ผ่าตัดศัลยกรรมชั้นตาแบบแผลขนาดเล็ก

0
ผ่าตัดศัลยกรรมชั้นตาแบบแผลขนาดเล็ก
การผ่าตัดสร้างชั้นตาวิธีนี้สามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นหรือผู้ที่มาอายุมากกว่า 50 ปีก็สามารถทำการผ่าตัดวิธีนี้เพื่อสร้างชั้นตาได้
ผ่าตัดศัลยกรรมชั้นตาแบบแผลขนาดเล็ก
การผ่าตัดสร้างชั้นตาวิธีนี้สามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นหรือผู้ที่มาอายุมากกว่า 50 ปีก็สามารถทำการผ่าตัดวิธีนี้เพื่อสร้างชั้นตาได้

ทำตาสองชั้น

การศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อ ทำตาสองชั้น ที่สวยงาม ส่งผลให้ดวงตาดูโดดเด่นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป การเลือกวิธีการผ่าตัดศัลยกรรมทำตาสองชั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของดวงตา คิ้ว โหนกคิ้วและลักษณะของเปลือกตาของผู้ที่ต้องการทำตาสองชั้น ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถใช้วิธีการศัลยกรรมดวงตาวิธีเดียวกันได้ โดยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะทำการเลือกวิธีการศัลยกรรมชั้นตาที่ช่วยให้เกิดตาสองชั้นที่สวยงามรับกับใบหน้า ส่งผลให้ใบหน้างามมีมิติตามที่ต้องการ ซึ่งการศัลยกรรมทำตาสองชั้นด้วยการผ่าตัดแผลขนาดเล็ก

หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าการศัลยกรรม ทำตาสองชั้น ด้วยวิธีกรีดแผลศัลยกรรมชั้นตาตามความเหมาะสมกับการผ่าตัดศัลยกรรมชั้นตาแบบแผลขนาดเล็กนั้นเป็นวิธีการศัลยกรรมชั้นตาแบบเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงทั้งสองเป็นวิธีทำตาสองชั้นที่ต่างกัน นั่นคือ วิธีกรีดแผลทำตาสองชั้นตามความเหมาะสมจะทำการผ่าตัดเปิดแผลที่บริเวณหนังตาส่วนกลางและทำการตัดหนังตาหรือดูดไขมันส่วนเกินออกไป โดยแผลที่เกิดขึ้นจะมีความกว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร แต่ผ่าตัดศัลยกรรมชั้นตาแบบแผลขนาดเล็กจะทำการผ่าตัดที่บริเวณเดียวหนังตาตรงกลางหรือตำแหน่งที่เหมาะสม โดยขนาดของแผลที่เกิดขึ้นในการผ่าตัดจะมีขนาดเพียงแค่ 2-3 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งเล็กกว่าการผ่าตัดกรีดแผลตามความเหมาะสมถึง 10 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งหลักการของการศัลยกรรมผ่าตัดแผลขนาดเล็กเพื่อสร้างชั้นตา แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลในบริเวณหนังตาที่ต้องการ และทำการนำไขมันที่อยู่ในถุงตาด้านบนออกไปเพื่อทำการลบชั้นตาที่มีอยู่เดิมและทำการสร้างชั้นตาขึ้นมาใหม่ และทำการเย็บกล้ามเนื้อตาติดกับชั้นหนังกำพร้าของหนังตา ตำแหน่งการเย็บคือตำแหน่งของชั้นหนังตาที่ต้องการสร้างขึ้นมาใหม่ ที่ตำแหน่งนี้จะพิจารณาจากลักษณะของเบ้าตา ขนาดตาและลักษณะของหนังตา เพื่อที่จะได้ชั้นหนังตาที่เหมาะสมกับดวงตา ส่งให้ดวงตาดูกลมโตขึ้นเป็นธรรมชาติ ไม่หลอกตาหรือทำให้ตาแลดูโปนไม่น่าดู ซึ่งการเย็บกล้ามเนื้อเพื่อสร้างชั้นหนังตาจะทำการเย็บกล้ามเนื้อติดกับด้านหลังของชั้นหนังกำพร้าของหนังตา ไม่ได้ทำการเย็บออกมาให้เห็นที่บริเวณหนังกำพร้าด้านนอก หลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมไม่จำเป็นต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการ สามารถเดินทางกลับบ้านและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ เพียงแต่ต้องสวมแว่นดากันแดดและระวังอย่าให้บริเวณที่ทำการผ่าตัดโดนน้ำเท่านั้นเอง

การผ่าตัดสร้างชั้นตาวิธีนี้สามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย ทั้งที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือผู้ที่มาอายุมากกว่า 50 ปีก็สามารถทำการผ่าตัดวิธีนี้เพื่อสร้างชั้นตาได้เช่นเดียวกัน

ลักษณะของหนังตาที่จะผ่าตัดสร้างชั้นตาแบบแผลขนาดเล็ก

1.คนที่มีหนังตาชั้นเดียวต้องการเพิ่มชั้นตา

2.คนที่มีชั้นตาสองชั้นอยู่แล้ว แต่ชั้นหนังตาหลบอยู่ด้านในจนดูเหมือนมีชั้นตาเพียงแค่ชั้นเดียว

3.คนที่มีชั้นตาสองชั้นแต่ไม่ชัดเจนต้องการที่จะทำชั้นตาดังกล่าวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

4.คนที่มีชั้นตาเดิมไม่สวยทำให้ดวงตาแลดูไม่กลมโตน่ามอง ต้องการสร้าง ชั้นตา ขึ้นมาใหม่แทนชั้นตาเดิมที่มีอยู่

ซึ่งการจะระบุว่าจะใช้วิธีการผ่าตัดแบบใดนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการสร้าง ตาสองชั้น ด้วยเช่นกัน เพราะว่าบางครั้งถ้าหนังตามีการหย่อนยานมากหรือมีไขมันมาก การผ่าตัดแผลขนาดเล็กอาจจะไม่สามารถสร้างชั้นตาได้ จึงจำเป็นต้องเลือกวิธีอื่นในการสร้างชั้นตาแทนนั่นเอง

คนที่เข้ารับการศัลยกรรมผ่าตัดสร้างชั้นตาส่วนมากมักจะคิดว่าทำเพียงครั้งเดียวจะอยู่ไปตลอดชีวิตเหมือนการศัลยกรรมอย่างอื่น เช่น การเสริมเต้านม การเสริมดั้ง เป็นต้น หรือถ้าสถานเสริมความงามที่ให้บริการบอกว่าผ่าตัดครั้งเดียวชั้นตาจะคงอยู่ไปตลอดชีวิตแล้ว ขอบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่จริงเลย เพราะ ชั้นหนังตา ที่สร้างขึ้นมานั้นจะคงอยู่ประมาณ 5 – 10 เท่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาด้วย เนื่องจากการใช้งานกล้ามเนื้อมาก ความเครียด วัยที่เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตที่สร้างผลกระทบให้ผิวหนังเกิดความเสื่อม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การตากแดด ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้กล้ามเนื้อและผิวหนังเกิดการคลายตัว หย่อนยานลงมาบดบังชั้นหนังตาที่สร้างขึ้น จึงทำให้ชั้นตาหายไปเองตามธรรมชาติ

เมื่อเราทราบถึงขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติในการผ่าตัดสร้างชั้นตาแล้ว นอกจากวิธีการผ่าตัดที่ต้องทำการคัดสรรและพิจารณาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงความเหมาะสมของวิธีที่จะนำมาศัลยกรรมชั้นตาแล้ว การเตรียมตัวของผู้ที่รับการผ่าตัดก็มีความสำคัญต่อผลการผ่าตัดด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดจึงควรที่จะเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดอย่างถูกต้อง ถึงแม้ว่าการผ่าตัดที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงการผ่าตัดเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ถ้ามีการเตรียมความพร้อมของร่างกายที่ดีย่อมส่งผลให้แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดหายเร็ว ร่างกายเสียเลือดน้อย และแผลสามารถหายได้ในระยะเวลาอันสั้น

วิธีการเตรียมตัวที่ถูกต้องก่อนเข้ารับการผ่าตัด

1. ทานอาหารปกติ
การผ่าตัดศัลยกรรม ชั้นตา ด้วยวิธีผ่าตัดแผลขนาดเล็กเป็นการผ่าตัดที่ต้องทำการฉีดยาชาเฉพาะบริเวณที่ต้องทำการผ่าตัดเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องวางยาสลบจึงไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารก่อนทำการศัลยกรรม รวมถึงสามารถรับประทานยาเพื่อรักษาโรคประจำตัวได้ตามปกติ

2. งดแต่งหน้า
ก่อนที่จะเข้าผ่าตัดควรล้างเครื่องสำอางออกไปให้สะอาด ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าหรือทาเครื่องสำอาง เพื่อป้องกันสารเคมีหรือการปนเปื้อนเครื่องสำอางเข้าไปในบาดแผลในขณะทำการผ่าตัด

3. งดยาบางชนิด
ยาหรือสมุนไพรบางชนิดที่มีผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือด ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของที่ส่งผลให้เลือดไหลได้มากกว่าปกติ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาแอสไพลิน หรือแม้แต่อาหารเสริมที่มีสารกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เช่น วิตามินซี สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ถั่งเช่า โสมสกัด เป็นต้น เพราะยาเหล่านี้จะทำให้เลือดออกมากทั้งขณะทำการผ่าตัดและหลังการผ่าตัด ส่งผลให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะสูญเสียเลือดมากกว่าปกตินั่นเอง

หลายคนมีความสงสัยว่าในการผ่าตัดนั้นทำไมถึงไม่เลือกใช้ยาสลบ แต่ใช้เพียงการฉีดยาชาเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อแพทย์ทำการผ่าตัดเพื่อเย็บแผลแล้ว แพทย์จำเป็นต้องให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดทำการลุกขึ้นนั่งและลืมตาดู เพื่อที่จะได้ทำการสังเกตว่า ชั้นตา ที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งสองข้างมีขนาดที่เท่ากันหรือไม่ เพราะว่าเวลาที่ชั้นตาเห็นได้ชัดคือเวลานั่งและยืนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าผู้เข้ารับการผ่าตัดสลบหรือนอนหลับไปก็จะไม่สามารถเห็นชั้นที่ชัดเจนของชั้นตาที่สร้างขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าการผ่าตัดแพทย์จะสร้างชั้นตาที่เท่ากันทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่ทว่าบางครั้งก็ยังเกิดปัญหาระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยว่าชั้นตาที่สร้างขึ้นมาเท่ากันจริงหรือไม่ เพราะความเคยชินของบางคนที่ชอบ ยกคิ้ว เลิกคิ้ว หลี่ตาข้างเดียว สิ่งเหล่านี้จะส่งผลชั้นตาที่สร้างมาเท่ากันแล้วแลดูมีขนาดที่ต่างกันได้เช่นเดียว ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากเช่นเดียว การแก้ปัญหาแพทย์จะทำความเข้าใจและแสดงให้เห็นว่าชั้นตาที่สร้างขึ้นมามีขนาดเท่ากันแต่ที่เห็นไม่เท่ากันเนื่องมาจากกิริยาของผู้ป่วยเอง

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดจะช่วยให้การผ่าตัดเกิดขึ้นได้อย่างไรปัญหาในขณะที่ทำการผ่าตัด แต่เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จแล้วก็ต้องดูแลตัวเองต่อไปเพื่อที่แผลจากการสร้าง ชั้นตา ที่ผ่าตัดมาจะได้หายเร็วและไม่มีอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

การดูแลตัวเองหลังจากทำการผ่าตัดศัยลกรรมชั้นตา

1. ประคบเย็น
หลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จควรรีบประคบแผลด้วยผ้าขนหนูแช่นเย็นจัด แผ่นเจลความเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งที่บริเวณแผลผ่าตัด ความเย็นจะเข้าไปทำให้เส้นเลือดหดตัวและเลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ส่งผลให้เลือดหยุดไหลและลดอาการบวมที่บริเวณแผลได้เป็นอย่างดี ซึ่งการประคนเย็นควรประคบทุกวันหลังจากทำการผ่าตัดด้วย

2. ห้ามโดนน้ำ
ไม่ว่าแผลที่เกิดขึ้นจากอะไรหลังจากที่เกิดแผลต้องห้ามโดนน้ำ รวมถึงแผลผ่าตัดสร้าง ชั้นตา ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าแผลจะมีขนาดที่เล็กแต่ถ้ามีการเปียกชื้นหรือติดเชื้อก็สามารถเกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว แผลที่บริเวณหนังตาห้ามโดนน้ำอย่างน้อย 2-3 วันหรือจนกว่าแผลจะปิดสนิท

3. ทานยาตามแพทย์สั่ง
การผ่าตัดแม้จะเกิดแผลที่มีขนาดเล็กมา แต่ก็มีความอันตรายเกิดขึ้นได้ เนื่องจากขนาดของแผลที่เล็กทำให้แพทย์ทำการสังเกตเส้นเลือดได้ยากบางครั้งจึงอาจเกิดความผิดพลาดผ่าไปโดนเส้นเลือดได้เช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าจำเป็นแพทย์จะต้องทำการเปิดแผลให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อทำการปิดเส้นเลือดดังกล่าว จะเห็นว่าไม่ว่าแผลเล็กหรือใหญ่ผิวหนังและเนื้อก็ได้รับความกระทบกระเทือนทั้งสิ้น แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดเพื่อลดอาการบวมให้ผู้ป่วยรับประทาน ดังนั้นเมื่อแพทย์จ่ายยามาให้ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งด้วย

จะเห็นว่าการผ่าตัดสร้าง ชั้นตา มีข้อที่ควรปฏิบัติอยู่เพียงเล็กน้อยและเป็นข้อปฏิบัติง่าย ๆ แต่ต้องปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจาการผ่าตัด

การศัลยกรรมเพื่อสร้างชั้นตาเป็นการออกแบมาเฉพาะบุคคลเท่านั้น ทั้งวิธีการ ขั้นตอนการทำ ขนาดของชั้นตาที่ต้องการ รวมถึงความพร้อมของร่างกายและการปฏิบัติตนของผู้เข้ารับการผ่าตัดด้วย ดังนั้นการผ่าตัดศัลยกรรมในแต่ละบุคคลย่อมได้ผลที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยรวมกัน บางครั้งเราทำการผ่าตัดด้วยวิธีนี้แล้วออกสวย แต่ว่าเพื่อต้องใช้วิธีการผ่าตัดแบบอื่นจึงจะสามารถสร้างชั้นตาได้ เพราะฉะนั้นขอให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดสร้างชั้นตาทำความเข้าใจและแจ้งความต้องการให้แพทย์รับทราบและทำข้อตกลงกันให้ดี แต่อย่าหวังว่าชั้นตาที่สร้างขึ้นมาจะสวยเหมือนคนอื่นเพราะเราก็มีความสวยในแบบของตนเองทุกคน ถ้าเรา ทำตาสองชั้น เหมือนคนที่เราว่าสวย ตาที่ออกมาอาจจะไม่สวยเหมือนคนที่เราเห็นก็ได้ อย่าลืมว่าโครงหน้า เบ้าตา โหนกคิ้วของเราไม่ได้เหมือนกับคนที่เราเห็น 100% นั่นเอง

นอกจากการ ทำตาสองชั้น ที่จะสามารถทำให้ดวงตาและดูกลมโตมากขึ้นแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ดวงตาดูโต ด้วยการเพิ่มความยาวของดวงตาให้แลดูยาวเรียวหรือการลดความยาวของดวงตาให้เหมาะสมรับกับรูปหน้าที่เป็นอยู่ นั่นคือ การผ่าตัดเปิด-ปิดหัวตา

การศัลยกรรมสามารถช่วยสร้างตัวตนที่สวยงามให้กับเราได้อย่างที่ตั้งใจ แต่การศัลยกรรมจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกาย

ศัพท์เฉพาะทางที่ใช้ในการศัลยกรรมดวงตา

1.การผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งมุมดวงตา ( Medical Canthoplasty ) คือ การผ่าตัดเพื่อทำการเปิดหัวตาให้มีความกว้างและแหลมยื่นออกมามากขึ้นกว่าเดิม วิธีการเปิดหัวตาจะช่วยทำให้ดวงตาดูเรียวยาวมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีดวงตากลมเล็กและไม่มีหัวตาหรือหัวตากลมมนจนมองไม่เห็นหัวตาเลย ถึงแม้ว่าการเปิดหัวตาจะช่วยทำให้ดวงตาแลดูเรียวยาวขึ้น แต่ถ้าสังเกตให้ดีสีผิวที่บริเวณหัวตาจะต่างจากสีของผิวเนื้อส่วนอื่น ๆ โดยรอบเนื่องจากสีที่เกิดขึ้นเป็นสีของรอยแผลเป็นจากการเปิดหัวตา โดยปกติแล้วคนไทยไม่จำเป็นต้องทำการเปิดหัวเนื่องจากส่วนใหญ่จะมีหัวตาที่ชัดเจนและเป็นมุมที่สวยงามอยู่แล้ว

2.Epicanthal Fold คือ การที่หัวตามีแผ่นเนื้อคลายที่มีลักษณะคล้ายกับพังพืดเกิดขึ้น ซึ่งแผ่นเนื้อที่เกิดขึ้นนี้จะทำการยึดเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง ส่งผลให้หัวตาและดูกลมมนไม่เรียวยาว ลักษณะของหัวตาแบบนี้พบได้มาในคนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งลักษณะหัวตาที่พบได้ในคนไทยมีอยู่ 2 แบบ คือ 

2.1หัวตาแบบ Paralleded ( Outfold ) คือ หัวตากลมมนที่เกิดจากการที่ชั้นตาทั้ง 2 ชั้นวิ่งเป็นเส้นคู่ขนาดกันตั้งแต่หัวตาจรดหางตา

2.2หัวตาแบบ Tapered ( Infold ) คือ หัวตาที่มีชั้นตา 2 ชั้นวิ่งเป็นเส้นขนาดกันตั้งแต่หางแต่ เมื่อมาถึงหัวตาเส้นชั้นตาไม่เข้ามาบรรจบที่ตำแหน่งเดียวกัน ส่งผลให้หัวตาไม่แหลมเรียวแต่มีลักษณะมนแทน

3.Skin Redraping Method คือ วิธีการเปิด-ปิดหัวตา ( Medical Canthoplasty ) อีกแบบหนึ่ง ซึ่งมีหลักการคล้ายกันเพียงแต่ว่าเทคนิคนี้ลักษณะของแผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดที่เล็กกว่า และในขั้นตอนการผ่าตัดจะต้องระมัดระวังการกระทบกระเทือนหรือการสร้างความเสียหายให้กับต่อมท่อน้ำตาที่บริเวณหัวตาเป็นพิเศษด้วย

การเปิด-ปิดหัวตาสำหรับคนไทยแทบจะไม่มีความจำเป็นเลย เพราะคนไทยส่วนมากจะหัวตาที่เปิดและมีลักษณะเรียวแหลมอยู่แล้วต่างจากคนเกาหลีที่มีลักษณะหัวตามนจึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคนี้ในการเปิดหัวตา แต่ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้วิธี Skin Redraping Method ในการสร้างหัวตาที่สวยงามให้กับคนไทยเป็นส่วนมาก

ก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมดวงตา ผู้เข้ารับบริการควรศึกษาหาความรู้เบื้องต้นไปก่อนเพราะสถานบริการบางแห่งที่เห็นแก่เงิน จะให้คำแนะนำที่เป็นศัพท์เทคนิคทางการแพทย์ที่ฟังดูดี และต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่การผ่าตัดแบบนั้นไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย และอย่างที่ทราบกันดีว่าการผ่าตัดบางอย่างต้องอาศัยความระมัดระวัง จึงควรเลือกทำการศัลยกรรมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาเป็นอย่างดี

เพื่อที่เราจะได้มีชั้น หนังตา ที่ส่งเสริมให้ดวงตาของเราดูสวยงามมีมิติน่ามองมากยิ่งขึ้น โดยสามารถทำการตรวจเช็ครายชื่อของแพทย์ที่มีความเชี่ยงชาญได้จาก “เว็บไซต์ของแพทย์สภา” เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของแพทย์ที่เราจะทำการผ่าตัดว่าเหมาะสมหรือไม่

การศัลยกรรมสามารถช่วยสร้างตัวตนที่สวยงามให้กับเราได้อย่างที่ตั้งใจ แต่การศัลยกรรมจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกาย แพทย์ผู้ทำการรักษาและอุปกร์ที่ใช้ในการรักษา ดังนั้นอย่าเห็นแก่ค่าบริการที่ถูกแล้วจึงเลือกใช้บริการ ให้เลือกที่คุณภาพของบริการมากกว่า แล้วคุณจะพบว่าศัลยกรรมสร้างชีวิตใหม่ให้คุณได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ปรับรูปตาอย่างไรให้ใบหน้าดูดี

0
ปรับรูปตาอย่างไรให้ใบหน้าดูดี
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การศัลยกรรมผ่าตัดทำตาสามารถสร้างดวงตาที่กลมโตและปรับรูปร่างของตาให้มีลักษณะที่เข้ากับใบหน้า รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาได้
ปรับรูปตาอย่างไรให้ใบหน้าดูดี
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การศัลยกรรมผ่าตัดทำตาสามารถสร้างดวงตาที่กลมโตและปรับรูปร่างของตาให้มีลักษณะที่เข้ากับใบหน้า รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาได้

ศัลยกรรมตา

ศัลยกรรมตา เป็นการปรับรูปทรงของตาให้สวยงามตามแฟชั่นนิยม เป็นการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมกันมายาวนานในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีประชากรที่มีเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งบุคคลเหล่านี้ดวงตาจะมีชั้นน้อยมากหรือบางครั้งแทบมองไม่เห็นชั้นที่บริเวณดวงตาเลยก็ว่าได้ การผ่าตัดทำตาสองชั้นจึงเป็นทางเลือกที่สามารถช่วยให้ดวงตาดูสวยงามตามค่านิยมในสังคม ในช่วงแรกการทำตกแต่งเสริมความงามให้กับดวงตาจะทำกันในหมู่ของสุภาพสตรีเท่านั้น ต่อมาด้วยความเปิดกว้างของสังคมทำให้ผู้ชายบางคนก็หันมาสนใจทำตาสองชั้นและการเสริมความงามด้วยเช่นกัน

การ ศัลยกรรมตา หรือทำตาสองชั้นไม่เพียงแต่เสริมให้ดวงตาดูสวยเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาได้อีกด้วย เช่น ปัญหาดวงตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน ปัญหาหางตาตก ปัญหาหนังตาตกมาปิดดวงตา เป็นต้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวการศัลยกรรมตาสามารถแก้ไขอย่างได้ผล ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมตาได้นั้น เราต้องทำความรู้จักกับโครงสร้างของดวงตาเราก่อนว่ามีลักษณะหรือมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อที่เวลาที่เข้าไปพบแพทย์จะได้สามารถแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นและระบุความต้องการให้กับแพทย์ได้รับทราบอย่างถูกต้อง แพทย์จะได้ทำการวินิจฉัยและสรุปแนวทางการศัลยกรรมตาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ผลการศัลยกรรมตาจะได้ออกมาเป็นที่พึงพอใจและส่งให้ใบหน้าดูงดงามมากยิ่งขึ้น

องค์ประกอบของดวงตาที่ใช้ในการพิจารณาเพื่อทำการศัลยกรรม

1.ลักษณะดวงตาแต่กำเนิด ดวงตาของแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่บางครั้งเอกลักษณะหรือลักษณะพิเศษบางอย่าง การ ศัลยกรรตา อาจจะไม่สามารถลบเลือนหรือเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด 100% ทำได้แต่เพียงแค่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้บางส่วนที่จะส่งผลให้ดวงตาดูสวยขึ้นเท่านั้น

2.ผิวเปลือกตา ลักษณะของ เปลือกตา จะมีความต่างกันไป เช่น เปลือกตามีขนาดเล็ก เปลือกตาหย่อน เปลือกตาทั้งสองข้างไม่เท่ากันซึ่งอาจเกิดจากการเป็ฯโรคกล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแรง ( Eyelid Ptosis) เปลือกลึก เป็นต้น ซึ่งเราสามารถทำการสังเกตได้จากเวลาที่ทำการทาอายแชโดว์ว่าเมื่อทาแล้วมีผิวหนังหลงเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน จากส่วนที่แสดงให้เห็นอายแชโดว์ที่ทาบนเปลือกตา เปลือกตาเป็นส่วนที่สามารถเกิดการหย่อนยานได้ตามอายุขัย นั่นคือเมื่อมีอายุมากขึ้น เปลือกตาจะหยอ่นลงมามากขึ้น หรือเปลือกตาไม่มีชั้นที่มีขนาดเล็กมาก เมื่อลืมตามขึ้นชั้นดังกล่าวจะไม่สามารถมองเห็นได้หรือที่เรียกว่าตาชั้นเดียว ซึ่งเป็นลักษณะตาของคนที่มีเชื้อสายจีนผสมอยู่นั่นเอง

3.โหนกคิ้วและคิ้ว เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับดวงตา และยังมีส่วนในการปรับรูปร่างของดวงตาอีกด้วย นอกจากนั้นโหนกคิ้วยังเป็นตัวกำหนดรูปร่างของดวงตาอีกด้วยเนื่องจากที่บริเวณปลายคิ้วจะพบว่ามาผิวหนังที่มีความหนาและมีกระดูกอยู่ด้านในด้วย ซึ่งกระดูกโหนกคิ้วที่ใหญ่ส่งผลให้มีร่องกระดูกมีความลึกส่งผลให้ดวงตาแลดูลึกตามไปด้วย หรือแม้แต่ทำให้หนนังตาหลบเข้าไปอยู่ในเบ้าตา ทำให้ลูกตาแลดูโปนออกมา หรือบางคนไม่ทราบว่าตนเองมีกระดูก เบ้าตา ที่ใหญ่แต่คิดว่าหนังตามีไขมันมากจึงไปทำการผ่าตัดเอาไขมันออกจากหนังตา แต่แทนที่จะได้ดวงตาที่เรียวเล็กกลับพบว่าดวงกลับดูลึกเข้าไปในเบ้าตาไม่น่ามอง

ดังนั้นก่อนที่จะทำการปรับปรุงดวงตาทั้งตัวเราเองและแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะทำการศึกษาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับดวงตาอย่างละเอียดถี่ถ้วน นอกจากการทำความรู้จักกับโครงสร้างของดวงตาแล้วอีกสิ่งหนึ่งก่อนที่จะทำการผ่าตัดดวงตาก็คือ ความต้องการในการเปลี่ยนแปลงดวงตา ว่าต้องการให้ดวงตามีลักษณะอย่างไร เช่น ต้องการตาสองชั้น ต้องการตาเรียว ต้องการดวงตาที่กลมโต ต้องการลดหนังตาให้น้อยลง ต้องการทำตาทั้งสองข้างให้เท่ากัน เป็นต้น เพราะความต้องการของแต่ละบุคคลย่อมต่างกัน บางคนต้องการทำการผ่าตัดดวงตาเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาหรือข้อบกพร่องของดวงตาเท่านั้น แต่บางคนต้องการปรับปรุงดวงตาเพื่อสร้างดวงตาที่สวยงามตามสมัยนิยมให้กับตัวเอง เพื่อที่จะได้ทำการออกแบบขั้นตอนและวิธีการปรับรูปดวงตาที่เหมาะสมกับใบหน้า

ซึ่งการปรับรูปตาที่ทำได้และมีนิยมทำกันมาก คือ การเพิ่ม ชั้นตา หรือการเพิ่มขนาดของชั้นตา ในการทำชั้นตาใช่ว่าจะสามารถทำได้เหมือนกันทุกคน แพทย์จะต้องทำการวินิจฉัยก่อนการที่ตามีลักษณะในปัจจุบันเกิดขึ้นจากองค์ประกอบใด เช่น กระดูกโหนกคิ้ว ไขมันที่หนังตา ความกว้างของหนังตา เป็นต้น ที่เป็นสาเหตุทำให้หนังตาหลบในจนแสดงออกมาเป็นตาชั้นเดียว เมื่อแพทย์พบถึงสาเหตุที่ทำให้หนังตาหลบในแล้วก็จะเข้าไปแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อทำให้ดวงตากลับมามีชั้นที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนไม่หลบดังเดิม ส่วนมากในคนที่มีอายุไม่เกิน 40 ปีสาเหตุที่ทำให้หนังตาหลบในจะเกิดจากปริมาณไขมันที่บริเวณเปลือกตามีมากจึงทำให้เปลือกตาหยอ่นลงมาปิดชั้นหนังตาจนมองไม่เห็นชั้นหนังตาหรือการที่ผิวหนังเปลือกตามีความกว้างมากส่งผลให้เปลือกตาลงมาคลุมชั้นหนังตาทำให้ไม่เห็นชั้นหนังตานั่นเอง ซึ่งการแก้ไขปัญหาสามารถทำได้ด้วยการผ่าตัดเอาไขมันหรือเนื้อหนังตาที่เกินออกมาบังชั้นหนังตาออก ก็จะทำให้ดวงตามีชั้นหนังตาแสดงออกมาให้เห็นแล้ว ส่วนคนที่หนังตามีเรียบดึงจนไม่มีชั้นของหนังตาเกิดขึ้นนั้น แพทย์จะทำการกรีดให้เกิดแผลซึ่งจะช่วยให้หนังตาเกิดชั้นได้มากขึ้น

สำหรับในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 40 ปีนั้น จะพบว่ามีปัญหาหนังตาตกหรือ หนังตา จะห้อยลงมาปิดดวงตา ทำให้ชั้นหนังตาโดนบังจนเหลือชั้นหนังตาน้อยชั้นกว่าเดิมหรือบดบังดวงตาจนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างปกติ สาเหตุของหนังตาห้อยเกิดขึ้นจากความเสื่อมของผิวหนังที่ส่องผลให้เปลือกตาหย่อนลงมาคลุมชั้นหนังตา ซึ่งการแก้ไขปัญหาสำหรับคนกลุ่มนี้สามารถทำได้ด้วยการผ่าตัดดึงเอาการตัดเอาเนื้อหนังตาที่เป็นส่วนเกินออกไป

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การศัลยกรรมผ่าตัดทำตาสามารถสร้างดวงตาที่กลมโตและปรับรูปร่างของตาให้มีลักษณะที่เข้ากับใบหน้า รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาได้

การผ่าตัดเพื่อปรับปรุงดวงตามีเทคนิคสำหรับการทำตาสองชั้น

1.เทคนิคการกรีดรอยแผลยาว ( Customized Limited incision Blepharoplasty )
การศัลยกรรมเป็นเทคนิคสำหรับผู้ที่มี ตาชั้นเดียว ต้องการทำตาสองชั้นหรือการผ่าตัดเพื่อตัดหนังตาที่ตกมาบังดวงตาทำให้ชั้นตามีขนาดเล็กลงหรือหนังตาหย่อนลงมาบังการมองเห็นของดวงตา โดยแพทย์จะทำการกรีดแนวแผลเป็นทางยาวออกมาซึ่งบางครั้งอาจจะยาวออกมาด้านข้างด้วย เพื่อทำการตัดผิวหนังเปลือกตาที่เกินออกมาจนบดบังชั้นเปลือกตา เมื่อตัดเอาเนื้อส่วนที่เกินออกแล้วจะทำการเย็บแผล

หลักการของศัลยกรรมทำตาสองชั้นด้วยเทคนิคการกรีดรอยแผลยาว เทคนิคนี้เป็นการสร้าง ตาสองชั้น ที่ช่วยลดปัญหาเสียส่วนมาก เนื่องจากเทคนิคนี้ต้องได้รับการผ่าตัดที่เปิดแผลที่มีขนาดกว้างมากประมาณ 5- 7 เซนติเมตร แล้วทำการตัดหนังที่หย่อนเกินหรือทำการดูดไขมันที่ทำให้หนังตาหย่อนมาปิดชั้นของตา แล้วทำการเย็บชั้นกล้ามเนื้อตาที่บริเวณเปลือกตาใหม่ให้กล้ามเนื้อกระชับมากขึ้น และทำการเย็บปิดแผลที่บริเวณผิวหนังด้านนอกของเปลือกตา ซึ่งเทคนิคนี้จะทำให้เกิดชั้นตาที่มีขนาดใหญ่ มีความคมชัด ส่งผลให้ดวงตาแลดูกลมโตมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าในใช้เทคนิคนี้ผู้ทำจะต้องได้รับการผ่าตัดเปิดแผลที่มีขนาดยาวหลังจากที่ทำการผ่าตัดที่บริเวณเปลือกตาจะบวมมาก จึงทำให้ต้องใช้เวลานานในการรักษาเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวหนังที่บริเวณหนังตา

2.เทคนิคการกรีดรอยแผลแบบสั้น ๆ (Minimal Incision Blepharoplasty)
เป็นเทคนิคการทำ ตาสองชั้น สำหรับผู้ที่ไม่มีไขมันส่วนเกินหรือหนังตาไม่ได้หย่อนมากผิดปกติจึงไม่จำเป็นต้องทำการตัดไขมันหรือหนังส่วนเกินที่บริเวณหนังตาออกไป วิธีศัลยกรรมของแพทย์จะทำการกรีดที่หนังตาเป็นแผลขนาด 2-3 เซนติเมตรแล้วแต่ขนาดของดวงตา และทำการเย็บแผลซึ่งแผลนี้จะทำให้หนังตามีลักษณะเป็นชั้นขึ้นมาได้ วิธีการนี้นิยมทำกันมากในชาวเกาหลี ญี่ปุ่น ที่มีเนื้อที่หนังตาน้อย

หลักการของการทำ ตาสองชั้น ด้วยการกรีดเป็นแผลสั้น ๆ เทคนิคนี้จะทำด้วยการสร้างบาดแผลขนาดเล็กเพื่อให้มีการสร้างพังพืดที่บริเวณแผลทำให้มีการดึงกล้ามเนื้อในขณะที่ลืมตาเพื่อให้เกิดตาสองชั้นหรือทำการกรีดแผลเพื่อดูดเอาไขมันที่อยู่ในเปลือกตาออกมาเพื่อลดขนาดของหนังตาด้านบนให้น้อยลง ส่งผลให้เห็นบริเวณชั้นของตามากขึ้น

3.เทคนิคการกรีดแบบที่ไม่มีรอยแผลกรีดหรือการทำตาสองชั้นแบบจุด 3 จุด (Buried Suture technique Blepharoplasty)
เป็นเทคนิคการทำ ตาสองชั้น ที่ไม่ต้องทำการผ่าตัดเพื่อสร้างแผลเป็นที่บริเวณหนัง เหมาะกับคนที่มีตาชั้นเดียว วิธีการทำตาสองชั้นแบบนี้ เริ่มจากการเย็บจากบริเวณด้านในของหนังตาด้านบนให้ติดกันเป็นจุด จำนวน 3 จุดเพื่อทำการให้หนังตาเป็นร่อง เวลาที่ลืมตาก็จะเห็นเป็นตาสองชั้น และเวลาหลับตาก็จะไม่เห็นร่องรอยเป็นแผลที่เกิดจากการเย็บจึงแลดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่วิธีการทำตาสองชั้นที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็ตาม แต่ก็ได้มีการพัฒนาเทคนิคให้มีความละเอียดและออกมาเป็นธรรมชาติมากที่สุด ผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรมไม่เสียเวลาในการพักฟื้น ไม่ต้องทำการผ่าตัดให้เป็นแผล

หลักการของการทำ ตาสองชั้น ด้วยวิธีการทำตาสองชั้นแบบจุด 3 จุด คนที่มีตาชั้นเดียวเนื่องจากที่บริเวณหนังตาจะไม่มีพังพืดที่ทำหน้าที่ขึงหรือยึดส่วนของกล้ามเนื้อตากับผิวหนังเมื่อลืมตาจึงไม่มีพังพืดที่สามารถทำการดึงให้หนังตาออกมาเป็นชั้นได้ ซึ่งการทำตาสองชั้นก็เพียงแค่ทำการสร้างพังพืดที่สามารถทำหน้าที่การขึงหรือยึดกล้ามเนื้อตากับส่วนของผิวหนังขึ้นมา เพื่อที่เวลาลืมตาพังพืดจะทำการดึงหนังตาทำให้มีลักษณะเป็นตาสองชั้นเกิดขึ้นได้การสร้างพังพืดก็คือการทำตาสองชั้นนั่นเอง ส่วนเทคนิคการ ศัลยกรรมตา สองชั้นด้วยการสร้างพังพืดนี้สามารถทำได้หลายแบบด้วยกัน เช่น การกรีดเป็นรอยแผลสั้น ๆ หรือการเย็บจุด 3 จุด การกรีดแผลเป็นรอยยาวตามที่ได้กล่าวมาในตอนต้น ซึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ การทำตาสองชั้นแบบจุด 3 จุด ที่ทำด้วยการนำไหมไปเย็บที่บริเวณเปลือกตา 3 ตำแหน่งด้วยกัน ไหมจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อพังพืดตามธรรมชาติให้เกิดขึ้นในบริเวณที่ทำการเย็บ ซึ่งการจุดที่ทำการเย็บแพทย์จะต้องการวินิจฉัยแล้วว่าเมื่อลืมตาขึ้นจะเกิดเป็นชั้นของตาที่มีขนาดเหมาะสมกับดวงตา และต้องทำการกำหนดจุดบนตาทั่งสองข้างให้มีขนาดที่เท่ากันเพื่อที่เวลาลืมตาดวงตาทั้งสองข้างก็จะมีขนาดที่สมดุลกันด้วย และทำการฉีดยาชาที่บริเวณเปลือกตาตรงบริเวณที่ต้องการใช้ไหมเย็บ และทำการเย็บด้วยไหมชนิดที่ไม่สามารถละลายได้เอง เพื่อทำการยึดผิวหนังในส่วนที่ต้องการให้เกิดพังพืดในการสร้างชั้นของตา หลังจากทำการเย็บเสร็จแล้วเราจะเห็นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เกิดขึ้นบนเปลือกตาของเราในขณะที่ทำการหลับตา และไม่เห็นรอยการเย็บของเข็มเลยในขณะที่ลืมตา การใช้ไหมเย็บเพื่อกระตุ้นการสร้างพังพืดให้เกิดขึ้นเองนับเป็นวิธีที่เจ็บปวดน้อยและลักษณะของตาสองชั้นที่เกิดขึ้นจะแลดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด 

วิธีการสร้าง ตาสองชั้น ด้วยการเย็บด้วยไหมนี้เป็นการสร้างตาสองชั้นที่มีความอันตรายน้อยที่สุด ใช้ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งเพียงแค่ 30-60 นาทีเท่านั้น ผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรมไม่จำเป็นต้องพักฟื้นเนื่องจากบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่ต้องการทำตาสองชั้นเลือกใช้วิธีนี้ในการทำตาสองชั้นกันมากในผู้ที่มีอายุน้อยและไม่มีปัญหาหนังตาหนาหรือหนังตาหย่อน

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ดังนั้นการมีดวงตาที่สดใสกลมโตย่อมสร้างความน่าประทับใจให้กับผู้ที่ได้พบเห็น แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีดวงตากลมโตน่ามองมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นการศัลยกรรมผ่าตัดทำตาสองชั้นเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยสร้างดวงตาที่กลมโตน่ามองและปรับรูปร่างของตาให้มีลักษณะที่เข้ากับใบหน้า แก้ไขปัญหาตาสองข้างไม่เท่ากัน หางตาตก การ ศัลยกรรมตา ช่วยสร้างใบหน้าที่สวยงามมีมิติให้คุณได้ตามที่ใจปรารถนา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อคงความอ่อนเยาว์

0
ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อคงความอ่อนเยาว์
Relax คือ การแก้ไขปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังที่มีลักษณะการเหี่ยวย่นเพียงเล็กน้อยหรือริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดเนื่องจากการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจากการแสดงอารมณ์มากกว่าปกติ
ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อคงความอ่อนเยาว์
HiFU/Ulthera เป็นเครื่องมือที่มีการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกระตุ้นที่ใต้ผิวหนังทำให้เกิดความร้อนทำให้เนื้อโดนเผาผลาญและหดตัวลง และเนื้อเกิดการยกกระชับ

ศัลยกรรมใบหน้า

หน้าเรียวก็เป็นความต้องการของทุกคนเพราะอวัยวะของคนเราเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้นย่อมมีความเสื่อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระดูก ข้อต่อกระดูก ดวงตาหรือแม้แต่ใบหน้า จึงมีการ ศัลยกรรมหน้า เรียวเกิดขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้นผิวหนังเกิดการเสื่อมของเซลล์ผิวที่อยู่บนใบหน้า ทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหย่อนคล้อย ใบหน้าแลดูแก่ ปัจจุบันนี้การเกิดริ้วรอยไม่ได้เกิดขึ้นในเฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนหนุ่มสาวการศัลยกรรมใบหน้าต่างๆ เช่น ฉีดหน้าเรียว ฉีดปรับรูปหน้า ฉีดลดเหนียง ฉีดโบท๊อกซ์ ร้อยไหม เป็นต้น

ที่เรียกว่าริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้สร้างความกังวลและลดความมั่นใจจนบางครั้งกระทบกับการทำงานและการดำรงชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าการดูแลใบหน้าให้แลดูอ่อนเยาว์สามารถดูแลเบื้องต้นได้ด้วยการทำให้สุขภาพร่างกายมีความแข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่และเน้นผักผลไม้ที่เป็นแหล่งวิตามินและการพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการกระตุ้นการซ่อมแซมที่แข็งแรงและสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ทดแทนเซลล์ผิวที่ตายไป รวมถึงการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้มีประสิทธิภาพ วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยอย่างได้ผลก็จริง แต่ทว่าในปัจจุบันสิ่งที่เข้ามาทำลายเซลล์ผิวมีมากมายจนบางครั้งการดูแลผิวด้วยวิธีนี้ไม่สามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้ จึงเป็นที่มาของการใช้เครื่องมือหรือการ ศัลยกรรมใบหน้า ให้หน้าเรียวและแลดูอ่อนเยาว์อย่างได้ผล หลักการคงใบหน้าเพื่อกระชากวัย เรียกว่า “ หลักการ 4R ”

การที่ช่วยดูแลและแก้ไขปัญหาการเกิดริ้วรอย ด้วยหลักการ 4R

1.Resurface คือ การดูแลผิวสำหรับผู้ที่กำลังเข้าสู่วัยกลางคนที่เริ่มมีปัญหา เช่น ผิวแห้ง รอยด่างดำ กระ ซึ่งการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถทำได้ด้วยการทาครีมบำรุงผิว ครีมกันแดดหรือการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ( Moisturizer ) หรือการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า IPL ( Intense Pulse Light ) ที่เป็นใช้เทคนิคการยิงคลื่นแสงที่มีความกว้างตั้งแต่ 420 นาโนเมตรถึง 1200 นาโนเมตรเข้าสู่ผิวหนัง เพื่อแก้ไขปัญหารอยสิว รูขุมขนกว้าง ฝ้า กระ รอยแผลเป็นเล็ก จุดด่างดำอย่างได้ผล การใช้ความยาวคลื่นในช่วงที่มีความกว้างทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผิวบนใบหน้าหลายชนิดได้ในเวลาเดียวกัน จึงช่วยลดระยะเวลาในการรักษา

2.Relax คือ การแก้ไขปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังที่มีลักษณะการเหี่ยวย่นเพียงเล็กน้อยหรือริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดเนื่องจากการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจากการแสดงอารมณ์มากกว่าปกติ เช่น การขมวดคิ้ว ริ้วรอยตีนกาจากการยิ้ม การหัวเราะ ริ้วรอยย่นบนหน้าผาก เป็นต้น ซึ่งการรักษาจะใช้การเติมโบทูลินัมท็อกซิน ( Botulium Toxin ) หรือโบท็อกซ์ (Botox) เข้าสู่ใต้ผิวหนังในบริเวณที่ต้องการลดริ้วรอย เพื่อช่วยยกกระชับผิวหนังในบริเวณดังกล่าว และยังสามารถช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อที่บริเวณรักแร้ได้อีกด้วย โดยที่ตัวโบท็อกซ์ (Botox) จะเข้าไปยับยั้งการส่งกระแสประสาทไปยังส่วนของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ส่งผลให้ผิวหนังที่อยู่ด้านบนของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นกลับมาเรียบตึงและรอยเหี่ยวก็จะหายไปนั่นเอง แต่ถ้าทำการฉีดโบท็อกซ์มาเกินไปอาจจะส่งผลให้ใบหน้าแข็งไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดออกมาได้   

3.Resuspension คือ การรักษาริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดเนื่องจากผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื่นจนเกิดการหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงของโลกทั่วทั้งใบหน้าจรดบริเวณคอ ซึ่งเมื่อทำการฉีดโบท็อกไม่สามารถช่วยลดริ้วรอยดังกล่าวได้ การรักษาริ้วรอยแบบนี้จะทำได้ด้วยการผ่าตัดเอาหนังออกไปบางส่วนเพื่อให้ใบหน้าตึงกระชับเหมือนเดิม แต่การผ่าตัดเพื่อ ยกกระชับใบหน้า พบว่าผู้ป่วยจะต้องพักฟื้นเป็นเวลานานกว่าที่จะหายเป็นปกติ จึงได้มีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อทำการยกกระชับใบหน้า ซึ่งมีวิธีดังนี้

3.1 การใช้คลื่นพลังงาน
เป็นการใช้คลื่นพลังงานยิงตรงเข้าไปในผิวหนังชั้นใน เพื่อให้คลื่นพลังงานทำการเผาผลาญเนื้อที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ทำให้เนื้อเกิดการหดตัวพร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวให้มีการสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ใบหน้าจึงกลับมาตึงกระชับ เครื่องมือที่ใช้ในการยิงคลื่นพลังงาน เช่น
Fraxel Laser เป็นเครื่องมือที่สามารถยิงลำแสงไปในผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ ไปยังบริเวณที่ต้องการกระตุ้นผิวหนังได้โดยตรง โดยที่ผิวในบริเวณข้างเคียงไม่เกิดความเสียหายและไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่บริเวณผิวหนังด้านนอกด้วย
Thermage เป็นเครื่องมือที่ทำการยิงคลื่นวิทยุ ( Monopolar RF) ส่งผลให้มีความร้อนเกิดขึ้นที่บริเวณชั้นผิวหนังด้านล่าง
HiFU/Ulthera เป็นเครื่องมือที่มีการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูง ( High focus ultrasound ) ทำการยิงเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการยกกระชับ เมื่อยิงเข้าไปแล้วคลื่นเสียงจะเข้าไปกระตุ้นที่ใต้ผิวหนังทำให้เกิดความร้อนที่บริเวณดังกล่าวทำให้เนื้อโดนเผาผลาญและหดตัวลง ส่งผลให้เนื้อเกิดการยกกระชับ
ซึ่งการทำศัลยกรรมด้วยวิธีนี้ผิวที่อยู่ด้านนอกจะไม่ได้รับอันตรายจากการเผาผลาญที่เกิดขึ้น ไม่มีรอยแผลที่เกิดจากการเผาผลาญด้วยความร้อนแต่จะทำให้กล้ามเนื้อหดตัวอย่างได้ผล แต่เนื้อที่เกิดการหดตัวจากการยิงคลื่นพลังงานเข้าไปจะคงอยู่ได้ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ว่าดีมากแค่ไหนและถ้าต้องการให้ใบหน้าเรียบตึงอยู่ตลอดจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง รีวิว hifu 

3.2 การใช้ไหมเพื่อยกกระชับ
เป็นการ ศัลยกรรมใบหน้า ด้วยการร้อยไหมเข้าไปในใบหน้า การใช้ไหมที่มีขนาดเล็กนับร้อยเส้นมาทำการร้อยเป็นเครือข่าย เพื่อให้เส้นไหมเข้าไปทำการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่บริเวณใต้ผิวหนัง ร่างกายจึงจะทำการสร้างเส้นเลือดขึ้นมาเพื่อทดแทนเส้นเลือดที่เกิดการอักเสบ จึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบริเวณโดยรอบของเส้นไหมที่รอยเข้าไปทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและกระชับและยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ผิวหนังจึงมีความชุ่มชื่นและแข็งแรงมากขึ้นด้วย ซึ่งไหมที่ใช้ในการร้อยเรียกว่าไหมก้างปลาซึ่งแพทย์ชาวรัสเซียเป็นผู้นำมาใช้ยกกระชับใบหน้า ต่อมาได้มีการพัฒนาไหมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดข้อด้อยและเพิ่มข้อเด่นของไหมในการยกกระชับให้มากขึ้น อย่างเช่น ไหมรูปกรวยไอศกรีม ไหมชนิดตาข่าย ( Mesh thread ) ไหมOPD ที่สามารถละลายได้คล้ายกับไหมละลายที่ใช้ในการเย็บแผล ซึ่งการร้อยไหมสามารถแบ่งได้ 2 แบบตามชนิดของการเกาะเกี่ยวคือ
1.ชนิดที่มีการเกาะเกี่ยวทางเดียว เป็นการร้อยไหมที่ความแข็งแรงที่สุด เพราะว่าการยุดเส้นไหมจะยึดที่ด้ายบนเพียงด้านเดียวจึงไม่มีแรงยึดรั้งจากอีกทางหนึ่งของเส้นไหม แต่ต้องทำการผ่าตัดเพื่อยึดเส้นไหม ทำให้ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นที่นาน
2.ชนิดที่มีการเกาะเกี่ยวสองทาง เป็นการร้อยไหมที่มีการผูกยึดทั้งสองด้านของปลายไหม การร้อยไหมวิธีนี้ง่ายไม่จำเป็นต้องเปิดแผลในการรอยไหมทำให้ผู้ป่วยเห็นผลทันทีหลังจากทำการร้อยไหม
หรืออีกวิธีหนึ่งในการร้อยไหมที่นิยมทำกันคือ การใช้วัสดุเอ็นไทน์ ( Endotine ) เป็นวัสดุที่ได้รับการออกแบบมาพิเศษสำหรับการยกกระชับผิวหนัง ซึ่งวัสดุเอ็นไทน์ ( Endotine ) จะสามารถสลายตัวไปหลังจากที่เข้าสู่ผิวหนังประมาณ 1 ปี และผลการยกกระชับจะยังคงอยู่ต่อไปได้อีกประมาณ 5-6 ปีขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล โดยจะทำการผ่าตัดและวางวัสดุเอ็นไทน์ ( Endotine ) ไปยังใต้ผิวหนัง ซึ่งหลักการทำงานเพื่อยกกระชับของวัสดุเอ็นไทน์ ( Endotine ) จะเหมือนกับหลักการของการร้อยไหมทุกอย่าง

3.3 การผ่าตัดดึงหน้า ( Face Lift )
เป็นการผ่าตัดเพื่อ ยกกระชับใบหน้า อย่างได้ผลที่สุด โดยการผ่าตัดจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ
1.การผ่าตัดดึงหน้าเฉพาะส่วน คือ การผ่าตัดดึงหน้าในบริเวณที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นเท่านั้น เพื่อตัดและดึงกระชับใบหน้าส่วนนั้นให้กระชับ ซึ่งการผ่าตัดแบบนี้รอยผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดที่เล็กมาก จึงใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยไม่มากหรือมีริ้วรอยเฉพาะจุดเท่านั้น 
2.การผ่าตัดดึงหน้าทั้งใบหน้า คือ การผ่าตัดตั้งแต่ขมับลงมาผ่านหน้าหูลงมาจนถึงบริเวณติ่งหู บางครั้งอาจจะมีการผ่าลงมายังบริเวณหลังหูในรายที่ต้องการยกกระชับบริเวณคอด้วย เมื่อผ่าตัดเปิดแผลแล้วจะทำการดึงใบหน้าให้ตึง ทำการตัดหนังส่วนที่เกินออกไปและเย็บติดกลับเข้าสู่ที่เดิม ซึ่งการยกกระชับใบหน้าด้วยการผ่าตัดทั้งใบหน้าเป็นการยกกระชับที่ได้ผลดีและคงอยู่ประมาณ 5-6 ปีโดยประมาณ เนื่องจากสภาพผิวหนังของคนเราจะมีการเสื่อมเกิดขึ้นทำให้ผิวหนังเกิดการหย่อนยานอยู่ตลอดเวลานั้นเอง

การศัลยกรรมยกกระชับใบหน้าเป็นทางเลือกที่จะช่วยแก้ปัญหาการมีใบหน้าที่แก่ชราหรือมีริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วยการสร้างใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์

4.Refill หรือการเติมเต็ม เป็นแนวคิดในการ ศัลยกรรมใบหน้า ที่ได้รับการพัฒนามาจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ซึ่งนับเป็นวิธีการยกกระชับที่เกิดขึ้นหลังสุด เนื่องจากสาเหตุของการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้านั้น นอกจากจะเกิดจากการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังแล้วยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือการฟ่อของไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา ร่องแก้ม ขมับ ที่เมื่อไขมันฟ่อจะส่งผลให้ผิวหนังมีความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเติมสารเข้าไปทดแทนไขมันที่เกิดการฟ่อตัวจึงสามารถช่วยยกกระชับใบหน้า ซึ่งสารที่นิยมนำมาเติมเต็มที่บริเวณดังกล่าว คือ

4.1 ฟิวเลอร์ ( Filler ) หรือสารไฮยาลูโรนิค แอซิต ( Hyaluronic acid หรือ HA) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ หลักการการทำงานของสารสารไฮยาลูโรนิค แอซิต ( Hyaluronic acid ) ในการยกกระชับใบหน้า โดยที่สารนี้จะเข้าไปช่วยให้ชั้นผิวหนังด้านในมีการกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น และช่วยเติมเต็มช่องว่างที่อยู่ใต้ผิวซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย จึงทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์และผิวหน้ามีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ซึ่งสารนี้จะสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ดังนั้นการเติมเต็มด้วยสารนี้จึงไม่คงอยู่อย่างถาวร

4.2 ไขมันจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งไขมันจัดเป็นสารเติมเต็มที่ดีที่สุดสำหรับคนเรา เนื่องจากไขมันที่นำมาใช้เป็นไขมันเติมเต็มนั้นเป็นไขมันที่อยู่ภายในร่างกายของตัวผู้เข้ารับการ ยกกระชับใบหน้า ดังนั้นไขมันจึงไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของร่างกาย โอกาสที่ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านย่อมไม่มี นอกจากนั้นยังพบว่าไขมันสามารถช่วยสร้างสเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่ช่วยในการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวได้ การฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายเพื่อเติมเต็มรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้านับเป็นวิธีที่ได้ผลดีและคงอยู่ได้นานกว่าการฉีดฟิวเลอร์ โดยการฉีดไขมันจะคงอยู่ประมาณ 3 เดือน 

จะพบว่าการ ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อสร้างความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้านั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีด้วยกัน แล้วเราจะเลือกวิธีไหนในการยกกระชับใบหน้า

หลักการเลือกวิธีการยกกระชับใบหน้า

1.ลักษณะของริ้วรอยเหี่ยวย่น
ลักษณะของริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นบนใบหน้ามีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ซึ่งการลดเลือนริ้วรอยดังกล่าวจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับการยกกระชับว่าต้องการให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์นี้คงอยู่นานแค่ไหน เพราะการศัลยกรรมยกกระชับแต่ละวิธีก็สามารถคงอยู่ได้ไม่เท่ากัน

2.ระยะเวลาในการพักฟื้น
การผ่าตัดเพื่อทำการ ศัลยกรรมใบหน้า บางวิธีต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นที่นานหลายเดือนกว่าใบหน้าจะกลับเข้าสู่ปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลเกิดการติดเชื้อหรือเกิดความกระทบเทือนจนผลการยกกระชับไม่ได้ผล ดังนั้นถ้าไม่มีเวลาที่จะพักฟื้นก็ไม่ควรเลือกวิธีที่เมื่อทำเสร็จแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานให้เลือกวิธีที่ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหรือใช้เวลาน้อยแทน

3.แพทย์ผู้ทำการศัลยกรรม
การ ศัลยกรรมใบหน้า ทุกชนิดเพื่อยกกระชับต้องทำด้วยแพทย์ผู้มีความชำนาญและมีประสบการณ์ แพทย์มีการฝึกอบรมการใช้เครื่องมือมาเป็นอย่างดี เพื่อผลการยกกระชับที่ยอดเยี่ยมและลดความผิดพลาดหรือความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ และแพทย์ผู้มีประสบการณ์จะสามารถวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องและแม่นยำว่าต้องทำการยกกระชับในหน้าด้วยวิธีการใบจึงจะเหมาะสมกับร่างกายของผู้เข้ารับบริการอีกด้วย

4.สถานบริการ
การเลือกสถานบริการมีความสำคัญไม่น้อย ควรเลือกทำการ ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อความอ่อนเยาว์กับสถานบริการที่ได้มาตรฐาน มีการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ มีเครื่องมือที่สะอาดทันสมัย
นี้คือหลักในการพิจารณาเลือกวิธีการศัลยกรรมใบหน้า สำหรับผู้ที่ต้องการศัลยกรรมใบหน้าเพื่อสร้างใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ ผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมควรศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อนอย่าเชื่อคำโฆษณาของสถานเสริมความงามทุกอย่าง เพราะบางครั้งคำโฆษณาดังกล่าวอาจเป็นคำโฆษณาที่เกินความจริงไปมาก และอย่าเห็นแก่ของถูกด้วย เนื่องจากการที่สถาบันเสริมความงามบางแห่งหรือคลินิกเสริมความงามลดราคาถูกจนน่าตกใจ ต้องฉุกคิดก่อนว่าการทำธุรกิจต้องได้กำไร ถ้าราคาค่าบริการถูกเช่นนี้แล้ววัสดุที่นำมาใช้ในการยกกระชับย่อมเป็นวัสดุราคาถูกด้วยเช่นกัน ซึ่งบางครั้งวัสดุดังกล่าวอาจมีการปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อนำเข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน ดังนั้นควรเลือกราคาที่สมเหตุสมผลจะดีกว่า

การมีใบหน้าที่แก่ชราหรือมีริ้วรอยเหี่ยวย่นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของตน การ ศัลยกรรมใบหน้า เป็นทางเลือกที่จะช่วยสร้างใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์อย่างได้ผล ตามศัลยกรรมตามหลักการ 4R จะช่วยให้คุณคงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ไว้ได้ยาวนานตามที่ต้องการ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

เนรมิตจมูกสวยเข้ารูปทรงด้วยศัลยกรรม

0
เนรมิตจมูกสวยเข้ารูปทรงด้วยศัลยกรรม
การศัลยกรรมเสริมจมูกทำให้มีดั้งที่สูงและโด่ง ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติและคมเข้ม
เนรมิตจมูกสวยเข้ารูปทรงด้วยศัลยกรรม
การศัลยกรรมเสริมจมูกทำให้มีดั้งที่สูงและโด่ง ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติและคมเข้ม

ศัลยกรรมจมูก

การศัลยกรรมเสริมจมูก ช่วยให้คนมีรูปลักษณ์ได้ตามที่ต้องการ การ ศัลยกรรมจมูก เพิ่มความงามมีตั้งแต่การเสริมเล็กน้อยจนกระทั้งการผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างกระดูกของใบหน้า แต่สำหรับบางคนที่มีโครงสร้างของใบหน้าที่สวยงามสมส่วนอยู่แล้ว แต่องค์ประกอบบางอย่างมีลักษณะที่ไม่สมส่วน เช่น จมูก ปาก คิ้ว จึงจำเป็นต้องทำการศัลยกรรมเพื่อ ปรับเปลี่ยนรูปร่างของอวัยวะเหล่านั้น เพื่อที่โครงสร้างโดยรวมของใบหน้าจะดูโดดเด่นน่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยมาในคนไทยก็คือ ลักษณะของจมูกที่แบนไม่มีกระดูกดั้งสูงเหมือนกับชาวตะวันตก ดังนั้นจึงนิยมทำการเสริมจมูกให้มีดั้งที่สูงและโด่งส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติ คมเข้มมากขึ้น    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การผ่าตัดแต่งจมูก ( Rhinoplasty ) หรือ Nose job คือ การผ่าตัดเพื่อทำการตกแต่งจมูก

การผ่าตัดตกแต่งเสริมจมูก

1. การผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก ( Augmentation Rhinoplasty )
การผ่าตัด ศัลยกรรมจมูก เพื่อเพิ่มให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น สำหรับจมูกที่มีลักษณะแบน มีดั้งจมูกน้อยหรือไม่มีดั้งจมูกเลย โดยสามารถสังเกตได้เมื่อทำการมองจากทางด้านข้างสามารถมองผ่าเห็นดวงตาอีกข้างได้โดยไม่มีดั้งจมูกมาบดบัง หรือในคนที่มีจมูกขนาดเล็กก็สามารถทำการเสริมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น

2. การผ่าตัดเพื่อลดขนาดจมูก ( Reduction rhinoplasty )
คือ การผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อลดขนาดขอจมูกที่มีขนาดใหญ่ไม่สมส่วนให้มีขนาดที่เล็กลง ซึ่งการผ่าตัดแบบนี้มักทำในคนต่างชาติแทบยุโรปที่มีจมูกขนาดใหญ่แต่กำเนิด โดยเฉพาะชาวยุโรปผิวขาว การผ่าตัดส่วนมากจะทำการผ่าตัดลดขนาดของปุ่มที่นู่นขึ้นบริเวณสันจมูก (Hump) โดยการผ่าตัดเอากระดูกที่บริเวณสันจมูกออกไป ทำให้จมูกดูเรียบเนียนไม่มีปุ่มของสันจมูกนูนขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด

นอกจากการผ่าตัด ศัลยกรรมจมูก ทั้งสองแบบนี้แล้ว ยังมีการผ่าตัดอีกแบบหนึ่งที่เน้นการตกแต่งปรับรูปร่างองค์ประกอบของจมูกมากกว่าที่จะสนใจขนาดของจมูก เพราะบางครั้งจมูกมีขนาดที่พอดี ดั้งสูงได้ระดับแต่ว่ามีขนาดรูจมูกที่กว้างหรือปีกจมูกใหญ่บานหรือจมูกที่มีรูปทรงคล้ายลูกชมพู การปรับรูปร่างทำได้ด้วยการตัดเนื้อบางส่วนออกก็ทำให้รูปทรงจมูกสวยได้แล้ว [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การผ่าตัดเสริมจมูกที่นิยมทำกันในประเทศไทย

กลุ่มคนในประเทศแถบเอเชีย เช่น คนไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนมากจะมีจมูกที่มีขนาดเล็ก แบนไม่มีดั้ง ที่บริเวณปลายจมูกไม่โด่งพุ่งขึ้นมา จึงนิยมทำการเสริมจมูกแบบผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก (Augmentation Rhinoplasty) เป็นส่วนใหญ่ เพื่อที่จะทำให้จมูกมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดั้งจมูกโด่งเป็นสันคมชัด ปลายจมูกพุ่งขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติสวยมากขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูกที่นิยมทำกันในประเทศไทยมีสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันตามลักษระของแผลที่ทำการผ่าตัด (Approach) คือ

1. การผ่าตัดแบบปิด (Close Rhinoplasty หรือ Endonasal Rhinoplasty)
คือ การผ่าตัดเพื่อเสริมจมูกโดยที่ทำการเปิดแผลภายในรูจมูก ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นแผลจากการผ่าตัดจากภายนอกได้

2. การผ่าตัดแบบเปิดหรือเปิดปลาย การผ่าจมูกแบบเปิด ( Open rhinoplasty หรือ Open approach หรือ Open tip rhinoplasty  )
คือ การผ่าตัดที่มีการเปิดแผลจากด้านในของจมูกและมีการเปิดแผลด้านนอกร่วมด้วย ซึ่งการเปิดแผลด้านนอกจะทำการเปิดผ่านแกนที่อยู่ระหว่างรูจมูก ( Transcolumella incision ) การเปิดแผลนี้เพื่อที่จะทำการเชื่อมไปยังแผลที่อยู่ด้านรูจมูกที่อยู่อีกข้างหนึ่ง ซึ่งศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะสามารถทำการถลกหนังที่จมูกเพื่อที่จะได้เห็นโครงสร้างกระดูกภายในของจมูกได้ทั้งหมด ทำให้การผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนลักษณะและรูปร่างจมูกทำได้ง่ายขึ้น การผ่าตัดแบบนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสูงเพราะมีความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นได้ง่าย จึงต้องใช้ความชำนาญในการเย็บแผลที่สูงมากนั่นเอง

การแบ่งวิธีปรับโครงสร้างของจมูก

ลักษณะของการผ่าตัดไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าแพทย์จะทำการศัลยกรรมจมูก รูปแบบใดบ้าง เพราะการผ่าตัดทั้งสองแบบ สามารถทำการเสริมจมูกได้ทั้งสองรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญและความต้องการของแพทย์ที่ทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดเสริมจมูกนอกจากจะแบ่งตามลักษณะของบริเวณที่ทำการเปิดแผลแล้วยังสามารถแบ่งตามวิธีปรับโครงสร้างของจมูกดังนี้  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1. การเสริมจมูกด้วยการนำวัสดุมาวางไว้บริเวณด้านบนของจมูก ( On-top augmentation )
คือ การเสริมจมูก ให้สูงขึ้นหนาขึ้น วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีตั้งแต่วัสดุสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคน หนังเทียม ( Acellular der matrix ) หรือวัสดุธรรมชาติที่นำมาจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น กระดูกอ่อนหลังหู กระดูกอ่อนซี่โครง กระดูกอ่อนโพรงจมูก กระดูกแข็ง เนื้อที่ทำหน้าที่หุ้มกล้ามเนื้อ (Fascia) ไขมัน ผิวหนังที่มีไขมันติดอยู่ (Dermal fat graft) เป็นต้น โดยการนำวัสดุดังกล่าวมาวางเสริมบนกระดูกจมูกที่มีอยู่แล้วให้สูงขึ้น คล้ายกับการเสริมหลังคาบ้านให้มีความหนาและสูงขึ้น

2. การเสริมจมูกโดยการปรับโครงสร้างภายในจมูก ( Structure integrated augmentation )
คือ การปรับลักษณะโครงสร้างที่อยู่ภายในของจมูกใหม่เพื่อให้ได้รูปร่างของจมูกตามต้องการ เนื่องจากโครงสร้างภายในของจมูกต่างส่งผลต่อลักษณะที่แสดงออกมาภายนอกเมื่อทำการปรับโครงสร้างภายในแล้วย่อมส่งผลต่อลักษณะภายนอกด้วย เช่น การปรับปลายจมูกให้มีลักษณะที่พุ่งสูงขึ้นด้วยการยืดกระดูกที่บริเวณปลายกระดูก จะส่งผลให้จมูกมีลักษณะที่เล็กลง ปีกจมูกและรูจมูกแคบลงด้วย การเสริมจมูก ด้วยวิธีนี้ก็เปรียบเสมือนกับการยืดเสาบ้านให้สูงเพิ่มขึ้นเพื่อให้ตัวบ้านแลดูโปร่งสูงและโดดเด่นมากขึ้น จมูกที่ได้จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในจะกลมกลืนกับใบหน้าแลดูเป็นธรรมชาติ

การผ่าตัด เสริมจมูก ทั้งแบบ On-top augmentation และแบบ Structure integrated augmentation สามารถทำการผ่าตัดทั้งแบบเปิดและแบบปิด ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและความชำนาญของแพทย์เป็นหลัก ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัดแบบปิดสำหรับการเสริมแบบ On-top เพราะง่าย มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ส่วนการปรับลักษณะโครงสร้างภายในของจมูกจากภายใน แพทย์จะทำการผ่าตัดแบบเปิด เพราะว่าการผ่าตัดแบบเปิดจะเห็นลักษณะโครงสร้างภายในได้ทั้งหมดและสะดวกต่อการตัดต่อ ตัดแต่งกระดูกได้ง่ายอีกด้วย ซึ่งการผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างจมูกไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดเสมอไป เพราะถ้าต้องการผ่าตัดปรับโครงสร้างจมูกที่ไม่ซับซ้อนก็สามารถผ่าตัดแบบปิดได้ ซึ่งเรียกการผ่าตัดแบบนี้ว่า การปรับโครงสร้างแบบแอนโด ( Endorhinoplasty หรือ Endonasal rhinoplasty ) [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3. การเสริมจมูกที่บริเวณส่วนปลาย
วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งเสริมจมูกส่วนปลายโดยมากจะใช้กระดูกอ่อน ( Cartillage ) ที่มาจากอวัยวะอื่นของร่างกายผู้ที่ต้องการเสริมจมูกเอง เพื่อลดความเสี่ยงในการต่อต้านสิ่งแปลมของร่างกาย และกระดูกอ่อนที่นำมาใช้เมื่อผ่านไประยะเวลหนึ่งร่างกายจะทำการประสานเข้ากับกระดูกอ่อนของจมูกที่มีอยู่เดิมแล้วได้ง่าย ส่งผลให้ลักษณะของจมูกที่เสริมไว้จะคงอยู่ได้ยาวนานกว่าการเสริมด้วยวัสดุสังเคราะห์

4. การเสริมจมูกที่บริเวณสันจมูกจนถึงบริเวณระหว่างตา
การเสริมจมูกที่บริเวณนี้จะใช้วัสดุสังเคราะห์ชนิดต่าง ๆ เช่น ซิลิโคน Gore-tex เป็นต้น การเสริมจมูกที่บริเวณสันจมูกจนถึงบริเวณดั้งจมูกสามารถทำได้ในทุกเพศทุกวัย และมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยเฉพาะการทะลุมีโอกาสที่พบได้น้อยมาก ต่างจากการเสริมดั้งจมูกที่บริเวณส่วนปลายที่มีโอกาสทะลุขึ้นออกมาได้มากกว่า

การศัลยกรรมจมูกทำให้มีดั้งที่สูงและโด่ง ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติและคมเข้ม

ข้อควรคิดก่อนการเลือกผ่าตัดเพื่อทำการเสริมจมูก

1. การผ่าตัดเสริมจมูกจากบริเวณด้านบนจะสามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าการปรับโครงสร้างภายในของจมูก

2. การผ่าตัดเสริมจมูกจากบริเวณด้านบนจะเกิดผลดีกับผู้ที่มีโครงสร้างกระดูกอ่อนที่ส่วนของปลายจมูกมีความแข็งแรง บริเวณปลายจมูกมีรูปร่างที่สวยงาม ไม่สั้นหรือแหงนมาก

3. การผ่าตัดเสริมจมูกจากบริเวณด้านบนเหมาะกับคนที่ต้องการเสริมส่วนของสันจนถึงบริเวณระหว่างตา

4. คนที่มีปลายจมูกอ่อนเมื่อกดลงไปแล้วปลายจมูกนิ่มไม่ควรทำการเสริมปลายจมูกด้วยวัสดุสังเคราะห์เพราะจะทำให้จมูกเกิดการผิดรูปร่างได้    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

5. จมูกที่มีสันเชิดขึ้น ปลายจมูกยาวงุ้มหรือปลายจมูกแบน สันจมูกมีขนาดใหญ่ มีโหน่งสูง หรือมีการผ่าตัดแล้วเกิดอาการแทรกซ้อนมาก่อน ไม่ควรทำการผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างภายใน

6. ควรเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญในการผ่าตัดปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้านใน

7. ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเปลี่ยนโครงสร้างภายในมีราคาสูงกว่าการผ่าตัดเสริมด้านบน

8. การผ่าตัดสามารถแก้ไขได้แต่มีความยากมากกว่าจะสามารถแก้ไขให้ได้ตามต้องการ ดังนั้นควรศึกษาให้ดีและทำเพียงครั้งเดียว

9. ควรเลือกลักษณะจมูกให้เหมาะสมกับรูปหน้ามากกว่าการเลือกตามแฟชั่น และทำความเข้าใจกับแพทย์ก่อนทำการผ่าตัดให้ดีเพื่อให้จมูกที่มีรูปทรงตามที่ต้องการ

วัสดุที่นำมาใช้เสริมจมูก

การ ศัลยกรรมจมูก ส่วนมากจะเลือกใช้วิธีการเสริมจมูกจากด้านบนมากกว่าการปรับโครงสร้างของจมูกจากทางด้านใน เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ความเสี่ยงน้อย ค่าใช้จ่ายน้อย ระยะเวลาในการพักฟื้นไม่มาก
สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญในการเสริมจมูกก็คือวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก ซึ่งเราสามารถแบ่งวัสดุที่นำมาเสริมจมูกได้ดังนี้

1. เนื้อเยื่อทางชีวภาพ (Biologic Material)
คือ เนื้อเยื่อที่นำมาจากอวัยวะของคนไข้เอง ( Autologus graft ) ซึ่งการเลือกใช้เนื้อเยื่อเป็นวิธีที่ให้การยอมรับกันมาเนื่องจากร่างกายจะไม่มีปฏิกิริยาในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม และมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้น้อยมาก และเมื่อระยะเวลาผ่านไปเนื้อเยื่อที่นำเสริมเข้าไปร่างกายก็จะทำการสมานจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งเนื้อเยื่นที่นิยมนำมาใช้กันมากคือ กระดูกอ่อน ซึ่งกระดูกอ่อนที่นำมาใช้มีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วนคือ

1.1 กระดูกอ่อนที่อยู่ภายในจมูกและกระดูกอ่อนจากบริเวณผนังกั้นของจมูก ( Septum cartilage ) และกระดูกอ่อนที่มาจากบริเวณส่วนปลายของจมูก ( Alar cartilage ) ในคนที่มีจมูกขนาดใหญ่สามารถนำกระดูกอ่อนที่มีอยู่ใยจมูกส่วนอื่นมาทำการเสริมจมูกด้านบนได้    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.2 กระดูกอ่อนที่มาจากบริเวณใบหู ( Conchal cartilage หรือ Ear cartilage )
เนื่องจากใบหูประกอบไปด้วยกระดูกอ่อนที่มีขนาดใหญ่ และกระดูกอ่อนที่นำมาจากใบหูนับเป็นกระดูกอ่อนที่มีคุณสมบัติที่ดี จึงนิยมนำมาเสริมจมูกโดยเฉพาะการเสริมจมูกส่วนปลายเพื่อป้องกันการทะลุที่บริเวณปลายจมูกได้เป็นอย่างดี บางครั้งยังนำกระดูกอ่อนจากใบหูมาสับให้ละเอียดสำหรับนำไปฉีดเป็นฟิลเลอร์ที่มาจากธรรมชาติได้เช่นกัน
การผ่าตัดนำกระดูกอ่อนจากใบหูจะทำได้ด้วยการฉีดยาชาเข้าไปที่บริเวณใบหูที่ต้องการตัดกระดูกอ่อน และทำการตัดกระดูกอ่อนออกมา ซึ่งการผ่าตัดนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ต่อการผ่าตัดหู 1 ข้าง ซึ่งปริมาณกระดูกอ่อนที่ใช้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะของกระดูก การนำกระดูกอ่อนมาจากใบหูเป็นวิธีที่ดีแต่ก็มีข้อจำกัดเนื่องจากกระดูกอ่อนจากใบหูมีในจำนวนที่จำกัดอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานในการเสริมจมูกได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีจมูกแบน เล็กมาก

1.3 กระดูกอ่อนที่มาจากส่วนของซี่โครง ( Costal cartilage หรือ Rib cartilage )
ซี่โครงของเราจะประกอบด้วยกระดูกส่วนที่แข็งและกระดูกอ่อน ซึ่งกระดูกอ่อนจะอยู่ในบริเวณด้านในที่กลางหน้าอกที่ต่อมาจากหัวนม กระดูกที่บริเวณนี้จะมีหน้าที่ในการเชื่อมระหว่างกระดูกหน้าอกและกระดูกซี่โครงเข้าด้วยกัน
การผ่าตัดจะนำกระดูกอ่อนสามารถทำการผ่าตัดเพื่อนำกระดูกอ่อนทั้งแท่งหรือเพียงบางส่วนมาทำการเสริมจมูกได้ ซึ่งปริมาณกระดูกอ่อนที่ได้จากกระดูกส่วนซี่โครงนี้มีปริมาณที่สูงมากเพียงพอต่อการเสริมจมูกทั้งหมดและยังเป็นกระดูกอ่อนที่มีความแข็งแรงอีกด้วย แต่ก็มีข้อเสียอยู่ว่ากระดูกอ่อนที่นำมาเสริมจมูกมีโอกาสที่จะวาร์ป ( Warping ) ได้หลังจากที่ทำการ เสริมจมูก และการสับเพื่อนำมาใช้แทนฟิลเลอร์จะต้องทำการสับอย่างละเอียดจริง ๆ เพราะถ้าไม่ละเอียดแล้วจะส่งผลให้ผิวหนังมีลักษณะขรุขระได้

การผ่าตัดนำกระดูกอ่อนที่บริเวณซี่โครงมาใช้ต้องอาศัยความระมัดระวังสูงเพราะมีความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อที่หุ้มปอดได้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้และการผ่าตัดเอากระดูกอ่อนส่วนนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูง ต้องพักรักษาตัวนานเพราะจัดเป็นการผ่าตัดใหญ่จึงไม่นิยมนำกระดูกอ่อนส่วนนี้มาใช้ในการเสริมจมูกมากนัก
กระดูกอ่อนแต่ละส่วนที่นำมาใช้จะมีทั้งข้อดีและข้อด้อยต่างกันไปขึ้นอยู่กับส่วนของกระดูกอ่อนที่นำมาใช้ ซึ่งแพทย์จะทำการพิจารณาถึงความเหมาะสมแล้วจึงทำการเลือกกระดูกอ่อนมาใช้ [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2. ผิวหนังแท้ ( Dermal graft )
คือ การผ่าตัดนำหนังแท้ที่จากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายนำมาใช้ในการ เสริมจมูก โดยการตัดหนังให้มีรูปร่างคล้ายกับลูกรักบี้ และทำการเย็บปิดแผลให้เป็นเส้นตรงในบริเวณที่ตัดหนังออกมา ซึ่งส่วนที่นิยมตัดหนังแท้มาคือส่วนที่อยู่กับกับกระดูกก้นกบ เนื่องจากที่ส่วนนี้หนังแท้จะมีความหนามากกว่าส่วนอื่น และรอยแผลที่เกิดขึ้นก็สังเกตเห็นได้ยาก เมื่อได้หนังแท้มาแล้วแพทย์จะทำการตัดหนังกำพร้าที่อยู่ด้านนอกออกไป เหลือไว้เพียงแต่หนังแท้เพื่อนำไปเสริมตามส่วนต่าง ๆ ของจมูกที่ได้วางแผนไว้
การใช้หนังแท้เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมปลายจมูกที่มีหนังของจมูกบานออก ทำให้จมูกมีความหนามากขึ้นหรือการนำหนังแท้ไปเสริมที่สันจมูกเพื่อให้สันจมูกดูสูงข้นประมาณ 2-3 มิลลิเมตร วิธีมีข้อเสียคือเมื่อผ่านไประยะหนึ่งหนังที่นำมาเสริมอาจจะฝ่อตัวลงทำให้จมูกมีขนาดเท่าเดิมก่อนทำการเสริมได้ในระยะเวลาอันสั้น

3. ผิวหนังแท้ติดไขมัน ( Dermal fat graft )
คือการนำหนังแท้ที่มีไขมันติดอยู่มาทำการเสริมจมูก ซึ่งวิธีการทำจะเหมือนกับการนำหนังแท้มาใช้ในการเสริมจมูกทั้งหมด เพียงแต่มีการนำไขมันติดมาด้วยเท่านั้นเอง ซึ่งหนังแท้ติดไขมันนี้สามารถฝ่อได้เช่นเดียวกับการนำหนังแท้มาเสริมเพียงอย่างเดียว

4. เยื่อที่หุ้มกระดูกและเยื่อที่หุ้มกล้ามเนื้อ ( Periosteum and Fascia )
การนำเยื่อที่หุ้มกระดูกและเยื่อที่หุ้มกล้ามเนื้อมีอยู่ด้วยการ 2 แบบ คือ

4.1 การนำมาใช้คลุมซิลิโคนเพื่อป้องกันไม่ให้มีการทะลุของซิลิโคนออกมา ซึ่งได้ผลไม่ดีนักยังมีการทะลุของซิลิโคนออกมาได้

4.2 การนำมาห่อกระดูกอ่อนที่สับละเอียดเพื่อป้องกันการไหลของกระดูกอ่อนไปยังส่วนที่ไม่ต้องการได้ เหมาะกับคนไข้ที่มีจมูกเล็ก

การศัลยกรรมเสริมจมูกส่วนมากจะเลือกใช้วิธีการเสริมจมูกจากด้านบนมากกว่าการปรับโครงสร้างของจมูกจากทางด้านใน

เนื้อเยื่อจากบุคคลอื่นที่สามารถนำมาใช้ในการเสริมจมูก

1. กระดูกอ่อนจากศพผู้บริจาค ( Human cadaveric cartilage )
กระดูกอ่อนเป็นชิ้นส่วนของอวัยวะที่มีการกระจายตัวของผิวติดอยู่น้อยมาก ดังนั้นการนำกระดูกอ่อนมาจากบุคคลเพื่อนำมาใช้ในการเสริมจมูกจึงมีความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านของร่างกายน้อยมาก แต่ทว่าการนำกระดูกอ่อนจาบุคคลอื่นมาทำการเสริมจมูกพบว่าหลังจากเสริมไปแล้วประมาณ 4 ปีขึ้นไปกระดูกอ่อนดังกล่าวจะเกิดการสลายตัวไปเองตามธรรมชาติไม่เหมือนกับกระดูกอ่อนที่มาจากภายในตัวของคนไข้เอง [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2. ผิวหนังแท้จากศพผู้บริจาค ( Human cadaveric Dermal )
ผิวหนังแท้ที่นำมาจากศพผู้บริจาคอื่นจะต้องนำไปผ่านกระบวนการเพื่อกำจัดเซลล์ที่มีอยู่ในผิวหนังทั้งหมดออกไปให้หมดเสียก่อน จนผิวหนังแท้เหลือแต่โครงสร้างที่ไม่มีเซลล์เนื้อเยื่อหลงเหลืออยู่ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่าวิธีนี้ว่า ADM หรือ Acellular dermal matrix หรือที่รู้จักในนาม “หนังเทียม”

3. เนื้อเยื่อจากสัตว์
โดยปกติแล้วการนำเนื้อเยื่อจากสัตว์เข้ามาใส่ในร่างกายมนุษย์ทำไม่ได้ แต่จะทำได้เมื่อนำเนื้อเยื่อมาผ่านกระบวนการ ADM ให้กลายเป็นหนังเทียมเสียก่อน จึงจะสามารถนำมาใช้ในการ เสริมจมูก ได้
ซึ่งทั้งหนังเทียมที่มาจากสัตว์และมนุษย์ล้วนแต่มีความอ่อนนุ่มจึงไม่เหมาะกับการนำมาเสริมจมูกให้มีความสูงมากขึ้นได้แต่ในรายผู้ป่วยที่มีการเสริมจมูกด้วยวัสดุสังเคราะห์มานานจนปลายจมูกบาง ควรที่จะทำการเสริมจมูกด้วยหนังเทียมจึงจะดีที่สุด

4. วัสดุสังเคราะห์ ( Alloplasty mcterial )
คือ วัสดุที่ทำการสังเคราะห์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับการพิสูจน์และได้มาตรฐานว่าสามารถนำมาใช้ในการเสริมจมูกได้ วัสดุสังเคราะห์นั้น หาง่าย ราคาไม่สูงมาก ประหยัดเวลาในการผ่าตัดเสริมจมูก เพราะทำการผ่าตัดที่บริเวณจมูกเพียงที่เดียวไม่จำเป็นต้องไปผ่าตัดเอากระดูกอ่อนหรือหนังแท้มาจากส่วนอื่นของร่างกาย แต่ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน เนื่องจากวัสดุที่ผ่านการสังเคราะห์มาถ้ามีเชื้อโรคติดมาด้วยแล้ว โอกาสที่จะมีการติดเชื้อก็จะสูงมาก และเมื่อไปในร่างกายแล้วร่างกายจะสร้างพังผืดออกมาคลุมรัดวัสดุดังกล่าวไว้ เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งลักษณะจมูกที่เสริมไว้จะมีขนาดที่เล็กลง หรืออาจมีการทะลุออกมาของวัสดุสังเคราะห์ได้ถ้าส่วนที่ทำการเสริมมีผิวหนังที่บาง ซึ่งวัสดุสังเคราะห์ที่นิยมนำมา เสริมจมูก คือ

4.1 ซิลิโคน ( Silicone )
เป็นวัสดุทีนิยมนำมาใช้ในการเสริมจมูกมากที่สุด เนื่องจากมีราคาไม่สูงมาก หาง่าย สามารถปรับรูปร่างได้ตามต้องการด้วยการเหล่าและยังมีระดับความแข็งให้เลือกอีกด้วย และเมื่อทำการใส่ไปในจมูกแล้วจะไม่ประสานเป็นเนื้อเดียวกับเน้อเยื่อของร่างกาย จึงสามารถถอดออกมาแก้ไขรูปร่างได้อีก      [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

4.2 PTFE ( Polytetrafluoroethylene )
เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่มีการใช้ในการศัลยกรรมหลอดเลือดมาก่อน ในการทำหลอดเลือดเทียมเพื่อผ่าตัดทำบายพาสหลอดเลือดหรือการนำหลอดเลือดเทียมเพื่อใช้ในการฟอกไต มีชื่อเรียกว่า กอร์เท็กซ์ ( Gore-Tex ) มีรูพรุนขนาดเล็ก ดังนั้นเมื่อทำการเสริมแล้วร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อแทรกเข้าไปในรูพรุนดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถถอดออกมาเพื่อปรับเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งได้เหมือนกับซิลิโคน มีความแข็งเท่ากับความแข็งปานกลางของซิลิโคน มีราคาสูงกว่าซิลิโคนแต่มีปฏิกิริยาต่อต้านกับร่างกายน้อยมาก

4.3 เม็ดพอร์ ( Medpor หรือ Hight density porous polyethylene material )
เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง นำมาใช้ในการเสริมกระดูกโครงสร้างของใบหน้าในผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุ ตัววัสดุมีรูพรุนจำนวนมาก เมื่อนำมาเสริมจมูกร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดแทรกตัวเข้าไปในรูพรุนดังกล่าวทำให้วัสดุติดแน่นกับตำแหน่งที่ต้องการได้เป็นอย่างดี แต่ถ้ารูปร่างของจมูกไม่ต้องตามต้องการแล้วการแก้ไขจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากวัสดุมีการยึดด้วยพังผืดเป็นจำนวนมาก ร่างกายไม่มีปฏิกิริยาการต่อต้านกับเม็ดพอร์ จึงลดความเสี่ยงในการต่อต้านได้เป็นอย่างดี

การเลือกใช้วัสดุเพื่อนำมาทำการเสริมจมูก ขึ้นอยู่กับความชำนาญและความถนัดของแพทย์เป็นส่วนมาก ซึ่งซิลิโคนนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถปรับรูปร่างได้ด้วยการเหล่า เพราะรูปทรงจมูกของแต่ละคนนั้นต่างกันลักษณะของวัสดุที่นำมาเสริมก็จะมีรูปร่างที่ต่างกันตามไปด้วย การใช้ซิลิโคนที่สามารถเหล่าจึงเป็นการกำหนดรูปร่างได้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเสริมด้วยซิลิโคนที่ไม่มีการยึดติดหรือมีการสร้างพังผืดขึ้นมายึดติดก็จะทำให้มีโอกาสที่ซิลิโคนดังกล่าวจะทะลุออกมาที่บริเวณปลายจมูกเนื่องจากการเสียดสีของซิลิโคนกับผิวหนังจะทำให้ผิวหนังที่ปลายจมูกค่อย ๆ บางลงบางลงจนไม่ทำให้ซิลิโคนทะลุออกมาได้ภายใน 4-5 ปีเท่านั้น แต่ถ้าใช้ PTFE หรือเม็ดพอร์การทะลุจะลดน้อยลงและจะเกิดขึ้นเมื่อผ่านไปประมาณ 30-40 ปี เมื่อทราบถึงวัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูกกันแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรคำนึงถึงก็คือรูปร่างของจมูกที่สวยงามว่าควรมีลักษณะอย่างไร

[adinserter name=”sesame”]

รูปทรงจมูกที่สวยงามนั้นไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องมีจมูกที่เป็นทรงเดียวกันทั้งหมดถึงจะสวยได้ เพราะคนเรามีรูปทรงใบหน้าที่ต่างกัน ดังนั้นรูปทรงของจมูกที่เหมาะสมกับใบหน้าก็จะต่างกันตามไปด้วย ทำให้ผู้ป่วยจะต้องทำความเข้ใจกับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดเสียก่อนว่าต้องการจมูกที่มีรูปทรงอย่างไร เพราะการสื่อสารว่าต้องการจมูกรูปทรงอย่างไรจะช่วยให้ผู้ป่วยได้ทรงจมูกที่ตรงใจ แต่การสื่อสารในบางครั้งก็เกิดความผิดพลาดทำให้รูปทรงของจมูกหลังจากการผ่าตัดไม่ได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแบบจำลองรูปทรงจมูกที่จะเกิดขึ้นให้เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารและตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้เป็นอย่างดี และลดความผิดพลาดของลักษณะจมูกที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย
การศัลยกรรมที่ดีต้องมีองค์ประกอบทั้งวัสดุที่ใช้ในการ เสริมจมูก สถานบริการที่มีความสะอาดและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัด องค์ประกอบเหล่านี้จะสามารถช่วยให้จมูกที่ทำการศัลยกรรมออกมาสวยงาม รับกับใบหน้า ดังกับเนรมิตทรงจมูกด้วยเวทมนต์

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ยกเครื่องศัลยกรรมกระดูกใบหน้า

0
ยกเครื่องศัลยกรรมกระดูกใบหน้า
การผ่าตัดลดโหนกแก้มเป็นวิธีที่สามารถสร้างโครงหน้าที่เรียวยาวอย่างได้ผล
ยกเครื่องศัลยกรรมกระดูกใบหน้า
การผ่าตัดลดโหนกแก้มเป็นวิธีที่สามารถสร้างโครงหน้าที่เรียวยาวอย่างได้ผล

ศัลยกรรมกระดูกใบหน้า

ศัลยกรรมกระดูกใบหน้า หรือโครงหน้านับเป็นอวัยวะที่ช่วยสร้างความสวยงามที่สมบูรณ์แบบให้กับคนเรา การมีใบหน้าที่สวยงามเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะใบหน้าที่สวยงามจะสามารถดึงดูดและเพิ่มโอกาสให้กับชีวิตได้เป็นอย่างมาก แต่ทุกคนใช่ว่าเมื่อเกิดมาจะใบหน้าที่สวยงามไปเสียทุกคน ซึ่งความสวยงามของใบหน้าในแต่ละยุคสมัยก็ต่างกันไป เช่น ในอดีต  ดารา นักแสดงของไทยที่จัดว่าสวยต้องมีใบหน้าที่กลมราวกับพระจันทร์เดือนเพ็ญ แต่ในปัจจุบันนี้ใบหน้าที่จัดว่าสวยต้องเป็นใบหน้าเรียวคล้ายรูปไข่ คางยาวรับกับใบหน้าไม่สั้นหรือยาวเกินไป อย่างใบหน้าของดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ซึ่งทุกคนก็ใช่ว่าจะมีใบหน้ารูปทรงแบบนี้ 

เนื่องจากคนไทยส่วนมากจะมีใบหน้าที่สั้นและกว้าง โหนกแก้มนูนใหญ่ หรือมีกระดูกกรามบริเวณด้านล่างที่กว้างและมีมุกกรามที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และศีรษะที่มีลักษณะสั้นกว้าง ส่งผลให้ใบหน้ามีลักษณะโดยรวมเป็นเหลี่ยมหรือมีลักษณะเป็นทรงกลม ดังนั้นการที่จะมีใบหน้าเรียวรูปไข่สวยงามมาตั้งแต่เกิดย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก จึงเป็นที่มาของการ ศัลยกรรมกระดูกใบหน้า เพื่อปรับเปลี่ยนโครงหน้าให้ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งการ ศัลยกรรมกระดูกใบหน้า จะเข้ามาช่วยปรับปรุงแก้ไข รูปทรงของใบหน้าและลดหรือเพิ่มสัดส่วนให้มีความสมดุล ( Balance ) ทั้งใบหน้า นอกจากนั้นการศัลยกรรมกระดูกใบหน้ายังสามารถช่วยเพิ่มมิติของอวัยวะส่วนต่างบนใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม จมูก คางและกราม ให้รับกันเพื่อช่วยส่งให้ใบหน้าสวยงามแลดูมีเสน่ห์น่าพิศน่ามองมากขึ้นกว่าเดิม

การศัลยกรรมกระดูกใบหน้าเพื่อช่วยในการปรับโครงหน้า

สามารถทำการแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ

1. การผ่าตัดศัลยกรรมกระดูกใบหน้า คือ การผ่าตัดปรับเปลี่ยนลักษณะของกระดูกที่อยู่บนใบหน้าเพื่อให้ใบหน้ามีรูปร่างตามที่ต้องการ เช่น การผ่าตัดกระดูกคาง ผ่าตัดกระดูกกราม ผ่าตัดกระดูกโหนกแก้ม เป็นต้น

2. การศัลยกรรมส่วนของเนื้อเยื่อใบหน้า คือ การผ่าตัดปรับเปลี่ยนขนาดของกล้ามเนื้อที่อยู่บนใบหน้าเพื่อปรับรูปทรงของใบหน้าให้มีลักษณะตามที่ต้องการ เช่น การผ่าตัดดูดไขมันบนใบหน้าเพื่อลดขนาดที่บริเวณดังกล่าว การเติมไขมันเข้าสู่ใบหน้า การร้อยไหม

ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงการศัลยกรรมด้วยการผ่าตัดกระดูกใบหน้า การผ่าตัด กระดูกโครงหน้า เป็นการผ่าตัดที่ความเสี่ยงและความยากในการผ่าตัดที่สูงมาก ถ้าได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการผ่าตัดมาเป็นอย่างดี มีการผ่าตัดในสถานที่ที่ได้มาตรฐาน วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ผลของการผ่าตัด ศัลยกรรมกระดูกใบหน้า จะเป็นคงอยู่อย่างถาวร ในการศัลยกรรมใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำการศัลยกรรมได้เหมือนกันหมด แต่แพทย์ผู้ทำการ  รักษาจะทำการพิจารณาใบหน้าของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดก่อนว่าจะสามารถทำการปรับเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน

การพิจาณาแพทย์จะทำการแบ่งการศัลยกรรมโครงสร้างของใบหน้า

1.ใบหน้าส่วนบน ( Upper Part ) คือ ส่วนของใบหน้าตั้งแต่ช่วงเส้นระดับของไรผมจนถึงเส้นบริเวณระหว่างขนคิ้ว เช่น ศัลยกรรมกระดูกหน้าผาก ( Forehead Contouring ) การเสริมหน้าผาก ( Forehead augmentation ) เพื่อให้มีหน้าผากนูนขึ้น การกรอกระดูกหน้าผาก ( Forehead shaving ) เพื่อลดความนูนของหน้าผาก 

2.ใบหน้าส่วนกลาง ( Middle part ) คือ ส่วนของใบหน้าตั้งแต่เส้นระหว่างคิ้วจนถึงเส้นที่บริเวณปลายจมูก เป็นการศัลยกรรมที่คนไทยส่วนมากนิยมทำกัน เพื่อที่ความกว้างของใบหน้าให้เล็กและเรียวลง เช่น การศัลยกรรมโหนกแก้ม ( Cheekbone surgery ) การตัดกระดูกส่วนของโหนกแก้ม ( Cheekbone Reduction ) การทำให้โหนกแก้มยุบ ( Zygonatic Reduction ) การเสริมกระดูกส่วนโหนกแก้ม ( Cheekbone Augmentation ) เพื่อให้โหนกแก้มสูงขึ้นรับกับขนาดของใบหน้า

3. ใบหน้าส่วนล่าง ( Lower Part ) คือ ส่วนของใบหน้าตั้งแต่เส้นปลายจมูกจนถึงเส้นที่บริเวณปลายคาง การศัลยกรรมที่วบหน้าส่วนล่างสามารถช่วยเพิ่มหรือลดความยาวของคางและกราม เช่น การตัดกระดูกคาง ( Chin Reduction ) หรือการเสริมคาง ( Chin Augmentation ) เพื่อเพิ่มความยาวของคาง การตัดกระดูกกราม ( Jaws Reduction ) ให้สั้นลงหรือการเสริมกระดูกกราม ( Jaws Augmentation ) ให้มีความยาวเพิ่มขึ้น

ซึ่งการเลือกว่าจะต้องทำการศัลยกรรมกระดูกที่ส่วนใดเพื่อที่จะได้ใบหน้าตามที่ต้องการนั้น แพทย์จะทำการพิจารณาจากโครงหน้าเดิมก่อน ว่าต้องตัดหรือเพิ่มส่วนกระดูกส่วนใด ใบหน้าจึงจะออกมาสวยงามสมบูรณ์ตามที่ผู้เข้ารับศัลยกรรมต้องการ

การศัลยกรรมกระดูกบนใบหน้า

1. การผ่าตัดขากรรไกร
เป็นการผ่าตัดที่ช่วยในการรักษาความผิดปกติของ กระดูกโครงหน้า ด้วยการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของช่องปากหรือขากรรไกรให้เข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ใบหน้าที่รูปร่างที่สวยงามและยังช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของกระดูกใบหน้า เช่น ปากล่างครอบปากบน ปากยื่น คางยื่นมากจนทำให้ฟันไม่สบกันส่งผลกระทบในการรับประทานอาหาร ภาวะปากที่อูมมาก เป็นต้น ซึ่งการศัลยกรรมขากรรไกรจะช่วยทำให้ใบหน้ากลับมามีลักษณะตามธรรมชาติที่ถูกต้องได้

2. การผ่าตัดโครงหน้า ( Facial Bone Contouring Surgery )
เป็นการผ่าตัดเพื่อทำการตกแต่งรูปทรงของ กระดูกโครงหน้า ให้มีขนาดเหมาะสมกับองค์ประกอบโดยรวมบนใบหน้า ซึ่งการผ่าตัดแบบนี้มักจะทำเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับใบหน้ามากกว่าการแก้ไขปัญหาหรือแก้ไขความผิดปกติของใบหน้าที่ทำให้เกิดผลเสียต่อการดำรงชีวิต ซึ่งการผ่าตัดศัลยกรรมโครงหน้ามีอยู่ด้วย ดังนี้   

2.1 การผ่าตัดโหนกแก้ม เป็นการผ่าตัดเพื่อช่วยให้ใบหน้ามีรูปทรงที่เรียวยาว โดยการตัดเอากระดูกโหนกแก้มที่มีขนาดใหญ่เกินไปออกไปบางส่วนให้เหมาะสมกับขนาดของใบหน้า ซึ่งการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อลดขนาดของโหนกแก้มทำได้หลายแบบด้วยกันแต่วิธีหลัก ๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธีคือ

2.1.1 การศัลยกรรมลดโหนกแก้มแบบ 3 มิติหรือการผ่าตัดเพื่อหมุนกระดูกโหนกแก้มสามมิติ” (3D Malar Rotation)
เป็นเทคนิคการลดขนาดโหนกแก้มที่กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เพราะใบหน้าที่ได้หลังผ่าตัดดูมีมิติเป็นธรรมชาติ และหลังจากเข้ารับการผ่าตัดแล้วใช้เวลาในการพักไม่นานใบหน้าก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว การผ่าตัดที่สามารถช่วยลดขนาดของโหนกแก้มที่มีการปูนออกมาด้านข้างมากกว่าด้านหน้า ซึ่งการทำจะทำด้วยการผ่าตัดเปิดแผลที่บริเวณเหนือศีรษะที่ส่วนของด้านบนของใบหู หรือการผ่าตัดเปิดแผลจากภายในช่องปาก การทำจะทำด้วยการหมุนโหนกแก้มที่ปูนออกไปด้านนอกให้เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ด้านในแทน
เหมาะสำหรับคนที่ กระดูกโหนกแก้ม มีความหนามาก ทำให้โหนกแก้มดูสูงมาก ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลผ่าตัดเข้าทางเหนือศีรษะโดยรอบ จากเหนือใบหูข้างหนึ่งถึงใบหน้าอีกข้างหนึ่ง หรือ เปิดแผลผ่าตัดเข้าทางช่องปากเหมือนกรณีแรก เพื่อไม่ให้มีรอยแผลหลังการผ่าตัด โดยจะมีแผลอยู่ด้านในช่องปาก บริเวณข้างกระพุ้งแก้มทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงทำการตัดหรือเลื่อนกระดูกโหนกแก้มลงจากจุดยึดเกาะเดิม แล้วยึดด้วยเหล็กยึดชนิดพิเศษ
การตัดโหนกแก้มที่ใหญ่แล้วเลื่อนเข้าไว้ ข้างใน วิธีศัลยกรรมนี้ได้ผลดีสำหรับชาวตะวันออกที่มีกระดูกโหนกแก้มนูนออกด้านข้าง แต่ถ้ากระดูกโหนกแก้มไม่ได้ใหญ่มาก
จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าวิธีผ่าตัดธรรมดา

2.1.2. การศัลยกรรมลดโหนกแก้มแบบไม่ยึด เป็นการผ่าตัดเช่นเดียวเปิดแผลเช่นเดียวกับวิธีการแรก การผ่าตัดนี้เหมาะกับผู้ที่มีโหนกแก้มขนาดใหญ่ เมื่อเปิดแผลแล้วจะทำการตัดกระดูกโหนกแก้มที่ไม่ต้องการออกไปเพื่อให้โหนกแก้มมีขนาดตามที่ต้องการ และทำการยึดกระดูกด้วยวัสดุช่วยยึด เช่น Thaitanium พร้อมทั้งใช้ลวดหรือสกรูในการยึดกับกระดูก เพื่อให้กระดูกถูกตรึงยึดในตำแหน่งที่ถูกต้อง

การศัลยกรรมใบหน้าสามารถช่วยเพิ่มมิติของอวัยวะส่วนต่างบนใบหน้า เพราะใบหน้าที่สวยงามจะสามารถดึงดูดและเพิ่มโอกาสให้กับชีวิตได้เป็นอย่างมาก

3. การกรอกระดูกโหนกแก้ม
เป็นการลดโหนกแก้มสำหรับผู้ที่มีโหนกแก้มปูนออกมาไม่มากไม่จำเป็นต้องตัดกระดูกหรือหมุนกระดูกเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของโหนกแก้ม ด้วยการผ่าตัดเปิดแผลทางช่องปากและทำการกรอ กระดูกโหนกแก้ม ส่วนที่ปูนออกไปให้เหลือขนาดตามที่ต้องการ ซึ่งการกรอกระดูกจะทำการกรอผิวของกระดูกที่มีความเรียบและความแข็งแรงออกไป ส่งผลให้ในระยะยาวผิวอาจจะมีลักษณะขรุขระเกิดขึ้นได้
การผ่าตัดลดโหนกแก้มเป็นวิธีที่สามารถสร้างโครงหน้าที่เรียวยาวอย่างได้ผล แต่ทว่าในการผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยงและปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้ เช่น   

3.1 อาการชาที่บริเวณปาก เนื่องจากในการผ่าตัดเพื่อลดขนาดโหนกแก้มมักจะผ่าตัดเข้าทางภายในช่องปากเพื่อป้องกันไม่ให้เห็นแผลที่เกิดจากการผ่าตัด ดังนั้นการผ่าตัดอาจจะไปกระทบกับเส้นประสาทรับความรู้สึกที่ปากได้ ส่งผลให้รู้สึกชา ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปได้เองหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน

3.2 ภาวะเนื้อแก้มมีการห้อยย้อยมากว่าปกติ เนื่องจากในการเคลื่อนย้ายหรืตัดทำให้ขนาดของโหนกแก้มลดลงไปมากส่งผลให้เนื้อบริเวณแก้มย้อย หรือในการผ่าตัดกระดูกโหนกแก้มหรือการกรอกระดูกโหนกแก้มมีการเลาะเนื้อออกมาจากกระดูกมาเกินไปทำให้เนื้อไม่ยึดติดกับกระดูกเนื้อจึงย้อยลงมา โดยเฉพาะเนื้อที่มีไขมันเป็นจำนวนมากจะมีโอกาสที่จะห้อยมากกว่าเนื้อที่มีไขมันน้อย และผู้ที่มีอายุมากเมื่อเข้ารับการผ่าตัดจะมีความเสี่ยงที่เนื้อจะห้อยมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อยด้วย

3.3 ขนาดโหนกแก้มทั้งสองข้างไม่เท่ากัน โดยปกติอวัยวะร่างกายของคนเราทั้งสองข้างมักจะไม่เท่ากัน 100 % เพราะการใช้งานที่ไม่เท่ากันนั่นเอง โหนกแก้มก็เช่นกัน ดังนั้นเมื่อทำการผ่าตัดลดขนาดโหนกแก้มแพทย์จะพยายามปรับขนาดของโหนกแก้มทั้งสองข้างให้ได้ใกล้เคียงกันมากที่สุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของกระดูกและโครงหน้าของผู้เข้ารับการศัลยกรรมด้วย

3.4 กระดูกไม่ยึดติดกัน เนื่องจากทำการยึดกระดูกไม่แข็งแรงทำให้กระดูกหลุดออกจากตำแหน่งที่ต้องการ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวแพทย์จะต้องทำการยึดกระดูกให้แข็งแรง

3.5 อาการอ้าปากไม่ได้ ในช่วงแรกหลังจากที่ทำการผ่าตัด ผู้เข้ารับการศัลยกรรมไม่สามารถอ้าปากหรือบดเคี้ยวอาหารได้ไม่เต็มที่ เนื่องจาก กระดูกโหนกแก้ม เข้าไปกดทับกล้ามเนื้อที่ควบคุมการอ้าปากหรืออาการบวมของกล้ามเนื้อหลังจากการผ่าตัด แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 1 เดือน ก็จะสามารถอ้าปากและบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ

4. ผ่าตัดกรามหรือขากรรไกร (Orthognathic surgery)
คือ การผ่าตัดเอาเหลี่ยมของขากรรไกรที่มีขนาดกว้าง ส่งผลให้ใบหน้าดูกว้างและเป็นเหลี่ยมมาก เพื่อลดขนาดของเหลี่ยมของมุมกรามต้องทำการผ่าตัดเอาเหลี่ยมของขากรรไกรออก ทำได้ด้วยการผ่าตัดเปิดแผลภายในช่องปากหรือภายนอกช่องปากก็ได้ และใช้เครื่องมือแบบพิเศษเพื่อทำการตัดเหลี่ยมของกระดูกขากรรไกร ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดของกรามมีอยู่ด้วยกันหลัก 2 แบบ คือ
1.การผ่าตัดเอามุมของกระดูกขากรรไกรล่าง
2.การผ่าตัดเอาเปลือกนอกของกระดูกขากรรไกรล่างออก
การผ่าตัดลดขนาดของกรามช่วยลดขนาดของกรามให้มีขนาดเล็กลง ส่งผลให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวขึ้น   

อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด

1.เกิดมุมใหม่ที่ขากรรไกร ในการลดเหลี่ยมของขากรรไกรถ้าตัดเป็นแนวตรงจะส่งผลให้เกิดมุมที่กรามใหม่ขึ้นเนื่องจากกระดูกมีมุมเพิ่มขึ้นนั้นเอง ดังนั้นการตัดกระดูกควรตัดให้เป็นมีลักษณะโค้งรับกับใบหน้า

2.เส้นประสาทบาดเจ็บ การผ่าตัดเพื่อทำการตัดกระดูกขากรรไกร ถ้ามีการผ่าตัดกระทบเส้นประสาทรับความรู้สึกจะส่งผลให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีอาการชาที่บริเวณดังกล่าว แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน อาการดังกล่าวก็จะหายไป

3.การหักของกระดูกขากรรไกร ในการผ่าตัดถ้าใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับการตัดขากรรไกรแล้วจะทำให้กระดูกส่วนอื่นเกิดการแตกหักได้ ซึ่งจะทำให้การศัลยกรรมไม่เป็นผลตามที่ต้องการ ดังนั้นในการผ่าตัดลดขนาดกรามด้วยการตัดขากรรไกรควรใช้อุปกรณ์ชนิดพิเศษในการตัดโดยเฉพาะเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงการหักของกระดูก

4.การบาดเจ็บของเส้นเลือด ที่บริเวณขากรรไกรประกอบไปด้วยเส้นเลือดและเส้นประสาทอยู่บริเวณโดยรอบ ถ้าเส้นประสาทและเส้นเลือดได้รับความกระทบกระเทือนอาจจะทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยว มุมปากตก ได้ ดังนั้นในขณะที่ทำการผ่าตัดต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้เส้นเลือดและเส้นประสาทได้รับความกระทบกระเทือน

5.ผิวใบหน้าไม่เรียบเนียน เนื่องจากการตัดหรือกรอกระดูกมีการตัดส่วนที่เป็นผิวของกระดูกที่มีลักษณะเรียบและแข็งแรงออกไปเพื่อลดขนาดของกราม เหลือไว้แต่กระดูกภายในที่มีลักษณะขรุขระส่งผลให้ผิวด้านนอกมีการขรุขระตามลักษณะของเนื้อกระดูกภายในได้

5.การศัลยกรรมคาง ( Chin Surgery, Genioplasty )
การที่คนเราจะมีรูปหน้าที่เรียวยาวหรือไม่นั้น อวัยวะสำคัญที่จะช่วยได้ก็คือ คาง คนที่มีคางยาวจะมีรูปหน้าที่ดูเรียวกว่าคนที่มีคางสั้น การศัลยกรรมคางมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบคือ การเสริมคางและการตัดคาง เพื่อให้ได้คางที่มีรูปร่างตามต้องการ การศัลยกรรมคางเพื่อให้มีใบหน้าที่เรียว เรียกว่า การศัลยกรรมวีไลน์ ( V-line Surgery ) ที่ทำให้คางมีรูปคล้ายตัววีหรือหน้าวีเชฟที่หลายคนรู้จักกัน แต่ยังมีการศัลยกรรมคางอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ การศัลยกรรมยูไลน์ ( U-line surgery ) ที่ทำการศัลยกรรมคางให้มีรูปร่างคล้ายกับตัวยูนั่นเอง

การผ่าตัดคางเพื่อลดขนาดของคาง

1.การตัดกระดูกคางออก คือ การตัดกระดูกคางที่ยื่นออกมาด้านข้างและด้านหน้าออก เพื่อทำการลดขนาดของคางที่ยื่นออกมาด้านหน้าและด้านข้าง พร้อมทั้งทำการกรอกระดูกคางให้ได้รูปตามต้องการ

2.การเลื่อนคางให้เข้าไปด้านในมากขึ้น คือ การตัดกระดูกคางที่เชื่อมอยู่กับกระดูกกรามให้มีขนาดสั้นลงและทำการยึดกระดูกคางด้วยวัสดุยึดติดเพื่อปรับตำแหน่งของคางให้คงที่ ทำให้คางมีขนาดที่สั้นลงตามที่ต้องการได้
หรือจะทำทั้งสองวิธีร่วมกันเพื่อลดขนาดของคางและสร้างรูปร่างของคางให้เหมาะสมกับใบหน้าก็ได้   

สำหรับการผ่าตัดเสริมคางสำหรับผู้ที่มีคางสั้น

1.การเสริมด้วยวัสดุ เป็นการผ่าตัดนำวัสดุหรือฉีดไขมันไปยังบริเวณคางเพื่อให้คางมีขนาดที่ยาวขึ้นและเป็นรูปทรงที่เหมาะสมกับใบหน้า

2.การผ่าตัดย้ายกระดูก ซึ่งการผ่าตัดย้ายกระดูกที่ทำให้คางยื่นยาวออกมานั้น จะทำในผู้ที่มีปัญหาฟันไม่สบกันและเมื่อทำการยื่นการกระดูกคางออกมาแล้วทำให้ฟันสบกันพอดี เป็นทั้งการศัลยกรรมเพื่อเสริมความงามและแก้ไขปัญหาของสรีระร่างกายพร้อมกัน เมื่อทำการผ่าตัดยื่นกระดูกแล้วจะทำการยึดกระดูกให้แข็งแรงเพื่อให้กระดูกอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

จะพบว่าการ ศัลยกรรมกระดูกใบหน้า เพื่อให้ได้ใบหน้าที่สวยงามตามที่ต้องการนั้น สามารถทำได้หลายตำแหน่งขึ้นอยู่กับลักษณะของใบหน้าเริ่มต้นของผู้เข้ารับการศัลยกรรม ซึ่งการศัลยกรรมอาจจะต้องทำศัลยกรรมที่กระดูกหลายตำแหน่งพร้อมกันเพื่อที่จะได้โครงหน้าที่สวยงาม ดังนั้นการทำศัลยกรรมจึงควรอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาเป็นอย่างดี สถานที่และอุปกรณ์ที่ใช้ก็ควรครบถ้วนได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในขณะทำศัลยกรรมอีกด้วย

ถึงแม้ว่าความงามภายนอกจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นเท่ากับความงามภายในจิตใจ แต่ปัจจุบันนี้ก็ต้องยอมรับว่าความงามสามารถสร้างโอกาสที่ดีได้อีกมากมายในชีวิต แต่ทุกคนใช่ว่าจะงามมาตั้งแต่เกิดเสียเมื่อไหร่ ดังนั้นการเสริมความงามด้วยการศัลยกรรมจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างใบหน้าที่สวยงาม เพื่อสร้างโอกาสในสังคมได้เป็นอย่างดี และในประเทศไทยเราก็มีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการทำศัลยกรรมเป็นอย่างมาก ดูได้จากนางงามของสาวประเภทสองที่สวยจนสุดจะบรรยายล้วนมาจากฝีมือของแพทย์ชาวไทยแทบทั้งสิ้น แล้วจะต้องเดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อทำการศัลยกรรมความงามทำไม ในเมื่อของดีอยู่ในเมืองไทยเราแล้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ขั้นแรกของการศัลยกรรมที่ควรรู้

0
ปฐมบทของศัลยกรรม เรื่องจริงที่ควรรู้
ผู้เข้ารับการตกแต่งเสริมความงามควรเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์การทำงานมานาน
ปฐมบทของศัลยกรรม เรื่องจริงที่ควรรู้
การศัลยกรรมสามารถช่วยให้คนที่ทำมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เข้าสังคมได้ง่าย มีโอกาสทางสังคมเพิ่มขึ้น สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองได้มากขึ้น

ศัลยกรรม

ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรม เพื่อเสริมสร้างความสวยงามให้กับเรือนร่างถือเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคม การศัลยกรรมสามารถ ช่วยให้คนที่ทำมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เข้าสังคมได้ง่าย มีโอกาสทางสังคมเพิ่มขึ้น สามารถสร้างรายได้ให้กับ ตนเองได้มากขึ้น ไม่ว่าจะต้องการให้ตนเองมีความงามในแบบใดก็เป็น ไปได้จริงตามที่ต้องการได้ไม่ยาก ส่งผลให้มี คนทั่วไปให้ความสนใจและเข้ามาใช้บริการศัลยกรรมเพื่อเสริมความงามให้กับตนเองมากขึ้น จากในอดีตที่การศัลยกรรมจะทำเพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะอวัยวะของร่างกายที่มีความผิดปกติให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ เช่น การผ่าตัดศัลยกรรมปากแหว่งเพดานโหว่ให้กลับมาเป็นปกติ เป็นต้น ซึ่งสมาคมที่ทำหน้าที่ในการควบคุมและดูแลแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการทำศัลยกรรมต่าง ๆ คือ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย   

โดยในครั้งแรกสมาคมได้ก่อนต้องในชื่อ “ สมาคมศัลยแพทย์ ” ในปี พ.ศ.2527 และหลังจากนั้น 2 ปี มีการจดทะเบียนในชื่อ “ สมาคมศัลยแพทย์เสริมสวยแห่งประเทศไทย ” ( The society of aesthetic surgeons of Thailand ) และได้ทำการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในชื่อ “ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย ” ( The society of aesthetic plastic surgeons of Thailand ) หรือ THSAPS ทางสมาคมได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนาชาติ ( International Society of aesthetic plastic surgeons หรือ ISAPS ) ที่มีสมาชิกทั่วโลกทั้งหมด 46 ประเทศ

ประเทศไทยได้มีนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่มีความเป็นเลิศในภูมิภาคอาเซียน ( Medical Tourism / medical Hub of Asia / Excellence Center ) เพื่อที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ( Medical Tourist ) ให้เดินทางเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น แม้จะพบว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เข้ามาทำเกี่ยวกับความสวยความงามหรือเข้ามา ศัลยกรรม เสริมสวยในประเทศไทยนั้น พบว่ามีเพียงแค่ร้อยละ 10 ของจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั้งหมด และคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 14,000 – 20,000 ล้านบาทต่อปี จากมูลค่ารายได้รวมของเงินที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั้งหมดที่มียอดมากถึง 140,0000 – 200,000 ล้านบาทต่อปีนั่นเอง ซึ่งเมื่อมองในมุมนี้จะเห็นว่า  มูลค่าของนักท่องเที่ยงเชิงการแพทย์ที่เข้ามาศัลยกรรมเสริมความงามเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่ที่ทำให้มีการส่งเสริมในด้านนี้เนื่องจากจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้งที่ทำให้ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจมีธนาคารและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หลายแห่งต้องปิดตัวลง แต่มีอยู่ธุรกิจหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตินี้ก็คือ การท่องเที่ยว ซึ่งหมายรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ด้วย ด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนตัวประกอบกับที่ประเทศไทยมีแพทย์ที่มีความสามารถและประสบการณ์สูงในการรักษาพยาบาลและบริการชั้นเลิศของคนไทย ที่ไม่คนชาติใดได้เข้ามาใช้บริการต่างรู้สึกพึงพอใจและเต็มใจที่จะจ่ายแม้ว่าสำหรับคนไทยด้วยกันเองบางครั้งยังรู้สึกว่าค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวนั้นสูงมาก แต่ด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนตัวมากทำให้ค่ารักษาพยาบาลสำหรับคนต่างชาตินั้นถือว่าถูกมากกับบริการและผลการรักษาที่ได้รับจากการรักษา 

การศัลยกรรมสามารถช่วยให้คนที่ทำมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เข้าสังคมได้ง่าย มีโอกาสทางสังคมเพิ่มขึ้น สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองได้มากขึ้น

ซึ่งโรงพยาบาลที่ได้นำแนวคิดการดึงชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลของไทยเป็นแห่งแรกคือ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นอกจากการรักษาผู้ป่วยทั่วไปแล้วยังมีการทำผ่าตัด ศัลยกรรม เพื่อเปลี่ยนเพศที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสาวประเภทสองที่สวยติดระดับโลกเลยทีเดียว ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง ( Sex Reassigment Surgery, SRS ) เป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามารับการผ่าตัดแปลงเพศนั้นได้นำเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาช่วยฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะนอกจากค่ารักษาพยาบาลที่จะต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายเรื่องที่พัก อาหาร และการเดินทางในช่วงที่ทำการพักฟื้นร่างกายหลังจากทำการผ่าตัดอีกระยะหนึ่งด้วย การที่มีนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์มากขึ้น โดยเฉพาะการผ่าตัดแปลงเพศก็เนื่องมาจากแพทย์ของไทยมีความเชี่ยวชาญในด้านการผ่าตัดแปลงเพศเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีผลการผ่าตัดที่ดีไม่มีอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย

นอกจากการผ่าตัดแปลงแพทย์ที่แพทย์ชาวไทยมีชื่อเสียงอันดับโลกแล้ว การศัลยกรรมความงามด้านอื่น ๆ เช่น ดวงตา ใบหน้า แก้ม จมูก ลำตัว ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน ซึ่งทางรัฐบาลได้ร่วมกับเอกชนได้มีการส่งเสริมและโปรโมทอย่างต่อเนื่องไปสู่สาธารณชนทั่วโลกรับรู้ ถึงฝีมือทางด้านศัลยกรรมของแพทย์ไทย แต่ด้วยการกำหนดยุทศาสตร์ของประเทศที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับด้านนี้ จำเป็นจะต้องทำการจัดเตรียมบุคคลากรให้เพียงพอกับ  ผู้รับบริการที่จะเข้ามาใช้บริการดังกล่าวด้วย จึงมีการส่งเสริมให้มีการอบรมหลักสูตรระยะสั้น ( Short Course ) สำหรับแพทย์ที่มีความสนใจในด้านของเวชศาสตร์และ ศัลยกรรม ความงาม เพื่อเพิ่มจำนวนของแพทย์ที่จะสามารถทำเวชปฏิบัติเพื่อเสริมความสวยและความงามได้มาก เพื่อรองรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาทำศัลยกรรมความงามในประเทศ แต่ก็มีข้อวิพากวิจารณ์จากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนาชาติ ( International Society of aesthetic plastic surgeons หรือ ISAPS ) ว่าการอบรมดังกล่าวจะทำให้ความปลอดภัยของผู้ที่เข้ารับบริการมีมากแค่ไหน และอาจจะส่งผลกระทบกับแพทย์ที่เกิดขึ้นใน  อนาคตจะหันมาทำเกี่ยวกับศัลยกรรมความงามมากขึ้น เนื่องจากความง่ายของกระบวนการอบรมและค่าตอบแทนที่สูงมากเมื่อเทียบกับการทำงานในหน่วยงานรัฐบาลทั่วไป ซึ่งจะทำให้แพทย์ที่อยู่ในระบบที่ทำการรักษาโรคอาจจะขาดแคลนได้ นอกจากปัญหาด้านบุคคลากรทางการแพทย์แล้ว ปัญหาทางด้านสังคมเกี่ยวกับแนวคิด ความคิดทางด้านสังคมก็จะมีแนวคิดที่เปลี่ยนไป ผู้คนจะหันมาให้ความสนใจกับรูปร่างหน้าตา รูปลักษณ์ทางภายนอกมากขึ้นจากผลของการโฆษณาและการทำการตลาดของสถาบันเสริมความงามต่าง ๆ ซึ่งอาจจะส่งผลให้การพัฒนาของประเทศในบางด้านเกิดการหยุดชะงักไปในชั่วขณะได้ 

นอกจากนั้นทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนาชาติ ( International Society of aesthetic plastic surgeons หรือ ISAPS ) ยังกังวลถึงความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์จากแพทย์ที่ผ่านการอบรมระยะสั้นที่มีการจัดอบรมเพื่อสร้างแพทย์ให้เพียงพอเพื่อรองรับผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการ เสริมความงาม ว่าจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน แพทย์ที่เวชปฏิบัติมีความสามารถและความชำนาญเพียงพอในการให้บริการด้านเวชศาสตร์และการ ศัลยกรรม กับผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ จึงได้มีการเน้นยำถึงความสำคัญในการดำเนินการของสมาคมว่า “ความปลอดภัยของผู้ป่วย ( Patient safety ) เป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่ง” ซึ่งความปลอดภัยจะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบด้วยกัน 4 อย่าง คือ

1. Patient คือ ผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการศัลยกรรมจะต้องมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่พร้อมในการเข้ารับการศัลยกรรมที่ต้องการทำ โดยผู้เข้ารับบริการควรมีอายุมากกว่า 18 ปีบริบูรณ์หรือ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นอยู่กับ หัตถกรรมที่ต้องการทำนั่นเอง
2. Surgeon ศัลยแพทย์ที่เป็นผู้ให้บริการต้องมีความชำนาญหรือมีประสบการณ์ในการผ่าตัดหรือการทำหัตกรรมให้แก่ผู้เขข้ารับบริการ และศัลแพทย์จะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลศัลยแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือได้
3. Procedure ขั้นตอนในการทำผ่าตัดหรือการทำหัตกรรมที่ดำเนินการจะต้องได้รับมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับทั่วไป ไม่ใช่อยู่ในขั้นตอนของการทดลอง และขั้นตอนการทำหัตถกรรมเพื่อเสริมความงามต้องมีความเหมาะสมกับผู้เข้ารับบริการเสริมความงามด้วย
4. Facility สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสถานพยาบาล อุปกรณ์ ห้องผ่าตัดที่ใช้สำหรับการให้บริการกับผู้ที่เข้าบริการต้องมีความสะอาดและปลอดภัย

เมื่อมีองค์ประกอบครบทั้ง 4 อย่างนี้แล้ว การดำเนินการเสริมความงามย่อมจะมีความปลอดภัยต่อผู้เข้ารับบริการมากที่สุด

เพื่อความปลอดภัยผู้เข้ารับการตกแต่งเสริมความงามควรเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์การทำงานมานาน

การปฏิบัติเวชปฏิบัติที่ทำขึ้นเพื่อการเสริมความสวยและความงาม

ได้มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน คือ

1.Non Invasive Procedure คือ การเสริมความงามที่มีอันตรายหรือความเสี่ยงต่อผู้เข้ารับบริการน้อยมาก ซึ่งการเสริมความงามที่อยู่ในกลุ่มนี้ คือ การกินยา การฉีด การนวด การกดจุด การฝังเข็ม การเสริมความงามเหล่านี้จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อผู้เข้ารับบริการน้อยมาก เพราะว่าไม่มีการผ่าตัดเพื่อเปิดแผลหรือการใช้ยาชา นอกจากว่าผู้เข้ารับการบริการจะแพ้สารหรือยาที่ใช้ในการให้บริการจึงจะเกิดอันตรายได้ ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นถือว่าน้อยมาก 

2.Minimally Invasive Procedure คือ การทำหัตกรรม เสริมความงาม ที่ต้องมีการผ่าตัดเพื่อนำวัสดุเข้าสู่ภายในร่างกาย เช่น การร้อยไหม การทำเลเซอร์ การเสริมอวัยวะด้วยวัสดุต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการเปิดแผลเป็นการเปิดแผลที่มีขนาดเล็ก ( Minor Surgery ) ในการผ่าตัดถึงจะเป็นเพียงแค่การผ่าตัดขนาดเล็ก แต่ก็มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับผู้เข้ารับบริการ ดังนั้นแพทย์จึงจำเป็นต้องใช้ยาชากับผู้เข้ารับบริการ การให้ยาชาเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความเสี่ยงที่  จะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ ระบบการหายใจ หรือผู้เข้ารับบริการอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ ดังนั้นจึงการตั้งข้อสังเกตเพื่อที่จะได้ตั้งข้อกำหนดกับผู้ที่สามารถให้บริการแบบนี้ว่าต้องมีการควบคุมสถานที่และบุคคลากรที่ทำหน้าที่ในการให้ยาชาต้องได้รับการฝึกอบรมและได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน รวมถึงต้องมีการฝึกการกู้ชีพอีกด้วย

3.Invasive Procedure คือ การผ่าตัดเพื่อ เสริมความงาม ให้กับผู้เข้ารับบริการ ซึ่งการผ่าตัดในกลุ่มนี้จะเป็นการผ่าตัดใหญ่ ( Major Operation ) ที่มีความเสี่ยงและอันตรายสูงที่สุด และมีขั้นตอนการดูแลรักษาผู้ป่วยทั้งที่ยากและง่าย ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดเสริมความงามที่ส่วนใด และการปฏิบัติทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์และวิสัญญีแพทย์ วิสัญญีพยาบาลในการวางยาสลบ การทำหัตกรรมในกลุ่มนี้จะต้องมีการควบคุมด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดและใกล้ชิดทุกขึ้นตอน เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการเสริมความงาม และสถานที่ที่จะทำการเสริมความงามในกลุ่มนี้ได้ต้องเป็นโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งประเด็นสำคัญที่ทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนาชาติ ( International Society of aesthetic plastic surgeons หรือ ISAPS ) ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเป็นประเด็นหลัก คือแพทย์ที่จะให้บริการในกลุ่มนี้ได้จะต้องเป็นแพทย์ที่มีสิทธิ์ที่สามารถทำหัตกรรมได้ถูกต้องตามกฎหมาย มี ความรู้และประสบการณ์ในการผ่าตัด หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด เกี่ยวข้องกับแผนก ศัลยกรรม ทุกประเภท เช่น ศัลยกรรมตกแต่ง ศัลกรรมทั่วไป ศัลยกรรมทรวงอก ศัลยกรรมข้อ ศัลยกรรมกระดูก เป็นต้น หรือเป็นศัลยแพทย์ที่ได้รับการอบรมและประสบการณ์ในสาขาการตกแต่งและเสริมสร้าง ( Plastic Reconstructive Surgery is a Foundation of Aesthetic Plastic Surgery ) ที่ได้รับการฝึกอบรมนาน 3-6 ปีที่มีความชำนาญในด้านนี้เป็นพิเศษ

นอกจากแพทย์ที่เข้ามาทำหน้าที่ในการให้บริการในกลุ่ม Invasive Procedure ที่ต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมแล้ว สถานที่สำหรับการทำหัตถการก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย สถานที่ที่สำหรับการทำหัตถการที่ต้องมีการวางยาสลบต้องทำการผ่าตัดในโรงพยาบาลและต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าสถานที่ที่ใช้ในการทำหัตถการไม่เหมาะสมแล้ว ผู้เข้ารับการบริการอาจจะมีความเสี่ยงในขณะที่เข้ารับบริการได้

จะเห็นว่าการควบคุมผู้ที่ให้บริการทางการแพทย์เพื่อการ เสริมความงาม ให้กับบุคคลทั่วไปนั้น มุ่งเน้นถึงความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการเป็นหลัก เพราะผู้ที่เข้ารับบริการตกแต่งเสริมความงามไม่ใช่ผู้ป่วยแต่เป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งที่ต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงบางสิ่งของร่างกายให้สวยงามตามที่ต้องการเท่านั้น ดังนั้นผู้เข้ารับบริการจึงมีความเสี่ยงในด้านสุขภาพที่น้อยมาก การเข้ารับการทำหัตถกรรมเสริมความงามจึงไม่ควรสร้างอันตรายต่อร่างกายได้ แม้ว่าหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะมีหลายประเทศที่ส่งเสริมในด้านการตกแต่งเสริมความงามให้กับร่างกาย แต่ประเทศไทยจัดเป็นอันดับต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เลือกเข้ามาใช้บริการ เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมทั้งด้านบุคคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญอย่างสูงในการผ่าตัดเพื่อทำหัตถการตกแต่งเสริมความงาม และสถานพยาบาล ผู้ให้บริการทางการแพทย์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกได้ว่าคุ้มค่ากับการจ่ายเงินเพื่อเข้ารับบริการดังกล่าวที่ประเทศไทย และค่าเงินบาทที่เมื่อเทียบกับค่าเงินในบางประเทศถือว่ามีค่าเงินที่ถูกมาก ดังนั้น การเข้ารับการรักษาที่ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งหรือน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการเข้ารับการรักษาที่ประเทศบ้าน เกิดของตนเอง และยังสามารถท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของประเทศไทยได้หลังจากที่ทำการรักษาตัวจนหายได้ดี เรียกว่าได้ประโยชน์หลายด้านในครั้งเดียว

นับว่าการ ศัลยกรรม ในประเทศไทยเป็นธุรกิจที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่จะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณของผู้ที่ก่อตั้งสถานที่ให้บริการและแพทย์ที่ทำหน้าที่ในการรักษาว่าจะรักษามาตรฐานให้เหมาะสม มีความปลอดภัยกับผู้ที่เข้ารับบริการมากน้อยแค่ไหน เพราะในปัจจุบันนี้มีข่าวเกี่ยวกับผู้ที่เข้าบริการเสริมความงามแล้วเสียชีวิตออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อสืบสาวไปจะพบว่าผู้ที่เสียชีวิตเกิดจากผู้ที่ให้บริการทางการแพทย์ไม่ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะหรือเจ้าของสถานบริการใช้วัตถุดิบ อุปกรณ์ในการตกแต่งเสริมความงามที่มี  อันตรายต่อผู้เข้ารับบริการได้ เพราะต้องการลดต้นทุนในการทำหัตถการ รวมถึงสถานที่ที่ใช้ในการหัตถกรรมก็ไม่ได้มาตรฐานตามที่ได้กำหนดไว้ของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย ( The society of aesthetic plastic surgeons of Thailand ) ทำให้ผู้เข้ารับบริการมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ดังนั้นผู้ที่ต้องการเข้ารับการตกแต่ง เสริมความงาม ควรเลือกสถานที่สำหรับการทำหัตถกรรมที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ทีได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์การทำงานมานานเพื่อที่ผู้เข้ารับบริการจะปลอดภัยและสวยงามได้อย่างที่ต้องการนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ดูบอลโลกอย่างไรให้หน้าไม่โทรม

0
ดูบอลโลกอย่างไร หน้าไม่โทรม
การนอนดึกจะทำให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันใต้ผิวหนังออกมามากกว่าปกติ ทำให้หน้ามันแต่ผิวกลับขาดความชุ่มชื่น ทำให้เกิดสิวได้ง่าย รวมทั้งเกิดปัญหาผิว และริ้วรอยก่อนวัยอันควร
ดูบอลโลกอย่างไร หน้าไม่โทรม
การนอนดึกจะทำให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันใต้ผิวหนังออกมามากกว่าปกติ ทำให้หน้ามันแต่ผิวกลับขาดความชุ่มชื่น ทำให้เกิดสิวได้ง่าย รวมทั้งเกิดปัญหาผิว และริ้วรอยก่อนวัยอันควร

ดูบอลโลกให้หน้าไม่โทรม

เทศกาลบอลโลกมาถึงทั้งที 4 ปีมีครั้งหนึ่งเท่านั้น แล้วแบบนี้จะให้รีบนอนแต่หัวค่ำแล้วคอยรอฟังผลการแข่งขันในตอนเช้าเพียงอย่างเดียวก็ใช่ที่ หรือต่อให้ไม่ชอบดูบอลเท่าไร แต่มันก็ต้องมีใครบางคนในครอบครัวที่นั่งถ่างตาดูบอล  จนเกือบเช้า พาให้เราต้องนอนไม่หลับไปด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้ก็สู้ลุกขึ้นมาลุ้นและร่วมเชียร์ไปด้วยกันเสียเลยดีกว่า พอดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มสนุก แต่พอมาดูกระจกกลับต้องตกใจ ใต้ตาดำคล้ำ หน้าหมองเป็นสิว แถมผิวเหี่ยวก็มา เรียกว่าโทรมอย่างถึงที่สุดในช่วงเวลาอันรวดเร็ว แบบนี้ปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งเป็นผู้หญิง ยิ่งต้องตามเทรนด์โลกได้ทัน พร้อมกับรักษาระดับความสวยให้คงทนไปด้วย ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้เราดูบอลโลกได้ทุกนัด แถมหน้ายังสวยใสราวกับนอนมาเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน

1. เปลือยหน้าให้เป็นธรรมชาติในทุกนัดที่เชียร์บอล : โดยปกติแล้วช่วงเวลาแข่งขันที่เราจะได้ดูกันแบบสดๆ ก็มักจะเป็นช่วงกลางคืนที่ค่อนข้างดึกมากอยู่แล้ว และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่ผิวควรจะได้พักผ่อนบ้าง หลังจากที่เหนื่อยล้ามาแล้วทั้งวัน หากคิดให้ดีในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลบอลโลก ดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้คือช่วงที่ร่างกายพักผ่อนและซ่อมแซมตัวเอง ถ้าเราอดนอนแล้วยังคงแต่งหน้าหนาอยู่อีก นอกจากผิวจะไม่ได้พักผ่อนแล้วก็ยังต้องแบกรับภาระจากเครื่องสำอางเหล่านั้นอีกด้วย ที่สำคัญหลายคนก็ทิ้งตัวลงนอนเลยหลังจากดูบอลจบ รอไปล้างเครื่องสำอางออกตอนตื่นนอนในวันถัดไป ทำให้รูขุมขนเริ่มอุดตัน นำมาซึ่งสารพัดสิว ตั้งแต่สิวเสี้ยนไปจนถึงสิวหัวช้างหรือสิวอักเสบ ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าปัญหาเรื่องการรักษาสิวนั้นไม่เท่าไร แต่การรักษาแผลเป็นหรือร่องรอยที่สิวทิ้งเอาไว้ต่างหากที่ลำบากยากเย็น และก็ไม่ใช่แค่สิวเท่านั้น บางคนอาจเกิดอาการผิวแห้งและแพ้ง่ายไปพร้อมกันด้วย ดังนั้นก็อย่าลืมล้างหน้าก่อนนั่งล้อมวงดูบอลเสมอ ต่อให้ออกไปดูกันนอกบ้านก็ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าไป อาจเพิ่มความมั่นใจด้วยลิปกลอสบางเบาสักแท่งก็เพียงพอแล้ว

2. บำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นมากกว่าปกติ : เมื่อไรที่เรานอนดึกหรืออดนอน ผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้นมากกว่าปกติ และเนื่องจากว่าความชุ่มชื้นของผิวนั้นเป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีสุขภาพผิวที่ดีอย่างมาก เมื่อผิวเริ่มแห้งลงจะมีปัญหาผิวตามมามากมาย เช่น เป็นสิวง่าย แพ้ง่าย หน้าลอก เหี่ยวย่น เป็นต้น ดังนั้นเมื่อต้องดูบอลจนดึกเมื่อไร อย่างแรกที่ต้องทำก็คือจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดเวลาจนกว่าจะใกล้เข้านอน เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอกับความต้องการ อย่างที่สองก็คือทาครีมบำรุงที่เน้นหนักไปทางให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว สังเกตได้ง่ายๆ ว่าหากมีส่วนประกอบของน้ำและ Hyaluronic acid ในเนื้อครีมมาก ก็จะให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้มาก หรือจะเลือกใช้เป็นแบบ overnight mask ก็ได้เหมือนกัน ทาพอกให้หนาแล้วทิ้งไว้ข้ามคืนไปเลย ตื่นเช้ามารับรองได้ว่าผิวยังเปล่งปลั่งฉ่ำน้ำอยู่เหมือนเดิมแน่ นอน

3. ใช้ประโยชน์จากสารคาเฟอีน : สารคาเฟอีนที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่เครื่องดื่มจำพวกชาและกาแฟ ซึ่งน่าจะมีติดบ้านกันแทบทุกหลังคาเรือนอยู่แล้ว หรือต่อให้ไม่มีก็ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ไม่ได้ให้หามาดื่มเพื่อรอดูบอลแต่อย่างใด ครั้งนี้เราจะนำมาเนรมิตความสวยโดยเฉพาะ ด้วยว่าสารคาเฟอีนนั้นมีฤทธิ์ต้านอาการบวมของใต้ถุงตาได้อย่างดีเยี่ยม และยังช่วยให้ใต้ตาไม่ดูคล้ำจนเกินไปอีกด้วย มาเริ่มกันที่วิธีง่ายๆ กันก่อน นั่นคือใช้ชาถุงแบบสำเร็จที่ชงดื่มเรียบร้อยแล้ว เอาแค่ส่วนของถุงชาเท่านั้น ใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ แล้วค่อยเอามาประคบตาหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ประคบไปเรื่อยๆ จนกว่าถุงชาจะบรรเทาความเย็นลง อีกวิธีหนึ่งก็คือใช้ใบชาที่ชงน้ำดื่มเรียบร้อยแล้ว ห่อด้วยผ้าบางๆ ให้มันเป็นก้อนกลมคล้ายลูกประคบ เอาแช่ตู้เย็นไว้ แล้วก็เอามาประคบในตอนเช้าเช่นเดียวกัน ถามว่าใช้กาแฟได้ไหม อันที่จริงก็ได้เหมือนกัน แต่จะไม่ค่อยสะดวกนักเพราะผงกาแฟจะละลายไปหมด เว้นเสียแต่ว่าที่บ้านมีกากกาแฟสดจึงจะสามารถเอามาใช้ได้

4. ลดปริมาณโซเดียม : หากนึกไม่ออกว่าโซเดียมคืออะไร ก็ให้นึกถึงอะไรก็ตามที่มีรสชาติเค็มๆ ความจริงแล้วโซเดียมนั้นเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อย แต่เนื่องจากอาหารในปัจจุบันมีโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวแบบถุง เป็นต้น เรียกว่าเรารับโซเดียมเข้าสู่ร่างกายกันตลอดเวลาเลย ยิ่งในช่วงดูบอลกับกลุ่มเพื่อนอย่างนี้ มีหรือที่จะไม่มีขนมและเครื่องดื่มเย็นๆ เป็นเครื่องเคียง ซึ่งสามารถทานได้แต่ต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่าทานไปมากน้อยเท่าไรแล้ว เพราะหากร่างกายมีโซเดียมมากเกินพอดี ไตจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกไป และส่งผลกระทบไปยังระบบอื่นๆ ในร่างกายด้วย สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนก็คือ วันไหนทานโซเดียมมากไป โดยเฉพาะมื้อเย็นหรือก่อนนอน ตื่นมาหน้าจะบวมกว่าปกติ และมีอาการคอแห้งกระหายน้ำอย่างรุนแรง เมื่อหน้าบวมเสียแล้วจะแต่งหน้ายังไงก็คงไม่สวยเท่ากับทุกวันจริงไหม ดังนั้นถ้าทำได้ ให้เปลี่ยนขนมที่ทานระหว่างดูบอลเป็นผลไม้ โยเกิร์ตหรือถั่วต่างๆ แทน แต่ก็ต้องไม่ใช่ถั่วที่คั่วเกลือมาจนเต็มโดดเช่นเดียวกัน

5. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน : มันอาจจะไม่ง่ายที่จะต้องงดเครื่องดื่มเหล่านี้ไปเลย ในระหว่างที่ดูบอลสนุกๆ กับเพื่อนหรือครอบครัว แต่ยังไงก็ต้องควบคุมปริมาณไม่ให้มากจนเกินไป เพราะแอลกอฮอล์และคาเฟอีนเป็นสารออกฤทธิ์ที่จะกระตุ้นสมองและปรับสมดุลบางส่วนของระบบร่างกาย ทำให้เกิดอารมณ์ตื่นตัว คึกคัก ซึ่งมันจะไม่หมดไปพร้อมกับการแข่งขันฟุตบอลที่จบลง หมายความว่าเมื่อถึงคราวนอนก็จะนอนไม่หลับ ด้วยว่าสมองยังตื่นตัวอยู่ ทำให้นอนไม่พอหรือนอนหลับไม่สนิท ร่างกายจึงไม่มีเวลาให้ซ่อมแซมและพักผ่อน หากทำต่อเนื่องหลายวันเข้าร่างกายก็ย่อมทรุดโทรมลง และแน่นอนผิวพรรณก็ต้องหมองลงด้วย

6. เลือกนอนหมอนสูงกว่าปกติเล็กน้อย : นี่เป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะลดความบวมของถุงใต้ตาเนื่องจากการนอนดึก เมื่อเราหนุนหมอนให้สูง ของเหลวที่ควรจะไปคั่งอยู่ใต้ตาก็จึงไม่ไปหรือไปได้น้อย ตื่นมาจึงไม่มีอาการใต้ตาบวมให้เห็น แต่การนอนหนุนหมอนที่สูงขึ้นนี้ ต้องไม่เป็นระดับที่ทำให้เกิดอาการเมื่อยคอ ให้สูงจากปกติสักเล็กน้อยก็พอ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งทำให้นอนไม่สบาย และปวดตึงช่วงคอ บ่า ไหล่ ในระยะยาว

การนอนดึกจะทำให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันใต้ผิวหนังออกมามากกว่าปกติ ทำให้หน้ามันแต่ผิวกลับขาดความชุ่มชื่น ทำให้เกิดสิวได้ง่าย รวมทั้งเกิดปัญหาผิว และริ้วรอยก่อนวัยอันควร

7. ล้างโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือ : กรณีนี้ใช้สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้โดยเฉพาะ เนื่องจากว่าการนอนไม่พอนั้นมีผลกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันภายในร่างกายไม่แข็งแรงดังเดิม มีประสิทธิภาพการทำงานที่ลดน้อยลงค่อนข้างมาก ยิ่งกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ซึ่งมีค่าภูมิต้านทานที่ต่ำอยู่แล้วก็จะยิ่งต่ำลงไปอีก ทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบได้ง่าย ดังนั้นช่วงนี้จึงต้องดูแลร่างกายให้มากเป็นพิเศษ และการทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ดี เพราะจะทำให้ช่องหายใจสะอาด ลดการบวมของโพรงไซนัส และยังลดอาการบวมของดวงตาได้ด้วย วิธีการนั้นง่ายมาก เพียงแค่หากระบอกฉีดยากับน้ำเกลือสำหรับล้างช่องจมูกมาติดบ้านไว้สักชุด ซึ่งหาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป พอจะใช้ก็แค่บรรจุน้ำเกลือลงในกระบอกฉีดประมาณ 150 มิลลิลิตร แล้วฉีดเข้าไปในช่องจมูก น้ำเกลือจะไปวนในโพรงจมูกและช่องปาก แล้วกลับออกมาที่จมูกอีกข้างกับทางปากนั่นเอง

8. นอนไม่พอ ต้องหาเวลางีบหลับ : ถึงแม้ว่าเราจะบำรุงร่างกายดีอย่างไร แต่หากพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันหลายวันเข้า สมองก็ย่อมเบลอและพยายามจะจัดระบบร่างกายให้ไปอยู่ในโหมดของการพักผ่อนอยู่เรื่อยๆ บางคนจึงมีอาการหลับใน มึนงง คิดอะไรไม่ออกนั่นเอง แล้วจะทำยังไงได้ในเมื่อบอลมาดึกๆ ทุกคืน จะลาหยุดงานเพื่อดูบอลหรือนอนชดเชยก็ไม่ได้ ไม่ต้องกังวลไป เพราะความลับของการนอนไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงที่นอน แต่ขึ้นกับประสิทธิภาพของการนอน และการงีบหลับช่วงสั้นๆ สัก 20-30 นาทีในระหว่างวัน จะสามารถชดเชยการนอนในช่วงกลางคืนได้มากถึง 4 ชั่วโมงทีเดียว ดังนั้นก็อย่าลืมหาเวลางีบหลับกันดูบ้าง นอกจากร่างกายจะกลับมากระปรี้กระเปร่าแล้ว หน้าตาก็ยังกลับมาสวยสดใสได้อีกด้วย

9. ทานผักผลไม้ให้มาก : เคยได้ยินบ้างไหมว่า “หากอยากมีอายุยืนยาว ให้ทานเฉพาะอาหารที่อายุสั้นเท่านั้น” อาหารอายุสั้นในที่นี้ก็หมายถึงอาหารที่สดใหม่ ไม่ผ่านการแปรรูปหรือปรุงสุกด้วยเวลานานไปนั่นเอง ของพวกนี้มีพลังงานชีวิตมากจึงส่งต่อพลังงานนั้นให้ร่างกายเราได้มาก สังเกตได้ง่ายๆ เมื่อไรที่รู้สึกหมดเรี่ยวแรง เพียงแค่ทานผลไม้ก็สดชื่นขึ้นมาได้ นอกจากนี้ช่วงที่เราอดตาหลับขับตานอนเพื่อรอเชียร์บอลโลกนี้ จะมีสารอนุมูลอิสระจำนวนมากเกิดขึ้นในร่างกาย การทานผักผลไม้ก็คือการเติมสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อให้มีพอสำหรับการจัดการกับสารอนุมูลอิสระนั่นเอง ยิ่งทานมากก็ยิ่งโทรมน้อยลง แต่สิ่งสำคัญที่มากไปกว่านั้น พยายามเลือกผลไม้ที่มีความหวานน้อยและเนื้อผลไม้ไม่ได้อ่อนนิ่มมากไปเป็นชนิดหลักที่ทาน เช่น ฝรั่ง มังคุด มะม่วงดิบ เป็นต้น เพราะน้ำตาลในผลไม้นั้นนอกจากจะไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดความเสียหายต่อผิวพรรณและระบบร่างกายได้ไม่น้อยเลย

10. ใช้เครื่องสำอางเข้าช่วย : ก่อนหน้านี้เป็นการดูแลตัวเองจากภายในเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องจำเป็นและสมควรทำอย่างยิ่ง หากอยากคงความสวยและสุขภาพดีเอาไว้ได้ตลอดฤดูกาลบอลโลกนี้ แต่คงไม่ใช่แค่เร่ง ความสวยจากภายในเท่านั้น ใช้เครื่องสำอางมาช่วยภายนอกไปด้วยอีกแรงคงดีกว่า เริ่มจากเลือกใช้คอนซีลเลอร์ที่เหมาะกับสีผิวเพื่อปกปิดรอยคล้ำใต้ตา โดยเลือกให้มีเฉดสีที่อ่อนกว่าสีผิวประมาณ 1-2 เบอร์ เพราะเราต้องการให้ผิวส่วนนี้ดูสว่างขึ้น และแต่งหน้าให้ดูสวยสดใสอยู่เสมอ อาจใช้ชิมเมอร์ช่วยกระจายแสงบนผิวหน้าก็ได้ แต่อย่าโหมโบกหน้าจนหนักหนาเกินไป อย่าลืมว่าช่วงนี้ผิวหน้าก็รับภาระพอสมควรแล้ว เอาเป็นว่าแต่งให้สวยพอประมาณและล้างให้สะอาดเสมอก็พอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

expressvpn.com/stream-sports/world-cup/

Lee, Doctor. “Dry Skin Prevention”. Retrieved 18 August 2011.
Zirwas MJ, Stechschulte SA (2008). “Moisturizer allergy: diagnosis and management”.

The Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. 1 (4): 38–44. PMC 3016930 Freely accessible. PMID 21212847.

วิธีกำจัดขนรักแร้อย่างยั่งยืน

0
วิธีกำจัดขนรักแร้
การกำจัดขนช่วยให้ใต้วงแขนสะอาดน่ามองซึ่งมีหลายวิธี และถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม
วิธีกำจัดขนรักแร้
กำจัดขนรักแร้ด้วยวิธีการถอน เป็นวิธีที่เบสิคที่สุด

กำจัดขนรักแร้

มองรักแร้ดาราหรือบรรดาคนดังทีไรก็ต้องหันกลับมามองรักแร้ตัวเองทุกที แล้วคำถามเดิมๆ ก็วนเวียนมาอีกรอบ “เขาทำยังไงนะ รักแร้ถึงขาวเนียนไร้ขน ราวกับไม่เคยมีมันมาก่อนเลย” นี่คือปัญหาโลกแตกที่คาใจสาวๆ มาโดยตลอด การ กำจัดขนรักแร้ พร้อมกับเนรมิตให้ใต้วงแขนเรียบเนียนนั้นสำคัญไม่แพ้การดูแลใบหน้า เพราะการมีรักแร้ที่เป็นเลิศนั้น  เปรียบเหมือนเรามีแต้มต่อราคาแพง จะสวมเสื้อแขนกุดหรือเกาะอกก็ไม่ต้องกลัวว่าขนหรือหนังไก่จะโชว์ออกมาให้อับอาย เสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้หญิงยุคใหม่อย่างเต็มกำลัง ดังนั้นไม่ว่านวัตกรรมการกำจัดขนและดูแลผิวหนังใต้วงแขนจะมีสิ่งใดออกมา ก็ล้วนแต่มีสาวใจกล้าไปทดลองกันถ้วนหน้า หวังเพียงผลลัพธ์คาตาคาใจที่จะทำให้ชูมือสุดแขนได้เสียที 

ขนรักแร้

ก่อนจะไปถึงขั้น กำจัดขนรักแร้ ให้สิ้นซาก เรามาทำความรู้จักกับขนรักแร้กันสักเล็กน้อย จริงๆ แล้วขนตามร่างกายของเรามีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน โดยบริเวณรักแร้นั้นถูกจัดเป็นขนกลุ่มเวลลัส หรือขนที่เป็นเส้นอ่อนนุ่ม มีหน้าที่หลักในการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ช่วยเพิ่มการกระจายฟีโรโมนซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นอารมณ์และพฤติกรรมของผู้อื่น ตลอดจนช่วยลดการเสียดสีของผิวที่บอบบางบริเวณนั้น ว่าไปแล้วขนรักแร้ก็มีประโยชน์ไม่น้อย แต่จะมีสักกี่คนที่คิดว่าลองไว้ขนรักแร้ให้ยาวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันดีกว่า เพราะมันไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เช่นนั้นก็ต้องกำจัดออกให้หมดไป แต่จะมีวิธีไหนบ้างที่จะตัดปัญหากวนใจอันนี้ไปได้

วิธี กำจัดขนรักแร้

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธีการถอน
นี่น่าจะเป็นวิธีที่เบสิคที่สุด เพราะใช้กันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายแล้ว ลงทุนเป็นเม็ดเงินน้อยมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ แถมยังสามารถทำเมื่อไรก็ได้โดยไม่ต้องรบกวนใครอีกต่างหาก แต่ก็แอบเห็นว่ามีหลายบ้านเอาการถอนขนรักแร้มาเป็นกิจกรรมครอบครัวด้วยเหมือนกัน วิธีการก็คือใช้แหนบอันที่ถนัดมือค่อยๆ คีบขนขึ้นมาทีละเส้นแล้วดึงออกแบบถอนรากถอนโคน เราจะเห็นเลยว่ามีตุ่มสีขาวๆ ติดมาที่โคนขน มันคือส่วนของรากขนรักแร้นั่นเอง การกำจัดขนด้วยการถอนจึงทำให้ขนขึ้นใหม่ช้ามาก อาจยาวนานไปถึง 3 อาทิตย์ แต่มีข้อเสียตรงที่เจ็บอย่างที่สุด ยิ่งถ้าเป็นคนมีขนรักแร้มากก็ยิ่งเจ็บนานกว่าจะถอนเสร็จทั้งหมด ทั้งเจ็บแสบรักแร้และเมื่อยคอไปพร้อมกัน นอกจากนี้ก็ยังเป็นวิธีที่ค่อนข้างทำร้ายผิวใต้วงแขนพอสมควร บางรายจึงมีผิวที่หมองคล้ำขึ้นหรือกลายเป็นหนังไก่

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธีโกน
การโกนขนรักแร้ค่อนข้างได้รับความนิยมสูง เพราะทำได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ยิ่งในยุคนี้ที่มีอุปกรณ์โกนขนให้เลือกหลากหลายเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้การโกนกลายเป็นเรื่องสนุก วิธีการนั้นแสนง่าย เพียงมองหามีดโกนที่ชื่นชอบมาสักอัน มีเคล็ดลับเล็กน้อยคือ มีดโกนที่มีหลายใบมีดจะช่วยให้โกนขนได้เกลี้ยงเกลามากขึ้น ครั้นจะใช้งานก็สามารถใช้น้ำสบู่หรือครีมโกนขนทาลงไปให้ทั่วบริเวณใต้วงแขน จากนั้นเริ่มโกนจากบนลงล่าง พร้อมเก็บรายละเอียดให้เรียบร้อย เมื่อ  ทำเสร็จทั้งสองข้างแล้วก็ล้างทำความสะอาดเอาสบู่หรือครีมออกให้หมด ข้อดีคือทำง่ายและไม่เจ็บ แต่ก็มีข้อเสียด้วยตรงที่ขนจะขึ้นเร็ว ระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 2-3 วัน อีกทั้งส่วนของขนที่ขึ้นมาใหม่ก็เส้นใหญ่และหนากว่าเดิม เมื่อไม่ได้โกนอย่างสม่ำเสมอก็จะไม่น่ามอง ในบางคนที่ผิวบอบบางก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดผิวอักเสบได้ด้วย 

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธีแวกซ์
หลายคนชื่นชอบวิธีนี้มากกว่าการโกนเสียอีก เพราะการแวกซ์ขนรักแร้นั้น ค่อนข้างสะดวกรวดเร็ว ผิวใต้วงแขนก็เรียบเนียน แถมขนยังขึ้นช้าอีกด้วย คล้ายกับเอาจุดดีของวิธีการกำจัดขนแบบถอนและแบบโกนมารวมกัน แต่การลงมือทำครั้งแรกต้องใช้ความกล้าเล็กน้อยในการดึงแวกซ์ออก บางคนก็ว่าเจ็บมาก บางคนก็ว่าเจ็บพอทน ขอแค่ทำไปเรื่อยๆ ก็จะชินไปเอง แวกซ์ที่ใช้จะแบ่งแบบหยาบๆ ได้ 2 ประเภท คือ แวกซ์ร้อนและแวกซ์เย็น ซึ่งยังสามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบครีม แบบแผ่น หรือแบบก้อน แต่หลักการใช้งานเหมือนกันหมดคือป้ายหรือแปะทิ้งไว้สักพักก็ดึงย้อนขนอย่างรวดเร็ว การกำจัดขนด้วยวิธีนี้จะทำให้ขนขึ้นช้า ระยะเวลาราวๆ 3-4 อาทิตย์ และมีข้อจำกัดตรงที่ต้องไว้ขนให้ยาวประมาณหนึ่งก่อนถึงจะแวกซ์ได้

กำจัดขนรักแร้ ด้วยเจลสมุนไพร
วิธีนี้คือการนำเอาประโยชน์จากสมุนไพรมาใช้งาน โดยทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปของเจล เวลาใช้ก็แค่ป้ายเจลไปที่ใต้วงแขนด้วยไม้พายพลาสติก ซึ่งจะมีแนบมาให้พร้อมตัวผลิตภัณฑ์เสมอ จากนั้นทิ้งไว้ให้เซตตัวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคู่มือ แล้วค่อยเช็ดออก ขนก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย ข้อดีคือทำง่ายมาก ไม่เจ็บแสบแต่อย่างใด แต่มีข้อเสียคือใช้ไม่ค่อยได้ผลเต็มประสิทธิภาพสำหรับคนที่มีขนเส้นใหญ่และหนา ระยะเวลาที่ขนจะขึ้นใหม่อยู่ที่ 1-2 อาทิตย์

กำจัดขนรักแร้ ด้วยครีมกำจัดขน
ครีมกำจัดขนก็มีลักษณะและวิธีการใช้งานคล้ายคลึงกับเจลสมุนไพรนั่นเอง เพียงแต่ว่าอันนี้เป็นเคมีที่เน้นการกำจัดขนโดยเฉพาะ ทำให้ทำลายขนได้สิ้นซากมากกว่า ข้อดีคือทำได้ง่ายและทำได้ทุกที่ แต่ข้อเสียคือค่อนข้างสุ่มเสี่ยงสำหรับผิวบอบบางและมีกลิ่นที่ค่อนข้างฉุน ดังนั้นการใช้ครีมกำจัดขนจึงต้องทดสอบการแพ้ก่อนเสมอ และทำตามขั้นตอนในคู่มืออย่างเคร่งครัด ไม่ทิ้งเวลาไว้นานเกินไป ไม่ป้ายครีมหนาเกินไป และไม่ทำบ่อยจนเกินไปด้วย ระยะเวลาที่ขนจะขึ้นใหม่อยู่ที่ 2-3 วันเท่านั้น

การ กำจัดขนรักแร้ ช่วยให้ใต้วงแขนสะอาดน่ามอง มีหลายวิธี และถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้น แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

กำจัดขนรักแร้ ด้วยเครื่อง
นี่เป็นนวัตกรรมที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์คนที่รักการถอนขนรักแร้ แต่เบื่อหน่ายกับอาการเมื่อยคอและรู้สึกเสียเวลา เครื่องถอนขนในท้องตลาดมีอยู่หลายราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหลายพัน คุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้งานก็แปรผันตามราคา สิ่งที่ทำให้แต่ละเครื่องแตกต่างกันก็คือจำนวนหัวหนีบ ยิ่งมีหัวหนีบมากก็ยิ่งถอนขนได้เร็วและลดความเจ็บจากการถอนขนได้มาก แม้ว่าจะเป็นการดึงขนแบบถอนรากถอนโคนเช่นเดียวกับการใช้แหนบ แต่ก็จะไม่เจ็บเทียบเท่าเพราะเครื่องทำงานได้รวดเร็ว อาจรู้สึกแสบบ้างหลังการใช้เครื่องกำจัดขน ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเนื่องจากเป็นอาการเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น ระยะเวลาที่ขนจะขึ้นใหม่ก็อยู่ที่ 1-2 อาทิตย์

กำจัดขนรักแร้ ด้วย IPL- Intense pulsed light ( ไอพีแอล )
ถ้าถามหาเทคโนโลยีทางการแพทย์ IPL น่าจะเป็นเครื่องมือรุ่นแรกๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการกำจัดขนแบบถาวร เป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 500-1200 นาโนเมตร และมีค่าความเข้มแสงสูง คุณสมบัติของแสงนี้จะเข้าไปทำลายรากขนใต้ชันผิวหนัง ขนรักแร้ที่มีอยู่จึงค่อยๆ หลุดออกไป แต่จะไม่ใช่การทำเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จำเป็นต้องทำ 3-6 ครั้งในทุกๆ 3 อาทิตย์ เป็นการแก้ปัญหาแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ได้ผลคุ้มเกินคาด เพราะผิวใต้วงแขนจะเรียบเนียนยาวนานเป็นปีๆ หลายคนไม่มีขนขึ้นมาอีกเลยก็มี หรือหากขึ้นมาใหม่ก็จะบางลงมากๆ ทำ IPL ซ้ำอีกสักรอบสองรอบก็จะกำจัดขนไปแบบถาวรเช่นเดียวกัน มีข้อจำกัดอยู่เพียงเล็กน้อยคือต้องได้รับการบริการจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีโอกาสที่ผิวจะเกิดอาการไหม้ได้

กำจัดขนรักแร้ ด้วย Diode Laser ( ไดโอดเลเซอร์ )
ตามมาติดๆ กับเทคโนโลยีไดโอดเลเซอร์ ตัวนี้เป็นกลุ่มเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นประมาณ 800-1000 นาโนเมตร ให้พลังงานได้สูงกว่า IPL และทำลายรากขนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะถูกออกแบบมาใช้เพื่อการกำจัดขนโดยเฉพาะ ระหว่างการทำก็ไม่รู้สึกแสบร้อน ด้วยเหตุที่มีระบบความเย็นติดอยู่กับหัวเลเซอร์ด้วย จึงช่วยลดอุณหภูมิของผิวหนังลงได้ วิธีนี้จำเป็นต้องทำซ้ำ 5-8 ครั้งตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

กำจัดขนรักแร้ ด้วยวิธี YAG
เครื่องมือชนิดนี้นับได้ว่าเป็นรุ่นเดียวกับ IPL เลยก็ว่าได้ แต่จะดีกว่าตรงที่สามารถทำได้ในทุกสีผิว ไม่ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แต่อย่างใด เครื่องมือ YAG ในท้องตลาดมีทั้งแบบ Q Swithed nd yag (เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสั้น 532 nm และ 1064 nm) และ Long pulse nd yag (คลื่นยาว 1,064 nm) แต่ตัวที่ใช้กับการ กำจัดขนรักแร้ จริงๆ มีแค่ Long pulse nd yag เท่านั้น การทำงานก็เป็นเหมือนกับเครื่องเลเซอร์อื่นๆ คือตรงเข้าทำลายรากขนที่ใต้ชั้นผิวหนัง ต้องทำซ้ำ 4-8 ครั้งก่อนที่ขนรักแร้จะหมดไป จุดเด่นคือมีส่วนที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้ด้วย ในขณะเดียวกันถ้าใช้เครื่องผิดประเภทก็จะเสียเวลาและเสียทุนทรัพย์ไปเปล่าๆ เพราะมันจะไม่เกิดผลอะไรเลย งั้นถาม  ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องที่ใช้เหมาะกับการกำจัดขนหรือไม่ ก็บอกได้ยากหากไม่มีการแจ้งรายละเอียดเอาไว้ในคอร์สกำจัดขน จึงจำเป็นต้องเลือกใช้บริการกับสถานบริการที่เชื่อถือได้ และมีผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คอยดูแล 

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของเลเซอร์ กำจัดขนรักแร้ อีกหลายชนิด ซึ่งแกนหลักในการกำจัดขนนั้นเหมือนกัน แต่แตกต่างกันไปในรายละเอียด เช่น ระหว่างทำไม่แสบแดง ไม่มีการอักเสบหลังการทำ จำนวนครั้งที่ทำลดน้อยลง เป็นต้น ไม่ว่าจะตัดสินใจกำจัดขนกับเลเซอร์ตัวไหน ก็อย่าลืมดูแลผิวใต้วงแขนหลังการทำเสมอ หากมีอาการแสบแดงก็ประคบด้วยของเย็น หากมีอาการบวมแล้วไม่หายภายใน 24 ชั่วโมง ก็ต้องพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาต่อไป

จะเห็นได้ว่าการกำจัดขนมีหลากหลายวิธี และถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป บ้างเจ็บมาก บ้างเจ็บน้อย บ้างราคาถูก บ้างราคาสูง ก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมและความต้องการ หากยังไม่มีทุนทรัพย์มากเพียงพอสำหรับการลงคอร์สกำจัดขนแพงๆ ก็ไม่ต้องกังวลมากไป เพราะใจความสำคัญคือการ กำจัดขนรักแร้ และช่วยให้ใต้วงแขนสะอาดสะอ้านน่ามองเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อจัดการเรื่องกำจัดขนแล้วก็อย่าลืมเรื่องการบำรุงผิวหนังใต้วงแขนและดูแลเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย หากมีรักแร้ที่ขาวเนียนแต่กลิ่นสุดจะทนก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ต้องดูแลให้สวยครบทุกด้านไปพร้อมกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Bhargava, Amber (November 26, 2012). “Beauty and the Geek: The Engineering Behind Laser Hair Removal”.

Heinz Tschachler, Maureen Devine, Michael Draxlbauer; The EmBodyment of American Culture; pp 61–62; LIT Verlag, Berlin-Hamburg-Münster; 2003; ISBN 3-8258-6762-5.

Kutty, Ahmad (September 13, 2005) “Islamic Ruling on Waxing Unwanted Hair” Archived 2008-02-13 at the Wayback Machine. Retrieved March 29, 2006

ศัลยกรรมปลูกรากผม ปลุกความมั่นใจ

0
ศัลยกรรมปลูกรากผม ปลุกความมั่นใจ
เส้นผมเป็นส่วนที่สามารถหลุดร่วงออกจากร่างกายและงอกขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนเส้นที่หลุดร่วงไปได้ตลอด
ศัลยกรรมปลูกรากผม ปลุกความมั่นใจ
รากผมที่นำมาปลูกถ่ายมีความแข็งแรงมาก แต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อาจจะส่งผลให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่นั้นอาจจะอ่อนแอลง

ศัลยกรรมปลูกรากผม ( ปลูกผม )

ศัลยกรรมปลูกรากผม เป็นทางออกสำหรับปัญหาผมร่วง ผมบางหรือศีรษะล้าน ถือเป็นปัญหาใหญ่มากของชีวิตใครหลายคน โดยเฉพาะปัญหาหัวล้านที่เข้ามาลดทอนความมั่นใจให้กับใครหลายคน ถึงแม้ว่าปัญหาผมบางศีรษะล้านจะเป็นปัญหาใหญ่ที่พบได้ทั่วไปกับคนทุกเพศ ทุกวัย และศัลยกรรมปลูกผมก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการรักษา

ศัลยกรรมปลูกผม พบว่าผู้เข้ารับการรักษาปัญหาผมบางหัวล้านหรือความต้องการปลูกผมกับแพทย์เฉพาะทางมีน้อยมาก เนื่องจากรู้สึกอายที่ตนเองต้องเข้ารับการรักษาหัวล้านจึงไม่อยากให้คนรอบข้างรับรู้ว่าตนเองหัวล้าน และหันไปซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถรักษาอาการผมร่วง ผมบางหรือหัวล้านให้หายได้ ซึ่งการทำเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่ออาการที่เกิดขึ้นและในบางครั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อาการผมบาง หัวล้านมีอาการที่หนักขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้นทางทีดีเมื่อต้องการรักษาอาการผมบาง ผมร่างหรือหัวล้านอย่างได้ผลควรไปพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้จะดีที่สุด แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีการรักษาอาการผมบาง หัวล้านนั้น เรามาทำความรู้จักกับเส้นผมและสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงจนเป็นที่มาของผมบางและหัวล้านได้

โครงสร้างของเส้นผมประกอบด้วย

1. รากผม ( hair root ) มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เส้นผมเพื่อใช้ในการสร้างเซลล์เส้นผมและช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม รากผม จะอยู่ในบริเวณของชั้นหนังแท้ มีรูปทรงเหมือนหลอดปากแคบ บนศีรษะของเราจะมีรากผมอยู่ประมาณ 50,000 กว่าราก ในแต่ละรากผมสามารถมีเส้นผมงอกออกมาได้สูงสุด 4 เส้น

2. เส้นผม คือส่วนที่ยื่นออกมาจากรากผม เป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต นั่นคือ เส้นผมเป็นส่วนของเซลล์ที่ตายแล้วนั่นเอง ในเส้นผมจะประกอบไปด้วยโปรตีนมากที่สุด ในหนึ่งเดือนเส้นผมจะสามารถงอกได้ประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร

เส้นผมเป็นส่วนที่สามารถหลุดร่วงออกจากร่างกายและงอกขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนเส้นที่หลุดร่วงไปได้ตลอด

วงจรชีวิตของเส้นผม ( Hair Growth Cycle )

สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน คือ 

1. ระยะเจริญเติบโต ( Anagen Phase ) เป็นระยะเริ่มต้นของเส้นผม โดยจะเริ่มจาก รากผม ทำการผลิตเส้นผมจนกระทั้งเส้นผมเจริญเติบโตยาวออกมาจากรูขุมขน ซึ่งเส้นผมร้อยละ 90 ที่อยู่บนหนังศีรษะของเราจะเป็นเส้นผมที่

อยู่ในระยะการเจริญเติบโต ระยะเจริญเติบโตของเส้นผมมีช่วงระยะประมาณ 2-10 ปี นั่นหมายถึงว่าเส้นผมจะคงอยู่บนศีรษะได้นานที่สุดเพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น หรืออาจจะน้อยกว่าก็ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงสมบูรณ์ของรากผมด้วย เพราะว่าถ้ารากผมอ่อนแอเส้นผมก็จะอายุน้อย

2. ระยะร่วง ( Catagen Phase ) เป็นระยะที่เส้นผมที่หมดอายุและหยุดการเจริญเติบโตแล้ว เริ่มมีการหลุดร่วงออกจากศีรษะ การหลุดร่วงเกิดจากการที่รากผมทำการแยกตัวออกมาจากเส้นผม ส่งผลให้เส้นผมได้รับสารอาหารน้อยลง จนในที่สุดรากผมหลุดออกจากเส้นผม เส้นผมจะหยุดการเจริญเติบโตทันที ซึ่งระยะร่วงของเส้นผมจะมีระยะเวลาประมาณ 14-21 วันรากผมจึงจะหลุดออกจากเส้นผมโดยสมบูรณ์ เส้นผมที่อยู่ในระยะนี้จะมีประมาณร้อยละ 1 ของจำนวนเส้นผมทั้งหมด โดยปกติแล้วเส้นผมจะร่วงประมาณ 50-60 เส้นต่อวันในผู้ชายและ 100-120 เส้นในผู้หญิงต่อวัน แต่ถ้ามีผมร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวันติดต่อกันหลายวันถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ มีภาวะเสี่ยงต่อการผมบางและหัวล้านได้

3. ระยะพัก ( Telogen Phase ) หรือระยะสุดท้ายของเส้นผม ที่ระยะนี้ที่รากผมหดสั้นลงจนหลุดออกมาจากเส้นผมและเส้นผมเส้นใหม่จะทำการงอกขึ้นมาจากรากผมแทนที่เส้นผมเดิม และเส้นผมใหม่ที่ขึ้นมานี้จะดันเส้นผมเก่าให้หลุดร่วงออกไป ซึ่งระยะพักจะมีระยะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน เส้นผมบนศีรษะประมาณร้อยละ 10-15 จะเป็นเส้นผมที่อยู่ในระยะพัก
จะพบว่าการร่วงของเส้นผมในปริมาณเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติของร่างกาย แต่ทว่าการร่วงของเส้นผมถ้ามากเกินไปก็จะส่งผลให้ผมที่มีอยู่บางลงและอาจจะหัวล้านได้ในอนาคต อาการหัวล้านจะเริ่มจากการที่เส้นผมหลุดร่วงมากกว่าปกติ เนื่องจากรากผมอ่อนแอ และรากผมที่อ่อนแอนี้แม้ว่าเส้นผมจะสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้แต่ลักษณะของเส้นผมที่ขึ้นมาใหม่ก็จะมีขนาดที่เล็กลงเรื่อย จนในที่สุดจะมีลักษณะเป็นเพียงเส้นขนบาง ๆ หรือไรผม ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ รากผมอ่อนแอจนมีอาการผมร่วงผิดปกติจนทำให้ศีรษะล้านมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ 

เส้นผมเป็นส่วนที่สามารถหลุดร่วงออกจากร่างกายและงอกขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนเส้นที่หลุดร่วงไปได้ตลอด

สาเหตุที่ทำให้รากผมอ่อนแอจนมีอาการผมร่วงผิดปกติ

1. พันธุกรรม
เป็นสาเหตุของศีรษะล้านมากที่สุดมากถึงร้อยละ 95 ของผู้ที่มีอาการหัวล้านทั้งหมด เพราะว่าการที่ รากผม จะแข็งแรงหรือไม่สมารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ดังนั้นหากต้องการทราบว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะหัวล้านหรือไม่ให้สังเกตจากบรรพบุรุษว่ามีใครหัวล้านหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าคุณมีความเสี่ยงในการที่จะมีศีรษะล้านได้ การที่หัวล้านจากกรรมพันธุ์เนื่องจากภายในร่างกายได้รับฮอร์โมน DHT ในปริมาณที่สูง ฮอร์โมน DHT เมื่อมีมากจะส่งผลให้รากผมอ่อนแอและมีขนาดที่เล็กลง ส่งผลให้เส้นผมมีอายุที่สั้นและเส้นผมที่งอกออกมาใหม่ก็มีขนาดเล็กลงหรือเป็นเพียงแค่ไรผมเท่านั้น

2. สาเหตุอื่นๆ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการหัวล้านได้ ซึ่งอาการหัวล้านที่พบได้บ่อยมักเป็นอาการของผมร่วงเป็นหย่อม ( Alopecia Areata ) อาการหัวล้านแบบนี้มีโอกาสที่พบได้เพียงร้อยละ 5 % เท่านั้น ซึ่งสาเหตุของอาการหัวล้านนี้มักเกิดจากต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ( Toxic goiter ) ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ( Hypothyroidism ) ภาวะหลังคลอดบุตรในผู้หญิง ความเครียด โรคเบาหวาน หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาเพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น

แนวทางในการรักษาอาการหัวล้านที่นิยมใช้ในการรักษา

1. การใช้ยาต้านฮอร์โมน DHT
ใช้เพื่อรักษาระดับของฮอร์โมน DHT ในร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งการใช้ยาชนิดนี้จะมีอาการข้างเคียงทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้ ตัวอย่างของยาที่ใช้ต้านฮอร์โมน DHT คือ Finasteride (ฟีนาสเตอไรด์) โดย Finasteride ( ฟีนาสเตอไรด์ ) จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5 -reductase typeII ในการเปลี่ยน Testosterone ให้กลายเป็นฮอร์โมน DHT เมื่อการทำงานของเอนไซม์ 5 -reductase typeII ลดลงปริมาณของฮอร์โมน DHT ที่เกิดขึ้นจะไม่มาเกินความจำเป็นจนส่งผลให้ผมร่วงหัวล้านได้ 

2. การใช้ยา Minoxidill
การใช้ยา Minoxidill ที่มีความเข้มข้น 5 % Minoxidil จะเข้าไปช่วยเพิ่มการงอกใหม่ของเส้นผมให้มีปริมาณมากขึ้นและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้มาหล่อเลี้ยงบริเวณ รากผม ทำให้เส้นผมมีความแข็งแรง จึงช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้มีการผลิตยาชนิดนี้มาทั้งรูปแบบยาทาและยากิน ซึ่งการใช้ยาต้องใช้อย่างต่อเนื่องจึงจะได้ผลและถ้าหยุดยาผมก็จะกลับมาบางและหัวล้านเช่นเดิม

3. การใช้แสงเลเซอร์พลังงานต่ำ ( Low Level Laser Light )
เป็นการรักษาอาการหัวล้านด้วยการใช้เลเซอร์ที่มีคลื่นแสงความถี่ต่ำประมาณ 650-680 nm ซึ่งแสงที่ความถี่ต่ำนี้สามารถมองเห็นเป็นแสงสีแดงด้วยตาเปล่า พลังงานที่ได้รับจากคลื่นความถี่ต่ำจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์รากผมและหลอดเลือดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรากผมให้มีการขยายตัวมากขึ้น เลือดหมุนเวียนได้มากขึ้น รากผมจึงได้รับสารอาหาร ออกซิเจนที่เพียงพอส่งผลให้รากผมสามารถผลิตเส้นผมขึ้นมาใหม่ได้มากขึ้นและเส้นผมที่เกิดขึ้นมีความแข็งแรง นอกจากนี้พลังงานที่ได้จากแสงเลเซอร์จะเข้าไปนำที่เป็นอันตรายต่อรากผมออก เช่น สาร DHT จึงช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี

ทั้ง 3 วิธีที่กล่าวมาข้างต้นเป็นวิธีที่ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ ทว่าในรายที่มีอาการหัวล้านจากกรรมพันธุ์แม้ว่าจะทำการรักษาอย่างไรผลที่ได้ก็เป็นเพียงแค่ระยะสั้นหรือในระยะที่ร่างกายได้รับยาเท่านั้น แต่ยังมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขและป้องกันอาการหัวล้านอย่างได้ผลมากกว่าทั้ง 3 วิธีข้างต้น นั่นคือ “การศัลยกรรมปลูกผม

การศัลยกรรมปลูกผม คือ การผ่าตัดบ้ายรากผมที่มีความแข็งแรงสมบูรณ์มาปลูกในบริเวณที่ไม่มีเส้นผมแล้ว ซึ่งการรากผมที่นิยมนำมาปลูกมักจะเป็นรากผมจากบริเวณท้ายทอย เนื่องจากรากผมบริเวณดังกล่าวจะมีความแข็งแรงสมบูรณ์และมีอายุมากกว่ารากผมบริเวณอื่นมาก จึงนำรากผมจากส่วนท้ายทอยมาปลูกทดแทนส่วนของรากผมที่อ่อนแอจนไม่มีเส้นผมงอกขึ้นมาแล้ว ซึ่งการรักษาอาการหัวล้านด้วยการ ศัลยกรรมปลูกผม นับว่าเป็นวิธีที่ดีและช่วยแก้ไขปัญหาอาการหัวล้านได้อย่างถาวร เนื่องจาก

1. ทนทานต่อฮอร์โมน DHT
รากผม ที่บริเวณท้ายทอยมีลักษณะพิเศษที่สามารถทนทานต่อฮอร์โมน DHT ได้มากกว่าปกติ ซึ่งจะสังเกตได้จากคนที่หัวล้านเนื่องจากความผิดปกติของฮอร์โมน DHT หรือจากกรรมพันธุ์ส่วนมากจะล้านที่บริเวณกลางศีรษะ แต่เส้นผมที่บริเวณท้ายทอยจะคงอยู่เหมือนเดิม จึงกล่าวได้ว่ารากผมที่บริเวณท้ายทอยเป็นรากผมที่มีความแข็งแรงทนทานมากที่สุด เมื่อนำไปปลูกทดแทนรากผมที่บริเวณกลางศีรษะ รากผมและเส้นผมที่เกิดขึ้นใหม่ย่อมมีความแข็งแรงทนทานเช่นเดียวกัน โอกาสที่รากผมจะอ่อนแอจนกลับมาหัวล้านมีความเป็นไปได้น้อยมากหรือแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ 

2. อายุยืน
รากผมที่แข็งแรงจะสามารถสร้างเส้นผมได้ประมาณ 20 รอบตลอดอายุของรากผม ซึ่งวงจรชีวิตของเส้นผม 1 รอบจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6-10 ปี เส้นผมจึงจะหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ นั่นหมายความว่าถ้ารากผมที่แข็งแรงจะมีอายุสูงสุดถึง 200 ปีทีเดียว ดังนั้นเมื่อนำรากผมที่บริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นรากผมที่มีความแข็งแรงมากที่สุดบนศีรษะมาปลูกผมแล้ว ย่อมหมายความว่ารากผมที่เกิดขึ้นใหม่จากการปลูกถ่ายจะมีอายุอยู่ต่อไปได้อีกเป็นร้อยปี และเส้นผมที่เกิดจากรากผมก็จะเกิดขึ้นได้ตลอดอายุขัยของรากผมเช่นเดียวกัน

รากผมที่นำมาปลูกถ่ายมีความแข็งแรงมาก แต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อาจจะส่งผลให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่นั้นอาจจะอ่อนแอลง

การปลูกผมด้วยวิธีการศัลยกรรมย้ายรากผมที่แข็งแรงไปปลูกยังบริเวณที่รากผมไม่แข็งแรง

มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

1. การผ่าตัดแบบแผลกรีดยาว ( Follicular Unit Transplantation หรือ FUT ) หรือ Strip Technique เป็นการผ่าตัดที่ต้องทำในห้องผ่าตัด ทำการกรีดแผลเหมือนการผ่าตัดทั่วไป ซึ่งการผ่าตัดเพื่อปลูกผมวิธีนี้มีข้อดี คือการกรีดแผลหนึ่งครั้งสามารถที่จะทำการย้ายรากผมได้เป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งรากผม นั่นคือถ้าต้องการทำการย้ายรากผมเป็นจำนวนมากแล้ว สามารถทำการผ่าตัดได้ในครั้งเดียวไม่ต้องทำหลายครั้ง และลักษณะของรากผมที่ได้จากการผ่าตัดนี้จะได้รับความกระทบกระเทือนน้อยมาก ทำให้เมื่อนำไปปลูกยังบริเวณใหม่แล้ว รากผมที่ย้ายมาจะมีคุณภาพและความแข็งแรงสูงมา ส่งผลให้มีอันตราการงอกของเส้นผมที่เกิดขึ้นจากรากผมที่นำมาปลูกใหม่นั้นมีค่าเกือบ 100 %

ถึงแม้ว่าการผ่าตัดแบบกรีดแผลยาวจะมีข้อดีหลายประการก็ตาม แต่การผ่าตัดแบบนี้ก็ยังมีข้อเสียที่ต้องพึงระวังเช่นกัน คือ การผ่าตัดจำเป็นต้องจะต้องเกิดแผลที่บริเวณที่ทำการผ่าตัด ซึ่งจะมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้นหลังจากที่ผ่าตัดเสร็จแล้ว และถ้าผู้ที่ผ่าตัดไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ อาจจะผ่าตัดโดนเส้นประสาทได้ ซึ่งจะส่งผลให้บริเวณดังกล่าวมีความรู้สึกชา

2. การผ่าตัดแบบแผลเจาะ ( Follicular Unit Extraction หรือ FUF ) เป็นการศัลยกรรมย้ายรากผมโดยที่ไม่ต้องมีการผ่าตัดเพื่อเปิดแผล แต่จะใช้หัวเจาะที่มีขนาดเล็กประมาณ 0.8-0.9 มิลลิเมตร ทำการเจาะลงไปยังบริเวณรอบๆ ของเส้นผมที่ต้องการทำการย้าย โดยการเจาะจะเจาะลุกลงไปถึงรากผมที่อยู่ด้านล่างและทำการดึงรากผมนั้นออกมา เพื่อนำไปรากผมไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการต่อไป ซึ่งการทำแบบนี้รอยแผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็กมาก เมื่อแผลหายโอกาสที่จะสังเกตเห็นนั้นมีน้อยมาก และยิ่งอยู่บนหนังศีรษะที่มีเส้นผมปกคลุมด้วยแล้วยิ่งไม่สามารถสังเกตเห็นรอยผลดังกล่าวได้เลย

แต่ทว่าการศัลยกรรมปลูกผม จะได้ผลที่สมบูรณ์สามารถแก้ไขปัญหาหัวล้านได้อย่างถาวรก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยของร่างกายด้วย เพราะว่าถึงแม้ รากผม ที่นำมาปลูกถ่ายจะมีความแข็งแรงมากแค่ไหน แต่ถ้าร่างกายของเราไม่แข็งแรงก็อาจจะส่งผลให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่นั้นอาจจะอ่อนแอลงได้เช่นเดียว

สาเหตุที่จะทำให้รากผมที่ทำการปลูกทดแทนอ่อนแอ

1. การดำเนินชีวิต
การดำเนินชีวิตของผู้เข้ารับการ ศัลยกรรมปลูกผม ถ้าในชีวิตประจำวันต้องเผชิญกับความเครียด ความกดดันที่สูง หรือพักผ่อนไม่เพียงพอจนเกิดอการเจ็บป่วยทำให้ร่างกายอ่อนแอแล้ว จะส่งผลให้ร่างกายมีการกระตุ้นวงจรชีวิตของเส้นผมให้เกิดเร็วขึ้น นั่นคือ ช่วงอายุของเส้นผมจะสั้นลงจากที่เส้นผมควรมีอายุ 6-10 ปีก็จะหลดลงเหลือเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ส่งผลให้อายุของรากผมที่ควรจะยาวนานถึง 120-200 ปีก็จะลดสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ปีด้วยเช่นกัน จึงทำให้ผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรมปลูกผมมีโอกาสที่จะกลับมาหัวล้านได้อีกเมื่อมีอายุมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่ทำศัลยกรรมปลูกผมมาแล้วควรที่จะดูแลร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ รู้จักผ่อนคลายความเครียดเป็นประจำ จึงจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะกลับมาหัวล้านอย่างได้ผล 

2. การปลูกผมที่ไม่ได้มาตรฐาน
การปลูกผมด้วยการผ่าตัดย้าย รากผม หรือการเจาะจัดเป็นการศัลยกรรมเสริมความงามชนิดหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การผ่าตัดปลูกผม จึงจะทำให้การปลูกผมที่เกิดขึ้นจะได้ผลดีที่สุด รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่จะมีความแข็งแรงสมบูรณ์มากที่สุด แต่ถ้าผู้ที่ทำการผ่าตัดปลูกผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในการผ่าตัดไม่เพียงพอแล้ว ย่อมทำให้รากผมที่ทำการปลูกขึ้นมาใหม่อาจจะไม่สมบูรณ์ 100% เนื่องจากรากผมมีความบอบช้ำในขั้นตอนการผ่าตัดหรือเลือกรากผมที่ไม่สมบูรณ์มาทำการปลูกถ่าย ทำให้เส้นผมที่

เกิดขึ้นใหม่มีน้อยหรือเส้นผมอ่อนแอหลุดร่วงได้ง่าย จึงทำให้มีโอกาสที่ผมจะบางและอาจจะกลับมาหัวล้านอีกก็เป็นได้ ดังนั้นการเลือกสถานที่และแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมปลูกผมควรเลือกแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลที่เชื่อถือได้ ในการผ่าตัดก็ควรทำในสถานที่ที่ได้มาตรฐานสะอาดถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและผลการผ่าตัดที่ดี

การผ่าตัด ศัลยกรรมปลูกผม ด้วยการนำรากผมที่แข็งแรงไปปลูกยังบริเวณที่รากผมไม่แข็งแรงนั้น นับเป็นวิธีการที่ช่วยแก้ไขปัญหาหัวล้าน ผมบางอย่างได้ผลอย่างถาวร จึงนับว่าการ ศัลยกรรมปลูกรากผม เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่มีปัญหาผมบางหรือหัวล้านได้เป็นอย่างดี แต่การทำศัลยกรรมปลูกผมก็ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานที่ที่ถูกสุขลักษณะด้วย เพื่อที่ผลของการรักษาผมบาง หัวล้านจะมีประสิทธิภาพเต็มร้อย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ส่วนประกอบของ เครื่องสำอาง ที่ควรทราบ

0
ส่วนประกอบของเครื่องสำอางต่างๆ ที่ควรทราบ
เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อทำความสะอาด หรือเสริมแต่งให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณะ
ส่วนประกอบของเครื่องสำอางต่างๆ ที่ควรทราบ
กลิตเตอร์ มีประกายมุกอนุภาคขนาดใหญ่ผสมอยู่ จึงมีความระยิบระยับมากเป็นพิเศษ ช่วยทำให้ตาหรือเล็บดูระยิบระยับแวววาวเหมือนเครื่องประดับโลหะ

เครื่องสำอาง

เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ด้วยการ ทา ถู นวด พ่น หรือโรย เพื่อ ทำความสะอาด หรือเสริมแต่งให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ โดยในสมัยแรกๆ นั้น ใช้เครื่อง สำอางเนื่องจากความจำเป็น เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ

เอทานอล ( Ethanol )
เอทานอลระเหยเป็นไอได้และช่วยกระชับผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงนิยมใช้ในโลชั่นหรือยาสมานผิวแฮร์โทนิคและน้ำหอมซึ่งมีเอทานอลผสมอยู่ในปริมาณมาก นอกจากจะช่วยกระชับผิวแล้ว ยังช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดการติดเชื้อได้อีกด้วย

พาราเบน ( Paraben )
เป็นสารที่มีคุณสมบัติที่ช่วยอุดการก่อตัวของเชื้อโรคและเชื้อราได้ดี เป็นส่วนประกอบของสารกันบูดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่นผลิตภัณฑ์อาหารและยา แต่ถือว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัยอันควร เป็นต้นเหตุของกระและริ้วรอย และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นสารต้องห้ามใน เครื่องสำอาง ในไม่ช้านี้

อัลลันโทอิน ( Allantoin )
อัลลันโทอิน เป็นสารสกัดจากใบและรากของต้นคอมเฟรย์ที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศยุโรปและเอเชีย ช่วยให้ผิวคงสภาพปกติและเร่งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อให้แข็งแรง

ว่านหางจระเข้ ( Aloe )
วุ้นว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยกรดแอมิโน วิตามิน เอนไซม์และแร่ธาตุหลากหลายชนิด น้ำที่สกัดจากว่านหางจระเข้มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังรักษาความสมดุลของค่า pH ของผิวได้อย่างยอดเยี่ยม

คาโมมายล์ ( Camomile )
คาโมมายล์ช่วยคงสภาพผิวให้เป็นปกติได้เป็นอย่างดีและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ในน้ำมันคาโมมายด์นั้นมีบิซาโบลอลและคามาซูลีนเป็นส่วนประกอบหลัก

เชียบัตเตอร์ ( Shea Butter )
เป็นสารสกัดจากต้นคาริเทจากแอฟริกา เป็นน้ำมันที่ผลิตโดยกระบวนการสกัดเย็น (การสกัดโดยไม่ใช้ความร้อน) ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ซึมซาบสู่ผิวได้ดีและบำรุงผิวได้อย่างยอดเยี่ยม

กลีเซอรีน ( Glycerine )
กลีเซอรีนมีสารบำรุงและสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่มีประสิทธิภาพสูง เป็น เครื่องสำอาง ที่สกัดมาจากผักจึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และช่วยลดอาการระคายเคืองลงได้

สารสกัด BHA ( Beta Hydroxy Acid )
BHA ที่ใช้ใน เครื่องสำอาง ถือเป็นกรดซาลิไซลิกอย่างหนึ่ง ก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่า AHA และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ BHA ซึ่งเป็นสารที่ละลายในไขมัน จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นหนังกำพร้า แต่ก็ซึมเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้และทำปฏิกิริยากับเซลล์ที่ตายแล้วในร่องรูขุมขน

สารสกัด AHA ( Alpha Hydroxy Acid )
ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและทำให้ผิวดูสม่ำเสมอ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัด AHA 10%  ขึ้นไป แต่การใช้มากจนเกินไปอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้นในแต่ละวันจึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA เกิน 1 ชนิด และต้องควรให้ความสำคัญกับการเลือกครีมกันแดด

สารอนุพันธ์ของวิตามินเอหรือเรตินอยด์ ( Retinoid )
สารต้านอนุมูลอิสระที่รู้จักกันในชื่อเรตินอยด์นั้น เป็นสารอนุพันธ์ของวิตามินเอที่แข็งแรงที่สุด ช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ ช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย แต่ก็อาจส่งผลข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้งหรือระคายเคือง ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีแพนทีนอล ( หรือโปรวิตามินบี 5 ) หรือมีวิตามินอีที่ช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงเหล่านี้รวมอยู่หรือไม่ หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอยด์จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดด้วย

เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อทำความสะอาด หรือเสริมแต่งให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณะ

คำศัพท์บนฉลาก เครื่องสำอาง ที่ต้องรู้

SPF และ PA
ค่า SPF ใน เครื่องสำอาง หมายถึงระยะเวลาที่ช่วยป้องกันรังสี UVB
ค่า SPF 1 หมายถึงช่วยป้องได้ 15 นาที ดังนั้น SPF 35 หมายถึง ช่วยปกป้องผิวได้อย่างต่อเนื่องนาน 35 x 15 = 525 นาที หรือประมาณ 8 ชั่วโมง
PA คือค่าดัชนีการป้องกันผิวจากรังสี UVA ไม่ได้แสดงค่าเป็นตัวเลข แต่แสดงประสิทธิภาพการป้องกันเป็นค่า +

ดีท็อกซ์ ( Detox )
การกำจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายมนุษย์ สำหรับในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั้น หมายถึง หน้าที่ในการขับสารพิษที่สะสมในผิวหนังอันเนื่องมาจากมลพิษในสิ่งแวดล้อมหรือจากความเครียด

ลิฟติ้ง ( Lifting ) / เฟิร์มมิ่ง ( Firming )
ช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยบำรุงและทำให้ชั้นหนังแท้มีความยืดหยุ่น มักพบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้หญิงวัย 30 ขึ้น ไป

ลองลาสติ้ง ( Long-lasting )
ทำให้ เครื่องสำอาง ติดทนนาน

คอนเซนเตรท ( Concentrate )
สารที่มีความเข้มข้น อุดมไปด้วยสารบำรุงและมักจะมีเนื้อข้น

โอเทอร์มอล ( Eau Thermale )
น้ำแร่จากน้ำพุร้อน ส่วนใหญ่ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งผลิตในเขตยุโรปประเภทที่ใช้น้ำแร่เป็นตัวทำละลาย

พอร์ไทเทนนิ่ง ( Pore Tightening )
ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำความสะอาดและกระชับรูขุมขน 

ลิควิด ( Liquid ) / ฟลูอิด ( Fluid )
เนื้อ เครื่องสำอาง สภาพใกล้เคียงกับของเหลว

มอยส์เจอไรเซอร์ ( Moisturizer )
สารที่ให้ผิวชุ่มชื้น

ออยล์ฟรี ( Oil-free )
ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันผสมอยู่ในปริมาณที่น้อยมากซึ่งจำเป็นสำหรับผิวมันหรือผิวที่มีสิว

วอเตอร์พรู๊ฟ ( Waterproof )
มีคุณสมบัติกันน้ำ เครื่องสำอาง จะไม่เลอะเปรอะเปื้อนเมื่อสัมผัสกับน้ำ

เนื้อครีม เครื่องสำอาง

กลอส ( Gloss )
มีลักษณะเรียบลื่นและใสเหมือนทาแว็กซ์หรือทาเล็บ ตัวอย่างไอเทมประเภทนี้คือ ลิปกลอส

แมตต์ ( Matte )
หมายถึงสภาพเนื้อด้าน ไม่มีประกายหรือความมันวาวเลย เวลาทาลิปสติกเนื้อแมตต์ สีที่ปรากฏบนริมฝีปากจะไม่แตกต่างจากสีของลิปสติกในแท่ง

กลิตเตอร์ ( Glitter )
มีประกายมุกที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ผสมอยู่ จึงมีความระยิบระยับมากเป็นพิเศษ ช่วยทำให้ตาหรือเล็บดูระยิบระยับแวววาวเหมือนเครื่องประดับโลหะ

เชียร์ ( Sheer )
เนื้อ เครื่องสำอาง ชนิดนี้จะให้ความรู้สึกสว่างใสและไร้สี ให้ความแวววาวที่ทำให้ผิวดูเปล่งประกาย

ชิมเมอร์ ( Shimmer )
หมายถึง “ระยิบระยับอย่างละเอียดอ่อน” มีมุกผสมอยู่เล็กน้อย ให้ความระยิบระยับแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับแสงที่ส่องมายังใบหน้า ให้ความรู้สึกผิวมีสุขภาพดี

สปาร์คลิ่ง ( Spakling )
ค่อนข้างเป็นประกายระยิบระยับด้วยความแพรวพราวของประกายมุก ใช้แต่งได้หลายลุคตามขนาดอนุภาคของมุก

รวมคำศัพท์เทคนิคการแต่งหน้า

เฉดดิ้ง ( Shading )
เป็นการใช้เทคนิคของแสงและเงา คือการทำให้พื้นที่รอบนอกของใบหน้ามีสีเข้มกว่าสีผิว 1 โทน ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลง

กราเดชั่น ( Gradation )
การนำสีต่างกันมาใช้ร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ โดยทำให้มองไม่เห็นรอยต่อที่ชัดเจนระหว่าง 2 สีนั้น

เบลนดิ้ง ( Blending )
การเกลี่ยสีและเนื้อ เครื่องสำอาง ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน สามารถแต่งหน้าให้ดูสวยสง่าและแลดูมีระดับได้มากกว่าการใช้เพียงสีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.