เช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็น ง่ายๆ ได้สุขภาพ

0
เช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็น ง่ายๆ ได้สุขภาพ
การคำนวณแคลอรี่จากผลไม้รถเข็น
ผลไม้มีส่วนประกอบของไขมันน้อย แคลอรี่น้อย เป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัว และมีวิตามินแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดชื่น

แคลอรี่

การเช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็นเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักหรือสุขภาพ ผลไม้ที่ขายในรถเข็นมักจะมีรสชาติอร่อยและสดใหม่ แต่ก็มีแคลอรี่ที่แตกต่างกันไปในแต่ละชนิด ดังนั้นการรู้จักแคลอรี่ของผลไม้ที่เลือกกินจึงช่วยให้คุณทำการเลือกได้อย่างชาญฉลาด เช่น ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมปริมาณน้ำตาล การเลือกผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำและกินในปริมาณที่พอเหมาะก็จะช่วยให้สุขภาพดีและไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ

ถ้างั้นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลดน้ำหนักกันก่อน สมการง่ายๆ ของการลดความอ้วน ลดปริมาณไขมัน หรืออะไรก็ตาม มีใจความสำคัญอยู่เพียงแค่อย่างเดียว คือ “เอาออกให้มากกว่าเอาเข้า” หมายความว่า ในแต่ละวันเราใช้พลังงานคิดเป็นหน่วยแคลอรี่อยู่ที่ประมาณเท่าไร นี่คือส่วนที่เรา “เอาออก” เราก็แค่เลือกทานอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน เทียบเท่าหรือน้อยกว่าที่เราต้องใช้ นี่คือส่วนที่เรา “เอาเข้า” จึงเป็นที่มาของการลดน้ำหนักหลากหลายรูปแบบ เช่น อดอาหารเพื่อลดการรับพลังงานเข้าสู่ร่างกาย การเร่งออกกำลังกายเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานให้มากขึ้น เป็นต้น ทีนี้พอย้อนกลับมาที่ประเด็นของการเลือกทานผลไม้ ซึ่งขอบอกก่อนว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เราต้องรู้แน่ชัดว่าผลไม้ชนิดไหนมีแคลอรี่อยู่ที่เท่าไร เป็นตัวการที่ช่วยลดน้ำหนัก หรือยิ่งทำให้อ้วนมากขึ้นกันแน่

ข้อดีอย่างหนึ่งของบ้านเราก็คือมีผลไม้ให้เลือกหลากหลายชนิด หาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพง อย่างน้อยๆ แค่ผลไม้ตามฤดูกาลก็เลือกทานได้ไม่รู้เท่าไร และยังมีบริการสุดพิเศษที่น่าจะมีแต่ในบ้านเราเท่านั้น ก็คือ ร้านผลไม้รถเข็น เรียกว่าบริการความสดใหม่ให้ถึงที่ด้วยราคาย่อมเยา ไม่จำเป็นต้องซื้อทานทีละเป็นกิโลๆ แค่สิบยี่สิบบาทก็ได้สุขภาพดีขึ้นอีกนิดนึงแล้ว ที่สำคัญร้านผลไม้รถเข็นยังตอบโจทย์คนทำงานได้มากกว่าร้านขายผลไม้ทั่วไปอีกด้วย สำหรับใครที่เป็นลูกค้าประจำร้านผลไม้รถเข็น และกำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนรูปร่างให้สมส่วนสวยงามมากขึ้น ก็ต้องมารู้จักกับผลไม้รถเข็นเหล่านี้ และเลือกทานให้ตรงจุดมากขึ้น จำไว้ว่าอย่างน้อยต้องให้ความสนใจกับแคลอรี่และน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในผลไม้ทุกชนิด

ผลไม้ยอดนิยมในร้านผลไม้รถเข็น

ผลไม้ยอดนิยมในร้านผลไม้รถเข็น1. แตงโม : ผลไม้เมืองร้อนที่ไม่ว่าร้านไหนก็ต้องมี แตงโมฝานเป็นซีกแล้วแช่น้ำแข็งเอาไว้ ทานทีไรก็เย็นชื่นใจทุกที ยิ่งในช่วงพักกลางวันที่ต้องเดินตากแดดร้อนๆ ไปหาทานมื้อเที่ยง ถ้าได้แตงโมตบท้ายก็ช่วยดับร้อนไปได้หลายระดับเลยทีเดียว เพียงแค่ใช้ความรู้สึกวัดเอา เราก็จะรู้ได้ทันทีว่าแตงโมน่าจะเป็นผลไม้ที่แคลอรี่ต่ำ ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะแตงโมให้พลังงานราวๆ 30 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัมเท่านั้น แถมยังได้ทานน้ำจำนวนมากจากแตงโมอีกด้วย แต่ก็มีสิ่งที่ต้องระวังอยู่เหมือนกัน เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่จัดว่ามีน้ำตาลสูง การทานในปริมาณมากก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักตัวลดน้อยลงสักเท่าไรและยังไม่ค่อยดีนักกับคนที่เป็นโรคเบาหวานอีกด้วย

2. สัปปะรด : ผลไม้สีเหลืองทองที่มีให้เลือกทั้งแบบหวานมาก หวานน้อย และอมเปรี้ยวนิดๆ อีกหนึ่งผลไม้ฉ่ำน้ำที่ทานกันได้ทุกเพศทุกวัย สัปปะรดให้พลังงานสูงกว่าแตงโมเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 50 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม มีข้อดีตรงที่น้ำตาลน้อย และมีสรรพคุณช่วยในการย่อยโปรตีนไม่ให้เกิดการตกค้างอยู่ในลำไส้ วิตามินซีเยอะพอสมควร แต่ด้วยความหวานที่บางครั้งไม่ได้ฉ่ำมากนัก ทำให้หลายคนติดการจิ้มพริกเกลือซึ่งมีน้ำตาลและเกลือ ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของการลดน้ำหนัก กลายเป็นว่าแทนที่จะลดน้ำหนักได้ก็กลับเพิ่มขึ้นและมีอาการตัวบวมมาร่วมด้วย

3. ฝรั่ง : แม้ว่าจะไม่ใช่ผลไม้สุดโปรดของใครหลายๆ คน แต่ต้องบอกว่าฝรั่งเป็นตัวช่วยที่ดีมากสำหรับการลดน้ำหนัก อย่างแรกคือมีค่าพลังงานไม่เยอะเท่าไร อยู่ที่ประมาณ 68 กิโล แคลอรี่ต่อ มะม่วงดอง 100 กรัม กี่แคล
มีปริมาณน้ำตาลน้อยมาก ในขณะที่วิตามินมีค่าสูง ฝรั่งแช่บ๊วย แคล มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มเส้นใยให้กับระบบร่างกาย ล้างพิษ พร้อมกับทำให้อิ่มท้องได้นาน เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ควรมีติดตู้เย็นในบ้านเป็นประจำเลย ทั้งนี้ไม่นับรวมฝรั่งที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว อย่างเช่น ฝรั่งแช่บ๊วย กี่แคล ฝรั่งดอง เป็นต้น

4. ชมพู่ : เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ทานได้ง่าย รสชาติอร่อย และหลายคนชื่นชอบ ทานเมื่อไรก็สดชื่นด้วยปริมาณน้ำที่มาก และความหวานนิดๆ นี่คือตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีมากอีกตัวหนึ่ง ให้ค่าพลังงานอยู่ที่ 28 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัมเท่านั้น น้ำตาลต่ำ วิตามินซีสูง และส่วนมากก็ไม่ค่อยมีใครเอาชมพู่จิ้มพริกเกลือทานด้วย ซึ่งดีมากๆ ระวังเพียงแค่ชมพูต้องไม่มีสีสันที่ผิดแผกจากธรรมชาติมากไป เพราะอาจมีการแช่น้ำตาลมาก่อนนั่นเอง

5. มะม่วง : ความพิเศษของผลไม้ชนิดนี้ก็คือ ช่วยลดน้ำหนักก็ได้ หรือทำให้น้ำหนักสูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้เช่นเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราเลือกทาน มะม่วงแช่บ๊วย กี่แคล ในมะม่วงมีแป้งอยู่เยอะ ดังนั้นจึงค่อนข้างให้พลังงานสูง คือราวๆ 76 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ถ้านับเฉพาะผลไม้ในรถเข็น นี่อาจจะเป็นผลไม้ที่ให้ค่าแคลอรี่สูงที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ในมะม่วงดิบมีไฟเบอร์และวิตามินสูง ซึ่งดีต่อร่างกายทั้งในด้านการขับถ่ายและต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่เมื่อไรที่กลายเป็นมะม่วงสุก เราจะได้น้ำตาลในปริมาณสูงมากมาแทน

6. แคนตาลูป : ผลไม้ที่ติดอันดับต้นๆ ของร้านผลไม้รถเข็น เรียกว่ามาเท่าไรก็หมด เพราะความหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกปากคนทั่วไป ทั้งยังมีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และอื่นๆ อีกมายมาย ค่าพลังงานที่ให้ก็อยู่ในระดับต่ำ ประมาณ 33 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม น้ำตาลก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่มากไปไม่น้อยไป

ผลไม้ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันน้อย แคลอรี่น้อย เป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัว และมีวิตามินแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดชื่น

7. มันแกว : อันที่จริงมันแกวเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับถั่ว นั่นหมายความว่ามีองค์ประกอบที่เป็นแป้งเยอะประมาณหนึ่ง แต่มีส่วนของไฟเบอร์อยู่เยอะด้วยเช่นกัน ทำให้ค่าพลังงานไม่มากมายเหมือนกับการทานถั่ว ในน้ำหนักมันแกว 100 กรัมก็จะมีค่าพลังงานอยู่แค่ 38 กิโลแคลอรี่ จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนัก ระวังก็แต่พริกเกลือที่เอามาจิ้มเท่านั้น หากทานเพียงแค่มันแกวเฉยๆ ไม่จิ้มอะไรเลยก็จะดีกว่า

8. ผลไม้ดอง : ขาดไม่ได้กับผลไม้กลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นมะยมดอง มะม่วงดอง มะดันดอง เป็นต้น ผลไม้ดองไม่ได้มีส่วนประกอบที่ทำให้อ้วนขึ้นโดยตรง แต่มีผลในทางอ้อมอยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ผลไม้ที่เอามาดองก็มักจะมีรสเปรี้ยว ดังนั้นตัดเรื่องน้ำตาลในผลไม้ไปได้เลย และก็ตัดเรื่องวิตามินที่อยู่ในผลไม้ออกไปด้วย เพราะเมื่อผ่านกระบวนการดองมาเรียบร้อยแล้ว วิตามินส่วนใหญ่จะถูกทำลายไป หลงเหลือเอาไว้ไม่มากนัก สิ่งที่เราจะได้รับเต็มๆ จะเป็นโซเดียมที่ทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำได้ และถ้าทานมากไปก็จะกระตุ้นให้ไตทำงานหนัก มีผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวแน่นอน

9. มะละกอ : สุดยอดผลไม้ที่มีดีทั้งเรื่องราคาและคุณสมบัติ มะละกอเป็นผลไม้ที่ปลูกขึ้นได้ง่าย แทบไม่ต้องดูแลเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีประโยชน์หลายหลายมาก มีสารสีที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เป็นต้น ในมะละกอมีค่าพลังงานเพียงแค่ 43 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม แถมน้ำตาลก็มีปริมาณน้อยแม้แต่ในมะละกอสุก

10. กล้วย : นี่อาจไม่ใช่ผลไม้รถเข็นที่หาได้ง่ายนัก จะมีขายแค่บางร้านเท่านั้นและนานๆ ก็จะเห็นสักที แต่เป็นผลไม้ที่ทานง่ายอิ่มท้อง และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน หากเป็นกล้วยหอมจะมีค่าแคลอรี่อยู่ที่ 120 กิโลแคลอรี่ต่อกล้วย 1 ผล ในขณะที่กล้วยน้ำว้ามีค่าแคลอรี่ประมาณ 60 กิโลแคลอรี่ต่อกล้วย 1 ผล ช่วยป้องกันโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็กสูงมาก เหมาะที่จะเลือกทานในช่วงเช้ามากกว่าที่เป็นช่วงบ่ายเป็นต้นไป

นี่คือประเภทผลไม้พร้อมกับค่าแคลอรี่และคุณประโยชน์บางส่วนของผลไม้รถเข็น จะเห็นได้ว่า มีชนิดของผลไม้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับแผงผลไม้ในตลาด และทั้งหมดเป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัวด้วย ขอแค่ทานแต่พอดี ไม่เหมายกคันรถก็เป็นอันใช้ได้ อย่างไรก็ตามบนความสะดวกสบายนี้ก็มีข้อควรระวังอยู่ด้วยเหมือนกัน เพื่อให้การเลือกทานผลไม้รถเข็นดีต่อสุขภาพจริงๆ ต้องไม่ลืมที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายจากผลไม้รถเข็นเหล่านี้

หลักการเลือกทานผลไม้รถเข็น

  • หลักการเลือกทานผลไม้รถเข็นความสะอาด : เนื่องจากผลไม้ทั้งหมดจะถูกปลอกเปลือกแล้วแช่กับน้ำแข็งเอาไว้ในตู้กระจก ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะไม่สะอาดเท่าที่ควร ก่อนเลือกซื้อผลไม้ทุกครั้งจึงควรสังเกตดูภาพรวมของตู้กระจกว่าสะอาดใสดีหรือไม่ สีของน้ำแข็งดูผิดปกติหรือมีฝุ่นผงอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่ ที่สำคัญร้านผลไม้รถเข็นจอดขายอยู่ในจุดที่เต็มไปด้วยมลภาวะหรือไม่
  • เครื่องจิ้ม : ทั้งเกลือ น้ำตาล ผงชูรส เรียกว่าครบเครื่องเรื่องความอร่อย แต่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร แถมหลายคนมักจะขอเครื่องจิ้มพวกนี้เพิ่มจากที่เขาให้มาอีกด้วย เลยไม่รู้ว่าทานผลไม้เป็นหลัก หรือทานเกลือกับน้ำตาลเป็นหลักกันแน่ ถ้าทำได้ทานสดๆ โดยไม่ต้องจิ้มเลยหรือจิ้มให้น้อยที่สุดดีกว่า
  • สีสัน : บางครั้งผลไม้ก็ดูสดมากเสียจนมีสีเข้มเกินกว่าธรรมชาติ ซึ่งดูน่าทานและไม่น่าจะปลอดภัย ตัวอย่างเช่น ฝรั่งแช่บ๊วยที่ช่วงหลังๆ มานี้มีให้เลือกหลากหลายสี เขียวจัดบ้าง ชมพูเข้มบ้าง หรือแม้แต่ผลไม้สดๆ อย่างมันแกวที่หั่นเป็นแท่งยาวๆ ใส่ถุงไว้ ถ้าดูมีสีขาวมากเกินไป ก็อันตรายเหมือนกัน
  • รสชาติ : ถ้าทานแล้วผลไม้มีความหวานติดลิ้น ผิดธรรมชาติของผลไม้ เป็นไปได้ว่าจะมีการใช้สารช่วยเร่งเรื่องความหวาน เช่น ขัณฑสกร เป็นต้น ทันทีที่รู้สึกแปลกกับรสชาติผลไม้ที่เคยทานเป็นประจำ ให้หยุดทานแบบไม่ต้องเสียดายเลย เพราะสารเคมีที่รับเข้าสู่ร่างกายจะสะสมและอันตรายมากในระยะยาว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

NSW Government’s 8700 (kJ) dietary information website”. 8700.com.au. Retrieved 2018-06-11.

Youdim, Adrienne. “Calories: Overview of Nutrition: Merck Manual Home Edition”. Merckmanuals.com. Retrieved 2018-06-11.

ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย

0
ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย
ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ที่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย
ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย
ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ที่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย

ความเครียด

ความเครียด ( stress ) คืออะไร ? ในทุก ๆ วัน มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา มีทั้งการเรื่องที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์นี้อาจนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ในอนาคตจนทำให้หลายๆ ท่านรู้สึกวิตกกังวล หากอาการเหล่านี้ไม่ได้รับการเยียวยา ก็จะกลายเป็นความเครียดได้ในที่สุด โดยเจ้าความเครียดนี้จะส่งผลกระทบหลายๆ อย่างต่อร่ายกายทั้งทางตรงและทางอ้อม

มาทำความรู้จักกับความเครียด

ความเครียด ( stress ) คือ การตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นทั้งทางสรีรวิทยา ( Physiological ) และทางจิตวิทยา ( Psychological ) ต่อสิ่งที่มาคุกคามหรือเป็นอันตราย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญและสิ่งที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในร่างกาย

ความเครียด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ความเครียดเฉียบพลัน หรือ Acute Stress คือ ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เกิดขึ้นทันทีทันใด และร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นโดยทันทีเช่นกัน เมื่อความเครียดนี้หายไปแล้ว ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวให้เข้าสู่สภาวะปกติ เรียกว่าเป็นการรักษาดุลยภาพของร่างกาย ความเครียดเฉียบพลัน ได้แก่ การที่ร่างกายตื่นตระหนกจากเสียงดัง อากาศร้อนหรือเย็น ความกลัวอันตราย ความหิว หรือแม้แต่การอยู่ในที่แออัด ในชุมชนที่มีคนมากๆ เป็นต้น

2. ความเครียดเรื้อรัง หรือ Chronic Stress คือ ความเครียดที่เกิดจากการสะสมเป็นระยะเวลานานหรือเกิดขึ้นทุกวัน ร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนี้แล้วขจัดให้หายไป ไม่สามารถรักษาดุลยภาพให้อยู่ในภาวะปกติได้ ความเครียดประเภทนี้จึงมีความรุนแรงมากกว่าประเภทที่ 1 (ความเครียดฉับพลัน) เพราะอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านบุคลิกภาพและอารมณ์ ผู้ที่กำลังประสบปัญหานี้จึงควรปรึกษาและเข้ารับคำแนะนำจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ตัวอย่างความเครียดแบบเรื้อรัง เช่น ความเครียดจากปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาในครอบครัว ความเหงา ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ และความเครียดจากการอดทนจากภัยคุกคามอันไม่พึงประสงค์ ฯลฯ

สาเหตุของความเครียด

ความเครียดเกิดได้จากหลายๆ ปัจจัย แตกต่างกันในแต่ละบุคคล สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ

  • ด้านร่างกาย ได้แก่ การเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ หรือการเจ็บป่วยแบบเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน เป็นต้น
  • ด้านจิตใจ ได้แก่ ความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ความวิตกกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดในอนาคต หรือแม้แต่ความกลัวต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นต้น
  • ด้านสังคม ได้แก่ ความสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ความขัดแย้งกับคนในครอบครัวหรือที่ทำงานและปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่หรือที่ทำงานใหม่ เป็นต้น

การตอบสนองของร่างกายกับความเครียด

ทุกคนต้องพบเจอกับความเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และในทุกๆ ครั้งร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดและสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งความเครียดนี้หากมองในแง่บวกก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เนื่องจากธรรมชาติให้ติดตัวมากับมนุษย์ทุกคนเพื่อให้เกิดความตื่นตัวและตอบสนองต่อภัยอันตรายภายนอก ให้สามารถเอาตัวรอดได้เมื่อต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงและคับขัน แต่อย่างไรก็ตาม ความเครียดจะกลายเป็นภัยก็ต่อเมื่อ เรามีความเครียดอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการบำบัดผ่อนคลาย จนนำไปสู่การตอบสนองต่อความเครียดในทางที่ผิด ทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ขึ้นกับร่างกาย

การตอบสนองต่อความเครียด ( Stress response ) หรือการปรับตัว ( General adaptation syndrome ) เป็นปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาที่ตอบสนองต่อความเครียด ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ

1. ระยะเตรียมพร้อม ( Alarm Stage ) จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายรับรู้ถึงภัยอันตราย โดยจะเตรียมความพร้อมสำหรับจัดการกับอันตรายนั้นในรูปแบบของการสู้หรือหนี ( fight or flight ) ซึ่งระยะนี้จะถูกควบคุมด้วยระบบประสาทและฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ

2. ระยะต่อต้าน ( Resistance Stage ) จะเกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อต้านกับความเครียดเพื่อให้ร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล

3. ขั้นหยุดการทำงาน ( Exhaustion Stage ) หากร่างกายอยู่ในภาวะเครียดเป็นระยะเวลานาน จะไม่สามารถปรับสมดุลในข้อ 2 ได้ ร่างกายจึงไม่สามารถเข้าสู่ภาวะสมดุล ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาและกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้   

เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนความเครียด อันเกิดจากฮอร์โมน 2 ตัว คือ “คอร์ติซอล ( Cortisol ) และ แอดีนาลีน ( Adrenaline ) ซึ่งหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตทั้งสองข้าง โดยฮอร์โมนความเครียดนี้จะทำให้ร่างกายมีพละกำลังมากพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดหรือกระทำการใหญ่ เช่น การยกของหนักๆ หนีไฟไหม้ การวิ่งหนีภัย เมื่อฮอร์โมนนี้ได้ถูกใช้ไป ความเครียดหรือความกดดันต่างๆ ก็จะหายไปด้วย แต่หากฮอร์โมนชนิดนี้ยังคงอยู่ในร่างกายก็จะส่งผลเสีย เนื่องจากฮอร์โมนนี้จะเพิ่มระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และน้ำตาลในเลือด ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ ตัวสั่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย ไม่มีสมาธิและท้องเสีย เป็นต้น ยิ่งถ้ามีฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นอีก ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นวงกว้าง จนอาจถึงขั้นทำให้หัวใจวายและชีวิตได้

ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยา ต่อสิ่งทีเกิดขึ้นหรือเป็นอันตราย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและไม่คาดคิด ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย

ผลกระทบของความเครียดต่อร่างกาย

ความเครียดนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและอารมณ์แล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรง อันก่อให้เกิดโรคและความผิดปกติหลายอย่าง ดังนี้

  • หัวใจเต้นผิดปกติ เนื่องจากความเครียดจะไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดอาการเจ็บหน้าอก เพราะกลไกการทำงานของหัวใจหนักขึ้น มีการบีบตัวและเต้นเร็วขึ้น จนทำให้เกิดการเต้นที่ผิดปกติของหัวใจและอาจถึงขึ้นหัวใจวายได้
  • ม้ามทำงานหนัก เนื่องจากความเครียดจะไปกระตุ้นให้ม้ามหลั่งเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาในจำนวนมากผิดปกติ
  • ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ในผู้ป่วยที่มีความเครียดเรื้อรัง ร่างกายจะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวและภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อน้อยกว่าคนทั่วไป จึงทำให้ติดเชื้อไข้หวัดและเริมได้ง่าย
  • น้ำตาลในเลือดสูง ความเครียดจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานเกิดการดื้ออินซูลิน    
  • ความต้องการทางเพศลดลง ในผู้หญิงจะมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ แท้งบุตรและมีปัญหาเรื่องการถึงจุดสุดยอดขณะมีเพศสัมพันธ์ ส่วนในผู้ชายจะมีปัญหาเรื่ององคชาติไม่แข็งตัว ไม่มีอารมณ์ทางเพศ เป็นต้น
  • โรคขาดสารอาหาร เนื่องจากความเครียดส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติและจะสลายอาหารจำพวกโปรตีน วิตามิน ไขมัน รวมถึงสารอาหารอื่นๆ มากกว่าปกติ จึงอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้
  • โรคอ้วน ผู้ที่ประสบอาการเครียดจะรู้สึกอยากอาหารจำพวกที่มีรสเค็ม มัน หวาน มากขึ้นทำให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน กลายเป็นโรคอ้วนซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคความดันโลหิตสูง ความเครียดอันเกิดจากความโกรธและความวิตกกังวลนั้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากเป็นบ่อยก็จะส่งผลให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
  • โรคแผลในกระเพราะอาหารและลำไส้ เนื่องจากเมื่อประสบภาวะเครียด ร่างกายจะหลั่งสารแอดดินาลีนออกมา สารนี้มีส่วนในการกระตุ้นให้ผนังลำไส้ขับกรดออกมามากกว่าปกติ เมื่อนานวันเข้าก็จะทำให้กลายเป็นโรคกระเพราะอาหารและลำไส้ได้ในที่สุด
  • โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ จากการศึกษาพบว่าความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคนี้
  • กรดไขมันในเส้นเลือดสูง เมื่อร่างกายเกิดความเครียดจะสร้างกรดไขมันขึ้น เพื่อใช้ในการต่อสู้ เมื่อร่างกายคลายความเครียดลง ระดับกรดไขมันก็จะลดลงด้วย แต่หากมีความเครียดสะสม กรดไขมันนี้ก็จะก่อตัวพอกพูนเกาะอยู่ในผนังเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้
  • ต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติ เนื่องจากความเครียดจะไปยับยั้งการแบ่งเซลล์และการสังเคราะห์ในต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง

วิธีจัดการกับความเครียด

การจัดการกับความเครียดมีด้วยกันหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการใช้ยา ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ โดยต้นเหตุความเครียดของหลายๆ ท่าน อาจสามารถรับมือได้ง่าย ๆ เพียงเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตหรือเปลี่ยนวิธีคิด ดังนี้

  •  เปลี่ยนแปลงทัศนคติ เช่น ลดการแข่งขันกับผู้อื่น รู้จักผ่อนปรนและลดความเข้มงวดลง
  • ปรับปรุงสัมพันธภาพกับคนในครอบครัว หรือบุคคลรอบตัวให้ดีขึ้น
  • ลดเครื่องดื่มบางประเภทที่ช่วยก่อให้เกิดความเครียด เช่น กาแฟและเครื่องดื่มหรือขนมที่มีน้ำตาลสูง
  • ออกกำลังกายหรือทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบเพื่อลดความตึงเครียด ให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย
  • ฝึกมองโลกในแง่ดี เช่น มองผู้อื่นในแง่ดี มองตนเองในแง่ดี รู้จักให้อภัย รู้จักให้กำลังใจตนเองและผู้อื่น รวมถึงฝึกปล่อยวางในสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ 
  • ฝึกวิธีผ่อนคลายร่างกายโดยตรง เช่น ฝึกการหายใจที่ถูกวิธี ฝึกสมาธิ เล่นโยคะหรือนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • ลดพฤติกรรมการชอบทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เพราะทำให้เกิดความกดดัน ต้องแข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งงดการสูบบุหรี่หรือการใช้สารเสพติดชนิดอื่นๆ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับให้เพียงพอ

วิธีรักษาโรคเครียด

ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ไม่สามารถจัดการกับปัญหาความเครียดได้ จนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง การระบายกับเพื่อนหรือบุคคลในครอบครัวอาจไม่เป็นผล ผู้ป่วยจึงมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งมีวิธีการรักษาแตกต่างกันไป ดังนี้

1. ปรึกษาจิตแพทย์ วิธีนี้เป็นวิธีขั้นพื้นฐานที่ช่วยรักษาโรคเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแพทย์จะรับฟัง วิเคราะห์ปัญหาและช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดได้อย่างตรงจุด ผู้ป่วยจึงสามารถจัดการกับอาการความเครียดที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง

2. บำบัดพฤติกรรมและความคิด หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CBT ( Cognitive Behavioural Therapy ) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่โรคเครียดเกิดจากความวิตกกังวลหรือมีแนวคิดบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยแพทย์จะทำความเข้าใจกับความคิดและความรู้สึกของผู้ป่วย ช่วยให้เข้าใจว่าบางความคิดไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้ป่วยสามารถปรับทัศนคติและมองทุกอย่างได้ถูกต้องตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

3. ใช้ยารักษา ในการรักษาแพทย์อาจจะใช้ตัวยาบางชนิดร่วมด้วย ( ส่วนใหญ่จะใช้ยาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ) เพื่อบรรเทาอาการบางอย่าง เช่น หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับหรือซึมเศร้า ฯลฯ ตัวยาที่ใช้ได้แก่

เบต้า บล็อกเกอร์ ( Beta-Blocker ) มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการซึ่งเกิดจากที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ยาชนิดนี้มีข้อดี คือไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง ( สามารถรับประทานในเวลาทำงานได้ ) และไม่ทำให้เสพติด เพราะไม่อยู่ในกลุ่มยาระงับประสาท

ยาไดอะซีแพม ( Diazepam ) ยาชนิดนี้เป็นยาระงับประสาท อยู่ในกลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน ( Benzodiapines ) ซึ่งไม่นิยมนำมาใช้ในการรักษา เว้นแต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีข้อบ่งชี้ให้จำเป็นต้องใช้ ก็จะให้รับประทานในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดอาการดื้อยา ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาเสื่อมลงจนไม่เป็นผลและผู้ป่วยมีโอกาสเสพติดยาได้ง่าย 

นอกจากตัวยาข้างต้น แพทย์อาจใช้ยาชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs ( Selective Serotonin Reuptake Inhibitors ) ยาระงับอาการวิตกกังวล เป็นต้น และในบางรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจใช้วิธีการสะกดจิต หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Hypnotherapy ร่วมด้วย ซึ่งพบไม่มากนักในประเทศไทย ส่วนผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายตนเอง ในบางรายอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายนั้น จะต้องได้รับการดูแลจากนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์อย่างใกล้ชิดจึงมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาระยะยาวที่โรงพยาบาลจนกว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้น จนสามารถดูแลตนเองและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

ความเครียดในระดับต่ำนั้นมีข้อดี คือช่วยกระตุ้นให้เรามีความมุ่งมั่นเพื่อเอาชนะปัญหาและช่วยในการเรียน ตลอดจนการทำงานต่างๆ ให้สำเร็จ แต่หากมีมากจนเกินไปก็จะกลายเป็นบ่อเกิดของโรคและส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมากมายเช่นกัน การรู้จักจัดการกับความเครียดและหาวิธีระบายอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากระบายความเครียดด้วยวิธีที่ผิด เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ พึ่งยานอนหลับหรือพึ่งสารเสพติด อาจก่อให้เกิดปัญหาทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้ โดยในปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลที่รับให้คำแนะนำและปรึกษาปัญหา ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Edmunds, W. John (1997). “Social Ties and Susceptibility to the Common Cold”. JAMA: the Journal of the American Medical Association. 278 (15): 1231; author reply 1232.

Herbert, T. B.; Cohen, S. (1993). “Stress and immunity in humans: a meta-analytic review”. Psychosomatic Medicine. 55 (4): 364–379. doi:10.1097/00006842-199307000-00004.

Ogden, J. (2007). Health Psychology: a textbook (4th ed.), pages 281–282 New York: McGraw-Hill ISBN 0335214711

วิธีดูแลถุงใต้ตา ให้สดใสไม่หมองคล้ำ

0
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา เกิดขึ้นแล้วย่อมจะทำให้ดวงตาที่สวยงามดูหม่นหมอง ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย

ถุงใต้ตา

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่ส่วนกลาง ( Middle Fat ) และถุงไขมันที่อยู่ส่วนด้านใน ( Inner Fat ) ซึ่งโดยปกติถุงไขมันที่อยู่ใต้ดวงตาจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากภายนอก แต่เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นจะทำให้ถุงไขมันมีการขยายขนาดขึ้น วันนี้เรารู้จักประเภทของถุงใต้ตา และวิธีลดถุงใต้ตาตามฝากเพื่อน ๆ ทุกคนมาดูกันเลย

ประเภทของถุงใต้ตา

รอยคล้ำบริเวณถุงใต้ตาเป็นรอยที่สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ลักษณะที่พบคือถุงใต้ตาบวมมีสีคล้ำก่อให้เกิดปัญหาใบหน้า ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเยอะและรอยคล้ำเห็นได้ชัดเจนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ โรตภูมิแพ้ อ่อนเพลียเรื้อรัง ผิวแพ้ง่าย ริ้วรอยก่อนวัย พันธุกรรม ปัญหาถุงใต้ตาจากแสงแดด ซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

1.ถุงใต้ตาเทียม

คือ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน เลือดและน้ำที่บริเวณถุงไขมันที่บริเวณเบ้าตาด้านล่าง ทำให้ถุงไขมันดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นถุงใต้ตาที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ซึ่งสาเหตุของถุงใต้ตามเทียมเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ การร้องไห้เสียน้ำตาในปริมาณมาก การใช้สายตามากจนดวงตาเกิดความเหมื่อยล้า อาการแพ้หรือการอักเสบเนื่องจากได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่บริเวณเบ้าตาจนทำให้เบ้าตาเกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ระบบไหลเวียนของเหลวเกิดความผิดปกติ

2.ถุงใต้ตาแท้

เป็นถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ( Endocrine Gland ) ที่ทำหน้าที่ในการผลิตและหลั่งฮอร์โมน ( Hormone ) ที่ควบคุมการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย เช่น เลือด ไขมัน น้ำเหลือง เป็นต้น ถ้าระบบมีการทำงานที่ผิดปกติเกิดขึ้นจะทำให้มีการสะสมของเหลวหรือไขมันที่บริเวณถุงไขมันใต้ตา ส่งผลให้ถุงใต้ตามีขนาดใหญ่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุของความผิดปกติที่ทำให้เกิดถุงใต้ตาแท้ คือ

2.1กรรมพันธุ์

ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อสามารถทำการถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย 

2.2 อายุ

เมื่ออายุมากขึ้นระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อเกิดการเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและน้ำที่บริเวณถุงไขมันใต้ดวงตากลายมาเป็นถุงใต้ตา

ถึงแม้ว่าการที่ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย แต่ว่าการมีถุงใต้ตาที่ใหญ่ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจในใบหน้าของตนเอง เพราะถุงใต้ตาที่มีขนาดใหญ่และมีสีคล้ำจะทำให้ใบหน้าหม่อนหมองแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเทียมที่เกิดขึ้นได้ง่ายในยามที่ร่างกายและดวงตาอ่อนล้า ดังนั้นการดูแลให้ระบบการไหลเวียนของเหลวที่เกิดขึ้นในร่างกายและบริเวณเบ้าตาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการคั่งค้างของของเหลว น้ำหรือไมมันในถุงไขมันที่บริเวณใต้ตาก็จะสามารถลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งการดูแลร่างกายมีวิธีการดังนี้

วิธีลดถุงใต้ตา เพื่อรักษาถุงใต้ตาได้อย่างถูกต้อง

  • ใช้ช้อนแช่น้ำเย็นประคบถุงใต้ตาประมาณ 30 วินาที เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ถุงใต้ตา
  • ใช้ไข่ขาว ทารอบบริเวณถุงใต้ตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือจนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้เกลือครึ่งช้อนโต๊ะผสมละลายกับน้ำอุ่น จากนั้นนำสำลีแผ่นกลมชุบแปะที่ดวงตาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้ถุงชาแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วนำไปวางบนเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
  • ใช้แตงกวาแช่เย็น หั่นเป็นแว่นแปะรอบดวงตาและถุงใต้ตา เพื่อผ่อนคลายเพิ่มความชุ่มชื่นผิวถุงใต้ตา
  • กดนวดลดถุงใต้ตาบวม โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางให้ปลายนิ้วอยู่บนเนินจมูกค้างทำซ้ำประมาณ 10 วินาที

วิธีการดูแลร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดถุงใต้ตา

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

การที่ระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ มักเริ่มมาจากร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ มีการนอนน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการหรือนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นเพื่อรักษาถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นมานั้นจะต้องทำการพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งสังเกตได้จากหลังจากตื่นนอนแล้งยังรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่ ถ้าร่างกายยังรู้สึกอ่อนเพลียแสดงว่ายังพักผ่อนไม่เพียงพอ และควรนอนเป็นเวลาตั้งแต่ 22.00 – 06.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการนอนหลับที่ดีที่สุด โดยช่วงเวลาประมาณ 24.00 – 01.30 น. เป็นเวลาที่ร่างกายมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone: GH ) ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมเซลล์และระบบการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ และท่าการนอนควรนอนหงาย อย่านอนคว่ำหรือนอนตะแคงตลอดทั้งคืน

2. การนวดคลึงเบ้าตา

การนวดที่บริเวณถุงใต้ตาจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด น้ำ น้ำเหลืองที่มีการคั่งค้างอยู่ในถุงไขมันให้มีการกระจายตัวและช่วยให้มีการไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่บริเวณเบ้าตา ลดความเหมื่อยล้าและเกร็งของกล้ามเนื้อ การนวดสามารถนวดโดยใช้มือนวดคลึงเป็นรูปก้นหอยที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างไปจนถึงบริเวณหางตา การนวดควรนวดทุกวันจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ

ร่างกายมีระบบการควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย โดยค่าความเป็นกรดของร่างกายอยู่ที่ 7.35 -7.45 ถ้าร่างกายมีความเป็นกรดหรือด่างมากกว่าค่ามาตราฐาน ซึ่งมักเกิดจากการร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อย ร่างกายจึงทำการสะสมน้ำไว้ภายในร่างกายเพิ่มขึ้นเพื่อเจือจางความเป็นกรดและด่างให้อยู่ในค่ามาตราฐาน ส่งผลให้มีการสะสมน้ำที่บริเวณถุงใต้ตาเพิ่มขึ้น ถุงใต้ตาจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำวันวันละประมาณ 7-8 แก้วจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงได้ เพราะร่างกายมีการไหลเวียนของน้ำและเลือดในสภาวะสมดุลไม่จำเป็นต้องกักเก็บน้ำไว้ในร่างกาย

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา

4. งดสูบบุหรี่

สารพิษที่อยู่ในบุหรี่ เช่น สารนิโคติน ก็าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สารแคดเมี่ยม ไนตริคออกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์คาร์บอนไดซัลไฟด์ จะมีคุณสมบัติที่ทำให้ผนังของเส้นเลือดมีขนาดที่หนาขึ้น ทำให้ของเหลวไม่สามารถไหลผ่านไปได้ จนเกิดการสะสม โดยเฉพาะที่บริเวณเส้นเลือดฝอยที่บริเวณผิวหนังใต้ดวงตา จึงทำให้มีการสะสมของเหลวที่ถุงไขมันใต้เบ้าตาจนทำให้เกิดถุงใต้ตาเกิดขึ้น สังเกตได้ว่าคนที่สูบบุหรี่จัดถุงใต้ตาจะมีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไป ดังนั้นการงดสูบบุหรี่จึงสามารถช่วยลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

5. ลดใช้สายตา

การใช้สายตาในการเพ่งหรือมองจนกล้ามเนื้อบริเวณเบ้าตาเกิดความเหมื่อยล้าจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นเมื่อต้องทำงานหรือเพ่งมองควรหยุดพักสายตาทุก 15 -20 นาทีเพื่อลดความเหมื่อยล้าของกล้ามเนื้อบริเวณรอบเบ้าตา 

6. ประคบเย็น

เมื่อเกิดถุงใต้ตาขึ้นการประคบเย็นจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ เนื่องจากความเย็นที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระชับถุงไขมันใต้ตาให้มีขนาดที่เล็กลงและทำการขับของเหลวที่อยู่ภายในถุงใต้ตาออกมา โดยการประคบเย็นสามารถประคบด้วยถุงน้ำแข็ง แผ่นเจลประคบเย็น ผ้าชุบน้ำเย็น หรือจะเป็นผัก ผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ที่แช่เย็นจัด เช่น แตงกวา มันฝรั่ง มะเขือเทศ ถุงชา มาวางบนเบ้าตาทั้งสองข้าง วางไว้ประมาณ 15- 20 นาทีต่อครั้ง และควรทำเป็นประจำทุกวัน นอกจากจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้เล็กลงแล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้อีกด้วย

7. การทาครีมบำรุงผิวและลบถุงใต้ตา

การทาครีมบำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงรอบดวงตา สามารถช่วยลดขนาดและการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งครีมบำรุงรอบดวงตาควรเลือกที่มีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวและดวงตา เพราะการทาที่บริเวณรอบดวงตามีความเสี่ยงที่สารในเนื้อครีมจะเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองกับดวงตาได้ ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยลดถุงใต้ตาแล้วอาจจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกด้วย และครีมบำรุงใต้ตาควรแช่เย็นไว้ เพื่อที่เวลาทาครีมนอกจากจะได้ผลจากสารบำรุงที่อยู่ในเนื้อครีมแล้ว ความเย็นที่ได้จากเนื้อครีมก็จะคล้ายกับการประคบเย็นนั่นเอง

8. การใช้คลื่นวิทยุ ( Radio Frequency หรือ RF )

การใช้คลื่นวิทยุที่อยู่ในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz ยิงเข้าไปสู่ที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างที่มีถุงใต้ตาเกิดขึ้น คลื่นวิทยุที่ยิงเข้าไปจะเข้าไปจะเข้าไปสู่ผิวหนังชั้นในสุด ( Subcutaneous fat ) ในขณะที่คลื่นวิทยุผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ด้านในจะทำให้ผิวหนังแต่ชั้นเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อยคล้ายกับการนวด ซึ่งคลื่นวิทยุช่วยกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่บริเวณใต้ตามีความแข็งแรง และยังช่วยกระตุ้นกระบวนการละลายของไขมันป้องกันการกระจายตัวเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองที่บริเวณถุงไขมัน ทำให้ปริมาณไขมันในถุงใต้ตามีปริมาณลดลง ถุงใต้ตาจึงมีความกระชับแบนราบ

9. การใช้เลเซอร์ ( Laser Eye Bag Removal )

เลเซอร์ ( Laser ) สามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ ด้วยเนื่องจากเลเซอร์จะเข้าไปทำการสลายและดูดไขมันส่วนเกินบางส่วนออกมาจากถุงใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด โดยการเปิดแผลและทำการฉายเลเซอร์เข้าไปที่ถุงไขมันที่บริเวณด้านล่างของเบ้าตา ซึ่งการรักษาถุงใต้ตาด้วยการฉายเลเซอร์เป็นการรักษาชนิดที่ไม่ถาวร ถุงใต้ตามีโอกาสที่จะกลับมามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกได้ แต่ก็สามารถทำการฉายเลเซอร์เพื่อลดขนาดของถุงใต้ตาได้ตลอด

10. การผ่าตัดลดขนาดถุงใต้ตา ( Lower Blepharoplasty )

การผ่าตัดนำถุงไขมันที่มีการขยายตัวขึ้นออกเป็นการรักษาภาวะถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุดและเป็นการรักษาแบบถาวรที่ถุงใต้ตาจะไม่กลับมาอีก ซึ่งจะใช้รักษาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อซึ่งมาจากพันธุ์กรรมที่พบมาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลและทำการตัดเอาไขมันส่วนเกินที่อยู่ภายในถุงไขมัน กล้ามเนื้อหรือหนังส่วนเกินที่บริเวณรอบดวงตาที่ถุงไขมันมีการขยายตัวออกมาก ทำให้ถุงไขมันมีขนาดที่เล็กลง เพื่อปรับขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงและผิวหนังรอบดวงตาเรียบเนียน การผ่าตัดเป็นการรักษาถุงใต้ตาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยของดวงตา

จะพบว่าการรักษาถุงใต้ตาสามารถเริ่มได้จากการดูแลร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน รับประทานอาการให้ครบทั้ง 5 หมู่ อย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติตนเช่นนี้จะสามารถป้องกันหรือลดขนาดของถุงใต้ตาเทียมได้ผลเป็นอย่างดี แต่สำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาชนิดถุงใต้ตาแท้การรักษาจำเป็นจะต้องทำการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์หรือการผ่าตัดภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดในขณะที่ทำการผ่าตัดอาจจะทำให้ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ การผ่าตัดตัดถุงใต้ตาออกสามารถช่วยลดปัญหาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่ออย่างได้ผล หลังจากทำการรักษาถุงใต้ตาให้หายแล้วควรดูแลและป้องกันร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตากลับมาเป็นอีก

การลดขนาดถุงใต้ตา ปรับผิวบริเวณเบ้าตาด้านล่างให้เรียบเนียนและดูแลผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จะส่งผลให้ใบหน้าสดใสที่เคยหม่อนหมอง แก่กว่าวัย กลับมาเป็นใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ลดอายุไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://health.howstuffworks.com/wellness/natural-medicine/home-remedies/home-remedies-for-puffy-eyes1.htm

http://momcoloredglasses.com/healthy-living/natural-remedies-puffy-eyes/

แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน

0
แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน
การแต่งตา มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการไล่ระดับสีเพิ่มเลเยอร์ชั้นตาลุคหวานธรรมชาติ หรือสวยหรูดูแพง หรือลุคสาวญี่ปุ่น
แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน
สโมกกี้อายที่เป็นการทำกราเดชั่นสีให้ดูอ่อนโยนลงก็เป็นลุคน่าทึ่งที่แคทวอล์คในฤดูกาลยอมรับ

การแต่งตา

ลุค การแต่งตา มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการไล่ระดับสีเพิ่มเลเยอร์ชั้นตาลุคหวานธรรมชาติ หรือสวยหรูดูแพง หรือลุคสาวญี่ปุ่น และอีกมากมายที่เป็นลุคแต่งตาโทนสุดฮอต

1.แต่งตาโทนสีน้ำตาลตุ่น ลงสีอ่อนให้ทั่วเปลือกตา แล้วตามด้วยสีเข้ม กรีดไลเนอร์สีดำ
2.แต่งตาโทนส้ม แต่งจะเน้นสีส้มช่วงรอยพับตา และขอบตาล่าง กรีดไลเนอร์สีดำเส้นเล็ก
3.แต่งตาโทนสีอ่อน ปาดแค่สีเดียวง่ายๆ ได้ลุคธรรมชาติสวยที่สุด
4.แต่งตาโทนสีทองชิมเมอร์วิบวับ สวยหรูดูแพงแบบสุภาพ
5.แต่งตาโทนสีน้ำตาลกาแฟชิมเมอร์สวยๆ สีน้ำตาลลงแบบอ่อนๆทำให้ดูธรรมชาติ
6.โทนสีชมพูเหลือบมุก เน้นสีชมพูชัดๆที่ช่วงหางตา และขอบตาล่าง
7.สีส้มผสมสีพีช ให้ลุคสดใสแบบซัมเมอร์
8.โทนสีพีชประกายทอง
9.ทาสีครีมทอง และเน้นโทนสีน้ำตาลเข้มช่วงรอยพับตาและะเปลือกตาบน ขอบตาล่างเน้นสีชมพูหวานๆ
10.สโมกกี้อายสีเข้มแต่แต่งให้ดูธรรมชาติ หัวตาที่ขอบตาล่างทาสีทอง
11.แต่งตาโทนสีน้ำตาลประกายชิมเมอร์ กรีดไลเนอร์หางเบาๆ
12.เน้นโทนสีเดียวทั้งเปลือกตา หรือเพิ่มอีกสีให้ดูมีมิติ
13.ชมพูตุ่นเน้นทาสีเดียวที่ขอบตาถึงรอยพับ และลงมาถึงขอบตาล่าง กรีดไลเนอร์เส้นเล็ก
14.แต่งตาสีเดียวอีกกับโทนสีม่วงเหลือบมุก สวยแบบสาวญี่ปุ่น
15.แต่งตาโทนสีพีช กรีดไลเนอร์ทนสีเข้มให้ชิดขอบตามากที่สุด
16.อายแชโดว์สีเดียวโทนสีชมพูตุ่น กรีดอินไลเนอร์ไม่วิงหาง ปัดขนตา
17.โทนสีน้ำตาลแมท เป็นโทนสีที่สวยแบบธรรมชาติสุดๆ
18.โทนสีส้มพีช สดใสนิดๆ ตาดูสวยมีชีวิตชีวา
19.ทาโทนสีเดียวเช่น โทนสีครีม กรีดอินไลเนอร์โทนสีดำให้ตาดูกลมโต
20.แต่งตาโทนสีเดียว โทนสีส้มเนื้อแมท สดใสขึ้น
21.แต่งตาโทนสีน้ำตาลแบบฝรั่ง แต่งยังดูธรรมชาติ
22.สีน้ำตาลมอคค่า สวยธรรมชาติแบบไม่ดูเข้มจนเกินไป
23.โทนสีแดงเบอกันดี เน้นทาแค่ขอบตาถึงลอยพับตา เหลือบมุกวาวๆ ดูโดดเด่น
24.ลงสีชมพูเหลือบมุกก่อนให้ทั่ว ตามด้วยน้ำตาลอมส้มช่วงรอยพับตา
25.โทนสีน้ำตาลอมม่วงหวาน ให้ลุคสวยหวาน

เทคนิคการแต่งตาแบบต่างๆ

แต่งตาสวยไตล์นางแบบชิคส์ๆ

กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดตัวหลวมหลวมๆแมตซ์กับรองเท้าส้นสูง โลกนี้ก็เหมือนกับการแต่งหน้าที่เน้นขอบตาคม การแต่งหน้าที่เน้นเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งนั้น ในบางครั้งก็ดึงดูดสายตาได้มากกว่าการแต่งหน้าอย่างมีสีสันที่เน้นใบหน้าโดยรวมทั้งหมด มารองน้ําตาให้สวยชีสและดึงดูดสายตาผู้คนด้วยเส้นขอบตาที่สะอาด คมชัด แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเฉียบแหลม

  • ใช้อายไลเนอร์ชนิดเจลเขียนขอบตา เริ่มตั้งแต่หัวตาแล้วเพิ่มความหนาขึ้นในส่วนท้ายๆ และเขียนปรายให้ชีคม การเขียนขอบตาที่ค่อนข้างหนาและคมเหมาะกับคนที่มีตาชั้นเดียวมากๆ
  • เบิกตาให้โตแล้วค่อยๆเขียนขอบตาให้เป็นเส้นคมชัดต่อเนื่องกันโดยเริ่มจากหัวตา
  • เขียนขอบตาด้านล่างให้ชิดกับขอบตาด้านในโดยเริ่มเขียนจาก 1 ใน 3 ของขอบตาล่างลากไปจรดกับหางตาบน
  • ทำกราเนชั่นโดยใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลทองทาให้ทั่วขอบตาล่าง

เพิ่มเสน่ห์ดึงดูดใจด้วยการแต่งตาสโมคกี้อาย

แม้แต่สาวๆที่แต่งหน้าไม่แก่ก็เคยลองเขียนขอบตาอยู่บ่อยๆ สิ่งที่คุณต้องเตรียมคือแจ็คเก็ตหนังสีดำ และมินิสเกิร์ตดิทรอยต์ ถึงแม้ว่าจะมีตาแบนๆ ที่ไม่โค้งเว้า แต่ลองแต่งตาแบบสโมกกี้อายที่ทำให้เสน่ห์พุ่งกระฉูดทันตาเห็น

  • ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีดำวาดเส้นคลุมเบ้าตาทั้งหมด และระบายให้เต็ม สำหรับสาวตาชั้นเดียวควรหมั่นตรวจสอบลักษณะดวงตาทั้งสองข้าง เวลาที่ดวงตาทั้งสองข้างดูไม่เท่ากันต้องพยายามแต่งให้ดูเท่ากัน โดยเฉพาะเวลาที่ลืมตา
  • เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอแท่งเดิม ให้บริเวณหัวตาและหางตาตลอดกับเส้นขอบตาด้านบน แนะนำเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ดวงตาสั้น ลองต่อหางตาให้ยาวกว่าความเป็นจริง จะทำให้ดวงตาโดยรวมดูโตและยาวขึ้น
  • ทาอายแชโดว์สีดำให้ทั่วเปลือกตาไปจนถึงเบ้าตา ทับบริเวณที่ใช้ดินสอเขียนไว้เพื่อให้ติดทนนาน เขียนขอบตาด้านล่างให้คมชัดด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจลสีดำ

อายแชโดว์ชนิดผงไม่ค่อยติดทนนานและแต่งตาให้ดูหนังเล่นได้ยาก จึงใช้แต่งตาแบบสโมกกี้อายได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควรหากใช้อายแชโดว์ชนิดนี้เพียงอย่างเดียว แต่หากใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอ ชนิดครีม หรือทาอายแชโดว์ชนิดครีมแล้วทาชนิดผงทับ จะทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน สำหรับอายไลเนอร์ดินสอแนะนำให้ใช้ชนิดกันน้ำ
เวลาที่แต่งตาแบบสโมกกี้อายที่โดนหนักแน่นๆควรเขียนคิ้วให้บางและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ถ้าเน้นทางตาและคิ้วพร้อมพร้อมกัน จะทำให้ไม่สามารถเน้นส่วนใดส่วนหนึ่งได้อย่างแท้จริง

แต่งตาสวยคมลึกลับน่าค้นหา

สโมกกี้อายไม่ได้มีแค่สีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทาเท่านั้น แต่คัลเลอร์สโมกกี้อายที่เป็นการทำกราเดชั่นสีให้ดูอ่อนโยนลงก็เป็นลุคน่าทึ่งที่แคทวอล์คในฤดูกาลยอมรับ วิธีเน้นเส้นอายไลเนอร์มากกว่าการทาอายแชโดว์สีจนทั่วเปลือกตา

  • เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจล เพิ่มความหนาในส่วนท้ายท้ายและเขียนปรายให้ชี้คม
  • เขียนขอบตาล่างยาวประมาณ 1 ใน 3 ให้ชิดกับขอบตาด้านใน โดยเขียนให้เชื่อมต่อกับเส้นขอบตาบนที่วาดไว้
  • ทำกราเดชั่นด้วยการทาอายแชโดว์สีน้ำตาลทองให้ทั่วขอบตาล่าง
  • ทาอายแชโดว์สีเทาผสมประกายมุกเล็กน้อยบริเวณหางตายาวประมาณ 1 ใน 3 ทำกระเดชั่นบริเวณหางตาที่วาดชี้ขึ้นเท่านั้น ขอบตาล่างก็เช่นเดียวกัน ท่ายางบางเบามากๆ ลองใช้แปรงปัดอายแชโดว์ประกายมุกสีสดใสจะช่วยรักษาความแน่นของเนื้อสีประกายมุก รวมทั้งสภาพโดยรวมของดวงตาไว้ได้

สำหรับคนที่หางตาตกหรือมีริ้วรอยรอบดวงตามาก ถ้าเขียนขอบตาโดยใช้สีอื่นนอกจากสีดำจะทำให้หางตาดูชี้ขึ้นและเฉียบคม เวลามีงานปาร์ตี้การแต่งหน้าสไตล์นี้เหมาะกับลุคเซ็กซี่มาก ยิ่งเวลาเขียนขอบตาล่างด้วยดินสอโทนสีเขียว จะให้ความรู้สึกแปลกตาและดูงดงามและใช้ลิปสติกสีมันวาวเนื้อชุ่มชื้นเพื่อแสดงความแข็งแรงและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

แต่งตาลุคสไตล์หวานๆ

การแต่งตาเป็นเสน่ห์ที่สำคัญ เพราะหน้าตาจะหวานหรือเซ็กซี่ก็จะขึ้นอยู่กับการแต่งตา ซึ่งการแต่งตาให้ลุคสวยหวานก็สามารถดึงดูดสายตาได้เช่นกัน

  • ทาอายแชโดว์แบบครีมสีทองมุกบริเวณเปลือกตา และหางตาด้านล่าง
  • ใช้อายไลเนอร์เขียนให้ชิดขอบตาให้มากที่สุด และไม่หนามาก
  • นำคัตเตอร์บัตแต้มอายแชโดว์แบบครีมสีน้ำตาลเข้มทาบริเวณหัวตา
  • ดัดขนตา หรือติดขนตาปลอมแบบไม่หนาเกินไป และใช้มาสคาราปัดขนตาอีกครั้งเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ
    ถ้าชอบลุคเกาหลีหน่อยๆก็เปลี่ยนจากอายแชโดว์สีทองมุกเป็นสีขมพูแทน แล้วใช้อาไลเนอร์ทาบริเวณหัวตาเบาๆ เท่านี้ก็ได้ลุคหวานๆแบบเกาหลีกันแล้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559

เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสันเครื่องสำอาง

0
เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสัน
สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้
เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสัน
สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้

สไตล์

สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้ ซึ่งแต่ละคนก็มีความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นสไตล์การแต่งตัวจึงมีหลากหลายตามบุคลิคของแต่ละคนที่จะทำให้ตัวเองดูเด่นและมีความมั่นใจที่จะแสดงออก

ตัวอย่างสไตล์ที่ได้รับความนิยม

สีพีชไสตล์สาวหวานๆ

หากคุณกังวลกับผิวที่ดูหมองคล้ำ สีเมคอัพที่เหมาะสมที่สุดคือสีพีช หากเติมสีสันให้ดวงตาและแก้มด้วยสีพีชประกายมุกเนื้อละเอียดอ่อนกับสีชมพูโทนนู้ด สีหน้าที่ดูเหนื่อยล้าจะหายไปในพริบตาอย่างแน่นอน หากกังวลว่าตาจะดูบวมการเขียนขอบตาให้เป็นเส้นคมด้วยอายไลเนอร์สีน้ำตาลจะช่วยได้มาก
• ทาเปลือกตาด้วยอายแชโดว์ชนิดครีมผสมมุกสีพีชบางๆให้ทั่ว หลังจากทาอายแชโดว์ชนิดครีม หากทาอายแชโดว์ชนิดแป้งพัฟจะช่วยให้เนื้อสีแน่นและติดทนนาน
• ทาอายแชโดว์สีพีชทับอีกครั้งหนึ่ง
• ใช้อายแชโดว์มุกสีเหลืองอ่อนทาใต้วงตาและบริเวณหัวตา สีพีชและสีเหลืองเป็นสีต่างกัน แต่ให้ความรู้สึกคล้ายกันหากใช้ 2 สีนี้ถ้าด้านบนและใต้ดวงตาจะทำให้ดวงตาดูมีมิติ
• เขียนขอบตาคมบางด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจลสีน้ำตาล
• ทาอายแชโดว์มุกสีน้ำตาลบางๆบนเส้นอายไลเนอร์
• เศษดินบริเวณโหนกแก้มและกรามเพื่อให้ใบหน้าดูเล็ก
• เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก้มด้วยบลัชออนสีคอรัลพีชหรือสีแสดผสมมุก
• ทาลิปสติกสีพีช

สีส้มอารมณ์ป่าเขตร้อนแสนสดชื่น

ผู้หญิงเอเชียมีผิวธรรมชาติที่ค่อนข้างเหลือง สีส้มจึงเป็นหนึ่งในบรรดาสีที่แต่งยากและท้าทาย แต่หากใช้สีบรอนร่วมด้วยแล้วเรื่องก็จะเปลี่ยนไปทันที ไม่มีคู่สีไหนจะเข้ากันได้ดีเท่ากับสีบรอนซ์กับสีส้ม ถ้าไม่อยากดูเชยต้องเลือกลิปสติกเนื้อแมตต์สีส้มสดใสที่ไม่มีประกายระยิบระยับ
• ทาอายแชโดว์ชนิดครีมสีบรอนซ์ทองบางๆให้ทั่วเปลือกตา
• ใช้แปรงทาอายแชโดว์สีบรอนซ์เพิ่มบางๆ
• เขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำตาล
• เขียนขอบตาล่างแค่ส่วนต้น ด้วยดินสอสีทองผสมประกายมุก ใช้สีเมทัลแผนที่บริเวณหัวตาหรือใช้เขียนขอบตาล่างแค่ส่วนต้น
• เน้นเฉพาะหางตาด้วยสีบรอนซ์และสีน้ำตาลทาบลัชออนชนิดครีมสีส้มไม่มีประกายมุกโดยการใช้นิ้วแตะแต้ม ใช้นิ้วแตะบลัชออนปริมาณเล็กน้อยเพียงครั้งเดียวแล้วเบลนด์ให้ไม่เป็นก้อน
• ทาลิปสติกสีส้มสดใส ถ้าต้องการให้สีดูเป็นธรรมชาติ ทาบลัชออนชนิดครีมแทนได้ สีส้มที่เจอสีเหลืองนั้นให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้น
เวลาที่ทาลิปสติกสีสดใสอย่างสีส้มหรือสีชมพูสดพลาดแล้วต้องแก้ไขนั้น ใช้แค่กระดาษทิชชูอย่างเดียวอาจทำได้ยาก แต่หากใช้เอกซ์โฟลิเอเตอร์สำหรับริมฝีปากเช็ดออกแล้วล่ะก็ จะทำความสะอาดริมฝีปากได้โดยไม่เหลือคราบ

สีฟ้าน้ำทะเลให้เต็มสองตา

เพราะหน้าร้อนมาถึงสีที่ทุกคนตามหาเป็นอันดับแรกสุดคือสีฟ้า ถ้าอยากดึงดูดสายตาผู้คนด้วยดวงตาอันเปี่ยมเสน่ห์ แทนที่จะทาอายแชโดว์สีฟ้าจนทั่วเปลือกตา หันมาเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์สีฟ้าแทน สีดีปบลูให้ความรู้สึกสดชื่นและทำให้แลดูอ่อนเยาว์ สวนศรีเนวีบลูนั้นช่วยแต่งดวงตาให้ดูเย็นสบายและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน
• ทาอายแชโดว์สีบรอนซ์อ่อนผสมมุกให้ทั่วทั้งเปลือกตา
• ทาอายแชโดว์สีวอร์มบราวน์เพิ่ม
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีแบล็กบลูเขียนขอบตาบนให้เต็มร่องขนตา
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอดีปบลูเขียนซ้อนขึ้นไปเป็นขอบตาแบบทูโทน
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีเนวีบลูเขียนใต้เส้นดินสอ เป็นเส้นบางๆเพื่อสร้างดวงตาที่คมชัด
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีน้ำตาลเขียนขอบตาล่าง
• ทาบลัชออนสีชมพูโทนเย็นเพิ่มความเปล่งปลั่งสดชื่นให้แก้ม
• ทาลิปสติกสีชมพูที่ให้ความรู้สึกสบายๆ
หากเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ผสมมุกที่เนื้อสีแน่นจะทำให้ดวงตาดูคมชัดและชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูละเอียดอ่อนมากๆ การแต่งหน้าสไตล์นี้ใช้สีแบล็คบลูที่ให้ความรู้สึกสบายๆและโดดเด่นแปลกตา เวลาเขียนขอบตาสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ให้เขียนเพียงขอบตาบนหรือล่างเพียงอย่างเดียว

สีม่วงสไตล์เซ็กซี่แสนยั่วยวน

ถ้าจะให้เลือกสีที่เน้นความโรแมนติกและความเซ็กซี่ไปในตัว แน่นอนว่าต้องเป็นสีม่วง สีม่วงที่ทำให้ดวงตาดูคมลึกและมีเสน่ห์น่าหลงใหลนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เมื่อจับคู่กับสโมกกี้อายหรือไม่ก็ขอบตาแบบดราม่า และอายแชโดว์ที่มีประกายวิบวับ ก็สามารถแต่งเป็นลุคงานปาร์ตี้ได้
• ทาอายแชโดว์สีไอซ์พิ้งค์ประกายมุกบนเปลือกตา
• ทาอายแชโดว์สีม่วงให้ทั่วเปลือกตา และถ้าต่อเนื่องกันไปยังขอบตาล่าง
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีม่วงน้ำเงินเขียนขอบตาบนและล่าง
• ทาอายแชโดว์สีไอซ์พิ้งค์ที่มีสปาร์คลิ่งให้บริเวณหัวตาดูโดดเด่น
• ดัดขนตาและปัดมาสคาร่าให้ขนตาโค้งงอนขึ้น
• ถ้าบลัชออนสีชมพูพีชโดยปัดเป็นแนวเฉลียงที่บริเวณสวนแอปเปิ้ล ให้พยายามแต่งตาขึ้นไปทางด้านบนเหมือนการแต่งเมคอัพที่หางตาสีขึ้น และบลัชออนขึ้นข้างบนเพื่อให้กรอบหน้าดูคมสวย
• ไฮไลท์บริเวณโซน C โซน T และส่วนสามเหลี่ยมให้หน้าดูสว่าง
• ทาลิปกลอสชมพูอ่อนบางๆบริเวณกลางริมฝีปากเท่านั้น

สีแดงสไตล์เรียบหรูดูแพง

ถ้าอยากแต่งหน้าโทนแดงลุคซอฟท์ให้ดูเนียนใสสไตล์เกาหลีแบบออกไปใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ไม่ได้จะโบ๊ะไปงาน แนะนำให้ใช้คุชชั่น เพราะเนื้อจะเบาบางกว่ารองพื้น แล้วตบตามด้วยแป้งอัดแข็งเบาๆ ไม่ต้องคัดเบ้าให้วุ่นวาย ทาปากสีแดงได้แบบสบายใจ ไม่ต้องกลัวใครมองว่าเว่อร์
• เขียนคิ้วตามโครงคิ้วเดิม ผมดำให้เลือกใช้สี Dark Brown และลดความเข้มของสีคิ้วด้วยมาสคาร่าคิ้ว
• ทาอายแชโดว์สีแดงให้ทั่วเปลือกตาและย้ำช่วงหางตา ให้ตาดูมีมิติมากขึ้น
• ใช้อายไลเนอร์แบบปากกากรีดตาบาง ๆ
• ดัดขนตาจากโคนขนตาไปถึงปลายขนตา แล้วปัดมาสคาร่า
• ใช้แปรงแตะอายแชโดว์โทนสีเบจไฮไลท์หัวตาให้ดูมีมิติและดูสว่างขึ้น
• บลัชออนอาจใช้เป็นสีโทนส้มอมแดงก็ได้ ไม่ต้องแดงจี๊ดเท่ากับตาหรือปาก แนะนำให้ปัดเบา ๆ
• เขียนขอบปากด้วยดินสอเขียนขอบปาก หรือแปรงสำหรับทาลิปสติก เพื่อกันลิปสติกเลอะจนต้องลบบ่อยๆ หรืออาจจะทาลงไปเลยแล้วใช้คอนซีลเลอร์ลบขอบปากหลังทาเสร็จก็ได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ

0
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำมาเป็นส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ยาคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดเป็นการวางแผนอนาคตของครอบครัวและตนเองได้เป็นอย่างดี เพราะการคุมกำเนิดที่ดีสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการได้ 100% ซึ่งการคุมกำเนิดมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งการผ่าตัดทำหมันที่เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรหรือการใช้อุปกรณ์และการใช้ยาเพื่อทำการคุมกำเนิดที่เป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว ซึ่งการใช้ ยาคุมกำเนิด จัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมใช้เพื่อคุมกำเนิดมากที่สุด เนื่องจากประหยัด ไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดและสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงสุดถึง 99%

ยาคุมกำเนิด ( Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill )

ยาคุมกำเนิด ( Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill ) คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ( Progesterone ) ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำมาเป็นส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ยาคุมกำเนิดมีการแบ่งตามส่วนประกอบของฮอร์โมนที่ใช้เป็นส่วนผสมได้ 2 แบบ คือ

  1. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียว ( Minipill ) คือ ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) เพียงชนิดเดียว

2. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ( Combined pill ) คือ ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโทรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) อยู่ด้วยกัน

กลไกการทำงานของฮอร์โมนที่มีอยู่ในยาคุมจะมีการทำงานในการคุมกำเนิด

1. ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่

โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเข้าไปยับยั้งทำงานของต่อมใต้สมองในการหลั่งฮอร์โมน Follicle stimulating hormone ( FSH ) ซึ่งฮอร์โมน FSH เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่ในการกระตุ้นไข่ที่บริเวณรังไข่ให้มีการเจริญเติบโตจนกระทั้งไข่สุก ดังนั้นเมื่อร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมน FSH น้อยลง ย่อมส่งผลให้ไข่หยุดการเจริญเติบโตและไม่มีไข่สุกเกิดขึ้น เมื่อไม่มีฮอร์โมน Follicle stimulating hormone ย่อมไม่มีไข่ที่เจริญเติบโตพร้อมที่จะได้รับการปฏิสนธิเกิดขึ้นนั่นเอง

2. ยับยั้งการตกไข่

ฮอร์โมนโปรเจสตินจะทำหน้าที่ในการยับยั้งการทำงานของต่อมใต้สมอง ( Pituitary gland ) ในการผลิตฮอร์โมน Luteinizing hormone ( LH ) ที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่หรือไข่สุกให้ตกออกจากรังไข่ หรือที่เรียกว่าการตกไข่ เมื่อไม่มีฮอร์โมน LH เข้าไปกระตุ้นไข่ที่สุกแล้วก็จะไม่สามารถตกลงมาที่บริเวณท่อนำไข่ได้ จึงไม่สามารถได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิได้ 

3. ปรับลักษณะของมูกที่ปากช่องคลอด

มูกช่องคลอด ( Cervical Mucus, CM ) ที่สภาวะปกติจะมีลักษณะที่เหนียวข้นเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ปากมดลูกได้ แต่ในสภาวะที่ร่างกายมีการตกไข่เกิดขึ้น มูกที่บริเวณปากช่องคลอดจะเปลี่ยนไปเป็นมูกไข่ตก ( Fertile Cervical Mucus ) ซึ่งมีลักษณะเหลวและลื่นเพื่อทำให้ตัวอสุจิสามารถเคลื่อนตัวผ่านเข้าสู่ช่องคลอดและมดลูกได้ง่ายขึ้น แต่ฮอร์โมนโปรเจสตินจะส่งผลให้มูกที่บริเวณปากช่องคลอดคงลักษณะที่เหนียวข้นไม่เปลี่ยนเป็นมูกไข่ตก จึงสามารถป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิสามารถเดินทางเข้าไปสู่ภายในมดลูกเพื่อทำการปฏิสนธิได้

4. ปรับลักษณะของผนังมดลูก

ฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจนตินจะมีคุณสมบัติทำให้เนื้อเยื่อบุมดลูก ( Endometrial ) มีลักษณะที่ไม่เหมาะสม กับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิแล้ว ทำให้ไข่ไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนได้

ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมา

การรับประทานหรือการใช้เพื่อคุมกำเนิด

นอกจากการแบ่งยาคุมกำเนิดตามส่วนประกอบของฮอร์โมนแล้ว ยังสามารถแบ่งยาคุมตามลักษณะการรับประทานหรือการใช้เพื่อคุมกำเนิดได้ ดังนี้   

1. ยาคุมกำเนิดชนิดกิน สามารถออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.1 ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมน คือ ยาคุมกำเนิดชนิดกินจะมีเป็นยาคุมกำเนิดทั้งที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเดียวและฮอร์โมนรวม ซึ่งการรับประทานจะต้องรับประทานทุกวันอย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมนมีลักษณะเป็นเม็ดกลมขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะมีสีขาวหรือสีเหลือง บรรจุบนแผงยา จำนวนเม็ดยาจะมี 21 และ 28 เม็ด โดยยาจำนวน 21 เม็ดแรกจะบรรจุฮอร์โมนไว้ด้านใน แต่สำหรับยาที่บรรจุ 28 เม็ดนั้น ยาเม็ด 21 เม็ดแรกจะบรรจุฮอร์โมนเช่นเดียวกับยาคุมที่มี 21 เม็ด แต่ยาเม็ดที่ 22-28 จะเป็นแป้งหรือแป้งผสมวิตามินสำหรับบำรุงร่างกายเท่านั้น

ขั้นตอนการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมน 

  1. เริ่มรับประทานเม็ดแรกในวันที่เริ่มมีประจำเดือนวันแรกหรือภายใน 5 วันหลังจากที่เริ่มมีประจำเดือน

2. ภายในระยะเวลา 7 วันแรกที่เริ่มรับประทานยาคุม ยังมีอัตราเสี่ยงที่จะสามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นหากมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นควรมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใส่ถุงยางอนามัย เป็นต้น

3. ควรรับประทานยาคุมกำเนิดเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีระดับที่สม่ำเสมอกันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เป็นต้น และป้องกันการลืมรับประทานยาคุมกำเนิดอีกด้วย

4. หากลืมรับประทานยา 1 วัน ในวันถัดไปให้รับประทานยาร่วมกัน 2 เม็ดหรือในรับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ก่อนที่จะรับประทานยาในวันต่อไป

5. หากลืมรับประทานยา 2 เม็ดหรือ 2 วัน ให้ทำการรับประทานยาตอนเช้า 1 เม็ดและตอนเย็น 2 เม็ด

6. หากลืมรับประทานยา 3 เม็ดหรือ 3 วันติดต่อกัน แสดงว่ายาคุมกำเนิดที่รับประทานอยู่นั้นไม่สามารถช่วยป้องกันการคุมกำเนิดได้แล้ว ให้ทำการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นแทน และเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดแผงใหม่ในวันที่ 1-5 ของประจำเดือนรอบถัดไป

7. สำหรับผู้ที่เลือกรับประทานยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด เมื่อยาหมดแผงให้เว้นระยะ 7 วันก่อนแล้ววันที่ 8 จึงเริ่มรับประทานยาคุมแผงต่อไปได้ แต่ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ดสามารถรับประทานยาแผงต่อไปได้ทันทีหลังจากรับประทานยาเม็ดที่ 28 หมดแล้ว 

1.2 ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฉุกเฉิน

คือ ยาคุมกำเนิดที่รับประทานหลังจากมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นแล้ว แผงยาจะบรรจุยาสองเม็ด มีลักษณะเป็นเม็ดขนาดเล็กสีขาวภายในตัวยาจะประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ที่มีปริมาณสูงมาก โดยฮอร์โมนโปรเจสตินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และปรับสภาพของเนื้อเยื่อบุผนังมดลูก ( Endometrial ) ให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 80% การใช้ยาคุมฉุกเฉินจะมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงและอันตรายสูงกว่าการกินยาคุมปกติ เช่น การมีเลือกออกที่บริเวณปากช่องคลอด เป็นต้น

ขั้นตอนการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฉุกเฉิน 

1.ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์หรือไม่เกิน 48 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ และรับประทานยาเม็ดที่ 2 หลังจากที่รับประทานยาเม็ดแรกไปแล้ว

2.ควรรับประทานยาทั้งสองเม็ด การรับประทานยาเพียงเม็ดเดียวจะทำให้ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์ลดลง 50%

2. ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด ( Injectable Contraceptives )

คือ ยาคุมกำเนิดที่ทำการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อที่ภายในร่างกายได้โดยตรง โดยส่วนมากแพทย์จะทำการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อที่บริเวณสะโพก ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามระยะเวลาคงอยู่ของตัวยา คือ

2.1 ยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 1 เดือน

เป็นยาคุมกำเนิดที่ทำการฉีดทุก 28-30 วัน คล้ายกับการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน แต่การฉีดจะทำการฉีดยาคุมกำเนิดเพียงครั้งเดียวต่อเดือนไม่ต้องทำการฉีดทุกวัน ซึ่งยาคุมกำเนิดแบบฉีดรายเดือนประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) เป็นยาที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของยาฉีดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1 เดือน โดยฮอร์โมนที่อยู่ตัวยาคุมกำเนิดแบบฉีดจะอยู่ในรูปเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ( Medroxyprogesterone ) ปริมาณ 25 มิลลิกรัมผสมอยู่กับเอสทราดิอัล ไซพิโอเนท ( Estradiol Cypionate ) ที่มีปริมาณ 5 มิลลิกรัม การฉีดยาคุมแบบ 1 เดือน ร่างกายจะมีประจำเดือนมาแบบปกติทุกเดือน 

2.2 ยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 3 เดือน

คือ ยาคุมกำเนิดที่สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนต่อการฉีดยาหนึ่งครั้ง ยาคุมกำเนิดชนิด 3 เดือนประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจนตินเพียงชนิดเดียว ซึ่งฮอร์โมนที่นำมาใช้จะอยู่ในรูปเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ( Medroxyprogesterone ) โดยฮอร์โมนโปรเจนตินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และเพิ่มความเหนี่ยวของเมือกให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิเข้าสู่มดลูกได้ จึงลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี การฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนประจำเดือนบางเดือนอาจจะมาหรือบางเดือนอาจจะไม่มาก็ได้ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างไร

การฉีดยาคุมต้องทำการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดยาคุมกำเนิดได้

3. ยาฝังคุมกำเนิด ( Contraceptive Implant )

คือ ยาคุมกำเนิดที่สามารถคุมกำเนิดได้ด้วยการฝังเข้าสู่ร่างกาย โดยยาคุมกำเนิดชนิดฝังเป็นยาคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) โดยบรรจุฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ไว้ภายในแท่งหรือวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายหลอดผิวนิ่ม สามารถยืดหยุ่นและหลอดของยาคุมกำเนิดชนิดฝังจะไม่เกิดการสลายตัว ขนาดของหลอดมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตรและมีความยาวประมาณ 4-4.3 เซนติเมตร การใช้ยาทำได้โดยการฝังแท่งยาเข้าสู่ร่างกายไว้ที่บริเวณใต้ท้องแขนของผู้หญิงในด้านมือข้างที่ไม่ถนัด เพราะจะมีการใช้งานแขนด้านนั้นน้อยกว่าด้านที่ถนัด ซึ่งการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้

ขั้นตอนการฝังแท่งยาคุมกำเนิด คือ

  1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการฝังให้สะอาด

2. ทำการฉีดยาชาและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ

3. ทำการผ่าเปิดแผลขนาดประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ที่บริเวณท้องแขนซึ่งอยู่ระหว่างรักแร้และข้อศอก 

4. ทำการวางแท่งยา แล้วจึงทำการปิดแผล

หลังจากทำการผ่าตัดเพื่อฝังแท่งยาคุมกำเนิดแล้ว ที่บริเวณท้องแขนอาจจะมีรอยเขียวช้ำเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่รอยช้ำที่จะเกิดขึ้นจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์หลังจากทำการผ่าตัด เมื่อทำการฝั่งแท่งยาคุมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ฮอร์โมนโปรเจสตินที่อยู่ภายในแท่งยาคุมกำเนิดจะค่อย ๆ ไหลออกมาจากแท่งยาคุมและซึมเข้าสู่ร่างกายที่ละน้อย โดยฮอร์โมนโปรเจสตินจะเข้าไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน Luteinizing hormone ( LH ) ที่ช่วยกระตุ้นไข่ให้ไข่สุกให้เกิดการตกไข่ ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำการตกไข่ออกมาเพื่อปฏิสนธิกับตัวอสุจิได้ จึงสามารถป้องกันการตกไข่ได้เป็นอย่างดี

การฝังยาคุมกำเนิดได้ตั้งแต่ 3 -5 ปี ขึ้นอยู่กับความต้องการระยะเวลาในการคุมกำเนิด ซึ่งการฝังแท่งยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 99% และเมื่อต้องการยกเลิกการคุมกำเนิดก่อนระยะเวลาหมดอายุของแท่งยาคุมกำเนิดที่ทำการฝังไว้ ก็สามารถผ่าตัดนำแท่งยาคุมกำเนิดออกมาจากท้องแขนได้ เมื่อทำการผ่าตัดนำแท่งยาคุมออกมาแล้วก็สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ ข้อดีของการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง คือ ไม่ต้องกลัวลืมที่จะกินยาเพราะเมื่อฝังไปแล้วฤทธิ์ของยาจะคงอยู่ตามระยะเวลาของยาที่กำหนด ไม่ต้องกลัวว่าผลของยาจะผิดพลาดจนเกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น

5.แผ่นแปะคุมกำเนิด

คือ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม โดยการนำฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจนตินมาบรรจุไว้บนแผนแปะ ซึ่งแผ่นแปะคุมกำเนิดมีขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 2 นิ้ว โดยแผ่นแปะคุมกำเนิดจะทำการปล่อยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินออกมาและซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะยับยั้งการตกไข่ ปรับสภาพของมดลูกให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่และลดโอกาสการผ่านของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูก ซึ่งแผ่นแปะสามารถช่วยคุมกำเนิดได้มากถึง 90-99%

ขั้นตอนใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด

  1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการแปะแผ่นคุมกำเนิด

2. ทำการแปะแผ่นคุมกำเนิดที่ผิวหนังบนร่างกาย เช่น บริเวณสะโพก ต้นแขนหรือหน้าท้อง 

3. แผ่นแปะ 1 แผ่นจะสามารถคุมกำเนิดได้ 7 วัน เมื่อแปะแผ่นครบ 7 วันแล้วจึงทำการแกะแผ่นแปะออก พร้อมทั้งทำการแปะแผ่นคุมกำเนิดแผ่นใหม่ต่อทันที การแปะจะต้องแปะติดต่อกัน 27 วันหรือ 3 สัปดาห์ติดต่อกัน แล้วจึงหยุดแปะแผ่น 7 วัน

อาการข้างเคียงที่พบจากการใช้ยาคุมกำเนิด

การใช้ยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์อย่างได้ผลก็จริง แต่ก็มีอาการข้างเคียงที่สร้างผลกระทบต่อร่างกายอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนของร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาการข้างเคียงที่พบจากการใช้ยาคุมกำเนิด ดังนี้

  1. ประจำเดือนมาแบบผิดปกติ

2. มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ เต้านมคัดตึง และมีอารมณ์แปรปรวน

3. อาการคลื่นไส้อาเจียน

4. เต้านมเกิดอาการคัดตึง

5. อารมณ์เกิดการแปรปรวน

6. น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น

7. ปากช่องคลอดแห้ง ความต้องการทางเพศลดลง

อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะมีอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละบุคคล บางคนใช้ยาคุมกำเนิดชนิดเดียวกัน แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นต่างกัน ดังนั้นการใช้ยาคุมกำเนิดควรเลือกให้เหมาะกับสภาพร่างกายของตนเอง ซึ่งการเลือกยาคุมกำเนิดผู้ใช้ต้องทำการใช้ยาคุมกำเนิดก่อน ถ้าเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่ต้องการแล้วให้ทำการเปลี่ยนไปใช้ยาคุมกำเนิดชนิดอื่นแทนจนกว่าร่างกายจะไม่เกิดอาการข้างเคียงเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดนั่นเอง

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการตั้งครรภ์แล้วการคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาจึงนับเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้ผลดีและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก แต่ถ้าต้องการให้การคุมกำเนิดได้ผล 100% ควรที่จะต้องมีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัย ห่วงคุมกำเนิด ร่วมด้วยจึงจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 100% ซึ่งการใช้อุปกรณ์ช่วยคุมกำเนิดนอกจากจะสามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้วยังสามารถลดความเสี่ยงในการติดโรคที่เกิดทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

All US women aged 15-44 Mosher WD, Martinez GM, Chandra A, Abma JC, Willson SJ (2004). “Use of contraception and use of family planning services in the United States: 1982-2002”. Adv Data (350): 1–36. PMID 15633582.

“Birth Control Pills – Birth Control Pill – The Pill”.Hatcher, Robert A.; Nelson, Anita (2004). “Combined Hormonal Contraceptive Methods”. In in Hatcher, Robert A. (ed.). Contraceptive Technology (18th rev. ed. ed.). New York: Ardent Media. pp. pp. 391–460. ISBN 0-966-49025-8.

ริมฝีปากแห้งรักษาอย่างไร

0
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ริมฝีปากแห้ง เกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นน้อย ส่งผลให้ริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุย
ริมฝีปากแห้งรักษาอย่างไร
ครีมบำรุงเหล่าที่ออกแบบมาเพื่อรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากโดยเฉพาะจะช่วยลดการสูญเสียน้ำที่ริมฝีปากและช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับริมฝีปาก

ริมฝีปากแห้ง

ริมฝีปากเป็นผิวหนังส่วนที่ต่างจากผิวหนังส่วนอื่น เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้จะไม่มีต่อมน้ำมันที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังเหมือนผิวหนังที่บริเวณอื่นของร่างกาย แต่ริมฝีปากจะได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำลายที่ออกมาจากต่อมน้ำลายภายในปาก และริมฝีปากเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับสิ่งต่างรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเป็นอากาศ อาหาร แสงแดด สายลม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ริมฝีปากเกิดความผิดปกติขึ้น และความผิดปกติที่สามารถพบได้บ่อยกับริมฝีปาก คือ ภาวะริมฝีปากแห้ง หรือภาวะปากแห้งเนื่องจากปริมาณน้ำลายเกิดขึ้นน้อย ( Xerostomia ) คือ การที่ต่อมน้ำลายมีระบบการทำงานที่ผิดปกติ ต่อมน้ำลายทำการการผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำลายภายในปากน้อยกว่าปริมาณการสูญเสียความชุ่มชื้นออกไป ส่งผลให้เกิดภาวะริมฝีปากแห้ง แตกและลอกออกมาเป็นขุยนั่นเอง

ใบหน้าเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนต้องพบเห็น ใบหน้าช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับคนเรา ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในการสร้างเสน่ห์ รวมถึงริมฝีปากของเราด้วย ริมฝีปากมีลักษณะอ่อนนุ่ม สามารถเคลื่อนไหวเพื่อทำหน้าที่ในการรับอาหารและใช้ในเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารออกมาเป็นคำพูด นอกจากนั้นริมฝีปากของเรายังเป็นอวัยวะที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของร่างกายได้อีกด้วย นั่นคือริมฝีปากของผู้ที่มีสุขภาพดีจะมีริมฝีปากที่แลดูฉ่ำน้ำ เปล่งปลั่งและมีสีชมพูอ่อนจนถึงสีแดงคล้ำ โดยผู้ที่มีสีผิวเข้มจะมีริมฝีปากสีแดงคล้ำ ส่วนผู้ที่มีผิวขาวจะมีริมฝีปากสีชมพู

สาเหตุที่ทำให้การทำงานของต่อมน้ำลายผิดปกติ

1.ร่างกายขาดน้ำ

ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำร้อยละ 60 ซึ่งในแต่ละวันร่างกายจะทำการขับน้ำออกมาในรูปของเสีย เช่น ปัสสาวะ เหงื่อ เป็นตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อทดแทนปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องสูญเสียไประหว่างวัน ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อยกว่าปริมาณน้ำที่สูญเสียไป ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ริมฝีปากแห้ง นอกจากการดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอแล้ว ภาวะร่างกายขาดน้ำยังสามารถเกิดขึ้นได้จากกรณีที่ร่างกายมีการสูญเสียน้ำในปริมาณที่มาก ๆ อย่างเฉียบพลัน เช่น เกิดอาการท้องเสีย เสียเลือดมาก อาเจียน เป็นไข้ เป็นต้น ก็สามารถส่งผลให้เกิดริมฝีปากแห้งได้เช่นเดียวกัน

2.สภาพสิ่งแวดล้อม

ช่วงฤดูร้อน ที่มีอุณหภูมิสูง ร่างกายต้องทำการขับเหงื่อออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที และในฤดูหนาว อากาศมีความชื่นน้อย ทำให้ความชื้นในร่างกายระเหยออกมาสู่ภายนอก เมื่อร่างกายสูญเสียความชื้นและน้ำในปริมาณสูง โดยเฉพาะส่วนของริมฝีปากที่ต้องกระทบกับอากาศจากภายนอกอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้ริมฝีปากเกิดภาวะปากแห้งและลอกเป็นขุยได้ หรือแม้แต่การอยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนอากาศเย็นมาก ๆ ก็จะทำให้อากาศมีความชื้นน้อยจนส่งผลให้ริมฝีปากแห้งได้เช่นเดียวกัน

3.การเลียริมฝีปาก

การเลียริมฝีปากหลายคนคิดว่าเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก แต่ที่จริงแล้วผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะการเลียริมฝีปากบ่อยมาก ๆ จะทำให้ริมฝีปากแห้งแตกได้ เนื่องจากในน้ำลายมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารอยู่ ดังนั้นเมื่อน้ำลายมาอยู่บนริมฝีปากเอนไซม์ดังกล่าวก็จะทำการปฏิกิริยากับออกซิเจนและโปรตีนที่อยู่ในริมฝีปากทำให้ริมฝีปากแห้ง 

4.การสูบบุหรี่

บุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นพิษอยู่หลายชนิด ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลให้การทำงานของต่อมน้ำลายเกิดความผิดปกติ ทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาได้น้อยลงจึงส่งผลให้เกิดอาการปากแห้งได้

5.การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อร่างกายได้รับแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายจะต้องทำการขับออกจากร่างกายเพื่อรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างของร่างกายให้สมดุล ซึ่งการขับแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกายจะต้องใช้น้ำเป็นตัวช่วย โดยการขับจะขับอยู่ในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ ดังนั้นเมื่อมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากและไม่มีการดื่มน้ำเปล่าเลย ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำทำให้เกิดริมฝีปากแห้งได้

6.ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง

คนส่วนมากชอบดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ว่าคาเฟอีนที่ดื่มจะเข้านอกจากจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองรับรู้แล้วยังเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนกลางที่มีหน้าที่ในการขับน้ำออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายมีการขับน้ำออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระมากกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อเราดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากจะให้ร่างกายปัสสาวะบ่อย จึงทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกิดภาวะริมฝีปากแห้งได้

7.การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์รุนแรง

ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่ใช้อยู่ทั่วไปจะมีส่วนของฟลูออไรด์ แอลกอฮอล์และสารเคมีผสมอยู่ เช่น สารที่ทำให้เกิดฟอง สารที่ทำให้เกิดรสชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้ามีปริมาณที่สูงหรือร่างกายเกิดอาการแพ้แล้ว จะทำให้ผิวหนังบริเวณ เกิดอาการแพ้ ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณริมฝีปากเกิดภาวะแห้งได้

8.แพ้เครื่องสำอาง

ปัจจุบันนี้ผู้หญิงและผู้ชายบางกลุ่มนิยมที่จะแต่งหน้ากันมากขึ้น โดยเฉพาะการทาลิปสติกบนริมฝีปากเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แม้ไม่ได้แต่งหน้าทั้งหมดขอเพียงแค่ทาริมฝีปากด้วยลิปสติกเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ซึ่งลิปสติกที่ใช้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด บางชนิดมีส่วนผสมของสารเคมีที่ไม่เหมาะสมกับริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากเกิดอาการแพ้จนริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุยได้   

9.ผลข้างเคียงจากการใช้ยา

การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกในกลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน ( Antihistamines ) ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก ( Tricyclic Antidepressants ) ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาคลายกล้ามเนื้อ ยารักษาอาการทางจิต ( Antipsychotics ) ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ( Anyiemetics ) เป็นต้น ซึ่งยาดังกล่าวจะเข้าไปทำให้การทำงานของต่อมน้ำลายมีความผิดปกติ ทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาน้อยลง รวมถึงอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในผู้ที่ป่วยที่ทำการรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายรังสีหรือการให้ยาเคมีบำบัด โดยเฉพาะการรักษามะเร็งที่ส่วนของศีรษะและลำคอ เนื่องจากรังสีที่ฉายเข้าไปนั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่บริเวณต่อมน้ำลายอาจถูกทำลายได้ ซึ่งเซลล์ที่ถูกทำลายบางส่วนจะสามารถฟื้นฟูและกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ในภายหลัง แต่ถ้าได้รับปริมาณรังสีในปริมาณที่สูงเซลล์ก็จะโดนทำลายอย่างถาวร ทำให้ต่อมน้ำลายไม่สามารถทำการผลิตน้ำลายได้มากเท่าปกติ และยาเคมีบำบัดก็จะทำให้น้ำลายมีลักษณะที่เหนียวและข้นมากขึ้นด้วย

10.โรคประจำตัว

โรคบางชนิดที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมน้ำลายในการผลิตน้ำลายทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาได้น้อยลงจึงทำให้ริมฝีปากแห้งได้ เช่น โรคเบาหวาน ( Diabetes ) โรคหลอดเลือดในสมอง โรคพาร์กินสัน ( Parkinson’s disease ) โรคซิสติกไฟโบรซิส ( Cystic Fibrosis ) โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease ) โรคความดันโลหิตสูง ( Hypertension ) โรคโลหิตจาง ( Anemia ) โรคข้ออักเสบ ( Arthritis )

ริมฝีปากแห้ง เกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นน้อย ทำให้แตกและลอกเป็นขุย

การรักษาให้ริมฝีปากชุ่มชื้น

โดยส่วนมากแล้วอาการริมฝีปากแห้งที่พบได้บ่อยจะเกิดจากพฤติกรรมการดื่มน้ำน้อย การเลียริมฝีปากบ่อยเกินไป การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน ดังนั้นการรักษาอาการริมฝีปากแห้งที่เกิดขึ้นจึงมักมุ่งเน้นไปที่ต้นเหตุของอาการที่ทำให้ริมฝีปากแห้งเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการรักษาที่ตรงจุดจะสามารถทำให้ริมฝีปากสามารถกลับมาชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาให้ริมฝีปากชุ่มชื้นสามารถทำได้ดังนี้   

1.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย คือ น้ำเปล่าสะอาดที่มีอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นกว่าอุณหภูมิทั่วไป หลายคนสงสัยว่าแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าร่างกายต้องการน้ำในปริมาณเท่าใด ซึ่งปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวันสามารถคำนวณได้จากสูตร ดังนี้

ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวัน = น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / 2 x 2.2 x 30 หน่วยเป็นมิลลิลิตร

ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมจะต้องดื่มน้ำต่อวันประมาณ 50 / 2 x2.2×30 = 1,650 มิลลิลิตร หรือ 1.65 ลิตร นั่นหมายความว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 1.6 ลิตรต่อวันจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั่นเอง การดื่มน้ำที่ดีควรดื่มสะอาดเท่านั้น โดยทำการดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน 1-2 แก้ว หลังมื้ออาหารครั้งละ 1 แก้ว และระหว่างมื้ออาหารอย่างน้อย 1 แก้ว หรือจะทำการดื่ม 1 แก้วทุก 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่ห้ามดื่มครั้งละมากๆ หรือดื่มครั้งเดียวตามปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน เพราะว่าร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำที่ดื่มเข้าไปใช้ได้หมดและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำเกินในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นการดื่มสะอาดอย่างต่อเนื่องเป็นการดื่มน้ำที่ดีสุดที่ช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอและร่างกายสามารถนำน้ำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

2.ลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากเกิดภาวะแห้งหรือรู้สึกกระหายน้ำ ไม่ควรดับความกระหายด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีการปรุงแต่งกลิ่น สี รสหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ แต่ควรดื่มน้ำสะอาดแทน และควรลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ให้น้อยลงในแต่ละวัน เพื่อลดการขับน้ำออกจากร่างกายให้น้อยลง

3.ทาครีมบำรุงริมฝีปาก

หลายคนเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้ง มักจะทำการเลียริมฝีปากเพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แต่การเลียริมฝีปากจะทำให้ปากชุ่มชื้นได้เพียงช่วงสั้น ๆ แต่กลับจะทำให้ริมฝีปากแห้งได้ในระยะยาว ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งเกิดขึ้นให้ทาครีมบำรุงที่ออกแบบมาเพื่อรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากโดยเฉพาะ เช่น ลิปบาล์ม ( Lip balm ) ออยล์ ( Oil ) น้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติ ( Natural Oils ) ปิโตรเลียมเจล ( Petroleum jelly ) ขี้ผึ้ง ( Beeswax ) เป็นประจำทุกวัน ครีมบำรุงเหล่านี้จะเข้ามาลดการสูญเสียน้ำที่บริเวณริมฝีปากและช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังที่บริเวณริมฝีปาก จึงช่วยลดภาวะริมฝีปากแห้งได้เป็นอย่างดี 

4.หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง

ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีลมพักแรงและแสงแดดจัด เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง ยิ่งสายลมและแสงแดดในช่วงฤดูหนาวที่อากาศมีความชื้นน้อยมาก จะยิ่งทำให้ริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นจนทำให้ริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุยได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในสภาพอากาศดังกล่าวให้ทาปากด้วยครีมบำรุงริมฝีปากที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและมีส่วนผสมที่สามารถกันแดดเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากได้

5.การรับประทานอาหาร

ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินตามธรรมชาติสูง โดยเฉพาะวิตามินบีและวิตามินเอที่มีส่วนในการเสริมสร้างเคราติน ( Keratin ) ที่มีหน้าที่ในการลดอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่อยู่ในแสงแดดและช่วยลดการการระเหยของน้ำจากผิวหนังที่บริเวณริมฝีปาก เช่น ธัญพืชไม่ขัดขาวอย่าง ข้าวกล้อง ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี คะน้า และถั่วเปลือกแข็ง เช่น พวกเมล็ดอัลมอนด์ ถั่วลิสง มะม่วงหิมพานต์ พีแคน รวมถึงปลาแซลมอน ไข่ไก่ มะม่วง สัปปะรด กีวี ลูกพืช บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตอเบอร์รี ผักปวยเล้ง และเนื้อไก่ ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและน้ำอยู่ในปริมาณที่สูง วิตามินและแร่ธาตุที่ได้รับจากอาหารจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบการสร้างเคราตินให้มีการสร้างเซลล์เคราตินที่ทำให้มีเซลล์ผิวที่บริเวณริมฝีปากมีความแข็งแรง สามารถรักษาความชุ่มชื้นภายในเซลล์และลดการสูญเสียน้ำของเซลล์ให้น้อยลง และยังช่วยให้ร่างกายแข็งลดความเสี่ยงในติดเชื้อที่บริเวณต่อมน้ำลาย ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตน้ำลายเกิดขึ้นน้อยลงได้อีกด้วย

6.เปลี่ยนยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก

ควรเลือกใช้ยาสีฟันมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ในสัดส่วน 1,350 -1,500 ppm และควรเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ผสมอยู่ เพื่อลดการสูญเสียความชุมชื้นของริมฝีปาก เนื่องจากการได้รับปริมาณฟลูออไรด์และแอลกอฮอล์ที่บริเวณริมฝีปากที่มากเกินไป

จะเห็นว่าการรักษาและป้องกันไม่ให้ริมฝีปากแห้งนั้น สามารถทำการรักษาและป้องกันได้ด้วยตนเองเพียงแค่ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างผักและผลไม้มาก ๆ ลดการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใช้ครีมทาบำรุงริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง อาการริมฝีปากแห้งก็จะสามารถหายไปได้เองในระยะเวลาอันสั้น เพียงเท่านี้เราก็สามรรถเปลี่ยนริมฝีปากที่แห้ง แตก ลอกเป็นขุยที่น่ารังเกียจให้กลายเป็นริมฝีปากที่ชุ่มชื้น เปล่งปลั่งน่ามองอยู่กับตัวเราไปตลอดได้แล้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Bork, Konrad (1996). Diseases of the oral mucosa and the lips (English ed.). Philadelphia, Pa. [u.a.]: Saunders. p. 10. ISBN 9780721640396.

Cohen, Bernard A. (2013). Pediatric Dermatology (Fourth ed.). Elsevier Health Sciences. p. Chapter 9.2. ISBN 9781455737956.

Archived March 20, 2012, at the Wayback Machine.
“Journal of the American Academy of Dermatology”, Volume 56, Issue 2, Pages AB94 – AB94

เมคอัพคอนเซ็ปต์ สวยสั่งได้

0
เมคอัพคอนเซ็ปต์ สวยสั่งได้
เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและผิวที่มีปัญหาและช่วยให้บุคลิกภาพชัดเจนขึ้น
เมคอัพคอนเซ็ปต์ สวยสั่งได้
เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและผิวที่มีปัญหาและช่วยให้บุคลิกภาพชัดเจนขึ้น

เมคอัพ

ผู้หญิงเปรียบเสมือนเพชรที่รอการเจียรนัย และ เมคอัพ มีส่วนช่วยให้ผู้หญิงเปล่งประกายเจิดจรัส เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้าอย่าง รอยแดงจากสิว รอยหมองคล้ำใต้ตา หรือผิวที่มีปัญหา ช่วยให้เห็นความแตกต่างของบุคลิกภาพชัดเจนและโดดเด่นและช่วยสะท้อนความเป็นตัวตนได้อีกด้วย

เมคอัพสไตล์สาวฝรั่ง

ช่วงนี้การแต่งหน้าสไตล์ฝรั่งกำลังฮิตในหมู่ชาวไทยและชาวเอเชียเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นผิวสีไหนก็สามารถเนรมิตให้เป็นวัยรุ่นฝรั่งได้ง่ายๆ
1.ทาเซรั่มหรือครีมบำรุงที่ใช้เป็นประจำให้ทั่วใบหน้า
2.ทาไพรเมอร์เพื่อพรางรูขุมขนและทำให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้น
3.ลงรองพื้นหรือcushion สีเข้มกว่าผิวหน้า 1-2 เบอร์เพื่อให้ได้สีแทนตามแบบฝรั่ง แนะนำให้ใช้เป็นแบบเนื้อแมทเพื่อให้ได้ลุคเรียบเนียนและไม่เหนอะหนะ
4.คอนทัวร์ ใช้สีบรอนเซอร์ที่ไม่หลอกตาหรือหลอกตาจากสีผิวมากเกิน โดยเน้นโทนสีน้ำตาลส้มคอนทัวร์ให้ทั่วบริเวณกรอบหน้า แก้มส่วนล่างและสันจมูก เพื่อให้มีโครงหน้าคม เรียวและมีมิติ
5.ใช้ดินสอเขียนคิ้วให้โก่งและเส้นบาง แต่เส้นคมชัด หางคิ้วไม่ยกสูงเกินไป
6. ใช้คอนซีลเลอร์เก็บรายละเอียดและไฮไลท์โหนกคิ้วเพื่อเพิ่มแสง
7.ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มคัดเบ้าตาให้ฟุ้ง และกรีดอายไลเนอร์เส้นหนาที่ขอบตาด้านบนตวัดหางเล็กน้อย
8.จากนั้นปัดมาสคาร่า และต่อขนตาเพื่อให้ดวงตาดูกลมโตและโดดเด่น
9.ปัดแก้มโดยเน้นสีโทนธรรมชาติ เช่นสีนู้ดชมพู และสีพีชเบาๆบริเวณโหนกแก้มด้านบน
10.ไฮไลท์ให้ใช้แบบโกลวๆ ฉ่ำๆแผนเนื้อชิมเมอร์กากเพชร จะช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพดี ไม่หลอกตา โดยเน้นบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง กระจับปากด้านบน และสันจมูก
11.ลิปสติกให้ใช้แบบเนื้อแมทสีนู้ดโทนน้ำตาล ชมพู และส้ม เพื่อให้ติดได้ทนนาน
12.คอนแทคเลนส์ที่ใช้ให้เน้นสีน้ำตาลอ่อน สีเทาเข้ม หรือฟ้าอมเทาตามธรรมชาติของสีตาสาวยุโรป-อเมริกา เพื่อให้ดวงตากลมโต สดใส และดูน่าสนใจ

เมคอัพมีระดับด้วยสีประกายทอง

เวลาออกมาช้อปปิ้งไม่ใช่แค่ต้องเขียนรายการสั่งของที่ต้องซื้ออย่างละเอียดเท่านั้น แต่การสร้างเมคอัพสไตล์นักช้อปที่ดูชาญฉลาดและสุภาพเพื่อให้เจ้าของร้านต้อนรับและดูแลอย่างดีก็ถือเป็นเรื่องจำเป็น สีทองที่เข้ากับผิวอย่างเป็นธรรมชาติและให้ความโออ่าสง่างามอย่างพอดีนั้นเป็นสีที่เหมาะที่สุดสำหรับนักช้อปตัวยงซื้อมีสไตล์เป็นของตัวเอง

1.ทาอายแชโดว์ชนิดครีมสีทองบรอนซ์อ่อนๆให้ทั่วเปลือกตา
2.ทำกราเดชั่นด้วยการทาอายแชโดว์สีน้ำตาลบรอนซ์ทับบังบังอีกที
3.ใช้แปรงปลายฟองน้ำทาอายแชโดว์สีทองประกายมุกบนและใต้ดวงตาให้เชื่อมต่อกัน
4.เขียนขอบตาด้วยดินสอ 2 ชนิด ขั้นแรกค่อยๆเขียนขอบตาด้านในด้วยอายไลเนอร์ชนิดดินสอสีดำ จากนั้นก็ทำกราเดชั่นและเขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำตาลทองแดง
5.ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีทองเขียนขอบตาล่างด้านใน ทำให้ดวงตาดูลึก และให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากสโมกกี้อาย
6.ดัดขนตาให้โค้งงอนแล้วปัดมาสคารา
7.ใช้แปรงด้ามใหญ่ทาแป้งเฉดดิ้งทำคอนทัวร์บนใบหน้า
8.ทาลิปกลอสโทนสีนู้ดสร้างความละเอียดอ่อน

ถึงแม้เมคอัพสีทองและสีน้ำตาลบรอนจะไม่ฉูดฉาด แต่ก็สามารถสร้างความสง่างามที่ดูหรูหราได้ระดับ เทรดดิ้งที่คอนทัวร์บนใบหน้าดูมีชีวิตชีวา

เมคอัพคอนเซ็ปต์ตุ๊กตาบาร์บี้แสนน่ารัก

เมื่อเห็นตุ๊กตาบาร์บี้ทีไรก็นึกถึงสีชมพู สีชมพูเป็นสีที่ใกล้ชิดและสนิทสนมกับสาวๆที่สุด แต่ปัญหาคือจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ดูเหมือนเด็กน้อยเกินไป ลองแต่งรูปน่ารักๆที่ดูละเอียดอ่อนด้วยการเล่นโทนสีชมพูหลากหลายที่ให้ทั้งความรู้สึกอ่อนโยนและเก๋ไก๋
1.ทาอายแชโดว์สีชมพูอ่อนให้ทั่วเปลือกตาเป็นบริเวณกว้าง
2.ทาอายแชโดว์สีลาเวนเดอร์ที่มีสปาร์คลิ่งละเอียดเล็กผสมอยู่จนถึงบริเวณเส้นตาสองชั้น
3.เขียนขอบตาด้วยดินสอสีม่วงอ่อนไลแล็ก
4.เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดลิควิดให้ดูคม
5.เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอสีชมพูขาว

6.ทาอายไลน์เนอร์ชนิดลิควิดที่มีกลิตเตอร์ที่ขอบตาล่าง
7.ดัดขนตาแล้วปัดมาสคาร่าถ้าปัดตรงกลางให้มากหน่อยจะทำให้ดวงตาดูกลมโตน่ารัก
8.ถ้าบัตรออนสีเบบี้พิ้งค์ที่โซนแอ๊ปเปิ้ลให้เป็นวงกลม
9.ทาลิปสติกแบบเต็มๆที่ด้านในของริมฝีปากแล้วใช้นิ้วเบลนด์ให้ทั่ว ทำอย่างนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูเป็นธรรมชาติ

การแต่งหน้าแบบนี้ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายๆของสีชมพูมากกว่าหวานอบอุ่น สีลาเวนเดอร์ที่มีสีม่วงจะปนอยู่เข้ากันได้ดีกับสีชมพูอ่อน ดังนั้นแม้จะทำให้ดูร่าเริงและมีชีวิตชีวา แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกแบบนีออน ถือเป็นตัวเลือกที่มีรสนิยมสำหรับคนที่ชื่นชอบสีชมพูในหน้าร้อน

เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและผิวที่มีปัญหาและช่วยให้บุคลิกภาพชัดเจนขึ้น

เมคอัพสวย 360 องศา ใต้แสงไฟ

วันที่ไปคลับต้องแต่งหน้าให้สุดเหวี่ยงถึงจะทำให้คนตะลึงแตกต่างจากเดิม 360 องศา เวลาที่ต้องการจะจัดภายใต้แสงไฟอ่านเรื่องสไตล์การแต่งหน้าสีสันฉูดฉาด แต่ความเป็นจริงแล้วการแต่งหน้าแรงๆที่รูระยิบระยับแพรวพราวนั้นถึงจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่เสมอไป คุณต้องหาสไตล์การแต่งหน้าที่ช่วยเผยเอกลักษณ์และเข้ากับแฟชั่นได้อย่างลงตัว
1.หลังจากลงเมคอัพเบส ใช้แปรงทาแป้งชิมเมอร์ประกายมุกละเอียดให้ทั่วใบหน้า
2.ทาอายแชโดว์มุกสีบลูเกรย์ให้ทั่วเปลือกตา ถ้าต่อลงมาถึงขอบตาล่าง เวลาทาอายแชโดว์สีเข้มต้องใช้แปรงปลายฟองน้ำจึงจะทาแล้วดูคมชัดสะอาดตา
3.ใช้อายแชโดว์สีดีปเกรย์ทำกราเดชั่นใต้เส้นขอบตาสองชั้น หากทาอายแชโดว์มุกแบบทูโทนเวลาที่แสงไฟตกกระทบสีของอายแชโดว์จะเปลี่ยนแปลงไป ดูลึกลับน่าค้นหา
4.ใช้อายไลเนอร์ชนิดลิคขวิดสีดำเขียนขอบตา สีดำเขียนขอบตาโดยเขียนให้เชื่อมกับขอบตาล่างและเขียนให้ดูคม
5.หากทาชิมเมอร์ไลเนอร์ที่ขอบตาล่าง ทุกครั้งที่กระพริบตาจะดูระยิบระยับ ให้ทาอายไลเนอร์ผสมชิมเมอร์ที่ขอบตาบนและล่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะช่วยให้ดูโดดเด่นใต้แสงไฟ
6.ติดขนตาปลอมให้ขนตาดูยาวและหนากว่าปกติ โดยติดเพียงครึ่งไปของความยาวเปลือกตา หรือไม่ก็ตัดขนตาปลอมออกเป็น 2-3 ส่วน และติดเป็นจุดจุดไปจะดูสวยกว่า
7.เฉดดิ้งให้ใบหน้าดูคม 
8.ทาลิปสติกสีนู้ด เพื่อให้เมคอัพดูพอเหมาะกำลังดีไม่มากจนเกินไป

เมคอัพสไตล์มาดแมน ลุยๆ

แต่งรูปแมนๆด้วยสีโมโนโทน หลีกเลี่ยงสีสันให้มากที่สุด และแรเงาบนใบหน้าเล็กน้อย โดยเน้นเฉพาะคิ้ว จะทำให้ดูทันสมัยและเก๋ไก๋ การผสมผสานชั้นเยี่ยมระหว่างสีโทนเย็นและเฉดดิ้งคมๆจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของสาวทำงานที่เปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
1.ทาคิ้วด้วยอายโบรแชโดว์สีน้ำตาล แล้วใช้ดินสอเขียนคิ้วสีเดียวกันเขียนทับให้ดูเป็นธรรมชาติ
2.ทาอายแชโดว์สีน้ำตาลเบจเนื้อแมตต์ห้ทั่ว จากนั้นทาอายแชโดว์สีเบจอ่อนๆบริเวณใต้โหนกคิ้ว ทำให้ดูสะอาดตา
3.ใช้ดินสอสีน้ำตาลเข้มเขียนขอบตาบนให้ดูเป็นธรรมชาติและเขียนขอบตาล่างให้เชื่อมต่อกัน ทำกราเดชั่นด้วยการทาอายแชโดว์สีน้ำตาลทองแดงบนเส้นอายไลเนอร์บางๆ
4.ปัดมาสคาร่าสีน้ำตาลดำ แล้วใช้นิ้วดัดขนตาให้งอนขึ้น
5.ใช้แป้งเฉดดิ้งสีแซนด์เบจ เน้นโครงหน้าให้คมชัด ปัดแก้มขึ้นไปตามแนวทแยง
6.ทาลิปสติกโทนสีนู้ด พยายามลดสีแดงธรรมชาติของสีริมฝีปากดั้งเดิมให้มากที่สุด หากทาลิปสติกสีนู้ดไม่ผสมมุกจะสร้างจุดเด่นให้คิ้ว และจะทำให้ดูเป็นผู้หญิงชิคๆที่รู้จักสร้างสมดุลบนใบหน้า

เมคอัพกับคืนดินเนอร์สุดหรู

ลุคปาร์ตี้มื้อเย็น มันต้องเผยให้เห็นความระยิบระยับหรูหรามีระดับ จึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคการแต่งหน้าขั้นสูง นอกจากนั้นควรมีทัศนคติเชิงบวกที่เข้ากับการแต่งหน้าและเสื้อผ้าที่สง่างาม

1.ใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนให้บางและประณีต นอกจากจะทำให้ดูฉลาดแล้ว ยังให้ความรู้สึกของเทรนด์เรโทรอีกด้วย
2.ใช้ปลายนิ้วทาครีมแชโดว์มุกสีเทาแล้วแต้มบนเปลือกตาให้ทั่ว
3.ทาอายแชโดว์เพิ่ม ใช้อายแชโดว์แบบผงที่ผสมระหว่างสีเทา สีม่วง และประกายของโอปอจนส่องประกายแปลกตา ทาบางๆที่ขอบตาล่างด้วย   
4.เขียนขอบตาด้วยดินสอสีเทา
5.เน้นดวงตาให้คมชัดด้วยอายไลเนอร์ผสมชิมเมอร์แบบลิควิดสีดำสปาร์เคิล เวลากระพริบตาจะทำให้ดวงตาระยิบระยับ ดูสง่างามและมีเสน่ห์
6.ทำกาเรชั่นโดยทาอายแชโดว์สีเทาเข้มที่บริเวณหางตา ทำให้ดวงตาดูลึก
7.เขียนขอบตาล่างทับแนวขนตาด้วยอายไลเนอร์ดินสอสีเทาประกายมุก ดัดขนตาให้โค้งงอนและปัดมาสคารา
8.ทาบลัชออนสีชมพูกุหลาบบางๆที่สวนแอปเปิ้ล ถ้าไฮไลท์ประกายมุกละเอียดที่โซน T และโซน C
9.ทาลิปกลอสสีชมพูให้ริมฝีปากดูเรียบเนียน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559

แต่งหน้าในวันพิเศษๆ

0
แต่งหน้าในวันพิเศษๆ
การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับผู้หญิงที่ยากจะแยกออกจากันได้ ซึ่งความสวยงามจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีและเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น
แต่งหน้าในวันพิเศษๆ
การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับผู้หญิงที่ยากจะแยกออกจากันได้ ซึ่งความสวยงามจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีและเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น

การแต่งหน้า

เทรนด์ การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่ผู้หญิงอย่างเราต้องตามเทรนด์ให้ทัน เพราะผู้หญิงกับความสวยงามเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้จริงๆ ถึงแม้วว่าจะเป็นคนที่ไม่สนใจเครื่องสนใจเครื่องสำอางเลยก็ยังต้องมีอย่างน้อยซักชนิดบนใบหน้า ซึ่งยิ่งเป็นวันพิเศษหรือโอกาสที่ต้องไปพบผู้คนมากหน้าก็ต้องแต่ให้ดูดีและเหมาะสมกับวันสำคัญนั้นๆด้วยนะคะ และจะขอเสนอแนวทางการแต่งหน้าให้ทุกคนไปปรับใช้ตามความต้องการและโอกาสกันค่ะ

การแต่งหน้าในวันพิเศษๆ

สวยใสไม่แย่งซีนเจ้าสาว

งานแต่งของเพื่อนถือเป็นอีเวนต์ที่ต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ภายนอกมากที่สุด แม้ว่าในวันนั้นคู่บ่าวสาวจะเป็นตัวเอกของงานก็ตาม แต่ความสนใจของหนุ่มสาวโสดที่มาร่วมงานนั้นอยู่ที่อื่น บางทีลึกๆในใจเพื่อนเจ้าสาวเองก็อยากได้รับความสนใจมากกว่าตัวเจ้าสาวเสียด้วยซ้ำ ในโอกาสนี้หัวใจอยู่ที่การสร้างโลกซึ่งดูอ่อนโยนและเรียบง่ายแทนสไตล์ที่ดูเยอะจนเกินไป
1. ทาแป้งตลับให้ทั่วใบหน้าจนไม่เหลือบริเวณที่มีความมันวาว
2. แต่งคิ้วให้เรียบร้อย แล้วทาอายแชโดว์โทนสีพาสเทลลงบนเปลือกตาให้ทั่ว ทาทาบริเวณใต้โหนกคิ้วด้วยอายแชโดว์โทนสีสว่างขึ้นมาหน่อยจะทำให้คิ้วดูโดดเด่นสะอาดตา
3. เขียนขอบตาให้ชัดด้วยอายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีเนวีบลู อายไลเนอร์สีนี้ให้ความรู้สึกสว่างสดใสและงดงาม
4. ดัดขนตาให้งอนขึ้นแล้วปัดมาสคาร่าสีดำชนิดที่ช่วยเพิ่มความยาวขนตา
5. ถ้าบลัชออนสีชมพูธรรมชาติประกายมุกบริเวณสวนแอปเปิ้ล
6. ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอแต่งบริเวณรอบรอบริมฝีปากให้ดูสะอาด เหยียดริมฝีปากเพื่อทำรอยหยักรูปหัวใจกลางริมฝีปาก และทาลิปสติกสีชมพู จะช่วยให้ดูสดใส

สวยมั่นในวันที่ต้องดึงดูดความสนใจในที่ประชุม

ผู้นำเสนองานที่ต้องดึงดูดความสนใจผู้ฟังด้วยวาทะศิลป์อันน่าประทับใจ แต่สิ่งที่ต้องใส่ใจมากพอพอๆกับการเตรียมเอกสารนำเสนอคือ การแต่งหน้าที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ด้านสติปัญญาและความมั่นใจของคุณให้ดูโดดเด่นขึ้น การใช้สีโทนกลางๆที่ดูสงบและสบายสบายแทนสีฉูดฉาดนั้นเป็นตัวเลือกที่ดี
1. เขียนคิ้วด้วยสีที่ใกล้เคียงกลับสีผมหรือสีตา หากรูปคิ้วบางหรือดูโย่ๆแค่ทำให้รูปคิ้วตรงหรือเป็นเหลี่ยมมุมก็จะทำให้ดูเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ
2. ทาอายแชโดว์สีเพอร์เพิลบราวน์อ่อนๆ บนเปลือกตาแล้วไฮไลท์บริเวณโหนกคิ้วด้วยสีชมพูซีดประกายมุก
3. ใช้ดินสอ 2 สีเขียนขอบตาให้เป็นเส้นหนา เติมพื้นที่ระหว่างขนตาด้วยดินสอสีดำ แล้วใช้ดินสอสีเทาเขียนทับอีกที การเขียนตาสองสีทำให้ดูเป็นธรรมชาติและประณีตกว่าการเขียนด้วยดินสอชนิดเดียว
4. ใช้อายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีน้ำเงินเข้มวาดเส้นบางๆให้ติดกับแนวขนตา
5. ทาบลัชออนสีน้ำตาลพีช ถ้าปัดไปตามแนวทแยงที่โซนแอปเปิ้ลจะทำให้ภาพลักษณ์ดูสดใสมีชีวิตชีวา
6. ทาลิปสติกสีน้ำตาลพีชประกายมุกละเอียด เพื่อทำให้ริมฝีปากดูสงบเย็นและมีมิติในเวลาเดียวกัน

สวยหวานโรแมนติกในวันออกเดต

ความประทับใจครั้งแรกก็ไม่สำคัญเท่าเวลาไปนัดบอด ว่ากันว่าผู้ชายจะตกหลุมรักผู้หญิงภายใน 3 วินาที มาลองมัดใจฝ่ายตรงข้ามให้อยู่หมัดด้วยสายตาที่อ่อนโยนและการแต่งหน้าสไตล์โรแมนติก จำไว้ว่าภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิงสามารถดึงดูดใจใช้ได้มากกว่าภาพลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่งและปราดเปรียว
1. แต่งตาให้สดใสน่ารักด้วยการทาอายแชโดว์สีลาเวนเดอร์นุ่มนวลอย่างเบาบางทั้งบนและใต้ดวงตา
2. ปัดมาสคาร่าและติดขนตาปลอม เลือกขนตาปลอมที่ยาวกว่าขนตาธรรมชาติเล็กน้อย ตาเท่านั้น ถ้าตัดขนตาปลอมออกเป็น 2 ถึง 3 ส่วนแล้วติดให้แนบกับคนตา หรือไม่ก็ติดบริเวณหางตาเท่านั้น จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติเหมือนคนตาตัวเองจริงๆ
3. ทาอายไลน์เนอร์ชนิดลิควิดผสมชิมเมอร์อย่างบางเบาที่ขอบตาล่าง เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ทุกครั้งที่กระพริบตาจะดูเป็นประกายมีเสน่ห์ เวลาที่ต้องการให้ดูมีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ให้เลือกอายไลเนอร์ใสไร้สีและมีชิมเมอร์ หลีกเลี่ยงชนิดที่ระยิบระยับมากเกินไป
4. ถ้าบลัชออนสีชมพูบริเวณสวนแอปเปิ้ลเพื่อให้แก้มดูสดใส
5. ไฮไลท์บริเวณโซน T โซน T และโซนสามเหลี่ยมเพื่อให้ภาพรวมดูน่ารัก
6. ทาลิปกลอสสีชมพูอ่อนเพื่อให้ริมฝีปากดูแวววาวและมีน้ำมีนวล

การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับผู้หญิงที่ยากจะแยกออกจากันได้ ซึ่งความสวยงามจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีและเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น

แต่งหน้าสวยเด่นเมื่อถ่ายรูปติดบัตร

สามารถแก้ไขจุดบกพร่องที่ไม่น่าพึงพอใจได้ด้วยโปรแกรมโฟโต้ช็อปได้ แต่ถ้าถ่ายรูปโดยไม่แต่งหน้าเลยแม้แต่น้อย ก็รับประกันไม่ได้ว่ารูปที่ออกมาจะน่าพึงพอใจหรือเปล่า โดยเฉพาะรูปถ่ายที่ใช้ติดใบสมัครงานต้องใส่ใจภาพลักษณ์ที่ออกมาเป็นพิเศษ ยิ่งการถ่ายรูปทำให้เห็นข้อบกพร่องของโครงหน้าหรือใบหน้าที่ไม่สมมาตรเด่นขึ้นมามากเท่าไหร่ การแต่งหน้าเพื่อปกปิดจุดบกพร่องให้มากที่สุดและทำให้ตาหูจมูกปากดูโดดเด่นขึ้นก็ยิ่งสำคัญมากเท่านั้น

1. แต่งตาให้คมด้วยอายไลเนอร์แบบแปรงสีดำ สิ่งสำคัญคือการวาดคิ้วทั้งสองข้างให้เท่ากัน
2. ทาโน้ตแชโดว์โทนสีเบจบริเวณหัวตาและดั้งจมูกเพื่อช่วยให้ดั้งจมูกดูโด่ง
3. ใช้แป้งคอนทัวร์จัดการกับหน้าผากและแนวผม
4. ใช้แปรงเฉดดิ้งบริเวณโหนกแก้มและคาง ลองทำหน้ารูปตัววีแบบคมๆ
5. ทาบลัชออนสีชมพูที่แก้มให้ดูมีชีวิตชีวา
6. ไฮไลท์บริเวณโซน T และใต้ดวงตา เพื่อทำให้ใบหน้าดูสว่างสดใสและดูมีมิติอย่างเป็นธรรมชาติ
7. ถ้าลิปสติกสีพีชโทนเย็นให้ริมฝีปากชุ่มชื้นและเรียบเนียน

สวยใสๆแบบธรรมชาติในวันสำเร็จการศึกษา

วันรับปริญญา ถือเป็นหนึ่งวันสำคัญที่สาวๆ ขอสวยมั่นใจให้ถึงที่สุด เป๊ะทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ซึ่งโอกาสสำคัญแบบนี้ก็ต้องมีการถ่ายภาพความทรงจำเก็บไว้
1. ลงครีมแดดเลือกที่ SPFสูงกว่า35pa+++ จากนั้นใช้เป็นไพร์เมอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยเบลอรูขุมขนและทำให้เมคอัพติดทนยาวนานกว่าเดิม
2. ลงรองพื้นโดยเลือกสีที่ตรงกับสีผิวซึ่งถ้าเป็นคนที่หน้าขาวกว่าคอ ให้เลือกเบอร์ที่เข้มกว่าผิวหน้า1ระดับ เพื่อให้เสมอกับผิวตัว
3. ใช้คอนซิลเลอร์สีสว่างกว่าผิว1ระดับ ปกปิดรอยดำ รอยสิว รอยแดง หรือรอยคล้ำใต้ตา
4. เก็บกรอบหน้าด้วยการคอนทัวร์เนื้อครีมให้ทั่วกรอบหน้า และปีกจมูก เพื่อให้ดูมีดั้งพุ่ง
5. เพื่อความติดทนนานของสีแก้มจะใช้เป็นครีมบลัชในการทาไปที่พวงแก้ม ซึ่งให้เลือกใช้โทนสีที่ดูสุภาพ เช่นสีส้มนม
6. ทาทับด้วยแป้งพัฟผสมรองพื้น เพื่อให้เมคอัพติดแน่น
7. คอนทัวกรอบหน้าและปีกจมูกด้วยบรอนเซอร์แบบฝุ่น ซึ่งให้เลือกใช้ที่เป็นเนื้อแมท เพื่อความสุภาพ
8. เขียนคิ้วด้วยผลิตภัณฑ์เขียนคื้วแบบเจลเพื่อความติดทนนาน ข้อควรระวังคือ พยายามอย่าเขียนทรงคิ้วหนา ทู่ ตรง หรือโก่งจนเกินไป และอย่าเขียนคิ้วสีน้ำตาลอ่อน
9. แต่งตาด้วยการลงไพร์เมอร์ตา หรือใช้เป็นอายแชร์โดวเนื้อลิควิดแบบมีสี เพื่อให้สีอายแชร์โดวแบบฝุ่นติดทนนานและสีชัดสวยขึ้น

10. โทนการแต่งตา พยายามเลือกโทนสีน้ำตาล หรือทอง เพราะเป็นโทนสีที่สุภาพ และคัดเบ้าด้วยสีน้ำตาลเข้ม
11. เพิ่มความโดดเด่นของดวงตาด้วยอายแชร์โดวสีทองเนื้อชิมเมอร์ละเอียด ทาลงบริเวณกลางตา เพื่อเชื่อมต่อสีของเบสเปลือกตาและที่คัดเบ้าตา
12. เกลี่ยสีให้สวยงามด้วยแปรงสะอาดๆ เพื่อให้สีกลืนกัน และปัดมาสคาร่าเพิ่มความหนา ที่สำคัญพยายามเลือกแบบกันน้ำ
13. กรีดไลนเนอร์เส้นบางๆตามรูปตา
14. ล๊อคสีแก้มที่ลงด้วยครีมบลัชให้ติดทนนานด้วยการลงที่ปัดแก้มแบบฝุ่นทับซึ่งแนะนำให้เลือกโทนสีส้ม หรือพีช เพื่อให้ลุคดูสุภาพ
15. สีปากให้ลงTint ก่อน และตามด้วยลิปสติคสีนู้ดชมพู

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

แต่งตาอย่างไรให้ดูสวยดึงดูดใจ

0
แต่งตาอย่างไรให้ดูสวยดึงดูดใจ
ดวงตา คือสื่อที่แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆกับผู้ที่สบตาด้วยได้ ซึ่งถ้าดวงตาสวยก็จะทำให้ยิ่งน่าดึงดูดใจ
แต่งตาอย่างไรให้ดูสวยดึงดูดใจ
ดวงตา คือสื่อที่แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆกับผู้ที่สบตาด้วยได้ ซึ่งถ้าดวงตาสวยก็จะทำให้ยิ่งน่าดึงดูดใจ

ดวงตา

ดวงตา คือสื่อที่แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ซึ่งถ้าดวงตาสวยและดูเด่นก็จะสามารถทำให้ผู้ที่สบตารับรู้ความรูสึกได้ การเปลี่ยนสีสันหรือสไตล์การเขียนขอบตาก็สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของคุณได้ หากมองให้ลึกลงไปถึงลักษณะของดวงตา และเลือกที่จะทำอายเมคอัพเพื่อสร้างความแตกต่างให้ดวงตาแล้ว ความมั่นใจก็จะเกิดขึ้น มุมมองจะเปลี่ยนแปลงไป แม้กระทั่งรูปร่างของคุณก็จะดูแตกต่างออกไปด้วย ยิ่งเป็นคนที่ดวงตาแบนและไร้มิติมากเท่าไร ประสิทธิภาพของอายเมคอัพก็จะน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น แค่มีอายแชโดว์และอายไลเนอร์เพียงไม่กี่ชิ้น กับมาสคารา ก็สามารถเผยเสน่ห์ในแบบที่ตัวคุณเองไม่เคยรู้มาก่อน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สิ่งสำคัญที่ต้องมีสำหรับอายเมคอัพ

มาสคาราคิ้ว
ทำให้ขนคิ้วเรียงตัวสวย ดูหนาและช่วยรักษารูปคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่คิ้วหนาอยู่แล้วแค่มีมาสคาร่าปัดคิ้วก็ทำให้คิ้วดูสวยงามเป็นระเบียบได้

อายโบรว์แชโดว์
( ที่เขียนคิ้วชนิดฝุ่น) และ แปรง เป็นแชโดว์ที่ใช้สำหรับคิ้วโดยเฉพาะ อายโบรว์แชโดว์ช่วยแต่งคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติได้มากกว่าดินสอเขียนคิ้ว ดังนั้นเวลาทาอายโบรว์แชโดว์จำเป็นต้องใช้แปรงขนหนาและสั้น

    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กรรไกรแต่งคิ้ว
เพื่อตัดแต่งคิ้วให้ดูสวยเป็นทรง ควรใช้กรรไกรที่ไม่บางเกินไปหรือมีปลายแหลมคม ควรใช้กรรไกรที่ไม่โค้งและแบนเรียบสม่ำเสมอ

ที่ดัดขนตา
ใช้ดัดขนตาให้โค้งงอนเข้ากับลักษณะของดวงตาโดยไม่ใช้ขนตาปลอม และไม่ทำให้ดวงตาระคายเคือง สำหรับคนดวงตาโปนมักจะใช้ที่ดัดขนตาแบบโค้งใหญ่ สำหรับดวงตาสั้นหรือชี้ขึ้น (หรือชี้ลง) ให้ใช้ที่ดัดขนตาอันเล็กดัดขนตาเป็นส่วนๆไป

มีดกันคิ้ว
เป็นใบมีดโกนที่ใช้สำหรับแต่งคิ้วโดยเฉพาะ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยที่สุดโดยไม่ทำให้ผิวหนังบาดเจ็บหรือระคายเคือง

ที่แปรงคิ้วและแปรงหัวเกลียว
ขนที่แปรงคิ้วจะสั้นและแข็งและเอียง ไว้ใช้สร้างมิติให้กับคิ้ว วัสดุที่ใช้จะเป็นขนสังเคราะห์และขนธรรมชาติ เพื่อตกแต่งคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ และใช้แปรงหัวเกลียวจัดแต่ทรงให้เข้ารูป

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดินสอเขียนคิ้ว
ควรลงดินสอบริเวณกรอบคิ้วก่อนแล้วจึงใช้แปรงปัดให้เนื้อของดินสอกระจายออกทั่วคิ้วจะทำให้คิ้วดูเป็นธรรมชาติและไม่แข็งทื่อ ที่สำคัญควรเลือกสีให้เข้ากับสีผมของตัวเอง ข้อดีคือติดทนนาน เหมาะสำหรับเวลาที่ต้องแต่งหน้าเพิ่มเติมหรือบริเวณที่คิ้วมีช่องว่าง

อายแชโดว์
เครื่องสำอางค์ที่ใช้ปัดทาบนเปลือกตาใต้คิ้ว เพื่อให้เกิดมิติความลึกของตาให้ดูเด่นและมีเสน่ห์

อายไลเนอร์ชนิดเจล/ลิควิด
หากต้องการเน้นเส้นอายไลเนอร์ให้เขียนแบบเจล ใช้ง่ายและไม่เลอะ แต่ถ้าอยากได้เส้นอายไลเนอร์ที่บางและดูเป็นธรรมชาติให้เลือกแบบลิควิด

อายเบส
เป็นเบสแชโดว์สีสว่างที่ช่วยให้อายแชโดว์มีเนื้อสีแน่นและติดทนนาน จำเป็นสำหรับคนที่รอบดวงตาดำคล้ำ ควรเลือกสีที่สว่างกว่าสีผิวเพียงเล็กน้อยจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด หากมีดวงตาที่ดูบวมให้เลือกสีที่ใกล้เคียงกับโทนสีผิว

มาสคาราขนตา
ปัดแล้วทำให้ขนตาดูหนา และในบางครั้งก็ทำให้ขนตางอนยาวด้วย ลองเลือกใช้แปรงและมาสคาร่าชนิดต่างๆตามความยาวและความหนาของขนตา

อายไลเนอร์ชนิดดินสอ
เป็นเครื่องสำอางที่ใช้สำหรับเน้นดวงตา จะใช้เขียนบริเวณรอบรูปทรงของตาเพื่อสร้างความหลากหลายในมุมมองของดวงตาที่จะทำให้ดูโตขึ้น

สิ่งต้องทำในการเมคอัพ

1. กันคิ้วและเขียนคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ
ก่อนกันคิ้วให้สังเกตใบหน้าตัวเองอย่างละเอียด และลองดูให้ดีๆว่ารูปคิ้วแบบใดที่เข้ากับรูปหน้า เหมาะสมกลมกลืนกับหูตาจมูกปากของตัวเองที่สุด จัดการส่วนที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อรักษาลักษณะเฉพาะและความงามของรูปคิ้วดั้งเดิมของตัวเองไว้

1.1 คิ้วเปลี่ยน ภาพลักษณ์ก็เปลี่ยนตาม
พอรูปคิ้วเปลี่ยนก็เปลี่ยนอารมณ์สี่แสดงของใบหน้าไปด้วย การปรับแต่งรูปคิ้วเป็นหลักการแต่งหน้าที่สำคัญซึ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์บนใบหน้า

ใบหน้ากลม
เขียนคิ้วให้ยาวและโค้งสูงเล็กน้อย แล้วเติมคิ้วให้เข้มและกว้างพอประมาณ ถ้าไฮไลท์บริเวณโหนกคิ้วใต้ส่วนโค้งนั้นให้ดูสว่างขึ้น ช่วยให้ละสายตาจากโหนกแก้มใหญ่ๆได้

ใบหน้ายาว/ใบหน้าสามเหลี่ยม
เขียนคิ้วให้โค้งเล็กน้อยจนเกือบเป็นแนวเส้นตรงและเขียนให้หนาหน่อย หากเพิ่มระยะห่างระหว่างคิ้วทั้งสองข้างขึ้น ใบหน้ายาวๆจะดูสบายๆผ่อนคลายขึ้น

ใบหน้ารูปไข่
เขียนคิ้วให้เฉียงขึ้นเล็กน้อย ให้ตำแหน่งหัวคิ้วเริ่มจากหัวตาโดยให้เลยเข้ามาข้างหน้าเล็กน้อย ห่างคิ้วให้อยู่ที่จุดเชื่อมห่างตาและจมูก

ใบหน้าที่หางคิ้วชี้ขึ้น
ตกแต่งบริเวณส่วนโค้งของแนวคิ้วให้โค้งเป็นวงกลม

ใบหน้าที่หางคิ้วตก
ตกแต่งบริเวณหางคิ้วที่ตกลงมามากเกินไป แล้วเขียนหางคิ้วให้ชี้ขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1.2 กันคิ้วครั้งแรกในชีวิต
ถ้าหากไม่มั่นใจในการกันคิ้วครั้งแรก ให้ช่างช่วยกันคิ้วให้สมัยนี้มีร้านกันคิ้วที่ช่วยจัดคิ้วอย่างมืออาชีพ หากมีคิ้วที่ได้รูปสวยแล้ว การรักษารูปคิ้วนั้นก็ไม่ยากอะไร ให้ใช้อายโบรว์แชโดว์เขียนคิ้วให้ดูคมชัด

  • ทาสกินโทนเนอร์บริเวณผิวรอบรอบๆคิ้ว
  • สังเกตใบหน้าและรูปคิ้วของตนเองให้ดี ก่อนจะตัดสินใจว่าจะแต่งคิ้วทรงไหน
  • ใช้หวีสำหรับคิ้วหวีไปทิศทางที่ขนคิ้วงอกขึ้น บริเวณหัวคิ้วให้หวีจากล่างขึ้นบน จากตรงกลางจนถึงหางคิ้วให้หวีไปข้างๆให้เป็นระเบียบ ใช้กรรไกรเล็มขนคิ้วยาวยาวๆที่โผล่ออกมานอกหวีออก
  • ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนโครงรูปคิ้วที่ต้องการ หากใช้คอนซิลเลอร์ชนิดนี้เขียนรูปคิ้ว จะลบออกหรือเขียนใหม่ก็ทำได้ง่ายดาย
  • ใช้มีดกันคิ้วกันขนที่อยู่นอกเส้นคอนซีลเลอร์ออก กันไปตามทิศทางของขนคิ้ว
  • ฉีดมิสต์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

เหตุผล 3 ประการที่ไม่ควรใช้แหนบถอนคิ้ว

1.หากใช้แหนบเป็นระยะเวลานานจะทำให้ผิวหนังเสียความยืดหยุ่นได้ การใช้ในระยะสั้นอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่หากผิวหนังเสียความยืดหยุ่นแล้วจะไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ผิวกลับมามีสภาพอย่างเดิมได้อีก

2.บริเวณกลางหน้าผากของคุณจะเกิดริ้วรอยลึกตอนที่ทนความเจ็บปวดเวลาถอนโดยที่ไม่รู้ตัว

3.บางครั้งอาจเกิดบาดแผลหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้เวลาที่ขนคิ้วขึ้นมาใหม่ แนวขนคิ้วจะหงิกงอและเว้าแหว่งได้ง่าย

การเขียนคิ้วให้มีมิติ

1.ตกแต่งรูปคิ้ว
หวีขนคิ้วตามแนวเส้นขน แล้วใช้กรรไกรแต่งคิ้วเร็มเส้นขนที่อยู่นอกเส้นที่วาดไว้

2.ใช้อายโบรว์แชโดว์เขียนคิ้วโค้ง
ใช้แปรงขนสั้นแบนทาอายโบรว์แชโดว์ โดยเริ่มจากบริเวณที่มีเส้นขนขึ้นน้อยๆก่อน    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3.เติมช่องว่างในแนวคิ้วให้เต็ม
ใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนเติมบริเวณที่โล่งๆเป็นพิเศษ ด้วยเวลาเขียนให้แต้มเป็นจุดๆ

4.จัดระเบียบแนวขนคิ้ว
ใช้มาสคาราคิ้วแปรงไปตามทิศทางที่ขนคิ้วขึ้น จะทำให้คิ้วดูมีมิติขึ้น

2. เคล็ดลับในการเปลี่ยนลุคด้วยอายแชโดว์
ลองเปลี่ยนสีอายแชโดว์ไปตามสไตล์ในแต่ละวันเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า อายแชโดว์มีหลายแบบมากพอๆกับเสื้อผ้าเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นอายแชโดว์แบบสปาร์คลิ่ง แบบคลาสสิค หรือแบบเนื้อครีม อีกทั้งยังมีหลากหลายสีจนคิดไม่ถึง

อายเบสแต่งรูปตาให้ดูเด่นชัด
การลงอายเบสเหมือนกับการลงเมคอัพก่อนลงรองพื้น อายเบสจะช่วยให้สีของอายแชโดว์ไม่ผิดเพี้ยนไปจากสีจริง โดยเฉพาะคนที่มีดวงตาหมองคล้ำหรือกำลังอยู่ในช่วงมีประจำเดือนซึ่งทำให้เห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดกว่าปกติ หากไม่มีอายเบสอาจจะใช้อายแชโดว์สีพาสเทลแบบไม่ผสมมุก หรืออาจใช้คอนซีลเลอร์แบบลิควิดโทนสีเหลืองแทน สิ่งที่ควรระวังคือหากเลือกสีอายเบสที่มีโทนสีต่างกับอายแชโดว์อาจทำให้ดูสกปรกได้ และหากเป็นไปได้ควรเลือกสีอายเบสแบบครีม เพราะจะช่วยให้อายแชโดว์ติดทนนานมากขึ้น ซึ่งเริ่มทาอายแชโดว์จากแนวขนตาและค่อยๆเกลี่ยเข้าด้านบนเหมือนวาดรูปพระจันทร์เสี้ยว ค่อยๆเกลี่ยอายแชโดว์อย่างเบามือจนเรียบเสมอเท่ากัน
กรณีคนที่ตาหลบใน พื้นที่ระหว่างคิ้วกับดวงตาแคบ ควรเลือกใช้เบสผสมมุก ให้ทาเพียงบริเวณเบ้าตา
กรณีคนที่มีตาโปน พื้นที่ระหว่างคิ้วกับดวงตากว้าง ควรเลือกใช้เบสที่ไม่มีมันวาว และทาอายเบสลงบนเปลือกตาจนถึงบริเวณโหนกคิ้ว

การทาอายแชโดว์ให้มีมิติ

ส่วนใหญ่แล้วค่อนเอเชียมีตาสองชั้น ดังนั้นการเพิ่มมิติให้ดวงตาจะทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้น

  • ทาครีมที่สีสว่างและมีโทนสีเดียวกับอายแชโดว์ลงเป็นอายเบสให้ทั่วบริเวณเปลือกตา
  • ทาอายแชโดว์ลงบนเปลือกตาโดยเริ่มจากบริเวณแนวขนตาและค่อยๆเกลี่ยขึ้นไปช้าๆให้เป็นวงกลม
  • ลงอายแชโดว์สีสว่างบริเวณ คิ้วและหัวตา
  • ทาอายแชโดว์สีเข้มบริเวณ ⅓ ของหางตา หากทาอายแชโดว์ในแนวทแยงขึ้นไปจะทำให้ดูเป็นก้อนบริเวณโหนกคิ้วได้ จึงควรทาอายแชโดว์บริเวณหางตาโดยเขียนวนเป็นวงกลม    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3. การเลือกสีอายแชโดว์สำหรับมือใหม่
การเลือกสีอายแชโดว์นั้นเป็นเรื่องยากเสมอ กฏข้อแรกคือห้ามยึดติดกับสีดำเดิมๆ ต้องการที่จะเปิดใจลองอะไรใหม่ๆเพื่อเปลี่ยนสไตล์ของคุณ สำหรับมือใหม่ควรเริ่มต้นจากการเลือกสีที่เข้ากับสีผิวหน้าของตนเองและทำความคุ้นเคยกับสไตล์ใหม่ๆ

สีผิว

1. ผิวแดง/ผิวที่มีสิว
ควรเลือกใช้สีเทาเข้ม สีอะควาบลู สีมิ้นต์ สีลาเวนเดอร์ หรือสีโทนสดใส ถึงแม้ว่าสีผิวจะแดงก็ควรเลือกอายแชโดว์สีโทนเย็น

2. ผิวคล้ำ
ควรเน้นสีที่มีความแวววาว ไม่ว่าจะเป็นโทนสีลาเวนเดอร์หรือสีชมพู โทนสีสำหรับหน้าร้อนที่ชวนให้นึกถึงการอาบแดดอย่างสีพีช สีโกลเด้นเพิร์ล หรือสีบรอนซ์ทอง

3. ผิวขาว
ควรเลือกใช้โทนสีร้อนเพื่อเพิ่มสีสันให้ใบหน้า สีพีชอ่อน สีชมพู สีน้ำตาล หรือสีเบจ

การแต่งหน้าให้เข้ากับแว่น ก่อนเลือกกรอบแว่นต้องสังเกตตัวเองก่อนว่ามีรูปคิ้วลักษณะใด หากเป็นคนที่มีคิ้วเข้มและหนาควรหลีกเลี่ยงแว่นตากรอบหนา ในทางตรงกันข้าม หากโดยรวมแล้วไม่มีส่วนไหนที่ดูโดดเด่นควรเลือกกรอบแว่นที่ดูโดดเด่นแทน

ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นกรอบแว่นแบบไหนก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้อายแชโดว์สีสว่างสดใส สำหรับสาวแว่นนั้น แค่เพียงกรีดอายไลเนอร์ให้เสียบคอมแล้วปัดมาสคารา แต่ถ้าอยากทาอายแชโดว์ อย่าลืมดูว่ากรอบแว่นกับสีอายแชโดว์เข้ากันหรือเปล่า โดยปกติแล้วควรเลือกโทนสีธรรมชาติเท่านั้น

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สีผม
การเปลี่ยนสีผมช่วยเปลี่ยนลุคได้มากและเป็นการหาสไตล์ใหม่ๆให้ตัวเอง สีที่ไม่เคยใช้ก่อนหน้านี้อาจเป็นสีที่เข้ากับเราได้ แม้กระทั่งอายไลเนอร์ที่ไม่เคยใช้มาก่อนก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ลองเปลี่ยนสีผมและอายเมคอัพดู

  • ผมสีดำ
    หากคนผิวขาวย้อมผมสีดำจะทำให้ความรู้สึกเฉียบคมและดูถือตัว หากผมตรงและยาวไม่ว่าจะทาอายแชโดว์สีอะไรก็เข้ากันได้หมด แต่ด้วยสีผมที่เข้มอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้อายแชโดว์หลายสี เพียงแค่ทาอายแชโดว์สีเทาเป็นอายเบสแล้วเขียนอายไลเนอร์ และไม่ว่าจะเป็นอายไลเนอร์สีเทาเข้มหรือโทนสีดำโมโนโทนเพียงแมตซ์ สีอายไลเนอร์ให้เข้ากับสีคิ้วก็จะดูสวยแจ่มได้ นอกจากนั้นลิปสติกสีแดงยังเหมาะกับคนที่มีผมดำยาวตรงเป็นอย่างมาก
  • ผมสีน้ำตาลแดง
    หากคุณเป็นคนที่มีลักษณะแข็งกร้าวหรือมีสีผิวที่ค่อนข้างคล้ำเมื่อย้อมผมสีน้ำตาลประกายแดง และทำผมบ๊อบดัดหรือดัดผมซอย จะทำให้ดูเป็นคนกระตือรือร้นขึ้นมา ผมสีนี้เข้ากันได้ดีกับเมคอัพแบบธรรมชาติ และเพิ่มลูกเล่นด้วยอายแชโดว์ผสมมุก
  • ผมสีส้มทองแดง
    ผมสีนี้ช่วยให้มีภาพลักษณ์ที่ดูสดชื่นและกระตือรือร้น อีกทั้งยังเหมาะกับเสื้อผ้าสีสันสดใส ผิวสีแทน และเมคอัพสีสว่างสดใส การใช้อายแชโดว์โทนสีน้ำตาลประกายส้มรวมทั้งการกันคิ้วให้เข้ารูปจะช่วยเพิ่มดีกรีความชิคขึ้นไปอีก สีอายแชโดว์ที่เข้ากับผมสีส้มทองคือ สีนูทรัลพีช สีส้ม สีทองอ่อนๆ และสีบรอนซ์ ส่วนสีที่จะช่วยให้ดวงตาคุณสว่างสดใสคือโทนสีมิ้นและสีไอซี่บลู
  • ผมสีน้ําตาลธรรมชาติ
    เป็นสีผมยอดนิยมสำหรับคนส่วนใหญ่ การทาอายแชโดว์สีเบจหรือสีเทาอ่อนบริเวณหางตาและเขียนอายไลเนอร์สีน้ำเงินจะให้ความรู้สึกเป็นเด็กสาว ผมสีนี้เข้าได้กับอายแชโดว์หลายโทนสีที่มีประกายทอง
  • ผมสีน้ำตาลทอง
    ผมสีนี้ให้ความรู้สึกของสาวเมืองหลวงที่มีความทันสมัย ใช้อายแชโดว์สีโกลด์เมทัล หรือแต่งแบบสโมกกี้อายเพื่อเพิ่มความโดดเด่น เนื่องจากสีผมนั้นอ่อนอยู่แล้ว ดังนั้นการลงสีบริเวณดวงตาให้เด่นชัดจึงไม่มีปัญหาอะไร หากดัดผมเป็นลอนจะช่วยเพิ่มความสง่างามได้

4.เขียนอายไลเนอร์ให้คม
อายไลเนอร์นั้นมีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิดลิควิด ชนิดแปรง อายไลเนอร์เนื้อแป้งที่ต้องใช้แปรงทา อายไลเนอร์ชนิดดินสอ และเจลอายไลเนอร์

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • อายไลเนอร์ชนิดลิควิด
    เขียนให้เส้นบางและคมชัดได้ รวมทั้งเขียนตา 2 ชั้นบางๆที่หลบเข้าด้านในได้โดยไม่ไหลเลอะ จึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับมือใหม่จำเป็นต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับอายไลเนอร์ชนิดนี้ หากใช้อายไลน์เนอร์ชนิดดินสอเขียนโครงก่อนแล้วค่อยใช้ชนิดลิควิดเขียนตาม จะช่วยลดความผิดพลาดได้
  • อายไลเนอร์ชนิดดินสอ
    เป็นอายไลเนอร์ที่ใช้ง่ายสำหรับมือใหม่ ถึงจะบอกว่าเลอะง่าย แต่สมัยนี้ก็มีอายไลเนอร์ชนิดดินสอแบบกันน้ำออกวางขายมากมาย หากทาอายแชโดว์ทับจะช่วยป้องกันไม่ให้อายไลเนอร์เลอะได้ในระดับหนึ่ง
  • อายไลเนอร์เนื้อเจล/ครีม
    เป็นอายไลเนอร์ที่เลอะยากและสามารถปรับความหนาของเส้นได้ ต้องใช้แปรงชนิดพิเศษเขียนจึงค่อนข้างยุ่งยาก ถึงแม้จะไม่มีตาสองชั้นหรือไม่ได้ทาอายแชโดว์ แต่หากเน้นดวงตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดนี้แล้ว สามารถออกแบบดวงตาได้ตามที่ต้องการ
  • อายไลเนอร์ชนิดแปรง
    ผสมสารสีดำเนื้อจึงไม่ค่อยเหนียว มีคุณสมบัติที่ทาได้บางและเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ดวงตาดูคมชัด
  • อายไลเนอร์ชนิดแป้ง
    สามารถใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำแทนได้ อายไลเนอร์ชนิดนี้เหมาะกับการเขียนเส้นให้ดูเป็นธรรมชาติ และใช้กับการแต่งหน้าแบบสโมกกี้อายที่ต้องเขียนเส้นให้ดูฟุ้งนิดหน่อย
  • อายไลเนอร์แบบดินสอชนิดทูโทน
    สีดำ+สีน้ำตาล, สีดำ+สีม่วง หรือสีดำ+สีน้ำเงิน การใช้อายไลเนอร์สีดำร่วมกับสีอื่นจะได้สีที่ดูเป็นธรรมชาติ จุดสำคัญคือ ต้องวาดเส้นสีดำให้ชิดกับแนวขนตา และเขียนสีอื่นบนแนวอายไลเนอร์สีดำเพื่อไล่สี ก่อนจะเกลี่ยให้เข้ากัน การรวมสองสีเข้าด้วยกันแบบนี้ทำให้ตาดูโต และเป็นธรรมชาติกว่าการวาดอายไลเนอร์สีดำบางๆเพียงเส้นเดียว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การเขียนอายไลเนอร์

1. ทาอายแชโดว์

2. ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอเขียนขอบตา
ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอเขียนขอบตาตามที่ต้องการ โดยเขียนให้ชิดกับแนวขนตามากที่สุด

3. เติมอายไลเนอร์ด้านในเปลือกตา
เติมอายไลเนอร์บริเวณขนตากับเปลือกตาด้านในอย่าให้เห็นช่องว่าง

4. ทาอายไลน์เนอร์ชนิดลิควิดทับ
กรณีของคนที่มีตาสองชั้นหรือมีเนื้อเปลือกตาเยอะ
อายไลเนอร์อาจไหลเยิ้มลงมาได้ง่าย หากเขียนอายไลเนอร์ชนิดลิควิดหรือเจลทับลงบนอายไลเนอร์ชนิดดินสอ จะช่วยให้อายไลเนอร์ติดทนนานขึ้น ซึ่งในขั้นตอนนี้ควรวาดอายไลเนอร์ให้ชิดกับเส้นขนตาให้มากที่สุด

5. ทาแป้งบริเวณใต้ตา
ใช้แปรงแตะแป้งแล้วกดเบาๆบริเวณใต้ตาและรอบดวงตา จะช่วยให้อายไลเนอร์ไม่ไหลเยิ้มลงมาติดบริเวณใต้ตา

การเขียนอายไลเนอร์ที่เหมาะสำหรับตัวเอง

ดวงตาทั้งสองข้างห่างกัน
ให้เริ่มเขียนอายไลเนอร์แบบดินสอหรือแบบเจลจากบริเวณที่ห่างจากหัวตาออกไปประมาณ 1 มิลลิเมตรจะช่วยให้ช่องว่าระหว่างดวงตาทั้งสองข้างดูแคบลง

ดวงตาโปน
หลังจากเขียนอายไลเนอร์สีดำหรือสีเข้มเข้มแล้วให้ใช้อายแชโดว์โทนสีเดียวกับสีอายไลเนอร์ทาทับ และถ้าเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาบนและล่างให้เชื่อมต่อกันจะทำให้ดวงตาดูมีมิติมาก

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดวงตาที่หางตาชี้
บริเวณหางตาที่ลากเป็นเส้นตรงในระดับเดียวกับดวงตา จากนั้นเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาล่าง บริเวณด้านบนของเส้นอายไลเนอร์จะเกิดส่วนที่เป็นรูปสามเหลี่ยม ในส่วนนี้ให้ใช้อายแชโดว์ เบลนด์ให้เต็ม

หากดวงตาทั้งสองข้างอยู่ไม่ห่างกันมากนัก
อยากเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาล่างทั้งหมด แต่เขียนแค่ ⅓ เท่านั้น และไม่ต้องวาดหางตาออกไป เขียนให้เส้นขอบตาล่างและขอบตาบนเชื่อมต่อกัน

ดวงตาที่หางตาคล้ำหรือตาชั้นเดียว
ให้ทาอายแชโดว์มุกสีเรียบเรียบๆลงบนเปลือกตา แล้วค่อยเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาบนให้หนา ส่วนขอบตาล่างนั้นใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีขาว เขียนทับไม่ให้เห็นสีผิว จะทำให้ดวงตาดูสดใสมากขึ้น

เติมสีสันให้ขอบตาล่าง
การเขียนขอบตาล่างด้วยสีสันต่างๆนั้นจะให้ความรู้สึกแบบใหม่ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ดูเหมือนกำลังใส่คอนแทคเลนส์สีอยู่ สำหรับดวงตาที่เห็นเส้นเลือดในตาชัดให้เขียนขอบตาล่างด้วยสีน้ำเงินหรือม่วงจะช่วยให้ดวงตาดูสว่างสดใสขึ้น

5.ขนตางอนสวยด้วยมาสคารา
มาคารา คือ อาวุธลับของหญิงสาวที่ทำให้ขนตาที่ยาวเรียงสวยเป็นแพหนา ช่วยให้ดวงตาเด่นชัดมากขึ้นและทำให้บรรยากาศรอบข้างชวนหลงใหล โดยเฉพาะสาวตะวันออกนั้นมีขนตาที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง มาสคาราจะช่วยให้ขนตาโค้งงอนและดวงตาดูโดดเด่นมากขึ้น

การเลือกใช้มาสคารา

  • Lash Defining Mascara
    มาสคาราประเภทนี้จะเป็นแบบครบสูตร เหมาะสำหรับคนที่อยากให้คนตาทั้งยาวและหนา (ส่วนมากจะเป็นแบบชนิดกันน้ำ)         [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
  • Long Lash Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้จะช่วยเพิ่มความยาวของขนตา หากเป็นคนที่ขนตาหนาแต่ขนตาสั้น จะช่วยทำให้ขนตาดูยาวขึ้นและตาโตขึ้นได้ (ควรปัด 2 รอบ และหากจะปัดรอบ 3 ให้ปัดเฉพาะปลายขนตาเท่านั้น)
  • Non Clumping Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้ขนตาจะไม่จับเป็นก้อน ไม่เป็นขาแมงมุม ขนตาดูเป็นธรรมชาติ
  • Volum Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้เหมาะสำหรับคนที่มีขนตายาวแต่ไม่หนา มาสคาราประเภทนี้จะช่วยเพิ่มความหนาให้ขนตา ถึงแม้จะไม่ได้เขียนอายไลเนอร์ แต่แค่ปัดมาสคาราชนิดนี้ก็จะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้นได้
  • Curling Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้เหมาะสำหรับขนตาที่ไม่โค้งงอนหรือขนตาตก มาสคาราประเภทนี้จะช่วยให้ขนตาโค้งงอนและอยู่ได้นาน

การปัดมาสคาราอย่างมือโปร

  • ดัดขนตา3 จังหวะ โดยให้ทิศทางของที่ดัดขนตาเอียงลง 45 องศา
  • ปัดมาสคาราโดยเริ่มจากโคนขนตา ปัดไปในทิศทางแนวนอน
  • ปัดมาสคาราอีกรอบ ครั้งนี้ปัดจากล่างขึ้นบนตั้งแต่โคนขนตา ควรปัดมาสคาราให้เท่ากันทุกเส้น การปัดมาสคาร่าจากคนขนตาจะช่วยทำให้ขนตาดูแข็งแรง หากต้องการเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษให้ปัดมาสคาราเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าอยากให้ดวงตาดูเรียวยาวให้ปั่นบริเวณหางตาเพิ่ม ถ้าอยากให้ดวงตาดูกลมให้ปัดตรงกลางตาเพิ่ม
  • ใช้ส่วนปลายของแปรงปัดมาสคาราปัดขนตาล่างโดยตั้งแปลงขึ้น
  • เมื่อมาสคาร่าแห้งแล้ว ให้ใช้นิ้วชี้กดให้เส้นขนตาโค้งงอน วิธีนี้ช่วยให้ขนตางอนสวยและป้องกันไม่ให้มาสคาร่าไหลเยิ้มลงมา แม้จะโดนน้ำก็ตาม

การติดขนตาปลอม

การติดขนตาปลอมบริเวณหางตาโดยให้เหลือขนตาจริงไว้ข้างละประมาณ 2 มิลลิเมตร จะทำให้ขนตาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • ดัดขนตา
  • แบ่งขนตาปลอมออกเป็น 3 ส่วนเท่าเท่ากัน แต่ในกรณีที่จะติดขนตาโดยไม่แบ่งออกเป็นส่วนๆ ให้กับความยาวของแนวเส้นขนตาตัวเองกับขนตาปลอม ก่อนจะตัดส่วนปลายที่เกินออก
  • ทากาวลงบนขนตาปลอมบางๆก่อนจะเป่าเบาๆให้กาวแห้งลงเล็กน้อย วิธีนี้ทำให้ขนตาปลอมติดแน่นมากขึ้น
  • ติดขนตาเส้นๆที่หัวตา ติดขนตาเส้นยาวที่หางตา ควรติดกับขนตาจริงให้แนบสนิทเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ ในกรณีที่ลูกตาสั้น ให้ติดขนตาปลอมเส้นยาวแค่ที่หางตา เพราะแค่นั้นก็ทำให้ดวงตาดูสวยโดดเด่นได้แล้ว
  • การถอดขนตาปลอมออก การถอดขนตาปลอมโดยดึงออกจากขนตาเลยจะทำให้ผิวบริเวณนั้นระคายเคืองได้ เนื่องจากขนตาปลอมถูกติดตั้งไว้กับคนตาจริง นอกจากนั้นแล้วยังอาจทำให้ขนตาจริงร่วงติดออกมาด้วย จึงต้องระวังให้ดีอย่าดึงขนตาปลอมออกมาทันที แต่เวลาถอดให้เทอายรีมูฟเวอร์ลงบนสำลีล้างเครื่องสำอาง แปะไว้บนดวงตาประมาณ 10 วินาทีก่อนแล้วค่อยๆถูกๆ เมื่อกาวละลายหมดแล้วขนตาปลอมจะหลุดออกมาเองพร้อมกับเครื่องสำอางรอบดวงตา

แต่งหน้าอย่างไรไม่ให้เสียเวลา

  • รองพื้นสำรอง
    ใช้รองพื้นชนิดแป้งแบบบางๆเพื่อแก้ไขโทนสีผิวหรือไม่ก็ใช้ไพรเมอร์กับบีบีครีม เพื่อความรวดเร็ว
  • ใช้มาสคาร่าแทนอายไลเนอร์
    หากไม่มีเวลามากพอ ให้ดัดขนตาให้โค้งงอนและปัดมาสคาราเพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ดวงตาดูเด่นชัดขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งอายไลเนอร์
  • บลัชออน
    ทำบลัชออนที่แก้มให้เป็นสีชมพูระเรื่อก็ทำให้ดูโดดเด่นและอ่อนเยาว์ได้
  • ส่วนที่หมองคล้ำ
    การปรับโทนสีของใบหน้าเป็นเรื่องที่ต้องให้ความพยายามเป็นอย่างมากในช่วงที่มัเวลาไม่มาก ดังนั้นการปรับรอยคล้ำใต้ตาให้สว่างขึ้นนั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ใช้คอนซีลเลอร์กับไฮไลท์ในการปรับโทนสีผิวใต้ดวงตาก็สามารถปรับใบหน้าให้ดูสว่งได้ในพริบตา
  • เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดครีม
    ผลิตภัณฑ์ชนิดครีมช่วยได้มากหากไม่มีเวลาแต่งหน้า เพียงแค่ใช้มือเกลี่ยเนื้อครีมเบาๆให้ทั่ว เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

Perfect Quick makeup สวยทันใจใน 5 นาที

  • ทาอายเบส
    ทาอายเบสแบบครีมผสมมุกจังๆลงบนเปลือกตา
  • ทาไฮไลต์
    ทาครีมไฮไลท์บริเวณโซน 4 และโซน T
  • ปัดแก้ม
    ใช้ครีมบลัชออนแตะเบาเบาๆบริเวณโหนกแก้ม
  • เติมลิปสติกให้ปากชุ่มชื้น
    ใช้นิ้วแตะลิปสติกเนื้อครีมลงบนริมฝีปากและธรรมะเบาๆให้ทั่ว
  • ปัดมาสคารา
    หลังจากเขียนอายไลเนอร์และเขียนขอบตาล่างเรียบร้อยแล้วค่อยปัดมาสคารา

กระเป๋าแต่งหน้าสไตล์ Club Queen

แต่งหน้าได้ผลิตภัณฑ์ความงามน้อยชิ้นที่สุด เตรียมกระเป๋าเครื่องสำอางค์ใบเล็กๆที่ใส่เครื่องสำอางได้ 4-5 ชิ้น

1. กระดาษซับมัน
ไม่ต้องตบแป้งตลับบ่อยๆก็ได้เพียงใช้กระดาษซับน้ำมันส่วนเกินออก ผิวก็ดูสะอาดสะอ้านขึ้นมาก เวลาไปคลับก็พกใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงไว้สักแผ่น 2 แผ่น หากนำสำลีก้านไปด้วยซักสองสามอันการเตรียมการแต่งหน้าเพิ่มก็เสร็จเพียงเท่านี้

2. ลิปกลอส
เวลาไปเที่ยวคลับส่วนใหญ่หมดเวลาไปกลับการอยู่ในห้องที่มีอากาศแห้งแห้งให้เติมลิปกลอสแบบชิมเมอร์หรือไม่ก็สปาร์คลิ่งที่ชุ่มชื้นมากๆ นอกจากริมฝีปากจะใช้ชื่อแวววาวตามแสงไฟที่ตกกระทบแล้ว ยังชุ่มชื้นจนน่าจุบอีกด้วย ให้เลี่ยงสีเข้มเข้มที่ต้องส่องกระจกแล้วค่อยทานอย่างระมัดระวัง ลิปกลอสสีใสที่ทาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องส่องกระจกนี่แหละปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3.แป้งอัดแข็งผสมชิมเมอร์
ปิดท้ายการแต่งหน้าไปคลับด้วยแป้งชิมเมอร์หากทาเบาๆให้ทั่วใบหน้า เวลาอยู่ใต้แสงไฟจะดูเปล่งประกายระยิบระยับ แม้เวลาจะผ่านไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นคราบหรือต้องแต่งหน้าเพิ่ม

4.น้ำหอม
คลับนั้นไม่ใช่สถานที่ที่มีกลิ่นหอมอย่างแน่นอน มีตั้งแต่กลิ่นบุหรี่ไปจนถึงกลิ่นเหงื่อ ในที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างนี้ หากคุณเผยกลิ่นหอมสดชื่นออกมาดัชนีความมีเสน่ห์ของคุณจะพุ่งปรี๊ด หากเป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมเวลาไปคลับต้องพกน้ำหอมไว้ข้างกายเสมอ

5.ลูกอมรสมิ้นต์
พกลูกอมมิ้นที่ช่วยกำจัดกลิ่นแอลกอฮอล์ที่หลงเหลือในปากเราไว้ลองเลือกมิ้นหวานๆกลิ่นพีชหรือไม่ก็กลิ่นช็อคโกแลต เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะได้พบเจอใครบ้างในคลับ

จัดกระเป๋าความงามยามเดินทาง

1 แบ่งพื้นที่ในกระเป๋าเป็น 3 ส่วน
กระเป๋าเครื่องสำอางที่มีช่องเดียวนั้นเวลาใส่เครื่องสำอางค์ทั้งหมดไว้รวมกันเพราะจะหยิบมาใช้ก็ลำบาก อีกทั้งยังมีโอกาสที่เครื่องสำอางจะแตกหักได้อีกด้วย แต่ถ้าแบ่งไว้ 3 ส่วนได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้า ก็ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องสำอางที่มีน้ำหรือส่วนประกอบจะเสียหาย

2 ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ยามฉุกเฉิน
เวลาเดินทางในหน้าร้อน สเปรย์กำจัดยุงหรือเครื่องสำอางที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นชนิดเจลและมิสต์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น การเดินทางในหน้าหนาวนั้นต้องเตรียมครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์และบอดี้บัตเตอร์ เวลาที่เดินมากๆก็อาจเกิดรอยข่วนที่เท้าได้ จึงต้องเตรียมขี้ผึ้งสมานแผลไปด้วย เวลาเดินทางโดยเครื่องบินนานๆเซลล์ผิวเสื่อมสภาพอาศหลุดลอกออกมา หรือสิวอาจจะขึ้นก็ได้ จึงห้ามลืมเอกซ์โฟลิเอเตอร์เด็ดขาดเด็ดขาด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3 สิ่งเสริมความงามบนเครื่องบิน
บนเครื่องบินพื้นที่พิเศษที่มีความแห้งและความต่างของอุณหภูมิมากที่สุด อย่าละเลยดูแลผิว ทั้งมิสต์ ลิปบาล์ม และ แฮนด์ครีม สวนน้ำหอมกลิ่นแรงๆอาจรบกวนผู้โดยสารคนอื่น ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกายที่มีกลิ่นอ่อนๆ และห้ามบอกว่าไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าตอนนั่งอยู่บนเครื่อง ให้แต่งเมคอัพเบสให้น้อยที่สุดโดยใช้ทินมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา แล้วเลือกแต่งดวงตา แก้ม หรือริมฝีปาก ส่วนใดส่วนหนึ่งอย่างเบาเบาๆสไตล์เจ็ตเซตที่แต่งน้อยๆ

4 ใช้เวลาสบายๆกับเครื่องสำอางสำหรับสปา
การตีฟองในอ่างอาบน้ำหรือการทำสปาอโรม่าที่บ้านนั้นแสนจะยุ่งยาก แต่ถ้าไปเที่ยวแล้วไม่ได้ทำสปาและก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย นอกจากจะหาโอกาสเพลิดเพลินแบบสุดๆกับบรรยากาศแปลกตาแล้ว ต้องเตรียมเครื่องสำอางสำหรับทำสปาที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้หายเหนื่อยล้าได้ อย่าลืมเตรียมแฮร์มาสก์สำหรับเส้นผมที่ถูกรังสี UV ทำร้ายไปด้วย

จัดกระเป๋าใบน้อยไว้ใช้ในยามเดินทาง

  • ลิปพาเล็ตต์
    ที่มีสีลิปสติกที่ใช้บ่อยๆ 2 3 สี
  • ครีมกันแดด
    เตรียมครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ
  • อายรีมูฟเวอร์
    ลบเครื่องสำอางบริเวณดวงตาให้สะอาดอยู่เสมอ ผิวรอบดวงตาจะได้ไม่เปลี่ยนสี
  • อายไลเนอร์แบบเบจ
    ถ้าใช้อายไลเนอร์แบบกันน้ำที่ไม่เปรอะเปื้อนไม่ว่าจะไปเล่นน้ำที่ไหนดวงตาก็จะดูสดใสอยู่เสมอ
  • แปรงหวีผม
    เตรียมไว้ใช้หวีผมนั่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่แปรงจัดแต่งทรงผมก็จำเป็นเหมือนกัน   [adinserter name=”sesame”]
  • แปรงแต่งหน้า
    ถ้าอยากแต่งหน้าให้ดูแวววาวอย่างเป็นธรรมชาติ ให้หันมาใช้แปรงแทนทับกันดีกว่า ต้องเตรียมแปลงทาแป้งและแปรงทาอายแชโดว์ไปด้วย
  • มาคารา
    ถ้าแต่งหน้าแบบจัดเต็มเวลาไปเที่ยวจะทำให้ดูบ้านนอกได้ มาโชว์ผิวธรรมชาติให้โดดเด่นแล้วใช้เพียงมาสคาร่า
  • เจลว่านหางจระเข้
    เวลาเดินทางถ้าผิวไม่ขึ้นมาแทนที่จะใช้เครื่องสำอางที่อ้างสรรพคุณในการบรรเทาอาการแสบร้อนของผิว ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลผิวไหม้โดยตรงอย่างเจลว่านหางจระเข้
  • มิสต์ว่านหางจระเข้
    ในช่วงหน้าร้อนพ่นตามร่างกายด้วยมิสต์ที่มีส่วนประกอบของว่านหางจระเข้ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการแสบร้อน ให้ทั่วหนังศีรษะและใบหน้าที่ร้อนหรือไหม้เพราะแสงแดด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.