่างกาย ก็มักจะเป็นอาการของโรคมะเร็งในระยะแพร่กระจาย หรือ มะเร็งในระยะท้ายๆแล้ว ทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยเราจะเรียกผู้ป่วยกลุ่มนี้ว่า “ ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ”

ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย คือ การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งชนิดต่างๆและมีอาการอยู่ในระยะท้ายๆ เชื้อมะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เป็นปกติแล้ว แต่แพทย์จะใช้วิธีการการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่าผู้ป่วยจะเสียชีวิต การรู้ว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายก็คงสร้างความตกใจให้ไม่น้อยสำหรับตัวผู้ป่วยเองและญาติพี่น้อง ผู้ป่วยหลายคนทำใจได้ยากที่จะต้องยอมรับกับเรื่องนี้ จนทำให้บางคนอาจคิดสั้นถึงการทำร้ายตนเองได้เลย

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ในระหว่างที่ผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่สำคัญและผู้ป่วยต้องการมากที่สุดก็คือกำลังใจจากคนรอบข้าง บุคคลในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ตลอดจนบุคลกรทางการแพทย์ผู้ให้การรักษา

เพราะเป็นผู้ที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากสุดในระหว่างการทำการรักษา และพยาบาลยังเป็นบุคคลที่ผู้ป่วยให้ความไว้วางใจและเชื่อใจในการรักษาโรคมะเร็ง เป็นผู้ทำให้ผู้ป่วยมีความหวังและกำลังใจที่จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัวได้อย่างปกติ กล้าเผชิญกับปัญหาของโรคร้ายหรือการลุกลามของโรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยความมั่นใจ ไม่หวาดกลัวใดๆ

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย มักต้องการกลับไปอยู่ที่บ้าน

ผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรค มะเร็งระยะสุดท้าย และสามารถทำใจได้ในเบื้องต้นแล้วก็มักอยากจะกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน มากกว่าการต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลตลอด การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้านจึงต้องอาศัยแรงกาย แรงใจอย่างยิ่ง ซึ่งการที่จะนำผู้ป่วยมะเร็งกลับมาอยู่บ้านได้นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษาว่าสามารถอนุญาตให้รับผู้ป่วยกลับมารักษาตัวที่บ้านได้หรือไม่ ซึ่งหากแพทย์อนุญาตให้ทำได้ ทางผู้ที่เป็นบุคคลในครอบครัวหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย จะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อศึกษาวิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในเบื้องต้นไว้ด้วย ซึ่งวิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในเบื้องต้นสามารถได้ดังต่อไปนี้

ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เชื้อมะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เป็นปกติ แพทย์จะใช้วิธีการการดูแลรักษาแบบประคับประคอง

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย สามารถทำได้ดังนี้

1. หากิจกรรมให้ผู้ป่วยให้ทำ

โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเครียดหรือหงุดหงิดที่ต้องกลับมาบ้านแล้วอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรให้ทำ ได้แต่นั่งๆนอนๆ ดังนั้นเพื่อลดความเครียดของผู้ป่วยการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จึงควรหากิจกรรมให้ผู้ป่วยได้ทำ เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ เล่นเกม การฝึกสมาธิ ทำการฝีมือ หรืองานอดิเรกอื่นๆ ที่ผู้ป่วยชื่นชอบก็ได้ รวมถึงการพาผู้ป่วยไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่มีอากาศปลอดโปร่ง ไม่แออัด เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

2. เตรียมพร้อมรองรับสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนของผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ในช่วงแรกๆที่กลับมารักษาตัวที่บ้าน เมื่อต้องอยู่ที่บ้านเฉยๆ ผู้ป่วยมักจะมีภาวะอารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล เกิดภาวะการนอนไม่หลับขึ้นได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะลดน้อยลงเมื่อผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ บุคคลในครอบครัว ญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิด ควรพูดให้กำลังใจผู้ป่วย และต้องยอมรับพฤติกรรมการตอบสนองของผู้ป่วยที่อาจจะมีอารมณ์ที่ค่อนข้างแปรปรวน การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ควรช่วยสนับสนุนหรือหากิจกรรมให้ผู้ป่วยได้แสดงออกในทางที่สร้างสรรค์ จะสามารถช่วยป้องกันความรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ และช่วยให้ผู้ป่วยได้มีกำลังใจในการเผชิญกับโรคร้ายต่อไปได้

3. หมั่นสังเกตอาการความผิดปกติของผู้ป่วย

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว ต้องคอยหมั่นสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วย ว่ามีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยทันที เช่น หากผู้ป่วยมีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนานเกิน 2 วัน ให้มาพบแพทย์โดย ไม่ต้องรอให้ถึงวันนัดของแพทย์ นอกจากนี้ยังมีอาการต่างๆ ที่ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ เพื่อตรวจ ได้แก่ มีแผลอักเสบบวมแดง เกิดแผลเป็นมีหนองน้ำและเหลืองไหลออกจากแผล มีอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก มีอาการบวมตามร่างกาย เป็นต้น

4. การดูแลผู้ป่วยที่มีแผลการผ่าตัด

ผู้ป่วยบางรายอาจต้องเข้ารีบการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการมะเร็งตามคำสั่งของแพทย์ ซึ่งผู้ใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวต้องเรียนรู้วิธีการดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เมื่อกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน โดยเฉพาะวิธีในการดูแลทำความสะอาดแผลก็จะแตกต่างกันไป การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งที่ผ่าตัด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์และพยาบาลเกี่ยวกับการดูแลแผล หลังจากผ่าตัดใหม่ๆ 5-7 วันแรกไม่ควรให้แผลถูกน้ำและไม่ควรใช้แป้งใดโรยแผล เพราะอาจเกิดการอักเสบของแผลได้ นอกจากนี้ เมื่อแผลผ่าตัดหายดีแล้ว ก็สามารถที่จะให้ผู้ป่วยอาบน้ำ โดยใช้สบู่ลูบเบาๆ บริเวณแผล และใช้ผ้าเช็ดตัวนุ่มๆ ซับเบาๆ ให้แผลแห้งได้

5. การทานอาหารของผู้ป่วย

หากไม่มีคำสั่งการห้ามใดๆ จากแพทย์เกี่ยวกับอาหาร การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยก็สามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรเลือกและจัดอาหารที่ดีมีประโยชน์ สารอาหารครบ 5 หมู่ ให้กับผู้ป่วย เลี่ยงการให้ผู้ป่วยทานอาหารที่มีสารกระตุ้นมะเร็งอย่างเช่น อาหารปิ้งย่าง รวมทั้งควรติดตามดูน้ำหนักตัวอย่างสม่ำเสมอไม่ให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐาน

6. การออกกำลังกาย

ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายปกติ การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยว่า จะทำได้มากน้อยขนาดไหน แต่หากมีอาการเหนื่อย หรือความผิดปกติใดๆเกิดขึ้น ควรหยุดออกกำลังกายทันที การเดินออกกำลังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่ควรทำหลังจากเข้ารับการผ่าตัด โดยในช่วงเริ่มต้นควรเดินในระยะสั้นๆก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มระยะทางให้มากขึ้น

7. การพักผ่อน

ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนที่ดีและเหมาะสม ควรหาเวลานอนพักให้บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ และควรมีการวางแผนในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการอ่อนเพลียของผู้ป่วย นอกจากนี้ควรหาเวลาพักผ่อนในตอนกลางวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาที ให้กับผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยอาจจะไม่จำเป็นต้องนอนให้หลับ เพียงแต่ให้เกิดการพักผ่อนให้กับผู้ป่วย ส่วนในช่วงกลางคืนผู้ป่วยต้องพยายามนอนให้ได้วันละ 8-10 ชั่วโมง

8. การมีเพศสัมพันธ์

ผู้ป่วยยังคงมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่ต้องระมัดเรื่องความอ่อนเพลียของร่างกาย รวมถึงผู้ที่มีแผลจากการผ่าตัดเพราะอาจจะเกิดความกระทบกระเทือนแผลได้

9. การให้กำลังใจจากคนรอบข้าง

กำลังใจจาก คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในทุกระยะ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและยอมรับถึงภาวะในปัจจุบันที่เป็นอยู่ได้ ทำให้ผู้ป่วยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการรักษาโรคจากทางแพทย์ ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข และพร้อมจะต่อสู้กับโรคร้ายจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิตของเขา

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ความปวดกับมะเร็ง

อาการของผู้ป่วยมะเร็งที่สามารถพบได้เกือบทุกชนิดคือ อาการปวดต่างๆตามบริเวณร่างกาย ซึ่งอาจเกิดได้จากเชื้อมะเร็งเอง หรืออาจเป็นอาการปวดจากการเข้ารับการรักษามะเร็งก็ได้ อาการปวด เป็นความรู้สึกที่ส่งผลอย่างมากในการทำลายความสุขของผู้ป่วยโรคมะเร็ง และยังคอยรบกวนการประกอบกิจวัตรประจำวันต่างๆอีกด้วย โดยอาการปวดอาจจะปวดตลอดเวลาหรือปวดเป็นบางช่วงเวลา หรือบางคนอาจจะไม่ปวดเลย ก็ขึ้นอยู่กับ ชนิดของโรค สภาพร่าง กายและจิตใจผู้ป่วย และระยะของมะเร็งที่เป็น โดยผู้ป่วยที่เป็น มะเร็งระยะสุดท้าย มักจะมีอาการปวดที่มากกว่ามะเร็งในระยะแรกๆ หากผู้ป่วยมีจิตใจที่อ่อนแอ หรือมีอาการเครียด วิตกกังวล หรือมีร่างกายที่อ่อนล้า จะมีส่วนทำให้ความปวดที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากขึ้นได้ด้วย

หากผู้ป่วยมีอาการปวดมากๆ ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที เพื่อที่แพทย์จะได้หาวิธีในการรักษาอาการปวดต่างๆ เหล่านี้ให้คลายและเบาลงได้ และอย่าเพิ่งเบื้อกับการซักถามอาการปวดซ้ำๆที่แพทย์หรือพยาบาลต้องถามบ่อยๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน และนำไปใช้ในการรักษานั้นเอง ซึ่งคำถามที่แพทย์มักถามผู้ป่วยบ่อยๆ เช่น

  • รู้สึกปวดตั้งแต่เมื่อไร
  • ปวดตรงบริเวณไหนบ้าง
  • ปวดอย่างไร
  • ช่วงเวลาความถี่ของการเกิดอาการปวด
  • ความรุนแรงในการปวด
  • ปัจจัยที่ทำให้ความปวดลดลงหรือเพิ่มขึ้น
  • วิธีบำบัดที่เคยได้รับมาก่อนรวมถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
  • อื่นๆ ตามการวินิจฉัยจากแพทย์

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายจากการบำบัดความปวดจากมะเร็ง

ในการรักษาอาการปวด โดยส่วนมากแพทย์จะให้ยา ที่ใช้ในการบรรเทาอาการปวด ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด แพทย์จะพิจารณาให้ยาตามสาเหตุและความรุนแรงของอาการ การใช้ยาแก้ปวดอาจใช้เพียงหนึ่งชนิด หรือใช้ร่วมกันมากกว่าหนึ่งชนิดก็ได้ แต่ก็อาจจะถูกนำมาใช้บำบัดร่วมกับวิธีการบำบัดอื่นๆได้ด้วย

ยาชนิดที่มักจะนิยมนำมาใช้ในการบรรเทาอาการปวดของผู้ป่วยโรคมะเร็ง คือ ยาในกลุ่มมอร์ฟีน ซึ่งอยู่ในรูปแบบ การรับประทาน ปิดบนผิวหนัง อมใต้ลิ้น หรือเหน็บทางทวารหนัก แต่ยาชนิดนี้ต้องได้รับการอนุญาตจากแพทย์แล้วเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้เองโดยไม่ผ่านแพทย์หรือใช้ตามที่คนอื่นแนะนำมาเด็ดขาด เนื่องจาก ยาแก้ปวดทุกชนิดโดยเฉพาะยากลุ่มมอร์ฟีน อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ปวดศีรษะ คอแห้ง งุนงง ง่วงซึม สับสน ท้องผูก คลื่นไส้ หากมีอาการผิดปกติ ให้หยุดยาก่อนชั่วคราวและรีบไปปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาโดยทันที ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มีความปวดมากกว่าร้อยละ 80 สามารถควบคุมอาการปวดได้ในระดับที่ผู้ป่วยพอใจโดยการให้ยาแก้ปวดชนิด รับประทาน การอมยาไว้ใต้ลิ้น ใช้วิธีปิดบนผิวหนัง หรือเหน็บทางทวารหนักเท่านั้น

นอกจากนี้ยาในกลุ่มที่รักษาอาการปวดหลายชนิด โดยเฉพาะที่ใช้บำบัดชนิดความปวดชนิดรุนแรง หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานก็อาจจะทำให้ ร่างกายอาจจะเกิดภาวะชินต่อยาชนิดนั้นได้ หรือเมื่อได้รัยยาติดต่อกันเป็นเวลานานแล้วมีการหยุดยาแบบกะทันหัน ก็อาจจะเกิดภาวะร่างกายเกิดอาการขาดยาขึ้นได้ ซึ่งอาการนี้ไม่ใช่สภาพของการติดยาแต่อย่างใด แต่ให้รีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการดังกล่าว การใช้ยาอย่างถูกวิธี โดยปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะไม่ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดยา หรือ ภาวะการดื้อยา ดังนั้นผู้ป่วยต้องปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนที่จะทานยาอะไรก็แล้วแต่

สิ่งที่ผู้ป่วยมะเร็งในระยะสุดท้ายต้องการ คงไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง การอยู่ในบ้านหลังใหญ่ แสนสะดวกสบาย แต่สิ่งที่ผู้ป่วยต้องการมากที่สุดก็คือ ความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่และกำลังใจ ทั้งจากคนในครอบครัว คนใกล้ชิด เพื่อนสนิท มิตรสหายต่างๆ รวมถึงบุคลาการทางการแพทย์ที่ให้การรักษากับผู้ป่วยด้วย การที่ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจที่ดีก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจที่จะอยู่จะสู้กับโรคร้ายต่อไปในทุกๆวัน แต่หากผู้ป่วยมีกำลังใจที่ไม่ดีแล้วละก็จะยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม และอาจจะเสียชีวิตในเวลาอันสั้นก็เป็นไปได้เช่นกัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง 

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Tongaonkar HB, Desai SB (September 2005). “Benign mixed epithelial stromal tumor of the renal pelvis with exophytic growth: case report”. Int Semin Surg Oncol. 2: 18. PMC 1215508 Freely accessible. PMID 16150156.