Home Blog Page 10

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic acid) มีประโยชน์อย่างไร ช่วยเรื่องอะไร ใช้แบบไหนดี ?

0
ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน

ในปัจจุบันจะเห็นคำว่า “ ไฮยาลูรอน ” อยู่ในส่วนของประกอบของผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ชนิด รวมถึงฟิลเลอร์ ที่นำมาฉีดเพื่อปรับรูปหน้า ลดริ้วรอยร่องลึก 

จริง ๆ แล้วไฮยาลูรอน หรือ Hyaluron คืออะไร ? ทำงานอย่างไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? ในบทความนี้ หมอมีข้อมูลมาฝากครับ 

ไฮยาลูรอน คืออะไร ?

ไฮยาลูรอน (Hyaluron) หรือกรดไฮยาลูโรนิก แอซิด(Hyaluronic Acid) คือ โมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า polysaccharide ที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย เป็นสารที่ร่างกายเราผลิตขึ้นได้เองตามธรรมชาติครับ 

กรดไฮยาลูโรนิก

กรดไฮยาลูโรนิก แอซิด 

ไฮยาลูรอนมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะด้านผิวพรรณ และการรักษาป้องกันโรค เนื่องจากไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำ กักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว มีผลทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไฮยาลูรอน จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างระหว่างคอลลาเจนและอิลาสตินทำให้เกิดการยึดเกาะกันได้ดียิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ไฮยาลูรอนยังช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มมากขึ้นด้วยครับ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ไร้ริ้วรอย เรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ แต่ร่างกายของเราก็ไม่สามารถผลิตสาร Hyaluronic Acid ได้ตลอดเวลา เพราะเมื่ออายุยิ่งมากขึ้น ก็จะผลิตได้น้อยลงครับ

และเมื่อร่างกายผลิตสารไฮยาลูรอนได้น้อยลง ก็จะส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพ มีริ้วรอย ขาดความยึดหยุ่น ผิวดูหย่อนคล้อย และแห้งลงครับ

โครงสร้างผิว

ดังนั้นในทางการแพทย์จึงมีการคิดค้นและผลิตไฮยาลูรอนสังเคาระห์ขึ้นมาทดแทน โดยนำมาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น ครีมทาผิว มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เซรั่ม รวมถึงการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid หรือ HA (Filler) เพื่อช่วยแก้ปัญหาร่องลึกต่าง ๆ 

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? 

  • ด้านความงาม 

ไฮยาลูรอน สามารถช่วยจัดการริ้วรอย ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มีผลทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ผิวหน้าเด้ง อิ่มฟูดูกระชับ จึงถูกนำมาไฮยาลูรอนใช้ในวงการความงามเพื่อการชะลอวัย ในหลายรูปแบบ เช่น ใช้เป็นส่วนผสมหลักของ ครีม เซรั่ม เอสเซนส์ แม้กระทั่งเครื่องสำอาง วิตามินสำหรับรับประทาน และรูปแบบของสารฉีดเติมเต็ม (Filler) ที่นิยมเป็นอย่างมากในคลินิกความงามครับ

ประโยชน์จาก ไฮยาลูรอน

  • ด้านการรักษาและป้องกันโรค 

ไฮยาลูรอน ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคได้หลายชนิดเช่นกันโดยมาในรูปแแบบยาฉีดบำบัดรักษาโรค
เช่น 

  • โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis of the knee)
  •  ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่ (Scapulohumeral periarthritis)
  •  การป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
  •  ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดบริเวณข้อ

นอกจากนี้ ทาง FDA หรือองค์การอาหารและยาสหรัฐ ยังได้อนุมัติให้มีการใช้ Hyaluronic Acid ระหว่างการผ่าตัดดวงตา ซ่อมแซมจอประสาทตาถลอก รวมถึง

  • รักษาตาต้อกระจก 
  • รักษาแผลในปาก 
  • ช่วยสมานแผลและบรรเทาอาการแผลไฟไหม้
  • ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยเร่งให้บาดแผลหายเร็วขึ้น 
  • ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง เป็นต้น 

ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้ไฮยาลูรอน ?

ไฮยาลูรอนสังเคราะห์ทั้งรูปแบบของครีม เซรั่ม รวมถึงฟิลเลอร์แบบฉีด เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิว ดังนี้

  • ผิวแห้ง แตก ขาดความชุ่มชื้น
  • ผิวมีริ้วรอย ความหย่อนคล้อย
  • มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก 
  • ผู้ที่อยากรักษาสภาพผิวให้คงความอ่อนวัย และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย

นอกจากนี้ยังเหมาะกับมีปัญหารูปหน้าต้องการเสริมคาง หน้าผาก ขมับ ด้วยฟิลเลอร์โดยไม่ต้องผ่าตัด

ผลิตภัณฑ์จากไฮยาลูรอน อันตรายไหม ? 

ไฮยาลูรอน ที่ถูกสร้างเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติมีความปลอดภัยครับ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ร่วมด้วย ทั้งในรูปแบบการทา และการฉีดเข้าสู่ร่างกาย เพราะหากใช้ไม่เหมาะสม ก็อาจมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง เนื่องจาก Hyaluronic Acid สังเคราะห์ ได้มาจากการสกัดแบคทีเรียที่ชื่อว่า Bacillus subtilis ซึ่งผู้ใช้บางรายอาจมีอาการแพ้ยาจากโปรตีนของแบคทีเรียที่นำมาใช้สังเคราะห์ตัวสารนี้ได้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นเร็วกว่าปกติ

สารเติมเต็มไฮยาลูรอนหรือฟิลเลอร์ในคลินิกความงามปลอดภัยจริงไหม ? 

ในส่วของสารเติมเต็มไฮยาลูรอนหรือฟิลเลอร์ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน หากเป็นฟิลเลอร์แท้ (hyaluronic acid : HA) จะสามารถสลายหมด 100% ตามธรรมชาติ และเมื่อฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน ก็จะที่มีความปลอดภัยสูงครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ (HA) มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง ? 

ข้อดี 

  • ฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่นิยม เพราะมีความปลอดภัย และแพทย์ความงามให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง 
  • ฟิลเลอร์สามารถนำมาใช้เติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า ฟื้นฟูและชะลออายุผิวให้ดูอ่อนเยาว์
  • ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย
  • เป็นวิธีที่สะดวก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก หลังฉีดเห็นผลทันที 
  • มีฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่นให้แพทย์เลือกใช้แก้ปัญหาให้กับคนไข้ 
  • ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ตรงจุด สวยงาม และดูเป็นธรรมชาติ 
  • หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล (ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น มีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ หายได้เอง) 
  • สามารถเติมได้เรื่อย ๆ ปรับแต่งได้ (ถ้าไม่ชอบก็สามารถฉีดสลายออกได้ 100%)

ข้อเสีย 

  • ผลลัพธ์จะไม่ได้อยู่ถาวร สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้
  • หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ผลลัพธ์อาจไม่สวย ไม่เป็นธรรมชาติ เสี่ยงเกิดผลข้างเคียง เช่น ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน 
  • ถ้าฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ไฮยาลูโรนิก แอซิด ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว อาจไม่เห็นผลหรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น ฟิลเลอร์อักเสบ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์เน่า 

ไฮยาลูรอนมีผลข้างเคียงแบบไหนบ้าง ? 

ไฮยาลูรอนที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบไฮยาลูรอนที่นำมาใช้ด้วย หมอแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ

  • ไฮยาลูรอนแบบทา ควรเลือกใช้แบบที่มีความเข้มข้นของไฮยาลูรอนต่ำกว่า 2% เพราะเป็นปริมาณที่มีประสิทธิภาพในการซึมซาบเพื่อฟื้นบำรุงผิวและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ หากมากกว่านั้นอาจเกิดการแพ้ เช่น มีอาการบวม หรือผื่นแพ้หลังใช้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง

ไฮยาลูรอนแบบทา

  • ไฮยาลูรอนแบบฉีด หรือฟิลเลอร์ ถ้าฉีดไฮยาลูรอนของแท้ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลครับ ผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น อาการบวม รอยแดง รอยเข็ม เป็นอาการปกติครับ สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่ที่สำคัญคือก่อนฉีด ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ และฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นครับ 

ฉีดไฮยาลูรอนฟิลเลอร์โดยแพทย์

  • ไฮยาลูรอนแบบกิน เช่น วิตามินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน สามารถซื้อหาได้จากหลายช่องทาง ที่ควรระวังคือการซื้อจากช่องทางออนไลน์  ซึ่งอาจมีบางร้าน บางทุกยี่ห้อที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นก่อนซื้อต้องพิจารณาดี ๆ หรือขอคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกรครับ 

ไฮยาลูรอนแบบกิน

ข้อควรรู้ การฉีด Hyaluronic Acid (HA)

ปัจจุบันการฉีด Hyaluronic Acid (HA) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ถือเป็นหัตถการยอดฮิตในคลินิกเสริมความงาม และถึงแม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะไม่ใช่หัตถการที่อันตรายหรือมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องมีการศึกษาหาข้อมูลก่อนฉีดครับ

ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และเลือกใช้บริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐาน หมอมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ มีเทคนิคการฉีด มีรีวิวผลลัพธ์จากผู้ที่เคยใช้บริการจริง รวมถึงควรรู้วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อต่าง ๆ ร่วมด้วย เพื่อความปลอดภัยสูงครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน แล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร ? 

โดยปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน จะเห็นผลได้ทันทีครับ ในกรณีที่ไม่เห็นผล มักจะเกิดจากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ เลือกยี่ห้อ เลือกรุ่นไม่เหมาะสม ไม่รู้เทคนิคการฉีด หรือคำนวณปริมาณไฮยาน้อยเกินไป ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผล

สรุป 

ไฮยาลูรอน นับว่ามีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยต่อต้านริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น และยังช่วยรักษาบาดแผล เพิ่มความยืดหยุ่นของผิวได้ สำหรับใครที่สนใจ ใช้ไฮยาลูรอน ในการดูแลผิว ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานอย.รับรอง ในส่วนของไฮยาลูรอนแบบฉีดทั้งที่เป็นยาฉีดรักษาโรค และฟิลเลอร์ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้นครับ

เจาะลึก ฉีดฟิลเลอร์คาง ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี ?

0
ฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง

ในคนที่มีคางสั้น คางตัด หน้าดูกลม หากต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม คางเรียวยาวขึ้น การฉีดฟิลเลอร์คาง ถือเป็นวิธีแก้ไขที่ตรงจุดและตอบโจทย์ที่สุดครับ โดยหลังฉีดคางจะดูยาวขึ้น ใบหน้าเรียวขึ้นทันที หากฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะปลอดภัย และได้ผลดีไม่แพ้การผ่าตัดเสริมคางครับ 

สำหรับผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์คาง หมอมีข้อมูลแบบเจาะลึกมาแนะนำครับ ฟิลเลอร์คางคืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เหมาะกับใคร ? ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี ? ฉีดฟิลเลอร์คาง กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน ? ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้กี่ CC ? ทุกข้อสงสัยหมอจะมาให้คำตอบในบทความนี้ครับ 

ฟิลเลอร์คาง คืออะไร ?

ฟิลเลอร์คาง คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ การเติมสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณคาง เพื่อเสริมคางให้เรียวสวย ใบหน้าวีเชฟขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด หลังฉีดเห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น ใช้เวลาในการทำไม่นาน หากฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะปลอดภัย ได้ผลดีไม่แพ้การผ่าตัดเสริมคางครับ ใช้ฟิลเลอร์เพียง 1-2 CC ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

ฟิลเลอร์คาง ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์คาง ช่วยเรื่องอะไร

  • แก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางไม่เท่ากันให้ได้สัดส่วนมากขึ้น 
  • ช่วยเสริมคางให้ยาวขึ้น หน้าเรียววีเชฟ
  • เสริมคางให้มีรูปทรงสวยงาม หวานละมุน ดูเป็นธรรมชาติรับกับใบหน้า ช่วยเพิ่มเสน่ห์ และความมั่นใจได้
  • ช่วยเสริมโหงวเฮ้งคางที่ดีตามหลักโหงวเฮ้ง บ่งบอกถึงการมีโชค มีวาสนาดี มีกินมีใช้มีความสุข 

การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับใคร ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับใคร

  • คนที่มีปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางไม่เท่ากัน มีใบหน้ากลม ต้องการเสริมคางยาว ปรับรูปหน้าเรียว ดูมีมิติมากขึ้น
  • คนที่ต้องการเสริมคางยาวแบบเร่งด่วน 
  • คนที่ไม่อยากรับความเสี่ยงจากการผ่าตัดและไม่มีเวลาพักฟื้น
  • คนที่ไม่ได้ต้องการเสริมคางให้ยาวมาก ๆ เพราะการฉีดฟิลเลอร์คางไม่สามารถฉีดให้คางยาวเกิน 1 cm. ได้ (ถ้าหมอฉีดแล้วได้คางยาวมากกว่า 1cm. แสดงว่าฟิลเลอร์บางส่วนซ้อนทับในเนื้อคางชั้นตื้น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์คางไหลไปรวมเป็นก้อนในภายหลัง)

ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหนดี

การฉีดฟิลเลอร์คาง

  • การฉีดฟิลเลอร์คาง มีข้อดีคือไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล เห็นผลเร็ว
  • สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเป็นสารไฮยาลูรอนิคที่มีความปลอดภัยสูง สลายได้หมด ไม่ตกค้างในร่างกาย และเมื่อสลายก็สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ 
  • ไม่ต้องเสี่ยงจากการวางยาสลบเหมือนการผ่าตัด 
  • หากไม่พอใจในผลลัพธ์ก็สามารถปรับแก้ไขได้ง่ายด้วยการฉีดสลายออกได้ 
  • ฉีดแล้วอยู่ได้นาน 9-24 เดือน ไม่คงผลลัพธ์ถาวร
  • ไม่สามารถทำให้คางยาวขึ้นได้มากเกินกว่า 1 เซนติเมตร เหมาะกับคนที่มีฐานคางเดิมอยู่แล้ว ต้องการเสริมเพียงเล็กน้อย

การผ่าตัดเสริมคาง

  • เป็นการเสริมคางด้วยซิลิโคน หลังทำจะไม่เห็นผลในทันที โดยจะเห็นผลในช่วง 1-3 เดือน
  • มีความเสี่ยงจากการผ่าตัดได้ เช่น มีแผล เสี่ยงติดเชื้อ และระหว่างผ่าตัดควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด 
  • หลังผ่าตัดต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน 
  • หากทำมาแล้วไม่พอใจในผลลัพธ์จะปรับแก้ไขรูปทรงได้ยาก ต้องทำการผ่าตัดเพื่อถอดซิลิโคน และเสิมใหม่อีกรอบ 
  • ควรทำกับแพทย์ที่ฝีมือดี มีประสบการณ์สูง จึงจะได้รูปทรงตามต้องการและดูเป็นธรรมชาติ
  • สามารถเสริมคางให้ยาวขึ้นมากกว่า 1 cm. ได้ 
  • ถ้าหมอประเมินทรงคางไม่ดีพอ จะทำให้ Silicone ไม่รับกับแนวกราม อาจทำให้เกิดร่องมุมปาก แก้มดูห้อย คางยาวขึ้น แต่หน้าไม่เรียว
  • คงผลลัพธ์ได้ถาวร

ถ้าให้เปรียบเทียบการฉีดฟิลเลอร์คาง กับ การผ่าตัดเสริมคาง เลือกแบบไหน ? หมอแนะนำให้ดูจากความต้องการของคนไข้เป็นหลัก รวมถึงพื้นฐานทรงคางเดิมของคนไข้ด้วยครับ ถ้าคนที่มีคางไม่สั้นมาก และไม่ต้องการเสริมคางยาวมากกว่า 1 cm. อยากเห็นผลลัพธ์เร็ว ไม่มีเวลาพักฟื้น การฉีดฟิลเลอร์คางก็จะตอบโจทย์มากกว่า

แต่ในคนที่มีคางตัด คางสั้นมาก ๆ ต้องการเสริมคางให้ยาวมากกว่า 1cm. การผ่าตัดเาริมคางก็จะเหมาะ กว่าครับ  เพราะการฉีดฟิลเลอร์คางจะต้องฉีดลงในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูก ฟิลเลอร์ที่เป็นเนื้อเจล จะไม่สามารถทำให้คางยาวขึ้นได้มากเกิน 1 cm. ได้ 

ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นวิธีเสริมคางที่ไม่อันตรายครับ เนื่องจากสารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเป็นสารไฮยาลูรอนิค แอซิดที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้ว และฟิลเลอร์แท้ก็สามารถสลายได้หมด ไม่ตกค้างในร่างกาย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็จะมีความปลอดภัยสูงครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม

สิ่งที่ต้องระวังในการฉีดฟิลเลอร์คาง คือ บริเวณคางจะมีกล้ามเนื้อที่ชื่อ mentalis ซึ่งกล้ามเนื้อ mentalis นี้เป็นจุดที่แพทย์ต้องระวัง ถ้าฉีดฟิลเลอร์ไม่ลึกพอแล้วไปโดนกล้ามเนื้อมัดนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อดึงฟิลเลอร์ให้มากองรวมกัน ทำให้คางเสียรูป ยิ้มเป็นก้อน ดูไม่ธรรมชาติได้

ฉีดฟิลเลอร์คาง ยี่ห้อไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ยี่ห้อไหนดี

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดคางมีหลายยี่ห้อครับ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อเติมคางจะต้องฉีดเสริมที่กระดูก ไม่ใช่เติมที่เนื้อคาง ดังนั้นควรเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง เพื่อให้ปั้นเป็นทรงได้สวย ยี่ห้อฟิลเลอร์คางที่นิยม เช่น 

  • Juvederm voluma (ฟิลเลอร์อเมริกา) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำได้ดี เนื้อฟูปานกลาง อยู่ได้ 18 เดือน
  • Juvederm Volux (ฟิลเลอร์อเมริกา) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ขึ้นรูปได้ง่ายปั้นทรงสวย ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ดีที่สุด อยู่ได้ 18-24 เดือน
  • Restylane perlane Lyft (ฟิลเลอร์สวีเดน) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ไม่ฟู สามารถคงรูปได้ดี ใช้สำหรับเสริมทดแทนกระดูกและยังคงความเป็นธรรมชาติ อยู่ได้ 12 เดือน
  • Belotero Intense (ฟิลเลอร์สวิตเซอร์แลนด์) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนังได้ดี อยู่ได้ 18 เดือน
  • Difinisse Core (ฟิลเลอร์อิตาลี) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า เติมคาง mid-face กรอบหน้า อยู่ได้ 18 เดือน
  • Flore Max (ฟิลเลอร์เกาหลี) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาในไขมันชั้นลึก คาง ขมับ อยู่ได้ 9-12 เดือน      

คุณสมบัติของฟิลเลอร์แต่ละรุ่นจะต่างกันไป ก่อนฉีดหมอจะประเมินปัญหาและความต้องการของคนไข้ เพื่อแนะนำฟิลเลอร์ยี่ห้อที่เหมาะสมให้ในแต่ละเคสครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้กี่ CC 

ในการฉีดฟิลเลอร์คางโดยส่วนใหญ่จะใช้ปริมาณฟิลเลอร์อยู่ที่ 1-2 cc ครับ ซึ่งถือเป็นปริมาณที่พอเหมาะ หลังฉีดสามารถเห็นผลผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่ก่อนฉีดหมอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อช่วยประเมินปริมาณฟิลเลอร์และยี่ห้อที่เหมาะสมของแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง กี่วันเห็นผล ?

หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีประมาณ 70-80% ครับ คนไข้จะสังเกตคางดูยาวขึ้น ใบหน้าดูเรียววีเชฟ จากนั้นใน 2 สัปดาห์จะเห็นผลชัดเจน 100%  ฟิลเลอร์จะเข้าที่ เรียบเนียนไปกับผิว ใบหน้าโดยรวมได้สัดส่วนขึ้นครับ 

ฉีดฟิลเลอร์คาง อยู่ได้นานแค่ไหน ?

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 9-24 เดือนครับ ขึ้นอยู่กับรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คางร่วมด้วย หากเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ฟิลเลอร์คางสลายเร็ว ก็จะช่วยให้ฟิลเลอร์คางอยู่ได้นานขึ้นครับ

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ดูแลตัวเองอย่างไร

  • ห้ามบีบ กด นวด หรือปั้นทรงเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียทรง
  • หลีกเลี่ยงการใส่หมวกกันน็อคที่รัดแน่น การนั่งเท้าคาง หรือการนอนคว่ำหน้า
  • เลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งและความร้อน รวมทั้งอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ
  • งดอาหารรสเผ็ดจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารหมักดอง อาหารกึ่งดิบกึ่งสุก    
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

ฉีดฟิลเลอร์คาง ที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คางที่ไหนดี

  • เลือกคลินิกได้มาตรฐาน เปิดให้บริการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาตประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดแบบแสดงรูปถ่ายและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิก สะอาด ปลอดภัย
  • แพทย์ที่ทำหัตถการจะต้องมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์และปรับรูปหน้า และต้องเป็นแพทย์จริง โดยสามารถตรวจสอบจากชื่อ-นามสกุลของแพทย์ท่านนั้น คนไข้สามารถตรวจสอบข้อมูลบนเว็บไซต์ของแพทยสภาได้ ที่นี่
  • ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อย. นำเข้าและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง 
  • คนไข้สามารถตรวจสอบเลข Lot. ได้ โดยก่อนฉีดควรให้แพทย์แกะกล่อง และหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า และหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรเก็บกล่องและหลอดฟิลเลอร์กลับบ้าน เพื่อตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้จริง ๆ ครับ 
  • มีรีวิวจากแหล่งที่เป็นกลาง เชื่อถือได้ และไม่สามารถลบออกได้ เช่น รีวิวติดดาวบน Facebook Fanpage, Pantip Review, Google Maps และต้องเป็นรีวิวที่อัปเดตเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะแสดงถึงความนิยม มีผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นหัตถการที่ช่วยเสริมคางให้ยาวขึ้น ปรับใบหน้าให้เรียววีเชฟ ดูละมุน มีมิติ เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หากแพทย์ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีและสวยงามไม่แพ้การผ่าตัด ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการปรับรูปหน้าครับ

สำหรับคนไข้ท่านใดที่สนใจฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถเข้ามาปรึกษาหมอก่อนได้ครับ ที่ V Square Clinic ทีมแพทย์มีประสบการณ์สูง ใช้ฟิลเลอร์แท้แบรนด์ดังระดับโลก ฉีดฟิลเลอร์คางด้วยเทคนิคเฉพาะและใช้ศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ (Fine Art Of Filler) วิเคราะห์และออกแบบรูปทรงคางให้เข้ากับใบหน้า ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม คุ้มค่า ปลอดภัยครับ

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาอะไรบ้าง ? อันตรายไหม ?

0
ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา

ปัญหาใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นใต้ตาคล้ำ ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ล้วนเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส แลดูมีอายุก่อนวัย โดยปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครับ เป็นวิธีแก้ไขที่ตรงจุด เห็นผลเร็ว และปลอดภัย

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรรู้อะไร ? อันตรายไหม ? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ? ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ? ราคาเท่าไร ? ใช้กี่ cc ? ยิ่งใช้จำนวน cc เยอะ ยิ่งเห็นผลชัดเจนจริงไหม ? ติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ


ปัญหาใต้ตา เกิดจากอะไร ?

ปัญหาใต้ตา เกิดจากอะไร
ปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาเป็นร่อง ริ้วรอยใต้ตา ถุงใต้ตา เกิดได้จากสาเหตุเหล่านี้ครับ

  • พันธุกรรม เป็นการถ่ายทอดพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น เช่น ถ้าหากปู่ย่า พ่อแม่ มีใต้ตาคล้ำ ลูกก็มีโอกาสที่จะมีใต้ตาคล้ำตามได้สูง
  • โรคภูมิแพ้ ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของเลือดติดขัด เส้นเลือดบริเวณผิวหนังใต้ตาขยายตัว ใต้ตาจึงเห็นเป็นสีดำคล้ำ
  • อายุมากขึ้น ชั้นไขมันใต้ตาเกิดการยุบตัวหรือฝ่อตัวลง เกิดเป็นเบ้าตาลึก ถุงใต้ตาหย่อนคล้อย
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตา การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ใต้ตาดำคล้ำ เป็นต้น

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา (Under-eye filler) คือ การฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด หรือ HA เข้าไปยังใต้ตาที่มีปัญหา ด้วยคุณสมบัติของสาร HA สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เติมเต็มผิวบริเวณใต้ตาที่เป็นร่องลึก ริ้วรอยและรอยคล้ำให้ดูจางลง ทำให้ใต้ตากลับมาเรียนเนียน เต่งตึง และยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใต้ตาในอนาคต

ฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตา
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้ ดังนี้

  • ช่วยแก้ร่องน้ำตา เบ้าตาลึก ตาโหล
  • ช่วยลดขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ
  • ช่วยลดริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตา
  • ช่วยลดถุงใต้ตา ไขมันใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ cc ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรใช้กี่ cc ? โดยส่วนมากแล้วจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 cc ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาของแต่ละบุคคล หากในเคสที่มีปัญหาน้อย สามารถใช้ฟิลเลอร์ 1 cc แบ่งฉีดใต้ตาทั้งสองข้างได้ครับ โดยหมอจะประเมินเป็นเคส ๆ ไป

ส่วนใครที่สงสัยว่า ยิ่งใช้ฟิลเลอร์ cc เยอะ ยิ่งดีจริงไหม ? หมอขอตอบว่าไม่จำเป็นครับ ควรใช้ปริมาณฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับปัญหาจะดีที่สุด เพราะหากฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป อาจจะทำให้หลังฉีดดูเป็นก้อนบวม ไม่สวยงาม และดูไม่เป็นธรรมชาติ


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม ? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นจุดที่หลายคนกังวลเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องฉีดใกล้ดวงตาที่เป็นอวัยวะสำคัญ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีข้อควรระวังดังนี้ครับ

ข้อควรระวังในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาด้วยฟิลเลอร์ปลอม : อาจเห็นผลดีแค่ในช่วงแรก แต่ในระยะยาวเมื่อฟิลเลอร์ไม่สลายได้เอง ทำให้เกิดการตกค้างในร่างกาย ฟิลเลอร์ไหลย้อย บวมเป็นก้อน ใบหน้าผิดรูป หรือฟิลเลอร์เน่าได้ 
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ : อาจทำให้หลังฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน หรือฉีดฟิลเลอร์พลาดเข้าเส้นเลือดได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน : คลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อขณะฉีดฟิลเลอร์จากอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานความสะอาด

จากข้อควรระวังข้างต้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ปลอดภัย จึงต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพราะต้องใช้ความระมัดระวังสูง มีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง รู้ถึงโครงสร้างใต้ตาเป็นอย่างดี จะช่วยลดความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดได้ครับ 

นอกจากนี้ฟิลเลอร์ที่ใช้ต้องเป็นของแท้ สลายได้เองตามธรรมชาติ 100% รวมถึงเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ก็จะทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ตามที่คนไข้คาดหวังไว้ครับ


ฟิลเลอร์ใต้ตามีเทคนิคการฉีดอย่างไรให้ดูเป็นธรรมชาติ ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นจุดที่ต้องอาศัยประสบการณ์และเทคนิคการฉีดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ก่อนฉีดหมอจะทำการประเมินปัญหาใต้ตาโดยแบ่งเป็น 2 ระดับ และเลือกใช้เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่เหมาะสมกับแต่ละระดับปัญหาดังนี้ครับ

  • เทคนิคพยุงชั้นกระดูกด้วยฟิลเลอร์เนื้อแข็ง – เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาจากการทรุดตัวของกระดูกเบ้าตา แพทย์จะเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง และทำการฉีดฟิลเลอร์ด้วยเทคนิคพยุงชั้นกระดูกที่ใต้ตาชั้นลึก
  • เทคนิคเก็บรายละเอียดรอบเบ้าตาด้วยฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม – เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาบริเวณข้างเคียงร่วมด้วย แพทย์จะเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม กลืนกับผิวได้ง่าย เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ใต้ตาชั้นตื้น จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ

โดยในคนไข้บางรายที่มีปัญหาใต้ตาในระดับมาก อาจต้องใช้สองเทคนิคนี้ร่วมกันเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและดูเป็นธรรมชาติ


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีให้เลือกหลายรุ่น หลายยี่ห้อครับ โดยในบทความนี้ได้รวมรุ่น/ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับรองจากอย.ไทย และเหมาะสมสำหรับการเติมใต้ตาไว้ด้วย 3 ยี่ห้อคือ Restylane, Juvederm และ Belotero 

ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี

ฟิลเลอร์ Restylane จากสวีเดน

  • Restylane Perlane Lyft มีความคงตัวสูง ไม่ฟู สามารถคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Defyne เนื้อเจลแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane Vital Light เนื้อละเอียดมากที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบาง หรือสำหรับเก็บรายละเอียดใต้ตาชั้นตื้น อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Restylane Classic เนื้อเจลอนุภาคใหญ่ เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Vital เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ช่วยความชุ่มชื้นผิวได้เป็นอย่างดี ผิวเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ สามารถนำมาแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึกตื้น ๆ ได้ สามารถอยู่นานประมาณ 12 เดือน

ฟิลเลอร์ Juvederm จากเยอรมัน

  • Juvederm Volite เนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
  • Juvederm Voluma เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำและให้ความเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm Volux เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัว ใช้สำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

ฟิลเลอร์ Belotero จากสวิตเซอร์แลนด์

  • Belotero Volume เนื้อมีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Belotero Revive เนื้อละเอียด เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา เรียบเนียนไปกับผิว อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับรุ่น/ยี่ห้อฟิลเลอร์ และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ CC ละ 13,000 บาทขึ้นไปครับ


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผลฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ทั้งนี้อาจพบอาการข้างเคียง เช่น รอยเขียวช้ำ หรืออาการบวม ยิ่งใต้ตาเป็นบริเวณที่ผิวบาง อาจทำให้พบอาการบวมช้ำได้มากกว่าปกติ แต่ไม่ได้เป็นผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายครับ โดยอาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลงไปได้เองใน 7-14 วัน และจะเห็นผลลัพธ์หลังฉีดได้อย่างชัดเจนประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด เมื่ออาการบวมยุบลงและฟิลเลอร์เข้าที่เรียบร้อยแล้ว


ฟิลเลอร์ใต้ตา อยู่ได้กี่เดือน ?

ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน โดยในแต่ละคนอาจจะอยู่ได้นานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับรุ่น/ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ การดูแลตัวเองหลังฉีด รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน


การปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และวิธีการเช็กฟิลเลอร์ของแท้จากบริษัทนำเข้า
  • เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกกฎหมาย
  • ดูรีวิวการฉีดฟิลเลอร์จากผู้ใช้บริการจริงในคลินิกนั้น
  • ในช่วง 1 อาทิตย์ก่อนฉีด ควรงดยากลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยาวิตามิน St. John’s Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng, Vitamin E 
  • งดแอลกอฮอล์ และงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 24 ชั่วโมง
  • หากมียาที่ต้องรับประทานอยู่ประจำ หรือมีโรคประจำตัว เตรียมข้อมูลไว้แจ้งแพทย์ก่อนทำหัตถการ

การปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • หลีกเลี่ยงการกด นวด ถู บริเวณใต้ตา ในช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนออกจากตำแหน่งได้
  • อยู่ในที่มีอากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรงดเลเซอร์ร้อนลงชั้นผิวอย่างน้อย 1 เดือน
  • เลี่ยงการทำพฤติกรรมที่ส่งผลต่ออาการบวมให้หายช้าลง เช่น การรับประทานอาหารรสจัด อาหารหมักดอง อาหารดิบ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการสูบบุหรี่
  • การดื่มน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฟิลเลอร์ฟูสวย อยู่ได้นาน หลังฉีดจึงควรดื่มน้ำให้มาก ๆ 1.5-2 ลิตร/วัน

สรุป ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาต่าง ๆ ได้จากหลายสาเหตุ เห็นผลไว ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และมีความปลอดภัยสูง 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรพิจารณาเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงมีรีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทั้งแบบรูปภาพและวิดีโอ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ออกมาชัดเจนครับ

ฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใคร ? ปรับทรงปากทรงปากยอดนิยม ปากสวย ๆ ทรงไหนดี ?

0
ฟิลเลอร์ปาก

ฟิลเลอร์ปาก

ฟิลเลอร์ปาก 

ฟิลเลอร์ปาก เป็นตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมครับ ถ้าดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก หลาย ๆ เคสจะบอกครับว่าปากเป็นตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วช่วยเปลี่ยนลุคให้ดูโดดเด่น น่ามอง เสริมเสน่ห์และเพิ่มความมั่นใจ ดารา เซเลบ อินฟลูเอนเซอร์ หรือใครที่อยากปรับทรงปาก เปลี่ยนลุค ก็สามารถเข้ามาปรึกษาหมอก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากได้ครับ 

ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ปาก ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากมีข้อควรรู้อะไรบ้าง ? ฟิลเลอร์ปากช่วยอะไร ? เหมาะกับใคร ? ฉีดปากทรงไหนได้บ้าง ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานกี่เดือน ? ดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก คลินิกไหนฉีดปากสวย ออกแบบได้ทุกทรงปาก   

ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ปาก 

แต่ละเคสที่เข้าคลินิกมาปรึกษาหมอเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีเหตุผลแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น

  • รู้สึกว่าทรงปากไม่สวย เช่น ปากบาง ปากไม่ได้สัดส่วน 
  • ชอบทรงปากของดาราคนนี้ อยากปรับทรงปากเหมือนดาราที่ชื่นชอบ
  • อยากตามเทรนด์ ฉีดฟิลเลอร์ปากสายฝอ อวบอิ่ม ปรับลุคให้ดูเซ็กซี่ขึ้น   
  • ปากแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทาลิปตกร่อง อยากให้ปากชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี
  • อยากปรับโหงวเฮ้งปาก เสริมดวงการงานดี วาสนาดี ความรักดี   
  • ต้องการยกมุมปากคว่ำ มุมปากตก ที่ทำให้หน้าบึ้งตึง หน้าดูดุ ขาดเสน่ห์ 

ปัญหาและความต้องการฉีดฟิลเลอร์ปากมีหลากหลายครับ จึงต้องเลือกหมอที่เก่ง มีประสบการณ์สูงด้านการฉีดฟิลเลอร์ปรับทรงปากโดยเฉพาะ เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูง และใช้ศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ “Fine Art of Filler” เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม อีกทั้งต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ถึงจะได้ทรงปากสวยตามต้องการครับ    

ปรึกษาหมอฉีดปากปรึกษาหมอฉีดฟิลเลอร์ปาก 

ฟิลเลอร์ปาก ช่วยอะไรได้บ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถช่วยปรับทรงปาก แก้ไขได้หลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็น 

  • ปรับทรงปากสวยฝอ อวบอิ่ม เซ็กซี่ 
  • ปรับทรงปากเกาหลี รูปกระจับชัด 
  • แก้ไขปัญหาปากแห้ง ปากเป็นร่อง ให้ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี
  • แก้ปัญหาริมฝีปากบางเกินไป ปรับปากบาง เล็ก ให้อวบอิ่มขึ้น 
  • แก้ปัญหาลักษณะรูปปากไม่ได้สัดส่วน ริมฝีปากไม่เท่ากัน ให้สวยได้รูป
  • แก้ปัญหาปากคว่ำ มุมปากตกให้ยกขึ้น เปลี่ยนรูปทรงปากและการยิ้ม 

ฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใคร ?

  • คนที่ไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรมปาก 
  • กลัวเจ็บ ไม่อยากมีแผล หรือรอยแผล   
  • ต้องการเห็นผลหลังทำทันที ไม่มีเวลาพักฟื้น
  • อยากปรับทรงปากให้สวย ใบหน้าดูโดดเด่น
  • ต้องการเปลี่ยนลุคใหม่ เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น 
  • ปรับโหงวเฮ้งปาก เสริมดวง ตามความเชื่อ   
  • ชอบเติมปาก ปรับแต่งทรงปากเรื่อย ๆ   

ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงไหนได้บ้าง ? 

ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถปรับแต่งได้หลายทรง ขึ้นอยู่กับทรงปากเดิม ความชอบ รวมถึงเทรนด์ทรงปากในช่วงเวลานั้น ๆ หมอจะประเมินและออกแบบทรงปากที่เหมาะสม เป็นปากทรงสวยที่คนไข้มั่นใจ สามารถเซฟทรงปากที่ชื่นชอบมาเป็นเรฟให้หมอช่วยประเมินได้ครับ   

ฟิลเลอร์ปากทรงไหนดีฟิลเลอร์ปากทรงไหนดี

ทรงปากยอดนิยม 

ทรงปากที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีหลายทรงครับ แต่ละคลินิกอาจตั้งชื่อเรียกให้แตกต่างกันได้ แต่ถ้าพูดถึงเทรนด์ทรงปากที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือ ฉีดปากเกาหลี กับ ฉีดปากสายฝอ ซึ่งแต่ละทรงปากจะมีลักษณะและจุดเด่นที่แตกต่างกัน    

ปากเกาหลี : ปากกระจับ อวบอิ่ม ชุ่มชื้น 

ทรงปากเกาหลี หรือ Cherry Lips ลักษณะของปากทรงนี้จะเหมือนลูกเชอร์รี 2 ลูก มาประกบกันอยู่ตรงกลางริมฝีปาก ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่

  • ปากกระจับ อวบอิ่ม ช่วงกลางของริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างจะดูอิ่มฟูกว่าด้านข้าง ช่วยปรับทรงปากให้ดูอวบอิ่ม เต็ม ฟู ชุ่มชื้น และยังทำให้หน้าดูเด็กลงด้วยครับ 
  • ปากกระจับ ธรรมชาติ ริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างได้รูปสวยงามรับกับใบหน้า รูปทรงปากโค้งเรียวสวยคล้ายผลกระจับ
  • ปากปีกนก ยกมุมปาก ปากกระจับ โค้งเรียวสวยและยกขึ้นคล้ายปีกนก เป็นรูปทรงปากที่ช่วยเพิ่มมิติให้ใบหน้า

ปากสายฝอ : ปากอวบอิ่ม ขอบปากชัด เซ็กซี่ 

การฉีดฟิลเลอร์ปากสายฝอเป็นเทรนด์ที่มาแรงตามกระแสดารา ที่หันมาเติมฟิลเลอร์ปากปรับทรงปากสายฝอ เพิ่มลุคเซ็กซี่ โดยการออกแบบทรงปากสายฝอ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ 

  • ปากอวบอิ่ม เซ็กซี่ (หนาแต่ปากล่าง) ริมฝีปากเต็มอิ่มโดยเฉพาะริมฝีปากล่าง ส่วนริมฝีปากบนจะมีความเจ่อเล็กน้อย 
  • ปากอวบหนา เต็มสวย (เต็มทั้งล่างบน) ริมฝีปากเต็มอิ่มทั้งริมฝีปากล่างและริมฝีปากบน ขึ้นอยู่กับความชอบครับ

ทรงปากสวยทรงปากยอดนิยม

สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการปรับทรงปาก แต่อยากเน้นเพิ่มชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก ก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากได้ครับ เพราะฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็มไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ช่วยให้ปากชุ่มชื้น กลบร่องปาก แก้ปัญหาปากแตก ปากแห้ง ปากเป็นร่อง ให้อิ่มเรียบเนียนขึ้นได้ 

ฉีดฟิลเลอร์ปากใช้กี่ CC ? 

ฉีดฟิลเลอร์ปากเริ่มต้น 1 CC ก็สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อองค์รวมใบหน้าแล้วครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปทรงปากที่คนไข้ต้องการด้วย เช่น ถ้าริมฝีปากบางมาก ๆ อยากได้ทรงปากอวบอิ่มแบบฝรั่ง ปากสายฝอ ต้องการเพิ่มวอลลุ่มมาก ๆ ก็อาจจะต้องใช้ฟิลเลอร์ปาก 2 CC ขึ้นไป ถึงจะเห็นผลชัดเจน 

การจะปรับทรงปากให้สวยงามเหมาะกับรูปหน้า หมอจะประเมินความเหมาะสม ออกแบบทรงปากสวยให้เป็นรายเคสครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่วันเห็นผล ? 

  • 1 วัน ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้น
  • 2-3 วัน อาจมีรอยบวมแดงบริเวณที่ฉีด เป็นเรื่องปกติ หายได้เอง 
  • 4-5 วัน อาการบวมค่อย ๆ ลดลง เริ่มเห็นทรงปากชัด 
  • 1-2 สัปดาห์ ริมฝีปากเข้าที่ อวบอิ่ม เป็นทรงสวย ดูเป็นธรรมชาติ

หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีครับ แต่ฟิลเลอร์ปากจะยังไม่เข้าที่ 100% ครับ ต้องให้เวลาฟิลเลอร์ผสานเข้ากับผิวก่อน ถึงจะเห็นผลชัดเจน

ฟิลเลอร์ปากกี่วันเห็นผลฟิลเลอร์ปากกี่วันเห็นผล

ฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานกี่เดือน ? 

ฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เนื่องจากปากเป็นบริเวณที่สัมผัสความร้อนบ่อย มีการขยับเยอะ อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วกว่าอายุจริง ควรหลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม โจ๊ก ซุป โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่ฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ 

หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ดูแลตัวเองอย่างไร ?

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบ นวด แกะ เกา บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปาก 
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ช่วยให้ฟิลเลอร์ฟู อยู่ได้นานขึ้น
  • งดทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ที่ทำให้ปากเสียรูปทรง
  • งดดึงหรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะอาจทำให้เกิดแผล ผิวเก็บกักน้ำและความชุ่มชื้นไว้ได้น้อยลง
  • งดใช้หลอดดูดน้ำ งดทาลิปสติก และงดสูบบุหรี่ใน 12 ชั่วโมงแรก
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ปากเกิดอาการบวมหรืออักเสบได้ง่าย

ฉีดฟิลเลอร์ปาก คลินิกไหนดี ? 

เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่ควรเลือกจากราคาเพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหลายเช็กลิสต์ที่ต้องนำมาพิจารณา ทั้งมาตรฐานของคลินิก ฝีมือ เทคนิคการฉีด ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ ดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก รวมถึงการให้บริการทั้งก่อนฉีดและหลังฉีด 

ฉีดฟิลเลอร์ปากที่ V Square Clinic มั่นใจได้ครับ คลินิกได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง ใช้ฟิลเลอร์แท้ แบรนด์ระดับโลก ตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้ ทุกเคสฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์และปรับรูปหน้า สามารถประเมินใบหน้า ออกแบบทรงปาก และแนะนำฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อให้ได้ทรงปากสวยตรงใจ และมีการนัดติดตามผล 1 เดือนหลังฉีด 

ฉีดฟิลเลอร์ปากสายฝอฉีดฟิลเลอร์ปากสายฝอ

สรุป 

ฟิลเลอร์ปาก เป็นตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน และเป็นตำแหน่งที่ได้รับความนิยม ช่วยปรับทรงปาก ยกมุมปากให้ดูสวยขึ้น เปลี่ยนลุคให้ดูน่ารักหรือเซ็กซี่ขึ้นได้ และยังแก้ปัญหาปากแห้ง ปากไม่เท่ากัน ปากไม่ได้สัดส่วน โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมความชุ่มชื้น เติมเนื้อปากให้สมดุล   

ใครที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถส่งรูปหน้าและทรงปากที่ชอบมาให้หมอประเมินก่อนได้ทางออนไลน์ หรือนัดคิวเข้ามาที่สาขา เพื่อให้หมอแนะนำและออกแบบทรงปากที่เหมาะสมให้ได้ครับ

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? ดีอย่างไร ? อันตรายไหม ? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง ?

0
ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา

ใครที่กำลังมีปัญหาใต้ตา ขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา ร่องใต้ตา มีริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส ดูแก่กว่าวัย สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเติมเต็มและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์

ในบทความนี้จะพาไปเจาะลึก ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? ช่วยอะไรบ้าง ? ต่างจากฉีดไขมันใต้ตาอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ? ใช้กี่ CC ? ยี่ห้อไหนดี ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? เจ็บไหม ? อันตรายไหม ? พร้อมแนะนำวิธีการดูฟิลเลอร์แท้ และการเตรียมตัวก่อน-หลังฉีดใต้ตา ให้คุ้มค่า ปลอดภัย 


ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ

ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายของเรา ฉีดเข้าไปบริเวณใต้ตา ทำให้ผิวใต้ตาดูชุ่มชื้น ริ้วรอยดูเรียบเนียน เติมเต็มใต้ตาในส่วนที่ยุบตัวเป็นร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ลดรอยคล้ำใต้ตา ถุงใต้ตา ให้ใต้ตากลับมาดูสดใส เปล่งปลั่ง     


ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลาย ได้แก่

ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยอะไรบ้าง

  • ช่วยลดถุงใต้ตา ถุงไขมันใต้ตา
  • ช่วยลดริ้วรอยใต้ตา หางตา ตีนกา
  • ช่วยแก้ร่องน้ำตา เบ้าตาลึก ตาโหล
  • ช่วยลดขอบตาดำ ลดใต้ตาคล้ำ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อดี – ข้อเสียอะไรบ้าง ?

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ สามารถแก้ปัญหาใต้ตา รอบดวงตาได้อย่างครอบคลุมและตรงจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลลัพธ์ทันที ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน 

ข้อจำกัดของฟิลเลอร์ใต้ตา คือ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวร เนื้อฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามระยะเวลาของแต่ละยี่ห้อ หากต้องการคงสภาพผลลัพธ์ สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ตามคำแนะนำของแพทย์    


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะฉีดด้วยสารเติมเต็มไฮยาลูโรนิคแอซิด ที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้มีความใกล้เคียงกับสารธรรมชาติในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง เจ็บตัวน้อย ใช้เวลาทำไม่นาน เห็นผลหลังทำทันที อาจมีอาการบวมเข็ม 2-3 วัน  และเข้าที่ใน 2-3 สัปดาห์ ตอบโจทย์สำหรับคนที่ไม่มีเวลาพักฟื้นนาน ต้องการผลเร่งด่วน   

ส่วนการฉีดไขมันใต้ตา โดยดูดไขมันของตัวเองจากบริเวณอื่นมาเติมใต้ตา ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ แต่ขั้นตอนการทำค่อนข้างยุ่งยาก ทำครั้งแรกเห็นผลไม่ชัดเจน ต้องทำซ้ำหลายครั้ง หลังฉีดมีรอยแผล บวม ผลลัพธ์เข้าที่ใน 2-3 เดือน กรณีมีปัญหากระดูกใต้ตายุบตัว การฉีดไขมันจะไม่สามารถช่วยได้

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น จะเห็นว่าทั้งการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาและการเติมไขมันมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน สำหรับใครที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกทำหัตถการไหนดี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและเลือกหัตถการที่เหมาะสม แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด          


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับคนที่มีริ้วรอย ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ขอบตาดำ ขาดความชุ่มชื้น มีปัญหาใต้ตาจากการยุบตัวของกระดูกและเนื้อตามอายุที่มากขึ้น หรือมีปัญหาใต้ตาจากลักษณะทางพันธุกรรม กลัวการผ่าตัด ไม่อยากเจ็บตัว ไม่มีเวลาพักฟื้น ต้องการเห็นผลรวดเร็ว  


ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่อันตรายหากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ รู้ตำแหน่งและใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง แม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดได้ และที่สำคัญคือต้องใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น สามารถสลายได้หมด ไม่ทิ้งสารตกค้าง ไม่สะสมในร่างกาย 


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ CC ?

ฉีด Filler ใต้ตา หมอจะประเมินและพิจารณาจำนวน CC เป็นรายเคสไป เพราะปัญหาใต้ตาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ก็แตกต่างกัน โดยทั่วไปฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ประมาณ 2-4 CC ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน ส่วนในคนไข้ที่อายุเยอะ กระดูกใต้ตายุบตัวมาก ก็อาจใช้ฟิลเลอร์มากขึ้นตามไปด้วย    


ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เพราะฉีดแล้วจะไม่ฟูมากเกินไปจนทำให้ใต้ตาดูบวม ซึ่งหมอจะเป็นผู้ประเมินและเลือกใช้รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้แต่ละคน โดยฟิลเลอร์ใต้ตาที่ได้รับความนิยมจะมี 3 ยี่ห้อหลัก ๆ ได้แก่ Juvederm, Restylane และ Belotero

ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Juvederm (อเมริกา)

  • Juvederm Volite เนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับผิวบาง
  • Juvederm Voluma เนื้อแน่น ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำได้ดี
  • Juvederm Volux เนื้อแน่น ใช้ฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก 

ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Restylane (สวีเดน)

  • Restylane Perlane Lyft เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ไม่ฟู คงรูปได้ดี
  • Restylane Defyne เนื้อแน่นปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี
  • Restylane Vital Light เนื้อละเอียด ใช้เก็บรายละเอียดใต้ตาผิวชั้นบน
  • Restylane Vital เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ใช้เก็บรายละเอียดให้เรียบเนียน
  • Restylane Classic เนื้อแน่น ใช้เก็บรายละเอียดใต้ตาในผิวชั้นลึก

ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)

  • Belotero Volume เนื้อแน่น ยืดหยุ่นสูง ใช้ฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก  
  • Belotero Revive เนื้อละเอียด มีส่วนประกอบของกลีเซอรอล ช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว และลดริ้วรอยเล็ก ๆ ในผิวชั้นตื้น  

ฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม อยู่ได้กี่เดือน ?

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที และจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 2-3 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์ฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อที่เลือกใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีด หากหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายไวได้ ก็จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น 


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เจ็บไหม มีผลข้างเคียงไหม ?

ขณะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะไม่ได้รู้สึกเจ็บมาก เพราะก่อนฉีดทางคลินิกจะมีการแปะยาชาให้ รวมถึงในตัวฟิลเลอร์บางรุ่นเองก็มียาชาผสมอยู่แล้ว ช่วยให้ระหว่างทำรู้สึกเจ็บน้อยลง  

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากใต้ตาเป็นจุดที่ค่อนข้างบอบบาง ทำให้มีอาการบวมเข็ม มีรอยแดง หรือเขียวช้ำ ไม่รุนแรง หายได้เองใน 7-14 วัน ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์      


การดูแลตัวเอง ก่อน – หลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  1. ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างละเอียด
  2. งดยาแอสไพริน, NSAIDs และวิตามินบางชนิด เช่น St.John’s Wort, Ginkgo Biloba, Primrose Oil และ Vitamin E เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนทำหัตถการ
  3. หากมีคอร์สเลเซอร์ต่าง ๆ ที่ต้องทำเป็นประจำ ควรทำมาก่อนอย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพราะหลังฉีดต้องเว้นไปอีก 2 สัปดาห์  
  4. งดดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกาย ซาวน่า ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
  5. หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องทานเป็นประจำ ควรเตรียมข้อมูลไว้เพื่อแจ้งแพทย์ก่อนฉีด

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ดูแลตัวเองอย่างไร?

  1. หลีกเลี่ยงการแกะ กด เกา นวดในจุดที่ฉีด และห้ามปั้นทรงฟิลเลอร์เอง
  2. อยู่ในที่อากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  3. งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน แต่สามารถล้างหน้า แต่งหน้าได้ตามปกติ
  4. งดดื่มแอลกอฮอล์ เข้าซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือนั่งหน้าเตานาน ๆ
  5. ดื่มน้ำมาก ๆ ให้เพียงพอกับร่างกาย เพื่อให้ฟิลเลอร์สามารถคงอยู่ได้นานขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร ต้องแก้ไขอย่างไร ?

ฉีดใต้ตาแล้วเป็นก้อนเกิดจากอะไร

ในเคสที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการเลือกรุ่นฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม แพทย์ขาดประสบการณ์ ใช้เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิว หรือใช้ปริมาณฟิลเลอร์เยอะเกินไป ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวกันเป็นก้อนบวม หรือเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม เมื่อเวลาผ่านไปจะเป็นก้อน ไหลย้อย 

วิธีแก้ไขเคสฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน ผลลัพธ์ไม่สวยงาม ไม่เป็นที่พึงพอใจ หากฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้จะสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม แต่ถ้าใช้ฟิลเลอร์ปลอม ต้องผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น ดังนั้นก่อนฉีดจึงควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อได้มาตรฐาน ผ่าน อย. เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัย 


ฟิลเลอร์ใต้ตา แท้ – ปลอม สังเกตอย่างไร ?

ฟิลเลอร์แท้-ปลอมดูอย่างไร?

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อต่าง ๆ สังเกตได้ในเบื้องต้นด้วยตัวเอง หลัก ๆ ให้ดูจากเลข Lot ที่กล่อง สติกเกอร์ และหลอดจะต้องตรงกัน จะมีสลากภาษาไทยติดอยู่บนกล่อง พร้อมกับมีวันหมดอายุและราคาระบุไว้ข้างกล่องอย่างชัดเจน สภาพกล่องปิดผนึกเรียบร้อย สามารถขอให้แพทย์แกะกล่องแกะหลอดใหม่ให้ดูต่อหน้า และขอนำกล่องกลับบ้านได้ เพื่อความมั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ 


ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ 13,000.-/1 CC ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ เทคนิคการฉีดของแพทย์ รวมถึงโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก  


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ?

ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี เราควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่อไปนี้

✔ คลินิกได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก แสดงให้เห็นชัดเจน

✔ แพทย์มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รู้ตำแหน่งและเทคนิคการฉีดเป็นอย่างดี 

✔ บรรยากาศภายในคลินิกสะอาด สว่าง โปร่ง ห้องทำหัตถการพื้นที่กว้างขวาง ปลอดเชื้อ

✔ มีรีวิวจากผู้ใช้บริการในแหล่งที่น่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นผลลัพธ์ก่อน-หลังทำของแต่ละเคส

✔ มีการนัดติดตามผลและมีช่องทางติดต่อสะดวก สามารถปรึกษาแพทย์เจ้าของเคสได้โดยตรง

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ V Square Clinic ใช้ฟิลเลอร์แท้คุณภาพดี การันดีด้วยมาตรฐานสากล ดูแลและทำหัตถการโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และชำนาญด้านศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ (Fine Art of Filler) ตรวจประเมินใบหน้าอย่างละเอียดทุกเคส ฉีดด้วยเทคนิคพิเศษ บวมช้ำน้อย ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ 


สรุป

ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาที่ตรงจุดและครอบคลุม ทั้งร่องลึก ริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ขอบตาดำ หลังทำเห็นผลเร็ว ไม่มีแผล ดูแลไม่ยุ่งยาก ก่อนตัดสินใจฉีดควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ใช้ฟิลเลอร์แท้และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ดูเป็นธรรมชาติ และปลอดภัย

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ? 7 เช็กลิสต์เลือกคลินิกฉีดโบท็อกที่ดีที่สุด

0
ฉีดโบท็อกที่ไหนดี

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี 

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ? ปัจจุบันมีคลินิกฉีดโบท็อกให้เลือกจำนวนมาก แต่ละคลินิกมีโปรโมชันราคาที่แตกต่างกันออกไป แต่การจะตัดสินใจฉีดโบท็อกที่ไหนดี จะดูที่ราคาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ครับ ยังมีอีกหลายเช็กลิสต์ที่ต้องพิจารณา เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี ไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หรือฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล ต้องเสียเงินไปฟรี ๆ  


วิธีเลือกคลินิกฉีดโบท็อกที่ดีที่สุด

คลินิกฉีดโบท็อกที่ดีที่สุดในที่นี้ หมายถึงคลินิกที่คนไข้สามารถมั่นใจได้ว่า ฉีดโบท็อกแล้วจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าได้เห็นผลจริง และมีความปลอดภัยครับ วิธีเลือกคลินิกฉีดโบท็อก จึงเป็นข้อควรรู้สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะฉีดโบท็อก มี 7 เช็กลิสต์ (Checklist) ที่ต้องพิจารณาประกอบกัน  

1.มาตรฐานคลินิก

คลินิกต้องได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงครับ วิธีสังเกตง่าย ๆ คือ ต้องมีป้ายแสดงชื่อคลินิก มีเลขที่ใบอนุญาต จำนวน 11 หลัก ติดไว้หน้าคลินิก มีใบอนุญาตให้ประกอบกิจการ และใบอนุญาตให้ดำเนินการ ติดไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่ายในคลินิก ส่วนด้านในคลินิกก็ต้องสะอาด สว่าง กว้างขวาง ห้องทำหัตถการเพียงพอกับจำนวนผู้มาใช้บริการ  

คลินิกมาตรฐาน
คลินิกมาตรฐาน

2.ประสบการณ์แพทย์  

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดโบท็อก รู้โครงสร้างใบหน้า รู้ตำแหน่งกล้ามเนื้อ มีเทคนิคฉีดโบท็อกที่ถูกต้องและแม่นยำ ประเมินปริมาณตัวยา Botox ที่ใช้ในการฉีดได้อย่างเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น ๆ เช่น โบท็อกหน้าผาก โบท็อกยกคิ้ว ยกหางตา โบท็อกลดกราม ลดน่อง ลดเหงื่อรักแร้ เป็นต้น นอกจากนี้ในบางตำแหน่งต้องใช้เทคนิคพิเศษ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ครับ 

แพทย์ประเมินใบหน้าแพทย์ประเมินใบหน้า

3.ยี่ห้อโบท็อกที่ผ่านอย.

โบท็อกมีหลายยี่ห้อ แต่ไม่ใช่ทุกยี่ห้อจะผ่านอย. ก่อนฉีดโบท็อกที่ไหนดี ต้องดูด้วยครับว่าคลินิกนั้น ๆ ใช้โบท็อกแท้ ผ่านอย. หรือไม่ ยี่ห้อโบท็อกที่ผ่านอย. และได้รับความนิยมมีหลายยี่ห้อ ทั้งโบท็อกยุโรป เช่น Allergan, Xeomin, Dysport และโบท็อกเกาหลี เช่น Nabota, Aestox, Neuronox แต่ไม่ใช่จะดูว่าคลินิกนั้นใช้ยี่ห้อโบท็อกเหล่านี้เท่านั้น ต้องรู้วิธีดูโบท็อกแท้แต่ละยี่ห้อด้วยครับ เพื่อให้มั่นใจว่าฉีดโบท็อกของแท้  

4.ทำเลที่ตั้ง/สาขาให้บริการ 

การเดินทางเป็นอีกหนึ่งเช็กลิสต์ที่ต้องพิจารณา คลินิกควรตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก มองเห็นได้ง่าย เป็นเหตุผลให้คลินิกเสริมความงามส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในห้าง หรือใกล้ห้าง สามารถเดินทางมาได้ทั้งรถส่วนตัว หรือรถสาธารณะ และหากมีหลายสาขาด้วย ก็จะช่วยเพิ่มสะดวกในการมาใช้บริการ สามารถใช้บริการสาขาใกล้บ้านได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางครับ    

5.ช่องทางการติดต่อ 

คลินิกฉีดโบท็อก ไม่ควรมีช่องทางเดียวในการติดต่อ หรือติดต่อได้เฉพาะที่หน้าสาขาเท่านั้น แต่ควรมีหลากหลายช่องทางโซเชียลมีเดียให้ติดต่อได้ครบ เช่น Website, Facebook, Line Official, Instagram, Tiktok และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้สะดวก รวมทั้งควรมีบริการปรึกษาออนไลน์ สามารถส่งรูปหน้ามาให้หมอประเมินก่อนในเบื้องต้น 

6.รีวิวที่น่าเชื่อถือ

ก่อนฉีดโบท็อกที่ไหนดี ควรดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงก่อนครับ ทั้งรีวิวที่เป็นรูปภาพ และคลิปวิดีโอ เพราะรีทัชได้ยากกว่าการภาพนิ่ง ที่ใช้โปรแกรมรีทัช ลบริ้วรอยให้ผิวเนียนเรียบ และควรเป็นรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือที่ไม่สามารถลบออกได้ง่าย  ๆ เช่น รีวิวติดดาวบน Facebook หรือ Pantip Review 

7.การบริการ

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า ส่วนสำคัญที่ทำให้หลายคนเลือกคลินิกฉีดโบท็อกที่ไหนดี มาจากการบริการที่ประทับใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่โทรศัพท์เข้าไปสอบถามข้อมูล ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไปที่คลินิก หรือตั้งแต่ครั้งแรกที่แอดไลน์ไปถามโปรโมชัน ตลอดจนหลังฉีดโบท็อก ที่มีการนัดติดตามผลหลังทำ แสดงถึงความใส่ใจและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ 

การบริการที่คลินิกการบริการที่คลินิก


ฉีดโบท็อกอันตรายไหม ?

การฉีดโบท็อก หรือโบทูลินั่มท็อกซิน ชนิดเอ (ฺฺBotulinum Toxin Type A) ไม่อันตรายครับ ตัวยาเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เมื่อฉีดแล้วจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราว สามารถลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า และปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย 

แต่การฉีดโบท็อกให้ปลอดภัย หนึ่งในหัวใจสำคัญ คือ ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดโบท็อก รู้เทคนิคการฉีด และใช้โบท็อกแท้ ผ่านอย. ถึงจะมั่นใจได้ครับ   


โบท็อกแท้ VS โบท็อกปลอม ดูอย่างไร ? 

ก่อนฉีดโบท็อกต้องเลือกดี ๆ รู้วิธีตรวจสอบโบท็อกแท้ โบท็อกปลอม โบท็อกหิ้ว แม้ว่าแต่ละยี่ห้อจะมีจุดสังเกตที่แตกต่างกัน แต่หลัก ๆ ที่คนไข้ควรเช็ก คือ 

  • โบท็อกแท้ต้องมีฝาพลาสติกใสปิดทับอยู่ด้านบน
  • ตัวยาเป็นผลึกเคลือบอยู่ที่ก้นขวด ไม่มีน้ำ ต้องใส่น้ำเกลือ แล้วดูดยาออกมา
  • มีตัวหนังสือภาษาไทยแสดงเลขที่อย. มีวันผลิตและวันหมดอายุที่กล่องกับขวดตรงกัน
  • มีข้อมูลระบุว่านำเข้าโดยบริษัทใด สามารถโทรเช็กเลข Lot. ได้ 

ถ้าเช็กแล้วไม่เป็นไปตามนี้ สันนิษฐานไว้ก่อนเลยครับว่าเป็นโบท็อกหิ้ว โบท็อกปลอม หรือยาปลอม ยาหิ้ว ซึ่งไม่ควรฉีดเด็ดขาดครับ เพราะฉีดแล้วอาจไม่เห็นผล ดื้อโบท็อก หรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เนื่องจากตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ได้มีการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม หรือมีสารอื่น ๆ ปนเปื้อน ทำให้ตัวยาไม่บริสุทธิ์ 

โบท็อกหิ้ว โบท็อกปลอม ส่วนใหญ่จะลักลอบนำเข้ามา มีราคาถูก คลินิกที่ฉีดก็จะเป็นคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน เปิดให้บริการแบบผิดกฎหมาย หรือในกรณีที่ฉีดกับหมอกระเป๋าที่รับฉีดตามบ้าน/คอนโด ส่วนใหญ่จะเป็นหมอปลอม เคยเป็นลูกมือหมอมาก่อนแล้วมารับฉีด ไม่รู้เทคนิคการฉีด เอายาปลอมมาฉีดให้ 

โบท็อกปลอมโบท็อกปลอม


หมอจริง VS หมอปลอม ดูอย่างไร ?

ไม่ได้มีแต่โบท็อกแท้ โบท็อกปลอมเท่านั้น แต่ยังมีหมอจริง หมอปลอม ให้ต้องตรวจสอบด้วย ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ไม่ใช่จะฉีดที่ไหน ฉีดกับใครก็ได้ ต้องฉีดกับหมอจริง ๆ ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดโบท็อก และฉีดที่คลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น จะไม่มีการไปรับฉีดนอกสถานที่ เพราะการจะฉีดโบท็อกที่ไหนดี ต้องคำนึงเรื่องความสะอาด ปลอดเชื้อ

สำหรับการตรวจสอบหมอจริง หมอปลอม สามารถนำชื่อ-นามสกุลแพทย์ ไปตรวจสอบกับเว็บไซต์ของแพทยสภา คลิกที่นี่ โดยต้องสะกดตัวอักษรให้ถูกต้องครับ ถ้าไม่ปรากฏชื่อ แสดงว่าเป็นหมอปลอม สามารถแจ้งกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านนี้ครับ  

วิธีตรวจสอบหมอตรวจสอบหมอจริง-หมอปลอม


ผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อก

ผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อก จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 

1.ผลข้างเคียงที่ไม่อันตราย เช่น รู้สึกเมื่อย หรือตึงบริเวณที่ฉีด เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อก สามารถหายได้เองครับ

2.ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ จะมีอาการแสดง เช่น  

  • อักเสบติดเชื้อหลังฉีด เกิดจากฉีดโบท็อกกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดโบท็อกกับหมอกระเป๋า ใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ไม่มีระบบการดูแลความสะอาดปลอดเชื้อ
  • หนังตาตก เกิดจากฉีดโบท็อกในบริเวณใกล้ตำแหน่งที่เกิดผลข้างเคียง เช่น ฉีดโบท็อกใกล้เปลือกตาด้านบน เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหนังตาอ่อนแรงและหนังตาตกลงมาได้ 
  • มุมปากเบี้ยว ฉีดโบท็อกแล้วปากเบี้ยว พบได้ไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ มักเกิดกับเคสที่ฉีดโบท็อกกับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ฉีดโบท็อกไม่ถูกตำแหน่ง ฉีดโดนกล้ามเนื้อสำคัญบนใบหน้า ทำให้หลังฉีดปากเบี้ยว  
  • หน้าแข็ง ยิ้มไม่สุด เกิดจากการฉีดโบท็อกในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาใบหน้าตึง แข็ง บังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ได้ แสดงอารมณ์ หัวเราะไม่ได้ ยิ้มไม่ได้

ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร ? 

  • โบท็อกผสมน้ำเกลือมากเกินไป ทำให้ตัวยาถูกเจือจาง ฉีดแล้วไม่เห็นผล ซึ่งถ้าถูกเจือจางมาก ๆ จะทำให้ยาจะกระจายไปจุดข้างเคียง ทำให้ตาตก ปากเบี้ยวได้
  • ฉีดโบท็อกไม่ถูกตำแหน่งกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อกต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของใบหน้า และสามารถกำหนดจุดที่ฉีดโบท็อกได้ถูกต้อง
  • ดื้อโบท็อก เกิดจากการเคยฉีดโบท็อกปลอมมาก่อน ตัวยาเสื่อมคุณภาพ มีการปนเปื้อน กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้เมื่อฉีดโบท็อกแล้วเห็นผลน้อยลง ไปจนถึงไม่เห็นผล 

ฉีดโบท็อกราคาแพงไหม ?

ราคาฉีดโบท็อกไม่แพงครับ เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่คุ้มค่า สามารถคงผลลัพธ์ยาวนาน 4-6 เดือน และยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต โดยที่คลินิกส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้โบท็อกเพียงยี่ห้อเดียวครับ แต่มีโบท็อกหลายยี่ห้อ หมอจะแนะนำยี่ห้อโบท็อกที่เหมาะสม สามารถเลือกได้ตามงบประมาณ หรือบางคลินิกมีการจัดโปรโมชันฉีดโบท็อก เป็นตัวเลือกที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่งครับ   


ทำไมโบท็อกแต่ละคลินิกถึงราคาไม่เท่ากัน 

ฉีดโบท็อกแต่ละคลินิกราคาไม่เท่ากันได้ ขึ้นอยู่กับปัญหา ตำแหน่งที่ฉีด จำนวนยูนิตที่ใช้ ปริมาณกล้ามเนื้อของคนไข้ แต่การเลือกฉีดโบท็อกที่ไหนดี ราคาจะต้องไม่ถูกเกินไป เพราะเสี่ยงเจอโบท็อกหิ้ว โบท็อกปลอม หรือถ้าราคาแพงเกินไป ไม่สมเหตุสมผล ก็ดูจะเป็นการเอาเปรียบคนไข้เกินไปครับ 


ข้อควรระวังก่อนฉีดโบท็อก  

  • ก่อนฉีดโบท็อกควรให้แพทย์แกะกล่องใหม่ ผสมตัวยาต่อหน้าทุกครั้ง เพื่อจะได้มั่นใจว่าเป็นโบท็อกแท้ และไม่ได้ถูกเจือจางน้ำเกลือมากเกินไป เพราะถ้าผสมเป็นน้ำมาแล้ว จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าโบท็อกเจือจางหรือเข้มข้น 
  • โบท็อก 100 ยูนิต จะใช้น้ำเกลือ 2.6 CC โบท็อก 50 ยูนิต ใช้น้ำเกลือ 1.3 CC ใช้น้ำเกลือมากหรือน้อยกว่านี้ได้ ไม่เป็นอันตราย ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ต้องการใช้
  • การฉีดโบท็อกแต่ละครั้ง ไม่ควรฉีดเกิน 300 ยูนิต เพราะจะเพิ่มโอกาสที่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานได้ง่ายขึ้นและเกิดการดื้อโบท็อก

ข้อควรระวังก่อนฉีดโบท็อกผสมตัวยาต่อหน้า


ฉีดโบท็อกที่ไหนดี คลินิกยอดนิยมในกทม.

ปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามเปิดให้บริการจำนวนมาก V Square Clinic เป็นหนึ่งในคลินิกยอดนิยมที่คนไข้ไว้วางใจ มีการบอกต่อทั้งในแง่ผลลัพธ์และการบริการ มีหลายสาขาครอบคลุมในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

คนไข้ที่มาใช้บริการมั่นใจในประสิทธิภาพของตัวยา หมอแกะกล่องใหม่ ผสมยาให้ดูต่อหน้า ให้กล่องและขวดกลับบ้าน เพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าเป็นโบท็อกแท้ นอกจากนี้ทีมแพทย์วีสแควร์ยังมีประสบการณ์ด้านการฉีดโบท็อก รู้เทคนิคและตำแหน่งการฉีดที่ถูกต้อง ประเมินปริมาณตัวยาที่เหมาะสม มุ่งเน้นความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ 


สรุป

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี มีเช็กลิสต์หลายข้อที่ต้องพิจารณา จะดูแค่ข้อใดข้อหนึ่ง หรือเลือกจากราคาถูกไม่ได้  แต่ต้องพิจารณาให้ครอบคลุม ทั้งมาตรฐานคลินิก ประสบการณ์แพทย์ ยี่ห้อโบท็อกที่ผ่านอย. ทำเลที่ตั้ง/สาขาให้บริการ ช่องทางการติดต่อที่สะดวก รีวิวที่น่าเชื่อถือ และการให้บริการทั้งก่อนและหลังฉีดโบท็อกครับ

Ulthera ยกกระชับปรับรูปหน้า ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ทำกี่ครั้งเห็นผล ?

0
Ulthera

Ulthera

Ulthera หรือ อัลเทอร่า เป็นหัตถการที่ถูกพูดถึงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มดารา เซเลป ที่นิยมเข้าใช้บริการเพื่อยกระชับใบหน้า คืนความอ่อนเยาว์ 

สำหรับใครที่สนใจว่าการทำ ulthera  อยากรู้ว่า อัลเทอร่า คืออะไร ดีอย่างไร ? ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง ? ทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้หมอจะพามารู้จักการทำอัลเทอร่าครับ พร้อมตอบทุกข้อสงสัย ที่คนไข้อยากรู้  


Ulthera คืออะไร ?

Ulthera ( อัลเทอร่า) หรือ ultherapy คือนวัตกรรมการยกกระชับผิว คืนความอ่อนเยาว์ ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด 

เครื่อง Ulthera สามารถช่วยยกกระชับผิวได้ เนื่องจากมีหลักการทำงาน ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียง Ultrasound ความถี่สูงแบบแบบเฉพาะเจาะจง (High Intensity Focused Ultrasound) ยิงส่งไปยังใต้ผิว เพื่อให้เกิดความร้อน 60-70°C ลงลึกถึงใต้ผิวหนัง ด้วยจุดพลังงานขนาด 1 mm ลักษณะเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว (ตามภาพด้านล่าง)

หลักการทำงานเครื่องUlthera

หลังการยิงพลังงาน จะสามารถช่วยดึงหน้าและยกกระชับผิว (Tissue lifting) บริเวณผิวหน้าและคอได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ดังนั้นคนไข้จึงไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น หรือดูแลตัวหลังทำให้ยุ่งยาก ถือเป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ทันสมัย ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยได้มาก จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องครับ


จุดเด่นของ Ulthera 

ด้านรูปลักษณ์หน้าตาของตัวเครื่อง Ulthera จะมีหน้าจอแสดงระดับความลึกของจุดที่ยิงลงไปจนถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า 

เครื่องUlthera SPT

โดยระหว่างทำ Ulthera ทั้งแพทย์และคนไข้สามารถจะเห็นภาพรายละเอียดในระดับชั้นผิวได้ผ่านหน้าจอเครื่อง แบบ Real-Time Visualization ซึ่งเป็นข้อดี และเป็นจุดเด่นของเครื่อง Ulthera ครับ เพราะแพทย์สามารถจะปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวไปพร้อม ๆ กับทำการยกกระชับผิวหน้าได้อย่างละเอียดและแม่นยำ


Ulthera ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

การทำงานของเครื่อง Ulthera จะเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนลงลึกถึงผิวหนังชั้น smas ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้าตามที่หมอธิบายไว้ข้างต้น ซึ่งส่งผลให้ชั้นผิวเกิดการหดตัว ผลที่ได้จึงครอบคลุมช่วยได้หลายด้าน  เช่น ช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย โดยสามารถทำได้หลายตำแหน่ง ดังนี้ 

  • ใบหน้า: ช่วยลดปัญหาหย่อนคล้อยของผิว ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น ผิวเต่งตึง ทำใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น 

Ulthera ยกกระชับ

  • ลำคอ ใต้คาง เหนียง : ช่วยให้รูปหน้าดูเรียวกระชับขึ้นชัดเจน  เหมาะกับผู้ที่มีชั้นไขมันบริเวณลำคอและเหนียง

Ulthera คอ เหนียง

  • บริเวณรอบดวงตา : ช่วยยกหางคิ้ว ยกหางตา ทำให้ตาโตขึ้นดูเด็ก สดใส

Ulthera รอบดวงตา

  • หน้าอก : ช่วยยกกระชับผิวบริเวณเนินอกที่หย่อนคล้อย ให้เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้นได้
  • ท้องแขน และ หน้าท้อง : ช่วยลดความย้วยและหย่อนคล้อยของผิว

Ulthera เหมาะกับใครบ้าง ?

เป้าหมายของหลักของการทำ Ulthera คือการยกกระชับ ซึ่งคุณสมบัติของเครื่อง Ulthera ที่สามารถยิงลงลึกได้ถึงชั้น SMAS จึงเหมาะกับผู้ที่มีความกังวลเรื่องความหย่อนคล้อยของใบหน้า อยากยกหน้า ดึงหน้าให้ตึง และอ่อนเยาว์ครับ 

  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญผิวหน้าหย่อนคล้อย หน้าตกจากอายุที่มากขึ้น 
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า ให้สมส่วน ดูมิติ 
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีกรอบหน้าที่ชัดเจน รูปหหน้าเรียวเข้ารูปมากขึ้น
  • เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากเจ็บตัวจากการผ่าตัดดึงหน้า 

Ulthera ทำกี่ครั้งเห็นผล ? 

ผลลัพธ์หลังทำ Ulthera จะเห็นการเปลี่ยนแปลงประมาณ 30% ในครั้งแรกที่ทำ คนไข้สามารถเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ผิวหน้าดูยกและตึงขึ้น เนื่องจากชั้นผิวหดตัวจากความร้อนที่ Focus ลงใต้ผิว 

จากนั้นประมาณ 1-2 เดือนผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ เพราะมีการสร้างคอลลาเจนใหม่และเมื่อผ่านไป 2-3 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ  

จุดเด่น Ulthera


Ulthera อยู่ได้นานไหม ?

การคงผลลัพธ์หลังทำ Ulthera จะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ครับ แนะนำให้ทำปีละ 1 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ระยะยาว ในกรณีที่คนไข้อายุมาก มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ สามารถทำ 6 เดือนครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์ได้ครับ  


Ulthera ปลอดภัยแค่ไหน ?

การทำ Ulthera มีความปลอดภัยครับ ในกรณีที่เป็นเครื่องแท้ เพราะเป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลทั้งจาก U.S. FDA ของสหรัฐอเมริกา และ อย.ของไทย ซึ่งปัจจุบันมีการใช้กว่า 75% ทั่วโลก 

นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์เห็นชั้นผิวทุกครั้งก่อนยิง จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง แต่เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์จะออกมาดีและปลอดภัย ควรทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้นครับ 

เครื่อง Ulthera SPT ของแท้

ส่วนในกรณีที่หลายคนกังวลเรื่องปัญหาหน้าไหม้ บวม หรือเป็นแผล จะมาจากการใช้เครื่อง Ulthera ปลอม ซึ่งมีหน้าตาคล้ายเครื่อง Ulthera SPT ของแท้ครับ แต่ราคาการทำต่อครั้งจะถูกมาก ๆ  เพื่อโฆษณาเรียกลูกค้าเข้ามาเยอะ ๆ 

แต่เครื่องพวกนี้จะมีการส่งพลังงานที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้ อาจทำแล้วไม่เห็นผลเพราะใช้พลังงานเบา หรือในกรณีที่ร้ายแรง คือทำให้ผิวไหม้ เพราะใช้พลังงานสูงเกินไป ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำที่ไหนต้องมั่นว่าใช้เครื่อง Ulthera แท้เท่านั้นครับ


Ulthera ราคาแพงไหม ?

ราคาการทำ Ulthera ค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ถือว่าคุ้มค่าครับ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากดึงหน้า ยกหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด กลัวเข็ม ไม่อยากเสียเวลาพักฟื้น ซึ่งราคาต่อการทำ 1 ครั้ง จะขึ้นอยู่กับ line ที่ยิง โดยทั่วไปจะทำประมาณ 300 line ในกรณีแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย  

โดยทั่วไปราคาในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เชื่อถือได้ จะอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท อาจะถูกหรือแพงกว่านี้ ไม่มากครับ ในกรณีเจอราคาถูกมาก ๆ อาจเสี่ยงเจอเครื่องปลอมได้ครับ 


ทำ Ulthera ที่ไหนดี ? 

หากสนใจทำ Ulthera ก่อนจะตัดสินใจเลือกทำ Ulthera ที่ไหนดี ควรศึกษาข้อมูลให้ดี เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีครับ

ก่อนการทำ Ulthera ควรพิจาณาสิ่งเหล่านี้ 

  • คลินิกต้องเปิดให้บริการอย่างถูกต้อง
  • ทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ 
  • มั่นใจว่าใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ 
  • มีรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง 
  • มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกรวดเร็ว 

สรุป 

การทำ Ulthera เพื่อยกกระชับผิว เป็นหนึ่งในหัตถการที่ทำแล้วคุ้มค่าและหมอแนะนำครับ เพราะสามารถดึงหน้าให้ยกกระชับขึ้น ลดริ้วรอยบนใบหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้อีกด้วยครับ 

สำหรับใครที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการทราบว่าปัญหาของตน เหมาะกับการทำ Ulthera หรือไม่ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ฟรี ที่  V Square Clinic ครับ 

ฟิลเลอร์ คืออะไร ? ช่วยอะไรบ้าง ? เหมาะกับใคร ? อันตรายไหม ?

0
ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย ในวงการเสริมความงามนิยมนำมาฉีดเพื่อช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น โดยสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น ถือว่าเป็นหนึ่งในหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมมากในตอนนี้ครับ

สำหรับใครที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์ บทความนี้หมอจะพามาเจาะลึกเกี่ยวกับฟิลเลอร์ คืออะไร ? ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนช่วยอะไรบ้าง ? กี่วันเห็นผล ? ใครที่เหมาะหรือไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ ? ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม ? และข้อควรปฏิบัติก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ ให้ฟิลเลอร์เข้าที่ไว อยู่ได้นาน


ทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ คืออะไร ?

ฟิลเลอร์คือ
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) เป็นสารที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกาย สลายเองได้ 100% มีความปลอดภัยสูง

โดยการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic acid หรือการฉีดฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยทดแทนโครงสร้างผิว คอลลาเจน และไฮยาลูรอนที่น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น และสามารถฉีดเสริมกระดูกที่มีการทรุดตัวตามวัย ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับ ปรับรูปหน้าโดยเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น


ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง ?

  • ช่วยปรับรูปหน้า โดยไม่ต้องศัลยกรรมผ่าตัด ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • ช่วยปรับสภาพผิว กระชับรูขุมขน
  • ช่วยเติมเต็มร่องลึก ร่องตื้น ที่ทำให้ใบหน้าดูมีอายุก่อนวัย
  • ช่วยลดริ้วรอย และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
  • ช่วยให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
  • ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว

ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนได้บ้าง ? แต่ละจุดใช้กี่ cc ?

ฟิลเลอร์ สามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณทั่วใบหน้า เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ต่างกันไป โดยแต่ละจุดใช้จำนวน cc เท่าไหร่ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินจากปัญหา และความต้องการของคนไข้เป็นหลักครับ

ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดใช้กี่ cc

  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เติมเต็มขมับเว้า ขมับยุบ ให้ใบหน้าละมุนขึ้น ใช้ 2-4 CC
  • ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม เติมเต็มหน้าแก้มให้ยกกระชับ ดูมีมิติมากขึ้น ใช้ 1-2 CC
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก แก้ปัญหาปากแห้งเป็นร่อง ปากไม่เท่ากัน ปรับทรงปาก ใช้ 1-2 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์คาง แก้ปํญหาคางยุบ คางถอย ปรับหน้าเรียว ใช้ 1-2 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เติมเต็มร่องแก้มลึกให้ตื้นขึ้น ใช้ 1-3 CC
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ไขปัญหาใต้ตาดำ ริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ใช้ 2-4 CC
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน ใช้ 3-5 CC

ฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับใคร ?

ฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ
  • ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า ให้ดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาในการพักฟื้น ไม่ต้องการศัลยกรรม

ใครที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ ?

  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้สาร Hyaluronic acid
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาชา เนื่องจากฟิลเลอร์ส่วนมากมักมียาชาผสมในตัว
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่ผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อบริเวณที่ฉีด
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ยังไม่สามารถควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ

ข้อดี – ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  • ใช้เวลาในการทำหัตถการไม่นานประมาณ 1-2 ชม.
  • เป็นหัตถการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
  • เห็นผลได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น
  • หากไม่ชอบผลลัพธ์ สามารถรอให้ฟิลเลอร์สลายเอง หรือฉีดสลายฟิลเลอร์แล้วฉีดใหม่ได้

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์

  • ผลลัพธ์อยู่ไม่ได้ถาวร ขึ้นอยู่กับรุ่น/ยี่ห้อฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีดและการดูแลตัวเองหลังทำ
  • หากฉีดฟิลเลอร์ปลอมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายในระยะยาว เช่น ใบหน้าผิดรูป ผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ
  • หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ หรือเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด ฟิลเลอร์เป็นก้อนดูไม่สวยงาม

ฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์แท้ประเภท Hyaluronic acid มีความปลอดภัยสูง และเกิดโอกาสแพ้ได้น้อยครับ เพราะสร้างขึ้นมาเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายของเรา รวมถึงยังได้รับรองจาก อย. อเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนการฉีดฟิลเลอร์แล้วอันตราย เกิดได้จากการฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ และการใช้ฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน ที่ไม่สามารถสลายได้เอง ทำให้ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย รวมถึงการใช้ฟิลเลอร์หิ้วที่ลักลอบเข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง คุณภาพของตัวยาไม่มีความบริสุทธิ์และไม่ดีเท่าของแท้ครับ

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม

  • เกิดอาการฟิลเลอร์เน่า เนื้อตาย เกิดพังผืด
  • ฟิลเลอร์ไหลย้อย ผิดทิศทาง
  • เกิดอาการบวมแดง อักเสบ ติดเชื้อ
  • ฟิลเลอร์บวมเป็นก้อนแข็ง ไม่สลาย ทำให้ใบหน้าผิดรูป
  • หากฉีดพลาดเข้าเส้นเลือด อาจทำให้เนื้อตาย หรือตาบอดได้

ถ้าหากฉีดฟิลเลอร์ของแท้ที่มีคุณภาพ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอมข้างต้นครับ


อาการข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์

หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถพบรอยแดง รอยเขียวช้ำจากเข็ม และอาการบวมหลังฉีด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ตามปกติ ไม่เป็นอันตราย โดยจะหายไปได้เองประมาณ 7-14 วัน


ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเห็นผล ?

หลังฉีดฟิลเลอร์เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีครับ และจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด เมื่อฟิลเลอร์เข้าที่และอาการบวมยุบลงหมดแล้ว 


ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นผลเกิดจากอะไร ?

ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นผลเกิดจากอะไร

ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นผล เกิดได้จากการที่คนไข้ฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ปรับรูปหน้า วางแผนการรักษาได้ไม่ตรงจุด เลือกชนิดฟิลเลอร์และปริมาณฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับปัญหา รวมถึงไม่มีเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกต้อง ทำให้หลังฉีดไม่เห็นผล หรือได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับที่คนไข้คาดหวังไว้ครับ


ข้อควรปฏิบัติก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์

ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ หมอแนะนำให้ปฏิบัติตามข้อควรดังต่อไปนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการบวมมากหลังฉีด ช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ไว เห็นผลชัดเจน และคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์

  • ศึกษาข้อมูล พิจารณาเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานที่รักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และศึกษาวิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้
  • งดรับประทานยาและวิตามินบางชนิด ได้แก่ แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
  • งดการทายาผลัดเซลล์ผิว การดึง ถอน โกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • งดเข้าคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์
  • หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ 1.5-2 ลิตร/วัน ช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำฟูสวย และอยู่ได้นานขึ้น
  • ในช่วงแรกงดการบีบ กด นวด และขยับใบหน้าเยอะ ๆ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อจากมือที่สกปรกได้
  • หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด
  • ใน 2-3 วันแรก ควรนอนหมอนสูงกว่าระดับหน้าอก และงดนอนตะแคง
  • งดการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่งผลให้อาการบวมยุบช้าขึ้น
  • งดการรับประทานอาหารที่มีรสจัด หวานจัด อาหารดิบ อาหารหมักดอง อาจทำให้อาการบวมหายได้ช้าขึ้นและเกิดอาการอักเสบได้
  • งดการทำทรีตเมนท์ เลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น RF Thermage เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน

สรุป ฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารเติมเต็มบนใบหน้า เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย ปรับรูปหน้า โดยเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และมีความปลอดภัยสูง หากใช้ฟิลเลอร์ของแท้และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ควรศึกษาข้อมูล เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน มั่นใจได้ว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้เพื่อความปลอดภัยครับ 

สำหรับใครที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ส่งรูปให้หมอประเมินเบื้องต้น หรือนัดคิวเข้ามาปรึกษาหมอได้โดยตรงที่ V sqaure clinic ทุกสาขา ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแพงไหมในแต่ละครั้ง ใช้กี่ cc โปรโมชั่นฉีดใต้ตา ราคาคุ้มค่า

0
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไร ? แพงไหม ?  คุ้มค่าหรือไม่ ?  หากต้องการแก้ไขปัญหาใต้ตา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง หมอมีข้อมูลราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาให้เปรียบเทียบ ในแต่ละยี่ห้อ รวมถึงปริมาณที่ใช้ พร้อมสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาดำ ตาลึก ตาโหล หรือมีถุงใต้ตา ยังมีวิธีอื่นที่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ เลือกวิธีไหนดี ถึงจะปลอดภัย คุ้มค่า สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเป็นอย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างตรงจุด ทั้งปัญหา ใต้ตาดำคล้ำ ร่องตาลึก  ตาโหล มีถุงใต้ตา ช่วยให้ใบหน้ากลับมาสดใส อ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาไม่แพงครับ เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น และไม่มีรอยแผลเป็นหลังฉีดใต้ตา 

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา คืนความสดใสให้ดวงตา

ทั้งนี้การฉีด filler ใต้ตาราคาจะแตกต่างกันตามยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่หมื่นต้น ๆ ต่อ 1 CC  โดยใต้ตาเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความพิถีพิถันในการฉีดเนื่องจากบริเวณใต้ตาจะแบ่งเป็นผิวชั้นลึกและชั้นตื้น ต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ให้เหมาะสม เช่น การฉีดใต้ชั้นตื้น ที่ผิวหนังใต้ตาค่อนข้างบางจึงควรเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฉีดแล้วไม่ฟูมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ตาดูบวม ไม่เป็นธรรมชาติครับ

ยี่ห้อ ฟิลเลอร์ใต้ตาตัวอย่างยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ใต้ตาที่หมอแนะนำ

  • Filler Restylane (สวีเดน)

Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่มี 2 เทคโนโลยีการผลิต คือ NASHA Technology และ OBT Technology ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Restylane โดยจะทำฟิลเลอร์ให้เป็นเม็ดละเอียด (particle) เพื่อให้ได้เนื้อ Filler ที่มีค่า Elasticity สูงที่สุด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เน้นในเรื่องของความยืดหยุ่น และสามารถปรับรูปทรงได้หลากหลาย  มีหลายรุ่นให้เลือกตามความเหมาะสม เช่น 

  • Restylane รุ่น  Perlane Lyft  : มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane รุ่น Defyne :  เนื้อเจลแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital Light  : มีส่วนผสมของยาชา เนื้อละเอียดมากที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบาง หรือสำหรับเก็บรายละเอียด อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital : เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียด ให้ผลเรียบเนียน อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane รุ่น Classic : เป็นเนื้อเจลอนุภาคใหญ่ เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก อยู่ได้นาน 12 เดือน

โดย Filler restylane ใต้ตา ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 14,000.-/ 1 CC ในแต่ละเคสอาจใช้จำนวน CC  ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลครับ  

  • Filler Juvederm (อเมริกา)

Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ Filler Restylane จุดเด่นอยู่ที่ในเนื้อฟิลเลอร์จะมี Crosslink (จำนวนการเชื่อมพันธะ) ที่ยิ่งมีเยอะก็จะอยู่ได้นานขึ้น สลายช้าลง อุ้มน้ำน้อยลง ทำให้ฉีดแล้วไม่ฟูมาก เหมาะกับผิวบริเวณที่ขยับบ่อย ๆ โดยฟิลเลอร์ Juvederm มีเทคโนโลยี Vycross และ Hylacross เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Allergan มีความพิเศษ คือ มีความคงตัว มีโมเลกุลยึดเกาะเหนียวแน่นขึ้น ช่วยยกกระชับได้ดี ยี่ห้อที่นิยมใช้ฉีดใต้ตาได้แก่ 

  • Juvederm รุ่น Volite : มีลักษณะเนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
  • Juvederm  รุ่น Voluma : ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำ อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm รุ่น Volux : เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัว สำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

ในส่วนของ ราคา Filler Juvederm โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14,000- 18,000.- /1 CC  

  • Filler Belotero  (สวิตเซอร์แลนด์ )

ฟิลเลอร์ Belotero ผลิตด้วยเทคโนโลยี CPM โดดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่น และการเกาะกันเป็นเนื้อเดียว หลังฉีดไม่ไหลเป็นก้อน สามารถปั้นทรงได้สวย สำหรับตำแหน่งใต้ตา สามารถฉีดได้ทั้งการเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก และเก็บรายละเอียดผิวใต้ตาให้เรียบเนียน โดยหมอจะเลือกรุ่นที่ฉีดแล้วคงรูปไม่ฟูเยอะ เช่น 

  • Belotero รุ่น  Volume : เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Belotero  รุ่น Revive : เนื้อละเอียด เหมาะฉีดใต้ตา เติมปาก ปรับสภาพผิวหน้า ลำคอ หลังมือ อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

ราคา Filler Belotero ฉีดใต้ตา เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000.- /1 CC ส่วนรุ่นไหนจะเหมาะกับใคร และจะต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณเท่าไร กี่ CC แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำให้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร ?

สำหรับผู้ที่สงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในแต่ละคน  แต่ละคลินิก ทำไมราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอะไร ? ข้อเท็จจริง คือขึ้นอยู่ 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 

  • ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ 
  • ปริมาณ CC ที่ใช้ฉีดแก้ปัญหาใต้ตา 
  • เทคนิคการฉีดและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฉีด

ตัวอย่างการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต่างกันรีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา   (รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 CC)                                (รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 3 CC)

ส่วนมากฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 CC ครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล เช่น ความลึก ริ้วรอย ความคล้ำของใต้ตา ถ้ามีปัญหามากก็อาจต้องใช้ฟิลเลอร์มากขึ้น ราคาก็สูงขึ้น หรือในเคสที่มีปัญหาน้อย ๆ ก็สามารถแบ่งฟิลเลอร์ 1 CC สำหรับฉีดใต้ตาทั้งสองข้างได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ใช้กี่ CC ฉีดแล้วเห็นผล 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาโปรโมชัน

สำหรับใครที่หาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และเห็นโฆษณาการเติมใต้ตาราคาโปรโมชัน ของแต่ละคลินิกที่มีราคาถูกแพง แตกต่างกัน หากต้องการเปรียบเทียบราคา ต้องดูด้วยว่าคลินิกนั้น ๆ  ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อใด  ซึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่คลินิกชั้นนำเลือกใช้ ได้แก่ 

  • ฟิลเลอร์ Juvederm ประเทศอเมริกา
  • ฟิลเลอร์ Restylane ประเทศสวีเดน 
  • ฟิลเลอร์ Belotero ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

ทั้ง 3 ยี่ห้อ ล้วนเป็นฟิลเลอร์แบรนด์ระดับโลก ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง และมีการนำเข้า -จัดเก็บตัวยาอย่างถูกต้องเหมาะสม แพทย์จึงสามารถเลือกใช้ยี่ห้อ/รุ่น ที่เหมาะสมกับสภาพผิว และปัญหาของคนไข้จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแตกต่างกับหัตถการอื่นไหม ? 

ในผู้ที่มีปัญหาใต้ตา เช่น ใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหล วิธีแก้ไขที่ได้รับความนิยม คือ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และการฉีดไขมันใต้ตา ทั้ง 2 วิธีสามารถแก้ไขได้ แต่ก็มีข้อดี – ข้อเสียที่แตกต่างกัน รวมถึงราคาก็แตกต่างกันด้วยครับ  

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา VS ไขมันใต้ตาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด หลังฉีดสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน เฉลี่ย 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ และการฉีดใต้ตาราคา เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000- 18,000.-/1 CC 

ข้อดี

  1. หลังฉีดเห็นผลทันทีและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใน 2 สัปดาห์
  2. ฟิลเลอร์แท้ (HA) สามารถสลายได้หมด 100% โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไม่มีสารตกค้าง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  3. หลังฉีดไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เพราะไม่ใช่การต้องผ่าตัด 
  4. สามารถใช้หน้าได้เลย ในบางเคสอาจมีอาการบวมเข็มหลังฉีด แต่จะหายได้เอง ใน 7-14 วัน
  5. การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่ปลอดภัย และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง 

ข้อเสีย 

  1. ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร
  2. ในเคสที่ผิวบาง อาจมีอาการช้ำให้เห็น ในจุดที่ลงเข็ม แต่อาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เองครับ
  • ฉีดไขมันใต้ตา  

การฉีดไขมันใต้ตา คือการฉีดไขมันตัวเอง เพื่อเติมเต็มร่องลึก ให้ผิวเต่งตึงได้ เป็นการแก้ไขปัญหาใต้ตาจากสาเหตุของร่องตาลึกโบ๋ จากการขาดไขมัน คงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล ราคาฉีดไขมันใต้ตา เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 บาทขึ้นไป ต่อครั้ง

 

ข้อดี

  1. ลดความเสี่ยงต่ออาการแพ้ เนื่องจากเป็นการใช้ไขมันของตัวคนไข้เอง 
  2. ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถือว่าพักฟื้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการผ่าตัดครับ

ข้อเสีย

  1. มีกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก ไม่สามารถทำได้ทันทีเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะต้องมีการตรวจเช็คไขมันและมีกระบวนการดูดไขมันออกมา และปั่นแยกเป็นของเหลว ก่อนนำมาใช้ฉีดไขมันใต้ตา
  2. มีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมัน
  3. หลังฉีดอาจเกิดผิวไม่เรียบ ไม่เสมอกัน เพราะไขมันที่ฉีดไปจะถูกร่างกายนำไปใช้
  4. ต้องทำซ้ำหลายครั้ง อาจไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในครั้งแรก นั่นหมายถึงต้องเจ็บตัวหลายครั้งครับ และฉีดไขมันตัวเอง ไม่มีประสิทธิภาพในการยกเหมือนกับฟิลเลอร์
  5. หลังฉีดแล้วจะมีอาการบวมเล็กน้อย จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง 

ดังนั้นหากให้แนะนำแก้ปัญหาใต้ตาวิธีไหนดี ปลอดภัย คุ้มค่า สามารถแก้ปัญหาได้ริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ ร่องลึกใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่หมอแนะนำมากที่สุดครับ เพราะความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันใต้ตา หากมองถึงเรื่องความคุ้มค่า ราคาไม่แพง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือว่าคุ้มค่ากว่าครับ 

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ลดริ้วรอย ปลอดภัย เห็นผลชัดเจน

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

สรุป

ใครที่กังวลว่าฉีดใต้ตาดำ ราคาไม่คุ้มค่า หรือกลัวเสี่ยงอันตราย ก่อนฉีดหมอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ดี เปรียบเทียบราคา ฟิลเลอร์ใต้ตาของแต่ละที่ และสอบถามหมอโดยตรง เพื่อความปลอดภัย

สำหรับการ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา คุ้มค่าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ได้ครับ ซึ่งปัญหาใต้ตาของคนไข้แต่ละคนจะแตกต่างกันไป ควรเลือกฉีดใต้ตาในคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์มีประสบการณ์ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และปลอดภัยครับ

Ulthera กระชับผิว เห็นผลแค่ไหน ช่วยอะไรได้บ้าง เจ็บไหม ต้องใช้กี่ไลน์ ?

0
Ulthera

Ulthera

Ulthera

Ulthera คือเครื่องยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Focused Ultrasound) ทำให้ผิวยกขึ้นโดยไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเสริมความงามปัจจุบัน

การทำ Ulthera แตกต่างจาก Thermage – Hifu อย่างไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ต้องใช้กี่ใช้กี่ช็อต/ไลน์ ? ราคาเท่าไร เหมาะกับใครบ้าง ? หมอสรุปให้ในบทความนี้ครับ

Ulthera คือ ?

Ulthera หรือ Ultherapy คือ เครื่องยกกระชับผิว ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยีพัฒนาคลื่นเสียงอัลตราซาวน์ ให้สามารถยิงพลังงานเข้าไปในชั้นผิวที่ต้องการ เพื่อให้เกิดความร้อน 60-70°C เนื้อเยื่อจะหดตัว ทำให้ผิวยกกระชับขึ้น แน่นขึ้น และเกิดการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้คุณภาพผิวดีและดูอ่อนเยาว์มากขึ้น 

Ulthera คือลักษณะพลังงานของ Ulthera จะเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรง สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ครอบคลุมสาเหตุของปัญหาที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย 

ระดับความลึกในการยิงของหัว Ulthera

  • หัว 1.5 mm : เหมาะสำหรับริ้วรอยผิวชั้นบน ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis)
  • หัว 3.0 mm : เหมาะสำหรับกระชับชั้นไขมัน (Subcutis) ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว บริเวณกรอบตาและหน้าผาก และสามารถยิงชั้น SMAS ในบางบริเวณของใบหน้าที่ผิวบาง
  • หัว 4.5 mm : เหมาะสำหรับชั้น SMAS ที่เป็นผิวหนังชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ช่วยยกกระชับผิวจากโครงสร้าง

Ulthera SPT Techniqueนอกจากนี้ยังมี Ulthera SPT Technique คือ การใช้เทคนิคแบบ Customize เพื่อแก้ปัญหาผิวของคนไข้แต่ละคนโดยเฉพาะ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

Ulthera ช่วยอะไรบ้าง ?

  • ช่วยยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย
  • เก็บกรอบหน้า ยกหน้าให้ดูกระชับขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน
  • ช่วยลดริ้วรอย ลดร่องแก้ม ร่องใต้ตา
  • ช่วยยกหางคิ้วและหางตา
  • ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น สุขภาพดี

H2 Ulthera มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ?

ข้อดีอัลเทอร่า 

  • สามารถยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องฉีดตัวยาใด ๆ
  • สามารถยกกระชับได้ทั้งใบหน้าและลำตัว
  • มีความปลอดภัยสูง และเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
  • สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยจะเห็นผลทันทีหลังทำประมาณ 30% 
  • หลังทำกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เลย ไม่ต้องพักฟื้น
  • ทำเพียงครั้งเดียวผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1 ปี

ข้อเสียอัลเทอร่า

  • ในขั้นตอนการยิงพลังงาน คนไข้อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือรู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิว (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ สามารถปรับพลังงานได้ตามความเหมาะสม)
  • หลังทำ Ulthera คนไข้บางรายอาจมีรอยแดงเกิดขึ้น จะค่อย ๆ หายไปเองใน 1 ชั่วโมง
  • อาจจะมีอาการบวมเล็กน้อยในช่วงสัปดาห์แรก 
  • ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนจึงเห็นผลลัพธ์เต็มที่

ทำ Ulthera มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?

  • ปรึกษาแพทย์ ประเมินปัญหา และวางแผนการปรับรูปหน้า
  • แพทย์จะแจ้งจำนวนไลน์ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเคส
  • เตรียมผิว ทำความสะอาดผิวหน้า
  • แปะยาชาทิ้งไว้ 30-45 นาที
  • ใช้เครื่อง Ulthera ยิงเพื่อยกกระชับผิวบริเวณที่มีปัญหา
  • ใช้ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 45-60 นาที (ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ)

ทำ Ulthera ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Ulthera ทำได้ทั้งใบหน้าและลำตัวครับ จุดหลัก ๆ ที่นิยมทำ ได้แก่ทำ Ulthera ตำแหน่งไหนได้บ้าง

  • ใบหน้า กรอบหน้า
  • รอบดวงตา หางคิ้ว หางตา 
  • ใต้คาง ลำคอ เหนียง 
  • ท้องแขน และ หน้าท้อง 
  • ผิวหน้าอก

ทำ Ulthera แต่ละตำแหน่ง ใช้กี่ช็อต / ไลน์ ? 

ทำ Ulthera แต่ละตำแหน่งจะใช้ช็อตหรือไลน์ ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน และบริเวณที่ทำ ถ้าทำเฉพาะจุดบนใบหน้า จะเริ่มที่ประมาณ 200-300 ไลน์ แต่ถ้าทำทั่วหน้า หรือจุดอื่น ๆ ที่พื้นที่กว้างกว่า ก็อาจต้องใช้ประมาณ 600 ไลน์ขึ้นไปครับ

Ulthera รีวิว

Ulthera รีวิวก่อน-หลังทำทันทีรีวิว Ulthera

Ulthera เหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่เริ่มมีอายุ ต้องการยกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า 
  • ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก หางตาตก แต่ยังไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าและไม่มีเวลาพักฟื้น 
  • ผู้ที่มีไขมันที่แก้มไม่เยอะมาก ต้องการปรับหน้าเรียว ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น เห็นแนวกราม 
  • ผู้ที่ต้องการลดเหนียง ลดความหย่อนคล้อยบริเวณคอและหน้าอก
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับ ดูเปล่งปลั่ง รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

Ulthera เจ็บไหม ทำแล้วหน้าบวมไหม ?

ระหว่างทำ Ulthera คนไข้จะรู้สึกเจ็บได้เป็นปกติครับ เนื่องจากเป็นการยิงพลังงานลงในชั้นผิว และจะรู้สึกอุ่น ๆ เล็กน้อยขณะทำเพราะใต้ผิวจะเกิดการสะสมความร้อน ส่วนหลังทำมีอาการบวมเล็กน้อย ไม่ได้บวมมากจนสังเกตได้ครับ จะค่อย ๆ ยุบบวมไปเอง ใน 2-3 วัน

การดูแลตัวเองก่อน – หลังทำ Ulthera

การดูแลตัวเองก่อนทำ Ulthera

การดูแลตัวเองก่อนทำ Ulthera ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากครับ สามารถนัดเข้ามาปรึกษาแพทย์ แจ้งข้อมูลโรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัด หรือประวัติการทำหัตการอื่น ๆ บนใบหน้า ถ้าไม่ติดอะไรก็ทำ Ulthera ได้เลย 

การดูแลตัวเองหลังทำ Ulthera

  •  หลีกเลี่ยงแสงแดด การตากแดดจัด หรือความร้อน หลังทำ 4-5 วัน
  •  ก่อนออกแดด ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
  •  ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

Ulthera กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม อยู่ได้กี่เดือน ?

  • Ulthera กี่วันเห็นผล ?

หลังทำ Ulthera เห็นผลทันทีประมาณ 30% และจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 3 เดือน

  • Ulthera อยู่ได้กี่เดือน ? อยู่ได้นานไหม ?

สามารถอยู่ได้นาน 1 ปี หากมีการใช้พลังงานสูงมากพอ (คนไข้ต้องทนเจ็บได้) และมีการดูแลหลังทำที่เหมาะสม ไม่มีพฤติกรรมทำร้ายผิว เช่น ตากแดดจัด ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย สูบบุหรี่ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ 

Ulthera กับ Thermage และ Hifu แตกต่างกันอย่างไร ?

ถ้าจะจับกลุ่มตามรูปแบบพลังงาน Ulthera และ Hifu ใช้คลื่นเสียง ULTRASOUND เหมือนกันครับ ส่วน Thermage จะใช้คลื่นวิทยุ MONOPOLAR RF

Ulthera กับ Thermage และ Hifu แตกต่างกันอย่างไร

 

  • Ulthera และ Hifu เหมาะกับคนที่มีชั้นไขมันน้อย แตกต่างกันที่ Ulthera จะมีหน้าจอแสดงชั้นผิวระหว่างยิงพลังงาน มีความแม่นยำกว่า อยู่ได้นาน 1 ปี ส่วน Hifu จะราคาถูกลงมาครับ ความเข้มข้นของการส่งผ่านคลื่นจะน้อยกว่า ระยะเวลาของผลลัพธ์จะอยู่ได้ 3-6 เดือน
  • Thermage เหมาะกับคนที่มีไขมันเยอะ และต้องการยกกระชับผิว จะมีขนาดจุดพลังงานเป็นก้อนใหญ่กว่า เน้นกระตุ้นคอลลาเจน ผิวหน้าแน่นขึ้น กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเรียบเนียน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี

Ulthera ราคาเท่าไร ?

Ulthera ราคาจะอยู่ในช่วงหลักหมื่นขึ้นไปครับ ขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์ที่ใช้ และบริเวณที่ทำ ถ้าพื้นที่กว้าง ๆ ต้องใช้ไลน์มาก ก็จะราคาสูงขึ้นครับ เริ่มที่ 200 ไลน์ ราคา 19,999.- โดยราคาในคลินิกที่ได้มาตรฐานก็จะไม่ได้ต่างกันมาก เพราะมีต้นทุนหัวยิงที่พอใช้หมดก็ต้องเปลี่ยนครับ ถ้าเจอโฆษณาขาย Ulthera ในราคาถูกมาก ๆ ผิดปกติ ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเครื่องแท้หรือไม่ เพราะมีเครื่องปลอม เครื่องเลียนแบบเยอะครับ

ทำ Ulthera ที่ไหนดี ?

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และมีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก
  • ตรวจสอบเครื่องอัลเทอร่าแท้ นำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetics 
  • แพทย์มีประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์ปัญหาผิว ประเมินจำนวนไลน์ที่ต้องใช้ และแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
  • มีรีวิว Ulthera จากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ คลินิกไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้
  • มีช่องทางการติดต่อที่สะดวก เช่น เบอร์โทร, Line@ หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยสามารถติดต่อแพทย์ที่ดูแลได้
  • มีการติดตามผลหลังทำ แนะนำวิธีการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม

สรุป

การทำ Ulthera เป็นวิธียกกระชับผิวหน้าที่เหมาะกับคนที่ไม่อยากฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก ไม่อยากเจ็บตัวหรือมีแผลหลังทำ ช่วยกระชับผิวอย่างเห็นผล และยังช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวมีคุณภาพดีขึ้น พร้อมลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย

ทั้งนี้ต้องทำ Ulthera ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องแท้และแพทย์มีประสบการณ์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย