แต่งหน้าอย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัย

0
แต่งหน้าอย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัย
การแต่งหน้าทำให้ดูสวยและอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าแต่งหน้าผิดวิธีก็สามารถทำให้ดูสูงวัยขึ้นได้

เทคนิคการแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติและอ่อนวัย

แต่งหน้าอย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัย
การเขียนคิ้วให้ฟูและหนาจะทำให้ได้ลุคแบบเด็กๆ ส่วนคนที่มีคิ้วน้อยแต่อยากมีคิ้วสวยและเป็นธรรมชาติก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคิ้วชนิดฝุ่นจะช่วยได้

หน้าดูอ่อนวัย

ตอนที่เป็นเด็กๆเราจะมีผิวที่นุ่มลื่น น่าสัมผัส แต่เมื่อโตขึ้นผิวก็เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม และการดำเนินชีวิต หากเราเลือกใช้ชีวิต โดยใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ปัญหาผิวที่หยาบกร้าน ก็จะบรรเทาเบาบางลง ทำให้ หน้าดูอ่อนวัย ซึ่งวิธีที่เห็นผลได้ทันใจสุดคือเครื่องสำอาง แม้จะไม่ใช้วิธีที่ถาวรแต่ก็ทำให้รู้สึกมั่นใจได้

ตัวช่วยสร้างความอ่อนวัย

1. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

การเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ โดยเลือกใช้แบบที่มีส่วนผสมของครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป และควรเลือกใช้เครื่องสำอางอื่นๆเป็นแบบสูตรที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย เช่น รองพื้น ลิปสติก ลิปไลน์เนอร์ ฯลฯ

2. ใช้รองพื้นสูตรน้ำชนิด light-reflecting

เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดที่มีการเติมพิกเมนต์ที่จะช่วยให้ใบหน้าดูสว่างสดใสและเรียบเนียน โดยให้ใช้ฟองน้ำเกลี่ยรองพื้นแทนการใช้มือจะช่วยให้ใบหน้าดูเป็นธรรมชาติและใช้แป้งฝุ่นทาทำอีกรอบ

3. หลีกเลี่ยงการใช้กลิตเตอร์

กลิตเตอร์อาจช่วยเพิ่มประกายวิ้งบนใบหน้า แต่มันก็ช่วยเน้นริ้วรอยต่างๆให้ดูชัดขึ้นเช่นกัน ซึ่งไม่เหมาะกับการแต่งหน้าให้ดูอ่อนวัย แต่ถ้าชอบให้มีประกายแนะนำให้ใช้เป็นอายแชโดว์ที่ผสมชิมเมอร์แบบเนื้อครีม

4. ใช้อายไลน์เนอร์สีขาว

การแต่งหน้าให้ดูอ่อนวัยนั้นไม่ควรแต่งดวงตาให้ดูดุจนเกินไป โดยเปลี่ยนจากการทาอายไลเนอร์สีดำหรือสีน้ำตาลที่ขอบตาล่างมาเป็นสีขาวแทนหรือสีสว่างๆแทนสีเข้มๆ จะช่วยให้ใบหน้าดูสว่างและดูไร้เดียงสา   

5. ทำคิ้วให้ฟูและหนา

การเขียนคิ้วให้ฟูและหนาจะทำให้ได้ลุคแบบเด็กๆ ส่วนคนที่มีคิ้วน้อยแต่อยากมีคิ้วสวยและเป็นธรรมชาติก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคิ้วชนิดฝุ่นจะช่วยได้

6. บลัชออน

การปัดบลัชออนที่แก้มให้เป็นธรรมชาติ จะช่วยให้ใบหน้าดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาสดใสขึ้น

7. ดัดขนตา

การดัดขนตาเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ดูเด็ก เพราะการมีดวงตาที่กลม ดูสดใส เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์ วิธีดัดขนตาง่ายๆ เพียงนำที่ดัดขนตาวางให้ใกล้ขอบตามากที่สุดโดยระวังอย่าให้หนีบโดนเนื้อรอบๆ และกดค้างไว้ 15 วินาที

8. เขียนขอบปาก

ให้เขียนขอบปากก่อนลงลิปสติก โดยเลือกสีที่เป็นสีเดียวกับลิปสติก ซึ่งการเขียนขอบปากนอกจากจะช่วยให้ทาลิปสติกได้ๆแล้ว ยังช่วยทำให้ริมฝีปากเป็นรูปทรง อวบอิ่ม เซ็กซี่ และดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

การแต่งหน้าทำให้ดูสวยและอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าแต่งผิดวิธีก็สามารถทำให้ดูสูงวัยขึ้นได้

การแต่งหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ในทุกโอกาส

1.แต่งหน้าให้ดูใสๆเหมือนไม่ได้แต่ง

การแต่งหน้าแบบนี้สามารถแต่งได้ทุกวัน ทุกโอกาส และยังเหมาะกับทุกสีผิว ซึ่งการแต่งหน้าแบบนี้ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกรองพื้น ทินต์มอยส์เจอไรเซอร์ หรือรองพื้นชนิดลิควิดเนื้อบางเบานั้น ทำให้ผิวทั้งดูใสและแวววาว

  • ทาอายโบรว์แชโดว์สีที่กลมกลืนกลับสีคิ้วของตัวเองมากที่สุดบางๆ
  • ทาเปลือกตาให้ทั่วด้วยอายแชโดว์ชนิดครีมสีเบจอ่อนๆ
  • ทาบลัชออนชนิดครีมสีชมพู จะช่วยให้แก้มดูเป็นธรรมชาติเหมือนเวลาเขินจนแก้มแดง
  • เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดดินสอบางๆใกล้ๆกับแนวขนตา
  • ดัดขนตาให้งอนขึ้นและปัดมาสคารา
  • ทาลิปสติกประกายมุกเนื้อละเอียดเพื่อให้ความวาวอย่างเป็นธรรมชาติ ลิปสติกที่มีประกายมุกมากหรือลิปกลอสที่มีความวาวมากๆไม่เหมาะที่จะใช้แต่งหน้าแบบนู้ด

2.แต่งหน้าให้กระจ่างใสมีออร่าส่องประกาย

การแต่งหน้าด้วยสีที่สร้างภาพลักษณ์ที่บริสุทธิ์และกระจ่างใสเท่าสีขาวนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ โดยเริ่มจากการจับคู่โทนสีพาสเทล สีขาว แล้วค่อยๆพัฒนาทักษะในการใช้สีไปเรื่อยๆ สิ่งที่ต้องระวังคือ ไม่จำเป็นต้องใช้เบสสีขาวที่สว่างกว่าโทนสีผิวตัวเองมากจนเกินไป โดยเฉพาะสำหรับคนผิวคล้ำ อาจใช้ผลิตภัณฑ์เบสที่สว่างกว่าโทนสีผิวเดิมของตัวเองประมาณ 1 โทน เพื่อให้ใบหน้าดูขาวนวลเด่นเพียงอย่างเดียว

  • หลังลงเมคอัพเบสแล้ว ให้ใช้แปรงด้ามใหญ่ปัดแป้งฝุ่นเนื้อละเอียดให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ
  • เขียนคิ้วด้วยดินสอหรืออายโบรว์แชร์โดว์สีเดียวกับสีผม
  • เขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำตาล สีขอบตาต้องดูนุ่มนวลเพื่อให้ดูสะอาดบริสุทธิ์
  • ใช้ดินสอสีขาวเขียนขอบตาล่างด้านใน ทำให้ดวงตาดูโตและใส ลูกตาดำดูเด่นชัด
  • ใช้แปรงทาอายแชโดว์สีชมพูอ่อน (หรือสีลาเวนเดอร์) ให้ทั่วเปลือกตาอย่างบางเบา หากใช้อายแชโดว์ผสมมุกสีสว่างทาบริเวณหัวตา จะทำให้ดวงตาดูสว่างสดใสขึ้น
  • ปัดมาสคาราสีน้ำตาลเข้มให้ขนตาโค้งงอน
  • ทาไฮไลท์บริเวณโซนสามเหลี่ยมใต้ดวงตาเพื่อปรับให้ดูสว่างขึ้น
  • แต่งริมฝีปากนู้ดด้วยลิปสติกสีเบจ 2 ชนิด ทาลิปสติกเนื้อเนียนนุ่มให้ทั่วริมฝีปาก และแต้มลิปสติกที่มีกลิตเตอร์บริเวณกลางฝีปากล่าง

3.แต่งหน้าให้ดูสดชื่นราวกับฤดูใบไม้ผลิด้วยโทนพาสเทล

สีพาสเทลที่ให้ความรู้สึกของสาวแรกรุ่นได้มากกว่าสิ่งอื่นใด คือ ลาเวนเดอร์ มิ้นต์ พีช พิ้งค์ เบบี้บลู การทาอายแชโดว์สีมิ้นต์อ่อนๆเป็นบริเวณกว้างรอบดวงตา และทาแก้มสีแอปริคอท ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นและอ่อนหวาน

  • ทาอายแชโดว์สีขาวเบาๆเพิ่มให้ทั่ว ไปจนถึงใต้โหนกคิ้ว เน้นหัวตาขอบและตาล่างด้วย
  • เขียนคิ้วด้วยดินสอหรืออายโบรว์แชโดว์สีเดียวกับสีผม อย่าเขียนคิ้วเป็นเหลี่ยมเกินไป
  • ใช้แปรงทาอายแชโดว์สีมิ้นต์ให้ทั่วเปลือกตา
  • เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีน้ำตาล เขียนสีน้ำตาลที่ขอบตาจะทำให้ดูอ่อนโยน และดูมีชีวิตชีวาอีกด้วย
  • ทาบลัชออนสีแอพพลิคอตบริเวณโซนแอ๊ปเปิ้ลเพื่อให้ดูมีเสน่ห์และน่ารัก
  • ดัดขนตาให้โค้งงอน และปัดมาสคารา ถ้าต้องการดวงตาดูกลมให้ปัดมาสคาร่าหลายๆครั้งบริเวณกลางขนตา
  • เลือกลิปสติกสีธรรมชาติที่เข้ากับสีมิ้นต์ หรือถ้าทาเป็นสีแดงมากก็ทารองพื้นให้ทั่วก่อนเพื่อลดความแดงลง

การแต่งหน้าทำให้ดูสวยและอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าแต่งผิดวิธีก็สามารถทำให้ดูสูงวัยขึ้นได้ ถ้าอยากมีใบหน้าที่ดูเด็กลงลองนำเทคนิคต่างๆไปปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับ โอกาสต่างๆ เสื้อผ้าหลากสไตล์พิธีการต่างๆ หรือวันสบายๆกันดูนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

แต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กด้วยเฉดดิ้ง ไฮไลต์ และบลัชออน

0
แต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กด้วยเฉดดิ้ง ไฮไลต์ และบลัชออน
การใช้เทคนิคการแต่งหน้าอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว จะสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวได้โดยไม่ต้องเจ็บปวดในการผ่าตัด
แต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กด้วยเฉดดิ้ง ไฮไลต์ และบลัชออน
การใช้เทคนิคการแต่งหน้าอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว จะสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวได้โดยไม่ต้องเจ็บปวดในการผ่าตัด

การแต่งหน้า

มีผู้หญิงมากมายกังวลเกี่ยวกับรูปหน้าของตัวเอง และต้อง การแต่งหน้า ให้ดูเรียวเล็กความจริงใบหน้าชาวเอเชียก็ไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับชาวตะวันตกแล้วถือว่าโครงหน้าที่ค่อนข้างแบนและดั้งที่ไม่โด่งเลยทำให้ใบหน้าดูใหญ่ เพื่อทำความคุ้นเคยกับวิธี คอนทัวร์ เฉดดิ้ง ไฮไลท์ และปัดแปรง แม้แต่ใบหน้าที่กรมโตเหมือนพระจันทร์เต็มดวงก็สามารถทำให้ดูเล็กพอเหมาะ มีมิติ และดูคมขึ้นได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
คนที่มีใบหน้ากลมกลมๆ และตาหูจมูกปากเล็กๆ จึงสนใจทำรูปหน้าให้เรียวบางและมีมิติเป็นพิเศษ
การคอนทัวร์และเฉดดิ้ง ไฮไลท์ รวมทั้งปัดบลัชออน ถ้าใช้เทคนิคเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ก็จะสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวได้ด้วยตัวเอง จึงไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดในการตัดกระดูกบนเตียงผ่าตัดอันน่ากลัว

ไอเท็มที่จำเป็นในการแต่งหน้าให้มีมิติและเล็กเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้

1.บลัชออน
หรือที่เรียกว่าที่ปัดแก้ม เป็นผลิตภัณฑ์แต่งหน้าที่ช่วยเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้แก้ม ควรหาบลัชออนโทนสีที่ทาแล้วอารมณ์ดีไว้ซัก 2-3 ชิ้น สาวๆมักจะใช้สีบลัชออนที่เข้ากับสีลิปสติก

2.โน้สแชโดว์
ใช้เพื่อทำให้จมูกโด่งขึ้น เลือกชนิดเนื้อแมตต์ไม่มีประกายมุก และเลือกสีที่ช่วยสร้างเฉดเงาให้โทนสีผิว

3.แปรงเฉดดิ้ง
แป้งอัดแข็งโทนสีเข้มเล็กน้อย เพื่อทำให้ใบหน้าดูเรียวบาง

4.แปรงคอนทัวร์
แป้งเนื้อแมตต์ไม่ผสมมุก สีเดียวกับสีผมและดวงตา หลีกเลี่ยงสีดำเข้ม ต้องหาเนื้อแป้งที่ติดทนนานและเบลนได้ดี รวมทั้งต้องใช้แปรงที่ไม่ทำให้แป้งพุ่งกระจายด้วย

5.ไฮไลท์
ชนิดครีมหรือแป้งที่สว่างในการแต่งหน้า ซึ่งที่ทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาและมีมิติ ชนิดแป้งนั้นจะต้องมีอนุภาคที่เล็กมาก ถ้าได้อย่างบางเบาและเห็นผลชัดเมื่อปัดแค่ทีสองที

  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1. การแต่งหน้าเพื่อปกปิดหน้าผากที่ไม่สวยด้วยแป้งคอนทัวร์

การคอนทัวร์ หรือการเฉดดิ้ง คือการสร้างเงาให้แก่ใบหน้า ช่วยส่งเสริมโครงหน้าแก้ไขจุดที่เราไม่ต้องการให้มีความโดดเด่นน้อยลง โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสีเข้มกว่าสีผิวประมาณ 2-3 เฉด และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อแมตต์
ซึ่งคอนทัวร์ เป็นการแต่งหน้าเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็แปลงโฉมได้ เพียงแค่จัดระเบียบหน้าผากและไรผมก็ทำให้ใบหน้าดูเล็กลง ดังนั้นหากกังวลว่ามีหน้าผากกว้างหรือหน้าผากรูปตัว M รวมทั้งแนวผมที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบและช่วยทำให้โครงหน้าดูเด่น

ข้อแนะนำในการคอนทัวร์

1. ค่อยๆทาทีละน้อยๆหลายครั้ง
ถ้าคอนทัวพลาดอาจทำให้ผงแป้งฟุ้งกระจายจนเปื้อนใบหน้า หรือไม่ก็ทำให้แป้งจับตัวเป็นก้อนได้ ค่อยๆทาเพิ่มทีละน้อยๆจะปลอดภัยกว่า เวลาทาให้ขยับมือเร็วๆเป็นวงกว้าง

2.เลือกสีที่คล้ายกับสีผม
ชาวตะวันออกควรเลือกแป้งคอนทัวร์สีน้ำตาลเข้มที่ใกล้เคียงกับสีผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์สีดำเข้มหรือมันวาวจนเกินไป

3.ทำกราเดชั่นโดยเริ่มจากผมมายังใบหน้า
ในกรณีที่หน้าผากโค้งเป็นรูปตัวเอ็มให้เริ่มทำกราเดชั่นตั้งแต่บริเวณที่มีผมเยอะก่อนแล้วค่อยๆทำกราเดชั่นมาทางหน้าผาก ถ้าทำเยอะเกินไปอาจทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ ควรทำกราเดชั่นถึงบริเวณไรผมอ่อนๆเท่านั้น

การจัดการแนวผม
1.เก็บผมขึ้นไปข้างบน ตรวจสอบบริเวณมุมทั้งสองของหน้าผาก
2.ทาแป้งแล้วลองปัดดู 1 ครั้ง
3.เติมแป้งตั้งแต่พื้นที่ด้านในระหว่างเส้นผมมาทางใบหน้า ทำกราเดชั่นมาทางไรผมเล็กๆตรงมุมหน้าผากให้ดูเป็นธรรมชาติ
4.ค่อยๆใช้แปรงทาตามแนวผมไล่ลงมา
5.ใบหน้าจะดูเรียวบางขึ้น หากทำไรผมที่ตกลงมาบริเวณหูให้มีสีเข้ม โดยเติมแป้งบริเวณนั้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การคอนทัวร์ หรือการเฉดดิ้ง คือการสร้างเงาให้แก่ใบหน้า ช่วยส่งเสริมโครงหน้าแก้ไขจุดที่เราไม่ต้องการให้มีความโดดเด่นน้อยลง

2. การแต่หน้าสร้างมิติสวยด้วยไฮไลท์

การไฮไลท์ คือการสร้างแสงให้แก่ใบหน้า เพื่อเน้นในจุดที่ต้องการให้โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสีอ่อน มีชิมเมอร์หรือประกายมุก เพื่อให้สะท้อนกับแสงที่ตกกระทบ ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาและดูเนียนเรียบขึ้นมาก อีกครั้งอย่างให้ภาพลักษณ์ที่สว่างสดใส และยังช่วยปรับโครงหน้า เช่น เปลี่ยนหน้าผากแบนแบนหรือจมูกเล็กๆให้เป็นหน้าผากนูนและจมูกโด่งได้ ไฮไลท์เป็นไอเท็มชิ้นพิเศษที่ใช้ทาบริเวณที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ หรือจะเลือกใช้แบบประกายมุกเนื้อละเอียดผสมก็ได้
หากอยากดูสะอาดตาก็เลือกใช้แป้งไฮไลท์เนื้อแมตต์ แต่ถ้าอยากได้ลุคแวววาวแบบชิคชิคก็ให้เลือกใช้ครีมที่ผสมมุกอนุภาคเล็ก สำหรับใต้ดวงตาให้ทางไฮไลท์ไม่ผสมมุก สำหรับโซน C และโซน T ให้ทาไฮไลท์ผสมมุก

ทําไฮไลท์ที่ดีที่สุด 3 แห่ง
ใต้ดวงตา
เวลาที่ต้องการกำจัดรอยคล้ำรอบดวงตา และสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้า ให้เพิ่มความสว่างใต้ดวงตาด้วยไฮไลท์ จะช่วยให้ดวงตาดูสดใสและผ่อนคลายมากขึ้น เลือกสีไฮไลท์ที่สว่างกว่าโทนสีผิว และถ้าไม่อยากให้ตาดูบวมให้เลือกใช้ชนิดไม่มีประกายมุก

โซน T
ทำให้สันจมูกโด่งขึ้น หน้าผากดุนนูนขึ้น และทำให้ใบหน้าโดยรวมดูมีมิติขึ้น

โซน C
ช่วยปกปิดริ้วรอยรอบดวงตา และทำให้ใบหน้าด้านข้างดูเรียวบาง นอกจากนี้ ถ้าทายไร้มุกเนื้อละเอียดที่โซนซีจะช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างเป็นธรรมชาติ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การไฮไลท์
ควรใช้ขนแปรงปลายเฉียงและตัดมุมในการไฮไลท์ ซึ่งเหมาะจะใช้สร้างมิติใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะลักษณะของขนแปรงแทรกซ้อนไปตามส่วนโค้งเว้าบนใบหน้าได้ดี

ไฮไลท์ชนิดครีม
ช่วยให้โครงหน้าดูโดดเด่นและในขณะเดียวกันก็ดูชุ่มชื้น แต่ควรใช้ปริมาณน้อยที่สุด แล้วทาบริเวณที่ต้องทาอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าแล้วอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะต่างจากชนิดผงที่ใช้แปรงทาได้อย่างง่ายดาย ต้องใช้ไฮไลท์ชนิดครีมก่อนทาแป้ง เพื่อทำให้ผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียน ส่วนชนิดอัดแข็งนั้นให้ใช้หลังจากทาแป้งแล้วจากนั้นจึงปัดบลัชออนทับ

ถ้าพิจารณาผิวของชาวตะวันออกแล้วจะพบว่า
โดยทั่วไป ไฮไลท์โทนไวท์พีชหรือไวท์พิ้งที่ใกล้เคียงกับโทนสีผิวของชาวตะวันออกนั้นใช้งานค่อนข้างๆ นอกจากนี้ชาวตะวันออกยังมีผิวบาง ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบาและมีอนุภาคเล็กซึ่งช่วยทำให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ

มากเกินไปก็เหมือนขาด
ลงไฮไลท์มากเกินไปจะทำให้ใบหน้าดูใหญ่ หรือไม่ก็เมื่อเวลาผ่านไปอาจเลอะเทอะได้ จึงต้องไฮไลท์อย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมมุกมากเกินไปจะมีความแวววาวเกินควรจนดูไม่เป็นธรรมชาติ ควรเลือกไฮไลท์ที่สว่างกว่าทนผิวตนเอง 2-3 โทนและมีมุกผสมอยู่เล็กน้อย

3. พวงแก้มสวยดั่งพวงดอกไม้ด้วยบลัชออน

หลังจากที่แต่งใบหน้าให้ดูเล็กและสวยคมแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือ การเติมความมีชีวิตชีวาด้วยบลัชออนแก้มที่เปล่งปลั่งอย่างพอเหมาะแสดงถึงความงดงามขอและสุขภาพที่ดี รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์อีกด้วย แค่ลองปัดบลัชออนดูครั้งเดียวก็สามารถคืนชีวิตชีวาให้ใบหน้าที่เหนื่อยล้าและหมองคล้ำได้ราวกับร่ายมนต์ หากยังไม่ชินกับการใช้บลัชออนแล้วล่ะก็ลองทำตามกฎต่อไปนี้ดู

สีลิปสติกกับบลัชออนควรกลมกลืนกัน
โดยทั่วไปแล้วหากเลือกสีลิปสติกและสีบลัชออนเหมือนกัน จะช่วยตัดปัญหาเรื่องการจับคู่สีได้ และทำให้สีริมฝีปากและสีแก้มไม่ขัดกัน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ยิ้มเข้าไว้เวลาปัดแก้ม
ถ้าบลัชออนอย่างเบามือโดยวนเป็นวงกลมตรังโซน Apple ที่โดนกลมเหมือนไข่ไก่เวลาที่เรายิ้มกว้าง

เบลนด์บลัชออนสองสีเข้าด้วยกัน
ใช้สีชมพูหรือสีพีชบริเวณที่ยื่นออกมามากที่สุดบนแก้มทั้งสองข้าง ถ้าทำกราเดชั่นสีชมพูโทนพาสเทลละมุนละไม โดยเริ่มจากบริเวณดังกล่าวออกมาโดยรอบด้วยแล้วเราก็จะดูเป็นธรรมชาติและดูนุ่มนวลขึ้นมาก

การทำบลัชออนชนิดครีมให้ดูเป็นธรรมชาติ
เวลาที่แต่งหน้าให้ดูชุ่มชื้นหรือต้องการความรู้สึกแบบหน้าสด บลัชออนชนิดครีมจะเหมาะกว่า ส่วนเวลาที่อยากแต่งรูปน่ารักไร้เดียงสา ให้เลือกแบบทินต์หรือเจลที่ไม่ผสมมุก หากผิวหน้าแห้งหรือมีจุดด่างดำ ให้ทาครีมบลัชออนผสมมุก ถ้าโดยใช้ 2-3 นิ้วแต้มเบาเบาๆเป็นวงกว้าง

การเลือกสีบลัชออน หากทาบลัชออนแล้วทำให้ผิวดูสุขภาพดีและให้ความรู้สึกสดชื่น สีนั้นคือสีที่เหมาะกับคุณ ถ้าจะให้แนะนำสีที่ปัดแล้วไม่ค่อยจะผิดพลาดก็เป็นสีชมพูพีช แซนด์พิ้ง สีน้ำตาลพีช สีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นนั้นจะปลอดภัยกว่าสีที่ซีดจนเกินไป ในกรณีที่มีผิวออกแดงๆถ้าเลือกโทนสีพาสเทลอย่างสีลาเวนเดอร์หรือสีไอซิ่งจะทำให้ดูสุขุมขึ้น

เทคนิคการปัดบลัชออนตามโครงหน้า

ใบหน้ายาว
ทาบลัชออนเป็นแนวเฉียงเล็กน้อย โดยปัดออกมาทางด้านนอกของแก้ม ทาเป็นแนวนอน เริ่มจากจุดที่ตรงกับหางตาและปลายจมูก บัสออนที่เหลือให้ทาบางๆที่ปลายจมูก

ใบหน้ากลม
คนที่มีใบหน้ากลมมักจะดูเป็นคนสบายๆ ให้ปัดบลัชออนเป็นแนวทะแยงขึ้นไป 45 องศา จากปลายจมูกไปจนถึงบริเวณกลางดวงตา

ใบหน้าที่เห็นโหนกแก้มชัด
คนที่มีโหนกแก้มยื่นออกมานั้น ต้องทำบริเวณนี้ให้ดูกลมที่สุดจึงจะดูอ่อนโยน ทำได้โดยปัดบลัชออนเป็นวงกลมบริเวณแก้มที่ยื่นออกมาเหมือนไข่ไก่เวลายิ้ม    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การไฮไลท์ คือการสร้างแสงให้แก่ใบหน้า เพื่อเน้นในจุดที่ต้องการให้โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสีอ่อน มีชิมเมอร์หรือประกายมุก

4. ดั้งโด่งง่ายๆด้วยโน้สแชโดว์

ส่วนใหญ่เวลาที่คนเราไม่พอใจส่วนใดบนใบหน้า จมูกมักจะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ หากไม่นับรวมศัลยกรรมตาสองชั้นที่ทำได้ง่ายๆแล้วเราก็ การศัลยกรรมที่ผู้หญิงจำนวนมากคิดจะทำสักครั้งหนึ่งคือศัลยกรรมจมูก หากใช้โน้สแชโดว์ร่วมกับเทคนิคเฉดดิ้งจะช่วยแต่งจมูกให้สวยโด่งได้โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม และยังเปลี่ยนภาพลักษณ์อย่างเห็นได้ชัด

การเฉดดิ้งเสริมปลายจมูกและทำดั้งโด่ง
แบ่งความยาวจมูกออกเป็น 3 ส่วนนับตั้งแต่หัวคิ้วจนถึงใต้จมูก ใช้แปรงแต้มโน้สแชโดว์แล้วทาบริเวณ 1 / 3 ของจมูกด้านบน เน้นดั้งจมูกโดยทาบริเวณด้านข้างของดั้งจมูกทั้งสองข้างเชื่อมไปจนถึงหัวคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ จากนั้นใช้โน้สแชโดว์ที่เหลือติดแปรงปัดบริเวณ 1 / 3 ของจมูกด้านล่าง ให้ปัดเบาๆลงมาทั้งสองข้าง บริเวณวงกลมตรงปีกจมูกอาจจะดูคล้ำลง แต่จะช่วยเสริมปลายจมูกให้ดูเด่นขึ้น

การเลือกแปรงและโน้สแชโดว์
ควรเลือกที่เข้มกว่าโทนสีผิวประมาณ 1 โทน และเลือกชนิดที่มีมุกผสมอยู่ไม่มากนัก แปลงที่เล็กเกินไปจะทำให้เหลือคราบทิ้งไว้ ควรเลือกใช้แปรงขนาดกลางที่เป็นขนแปรงธรรมชาตินุ่มกำลังดี

เทคนิคเฉดดิ้งตามลักษณะจมูก

จมูกกลมเป็นกระเปาะ
จมูกแบบนี้ทำให้หน้าดูบานออก ให้ทาโน้สแชโดว์ปิดทับบริเวณปีกจมูกเบาๆ เพื่อเสริมดั้งจมูก และทาโน้สแชโดว์เบาๆบริเวณข้างจมูกด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้จมูกดูเป็นสันขึ้นมา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

จมูกยาว
ใช้โน้สแชโดว์ทาเพื่อแรงเอาตั้งแต่บริเวณรอยต่อระหว่างร่องริมฝีปากบนกับใต้จมูกไปจนถึงปลายจมูก เพียงทาไฮไลท์บริเวณพื้นที่รูปตัว T สั้นๆตรงกึ่งกลางหน้าผาก แล้วเน้นบริเวณจมูกส่วนล่างเท่านั้น จมูกยาวก็จะดูสั้นลง

จมูกงุ้ม
ให้ทาโน้สแชโดว์เล็กน้อยเริ่มตั้งแต่บริเวณใต้จมูกจนถึงปลายจมูก ตรงกลางสันจมูกบริเวณที่ยื่นออกมาให้ทาเบาๆในแนวนอนเพื่อสร้างความแตกต่าง

จมูกเล็กและสั้น
ไฮไลท์ยาวๆบนสันจมูก จากนั้นทาโน้สแชโดว์ข้างจมูกทั้งสองข้างเป็นเส้นตรงยาว ถ้ายาวลงมาจนถึงด้านล่าง

5. การทำใบหน้าให้เล็กลงด้วยตนเอง

สาวๆตะวันออกส่วนใหญ่มีใบหน้ากลมแบนมาตั้งแต่เกิดถ้าไม่ยอมรับสภาพก็ทำศัลยกรรม แต่ใบหน้าสามารถจะดูเรียวบางและคมได้แบบไม่เจ็บตัวด้วยแปรงแต่งหน้า ลองใช้เทคนิคเฉดดิ้งและไฮไลท์ที่เหมาะสมในการแต่งหน้าแบบ Small Face make up ที่จะทำให้ใบหน้าดูเล็กลงอย่างน่าอัศจรรย์
ขั้นตอนการทำใบหน้าให้ดูคมและเรียวเล็ก

จัดการแนวผม

เริ่มจากปิดเหลี่ยมหน้าผากตามแนวผมด้านข้างเพื่อทำให้ใบหน้ารูปไข่ ใช้แป้งคอนทัวร์ทาโดยเริ่มบริเวณเส้นผมไล่ออกมาทางด้านใบหน้าท้าทับจนไม่เห็นรอยต่อ

ทำกราเดชั่น

ใช้แปรงเฉดดิ้งทำกราเดชั่นเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ และมองไม่เห็นรอยต่อระหว่างใบหน้ากับแนวผม    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เฉดดิ้งบริเวณกรามและลำคอ

เฉดดิ้งเป็นแนวกว้างจากบริเวณหูไล่ลงมาตามกราม ปัดเบาๆจนไม่เห็นรอยต่อ หากปัดไล่ลงมาตามแนวลำคอจะช่วยให้คอดูเรียวเล็กลงและน่ารัก

ปัดบลัชออน

ใช้บลัชออนปัดวนเป็นวงกลมที่บริเวณโซนแอ๊ปเปิ้ลเล็กน้อย

ไฮไลท์โซน T

สำหรับใบหน้ายาวให้ไฮไลท์เป็นรูปตัว T สั้นๆ สำหรับใบหน้ากลมหรือใบหน้าที่จมูกสั้นให้ทำไฮไลท์รูปตัว T ยาวๆมาจนถึงปลายจมูก สำหรับคนที่คางสั้นให้ไฮไลท์ที่ใต้คางด้วย คนที่คางยาวอยู่แล้วก็ไม่ต้องทำ

ทำดวงตาให้สว่างขึ้น

หากไฮไลท์ที่โซนสามเหลี่ยมและโซน C บนใบหน้าจะทำให้ดูสว่างสดใสขึ้น

ตามเทรนการแต่งหน้าอย่างมีรสนิยม

แบรนด์เครื่องสำอางและเหล่าเมคอัพอาร์ติสท์ล้วนได้รับแรงบันดาลใจในแต่ละฤดูกาลมาจากแคทวอล์ค เวทีแฟชั่นของปารีส มิลาน นิวยอร์ก และลอนดอน ซึ่งเทรนการแต่งหน้านางแบบชาวตะวันตกนั้นสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้กับใบหน้าของชาวเอเชียได้ง่ายๆ

อายไลเนอร์ชนิดดินสอสี

หากใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีฟ้าหรือสีน้ำเงินเขียนขอบตาบนหรือขอบตาล่างทับแนวขนตา จะทำให้ลูกตาดำถูกล้อมกรอบด้วยประกายสีเงินกลายเป็นลูกที่ดูใหม่แปลกตา หรือไม่ก็ใช้ดินสอสีน้ำตาลหรือดินสอสีดำเหมือนสีตาร่วมกับดินสอสีอื่นๆแต่งดวงตาแบบทูโทน ใช้ดินสอสีดำเขียนโครงก่อน แล้วใช้ดินสอสีอื่นๆทำกราเดชั่น [adinserter name=”navtra”]

ลงเมคอัพเบส

ผิวหนังแบบเป็นประกายแวววาวใต้แสงสปอร์ตไลท์ ให้ผสมเมคอัพเบสมุกกับรองพื้นทาบางๆให้ทั่ว แต่ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมมุกมากจนเกินไปนอกจากจะดูเฉิ่มเชยแล้วยังทำให้ใบหน้าดูใหญ่ขึ้นด้วย หากอยากโชว์ผิวที่ไม่มันเงาสไตล์เฟรนช์แบบเก๋ๆให้ค่อยๆทารองพื้นที่ไม่ผสมมุกให้ทั่ว แล้วใช้แปรงด้ามใหญ่ทาแป้งฝุ่นเนื้อละเอียดเบาๆให้ทั่วใบหน้า เพียงเท่านี้ก็แต่งผิวให้ดูมีเทรนด์ได้อย่างง่ายดาย

ลิปสติกสีสันฉูดฉาด

ลิปสติกสีแรงๆ อย่างสีชมพูหรือสีแดงกำลังมาแรงบนแคทวอล์ค แต่หากแต่งหน้าแบบจัดเต็มแล้วยังทาลิปสติกสีฉูดฉาดด้วยนั้นถือว่ามากเกินไป จึงควรระวังให้ดีเพราะจะทำให้ดูเฉยเฉยเหมือนย้อนกลับไปยุคทศวรรษ 1980 หากทาลิปสติกสีฉูดฉาดก็ควรเผยผิวที่ดูสะอาดให้มากที่สุด และเลือกลิปสติกสีแดงๆที่ช่วยขับสีเสื้อผ้าจะดีกว่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

รอยตีนกาแก้ไขอย่างไร

0
รอยตีนกาแก้ไขอย่างไร
รอยตีนกา เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา
รอยตีนกาแก้ไขอย่างไร
รอยตีนกา เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา

รอยตีนกา

รอยตีนกา หรือริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณหางตา ( Crow’s feet ) เป็นริ้วรอยที่ผู้หญิงหรือแม้แต่ผู้ชายบางคนก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นบนใบหน้า เพราะทำให้ใบหน้าแลดูแก่มากขึ้น การเกิดรอยตีนกาก็ไม่สามารถหลีกหนี้ให้พ้นได้ ซึ่งรอยตีนกา คือ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา รอยตีกาสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีอายุน้อยและผู้ที่มีอายุมาก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยตีนกาบนใบหน้ามีดังนี้ 

สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยตีนกาบนใบหน้า

1.อายุ

เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) เกิดขึ้นน้อยลง เนื่องจากปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) ที่ลดลง ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้น ( skin hydration ) และเพิ่มปริมาณคอลลาเจนภายในผิวหนัง โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณ type I procollagen mRNA และ type I procollagen protein และช่วยเพิ่มกระบวนการสร้าง transforming growth factor beta ( TGF- β ) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้าง fibroblasts ที่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินภายในร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) น้อยลง คอลลาเจน ( Collagen ) ที่มีหน้าช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความหนาแน่นและช่วยให้ผิวมีความเรียบตึง และอีลาสติน ( Elastin ) ที่มีหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น พร้อมทั้งช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยมีปริมาณน้อยลง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินไปทดแทนส่วนที่สูญเสียไปได้อย่างเพียงพอ ทำให้บริเวณใต้ผิวหนังเกิดช่องว่างขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังที่อยู่ด้านบนมีการยุบตัวลงไปอยู่ในช่องว่างดังกล่าวแทนซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอยและรอยตีนกานั่นเอง ดังนั้นเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นริ้วรอยก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่วนมากแล้วรอยตีนกาจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุย่างเข้า 30 ปี

2.การแสดงอารมณ์

การแสดงอารมณ์ที่รุนแรงและชัดเจนของใบหน้า เช่น การโกรธ การหัวเราะ การยิ้ม การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว เป็นการทำให้เกิดริ้วรอยตีนกาได้ เนื่องจากการแสดงสีหน้าเพื่อบ่งบอกอารมณ์ของตนเองจะทำให้กล้ามเนื้อที่บริเวณใบหน้าเกิดการหดตัวขึ้น ซึ่งในช่วงแรกริ้วรอยและรอยตีนกาที่เกิดขึ้นจะเกิดเพียงชั่วคราวในขณะที่ทำการแสดงสีหน้าอารมณ์เท่านั้น แต่ถ้ามีการแสดงอารมณ์เช่นนั้นต่อเนื่องเป็นประจำแล้ว รอยตีนกาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวก็จะกลายเป็นรอยตีนกาที่คงอยู่ถาวร แม้ว่าไม่แสดงอารมณ์รอยตีนกาก็ยังปรากฏให้เห็นชัดเจน

3.พักผ่อนไม่เพียงพอ

การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนควรนอนในช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. จนถึง 06.00 น. และควรนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันจะดีที่สุด เพราะการนอนในช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone/GH ) ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมเซลล์ที่เกิดการสึกหรอให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไป โดยเฉพาะการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน การนอนพักผ่อนในช่วงเวลาดังกล่าวจึงทำให้ริ้วรอยเกิดขึ้นน้อยลง แต่ถ้าทำการพักผ่อนน้อยและเข้านอนช้ากว่า 24.00 น. แล้ว โอกาสที่ร่างกายจะทำการหลั่งโกรทฮอร์โมนเพื่อนำมาซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายมีน้อยมาก จึงทำให้เกิดริ้วรอยตีนกาได้มากขึ้นนั่นเอง

4.การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้มาก เนื่องจากบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดแดงที่ทำหน้าที่นำสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ภายในร่างกายเกิดการตีบเล็กลง เส้นเลือดจึงไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ที่บริเวณหางตาได้ ทำให้เซลล์ที่บริเวณหางตาอ่อนแอและเหี่ยวแห้ง นอกจากนั้นสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่ยังสามารถเข้าไปยับยั้งการสร้างคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ได้มากถึง 40 % จึงทำให้ใบหน้าเกิดรอยตีนกามากกว่าคนที่มีอายุเท่ากันแต่ไม่ได้สูบบุหรี่อีกด้วย และสารนิโคตินยังมีส่วนในการกระตุ้นกระบวนการผลิตเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( matrix metalloprotenase หรือ MMPs ) ที่มีหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจนให้มีปริมาณที่มากขึ้น เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ปริมาณของคอลลาเจนลดลง

5.แสงแดด

แสงแดดประกอบด้วยรังสียูวีเอและยูวีบีที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในผิวชั้นในได้ รังสียูวีที่อยู่ในแสงแดดเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสามารถซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังชั้นในและทำการเปลี่ยนอยู่ในรูปของอนุมูลอิสระที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของ Mitogen-Activated Protein ( MAP ) Kinase ให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง Mitogen-Activated Protein ( MAP ) Kinase มีหน้าที่ในการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( Matrix Metalloprotenase หรือ MMPs ) ที่ทำหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจน ส่งผลให้ปริมาณเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนสภายในร่างกายเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงการย่อยสลายคอลลาเจนมากขึ้น ส่งผลให้ช่องว่างที่บริเวณใต้ผิวมีเพิ่มขึ้นจึงทำให้ริ้วรอยตีนกามีปริมาณเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6.ความเครียด ( Oxidative stress )

เมื่อร่างกายเกิดความเครียดจากการทำงาน การเดินทาง การได้รับมลพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูง เช่น ควันรถ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ร่างกายมีปริมาณสารอนุมูลอิสระ ( Free radical หรือ Reactive Oxygen species, ROS ) ภายในร่างกายสูงขึ้น โดยสารอนุมูลอิสระที่อยู่ภายในร่างกายจะเข้าไปยับยั้งกระบวนการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวและกระตุ้นการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( MMPs ) ที่ย่อยสลายคอลลาเจน ส่งผลให้การสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นน้อยกว่ากระบวนการทำลายคอลลาเจน จึงทำให้รอยตีนกาเกิดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

รอยตีนกา คือ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา

การรักษารอยตีนกา

นอกจากอายุที่นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดรอยตีนแกแล้ว แสงแดด ความเครียดและการแสดงอารมณ์ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยตีนกามากขึ้น รวมถึงมลภาวะที่อยู่รอบตัวที่เต็มไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะเข้าไปขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ร่างกายสร้างได้น้อยลงและช่วยเพิ่มการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( Matrix Metalloprotenase หรือ MMPs ) ที่มีหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจนและอีลาสตินให้มีปริมาณมากขึ้น ซึ่งเราสามารถทำการรักษารอยตีนกาที่เกิดขึ้นได้ดังนี้

1.การทาครีมลบรอยตีนกา

การทาครีมที่ช่วยลบรอยตีนกาจะช่วยลบเลือนรอยตีนกาเป็นประจำสามารถช่วยลดรอยตีนกาที่เกิดขึ้นให้ค่อย ๆ จางลงได้ โดยปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาครีมลดเลือนรอยตีนกาเกิดขึ้นมากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในการลบรอยตีนกาที่เกิดขึ้น ซึ่งสารหลายชนิดที่สามารถช่วยลดรอยตีนกาได้ เช่น กรดไฮยาลูรอน ( Hyaluronic Acid ) ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและช่วยต่อต้านการสร้างอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากแสงแดด หรือครีมที่มีสาวนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากองุ่น สารสกัดจากชาเขียว สารสกัดจากกาแฟ เป็นต้น การทาครีมบำรุงผิวเพื่อลบรอยตีนกาเหมาะสำหรับรอยตีนกาที่มีความลึกไม่มากนัก 

2.การฉีดโบท็อกซ์ ( Botox )

การฉีดโบท็อกซ์ ( Botox ) หรือสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ( Botulinum toxin A ) เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกิดการหดตัวให้มีการคลายตัวทำให้รอยตีนกาที่เกิดขึ้นจากการแสดงอารมณ์จนกล้ามเนื้อเกิดการหดตัวกลับมาเรียบตึงได้เหมือนเดิม โดยสารชนิดนิวโรท็อกซิน ( Neurotoxin ) ที่อยู่ในสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ( Botulinum toxin A ) จะเข้ายับยั้งการทำงานของเส้นประสาทอะซิทิลคอลีน ( Acetylcholine ) ที่มีหน้าที่ปล่อยสารสื่อประสาทควบคุมการยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นประสาทอะซิทิลคอลีนไม่สามารถทำการปล่อยสารสื่อประสาทออกมาได้ กล้ามเนื้อที่หดตัวอยู่จึงเกิดการคลายตัวและกลับมาเรียบตึง หลังจากที่ทำการฉีกแล้วประมาณ 7 วัน รอยตีนกาที่มีอยู่จะหายไป การฉีดโบท็อกซ์จะคงอยู่เพียง 6-8 เดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องฉีดเพิ่มตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดจึงจะทำให้รอยตีนกาที่เกิดขึ้นหายไปได้ และการฉีดต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

3.การฉีดฟิลเลอร์ ( FILLER )

ฟิลเลอร์ ( FILLER ) คือ สารไฮยารูโรนิก แอซิต ( Hyaluronic acid หรือ HA ) ที่ได้มาจากสารสกัดธรรมชาติ จัดเป็นสารเติมเต็มที่ทำการฉีดเข้าสู่บริเวณช่องว่างที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังเพื่อช่วยเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เป็นการลดรอยตีนกาอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หลังจากฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 7 วัน รอยตีนกาก็จะหายไปเพราะฟิลเลอร์จะเข้าไปอยู่ในช่องว่างที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังแทนคอลลาเจนและอีลาสตินที่สูญเสียไปตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวหนังกลับมาเต่งตึงเรียบเนียนเหมือนเดิม การฉีดฟิลเลอร์จะคงอยู่ได้นานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ส่วนมากจะนิยมใช้ฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราวที่มีผลอยู่ได้ประมาณ 4- 6 เดือนเพราะมีความปลอดภัยสูงที่สุด

4.การฉายแสงเลเซอร์ ( Laser )

การฉายแสงเลเซอร์เข้าไปสู่บริเวณหางตาสามารถช่วยลบรอยตีนกาแบบระยะสั้น โดยแสงเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่หมดอายุให้หลุดลอกออกมาแล้ว ยังเข้าไปกระตุ้นการบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ใต้ผิวให้มีการผลิตมากขึ้นเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป ทำให้รอยตีนกาที่เกิดขึ้นหายไป ผิวหนังกลับมาเต่งตึงดังเดิม ซึ่งการฉายแสงเลเซอร์จะสามารถลบรอยตีนกาได้ประมาณ 3-4 เดือนต่อการฉายหนึ่งครั้ง

5.การผ่าตัดเพื่อลบรอยตีนกา

การผ่าตัดเพื่อลบรอยตีนกาหรือการผ่าตัดยกคิ้ว เป็นการผ่าตัดที่สามารถช่วยลดรอยตีนกาที่บริเวณหางตาที่ได้ผล โดยจะทำการฉีดยาชาไปที่บริเวณหางตา ทำการเปิดแผลยาว 4-5 เซนติเมตร เพื่อดึงผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณหางตาให้ตึง และตัดผิวหนังและกล้ามเนื้อส่วนเกินออกไปแล้วจึงทำการเย็บปิดแผล ซึ่งรอยแผลที่เกิดขึ้นจะทำการเย็บซ่อนที่บริเวณขมับที่มีเส้นผมปิดบังอยู่ ซึ่งการผ่าตัดจะสามารถลบรอยตีนกาได้ระยะยาวหลายปีเลยทีเดียว

การป้องกันรอยตีนกา

จะพบว่าการรักษารอยตีนกานั้นเป็นการรักษาแบบชั่วคราวไม่มีวิธีการที่สามารถรักษารอยตีนกาให้หายไปได้ตลอดชีพ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นผิวหนังก็จะมีความเสื่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อรักษารอยตีนกาให้หายแล้ว เราควรที่จะทำการป้องกันรอยตีนกาไม่ให้กลับมาเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งการป้องกันสามารถช่วยชะลอการเกิดรอยตีนกาและช่วยยืดอายุของการลบรอยตีนกาให้คงอยู่บนใบหน้าของเราให้นานขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษารอยตีนกาและช่วยให้ใบหน้าอ่อนเยาว์นานขึ้นอีกด้วย ซึ่งการป้องกันรอยตีนกาสามารถทำได้ดังนี้

1.เลือกรับประทานผักผลไม้

ผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม โดยสารต้านอนุมูลอิสระนี้จะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระที่อยู่ภายในร่างกายและขับออกจากร่างกาย ทำให้ไม่สามารถเข้ามารบกวนการทำงานของระบบการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้ รวมถึงลดการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( Matrix Metalloprotenase หรือ MMPs ) ให้มีปริมาณน้อยลงด้วย และน้ำในผักผลไม้ยังสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ได้อีกด้วย

2.การพักผ่อนให้เพียงพอ

ร่างกายจะสามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอได้ในขณะที่ทำการนอนหลับสนิท โดยเฉพาะการนอนในช่วงกลางคืนตั้งแต่ 22.00 น. – 6.00 น. ดังนั้นการพักผ่อนตามเวลาดังกล่าวจะทำให้รอยตีนกาเกิดขึ้นได้น้อยนั่นเอง 

3.หลีกเลี่ยงรังสียูวี

รังสีอัตราไวโอเลตหรือรังสียูวีที่มีอยู่ในแสงแดดหรือแม้แต่แสงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือต่างก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดรอยตีนกาทั้งสิ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงรังสียูวีไม่ให้สัมผัสและซึมเข้าสู่ผิวหน้าด้วยการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ใส่หมวกและแว่นตากันแดด เมื่อจำเป็นต้องออกกลางแจ้งจะช่วยลดการซึมเข้าสู่ผิวของรังสียูวีได้เป็นอย่างดี

4.ทาครีมบำรุงผิว

การทาครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว เป็นการป้องกันการเกิดรอยตีนกาอย่างได้ผล ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการพัฒนาครีมหลายชนิดขึ้นมาเพื่อป้องกันการเกิดรอยตีนกา เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของสารไฮยาลูรอนิค ( Hyaluronic Acid ) หรือมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารสกัดจากชาเขียว เมล็ดกาแฟ เป็นต้น การครีมที่ดีต้องทำการนวดบริเวณหางตาร่วมด้วย เพื่อให้ครีมสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้น และยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่บริเวณหางตา ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อซึ่งเป็นที่มาของรอยตีนกาได้อีกด้วย

การป้องกันรอยตีนกาตามวิธีข้างต้นสามารถป้องกันไม่ให้เกิดรอยตีนกาก่อนวัยอันควรอย่างได้ผล และยังช่วยเพิ่มระยะเวลาการกลับมาของรอยตีนกา ทำให้ใบหน้าเรียบเนียนปราศจากรอยตีนกายาวนานขึ้น เมื่อทำการรักษารอยตีนการรวมกับการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ที่นี้เราก็จะมีใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ปราศจากรอยตีนกาไปอีกหลายปี

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Wang-Michelitsch, Jicun; Michelitsch, Thomas (2015). “Tissue fibrosis: a principal evidence for the central role of Misrepairs in aging”. arXiv:1505.01376 Freely accessible.

Sarifakioglu, Nedim; Terzioglu, A.; Ates, L.; Aslan, G. (2004). “A New Phenomenon: ‘Sleep Lines’ on the Face”. Scan J Plast Reconstr Surg Hand Surg. 38 (4): 244–247. doi:10.1080/02844310410027257.

บำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น

0
บำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น
การรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์จนทุกๆคืนก่อนเข้านอนเป็นนิสัย
บำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น
การรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์จนทุกๆคืนก่อนเข้านอนเป็นนิสัย

บำรุงริมฝีปาก

บำรุงริมฝีปาก ด้วยลิปสติก ลิปสติก ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องสำอางธรรมดาๆอย่างที่คิด แต่เป็นสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งหน้า สมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้นเวลาที่ส่องดูโต๊ะเครื่องแป้งของคุณแม่เรามักจะหยิบลิปสติกขึ้นมาเป็นอันดับแรกสุด เพราะสีลิปสติกทำให้ภาพลักษณ์ของคนเปลี่ยนไป สีสันของแต่ละวันนั้นจะแตกต่างกันไปตามสีลิปสติกที่เลือก จากภาพลักษณ์บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเป็นยั่วยวน จากเซ็กซี่เป็นฉลาดเฉลียว จากเย็นชาเป็นกระตือรือร้น ลิปสติกสามารถบำรุงริมฝีปาก ให้เปลี่ยนภาพลักษณ์ได้จากหน้ามือเป็นหลังมือในเวลาสั้นๆ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ไอเท็มสำหรับริมฝีปากนั้นเรียบง่ายแต่การเลือกสีลิปสติกไม่ง่ายเลย

1.ลิปบาล์ม

จุดเริ่มต้นของริมฝีปากชุ่มชื้นและสุขภาพดี ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องใช้ลิปบาล์ม ในขั้นตอนของการบำรุงริมฝีปากควรซื้อลิปบาล์มที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนริมฝีปากและทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นไว้ด้วยซักชิ้น

2.ลิปสติกสี

ลิปสติกมีหลายประเภท ทั้งลิปกลอส ลิปทินต์ ลิปไลเนอร์ และชนิดอื่นๆ แนะนำให้เลือกซื้อลิปสติกสีที่ชอบไว้หลายๆชิ้นเพื่อจะได้เข้าชุดต่างๆในแต่ละวัน

3.แปรงทาปาก

แม้แต่ความแตกต่างของขอบริมฝีปากเส้นบางๆก็สามารถกำหนดภาพลักษณ์ของเราได้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่งดงามแล้ว แปรงทาปากคือสิ่งจำเป็น

4.เอกซ์โฟลิเอเตอร์สำหรับริมฝีปาก

เป็นไอเท็มที่ใช้กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนริมฝีปาก

5.คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอ

ใช้แต่งขอบริมฝีปาก ข้อดีคือทำให้ลิปสติกดูสวยและไม่เลอะเทอะ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การดูแลริมฝีปากให้ชุ่มชื้นดูน่าจูบ

  • มาทาลิปบาล์มทุกวันกันเถอะ
    ถึงแม้ว่าจะเผยผิวสวยสมบูรณ์แบบและทาลิปสติกสีสันชวนลุ่มหลงก็ตาม แต่หากเล็ก 10 บาทดูบวมแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เร็ว 10 บาทเรียบเนียนและชุ่มชื้นไม่เพียงจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการแต่งหน้า แต่ยังทำให้ภาพลักษณ์ดูผ่อนคลายด้วย เคล็ดลับในการรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มทุกวันจนเป็นนิสัย ทุกๆคืนก่อนเข้านอนให้ทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์ บางครั้งการใช้มาสก์สำหรับริมฝีปากชนิดแผ่นก็ยิ่งดี
  • ใส่ใจกับการกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพบนริมฝีปาก
    เวลาที่ไม่มีเอกซ์โฟลิเอเตอร์สำหรับกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพบนริมฝีปาก ให้ป้ายวาสลีนบนแปรงสีฟันสำหรับเด็กแล้วขัดริมฝีปากอย่างเบามือ จุ่มผ้านุ่มนุ่มๆในน้ำอุ่นแล้วแตะเบาๆลงบนริมฝีปาก ก่อนจะหาน้ำผึ้งซึ่งอุดมไปด้วยความชุ่มชื้น ห้ามดึงขุยที่ปากออกมาเด็ดขาด และห้ามเลียริมฝีปากด้วย
  • ป้องกันริ้วรอยที่ปากกันดีกว่า
    สิ่งที่ผู้หญิงทั้งหลายกว่ากันมากที่สุดเมื่ออายุมากคงหนีไม่พ้นริ้วรอยที่ปากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเวลาที่ทาลิปสติกจะยิ่งทำให้เห็นริ้วรอยง่ายขึ้นไปอีก ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันริ้วรอยไว้แต่เนิ่นๆ หลังจากล้างหน้า ควรบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้นและมันนวดริมฝีปากอยู่เสมอ เวลาทาอายครีมก็ให้ใช้อายครีมทาบริเวณรอบรอบริมฝีปากและคอยนวดไปด้วยจะช่วยป้องกันริ้วรอยรอบริมฝีปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดริมฝีปาก
    ในวันที่ดื่มเครื่องดื่มจำพวกวายหรือเครื่องดื่มที่มีสี ตอนล้างหน้าเราอาจจะไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่วันต่อมาอาจพบว่าสีของเครื่องดื่มที่ดื่มไปนั้นยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก หากทาลิปบาล์มหรือลิปกลอสก่อนดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้จะทำให้สีของเครื่องดื่มติดที่ริมฝีปากน้อยลง นอกจากนั้นในวันที่ทาลิปสติกสีเข้มมากๆควรใช้คลีนซิ่งล้างทำความสะอาดริมฝีปากให้หมดจดด้วย หากใช้เมคอัพรีมูฟเวอร์หรืออายรีมูฟเวอร์ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดออกอย่างเบามือ

สนุกกับริมฝีปากด้วยประเภทของลิปสติกต่างๆ

ลิปสติกสีที่เข้ากับคนและค้นทาแล้วรู้สึกดีนั่นแหละคือลิปสติกที่คนต้องการ ลองเปลี่ยนสีรถสติไปตามอารมณ์และสไตล์ในแต่ละวันของคุณ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ลิปสติกเนื้อเชียร์
เป็นลิปสติกที่มีคุณสมบัติระหว่างลิปสติกธรรมดากับลิปกลอส มีเม็ดสีผสมอยู่ในลิปสติกประเภทนี้ไม่มาก เมื่ออยู่ในแท่งอาจดูมีสีเข้ม แต่ทาบนริมฝีปากแล้วจะได้สีอ่อนกว่าที่เห็น เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ชอบลิปสติกสีจัด และอยากให้ริมฝีปากดูเนียนสวยอย่างเป็นธรรมชาติ

ลิปชิมเมอร์
เป็นลิปสติกที่ผสมมุก ทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ดูฉ่ำ และแวววาว ข้อดีคือให้สีที่นุ่มนวลและเหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณริมฝีปาก

ลิปสติกชนิดครีม
เป็นลิปสติกที่มีความชุ่มชื้นและให้สีที่เด่นชัด จะมีเม็ดสีที่บางเบามากกว่า และไม่มันวาวมากจนเกินไป ไม่ทำให้ปากแห้ง หากคุณชอบลิปสติกที่ให้สีสดใสหรือชอบลิปสติกที่มีความแวววาว ลิปสติกประเภทนี้เหมาะกับคุณที่สุด

ฟรอสตี้ลิปสติก
เป็นลิปสติกที่มีเนื้อสีเข้มข้น มีประกายมุกและมีส่วนผสมของกริตเตอร์ ทาแล้วริมฝีปากจะดูเปล่งปลั่งสดใสและมีประกาย แต่ไม่มันวาวจนเกินไป

ลิปกลอส
เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ทาบนปากให้ความชุ่มชื้นและมีความแวววาวแต่ติดไม่ทน สีอ่อนๆ เจือจาง มีทั้งเป็นแบบเหลวหรือแบบก้อนในตลับจึงอาจทำให้ต้องทาซ้ำหลายรอบ

ลิปสเตน ลิปทินต์
ลิปสเตนมีจุดกำเนิดมาจากผลิตภัณฑ์แบบลิควิดและเจล มีเม็ดสีผสมอยู่ จึงให้สีที่เป็นธรรมชาติเหมือนกับสีที่ติดริมฝีปากเด็กเวลากินขนมหวาน ลิปสติกประเภทนี้จะไม่เหมือนกับลิปสติกทั่วไปหรือลิปกลอสที่มีเนื้อลื่นลื่นๆ ในกรณีที่ริมฝีปากซีดหรือไม่รู้ทน สีของริมฝีปากตนเอง ให้ทาลิปสเตนเป็นเบสรองไว้ก่อน ทาลิปกลอสหรือลิปสติก เพราะจะช่วยให้สีดูสดขึ้น

ลิปสติกเนื้อแมตต์
ลิปสติกประเภทนี้มีความเข้มข้นของเนื้อสีชัดมากที่สุด เป็นลิปสติกเนื้อด้านที่ไม่มีความมันวาว ทาแล้วจะแห้ง ติดทนนานและอยู่ได้ทั้งวัน สำหรับสาวๆที่มีปัญหาปากแห้งอาจจะไม่เหมาะ เพราะจะทำให้ตกร่อง และเป็นคราบ แนะนำให้ทาลิปบาล์มที่ริมฝีปากให้หนาและชุ่มชื้นก่อนทาลิปสติก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ลิปไลเนอร์
ลิปไลเนอร์ หรือดินสอเขียนขอบปาก ใช้สำหรับเน้นขอบและเรียวปากให้ชัดขึ้น มักจะใช้เป็นสีที่ใกล้เคียงกับลิปสติก โดยใช้วาดขอบก่อนลงลิปสติก จะช่วยให้ริมฝีปากสวยและคมชัดมากขึ้น

สีของลิปสติกช่วยปรับสีผิว

หากผิวมีรอยแดง
ควรหลีกเลี่ยงโทนสีแดง และเลือกใช้โทนสีชมพูอ่อน พีชอ่อน หรือโทนสีกลางกลางประเภทสีนู้ดหรือสีเบจ จะช่วยกลบเกลื่อนไม่ให้เห็นรอยแดงได้

หากผิวซีดเหมือนคนป่วย
ควรเลือกใช้โทนสีอุ่นอุ่นที่ให้ใบหน้าดูมีสีสัน เช่น สีน้ำตาลแดง สีชมพูแดง หรือสีชมพูพีช เป็นต้น

หากสีผิวหมองคล้ำ
ควรเลือกใช้ลิปสติกแบบเนื้อแมตต์สีฮ็อตพิ้งค์ สีพีช สีส้ม หรือโทนสีแดงสด จากนั้นควรทาลิปกลอสทับด้วย

ปกปิดจุดบกพร่องด้วยลิปสติก

หากคนมีริมฝีปากใหญ่และหนา
หากเลือกทาลิปสติกเนื้อแมทโทนสีธรรมชาติ คุณเองก็จะมีริมฝีปากที่น่าหลงใหลเหมือนแองเจลิน่า โจลี ได้เช่นกันสีที่ควรหลีกเลี่ยงคือสีแดงๆที่ดึงดูดสายตาผู้คน

หากคุณมีเส้นขอบปากเลือนรางไม่ชัดเจน
ใช้ลิปอายไลเนอร์แบบดินสอหรือลิปคอนซีลเลอร์วาดรูปปากให้สวยงามก่อนจะทาลิปสติกผสมมอยส์เจอไรเซอร์และลิปกลอสทับ จะช่วยให้ลิปสติกติดทนนานและเพิ่มความอวบอิ่มได้ในเวลาเดียวกัน

หากคุณมีริมฝีปากบางเล็ก
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ผสมมุกหรือแบบกลอส ลิปสติกเนื้อเชียร์จะช่วยให้ริมฝีปากเล็กๆดูสวยน่ารักขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคนมีขนาดริมฝีปากบนและล่างไม่เท่ากัน
ใช้ลิปสติก 2 สีที่มีโทนสีใกล้เคียงกัน สีสว่างให้ใช้กับริมฝีปากที่บาง และทาสีเข้มบริเวณริมฝีปากที่หนา การใช้ลิปสติก 2 โทนนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูสวยขึ้นมาทันที

ลิปสติก 3 ชนิดที่ต้องมีไว้

1.ลิปกลอสแบบเอกซ์ตรีม หากมีริ้วรอยบริเวณริมฝีปากหรือริมฝีปากบาง ลิปประเภทนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มขึ้น

2.ลิปสติกโทนกลางๆ การทาลิปสติกโทนสีธรรมชาติที่มีประกายมุกเล็กน้อยนั้นทำให้คุณดูเจิดจรัสได้

3.ลิปทินต์และลิปบาล์ม ใช้ได้ทุกวันอย่างหายห่วง ควรพกลิปสติกโทนสีเดียวกับสีริมฝีปากธรรมชาติของตนเองไว้ด้วย

เคล็ดลับ 5 ประการในการทาลิปสติกให้ออกมาดูดี

1. หากใช้ดินสอเขียนขอบปากเขียนออกไปด้านนอกให้หนากว่าเส้นขอบปากเดิมเพียง 1 มิลลิเมตร ก็ทำให้ริมฝีปากมีวอลลุ่มและดูอวบอิ่มได้
2. ถ้าลิปสติกสีสดใสบางๆบริเวณด้านในของขอบริมฝีปากเท่านั้น จากนั้นให้ใช้นิ้วเบลนด์ลิปสติกเพื่อให้ดูน่ารักและเป็นธรรมชาติ
3. เวลาทาลิปสติกสีแมตต์ ให้ทารองพื้นสีอ่อนๆทับริมฝีปากก่อน จากนั้นค่อยทาลิปสติกเพิ่มความคมชัด เวลาทาลิปสติกสีสันฉูดฉาดอย่างสีชมพูสดหรือสีนีออน ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้
4. ถ้าอยากคงความแวววาวเหมือนลิปกลอสเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูคม ให้ทาลิปทินต์ ก่อนทาลิปสติกเนื้อบางเบาหรือนุ่มลื่น
5. ถึงแม้จะเป็นลิปสติกสีแดงเหมือนกัน แต่คนผิวคล้ำให้ทาสีม่วงแดง คนผิวขาวทาสีแดงสด สีม่วงแดงให้ความรู้สึกเซ็กซี่ ส่วนสีแดงสดนั้นให้ความรู้สึกคลาสสิก

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เบสเมคอัพสำหรับริมฝีปาก 3 ขั้นตอน

1.ทาลิปบาล์ม หากไม่ชอบความเหนอะหนะให้ใช้ลิปสติกแบบแท่ง หากต้องการความชุ่มชื้นให้ใช้แบบครีมหรือแบบบางเนื้อนุ่ม

2.ตกแต่งรอบริมฝีปาก ใช้คอนซิลเลอร์จัดการกับบริเวณรอบริมฝีปาก ขอบปากที่ไม่ชัดเจน และริ้วรอยรอบริมฝีปาก

3. ใช้แป้งหยุดยึดเมคอัพเบส ใช้แป้งฝุ่นกดแป้งปกปิดบางๆ และทำให้สีลิปสติกติดทนนาน

การแต่งขอบปากให้สวยได้รูปด้วยลิสติก

โดยปกติแล้ว เส้นขอบปากที่อยากเป็นรูปหัวใจ เส้นขอบปากด้านในที่เป็นเส้นตรง เวลาหุบปาก ริมฝีปากที่หนากำลังดี มุมปากที่ยกสูงเล็กน้อย ลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นริมฝีปากที่สวยงาม แต่สำหรับคนที่ริมฝีปากบาง หนา ขอบริมฝีปากไม่ชัด หรือให้อยากเป็นรูปหัวใจ

ริมฝีปากบาง

ทำริมฝีปากบางให้ดูอวบอิ่ม
ใช้ลิปสติกชนิดดินสอเขียนขอบริมฝีปากด้านนอกแล้วไล่เข้ามาในด้านในอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นทาคอนซีลเลอร์รอบรอบเส้นลิปสติกให้ดูสะอาดตา แล้วใช้ลิปกลอสหรือลิปสติกเนื้อมันวาวทาริมฝีปากให้เต็ม จะช่วยให้ริมฝีปากดูมีวอลลุ่ม
ทำริมฝีปากใหญ่หนาให้ดูคม
ขณะที่ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอแต่งขอบปาก ให้จำไว้ว่าต้องลดขนาดริมฝีปากลงมาเพียง 1 มิลลิเมตร ใช้ลิปสติกเนื้อแมตต์โทนสีธรรมชาติตกแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติ จะทำให้ริมฝีปากที่น่าหนักใจนั้นดูดีขึ้น
ทำริมฝีปากที่หมองคล้ำให้ดูสะอาดตา
ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ สีริมฝีปากก็ดูไม่สว่างสดใสและริมฝีปากดูบ้านออกด้านข้าง ให้ใช้ดินสอคอนซีลเลอร์แต่งบริเวณรอบริมฝีปากที่หมองคล้ำ จากนั้นทาลิปสติกโทนสีธรรมชาติตามแต่บรรยากาศ

ริมฝีปากรูปหัวใจ

ทำริมฝีปากรอยหยักแหลมให้ดูกลม ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนขอบปากบริเวณรอยหยักด้านบนทั้งสองด้านให้โค้งเป็นวงกลมต่ำๆ

หากริมฝีปากไม่มีรอยหยัก ให้ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนริมฝีปากด้านบนให้เหมือนรอยหยักด้านบนของรูปหัวใจ

แต่งริมฝีปากให้ดูแนบเนียน

เวลาที่จัดแต่งรูปริมฝีปาก ให้ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอโทนสีเดียวกับสีผิว เพื่อให้ลิปสติกทั้งติดแน่นและทนทาน หากใช้ดินสอเขียนขอบปาก ต้องเลือกลิปสติกสีเดียวกันจึงจะดูเป็นธรรมชาติ

ลิปสติกสีชมพูเผยความน่ารักของหญิงสาว

สีชมพูก็เป็นสียอดฮิต ที่ไม่เคยตกเทรนด์แม้แต่ครั้งเดียว แถมยังเป็นสีที่ดูน่ารักอยู่เสมอ และเป็นสีที่เลือกใช้ได้โดยไม่รู้สึกหนักใจ มีลิปสติกสีชมพูเพียงแท่งเดียวก็เปลี่ยนลุคได้อย่างสิ้นเชิง โดยขึ้นอยู่กับวิธีการทา สี และเนื้อลิปสติก

ริมฝีปากสีชมพูน่ารักส่องแสงแวววาว

  • แต่งเมคอัพเบสแบบเปลือยผิวหน้าชุ่มชื้น
  • ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดสีสว่างทาขอบปากและปกปิดริ้วรอยโดยรอบ แล้วแต่งริมฝีปากให้ดูเป็นรูปหัวใจ
  • ใช้ลิปกลอสแต้มๆริมฝีปาก นอกจากจะทำให้ดูเด็กแล้วยังทำให้ริมฝีปากดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย
    หากใช้อายไลน์เนอร์ชนิดดินสอสีขาวเขียนขอบตาด้านล่างจะให้ความรู้สึกของสาวน้อยไร้เดียงสาและดูสะอาดตา

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ริมฝีปากชมพูสีชิคติดเทรนด์

  • แต่งเมคอัพเบสแบบผิวแกลมบรอนซ์
  • ทาแป้งฝุ่นบนริมฝีปากบางๆ เพื่อให้สีลิปสติกติดทนทาน
  • ทาลิปสติกฮ็อตพิ้งค์เนื้อแมตต์ด้วยแปรงทาลิปสติกเพื่อให้ริมฝีปากดูชัดสะอาดตา และให้ความรู้สึกละเอียดอ่อน
    ถ้าเขียนขอบตาล่างด้วยอายไลเนอร์ชนิดดินสอสีทองจะให้ลุคสวยคม

ลิปสติกแดงคลาสสิคตลอดกาล

ลิปสติกสีแดงเป็นที่ต้องการของสาวๆทุกยุคทุกสมัยทุกแห่งหน การทาลิปสติกสีแดงในชีวิตประจำวันนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ลิปสติกสีนี้ยังเป็นไอเทมคลาสสิคตลอดกาลที่ขาดไม่ได้ เป็นเพราะว่าเพียงทาลิปสติกสีแดงก็เปลี่ยนลุคคุณให้อยู่ในลุคงานปาร์ตี้ที่แสนยอดเยี่ยม ลูกสาวสีแดงสง่างามหรือลูกสาวโลลิต้าเซ็กซี่ที่ดูเย็นชาได้

ริมฝีปากแดงน่ารักอ่อนเยาว์

  • ลงเมคอัพเบสแบบผิวสะอาดใสไร้จุดด่างดำ
  • ทาลิปสติกสีแดงยั่วยวนเนื้อชุ่มชื้นโดยการแต้มเป็นจุดจุดให้ทั่วริมฝีปาก
  • ใช้นิ้วแตะเกลียดลิปสติกจนกระทั่งสีลิปสติกซึมซาบทั่วริมฝีปากอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ถ้าลิปกลอสให้ริมฝีปากดูแวววาว
    เวลาลงเมคอัพเบสให้ใช้ทินต์ที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือรองพื้นแบบน้ำเพื่อให้ผิวดูกระจ่างใส และควรใช้แป้งให้น้อยที่สุด

ริมฝีปากสีแดงเข้มสไตล์สาวยุคใหม่

  • ลงเมคอัพเบสแบบผิวเนียนนุ่มที่มีความแวววาว
  • ใช้คอนซีลเลอร์แต่งรอบริมฝีปาก
  • ขีดเส้นแบ่งบริเวณกลางริมฝีปาก จากนั้นขึ้นโครงลิปสติกโดยเริ่มจากมุมปากมายังตรงกลาง
  • ค่อยๆใช้แปรงเติมลิปสติกให้ทั่วริมฝีปาก
    ผิวที่แต่งจนสวยสมบูรณ์ได้รองพื้นและแป้ง เมื่อทาลิปสติกสีแดง ถึงแม้จะดูเซ็กซี่ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกเรียบร้อยด้วย

การรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์จนทุกๆคืนก่อนเข้านอนเป็นนิสัย

การทำความสะอาดใบหน้าสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบ

เตรียมผิวยามเช้าให้ชุ่มชื่นและสดชื่น
ถ้าไม่ใช้กลางฤดูร้อนที่หน้ามันอย่างรุนแรงหรือมีผิวธรรมชาติที่ค่อนข้างมัน ในตอนเช้าให้ลดการใช้โฟมล้างหน้าหรือสบู่แล้วล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาตามธรรมชาติและดองกันคืนถือเป็นปราการธรรมชาติที่ช่วยรักษาผิวให้ชุ่มชื้น หัวใจสำคัญของการล้างหน้าในตอนเช้าคือ การกำจัดฝุ่นและน้ำมันส่วนเกินออกเพื่อให้แต่งหน้าได้สวย ถ้าผิวในยามเช้าที่เซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกมาจนไม่เนียนเรียบ ให้ใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยนไร้สารกระตุ้น หรือเอกซ์โฟลิเอเตอร์ หลังจากใช้เอกซ์โฟลิเอเตอร์แล้ว อย่าลืมดูแลเรื่องความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นด้วย

ล้างให้สะอาดเอี่ยมถึงร่องรูขุมขน
การล้างหน้าในยามกลางคืนเป็นการปลดปล่อยผิวที่ทนทุกข์ทรมานกับเครื่องสำอางและสารตกค้างจากมลพิษหลากหลายชนิดมาตลอดทั้งวัน และนอกจากนั้นเรายังต้องทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวเป็นประจำทุกวัน ซึ่งยิ่งทำให้เราต้องทำความสะอาดรูขุมขนให้สะอาดมากขึ้นเป็นพิเศษ อันดับแรกกำจัดเครื่องสำอางออกให้หมดจดด้วยคลีนซิ่งมิลค์ เจล หรือออยล์ และต้องปิดท้ายด้วยการใช้โฟมหรือสบู่ ทำความสะอาดหน้าซ้ำสอง หลังจากกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ในผิวออกหมดจดแล้ว ต้องแทนที่สิ่งนั้นด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์และสารบำรุงผิว ใช้ปลายนิ้วกดนวดให้ทั่วเพื่อให้ครีมบำรุงซึมซาบสู่ชั้นผิวจนกว่าผิวจะซึมซับความชุ่มชื้นจากสกินแคร์ได้ ผิวที่ซึมซับสารอาหารนั้นจะได้รับการฟื้นฟูอย่างยอดเยี่ยมในช่วงกลางคืน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตาอย่างหมดจด
ถ้าไม่ลบสโมคกี้อายหรืออายไลเนอร์สีเข้มออกให้ถูกวิธี สีผิวบริเวณรอบดวงตาจะค่อยๆเปลี่ยนไป ทำความสะอาดรอบดวงตานั้นจึงต้องพิถีพิถันและอ่อนโยน ห้ามขยี้ตาแรงๆ การทำความสะอาดมาสคาราชนิดกันน้ำให้สะอาดหมดจดนั้น ให้ใช้อายรีมูฟเวอร์ซึ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดรอบดวงตาโดยเฉพาะ เทใส่สำลีสำหรับลบเครื่องสำอางให้ชุ่ม แล้ววางไว้บนเปลือกตาลาว 10 วินาทีจากนั้นค่อยๆเสร็จลงมาด้านล่างอย่างอ่อนโยน แล้วก็เช็ดขึ้นไปตามแนวขนตาหลายๆครั้ง สำหรับบริเวณแนวขนตาด้านในนั้นให้ใช้สำลีก้านจุ่มอายรีมูฟเวอร์แล้วเช็ดบริเวณเส้นขนตาจะลบออกได้ง่ายขึ้น

แนะนำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวต่างๆ

1. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ไร้สารกระตุ้นและช่วยปลุกผิวให้ตื่นขึ้นอย่างสดชื่น

  • Herbal Soap สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติที่ผลิตจากกลีเซอรีนบริสุทธิ์ ปราศจากน้ำหอมและสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวซึ่งจะไม่เป็นอันตรายต่อผิวพรรณ สามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างอ่อนโยน เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและช่วยบำรุงผิวในตัว ใช้ได้กับทุกสภาพผิวหรือผิวบอบบางแพ้ง่าย
  • Clarins Water Comfort One-Step Cleanser น้ำที่สกัดจากลูกพีช ทำความสะอาดผิวได้อย่างอ่อนโยน และช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง
  • Fresh Cucumber Cleansing Foam Foam cleanser โฟมคลีนเซอร์กลิ่นแตงกวาอ่อนๆ ทั้งอ่อนโยนและสดชื่น เหมาะสำหรับผิวมัน
  • Kiehl’s Foaming Non-Detergent Washable Cleanser Cleanser ที่อ่อนโยนและสดชื่น เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน

2. เมคอัพรีมูฟเวอร์สำหรับดวงตาที่ระคายเคืองได้ง่าย

  • Lancôme Bi-Facil ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์จากธรรมชาติปริมาณมาก เนื้อผลิตภัณฑ์นุ่มและอ่อนโยน
  • VIDIVCI Professional Lip & Eye Remover ลบเครื่องสำอางหนักหนักได้ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง อีกครั้งยังคงความชุ่มชื้นไว้
  • Kiss Me Active Girl Mascara Remover ใช้แปรงจุ่มรีมูฟเวอร์แล้วปัดไปตามขนตา จะช่วยลบเรือนเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น

3. ทำความสะอาดให้มีประสิทธิภาพสูงและช่วยให้ผิวผ่อนคลาย

  • VIDIVICI Creamy Soft Cleanser คลีนเซอร์ชนิดแป้ง ทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก กระชับรูขุมขน และจัดการกับเซลล์ผิวเสื่อมสภาพทั้งหมดในขั้นตอนเดียว
  • Shu Uemura White Recovery EX+ Brightening Cleansing Oil คลีนเซอร์ชนิดออยล์ ทำความสะอาดผิวได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้ผิวขาวกระจ่างใส
  • Kanebo Moist up Wash ผลิตภัณฑ์ชนิดน้ำนมที่มีฟองนุ่ม ช่วยขจัดสารตกค้างในผิวและเซลล์ที่เสื่อมสภาพ

การแต่งหน้าให้ผู้ชาย

Tip1

ผู้ชายมักให้ความสำคัญกับการดูแลสภาพผิว สิ่งสำคัญคือการแต่งผิวให้เป็นธรรมชาติ ถึงแม้จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่สว่างกว่าโทนผิวตัวเองเล็กน้อยก็ทำให้มองเห็นความแตกต่างได้ จึงต้องพยายามพูดพูดให้ผู้ชายเลือกหารองพื้นมาทาใบหน้าบ้าง ผู้ชายที่กังวลเกี่ยวกับรอยสิวหรือตำหนิบนใบหน้า และคิดว่าการใช้รองพื้นปกปิดรอยต่างๆ เป็นเรื่องอันตรายนั้น เราต้องทำให้เข้าใจว่านั่นเป็นเรื่องที่ทำได้และเห็นผลจริง การทารองพื้นอย่างบางเบาให้ทั่วและใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดจุดด่างดำนั้นจะดูเป็นธรรมชาติ

แนะนำรองพื้น

• VIDIVICI I Platinum White Dewy Glow Liquid Compact
หลังจากทาแล้วทำให้รู้สึกผิวนุ่มสบายเหมือนฝ้าย จึงไม่ต้องทาแป้งเพิ่ม เนื่องจากเป็นรองพื้นชนิดอัดแข็งใช้มือทาก็ได้ จึงค่อนข้างสะดวก เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นโปรดของสไตลิสท์ของยุนกีที่บอกว่า ถ้าไม่มีชิ้นนี้ก็จะไม่ออกจากบ้านเลยทีเดียว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

Tip2

ผู้ชายก็อยากมีผิวสะอาดสุขภาพดี สิ่งสำคัญที่สุดที่สุดคือครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์รักษาความชุ่มชื้น เพราะผู้ชายต้องโกนหนวด ผิวจึงหยาบกร้านและแห้งง่าย ต้องทาโลชั่นหรือครีมผสมมอยเจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้า นอกจากนี้พวกผู้ชายมักทำกิจกรรมกลางแจ้ง จึงต้องรู้ถึงอันตรายของรังสียูวีไว รังสีที่ว่านี้คือผู้ร้ายที่ทำให้ผิวแก่กว่าวัยและเกิดจุดด่างดำต่างๆ ดังนั้นต้องเตรียมครีมกันแดดเอาไว้จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง

แนะนำเครื่องสำอางพื้นฐาน

  • Laneige Homme I Aqua Active Sleeping Pack
    มาร์คมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิดเจลบางเบาที่คือความชุ่มชื้นและความมีชีวิตชีวาให้ผิวที่เหนื่อยล้าจากความเครียดในขณะหลับ
  • L’Oréal Paris Men Expert I White Activ Oil Control Moisturizer
    Moisturizer บำรุงผิวมันและปรับสีผิวที่หมองคล้ำลงเพราะไขมันบนผิวหนังมีมากเกินให้ดูเนียนนุ่มและกระจ่างใส เป็นโลชั่นที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้รู้สึกสดชื่นตลอดทั้งวัน
  • Mise en scéne I Men Sebum Control BB Cream SPF 12 PA++
    โลชั่นสีเนื้อบางเบาและไม่มันวาว ทำหน้าที่เป็นโลชั่นกันแดดไปพร้อมพร้อมกับช่วยปกปิด

Tip3

ผู้ชายจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับการแต่งคิ้ว คิ้วทำหน้าที่เหมือนหลังคาของใบหน้า แนะนำให้แต่งคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่อย่าแต่งมากจนเกินไป ควรแต่งให้ดูสะอาดตาด้วยการเล็มขนด้านล่างที่ดูรกรุงรังก็พอ หลังจากนั้นใช้ดินสอเขียนคิ้วเติมบริเวณที่ไม่มีขนคิ้วหรือไม่ก็ปัดมาสคาร่าสำหรับคิ้วให้คิ้วดูหนาขึ้น เพียงเท่านี้ก็แจ้งเกิดหนุ่มหล่อที่ดูสะอาดและมาดแมนได้แล้ว

แนะนำผลิตภัณฑ์สำหรับคิ้ว
ถ้าใช้ดินสอเขียนคิ้วจนเข้มอาจจะทำให้ดูตลกและแปลกได้ มาสคาร่านั้นจะช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ขนคิ้วทีละเส้นอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับคิ้วตัวเองจริงๆ และยังทำให้ดูมีคิ้วเยอะและเข้มอีกด้วย เธอเป็นไอเท็มที่ควรมีไว้
– VIDIVICI I Perfect Eyebrow Mascara
ชนิดเจลใสที่มีสีน้ำตาลอ่อนเจืออยู่ ใช้แปรงจุ่มเนื้อเจลแล้วปัดไปตามทิศทางของขนคิ้ว

Tip4
ริมฝีปากมีบทบาทสำคัญต่อภาพลักษณ์ภายนอก ผู้ชายที่มีหรือฝีปากคล้ำหรือแห้งแตกจะดูอ่อนพญาและอาจดูไม่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแฟนหนุ่มทำงานที่ต้องพบปะผู้คนใหม่ๆแล้วล่ะก็ ควรจะให้ลิปบาล์มเป็นของขวัญ แล้วแนะนำให้ทาบ่อยๆ แทนที่จะเลือกลิปบาล์มแบบครีม ก็เลือกแบบแท่งที่บางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วงกลางวันก็ใช้ได้โดยไม่รู้สึกลำบากใจ

การทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า

ถ้าอยู่ๆสิวขึ้นโดยไม่มีสาเหตุจนแต่งหน้าไม่สวยแล้วเรา ก่อนที่จะโทษเครื่องสำอางหรือผิวให้ลองตรวจสอบสภาพอุปกรณ์แต่งหน้าก่อน เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสกับเครื่องสำอางโดยตรง หากสกปรกหรือหมักหมมมากก็จะเป็นที่สะสมของแบคทีเรีย ถ้าไม่ได้จัดการและทำความสะอาดอย่างถูกต้องเป็นประจำทุกวันหรือทุกสัปดาห์ อุปกรณ์เหล่านั้นจะกลายเป็นยาพิษสำหรับผิวได้

ฟองน้ำสำหรับรองพื้น
เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรองพื้นชนิดลิควิด เหมาะกับใช้ในเวลาเร่งรีบ เนื้อรองพื้นจึงซึมเข้าไปข้างใน จึงทำความสะอาดให้หมดจดได้ยาก โดยเฉพาะรองพื้นด้วยแล้ว ถือเป็นเครื่องสำอางที่ทำให้เชื้อโรคสะสมได้ง่ายที่สุดในบรรดาเครื่องสำอางทั้งหมด ( ฟองน้ำสำหรับรองพื้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ถ้าทำความสะอาดจะทำให้แข็งหรือลุ่ยได้ แทนที่จะทำความสะอาดแล้วนำมาใช้ได้อีกครั้ง แนะนำให้ใช้กรรไกรตัดบริเวณที่ใช้แล้วทิ้ง แล้วเก็บส่วนที่เหลือที่สะอาดไว้ใช้ครั้งต่อไป )

แปรงทาแป้งและแปรงทาบลัชออน
เพราะเป็นแปรงที่ต้องสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ชนิดแป้งจึงไม่ค่อยสะสมเชื้อโรค แต่ก็ไม่ควรเก็บในที่ที่มีความชื้นสูง ควรทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง ( ผสมน้ำยาทำความสะอาดที่มีค่าเป็นกลางหรือน้ำยาทำความสะอาดแปรงโดยเฉพาะลงในน้ำอุ่นแล้วทำความสะอาดแปรง หรือล้างด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน หากต้องการรักษาความนุ่มของแปรงไว้ให้ล้างแปรงในน้ำผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออกจากแปรงจนหมด แล้วตากให้แห้งในที่ร่มซึ่งมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก )

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แปรงทาอายไลเนอร์และแปรงทาปาก
แปลงเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ง่ายที่สุด ใช้แค่เพียงครั้งเดียว เครื่องสำอางก็จับติดเป็นก้อนแข็งได้ โดยเฉพาะแปรงทาปากต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเวลาใช้เติมลิปสติกอาจมีเศษอาหารติดไปด้วย แปรงทาอายไลเนอร์ก็เหมือนกัน อาจทำให้ตาติดเชื้อได้ จึงต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ ( ทุกวันก่อนใช้แปรง ให้ใช้กระดาษทิชชูหรือสำลีที่ใช้กับเครื่องสำอางจมน้ำยาทำความสะอาดแปรงในปริมาณที่พอเหมาะแล้วเช็ดทำความสะอาดแปรงเบาเบา จากนั้นใช้กระดาษทิชชูแผ่นใหม่จัดแต่งทรงแปลงแล้วเช็ดน้ำยาออก รอให้แห้งแล้วจึงนำไปใช้ หรือจะใช้ อายรีมูฟเวอร์ก็ได้ ควรใช้แชมพูหรือน้ำยาทำความสะอาดที่มีค่าเป็นกลางทำความสะอาดแปลงเหล่านี้ แล้วใช้น้ำอุ่นล้างออกสัปดาห์ละครั้ง )

พัฟฟ์ทาแป้ง
พัฟฟ์ทาแป้งเป็นอุปกรณ์ที่ทำจากผ้าที่มีขนอ่อนนุ่ม ใช้ทาแป้งฝุ่นหรือป้งอัดแข็ง จึงมีโอกาสสัมผัสกับอากาศอยู่บ่อยๆ ฝุ่นขนาดเล็กจึงเข้าไปติดอยู่ข้างในได้ง่าย แป้งกับพัฟฟ์ต้องเก็บแยกกัน และถ้าซื้อพัฟฟ์หลายๆชิ้นมาใช้ควรจะเก็บไว้ในกระเป๋าที่มีซิป ( แช่พัฟฟ์ในน้ำที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดพัฟฟ์โดยเฉพาะ หรือน้ำอุ่น ประมาณ 5-10 นาที นาทีแล้วบีบทำความสะอาดเบาๆ จากนั้นใช้น้ำล้างทำความสะอาด แล้วตากให้แห้งในที่ร่ม ซึ่งมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ถ้าไม่มีน้ำยาทำความสะอาดพัฟฟ์โดยเฉพาะก็ใช้โฟมล้างหน้าแทน )

ที่ดัดขนตา
ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางจึงติดเชื้อโรคได้ง่าย ควรใช้อายรีฟมูฟเวอร์เช็ดทำความสะอาดบริเวณครีมที่ใช้หนีบอย่างสม่ำเสมอ และก่อนใช้ให้ตรวจสอบจนแน่ใจว่ายางด้านในไม่แต่เป็นรอย เพื่อให้ได้เกิดอุบัติเหตุในการดัดขนตา และเปลี่ยนยางรองทุก 2-3 เดือน

การเก็บรักษาเครื่องสำอางตามฤดูกาล

ถ้าหากอยากใช้เครื่องสำอางประเภทที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่ใช้ในฤดูร้อน หรือรองพื้นชนิดครีมที่ใช้ในฤดูหนาวในปีต่อไปด้วยแล้วเราก็ เพียงเก็บรักษาเครื่องสำอางเหล่านั้นให้ดีๆ เพราะฤดูกาลเวียนมาใหม่ก็นำออกมาใช้อีกครั้ง ก้อนเก็บรักษาให้ทำความสะอาดบริเวณฝา ปากขวด หรือขอบกระปุกเครื่องสำอาง จากนั้นปิดฝาให้สนิท ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บในกระเป๋าซิป หากนำกระเป๋าซิปนี้ไปเก็บไว้ในตู้เย็นสำหรับเก็บเครื่องสำอาง หรือวางไว้ในตู้เย็นธรรมดาในช่องใส่ผลไม้ ปีต่อไปก็นำออกมาใช้ได้อย่างสบายใจ

[adinserter name=”navtra”]

วันหมดอายุของเครื่องสำอาง

  • ประเภทสกินแคร์พื้นฐาน
    3 ปีหากยังไม่เปิดใช้หรือ 1 ปีหลังเปิดใช้แล้ว
  • รองพื้นและเมคอัพเบส
    2-3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ หรือ1½ ปีหลังเปิดใช้แล้ว ห่างเนื้อเครื่องสำอางตกตะกอนแยกชั้น จับตัวเป็นก้อนหรือเปลี่ยนสี ต้องทิ้งสถานเดียว
  • ลิปสติกและลิฟกลอส
    2 ปีหลังเปิดใช้แล้ว ลิปสติกตอบสนองต่ออุณหภูมิได้ไว จึงควรเก็บรักษาในที่เย็น ใช้ลิปกลอสให้หมดภายใน 6 เดือน และใช้กระดาษทิชชูเช็ดบริเวณปลายปลอกทุกครั้ง
  • มาสคารา
    2-3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ หรือ 6 เดือนหลังเปิดใช้แล้ว เป็นเครื่องสำอางที่มีอายุการใช้งานสั้นที่สุด ถ้าจุ่มมาสคาราน้อยครั้ง แปรงมาสคาราก็จะแข็งน้อยลงด้วย
  • อายแชโดว์
    5 ปีหลังเปิดใช้แล้ว ถ้าเป็นชนิดครีมควรใช้ให้หมดภายใน1½ ปี
  • แชมพูสระผมและครีมนวดผม
    3 ถึง 5 ปีหากยังไม่เปิดใช้หรือ 1 ปีหลังเปิดใช้แล้ว เพราะวางไว้ในที่ที่ความชื้นสูง หลังจากใช้เสร็จต้องปิดฝาให้สนิทและทำความสะอาดฝาจนเป็นนิสัย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม

0
ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม
การมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูปช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาทำให้ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย
ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม
การมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูปช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาทำให้ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

หน้าผาก ไรผม

เวลาที่เรานึกถึง การศัลยกรรม ตกแต่งเพื่อเสริมความงามบนใบหน้า อันดับแรกๆ ที่นึกถึงก็จะมีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ไล่ไปตั้งแต่เสริมจมูก ดวงตา ริมฝีปาก รูปหน้า รวมไปถึงการจัดการกับส่วนเกินต่างๆ เช่น เหนียงใต้คาง ถุงใต้ตา เป็นต้น แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะติดอันดับความนิยมในการศัลยกรรมด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือ ส่วนบริเวณ หน้าผาก ไรผม หากเป็นการแต่งหน้าแบบมืออาชีพจะมีการ Shading เพื่อสร้างกรอบหน้าตรงส่วนของหน้าผากและระบายสีเพิ่มความเข้มให้กับแนวไรผม เพราะการมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป

ช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญการมีไรผมที่ดกหนาเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์ที่หลายคนต้องการด้วย การทำศัลยกรรมบริเวณ หน้าผาก กับแนว ไรผม จึงคล้ายๆ กับการยืดผมถาวรหรือดัดขนตาถาวรนั่นเอง เมื่อผ่านงานศัลยกรรมไปแล้วก็ไม่ต้องใช้เมคอัพเข้ามาช่วย ประหยัดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งเป้าหมายหลักของการทำก็คือสร้างกรอบหน้าที่ดีที่สุดสำหรับคนๆ นั้นขึ้นมา ยิ่งถ้าได้รูปหน้าในอุดมคติซึ่งก็คือหน้ารูปไข่ก็ยิ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างที่สุดนั่นเอง

ผู้ที่เหมาะกับการศัลยกรรมหน้าผากและไรผม

อย่างแรกเลยก็ต้องเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจริงๆ หรือเป็นความต้องการที่มากขึ้นก็ตามแต่ เดี๋ยวเราจะเจาะไปทีละประเด็น ดังนี้

คนที่มีหน้าผากแบน : โดยปกติแล้วส่วนของ หน้าผาก เมื่อมองด้านข้างจะต้องเห็นเป็นเส้นโค้งนูนต่ำ ตั้งแต่แนว ไรผม มาจรดแนวคิ้ว ใครที่มีหน้าผากแบนก็จะทำให้ใบหน้าขาดมิติที่ดีไป มองแล้วไม่มีชีวิตชีวา ซ้ำร้ายถ้าเป็นหนักมากก็จะดูแข็งจนน่ากลัวไปเสียอีก การปรับแต่งด้วยการเสริมส่วนโค้งให้กับหน้าผากจึงเหมาะกับคนกลุ่มนี้

คนที่มีหน้าผากนูนมากไป : ไม่ใช่แค่คนที่ส่วนของ หน้าผาก แบนราบเท่านั้นที่มีปัญหา คนที่มีหน้าผากนูนโค้ง แต่มากเกินกว่าปกติก็ถือเป็นปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน หลายคนกลายเป็นปมเนื่องจากถูกล้อเลียนบ่อยครั้งก็มี เพราะยังไงเสียหน้าผากนูนก็มองเห็นถึงความผิดปกติได้ง่ายกว่าหน้าผากแบน กรณีนี้ก็ต้องใช้การกรอหน้าผากส่วนเกินออกไป

คนที่มีหน้าผากแคบมากไป : คนที่มีหน้าผากแคบส่วนใหญ่ก็มาจากลักษณะทางพันธุกรรมนั่นเอง เราสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการเสริมหน้าผากเข้าไปเพิ่มด้วยหลากหลายวิธี แล้วแต่ว่าต้นทุนในส่วน หน้าผาก ของใครมีเท่าไร จะทำอย่างไรถึงจะคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากที่สุด

คนที่มีแนวไรผมอยู่สูงกว่าปกติ : อันนี้เป็นลักษณะที่มีมาตั้งแต่เกิด เมื่อ ไรผม อยู่สูงก็ทำให้ดูคล้ายคนศีรษะล้าน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้อยู่ดี โดยเฉพาะในผู้หญิง หากมีแนวไรผมอยู่สูงก็จะยิ่งสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้นจึงต้องแก้ไขด้วยการศัลยกรรมไรผมด้วยการปลูกผมเพิ่มอีกที่ด้านหน้า พร้อมกับการออกแบบแนวกรอบหน้าไปพร้อมกัน

คนที่มีปัญหาศีรษะล้าน : นี่เป็นอีกกรณีที่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ เพราะเดิมทีมีผมดกดำดีอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีปัญหาเส้นผม ทำให้ผมเริ่มบางขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดด้านหน้าก็ไม่มีผมขึ้นมาให้เห็นอีกเลย แบบนี้การศัลยกรรม ไรผม ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่จะต้องไม่ใช่เป็นรูปแบบที่มีอาการหนักมาก เช่น ผมบางไปมากกว่าครึ่งศีรษะแล้ว แบบนั้นก็จะปลูกผมที่จริงจังมากกว่านี้ และต้องผ่านการวิเคราะห์กันก่อนด้วยว่าจะแก้สถานการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน

วิธีการศัลยกรรมหน้าผาก

เมื่อเจาะจงมาที่กรณีของการศัลยกรรม หน้าผาก แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในรูปแบบใดก็ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้เองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเลือกการศัลยกรรมในรูปแบบไหน จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจวิเคราะห์และแนะนำแนวทางที่เป็นไปได้เสียก่อน เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งรูปแบบของการศัลยกรรมหน้าผากก็มีหลากหลายวิธี ดังต่อไปนี้

1. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดไขมัน : วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ใช้เวลาน้อยและไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมายนักก่อนการทำศัลยกรรม ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวก็รวดเร็วด้วย เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีส่วนเว้าของ หน้าผาก มากเท่าไรนัก กระบวนการจะเริ่มที่การดูดไขมันจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แล้วนำมาฉีดเข้าที่บริเวณหน้าผาก ข้อดีคือไม่มีอาการแพ้อย่างแน่นอน เพราะเป็นไขมันจากตัวผู้เข้ารับการรักษาเอง แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือ มีโอกาสที่จะเกิดเป็นลอนคลื่นได้หากไขมันมีการจัดเรียงและสลายตัวไม่เท่ากัน ทำให้ต้องแก้ไขด้วยการทำซ้ำอีกเพื่อปรับให้หน้าผากเรียบสวย หลังจากฉีดแล้วก็อาจมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย

2. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดฟิลเลอร์ : ไม่ใช่แค่การลดเลือนริ้วรอยเท่านั้นที่เราใช้ประโยชน์จากฟิลเลอร์ การศัลยกรรม หน้าผาก เราก็ใช้ด้วยเหมือนกัน โดยจะเป็นสารฟิลเลอร์ประเภทที่มีความคล้ายกับคอลลาเจน เรียกว่า HA มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 ปี มีข้อดีตรงที่ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก อาการบวมช้ำหลังการทำน้อยมาก หลายคนไม่ต้องพักฟื้นเลยหลังการทำ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันที แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าสาร HA นั้นมีอายุประมาณ 1 ปี ดังนั้นจึงต้องกลับมาเติมซ้ำเมื่อครบกำหนด และหากดูแลโดยผู้ที่ไม่ชำนาญพอก็จะทำให้เป็นลอนคลื่นได้เช่นเดียวกับการฉีดไขมัน นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะอุดตันหลอดเลือดบริเวณนั้นได้ด้วย

3. เสริมหน้าผากด้วยการผ่าตัดแล้วเสริมซิลิโคน : วิธีนี้แทบจะเป็นแนวทางพื้นฐานในงานด้านศัลยกรรมอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการเสริมคางหรือเสริมจมูก วิธีการก็เริ่มจากตรวจสอบลักษณะของหน้าผากเดิม แล้วเทียบความเป็นไปได้กับหน้าผากใหม่ที่ต้องการ จากนั้นพิมพ์แบบซิลิโคน ซึ่งคล้ายคลึงกับการทำฟันปลอม ต้องใช้วัสดุปูนปลาสเตอร์เป็นต้นแบบ แล้วส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบต่อ ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ประมาณเกือบเดือนกว่าจะได้ซิลิโคนมา หลังจากนี้ก็เป็นกระบวนการผ่าตัด โดยตัดตามแนวคาดผมแล้วสอดซิลิโคนเข้าไป ข้อดีคือการันตีได้ว่า หน้าผาก ใหม่สวยได้รูปอย่างแน่นอน แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ต้องเตรียมตัวนาน แถมยังมีรอยแผลที่ต้องดูแลต่อไปอีก

4. เสริมหน้าผากด้วยการผ่าตัดแล้วเสริมซีเมนต์เทียม : กรณีนี้ฟังชื่อแล้วแอบน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะเราจะเคยชินว่าซีเมนต์นั้นเป็นของแข็งที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับการศัลยกรรมอวัยวะส่วนที่มีความอ่อนนิ่มได้ จริงๆ แล้วซีเมนต์เทียมที่ว่านี้ถูกใช้มาอย่างยาวนานแล้วในผู้ป่วยโรคสมอง ใครที่มีความจำเป็นต้องตัดกะโหลกบางส่วนออกไป ก็จะทดแทนด้วยการใส่ซีเมนต์เทียมเข้าไปนี่เอง ในส่วนของการศัลยกรรม หน้าผาก ก็จะผ่าตัดตามแนวคาดผมแล้วใส่ซีเมนต์เทียมเข้าไป แน่นอนว่าไม่ต้องรอเวลาก่อนการผ่าตัดนานเท่ากับการใช้ซิลิโคน แต่มีข้อเสียหลายอย่าง ตั้งแต่ทำการปรับผิวให้เรียบได้ยาก อาการบวมช้ำจากบาดแผลถือว่ามากที่สุด ในช่วงหลังๆ วิธีนี้จึงนิยมใช้เพื่อแก้งาน หรือใช้กับผู้ป่วยในอุบัติเหตุต่างๆ มากกว่าที่จะเป็นเรื่องความสวยความงาม

การศัลยกรรมหน้าผาก หรือศัลยกรรมไรผม ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขและระดับความปลอดภัยที่จะทำได้

การเตรียมตัวและขั้นตอนการผ่าตัด

เมื่อพิจารณาดูรูปแบบของการศัลยกรรมหน้าผากแล้ว หลายคนอาจจะเทใจไปที่การผ่าตัดมากกว่า ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจเพิ่มเติมก่อนว่า หากเลือกแก้ปัญหาด้วยการผ่าตัดแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด : รายละเอียดของการเตรียมตัวก็จะคล้ายคลึงกับการผ่าตัดอื่นๆ ได้แก่ งดยาในกลุ่มลดการอักเสบ งดการทานอาหารเสริม วิตามิน และยาสมุนไพร วางแผนสำหรับระยะเวลาที่ต้องพักฟื้นเอาไว้ด้วย หากทำงานประจำก็ต้องมีแจ้งลางานอย่างน้อยประมาณ 6 วัน หากมีโรคประจำตัวอะไรให้รีบแจ้งแพทย์ผู้ดูแลเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดในระหว่างการผ่าตัด และสุดท้ายอย่าลืมมองหาคนดูแลในวันที่เข้ารับการผ่าตัดและช่วงแรกของการพักฟื้นด้วย

ขั้นตอนการผ่าตัด : เป็นการผ่าตัดที่จำเป็นต้องวางยาสลบ ดังนั้นจึงต้องงดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัด 6 ชั่วโมงขึ้นไป แนวของการกรีดเปิด หน้าผาก จะอยู่ห่างจาก ไรผม ไม่มากนัก และเป็นแนวกรีดช่วงสั้นๆ เพียงแค่ 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น เมื่อใส่วัสดุเสริมเรียบร้อยก็เย็บปิด อาจมีอาการข้างเคียงจากยาสลบบ้างเล็กน้อย ซึ่งจะหายได้เองโดยธรรมชาติ

การมี หน้าผาก อันอวบอิ่มได้รูป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ช่วยเสริมหน้าผากให้มีมิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์อีกด้วย

การศัลยกรรมไรผม

มาถึงส่วนของการศัลยกรรม ไรผม กันบ้าง หลังจากที่ผ่านการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ด้วยการศัลยกรรมไรผมได้จริง ก็ต้องมาเลือกกันว่าสนใจการรักษารูปแบบไหน เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจากรูปแบบที่เลือกมีค่าสูงหรือต่ำแค่ไหน และคุ้มค่าไหมกับการลงทุนเพื่อรักษาในแต่ละครั้ง ซึ่งการศัลยกรรมไรผมก็มีให้เลือกหลากหลายวิธีไม่แพ้กับการศัลยกรรมหน้าผากเลยแม้แต่น้อย

1. เสริมส่วนไรผมด้วย FUE (Follicular Unit Extraction) : วิธีนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ต้องผ่าตัดและไร้รอยแผลเป็น FUE คือการย้ายเซลล์รากผมของผู้เข้ารับการรักษาเอง จากบริเวณหนึ่งมาฝังรากลงที่หนังศีรษะอีกบริเวณหนึ่ง โดยส่วนใหญ่ก็จะใช้เซลล์รากผมจากท้ายทอย เนื่องจากเป็นโซนที่ผมจะมีสุขภาพแข็งแรงมากที่สุด ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีปัญหาในเรื่องเส้นผมหรือไม่ ทีมแพทย์จะใช้เข็มเจาะขนาดเล็ก เจาะลงไปในหนังศีรษะตรงท้ายทอย เพื่อเก็บเอาเซลล์รากผมออกมาเก็บไว้ แล้วปลูกลงไปใหม่ในบริเวณที่ต้องการด้วยเข็มเจาะขนาดเล็กเช่นเดิม หลังจากนั้นก็รอเวลาให้เซลล์ได้ฟื้นตัวและยึดติดกับหนังศีรษะ เส้นผมที่ปลูกลงไปใหม่ก็จะเติบโตได้เหมือนกับเส้นผมเส้นอื่นๆ วิธีนี้ค่อนข้างใช้เวลาในการทำพอสมควร เพราะเป็นงานที่ต้องการความประณีตสูงมาก หากคนทำไม่ชำนาญหรือไม่ใส่ใจมากพอ เซลล์รากผมก็จะเสียหาย ไม่สามารถใช้การได้ในทุกกรณี

2. เสริมส่วนไรผมด้วย FUT หรือ Strip Harvest Technique : นี่เป็นมาตรฐานการศัลยกรรมเกี่ยวกับการปลูกผม ซึ่งมีความยุ่งยากในการทำมากกว่าแบบแรก แต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในบ้านเราและในต่างประเทศ วิธีการก็คือใช้การตัดเอาชิ้นของหนังศีรษะที่มีเส้นผมแข็งแรงสมบูรณ์ดี มาปลูกใหม่ในพื้นที่ที่ต้องการ โดยรูปแบบการตัดจะกรีดเป็นเส้นบางๆ แล้วเอามาเรียงใหม่ทีละเส้น จากนั้นก็เพียงแค่รอเวลาให้เซลล์รากผมฟื้นตัวและกลับมาทำงานได้ตามปกติ หลังการทำจำเป็นต้องสวมผ้าคาดศีรษะเอาไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อป้องกันอาการบวมจากการอักเสบของศีรษะและใบหน้า การทำศัลยกรรมด้วย FUT หรือ Strip Harvest Technique จำเป็นอย่างมากที่จะต้องควบคุมดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดรอยแผลเป็นที่ไม่น่าดูเท่าไร และเส้นผมก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่เสียหายมากกว่าส่วนที่ใช้งานได้

หลักใหญ่ใจความของการศัลยกรรม ไรผม ก็จะเป็น FUE กับ FUT นี่เอง แต่ว่ายังมีการแบ่งแยกย่อยลงในอีกในแต่ละอัน เช่น การปลูกผมแบบ FUE ที่แบ่งเป็นแบบ Slit Grafts และแบบ Micro-Grafts เป็นต้น ดังนั้นถ้าต้องการรู้ลึกในรายละเอียดว่าทำอย่างไรได้บ้างก็ต้องปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละที่ เพราะเทคนิคเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของอุปกรณ์ในโรงพยาบาลนั้นๆ ด้วย

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรม หน้าผาก หรือศัลยกรรม ไรผม ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขและระดับความปลอดภัยที่จะทำได้ อย่าเห็นแก่ราคาค่ารักษาที่ถูกจนเกินไป เพราะผลที่ได้จะไม่คุ้มกับที่เสียไปอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนไม่มา อันตรายหรือไม่ที่นี่มีคำตอบ

0
ประจำเดือนมาไม่ปกติบ่งชี้โรคอะไร
ประจำเดือน หรือที่มักจะเรียกกันว่า เมนส์ ระดู หรือรอบเดือน คือเลือดที่ไหลออกทางช่องคลอดของผู้หญิง เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก
ประจำเดือนมาไม่ปกติบ่งชี้โรคอะไร
ฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นตัวควบคุมการสร้างและการหลุดลอก นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการตกไข่จากรังไข่ในเพศหญิง

ประจำเดือนมาไม่ปกติ

ประจำเดือน ( Menstruation ) หรือที่มักจะเรียกกันว่า เมนส์ ระดู หรือรอบเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มีประจำเดือนประมาณ 4 – 7 วัน มักเกิดขึ้นทุก ๆ 28 วัน โดยรอบประจำเดือนปกติจะอยู่ในช่วง 21 – 35 วัน คือ เป็นภาวะเนื้อเยื่อและเลือดที่หลุดลอกออกจากมดลูก เมื่อร่างกายเพศหญิงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ๆ ในร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันผู้หญิงไทยไม่น้อยกำลังประสบปัญหา ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมาน้อย และบางคนประจําเดือนไม่มา อันเนื่องมาจากสาเหตุที่หลากหลายและอาจบ่งชี้ถึงโรคบางอย่างก็เป็นได้

สาเหตุประจำเดือนมาผิดปกติ

มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ผู้หญิงประจำเดือนมาไม่ปกติ ได้แก่

  • ภาวะความเครียด
  • ยาคุมกำเนิด
  • เนื้องอกที่มดลูก
  • การติดเชื้อแบคทีเรียที่ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
  • ซีสต์ในรังไข่
  • ภาวะแทรกซ้อนจากยุติการตั้งครรภ์
  • มะเร็งปากมดลูก

ประจำเดือนมาไม่ปกติ คืออะไร

ภาวะประจำเดือนผิดปกติ ( Menstrual disorder ) หรือ ประจำเดือนไม่ปกติ ( Abnormal menstruation ) นั้น มีลักษณะของความผิดปกติได้หลายรูปแบบ เช่น

1. มีเลือดออกระหว่างรอบประจำเดือน ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าโดยปกติแต่ละรอบเดือนจะอยู่ในช่วง 26-30 วัน อย่างที่เราเรียกชื่อเจ้าสิ่งนี้ว่า “ ประจำเดือน ” เพราะโดยเฉลี่ยควรต้องมีประจำเดือน เพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น หากยังไม่ทันถึงรอบเดือนถัดไปแต่กลับมีเลือดประจำเดือนไหลออกมาอาจบ่งบอกได้ว่าเกิดอาการผิดปกติขึ้นแล้ว

2. เลือดประจำเดือน มีปริมาณมากกว่า 80 มิลลิลิตรต่อรอบ คงจะยากเกินไปหากจะตวงปริมาณเลือดที่เสียไป แต่มีอีกวิธีที่จะช่วยให้สาวๆ คำนวณปริมาณเลือดประจำเดือนได้เองแบบง่าย ๆ นั่นคือการนับปริมาณการใช้ผ้าอนามัย ผ้าอนามัยขนาดปกติจะซึมซับของเหลวได้ประมาณ 5 มิลลิลิตร ดังนั้นใน 1 รอบเดือนก็ไม่ควรใช้ผ้าอนามัยเกิน 16 ผืน หรืออีกวิธีคือลองสังเกตพฤติกรรมการเปลี่ยนผ้าอนามัยของตนเอง หากเปลี่ยนผ้าอนามัยเพียง 2-3 ชิ้นต่อวัน แสดงว่ามีประจำเดือนปกติ แต่หากเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง จัดว่ามีประจำเดือนมามาก และประเภทสุดท้ายคือเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง ต่อเนื่องกัน 7-8 วัน อันแสดงถึงอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและฮอร์โมนเอสโตรเจน มีมากหรือน้อยเกินไป

3. ประจำเดือนมาน้อย หากสาวๆ ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนเพศ แต่กลับมีประจำเดือนในแต่ละรอบน้อยกว่า 5 มิลลิลิตร ก็ถือว่าผิดปกติ

4. มีประจำเดือนมากกว่า 7 วัน โดยปกติประจำเดือนจะมาเยี่ยมเยียนสาวๆ เพียง 2-7 วันเท่านั้นแล้วต้องหยุดสนิท หากมาๆ หยุดๆ แบบกะปริบกะปรอยตลอดทั้งเดือนถือว่าไม่ปกติ

5. รอบเดือนต้องไม่มาถี่หรือทิ้งช่วงนานเกินไป นับง่ายๆ ว่า ต้องไม่สั้นกว่า 21 วัน และไม่นานเกิน 35 วัน เป็นอันใช้ได้ ยกเว้นถ้ามีภาวะอารมณ์ที่เครียด เช่น อยู่ในช่วงติวสอบ ก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง โดยที่ไม่มีอันตรายใดๆ

6. ประจำเดือนมาพร้อมเลือดก้อนขนาดใหญ่ ในเลือดประจำเดือนนั้นปกติจะมีลิ่มเลือดเล็กๆ และเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกหลุดปนออกมาด้วยถือเป็นเรื่องปกติ แต่จะผิดปกติก็ต่อเมื่อในประจำเดือนมีเลือดก้อนขนาดใหญ่เกิน 2.5 เซนติเมตร หรือ 1 นิ้ว ปะปนออกมาด้วย

7. มีประจำเดือนอีกหลังจากที่หมดประจำเดือนไปนานแล้ว เมื่อร่างกายเข้าสู่ช่วงวัยทอง ( 40-45 ปี ) ฮอร์โมนเพศต่างๆ จะลดลง ส่งผลให้ประจำเดือนค่อยๆ หมดไปเองตามธรรมชาติ แต่หากหมดประจำเดือนไปเกิน 1 ปี แล้วกลับมามีประจำเดือนอีกถือเป็นเรื่องผิดปกติ

ประจำเดือน หรือที่มักจะเรียกกันว่า เมนส์ ระดู หรือรอบเดือน คือเลือดที่ไหลออกทางช่องคลอดของผู้หญิง อันเกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก

https://www.youtube.com/watch?v=T4UK2ADfWS8

อาการประจำเดือนมาไม่ปกติบ่งชี้โรค

ธรรมชาติของผู้หญิงแต่ละคนมีลักษณะของการมีประจำเดือนที่แตกต่างกันก็จริง แต่หากสังเกตดูแล้วว่าประจำเดือนเพื่อนเก่ากลับมาไม่เป็นปกติเหมือนเคย สาวๆ ควรตระหนักว่านี่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติของร่างกายหรือโรคบางอย่างก็เป็นได้ ดังนี้

1. ตั้งครรภ์ แม้ว่าการตั้งครรภ์จะไม่ใช่โรคแต่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประจำเดือนขาดหายทิ้งช่วงไป สำหรับผู้หญิงหากประจำเดือนที่เคยมาเป็นปกติ จู่ๆ กลับไม่มาเหมือนเดิม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเกิดจากการตั้งครรภ์ ( พิจารณาเรื่องนี้ก่อนหาสาเหตุอื่น ) สามารถทำการทดสอบด้วยตนเองโดยการใช้ที่ตรวจครรภ์ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป ทั้งนี้หลังจากคลอดบุตรแล้วและอยู่ในช่วงให้นมบุตรก็อาจประสบภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือภาวะขาดประจำเดือนได้เช่นกัน แต่ภาวะเหล่านี้จะหายไปตามธรรมชาติเมื่อลูกหย่านมและจะกลับเข้าสู่ภาวะประจำเดือนมาเป็นปกติในที่สุด

2. รังไข่เสื่อม ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า “ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนกำหนด” (Premature Ovarian Failure) คือการที่ผู้หญิงหมดรอบเดือนก่อนอายุ 40 ปี โดยปกติแล้วเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยทอง (อายุ 40-45 ปี) ร่างกายจะมีความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มลดน้อยลง ส่งผลให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอและจะค่อย ๆ หยุดตกไข่ทำให้รอบเดือนหยุดมาในที่สุด แต่หากรอบเดือนหมดก่อนเข้าวัยทองหรือที่กล่าวข้างต้นว่าเป็นภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนดนั้น อาจเป็นผลข้างเคียงมาจากการทำเคมีบำบัด การผ่าตัด การฉายรังสีอุ้งเชิงกรานหรือบริเวณท้อง เป็นต้น

3. ท้องนอกมดลูก แม้ว่าภาวะนี้จะพบได้ยากแต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในหญิงที่มีคู่แล้ว ( หรือเคยมีเพศสัมพันธ์ ) ลักษณะความผิดปกติคือ รอบเดือนขาดหายไประยะหนึ่งแล้วต่อมากลับมีเลือดออกแบบกะปริบกะปรอย แม้ว่าจะลองทดสอบกับที่ตรวจการตั้งครรภ์แล้วผลกลับปรากฏว่าไม่ได้ตั้งครรภ์หรือเป็นลบ และมีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงหรือปวดท้องบริเวณปีกมดลูกข้างใดข้างหนึ่ง คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เป็นต้น ควรไปพบแพทย์โดยด่วนเพราะอาจเป็นภาวะท้องนอกมดลูกก็เป็นได้

4. เนื้องอกในสมอง อาจเป็นไปได้ว่าการที่ประจำเดือนไม่มาหรือมาไม่ปกติอาจเกิดจากมีเนื้องอกในสมองหรือมะเร็งสมองเติบโตจนไปกดทับต่อมใต้สมองซึ่งทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศเพื่อการมีประจำเดือน ในผู้ป่วยบางรายพบว่ามีเนื้องอกของต่อมใต้สมอง จึงส่งผลให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนเสียสมดุล

5. ความเครียด สภาพจิตใจส่งผลโดยตรงต่อร่างกาย ในผู้ป่วยบางรายที่มีความเครียดทางด้านจิตใจ ( Stress ) เป็นโรควิตกกังวล ( Anxiety disorders ) หรือเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน ( Mood disorders ) ก็จะส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจทิ้งฃ่วงไปหลายรอบเดือน หรือมาแบบกะปริบกะปรอยไม่ต่อเนื่อง ความเครียดมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือนและการเจริญพันธุ์ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ฮอร์โมน GnRH ( Gonadrotropin releasing hormone ) ซึ่งหลั่งจากสมองส่วนลึกในสมองใหญ่ ( Hypothalamus ) หากเข้ารับการบำบัดรักษาทางจิตใจจนสุขภาพจิตดีขึ้น คลายความเครียดวิตกกังวลลง การมีประจำเดือนก็จะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติได้

6. รูปร่างอ้วนหรือผอมเกินไป ในกลุ่มสตรีวัยรุ่นที่อ้วนหรือผอมมากเกินไปอาจก่อให้เกิดภาวะไข่ไม่ตก (Anovulation) และในสตรีที่ออกกำลังกายอย่างหนักหรือเป็นนักกีฬาก็อาจจะประสบกับภาวะนี้ได้เช่นกัน เกิดจากสมองหลั่งฮอร์โมน GnRH (ฮอร์โมนที่ควบคุมการทำงานของรังไข่) ออกมาผิดปกติ ฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์จึงขาดสมดุล และในคนอ้วนผิวหนังยังสามารถเปลี่ยนเซลล์ไขมันไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน FSH ( Folli cular stimulating hormone ) และฮอร์โมน LH (Luteinizing hormone) ทำให้เกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวไปเรื่อย ๆ เมื่อไข่ไม่ตกก็ไม่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน จึงทำให้ประจำเดือนขาดหายไปทีละ 2-3 เดือน

7. โรคตับแข็ง ในผู้ป่วยหญิงที่เป็นโรคตับแข็งอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมาไม่สม่ำเสมอ และยังมีหนวดขึ้น มีเสียงแหบคล้ายผู้ชาย

8. การอักเสบหรือการติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น ปากมดลูกอักเสบและเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ จะทำให้เลือดประจำเดือนที่ออกมามีกลิ่นเหม็นผิดปกติ ลักษณะออกแบบกะปริบกะปรอยหรือมีอาการเลือดออกทางช่องคลอด

9. โรคเลือด ในสตรีที่เป็นโรคเลือด เช่น ภาวะซีดจากไขกระดูกไม่ทำงาน ( Aplastic anemia ) โรคเกล็ดเลือดต่ำ ( Thrombocytopenia ) โรค Von Willebrand’s (โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เลือดออกได้ง่ายกับทุกอวัยวะเนื่องจากขาดการแข็งตัวของเลือด) โรคเกล็ดเลือดต่ำ ( Thrombocytopenia ) และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) ฯลฯ จะทำให้เลือดประจำเดือนออกมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากโรคที่เป็นทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

10. เนื้องอกที่มดลูก ( Uterine fibroid ) ทำให้เลือดประจำเดือนออกผิดปกติ อาจทำให้เลือดออกมาก ออกกะปริบกะปรอย หรือออกนานกว่าที่ควร เนื่องจากเนื้องอกที่มดลูกนั้นจะไปรบกวนการหดรัดตัวของมดลูกนั่นเอง แต่หากเป็นติ่งเนื้อที่ปากมดลูก ( Cervical polyp ) ก็จะทำให้มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์

11. การรับประทานหรือฉีดยาบางชนิด การทานยาบางชนิดส่งผลต่อฮอร์โมนเพศและเยื่อบุโพรงมดลูกโดยตรงจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรืออาจขาดช่วงไปหลายเดือน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ยาฝังคุมกำเนิด การฉีดยาคุมกำเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า ยารักษาโรคไทรอยด์ เป็นต้น รวมถึงการให้ยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งทุกชนิด เพราะตัวยาจะไปทำลายรังไข่ เป็นเหตุให้รังไข่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ได้ จึงทำให้ประจำเดือนไม่มา 

12. มะเร็ง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีวัคซีนหลายกลุ่มที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์ แต่ปัญหาโรคมะเร็งก็ยังเป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆ สำหรับผู้หญิง โดยจะพบมากในวัยเจริญพันธุ์ ระหว่างอายุ 20-45 ปี ซึ่งส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ รวมถึงตัวยาที่ใช้ในการรักษายังส่งผลโดยตรงต่อรังไข่ ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ทั้ง 2 ข้างทิ้ง ปัญหามะเร็งที่พบในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นต้น

ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นตัวควบคุมการสร้างและการหลุดลอก นอกจากนี้ฮอร์โมนทั้งสองยังเกี่ยวข้องกับการตกไข่จากรังไข่ในเพศหญิง

วิธีดูแลตนเองเมื่อประจำเดือนมาไม่ปกติ

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่พอเหมาะ

2. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากจนเป็นโรคอ้วน และไม่ให้น้อยจนผอมเกินไป

3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหม

4. ลดความเครียด ผ่อนคลายจิตใจ

5. รักษาความสะอาดและสุขอนามัยของร่ายกาย

6. ลดปัจจัยที่คาดว่าทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น เปลี่ยนวิธีหรือชนิดยาคุมกำเนิด และงดยาหรือฮอร์โมนที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ( อาจปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร )

แนวทางรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ

หากมีอาการเลือดประจำเดือนออกมาผิดปกติหรือออกนานจนร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย เปลือกตาซีด ปวดท้องน้อย มีไข้ ท้องโต หรือคลำเจอก้อนในท้อง ควรไปพบแพทย์โดยด่วน ในเบื้องต้นแพทย์จะซักถามเกี่ยวกับประวัติการมีประจำเดือน โรคประจำตัว และประวัติการใช้ยา จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายทั่วไป และอาจทำการตรวจภายในซึ่งมีความสำคัญมากเพื่อดูว่ามีติ่งเนื้อหรือแผลที่ปากมดลูกและเนื้องอกที่อวัยวะเพศหรือไม่ แต่ในสตรีที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แพทย์จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำการตรวจภายใน ( ยกเว้นว่ามีข้อบ่งชี้ที่จำเป็น ) นอกจากนี้อาจมีการตรวจอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรค ได้แก่ การตรวจอัลตราซาวน์ช่องท้องน้อย การตรวจเลือด การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและการดูดชิ้นเนื้อหรือขูดมดลูก เพื่อนำตัวอย่างไปตรวจทางพยาธิวิทยา เป็นต้น แนวทางการรักษาภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ ได้แก่

1. การรักษาสุขภาพจิต เพื่อให้ผู้ป่วยคลายความกังวล ลดความเครียด บำบัดสุขภาพจิตให้ดีขึ้น

2. ให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย

3. ให้ยารักษา หากเกิดจากฮอร์โมนเพศผิดปกติ

4. รักษาโดยการผ่าตัด ในกรณีเป็น ติ่งเนื้อปากมดลูก ติ่งเนื้อโพรงมดลูก หรือ เนื้องอกมดลูก

สาวๆ ควรหมั่นสังเกตสีของประจำเดือนของตนเองอยู่เสมอเมื่อพบอาการผิดปกติไม่ควรนิ่งนอนใจ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา เพราะโรคบางอย่างอาจเป็นภัยเงียบ รู้ตัวอีกทีก็สายเกินไป นอกจากนี้การมีวินัยในการจดบันทึกการมีรอบเดือนและอาการผิดปกติต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคและทำการรักษาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น หากทำการรักษาได้ทันท่วงที สาวๆ ก็จะสามารถกลับมามีประจำเดือนที่เป็นปกติได้ในที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Premenstrual syndrome (PMS) fact sheet”. Office on Women’s Health. 23 December 2014. Archived from the original on 28 June 2015. Retrieved 23 June 2015.

Biggs, WS; Demuth, RH (15 October 2011). “Premenstrual syndrome and premenstrual dysphoric disorder”. American Family Physician. 84 (8): 918–24. PMID 22010771.

การศัลยกรรมที่เหมาะสมสำหรับอาชีพต่างๆ

0
การศัลยกรรมสำหรับอาชีพต่างๆ
การทำศัลยกรรม คือการเปลี่ยนแปลงอวัยวะของร่างกายที่ผิดปกติจากอุบัติเหตุหรือความบกพร่องแต่กำเนิด ด้วยแนวทางและเทคนิคทางการแพทย์
การศัลยกรรมสำหรับอาชีพต่างๆ
ผู้สอนมีหน้าตาที่เป็นมิตร ดูใจดี ก็จะกระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าที่จะเข้าหา และมีโอกาสที่จะก้าวหน้าในอาชีพมากขึ้น

การศัลยกรรม

การศัลยกรรม คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อเป็นการปรับให้เกิดความสมดุลแลดูสวยงามยิ่งขึ้น ในสมัยก่อนการทำ ศัลยกรรม ดูเป็นเรื่องไกลตัวและค่อนข้างเฉพาะเจาะจงกับคนบางกลุ่ม ทั้งยังเป็นเรื่องที่สังคมไม่ค่อยยอมรับกันเสียด้วยซ้ำไป บ้างก็มองว่าเป็นการกระทำที่อันตราย มีผลร้ายตามมาค่อนข้างมาก บ้างก็มองว่าคนที่เลือกทำศัลยกรรมนั่นเป็นคนที่มีอุปนิสัยแปลกประหลาด ซึ่งอันที่จริงไม่มีความเชื่อมโยงกันเลยแม้แต่น้อย และเมื่อภาพรวมของมุมมองเกี่ยวกับศัลยกรรมเป็นแบบนี้ ทำให้มีข้อห้ามสำหรับการทำศัลยกรรมในบางอาชีพด้วย แต่พอเวลาผ่านไปไม่นานนัก การทำศัลยกรรมก็กลายเป็นเรื่องปกติ เฉกเช่นเดียวกับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป อาจด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ ก็คือ สังคมเริ่มยอมรับและเข้าใจถึงกระบวนการของศัลยกรรมมากยิ่งขึ้น และนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวหน้าไปจากเดิมมากแบบก้าวกระโดด ทำให้การทำศัลยกรรมไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในประเด็นของการทำศัลยกรรมก็คือ มันกลายเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์รูปแบบชีวิตได้ในมุมกว้างมากขึ้น จากเดิมที่ศัลยกรรมสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ใครบางคนสวยหล่อและดูดีมากขึ้นเท่านั้น ก็พัฒนามาเป็นมีผลต่อการดำเนินชีวิตในหลายๆ ด้าน เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว หน้าที่การงาน สุขภาพ ความมั่นใจ เป็นต้น โดยเฉพาะในด้านของการประกอบอาชีพ มีไม่น้อยเลยที่การทำศัลยกรรมช่วยให้เกิดโอกาสในเส้นทางอาชีพนั้นๆ กับคนที่สนใจได้ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะนึกถึงแต่อาชีพที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงามเท่านั้น แต่ยังมองไม่เห็นว่าอาชีพอื่นๆ ที่อาจไม่ต้องใช้ความงามเลย การทำศัลยกรรมจะมีความจำเป็นอย่างไร เดี๋ยวเราจะลงรายละเอียดกันไปทีละอาชีพ ซึ่งน่าจะคลายความข้องใจทั้งหมดลงได้ และเชื่อเลยว่าบางอาชีพเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการทำศัลยกรรมนั้นมีความสำคัญเหมือนกัน

อาชีพที่นิยมทำศัลยกรรม

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การศัลยกรรม กันให้ดีเสียก่อนว่าต้องมีขอบเขตที่จะกล่าวถึงอยู่ในระดับไหน การทำศัลยกรรม คือการเปลี่ยนแปลงอวัยวะของร่างกาย ด้วยแนวทางและเทคนิคทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การดูดของเหลวออกมา การฉีดสารบางอย่างเข้าไป รวมไปถึงการปลูกถ่ายต่างๆ ด้วย ดังนั้น การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างของอวัยวะที่ผิดปกติจากอุบัติเหตุหรือความบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด ก็เรียกว่าการทำศัลยกรรมด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าการทำศัลยกรรมนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าทุกการตัดสินใจทำอยู่บนความพอดีและมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล ก็ไม่ต้องกังวลอะไรให้มากเกินไป

อาชีพดารานักแสดง :

สำหรับอาชีพนี้ คำอธิบายค่อนข้างชัดเจนในตัวอยู่แล้วว่าทำไม การศัลยกรรม จึงจำเป็น ด้วยเหตุที่ต้องใช้รูปร่างหน้าตาเป็นเครื่องมือหลักในการทำมาหากิน และผู้คนทั่วไปก็ชื่นชอบที่จะมองอะไรสวยๆ งามๆ มากกว่า ดังนั้นดารานักแสดงที่มีความสวยอันเป็นเอกลักษณ์ หรือมีความสวยที่สมบูรณ์พร้อม ก็มักจะได้รับงานคุณภาพก่อนคนอื่นๆ ยิ่งถ้ามีพร้อมทั้งความสวยและฝีมือด้วยแล้ว รับรองว่าอยู่ในวงการนี้ไปอีกยาวนานแน่นอน สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การสูญเสียความเป็นตัวตน อย่างหนึ่งที่ใครบางคนจะได้เข้าสู่วงการบันเทิงก็มาจากเสน่ห์บางอย่างในตัวตนของเขานั่นเอง จริงอยู่ว่าความสวยงามอาจต้องปรับแต่งกันนิดหน่อย แต่อย่างที่เราได้เห็นกันก็คือ ดารานักแสดงหลายคนก็ศัลยกรรมเสียจนแฟนคลับแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าเขาคือใคร แบบนี้ก็ถือว่าน่าเสียดาย ส่วนรูปแบบของการศัลยกรรมก็มีได้หลากหลายตามความต้องการของแต่ละคนเลย ไม่ว่าจะทำตาสองชั้น ปรับรูปหน้า เพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก เป็นต้น

อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน :

จุดเด่นของอาชีพนี้คือรอยยิ้มที่สวยสดใสและบุคลิกที่ดูดี สง่าผ่าเผย การแต่งตัวก็เป็นอีกส่วนที่เน้นให้เห็นจุดบกพร่องต่างๆ ตามร่างกายได้ง่าย และหากมีตำหนิที่มากเกินไปแล้ว ก็คงไม่อาจให้ทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในระดับที่ก้าวหน้ามากขึ้นไปได้ นั่นหมายความว่าศัลยกรรมมีส่วนช่วยต่อการเติบโตในหน้าที่การงานของเส้นทางนี้ด้วยเหมือนกัน รูปแบบของการทำศัลยกรรมที่นิยมทำกันในหมู่นางฟ้าเหล่านี้ก็คือ การปรับแต่งรูปตาให้ดูน่ามอง อาจปรับให้ตาโตขึ้น ทำตาสองชั้น เป็นต้น ถัดมาเป็นการปรับแต่งรูปหน้า ใครที่มีกรามใหญ่เกินไป ก็ต้องตัดแต่งเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนโยนและเป็นมิตรมากขึ้น สุดท้ายคือการปรับแต่งส่วนของหน้าผาก เพราะสายการบินส่วนใหญ่มักจะให้เกล้าผมไปไว้ด้านหลัง เปิดส่วนหน้าผากทั้งหมด การมีหน้าผากได้รูปสวยจึงจำเป็นด้วย

อาชีพผู้ประกาศข่าว :

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาชีพที่ต้องการความสวยหล่อโดยตรง แต่ยังต้องการความน่าเชื่อถือในระดับที่สูงพอสมควร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ประกาศข่าวจะต้องแต่งตัวดูดีอยู่เสมอ และการทำศัลยกรรมจะมาช่วยเพิ่มให้ผู้ประกาศข่าวมีลักษณะที่เฉลียวฉลาด มีเสน่ห์น่าชมน่าฟัง และมีความสุภาพเรียบร้อยขึ้นได้ อย่างแรกเลยเป็นส่วนของจมูก คนจีนใช้หลักการดูรูปร่างของจมูกเพื่อวิเคราะห์อุปนิสัยของบุคคลด้วย นวัตกรรมในเชิงศัลยกรรมก็จะมาช่วยทำให้ผู้ประกาศข่าวมีทรงจมูกที่ดีได้ ไม่บาน ไม่ใหญ่ และไม่งองุ้มจนเกินไป นอกจากจะดูน่าเชื่อถือขึ้นก็ยังเสริมให้ใบหน้าดูคมขึ้นด้วย อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นส่วนของดวงตา การสื่อสารที่ดีผู้ฟังจะต้องได้เห็นแววตาของผู้ส่งสารอย่างชัดเจน ใครที่มีตาตี่เล็กเกินไปก็ใช้ การศัลยกรรม เข้ามาช่วย

อาชีพครูอาจารย์ :

ใครว่าเรือจ้างลำนี้จะต้องดูเชย ดูโบราณคร่ำครึเสมอไป เพราะครูอาจารย์ รวมไปถึงบรรดาติวเตอร์ที่ต้องให้องค์ความรู้ดีๆ กับเด็กนักเรียน ก็ต้องมีเสน่ห์ดึงดูด น่ามอง จึงจะช่วยเสริมให้บรรยากาศการเรียนนั้นรื่นรมย์มากยิ่งขึ้น อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เมื่อผู้สอนมีหน้าตาที่เป็นมิตร ดูใจดีก็จะกระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าที่จะเข้าหามากกว่า กลายเป็นได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทางด้านผู้สอนก็ดูดีขึ้น มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในอาชีพมากขึ้น ทางด้านผู้เรียนก็เปิดใจที่จะรับองค์ความรู้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สำหรับ การศัลยกรรม ที่นิยมทำกันในกลุ่มอาชีพนี้ก็จะมี การลดเรือนริ้วรอยต่างๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าช่วงวัยไม่ได้ทิ้งห่างจากผู้เรียนจนเกิดความห่างเหินมากเกินไป ต่อมาเป็นการแก้ไขรูปหน้าเพื่อให้ดูอ่อนโยนมากขึ้น ปิดท้ายด้วยการปรับรูปดวงตาเพื่อเสริมเสน่ห์ จะยกหางตา ทำตาโต ทำตาสองชั้นก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน

การทำศัลยกรรม คือการเปลี่ยนแปลงอวัยวะของร่างกายที่ผิดปกติจากอุบัติเหตุหรือความบกพร่องแต่กำเนิด ด้วยแนวทางและเทคนิคทางการแพทย์

อาชีพผู้บริหารระดับสูง :

บุคลิกที่ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของอาชีพนี้ จริงอยู่ว่ามันอาจไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งปวงที่เกิดขึ้น เพราะหากไม่มีความสามารถจริงๆ มีหรือจะก้าวขึ้นมายืนที่จุดนี้ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องภาพลักษณ์ก็จะเป็นตัวช่วยในการต่อยอดความสำเร็จหลังจากนี้แน่นอน เมื่อผู้บริหารดูน่าเชื่อถือ ดูไว้วางใจได้ ก็จะได้รับความเชื่อมั่นจากคู่ค้าทางธุรกิจ ได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา และความน่าเชื่อถือนี้ไม่มีทางมีได้ หากผู้บริหารมีสีหน้าและแววตาที่ดูซึมเศร้า หดหู่ หรือคล้ายกับง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา การศัลยกรรม อย่างแรกที่นิยมกันจึงเป็นการปรับแต่งรูปตา ให้ดูสดใสและทรงพลังมากขึ้น ทั้งการยกหางตา ลดริ้วรอยใต้ตา ไปจนถึงเพิ่มไขมันใต้ตาให้ดูอวบอิ่ม ถัดมาก็คือปรับคางไม่ให้ยื่นจนเกินงาม และไม่ให้สั้นเกินสัดส่วนที่สวยงามของใบหน้า

อาชีพพนักงานขาย :

หากใครคิดจะปฏิเสธว่าการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของลูกค้าไม่เกี่ยวกับตัวพนักงานขาย แต่เกี่ยวกับคุณภาพของสินค้านั้นๆ ต้องบอกเลยว่าถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เพราะปัจจัยที่เชื่อมโยงให้เกิดการซื้อขายที่แท้จริงเป็นอารมณ์มากกว่าเหตุผล ดังนั้นพนักงานขายมีส่วนค่อนข้างมากในการทำข้อตกลงแต่ละครั้ง สังเกตได้ง่ายมากๆ จากพนักงานขายที่ดูสวย ดูหล่อ หรือมีบุคลิกท่าทางที่เป็นมิตร มักจะทำยอดขายได้ดีกว่าคนอื่นๆ เมื่อเทียบกับคนที่ฝีมือและทักษะการขายอยู่ในระดับเดียวกัน การทำศัลยกรรมจึงช่วยได้อย่างมากเลยในกรณีนี้ อย่างแรกที่นิยมทำกันมากที่สุดก็คือดวงตา เพราะเป็นช่องทางของการสื่อสารที่ดีที่สุด ต่อมาเป็นปรับแก้รูปหน้าให้ดูสมส่วนชวนมอง แก้ไขความแข็งกระด้างให้ดูนุ่มนวลมากขึ้น และสุดท้ายคือผิวพรรณ อย่างน้อยก็ต้องดูผุดผ่องสะอาดสะอ้านถึงจะมัดใจลูกค้าเอาไว้ได้

อาชีพโค้ชหรือวิทยากร :

นี่เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น และต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ที่ดึงดูดเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ นอกเหนือไปจากข้อมูลที่ส่งต่อ ก็เป็นเสน่ห์ที่จะตรึงความสนใจของผู้ฟังเอาไว้ได้นั่นเอง เพราะไม่ว่าเนื้อหาจะดีเยี่ยมขนาดไหน แต่ถ้าวิทยากรไม่มีออร่า ไม่น่ามอง ไม่น่าสนใจ คนฟังก็เบื่อหน่ายได้ไม่ยาก และจากสถิติพบว่าโค้ชที่มีความสวยความหล่อเป็นอาวุธ จะได้รับความไว้วางใจมากกว่าอีกด้วย การทำศัลยกรรมจึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่มีของ แต่บุคลิกยังไม่ค่อยพร้อม มีตั้งแต่การปรับรูปหน้าให้คมชัด ปรับรูปตาไม่ให้ดูเศร้าหรือง่วงนอน ไปจนถึงปรับทรงจมูกให้ดูเป็นคนจริงจังและจริงใจ

อาชีพนักกีฬา :

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการทำศัลยกรรมจำเป็นสำหรับนักกีฬามืออาชีพบางประเภทด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะกีฬาที่มีเรื่องความสมบูรณ์ของรูปร่างมาเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินด้วย เช่น กีฬาลีลาศ ยิมนาสติกลีลา เป็นต้น การศัลยกรรม นี้จะเป็นในรูปแบบของการปรับแต่งรูปร่างในจุดที่มีปัญหา ให้เกิดความสมดุลและสมส่วนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การปรับขนาดของสะโพกที่ใหญ่เกินไป การตัดแต่งกระดูกบางจุดที่ผิดรูปแล้วก่อให้เกิดความไม่คล่องตัวขณะที่เล่นกีฬา และทั้งหมดนี้จะต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญในระดับที่ลึกกว่าการศัลยกรรมในเชิงความสวยความงามทั่วไป ต้องผ่านการวิเคราะห์และเลือกทำศัลยกรรมในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย ไม่ใช่ว่านักกีฬากังวลไปเองแล้วอยากทำศัลยกรรมก็ทำได้เลย ต้องใช้เวลาเพื่อตรวจสอบถึงความสมเหตุสมผลด้วย เพราะจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูความสัมพันธ์ในการเติบโตของร่างกาย และบริหารเวลาเผื่อไว้สำหรับการพักฟื้นที่อาจจะยาวนานด้วย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาชีพที่ยกมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น ยังมีอาชีพอีกมากมายที่ใช้การทำศัลยกรรมเข้ามาช่วยให้เส้นทางอาชีพนั้นราบรื่นมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่ามาถึงยุคสมัยนี้แล้ว การศัลยกรรม ได้กลายเป็นศาสตร์ทางด้านการแพทย์ที่มีความสำคัญต่ออาชีพการงานไม่น้อยเลย และการทำศัลยกรรมก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรอบของความสวยความงามเท่านั้นด้วย อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนแก้ไขข้อบกพร่องในร่างกาย ก็ยังต้องอยู่บนเส้นของความพอดี อะไรที่มากไปหรือน้อยไปย่อมไม่ดีทั้งนั้น ที่สำคัญการทำศัลยกรรมทุกครั้งต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเสมอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

เช็คลิสต์ก่อน ศัลยกรรม ( Surgery )

0
เช็คลิสต์ก่อนทำศัลยกรรม
ศัลยกรรมเป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ให้เป็นไปตามที่ต้องการ สร้างความสมดุล สมมาตร และสมบูรณ์แข็งแรงให้กับอวัยวะ
เช็คลิสต์ก่อนทำศัลยกรรม
สารนิโคตินซึ่งเป็นสารเคมีให้โทษให้บรรดายาสูบทุกชนิด ออกฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนไม่สะดวก

ศัลยกรรม ( Surgery )

จุดเริ่มต้นของการตัดสินใจทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) มักมาจากความต้องการพัฒนาตัวเองในด้านภาพลักษณ์ มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ การเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ไปจนถึงการแก้ปัญหาด้านความสวยความงามที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เพราะการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ก็เป็นแขนงหนึ่งของการรักษาในทางการแพทย์ และนวัตกรรมสมัยใหม่ก็ก้าวหน้าไปไกลมาก จึงมีตัวช่วยหลากหลายที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลได้ พร้อมทั้งมีความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่าเดิมหลายเท่าตัวด้วย

เช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้น

ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าจริงๆ แล้ว ศัลยกรรม ( Surgery ) มีความหมายตรงตามที่เราเข้าใจกันหรือไม่ หลายคนมองว่าการศัลยกรรม (surgery) ก็คือการผ่าตัดเพื่อปรับแต่งอะไรบางอย่าง แต่ความจริงแล้วศัลยกรรมเป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้เป็นไปตามที่ต้องการ สร้างความสมดุล สมมาตร และสมบูรณ์แข็งแรงให้กับอวัยวะเหล่านั้น โดยที่ทุกรูปแบบอันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ล้วนนับเป็นการศัลยกรรมด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัด การฉีด การดูดออก การปลูกถ่าย หรือวิธีอื่นๆ ซึ่งข้อดีของการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว คือช่วยปรับให้องค์ประกอบทั้งหมดภายในร่างกายเข้าที่เข้าทางและเปล่งประกายได้มากกว่าที่เคย หลายคนได้โอกาสดีๆ หลังจากศัลยกรรมไปแล้ว หลายคนมีความมั่นใจ กล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จึงถือได้ว่าการศัลยกรรมเป็นการลงทุนในตัวเองอย่างหนึ่งที่คุ้มค่า แต่ศัลยกรรมก็มีข้อเสียด้วยเหมือนกัน ทั้งเรื่องความเสี่ยงจากการทำโดยตรง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ไปจนถึงภาวะเสพติดการศัลยกรรมที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกินความพอดีไปมาก ดังนั้นเราจึงต้องรู้แน่ชัดในความต้องการของตัวเองให้มาก พร้อมกับพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งก่อนการทำศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม และต่อไปนี้จะเป็นเช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้น ที่เอาไว้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจก่อนการทำศัลยกรรมทุกประเภท

1. ความปลอดภัย : นี่เป็นอันดับแรกที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่า ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่เลือกนั้นจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม ต้องแน่ใจว่ามีความปลอดภัยในระดับสูง ไล่ไปตั้งแต่สถานพยาบาลที่เราจะฝากความคาดหวังเอาไว้ ควรตรวจสอบให้มั่นใจเสียก่อนว่าเป็นมืออาชีพ มีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์มากเพียงพอ เรื่องเหล่านี้สังเกตได้ง่ายมากเพราะเป็นสิ่งที่สถานบริการต้องการนำเสนอออกมาอยู่แล้ว นอกจากการดูผ่านสื่อโซเชียล เช็ครีวิวหรือตามข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว เราก็สามารถเดินเข้าไปยังสถานพยาบาลที่สนใจเพื่อขอคำแนะนำเบื้องต้น เราจะได้สัมผัสทั้งการดูแลของพนักงาน การวิเคราะห์ของแพทย์ และบรรยากาศโดยรวมที่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากตัดสินใจมารับบริการที่นี่แล้วจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน

2. ระดับของความจำเป็น : ประเด็นนี้เป็นตัวช่วยที่ดีมากที่จะลดการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่เกินพอดี จนถึงขั้นเสพติดศัลยกรรมมากกว่าการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ แน่นอนว่าอะไรที่มากไปหรือน้อยไปย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมทุกครั้งควรถามตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จำเป็นหรือไม่ อาจเริ่มจากคำถามที่ว่าการศัลยกรรมครั้งนี้จะเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของเราในส่วนไหน ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้หรือไม่ หรือว่าเพียงแค่ทำตามกระแสที่คนอื่นเขาว่าดี หากมีใครสักคนมาทักเราว่าควรทำจมูกให้โด่งขึ้นกว่านี้ โดยที่เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาและไม่ได้ต้องการเสริมจมูกมาตั้งแต่แรก แต่เผลอคล้อยตามจนคิดจะทำศัลยกรรมจมูกขึ้นมาจริงๆ อันนี้ก็จะจัดอยู่ในประเภทที่ควรยับยั้งเอาไว้ก่อน แล้วใคร่ครวญดูให้ดีอีกสักที

3. คุณภาพกับราคา : ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการอื่นๆ อาจจะไม่ได้เคร่งเครียดมากนักในประเด็นนี้ เพราะเมื่อไรที่ซื้อมาแล้วใช้ไม่ดีก็แค่เลิกใช้ไป หรือขอเงินคืนก็ยังได้ในบางแห่ง แต่การทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ทำแล้วทำเลย การแก้ไขก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน และต้องยอมรับว่าเมื่อมีการแก้ไขเกิดขึ้น ก็ไม่การันตีว่าจะกลับมาดีเหมือนเดิมได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ดีทำให้ทีมแพทย์เก่งๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และทั้งหมดนี้ย่อมมีมูลค่าที่สูงกว่าบริการทางการแพทย์ในระดับที่ต่ำลงมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานพยาบาลที่คิดค่าใช้จ่ายแพงๆ จะให้บริการได้ดีกว่าสถานที่ที่ถูกกว่าเสมอไป เราจึงต้องให้เวลากับการรวบรวมข้อมูลเรื่องของคุณภาพกับราคาพอสมควร เพื่อให้รู้แน่ว่าการลงทุนกับร่างกายในครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า ที่สำคัญหากบริการเหล่านั้นดูราคาถูกเกินไป ให้คิดในแง่ลบไว้ก่อนว่าอาจจะมีบางอย่างที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ แล้วค่อยหาข้อมูลมาหักล้างทีหลัง

4. ความสวยที่บางครั้งต้องเจ็บตัวบ้าง : การศัลยกรรมบางประเภทจะมีความเจ็บที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้ระหว่างการทำไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร แต่หลังจากนั้นรับประกันว่าเจ็บแน่นอน จำเป็นต้องทำใจเตรียมพร้อมไว้สำหรับความเจ็บปวดตรงนี้ด้วย ตัวอย่างของการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่ว่านี้ได้แก่ การเสริมขนาดหน้าอกที่มีการตัดกล้ามเนื้อบางส่วนออกจากกัน การผ่าตัดลดหน้าท้องที่มีการตัดชิ้นเนื้อออกไปและในบางรายก็จำเป็นต้องทำสะดือใหม่อีกด้วย

5. ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังศัลยกรรม (surgery) : นี่เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การ ศัลยกรรม ( Surgery ) ในแต่ละรูปแบบจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนทำศัลยกรรม และการดูแลตัวเองในช่วงพักฟื้นหลังการทำศัลยกรรมระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งผู้เข้ารับการศัลยกรรมจะได้รับทราบก่อนการตัดสินใจอยู่แล้ว จึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าจะมีปัจจัยไหนที่ไม่สามารถทำได้เลยหรือไม่ เช่น มียาบางตัวที่ไม่สามารถหยุดทานได้เลย และถ้าจะทำศัลยกรรมก็ต้องหยุดยานั้น หรือเรื่องของเวลาที่อาจต้องลางานเป็นเวลายาวนานหลายวัน ซึ่งเกินกว่าข้อกำหนดของบริษัทไปมาก เป็นต้น

6. โรคทุกชนิดต้องแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ : หลายคนใช้วิธีพิจารณาเอาเองว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นร้ายแรงหรือไม่ หากเห็นว่าไม่ก็ละเลยที่จะแจ้งแพทย์ผู้ดูแลเรื่องการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ซึ่งถือว่าอันตรายมากๆ เหมือนกับการเสี่ยงโชคเอาเอง หากโรคนั้นไม่มีผลกระทบต่อทุกกระบวนการในการทำศัลยกรรมก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่ก็ต้องรับผลไปตามที่ควรจะเป็น การทำศัลยกรรม (surgery) ในแต่ละส่วนของร่างกายมีรูปแบบการทำที่ต่างกัน ตัวยาที่ใช้ก็ต่างกัน เราจึงไม่อาจตัดสินได้เองว่าโรคไหนต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบหรือไม่ ควรแจ้งข้อมูลทั้งหมดที่มีแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไปจะดีกว่า

7. เลี่ยงช่วงมีประจำเดือน : กรณีนี้สำหรับเพศหญิงโดยเฉพาะ หากเป็นการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัด เพศหญิงควรหลีกเลี่ยงการทำศัลยกรรม (surgery) ในช่วงที่มีรอบเดือน เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายมีความไม่ปกติอยู่หลายจุด เป็นช่วงที่ทำการห้ามเลือดได้ยากกว่าปกติ และในบางรายก็มีอาการตัวบวมซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับทีมแพทย์ผู้ดูแลพอสมควร หากมีความจำเป็นด้วยปัจจัยอื่นๆ ทำให้ต้องทำการผ่าตัดในช่วงเวลานี้ ก็ควรเป็นก่อนการมีรอบเดือนสัก 2-3 วัน หรือหลังจากหมดรอบเดือนไปแล้ว 2-3 วันเช่นเดียวกัน

ศัลยกรรมเป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ให้เป็นไปตามที่ต้องการ สร้างความสมดุล สมมาตร และสมบูรณ์แข็งแรงให้กับอวัยวะ

การเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังการศัลยกรรมความงาม

หากตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) จริง บนพื้นฐานของการรวบรวมข้อมูลและผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วตามหัวข้อข้างต้น ก็มาถึงการเตรียมตัวก่อนการทำศัลยกรรม ซึ่งจะขอกล่าวเน้นถึงการศัลยกรรมที่มาในรูปแบบของการผ่าตัดโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นการศัลยกรรมที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด และมีรายละเอียดของการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังการศัลยกรรมมากที่สุดด้วย

1. งดยาทุกชนิดก่อนเข้ารับการผ่าตัด : ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก็ต้องงดการทานยาทุกชนิดเอาไว้อย่างน้อย 2 อาทิตย์ก่อนการผ่าตัด หรือตามที่แพทย์กำหนด รวมไปถึงอาหารเสริมและวิตามินต่างๆ ด้วย เพราะหลายตัวอาจส่งผลให้การผ่าตัดมีปัญหา เช่น เลือดไม่หยุดไหล เนื้อเยื่อต่างๆ มีอาการบวม เป็นต้น

2. งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : สิ่งเหล่านี้มีสารกระตุ้นการอักเสบอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเคมีให้โทษให้บรรดายาสูบทุกชนิด ออกฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวอย่างมาก ระบบเลือดจึงไหนเวียนไม่สะดวก ส่งผลเสียต่อการฟื้นฟูร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเอง ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 3 วันก่อนการผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายได้ชำระล้างสารพิษออกไป แต่อันที่จริงหากหยุดได้นานกว่านั้นก็จะยิ่งดี ด้วยเหตุที่ร่างกายของแต่ละคนมีช่วงเวลาของการขับสารพิษออกจากร่างกายเร็วช้าไม่เท่ากัน

3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ : ส่วนใหญ่ก่อนวันผ่าตัดมักจะมีอาการตื่นเต้นและวิตกกังวล จนส่งผลให้การนอนไม่เป็นไปตามปกติ บ้างก็นอนไม่หลับเลย บ้างก็หลับๆ ตื่นๆ นอนหลับไม่สนิท จึงควรทำใจให้สบายและหาวิธีผ่อนคลายร่างกายเพื่อให้หลับได้อย่างเต็มที่ เพราะการนอนหลับที่ดีมีผลต่อการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดด้วย

4. แจ้งแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการเจ็บป่วย : ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากก่อนวันทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ความงามไม่กี่วัน เกิดมีอาการเจ็บป่วยกะทันหันขึ้นมา เช่น มีไข้ เป็นหวัด มีอาการไออย่างต่อเนื่อง เป็นต้น แบบนี้ให้แจ้งแพทย์ผู้ดูแลให้ทราบทันที เพื่อตัดสินใจต่อไปว่าสามารถทำการ ศัลยกรรม (surgery) ได้ตามกำหนดเดิม หรือต้องเลื่อนออกไปก่อน

5. เตรียมของใช้ส่วนตัวให้ครบถ้วน : ก่อนทำการผ่าตัด แพทย์จะแจ้งให้ทราบอยู่แล้วว่าจำเป็นต้องนอนพักฟื้นต่อที่โรงพยาบาลหรือไม่ เป็นเวลาประมาณเท่าไร ให้เตรียมข้าวของส่วนตัวมาให้ครบ จะได้ไม่ต้องเกิดความกังวลและยุ่งยากหลังการผ่าตัด

6. งดอาหารและน้ำดื่มก่อนการผ่าตัด : ขั้นตอนการใช้ยาสลบจำเป็นต้องให้ผู้เข้ารับการรักษางดอาหารและเครื่องดื่มมาก่อน โดยจะต้องงดเป็นเวลา 8 ชั่วโมงสำหรับการดมยาสลบ และต้องงด 4 ชั่วโมงสำหรับการวางยาสลบ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการสำลักอาหารเข้าไปในหลอดลม เกิดการอาเจียนขณะที่หมดสติ นอกจากนี้น้ำย่อยที่ถูกขับออกมาเพื่อย่อยอาหารเหล่านั้น มีโอกาสสูงที่จะมาทำลายเนื้อเยื่อปอดจนเกิดการอับเสบอย่างรุนแรงได้

7. มาถึงก่อนเวลาเสมอ : ในวันผ่าตัดเพื่อทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ความงามควรมาถึงสถานพยาบาลก่อนเวลานัดอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง อย่างแรกเพื่อให้มีเวลาผ่อนคลายร่างกายและความตึงเครียดต่างๆ ก่อน อย่างที่สองเป็นกรณีที่มีการเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างกะทันหัน จะได้มีเวลาเตรียมตัวได้ทันนั่นเอง

8. งดใช้อุปกรณ์เสริมความงามบางชนิด : ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่ว่านี้ก็คือ เทปติดตาสองชั้น สำหรับคนที่จะผ่าตัดทำตาสองชั้น ต้องงดใช้เทปตัวนี้อย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพื่อให้รูปตาเป็นธรรมชาติมากที่สุด ทีมแพทย์จะได้ปรับแต่งได้อย่างถูกต้อง หากติดเทปมาตลอดไม่ได้งดเลย รูปตาจะผิดเพี้ยนไป ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อการผ่าตัดด้วย อุปกรณ์เสริมสวยชนิดอื่นๆ ที่ใช้งานในลักษณะนี้ก็ต้องงดด้วยเช่นเดียวกัน

9. ห้ามลดน้ำหนักอย่างหักโหม : มีหลายคนที่เข้ารับการดูดไขมัน ศัลยกรรมหน้าท้อง หรือผ่าตัดเพื่อลดสัดส่วนต่างๆ นิยมออกกำลังกายและอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักลงอย่างมากก่อนเข้ารับการรักษา ทั้งที่จริงๆ ไม่จำเป็นเลย หากแพทย์ไม่ได้แจ้งเป็นกรณีพิเศษ ซ้ำร้ายการทำแบบนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายต้องรับภาระหนักเกินไป จะมีปัญหาต่อเนื่องตามมาหลังจากการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ความงามแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559

ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์ของใบหน้า โครงหน้าและแนวขากรรไกร

0
ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์ของใบหน้า โครงหน้าและแนวขากรรไกร
ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อความสมดุลของส่วนประกอบกับเค้าโครงใบหน้า และองศาความงามบนใบหน้า
ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์ของใบหน้า โครงหน้าและแนวขากรรไกร
ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อความสมดุลของส่วนประกอบกับเค้าโครงใบหน้า และองศาความงามบนใบหน้า

ศัลยกรรมใบหน้า

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมคนที่ ศัลยกรรมใบหน้า มากๆ ตั้งใจให้มีดวงตาที่กลมโตสวยงาม จมูกเป็นสันรูปทรงยอดนิยม ปากได้รูปเป็นกระจับสวยคม ทุกองค์ประกอบถือว่าสมบูรณ์แบบ แต่ทำไมพอดูรวมๆ แล้วจึงเหมือนขาดๆ เกินๆ หรือพาลดูไม่สวยเอาเสียดื้อๆ ประเด็นคือเรื่องความสมดุลของส่วนประกอบกับเค้าโครงใบหน้านั่นเอง มนุษย์เราจะมีสัดส่วนและองศาความงามบนใบหน้าที่ดีอยู่ อย่างที่หลายคนเคยได้ยิน โดยเฉพาะในวงการเมคอัพที่ต้องเข้าใจเรื่องของสัดส่วนที่ว่านี้เป็นอย่างดี ถึงจะแต่งหน้าออกมาสวยและมีเสน่ห์ ใครก็ตามที่อยากได้ความสวยในแบบที่ยกระดับขึ้นจากเดิม จึงต้องพึ่งการศัลยกรรมเป็นสิ่งสำคัญกับความสมบูรณ์ของใบหน้า ทั้งเรื่องกรอบหน้า องศาความงาม สัดส่วนแห่งความสมดุล ทั้งหมดทั้งมวลต้องสอดคล้องสัมพันธ์กัน จะให้น้ำหนักสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปไม่ได้

การวัดสัดส่วนของการ ศัลยกรรมใบหน้า

การ ศัลยกรรมใบหน้า เป็นการประเมินว่าเค้าโครงของใบหน้ามีความสมดุลที่สวยงามดีหรือไม่ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่ถูกเลือกนำมาใช้ทั้งในวงการเมคอัพและศัลยกรรม แต่ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์คร่าวๆ เท่านั้น หากจะวัดเพื่อเจาะจงไปที่ปรับแต่งโดยการศัลยกรรม จำเป็นต้องได้รับการตรวจที่ละเอียดอีกขั้นหนึ่งก่อนเข้ารับการรักษาเสมอ ลองมาดูกันว่ามีวิธีวัดสัดส่วนที่สวยงามของใบหน้าอย่างไรบ้าง

1. วัดสัดส่วนโดยแบ่งตามแนวตั้ง : เป็นการแบ่งใบหน้าในแนวตั้งออกเป็น 5 ส่วน คือ จากข้างแก้มถึงหางคิ้ว ด้านซ้ายและด้านขวานับเป็น 2 ส่วน วัดจากหางคิ้วถึงหัวคิ้ว ด้านซ้ายและขวานับเพิ่มอีก 2 ส่วน และตรงกลางก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ รวมได้ 5 ส่วนพอดี หากทั้ง 5 ส่วนนี้มีขนาดเท่าๆ กันก็ถือว่าเป็นเค้าโครงหน้าที่สวยงาม

2. วัดสัดส่วนโดยแบ่งตามแนวนอน : เป็นการแบ่งใบหน้าในแนวนอนออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ได้ยินบ่อยที่สุด คือวัดจากไรผมถึงแนวคิ้ว วัดจากแนวคิ้วถึงปลายจมูก และวัดจากปลายจมูกไปจนสุดปลายคาง โครงหน้าที่ดีจะต้องมี 3 ส่วนนี้ในขนาดที่เท่าๆ กัน

3. วัดแบบ Ricketts’ E line : วิธีการนี้เราอาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า E line เป็นแนวเส้นที่ลากจากปลายจมูกไปจนถึงปลายคาง โดยลากเส้นจากปีกจมูกทั้ง 2 ข้างลงไป จะเป็นกรอบครอบพื้นที่ปากเอาไว้ เพื่อดูระยะของปากว่ายื่นหรือหดจาก E line มากเกินไปหรือไม่ เพราะสัดส่วนที่สมบูรณ์ก็คือมุมปากแตะที่เส้น E line พอดี

4. วัดด้วยเส้นแนว Eye brow : เป็นการลากเส้นเพื่อดูตำแหน่งของคิ้วที่เหมาะสม โดยลากเส้นจากปีกจมูกไปที่หัวตาเป็นเส้นแรก และลากเส้นจากปีกจมูกไปที่จุดสูงสุดของแนวคิ้ว จะได้ตำแหน่งของขอบตาดำด้านนอกที่สวย ปิดท้ายด้วยลากเส้นจากปีกจมูกไปที่หางคิ้ว จะต้องผ่านขอบตาด้านนอกสุดพอดี

การวัดสัดส่วนของใบหน้าที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีการวัดแบบ S curve, Ogee curve of cheek, Reverse triangular, Ideal cheek และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหลักสำคัญที่ใช้ก็เป็นธรรมชาติของรูปทรงทางคณิตศาสตร์นั่นเอง ทีนี้เมื่อวัดแล้วพบว่าเค้าโครงรูปหน้าไม่สมบูรณ์พร้อม ก็จะเข้าสู่กระบวนการปรับแต่งด้วยการใช้เทคนิค ศัลยกรรมใบหน้า เข้ามาช่วย แต่จะไม่ใช่การปรับแต่งที่องค์ประกอบเล็กๆ อย่างคิ้ว ตา จมูก ปาก แต่เป็นการปรับโครงหน้า กรอบหน้า และขากรรไกร

การศัลยกรรมกระดูกหน้า

การตัดแต่งกระดูกบริเวณใบหน้าเป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้ในการปรับโครงหน้าอย่างถาวร แน่นอนว่าเมื่อใบหน้ามีเส้นประสาทและระบบการทำงานที่ละเอียดอ่อน ทุกครั้งก่อนการ ศัลยกรรมใบหน้า จึงต้องวางแผนเตรียมการเป็นอย่างดี และต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะย้อนกลับไม่ได้ จึงต้องตัดสินใจให้รอบคอบถึงความปลอดภัยและความเหมาะสมก่อนเข้ารับการรักษาเสมอ

การศัลยกรรมผ่าตัดกรามให้เป็น V Line

ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ที่มีช่วงกรามเป็นทรงเหลี่ยม หรือที่เรียกว่า U Line เป็นการตัดส่วนของกระดูกกรามออกบางส่วน เพื่อให้โครงหน้าลดเหลี่ยมมุมลงและมีขนาดที่เรียวยาวคล้ายตัว V การศัลยกรรมในรูปแบบนี้จะทำให้โครงหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลายคนสวยขึ้นจนผิดหูผิดตา เกิดความมั่นใจที่จะแต่งหน้าแต่งตัวมากกว่าเดิม เพราะการตัดกรามแบบ V Line นี้ไม่ได้ทำเพียงแค่ตัดกระดูกกรามออกไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดแต่งให้ใบหน้าทั้งสองด้านมีความสมมาตรกัน พร้อมกับเหลาปลายคางให้แหลมขึ้นเล็กน้อย ใครที่มีปัญหาหน้าเบี้ยวก็จะถูกจัดการให้เรียบร้อย ใครที่มีสัดส่วนใบหน้าที่ช่วงคางสั้นก็จะเกิดความสมดุลมากขึ้น

รูปแบบการการศัลยกรรมผ่าตัดกรามให้เป็น V Line

การผ่าตัดสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ เปิดแผลภายในช่องปากและเปิดแผลด้านนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้

เปิดแผลภายในช่องปาก : แพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลแถวๆ หลังฟันกรามด้านในสุด เพื่อแยกเนื้อเยื่อกับกระดูกกรามออกจากกัน แล้วใช้เครื่องมือเฉพาะตัดมุมกรามออกไป มีข้อดีตรงที่ไม่มีรอยแผลให้เห็นและลดความเสี่ยงที่จะกระทบต่อระบบประสาทบริเวณมุมปากด้วย

เปิดแผลด้านนอก : เป็นการกรีดบริเวณมุมกรามด้านนอกให้มีความยาวราวๆ 1-2 นิ้ว จากนั้นทำการแยกเนื้อเยื่อออกจากกระดูกกรามแล้วตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกไป ข้อดีคือมีอาการบวมน้อยกว่าเปิดแผลในช่องปากมาก แต่ก็จะมีรอยแผลให้เห็นชัดเจน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะเลือนหายไป

ผ่าตัดแบบ V Line เหมาะกับใครบ้าง

1. ผู้ที่มีช่วงคางใหญ่และทู่ดูไม่สมส่วน

2. ผู้ที่มีโครงหน้าเหลี่ยมหรือกลม ช่วงคางจึงดูสั้นกว่าปกติ

3. ผู้ที่เคยผ่านการ ศัลยกรรมใบหน้า ด้วยการผ่าตัดกรามเหลี่ยมแบบพื้นฐานมาแล้ว ซึ่งเป็นการตัดมุมกรามออกเท่านั้น ไม่มีการเหลาคางแต่อย่างใด คางจึงยังคงดูทู่และสั้นอยู่

4. ผู้ที่มีใบหน้าไม่สมมาตรกันอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้สูญเสียความมั่นใจอย่างรุนแรง

การศัลยกรรมปรับแต่งขากรรไกร

กระดูกขากรรไกรก็คือแนวกระดูกที่รองรับแนวฟันอยู่ มีทั้งขากรรไกรล่างและขากรรไกรบน หากเราอ้าปากแล้วสัมผัสที่ไปใต้ใบหู ก็จะรู้สึกได้ถึงจุดที่เป็นข้อต่อของขากรรไกรล่างและบน การศัลยกรรมปรับแต่งขากรรไกรนี้ สามารถแบ่งเป็น 2 กรณีใหญ่ๆ คือ กรอขากรรไกร ผ่าตัดขากรรไกร และปรับแต่งกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร

การกรอขากรรไกร : จะเป็นการ ศัลยกรรมใบหน้า ที่เน้นให้เกิดรูปทรงเรียวเล็ก โดยใช้เครื่องมือแพทย์ค่อยๆ กรอส่วนกระดูกขากรรไกร ไล่ตั้งแต่มุมขากรรไกรล่างเป็นต้นไป ทำทีละนิดเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง เป้าหมายคือทำให้ใบหน้าเรียวลงและมีความสมมาตรมากขึ้น วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีปัญหาไม่มากนัก เหลานิดหน่อยก็ออกมาสวย

การผ่าตัดขากรรไกร : อันนี้เป็นคนละกรณีกับแบบแรกเลย เพราะส่วนใหญ่ใช้กับคนที่มีปัญหาค่อนข้างมาก เช่น ขากรรไกรเบี้ยวไป ฟันจึงไม่สบกันและโครงหน้าก็บิดเบี้ยว เป็นต้น การผ่าตัดจำเป็นต้องจัดฟันร่วมด้วย โดยที่จะจัดฟันไปพร้อมกัน หรือจัดฟันก่อนการผ่าตัดก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล แน่นอนว่าจะต้องมีการเตรียมตัวและพักฟื้นที่ค่อนข้างนาน

การปรับแต่งกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร : บางครั้งโครงหน้าที่ดูเหมือนผิดเพี้ยนไปเพราะขากรรไกร ก็ไม่ได้เกิดจากโครงกระดูกขากรรไกรจริงๆ แต่เป็นเพราะส่วนของกล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณนั้นมากกว่า เน้นไปที่กล้ามเนื้อส่วนบดเคี้ยวที่อยู่ตรงมุมขากรรไกรนั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สามารถเลือกได้ 2 วิธี

การฉีดโบท็อกซ์ เป็นการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดการทำงานลง หลังจากทำการรักษาไปสัก 1 อาทิตย์ก็จะเริ่มเห็นว่ากล้ามเนื้อค่อยๆ ลดขนาดลง แต่ว่าเป็นผลที่ไม่ถาวร เมื่อโบท็อกซ์สลายไปก็ต้องกลับมาฉีดซ้ำอีก

การผ่าตัด เป็นการตัดในส่วนของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อขากรรไกร เพื่อให้กล้ามเนื้อหยุดการทำงานและลดขนาดลง ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีคงทนถาวรมากกว่าการใช้โบท็อกซ์

กระดูกขากรรไกรคือแนวกระดูกที่รองรับแนวฟัน มีทั้งขากรรไกรล่างและขากรรไกรบน เมื่ออ้าปากแล้วสัมผัสที่ไปใต้ใบหูจะรู้สึกได้ถึงจุดที่เป็นข้อต่อของขากรรไกรล่างและบน

การศัลยกรรมโหนกแก้ม

โหนกแก้มคือส่วนที่อยู่ใต้หางตา บางคนมีโหนกใหญ่มากจึงนูนขึ้นมาเห็นได้ชัด และทำให้ใบหน้าไม่สวยสมบูรณ์อย่างที่ใจต้องการ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีโหนกแก้มชัดแล้วจะดูไม่สวย ในบางคนโหนกแก้มกลับเป็นตัวที่ช่วยเสริมให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นการ ศัลยกรรมใบหน้า ช่วงโหนกแก้มจึงเป็นเรื่องความชื่นชอบของบุคคลมากกว่าที่จะเป็นปัญหา ซึ่งก็มีทางเลือกหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมกับสรีระดั้งเดิม

การกรอโหนกแก้ม : หากมีโหนกแก้มที่นูนขึ้นมาไม่มากนัก เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหลานิดหน่อยก็ใช้ได้ ก็จะเหมาะกับวิธีนี้ ซึ่งทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว และไม่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ เนื่องจากแพทย์จะทำการผ่าตัดภายในช่องปากด้วยการกรีดเปิดปากแผลใต้กระพุ้งแก้ม แล้วค่อยๆ ใช้เครื่องมือกรอโหนกแก้มส่วนเกินออก

การผ่าตัดและเลื่อนเข้า : คนที่มีโหนกนูนสูงมากจนไม่อาจใช้การกรอได้ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าตัด แต่การผ่าตัดแบบนี้ค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งยาก ทีมแพทย์จำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เมื่อทำการผ่าตัดก็จะกรีดเปิดแผลที่หน้าใบหูใกล้ๆ จอนผม ตัดกระดูกโหนกแก้มแล้วเลื่อนไปด้านในให้อยู่ในตำแหน่งที่ออกแบบไว้ จากนั้นเชื่อมประสานกระดูกเข้าด้วยกันอีกครั้งด้วยวัสดุทางการแพทย์ซึ่งแข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนานตลอดชีวิต ผู้เข้ารับการรักษาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังผ่านช่วงพักฟื้น ไม่ต้องกังวลกลัวว่าจุดเชื่อมจะหลุดออกหรือเสียหาย แม้ว่าวิธีนี้จะยุ่งยากแต่ก็คุ้มค่า เพราะจะเปลี่ยนโครงหน้าไปได้เยอะพอสมควร

การผ่าตัดหมุนโหนกแก้ม : วิธีนี้ใช้สำหรับคนที่มีโหนกแก้มไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่อยากใช้วิธีการกรอโหนกแก้ม รูปแบบการรักษาจะเป็นการผ่าตัดและหมุนกระดูกโหนกแก้มเข้าด้านใน จึงช่วยลดความโหนกนูนที่เคยโปนออกมาเกินความจำเป็นได้ ซึ่งคล้ายคลึงกับการผ่าตัดแล้วเลื่อนเข้า แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

การเสริมโหนกแก้ม : ไม่ใช่แค่คนที่มีโหนกแก้มมากเกินไปเท่านั้นที่เป็นปัญหา คนที่ไม่มีโหนกแก้มเลยก็เป็นปัญหาด้วยเหมือนกัน เพราะใบหน้าจะขาดมิติไปเลย จะแต่งอย่างไรใบหน้าก็ไม่อาจสวยคมขึ้นมาได้ จึงต้องเสริมให้มีความโหนกนูนขึ้นมาบ้าง วิธีการที่นิยมกันมี 3 วิธี ได้แก่

การผ่าตัดเพื่อเสริมวัสดุเทียม มีทั้งแบบที่ผ่าตัดจากภายในช่องปากและผ่าตัดที่ด้านนอก วัสดุที่ใช้เสริมมีตั้งแต่ใช้กระดูกของตัวเอง ใช้สารในกลุ่มแคลเซียม และซิลิโคน ซึ่งอันสุดท้ายได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะกำหนดรูปร่างได้ ปรับแต่งง่ายและมีระดับความปลอดภัยสูง

การฉีดไขมัน โดยการดูดเอาไขมันภายในร่างกายตรงส่วนอื่นๆ เช่น หน้าท้อง ใต้ท้องแขน ต้นขา เป็นต้น แล้วเอามาฉีดเข้าที่บริเวณโหนกแก้มที่ต้องการเสริม

การฉีดคอลลาเจน คล้ายกับการเสริมจมูกหรือส่วนอื่นๆ ด้วยคอลลาเจนนั่นเอง วัดปริมาณที่ต้องใช้แล้วเลือกประเภทของคอลลาเจนให้เหมาะสม จากนั้นก็ทำการฉีดตามขั้นตอนปกติ

การศัลยกรรมปรับแต่งส่วนคาง

ส่วนคางเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผู้คนนิยมปรับแต่งกันมากที่สุด เพราะนอกจากจะมีผลโดยตรงต่อความสมส่วนของใบหน้าแล้ว ก็ยังมีผลในด้านโหงวเฮ้งตามความเชื่ออีกด้วย คนที่มีช่วงคางสั้นเกินไป หน้าจะดูหม่นหมอง ดูเศร้าซึมได้ง่าย และหลายครั้งการมีคางที่ดูสั้นก็เป็นผลพวงมาจากปัญหาโครงสร้างร่างกายอื่นๆ ด้วย เช่น ขากรรไกรไม่พอดี แนวฟันไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น หากไม่ทำการแก้ไขก็ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องความสวยความงามแล้ว แต่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาวด้วยการ ศัลยกรรมใบหน้า ปรับแต่งส่วนคางที่นิยมกันมีดังต่อไปนี้

การปรับแต่งส่วนคางด้วยการเสริมวัสดุสังเคราะห์ : จะมีการแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ การเสริมคางจากภายในช่องปาก และการเสริมคางจากภายนอกบริเวณใต้คางนั่นเอง วัสดุเสริมที่ใช้ก็จะเป็นซิลิโคนรูปแบบต่างๆ ทีมแพทย์จะกรีดเปิดแผลแล้วสอดซิลิโคนเข้าไป จัดตำแหน่งให้เหมาะสมพร้อมเย็บปิดปากแผลตามปกติ มีข้อดีตรงที่การฟื้นตัวใช้ระยะเวลาไม่นานนัก ในขณะที่ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ สามารถกำหนดได้ตั้งแต่ก่อนการผ่าตัดว่าอยากให้รูปทรงของคางเป็นอย่างไร

การปรับแต่งด้วยการฉีดไขมัน : โดยการดูดไขมันของผู้เข้ารับการรักษา จากหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน เป็นต้น แล้วเอามาฉีดบริเวณคางในปริมาณที่ต้องการ ข้อดีคือทำได้ง่าย ไม่มีรอยแผล และมีอาการแพ้น้อยมากเพราะเป็นส่วนประกอบในร่างกายของตัวเอง แต่ก็มีข้อเสียตรงที่หากได้รับการดูแลจากแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญมากพอ คางก็อาจจะบิดเบี้ยวไม่ได้รูป อาจต้องทำการแก้ไขกันหลายครั้ง

การปรับแต่งคางด้วยการเลื่อนโครงกระดูก : เป็นการตัดเอากระดูกส่วนปลายคางออกมา แล้วเลื่อนตำแหน่งมาข้างหน้าเล็กน้อย วางในองศาและความยาวที่ต้องการ ยึดกระดูกไว้ในตำแหน่งนั้นแล้วเย็บปิดปากแผล วิธีนี้จะได้คางที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับแต่งโครงหน้าให้มีความสวยสมบูรณ์แบบ ไม่ว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน เราก็สามารถเสริมเติมแต่งได้ทั้งนั้น แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยเสมอ การเลือกรูปแบบการ ศัลยกรรมใบหน้า การเลือกทีมแพทย์ผู้ดูแล มีความสำคัญเทียบเท่ากับการดูแลตัวเองหลังการทำ และการเข้าใจความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง อย่าลืมที่จะไตร่ตรองพร้อมหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งที่คิดจะทำศัลยกรรม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับการตัดสินใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

สิ่งที่เราเคยสงสัยกับการทำศัลยกรรม

0
สิ่งที่เราเคยสงสัยกับการทำศัลยกรรม
การเสริมหน้าอกยกระดับไซส์ ไม่ได้เกิดปัญหาต่อการให้นมบุตร ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมและส่งผ่านท่อน้ำนมได้ตามปกติ
สิ่งที่เราเคยสงสัยกับการทำศัลยกรรม
คำถามเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมส่วนใหญ่ก็เกิดจากความกังวลใจของผู้ที่สนใจทำศัลยกรรม ซึ่งตั้งข้อสงสัยกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย

การทำศัลยกรรม

แม้ว่า การทำศัลยกรรม จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกแล้วในปัจจุบัน แถมยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทำให้การศัลยกรรมไร้ขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย จากเดิมที่มีการทำศัยกรรมจากอวัยวะในร่างกายให้ทำการปรับแต่งได้อยู่ไม่กี่แห่ง เช่น เสริมจมูก ตา ริมฝีปาก เป็นต้น ก็เริ่มมีตำแหน่งใหม่ๆ ที่หลายคนไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำว่าจุดเหล่านั้นจะสามารถทำการศัลยกรรมปรับแต่งได้จริง ไล่ไปตั้งแต่สะโพก ผิวพรรณ บั้นท้าย เป็นต้น นอกจากนี้การทำศัลยกรรมก็เข้าถึงได้ง่ายขึ้นหลายเท่า

อ่านสักนิดก่อนทำศัลยกรรม

เพราะ การทำศัลยกรรม ไม่ว่าจะบริเวณใดในร่างกายก็ตามย่อมมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งสิ้นคุณรับสิ่งที่จะตามมาภายหลังได้หรือไม่?

ปัจจุบันการทำศัลยกรรมมีทั้งโรงพยาบาลและคลินิกมากมายให้เลือกใช้บริการ แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะคนที่เริ่มมีความสนใจอยากจะทำศัลยกรรม ก็จะยิ่งมีคำถามผุดขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคำถามคล้ายๆ กันเสมอ เราจะลองมาดูกันว่าคำถามไหนบ้างที่เป็นข้อสงสัยยอดนิยมของคนที่กำลังคิดพิจารณาว่าจะตัดสินใจทำศัลยกรรมดีหรือไม่

1. ผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมหน้าอกมาแล้ว จะสามารถให้นมบุตรตามปกติได้หรือไม่

หน้าอกเป็นส่วนที่มีสถิติในการศัลยกรรมอยู่ในอันดับต้นๆ และมีการปรับแต่งหลากหลายรูปแบบด้วย มีทั้งเพิ่มขนาด ลดขนาด และปรับความกระชับเต่งตึง นอกจากเรื่องของขนาดที่สามารถปรับเปลี่ยนได้แล้ว ก็เป็นเรื่องการให้นมบุตรนี่แหละที่หลายคนคาใจกัน เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าถ้าเสริมขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จะต้องเสริมซิลิโคนหรือวัสดุเสริมอื่นๆ เข้าไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะมีผลต่อการให้นมหรือไม่ อย่างไร อันที่จริงการสอดวัสดุเสริมเข้าไปจะเป็นบริเวณใต้กล้ามเนื้ออก ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อต่อมน้ำนมเลย หมายความว่าการเสริมหน้าอกไม่ว่าจะยกระดับขึ้นกี่ไซส์ ก็ไม่ทำให้มีปัญหาต่อการให้นมบุตรแต่อย่างใด ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมได้ตามปกติ และสามารถส่งผ่านท่อน้ำนมออกมาได้ตามปกติเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการผ่าตัดที่ถูกต้องและได้มาตรฐานด้วย แต่ถ้าเป็นการศัลยกรรมในรูปแบบของการลดขนาดหน้าอกให้เล็กลง อันนี้ต้องคิดหนักเพราะหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ต่อมน้ำนมเสียหายได้ยาก ก็ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ดูแลมาช่วยแล้ว ว่าจะทำอย่างไรให้ต่อมน้ำนมเสียหายน้อยที่สุด และสามารถให้นมบุตรได้เช่นเดียวกับคุณแม่ลูกอ่อนทั่วไป

2. ผลข้างเคียงจากการศัลยกรรม ทำยังไงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด

ไม่ใช่เฉพาะ การทำศัลยกรรม เท่านั้นที่มีผลข้างเคียง การรักษาพยาบาลแทบทุกอย่างมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเสริมหน้าอก เสริมคาง หรือแม้แต่เสริมจมูก เพียงแต่ว่าในด้านการศัลยกรรมอาจจะมีผลข้างเคียงที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าเท่านั้นเอง วิธีการลดผลข้างเคียงต้องอาศัยหลายองค์ประกอบร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำ ว่ามีรูปแบบไหนบ้าง การเตรียมตัวการพักฟื้น รายละเอียดปลีกย่อยมีอะไรบ้าง ยิ่งมีข้อมูลมากก็จะยิ่งลดความเสี่ยงได้มากตามไป เพราะเราจะรู้จุดบกพร่องหรือจุดที่ต้องระวังทั้งหมด ถัดมาเป็นการเลือกสถานพยาบาลและทีมแพทย์ผู้ดูแล ต้องยอมรับว่าเรื่องประสบการณ์สำคัญกว่าวุฒิการศึกษาหรือตำแหน่งหน้าที่การงานมากนัก แพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางมามากกว่า หมายความว่า ผ่านเคสการรักษาที่แตกต่างกันมามากกว่า นอกจากจะตรวจวัดและวิเคราะห์วางแผนการทำศัลยกรรมได้ดีกว่าแล้ว ก็ยังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำศัลยกรรมได้ดีกว่าด้วย เรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าแพทย์จะเก่งแค่ไหน หากขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพก็ทำให้การรักษาด้อยคุณภาพลงอย่างแน่นอน สถานพยาบาลที่มีพร้อมทั้งทีมแพทย์และนวัตกรรมต่างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับการศัลยกรรม
ทุกประเภท

การเสริมหน้าอกยกระดับไซส์ ไม่ได้เกิดปัญหาต่อการให้นมบุตร ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมและส่งผ่านท่อน้ำนมได้ตามปกติ

3. ทำยังไงให้หน้าอกที่เสริมมามีความเป็นธรรมชาติ ทั้งการมองเห็นและการสัมผัส

เมื่อก่อนเรามักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยครั้ง ว่าการศัลยกรรมหน้าอก ต่อให้ทำออกมาสวยแค่ไหน มองดูเป็นธรรมชาติเพียงใด แต่ถ้าได้จับต้องรับรองว่ารู้แน่นอนว่าเป็นของปลอม ก็เลยทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจว่าจะได้สัมผัสที่ต่างไปจากเดิมมากเกินกว่าจะรับได้ อย่ามองเป็นเรื่องตลกเชียว เพราะนี่เป็นสาเหตุของความสัมพันธ์ในรูปแบบคู่รักด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไป เราสามารถเสริมหน้าอกให้เหมือนกับมีมาตั้งแต่เกิดได้เลย ทั้งรูปร่างและการสัมผัส เพียงแต่ต้องให้ความใส่ใจในขั้นตอนก่อน การทำศัลยกรรม ให้มากๆ หน่อยเท่านั้น ปัจจัยที่จะทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติขึ้นอยู่กับขนาดของการเสริม ตำแหน่งที่สอดวัสดุเสริมเข้าไป และเทคนิคในการผ่าตัดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากเสริมด้วยวัสดุชั้นดีที่ใต้กล้ามเนื้อหน้าอก โดยให้แผลผ่าตัดอยู่ใต้หน้าอก ก็จะได้ทรวดทรงใหม่ที่สวยงามอย่างที่ใจต้องการแน่นอน แต่เหล่านี้ก็เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น ทางที่ดีต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ไม่ต้องเขินอาย เพราะลักษณะหน้าอกของแต่ละคนจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป และแพทย์ต้องวิเคราะห์เป็นแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

4. การเท้าคางทำให้คางยื่นใช่หรือไม่ แล้วจะมีผลอย่างไรหากผ่านการศัลยกรรมมา

อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ หากเราทำสิ่งใดก็ตามกับร่างกายในช่วงของการเจริญเติบโต ร่างกายจะสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการกระทำเหล่านั้นได้ง่าย แม้ว่าจะเป็นส่วนแข็งอย่างกระดูกก็ตามทีตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆ ก็คือประเพณีพันเท้าของชาวจีนโบราณ ที่ต้องการให้ผู้หญิงมีขนาดเท้าที่เล็กกว่าปกติ โดยมีความเชื่อว่ายิ่งเท้าเล็กมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงออกถึงความเป็นกุลสตรีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพันเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่เด็ก และพันทุกๆ วันเป็นประจำ กระดูกเท้าก็จะปรับรูปไปนั่นเอง กลับมาที่ประเด็นของการเท้าคาง หากเป็นพฤติกรรมที่ชอบทำในช่วงวัยเด็กที่โครงกระดูกยังมีพัฒนาการอยู่ ก็แน่นอนว่าอาจทำให้คางยื่นหรือหน้าเบี้ยวได้ แต่การเท้าคางก็ไม่ใช่สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่ทำให้โครงหน้าผิดรูปไปจากที่ควรจะเป็น ส่วนหลักด้านล่างของโครงหน้าจะเป็นขากรรไกรบนและล่างซึ่งมีระยะเวลาการเติบโตต่างกันเล็กน้อย ขากรรไกรบนจะหยุดการเติบโตเมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ในขณะที่ขากรรไกรล่างจะหยุดที่ราวๆ 14-18 ปี การเจริญที่ผิดปกติของขากรรไกรอันใดอันหนึ่งหรือทั้งสองอันทำให้เกิดโครงหน้าผิดรูปได้ รวมถึงพฤติกรรมเล็กน้อยๆ เช่น การเคี้ยวอาหารด้วยกรามเพียงข้างเดียว การนอนตะแคงเพียงข้างเดียว การทานอาหารไม่ครบถ้วนและไม่เหมาะสม ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้คางไม่สมส่วนและมีโครงหน้าไม่สวยงามได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป เพราะมีการศัลยกรรมโครงหน้าด้วยเช่นกัน สิ่งที่ต้องระวังมีเพียงแค่พฤติกรรมหลัง การทำศัลยกรรม ช่วงแรกๆ ที่กระดูกยังไม่ประสานกันดีเท่านั้นเอง

5. การทำศัลยกรรมตาสองชั้น ดวงตาจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่

การทำตาสองชั้นมีวิธีศัลยกรรมได้หลายรูปแบบ มีทั้งการใช้เลเซอร์ การเย็บหนังตาเป็นจุดๆ การกรีดแผลสั้น การกรีดแผลยาว หากอยากรู้ว่าดวงตาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เช่นเดียวกับก่อน การทำศัลยกรรม ได้หรือไม่ ก็คงต้องไปดูวิธีการที่เลือกใช้ว่าปรับแต่งดวงตาให้มีสองชั้นด้วยรูปแบบใด ถ้าเป็นการเย็บหนังตาเป็นจุดๆ แบบนี้จะไม่มีการทำให้เกิดแผล แลดูเป็นธรรมชาติและสามารถตัดจุดที่เย็บติดออกได้ นั่นหมายความว่าเราก็จะได้ดวงตาแบบเดิมกลับมาแน่นอน แต่ถ้าเป็นการทำตาสองชั้นด้วยวิธีอื่นๆ ก็ไม่สามารถทำให้เหมือนเดิมได้ หากต้องการจริงๆ ก็จะเป็นการศัลยกรรมปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้คล้ายของเดิมมากกว่า

6. ต้องการลดน้ำหนัก การดูดไขมันเป็นตัวเลือกที่ช่วยได้จริงหรือไม่

เป้าหมายของการดูดไขมันจริงๆ ก็คือการลดปริมาณไขมันส่วนเกินอย่างรวดเร็ว เน้นการกระชับสัดส่วนมากกว่าที่จะลดน้ำหนัก แต่ก็ทำให้น้ำหนักลดลงบ้างเล็กน้อยเท่ากับปริมาณของไขมันที่ดูดออกไปนั่นเอง ตามปกติแล้วการดูดไขมันจะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณในการดูดแต่ละครั้งอยู่ ราวๆ 5 ลิตร ถ้าจำเป็นต้องดูดออกมากกว่านี้ก็ต้องมาดูดซ้ำในรอบต่อไป ซึ่งต้องเว้นระยะของการดูดไขมันแต่ละครั้ง 2-3 อาทิตย์ นั่นหมายความว่าถ้าเจาะจงมาที่การลดน้ำหนัก เช่น ลดจาก 65 กิโลกรัมให้เหลือเพียง 50 กิโลกรัม การดูดไขมันถือว่าไม่ตอบโจทย์ แต่สามารถใช้เป็นหนึ่งตัวช่วยของกระบวนการลดน้ำหนักได้ คือทำการดูดไขมันส่วนเกินในจุดที่ลดด้วยการบริหารร่างกายได้ยาก ทำร่วมกันไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ก็จะเห็นผลได้ดีกว่าการออกกำลังเพียงอย่างเดียวหรือดูดไขมันเพียงอย่างเดียว

7. การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็มกับใส่วัสดุเสริมได้ผลลัพธ์เทียบเท่ากันไหม

แต่เดิมเรามีเทคนิคการเสริมจมูกอยู่เพียงไม่กี่แบบ คือการผ่าตัดแล้วสอดวัสดุเสริมเข้าไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแท่งซิลิโคนที่เหลามาให้เหมาะกับรูปทรงจมูกของแต่ละคน ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาต่อยอดมาเป็นการเสริมจมูกด้วยสารเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์หรือไขมันก็ตาม เป็นรูปแบบการปรับแต่งจมูกที่ดูไม่น่ากลัวเท่ากับการผ่าเพื่อเสริมซิลิโคน เหมาะกับคนที่ปรับแก้รูปทรงของจมูกไม่มากนักและกลัวการผ่าตัด โดยที่ฟิลเลอร์ก็จะมีระดับคุณภาพให้เลือกหลายแบบ ไขมันก็จะเป็นการดึงเอาไขมันจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายผู้เข้ารับการรักษาเองแล้วมาเติมเข้าที่จมูก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตอบได้ทันทีว่าไม่อาจเทียบกับการผ่าตัดเพื่อเสริมซิลิโคนได้

เพราะการเสริมซิลิโคนเป็นการปรับเปลี่ยนแบบถาวร ทำครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกลับมาทำซ้ำอีก เพียงแค่ต้องมองหาวัสดุชั้นดีกับทีมแพทย์มากประสบการณ์เท่านั้น ในขณะที่บรรดาสารเติมเต็มทั้งหลาย จะมีอายุการใช้งานอยู่ เมื่อครบกำหนดก็จำเป็นต้องมาฉีดเติมซ้ำอีก และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนจะอยู่ได้นานเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารเติมเต็มแต่ละชนิดนั่นเอง ถ้าจะเทียบกันในเรื่องความเป็นธรรมชาติ เนื่องจากมีหลายข้อมูลกล่าวว่าเสริมด้วยสารเติมเต็มนั้นให้ความเป็นธรรมชาติมากกว่า ก็ต้องบอกว่าอันที่จริงหากเสริมซิลิโคนชั้นเยี่ยมโดยแพทย์ฝีมือดีก็จะได้ความเป็นธรรมชาติไม่ต่างกันเลย

นี่เป็นเพียงบางส่วนของคำถามเกี่ยวกับ การทำศัลยกรรม เท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เกิดจากความกังวลใจของผู้ที่สนใจทำศัลยกรรมนั่นเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีมากๆ ที่เราตั้งข้อสงสัยกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา อย่างน้อยที่สุด เราก็จะได้รู้ถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่น่าจะได้ สามารถใช้เพื่อชั่งน้ำหนักดูว่าในแต่ละครั้งที่จะทำศัลยกรรม มันคุ้มค่าเทียบเท่ากับสิ่งที่คาดหวังไว้หรือไม่ และในระยะยาวจะมีผลกระทบอะไรที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้รับมือด้วยหรือไม่ แต่สุดท้ายการศัลยกรรมก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้งก่อนตัดสินใจเสมอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.