เสริมหน้าอก เพิ่มเสน่ห์ผู้หญิง

0
เสริมหน้าอกเพิ่มเสน่ห์ผู้หญิง
เต้านมมีส่วนประกอบ คือ ไขมัน เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและต่อมน้ำนม เต้านมมีองค์ประกอบที่มีขนาดเล็ก ๆ
เสริมหน้าอกเพิ่มเสน่ห์ผู้หญิง
การศัลยกรรมเสริมนมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จำเป็นต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในเต้านมเพื่อให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น

เสริมหน้าอก

เสริมหน้าอก เพิ่มเสน่ห์ผู้หญิงความสวยของผู้หญิงประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ ทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ สัดส่วนของร่างกายและหน้าอก ซึ่งนอกจากจะเป็นอวัยวะที่แสดงความเป็นผู้หญิงแล้วเต้านมยังเป็นอวัยวะที่มีอยู่ในผู้ชายด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าในผู้ชายหน้าอกจะไม่มีความสำคัญเท่ากับในผู้หญิง

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

เต้านมมีส่วนประกอบ คือ ไขมัน เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและต่อมน้ำนม เต้านม มีองค์ประกอบที่มีขนาดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Lobes ที่มีอยู่ประมาณ 15-20 หน่วยในแต่ละข้าง ซึ่ง Lobes จะมีลักษณะที่เหมือนพูขนาดเล็กวางเรียงตัวและประกอบกันเป็นวง โดยมีการกระจายจากจุดกึ่งกลางของเต้านมบานออกสู่บริเวณรอบถึงส่วนฐานของเต้านม ซึ่งภายในพูจะประกอบด้วยหน่วยย่อยขนาดเล็กรวมตัวกันอยู่ภายในอีก ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างน้ำนม และหน่วยเล็ก ๆ ทุกหน่วยจะมีท่อเชื่อมต่อถึงกันได้ โดยมีปลายท่อจะรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหัวนม ที่บริเวณท่อน้ำนมจะมีไขมันแทรกตัว
แต่ว่าในปัจจุบันโครงสร้างและขนาดของเต้านมในผู้หญิงบางคนมีขนาดที่เล็กไม่สมส่วนหรือไม่สวยงามตามสมัยนิยม จึงทำให้มีการพัฒนาการ ทำนม ขึ้น ซึ่งการ ทำนม ทีทั้งการสร้างเต้านมเทียมเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดตามที่ต้องการ หรือการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของเต้านมในผู้ที่มีเต้านมใหญ่เกิดความต้องการ รวมถึงการทำให้เต้านมเต่งตึง มีรูปร่างที่สวยงามก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรมตกแต่งเต้านม ไม่ได้เกิดขึ้นในหมู่ของผู้หญิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในกลุ่มของผู้ชายที่ต้องการแปลงเพศเป็นหญิงก็นิยมเข้ามาทำการศัลยกรรมเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีลักษณะเหมือนผู้หญิงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย หรือแม้แต่ในผู้หญิงที่ต้องการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางโครงสร้างให้เหมือนเพศชายก็ต้องทำการตัดเต้านมที่มีอยู่ออกไป เพื่อที่โครงสร้างของร่างกายจะมีหน้าอกที่แบนราบเหมือนเพศชายนั่นเอง

   [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การเสริมหน้าอกต้องทำการเสริมในจุดที่ถูกต้องจึงจะสามารถทำการเสริมหน้าอกได้อย่างสวยงาม ซึ่งจุดที่นิยมทำการสร้างแผลเพื่อเสริมหน้าอกด้วยการใส่ถุงซิลิโคน มีอยู่ด้วยกัน 3 จุด คือ

1.จุดที่บริเวณฐานนม ( InfraMammary Fold; IMF )

การ เสริมหน้าอก ด้วยการสร้างแผลที่ส่วนของฐานมเป็นตำแหน่งที่ปัจจุบันมีการนิยมใช้กันมาก เนื่องจากที่บริเวณนี้สามารถปรับขนาดและตำแหน่งในส่วนฐานนมได้เป็นอย่างดี และเมื่อทำกรเลาะเนื้อเยื่อออกมาแล้วสามารถมองเห็นภายในเต้านมได้อย่างชัดเจน วิธีการเปิดแผลจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อทำการแก้ไขด้วยการเปลี่ยนซิลิโคนที่ใส่เข้าไปใหม่ได้ แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดสามารถซ่อนที่บริเวณใต้ฐานของเต้านมทำให้สังเกตเห็นได้ยาก แต่การสร้างแผลที่บริเวณดังกล่าวถ้าแพทย์วางตำแหน่งไม่เหมาะสม อาจจะส่งผลให้รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นสังเกตเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.จุดที่บริเวณรักแร้ ( TransAxillar;TA )

การ เสริมหน้าอก ด้วยการสร้างแผลที่ส่วนของรักแร้ ( TransAxillar;TA ) การสร้างแผลที่บริเวณรักแร้เพื่อทำการเสริมหน้าอกสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน และรอยแผลที่เกิดขึ้นก็จะสังเกตเห็นได้ยากอีกด้วย การผ่าตัดที่บริเวณรักแร้แม้จะสามารถซ่อนรอยแผลได้แต่เมื่อทำการเปิดแผลแล้วจะสังเกตโครงสร้างของเต้านมได้ยาก ทำให้ไม่การแก้ไขหรือลดขนาดของเต้านมหรือการผ่าตัดเพื่อทำการเลาะพังผืดเพื่อทำการแก้ไขเต้านมจะสามารถทำได้ยาก ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเท่านั้น ส่งผลให้การปรับขนาดของระดับที่บริเวณฐานเต้านม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ส่วนของระบบทางเดินน้ำเหลืองที่บริเวณรักแร้ ที่อาจมีการรั่วซึมหรือเกิดการอักเสบได้

3.จุดที่บริเวณรอบลานนม ( Periareolar )

การ เสริมหน้าอก ด้วยการสร้างแผลที่ส่วนรอบลานนม ( Periareolar ) การผ่าตัดที่บริเวณรอลานนมสามารถที่จะเสริมขนาดของเต้านมให้มีขนาดตามที่ต้องการและสามารถทำการกระชับผิวหนังที่บริเวณเต้านมให้มีความกระชับเต่งตึงรวมถึงสามารถลดขนาดของลานนมให้มีขนาดตามที่ต้องการได้พร้อมกันด้วย แต่การผ่าตัดที่บริเวณนี้จะมีรอยแผลเกิดขึ้นที่บริเวณรอบลานของหัวนม ทำให้ประสาทรับรู้ที่บริเวณหัวนมเกิดความผิดปกติและอาจจะเกิดความผิดปกติในการให้นมบุตรอีกด้วย จึงทำให้วิธีนี้ไม่นิยมใช้ในการผ่าตัดเพื่อศัลยกรรมนม

การศัลยกรรมเสริมนมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จำเป็นต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในเต้านมเพื่อให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งวัสดุที่นิยมใช้ในการเสริมหน้าอกคือ ถุงซิลิโคน ซึ่งถุงซิลิโคนมีวิธีการใช้ที่ทำการแบ่งตามลักษณะทางภายวิภาคของบริเวณหน้าอก ดังนี้

1.การใส่ซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ที่บริเวณเหนือกล้ามเนื้อ

คือ การใส่ถุงซิลิโคนที่บริเวณใต้เนื้อของเต้านมโดยตรง โดยทำการใส่ที่บริเวณใต้ชั้นเนื้อยื่อที่อยู่ในส่วนข้างใต้ของเนื้อเต้านม การใส่ถุงที่บริเวณนี้ร่างกายจะมีความรู้สึกเจ็บน้อยมากและต้องใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย เพราะกล้ามเนื้อได้รับการกระทบกระเทือนน้อยแต่เต้านมที่สร้างขึ้นจะแลดูไม่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากสามารถสังเกตเห็นสันหรือขอบของเต้านมเทียม แต่เห็นบริเวณขอบของเต้านมที่อยู่ด้านบนได้ไม่ชัด โดยเฉพาะในผู้ที่เต้านมมีเนื้อนมในปริมาณที่น้อยและผิวมีคุณภาพที่ไม่ดีนัก และในระยะยาวเต้านมอาจมีริ้วรอยเกิดขึ้นได้หรืออาจเกิดเต้านมแฝดได้ในภายหลัง  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.การใส่ซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ที่บริเวณใต้กล้ามเนื้อ

คือ การใส่ถุงซิลิโคนไปยังบริเวณใต้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่อยู่ทางด้านหน้าของหน้าอก การใส่ถุงซิลิโคนที่บริเวณนี้จะแลดูเป็นธรรมชาติมาก จะไม่สามารถสังเกตเห็นขอบล่างและขอบบนได้ ลักษณะของเนินนมที่เกิดขึ้นจะดูสวยงามและลดความเสี่ยงในการเกิดนมแฝดได้เป็นอย่างดี แต่ว่าการผ่าตัดเพื่อ เสริมหน้าอก ที่บริเวณนี้จะต้องทำการเลาะและตัดกล้ามเนื้อที่บริเวณเต้านมออกบางส่วน ทำให้ร่างกายจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นนานและขนาดของซิลิโคนที่นำมาเสริมจะมีขนาดที่จำกัด เพราะกล้ามเนื้อสามารถยืดได้อย่างมีขีดจำกัด เต้านมที่เสริมจึงมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก และเมื่อมีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อก็จะสามารถสังเกตเห็นถุงซิลิโคนได้อย่างชัดเจน

3.การใส่ซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ที่บริเวณระหว่างเหนือเนื้อถึงใต้กล้ามเนื้อ

คือ การใส่ถุงเต้านมที่บริเวณครึ่งหนึ่งของถุงซิลิโคนอยู่ที่บริเวณใต้กล้ามเนื้อและอีกครึ่งหนึ่งอยู่ใต้ส่วนของเนื้อเต้านมนั่นเอง การผ่าตัดเพื่อใส่ถุงซิลิโคนที่บริเวณนี้ปัจจุบันนิยมใช้กันมาก เพราะลักษณะของเต้านมที่สร้างขึ้นดูเป็นธรรมชาติและสวยงาม ไม่สามารถสังเกตเห็นขอบของถุงเต้านมได้ และถุงซิลิโคนจะอยู่กับที่ไม่เคลื่อนที่ไปยังจุดอื่นได้ แต่การผ่าตัดวิธีนี้ต้องทำการตัดเอากล้ามเนื้อหรือทำการเลาะเนื้อในส่วนของเต้านมบางส่วนออกมากกว่าวิธีอื่น ร่างกายจึงต้องมีการฟักฟื้นนานและมีอาการปวดมากตามไปด้วย

การใส่ถึงเต้านมเทียมสามารถใส่ได้ทุกตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับรูปร่าง ลักษณะของเต้านมที่ต้องการเสริม และขนาดของเต้านมที่ต้องการหลังจากการ เสริมหน้าอก ด้วยซิลิโคนแล้วด้วย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยตำแหน่งให้กับผู้เข้ารับการผ่าตัด

ถุงซิลิโคนที่เราใช้อยู่ด้วยกันมีอยู่หลายแบบ แต่การแบ่งสามารถแบ่งได้ตามส่วนประกอบของแต่การแบ่งสามารถแบ่งได้ตามส่วนประกอบของถุงเต้านม คือ

1.เปลือกหุ้มที่อยู่ภายนอกของซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ส่วนของเปลือกถุงซิลิโคนจะทำจากสารซิลิโคน ซึ่งผิวของเปลือกหุ้มจะมีทั้งแบบผิวเรียบ ( smooth surface ) และแบบผิวหยาบคล้ายผิวทราย ( textured surface ) คือ เต้านมเทียมที่มีเปลือกให้สัมผัสที่รู้สึกขรุขระ ซึ่งความหยาบของเปลือกเต้านมเทียมมีตั้งแต่น้อยจนถึงผิวที่หยาบมาก ซึ่งผิวหยาบสามารถช่วยลดพังผืดที่เกิดขึ้นหลังจากใส่ถุงซิลิโคนได้บางส่วน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.วัสดุที่อยู่ภายในของซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) สารที่บรรจุอยู่ภายในถุงซิลิโคนมีอยู่ด้วยการหลายชนิด ได้แก่ น้ำเกลือ ซิลิโคน เจล และน้ำมันพืช ซึ่งน้ำเกลือเป็นวัสดุที่นิยมใช้ใส่ภายในถุงซิลิโคนเป็นอย่างมาก เพราะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่มีข้อเสียคือเมื่อใช้ไปนาน ๆ แล้วน้ำเกลือจะเกิดการรั่วซึมออกมาทำให้ต้องทำการผ่าตัดใส่ถุงอันใหม่เข้าไปแทน ต่อมาได้มีการพัฒนาใช้ซิลิโคนเจล ที่มีความหนึบ มีความทนทานและความปลอดภัยสูง และถุงซิลิโคนที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ
ถุงเต้านมที่นำมาใช้ในการเสริมขนาดหน้าอกมีอยู่ด้วยกันหลายรูปทรง เช่น ทรงกลมพุ่งสูง ทรงกลมพุ่งกลาง ทรงกลมพุ่งต่ำและทรงหยดน้ำ การเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างด้านสรีระ ซึ่งแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะเป็นผู้แนะนำ ในอดีตได้มีการวิจัยและสรุปออกมาว่าถุงเต้านมมีอายุโดยประมาณของซิลิโคนนจะอยู่ที่ประมาณ 10 ปี แต่ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีและคุณภาพของซิลิโคนที่นำมาใช้ในการผลิตถุงเต้านมที่มีสูงมาก ทำให้ถุงเต้านมมีอายุที่ยาวนานมากกว่า 10 ปี ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ว่าถุงเต้านมที่ใช้อยู่หมดอายุหรือสามารถสังเกตได้จากปฏิกิริยาของร่างกาย ถ้าไม่มีอาการปวดหรืออักเสบแสดงว่าถุงเต้านมยังใช้ได้ หรือสามารถเข้าไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบคุณภาพของถุงเต้านมที่ใช้อยู่ได้เช่นเดียวกัน

ขนาดของถุงเต้านมที่ใส่เพื่อเสริมขนาดของเต้านมให้ใหญ่ขึ้น ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใส่ได้ทุกขนาดตามความต้องการ แต่ต้องขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมและลักษณะทางกายวิภาคหน้าอกของตนเองด้วย วิธีการประเมินไซส์ซิลิโคนจะสามารถประเมินได้จากความหนาของเนื้อเต้านม ความกว้างของหน้าอก ที่ทำการวัดจากกระดูกไหปลาร้า กระดูกทรวงอก บริเวณหัวนม บริเวณลานนมและบริเวณฐานเต้านม ซึ่งขั้นตอนและวิธีการแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรมจะเป็นผู้คำนวณตามความถนัดของตนเอง ค่าที่คำนวณออกมาได้จะเป็นค่าน้อยสุดถึงค่าที่มากสุดที่ของขนาดเต้านมที่สามารถเลือกขนาดได้นั่นเอง ซึ่งก่อนที่จะทำการเสริมหน้าอกแพทย์ยังจะต้องทำการตรวจร่างกายก่อนทำการผ่าตัดทุกอย่างรวมถึงการตรวจเต้านมเพื่อตรวจหาความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับเต้านมด้วยทุกครั้ง ซึ่งการตรวจจะเน้นไปที่การตรวจหาโรคและความผิดปกติที่บริเวณกระดูกทรวงอก กล้ามเนื้อ ผิวหนังและต่อมน้ำเหลือง ผู้ที่ต้องเข้ารับการตรวจสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.กลุ่มคนมีประวัติ คือ กลุ่มคนที่บุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับเต้านม เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือเคยได้รับยาฮอร์โมนหรือยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่นาน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคที่บริเวณเต้านมได้

2.กลุ่มที่มีความผิดปกติ คือ กลุ่มที่เคยตรวจพบความผิดปกติที่บริเวณเต้านม เช่น ก้อนเนื้อที่บริเวณเต้านม ผู้ที่มีอาการเจ็บเต้านมบ่อยหรือมากผิดปกติ มีน้ำไหลออกมาจากหัวนมหรือมีแผลเกิดขึ้นที่ผิวหนังของเต้านมโดยไม่ทราบสาเหตุ สำหรับการตรวจเต้านมแล้วพบว่าคนไข้มีก้อนเนื้อต้องทำการตรวจอย่างถี่ถ้วนว่าก้อนเนื้อดังกล่าวเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ถ้าเป็นก้อนเนื้อที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำการเสริมหน้าอกได้

3.กลุ่มที่มีอายุเกิน 35 ปี คนในกลุ่มนี้หากต้องการเสริมหน้าอกจะต้องทำการตรวจคัดกรองโรคที่มีความเสี่ยงที่บริเวณเต้านมอย่างละเอียด
หลายคนที่เข้ารับการผ่าตัดเสริมหน้าอกต้องการเต้านมที่ใหญ่เกิดความจำเป็น แต่แพทย์ไม่ทำการเสริมให้ตามขนาดที่ต้องการ เนื่องจากการเสริมหน้าอกที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็นจะต้องทำการเลาะเนื้อหรือกล้ามเนื้อให้เกิดช่องว่างที่มีขนาดใหญ่ตามขนาดของซิลิโคน จึงมีความเสี่ยงที่เส้นประสาทและเส้นเลือดจะถูกตัดออก ส่งผลให้เกิดอาการชา เลือดออกมากและมีอาการเจ็บปวดมาก และในระยะยาวจะมีอาการ ผิวหนังแตกลาย หนังเกิดการยืดคราก เต้านมมีการย้อยต่ำมากกว่าปกติ เต้านมมีลักษณะเป็นลอนคลื่นอย่างเห็นได้ชัด บริเวณหัวนมและเต้านมมีความรู้สึกชาหรือไร้ความรู้สึก การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทำได้ด้วยการผ่าตัดใหญ่เท่านั้น และบางปัญหาไม่สามารถแก้ไขให้เต้านมกลับมาสวยงามเช่นเดิมได้

การเสริมหน้าอกต้องทำการเสริมในจุดที่ถูกต้องจึงจะสามารถทำการเสริมหน้าอกได้อย่างสวยงาม ซึ่งจุดที่นิยมทำการสร้างแผลเพื่อเสริมหน้าอกด้วยการใส่ซิลิโคน

ผู้ที่สามารถทำการเสริมหน้าอกได้ควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป สำหรับหญิงที่ให้นมบุตรควรหยุดให้นมบุตรหรือหยุดปั้มนมอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อที่เต้านมจะกลับเข้าสู่สภาพปกติก่อนที่จะมีน้ำนมหรือผู้ที่อยู่ในสภาวะการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนักหรือเพิ่มน้ำหนักต้องรอให้น้ำหนักคงที่อย่าองน้อย 6 เดือนเช่นเดียวกัน เพื่อที่ขนาดของซิลิโคนที่เสริมเข้าไปจะได้พอดีกับขนาดของลำตัวนั่นเอง ผู้ที่ทำการเสริมหน้าอกแล้วเมื่อตั้งท้องก็สามารถให้น้ำนมบุตรได้ตามปกติแต่ปริมาณน้ำนมที่มีอยู่อาจจะน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เสริมหน้าอกอยู่บ้าง    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

ก่อนที่ทำการผ่าตัดผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัด ดังนี้

1.งดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3 สัปดาห์- 1 เดือนก่อนเข้ารับการผ่าตัด

2.งดรับประทานยา อาหารเสริม วิตามินทุกชนิด

3.งดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดก่อนการเข้ารับการผ่าตัด 6-8 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด

4.แจ้งแพทย์ทุกครั้งถ้ามีอาการแพ้ยาหรือสารเคมีตัวใด เพื่อที่แพทย์จะได้หลีกเลี่ยงการใช้ที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว

5.เลือกสถานที่ให้บริการที่ได้รับมาตรฐานชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของชีวิต และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน

นอกจากการ เสริมหน้าอก ด้วยการใส่เต้านมเทียมแล้ว ยังมีการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดไขมันเข้าสู่เต้านม
ซึ่งการฉีดไขมันเพื่อเสริมขนาดของเต้านมจะทำการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายมาทำการฉีดเข้าสู่เต้านมเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านม แต่เมื่อทำการฉีดไขมันเข้าไปแล้ว ไขมันจะมีการยุบตัวลงและสลายตัวสูงสุดถึงร้อยละ 70 การฉีดไขมันจึงคงอยู่ไม่นานและขนาดที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ก็ไม่ใหญ่มากเหมือนกับการเสริมด้วยซิลิโคน การฉีดไขมันเข้าสู่เต้ามีการใช้กันมาอย่างยาวนานเพื่อรักษาความผิดปกติของเต้านม เช่น เต้านมที่มีเนื้อบางมาก เต้านมที่มีผิวเป็นลอนคลื่น เต้านมที่มีพังผืด เป็นต้น ซึ่งการฉีดไขมันจะสามารถแก้ไขปัญหาได้บางส่วนเท่านั้น ข้อดีของการฉีดไขมันคือมีความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านน้อยเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอยู่แล้วเพียงแต่ย้ายที่อยู่เท่านั้นเอง ปัจจุบันได้มีการนำฟิลเลอร์มาฉีดเพื่อเพื่อขนาดของเต้านม ซึ่งการนำฟิลเลอร์มาฉีดเข้าสู่เต้านมจัดเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก เพราฟิลเลอร์ไม่สามารถสลายได้เอง จึงเกิดสารตกค้างทำให้เต้านมเกิดอาการอักเสบซึ่งบางครั้งไม่สามารถทำการรักษาได้จนต้องทำการตัดเต้านมทิ้งก็มี
เมื่อเข้ารับการผ่าตัดแล้วผู้ปวยจะต้องพักฟื้นประมาณ 7-14 วันจึงจะสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และอาการปวดจะเกิดขึ้นเพียงแค่ะ 2-5 วันแรกหลังจากการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งแพทย์จะให้ยาแก้ปวดและลดอาการอักเสบ  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

ในการผ่าตัดถ้ามีการเตรียมความพร้อมของร่างกายไม่ดี หรือเกิดความผิดพลาดในขณะที่ทำการผ่าตัดก็อาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้ ดังนี้

1.อาการชา

อาการชาอาจเกิดขึ้นเนื่องจากมีการตัดเส้นประสาทที่บริเวณเต้านมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองหลังจากเข้ารับการผ่าตัด 3-6 เดือน

2.อาการเสียว

อาการเสียวเกิดขึ้นจากการที่เส้นประสาทที่บริเวณเต้านมเกิดการยึดหรือตึง หรือบริเวณปลอกเส้นประสาทมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งอาการเสียจะหายไปได้เองหลังจากเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 2-3 สัปดาห์

3.อาการนมแฝด

คือ ภาวะที่นมมีการชิดกันมากเกินไป ซึ่งมีลักษณะเหมือนเต้านมแฝด เกิดจากการที่ฐานของเต้านมทั้ง 2 ข้างเชื่อมติดกัน ทำให้นมไม่มีกล้ามเนื้อตรงกลางทำการแบ่งเต้าทั้งสองออกจากัน สาเหตุของการเกิดเต้านมแฝด คือ

1.ซิลิโคนที่ใส่เข้าไปในเต้านมมีขนาดที่ใหญ่มากเกินไป

2.ทำการใส่ซิลิโคนที่บริเวณเหนือกล้ามเนื้อ

3.มีการเลาะโพรงที่บริเวณใกล้กับตรงกลางของส่วนของกระดูกจนชิดกันมากเกินไป

4.เนื้อเยื่อมีการสูญเสียความยืดหยุ่น

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

5.หลังจากการผ่าตัดที่บริเวณโพรงของถุงซิลิโคนมีอาการครากและยืดตัวออก ที่มักเกิดจากได้รับการนวดที่รุนแรง

6.เกิดแต่กำเนิดเนื่องจากตัวผู้ป่วยหรือผู้ป่วยมมีขนาดของเต้านมและน้ำหนักของเต้านมที่มากผิดปกติ

ซึ่งการแก้ไขอาการนมแฝดนี้ทำได้ยาก ส่วนมากแพทย์จะแนะนำวิธีป้องกันก่อนที่จะทำการ เสริมหน้าอก เพื่อลดความเสี่ยงและในการเสริมหน้าอกไม่ควรเสริมด้วยการใส่ซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่มากเกินและไม่ทำการนวดที่รุนแรงในบริเวณเต้านม แต่เมื่อมีการเกิดนมแฝดขึ้นแล้ว จะต้องผ่าตัดเพื่อเอาเต้านมเก่าออกและทำการเสริมหน้าอกใหม่เข้าไปแทนที่ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ยากมาก ส่วนมากจะต้องทำการดูดนมเก่าออกและพักร่างกายแล้วจึงจะสามารถทำการเสริมหน้าอกใหม่ได้ในภายหลัง

4.อาการนมห่าง

คือ สภาวะที่เต้านมมีความห่างมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งสาเหตุของเต้านมห่างเกิดขึ้นจาก

1.โครงสร้างของกระดูกที่บริเวณหน้าอกที่นูนและมีการออกห่าง หรือที่เรียกว่า “อกอกถังเบียร์”

2.มีเนื้อที่บริเวณเต้านมน้อย จึงทำให้เต้านมห่างออกจากัน

3.มีการเกิดพังผืดที่บริเวณเต้านมเทียม พังผืดจึงทำการรั้งซิลิโคนให้ออกห่างจากกัน

4.ขนาดของถุงซิลิโคนมที่ใช้ในการ เสริมหน้าอก มีขนาดเล็กเกินไป

5.บริเวณที่ทำการใส่ซิลิโคนอยู่ห่างกันมากเกินไป

ซึ่งอาการนมห่างสามารถแก้ไขอด้วยการเลาะเอาซิลิโคนให้มาอยู่ใกล้กันมากขึ้น หรือทำการใส่ซิลิโคนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือทำการฉีดไขมันเข้าไปเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณของเนื้อที่อยู่ด้านในและเพิ่มขนาดของ เนินนม ให้มากขึ้น นมจะได้ชิดกันมากขึ้น แต่ถ้ามีความผิดปกติมากจากโครงสร้างของกระดูกจะไม่สามารถแก้ไขได้
การเสริมหน้าอกสามารถทำการเสริมได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ขั้นตอนและวิธีการผ่าตัดเพื่อเสริมหน้าอกจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของร่างกายนั่นเอง  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การปฏิบัติตนให้เต้านมหายและได้รูปทรงที่สวยงามหลังผ่าตัด

ผู้ที่ทำการ เสริมหน้าอก มาแล้ว สิ่งที่มีความจำเป็นก็ คือ เสื้อชั้นใน ที่ต้องใส่ติด เต้านม อยู่เสมอ การใส่เสื้อชั้นในก็เพื่อลดอาการอักเสบ เพิ่มความกระชับให้กับเต้านม และลดอาการบวมได้เป็นอย่างดี จึงควรเลือกใส่เสื้อชั้นในที่มีความยืดหยุ่นและกระชับพอดีกับเต้านม อย่าใส่เสื้อช้นในที่คับหรือหลวมจนเกินไป และผู้ที่ทำการเสริมหน้าอกมาแล้วสามารถออกกำลังกายได้หลังจากทำการผ่าตัดมาแล้วประมาณ 1 -1.5 เดือน และควรเลือกออกกำลังกายเบา ๆ ก่อน เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับขนาดของเต้านมที่มีขนาดเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบขณะออกกำลังกาย หรือบางท่านต้องการทำการนวดเพื่อให้กล้ามเนื้อเต้านมมีควมยืดหยุ่นรับกับวัสดุที่เสริมเข้าไปในเต้านม ซึ่งการนวดสามารถทำได้แต่ควรเป็นการนวดเพียงเบา ๆ เท่านั้น และควรนวดเพียงรอบเดียวต่อวันอย่านวดซ้ำวนไปมา เพราะเต้านมอาจเกิดการอักเสบจากการนวดได้ เต้านมที่ทำการผ่าตัดมาจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติประมาณ 2-3 เดือนหลังจากเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดก็จะต้องปฏิบัติตนดังนี้ เพื่อให้เต้านมหายและได้รูปทรงที่สวยงาม

1.นอนหงายหรือนอนตะแคง

หลังจากผ่าตัดแล้วควรนอนด้วยท่านอนหงายหรือนอนตะแคงเท่านั้น ห้ามนอนคว่ำ โดยเฉพาะในช่วง 1-3 สัปดาห์หลังจากเข้ารับการผ่าตัดแล้ว และควรใส่เสื้อชั้นนอนเพื่อช่วยพยุง เต้านม ให้อยู่กับทีไม่เคลื่อนที่ไปมาขณะที่นอนหลับ

2.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัด เสริมหน้าอก เพื่อที่แผลจะได้สมานตัวเร็วขึ้น และลดการเกิดพังผืดที่ทำให้เกิดการบวมของเนื้อที่บริเวณเต้านม หรือการคั่งของเลือดและน้ำภายในเต้านม

3.รับประทานอาหารที่สด สะอาด เช่น ไข่ไก่ อาหารทะเล หมู ปลาผักและผลไม้สามารถรับประทนได้ทุกชนิด

4.งดอาหารหมักดอง เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับสารพิษที่อยู่ในอาหารหมักดอง

สำหรับผู้ที่ทำการ เสริมหน้าอก แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากมีการทำสถิติพบว่าผู้ที่ไม่ได้ทำการเสริมหน้าอกพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมใกล้เคียงกับผู้ที่ทำการเสริมหน้าอก จึงสรุปได้ว่าการเสริมหรือไม่เสริมหน้าอกไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็ง ผู้ที่ทำการเสริมหน้าอกสามารถทำการตรวจแบบเมมโมแกรมและอัตราซาวด์ได้ปกติ แต่ต้องมีการตรวจแบบอื่นร่วมด้วย ผลที่ได้จากการตรวจจึงจะมีความแม่นยำ และผู้ทำการเสริมหน้าอกไม่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเป็นประจำ แต่ถ้าเต้านมมีความผิดปกติ เช่น รูปร่างเปลี่ยนไป รู้สึกมีน้ำรั่วซึม หรือเกิดรอยแผลต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

นอกจากการเพิ่มขนาดของเต้านมแล้ว ยังมีการ ศัลยกรรมเต้านม อีกอย่างหนึ่ง คือ การลดขนาดของเต้านม ซึ่งการลดขนาดของเต้านมจะทำในคนที่มีขนาดเต้านมใหญ่ จนทำให้เกิดอาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง หรือมีเชื้อราเกิดขึ้นที่บริเวณใต้ราวนม หรือในผู้ที่มีความผิดปกติของเต้านม เช่น ในผู้ชายที่มีเต้านมโตเนื่องจากความผิดปกติจากฮอร์โมนทำให้นมโตหรือการเกิดเนื้องอกที่บริเวรเต้านม หรือในผู้ที่ต้องการแปลงเพศ่จากผู้หญิงเป็นผู้ชาย ซึ่งแพทย์จะต้องทำการประเมินทั้งด้านจิตใจและร่างกายก่อนทำการผ่าตัดร่วมด้วย

ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดของเต้านมมีข้อควรระวังดังนี้

1.เส้นประสาทที่บริเวณหน้าอกหายไปทำให้หน้าอกไม่มีความรู้สึก

2.แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดมีขนาดที่ใหญ่มาก จึงมีความเสี่ยงในการเกิดรอยแยกของแผล การติดเชื้อ และเนื้อตายได้

3.ในระยะยาวเต้านมอาจมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นได้ จึงต้องทำการผ่าตัดซ้ำอีก

สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติที่เต้านม เช่น เกิดก้อนเนื้อหรือก้อนเนื้อร้อยที่บริเวณเต้านม เมื่อทำการตัดเต้านมทิ้งไปแล้วสามารถทำการเสริมขนาดของเต้านมให้กลับมามีชนาดที่เท่าเดิมได้ ด้วยการใช้เทคนิคการเอาเนื้อส่วนอื่อนของร่างกายมาทำการตัดปะที่บริเวณเต้านมหรือการนำเต้านมเทียมมาใช้แทนก็ได้เช่นเดียวกัน

นอกจากการผ่าตัดเพื่อลดขนาดเต้านมแล้วยังสามารถยังสามารถทำการผ่าตัดเพื่อปรับปรุงลักษณะของเต้านมได้อีก ดังนี้

1.ผ่าตัดลดขนาดลานนม

การผ่าตัดเพื่ลดขนาด ลานนม ทำได้ด้วยการฉีดยาชาและทำการเย็บรอบบานนมให้มีขนาดที่เล็กลง ซึ่งการผ่าตัดลดลานนมสามารถทำการกระชับเต้านมให้มีความเต่งตึงมากขึ้นด้วย

2.การผ่าตัดลดขนาดของหัวนม

ด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อบางส่วนของหัวนมออกไปและทำการเย็บแผล การผ่าตัดลดขนาดหัวนมจะทำให้หัวนมชาหรือมีความรู้สึกน้อยลง และผู้ที่ให้นมบุตรน้ำนมอาจจะไหลน้อยลงเนื่องจากช่องทางออกของน้ำนมน้อยลงนั่นเอง  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3.การผ่าตัดแก้หัวนมบอด

หัวนมบอดสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดไขมันในกรณีที่หัวนมบอดเล็กน้อย แต่ถ้าหัวนมบอดลึกมากต้องทำการผ่าตัดเพื่อดึงหัวนมออกมา

เมื่อทำการผ่าตัด เสริมหน้าอก มาแล้ว และผ่านไปสักระยหนึ่งร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงตามอายุ ผิวหนังเริ่มมีความหย่อนคล้าย ทำให้เต้านมเกิดความหย่อนยานจึงจำเป็นต้องทำการยกกระชับเต้านมเพื่อให้เต้านมมีรูปทรงที่สวยงาม ซึ่งการยกกระชับเต้านมมีอยู่ด้วยกันดังนี้

1.การร้อยไหม คือการนำไหมหลาย ๆ เส้นเข้าไปไว้ภายในเต้านมและนำไปแขวนไว้กับกระดูกส่วนของไหปลาร้า สามารถใช่ในกรณีที่เต้านมมีความหย่อนยานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

2.การผ่าตัดเพื่อยกกระชับ วิธีนี้การตัดเอาเนื้อของนมและผิวหนังส่วนที่หย่อนยานออกไป และทำการเลื่อนตำแหน่งอขงหัวนมและลานนมให้สูงข้น ซึ่งสามารถลดขนาดลานนมและยกกระชับเต้านมได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมกันมาก

การผ่าตัดยกกระชับเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ความชำนาญมากกว่าการผ่าตัด เสริมหน้าอก มาก ดังนั้นควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการยกกระชับในการให้บริการ เพื่อผลการผ่าตัดที่ออกมาสมบูรณ์ไม่มีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น และก่อนทำการผ่าตัดต้องทำความเข้าใจกับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดเสียก่อนว่าจะต้องผ่าตัดแผลลักษณะใดในการยกกระชับ ซึ่งแผลที่ใช้ในการผ่าตัดยกกระชับมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ

1.การผ่าตัดแผลที่บริเวณรอบลานนม

2.การผ่าตัดแผลที่บริเวณรอบลานนมและแผลที่เป็นแนวตั้งจากบริเวณขอบล่างของลานนม ขึ้นมาจรดบริเวณฐานนม

3.การผ่าตัดแผลที่มีลักษณะคลายกับตัวทีคว่ำหรือคล้ายกับสมอเรือ

[adinserter name=”navtra”]

การผ่าตัดจะใช้แผลลักษณะใดก็ขึ้นอยู่กับลักษณะความหย่อยยานของเต้านมด้วย ซึ่งการยกกระชับที่ต้องการทำนั้นจำเป็นต้องมีการ เสริมหน้าอก เทียมเข้าไปอีกหรือไม่ เพราะว่าในรายที่มีเนื้อนมที่ส่วนของเต้านมเนินอกน้อยมาก การผ่าตัดเพื่อยกกระชับจะไม่สามารถทำการยกกระชับให้เต้านมเต่งตึงได้ แต่ต้องทำการ ทำนม เข้าไปร่วมด้วย เต้านมจึงจะเต่งตึงสวยงาม และโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จะต้องเกิดขึ้นนอ้ยที่สุดด้วย เนื่องจากการผ่าตัดเพื่อยกกระชับเต้านมจะต้องมีการวางยาสลบในขณะที่ทำการผ่าตัด และหลังการผ่าตัดแพทย์จะทำการใส่สายระบายเลือดไว้ที่ส่วนในของ เต้านม และติดไว้ประมาณ 24 ชั่วโมงจึงจะนำออกและทำการปิดแผล ผู้ป่วยสามารถที่จะกลับมาพักฟื้นที่บ้านและรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาลดอาการบวมและยาแก้ปวด หลังจากผ่าตัด 5-10 วัน แพทย์จะทำการตรวจแผลอีกครั้งเพื่อดูความเรียบร้อยของแผลที่เกิดขึ้น และหลังจากนั้น 1 เดือนผู้ป่วยสามารถทำการออกกำลังกายเบา ๆ ได้ จนผ่านไป 3 เดือนร่างกายจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แม้ว่าการยกกระชับจะสามารถยกกระชับเต้านมได้แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นเต้านมก็ย่อมที่จะมีโอกาสที่จะกลับมาหย่อนยานได้อีก ดังนั้นการเสริมขนาดของเต้านมจึงไม่ควรเสริมให้มีขนาดที่ใหญ่มากเกินไป และต้องใส่ชุดชั้นในเพื่อยกกระชับเต้านมอยู่ตลอดเวลา

การผ่าตัดเสริมหรือลดขนาดเต้านมมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังดังนั้นก่อนที่จะทำการผ่าตัดทุกครั้ง ควรศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะการผ่าตัด ทำนม ที่ดีสามารถสร้างความมั่นใจและโอกาสทางสังคมให้มากได้เช่นกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Yalom (1998) pp. 9–16; see Eva Keuls (1993), Reign of the Phallus: Sexual Politics in Ancient Athens for a detailed study of male-dominant rule in ancient Greece.

Yalom (1998), p. 18.
“Bra Cup Sizes—getting fitted with the right size”. 1stbras.com. Archived from the original on 8 March 2016. Retrieved 11 May 2010.

การดูดไขมันที่ให้ผลลัพธ์ 15 เท่า

0
การดูดไขมันที่ให้ผลลัพธ์ 15 เท่า
การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน
การดูดไขมันที่ให้ผลลัพธ์ 15 เท่า
การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน

ดูดไขมัน

แม้ว่าการมีรูปร่างที่ผอมเพรียวจะเป็นกระแสแฟชั่นอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสมัยนิยม อย่างเมื่อหลายสิบปีก่อนเราก็จะชื่นชอบคนที่มีรูปร่างเจ้าเนื้อ ดูมีน้ำมีนวลสักหน่อย ต่อมาก็กลายเป็นคลั่งไคล้หุ่นบางๆ ราวกับจะปลิวไปตามลมได้ และล่าสุด เนื่องจากกระแสรักสุขภาพมาแรงมาก เลยส่งผลให้คนนิยมรูปร่างผอมเพรียวและฟิตเฟิร์มอย่างเดียวกับที่เหล่านักกีฬามีกัน เมื่อเป็นอย่างนี้หลายคนจึงมองว่ามันเป็นเรื่องที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เอาแน่นอนไม่ได้ และยึดเอาเป็นข้ออ้างในการลดน้ำหนักและ ดูดไขมัน ส่วนเกิน แต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่งก็คือเรื่องของสุขภาพด้วย

เพราะไม่ว่าอย่างไรการมีรูปร่างผอมบางและสมส่วนย่อมดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเกิดภาวะอ้วนลงพุงแน่นอน จากสถิติเดิมที่เคยมีมาก็ชี้ชัดแล้วว่าคนอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากกว่าปกติหลายเท่า ดังนั้นหากไม่สนใจตามกระแสแฟชั่น ก็หันมาสนใจสุขภาพร่างกายของเราเอง ด้วยการ กำจัดไขมัน ส่วนเกินออกไป ไม่ใช่แค่สุขภาพดีเท่านั้นที่จะได้ ผิวพรรณและบุคลิกภาพก็จะดีขึ้นด้วย

แต่ปัญหาหนึ่งในการกำจัดไขมันก็คือ ทำได้ค่อนข้างยากและต้องมีวินัยมากเพียงพอ การกำจัดไขมันนั้นแตกต่างจากการลดน้ำหนัก เพราะน้ำหนักที่หายไปจากร่างกายอาจไม่ใช่ส่วนของไขมันก็ได้ แต่เป็นน้ำและมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ในคนที่มีภาวะอ้วนบางคน จะมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการออกกำลังกายอยู่ ยิ่งอ้วนมากก็จะยิ่งมีข้อจำกัดมากด้วย เช่น ไม่สามารถออกกำลังบางประเภทได้ เพราะมีผลกับข้อต่อต่างๆ หรือไม่สามารถออกแรงอย่างต่อเนื่องได้ เพราะระบบหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจรับไม่ไหว เป็นต้น ดังนั้นจึงมีอีกทางออกหนึ่งซึ่งถูกใช้ค่อนข้างมากในทางการแพทย์ของเมืองนอก นั่นก็คือ การดูดไขมัน

การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าจะดูดไขมันบริเวณไหน ท้องแขน ต้นขา หน้าท้อง เหนียงใต้คาง ทำได้ทั้งนั้น เพียงแค่ชั่วอึดใจก็จะเปลี่ยนร่างใหม่กลายเป็นคนละคนได้เลย แต่ก็ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน ก่อนการดูดไขมันจำเป็นต้องผ่านการตรวจร่างกายเบื้องต้น และวัดค่าความเสี่ยงจากโรคประจำตัวหรือสภาวะทางร่างกายอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดด้วยว่าจะต้องมีน้ำหนักหรือมวลไขมันขั้นต่ำเท่าไรจึงจะดูดไขมันได้ ใครที่มีรูปร่างเพียงแค่อวบๆ ก็จะไม่สามารถกำจัดไขมันด้วยวิธีที่ว่านี้ได้

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่าการ ดูดไขมัน เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในเวลาอันรวดเร็ว จะมีอันตรายมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องตอบว่าหากทำตามขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้องแล้ว แทบจะไม่มีอันตรายอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะการดูดไขมันมีข้อกำหนดค่อนข้างเยอะ ที่จะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายได้ เช่น กำหนดน้ำหนักและมวลไขมันขั้นต่ำของคนที่ต้องการดูดไขมัน กำหนดช่วงอายุ กำหนดขอบเขตของโรคประจำตัวที่สามารถรองรับการดูดไขมันได้ เป็นต้น กว่าจะได้เข้ารับการรักษาจริงๆ หลายคนต้องใช้เวลาเตรียมตัวอยู่เป็นเดือน อีกอย่างการดูดไขมันนั้นไม่ใช่การดูดไขมันทั้งหมดออกไปภายในคราวเดียว เนื่องจากว่าปริมาณมากที่สุดในการดูดไขมันแต่ละครั้งอยู่ที่ราวๆ 5 ลิตรเท่านั้น หากต้องการกำจัดไขมันมากกว่านี้ก็ต้องมาทำการดูดไขมันเพิ่มในครั้งต่อไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดอาการช็อคกับความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วเกินไปนั่นเอง

บริเวณใดบ้างของร่างกายที่สามารถใช้เทคนิคการดูดไขมันได้

ไม่ว่าเราจะอ้วนลงพุงมากขนาดไหน ก็ไม่ใช่ว่าทุกสัดส่วนจะสะสมไขมันได้มากเหมือนกันหมด บางส่วนแทบไม่มีไขมันสะสมอยู่เลย เช่น ข้อเท้า ข้อมือ หัวเข่า เป็นต้น จึงไม่ใช่ทุกส่วนของร่างกายที่ทำการ ดูดไขมัน ได้ รวมไปถึงบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง อย่างเช่นพื้นที่ที่มีเส้นประสาทจำนวนมาก หรือมีการอักเสบอยู่ เราลองมาดูกันว่ามีบริเวณไหนบ้างที่นิยมใช้การดูดไขมันเพื่อลดสัดส่วนให้เล็กลง

หน้าท้อง : นี่เป็นส่วนที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในการดูดไขมัน และเป็นส่วนที่สะสมปริมาณไขมันได้มากที่สุดในร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย จุดที่จะทำการดูดไขมันก็คือช่วงเอวและหน้าท้องส่วนล่าง แต่ละครั้งสามารถลดรอบเองได้ประมาณ 3 นิ้ว แต่ก็ต้องพิจารณาตามความสมส่วนของร่างกายด้วย
บั้นท้าย : ถึงแม้ว่าจะมีกระแสนิยมการมีบั้นท้ายใหญ่ๆ อยู่บ้าง แต่ในบางคนมันก็ดูไม่เหมาะกับรูปร่างโดยรวมของเขา ยิ่งถ้าเป็นการมีขนาดใหญ่จากไขมันไม่ใช่กล้ามเนื้อที่กระชับดี มันยิ่งไม่น่าดูมากกว่า ผลของการดูดไขมันตรงบั้นท้ายนี้จะทำให้บั้นท้ายดูยกกระชับและส่งเสริมให้ช่วงขาดูเรียวยาวขึ้น
ต้นขา : โดยเฉพาะผู้หญิง ต้นขาจะเป็นส่วนที่สะสมไขมันได้ไม่แพ้ส่วนของหน้าท้องเลย เริ่มจากเห็นเป็นผิวเปลือกส้มและขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อย การดูดไขมันต้นขาเป็นบริเวณที่ต้องทำซ้ำหลายครั้ง แม้ว่าปริมาณไขมันที่มีอยู่จะไม่มากเท่าไรก็ตามที เพราะต้องค่อยๆ ดูดออกแบบรอบด้าน เพื่อให้ท่อนขาดูลดลงแบบสมดุลกันทั้งหมด และหลังจาก ดูดไขมัน ต้องใส่ชุดกระชับรอบต้นขาไว้อีกระยะหนึ่ง

ต้นแขน : ส่วนนี้จะมีรูปแบบและวิธีการคล้ายคลึงกับการดูดไขมันที่ต้นขา ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญในระดับหนึ่งด้วย ไม่งั้นอาจได้แขนแบบเบี้ยวๆ ไม่สมส่วนกลับไปได้
เหนียงใต้คาง : ตรงนี้จะมีเส้นประสาทเยอะหน่อย และต้องดูดไขมันด้วยเครื่องมือขนาดเล็กกว่าส่วนอื่นๆ สามารถ ดูดไขมัน ให้หมดได้ในคราวเดียว แต่ต้องค่อยๆ ดูดทีละจุดไล่ไปอย่างสมดุลเช่นกัน
แผ่นหลัง : นี่อาจเป็นจุดเดียวที่มีไขมันน้อยที่สุดในบรรดาบริเวณที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด การดูดไขมันก็จะเน้นไปที่จุดกลางหลัง ข้างรักแร้เท่านั้น

การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าจะดูดไขมันบริเวณไหน

รูปแบบและวิธีการในการดูดไขมัน

1. Triple Impact

เป็นการ ดูดไขมัน ที่จัดว่ามีระดับความปลอดภัยสูงที่สุด ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจแม้จะเป็นบริเวณที่ผิวเป็นคลื่นง่าย ใช้ร่วมกับการทำเลเซอร์เพื่อวิเคราะห์ตำแหน่งของไขมันไปด้วย จึงแม่นยำและลดความเสี่ยงของความเสียหายภายในร่างกายด้วย ส่วนมากนิยมใช้กับบริเวณที่ลดไขมันด้วยการออกกำลังกายได้ยาก เช่น ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น

2. Accusculpt

หากแปลตรงตัวคำนี้หมายถึง การแกะสลัก ซึ่งก็เป็นการอธิบายรูปแบบของการ ดูดไขมัน ที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมาดี เพราะวิธีการจะใช้ท่อขนาดเล็กมาก ร่วมกับคลื่นแสงสลายไขมันแล้วตกแต่งเนื้อเยื่อไขมันคล้ายการแกะสลัก นิยมใช้กับการปรับรูปหน้าให้เป็นทรงวีเชฟ

3. Body tite

เป็นการใช้ Radio – Frequency Assisted Liposuction ในการ ดูดไขมัน ซึ่งทำให้ระยะเวลาในการรักษาสั้นลง ร่างกายบอบช้ำน้อยกว่า และยังลดการสูญเสียเลือดลงด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีข้อดีในเรื่องของการกระชับสัดส่วนไปพร้อมๆ กับการดูดไขมัน จึงไม่เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยเพราะหดตัวไม่ทัน

4. Power Assisted

เป็นการดูดไขมันด้วยเครื่องมือที่ถูกปรับปรุงให้มีค่าความถี่ของเข็มดูดมากขึ้น จึงโดดเด่นมากในการดูดไขมันบริเวณที่เอาออกมาได้ยาก ส่วนใหญ่นิยมใช้ร่วมกับการดูดไขมันวิธีอื่นๆ ด้วย

การดูดไขมันเหมาะกับคนกลุ่มไหนบ้าง

อย่างแรกก็คือเรื่องของน้ำหนักและปริมาณไขมัน ต้องเป็นคนที่มีค่าเกินข้อกำหนดเท่านั้น หากไม่ถึงก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเงื่อนไขอื่นๆ อีก และต่อไปนี้คือประเด็นทั้งหมดที่ต้องใช้พิจารณาร่วมก่อนตัดสินใจ ดูดไขมัน

  • โรคประจำตัว : โรคประจำตัวบางชนิดมีผลกระทบต่อค่าต่างๆ ในร่างกาย เช่น ความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ เป็นต้น ต้องผ่านการทดสอบจนแน่ใจเสียก่อนว่า หากทำการดูดไขมันไปแล้วจะไม่ส่งผลกระทบอะไรที่ร้ายแรง และอีกทางเลือกหนึ่งก็คือ ควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้เสียก่อน
  • ยาที่ทานประจำ : ถ้าเป็นกลุ่มวิตามินหรืออาหารเสริมก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้าเป็นยารักษาโรคที่ต้องทานต่อเนื่อง จำเป็นต้องนำมาวิเคราะห์ก่อนว่าจะทำให้เกิดอันตรายระหว่างดูดไขมันหรือไม่
  • ไขมันหน้าท้องมากเกินไป : ถ้าเป็นคนที่มีส่วนหน้าท้องยื่นมากๆ หากรักษาด้วยการดูดไขมันทันที ผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่น่าพึงพอใจ ออกไปทางน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ จึงต้องรักษาด้วยวิธีอื่นๆ มาก่อน เช่น การผ่าตัดหน้าท้อง เป็นต้น
  • อาการบวมที่ไม่ได้เกิดจากไขมัน : บางครั้งหน้าท้องที่ขยายใหญ่ หรือต้นแขนต้นขาที่อวบอ้วนกว่าปกติ ก็ไม่ได้เกิดจากไขมันสะสมเสมอไป มีโรคบางชนิดที่ทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติในทำนองนี้ได้เช่นกัน หากอยู่ในกรณีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำการ ดูดไขมัน เพียงแค่พบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีก็พอ

การเตรียมความพร้อมก่อนการดูดไขมัน

  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภท รวมทั้งลดเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมากด้วย
  • งดยาบางชนิดตามแพทย์สั่ง
  • หลังการดูดไขมัน งดการทำกิจกรรมหนักๆ ประมาณ 1 สัปดาห์
  • อย่ารบกวนบริเวณที่เป็นแผล ห้ามนวด ห้ามกดทับ เพราะแผลจะหายช้าและอักเสบบวมได้
  • สวมชุดกระชับสัดส่วนอย่างต่อเนื่องหลังการทำ จนกว่าจะครบกำหนดเวลา
  • ถ้าจุดที่ทำการดูดไขมันเป็นจุดที่เสี่ยงจะโดนน้ำได้ ให้งดการอาบน้ำไปก่อนในช่วงแรก

การดูแลรูปร่างตัวเองหลังจากการดูดไขมัน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การดูดไขมันก็คือการ กำจัดไขมัน ออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก เรียกว่าสวยได้ทันใจ แต่มันไม่ได้ทำให้เราผอมเพรียวอย่างถาวร หากกลับไปใช้ชีวิตที่มีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิม ก็จะกลับมาอ้วนได้อีกในไม่ช้า ซึ่งหลายคนประสบปัญหาที่ว่านี้อยู่ด้วย เพราะเห็นว่าผอมได้ง่ายดาย จึงชะล่าใจและไม่ได้ดูแลตัวเองเพิ่มเติม ดังนั้น เมื่อรูปร่างลดขนาดลงแล้ว ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องด้วย การ ดูดไขมัน ไม่ได้ทำให้กระเพาะอาหารเล็กลง อัตราการกินจึงไม่ได้เปลี่ยนไป ทุกคนยังสามารถกินได้เท่าเดิม จึงต้องระวังและควบคุมปริมาณอาหารให้พอเหมาะ หมั่นออกกำลังกายตามสไตล์ที่ชื่นชอบอย่างสม่ำเสมอ และเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า ให้ใช้พลังงานเท่ากับหรือมากกว่าค่าพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกาย เน้นทานผักผลไม้ ที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด ของทอด ของมัน และปรับลดปริมาณการทานแป้งในแต่ละวันลง เพียงเท่านี้ก็จะมีหุ่นสวยพร้อมสุขภาพดีไปตลอด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Tierney, Emily P.; Kouba, David J.; Hanke, C. William (December 2011). “Safety of tumescent and laser-assisted liposuction: review of the literature”. Journal of Drugs in Dermatology. 10 (12): 1363–9. PMID 22134559.

Draelos, Zoe (2011). Cosmetic Dermatology: Products and Procedures. John Wiley & Sons. p. Chapter 56. ISBN 9781444359510.

Norton, Jeffrey A. (2012). Surgery Basic Science and Clinical Evidence. Berlin, Heidelberg: Springer Berlin Heidelberg. p. 2014. ISBN 9783642572821.

Khan, MH (November 2012). “Update on liposuction: clinical pearls”. Cutis. 90 (5): 259–65. PMID 23270199.

เลเซอร์ ( Laser ) นวัตกรรมเพื่อความงาม

0
“เลเซอร์”นวัตกรรมเพื่อความงาม
เลเซอร์มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย
“เลเซอร์”นวัตกรรมเพื่อความงาม
เลเซอร์มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย

เลเซอร์ ( Laser )

เลเซอร์ ( Laser ) มีชื่อเต็มว่า “ Light Amplification by the Stimulated Emission of Radiation ” ที่มีความหมายถึง การเพิ่มปริมาณของคลื่นแสงที่ออกมาโดยการกระตุ้นเข้าไปทำให้มีการปล่อยคลื่นแสง ซึ่งการแผ่รังสีที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการกระตุ้นแบบร้าว โดยทำการกระตุ้นผ่าตัวกลางเลเซอร์ ( Laser medium ) ทำให้ความยาวของคลื่นที่ออกมามีขนาดที่เท่ากัน ส่งออกมาจากตัวกลางในทิศทางเดียวกัน และมีเฟสของคลื่นแสงที่ตรงกัน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การที่เฟสของคลื่นแสงตรงกันจะทำให้แสงสามารถรวมตัวกันเกิดการขยายตัวของสัญญาณ ( Amplitude ) ส่งผลให้ขนาดของแสงเลเซอร์มีความเข้มที่มาขึ้นหรือมีความสว่างมากกว่าแสงสว่างตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง ซึ่งเราสามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างแสงเลเซอร์และแสงตามธรรมชาติได้ดังนี้

แสงธรรมชาติ เป็นแสงที่สามารถเกิดขึ้นได้เอง ( Spontaneous emission ) ซึ่งแสงที่เกิดขึ้นจะมีความยาวคลื่นแสงผสมกันอยู่ ( Polychromaticity ) และแสงที่เกิดขึ้นจะสามารถเดินทางได้หลายทิศทาง ( Incoherence ) นอกจากนั้นเฟสของคลื่นแสงหรือระยะของคลื่นแสงก็จะมีขนาดที่ไม่เท่ากันทั้งหมด แม้ว่าแสงดังกล่าวจะสามารถให้แสงสว่างและพลังงานได้ แต่พลังงานและแสงสว่างที่เกิดขึ้นก็จะมีความเข้มข้นที่ต่ำมาก
แสงเลเซอร์ คือ แสงที่เกิดขึ้นจากสร้างไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งแสงเลเซอร์จะมีลักษณะพิเศษ คือ แสงที่เกิดจากแหล่งกำเนิดเดียวกันจะมีความยาวคลื่นที่มีความจำเพาะเพียงค่าเดียว ( Monochromaticity ) และแสงยังมีการเดินทางที่เป็นแนวเดียวกันอย่างเป็นระเบียบและเดินทางในทิศทางที่ขนานกัน ซึ่งคลื่นของเลเซอร์จะมีเฟสที่ตรงกันดังนั้นคลื่นเลเซอร์จึงสามารถที่จะเสริมกัน ( Coherec )

จากการที่ เลเซอร์ ( Laser ) มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย ซึ่งพลังงานของเลเซอร์สามารถที่จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือการทำลายและตัดเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการภายในร่างกายออกไป ซึ่งลักษณะของเลเซอร์ที่ใช้อยู่มีการแบ่งประเภทของเลเซอร์ สามารถแบ่งได้ลักษณะเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตหรือทำการแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการนำเลเซอร์ไปใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

วัตถุประสงค์ของการใช้ เลเซอร์ ( Laser )

1.ประเภทของตัวกลางที่ใช้ในเป็นแหล่งกำเนิดของเลเซอร์

ตัวกลางที่ใช้เป็นแหล่งกำเนิด เลเซอร์ ( Laser ) คือ ตัวที่ทำหน้าที่ในการเก็บพลังงานและทำการปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาสู่ภายนอก ซึ่งตัวกลางที่ใช้สามารถแบ่งออกเป็น 3 สถานะ คือ
1.1 ตัวกลางที่เป็นของแข็ง เช่น ผลึกทับทิม ( Ruby ) เรียกว่า Ruby Laser ผลึกแย็ค เรียกว่า Nd: Yag laser เป็นต้น
1.2 ตัวกลางที่เป็นของเหลว เช่น สารย้อม ( Dye ) เรียกว่า Pulse dye laser เป็นต้น
1.3 ก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์เรียกว่า CO2 Laser ก๊าซฮีเลียมนีออน ( HeNe ) เรียก ฮีเลียมนีออนเลเซอร์ ก๊าซอาร์กอน ( Ar ) เรียก Argon beam laser

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.การแบ่งเลเซอร์ออกตามระดับพลังงานของแสงเลเซอร์ที่ทำการยิงออกมาจากตัวกลาง

ซึ่งการแบ่งตามระดับพลังงานที่ปล่อยออกมานั้น เพื่อที่จะสามารถระบุการใช้งานได้ว่าแสงเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานเท่านี้สามารถใช้งานกับเนื้อเยื่อชนิดใดได้บ้าง ซึ่งระดับพลังงานของ เลเซอร์ ( Laser ) จะเป็นตัวระบุการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพที่เกิดขึ้นของเนื้อเยื่อนั่นเอง ซึ่งการแบ่งตามระดับพลังงานสามารถแบ่งได้ ดังนี้
2.1 กลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานสูง ( High power Laser ) คือกลุ่มเลเซอร์ที่ให้พลังงานสูง มีประสิทธิภาพในการทำลายเนื้อเยื่อนที่เป็นโปรตีนให้มีการสลายตัวได้ เลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ในการผ่าตัดหรือทำการห้ามเลือดในอวัยวะส่วนต่าง ๆ
2.2 กลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานระดับกลาง ( Moderate Power Laser ) คือกลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานในการกระตุ้นเนื้อเยื่อน้อยกว่าในกลุ่มแรก เมื่อใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในกลุ่มนี้เนื้อเยื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในส่วนที่ตรงกับจุดเป้าหมายมากที่สุด โดยที่เนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียงได้รับผลกระทบน้อยมากและเมื่อหยุดการใช้งานแล้ว เนื้อเยื่อข้างเคียงจะไม่ถูกทำลาย เช่น การใช้เลเซอร์ในการยิงเพื่อลดความผิดปกติของเม็ดสีผิว โดยการยิงไปยังจุดสีผิวที่มีความผิดปกติ เป็นต้น
2.3 กลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานต่ำ ( Low Level Laser ) คือ กลุ่มของเลเซร์ที่มีระดับพลังงานไม่สูงมาก  เลเซอร์ ( Laser ) ในกลุ่มนี้จะใช้ในการกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ภายในร่างกาย ไม่ได้ใช้เพื่อทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายเหมือนกันเลเซอร์ในสองกลุ่มแรก เช่น การใช้เลเซอร์ในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ที่บริเวณแผลทำให้แผลหายเร็วขึ้น หรือการใช้เลเซอร์เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น

3.การแบ่งตามจุดประสงค์ของการใช้งานเลเซอร์

เป็นการแบ่งลักษณะของเลเซอร์ตามการใช้งานที่แท้จริง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้
3.1การผ่าตัดหรือการห้ามเลือด ( Cutting Laser )
3.2การใช้เลเซอร์เพื่อเสริมความงามหรือเพื่อการฟื้นฟูความงาม ( Aesthetic and Rejuvenation Laser )
3.3การใช้เลเซอร์เพื่อการรักษา ระงับอาการปวดบวมหรือเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวให้เกิดขึ้นเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น ( Laser Therapy )

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การใช้ เลเซอร์ ( Laser ) มีการประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านของการเสริมความงามหรือการศัลยกรรม ที่ในปัจจุบันนี้มีการใช้เลเซอร์กันมากขึ้น ซึ่งมีการประยุกต์ใช้เลเซอร์ในการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อตกแต่งส่วนของใบหน้าและลำคอเป็นส่วนมาก โดนใช้เลเซอร์ทำการผ่าตัดเพื่อทำการดึงผิวหนังส่วนที่หย่อนยานให้ตึง ซึ่งการผ่าตัดด้วยเลเซอร์สามารถผ่าตัดเพื่อทำการดึงชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันได้ตั้งแต่ส่วนของลำคอจนไปถึงบริเวณใบหน้าทั้งหมด การใช้เลเซอร์สามารถที่จะช่วยเก็บรายละเอียดและปรับปรุงผิวหน้าให้ดูเรียบเนียนได้ง่าย ซึ่งเพื่อประโยชน์ดังนี้

การใช้เลเซอร์ประยุกต์ในการทำศัลยกรรม

1. ช่วยกระตุ้นให้ผิวพรรณมีความเต่งตึงเปล่งปลั่ง ( Skin Rejuvenation )

ซึ่งการกระตุ้นผิวพรรณนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1.1 เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหนังเสื่อมแบบเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการกระทบกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น แสงแดด สายลม สารอนุมูลอิสระ เป็นต้น ส่งให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ฝ้า กระ
1.2 เพื่อเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวหนัง โดยการใช้ร่วมกับการผ่าตัดเพื่อทำการดึงผิวหนังที่บริเวณใบหน้าและลำคอ ซึ่งแสงเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว รวมถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ( Collagen and Elastin ) ที่อยู่ในผิวให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น การใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ร่วมกับการผ่าตัดจะใช้หลังจากที่ทำการผ่าตัดแล้วประมาณ 1 สัปดาห์

2. ช่วยลดรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้น ( Scar Reduction )

บริเวณที่มีรอยแผลเป็นจะมีเม็ดสี Hemoglobin อยู่ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งผลให้รอยแผลเป็นมีขนาดและสีที่เข้ม เมื่อทำการฉายแสงเลเซอร์ไปยังบริเวณรอยแผลเป็น แผลจะนิ่มขึ้น ความนูนลดลง นับเป็นการป้องกันไม่เกิดรอยแผลเป็นที่เห็นชัดเจนหรือมีขนาดใหญ่ เหมาะกับผู้ที่มีประวัติเป็นรอยแผลเป็นนูนขนาดใหญ่เท่านั้น และการฉายเลเซอร์จะทำได้หลังจากที่ทำการผ่าตัดไปแล้ว 1- 6 เดือน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3. ช่วยเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวหนัง ( Skin Tightening )

สำหรับผิวที่มีผิวหนังมีความยืดหยุ่นสูง ( Poor Skin Quality and Low Elasticity ) หลังจากที่ทำการผ่าตัดดึงใบหน้าและลำคอแล้ว ผิวหนังส่วนที่บวมเมื่อหายบวมจะเกิดการหย่อนขึ้น จึงต้องใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในการฉายเข้าไปในบริเวณดังกล่าวเพื่อกระต้นให้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่บริเวณดังกล่าว ผิวส่วนนั้นก็จะกลับมาเต่งตึงอีกครั้ง ซึ่งการฉายเลเซอร์จะทำการฉายหลังจากการทำการผ่าตัดมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป

4. การใช้เลเซอร์เพื่อรักษาผิวที่มีความผิดปกติ
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน ( Melanin Pigment ) ที่อยู่ระหว่างชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ แต่เมื่อเกิดความผิดปกติเม็ดสีผิจะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ตื้นขึ้น ซึ่ง เลเซอร์ ( Laser ) จะช่วยขจัดเม็ดสีผิวที่ขึ้นมาตื่นผิดปกติให้หายไป ทำให้ผิวหนังมีสีผิวที่สม่ำเสมอเป็นปกติ ซึ่งระบบเลเซอร์ที่ใช้มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ แต่ที่นิยมใช้กันมาก คือ
1.1 ระบบ Q Switch Laser ข้อดีคือมีความจำเพาะเจาะจงกับเม็ดสีเมลานินสูงและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณรอบข้างมีน้อย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น แต่ว่ามีโอกาสที่จะรอยดำหลังจากที่มีการฉายแสงเลเซอร์ได้
1.2 ระบบแสง IPL ( Intent Pulsed Light ) เหมาะกับการใช้รักษาเม็ดสีที่อยู่ตื้น ๆ ซึ่งมีข้อดีคือสามารถที่จะปรับระดับความยาวคลื่นได้หลากหลายในการรักษาเม็ดสีที่ความลึกต่างกัน และมีโอกาสที่จะเกิดรอยดำน้อยมาก แต่ต้องทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งถึงจะหาย และเม็ดสีอาจกลับมาเกิดขึ้นอีกได้

ลักษณะของพยาธิสภาพของสีผิวหรือลักษณะของเม็ดสีที่สามารถทำการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์

กระแดด ( Lentigines ) คือ สีผิวที่มีลักษณะเป็นจุดที่มีสีน้ำตาล บริเวณจุดมีผิวเรียบ ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตรหรือเล็กกว่า กระจายอยู่บนบริเวณใบหน้าหรือในส่วนของบริเวณนอกร่มผ้าส่วนอื่น เช่น กระที่บริเวณแขน กระที่บริเวณใต้ร่มผ้า เป็นต้น กระแดดมีสาเหตุมาจากแสงแดดโดยตรง กระแดดช่วงแรกจะมีสีอ่อนและจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากถูกแสงแดด พบมากในผู้ที่มีอายุมาก    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

กระตื้น ( Freckles ) คือ กระที่มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาล มีพื้นผิวเรียบ กระมีขนาดเล็กประมาณ 0.5 มิลลิเมตร กระจายอยู่ทั่วไปอยู่ในบริเวณใบหน้าและบริเวณลำคอ กระตื้นจะมีสีอ่อนและเมื่อโดนแสงแดดมาก ๆ จะมีสีเข้ม หากไม่โดนแสงแดดสีของกระก็จะจางและหายไปเอง กระชนิดนี้พบบ่อยในคนที่มีผิวขาว สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กหรือวัยรุ่น

กระเนื้อ ( Seborrheic keratosis ) คือ กระที่มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อที่มีการนูนขึ้นมาลักษณะคล้ายตุ่มเล็ก ๆ พื้นผิวของกระเรียบหรือบางครั้งมีผิวขรุขระ กระจะกระจายตัวและยื่นออกมาจากส่วนของผิวหนังที่บริเวณใบหน้า ลำคอ หรือส่วนของลำตัว กระเนื้อจะมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ สาเหตุของกระมาจากพันธุกรรมเป็นส่วนมาก ซึ่งกระเนื้อพบได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป

กระลึก ( Hori’s Nevus ) คือ รอยโรคที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอมเทา พบมากในเพศหญิงมากกว่าการพบในเพศชาย สาเหตุของกระลึกส่วนมากเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบได้ที่ส่วนของโหนกแก้มทั้งสองข้าง กระลึกจะมีลักษณะคล้ายฝ้า สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ระบบ Q-Switch กระลึกจะพบมากในช่วงอายุ 20-30 ปี

ปานโอตะ ( Nevus of Ota ) คือ รอยโรคที่สามารถพบตั้งแต่กำเนิด ซึ่งคนเอเชียจะพบปานแบบนี้เป็น ปานโอตะจะมีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมม่วงหรือสีน้ำตาลอมน้ำเงิน ปานโอตะสามารถใช้เลเซอร์ฉายเพื่อรักได้ตั้งแต่อายุน้อย

ฝ้า ( Melasma ) คือ ลักษณะของรอยโรค มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้ม สาเหตุยังไม่สามารถะบุได้ แต่ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดฝ้า คือ การใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ยาเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ การโดนแดดเป็นประจำหรือเกิดขึ้นในขณะหรือหลังจากตั้งครรภ์ บริเวณสามารถที่พบฝ้าได้แก่ บริเวณโหนกแก้ม บริเวณคาง บริเวณหน้าผาก การรักษาด้วยการใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในการรักษาฝ้าหน้า อาจช่วยได้ในปริมาณเล็กน้อยจึงต้องใช้ร่วมกับการป้องกันที่สาเหตุจะดีที่สุด

5. เลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาแผลเป็นที่นูนแบบทั่วไป ( Hypertrophic Scar ) และแผลเป็นชนิดที่เรียกว่า คีลอยด์ ( Keloid )      [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

แผลเป็นที่มีลักษณะนูนแบบทั่วไป เกิดขึ้นหลังจากที่แผลหายแล้วจึงเกิดรอยแผลหรือแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด ซึ่งในระย 1-6 เดือนแรก รอยแผลจะมีลักษณะเป็นรอยนูนสีแดง มีลักษณะที่แข็งและบริเวณขอบโดยรอบรอยนูนจะเป็นลักษณะขอบเขตของบาดแผลทั้งหมด
และแผลเป็นชนิดที่เรียกว่า “คีลอยด์” เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูน ที่หนาและแข็ง สีของรอยแผลจะเป็นสีชมพูหรือสีแดง บริเวณโดยรอบของขอบแผลจมีลักษณะนูนและขยายออกมานอกขอบเขตของรอยแผลเดิม ซึ่งอาจะมีอาการเจ็บและคันเกิดขึ้น แผลเป็นชนิดนี้พบได้มากในบริเวณที่ผิวหนังมีสีคล้ำหรือมีต่อมไขมันในปริมาณมาก สาเหตุมักเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
เลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาแผลเป็นทั้งสองแบบนี้ คือ
-Puls dye Laser เลเซอร์ชนิดนี้จะเข้าไปทำลายหลอดเลือดขนาดเล็กที่เป็นส่วนนำเลือดมาหล่อเลี้ยงส่วนของแผลเป็น ทำให้รอยแผลเป็นมีลักษณะที่นูนมีอาการแดงเกิดขึ้นน้อยลงและมีลักษณะที่นิ่มขึ้น แต่ต้องใช้การฉายเลเซอร์ร่วมกับวิธีการรักษาแบบอื่น เช่น การใช้แผ่นซิลิโคนมาทำการปิดแผล การฉีดยาที่อยู่ในกลุ่มสเตียร เพื่อช่วยให้แผลเป็นมีลักษณะที่นิ่มขึ้นและยุบลง

6. เลเซอร์สำหรับรักษารอยแดงที่เกิดจากสิวและรอยแผลเป็นที่เกิดจากหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นที่มีขนาดลึก ( Post Acne Scan and Atrophic scar )

ลักษณะทางพยาธิสภาพขอรอยแดงที่เกิดจากสิวหรือรอยแผลเป็นในกลุ่มนี้ เกิดจากการที่โครงสร้างของคอลลาเจนเกิดการหดตัวลง หรือการที่เส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงในส่วนของรอยโรคในปริมาณที่มากหลังจากที่เกิดแผลไปแล้ว 1-3 เดือนจึงทำให้เกิดรอยแผลในกลุ่มนี้ เลเซอร์ที่สามารถและเหมาะสมที่จะนำมาทำการรักษารอยแผลในกลุ่มนี้ คือ Puls dye Laser โดยเลเซอร์จะเข้าไปทำให้หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงในบริเวณดังกล่าวฝ่อหายไป รวมถึงเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งจะทำให้รอยแผลเป็นมีสีแดงจางลงและรอยแผลเป็นตื้น

7. เลเซอร์เพื่อใช้ในการรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดที่บริเวณผิวหนัง ( Laser Treatment of Vascular Lesions )

เลเซอร์ ( Laser ) สามารถรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังได้ ซึ่งการรักษาสามารถแบ่งได้ ตามลักษณะของความผิดปกติของหลอดเลือดตั้งแต่กำเนิด คือ    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

เนื้องอกที่เกิดขึ้นจากหลอดเลือด ( Hemangioma ) ลักษณะของรอยโรคแบบนี้ สามารถพบได้บ่อยที่ส่วนของศีรษะและส่วนของลำคอ ซึ่งเนื้องอกแบบนี้จะหยุดเติบโตในปีแรกและจะมีขนาดที่เล็กลงประมาณร้อยละ 50 และสามารถที่จะหดหายลงได้ในระยะ 5 ปีแรก ซึ่งการใช้เลเซอร์รักษาจะเป็นการรักษาร่วมกับการรักษาวิธีอื่น แต่ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการฉีดในกลุ่มสเตียรอยด์เพื่อรักษาหรือเนื้องอกที่แผลยังมีเลือดออกเป็นต้น
ปานแดงที่มีตั้งแต่เกิด ( Port-wine Stains ) คือ การใช้เลเซอร์เพื่อรักษาปานแดงที่มีมาตั้งแต่กำเนิดนั้นจะให้ผลการรักษาที่ดี และควรเริ่มทำการรักษาให้รวดเร็วที่สุด และลักษณะเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาคือ Puls dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 nm
กลุ่มที่เส้นเลือดฝอยมีการเกิดขึ้นตามหลังเมื่ออายุมากขึ้น อาการแบบนี้สามารถพบได้ที่บริเวณของใบหน้า ( Telangiectasia, Spider Nevi, Cherry angioma ) ซึ่งอาการส่วนมากเกิดขึ้นจากเส้นเลือดฝอยที่มีขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร ซึ่งเส้นเลือดฝอยกลุ่มนี้สมารถตอบสนองได้ดีต่อการฉายเลเซอร์ชนิด Puls dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 nm หรือเลเซอร์ชนิด KTP ที่มีความยาวคลื่น 532 nmหรือแลเซอร์ชนิด IPL ที่มีความยาวคลื่น 500-1200 nm

8. เลเซอร์ที่สามารถกำจัดขนในบริเวณที่ไม่ต้องการ ( Laser Treatment of Unwanted Hair )

เมื่อเนื้อเยื่อในบริเวณที่มีขนขึ้นจะทำการดูดซึมพลังงานจากเลเซอร์เข้าไป จึงสามารถเข้าไปยับยั้งการงอกขึ้นมาใหม่ของขน ซึ่งขนที่มีสีดำจะสามารถตอบสนองต่อการทำงานของเลเซอร์ได้มากกว่าขนที่มีสีขาวหรือขนที่มีสีน้ำตาล ชนิดของแสงเลเซอร์ที่สามารถช่วยในการกำจัดขนได้ คือ เลเซอร์ชนิด Long-Pulse Nd: Yag ที่มีความยาวคลื่น1064 nm, เลเซอร์ชนิด Long Pulse Ruby ที่มีความยาวคลื่น694 nm, เลเซอร์ชนิด Long-Pulse Alexandra ที่มีความยาวคลื่น755 nm, เลเซอร์ชนิด Diode ที่มีความยาวคลื่น800 nm หรือเลเซอร์ชนิด IPL (590-1200 nm

9. เลเซอร์ที่สามารถรักษาเนื้องอกบนผิวหนังชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง ( Laser Treatment of Benign Skin Lesions )

ลักษณะของเนื้องอกได้แก่ ไฝ หูด ติ่งเนื้อ กระเนื้อหรือก้อนคอเลสเตอรอลที่อยู่ใต้ผิวหนัง เลเซอร์จะทำการปล่อยคลื่นแสงที่สามารถดูดซึมน้ำได้ดี ทำให้เนื้องอกขาดน้ำและสารอาหารจึงเกิดการฝ่อตัวลง เลเซอร์ที่นำมาใช้ในการรักษาคือ เลเซอร์ชนิดคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 Laser ) แต่เลเซอร์ชนิดนี้การใช้ต้องอาศัยความระมัดระวังและใช้โดยแพทย์ที่มีความชำนาญเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะะแทรกซ้อนน้อยหเกิดขึ้นน้อยที่สุด    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

10. เลเซอร์ที่สามารถใช้ในการปรับปรุงสภาพของผิวหนัง ( Laser Skin Resurfacing )

ผิวหน้าส่วนที่มีการสัมผัสโดนแสงแดดเป็นเวลานานหรือผิวหนังที่มีรอยแผลเกิดขึ้น หรือผิวหนังที่เกิดเป็นหลุม การใช้ เลเซอร์ ( Laser ) สามารถช่วยปรับผิวหนังบนใบหน้าให้แลดูอ่อนเยาว์และผิวมีลักษณะที่เนียนนุ่มมากขึ้น โดยที่พลังงานของเลเซอร์จืทำให้ผิวหนังบริเวณที่อยู่ด้านบนสุดถูกทำลายจนเกิดการหลุดออกไป ส่งผลให้ร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยคอลลาเจนมีขึ้นมาทดแทนส่วนที่หลุดลอกไป ซึ่งเลเซอร์สามารถทำการปรับปรุงสภาพผิวหนังได้ทั้งผิวหนังที่มีแผลและไม่มีแผล ขึ้นอยู่กับสภาพของผิวหนังและปัญหาของผิวที่เกิดขึ้น เลเซอร์ที่เหมาะสมและนิยมนำมาใช้เพื่อปรับปรุงสภาพผิว คือ เลเซอร์ชนิด Pulse Carbon Dioxide หรือเลเซอร์ชนิด CO2 และเลเซอร์ชนิด Short-Pulse Erbium: Yag

11. เลเซอร์ที่สามารถใช้เพื่อช่วยในการรักษาแผล ( Laser for wound Healing )

พลังงานจาก เลเซอร์ ( Laser ) ที่ทำการฉายจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนภายในร่างกาย เช่น ระบบน้ำเหลือง ระบบไหลเวียนโลหิตให้สามารถทำการไหลเวียนได้ดีขึ้น เซลล์ภายในร่างกายจึงมีการทำงานที่มากขึ้น มีการสร้างเส้นเลือดและเม็ดเลือดใหม่เพิ่มเข้ามาในระบบ ส่งผลให้เมื่อร่างกายเกิดแผลแล้วจะสามารถหายได้เร็วกว่าเดิม ซึ่งแสงเลเซอร์ที่นำมาใช้จะเป็นเลเซอร์ชนดที่มีพลังงานต่ำ ( Low Level Laser Theraphy ) ที่มีระดับพลังงานอยู่ที่ 25-250 มิลลิวัตต์ เลเซอร์ในกลุ่มนี้สามารถกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนได้ดีและยังไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณข้างเคียงอีกด้วย ชนิดของเลเซอร์ที่นำมาใช้ได้แก่ ระบบแสง LED

12. การใช้เลเซอร์ในการสลายไขมัน

เซลล์ไขมันเป็นเซลล์ที่สามารถดูดซึมพลังงานได้ดี เมื่อฉายแสงเลเซอร์เข้าไปเซลล์ไขมันจะทำการดูดซึมพลังงานจาก เลเซอร์ ( Laser ) ทำให้ไขมันเกิดความร้อนและสลายตัวไป ซึ่งเลเซอลร์ที่ใช้ในการสลายไขมันมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

• เลเซอร์ที่มีพลังงานต่ำ ( low Level Laser Therapy ) เลเซอร์ชนิดนี้จะมีความจำเพราะเจาะจงกับเซลล์ไขมัน และสามารถปล่อยพลังงานที่มีขนาดน้อยที่สุดที่สามารถทำให้ไขมันเกิดการแตกตัวและสลายไปได้ โดยที่เนื้อเยื่อหรือโครงสร้างที่อยู่ใกล้เคียงหรือรอบข้างจะไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อเซลล์ไขมันเกิดการแตกตัวแล้ว ร่างกายจะทำการดูดซึมเข้าไปผ่านส่วนของระบบน้ำเหลือง
• เลเซอร์ที่ทำการฉายผ่านเส้นใยนำแสง ( Fiber Optic Laser Probe ) เป็นการฉายเลเซอร์โดยการปล่อยผ่านเส้นใยนำแสงไปยังบริเวณของไขมันที่ต้องการทำให้แตกสลาย เป็นการกำหนดจุดได้อย่างแม่นยำและเจาะจงที่ต้องการทำลายไขมันออกไป เมื่อไขมันเกิดการแตกตัวจะต้องทำการดูดไขมันส่วนนั้นออกมาจากร่างกายด้วยการดูดไขมันทั่วไป และการใช้เลเซอร์ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินทำให้ผิวหนังส่วนที่ไขมันโดนทำลายไปไม่เกิดการเหี่ยวย่นเพราะมีคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาทดแทน    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

13. เลเซอร์ที่นำมาใช้ในรักษาเส้นเลือดขอด ( Laser Treatment for Varicose Vein )

เส้นเลือดขอดสามารถเกิดขึ้นได้มากที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งลักษณะของเส้นเลือดขอดมีทั้งที่มีขนาดเล็กประมาณ 1-2 มิลลิเมตร เช่น Telangiectasia หรือ spider nevi เส้นเลือดขอดที่มีขนาดเล็กสามารถทำการรักษาด้วยการใช้ เลเซอร์ ( Laser )ที่อยู่ในกลุ่ม Puls dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 nm หรือเลซอร์ชนิด KTP ที่มีความยาวคลื่น 532 nm แต่ถ้าเส้นเลือดมีขนาดที่ใหญ่กว่า 2 มิลลิเมตร จะต้องทำการรักษาด้วยการฉายเลเซอร์เข้าไปที่บริเวณผนังของหลอดเลือดเพื่อทำลายให้ส่วนของผนังหลอดเลือดมีการฝ่อตัวลง จะส่งผลให้อาการเส้นเลือดขอดที่เกิดขึ้นหายไป ซึ่งแสงเลเซอร์ที่เหมาะสมและนิยมนำมาใช้ในการรักษาเส้นเลือดขอด คือ เลเซอร์ชนิด Diode Laser ที่มีความยาวคลื่น1500 nm

14. เลเซอร์ในการลบหรือรักษารอยสัก ( Laser Treatment of Tattoos )

รอยสักเกิดจากการนำเม็ดผงสี ( Ink Granule ) เข้ามาฝั่งไว้ใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ เม็ดสีจะกระจายตัวอยู่ในชั้นเซลล์ไฟโบรบลาส บางส่วนที่เข้าไปจะถูกเซลล์เม็ดเลือดขาว ( Macrophages ) ดูดกลืนและเกิดเป็นก้อนของเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนัง พลังงของ เลเซอร์ ( Laser ) จะเข้าไปทำให้เม็ดผงตีเกิดการแตกตัวและสลายกลายเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กลง จนร่างกายสามารถดูดซึมและทำลายได้ ทำให้รอยเม็ดสีจางลงซึ่งรอยสักก็จะจางลงตามไปด้วย เลเซอร์ที่ใช้ในการลบรอยสัก คือ เลเซอร์ที่อยู่ในกลุ่ม Q-Switch Laser เช่น เลเซอร์ชนิด QS Ruby ที่มีความยาวคลื่น 694 nm,เลเซอร์ชนิด QS Alexadrite ที่มีความยาวคลื่น 755 nmและเลเซอร์ชนิด QS Nd: Yag ที่มีความยาวคลื่น 532 หรือ1064 nm เป็นต้น

เลเซอร์มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย

ข้อควรรู้ในการใช้เลเซอร์เพื่อรักษาและการเสริมความงาม

1. การนำ เลเซอร์ ( Laser ) มาใช้ในการผ่าตัดมีผลไม่ต่างจากการผ่าตัดด้วยมีดผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์มากกว่า

2.การใช้เลเซอร์ในการรักษาแผลไม่สามารถรักษาได้แผลได้ทุกแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลร่วมกับการฉายเลเซอร์จึงจะทำให้แผลสวยและเนียนเป็นเนื้อเดียวกับผิวหนังโดยรอบ  [adinserter name=”navtra”]

3.การใช้เลเซอร์สามารถทำให้ผิวส่วนที่โดนแสงมีขนาดที่บางลงได้ แต่เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งร่างกายก็จะทำการสร้างผิวหนังขึ้นมาทดแทนส่วนที่โดนทำลายไป เพราะมีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาทดแทนนั่นเอง ดังนั้นเมื่อใช้เลเซอร์แล้วผิวหนังจะกลับมีความหนาเท่ากับสภาวะปกติหลังจากฉายเลเซอร์ไปแล้วประมาณ 6 เดือน

4.เมื่อใช้เลเซอร์ในการรักษา สิว ฝ้า กระแล้ว ส่วนที่ทำการรักษาจะไม่กลับมาเป็นใหม่ได้ แต่ถ้าโดนแสงแดด ฝุ่น มลพิษ เหมือนเดิม ผิวหนังก็จะโดนทำลายและเกิดสิว ฝ้าหรือกระได้เช่นเดิม จึงต้องดูแลผิวหน้าด้วยการทาครีมกันแดด ทาครีมบำรุงผิว รบเลี่ยงแสงแดด จึงจะสามารถป้องกันการเกิดสิว ฝ้า กระได้

5.การรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ควรหลี่กเลี่ยงการโดนแสงแดดทั้งก่อนและหลังการรักษาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป รวมถึงการใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย เพื่อที่การรักษาด้วยเลเซอร์จะให้ผลที่ดีที่สุด

6.ก่อนการรักษาด้วย เลเซอร์ ( Laser ) ควรหยุดการใช้ยาเพื่อรักษาสิวและลดความมันที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้า เช่น ไอโซเตรทติโนอิน ( Isotrationin ) อย่างน้อยประมาณ 6 เดือนก่อนทำการรักษาด้วยเลเซอร์ และควรหยุดยาที่มีคุณสมบัติในการละลายลิ่มเลือดด้วย เช่น Aspirin, Warfarin, Heparin เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนเนื่องจากการมีเลือดออก

7.การทำเลเซอร์จะเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังจากที่ทำการฉายเลเซอร์ไปแล้วประมาณ 7-10 วัน

8.การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อการรักษา กระ ไฝ ฝ้า ทำการรักษาเพียงครั้งเดียวก็สามารถรักษาได้ ส่วนการรักษารอยแผลเป็นหรือรอยโรคที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยแผลและรอยโรคนั้น ๆ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิฉัยและแจ้งให้ผู้เข้ารับการรักษาทราบ

การใช้เลเซอร์เพื่อการเสริมความงามเป็นทางเลือกที่ได้ความนิยมและได้ผลที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะทำการรักษาด้วยการฉายแสงเลเซอร์ควรทำการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นและเลือกแพทย์ที่มีความเชียวชาญและประสบการณ์ในการใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในการรักษาเพื่อที่ผลการรักษาจะเป็นที่น่าพอใจกับตัวเรามากที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Convissar, Robert A. (2010-05-19). Principles and Practice of Laser Dentistry – E-Book. Elsevier Health Sciences. ISBN 032307989X.

Morris, Peter J; Wood, William C. Oxford Textbook of Surgery. 2. http://medistar.xyz/

Rosenlicht, J; Vitruk, P (2015). “Ablation and sulcular debridement utilizing the CO2 laser for denture-induced gingival hyperplasia”. Implant Practice US. 8 (2): 35–38.

รักแร้หนังไก่ ตุ่มหนังไก่ วิธีกำจัดหนังไก่คืนความขาวเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

0
บอกลาปัญหารักแร้หนังไก่
รักแร้หนังไก่เกิดจากการถอนขนออกโดยแรงจนเกิดการอักเสบ รูขุมขนเกิดการขยายตัวจนทำให้เห็นรูขุมขนชัดเจน และส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน
บอกลาปัญหารักแร้หนังไก่
รักแร้หนังไก่เกิดจากการถอนขนออกโดยแรงจนเกิดการอักเสบ รูขุมขนเกิดการขยายตัวจนทำให้เห็นรูขุมขนชัดเจน และส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน

รักแร้หนังไก่

รักแร้หนังไก่ เป็น อาการทางผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายบริเวณรักแร้ทั้งสองข้าง เกิดจากสาเหตุการถอน การแว็กซ์ขนรักแร้ทำให้ผิวบริเวณรักแร้อักเสบ เซลล์ผิวรักแร้ตาย ดังนั้นเมื่อถอนซ้ำ ๆ บ่อยๆ จนเกิดการขยายตัวใหญ่ขึ้นจนทำให้เห็นรูขุมขนได้ชัดเจนส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียนหรือเรียกอีกอย่างว่า รักแร้เป็นหนังไก่ นั่นเอง

สาเหตุที่ก่อให้เกิดรักแร้หนังไก่

ก่อนที่จะไปสู่วิธีป้องกันและรักษา เรามาทำความรู้จักกับ รักแร้หนังไก่ กันก่อน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรักแร้หนังไก่ก็คือ “ การถอนขนรักแร้ ” ซึ่งมักจะถอนออกโดยแรงจนทำให้ผิวหนังบริเวณรูขุมขนนั้นเกิดอาการอักเสบ เมื่อถอนซ้ำ ๆ บ่อยๆ เข้าก็เกิดการขยายตัวใหญ่ขึ้นจนทำให้เห็นรูขุมขนได้ชัดเจน ส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียนอย่างที่เคย นอกจากนี้การโกนขนรักแร้และการแว็กซ์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวจุดชนวนที่ก่อให้เกิดขนคุดจนลุกลามกลายเป็นผิวหนังไก่ได้เช่นกัน
บ่อเกิดของ “ ขนคุด” สืบเนื่องมาจากรูขุมขนโดนกระตุ้นจนเกิดการอักเสบ บวมและอุดตัน จนปลายเส้นขนรักแร้ที่จะงอกใหม่ไม่สามารถโผล่พ้นผิวขึ้นมาได้ จึงหักกลับเข้าไปในรูขุมขนแทน จากการศึกษาพบว่า ขนคุดยังมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์และในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีโอกาสเป็นขนคุดได้ง่ายกว่าผู้อื่น
ขนคุดมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ ดำ ๆ นูนขึ้นมาบนผิวหนัง มองเผิน ๆ คล้ายสิว แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ภายในจุดดำๆ นั้นคือเส้นขนที่ไม่สามารถงอกขึ้นมาเหนือผิวได้ จนต้องเติบโตอยู่ในผิวหนังนั่นเอง และในบางท่านที่มีลักษณะเส้นขนหนาและแข็ง เมื่อประสบปัญหาขนคุดอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวอย่างหนัก จนทำให้รู้สึกแสบหรือเจ็บ อันเนื่องมาจากการอักเสบของขนคุดได้อีกด้วย

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์สำหรับใต้วงแขนบางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของสารกันเสีย สารกันเหงื่อออก และน้ำหอม ซึ่งมีส่วนทำให้ผิวบริเวณรักแร้เกิดการอุดตันและดำคล้ำได้ ตลอดจนการสวมเสื้อผ้าที่คับเกินไปจะทำให้ผิวหนังใต้วงแขนเกิดการเสียดสี ผิวหมองคล้ำและยังไปกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อใต้วงแขนผลิตเหงื่อออกมามากขึ้นจนเกิดการอุดตันและขนคุดจนลุกลามเป็นผิวหนังไก่ในที่สุด

แม้ว่าเส้นขนดูจะเป็นอุปสรรคต่อความสวยความงาม แต่ในขณะเดียวกันเส้นขนที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์และสัตว์บางชนิดนี้ยังมีประโยชน์แฝงอยู่เช่นกัน เส้นขนแต่ละเส้นจะมีความหนาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.08 มิลลิเมตร และในทุก ๆ วัน เส้นขนจะยาวขึ้น 0.1-0.2 มิลลิเมตร อายุของเส้นขนขึ้นอยู่กับตำแหน่ง โดยมีอายุขัยเฉลี่ย 2-5 ปี จากนั้นก็จะหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ และจะงอกขึ้นมาใหม่ภายในระยะเวลาราว 6 เดือนถัดมา แต่ในส่วนของขนตา ขนคิ้วและขนรักแร้จะมีอายุขัยอยู่ที่ 3-4 เดือนเท่านั้น เส้นขนแต่ละตำแหน่งทั่วร่างกายมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป หลัก ๆ คือ ช่วยลดการกระแทก ลดการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยตรง ส่วนใดในร่างกายที่มีการเสียดสีบ่อย บริเวณนั้นก็มันจะมีเส้นขนเยอะมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ที่นอกจากจะมีเส้นขนขึ้นเยอะแล้ว ยังเป็นตำแหน่งที่มีต่อมฟีโรโมน (Pheromone) ซึ่งว่ากันว่าเป็นต่อมที่คอยขับสารอันจะทำให้เกิดแรงดึงดูดกับเพศตรงข้าม

วิธีลดหนังไก่ และการป้องกันรักแร้หนังไก่

เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิธีกำจัดขนซึ่งทำให้เกิดผิวหนังไก่และรอยหมองคล้ำใต้วงแขนได้ การป้องกันเบื้องต้นจึงเป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรละเลย ดังนี้

1. หลีกเลี่ยนการถอน แว็กซ์ หรือโกนขนรักแร้
2. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรักแร้ที่อ่อนโยน ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่ใส่สารเคมีและน้ำหอม
3. การทาครีมบำรุง ที่มีส่วนผสมของ BHA, AHA และไวท์เทนนิ่ง เป็นประจำ
4. ขัดผิวใต้วงแขนเบา ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
5. ใช้น้ำมันมะพร้าวทาบริเวณรักแร้ เพื่อลดการอักเสบของรูขุมขนได้
6. การกำจัดขนด้วยเลเซอร์อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการกำจัดใต้วงแขนของผิวไก่

รักแร้หนังไก่ เกิดจากการถอนขนออกโดยแรงจนเกิดการอักเสบ รูขุมขนเกิดการขยายตัวจนทำให้เห็นรูขุมขนชัดเจน และส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน

วิธีรักษา รักแร้หนังไก่

ปัญหาขนคุดและ รักแร้หนังไก่ เป็นปัญหาผิวที่สามารถรักษาให้หายได้ หากไม่อยากใช้ยาหรือเทคโนโลยีการยิงเลเซอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง จะหาสมุนไพรใกล้ตัวมารักษาด้วยตนเองก็ย่อมได้ โดยแต่ละวิธีใช้ระยะเวลาในการรักษาและให้ผลลัพธ์ตลอดจนผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

1. สูตรอะโวคาโด นำเนื้ออะโวคาโด ปริมาณเพียงครึ่งลูกไปผสมกับนมสด ( รสธรรมชาติ ) ผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาขัดเบาๆ บริเวณใต้วงแขน เสร็จแล้วพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วเช็ดหรือล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำเป็นประจำได้ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เพียงเท่านี้สาวๆ ก็จะมีผิววงแขนที่ใสและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

2. สูตรมะขามเปียก พระเอกของสูตรนี้คงหนีไม่พ้นเจ้ามะขามเปียกสารพัดประโยชน์ วิธีคือเพียงนำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย จากนั้นคั้นให้ได้เนื้อครีมประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำผึ้งลงไปประมาณ 2-3 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกรักแร้ทิ้งไว้ 15 นาที ( สูตรนี้ไม่ต้องขัด ) เมื่อครบเวลาล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด จะช่วยลดอาการอักเสบของขนคุดจนเป็นเหตุให้เกิด รักแร้หนังไก่ แลดูผิวเรียบเนียนและกรดผลไม้จากมะขามยังทำให้วงแขนขาวขึ้นอีกด้วย

3. สูตรแตงกวา แตงกวานอกจากจะนิยมนำมาจิ้มกับน้ำพริกและเป็นเครื่องเคียงแสนอร่อยของหลายเมนูแล้ว อีกหนึ่งคุณประโยชน์ของแตงกวาคือช่วยลดการอักเสบ ช่วยให้ผิวรักแร้ขาวใสได้อีกด้วย วิธีการทำง่ายๆ เพียงล้างแตงกวาให้สะอาด จากนั้นปอกเปลือกออก เอาเนื้อไปปั่นหรือสับให้ละเอียด แช่เย็นสัก 10-15 นาที แล้วนำมาขัดวนใต้วงแขนเบา ๆ 10-15 นาที พอกทิ้งไว้อีก 20 นาที เมื่อครบเวลาล้างออกให้สะอาด

4. สูตรมะนาว โดยการนำมะนาวไปล้างให้สะอาด จากนั้นผ่าครึ่งแล้วบีบนำมะนาวออกใส่ภาชนะ ใช้เปลือกมะนาวชุบน้ำมะนาวที่บีบไว้แล้วนำมาขัดถูผิวใต้วงแขน ทิ้งไว้เพียง 5 นาที แล้วล้างออก หากทำได้อย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รักแร้จะดูขาวและเรียบเนียนขึ้น เพราะกรดอ่อนๆ จากมะนาวมีส่วนช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก (หากเพิ่งโกนหรือถอนขนควรหลีกเลี่ยงวิธีนี้เพราะอาจทำให้ปวดแสบผิวได้)

5. สูตรมันฝรั่ง นำเนื้อมันฝรั่งดิบปั่นรวมกับน้ำสะอาดเล็กน้อย จากนั้นห่อด้วยผ้าขาวบางนำมาขัดถูกให้ทั่วใต้วงแขน หรือจะนำเนื้อมันฝรั่งนั้นมาขัดเบา ๆ บนผิวใต้วงแขนโดยตรงก็ได้ เมื่อขัดเสร็จแล้วให้พอกทิ้งไว้ 10 นาที ค่อยล้างออก แป้งของมันฝรั่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีวิตามินซีที่ช่วยลดอาการตุ่ม รักแร้หนังไก่ และช่วยให้ผิวรักแร้กระจ่างใสขึ้น

6. เรตินเอ ( Retin A ) 0.05 % หรือ 0.025 % มักพบเจอได้ทั่วไปในรูปแบบของยารักษาสิว แต่ก็มีสรรพคุณช่วยรักษาอาการผิวหนังไก่ได้ โดยการนำมาทาวงแขนก่อนเข้านอน ในช่วงแรกที่ทาจะมีอาการรักแร้คล้ำขึ้น เกิดจากการที่ผิวหนังค่อยๆ ผลัดเซลล์เก่าออก จากนั้น 1 สัปดาห์ผิวหนังบริเวณนั้นจะเริ่มลอกพร้อมทั้งตุ่มหนังไก่ก็หลุดลอกออกไปด้วย เมื่อผิวเริ่มลอกให้ทายาน้อยลงและทาแบบวันเว้นวัน จนในที่สุดเมื่อได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ วงแขนกลับมาเรียบใสแล้วจึงค่อยหยุดใช้ยา ( เรตินเอถือเป็นตัวยาอันตรายไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลาต่อเนื่องและสตรีมีครรภ์ห้ามใช้โดยเด็ดขาด )

7. รักษาโดยการใช้เลเซอร์ในกลุ่ม YAG เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงก็ตาม วิธีนี้สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังทำให้ผิวใต้วงแขนดูขาวกระจ่างใสขึ้น โดยเลเซอร์มีคลื่นความยาวอยู่ที่ 1,064 นาโนเมตร ด้วยความเข้มข้นแสงที่สูงนี้จึงสามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้ลึกและเข้าไปกำจัดรากขนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเส้นขนได้โดยไม่ทิ้งรอยไหม้ไว้บนผิวหนัง ทั้งยังเหมาะกับทุกสภาพสีผิว ใช้ระยะเวลาในการรักษาเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น ก่อนรักษาแพทย์จะทาเจลเพื่อให้วงแขนรู้สึกชาและเย็นขึ้น เพื่อลดความเจ็บปวดและความร้อนจากการยิงเลเซอร์ หลังรักษาผิวหนังอาจมีอาการแดง บวมเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายใน 30 นาทีถึง 1 ขั่วโมง อาการข้างเคียงหลังจากยิงเลเซอร์ไปแล้ว 2-3 วัน คือผิวแห้งลอกเป็นขุย ซึ่งสามารถแก้ได้โดยการทาครีมบำรุงให้ความชุ่มชื้นและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงสัปดาห์แรกที่รักษา ที่สำคัญคือต้องมีวินัยไปทำการรักษาอย่างต่อเนื่องอีก 5-8 ครั้งก็จะทำให้เส้นขนเริ่มบางและลดน้อยลง ปัญหาขนคุด ผิวหนังไก่ก็หายไปด้วยนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและน่าพึงพอใจในระยะยาว

8. รักษาโดยการทำ IPL ( Intense Pulsed Light ) เป็นอีกหนึงวิธีที่ช่วยกำจัดขนรักแร้ถาวรได้ เพราะเป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความยาวอยู่ที่ 500-1,200 นาโนเมตร เข้าไปทำลายรากขนต้นกำเนิดของปัญหาขนคุด วิธีนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถเลือกความถี่และความยาวคลื่นในการปล่อยแสงเลเซอร์แต่ละครั้งได้ นอกจากนี้แสงเลเซอร์ยังเข้าไปจับกับน้ำในเซลล์ของคอลลาเจนและฃ่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ผลที่ได้คือผิวจะเรียบเนียนและขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำซ้ำมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ทิ้งช่วงครั้งละ 3 อาทิตย์ หลังทำผิวอาจบวมแดงเล็กน้อยแต่จะค่อยๆ ดีขึ้น หลังการรักษาควรหลีกเลี่ยงแสงแดดพร้อมทั้งทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจไม่เหมาะกับผู้มีผิวเข้ม เนื่องจากแสงเลเซอร์ชนิดนี้มีคุณสมบัติจับกับเม็ดสีเข้มได้ดีจึงอาจทำให้เกิดจุดด่างขาวและรอยไหม้ได้

รักแร้เป็นส่วนที่มีรูขุมขนเยอะ มีผิวบอบบาง ง่ายต่อการระคายเคือง ดังนั้นหากไม่อยากประสบปัญหาผิว รักแร้หนังไก่ ที่เป็นอุปสรรคต่อความมั่นใจขณะสวมใส่เสื้อผ้าโชว์วงแขนแล้ว การป้องกันมิให้ผิวเกิดขนคุด รวมถึงการรักษาความสะอาด ดูแลบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้มีรักแร้นวลเนียน ชวนมองได้ไม่ยาก แต่หากกำลังประสบปัญหานี้อยู่ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะการรักษาด้วยวิธีข้างต้นก็จะช่วยให้เจ้าผิวหนังไก่ทุเลาลงจนหายไปได้ในที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Two Cases of a Rare Papular Disease Affecting the Axillary Region”. Archives of Dermatology. 138 (1): 16. 2002. doi:10.1001/archderm.138.1.16.

Freedberg, et al. (2003). Fitzpatrick’s Dermatology in General Medicine. (6th ed.). McGraw-Hill. p. 709. ISBN 0-07-138076-0.”Fox Fordyce Disease”. NORD (National Organization for Rare Disorders). synd/1512 at Who Named It.

เต้านมสองข้างไม่เท่ากันแก้ไขได้ไหม

0
เต้านมสองข้างไม่เท่ากันแก้ไขได้ไหม?
ความไม่สมมาตรเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือจากต่อมไร้ท่อต่างๆ
เต้านมสองข้างไม่เท่ากันแก้ไขได้ไหม?
ความไม่สมมาตรเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือจากต่อมไร้ท่อต่างๆ

เต้านม

เต้านม ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของผู้หญิง ขนาดของเต้านมที่ไม่เท่ากันมีความเชื่อมโยงกับเสน่ห์ของผู้หญิงโดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจแต่งงานอีกด้วย ปัญหาของขนาดเต้านมที่ไม่เท่ากันนี้จะแก้ไขได้อย่างไร ควรจะเป็นการผ่าตัดรูปแบบไหนที่จะทำให้ได้เต้านมที่มีขนาดสมดุลกันได้ แน่นอนว่าวิธีการรักษาก็จะแปรผันตามลักษณะของความไม่สมมาตรของเต้านมนั่นเอง

วิธีการแก้ไขความไม่สมดุลของเต้านม

โดยธรรมชาติแล้ว ถือเป็นเรื่องยากที่ขนาดของทรวงอกทั้งสองข้างจะสมมาตรกันอย่างสมบูรณ์ มักจะมีความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่ค่อยรับรู้ได้ด้วยตัวเองและก็ไม่จำเป็นต้องมีการรักษาอะไรเป็นพิเศษ ความไม่สมมาตรของทรวงอกนั้นเกิดจากเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือแม้แต่ผลพวงจากต่อมไร้ท่อต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. หากเป็นกรณีที่เต้านมข้างใดข้างหนึ่งมีองค์ประกอบภายในเจริญแบบผิดปกติ ในขณะที่เต้านมอีกข้างหนึ่งเป็นไปตามปกติอย่างที่ควรเป็น การรักษาก็จะเป็นเสริมเต้านมให้สมดุลกัน

2. เต้านมข้างใดข้างหนึ่งมีขนาดเล็ก และอีกข้างมีการเจริญเติบโตที่มากเกินไป แบบนี้จะรักษาด้วยการผ่าตัดตกแต่งเพื่อลดขนาดของเต้านมฝั่งที่มีขนาดใหญ่กว่า

3. เต้านมข้างหนึ่งมีการเจริญเติบโตและขยายตัวที่มากกว่า และเต้านมอีกข้างหนึ่งเป็นขนาดปกติ

4. ทรวงอกมีขนาดเล็กและไม่สมมาตร การรักษาเป็นการผ่าตัดปรับขนาดให้เกิดความเท่าเทียมเท่าที่จะเป็นไปได้

5. ทรวงอกมีขนาดใหญ่เนื่องจากเจริญมากเกินไปและไม่สมมาตรด้วย ก็จะใช้วิธีการลดขนาดส่วนที่ไม่เท่ากันเท่าที่จะเป็นไปได้

6. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทรวงอกหย่อนยานอย่างรุนแรง บางครั้งการผ่าตัดเต้านมออกก็เป็นสิ่งที่จำเป็น

7. ถ้าขนาดของเต้านมทั้งสองข้างมีขนาดที่ไม่แตกต่างกันมากจนเกินไป ก็สามารถดูแลรักษาได้ด้วยตัวเอง ขอยกตัวอย่างเป็นกรณีที่มีเต้านมด้านซ้ายเล็ก ก็ออกกำลังกายด้วยเครื่องขยายขนาดหน้าอกโดยเพิ่มจำนวนการยืดแขนข้างซ้ายให้มากกว่าอย่างจงใจ วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าอกและช่วยเพิ่มขนาดของหน้าอกเท่านั้น แต่การใช้แขนซ้ายยังสัมพันธ์กับการส่งเสริมพัฒนาการของสมองซีกขวา ซึ่งทำให้ผู้คนฉลาดขึ้นด้วย

นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้การนวดกับหน้าอกข้างซ้ายที่มีขนาดเล็กนั้น ด้วยการใช้มือขวา นวดวนทิศตามเข็มนาฬิกา 3 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 30 นาที คุณก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเต้านมได้ 
และถ้าหากทรวงอกมีช่องว่างระหว่างกลางที่กว้างเกินไป ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาและเลือกวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด เมื่อเราไม่สามารถแก้ไขอย่างถูกต้องได้ด้วยตัวเอง

โดยธรรมชาติขนาดของทรวงอกทั้งสองข้างจะไม่สมมาตรกันอย่างสมบูรณ์ มีความแตกต่างเล็กน้อย ซึ่งไม่ต้องมีการรักษาเป็นพิเศษ ความไม่สมมาตรเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือจากต่อมไร้ท่อต่างๆ

วิธีป้องกันความไม่สมมาตรของทรวงอก

ผู้หญิงจำนวนมากมักมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่สมมาตรของขนาดทรวงอก จากมุมมองทางการแพทย์ ไม่มีวิธีอื่นใดที่แก้ปัญหาความไม่สมดุลของทรวงอกได้ดีเท่ากับศัลยกรรมพลาสติก อย่างไรก็ตามปัญหานี้ก็ยังสามารถป้องกันได้ ดังนี้

1.การดูแลในช่วงวัยแรกรุ่น หมั่นคอยสังเกตว่าเต้านมทั้งสองข้างมีการเจริญเติบโตที่สมดุลกันหรือไม่ ถ้าเริ่มพบว่าเต้านมมีขนาดที่แตกต่างกันแล้วก็ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อหาสาเหตุของการพัฒนาขนาดเต้านมที่ไม่สมดุลกันและเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละกรณี อย่างเช่น การนวดเต้านมข้างที่มีขนาดเล็ก การขยายขนาดหน้าอก หรือเสริมสร้างความแข็งแรงของอกช่วงบน เพื่อกระตุ้นพัฒนาการของเต้านมข้างที่เล็กให้เทียบเท่ากับเต้านมอีกข้างหนึ่ง นั่นหมายความว่าการพัฒนาอย่างถูกต้องจะสามารถเปลี่ยนขนาดที่ไม่สม่ำเสมอของเต้านมได้ในช่วงที่ยังเป็นระยะเติบโตนี้   

2.ช่วงของการให้นมบุตร เป็นอีกช่วงที่มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาทรวงอกไม่สมมาตรได้เช่นเดียวกัน หากก่อนให้นมบุตรเต้านมมีขนาดที่แตกต่างกัน ให้เพิ่มจำนวนการในนมบุตรด้วยเต้านมข้างที่มีขนาดเล็ก การทำแบบนี้จะกระตุ้นให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้ แต่ก็ยังต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอด้วยการหมั่นส่องกระจกและสำรวจอย่างระมัดระวัง หลังจากช่วงเวลาการให้นมที่ยาวนานขนาดของเต้านมที่เคยเล็กนั้นก็จะถูกแก้ไขไป

3.ควรสังเกตด้วยว่าความสมมาตรของทรวงอกที่มีมาก่อนให้นมบุตรนั้นไม่ได้สูญเสียไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเทคนิคการให้นมบุตรนั้นกลับมีผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับความต้องการ ซึ่งถือเป็นกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า และนั่นก็อิงตามกฎเกณฑ์ในเชิงชีววิทยาทั่วไป เต้านมที่มีขนาดเล็กแต่ถูกใช้งานอย่างเหมาะสม ส่วนของต่อมต่างๆ ในเต้านมก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปริมาณของเต้านมเพิ่มขึ้นด้วย หลังจากผ่านช่วงการหย่านมไป หากเต้านมข้างที่เคยเล็กยังคงแบนราบเมื่อเทียบกับอีกฝั่งอยู่ ก็ยังมีอีกหนทางหนึ่ง ในชีวิตประจำวัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ใช้มือขวาเป็นหลัก กล้ามเนื้อหน้าอกด้านขวาจึงมีมากกว่าด้านซ้าย การไหลเวียนของโลหิตก็ดีด้วย ฮอร์โมนก็ถูกกระตุ้นให้ไปทำงานยังบริเวณเต้านมนั้นมากขึ้น เนื้อเยื่อต่างๆ ก็พัฒนาอย่างสมบูรณ์และกระบวนการเผาผลาญพลังงานในส่วนของเต้านมก็ย่อมมีประสิทธิภาพ ในขณะที่แขนซ้ายซึ่งไม่ค่อยได้ใช้มากนักก็จะส่งผลให้หน้าอกข้างซ้ายมีขนาดเล็กนั่นเอง ถ้าปรับเปลี่ยนวิธีการใช้แขนให้สมดุลก็จะช่วยปรับขนาดของเต้านมได้ แต่ว่ามันค่อนข้างจะเป็นไปได้ยากในวัยผู้ใหญ่ เพราะกล้ามเนื้อต่างๆ เริ่มคงที่แล้ว อย่างไรก็ตามการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอกก็ยังส่งเสริมความแน่นของทรวงอกได้อยู่ดี

ทั้งสามเหตุผลนี้เป็นกุญแจสำคัญในการลดขนาดของเต้านม ทำไมเราจึงควรให้ความสำคัญกับการทำให้ทรวงอกมีความสมมาตรให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นก็เพราะว่า จากผลการวิจัยของนักวิจัยชาวต่างชาติระบุไว้ว่า อัตราส่วนของปริมาณเต้านมข้างหนึ่งต่อปริมาณเต้านมอีกข้างหนึ่ง ยิ่งมีค่าน้อยเท่าไรก็ยิ่งลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมเท่านั้น และแน่นอน ในทางตรงกันข้ามหากมีค่าอัตราส่วนที่สูงก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม มหาวิทยาลัย Liverpool และมหาวิทยาลัย Central Lancashire ผู้เชี่ยวชาญในประเทศอังกฤษได้ทำการเอ็กซเรย์ทรวงอกของผู้หญิงที่มีสุขภาพดีจำนวน 504 คน และมีการวัดปริมาณของทรวงอกด้วย อัตราส่วนของปริมาณเต้านมต่อสุขภาพร่างกายของผู้หญิงที่ได้นั้นอยู่ที่ไม่เกิน 2.5% ขณะที่กลุ่มผู้หญิงซึ่งเป็นโรคมะเร็งเต้านมจะมากกว่า 2.7% แสดงให้เห็นว่าค่าอัตราส่วนที่มากกว่ามีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมที่สูงกว่าด้วย
จากนั้นขนาดของทรวงอกก็จะเริ่มแตกต่างกัน แล้วมะเร็งเต้านมเกิดขึ้นได้อย่างไร จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ นี่คือ

ปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคเต้านม

1. ด้วยเหตุที่ขนาดของเต้านมทั้งสองข้างแตกต่างกัน ทำให้ส่วนของเนื้อเยื่อภายในเต้านมกระจายตัวอย่างไม่สม่ำเสมอ ซึ่งนั่นทำให้ความไวต่อความรู้สึกที่ระคายเคืองของต่อมฮอร์โมนนั้นแตกต่างกันไปด้วย ส่วนที่มีค่าความไวต่อการระคายเคืองของต่อมฮอร์โมนที่มากกว่า ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเต้านมสูงกว่า

2. ด้วยขนาดของทรวงอกที่แตกต่างกัน ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อภายในทรวงอกที่ต่างกัน ส่วนที่มีเนื้อเยื่อเต้านมเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่นจะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมมากกว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะส่วนที่มีค่าความหนาแน่นสูงจะอ่อนไหวต่อการกระตุ้นฮอร์โมนเอสโตรเจน

3. ด้วยขนาดทรวงอกที่แตกต่างกัน ทำให้เมตาโบไลท์ ( metabolites ) หรือสารที่ใดๆ ที่เกิดจากปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ในเมแทบอลิซึม ซึ่งถูกผลิตขึ้นภายในเต้านมมีปริมาณแตกต่างกัน และอัตราการกำจัดสารเมตาโบไลท์ก็แตกต่างกันด้วย หากเต้านมด้านในมีการกำจัดสารตกค้างจากการเผาผลาญที่ช้ากว่าก็จะส่งผลให้เกิดโรค นอกจากนี้ปริมาณน้ำเหลืองที่แตกต่างกันก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคเกี่ยวกับเต้านมอื่นๆ ด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994.

การป้องกันและการแทรกซ้อนจากการ เสริมจมูก

0
การป้องกันและการแทรกซ้อนจากการเสริมจมูก
การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม เป็นการฉีดเพื่อนำวัสดุเข้าสู่อวัยวะของร่างกาย วัสดุจะต้องอยู่ในรูปของเหลวเพื่อให้สามารถผ่านเข็มเข้าสู่จมูก
การป้องกันและการแทรกซ้อนจากการเสริมจมูก
การที่จมูกเบี้ยวหรือคดอาจเกิดจากการบวมของเนื้อเยื่อ และเมื่ออาการบวมลดลงวัสดุมีการเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม

เสริมจมูก

การผ่าตัด เสริมจมูก เพื่อนำวัสดุหรือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกร่างกาย (Foreign Body materials) เข้าสู่ร่างกายย่อมมีความเสี่ยงที่ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านจากร่างกายอย่างแน่นอน แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและวัสดุที่นำเข้ามาใช้ในการเสริมจมูกด้วย ซึ่งวัสดุที่นำมาเสริมจมูกมีทั้งเนื้อเยื่อที่มาจาก

ธรรมชาติและวัสดุที่มาจากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ การนำเนื้อเยื่อสามารถนำมาได้จากผู้บริจาคอื่นและการนำเนื้อเยื่อมาจากอวัยวะอื่นภายในร่างกาย ซึ่งเนื้อเยื่อที่นำมาจากอวัยวะส่วนอื่นนั้นถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเกิดขึ้นแต่ว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดก็ต้องเจ็บตัวเนื่องจากการนำเนื้อเยื่อดังกล่าวมาใช้ จึงกล่าวได้ว่าต้องเจ็บตัวถึงสองครั้งในการ เสริมจมูก เพียงที่เดียว และบางครั้งปริมาณของเนื้อเยื่อหรือกระดูกที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในการเสริมจมูก จำเป็นต้องใช้วัสดุสังเคราะห์ร่วมด้วย ส่วนวิธีการเสริมจมูกด้วยการเติมวัสดุเข้าไปที่บริเวณด้านบนหรือด้านล่างของจมูก สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตามลักษณะขั้นตอนการทำ คือ
1.การผ่าตัดเสริมจมูกด้วยวัสดุแบบแท่ง
2.การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม ( Filler )

การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม ( Filler )

การทำจมูกหรือ เสริมจมูก ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม ( Filler ) คือ การฉีดเพื่อนำวัสดุเข้าสู่อวัยวะของร่างกาย วัสดุจะต้องอยู่ในรูปของเหลว เช่น น้ำ วุ้นหรือผงขนาดเล็กที่สามารถนำมาผสมน้ำหรือตัวทำละลายอื่นให้กลายเป็นของเหลว เพื่อที่จะสามารถทำการฉีดผ่านเข็มเข้าไปสู่จมูกได้ ซึ่งสารที่สามารถนำมาฉีดเข้าไปในร่างกายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

   [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.ของเหลวที่สามารถฉีดเข้าไปแล้วสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ( Permanent Filler )
สารชนิดนี้มีคุณสมบัติที่สามารถคงตัวอยู่หรือกระจายตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของคนไข้ได้ตลอดไป ซึ่งในระยะแรกกลังจากที่สารนี้เข้าไปแล้วลักษณะโดยรวมของจมูกจะดูสวยงาม แต่เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายจะรู้ว่าได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามาย่อมเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านขึ้น เช่น การอักเสบ บวมแดง ซึ่งอาการดังกล่าวจะเป็น ๆ หาย ๆ บางครั้งร่างกายจะทำการสร้างพังผืดที่มีลักษณะคล้ายเส้นใยมาห่อหุ้ม ส่งผลให้มีลักษณะเป็นก้อนที่มีผิวเป็นตะปุ่มตะป่ำ การรักษาอาการที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ยาก ซึ่งสารที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว คือ ซิลิโคนเหลว พาราฟินและซิลิโคนหงส์ที่ต้องนำมาผสมน้ำ ( Bioplastic )

2.ของเหลวที่สามารถฉีดเข้าไปแล้วสามารถละลายหายไปได้เอง
สารจำพวกนี้ได้มีการคิดค้นเพื่อให้สามารถคงอยู่ภายในร่างกายได้ประมาณ 1 ปี แล้วจึงจะสลายตัวไป เนื่องจากถ้าให้คงอยู่ยาวนานกว่านี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งไม่สามารถทำการรักษาให้หายได้ ซึ่งการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่

จมูกเพื่อทำการ เสริมจมูก ต้องทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญในการฉีดที่สูงมาก เนื่องจากหากเกิดความผิดพลาดในการฉีด เช่น การฉีดเข้าไปในเส้นเลือด ตา โพรงจมูกแล้ว อาจส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน เนื้อเยื่อที่อวัยวะเกิดการเน่าหรือตายได้ ถ้าหากเข้าไปในดวงตาอาจทำให้ดวงตามองไม่เห็นหรือตาบอดได้ และระหว่างที่สารนี้ยังสลายไปไม่หมด อาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนหรือโรคแทรกซ้อนกับร่างกายได้ เช่น การอักเสบ การบวมแดง ผิวหนังมีลักษณะที่ขรุขระ สารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น Hyalutonic acid เป็นต้น

การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม เป็นการฉีดเพื่อนำวัสดุเข้าสู่อวัยวะของร่างกาย วัสดุจะต้องอยู่ในรูปของเหลวเพื่อให้สามารถผ่านเข็มเข้าสู่จมูก

อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการเสริมจมูกที่พบได้บ่อย

การ เสริมจมูก สามารถสร้างจมูกที่มีรูปทรงที่สวยงาม ส่งผลให้ใบหน้ามีมิติน่ามองยิ่งขึ้น แต่ว่าการผ่าตัดเพื่อเสริมจมูกใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเพราะว่าในการผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการทำจมูกที่พบได้บ่อยครั้ง คือ

1.การติดเชื้อ
การผ่าตัดที่ไม่สะอาดหรือการผ่าตัดที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน ทั้งจากความชำนาญของแพทย์ ความสะอาดของสถานที่ผ่าตัด ความสะอาดและวัสดุที่นำมา เสริมจมูก ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ทั้งสิ้น การติดเชื้อสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะแรก คือ ระยะหลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน บวมแดง เนื่องจากการผ่าตัดที่มีความสะอาดน้อย หรือมีเลือดคั่งบริเวณจมูกหรือภายในโพรงจมูกซึ่งมีเชื้อโรคอยู่ภายในนั้น เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการไซนัสอักเสบ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว แพทย์จะต้องรีบนำสิ่งแปลกปลอมที่มีอยู่ในจมูกออกมาและทำความสะอาดแผลทันที พร้อมทั้งให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการอักเสบที่เกิดขึ้น

การติดเชื้อระยะที่สั้น คือ ระยะหลังจากผ่าตัดประมาณสัปดาห์ที่ 2 ถึงสัปดาห์ที่ 4 ลักษณะอาการจะคล้ายคลึงกับอาการในระยะแรก คือ มีอาการเจ็บ แดงและบวมเกิดขึ้นก่อนที่จะมีน้ำเหลืองไหลหรือน้ำหนองไหลออกมาจากแผลที่อยู่ภายในจมูก ซึ่งอาการนี้จะเกิดเนื่องจากแผลมีการดูแลรักษาที่ไม่ดี มีสิ่งสกปรกเข้าไปในแผลจนเป็นเหตุให้แผลเกิดการติดเชื้อและอักเสบได้ ซึ่งสามารถทำการรักษาได้ด้วยการทำความสะอาดแผลและให้ยาปฏิชีวนะ

การติดเชื้อในระยะกลาง คือ การติดเชื้อที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดตั้งแต่ 1 เดือนจนถึงหลายปี ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระยะกลางจะมีอาการบวมแบบเป็น ๆ หาย ๆ บางครั้งมีอาการแสบร้อนและบวมแดงร่วมด้วย หรือมีน้ำไหลออกมาจากจมูกเป็นครั้งคราว ซึ่งสาเหตุของการอักเสบมักไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อโรคที่มาการผ่าตัด แต่เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง เนื้อเยื่อหรือกระดูกที่อยู่ใกล้กับแผลที่ทำการผ่าตัด เช่น การเกิดสิวอักเสบ ไซนัสอักเสบ ผิวหนังติดเชื้อ เป็นต้น เชื้อโรคที่มาจากการอักเสบดังกล่าวจะเข้ามาที่บริเวณจมูกและส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ ถึงแม้ว่าการติดเชื้อแบบนี้จะไม่รุนแรงแต่ก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้หาย

2.จมูกเบี้ยวหรือคด
การที่จมูกเบี้ยวหรือคดเป็นอาการแทรกซ้อนที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็ตาม แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ง่ายและพบได้บ่อยที่สุดในการ เสริมจมูก ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นในระยะแรกไม่เกิน 2 สัปดาห์หลังจากที่ทำการเสริมจมูก อาจจะเกิดขึ้นจากการที่เนื้อเยื่อมีอาการบวม ดังนั้นเมื่ออาการบวมของกล้ามเนื้อลดลงแล้ววัสดุที่เสริมเข้าไปยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ แพทย์ยังสามารถทำการเคลื่อนย้ายวัสดุดังกล่าวให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ต้องการได้ แต่ถ้าอาการจมูกเบี้ยวเกิดขึ้นนานกว่า 2 สัปดาห์หลังจากทำการผ่าตัด แพทย์จะไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายตำแหน่งของวัสดุที่เสริมจมูกได้ จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อเคลื่อนย้ายวัสดุไปยังตำแหน่งที่ต้องการเท่านั้น เนื่องจากร่างกายมีการสร้างพังผืดขึ้นมายึดเนี่ยววัสดุจึงไม่สามารถขยับวัสดุดังกล่าวได้

3.ผิวหนังมีความหนาลดลง
การ เสริมจมูก ด้วยวัสดุสังเคราะห์หรือสิ่งแปลกปลอมชนิดอื่นข้าสู่จมูก วัสดุดังกล่าวจะมีการเสียดสีกับผิวหนังอยู่ตลอดเวลาส่งผลให้ผิวหนังที่มีการสัมผัสวัสดุเสริมจมูกมีขนาดที่บางลง ซึ่งจะทำให้วัสดุเกิดการทะลุออกมาจากผิวหนัง โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณปลายจมูกที่มีการเสริมให้โด่งขึ้นจนผิวหนังในส่วนปลายจมูกตึงแน่น การแก้ไขปัญหาสำหรับผิวหนังที่มีความหนาลดลงทำให้ด้วยการลดความสูงของบริเวณปลายจมูกให้อยู่ในระดับที่พอดีให้บริเวณปลายจมูกมีเนื้อหลงเหลือในปริมาณที่สามารถปิดวัสดุไม่ให้ทะลุออกมาได้ หรืออาจใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น กระดูกอ่อน เนื้อเยื่อ ของผู้เข้ารับการผ่าตัดมาใส่ในบริเวณปลายจมูก เพื่อที่ร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาคลุมส่วนปลายจมูกเพื่อลดความเสี่ยงในการทะลุของวัสดุเสริมจมูกออกมา

4.ผิวหนังทะลุ
อาการผิวหนังทะลุสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของจมูกที่ทำการเสริม แต่ที่พบได้บ่อยจะเกิดที่บริเวณปลายจมูก ซึ่งเมื่อเกิดอาการผิวหนังทะลุแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้นอย่างชัดเจน อาการแทรกซ้อนที่ตามมาหลังจากผิวหนังทะลุก็คือการติดเชื้อเป็นหนอง ส่งผลให้เนื้อเยื่อตาย ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณจมูกควรรีบไปพบแพทย์ในทันที่เพื่อทำการถอดวัสดุจมูกออกเพื่อป้องกันไม่ให้วัสดุทะลุเนื้อออกมาจนเกิดเป็นแผลเป็นขึ้น

การผ่าตัดเพื่อนำวัสดุหรือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาการต่อต้าน

5.สันจมูกมีลักษณะขรุขระไม่เรียบ
การที่ผิวหนังบริเวณจมูกมีลักษณะที่ขรุขระจะพบได้หลังจากที่ทำการ เสริมจมูก มากกว่า 1 ปี เนื่องจากร่างกายมีการสร้างพังผืดขึ้นมาคลุมวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกหรือมีแคลเซียมมาเกาะกับวัสดุ ส่งผลให้ผิวหนังจมูกมีลักษณะเป็นคลื่น ซึ่งสามารถทำการแก้ไขด้วยการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกให้มีความอ่อนนุ่มมากกว่าเดิม
อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นเพียงออย่างเดียวหรือเกิดขึ้นได้หลายอย่างในผู้ป่วยคนเดียว และอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่อาการแทรกซ้อนทุกอย่างสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งการป้องกันอาการแทรกซ้อนทำได้ดังนี้ 

  • ความพร้อมของร่างกาย
    ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูกต้องมีร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงในการผ่าตัดเสริมจมูก เช่น ไซนัสอักเสบ ไข้หวัด เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น หรือมีการรับประทานยาที่ลดการแข็งตัวของเลือดหรือได้รับยาที่มีผลยับยั้งการหายของแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดได้ เช่น การให้คีโม ยาฆ่าเชื้อมะเร็ง
  • สถานะทางการเงิน
    ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเสริมจมูกจะมีค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง ดังนั้นก่อนที่ผู้ป่วยจะเข้ารับการผ่าตัดควรเตรียมเงินให้พร้อมเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด เพราะในการ เสริมจมูก ยิ่งใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดก็จะสูงตามไปด้วย ค่าใช้จ่ายที่สูงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อย่าประหยัดเงินด้วยการเลือกใช้บริการกับสถานพยาบาลที่มีราคาถูกแต่ไม่มีมาตรฐานในการผ่าตัด
  • คลีนิก สถานบริการหรือโรงพยาบาล
    การผ่าตัด เสริมจมูก ถึงแม้ว่าจะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กส่วนมาก แต่ก็ควรทำการเลือกสถานที่ให้บริการที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาด ปลอดเชื้อและมีการแบ่งพื้นที่ใช้งานอย่างชัดเจน ว่าส่วนใดเป็นพื้นที่ทำการผ่าตัด ส่วนใดเป็นพื้นที่ต้อนรับผู้ป่วย ส่วนใดเป็นพื้นที่พักฟื้นของผู้ป่วย การกำหนดพื้นที่อย่างชัดเจนจะช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการผ่าตัดจากการติดเชื้อได้มีการับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลและกองการประกอบโรคศิลปะ จากกระทรวงสาธารณสุข มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
  • แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด
    แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เสริมจมูก มีความสำคัญ เพราะแพทย์ผู้มีความชำนาญและเชี่ยวชาญจะสามารถทำการผ่าตัดเสริมจมูกให้ได้รูปทรงที่สวยงามตามที่ต้องการ ในขณะที่ทำการผ่าตัดแพทย์จะต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของผู้เข้ารับการผ่าตัด และแพทย์ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรเฉพาะทางเกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งเกี่ยวกับการตกแต่งจมูก เพราะการอบรมเฉพาะทางจะช่วยให้แพทย์มีความรู้ความเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการศัลยกรรม รวมถึงสามารถป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
  • ศึกษาข้อมูล
    ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดควรทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมจมูกก่อนที่จะตัดสินใจทำการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาหลอกลวงใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพในการเสริมจมูก ดังนั้นการศึกษาหาข้อมูลอาจจะทำการสอบถามจากผู้รู้หรืออ่านเอกสารต่าง ๆ ก่อน เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกวัสดุ ขั้นตอนในการผ่าตัดเสริมจมูกที่ได้ผลดีที่สุด

การผ่าตัดเพื่อศัลยกรรม เสริมจมูก สามารถเนรมิตจมูกที่สวยงามตามที่ต้องการ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง การศัลยกรรมก็เช่นกัน แม้จะสามารถช่วยให้มีจมูกที่สวยงามขึ้นแต่ถ้าใช้วัสดุที่ไม่ดี แพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือสถานที่ที่ไม่มาตรฐาน ผู้ป่วยก็อาจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งสามารป้องกันได้ด้วยตัวของผู้เข้ารับการผ่าตัดและแพทย์ผู้ให้การรักษานั้นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ศัลยกรรมคิ้ว ดวงตาและใบหน้า

0
สัมพันธ์ของคิ้วต่อดวงตาและใบหน้า
การผ่าตัดเพื่อยกคิ้วนอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด
สัมพันธ์ของคิ้วต่อดวงตาและใบหน้า
การผ่าตัดเพื่อยกคิ้วนอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด

ศัลยกรรม

ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรม ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คนทุกเพศทุกวัยต่างให้ความสนใจที่จะสร้างความงามในแบบฉบับที่ตนเองต้องการ แม้ว่าจะไม่ได้สวยงามมาตั้งแต่เกิดแต่ปัจจุบันนี้เราก็สามารถจะสวยตามที่ต้องการได้ด้วยมือของแพทย์ศัลยกรรม ซึ่งการศัลยกรรมสามารถศัลยกรรมได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เช่น การเสริมนม การเสริมก้น การผ่าตัดตกแต่งใบหน้า เป็นต้น การศัลยกรรมแต่ละส่วนใช่ว่าจะสามารถทำการศัลยกรรมได้ตาที่ต้องการเสียทั้งหมด เพราะแพทย์จะต้องทำการประเมินก่อนว่าการทำผ่าตัดมีความจำเป็นหรือไม่สำหรับปัญหาที่ต้องการแก้ไข

ในกรณีของการผ่าตัดดวงจาเพื่อทำตาสองชั้นก็เช่นเดียวกันที่ไม่สามารถที่จะกำหนดได้ว่าจะต้องทำด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งโดยมากคนไข้ที่เข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่บริการด้านการ ศัลยกรรม จะเข้ามาบอกเล่าและอธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับหนังตาของตนเอง เพื่อให้แพทย์รับรู้ว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายและเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต เช่น อาการตาบวมที่ส่งผลให้ชั้นหนังตาลดต่ำลงมาหรือย้อยลงมาอยู่ที่บริเวณด้านหางตา ซึ่งเมื่อพิจารณาดูโดยรวมไม่สวยเหมือนตอนที่หนังตายังไม่บวมห้อยลงมา อาการเปลือกตาหย่อนจนทำให้ชั้นหนังตามีขนาดที่เล็กลง เป็นต้น โดยแพทย์จะทำการรับฟังและพิจารณาถึงลักษณะที่แท้จริงกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีใดบ้าง ซึ่งส่วนมาแล้วคำตอบที่แพทย์บอกกับคนไข้ที่เข้ามาปรึกษามักจะถูกใจคนไข้นั่นคือ ต้องทำการผ่าตัดที่บริเวณชั้นหนังตาบน การผ่าตัดที่บริเวณตาบนเพื่อทำการตัดหนังที่หย่อนคล้อยลงออกไป หรือทำการตัดชั้นไขมันที่อยู่ในเปลือกตาออกไปเพื่อลดขนาดของชั้นหนังตาให้บางลงและไม่ห้อยลงมาบังชั้นหนังตา พร้อมทั้งทำการเย็บชั้นหนังตาขึ้นมาใหม่ให้มีขนาดที่เหมาะสมกับดวงตา

ลักษณะของปัญหาที่เมื่อทำการผ่าตัด ศัลยกรรม

แต่ก็ใช่ว่าการผ่าตัดสร้างชั้นตาทุกครั้งจะสามารถสร้างชั้นตาที่สวยงามและเหมาะสมกับดวงตาและใบหน้าทุกครั้ง ซึ่งลักษณะของปัญหาที่เมื่อทำการผ่าตัด ศัลยกรรม แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นจากการศัลยกรรมออกมาไม่สวยดังที่ต้องการ คือ

1. เมื่อทำการยกคิ้วหรือเลิกคิ้วขึ้นแล้ว ชั้นตาที่มีอยู่มีลักษณะที่เหมาะสม เส้นชั้นตาชัดเจน เปลือกตามีความหนาที่พอดีไม่บวมเท่ากับขนาดของเปลือกตาในขณะที่ไม่เลิกคิ้ว

2. เมื่อทำการยกคิ้วหรือเลิกคิ้วแล้ว ลักษณะของคิ้วและเปลือกตาบนรับกันอย่างสวยงาม แต่เมื่อลดคิ้วลงเปลือกตาด้านบนหย่อนลงมา โดยเฉพาะบริเวณหางตาส่งผลให้ดวงตาดูเศร้า เหนื่อยล้าและแก่ไม่น่ามาอง

3. ลักษณะชั้นตาเดิมเหมาะสมกับดวงตาและใบหน้า ชั้นตาเดิมที่มีอยู่แล้วมีความเหมาะสมกับดวงตาไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป เมื่อมองโดยรวมแล้วชั้นตาไม่ได้ทำให้ใบหน้าดูหน้าเกลียดไม่สวยงาม เพราะว่าการทำชั้นตาถ้าเกิดความผิดพลาดแล้วจะส่งผลให้ชั้นหนังตาเปลี่ยนไปอย่างถาวร การที่จะนำชั้นหนังตาให้เหมือนเดิม 100% นั้นเป็นไปได้น้อยมาก ดังนั้นเมื่อทำการปรับเปลี่ยนลักษณะของชั้นตาแล้ว ชั้นหนังตาก็จะเปลี่ยนไปตลอด สวยหรือไม่สวยก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

4. ไม่ชอบมีรอยแผลเป็นบนเปลือกตา การผ่าตัด ศัลยกรรม สร้างชั้นตาจะหลงเหลือรอยแผลเป็นบนเปลือกตาเสมอ เพียงแต่ว่ารอยแผลเป็นทีเกิดขึ้นจะมีความชัดเจนหรือไม่ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์และลักษณะของแผลผ่าตัดที่เกิดขึ้น ซึ่งในขณะที่ลืมตาเราจะไม่เห็นรอยแผลเป็นดังกล่าว แต่เมื่อลับตาลงหรือทำการยกคิ้วขึ้นรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการตัดหนังตาส่วนเกินออกไปก็จะปรากฎให้ได้อย่างชัดเจน

5. สาเหตุที่แท้จริงของเปลือกตาที่บวมขึ้น การบวมของเปลือกตาที่เราเห็นอยู่อาจจะไม่ได้เกิดจากการที่เปลือกตามีการสะสมของไขมันในปริมาณที่สูง สำหรับคนที่มีรูปร่างผอมบางแต่สังเกตว่าเปลือกตาของตนบวมมาก ความน่าจะเป็นเกี่ยวกับการสะสมไขมันที่บริเวณเปลือกตาจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ในทางกลับกันลองพิจารณาดูว่าการที่เปลือกตาบวมอาจจะเกิดจากการโค้งของเปลือกตาก็เป็นได้ การโค้งของเปลือกตาจะมีลักษณะเหมือนกับการโค้งของกระดาษ ซึ่งเราสามารถทำให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น ด้วยการนำกระดาษ A4 มาถือที่ปลายทั้งสองข้างแล้วทำการโค้งปลายทั้งสองด้านเข้าหากันจะพบว่าส่วนกลางของกระดาษมีลักษณะที่โค้งนูนขึ้นมา ซึ่งคล้ายกับลักษณะของเปลือกตาที่เมื่อยกคิ้วขึ้นเปลือกตาจะมีลักษณะของชั้นตาที่พอดี แต่พอลงคิ้วลงอยู่ในสภาวะปกติ เปลือกตากลับดูนูนบวมขึ้นอย่าง

จากลักษณะของเปลือกตาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าการบวมของเปลือกตาไม่มีเกิดขึ้นจากความหย่อนยานของผิวหนังที่เปลือกตาหรือเปลือกตามีปริมาณไขมันมากแต่อย่างใด แต่สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาหนังตาตกที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากลักษณะที่ผิดปกติของคิ้ว ดังนั้นถ้าต้องการแก้ไขก็ต้องทำการผ่าตัด ศัลยกรรม เพื่อยกคิ้วขึ้นไปให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ปัญหาหนังตาตกหรือหนังตาบวที่เกิดขึ้นก็จะหายไปเอง แต่การผ่าตัดยกคิ้วแสดงว่าคิ้วต้องมีการเปลี่ยนตำแหน่งขึ้นไปอยู่สูงขึ้นด้วย ซึ่งก่อนที่จะทำการผ่าตัดต้องทดสอบดูก่อนว่าตำแหน่งใหม่ของคิ้วมีความเหมาะสมกับใบหน้าหรือไม่ หรือตำแหน่งคิ้วใหม่นี้สวยถูกใจเจ้าของหรือไม่ เพราะความชอบของแต่ละบุคคลมีความต่างกัน บางคนชอบคิ้วที่อยู่ในระดับโหนกคิ้วที่เหมาะสมกับรูปหน้า บางคนชอบคิ้วที่ยกสูงหรือที่เรียกว่าคิ้วงิ้ว ซึ่งความชอบที่ต่างกันจะส่งผลถึงการตัดสินที่ใจที่จะผ่าตัดเพื่อยกคิ้วขึ้นนั่นเอง

การผ่าตัด ศัลยกรรม เพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งของคิ้วด้วย ก็คือการย้ายคิ้วให้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่เรายกคิ้วนั่นเอง การผ่าตัดคิ้วไม่สามารถทำได้ทุกคน บุคคลที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดยกคิ้วได้ คือ คนที่มีการสักคิ้วถาวร คนที่ไม่ชอบคิ้วที่ยกขึ้นสูง คนที่มีคิ้วสูงยู่แล้วตามธรรมชาติถ้าผ่าตัดยกคิ้วจะทำให้ดูไม่สวย บุคคลเหล่านี้ไม่สมควรทำการผ่าตัดเพื่อยกคิ้ว และก่อนที่จะทำการผ่าตัดยกคิ้ว เราต้องทำความเข้าใจถึงตำแหน่งกับลักษณะของคิ้วที่จะเกิดขึ้นหลังจากทำการผ่าตัด รวมถึงต้องทำการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงมาก เพราะการผ่าตัดยกคิ้วมีความเสี่ยงที่ต้องยอมรับเสียก่อนว่าการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งคิ้วนี้เมื่อผ่าตัดแล้วตำแหน่งคิ้วจะเปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนมากแล้วตำแหน่งของคิ้วจะยกสูงขึ้น แต่ก็มีในบางรายที่ทำการผ่าตัดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเพียงพอ ทำให้คิ้วไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการและคิ้วยังตกต่ำลงมากว่าตำแหน่งเดิมอีก  

ลักษณะของคิ้วที่สวย

1. คิ้วสูงจากดวงตาพอเหมาะไม่สูงหรือต่ำเกินไป 

คิ้วที่สวยจะต้องมีความสูงจากชั้นของตาประมาณ 1 เซนติเมตร ไม่อยู่ต่ำจนชิดบริเวณชั้นตาและไม่อยู่สูงจากชั้นตามากกว่า 1.5 เซนติเมตร ส่วนมากในผู้ชายจะพบว่ามีคิ้วที่อยู่สูงจากชั้นตามากกว่า 1.5 เชนติเมตร ส่วนในผู้หญิงแล้วการมีคิ้วที่สูงมาก ๆ จะเรียกว่าคิ้วงิ้วเหมือนกับตัวละครที่แสดงงิ้วจะต้องแต่งหน้าและคิ้วที่โก้งสูงกว่าความเป็นจริง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อสร้างจุดสนใจให้กับคนดู แต่ในชีวิตจริงแล้วการมีคิ้วแบบงิ้วจะทำให้ใบหน้าดูหลอกตาไม่น่ามอง

2. หางคิ้วยกสูง

คิ้วที่สวยที่ส่วนของหางคิ้วจะต้องยกสูงกว่าหัวคิ้ว ไม่ต่ำกว่าหัวคิ้ว เพราะถ้าหางคิ้วต่ำกว่าหัวคิ้วจะทำให้ลักษณะโดยรวมของดวงตาแลดูเศร้า เหมือนเวลาที่นักวาดการ์ตูนต้องการสื่ออารมณ์ของตัวการ์ตูนว่ากำลังเศร้าเสียใจ จะทำการวาดดวงตาให้คิ้วตกลงมาต่ำกว่าหัวตายิ่งต่ำมากก็จะทำให้รู้สึกเศร้ามาก ดังนั้นคิ้วที่สวยงามทำให้ใบหน้าดูสดชื่นหางคิ้วจะต้องสูงกว่าหัวคิ้วเล็กน้อย

การผ่าตัด ศัลยกรรม เพื่อยกคิ้วนอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด

วิธีการผ่าตัดยกคิ้ว

การผ่าตัดเพื่อยกคิ้วจะประสบความสำเร็จได้ออกมาสวยงามหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อทำการผ่าตัดออกมาแล้วลักษณะของคิ้วที่ออกมานั้นสวยงามถูกใจผู้เป็นเจ้าของใบหน้ามากน้อยแค่ไหน นอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด ว่าสามารถคงอยู่ได้ยาวนานเท่าใด เนื่องจากการผ่าตัดยกคิ้วต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการผ่าตัดสูงมาก ซึ่งวิธีการผ่าตัดยกคิ้วมีอยู่ด้วยกันดังนี้

1. การเปิดแผลโดยการกรีดบริเวณก้านบนของคิ้ว ( Direct Brow Lift )

การผ่าตัด ศัลยกรรม ยกคิ้วด้วยการกรีดบริเวณด้านบนของคิ้วเป็นการผ่าตัดรูปแบบที่มีการใช้งานกันมานาน ซึ่งการผ่าตัดแพทย์จะทำการฉีดยาชาและกรีดเพื่อเปิดแผลที่บริเวณเหนือคิ้วเล็กน้อย แล้วทำการตัดผิวหนังที่อยู่ในบริเวณคิ้วด้านบนออกไปและทำการเย็บเพื่อดึงกล้ามเนื้อบริเวณคิ้วให้ยกขึ้นไป การผ่าตัดวิธีนี้ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดจะต้องทำการพักฟื้นประมาณ 10 วันจึงจะสามารถตัดไหมออกได้ วิธีการยกคิ้วแบบนี้นับเป็นวิธีที่ช่วยยกคิ้วอย่างได้ผลและเกิดข้อผิดพลาดน้อยมาก แต่ว่าข้อเสียของการผ่าตัดวิธีนี้ก็คือ รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดจะสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

2. การเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผาก ( Pretrichial Incision Brow Lift )

การ ศัลยกรรม วิธีนี้ทำด้วยการผ่าตัดเปิดแผลด้วยการกรีดแผลตลอดแนวของหน้าผาก และทำการดึงกล้ามเนื้อขึ้นมาเพื่อรั้งคิ้วให้ขึ้นสูงตามมาด้วย ก็เหมือนกับการดึงหน้าผากให้ตึงแล้วคิ้วยกขึ้นตามนั่นเอง ในการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผากแพทย์จะต้องทำการวางสลบเพราะในการผ่าตัดต้องทำการเปิดแผลขนาดใหญ่ เพื่อที่แพทย์จะสังเกตเห็นเส้นประสาท เส้นเลือดที่อยู่ภายในหน้าผากได้อย่างชัดเจนเวลาที่ทำการดึงเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อขึ้นมาเย็บ ป้องกันการกระทบกระเทือนของเส้นเลือดและเส้นประสาทที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะที่ทำการเย็บแผล การผ่าตัดเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผากนอกจากจะสามารถช่วยยกคิ้วให้สูงขึ้นได้แล้ว ยังสามารถช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผากอย่างได้ผลอีกด้วย

ข้อเสียของการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผากคือ แผลที่กรีดเปิดมีขนาดที่ใหญ่จึงต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานและรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดก็รักษาให้หายได้ยาก นอกจากนี้การดึงกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่บริเวณหน้าทั้งหมดทำให้กะระยะความสูงของคิ้วได้ยาก บางครั้งคิ้วที่ยกขึ้นมาอาจสูงหรือต่ำกว่าที่ต้องการได้

3. การผ่าตัดผ่านกล้อง ( Endoscopic Brow Lift )

วิธีนี้เป็นวิธีการผ่าตัดที่ล้ำสมัยที่สุด ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เข้ารับการผ่าตัดที่ไม่ต้องการให้เกิดรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด ศัลยกรรม การผ่าตัดการผ่าตัดผ่านกล้องได้นำกล้องส่อง Endoscopic มาใช้ในการผ่าตัด โดยแพทย์จะทำการกำหนดจุดที่จะทำการสอดกล้องเข้าไปและทำการตัดหนังที่ไม่ต้องการออกและทำการเย็บเนื้อเยื่อเพื่อดึงรั้งให้คิ้วยกสูงขึ้น แผลที่เกิดขึ้นจะเป็นการเปิดแผลเพื่อที่จะส่งกล้องเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการตัดและเย็บหนังเพื่อยกคิ้ว แผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดประมาณ 1-4 เซนติเมตร แล้วทำการเลาะผิวหนังชั้นนอกออกมาจากหน้าผากและลงไปยังที่บริเวณคิ้ว แล้วทำการเย็บดึงรั้งเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อที่บริเวณคิ้วเพื่อรังคิ้วให้ยกสูงขึ้น ซึ่งตำแหน่งของแผลที่เกิดขึ้นจะอยู่ในตำแหน่งที่สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน เช่น บริเวณไรผม หลังหู กกหู หัวตา หางคิ้ว เป็นต้น ซึ่งการผ่าตัดนอกจากจะช่วยยกคิ้วให้สูงและโก่งขึ้น แล้วยังสามารถช่วยให้ดวงตาดูโตขึ้นได้อีกด้วย การผ่าตัดการผ่าตัดผ่านกล้องเป็นวิธีที่นิยมกันมากในปัจจุบันนี้เนื่องจากหลังการผ่าตัดไม่มีรอยแผลเป็นที่ชัดเจน แผลที่เกิดขึ้นขณะผ่าตัดมีขนาดเล็กดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น อาการชา อาการการกล้ามเนื้อกระตุก

อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดเพื่อยกคิ้วมีอยู่ด้วยกันหลายอย่างขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย คือ อาการชาที่บริเวณหน้าผากเนื่องจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อได้รับความกระทบกระเทือนซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองหลังจากพักรักษาตัวแล้วประมาณ 2-3 เดือน อาการเลือดคั่งที่บริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดนั่นเอง

คิ้วเป็นมงกุฎของหน้า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ถ้าทั้งคิ้วและดวงตาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็จะส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สวยงามน่ามองมากยิ่งขึ้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีคิ้วและดวงตาที่สวยเหมาะเจาะมาตั้งแต่เกิดทุกคน ดังนั้นการ ศัลยกรรม ยกคิ้วนับเป็นทางเลือกที่ช่วยเสริมความงามให้กับคิ้วและดวงตาเพื่อใบหน้าที่งดงาม

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

แก้ไขตาล่างด้วยการศัลยกรรม

0
แก้ไขตาล่างด้วยการศัลยกรรม
การศัลยกรรมแก้ไขบริเวณด้านล่างสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยงามให้ดวงตาขึ้นได้ ปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณตาล่าง เช่น ริ้วรอย ถุงใต้ตา เบ้าตา
แก้ไขตาล่างด้วยการศัลยกรรม
การศัลยกรรมแก้ไขบริเวณด้านล่างสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยงามให้ดวงตาขึ้นได้ ปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณตาล่าง เช่น ริ้วรอย ถุงใต้ตา เบ้าตา

ศัลยกรรมตา

ศัลยกรรมตา เป็นเสริมสร้างดวงตาให้สวยงาม มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีส่วนมากจะเน้นไปทางการเสริมชั้นตาและการเปิด-ปิดหัวตา เพื่อเสริมให้ดวงตาแลดูกลมโตและเรียวยาวขึ้น แต่ใช่ว่าการศัลยกรรมดวงตาจะมีเพียงการเสริมชั้นตาและการเปิด-ปิดหัวตาที่สามารถช่วยให้ดวงตาสวยงามขึ้นได้ การศัลยกรรมบริเวณด้านล่างของตาก็สามารถช่วยให้ดวงตาดูสวยขึ้นได้เช่นกัน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

บริเวณตาล่างที่พบปัญหาได้บ่อย

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริเวณตาล่างมีปัจจัยจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น เพศ อายุและลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอด ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณตาล่างและสามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดทำหัตถการเพื่อเสริมสร้างความงามให้กับดวงตา สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบใหญ่ ดังนี้

1.ริ้วรอยใต้ดวงตา
ปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตาเป็นปัญหาที่สามารถพบได้กับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับเฉพาะผู้ที่มีอายุสูงมากเท่านั้น ปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตาที่รู้จักกันดี เช่น ริ้วรอยใต้ตา รอยตีนกา เป็นต้น สาเหตุของการเกิดริ้วรอยมีอยู่ด้วยกัน คือ
1.1 การแสดงอารมณ์
การแสดงอารมณ์เป็นเรื่องปกติในการดำรงชีวิต แต่ถ้ามีการแสดงอารมณ์มากเกินไป (Over Action) ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น และยิ่งมีการแสดงอารมณ์ที่ต้องใช้การทำงานของกล้ามเนื้อมาก เช่น การยิ้ม การหัวเราะ ขมวดคิ้ว ย่นจมูกหรือหน้าผาก การเลือบมอง การร้องไห้ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อที่บริเวณดวงตาเกิดริ้วรอยและรอยย่นได้

1.2 การโดนแสงแดดหรือแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
แสงแดดหรือแสงจากหน้าคอมพิวเตอร์มีอันตรายที่ช่วยกระตุ้นการเกิดริ้วรอยได้ เนื่องจากรังสีอัตราไวโอเล็ตที่อยู่ในแสดงแดดที่จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างอนุมูลลอิสระที่มีส่วนสำคัญในการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้ผิวเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น รวมถึงแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือก็เป็นตัวกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระได้เช่นเดียวกับแสงแดด
1.3 อายุ
อายุนับเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจนและอีสลาสตินจะมีน้อยลง ส่งผลให้ผิวหนังเกิดความเสื่อมซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอยบนใบหน้าและรอบดวงตาด้วย ริ้วรอยรอบดวงตาจะเริ่มสังเกตได้เมื่อมีอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไปและจะชัดเจนเมื่ออายุเข้าช่วง 30 ปีตอนปลาย

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.ถุงใต้ตา (Baggy Eye Lid)
เมื่อมีอายุมากขึ้นลักษณะของโครงสร้างเบ้าตาและบริเวณ ตาล่าง จะมีการเปลี่ยนแปลงเกดขึ้น เนื่องจากมีการสะสมไขมันในส่วนของถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตามากขึ้น ก้อนไขมันที่สะสมอยู่ในถุงไขมันจะเริ่มจากการสะสมทีละน้อยทีละน้อย ซึ่งในช่วงแรกจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่เมื่อก้อนไขมันมีขนาดที่ใหญ่ถุงใต้ตาจะสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมองมุมใด ถุงใต้ตาก็จะมีลัษณะที่เห็นได้เด่นชัด ถุงใต้ตาสามารถเติบโตมากขึ้นตามปริมาณของไขมันที่สะสมอยู่ในบริเวณดังกล่าว และ ถุงใต้ตา จะทำการถ่วงน้ำหนักตามแรงดึงดูดของโลก ดังนั้นเมื่อผิวหนังเกิดความเสี่อม ถุงใต้ตาจะมีลักษณะหย่อคล้อยได้อีกด้วย

3.เบ้าตาหมองคล้ำ
เบ้าตาที่เกิดขึ้นมีอยู่ด้วย 2 ลักษณะตามสาเหตุของการเกิด คือ
3.1เบ้าตาที่หมองคล้ำตามธรรมชาติ
การหมองคล้ำของเบ้าตาสามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุของความหมองคล้ำ คือ
1.การไหลเวียนของเลือดไม่ดี
ถ้าบริเวณ เบ้าตา มีการไหลเวียนของเลือดไม่ดี จะส่งผลให้เส้นเลือดดำมีการขยายตัวมากขึ้น ทำให้มีการคั่งค้างของเลือดดำในบริเวณดั่งกล่าว หรือการที่เส้นเลือดฝอยไม่แข็งแรงทำให้เลือดมีการซึมออกมาจากเส้นเลือดฝอย เป็นสาเหตุที่ทำให้บริเวณเบ้าตามีลักษณะหมองคล้ำ
2.ความผิดปกติของเม็ดสีผิว
บางครั้งที่บริเวณเบ้าตามีการสะสมของเม็ดสีผิวในปริมาณที่สูงกว่าบริเวณอื่น จึงส่งผลให้บริเวณเบ้าตามีสีเข้มแลดูหมองคล้ำได้
3. อาการแพ้
การแพ้สารเคมีที่อยู่ในเครื่องสำอางบางชนิด ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณเบ้าตาเกิดการอักเสบ ได้รับความระคายเคือง ทั้งจากปฏิกิริยาระหว่างสารเคมีกับผิว หรือการขยี้การถูเพื่อลดการระคาย ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เบ้าตาหมองคล้ำได้เช่นกัน
4. มลพิษจากสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่สามารถกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองที่บริเวณเบ้าตา เช่น แสงแดด ฝุ่น ควัน แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอมือถือจะทำให้ผิวที่บอบบางในบริเวณเบ้าตาได้รับการอักเสบหรือการระคายเคืองชนิดเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความหมองคล้ำตามมาได้

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3.2เบ้าตาที่หมองคล้ำเนื่องจากการผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออก
การตัดเอา ถุงใต้ตา ออกมากจนเกินไป ไม่ว่าสาเหตุที่ทำให้ต้องผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออกจะมาจากอะไรก็ตาม ถ้ามีการผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออกมาแล้ว ทำให้ผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวมีการฝ่อตัวลงและเกิดการยุบตัวมากกว่าปกติ และยิ่งในช่วงที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอร่วมด้วยแล้ว จะส่งผลให้เบ้าตาดูลึก มีความหมองคล้ำมากขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาหลัก ๆ ที่ส่งผลให้เบ้าตาล่างดูไม่สวยงาม การศัลยกรรมสามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างได้ผล ซึ่งเราจะกล่าวถึงขั้นตอนการแก้ไขปัญหาและข้อดีข้อเสียของการแก้ไขว่าเป็นอย่างไรบ้าง
การแก้ไขปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตา

การแก้ไขริ้วรอยใต้ดวงตาจะใช้วิธีการใดขึ้นอยู่กับลักษณะของริ้วรอยที่เกิดขึ้นว่ามีความตื้นหรือลึกมาน้อยเพียงใด ถ้าริ้วรอยมีลักษณะที่ไม่ลึกมากแล้ว จะทำการลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นโดยใช้เลเซอร์หรือการใช้ Botulinium toxin ทำการฉีดเข้าไปใต้ผิวเพื่อเติมเต็มช่องว่างทำให้ผิวหนังมีความเต่งตึงจึงสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้ เมื่อทำการลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้แล้ว แต่ด้วยปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยมีอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ฝุ่น ควัน ดังนั้นควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีประสิทธิภาพช่วยบำรุงผิวเพื่อความชุ่มชื่นให้กับผิวที่บริเวณ เบ้าตา รวมถึงการทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสีอัตราไวโอเลตเข้ามาทำลายเซลล์ผิวให้เกิดความเสื่อมขึ้น แต่ถ้าริ้วรอยบริเวณรอบดวงตามีขนาดที่ลึกและขนาดที่ใหญ่มาก การใช้เลเซอร์และการฉีดการใช้ Botulinium toxin ไม่สามารถช่วยลดริ้วรอยได้ทั้งหมด แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเอาหนังส่วนเกินออกและทำการเย็บหนังที่บริเวณดังกล่าวขึ้นใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเต็งตึง การผ่าตัดจะสามารถลดเลือนริ้วรอยได้ดีที่สุด

การศัลยกรรมแก้ไขบริเวณด้านล่างสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยงามให้ดวงตาขึ้นได้ ปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณตาล่าง เช่น ริ้วรอย ถุงใต้ตา เบ้าตา

การแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา

การแก้ปัญหาถุงใต้จะเน้นไปถึงการแก้ปัญหาที่สาเหตุของการเกิดถุงใต้ตา เนื่องจากถ้าสามารถแก้ได้ตรงจุดแล้ว จะสามารถทำให้ ถุงใต้ตา ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด การแก้ไขปัญหาแพทย์จะทำการวินิจฉัยจาก อายุ เพศ โรคประจำตัว ลักษณะของถุงใต้ตา ความหย่อนคล้อยของผิวหนังใต้ตา ซึ่งสามารถแบ่งแนวทางในการรักษาถุงใต้ตาได้ ดังนี้  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.การผ่าตัดแก้ไขผ่านเยื่อบุตา
การผ่าตัด เยื่อบุตา ด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุน้อย มีปัญหาเกี่ยวกับถุงใต้ตาเท่านั้น ผิวหนังบริเวณรอบเบ้าตาหรือบริเวณถุงใต้ตาไม่มีการหย่อนยาน และผู้เข้ารับการผ่าตัดเยื่อบุตาไม่ต้องการให้มีรอยแผลเป็น ซึ่งวิธีการผ่าตัด คือ
การศัลยกรรมจะทำการผ่าตัดผ่านเยื่อบุตาที่บริเวณด้านล่าง ซึ่งจะทำการเปิดแผลที่บริเวณเยื่อบุตาด้านล่างโดยแผลที่เปิดจะมีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร แล้วจึงทำการเปิดเนื้อเยื่อเพื่อที่จะเข้าไปถึงบริเวณถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ตา โดยแพทย์จะทำการย้ายถุงไขมันไปยังบริเวณที่มีลักษณะเป็นร่องลึกที่เป็นที่มาของความหมองคล้ำเมื่อมองจากด้านนอก หรือถ้าบริเวณใต้ตามีปริมาณไขมันที่ใหญ่มาก แพทย์จะนำถุงไขมันดังกล่าวออกมาเพื่อลดขนาดของถุงใต้ตาให้มีความพอดีกับดวงตา

ข้อดีของการผ่าตัดเยื่อบุตาวิธีนี้ คือ เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จแล้วจะไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นภายนอกให้เห็น สามารถช่วยแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา ร่องน้ำตาหรือรอยคล้ำใต้ตาได้ทั้งหมด การผ่าตัดจะทำการฉีดยาชาเฉพาะที่ผู้ป่วยจึงใช้เวลาในการพักฟื้นเพียง 2-3 วัน อาการบวมที่เกิดขึ้นก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และการผ่าตัดแบบนี้ไม่ได้ทำการผ่าตัดเพื่อเอาหนังออกมาด้วย เพียงแค่เอาถุงไขมันที่อยู่ใต้ผิวออกมาเท่านั้น จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแหก ตาปลิ้นได้
ข้อเสียของการผ่าตัดเยื่อบุตา วิธีนี้ คือ แพทย์ผู้ทำการรักษาจะต้องเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดแผลขนาดเล็ก ที่มีความเสี่ยงเมื่อเกิดการเสียเลือดในปริมาณที่มาก ซึ่งการระงับการไหลของเลือดมีความสำคัญเพราะการเสียเลือดหมายถึงความบอบช้ำของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบุบริเวณดังกล่าว ถ้าผู้ป่วยมีการเสียเลือดมากจะทำให้ต้องพักฟื้นนานขึ้น และโอกาสที่แผลจะติดเชื้อจะสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นแพทย์ที่ทำการผ่าตัดการผ่าตัดแก้ไขผ่านเยื่อบุตาจึงต้องมีความชำนาญและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษนั่น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

2.การผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตาแบบการจัดเรียงไขมัน และมีแผลที่ด้านนอกของขนตา
การผ่าตัดแบบนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับ ถุงใต้ตา ร่วมกับการมีริ้วรอยใต้ดวงตา ผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนยานหรือการมีร่องน้ำตาที่ลึก ซึ่งหลังจากทำการผ่าตัดแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นจะหายไปและสามารถอยู่ได้เป็นระยะเวลาที่นาน แต่ทว่าการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยจะมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้นที่บริเวณชิดกับขนตา ซี่งในระยะแรกหรือ 3 เดือนแรก รอยแผลเป็นดังกล่าวจะเห็นชัดเจนมาก และจะค่อย ๆ จางหายไปในระยะต่อมา
ขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะทำการเปิดแผลที่บริเวณขอบขนตาด้านล่าง และทำการเลาะเอาเนื้อเยื่อเพื่อเปิดทางไปยังบริเวณที่อยู่ของถุงไขมันที่อยู่ใต้ตา และทำการจัดการกับถุงไขมันดังนี้    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]
2.1 ถุงไขมันขนาดใหญ่
ในรายที่มีถุงไขมันขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการดึงถึงไขมันบางส่วนออกมาและทำการตัดออกไปเพื่อลดขนาดของถุงไขมันใต้ดวงตาให้มีขนาดเล็กลง เมื่อตัดถุงไขมันออกตามปริมาณที่ต้องการแล้วแพทย์จะทำการจัดแต่งเพื่อเพิ่มความตึงกระชับมากขึ้นให้กับกล้ามเนื้อของเปลือกตาล่าง และลดความโอกาสที่จะเกิดปัญหาถุงใต้ตาซ้ำขึ้นมาในอนาคต

2.2 ถุงไขมันขนาดเล็ก
ในรายที่มีขนาดถุงไขมันใต้ตาขนาดเล็กและมีร่องน้ำตาที่ค่อนข้างลึกมาก ผู้ป่วยที่มีถุงไขมันแบบไม่จำเป็นต้องทำการตัดถุงไขมัน แต่แพทย์จะทำการผ่าตัดและนำถุงไขมันใต้ตาทั้ง 3 กลุ่มออกมาและทำการเรียงหรือนำไปวางในส่วนที่ เบ้าตา หรือร่องน้ำตามีความลึกมากกว่าส่วนอื่น ๆ
ข้อดีของการผ่าตัดแบบนี้ คือ สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับถุงไขมันได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเอาถุงไขมันที่บริเวณใต้ตาออกมาทั้งหมด และสามารถนำถุงไขมันที่มีอยู่เดิมไปเติมในบริเวณที่มีปัญหาเบ้าตาและปัญหาร่องน้ำตำลึกได้ นอกจากนั้นยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหนังและกล้ามเนื้อที่มีความหย่อนคล้อยให้กลับมาเต็งตึงได้บางส่วน
ข้อเสียของการผ่าตัด คือ ลักษณะของแผลเป็นที่เกิดขึ้นในบริเวณขอบขนตาจะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงแรกและใช้ระยะเวลานานกว่ารอยแผลเป็นดังกล่าวจะจางหายไป

ถุงใต้ตา เกิดจากไขมันที่อยู่ในเบ้าตา ซึ่งมี 2 แบบคือ ถุงใต้ตาแท้ และถุงใต้ตาเทียม

การแก้ไขปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำ

การแก้ไขปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำก็เหมือนการแก้ไขปัญหาใต้ดวงตาแบบอื่น ที่เน้นไปทำการรักษาที่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำขึ้นมา ซึ่งการรักษาสามารถแบ่งออกได้เป็น ดังนี้

1.การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแก้ไข ( Lower blephraroplasty with fat reposititioning technique )
การรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำในผู้ป่วยที่มีปัญหา เบ้าตา หมองคล้ำร่วมกับอาการเบ้าตาลึก มีปัญหาผิวหนังบริเวณถุงใต้ตามีการหย่อนยาย ซึ่งแพทย์จะทำการกรีดเพื่อเปิดแผลและทำการจัดเรียงถุงไขมันใต้ตาให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสมดุล ซึ่งถ้าปริมษณไขมันในถุงไขมันใต้ตาไม่เพียงพอ แพทย์จะทำการปลูกถ่ายไขมัน ( Lipofillng  / Microfat transfer ) โดยการนำแผ่นเนื้อเยื่อไขมันมาปลูกร่วม ( Dermal fat graft ) ช่วยในการแก้ปัญหาเบ้าตาลึกโบ๋ หรือในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของเบ้าตาที่มีการยุบตัวหรือมีกระดูกโครงสร้างของตามีความผิดปกติ แพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขรูปร่างของกระดูกในอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องจึงจะสามารถทำการปลูกถ่ายไขมันและแก้ไขปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำได้

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.การรักษาด้วยวิธีการปลูกถ่ายไขมัน ( Lipofillng / Microfat transfer )
คือการปลุกถ่ายไขมันที่นิยมใช้เพื่อรักษาปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำในผู้ที่ไม่มี ถุงใต้ตา และไม่มีรอยย่นใต้ตาเพียงเล็กน้อย ซึ่งการปลูกถ่ายไขมันจะทำให้บริเวณใต้ดวงตามมีความอิ่มตัวมากขึ้น ส่งผลให้ความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นค่อย ๆ หายไป การรักษาด้วยวิธีจะเห็นผลชัดเจนหลังจากทำการรักษาไปแล้วประมาณ 4 เดือน เพราะร่างกายจะค่อยทำการเปลี่ยนแปลงไขมันที่นำมาปลูกถ่ายจนเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมดจะต้องอาศัยระยะเวลามากกว่า 4 เดือนนั่นเอง นอกจากการนำแผ่นเนื้อเยื่อไขมันมาปะที่บริเวณใต้ดวงตาแล้วยังมีการนำไขมันมาฉีดเข้าใต้ดวงอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือ การสกัดไขมันเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่เรียกว่า Nanofat หรือการนำไขมันไปผ่านกระบวนย่อยสลายให้มีขนาดที่เล็กลง เรียกว่า Stromal vascular fraction ( SVF ) ซึ่งไขมันที่ได้จากทั้งสองวิธีนี้สามารถนำมาฉีดเข้าสู่บริเวณใต้ดวงตาเพื่อให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีปริมาณไขมันที่มากขึ้น นับเป็นการปลูกถ่ายไขมันอีกแบบหนึ่งที่สามารถช่วยลดความหมองคล้ำได้เร็วขึ้นด้วย

การปลูกถ่ายไขมันจะได้ผลดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย เพราะว่าบริเวณรอบดวงตามีทั้งเส้นเลือดและเส้นประสาทเป็นจำนวนมาก หากแพทย์ทำการฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมแล้วก็จะส่งผลต่อเส้นเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ ซึ่งอันตรายถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว

3.การใช้เลเซอร์
การฉายแสงเลเซอร์เข้าสู่บริเวณเบ้าตาที่หมองคล้ำ แสงเลเซอร์จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเม็ดสีที่อยู่บริเวณใต้ตา ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวอ่อนลง และยังช่วยกระชับผิวหนังให้เต่งตึงด้วย การฉายแสงเลเซอร์จะในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาร่องตาลึก มีความหมองคล้ำแต่ไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด หรืออาจจะใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นก่อนแล้วจึงมาทำการฉายรังสีเพื่อลดความเข้มของสีผิวลงก็ได้เช่นเดียวกัน

4.การใช้ครีม
การใช้ครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดจะใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นด้วย เพราะว่าความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นแม้จะทำการผ่าตัดจนหายแล้วแต่ถ้าผิวหนังโดนทำลายก็จะสามารถกลับมาเป็นอีกได้ การใช้ครีมบำรุงผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเซลล์ผิว ทำให้ผิวเต่งตึง ส่วนครีมกันแดดจะช่วยป้องกันรังสีอุตราไวโอเลตที่จะเข้ามาทำลายเซลล์ผิว จึงช่วยให้ผิวไม่เสื่อมปัญหาความหมองคล้ำจึงลดน้อยลง

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

5.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
นอกจากแสงแดดที่มีส่วนในการทำให้เบ้าตาหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยรอบดวงตาแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็มีส่วนในการเสื่อมของผิวหนังรอบดวงตา เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มน้ำน้อย การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกอย่างเป็นปัจจัยที่ทำให้เซลลืผิวหนังเกิดความเสื่อมได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสื่อมของผิวหนังจะต้องดูแลร่างกายให้ดี ด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักและผลไม้สด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่าวสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์แต่พอดี ก็จะช่วยป้องกันความของผิวหนัง ลดการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาและเบ้าตาหมองคล้ำได้เป็นอย่างดี

เบ้าตาหมองคล้ำเป็นภาวะที่พบได้บ่อยกับคนทุกเพศทุกวัยเป็นมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นสาเหตุ เช่น การอดนอน พักผ่อนน้อย หรือมีโรคแฝง

อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการศัลยกรรมตา

การศัลยกรรมแก้ไขปัญหา ตาล่าง สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งบางวิธีจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อนำถุงไขมันบางส่วนออกมา ซึ่งการศัลยกรรมอาจจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ ดังนี้

1.ตาแหก ตาปลิ้น ( Ectropion )
คือ ภาวะที่หนังตาที่อยู่ด้านล่างมีการปลิ้นออกมาเกินจากเส้นขอบขนตา ทำให้สังเกตเห็นเนื้อเยื่อสีแดงที่อยู่ด้านในของตา ซึ่งเนื้อเยื่อที่ปลิ้นออกมาจะได้รับการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม ทำให้มีน้ำตาไหลและเนื้อเยื่อบุตาอักเสบได้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการตาแหก ตาปลิ้น คือ
1.1 การขาดความชำนาญของแพทย์
เมื่อแพทย์ขาดความชำนาญในการผ่าตัดบริเวณด้านล่างตาแล้ว ทำให้การประเมินปริมาณผิวหนังที่ต้องตัดออกมามากเกินหรือการเย็บที่ออกแรงดึงสูง ส่งผลกล้ามเนื้อโดนดึงหรือรั้งมากเกินไปจนทำให้ตาแหก ตาปลิ้นออกมาให้เห็น สาเหตุนี้นับเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในการเกิดอาการแทรกซ้อนแบบตาปลิ้น ตาแหก
1.2 อื่นๆ
นอกจากความชำนาญของแพทย์แล้ว ถ้าผู้ป่วยมีความพิการหรือได้รับอุบัติเหตุ หรือผู้สูงอายุที่มีภาวะตาล่างหย่อนยานมากกว่ากว่าภาวะตาโปน ( Exopthalmos ) หรือในผู้ที่สูบบุหรี่จัด รวมถึงคนที่เป็นโรคภูมิพ้ที่ส่งผลให้ตามีการระคายเคืองง่าย ( Sjogren’s syndrome ) ก็จะส่งผลให้แผลที่เกิดจากการผ่าตัดมีอาการบวมจนเกิดอาการตาแหก ตาปลิ้นเกิดขึ้นได้เช่นกัน ภาวะตาปลิ้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]
1.2.1 ภาวะเปลือกตาปลิ้นปลอม ( Psuedoextropion )
คือ ภาวะตาปลิ้นที่เกิดขึ้นไม่มาก ภาวะนี้จะเกิดหลังจากการผ่าตัดแล้วดวงตามีอาการระคายเคือง จากการที่มีน้ำหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ซึ่งภาวะตาปลิ้นแบบนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการผ่าตัดแล้วประมาณ 1 เดือน และลักษณะตาที่ปลิ้นออกมาจะเห็นไม่ชัดเจน ภาวะตาปลิ้นแบบนี้สามารถรักษาได้ง่าย ดังนี้
• การนวดที่บริเวณแผลผ่าตัด
การนวดคลึงที่บริเวณใต้ตารวมถึงบริเวณตลอดแนวของแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดอาการบวมจึงลดลงได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดหายในระยะเวลาอันสั้น นอกจากการนวดคลึงแล้ว ผู้ที่ทำการผ่าตัดมาควรสวมแว่นตากันแดดกันลม
• การรับประทานยารักษาโรคภูมิแพ้
ภาวะตาปลิ้นสามารถเกิดขึ้นได้จากการที่มีอาการแพ้จนผิวหนังเปลือกตามีอาการบวมจึงมีอาการตาปลิ้นออกมา ดังนั้นเพื่อลดอาการระคายเคืองและอาการบวมของตา ผู้ป่วยควรรับประทานยารักษาโรคภูมิแพ้อย่างต่อเนื่องหลังจากทำการผ่าตัดและรับประทานจนแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดหายแล้ว
• การหยอดน้ำตาเทียม
ดารหยอดน้ำตาเทียมสามารถช่วยลดอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นที่บริเวณดวงตา เพื่อช่วยลดอาการบวมของเปลือกตาที่ส่งผลให้ตาปลิ้นออกมา
• การติดแผ่นเทป
การติดแผ่นเทปเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยภาวะตาปลิ้นได้ แผ่นเทป ( Sterile strip / Micropore ) จะนำไปติดที่บริเวณแนวขอบตาล่าง โดยแผ่นเทปจะเข้าไปพยุงผิวหนังเปลือกตาที่บริเวณขอบตาล่างไม่ให้มีภาวะตาปลิ้นออกมาและยังช่วยให้ผิวหนังเปลือกตาประสานตัวได้เร็วขึ้นด้วย
1.2.2 ภาวะเปลือกตาปลิ้นจริง ( True ectropion )
คือ ภาวะที่ เปลือกตา มีการปลิ้นออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อมองจากด้านนอก ซึ่งภาวะตาปลิ้นนี้แม้จะทำการรักษาแบบภาวะตาปลิ้นปลอมแล้วเปลือกตายังปลิ้นออกมาเหมือนเดิม การรักษาอาการตาปลิ้นจริงแพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อดึงมุมที่หางตาให้มีความตึงมากขึ้น ( Lateral Canthopexy ) การดึงจะทำการตึงจากส่วนของหัวตาไปยังบริเวณหางตา ซึ่งจะมีการย้ายผิวหนังจากบริเวณอื่นเข้ามาแก้ไข ( Skin graft )

2.อาการบวมและอาการเลือดคั่งหลังผ่าตัด ( Hematoma )
เป็นอาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีเลือดไหลมากหลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว เลือดยังไม่หยุดไหลแม้แพทย์จะทำการเย็บปิดแผลเสร็จแล้ว ซึ่งอาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่เคยมีประวัติการรับประทานยาละลายลิ่มเลือดหรือผู้ที่มีประวัติเลือดหยุดไหลยาก การที่เลือดไหลออกมาหลังจากเย็บแผลแล้วจะส่งผลให้มีอาการบวมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณ ใต้ตา ในบางครั้งจะมีอาการบวมจนถึงโหนกแก้ม ซึ่งถ้าอาการบวมนี้เกิดขึ้นมากจะส่งผลให้กระทบต่อการมองเห็น แต่ถ้าปล่อยไว้เป็นเวลานานผู้ป่วยอาจจะตาบอดได้ แพทย์สามารถทำการรักษาด้วยการระบายเลือดออกจากบริเวณแผลด้วยการใช้สายยางขนาดเล็กจะช่วยลดอาการบวม

[adinserter name=”navtra”]

3.รอยแผลเป็นที่บริเวณขอบขนตาด้านล่าง (Lower Eye Lid Scar)
การผ่าตัดศัลยกรรม แก้ไขตา ล่างจะมีรอยแผลเป็นที่บริเวณขอบ ขนตาล่าง ที่ชัดเจนมากหลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 1 เดือน รอยแผลจะค่อย ๆ จางไปจนประมาณ 6 เดือน รอยแผลที่เกิดขึ้นจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับผิวโดยรอบ

4.ตาคล้ำ หรืออาการห้อเลือด (Bruise / Echymosis)
หลังจากการผ่าตัดผิวที่บริเวณของตาด้านล่างจะมีการคล้ำซึ่งเกิดจากการที่คั่งค้างของเลือดที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งอาการห้อเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่ถ้าต้องการให้หายเร็วขึ้น ต้องใช้การนวดคลึงที่บริเวณดังกล่าวรวมถึงการทาครีมบำรุงผิว หรือบางครั้งอาจต้องใช้การฉายเลเซอร์ช่วยลดอาการห้อเลือดดังกล่าว แต่ทว่าการฉายเลเซอร์จะได้ผลเต็มที่หลังจากการผ่าตัดไปแล้วมากกว่า 4 เดือน
การศัลยกรรม แก้ไขตา ล่างเป็นการแก้ปัญหาที่ช่วยให้ดวงตามีความงามมากขึ้น ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมต้องศึกษาทั้งข้อดีและข้อเสียก่อนที่จะตัดสินใจก่อน รวมถึงแพทย์ที่เป็นผู้ทำการผ่าตัดก็ควรเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการผ่าตัดเปลือกตาด้านล่าง เพื่อ ดวงตา ที่สวยงามส่งให้ใบหน้าดูดีมีมิติ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ไขข้อสงสัยการทำตาและทำตาแบบ ฝ คืออะไร

0
ไขข้อสงสัย “การทำตา" และทำตาแบบ “ฝ.”คืออะไร
การสร้างชั้นตาจะต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดเพื่อสร้างชั้นตาและต้องจินตนาการรูปแบบของชั้นตาให้เหมาะสมกับลักษณะดวงตาและใบหน้าด้วย
ไขข้อสงสัย “การทำตา" และทำตาแบบ “ฝ.”คืออะไร
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เป็นภาวะที่หนังตาหย่อนลงมาบดบังกระจกตา ซึ่งลักษณะของการบดบังกระจกตาจะมีตั้งแต่บดบังน้อยจนถึงบดบังการมองเห็นของดวงตาทั้งหมด

ทำตาสองชั้น

ทำตาสองชั้น เป็นค่านิยมทางความงามก็เปรียบเสมือนแฟชั่นด้านเสื้อผ้าที่มีการเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา ช่วงหนึ่งคนที่มีดวงตาเรียวแบบเอเชียจัดเป็นคนที่มีดวงตาน่ารักสวยน่ามอง แต่ผ่านมาอีกสักระยะดวงตาเรียวที่เคยเห็นว่าสวยอาจจะแลดูไม่สวยงาม และหันมาชื่นชอบดวงตากลมโตแบบดาราฝรั่ง ดังนั้นการที่ดวงตาของเราจะสวยหรือไม่สวยอย่าให้ขึ้นอยู่กับแฟชั่นหรือค่านิยมของคนอื่น ให้มองที่ความเหมาะสมของดวงตากับใบหน้าของตัวเราด้วย แม้ว่าการทำศัลยกรรมตาสองชั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะองค์ประกอบของดวงตาได้อย่างที่ใจเราต้องการก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโต

การ  ทำตาสองชั้น การทำศัลยกรรมถุงใต้ตา การกรีดตาสองชั้น ยังเป็นที่นิยม เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้ การทำตาสองชั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นชั้นหนังตาสองชั้น ขนาดของดวงตาที่ยาวขึ้น แต่ทุกองค์ประกอบที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นก็ควรสร้างขึ้นมาตามหลักของความเป็นจริงของใบหน้าด้วยเช่นกัน เพราะว่าลักษณะของดวงตาที่อยู่บนใบหน้าของผู้อื่น ทั้งดารา นางแบบ นักร้องที่เราเห็นว่าสวย แต่บางครั้งดวงตาลักษณะดังกล่าวเมื่อมาอยู่บนใบหน้าของเราแล้วอาจจะไม่เข้ากับใบหน้าของเราและทำให้ใบหน้าของเราดูไม่สมส่วน ไม่น่ามองหรือบาวครั้งดูคล้ายกับตัวประหลาดไปเลยก็เป็นได้ ซึ่งลักษณะดังกล่าวมีเกิดขึ้นให้เห็นอยู่เป็นประจำ ที่เป็นเช่นนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ที่ทำให้การศัลยกรรมดวงตาออกมาไม่เหมาะสมกับรูปหน้าของผู้ที่ทำการศัลยกรรมดวงตา ดังนี้

สาเหตุ ที่ทำให้การศัลยกรรมดวงตาออกมาไม่เหมาะสมกับรูปหน้า

1. การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน
การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวันของคนเรา เพราะถ้าเราสื่อสารไม่มีแล้วผู้รับข้อมูลก็จะได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดจนสร้างความเสียหายได้ ซึ่งรวมถึงการสื่อสารกับแพทย์ในการศัลยกรรมดวงตาด้วยเช่นเดียวกัน ในการทำกศัลยกรรมเราจะต้องสื่อสารกับแพทย์ให้เข้าใจว่าเราต้องการตาที่มีลักษณะอย่างไร ต้องการทำชั้นตาให้มีขนาดใหญ่หรือว่าต้องการให้ทำชั้นตาเพื่อให้ดวงตาแลดูโตขึ้น ซึ่งถ้าฟังคราว ๆ หลายคนคิดว่าทั้งสองประโยคนี้ก็เหมือนกัน แต่จริงแล้วๆ ทั้งสองประโยคสื่อความหมายที่ต่างกันมาก ซึ่งถ้าต้องการชั้นตาที่มีขนาดใหญ่ แสดงว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องการชั้นที่อยู่บนหนังตาที่ขนาดกว้างทำให้เห็นชั้นตาที่ชัดเจน แต่การต้องการทำชั้นหนังตาให้ดวงตาดูโตนั้น หมายความว่า ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องการให้แพทย์ทำชั้นหนังตาขึ้นมาเพื่อให้ดวงตาดูโตขึ้น ซึ่งชั้นหนังตาที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเท่าไหร่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะนั่นเอง ดังนั้นก่อนที่จะทำการศัลยกรรมทุกครั้งเราต้องทำการคุยกับแพทย์ให้เข้าใจถูกต้องเสียก่อนจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง

2. ลักษณะของชั้นตาที่ไม่เหมาะสมกับรูปหน้า
แพทย์ที่ทำการศัลยกรรมมีทั้งที่เรียนวิธีการมาจากประเทศทางยุโรปและประเทศทางเอเชีย ซึ่งการเรียนมีขั้นตอนที่เหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันคือ ลักษณะของดวงตาที่ให้ในการเรียนนั้นต่างกัน ดวงตาหรือโครงตาของคนแถบยุโรปจะมีลักษณะชั้นตาที่โต ดวงตาลึกเข้าไปในเบ้าตามากกว่าคนในแถบเอเชีย การสร้างชั้นตาก็จะมีวิธีการที่แตกต่างจากการทำชั้นตาของคนเอเชียที่มีลักษณะดวงตากลมเล็ก หนังตาและชั้นตาน้อย

ดังนั้นแพทย์ที่ทำการศึกษาการศัลยกรรมจากต่างประเทศเมื่อเข้ามาทำศัลยกรรมให้กับคนในเอเชียหรือคนไทยจะต้องทำการปรับปรุงลักษณะการทำชั้นตาให้เข้ากับลักษณะของคนในเอเชียเสียก่อน เพื่อให้ได้ตาที่สวยแบบคนเอเชีย ( Asian beauty or oriental beauty ) มิเช่นนั้นชั้นตาที่เกิดขึ้นจะทำให้มีดวงตาแบบตาฝรั่ง ( Westernized eyes ) ได้ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทำศัลยกรรมควรศึกษาหาข้อมูลของแพทย์ที่เป็นผู้ผ่าตัดสร้างชั้นตาว่าได้ทำการศึกษามาจากที่ใด และติดตามดูผลงานที่ผ่านมาว่ามีลักษณะเข้ากับใบหน้าของคนเอเชียอย่างเราหรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลด้วย เนื่องจากแฟชั่น ค่านิยมในแต่ละช่วงเวลานั้นต่างกัน ถ้าเราจะตามกระนิยมแล้วก็เลือกแพทย์ที่ทำได้ตามความต้องการของตนย่อมดีที่สุด

3. ความเชี่ยวชาญของแพทย์
การสร้างชั้นตานอกจากจะต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดเพื่อสร้างชั้นตาแล้ว แพทย์ยังต้องสามารถจินตนาการรูปแบบของชั้นตาที่เกิดขึ้นได้ว่า เมื่อทำออกชั้นตาออกมาแล้วจะเหมาะสมกับลักษณะดวงตาและใบหน้าของผู้เข้ารับการศัลยกรรมหรือไม่ด้วย เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีลักษณะใบหน้า โครงหน้า โหนกคิ้ว หนังตาที่ต่างกัน ดังนั้นการทำชั้นตาจึงมีวิธีและขนาดความหนาของชั้นหนังตาที่ต่างกัน ดังนั้นแพทย์ที่มีประสบการณ์ย่อมจะสามารถบอกได้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ชั้นหนังตาที่สวยงาม แต่ถ้าแพทย์ที่เป็นผู้ผ่าตัดมีประสบการณ์น้อยก็อาจจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการสร้างชั้นตาได้ เช่น

• กำหนดจุดที่ต้องทำการผ่าตัดสูงเกินไป ส่งผลให้ชั้นตาที่เกิดขึ้นมีขนาดใหญ่เกินไปไม่เหมาะสมกับลักษณะของโหนกคิ้ว ส่งผลให้เบ้าตาลึก
• ตัดหนังตาส่วนเกินออกมามากเกินไป จนทำให้หนังตาปิดดวงตาไม่สนิทเวลาหลับตา ทำให้เวลานอนหลับก็ยังสามารถเห็นตาขาวที่อยู่ด้านในได้
• บางรายปมไหมอาจจะไปขวางการทำงานของกล้ามเนื้อตา จนทำให้มีอาการตาปรือเหมือนลืมตาไม่ขึ้นอยู่ตลอดเวลา
• ชั้นตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน เวลาที่ลืมตาเนื่องจากแพทย์ทำการผ่าตัดขณะที่หลับตา แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าชั้นตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน เนื่องจากลักษณะของดวงตาที่ไม่เท่ากันตามธรรมชาติ
• ชั้นตาที่เกิดขึ้นไม่เป็นชั้นเดียวอย่างชัดเจน อาจจะมีชั้นตาหลาย ๆ ชั้นเป็นเส้นเล็ก ๆ รวมกัน ทำให้ชั้นตาที่เกิดขึ้นไม่คมชัด
• เกิดรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ การผ่าตัดที่หนังตาก็เหมือนการผ่าตัดทั่วไปที่สามารถเกิดรอยแผลเป็นได้ ซึ่งถ้าทำการผ่าตัดและเย็บแผลไม่ดี ลักษณะของแผลเป็นจะไม่สวยงาม 

ลักษณะความผิดพลาดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการที่แพทย์ไม่มีประสบการณ์เพียงพอในการ ทำตาสองชั้น เพราะดวงตาของแต่ละคนจะมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นแพทย์ผู้ประสบการณ์สูงจะสังเกตุได้ทันทีว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดแต่ละรายต้องใช้วิธี ขั้นตอนและขนาดการตัดหนังตาเท่าใด จึงจะเหมาะสมและออกมาสวยงาม

4. ความผิดปกตของคนไข้
คนไข้บางรายที่เข้ารับการผ่าตัดสร้างชั้นตามีความผิดปกติของหนังตาอยู่แล้ว เช่น ภาวะตาโปน ( Exophthalmoses ) เปลือกตาบาง เบ้าตาลึก ( Sunken eyes ) การมีเส้นชั้นตาหลายเส้น หรือแม้แต่อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงซึ่งมีความสำคัญมากที่ส่งผลต่อลักษณะของชั้นตาที่เกิดขึ้น
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ( Ptosis ) คือ ภาวะที่หนังตาหย่อนลงมาบดบังกระจกตา ซึ่งลักษณะของการบดบังกระจกตาจะมีตั้งแต่บดบังน้อยจนถึงบดบังการมองเห็นของดวงตาทั้งหมด ซึ่งภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่กำเนิดหรืออาจเกิดขึ้นตอนที่มีอายุมากขึ้นแล้ว อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงในผู้ป่วยบางรายแพทย์ไม่สามารถตรวจพบอาการนี้ได้ก่อนที่จะทำการผ่าตัด ดังนั้นเมื่อทำการผ่าตัดออกมาแล้ว หนังตาที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะหย่อนลงบดบังการมองเห็นของดวงตา ทำให้ชั้นหนังตาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการ

ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เป็นภาวะที่หนังตาหย่อนลงมาบดบังกระจกตา ซึ่งลักษณะของการบดบังกระจกตาจะมีตั้งแต่บดบังน้อยจนถึงบดบังการมองเห็นของดวงตาทั้งหมด

จะพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมชั้นตามีอยู่หลายอย่างด้วยกัน แต่ละปัญหาล้วนมีแนวทางแก้ไขได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาได้ดังนี้

การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมชั้นตา

1. แสดงตัวอย่าง
การนำตัวอย่างชั้นตาที่ต้องการมาให้แพทย์ที่ต้องทำการผ่าตัดดูเป็นแนวทางในการทำชั้นหนังตา เชื่อว่าคนที่ต้องการทำชั้นหนังตาล้วนมีลักษณะของชั้นหนังตาที่ต้องการอยู่แล้ว ให้นำภาพลักษณะชั้นหนังตาดังกล่าวมาเป็นตัวอย่างจริงเพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและออกแบบการทำชั้นหนังตา ว่าชั้นหนังตาลักษณะดังกล่าวนี้สามารถทำขึ้นมาได้บนใบหน้าของผู้ป่วยหรือไม่ เพราะลักษณะหนังตาและโครงสร้างโดยรอบของดวงตาอาจจะไม่รองรับกับลักษณะของชั้นหนังตาที่ต้องการ ซึ่งแพทย์จะอธิบายถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากทำการผ่าตัดถึงลักษณะของชั้นหนังตาที่เกิดขึ้นมา
การที่เรานำตัวอย่างมาให้แทพย์ผู้ทำการผ่าตัดสร้างชั้นหนังตาเป็นการแก้ไขปัญหาที่ง่ายและสะดวก สามารป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดได้ เพื่อที่เราจะได้ชั้นหนังตาที่ตรงตามความต้องการไม่ต้องมาแก้ไขในภายหลัง

2. หาข้อมูลของแพทย์
บางครั้งถึงแม้ว่าเราจะนำตัวอย่างของชั้นหนังตามาให้แพทย์ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แต่แพทย์บางท่านมีความเชี่ยวชาญและเทคนิคในการผ่าตัดที่ต่างกัน ลักษณะของชั้นหนังตาจึงมีรูปแบบที่ออกมาต่างกันตามเทคนิคของแพทย์แต่ละท่าน ดังนั้นก่อนที่จะเลือก ทำตาสองชั้น กับแทพย์ท่านใดแล้ว ควรศึกษาหาข้อมูลและลักษณะของชั้นหนังตาที่แพทย์ท่านนั้นเคยทำมาก่อน เพื่อเป็นข้อมูลว่าแพทย์ท่านี้สามารถทำตาสองชั้นในลักษณะที่ผู้ป่วยต้องการหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ลักษณะหนังตาที่ต้องการก็ควรเลือกแพทย์คนอื่นเพื่อป้องกันความผิดพลาดของชั้นหนังตาที่เกิดขึ้นนั่นเอง
สำหรับคนที่ไม่ได้ระบุลักษณะเฉพาะของชั้นหนังตาที่ต้องการ เพียงแต่ต้องการชั้นหนังตาที่สวยงามเข้ากับใบหน้า ก็ควรเลือกแทพย์ที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดสร้างชั้นตา เพราะว่าการผ่าตัดชั้นหนังตาถึงแม้ว่าจะเป็นการผ่าตัดเล็กแต่ก็มีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ ถ้าแพทย์มีประสบการณ์การผ่าตัดที่น้อยเกินไป เมื่อเกิดปัญหาในขณะที่ทำการผ่าตัด เช่น เลือดออกมากเนื่องจากพลาดไปตัดโดนเส้นเลือก ในการผ่าตัดเส้นเอ็นที่บริเวณหนังตาได้รับความกระทบกระเทือน เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวต้องอาศัยประสบการณ์และความระมัดระวังของแพทย์ในการผ่าตัด หรือลักษณะของชั้นตาที่เกิดขึ้น แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงจะมีจินตาการถึงลักษณะของชั้นตาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะผ่านการทำชั้นหนังตามาเป็นเวลานาน ทำมาหลายรุปแบบ พบเจอปัญหาแลแก้ไขปัญหามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนั่นเอง

ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะพยายามป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทุกด้านแล้ว แต่ในบางรายที่มีงบประมาณจำกัดแต่ต้องการตาสองชั้น จึงไม่ได้ทำการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนหรือแม้แต่เชื่อคำโฆษณาเกินจริงของสถานบริการบางแห่งที่ไม่มีจรรยาบรรณทางการแพทย์หวังแต่เพียงผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยบางรายเมื่อ ทำตาสองชั้น มาแล้วพบเจอกับปัญหา เช่น หนังตาตก ตาปิดไม่สนิท ชั้นหนังตาใหญ่เกินไป ตาลึก ส่งผลให้ใบหน้าไม่สวยงาม ความมั่นใจในตัวเองลดลง จนบางครั้งประสบปัญหาชีวิตไม่กล้าสู้หน้าผู้คนในสังคมได้ ต้องไปพบแพทย์ท่านอื่นเพื่อทำการแก้ไขลักษณะของหนังตาสองชั้นที่เกิดขึ้น บางปัญหาสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันทีทันใจ แต่ในบางรายไม่สามารถที่จะทำการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาได้ทันทีหรือการผ่าตัดต้องทำหลายครั้งจึงจะได้ชั้นหนังตาที่สวยคมชัด เนื่องจากต้องรอให้ชั้นเนื้อเยื่อประสานให้ดีเสียก่อน การที่จะผ่าตัดเพื่อสร้างชั้นหนังตาขึ้นมาใหม่ได้นั้นจะต้องรอให้ชั้นหนังตาที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ประสานกันทั้งหมดเสียก่อน จึงจะสามารถทำการผ่าตัดเพื่อเลาะพังผืดทีเกิดขึ้นมาใหม่ออกมาได้ เพราะถ้าชั้นพังผืดที่เกิดขึ้นยังไม่สมบูรณ์ แพทย์จะไม่สามารถระบุตำแหน่งและทำการเลาะพังผืดออกมาได้หมดทำให้ชั้นตาเดิมยังคงอยู่ ส่งผลให้เมื่อสร้างชั้นหนังตาขึ้นมาใหม่แล้วะเกิดรอยพับที่มีลักษณะเป็น 3 ชั้น ซึ่งแพทย์จะต้องผ่าตัดทำการแก้ไขอีกจนกว่าชั้นหนังตาจะมีสองชั้นตามต้องการ ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องใจเย็นเพื่อรอเวลาที่พังผืดเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ก่อนจึงจะสามารถทำการเลาะและสร้างชั้นตาขึ้นมาใหม่ได้

แต่ในรายของผู้ป่วยที่มีชั้นหนังตาหลงเหลืออยู่มากการแก้ไขสามารถทำได้ด้วยการตัดหนังตาในบริเวณที่มีรอยกรีดเดิมที่ไม่สวยออกไปได้เลย ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีของผู้ป่วยรายนั้น แต่ในรายที่มีหนังตาน้อยจนทำให้หลับตาไม่สนิท แพทย์จะต้องทำการเสริมหนังตาด้วยการนำไขมันจากบริเวณอื่นขึ้นมาเสริมที่หนังตา เพื่อให้หนังตามีความหนาและหย่อนลงมาปิดดวงตาจนสนิท ส่งผลให้ดวงตาดูตื้นและมีมิติที่สวยงามมากขึ้นได้เช่นกัน

การศัลยกรรม ทำตาสองชั้น สามารถเกิดปัญหาได้ ซึ่งเชื่อว่าทั้งคนไข้และแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดย่อมไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทว่าปัญหาบางอย่างไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ แต่เชื่อว่าทุกปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาชั้นตาโตเกินไป ทำชั้นหนังตาแล้วดวงตาดูลึกออกแนวฝรั่งไม่สวยแบบเอเชีย สามารถแก้ไขได้ทั้งสิ้นแต่ต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยชาญของแพทย์ที่ทำการผ่าตัดด้วยว่ามีมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นการเลือกทำศัลยกรรมชั้นตาควรเลือกให้ดี อย่าด่วนตัดสินใจเพียงแค่ราคาค่าบริการถูกมาก ๆ สิ่งที่ได้รับคุณอาจจะต้องเสียใจกับลักษณะของชั้นหนังตาที่ได้ และต้องเสียเงินมากกว่าเดิมในการแก้ไขชั้นหนังตาให้กลับมาสวยงาม การศัลยกรรมเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความสวยงามให้กับดวงตาและใบหน้าถ้าคุณเลือกศัลยกรรมที่มีคุณภาพสูง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

วิธีกรีดแผลศัลยกรรมชั้นตาตามความเหมาะสม

0
วิธีกรีดแผลศัลยกรรมชั้นตาตามความเหมาะสม
การศัลยกรรมทำตาสองชั้น คือ การสร้างพังพืดที่บริเวณหนังตาให้เกิดขึ้น เพื่อทำการยึดกล้ามเนื้อตากับผิวหนัง
วิธีกรีดแผลศัลยกรรมชั้นตาตามความเหมาะสม
ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมักมีปัญหาไขมันหนังตาหนาบริเวณผิวหนังใต้คิ้วมีขนาดหนาหรือใหญ่มาก เมื่อผ่าตัดจะสามารถลดขนาดให้เล็กลง

ศัลยกรรมชั้นตา

กำลังเป็นฮิตทั้งในหมู่หญิงและชายในการทำตาสองชั้น เพราะดวงตากลมที่มีขนตายาวงอนอยู่รายรอบ นับเป็นดวงตาในฝันของใครหลายคนโดยเฉพาะสาว ๆ แต่ทว่าคนไทยส่วนหรือคนในแถบเอเชียส่วนมากจะมีดวงตาที่เรียวยาวและมีหนังตาเพียงชั้นเดียวเป็นส่วนมาก จึงทำให้การมีตาที่กลมโตเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงได้มีการ ศัลยกรรมชั้นตา เกิดขึ้นซึ่งในอดีตการทำตาสองชั้นจะทำด้วยการติดเทปหรือแผ่นพลาสติกที่บริเวณหนังตาเพื่อให้หนังตามีสองชั้น ส่งผลให้ดวงตาดูกลมโตมากขึ้น แต่การติดสามารถเกิดอาการแพ้กาวหรือแพ้

การทำให้เกิดเป็นตาสองชั้นในอดีตที่ผ่านมาไม่ยากไม่ต้องศัลยกรรมเพียงแค่นำพลาสติกมาติดให้กลมโตแบบชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องการตาสองชั้นและดวงตาที่กลมโตแบบถาวรยังมีอีกวิธีหนึ่งให้เลือกนั่นคือ การศัลยกรรมเพิ่มชั้นตาหรือการศัลยกรรมตาสองชั้นนั่นเอง

การ ศัลยกรรมตาสองชั้น คือ การสร้างพังพืดที่บริเวณหนังตาให้เกิดขึ้น เพื่อทำการยึดกล้ามเนื้อตากับผิวหนัง เมื่อเวลาลืมตาขึ้นพังพืดส่วนนี้จะทำให้การดึงหนังตาให้อยู่กับที่และเกิดเป็นชั้นของหนังตาขึ้นมา ซึ่งวิธีการสร้างตาสองชั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น การกรีดแผลเป็นแนวยาว การเย็บแบบจุด 3 จุดและแบบกรีดแผลตามความเหมาะสม ทุกวิธีสามารถที่ช่วยสร้างดวงตาให้แลดูกลมโตมีเสน่ห์น่ามองได้ทั้งสิ้น ในช่วงแรกของการทำตาสองชั้นจะทำด้วยการผ่าตัดเป็นแผลที่มีขนาดยาวจนถึงบริเวณหางตา ซึ่งการผ่าตัดแบบนี้เมื่อแผลหายจะมีรอยแผลเป็นที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนเกิดขึ้น จึงได้มีการพัฒนาการทำตาสองชั้นขึ้นมาเรื่อย ๆ เพื่อที่หลังจากการผ่าตัดแล้วจะไม่รอยแผลเป็นขึ้น จนได้เทคนิคการกรีดผลที่มีขนาดตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องกรีดแผลตลอดแนวตั้งแต่หัวตาจนถึงหางตาอีกต่อไปแล้ว การกรีดแผลตามความยามที่มีขนาดเหมาะสมกับปัญหาของผู้ที่เข้ารับการบริการทำการผ่าตัดแต่ละคน ( Customized limited incision ) การผ่าตัดจะทำการเปิดแผลที่บริเวณใกล้กับส่วนของหัวตาและเปิดแผลที่มีความยาไปตามรอยพับของชั้นตาตามความต้องการของแพทย์ ซึ่งอาจจะมีความยาวประมาณ 1.2-2 เซนติเมตรเท่านั้น นั่นหมายความว่าแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดจะมีความยาวเพียงแค่ครึ่งเดียวของความยาวของหนังตาหรืออาจจะเกินครึ่งไปเพียงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามความยาวของแผลที่เกิดขึ้นก็ยังยาวน้อยกว่าความยาวตั้งแต่หัวตาจรดหางตาแน่นอน

ศัลยกรรมตา สองชั้นเป็นการผ่าตัดกรีดตาแบบการเปิดแผลตามความเหมาะสมนี้เป็นการทำตาสองชั้นที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งผู้ที่หนังตามีเนื้อน้อยและมีเพียงแค่ชั้นเดียวต้องการทำตาสองชั้น รวมถึงผู้ที่มีปัญหาหนังตามีส่วนเกินจากไขมันในปริมาณมากจำเป็นต้องนำไขมันส่วนดังกล่าวออกไปหรือหนังตาหย่อนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ได้เช่นกัน จึงนับว่าการผ่าตัดกรีดตาแบบการเปิดแผลตามความเหมาะสมเป็นทางเลือกใหม่ในการสร้างตาสองชั้นที่ช่วยให้ดวงตาดูกลมโต ส่งผลให้ใบหน้าดูสวยงามน่ามองมากยิ่งขึ้น

ข้อดีของวิธีการกรีดแผลการศัลยกรรมชั้นตาตามความเหมาะสม

1. ไม่มีรอยแผลเป็น การผาตัดด้วยวิธีนี้หลังจากที่แผลจากการผ่าตัดหายแล้วรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดจะมีขนาดที่เล็กมากจนไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนถ้าไม่ได้มีการสังเกตมากนัก จนกลายเป็นว่าการผ่าตัดแบบนี้แทบจะไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นไว้บนหนังตาเลยก็ว่าได้นอกจากการผ่าตัดแบบนี้จะสามารถทำ ตาสองชั้น ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว 

2. วิธีการทำไม่ยุ่งยาก การผ่าตัดสร้างรอยกรีดแผลยาวตามความเหมาะสมนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถมองเห็นโครงสร้างของเปลือกตาที่มีอยู่ได้อย่างชัดเจนในขณะที่ทำการผ่าตัด จึงทำให้การตัดเอาเนื้อหรือไขมันส่วนเกินออกไปได้อย่างเหมาะสม ทำให้ ชั้นตา ที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดมีความคมชัดและสวยงามเหมือนธรรมชาติ

3. ความเสี่ยงน้อย เนื่องจากการผ่าตัดทำการเปิดแผลที่มีขนาดเล็ก แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจุดสามารถที่จะสังเกตจุดที่มีเลือดออกหรือเส้นเลือดที่มีการไหลของเลือดได้ง่าย จึงทำการห้ามเลือดได้อย่างรวดเร็วและได้ผลดี จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเสียเลือดมากเนื่องจากการผ่าตัดที่เกิดขึ้น

4. เส้นชั้นตาคมชัด ในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อน้ำตาที่บริเวณใต้เปลือกตามีความหย่อนคล้อยทำให้ ชั้นตา ไม่ชัดเจน เมื่อทำการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่มีผลกระทบหรือเข้าไปขัดขวางในการสร้างน้ำตาของดวงตาออกไปได้อีกด้วย ทำให้ชั้นตาที่เกิดขึ้นมีลักษณะที่ชัดเจนมากและแลดูมีมิติสวยงามมากยิ่งขึ้น

5. แก้ไขหนังตาหนา ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดที่มีปัญหาไขมันที่บริเวณใต้ผิวหนังที่บริเวณคิ้ว ( Retro Orbicularis Occuli fat ) ที่มีขนาดหนาหรือมีขนาดที่ใหญ่มาก การผ่าตัดจะสามารถลดขนาดของส่วนดังกล่าวให้มีขนาดที่เล็กลงจนเผยให้เห็นหนัง ตาสองชั้น ได้อย่างสวยงาม

6. อาการบวมน้อย แผลที่เกิดจากาการผ่าตัดเป็นแผลที่มีขนาดเล็กมาก ดังนั้นอาการบวมซ้ำหรือการเสียเลือดในขณะที่ทำการผ่าตัดก็มีน้อยลงตามขนาดของแผลที่เกิดขึ้น ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดจึงมีอาการบวมน้อยมาก จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการพักฟื้นนานเหมือนการผ่าตัดเป็นแผลยาวตามแนวของดวงตา

7. ช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตก ผู้ที่มีอายุสูงจะมีปัญหาหนังตาตกลงมาบังดวงตาทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นไม่สะดวก การผ่าตัดเปิดแผลตามความเหมาะสมสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยการผ่าตัดเฉพาะบริเวณที่หนังตาตกลงมาบังการมองเห็นของดวง และทำการตัดหนังตาที่ตกลงมาออกไปบางส่วน เพื่อช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็นให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

สำหรับคนที่มีหนังตาหรือไขมันส่วนเกินที่บริเวณหนังตาแล้ว การสร้างตาสองชั้นสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน ทั้งการเปิดแผลตามยาว การเย็บชั้นตาผ่านรูเจาะหรือการผ่าตัดกรดแผลขนาดเล็ก แต่สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหนังตาตกเกิดขึ้นร่วมด้วยแล้ว การสร้าง ตาสองชั้น จะต้องทำด้วยการผ่าตัดกรีดแผลเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการเย็บแผลจะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ในการเปิดในขณะที่รู้สึกง่วงนอนหรือกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยักคิ้วที่ช่วยในการเปิดตาให้กว้างมากขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อส่วนนี้ถ้ามีการใช้งานมากและบ่อยจะส่งผลให้มีรอยย่นเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าผากแบบถาวรได้ การผ่าตัดจะเข้าไปจัดการกับกล้ามเนื้อส่วนนี้ด้วยการเย็บให้กล้ามเนื้อสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ ส่งผลให้หนังตาไม่ตกลงมาอีกในภายหลัง   

การผ่าตัดเปิดแผลส่วนมากแพทย์จะทำการผ่าตัดตามรอยชั้นของตาที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่มีอยู่เดิมแล้ว แต่รอยชั้นดังกล่าวเห็นไม่ชัดเนื่องจากการบดบังของหนังตาหรือไขมันที่อยู่ในหนังตาทำให้มองเห็นเป็นตาชั้นเดียว ดังนั้นเมื่อทำการตัดเอาหนังตาหรือไขมันส่วนเกินออไปแล้ว ชั้นของหนังตาที่มีอยู่เดิมจึงชัดเจนขึ้นมานั่นเอง แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดก็จะตรงกับรอยที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ทำให้บางครั้งเราจะสังเกตไม่เห็นรอยแผลที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าเป็นรอยของ ชั้นตา นั้นเอง ส่งผลให้ชั้นตาที่มีอยู่เดิมมีความคมชัดมากขึ้นจากรอยแผลที่เกิดขึ้นอีกด้วย

หลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จแล้วย่อมมีแผลเกิดขึ้น แม้ว่าจะสังเกตเห็นได้ยากมากก็ตาม หลังจากการผ่าตัดผู้ป่วยจำเป็นจะต้องปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดอื่น ๆ เพื่อช่วยลดอาการบวมและอาการอักเสบที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากผ่าตัด

การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยหลังทำการผ่าตัดตาสองชั้น

1.ประคบเย็น ผู้ป่วยจะต้องทำการประคบเย็นทันทีหลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จสิ้น และต้องทำการประคบเย็นทุกวันวันละ 1 ครั้ง โดยการประคบเย็นทำได้ด้วยการใช้เจลสำหรับประคบเย็น ผ้าขนหนูที่แช่ช่องแข็งหรือผ้าขนหนูที่ห่อน้ำแข็งทำการประคบ การประคบเย็นจะช่วยหยุดการไหลของเลือดได้เป็นอย่างดี เนื่องจากความเย็นจะเข้าไปช่วยให้เส้นเลือดเกิดการหดตัวเลือกจึงหลุดไหลได้เร็วขึ้น และยังช่วยลดอาการปวดบวมของแผลได้เป็นอย่างดี ซึ่งแผลจะมีอาการบวมอยู่ประมาณ 3 วันแล้วจึงจะค่อย ๆ ยุบตัวลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่สภาพปกติ

2.แผลห้ามโดนน้ำ แผลที่เกิดจากการผ่าตัดก็เหมือนแผลทั่วไปที่ห้ามโดนน้ำจนเปียกหรือแฉะในช่วง 3 วันแรกอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อทำ ตาสองชั้น สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดตั้งแต่วันแรกหลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดแล้ว เนื่องจากการผ่าตัดไม่ได้มีความเสี่ยงหรือความรุนแรงมากนัก ขนาดแผลที่เกิดขึ้นก็มีขนาดที่เล็กมาก ไม่ต่างจากแผลมีดบาดที่บริเวณนิ้วมือที่เมื่อทำความสะอาดแผลแล้วทำการติดพลาสเตอร์ยาก็สามารถใช้ได้ตามปกติ แต่ก็ต้องหาแว่นตากันแดดมาใส่เพื่อบังดวงตาจากแสงแดและสิ่งสกปรกที่อาจจะเข้าสู่แผลได้ เวลาที่ต้องทำกิจวัตรประจำวันในแต่ละวัน และหลังจากทำการผ่าตัดได้ประมาณ 4-5 วัน แผลที่เกิดขึ้นจะเริ่มประสานตัวและปิดสนิทสามารถที่จะโดนน้ำได้อย่างปกติแล้ว ซึ่งหลังจากการเข้ารับการผ่าตัดหนังตาประมาณ 3 สัปดาห์หนังตาในบริเวณที่ได้รับการผ่าตัดจะเริ่มกลับมามีความยืดหยุ่นตามธรรมชาติ และหนังตาจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติภายใน 3-6 เดือน 

ถึงแม้ว่าการผ่าตัดเพื่อสร้างตาสองชั้นด้วยวิธีการผ่าตัดกรีดแผลยาวตามความเหมาะสมจะมีข้อดี แต่ทุกวิธีย่อมมีความเสี่ยงและข้อเสียซ่อนอยู่เช่นเดียวไม่เว้นแม้แต่การผ่าตัดชนิดนี้ด้วย

การศัลยกรรมทำตาสองชั้น คือ การสร้างพังพืดที่บริเวณหนังตาให้เกิดขึ้น เพื่อทำการยึดกล้ามเนื้อตากับผิวหนัง เมื่อลืมตาพังพืดส่วนนี้จะดึงหนังตาให้อยู่กับที่และเกิดเป็นชั้นของหนังตาขึ้นมา

ข้อเสียของการผ่าตัดตาสองชั้นแบบกรีดแผลยาวตามความเหมาะสม

1.ความยาวของแผล การผ่าตัดแบบนี้เราไม่สามารถระบุขนาดของแผลที่ชัดเจนได้ว่าจะมีความเท่าไหร่ ความยาวของแผลขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะทำการพิจารณาจากปัญหาของหนังตาจึงจะสามารถระบุขนาดของแผลที่ต้องทำการกรีดได้ ยิ่งแผลมีขนาดกว้างหรือยาวมากขึ้นเท่าไหร่ความเสี่ยงในการเสียเลือดก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย

2.โรคประจำตัว ผู้ที่เขารับการผ่าตัดต้องแจ้งแพทย์ที่ทำการผ่าตัดอย่างตรงไปตรงมา ว่ามีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เพื่อที่แพทย์จะได้เตรียมความพร้อมในการผ่าตัด ประเมินความเสี่ยงในการผ่าตัดหรือระบุว่าผู้ป่วยสามารถทำการผ่าตัดได้หรือไม่ แต่มีผู้ป่วยที่ต้องการทำการผ่าตัดบางคนไม่ยอมแจ้งถึงโรคประจำตัวทั้งหมด ด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตามอาจจะส่งผลต่อการผ่าตัดได้ เพราะโรคบางโรค เช่น โรคความตัดโลหิต โรคเบาหวาน โรคหัวใจบางชนิด นั้นมีผลต่อการผ่าตัดโดยตรงทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากการผ่าตัดได้ ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดมากผิดปกติเนื่องจากเลือดไม่หยุดไหล ทำให้แพทย์ต้องทำการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อห้ามเลือด

3.ตาสองข้างไม่เท่ากัน เนื่องจากดวงตาหรือ หนังตา ของคนเราโดยปกติจะไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ดังนั้นเมื่อทำการผ่าตัดออกมาแล้วชั้นตาที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เท่ากันได้ แพทย์ที่ทำการรักษาจะยังไม่สามารถรู้ได้ว่าชั้นของหนังตาที่ทำการผ่าตัดมานั้นมีขนาดที่เท่ากันหรือไม่ในตอนแรก เพราะหนังตามีอาการบวมอยู่แต่หลังจากที่หนังตายุบเข้าสู่สภาวะปกติ แพทย์จะทำการตรวจดูอีกครั้งและทำการแก้ไขให้หนังตาทั้งสองข้างกลับมาเท่ากันให้ได้ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาโดยใช้การฉีด Botulinum Toxin หรือการฉีดโบท็อกเข้าไปหนังตาข้างที่มีขนาดเล็กกว่าให้ใหญ่ขึ้นเท่ากับหนังตาอีกข้างหนึ่ง หรือในกรณีที่หลังการผ่าตัดกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ในการขยับคิ้วไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวตามความเหมาะสม 

การศัลยกรรมขั้นตาด้วยวิธีการกรีดแผลตามความเหมาะสมเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ให้บริการด้วยความมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการผ่าตัดด้วย และความแข็งแรงและความพร้อมของผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดด้วย ผลของการผ่าตัดเพื่อสร้าง ตาสองชั้น จึงจะได้ผลที่ดีที่สุด การเลือกทำศัลยกรรมก็ควรเลือกทำเมื่อเรามีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงควรเลือกแพทย์และสถานบริการที่มีความน่าเชื่อถือ มีการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาล

การศัลยกรรมเพื่อสร้าง ตาสองชั้น เป็นทางเลือกที่ช่วยให้เรามีดวงตาที่กลมโตตามสมัยนิยมได้ไม่ยาก เพื่อที่เราจะได้มีดวงตากลมโตมีมิติสวยงามอย่างที่ตั้งใจ ต่อไปนี้ปัญหาดวงตาเรียวเล็กจะไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณอีกต่อไป การศัลยกรรมดวงตาจะช่วยเปิดโอกาสทางด้านสังคมและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองให้คุณได้อย่างเต็มร้อย ถ้าเราใช้การศัลยกรรมอย่างพอดีเราก็จะมีชีวิตที่ดีได้จากการศัลยกรรมเช่นกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.