หน้าไม่สวย ขาเรียวสวย ไว้ก่อน

0
หน้าไม่สวยแต่ขอขา เรียวสวย ไว้ก่อน
น่องโตเนื่องจากกล้ามเนื้อ ลักษณะของน่องเมื่อจับดูจะเป็นก้อนแข็ง เวลาเกร็งน่องก็จะเห็นเป็นลูกตามมัดกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน
หน้าไม่สวยแต่ขอขา เรียวสวย ไว้ก่อน
การนำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาใช้ช่วยลดขนาดของน่องที่ใหญ่ ซึ่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

ขาเรียว

สำหรับผู้ชายแล้วการมีกล้ามน่องเป็นมัดๆ ดูจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะแสดงออกถึงความแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่ถ้าหันกลับมาถามผู้หญิงรับรองได้ว่าร้อยทั้งร้อยตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอน่องเล็ก ขาเรียวสวย  การมีน่องโตเป็นลูกๆ นั้นนอกจากจะใส่ส้นสูงไม่สวยแล้ว การใส่เสื้อผ้าประเภทที่ต้องโชว์เรียวขาก็จะไม่สวยอีกด้วย ซึ่งนี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เลย

ขาสวย ขาเรียว เป็นความใฝ่ฝันของเด็กผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยสาว แต่หลายคนเคยเพื่อนโดนล้อว่ามีขาเป็นขาโต๊ะสนุ๊กเกอร์มาแล้ว แต่การสร้างน่องเรียวเล็กดังใจปรารถนาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ขาสวย ขาเรียวการลดน้ำหนักและบริหารร่างกายเฉพาะส่วนก็ไม่ได้ผลกับทุกคนแถมในบางคนยิ่งทำก็ยิ่งมีน่องใหญ่กว่าเดิมเสียอีก แล้วทำไมดารานักแสดงหลายต่อหลายคนจึงเนรมิตเรียวขาในฝันนั้นได้ คำตอบอยู่ที่นวัตกรรมทางการแพทย์ที่เหมาะสมนั่นเอง

แต่ก่อนที่จะไปถึงส่วนของวิธีการสร้างน่องใหม่ ทำให้ ขาเรียวสวย ตามใจต้องการนั้น มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าองค์ประกอบของน่องมีอะไรบ้าง อย่างแรกแน่นอนว่าเป็นส่วนของกล้ามเนื้อ แค่จับดูก็จะรู้ได้ทันทีว่ามัดกล้ามเนื้ออยู่ตรงจุดไหน เราจะมีมัดกล้ามเนื้อน่องอยู่ 2 มัดด้วยกัน คือมัดด้านนอกและมัดด้านใน คนที่เล่นกล้ามหรือออกกำลังกายประเภทที่ต้องใช้กำลังขาเป็นประจำ กล้ามเนื้อส่วนนี้จะแข็งแรงและอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ อย่างไรก็ตามกล้ามเนื้อน่องถือเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ตั้งใจทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ยากที่สุด อีกส่วนหนึ่งก็คือไขมัน ซึ่งก็จะเกาะอยู่รอบๆ กล้ามเนื้อ นั่นหมายความว่าต้นเหตุที่จะทำให้เรามีน่องอันใหญ่โตมโหฬารได้ก็ต้องมาจาก 2 ส่วนประกอบนี้นี่เอง

เช็คลักษณะน่องโตแบบต่างๆ

น่องโตเนื่องจากกล้ามเนื้อ : ส่วนใหญ่เกิดกับคนที่ชอบเล่นกีฬาบางประเภท และคนทำงานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อน่องอย่างหนักเป็นประจำ เช่น ต้องเดินหรือยืนตลอดทั้งวัน เป็นต้น ลักษณะของน่องแบบนี้จับดูจะเป็นก้อนแข็ง เวลาเกร็งน่องก็จะเห็นเป็นลูกตามมัดกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของความแข็งแรง แต่ถ้าเป็นเรื่องความสวยความงามก็อาจจะไม่ถูกใจใครหลายๆ คนเท่าไร น่องแบบนี้เมื่อไม่ได้ใช้งานนานๆ กล้ามเนื้อก็จะค่อยๆ หดเล็กลงได้เอง แต่ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากพอสมควร เพราะอย่างน้อยเราก็ต้องเดินทุกวัน และนั่นก็เป็นการใช้กล้ามเนื้อน่องอย่างหนึ่งแล้ว

น่องโตเนื่องจากไขมัน : แน่นอนว่าเกิดกับคนที่มีปัญหาเรื่องไขมันสะสมและน้ำหนักตัวที่เกินพอดีไป น่องจะใหญ่โตขึ้นตลอดทั้งแนวตั้งแต่ใต้หัวเข่าไปจนถึงข้อเท้า ไม่เห็นเป็นลูกๆ เหมือนกับแบบแรก แต่มีระยะรอบน่องที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน เพราะมีปริมาณไขมันไปเกาะอยู่โดยรอบกล้ามเนื้อน่องจำนวนมาก เมื่อจับดูก็จะเป็นเนื้อนิ่มๆ ไม่รู้สึกถึงกล้ามเนื้อมากนัก อันที่จริงหากว่าตามหลักการแล้ว น่องประเภทนี้สามารถลดขนาดลงได้ด้วยการออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในร่างกายลง เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะมี เรียวขา ที่เล็กลงได้เอง เพียงแต่ว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้นก็ต้องเหนื่อยหนักกันหน่อย

น่องโตเพราะบวมน้ำ : ลักษณะของน่องที่โตเนื่องจากการบวมน้ำจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายคลึงกับน่องโตเนื่องจากไขมัน แต่จะไม่ได้คงที่อยู่ตลอดเวลา อาจมีขึ้นมีลงได้ และถ้าสังเกตในรายละเอียดดีๆ ก็จะเห็นว่ามีความต่างกันอยู่เหมือนกัน สาเหตุหลักของอาการบวมน้ำที่ว่านี้เกิดจากน้ำเหลืองและระบบเลือดที่ไหลเวียนไม่ดี รวมไปถึงโภชนาการที่ไม่เหมาะสมด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่ทานเค็มเกินไปก็จะเกิดอาการบวมง่ายได้เช่นเดียวกัน วิธีแก้ก็ต้องเริ่มที่การหาต้นตอให้ได้เสียก่อนว่า เกิดจากพฤติกรรมของเราเองหรืออาการป่วยกันแน่ แล้วค่อยปรับแก้ไปตามแนวทางที่สมควร

จะเห็นว่าจริงๆ แล้วน่องโตก็มีที่มาที่ไปได้หลากหลาย บางอย่างปรับแก้ได้ง่ายๆ และบางอย่างอาจแก้ไขไม่ได้เลย ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องส่วนบุคคลด้วย และต่อไปนี้ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างน่องเรียวสวยที่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนรวดเร็ว เหมาะกับคนที่แก้ปัญหาน่องโตไม่ได้ หรือไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติอื่นๆ

การนำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาใช้ช่วยลดขนาดของน่องที่ใหญ่ ซึ่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

การศัลยกรรมน่อง

การใช้นวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาช่วยลดขนาดของน่องที่ใหญ่เกินไป มีอยู่หลากหลายวิธี ไล่ไปตั้งแต่การฉีดโบท็อกซ์ การผ่าตัด การสลายเส้นประสาท เป็นต้น ซึ่งในแต่ละวิธีจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครเหมาะกับการรักษาแบบไหน และพึงพอใจกับรูปแบบของขั้นตอนอย่างไรมากกกว่ากัน

การศัลยกรรมน่องด้วยการฉีดโบท็อกซ์

นี่อาจเป็นวิธีที่เรียบง่ายและได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถเข้ารับการรักษาที่ไหนก็ได้ รูปแบบของการรักษาเป็นการใช้ สารโบทูลินั่มท็อกซิน ( Botulinum Toxin ) ฉีดเข้าไปในส่วนของกล้ามเนื้อน่อง ซึ่งเจ้าสารโบทูลินั่มท็อกซินตัวนี้ เราเรียกสั้นๆ ในทางการค้าว่า โบท็อกซ์ มันคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่สามารถสกัดได้จากแบคทีเรียคลอสเตรเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) อันที่จริงมันเป็นสารที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในมนุษย์ด้วย แต่ก็มีจุดเด่นตรงที่ช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆ คลายตัวลงได้ ในทางการแพทย์จึงได้หยิบยกเอาคุณสมบัติข้อนี้มาใช้ประโยชน์ และหนึ่งในนั้นก็คือการศัลยกรรมน่องนี่เอง

การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดน่อง ถือเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น ไม่ได้มีผลลัพธ์แบบถาวรซะทีเดียว แต่สามารถเริ่มที่การฉีดโบท็อกซ์แล้วผสมผสานกับการดูแลตัวเองต่อในเชิงธรรมชาติ เพื่อให้น่องคงความเรียวเล็กไว้ตลอดได้ โดยปกติแล้วโบท็อกซ์จะคงอยู่ประมาณ 5-6 เดือน แล้วแต่คุณภาพและปริมาณของโบท็อกซ์ที่ใช้ ขั้นตอนการรักษาจะแบ่งการฉีดเป็น 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันราวๆ 3 เดือน หลังฉีดจะไม่เห็นผลแบบทันที เพราะโบท็อกซ์ต้องค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่กล้ามเนื้อแล้วออกฤทธิ์ จึงเริ่มเห็นผลเมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 1 อาทิตย์

ข้อดี : ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีการเตรียมตัวที่ยุ่งยาก

ข้อเสีย : ถ้าใครน่องใหญ่มาก จำเป็นต้องใช้โบท็อกซ์ปริมาณเยอะกว่าปกติ ก็จะมีผลข้างเคียงที่กล้ามเนื้อส่วนล่างที่ต่ำกว่ากล้ามเนื้อมัดน่องลงมาอีก อาจจะใส่ส้นสูงไม่ได้ เขย่งเท้าไม่ได้ แต่ก็เป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น อีกอย่างคือการฉีดโบท็อกซ์ต้องทำต่อเนื่องเป็นระยะ ราคาค่าใช้จ่ายจึงมีมาตลอด อาจทำให้หลายคนมองหาของที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งก็มีโอกาสที่จะเป็นของปลอมและให้ผลข้างเคียงที่รุนแรงหลายชนิด

การศัลยกรรมน่องด้วยการผ่าตัดกล้ามเนื้อ

วิธีนี้เป็นกระบวนการรักษาแบบแรกๆ ที่ถูกนำมาใช้ ให้ผลลัพธ์แบบถาวร และได้เรียวน่องที่มีขนาดเล็กลงในทันที แต่ในปัจจุบันก็ลดความนิยมลงมากแล้ว เพราะมีผลข้างเคียงหลายอย่างที่เป็นปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การผ่าตัดกล้ามเนื้อน่อง สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

ผ่าตัดส่วนของกล้ามเนื้อแกสาร็อกนีเมียส (gastrocnemius) : เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะจากส่วนปลายของกระดูกทั้งสองด้าน โดยที่ส่วนปลายสุดของกล้ามเนื้อจะมีการเปลี่ยนรูปเป็นเอ็นเพื่อการยึดเกาะ นี่เป็นกล้ามเนื้อหลักที่ทำให้น่องโตขึ้น จึงรักษาด้วยการตัดกล้ามเนื้อบางส่วนออกไป ใช้การเปิดปากแผลยาวไม่เกิน 8 เซนติเมตร

ผ่าตัดส่วนของกล้ามเนื้อรวม : เป็นการจัดเรียงมัดกล้ามเนื้อในน่องใหม่ พร้อมกับเหลาให้กล้ามเนื้อบางส่วนมีความบางลง เพื่อให้ได้ ขาสวย ขาเรียว ตามที่ต้องการ

ข้อดี : เห็นผลทันทีหลังการศัลยกรรม และเป็นผลลัพธ์ที่จะคงอยู่ถาวร

ข้อเสีย : มีภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย เพราะมวลกล้ามเนื้อถูกทำลายเยอะที่สุด มีโอกาสติดเชื้อและอาจกำหนดไม่ได้เลยว่าน่องจะลดไปมากน้อยแค่ไหน อย่างไร ถ้าดูแลโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญมากพอ น่องใหม่ที่ได้ก็อาจมีขนาดไม่สมดุล นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องการเตรียมตัวและการพักฟื้นที่ยาวนาน

การศัลยกรรมน่องด้วยการทำลายเส้นประสาท

เราได้เรียนรู้ว่าอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ ไม่ได้เป็นผลมาจากส่วนของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่มีผลพ่วงมาจากระบบของเส้นประสาทต่างๆ ด้วย การศัลยกรรมน่องด้วยการทำลายเส้นประสาท จึงเป็นรูปแบบการรักษาที่พัฒนาขึ้นมาหลากหลายเทคนิค เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากลดน่องแบบถาวรแต่ก็กลัวการผ่าตัดกล้ามเนื้อ

การตัดเส้นประสาทออก : นี่เป็นการผ่าตัดขนาดเล็กที่จะทำให้เกิดแผลยาวเพียง 2 เซนติเมตรบริเวณน่อง จากนั้นก็แหวกมัดกล้ามเนื้อเพื่อหาเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมมัดกล้ามเนื้อนั้น เมื่อตัดเส้นประสาทออกแล้ว กล้ามเนื้อที่ถูกควบคุมจะอ่อนแรงลงโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อค่อยๆ ลดขนาดลงเรื่อยๆ มีข้อดีตรงที่มีความแม่นยำในการรักษาสูงมาก แต่ก็มีข้อเสียตรงที่อาจทำให้ระบบการทำงานของช่วงขาผิดปกติไปจากเดิมได้

External EMG (External Electromyography) : เป็นการหาเส้นประสาทที่ต้องการทำลายจากภายนอก หมายความว่าไม่มีการผ่าตัดเปิดปากแผลแต่อย่างใด ขั้นตอนการรักษาจะเริ่มที่ใช้เครื่องตรวจจับเส้นประสาทจากผิวด้านนอก เมื่อเจอแล้วก็ใช้แอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงฉีดเข้าไปที่เส้นประสาทนั้น แน่นอนว่าเส้นประสาทก็จะถูกทำลายในทันที ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเช่นเดียวกับการตัดเส้นประสาทออก มีข้อดีตรงที่การทำครั้งแรกๆ นั้นสะดวก ไม่เจ็บตัวมากและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน แต่ข้อเสียอยู่ที่ทีมแพทย์ไม่ได้เห็นระดับความลึกของเส้นประสาทจริงๆ จึงอาจทำให้การทำลายเส้นประสาทไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อน่องยังคงทำงาน ต้องแก้ไขด้วยการทำซ้ำอีก และเมื่อมีการทำซ้ำหลายครั้งก็จะเกิดความเจ็บปวดและมีอาการแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้

Internal EMG (Internal Electromyography) : เป็นอีกรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมา โดยผสมผสานการใช้คุณสมบัติของคลื่นวิทยุความถี่สูงกับเครื่อง EMG โดยเริ่มด้วยการค้นหาตำแหน่งของเส้นประสาทเหมือนกับ External EMG ปกติ แต่เมื่อเจอแล้วจะใช้การส่งคลื่นวิทยุเข้าไปทำลายเส้นประสาทแทนที่จะฉีดสารอะไรเข้าไป ใช้เวลาทำไม่นานนัก และหลังทำก็เห็นผลทันที ไม่มีรอยแผล ข้อดีคือสะดวกรวดเร็ว ภาวะแทรกซ้อนน้อย และคงผลลัพธ์ไว้ได้นานกว่า 20 เดือน สามารถกลับมาทำซ้ำได้อีกด้วย แต่ข้อเสียคือราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และหลังการทำไปสักระยะ น่องมีโอกาสกลับมาใหญ่ได้อีกเล็กน้อย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการศัลยกรรมลดขนาดของน่องเท่านั้น ใครจะเหมาะกับการรักษาแบบไหน ก็ต้องพิจารณาจากผลลัพธ์ที่ต้องการ เปอร์เซ็นต์ของกล้ามเนื้อที่โตขึ้น ต้นเหตุของน่องที่ขยายใหญ่กว่าปกติ ตลอดจนความสะดวกในการเตรียมตัวและความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายด้วย สุดท้ายนี้ การมีน่องเรียวสวยนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การมีช่วงขาที่แข็งแรงนั้นดีมากกว่า หากหารูปแบบและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้ ก็อย่าเลือกทางที่มีความเสี่ยงในทุกกรณี สู้มีขาใหญ่แต่แข็งแรง ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพซะยังจะดีกว่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

สาเหตุและวิธีแก้ขาหนีบดำ

0
สาเหตุและวิธีแก้ขาหนีบดำ
ขาหนีบมีรอยดำเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไม่ระวัง เช่นการออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ
สาเหตุและวิธีแก้ขาหนีบดำ
ขาหนีบมีรอยดำเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไม่ระวัง เช่นการออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ

ขาหนีบดำ

เรือนร่างที่ปราศจากริ้วรอยด่างดำต่างเป็นที่ปรารถนาของทุกคน โดยเฉพาะหญิงสาวที่ชื่นชอบการแต่แต่งกายที่ต้องโชว์เนื้อหนังบ้าง ซึ่งปัญหารอยด่างดำที่สร้างความหนักใจและความกังวลใจมักจะหนี้ไม่พ้น รอยดำที่บริเวณขาหนีบ ถึงแม้ว่าบริเวณขาหนีบจะเป็นจุดลับที่มักจะไม่เปิดเผยให้ใครได้เห็นมากนัก แต่การที่ขาหนีบมีรอยด่างดำก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งการที่ ขาหนีบดำ เกิดขึ้นเนื่องจาก

สาเหตุของขาหนีบดำ

1.การเสียดสี

บริเวณขาหนีบเป็นบริเวณที่ผิวหนังมีการเสียดสีกันอยู่เกือบตลอดเวลา โดยเมื่อผิวหนังบริเวณขาหนีบมีการเสียดสีบ่อยมากขึ้น ช่วงแรกผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวจะมีการอักเสบแดง เมื่อเกิดการอักเสบแล้วร่างกายจึงต้องทำการสร้างผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวให้มีความหนามากขึ้น เพื่อลดการระคายเคืองที่เกิดขึ้นจากการเสียดสี ผิวหนังมีความหนาเพิ่มขึ้นจะมีการรวมตัวของเม็ดสีที่บริเวณขาหนีบมากขึ้น จึงทำให้ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบมีสีที่เข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีดำในที่สุด ซึ่งการเสียดสีของผิวหนังบริเวณขาหนีบที่ส่งผลให้เกิดเป็นสีดำเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัย คือ

1.1การเสียดสีของผิวหนังกับผิวหนัง ในผู้ที่มีน้ำหนักมากเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การเดิน การวิ่ง การลุก หรือการขยับตัวแล้ว ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบจะเกิดการเสียดสีมากขึ้นเนื่องจากความแนบชิดของเนื้อที่เพิ่มขึ้นตามน้ำหนักตัว

1.2การเสียดสีของผิวหนังกับเสื้อผ้า ในผู้ที่ชื่นชอบการใส่กางเกงที่รัดแน่นแนบชิดกับเนื้อหรือกางเกงในหรือกางเกงขาสั้นมาก ๆ ที่มีขอบหนาตามแฟชั่นนิยมในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกงที่ใส่มีเนื้อผ้าที่หยาบ เช่น กางเกงยีนส์ การเกงผ้าเนื้อหนา จะส่งผลให้เนื้อผ้าทำการเสียดสีกับผิวหนังที่บริเวณขาหนีบ จนส่งผลให้ขาหนีบเกิดการอักเสบและเป็นรอยดำเกิดขึ้นได้

2.โรคเชื้อราที่ขาหนีบ

โรคเชื้อราที่เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบมักจะเกิดจากการติดเชื้อที่อยู่ในกลุ่ม Dermatophyte เช่น โรคสังคัง ( Tinea Cruris ) ซึ่งการติดเชื้อราจะเกิดขึ้นในบริเวณที่บริเวณขาหนีบที่มีความอับชื้น เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วผิวหนังจะเกิดอาการอักเสบ มีผื่นแดง และมีอาการคันร่วมด้วย หลายคนจึงมักจะทำการเกาที่บริเวณขาหนีบส่งผลให้ผิวหนังเกิดการอักเสบมากขึ้น เมื่อรักษาจนหายผิวหนังที่บริเวณขาหนีบจึงมีรอยดำเกิดขึ้นตามมา

3.โรคผิวหนังช้าง ( Acanthosis Nigricans )

โรคผิวหนังช้าง คือ โรคที่ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำหรือดำ มีความหนามากกว่าผิวหนังบริเวณอื่น ซึ่งผิวหนังที่เป็นโรคผิวหนังช่างจะมีลักษณะที่หยาบคล้ายกับผิวหนังของช้าง ซึ่งจะเกิดในผู้ที่มีปริมาณอินซูลินในร่างกายสูงผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด ยากระตุ้นการผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ยารักษาโรคไทรอยด์ เป็นต้น เมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินสูงส่งผลให้ร่างกายมีการผลิตเม็ดสีผิวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่เกิดการเสียดสีมาก เช่น ต้นคอที่มีรอยพับ ขาหนีบ เป็นต้น

4.การตั้งครรภ์

ขาหนีบดำเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่การตั้งครรภ์ เนื่องจากในขณะที่มีการตั้งครรภ์ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างเฉียบพลัน ทำให้ร่างกายมีการผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังมีสีเข้มขึ้นทั่วร่างกายโดยเฉพาะส่วนที่มีการเสียดสีมาก เช่น ใต้รักแร้ ขาหนีบ ต้นคอ เป็นต้น ซึ่งในบางรายความเข้มของผิวหนังจะยังคงอยู่แม้ว่าจะคลอดบุตรแล้วก็ตามแต่ในบางรายเมื่อคลอดบุตรผิวหนังก็จะกลับมาเป็นสีปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ได้เช่นกัน
จะพบว่าปัจจัยที่ทำให้ขาหนีบมีรอยดำเกิดขึ้นเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวัน และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายถ้าไม่ระมัดระวัง แต่ถึงแม้ว่าสาเหตุของอาการขาหนีบดำจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายในเป็นประจำก็ตาม

วิธีการป้องกันไม่ให้ขาหนีบเกิดเป็นรอยดำ

1.การลดการเสียดสี

อาการขาหนีบดำส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นส่วนมากจะเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังบริเวณขาหนีบ ซึ่งมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีเนื้อที่บริเวณต้นขาหรือคนที่มีรูปร่างอ้วน ดังนั้นการลดการเสียดสีที่เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยลดอาการรอยดำที่บริเวณขาหนีบได้ โดยการลดการเสียดสีสามารถทำได้ดังนี้

1.1 การทาครีม การทาครีมหล่อลื่น เช่น น้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ปิโตรเลียมเจล โลชั่น ครีมบำรุงผิว เพื่อเข้ามาเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบและลดการเสียดสีที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ป้องกันการเกิดรอยดำหรือลดรอยดำที่เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบให้ค่อย ๆ จางลง

1.2 การทาแป้ง นอกจากการทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแล้ว การทาแป้งเพื่อป้องกันความอับชื้นที่บริเวณขาหนีบสามารถช่วยลดการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในบริเวณขาหนีบได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้จะทำให้บริเวณขาหนีบมีการอักเสบจนเป็นที่มาของรอยดำที่บริเวณขาหนีบ

1.3 สวมใส่กางเกงที่ระบายอากาศได้ดี กางเกงที่สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงชั้นนอกหรือกางเกงชั้นใน ควรเลือกกางเกงที่ตัดเย็บจากผ้าที่ไม่ระคายเคืองผิว สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี และควรสวมกางเกงที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพราะกางเกงที่รัดแน่นจะทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับเนื้อผ้าทำให้เกิดการอักเสบได้ ส่วนเวลานอนไม่ควรที่จะสวมกางเกงในที่รัดแน่นหรือบิกินี้ที่เป็นเส้นหนา ๆ เพื่อช่วยลดการรัดตึงซึ่งจะทำให้เกิดการเสียดสีที่บริเวณขาหนีบให้น้อยลง

1.4 ควบคุมน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวสูงหรือผู้ที่มีเนื้อมากในบริเวณขาหนีบจะทำให้เนื้อที่บริเวณขาหนีบมีโอกาสเกิดการเสียดสีจนทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงในการเสียดสีของเนื้อที่บริเวณขาหนีบให้น้อยลง ควรทำการลดน้ำหนักและออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อที่บริเวณขาหนีบให้มีความกระชับ และมีความแข็งแรง เพื่อลดการเสียดสีที่จะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ ป้องกันการเกิดรอยดำที่ส่วนของขาหนีบอย่างได้ผล เพราะรอยดำที่ขาหนีบรอยละ 80 เกิดจากการเสียดสีของเนื้อส่วนเกินนั่นเอง

2. ควบคุมระดับฮอร์โมน

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะมีระดับฮอร์โมนอินซูลินสูงมากกว่าคนปกติทั่วไป จึงส่งผลให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบมีรอยดำเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างถูกต้อง เพราะนอกจากจะสามารถช่วยควบคุมอาการของโรคเบาหวานได้แล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดลดรอยดำที่เกิดขึ้นในบริเวณขาหนีบได้อีกด้วย

3.การขัดผิว

การขัดผิวเป็นการเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ตายและเกาะติดอยู่ที่บริเวณผิวหนังส่วนของขาหนีบให้หลุดออกไป โดยเฉพาะเซลล์ผิวที่มีความหนาและมีสีเข้ม ซึ่งการขัดผิวสามารถขัดผิวด้วยครีมขัดผิว (Scrub) หรือใช้สมุนไพรธรรมชาติ เช่น ผงขมิ้น น้ำมะนาว มะขามเปียก เป็นต้น ซึ่งการขัดผิวควรขัดอาทิตย์ละประมาณ 2-3 ครั้งเท่านั้น ไม่ควรขัดทุกวันเพราะการขัดทุกวัน นอกจากจะไม่ช่วยให้ขาหนีบขาขึ้นแล้ว อาจจะทำให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบเกิดการอักเสบจนเกิดรอยดำก็เป็นได้

4.รักษาอาการอักเสบ

หลายคนเมื่อมีอาการคันที่บริเวณขาหนีบ มักจะปล่อยไม่สนใจที่จะทำการรักษา ด้วยคิดว่าไม่เป็นอันตรายร้ายแรง ถึงแม้ว่าอาการอักเสบที่บริเวณขาหนีบจะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็จะทำให้เกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการคัน ผื่นแดงหรืออาการอักเสบเกิดขึ้นที่บริเวณขาหนีบ ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ป้องกันการเกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบเนื่องจากการอักเสบที่เกิดขึ้นนั่นเอง
การป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ขาหนีบแลดูสวยงาม แต่ทว่าบางคนนั้นไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ จะส่งผลให้ขาหนีบเกิดรอยดำ มารู้ตัวอีกทีที่บริเวณขาหนีบก็มีสีดำคล้ำไม่สวยงามเกิดขึ้นแล้ว การจะป้องกันไม่ให้ขาหนีบมีรอยดำเพิ่มมากขึ้นจะต้องทำควบคู่กับการขจัดรอยดำที่มีอยู่ออกไป ดังนั้นแนวทางที่จะช่วยทำให้รอยดำที่บริเวณขาหนีบหายไปจึงมีความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ

ขาหนีบมีรอยดำเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไม่ระวัง เช่นการออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ

วิธีรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบสามารถรักษาและทำให้ผิวหนังกลับมาขาวเนียนดังเดิมได้ ดังนี้

1.การทาครีมลดรอยดำ

ครีมที่มีส่วนผสมของสารไวเทนนิ่ง ( Whitening ) เช่น วิตามินหรือกรดแอสคอร์บิค แอซิด ( Ascorbic Acid ), กรดผลไม้ หรือสารกลุ่ม AHA ( Alpha Hydroxy Acids ) เป็นต้น ซึ่งสารไวเทนนิ่งจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิแนส ( Tyrosinase ) ที่มีหน้าที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิว ดังนั้นเมื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิแนสได้แล้ว อัตราการสร้างเม็ดสีผิวจึงลดลงผิวหนังจึงมีสีที่ขาวขึ้น ดังนั้นการทาครีมลดรอยดำจึงสามารถช่วยลดรอยดำที่บริเวณขาหนีบได้ การทาครีมลดรอยดำอาจจะต้องใช้เวลานานกว่ารอยดำที่เกิดขึ้นจะหาย

2.การรักษาด้วยเลเซอร์ ( Laser )

แสงเลเซอร์ ( LASER หรือ Light Amplification By Stimulated Emission of Radiation ) คือ การใช้แสงที่มีคลื่นความถี่และความยาวแสงเท่ากันมารวมตัวกันเพื่อให้ได้คลื่นแสงที่มีความเข้มสูง การรักษาด้วยแสงเลเซอร์จะทำการฉายไปยังบริเวณขาหนีบที่มีรอยดำจะเข้าไปยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีของร่างกายที่บริเวณดังกล่าว ทำให้ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบมีการสร้างเซลล์เม็ดน้อยลง ผิวหนังจึงมีสีขาวขึ้นนั่นเอง

3.การรักษาด้วย IPL ( Intense Pulse Light )

IPL คือ การรักษาที่ใช้แสงที่มีความยาวคลื่นกว้างกว่าแสงเลเซอร์ ซึ่งความยาวคลื่นของ IPL มีความยาวคลื่นอยู่ใน 420 นาโนเมตร ( nm ) ถึงความยาวคลื่น 1,200 นาโนเมตร ( nm ) ซึ่งกลไกการทำงานจะมีลักษณะเดียวกับแสงเลเซอร์ นั่นคือ คลื่นแสง IPL จะเข้าไปยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิวของร่างกายที่บริเวณขาหนีบ ทำให้การผลิตเม็ดสีผิวน้อยลง สีผิวที่บริเวณขาหนีบจึงค่อย ๆ จางลงและขาวขึ้น และคลื่นแสง IPL ยังสามารถช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีหรือเชื้อราให้ลดลงได้อีกด้วย

4.การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซิส ( Iontophoresis )

วิธีนี้เป็นการรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าต่ำควบคู่กับการใช้วิตามิน โดยจะใช้วิธีการไอออนโตฟอรีซิส ( Iontophoresis ) จะใช้กระแสไฟฟ้าทำการกระตุ้นให้รูขุมขนที่บริเวณผิวหนัง ( Skin pore ) ที่บริเวณขาหนีบมีการขยายตัวขึ้น และเมื่อมีการใช้วิตามิน เช่น วิตามินอี วิตามินซี ร่วมด้วย กระแสไฟฟ้าจะกระตุ้นให้วิตามินสามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกมากขึ้น จึงสามารถเข้าไปยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีอย่างได้ผล ทำให้ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบมีผิวขาวกระจ่างใสขึ้น

การรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบสามารถทำให้รอยดำหายไป ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบกลับมาเป็นขาวเนียนตามธรรมชาติได้อย่างแน่นอน แต่จะต้องทำการรักษาเพียงครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับความหนาและความเข้มของรอยดำที่บริเวณขาหนีบด้วย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยหรือขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้เข้ารับการรักษาด้วย

แต่ถึงแม้ว่าการรักษาจะสามารถทำให้รอยดำที่บริเวณขาหนีบหายไปได้ก็ตาม แต่ถ้าผู้รักษายังมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดรอยดำ เช่น ขาหนีบมีความอับชื้นตลอดเวลา ผิวหนังบริเวณขาหนีบมีการเสียดสี ใส่กางเกงที่รัดตึง ใส่กางเกงเนื้อหยาบแล้ว รอยดำที่หายไปก็จะสามารถเกิดขึ้นได้อีก ดังนั้นเมื่อรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบหายแล้ว ควรทาครีมลดรอยดำและปฏิบัติตามวิธีการป้องกันการเกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบร่วมด้วย ก็จะทำให้ขาหนีบขาวเนียนสวยใสตลอดไป ขาหนีบดำป้องกันและรักษาได้ไม่ยากเพียงคุณใส่ใจสักนิด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“American Running Association”. Archived from the original on March 19, 2006. Retrieved 2008-08-23.

Kenneth S. Saladin (2010). Anatomy & Physiology: The Unity of Form and Function (5th ed.). McGraw Hill. OCLC 743254985.

โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไรกัน?

0
โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไรกัน?
โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์เป็นโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย และนำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงาม
โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไรกัน?
โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์เป็นโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย และนำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงาม

โบท็อกซ์ ( Botox )

โบท็อกซ์ ( Botox ) เป็นการศัลยกรรมเสริมความงามอีกอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ทั้งการเสริมจมูก เสริมเต้านมและปรับโครงสร้างของใบหน้าตามความต้องการ และเชื่อว่าเมื่อกล่าวถึงการศัลยกรรมเสริมความงามทุกคนจะต้องคุ้นเคยกับคำว่า โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) หรือที่เรียกสั้นว่า โบท็อกซ์ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสารตัวนี้กัน 

สารโบทูลินั่มมี 7 ชนิดคือโบทูลินั่มชนิด เอ – จี   ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดีต่างกัน และโบทูลินั่มที่ใช้ในทางการแพทย์มี 2 ชนิดคือ โบทูลินั่มชนิดเอ  ที่ใช้ในทางความงาม และ โบทูลินั่มชนิดบี ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

โบท็อก ( Botox ) คืออะไร

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) คือโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม ( Clostridium botulinum ) ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะสร้างสารที่เป็นพิษที่เรียกว่า โบทูลิซึม ( Botulism ) ที่มีพิษต่อร่างกายมนุษย์ โดยจะมีอาการหน้ามืด ปากแห้ง คลื่นไส้ วิงเวียน และอาจอันตรายถึงชีวิตถ้าได้รับในปริมาณที่สูง เนื่องจากภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงและหายใจไม่ออก แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาโปรตีนชนิดนี้ให้กลายมาเป็นยารักษาโรค ซึ่งคำว่า “ Botulus ” แปลว่า “ ไส้กรอก ” เพราะว่าการระบาดของสารพิษชนิดนี้พบว่ามาจากไส้กรอกเป็นครั้งแรก โดยสารพิษจะเข้าไปออกฤทธิ์กับส่วนของเส้นประสาทส่วนปลาย ด้วยการทำการยับยั้งไม่ให้เส้นประสาทส่วนปลายทำการหลั่งสารสื่อประสาท ทำให้เส้นประสาทไม่สามารถทำการสั่งงานไปยังเส้นใยประสาทได้ ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์กับเส้นประสาทกล้ามเนื้อชนิด Acetycholine และต่อมเหงื่อ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีการหลั่งเหงื่อออกมาได้ลดลง และได้พัฒนากลไกการออกฤทธิ์เข้ามาช่วยในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งที่เกิดขึ้นใน ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบสมอง ระบบกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดการชักกระตุก ภาวะกล้ามเนื้อลูกตาหดตัวหรือภาวะตาเข และนายแพทย์ Dr.Alastair Carruthers ชาวแวนคูเวอร์ ในประเทศแคนนาดาได้สังเกตเห็นว่าเมื่อทำการฉีดยาโบทูลินั่ม ท็อกซินเข้าไปเพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อรอบตาที่เกิดอาการหดเกร็ง แล้วริ้วรอยที่มีอยู่ระหว่างคิ้วจางลง จึงได้มีการทดลองนำยาชนิดนี้มาฉีดเข้าสู่บริเวณที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่มีอยู่บนใบหน้า พบว่าริ้วรอยที่มีเกิดขึ้นบางส่วนหายไปและบางส่วนจางลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ส่งผลให้ผิวหน้าแลอ่อนเยาว์ และได้นำยาชนิดนี้เข้ามาใช้ในการริ้วรอยเหี่ยวย่นที่บริเวณคิ้ว หน้าผาก บริเวณหางตา ต่อมาได้นำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงามจนเป็นอันดับหนึ่งที่มีคนนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน

   [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การใช้โบท็อกซ์เพื่อเสริมความงาม

สารโบทูลินั่มท็อกซินมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท อะซีตินโคลีน ( acetylcholine ) ที่สั่งให้กล้ามเนื้อยึดและหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว เมื่อนำสารโบทูลินั่มท็อกซินมาสกัดให้บริสุทธิ์ สามารถใช้รักษาในทางการแพทย์และในวงการความงาม 

1. การใช้โบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยย่นบนใบหน้า

โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) สามารถช่วยในการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยตีนกา ริ้วรอยใต้ตา รอยที่บริเวณหน้าผาก หรือการลดการหย่อนคล้อยของผิวหนังส่วนอื่น โดยเมื่อทำการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเข้าสู่บริเวณที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยหรือรอยเหี่ยวย่น โบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นหายไป  ดังนั้นเมื่อทำการฉีดยาในปริมาณและตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างเห็นได้ชัด จึงนับได้ว่าความเชี่ยวชาญและประสบการของแพทย์ที่ทำการฉีดสารเข้าสู่ร่างกายมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยลดเลือนริ้วรอยอย่างได้ผล แต่ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ริ้วรอยหายไปได้น้อยและอาจอาการแทรกซ้อน เช่น คิ้วตก คอห้อย มุมปากเบี้ยว เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งที่นิยมทำการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อทำการรักษาริ้วรอย ได้แก่ รอยตีนกา ร่องระหว่างคิ้ว รอยย่นที่บริเวณหน้าผาก ไม่ว่าจะเป็นรอยลึกหรือรอยตีนการฉีดสารชนิดนี้ก็สามารถลดริ้วรอยได้ หลังจากการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเพียงแค่ 1 สัปดาห์ริ้วรอยที่ต้องการลบเลือนก็จะหายไป ซึ่งความเรียบเนียนของผิวหน้าจะคงอยู่ประมาณ 3-6 เดือนหลังจากการฉีด ทั้งนี้จะการกลับคืนของริ้วรอยจะเร็วหรือช้า จะขึ้นอยู่กับการแสดงสีหน้า อารมณ์ด้วย ถ้ามีการแสดงอารมณ์และสีหน้ามาก ริ้วรอยก็จะกลับมาเร็ว แต่ถ้ามีการแสดงสีหน้าและอารมณ์ไม่มาก ริ้วรอยที่เกิดขึ้นก็จะกลับมาช้านั่นเอง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดเลือนริ้วรอยได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน

2. การใช้โบท็อกซ์เพื่อทำการปรับรูปทรงของใบหน้าหรือรูปทรงของอวัยวะบนร่างกาย
ซึ่งสามารถแบ่งการปรับรูปร่างและรูปทรงได้เป็น 2 แบบ คือ

2.1 การใช้โบท็อกปรับรูปทรงของใบหน้า
การทำงานของโบท็อก คือ การทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง กล้ามเนื้อกรามจึงหดกระชับลงเรื่อยๆกรามจึงมีขนาดเล็กลง นั่นคือ สามารถเปลี่ยนรูปทรงของใบหน้าที่มีลักษณะอวบอิ่ม กลมโต ให้กลายเป็นใบหน้ารูปทรงตัววี (V-shape) หรือทรงตัวยู (U-shape) การที่จะมีใบหน้ารูปทรงทั้งสองแบบได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะที่สำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน คือ ลักษณะของขากรรไกรและลักษณะของกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกราม ลักษณะของทั้ง 2 ส่วนจะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของใบหน้า

การฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีดที่คอนข้างสูง เพราะหากว่าทำการฉีดไม่ถูกตำแหน่งหรือตำแหน่งทั้งสองข้างไม่สมมาตรกัน หรือแม้แต่การให้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมทำให้กล้ามเนื้อหดตัวในปริมาณที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้ลักษณะของใบหน้าที่เกิดขึ้นมีการบิดเบี้ยว หรือถ้าทำการฉีดยาในปริมาณที่สูงและลึกมาเกินไปอาจจะส่งผลต่อการบดเคี้ยว และอาจส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตได้

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดกรามได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

2.2 การใช้โบท็อกปรับแต่งรูปคิ้ว
คนที่มีปัญหาเรื่องคิ้วตก หรือบางคนคิ้วอาจไม่ตกแต่อยากมีคิ้วโก่งสวยได้รูป ก็สามารถใช้ โบท็อกซ์ ( Botox ) ในการปรับแต่งรูปคิ้วได้ การฉีดโบท็อกเข้าไปลายกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ต้องการเพื่อปรับเปลี่ยนรูปให้คิ้วเป็นทรงต่างๆ เช่น คิ้วทรงตรง คิ้วทรงโค้ง และคิ้วแบบนางแบบ ซึ่งความนิยมรูปคิ้วแบบต่างๆขึ้นอยู่กับแฟชั่นในแต่ละปี

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

2.3 การใช้โบท็อกแก้ปัญหาหน้ามัน
โบท็อกซ์ ( Botox ) สามารถฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้าและยกผิวหน้าให้กระชับ ด้วยเทคโนโลยีเมโสโบท็อกซ์ เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน และกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้า ทำให้รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน และลดความมันบนใบหน้าลง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 3 เดือน

2.4 การใช้โบท็อกซ์เพื่อช่วยลดขนาดของแขน น่อง ขา
อวัยวะของร่างกายบางส่วนจะมีขนาดที่ใหญ่ไม่เป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะส่วนของน่องที่เมื่อมีขนาดใหญ่จะส่งผลให้ขาแลดูหนาและเตี้ยไม่สวยงาม ต่างจากน่องที่มีลักษณะเล็กเรียวจะทำให้รูปร่างดูสูงและเพรียวมากขึ้น ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์สามารถช่วยลดขนาดของน่องได้ โบท็อกซ์ ( Botox ) จะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดที่ลดลงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง ต่างจากการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของน่องที่อาจสร้างผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เมื่อทำการฉีดสารนี้เข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อของน่องที่มีลักษณะปูดหรือนูนออกมามากจนทำให้น่องมีลักษณะใหญ่ โบท็อกซ์จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว ทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวมีขนาดที่เล็กลง หลังจากทำการฉีดสารเข้าไปประมาณ 1-2 เดือน กล้ามเนื้อจะมีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ขนาดของน่องเล็กลงตามขนาดของกล้ามเนื้อที่ลดลง จากน่องใหญ่จึงกลายมาเป็นน่องเล็กเรียวตามต้องการ แต่ถ้าน่องโตเพราะไขมันหรือเซลลูไลต์สะสมต้องแก้ไขด้วยวิธีอื่น

ข้อจำกัดในการฉีดเพื่อลดขนาดของน่อง ขา

1.ฉีดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น ไม่สามารถทำการฉีดได้ตลอดทั้งขา เพราะโดยโบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว จึงส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย

2.ผลของโดย โบท็อกซ์ ( Botox ) จะไม่คงอยู่ตลอดชีวิต แต่ผลของยาจะสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น ขนาดของน่องจะกลับเข้าสู่ขนาดเดิมก่อนที่ทำการฉีดสารเข้าไป ดังนั้นการรักษาขนาดของน่องให้เรียวเล็กจำเป็นต้องทำการฉีดสารโดย โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) อย่างต่อเนื่อง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดแขน น่อง ขาได้นานประมาณ 6 – 12เดือน

โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์ เป็นโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรียที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงามในปัจจุบัน

2.5 การใช้โบท็อกซ์เพื่อช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัว
ปัญหาเหงื่ออกมากเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลายคน ภาวะเหงื่อที่ออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะอาการเหงื่อออกเฉพาะที่ ( Hyperhidrosis ) และกลิ่นตัว มีสาเหตุมาจาการทำงานที่มากผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกานมีการสร้างเหงื่อออกมามาก ซึ่ง โบท็อกซ์ ( Botox ) สามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวที่ร่างกายผลิตออกมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ใต้รักแร้ ฝ่ามือ เป็นต้น แม้จะทาโรลออนระงับกลิ่นกายหรือแป้งเพื่อลดปริมาณและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากเหงื่อ ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะสามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อให้มีปริมาณน้อยลงได้สาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ โดยจะเข้าไปยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทของเส้นใยประสาทที่ทำหน้าที่ในการสั่งงานให้ต่อมเหงื่อทำการหลั่งเหงื่อออกมา ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เพียงครั้งเดียวจะสามารถยังยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้ประมาณ 1 ปี ถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาอาการเหงื่อออกมากได้ แต่ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะทำให้เกิดอาการห้อเลือด มีรอยเข็ม และถ้าทำการฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ลึกเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการกล้ามเนื้อที่บริเวณฝามือหรือรักแร้มีอาการอ่อนแรงได้

ผลผัพธ์หลังการฉีด : เห็นผลการรักษาว่าเหงื่อลดลงในเวลา 1-2 สัปดาห์ และลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวได้นานราว 4 – 6 เดือน

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่และความสามารถของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) ที่ใช้ในการเสริมความงาม เพื่อช่วยสร้างรูปร่างที่สมส่วนให้กับร่างกายได้ ซึ่งความสามารถที่นอกเหนือจากนี้จะเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือบางครั้งอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเสริมความงามด้วยการใช้สารชนิดนี้ควรพิจาณาด้วยเหตุและผลอย่างหลงเชื่อคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว และควรพิจารณาเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายได้ แม้ว่าอาการดังกล่าวจะอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

จะเห็นว่าสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) ที่นอกจากจะสามารถช่วยรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็งได้แล้ว ยังสามารถช่วยสร้างความงามให้กับใบหน้าและเรือนร่างได้ ปัจจุบันพบว่าการนำสารชนิดนี้มาใช้ในการเสริมความงามเป็นที่นิยมกันมากเป็นอันดับต้น ๆ เพราะวิธีการใช้ที่ง่ายและสามารถสร้างความงามอย่างได้ผล

การศัลยกรรมสร้างความงามสามารถความมั่นใจให้กับตนเอง สามารถช่วยเปิดโอกาสทางด้านสังคมและการงานได้ แต่การศัลยกรรมที่ดีผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การฉีดสารเข้าสู่ร่างกาย ควรจะต้องทำการศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจทำการศัลยกรรม เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่หวังเพียงผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เข้ารับการผ่าตัด และควรที่จะเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียง แล้วการฉีด โบท็อกซ์ ( Botox ) จะสามารถสร้างชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างที่ใจต้องการ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“FDA Approves Botox to Treat Chronic Migraines”. WebMD. Retrieved 12 May 2017.
Small R (August 2014). “Botulinum toxin injection for facial wrinkles”. American Family Physician. 90 (3): 168–75. PMID 25077722.

Eisenach JH, Atkinson JL, Fealey RD (May 2005). “Hyperhidrosis: evolving therapies for a well-established phenomenon”. Mayo Clinic Proceedings. 80 (5): 657–66. doi:10.4065/80.5.657. PMID 15887434.

ผิวเรียบเนียนด้วยเมคอัพเบส

0
ผิวเรียบเนียนด้วยเมคอัพเบส
เมคอัพเบส ทำหน้าที่คล้ายผิวชั้นที่สองที่ช่วยปรับ แก้ไข และอำพรางจุดบกพร่องของผิวจริงทั้งจุดด่างดำ ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอ
ผิวเรียบเนียนด้วยเมคอัพเบส
เมคอัพเบส ทำหน้าที่คล้ายผิวชั้นที่สองที่ช่วยปรับ แก้ไข และอำพรางจุดบกพร่องของผิวจริงทั้งจุดด่างดำ ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

เมคอัพเบส

มักพบปัญหาผิวทั้งเล็กและใหญ่อย่างรอยคล้ำรอบดวงตา จุดด่างดำ ความมันบนใบหน้า รูขุมขน และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว นั้นไม่ใช่ปัญหาที่เกิดกับคุณแค่คนเดียว คนบันเทิงสวยหล่อต่างกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน การแต่งหน้าแบบบางๆ ลงบีบีครีมแล้วตบแป้งตามก็ไม่ช่วยทำให้ดูสดใสอย่างที่คิด ในทางกลับกันผิวที่เนียนและใสกระจ่างด้วย เมคอัพเบส ที่มีคุณภาพจะช่วยเผยภาพลักษณ์ที่ดูสดใสและดูอ่อนกว่าวัย ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเทคนิคในการแต่งหน้า แต่ก็ทำให้ดูเหมือนกับว่าแต่งหน้าเก่งได้

ความรู้สึกอึดอัดผิวนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องทางจิตวิทยา ผลิตภัณฑ์ เมคอัพเบส ที่วางจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้บอกว่า ทาแล้วเบาบางเหมือนขนนกและนุ่มลื่นเหมือนเส้นไหม เปรียบเสมือนการเคลือบผิวชั้นที่ 2 และช่วยขจัดความกังวลว่าแต่งหน้าหนาจนเกินไป หากเป็นมือใหม่เลือกทินต์มอยเจอไรเซอร์ หรือประเภทลิควิดที่มีเนื้อบางเบา และลองใช้รองพื้นให้ชินก่อน แล้วค่อยลองแต่งหน้าจริง

    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะช่วยให้โชว์ผิวที่เปล่งประกายงดงาม

1. ครีมกันแดด
เป็นไอเท็มที่ต้องทาตลอด 365 วัน ถ้าใช้ชนิดที่ผสมกับ เมคอัพเบส ก็จะสะดวกขึ้น

2. น้ำแร่ (มิสต์)
ป้องกันไม่ให้ผิวแห้งระหว่างวัน และช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน

3. รองพื้น
ช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอ และควรต้องเปลี่ยนสีและเนื้อรองพื้นตามฤดูกาลและสภาพผิว

4. เมคอัพเบส
ทำให้รองพื้นติดทน และทำให้ผิววาวฉ่ำ ควรเลือกเมคอัพที่โปร่งใส ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกเมคอัพเบสชนิดที่มีเม็ดสีน้อยที่สุด ส่วนผิวที่มีตำหนิเยอะ หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอให้เลือกชนิดที่ผสมมุกเล็กน้อย

5. คอนซีลเลอร์
ใช้ปกปิดปัญหาผิวและช่วยเน้นโครงหน้าได้ การเลือกคอนซีลเลอร์สีเดียวกับสีผิวหรือสว่างกว่าสีผิว 1 เบอร์จะดีที่สุด และต้องเตรียมคอนซีลเลอร์ประเภท moisturizer และประเภทครีมหรือแบบแท่งไว้อย่างละ 1 ชิ้นอยู่เสมอ โดยเลือกสีคอนซีลเลอร์ตามบริเวณที่จะปกปิด

6. แป้งฝุ่น
เป็นสิ่งที่ใช้ขั้นตอนสุดท้ายในการแต่งหน้า เพื่อให้ใบหน้าดูสะอาดสะอ้าน

เวลาลง เมคอัพเบส ในแต่ละขั้นตอนควรพยายามทำให้ผิวซึมซับเครื่องสำอางเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดแล้วจึงแต่งขั้นตอนต่อไปทั้งนี้การใช้เครื่องสำอางคุณภาพดีก็เป็นสิ่งสำคัญ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีเลือกเมคอัพเบส

หน้าที่พื้นฐานของ เมคอัพเบสคือ ปรับโทนสีผิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรองพื้น มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติหลายประการออกมาวางขายมากมายการสังเกตฉลาดจะช่วยให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพได้

1. ผิวของเราต้องใช้เคลียร์เบสถึงจะดีที่สุด
ผิวสีแดงต้องใช้เบสสีเขียว ผิวซีดต้องใช้เบสสีชมพู รอยคล้ำใต้ดวงตาต้องใช้เบสสีเหลือง สำหรับผิวที่ไม่สม่ำเสมอและมีตำหนิมากควรใช้เบสสีเนื้อประกายมุก แต่โดยทั่วไปแล้วใช้เคลียร์เบสจะดีกว่าเพื่อตัดความกังวลเรื่องสีผิวและสีเบสไม่เข้ากัน

2. เมคอัพเบสที่ทำให้ใบหน้าดูวาวฉ่ำ (Shimmer, Brightening, Glow)
เป็นผลิตภัณฑ์มีมุกผสมอยู่เล็กน้อย ช่วยทำให้ผิวขรุขระดูเรียบเนียนขึ้นได้ และปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำให้ดูเปล่งประกาย อีกทั้งยังช่วยกระจายแสงได้อย่างยอดเยี่ยม

3. เมคอัพเบสที่รักษาความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Treatment, Moisturizer)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มหน้าที่ในการบำรุงผิวเข้าไปด้วย ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ เวลาแต่งหน้าจึงทำให้แต่งได้สวยและติดทนนานขึ้น

4. เมคอัพเบสที่ปกป้องผิวจากรังสียูวี (SPF 40, PA+++)
เป็นเมคอัพเบสที่ทำหน้าที่ปรับสภาพผิวและป้องกันผิวจากรังสียูวีได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้เมคอัพบางเบาและแต่งหน้าได้ง่ายขึ้น

เลือกรองพื้นที่เข้ากับตัวเอง

เมื่อเทียบกับรองพื้นสมัยก่อนแล้วรองพื้นสมัยนี้นอกจากจะมีให้เลือกมากมาย ยังมีประสิทธิภาพขึ้นมาก ทั้งสัมผัสนุ่มและบางเบา มีหน้าที่หลากหลายและปกปิดได้ยอดเยี่ยม สิ่งที่สำคัญคือต้องหมั่นตรวจสอบสภาพผิวและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ตามสภาพอากาศด้วย    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1. รองพื้นแบบแป้งอัดแข็ง มีความชุ่มชื้น ในขณะเดียวกันก็แห้งสบายเหมือนทาแป้ง เวลาใช้รองพื้นชนิดนี้จึงไม่ต้องใช้แป้งอีกก็ได้ ช่วยแก้ไขการแต่งหน้าที่ผิดพลาดได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก

2. รองพื้นแบบลิควิด เป็นเนื้อเหลวซึ่งให้สัมผัสที่บางเบา ใช้ได้ดีเมื่อต้องการเผยผิวใส แต่ไม่ค่อยปกปิดปัญหาผิว แนะนำให้ใช้เวลาแต่งหน้าแบบเบาเบาๆที่ต้องการปรับโทนผิวให้ดูสม่ำเสมอ

3. ทินต์มอยส์เจอไรเซอร์ ทาแล้วให้ความรู้สึกบางเบาและโปร่งใสเหมือนโลชั่น เป็นเทรนที่ใช้ในการแต่งหน้าแบบใสๆ และได้รับความนิยมมากที่สุดในการแต่งหน้าแบบเผยโทนผิวธรรมชาติในช่วงฤดูใบไม้ผลิต หรือฤดูร้อน

4. รองพื้นแบบแท่ง ช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนานและยังพกพาสะดวก เหมาะแก่การใช้งานสำหรับทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย

5. รองพื้นแบบครีม เป็นเนื้อครีมที่มีความเข้มข้นจึงช่วยรักษาความชุ่มชื้นได้อย่างดี ปกปิดได้ยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวที่มีปัญหากระหรือริ้วรอย

เลือกรองพื้นให้ได้สีเดียวกับผิว

การเลือกสีรองพื้นเป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันขนาดที่ต้องใช้เวลาเลือกนานจนทำให้รู้สึกรำคาญ แนะนำให้ไปร้านเครื่องสำอางโดยไม่แต่งหน้า แล้วทดลองใช้รองพื้นสีใกล้เคียงกับใบหน้าให้หมด แทนที่จะลองใช้ทีละชิ้นแล้วลบออกเป็นรองทุกชิ้นในเวลาเดียวกันแล้วเปรียบเทียบดูจะดีกว่า ถ้าเลือกรองพื้นตอนที่แต่งหน้าอยู่ให้ลองทารองพื้นบริเวณคอแทนใบหน้า รองพื้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สภาพผิวดูดีขึ้น ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิว รองพื้นที่สมบูรณ์แบบคือรองพื้นสีเดียวกับผิวเรา แต่ถ้าอย่างลองเปลี่ยนสีผิวดูให้เลือกรองพื้นโทนสีต่างจากสีผิวเดิม 1 โทนแล้วเกลี่ยให้ดูแนบเนียน

5 เทคนิคเพื่อไม่ให้หน้าบวมในยามเช้า

1. ถ้าตาบวมปูด มาสคาร่าช่วยได้ ให้ทาอายแชโดว์สีธรรมชาติทั่วเปลือกตา แล้วดัดขนตาให้โค้งงอนขึ้น หลังจากนั้นก็ปัดมาสคาร่าโดยเน้นที่โคนขนตา จะช่วยให้ใบหน้าดูบวมน้อยลง      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. การยืดเส้นยืดสายจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น เวลาที่ใช้สกินแคร์ให้กดจุดใต้คาง โหนกคิ้ว และขมับ เพื่อช่วยลดบวม

3. ใช้รองพื้นแบบเหลวที่สีเข้มกว่าสีปกติที่ใช้ 1 เบอร์ แล้วใช้อายแชโดว์ที่ไม่มีประกายมุกทาบริเวณขอบตา จะช่วยให้ใบหน้าดูบวมน้อยลง

4. ถ้ากินอาหารเค็มในตอนเย็นวันรุ่งขึ้นใบหน้าอาจบวมๆ ในกรณีนี้ให้ลองดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้ว จะช่วยปรับปริมาณเกลือในร่างกายให้สมดุลได้

5. ใส่น้ำแข็ง 3-4 ก้อนลงในน้ำเย็นแล้วใช้ล้างหน้า ขัดนวดใบหน้าแล้วตบหน้าเบาๆเพื่อกระตุ้นเรียกความมีชีวิตชีวาบนใบหน้า

เมคอัพเบสคือ ปรับโทนสีผิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรองพื้น และทำให้การแต่งหน้าติดทนนาน

การทำรองพื้นที่เราต้องการใช้แบบต่างๆด้วยตนเอง

เราทำรองพื้นแบบที่เราต้องการได้ด้วยการผสมผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ สำหรับรองพื้นที่ให้ความรู้สึกหนักๆผสมเมคอัพเบสหรือครีมที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ลงไปในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อปรับความหนาของเนื้อรองพื้นก็ใช้ได้แล้ว ถ้าไม่มีสีที่ต้องการให้ผสมรองพื้น 2 สีขึ้นไปเพื่อทำรองพื้นสีที่ต้องการก็ได้

1. รองพื้น + ครีมมอยส์เจอไรเซอร์
ลองใช้ในเวลาที่ต้องการรักษาความชุ่มชื้นของผิวไว้นานๆ ผสมรองพื้นกับครีมมอยส์เจอไรเซอร์ในอัตราส่วน 2:1 ถ้าอยากทาได้เรียบเนียนไม่เป็นก้อน ให้เลือกครีมมอยส์เจอไรเซอร์ที่บางเบาและชุ่มชื้นเหมือนครีมสดแทนครีมมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อหนา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. รองพื้น + เฟซออยล์
ผสมรองพื้นชนิดครีมกับเฟซออยล์ในอัตราส่วน 7:3 เบาเบาๆในทิศทางจากบริเวณปีกจมูกออกมายังด้านนอกของใบหน้า เฟซออยล์จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้นผิวจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น

3. รองพื้น + เมคอัพเบส
วิธีแต่งหน้าอย่างรวดเร็ว ผสมเมคอัพเบสกับรองพื้นในอัตราส่วน 2:1 ถ้าใช้ในยามเช้าที่เร่งรีบจะช่วยให้ผิวดูใสขึ้นและลดเวลาแต่งหน้าลงครึ่งหนึ่ง

4. รองพื้น + รองพื้น
ในฤดูร้อนถ้าผิวคล้ำลงเป็นสีแทน ให้ใช้รองพื้นที่สีเข้มกว่าสีผิวตัวเอง 1 หรือ 2 เบอร์ ผสมกับรองพื้นที่เข้ากับผิวตัวเอง ฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว ผสมรองพื้นสีค่อนข้างสว่างลงในรองพื้นที่คุณใช้ในฤดูนี้ จะช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น

5. รองพื้น + ครีมชิมเมอร์
ใช้ปกปิดตำหนิบนผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบไร้ที่ติ ทารองพื้นที่ผสมกับครีมชิมเมอร์ในอัตราส่วน 7:3 ผิวจะมีประกายมุกในปริมาณพอเหมาะ จึงจะช่วยพรางตาทำให้ผิวดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก ถ้าอยากเน้นส่วนไหนให้ดูระยิบระยับเป็นพิเศษก็ทาครีมชิมเมอร์บริเวณนั้นเพิ่มบางๆ

การทารองพื้นให้เรียบเนียนราวเครื่องเคลือบ

เวลาพูดถึงผิวที่สมบูรณ์แบบ คนเกาหลีมักจะพูดว่า ผิวเครื่องเคลือบ ซึ่งหมายถึงผิวที่มองไม่เห็นตำหนิและรูขุมขน ผิวที่เปล่งประกายอย่างอ่อนโยนและเรียบเนียนอย่างมีระดับ ผิวที่สาวๆทุกคนวาดฝันไว้ ถ้าอยากมีผิวเครื่องเคลือบอย่างนี้ ถึงจะเป็นเมคอัพอาร์ติสท์ที่มีความสามารถแค่ไหน ก็ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามในการลง เมคอัพเบส ดังนั้นว่าหยุดความคิดที่จะหาทางลัด แล้วมาลองลงรองพื้นอย่างพิถีพิถันและใส่ใจเหมือนช่างฝีมือปั้นเครื่องเคลือบกันดู

1. ทดสอบสี
หาสีที่เข้ากับผิว สีผิวมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูและสภาพผิว จึงต้องหมั่นทดสอบบ่อยๆ

2. แบงค์ลงมือในบริเวณที่พอเหมาะ
แบ่งรองพื้นลงบนฝ่ามือด้านในบปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว คือแบ่งปริมาณน้อยน้อยไว้ก่อน การแบ่งไว้บนมืออย่างนี้ อุณหภูมิของร่างกายจะทำให้รองพื้นอุ่นขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3. ถ้าบริเวณที่มีพื้นที่มากๆ
แก้มทั้งสองข้างและหน้าผาก ทาให้ทั่วตั้งแต่รอบจมูกลงมาจนถึงคาง ทาโดยใช้นิ้วนวดเป็นจังหวะ ลักษณะของผิว

4. ทาให้ทั่วบริเวณที่แคบแคบ
เปลือกตา ร่องจมูก รอบริมฝีปาก ยิ้มมุมปากห้ามลืมเป็นอันขาด

5. นวดเบาๆ
นวดคลึงเบาเบาพอประมาณจนรองพื้นซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างทั่วถึง

6. ปิดท้ายด้วยคอนซีลเลอร์
สำหรับบริเวณที่ยังไม่น่าพอใจ เพราะรองพื้นปกปิดได้ไม่เพียงพอนั้น ให้ปกปิดด้วยการใช้คอนซีลเลอร์แต้มเป็นจุดๆ

การใช้แปรงทารองพื้น

แปรงรองพื้นกำลังเป็นที่นิยม แต่น้อยคนนักที่จะใช้แปลงได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แม้จะใช้มือลงรองพื้นได้อย่างคล่องแคล่วแต่เวลาที่อยากโชว์ผิวที่แวววาวและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยนอีกทั้งยังรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ก็ควรจะใช้แปรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องการปกปิดรอยร่องจมูกและบริเวณที่มีตำหนิแปลงจะมีประโยชน์มากๆเวลาต้องใช้ปกปิดรูขุมขนและเติมเต็มร่องริ้วรอย

เทคนิคการใช้แปรง
ควรผ่อนแรงมือที่ใช้จับแปลง สิ่งสำคัญอยู่ที่การปัดแปรงจากบริเวณกลางใบหน้าออกมาด้านนอกตามทิศทางของผิว เวลาที่ใช้รองพื้นชนิดครีม ต้องใช้แปรงเบลนด์ให้เนื้อรองพื้นซึมเข้าไปในขนแปรงก่อน ไม่ใช่ใช้แปรงแต้มรองพื้นแล้วทับบนใบหน้าเลย สำหรับใบหน้าที่มีขนอ่อนๆเยอะ การใช้แปรงทารองพื้นจะช่วยให้ทาได้ละเอียดทั่วถึงกว่าการใช้มือทา เพราะเนื้อรองพื้นจะแทรกซึมไปยังขนแปรงอย่างทั่วถึง หลังจากทารองพื้นด้วยแปรงแล้วใช้มือทั้งสองทำท่าปิดหน้าแล้วใช้ฝ่ามือกดทับลงไปเบาๆจะยิ่งทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
บริเวณที่มีสิวหรือตำหนิที่เห็นได้ชัดเจน ให้ใช้ฟองน้ำลงรองพื้นอีกครั้งหนึ่งจะช่วยปกปิดและให้ความรู้สึกชุ่มชื้นได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เคล็ดลับการใช้คอนซีลเลอร์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้า

คำว่าใช้คอนซิลเลอร์เป็นกับคำว่าใช้ไม่เป็นน้ำแตกต่างกันอย่างมหาศาล ไอเท็ม 1 ชิ้นที่ทำให้แต่งหน้าได้ดีนั้น คือคอนซีลเลอร์ บรรดาผู้เชี่ยววชาญด้านการแต่งหน้าจะใช้คอนซีลเลอร์เพื่อจุดประสงค์หลักหลาย แต่จุดประสงค์ขั้นพื้นฐานคือ ใช้เพื่อปกปิดตำหนิหรือรอยแผลเป็นจางๆ จุดประสงค์อื่นๆคือใช้ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูเล็กลงและดูมีมิติ หรือไม่ก็ใช้ปรับแต่งรูปปากหรือดวงตา

1. ทำผิวที่มีกระและจุดด่างดำให้ดูสม่ำเสมอ
คอนซีลเลอร์ที่แนะนำ : ชนิดครีมหรือแบบแท่งที่ปกปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือคอนซีลเลอร์ที่มีไวท์เทนนิ่งเป็นส่วนประกอบ ถ้าใช้คอนซีลเลอร์ที่สีสว่างมากเกินไป แทนที่จะปกปิดก็อาจทำให้ตำหนิชัดขึ้น ควรเลือกคอนซีลเลอร์สีเดียวกับโทนสีผิวของเราหรือสีเดียวกับผิวบริเวณที่ต้องการปกปิด ไม่ต้องลงรองพื้นหนาหากมีเพียงกระและจุดด่างดำ เพื่อรักษาความใสของผิวโดยรวมไว้ ใช้คอนซิลเลอร์บนใบหน้าบางส่วนก็โอเคแล้ว หลังจากทาคอนซีลเลอร์ให้ทั่วต้องเบลนด์อีกครั้งเพื่อไม่ให้เห็นคราบคอนซีลเลอร์ หากต้องการปกปิดส่วนที่หมองคล้ำ ถ้าใช้คอนซีลเลอร์สีสว่างมากๆจะทำให้เห็นเป็นรอยด่างได้ จึงต้องใช้คอนซีลเลอร์ทูโทน

2. ปกปิดรอยสิว
คอนซีลเลอร์ ที่แนะนำ : คอนซีลเลอร์สำหรับปกปิดสิวโดยเฉพาะหรือไม่ก็สปอร์ตคอนซีลเลอร์ ให้ใช้คอนซีลเลอร์สำหรับผิวมีสิวซึ่งมีส่วนผสมของสารระงับอาการอักเสบหรือไม่ก็สปอร์ตคอนซีลเลอร์ ทาแต้มเป็นจุดจุดแทน จะช่วยปกปิดรอยตำหนิในขณะเดียวกันก็ช่วยปกป้องผิวจากความหมองคล้ำเนื่องจากแสงแดด อีกทั้งยังรักษาการติดเชื้ออีกด้วย บริเวณที่บวมแดงจากการอักเสบนั้นมีความร้อนสะสมอยู่ จึงทำให้เครื่องสำอางลบเลือนได้ง่าย ใช้แป้งทาทับเพื่อให้ติดทนนาน

3. ลดความหมองคล้ำใต้ดวงตา
คอนซีลเลอร์ที่แนะนำ : คอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดที่มีประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้นของผิว
เลือกสีที่สว่างกว่าโทนสีผิวประมาณ 1 โทน ถ้าใต้ดวงตาสว่าง ใบหน้าโดยรวมก็จะดูสว่างด้วย จึงเลือกคอนซีลเลอร์ที่สว่างกว่าสีผิวตนเองเพียงเล็กน้อย คอนซีลเลอร์ที่สามารถทาทับแป้งได้ก็จะยิ่งดี ถ้าหากอยากให้คอนซีลเลอร์ติดทนนานมากขึ้น ทาแป้งไฮไลท์แบบกดกดบางบางให้ใช้ไฮไลต์ที่ไม่มีประกายมุกทาโซนสามเหลี่ยมใต้ดวงตา และใช้ชนิดผสมมุกเล็กน้อยทาบริเวณโซนซีที่มีริ้วรอย เลือกอายแชโดว์สีสว่างสว่างเพื่อทำให้รอบดวงตาดูสว่างสดใส การเน้นความคมชัดของดวงตาด้วยอายไลเนอร์ก็เป็นวิธีการแต่งหน้าที่มีประสิทธิภาพ ผิวหนังรอบดวงตานั้นบอบบางมากๆเวลาทาอายแชโดว์จึงต้องทาอย่างเบามือและนุ่มนวล    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รองพื้นคือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนก่อนแต่งหน้า ใช้ลงหลังทาไพรเมอร์และเบส

เทคนิคการปกปิดปัญหาผิว

1. ริ้วรอยที่ต้องเอาใจใส่
เริ่มมองเห็นริ้วรอยที่บริเวณหางตา ใต้ตา กลางหน้าผาก มุมปาก และรอบจมูกแล้ว ลองใช้ เมคอัพเบส รองพื้นหรือแป้งประกายมุกละเอียด ประกายมุกช่วยสะท้อนแสง จึงทำให้เห็นริ้วรอยน้อยลงได้อย่างแน่นอน ริ้วรอยบริเวณโซน C ข้างดวงตาแต้มไฮไลท์ประกายมุกเนื้อชุ่มชื้นแทน แล้ววางมิสต์ไว้ใกล้ตัวเสมอ ผิวหน้าแห้งลงเมื่อไหร่ให้หยิบมาใช้ทันที

2. ใช้คอนซิลเลอร์จัดการเส้นขอบปากที่ไม่ชัดเจน
ในกรณีที่มีขอบปากไม่ชัดเจนหรือดูไม่สะอาดตาเพราะร่องริ้วรอยหรือรูปปากไม่ถูกใจ ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะแก้ไขด้วยการใช้ดินสอเขียนขอบปากแล้วทาลิปสติกสีเข้มทัพ แต่สมัยนี้ต้องใช้คอนซิลเลอร์เสียแล้ว หากใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนขอบปากให้คมสะอาดแล้วเราก็ไม่ว่าลิปสติกเนื้อไหนก็ทาแล้วดูเป็นธรรมชาติได้

3. ประกายมุกเนื้อละเอียดอำพรางรอยแผลเป็นได้อย่างยอดเยี่ยม
บริเวณรอยแผลเป็นลึกนั้นมีสีที่แตกต่างจากผิวบริเวณทั่วไป การใช้เครื่องสำอางปกปิดอย่างแนบเนียนจึงทำได้ยาก แต่คอนซีลเลอร์ที่มีประกายมุกเนื้อละเอียดผสมอยู่จะช่วยเติมเต็มร่องผิวที่ไม่สม่ำเสมอและช่วยสะท้อนแสง จึงช่วยอำพรางตาให้รอยแผลเป็นดูเล็กลงได้บ้าง

4. อยู่ๆเซลล์ผิวที่ตายแล้วก็หลุดลอกออกมา
ถ้าอยู่ๆเซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดลอกออกมาคงจะรบกวนจิตใจไปตลอดทั้งวัน ควรจะเตรียมเอกซ์ โฟลิเอเตอร์ที่สามารถใช้เฉพาะจุดบนใบหน้าที่มีเครื่องสำอางเอาไว้ให้พร้อม ทาให้ทั่วบริเวณที่เซลล์ผิวหลุดลอกออกมาแล้วทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที หลังจากนั้นใช้ทิชชู่นุ่มนุ่มๆเช็ดออกมาเบาๆให้หมด แล้วใช้คอนซิลเลอร์ทาปกปิด หลีกเลี่ยงคลอซินเลอเนื้อแมตต์    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

5. ปกปิดสิวเสี้ยนด้วยแปรงทารองพื้น
แทนที่จะใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนที่เห็นผลทันตา ลองค่อยค่อยใช้เวลาจัดการกับสิวเสี้ยนบนจมูกด้วยสครับนุ่มนุ่มๆและเอสเซนส์กระชับรูขุมขน ใช้แปรงทารองพื้นบนจมูกแทนการใช้มือ แปรงรองพื้นที่บางและมีปลายกลมมนนั้น ใช้ปกปิดส่วนโค้งเว้าเล็กๆและรูขุมขนบนสันจมูกให้ดูเรียบเนียนได้อย่างดี บริเวณสีแดงๆใต้จมูกก็เช่นกัน ควรใช้แปรงหรือฟองน้ำทารองพื้น

6. เปลี่ยนกระบนใบหน้าให้กลายเป็นจุดเสน่ห์
ทารองพื้นเนื้อบางเบาให้ทั่วใบหน้า แล้วทาคอนซีลเลอร์ชนิดปกปิดได้สูงบริเวณที่เป็นกระเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเลือกรองพื้นที่ถึงแม้จะทาบางมากๆแต่เกาะติดผิวได้ดีเยี่ยม

7. สิวขึ้นก็ดูสดชื่นได้
ถ้าแต่งหน้าหนาหนาเพื่อปกปิดรอยสิว ผิวอาจแย่ลงจนเกิดปัญหาผิวที่รุนแรงกว่าเดิมได้ ผิวที่มีปัญหาสิวอาจไม่ใช่ผิวมันเสมอไป จึงต้องใช้รองพื้นที่ช่วยปรับความสมดุลของน้ำและน้ำมัน และช่วยแก้ไขสภาพผิวเป็นอันดับแรก เลือกใช้รองพื้นชนิดที่ไม่มีสีแดงเจืออยู่อย่างสีเบจอ่อน มีเดียมเบจ หรือสีเหลืองอ่อน และทาอย่างเบามือ

เมคอัพเบส 4 ประการที่ต้องรู้

  1. ผิวสะอาดเรียบเนียนไร้จุดด่างดำ
    ผิวเพอร์เฟ็กต์ เพียวร์ตีเนียนนุ่มราวใหญ่ไหมและสะอาดบริสุทธิ์ไร้จุดด่างดำไม่ว่าจะแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางสีไหนก็ดูมีระดับและเก๋ได้
    1.1 ทาเมคอัพเบสเนื้อละเอียด
    ทาเมคอัพประกายมุกเนื้อละเอียดเล็กน้อยและเลือดสีน่ารักๆอย่างสีพีชหรือสีชมพูให้ทั่วใบหน้า
    1.2 ทารองพื้นบางๆ
    ทารองพื้นชนิดลิควิดที่ชุ่มชื้นแต่ติดทนอย่างบางๆ รวมถึงเปลือกตาจะช่วยให้อายแชโดว์ติดทนและคงสีสันไว้ได้นานขึ้น ถึงแม้จะไม่แต่งตาแต่ก็ทำให้รอบดวงตาดูกระจ่างใสมากขึ้น
    1.3 จัดการกับบริเวณรอบจมูกและใต้ดวงตา
    ใช้แปรงแต้มลองพื้นเล็กน้อยแล้วทาบริเวณรอบจมูกและใต้ดวงตา ต้องปกปิดบริเวณนี้ให้แนบเนียนจึงจะตกแต่งโทนผิวให้ดูสม่ำเสมอได้มากขึ้น
    1.4 ใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอบดวงตา
    ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดสูตรเนื้อนุ่มเพื่อทำให้บริเวณใต้ดวงตาที่หมองคล้ำดูกระจ่างใสขึ้น ปกปิด ถ้าบริเวณโหนกแก้มมีจุดดำเยอะให้พลังด้วยคอนซีลเลอร์ชนิดไวเทนนิ่ง
    1.5 ทาแป้ง
    ใช้แปรงทาแป้งอัดแข็งปัดเบาเบาๆให้ทั่วใบหน้า จากนั้นใช้พัฟแต่งแต้มเล็กน้อย ค่อยๆทาแบบกดกดบริเวณรอบจมูก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. ผิวหน้าชุ่มชื้นดูสุขภาพดี
ผิวที่ชวนให้สัมผัสและการแต่งหน้าที่ดูไม่ออกว่าแต่งหรือไม่ได้แต่ง อย่างเวลาออกเดทแบบกะทันหันแถวๆบ้าน ถึงแม้ว่าจะมัดผมหลวมหลวมๆแต่จัดการให้หน้าสดเป็นประกายจากภายใน ไม่เอาแบบนี้ใช้ประโยชน์ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นตอนไปประชุมเบาเบาๆช่วงสุดสัปดาห์หรือไม่ก็ตอนเดินทางท่องเที่ยว
2.1 ทาเมคอัพเบส
สำหรับผิวปกติให้ทา เมคอัพเบส ที่มีความชุ่มชื้นมากๆ สำหรับผิวที่มีตำหนิเยอะๆให้ทำเมคอัพเบสประกายมุกเนื้อละเอียด
2.2 ปกปิดรอยคล้ำรอบดวงตา
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้บริเวณใต้ดวงตาดูสว่างสดใส แต้มคอน ซีลเลอร์แบบลิควิดสามจุดบริเวณใต้ดวงตาที่ดูหมองคล้ำที่สุด แล้วใช้นิ้วมือ
แต้มเบาๆให้ผิวซึมซับคอนซีลเลอร์เข้าไป
2.3 ทำให้ผิวเปล่งประกายเหมือนใบหน้าที่พึ่งล้างหน้า
ถ้าทาครีมไฮไลท์มุกให้ทั่วโซน C และโซน T จะทำให้ทางใบหน้าดูเปล่งประกาย
2.4 ทาแป้งทับอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าอยากคงหน้าสดไว้นานๆห้ามพลาดการทาแป้งที่ช่วยให้เมคอัพติดทนนาน
ปิดท้ายด้วยการใช้แปรงใหญ่ทาแป้งเนื้อบางเบามากๆหรือแป้งมิเนอรัลให้ทั่วใบหน้า

3. ผิวแกรมบรอนซ์ลุกฤดูร้อนสุดเซ็กซี่
ผิวบรอนซ์ที่รู้สึกถึงความแวววาวเรียบเนียน เป็นเมคอัพที่ดีที่สุดที่ช่วยเผยความเซ็กซี่ของสาวๆ ฤดูร้อนที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาช่วยเผยผิวแวววาวได้ดีที่สุด สำหรับหญิงสาวที่ผิวคล้ำอยู่แล้ว ลองแมทกับสีเครื่องสำอางสไตลืทรอปิคัลมู้ด จะยิ่งทำให้ดูสุขภาพดี เหมาะสำหรับการแต่งหน้าแบบคลับลุคอันเจิดจรัส ฤดูกาลอื่นๆก็แต่งลูกนี้ได้เช่นกัน
3.1 ทาเมคอัพเบส
การแต่งหน้าแบบบรอนซ์จะใช้ เมคอัพเบส ที่ระยิบระยับประกายมุกหรือโอปอเป็นหลัก
3.2 ทารองพื้น
เลือกรองพื้นโทนสีเดียวกับผิวตัวเองหรือทนที่เข้มกว่าประมาณหนึ่งธนแล้วถ้าเบาๆให้ทั่ว สิ่งสำคัญคือ การปกปิดร่องรอยและตำหนิรวมทั้งทำให้โทนสีผิวของใบหน้าและร่างกายไม่ดูแตกต่างกันจนเกินไป

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3.3 ทาบลัชออน
ทำให้ผิวดูเป็นสีแทนจากธรรมชาติโดยใช้แปรงปัดบริเวณแก้มและโหนกแก้มด้วยบลัชออนสี แซนด์เบจ หรือสีทรอปิคัลออเร้นจ์ ที่มีบรอนเซอร์ผสมอยู่
3.4 เน้นโครงหน้าด้วยไฮไลท์
ถ้าไฮไลท์ที่โซน C และโซน T เพื่อให้โครงหน้าดูมีมิติขึ้นมา

4. ผิวเนียนนุ่มที่มีความแวววาว
เราสามารถใช้เครื่องสำอางสร้างลักษณะผิวได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผิวเปล่งประกายหรือผิวแวววาว ขึ้นอยู่กับว่าแสงจะส่งมากระทบผิวในลักษณะใด ถ้ายิ่งใช้ เมคอัพเบส ที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุธรรมชาติซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุดนั้น จะยิ่งทำให้ผิวเนียนนุ่มและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน ผิวเนียนนุ่มแวววาวที่ช่วยเผยผิวสดชื่นของคุณนั้นไม่ใช่สีหรือเทคนิคเฉพาะ ซึงประยุกต์ใช้กับการแต่งหน้าในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย
4.1 ทาเมคอัพเบสให้ใบหน้าดูสดใส
แต่งผิวหน้าให้ดูบางที่สุดโดยใช้ เมคอัพเบส ที่มีความชุ่มชื้นและแวววาว หรือไม่ก็ผลิตภัณฑ์ที่ผสมระหว่างเมคอัพเบสและรองพื้น
4.2 ใช้คอนซิลเลอร์แต่งใต้ตาให้ดูสว่าง
ทาคอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดบริเวณโซนสามเหลี่ยมใต้ดวงตาเบาๆให้ทั่วในบริเวณที่ปากยื่นและเบ้าตาลึก ถ้าทำให้บริเวณใต้ดวงตาดูสว่างสดใสจะทำให้ใบหน้าดูกระชับและยืดหยุ่นขึ้น
4.3 ทาแป้งชิมเมอร์
ทาแป้งชิมเมอร์เบาเบาๆให้ทั่วใบหน้าด้วยการปัดลงด้านล่างให้โครงหน้าดูชัดขึ้น
4.4 สายพัฟฟ์ตบแป้ง
ใช้พัฟฟ์ตบแป้งฝุ่นแล้วทาบริเวณขมับข้างดวงตา และบริเวณข้างปีกจมูกที่หลังน้ำมันออกมาได้ง่าย

น้ำแร่คู่หูที่ทำให้เมคอัพที่ชุ่มชื้นและติดทนนาน

ถ้าอยากได้ยินคำพูดที่ว่า แต่งหน้าเหมือนกันหรือนี่ ไอเท็มที่ต้องมีติดไว้ในกระเป๋าเครื่องสำอาง โต๊ะเครื่องแป้ง หรือไม่ก็โต๊ะหนังสือ คือ น้ำแร่ ถ้าใช้น้ำแร่ทันทีหลังแต่งหน้าเสร็จเครื่องสำอางจะติดทนนาน เวลาที่แก้มเมคอัพ ถ้าพ่นน้ำแร่บนผิวบ่อยๆผิวที่เคยแห้งจะกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งเหมือนดอกไม้ที่สัมผัสกับความชุ่มชื้น ต้องเลือกน้ำแร่ ให้รอบคอบว่าเวลาพ่นออกมาแล้วเป็นละอองเล็กละเอียดหรือไม่ ผลิตจากสารประกอบธรรมชาติหรือเปล่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่รักษาความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายหรือเปล่า    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1.Clarins I Fix’ Make-up Mist
เป็นน้ำแร่ที่ช่วยสร้างความชุ่มชื้น และช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน ทำให้ผิวผ่อนคลายและเย็นลง และช่วยคงความชุ่มชื้นของผิวไว้ได้นาน

2.Jill Stuart I Fruit & Aroma Mist
โลชั่นชนิดน้ำแร่ที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นและลดความมันในเวลาเดียวกัน สารสกัดจากผลไม้ช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นและทำให้ผิวดูใสขึ้น และช่วยป้องกันความมันบนใบหน้า

3.Dior I Hydra Action Deep Hydration Refreshing Spray
ช่วยดูแลและปรับสภาพผิวที่ขาดความชุ่มชื้นให้กลายเป็นผิวที่เปล่งประกายและเนียนนุ่ม ละอองสเปรย์มีขนาดเล็กมาก จึงเหมาะสำหรับใช้หลังแต่งหน้าเสร็จ

4.VIDIVICI I Aloe Soothing Mist
น้ำแร่ที่ผลิตจากว่านหางจระเข้ ช่วยให้ผิวเย็นลงและบรรเทาอาการระคายเคืองผิว เป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในฤดูร้อน

5.Shu Uemura I Depsea Water
น้ำแร่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นที่ผลิตจากหญ้าภูเขาของฝรั่งเศส และน้ำจากใต้ทะเลลึกของเมืองมุโระโตะในญี่ปุ่นที่กลั่นจนสะอาด

6.AmorePacific I Mosture Bound Skin Energy Mist
ผสมน้ำเลี้ยงจากต้นไผ่แทนน้ำธรรมดา ช่วยคงความชุ่มชื้นของผิวไว้ได้นาน

7.Jurlique I Rosewater Balancing Mist
มีส่วนประกอบจากต้นมาชเมลโลว์ ว่านหางจระเข้ และกุหลาบจากธรรมชาติ จึงให้ความชุ่มชื่นได้อย่างเพียงพอ และช่วยบรรเทาบริเวณที่เป็นรอยแดง เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย

8.La Roche-Posay I Eau Thermale
ซีลีเนียมจากธรรมชาติที่มีความเข้มข้นสูงจะช่วยให้ผิวคงสภาพดีและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ผิว บำรุงให้สุขภาพดีแบบไร้ปัญหาและทำให้ผิวดูแวววาว    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

9.Melvita I Orang Blossom Water
เป็นน้ำแร่ที่กลั่นมาจากพันธุ์ไม้ออร์แกนิก เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวที่เป็นรอยแดงได้ง่าย

10.VIDIVICI I Rose Face Mist
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำดอกกุหลาบจากธรรมชาติและน้ำจากใต้ทะเลลึก กลิ่นกุหลาบละมุนช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

เมคอัพเบส ทำหน้าที่คล้ายผิวชั้นที่สองที่ช่วยปรับ แก้ไข และอำพรางจุดบกพร่องของผิวจริงทั้งจุดด่างดำ ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

เทคนิคการใช้แปรงอย่างช่างแต่งหน้าผู้เชี่ยวชาญ

1.แปรงอายแชโดว์ทำโครงเบ้าตา
ช่วยวาดโครงเบ้าตาด้วยอายแชโดว์สีเข้มหรือไม่ก็ใช้เบลนด์สีได้สะดวก ทำจากขนแปรงที่มีความยืดหยุ่น จึงรักษาความเข้มของสีเข้มเข้มไว้ได้ดี มีประโยชน์อย่างมากในการวาดโครงเบ้าตาและทำให้ดวงตาดูลึก

2. แปรงหัวเกลียว
สำหรับขนตาที่หนาเป็นแพสามารถแต่งได้ด้วยแปรงนี้อันเดียว โดยการปัดตามทิศทางของคนตา โคนขนตาให้ปัดขึ้น ขนตาช่วงกลางให้ปัดเป็นแนวขนาน ปลายขนตาให้ปัดจากด้านบนแบบตวัด ทั้งยังใช้แทนแปลงมาสคาร่ายามฉุกเฉินได้

3.แปรงทาอายแชโดว์หัวฟองน้ำ
แปรงหัวฟองน้ำแบบปลายแหลมนั้นมีประโยชน์ในการทาอายแชโดว์ที่หางตาหรือขอบตาล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทาอายแชโดว์สีเข้ม อายแชโดว์มุกหรือสปาร์คลิ่งที่ฟุ้งกระจายได้ง่าย ส่วนปลายฟองน้ำแบบกลมนั้นใช้เวลาทาอายแชโดว์ที่กระจายเป็นวงกว้าง

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

4.แปรงทารองพื้น
ช่วยทารองพื้นได้อย่างสม่ำเสมอ หลังจากใช้แปรงทารองพื้นแล้ว ให้ใช้นิ้วกดกดเพื่อให้ผิวซึมซับรองพื้นและทำให้รองพื้นติดทนนานขึ้น

5.แปรงทาแป้ง
แนะนำให้ใช้เป็นอย่างยิ่งสำหรับคนผิวแห้งที่ต้องระมัดระวังในการทารองพื้น แปรงทาแป้งช่วยให้ทาแป้งฝุ่นได้บางและดูเป็นธรรมชาติ หากต้องการเผยผิวสม่ำเสมอเนียนนุ่มโดยแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน ให้เลือกขนแปรงที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติและขนอ่อนนุ่มมากที่สุดเท่าที่จะนุ่มได้

6.แปรงลงเฉดดิ้ง
เป็นแปลงที่สาวๆที่ไม่พอใจกับโครงหน้าของตัวเองต้องมีไว้ ขนแปรงต้องใหญ่ นุ่ม และมีความยืดหยุ่น จึงจะ แต่งหน้า ได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยเครื่องสำอางไม่จับตัวเป็นก้อน เวลาเศษดิ้งมักจะใช้สีเข้มเป็นหลัก หัวใจสำคัญคือต้องปรับปริมาณเครื่องสำอางให้พอเหมาะเพื่อไม่ให้จับตัวเป็นก้อน

7.แปรงปัดแก้ม
เนื่องจากเป็นแปรงที่ใช้กับบริเวณแก้มซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากใบหน้า จึงแนะนำให้ใช้แปรงหัวกลม

8.แปลงรูปพัด
คือแปลงที่ขนแปรงแถบกว้างเป็นรูปพัด ก่อนที่จะแต่งตาให้ใช้แปรงรูปพัดทาแป้งบริเวณใต้ดวงตา หน้าเสร็จก็ใช้ปัดเศษอายแชโดว์ที่ร่วงลงมัดได้อย่างสะอาดสะอ้าน

9.แปรงทาอายไลเนอร์
แปรงทาอายไลเนอร์มีขนแปรงแข็งแรง ลักษณะแบนและสั้น พัฒนามาให้เข้ากับอายไลเนอร์ชนิดลิควิดหรือเจล แปลงชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถปรับทิศทาง องศา และความหนาของอายไลเนอร์ได้อย่างง่ายดาย

10. แปรงทาลิปสติก
ใช้ได้ดีเวลาทาลิปสติกสีแดงๆหรือลิปสติกเนื้อแมตต์ ควรเลือกชนิดขนแปรงสังเคราะห์ ขนแปรงที่บางและยาวจนเกินไปจะทำให้ จับแปลงลำบาก

[adinserter name=”navtra”]

11.แปรงทาจมูก
ถึงแม้จะไม่ใช่แปรงที่จำเป็นต้องใช้ใน การแต่งหน้า ขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าอยากปรับรูปทรงหรือความยาวของจมูก ต้องเลือกอันที่ขนแปรงนุ่ม มีความยืดหยุ่น จึงจะแต่งจมูกให้สวยเนี๊ยบได้

12.แปรงทาไฮไลท์
ใช้ทาแป้งมุกหรือไฮไลท์ที่โซน C และโซน T เพื่อเน้นโครงหน้าให้ดูชัดเจน แปรงชนิดปลายตัดเป็นเหลี่ยม จะทาเข้าถึงซอกมุมต่างๆบนใบหน้าได้อย่างง่ายดาย และเมื่อใช้บริเวณใต้ดวงตา เครื่องสำอางก็จะไม่ค่อยฟุ้งกระจาย

13.แปรงทาคอนซีลเลอร์
ช่วยปกปิดจุดด่างดำและตำหนิบนใบหน้าได้อย่างละเอียด สำหรับแปรงคอนซีลเลอร์นั้น ขนแปรงสังเคราะห์ดีกว่าขนแปรงธรรมชาติ และขนาดแปลงที่พอเหมาะ ( ขนาดเท่านิ้วก้อย ) ดีกว่าแปรงที่ขนหนาจนเกินไป

14.แปรงทาคิ้ว
ทาสีขนคิ้วไปตามรูปคิ้ว ต้องเลือกแปรงที่เป็นขนธรรมชาติผสมกับขนสังเคราะห์จึงจะแต่งคิ้วได้อย่างใจชอบ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ

0
วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ
การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ เป็นการลอกผิวในระดับตื้นของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีมากหรือเป็นฝ้าหลุดลอกออกจากผิวทำให้ฝ้าแลดูจางลง
วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ
ฝ้าเป็นความผิดปกติบนผิวหนังมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม อาจมีสีน้ำตาลอมเทา สีเทา สีดำ หรือสีม่วงอมน้ำเงิน พบในตำแหน่งที่เผชิญกับแสงแดดโดยตรง

ฝ้าบนผิวหน้า

ในปัจจุบันทั้งหนุ่มสาวหันมาดูแลผิวพรรณโดยเฉพาะผิวหน้ากันมากขึ้น ในบางครั้งถึงแม้จะทาครีมบำรุงอย่างดีแล้ว แต่ผิวสวยก็ยังมีจุดด่างดำมากวนใจ ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำไม่สดใสเท่าที่ควร หนึ่งในนั้นก็คือ ฝ้า ซึ่งเจ้าฝ้าจุดดำๆ นี้แม้ว่าจะไม่มีอันตรายต่อสุขภาพโดยตรง แต่กลับทำให้หลายๆ คนเสียความมั่นใจและเสียบุคลิกภาพที่ดี จนต้องหาหนทางแก้ไขโดยการใช้รองพื้นปกปิดหรือหาทางรักษาให้ ฝ้าบนผิวหน้า ดูจางลงโดยด่วน

สาเหตุการเกิดฝ้าบนผิวหน้า

ปัญหา ฝ้าบนผิวหน้า พบมากในคนไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน มีแสงแดดจัดเกือบทั้งปี ยิ่งผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง หรือชอบเล่นกีฬากลางแจ้งจะมีโอกาสเป็นฝ้าที่ผิวหน้าได้มากกว่าผู้อื่น และในเพศหญิงมีโอกาสเป็นฝ้าที่ผิวหน้าได้สูงกว่าเพศชายถึง 9 เท่า โดยมักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงในช่วงอายุ 20-50 ปี นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีผิวคล้ำหรือผิวสีเข้มจะมีโอกาสเป็นฝ้าได้มากกว่าผู้มีผิวขาวอีกด้วย
ฝ้า หรือ Melasma ( หรือ Cholasma ) เป็นความผิดปกติบนผิวหนังที่ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด พบได้บ่อยในประเทศเมืองร้อนที่มีแดดจัดตลอดทั้งปี เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี หรือ Melanocytes ที่มีหน้าที่สร้างเม็ดสี ( Melanin pigment ) ทำงานมากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อผิวต้องเผชิญกับแสงแดด ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินออกมาเพื่อช่วยกรองรังสียูวี ยิ่งได้รับแสงแดดมาก เม็ดสีเมลานินนี้ก็ยิ่งถูกผลิตออกมามากยิ่งขึ้นตามไปด้วย โดยฉพาะรังสี UVA ซึ่งมีคลื่นที่ยาวกว่า UVB จะสามารถทำลายชั้นผิวได้ลึกกว่า นอกจากแสงแดดแล้วปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดฝ้าบนผิวหน้ายังมีอีกหลายปัจจัย ได้แก่ การทานยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการตั้งครรภ์หรือในวัยทองที่หมดประจำเดือนซึ่งฮอร์โมนเพศลดลง ปัจจัยด้านพันธุกรรมที่เป็นเหมือนกับคนในครอบครัวซึ่งแม้จะรักษาหายแล้วก็มีโอกาสที่จะเกิดซ้ำสูง การแพ้สารบางชนิดในเครื่องสำอาง เช่น เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งน้ำหอมทำปฏิกิริยากับแสงแดดจนก่อให้เกิดฝ้าบนผิวหน้า การรับประทานยาบางชนิด เช่นยากลุ่มไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) และยากันชักกลุ่มฟีไนโทอิน ( Phenytoin-related anticonvulsants ) ผู้ที่ตับทำงานผิดปกติและการขาดสารอาหารกลุ่มวิตามินบี 12 เป็นต้น

ฝ้าบนผิวหน้า มีหลายชนิดโดยมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม อาจมีสีน้ำตาลอมเทา สีเทา สีดำ หรือสีม่วงอมน้ำเงิน มักพบในตำแหน่งที่เผชิญกับแสงแดดโดยตรง เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม เหนือคิ้ว จมูก เหนือริมฝีปาก คาง และหน้าอก รวมถึงบริเวณแขนด้วย

ฝ้าบนผิวหน้า แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ฝ้าบนผิวหน้าแบบตื้น หรือ Epidermal type เป็นฝ้าที่มีขอบเขตชัดเจน มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีและผลักขึ้นสู่ผิวหนังชั้นนอก ( ชั้นหนังกำพร้า ) มีโอกาสรักษาให้หายได้ง่ายในเวลาอันสั้น

2. ฝ้าบนผิวหน้าแบบลึก หรือ Dermal type เป็นฝ้าที่มีขอบเขตไม่ชัดเจน มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเทา สีเทา หรือสีม่วงอมน้ำเงิน เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีออกมาในชั้นหนังแท้ ซึ่งอยู่ใต้ผิวชั้นนอก ( ชั้นหนังกำพร้า ) จึงทำให้มีสีอ่อนกว่าฝ้าแบบตื้น มีโอกาสรักษาให้หายได้ยากและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าบนผิวหน้า

แม้ว่า ฝ้าบนผิวหน้า จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็มีวิธีรับมือป้องกันและสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยอันก่อให้เกิดฝ้าได้ ดังนี้
1. การป้องกันแสงแดด พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงแดดจัดตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง บ่าย 4 โมงเย็น หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตากแดดได้ให้ใช้อุปกรณ์ช่วยกันแดดได้แก่ ร่ม หมวก หน้ากาก เสื้อแขนยาว ที่ผลิตมาเพื่อใช้ป้องกันรังสียูวีโดยเฉพาะ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ที่มีคุณสมบัติป้องกัน UVA และ UVB มีค่าป้องกัน Sun Protection Factor หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่าค่า SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป รวมถึงต้องมีค่า Protection Grade of UVA หรือ PA มากกว่า 2+ ขึ้นไป ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาที ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไปจนไม่ทั่วถึง

2. หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ก่อให้เกิดฝ้าบนผิวหน้า เช่น ยากันชักกลุ่มฟีไนโทอีน อาจแจ้งแพทย์เพื่อให้จ่ายยากลุ่มอื่นแทน และยาเพิ่มฮอร์โมนเพศ เช่น ยาคุมกำเนิด ( ในผู้ที่ฮอร์โมนเพศเพิ่มขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างมิอาจเลี่ยงได้ เช่น สตรีตั้งครรภ์ พบว่าในบางรายเมื่อคลอดบุตรแล้วและฮอร์โมนเพศดังกล่าวลดลง รอย ฝ้าบนผิวหน้ามีโอกาสจางลงและหายไปได้ในที่สุด )

3. หลีกเลี่ยงการทาครีมหรือใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือกลุ่มยาที่อาจเกิดปฏิกิริยา และมีความไวต่อแสงสูง โดยเฉพาะในครีมทาผิวขาวที่มีส่วนผสมของ “ไฮโดรควิโนน” เป็นต้น

ฝ้าเป็นความผิดปกติบนผิวหนัง มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม อาจมีสีน้ำตาลอมเทา สีเทา สีดำ หรือสีม่วงอมน้ำเงิน พบในตำแหน่งที่เผชิญกับแสงแดดโดยตรง

วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้า

เมื่อป้องกันผิวอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาฝ้ามากวนใจ วิธีต่อไปคือการดูแลรักษา ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายวิธี สามารถเลือกไปปรับใช้ได้ตามความชอบและความพร้อมของแต่ละท่าน เนื่องจากบางวิธีอาจมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ไวยิ่งขึ้น ดังนี้

1. รักษาด้วยการทายา วิธีนี้ใช้ได้ผลกับฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก หากทายารักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน พบว่า ฝ้าบนผิวหน้า มีอาการจางลงอย่างชัดเจน กลุ่มยาทารักษา ฝ้าบนผิวหน้าได้แก่ กลุ่มยาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินโนน ( Hydroquinone ) โดยตัวยาจะช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่มีส่วนในการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง และยังช่วยทำลายเม็ดสีบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วใต้ผิวหนังอีกด้วย ผลข้างเคียงของการทายาชนิดนี้คืออาจทำให้ผิวบริเวณที่ทา แสบ แดงและลอกเป็นขุยได้ จึงควรทาในปริมาณน้อยๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น หากมีอาการระคายเคืองรุนแรงควรทาแบบคืนเว้นคืน หรือ เว้น 2 คืน เป็นต้น และอีกตัวยาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง คือ ยาที่มีส่วนผสมร่วมกันของกรดวิตามินเอ

ไฮโดรควินโนนและสารสเตียรอยด์อ่อนๆ เนื่องจากเป็นยาทาที่ใช้งานง่าย เพราะมีสารสเตียรอยด์ในปริมาณต่ำ ช่วยลดอาการระคายเคืองที่อาจเกิดจากตัวยา นอกจากยาทาแล้ว ยังมียากินที่ช่วยในการรักษา ฝ้าบนผิวหน้า ได้แก่ ยากลุ่มทรานีซามิก ( Tranexamic acid ) ซึ่งใช้อย่างแพร่หลายในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี ทั้งนี้ควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์

2. การรับประทานวิตามินเสริม ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดริ้วรอย และยังช่วยป้องกันไม่ให้ฝ้าที่เป็นอยู่ลุกลามขยายตัวขึ้นใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย

3. การทาครีมบำรุง ที่มีส่วนช่วยในการรักษาฝ้า โดยมีส่วนผสมของ วิตามินซี สารอาร์บูติน ( Arbutin ) กรดโคจิก ( Kojic ) และ สาร AHA จะทำให้ผิวหน้าดูขาวกระจ่างใสขึ้น ฝ้าบนผิวหน้าแลดูจางลง ซึ่งการทาครีมบำรุงเป็นวิธีที่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและอาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรจึงจะเห็นผล

4. การรักษาด้วยหัวไชเท้า โดยการนำหัวไชเท้าไปล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปบดหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นล้างตามอีกครั้งด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดกระชับรูขุมขน ( สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้โดยตรงแต่อาจใช้ได้ในรูปของสบู่สมุนไพรสูตรหัวไชเท้าแทน เพราะจะมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าและสามารถชำระล้างได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น ฝ้าบนผิวหน้าก็จะค่อยๆจางลง และผิวดูกระจ่างใสขึ้น ) ทำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งหรือวันเว้นวันก็ได้ หัวไชเท้ามีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอย ช่วยให้ ฝ้าบนผิวหน้า ดูจางลง และยังช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

5. การรักษาด้วยว่านหางจระเข้ โดยการเลือกใบว่านหางจระเข้ที่ใหญ่ๆ และแก่แล้ว นำไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นแช่น้ำไว้ประมาณ 10 นาที แล้วปอกเปลือกออก ล้างน้ำอีกครั้งก่อนจะนำไปบดหรือปั่นให้ละเอียดพอสมควร นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส ไร้ริ้วรอยและฝ้าบนผิวหน้าดูจางลง

6. การใช้มะขามเปียก เป็นอีกหนึ่งวิธีตามธรรมชาติที่ได้ผลดี วิธีการคือให้นำเนื้อมะขามเปียกมาทาหรือพอกบางๆ บริเวณที่เป็นฝ้า พอกทิ้งไว้เพียง 3-5 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลดรอยด่างดำ ช่วยผลัดเซลล์ผิว และยังทำให้หน้าดูขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หากไม่มีมะขามเปียกอาจใช้มะกรูดหรือมะนาว หรือในรูปของสบู่สมุนไพรสูตรมะขามน้ำผึ้งแทนได้ สบู่สมุนไพรจะมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าแบบอื่นๆ ใช้ง่าย และยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้มากขึ้นจากน้ำผึ้งป่าซึ่งเป็นสมุนไพรชั้นดีอีกตัวหนึ่งและยังสามารถชำระล้างผิวหน้าได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็นก็จะช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย และทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น

7. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ เช่น กรดไกลโคลิก ( Glycolic acid ) และกรดซาลิไซลิก ( Salicylic acid ) ซึ่งถือว่าเป็นการลอกผิวในระดับตื้น เพราะเป็นการลอกทิ้งของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีมากหรือเป็นฝ้าหลุดลอกออกจากผิวได้เร็วขึ้น จึงทำให้ฝ้าบนผิวหน้าแลดูจางลง วิธีนี้ต้องใช้กรดผลไม้ในปริมาณที่เข้มข้นและเสี่ยงต่อการเกิดผิวไหม้ จึงควรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์

8. การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับลึก ช่วยรักษาฝ้าบนผิวหน้าแบบลึก โดยการใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก ( Trichloroacetic acid ) ซึ่งหลังการรักษาอาจพบผลแทรกซ้อนไม่พึงประสงค์ได้แก่ การเกิดรอยแผลเป็น รอยดำ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเริม การรักษาด้วยวิธีนี้จึงต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ ต้องรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น สิ่งสำคัญหลังการลอกหน้าด้วยวิธีนี้คือต้องระมัดระวังมิให้ผิวโดนแดด ทาครีมกันแดดอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ หากพบอาการผิดปกติ เช่น หน้าบวมหรือเจ็บปวดใบหน้ามากต้องรีบกลับไปพบแพทย์โดยด่วน

9. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี ( Microdermabrasion : MD ) จะช่วยให้เซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าหลุดลอกเร็วขึ้น จึงช่วยลดรอยดำจากฝ้าบนผิวหน้าให้ดูจางลงได้ แต่เป็นวิธีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง และหลังรักษาต้องระมัดระวังไม่ให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดโดยเด็ดขาด

10. การใช้แสง/เลเซอร์ ( Light Therapy/Laser ) การเลเซอร์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเห็นผลเร็ว มีผลข้างเคียงน้อย เลเซอร์และคลื่นแสงที่นำมาช่วยในการรักษาฝ้า ได้แก่ เลเซอร์กลุ่ม, Q-switched ruby laser, Q-switched Nd: YAG laser, Fractional Radio Frequency ( RF ) ,Fractional Erbium-glass laser, และคลื่นแสง IPL ( Intense pulsed light ) เป็นต้น โดยหลังทำผิวอาจมีความไวต่อแสงมาก จึงควรทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์

11. การฉีดเมโส ( Mesotherapy ) วิธีการฉีดเมโสนี้ไม่สามารถช่วยรักษา ฝ้าบนผิวหน้า ให้หายขาดได้ เพียงแต่ช่วยให้ฝ้าบนผิวหน้าดูจางลง วิธีการคือใช้เข็มเล็กๆ ฉีดยาเข้าไปในชั้นผิวเพียงตื้นๆ เพื่อช่วยให้ยากระจายตัวลงสู่ชั้นผิวบริเวณที่ต้องการรักษาได้ดียิ่งขึ้น โดยจะฉีดลึกประมาณ 1-2 มม. เท่านั้น ระยะห่างกันไม่เกิน 1 เซนติเมตร และต้องทำซ้ำทุก ๆ 1-2 อาทิตย์จึงจะได้ผล

12. วิธีไอออนโต ( Iontophoresis ) โดยเครื่องมือชนิดนี้จะให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าในระดับอ่อน ๆ ซึ่งกระแสไฟฟ้านี้จะช่วยผลักวิตามินหรือยาที่ทาไว้ให้ซึมซาบลงสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้วิตามินหรือยาดังกล่าวออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นวิธีที่มีผลข้างเคียงน้อย ยาที่นิยมนำมาใช้คู่กับเครื่องโดยมากจะอยู่ในรูปแบบเจล เช่น เจลโคจิก เจลอาร์บูติน เจลลิโคไลซ์ เจลวิตามินซีและทรานซามิคเจล เป็นต้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้ฝ้าบนผิวหน้าจางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่หากท่านใดกลัวอาการระคายเคืองจากการทำโดยวิธีไอออนโตก็สามารถหันไปใช้เครื่องโฟโน ( Phonophoresis ) ที่ให้ความรู้สึกสบายกว่าแทนได้ เพราะสามารถผลักตัวยาเข้าสู่ผิวได้เช่นเดียวกัน

แม้ว่าฝ้าจะเป็นอาการผิดปกติของผิวหนังที่ไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อชีวิต แต่ก็สามารถทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำจนเสียความมั่นใจได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดฝ้า เช่น แสงแดดจัด ยาที่มีฮอร์โมนเพศ หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารซึ่งไวต่อแดด น่าจะเป็นหนทางป้องกันที่ดีที่สุด แต่เมื่อผิวต้องเผชิญกับปัญหาฝ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การมีวินัยในการดูแล บำรุง รักษา ก็สามารถช่วยให้ ฝ้าบนผิวหน้าจางลงและหายได้ในที่สุด เพียงเท่านี้ก็สามารถมีผิวสวยใสไร้ฝาได้ไม่ยากทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าขึ้นใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

https://www.saiwink.com/

สุรางค์ เจียมจรรยา, การใช้ Tranexamic รักษาฝ้า, คลินิก, ปีที่ 19, ฉบับที่ 3

ศิริวรรณ เอื้อไพโรจน์ถาวร, ศูนย์การแพทย์ไลออนส์สุพรรณหงส์, ประสิทธิภาพของยาทา Tranexamic acid ในการรักษาฝ้า, http://www.rcskinclinic.com/research/viewcontent.asp?id=30

ประวิตร พิศาลบุตร, โรคฝ้าในเวชปฏิบัติ (Melasma in Clinical Practice)ตอนที่ 2 : ยาทารักษาฝ้า, คลีนิคเล่ม: 7 เดือน-ปี: 07/2008, http://www.doctor.or.th/node/7576

ประวิตร พิศาลบุตร, โรคฝ้าในเวชปฏิบัติ (Melasma in Clinical Practice) ตอนที่ 3 : ยาและเวชสำอางรักษาฝ้าชนิดใหม่, คลีนิคเล่ม: 8 เดือน-ปี: 08/2008, http://dev.doctor.or.th/node/7117

Total Protein คืออะไร? ค่าที่บอกถึงภาวะสุขภาพและโรคที่เกี่ยวข้อง

0
Total Protein บอกอะไรได้บ้าง ค่าที่บ่งบอกสุขภาพของคุณ
การตรวจ Total Protein ในเลือดจำเป็นอย่างไร
โปรตีน มีความสำคัญมากต่อระบบต่างๆในร่างกาย ซึ่งทำให้เอ็นไซม์ ฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

Total Protein คืออะไร?

Total Protein หรือโปรตีนรวมในเลือด เป็นการวัดปริมาณโปรตีนทั้งหมดในเลือด ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนหลักสองชนิดคือ อัลบูมิน (Albumin) และโกลบูลิน (Globulin) การตรวจวัดค่า Total Protein เป็นวิธีหนึ่งในการประเมินสุขภาพโดยรวมและการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย

บทบาทของโปรตีนรวมในร่างกายคืออะไร?

โปรตีนรวมในร่างกายมีบทบาทสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านโครงสร้าง การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการรักษาสมดุลของร่างกาย

โปรตีนมีความสำคัญอย่างไรต่อการทำงานของร่างกาย?

โปรตีนมีความสำคัญต่อร่างกายดังนี้:

  • เป็นส่วนประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อ
  • ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
  • ทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ในปฏิกิริยาเคมีต่างๆ
  • เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนและสารสื่อประสาท
  • ช่วยในการขนส่งสารอาหารและออกซิเจนในเลือด

อัลบูมิน (Albumin) และโกลบูลิน (Globulin) คืออะไร?

อัลบูมินและโกลบูลินเป็นโปรตีนหลักในเลือด:

  • อัลบูมิน: ผลิตโดยตับ ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายและขนส่งสารต่างๆ
  • โกลบูลิน: มีหลายชนิด ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน

Total Protein ใช้เป็นตัวชี้วัดสุขภาพอย่างไร?

Total Protein ใช้เป็นตัวชี้วัดสุขภาพโดย:

  • บ่งชี้การทำงานของตับและไต
  • ประเมินภาวะโภชนาการ
  • ตรวจหาภาวะอักเสบหรือการติดเชื้อ
  • ช่วยในการวินิจฉัยโรคบางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว

การตรวจ Total Protein คืออะไร?

การตรวจ Total Protein เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจเลือดทั่วไป เพื่อประเมินระดับโปรตีนรวมในเลือด

การตรวจ Total Protein ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Total Protein ทำโดย:

  • เจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน
  • นำตัวอย่างเลือดไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
  • ใช้เทคนิคทางเคมีวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนรวม

ค่าปกติของ Total Protein อยู่ในช่วงใด?

ค่าปกติของ Total Protein อยู่ในช่วง 6.0-8.3 กรัมต่อเดซิลิตร (g/dL) สำหรับผู้ใหญ่

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนตรวจค่า Total Protein หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์หากกำลังรับประทานยาใดๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ Total Protein?

ค่า Total Protein ที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรค ภาวะทางสุขภาพ หรือปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่า Total Protein ต่ำกว่าปกติ?

สาเหตุของค่า Total Protein ต่ำ ได้แก่:

  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • โรคตับ เช่น ตับแข็ง
  • โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง
  • การสูญเสียโปรตีนทางลำไส้หรือผิวหนัง
  • การตั้งครรภ์

อะไรเป็นสาเหตุของค่า Total Protein สูงกว่าปกติ?

สาเหตุของค่า Total Protein สูง ได้แก่:

  • ภาวะขาดน้ำ
  • โรคติดเชื้อเรื้อรัง
  • โรคตับบางชนิด
  • มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับโปรตีนในเลือดมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับโปรตีนในเลือด ได้แก่:

  • อาหารที่รับประทาน
  • การออกกำลังกายหนัก
  • การตั้งครรภ์
  • ความเครียด
  • การใช้ยาบางชนิด

การแปลผลค่า Total Protein บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า Total Protein ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า Total Protein ต่ำบ่งบอกถึงภาวะอะไร?

ค่า Total Protein ต่ำอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะขาดสารอาหาร
  • การทำงานของตับบกพร่อง
  • โรคไตที่ทำให้สูญเสียโปรตีน
  • ภาวะลำไส้ดูดซึมผิดปกติ

ค่า Total Protein สูงสามารถชี้ไปที่โรคอะไรได้บ้าง?

ค่า Total Protein สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะขาดน้ำ
  • การติดเชื้อเรื้อรัง
  • โรคตับบางชนิด
  • มะเร็งของระบบเลือด

ค่าผิดปกติของ Total Protein ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่า Total Protein ผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารหากจำเป็น

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Total Protein

ค่า Total Protein ที่ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคและภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคตับส่งผลต่อค่า Total Protein อย่างไร?

โรคตับส่งผลต่อค่า Total Protein โดย:

  • ตับแข็งอาจทำให้ค่า Total Protein ต่ำลง
  • ตับอักเสบบางชนิดอาจทำให้ค่า Total Protein สูงขึ้น

โรคไตและภาวะขาดโปรตีนมีผลอย่างไรต่อค่า Total Protein?

โรคไตและภาวะขาดโปรตีนส่งผลต่อ Total Protein ดังนี้:

  • โรคไตที่ทำให้สูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะทำให้ค่า Total Protein ต่ำลง
  • ภาวะขาดโปรตีนจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอทำให้ค่า Total Protein ต่ำลง

โรคมะเร็งและภาวะอักเสบเรื้อรังส่งผลต่อระดับโปรตีนในเลือดหรือไม่?

โรคมะเร็งและภาวะอักเสบเรื้อรังส่งผลต่อระดับโปรตีนในเลือด โดย:

  • มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้ค่า Total Protein สูงขึ้น
  • ภาวะอักเสบเรื้อรังมักทำให้ค่า Total Protein สูงขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับ Total Protein อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาระดับ Total Protein ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

อาหารที่ช่วยรักษาระดับโปรตีนในเลือดมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยรักษาระดับโปรตีนในเลือด ได้แก่:

  • เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ
  • ปลา
  • ไข่
  • ถั่วและเมล็ดพืช
  • ผลิตภัณฑ์จากนม

การออกกำลังกายมีผลต่อระดับ Total Protein อย่างไร?

การออกกำลังกายมีผลต่อระดับ Total Protein โดย:

  • ช่วยรักษาสมดุลของโปรตีนในร่างกาย
  • กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของโปรตีน
  • ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง

พฤติกรรมที่ช่วยควบคุมค่า Total Protein คืออะไร?

พฤติกรรมที่ช่วยควบคุมค่า Total Protein ได้แก่:

  • รับประทานอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพดีอย่างเพียงพอ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • จัดการความเครียด

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่า Total Protein?

การสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า Total Protein ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • บวมตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขาและข้อเท้า
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ปัสสาวะเป็นฟอง
  • ท้องเสียเรื้อรัง
  • ผิวหนังแห้ง คัน หรือมีผื่น
  • อาการของโรคตับ เช่น ตาเหลือง ท้องบวม
  • ไข้เรื้อรังหรือการติดเชื้อบ่อยครั้ง

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่า Total Protein สูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่า Total Protein ผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า Total Protein และการทำงานของร่างกายอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่ใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล
  • หากมีโรคประจำตัว ควบคุมโรคให้ดีตามคำแนะนำของแพทย์
  • พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด

การตรวจ Total Protein เป็นการตรวจที่สำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวมและการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย การเข้าใจถึงบทบาทของโปรตีนในร่างกาย การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับ Total Protein ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ หากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติเกี่ยวกับค่า Total Protein ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

McCudden, C. (2016). “Monitoring multiple myeloma patients treated with daratumumab: teasing out monoclonal antibody interference”. Clin Chem Lab Med. 54 (epub ahead of print)

Tuazon, Sherilyn Alvaran; Scarpaci, Anthony P (May 11, 2012). Staros, Eric B, ed. “Serum protein electrophoresis”. Medscape. Retrieved 2 October 2013.

Globulin สำคัญอย่างไร? การตรวจค่าโปรตีนและผลกระทบต่อร่างกาย

0
การตรวจ Globulin ในเลือดจำเป็นอย่างไร
โกลบูลิน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในพลาสมา ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่มีรูปร่างกลม ไม่ละลายในน้ำ ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้

Globulin คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

Globulin เป็นโปรตีนสำคัญในเลือดที่มีบทบาทหลากหลายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบภูมิคุ้มกัน บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับ Globulin ประเภทต่างๆ วิธีการตรวจ การแปลผล และการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

บทบาทของ Globulin ในร่างกายคืออะไร?

Globulin มีหน้าที่สำคัญหลายประการในร่างกาย โดยเฉพาะในการสร้างภูมิคุ้มกันและการขนส่งสารต่างๆ ในเลือด

Globulin มีกี่ประเภท และแต่ละประเภททำหน้าที่อะไร?

Globulin แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก:

  • Alpha Globulins: ทำหน้าที่ขนส่งฮอร์โมนและไขมัน
  • Beta Globulins: ช่วยในการขนส่งเหล็กและวิตามินเอ
  • Gamma Globulins (แอนติบอดี): สร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรค

Globulin เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร?

Gamma Globulins หรือแอนติบอดีเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม

ระดับ Globulin ปกติควรอยู่ในช่วงเท่าใด?

ระดับ Globulin ปกติอยู่ในช่วง 2.0-3.5 g/dL

การตรวจ Globulin ในเลือดคืออะไร?

การตรวจ Globulin เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจโปรตีนรวมในเลือด เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

การตรวจ Globulin ทำได้อย่างไร?

การตรวจทำโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์หากกำลังรับประทานยาใดๆ

ค่าปกติของ Globulin ในเลือดควรอยู่ที่ระดับใด?

ค่าปกติของ Globulin อยู่ในช่วง 2.0-3.5 g/dL

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ Globulin?

ค่า Globulin ที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรค ภาวะทางสุขภาพ หรือปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่า Globulin ต่ำ?

สาเหตุของค่า Globulin ต่ำ ได้แก่:

  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • โรคตับบางชนิด
  • โรคไตบางชนิด

อะไรเป็นสาเหตุของค่า Globulin สูง?

สาเหตุของค่า Globulin สูง ได้แก่:

  • การติดเชื้อเรื้อรัง
  • โรคตับบางชนิด
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง
  • มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับ Globulin มีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับ Globulin ได้แก่:

  • อายุ
  • เพศ
  • การตั้งครรภ์
  • ความเครียด
  • การใช้ยาบางชนิด

การแปลผลค่า Globulin บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่า Globulin ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า Globulin ต่ำบ่งบอกถึงภาวะหรือโรคอะไร?

ค่า Globulin ต่ำอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะขาดสารอาหาร
  • โรคตับบางชนิด
  • โรคไตบางชนิด

ค่า Globulin สูงสามารถชี้ไปที่โรคใดได้บ้าง?

ค่า Globulin สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • การติดเชื้อเรื้อรัง
  • โรคตับบางชนิด
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง
  • มะเร็งบางชนิด

ค่าผิดปกติของ Globulin ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่า Globulin ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Globulin

ค่า Globulin ที่ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคและภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคตับมีผลต่อระดับ Globulin อย่างไร?

โรคตับอาจทำให้ระดับ Globulin สูงขึ้น เนื่องจากตับผลิต Globulin มากขึ้นเพื่อชดเชยการทำงานที่ผิดปกติ

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเกี่ยวข้องกับค่า Globulin หรือไม่?

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจทำให้ระดับ Globulin ต่ำลง เนื่องจากร่างกายผลิตแอนติบอดีได้น้อยลง

มะเร็งเม็ดเลือดขาวและ Multiple Myeloma ส่งผลต่อ Globulin อย่างไร?

มะเร็งเม็ดเลือดขาวและ Multiple Myeloma อาจทำให้ระดับ Globulin สูงขึ้นผิดปกติ เนื่องจากเซลล์มะเร็งผลิต Globulin มากเกินไป

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับ Globulin อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาระดับ Globulin ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

อาหารที่ช่วยรักษาระดับ Globulin ในเลือดมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยรักษาระดับ Globulin ได้แก่:

  • โปรตีนคุณภาพดี เช่น เนื้อปลา ไข่ ถั่ว
  • ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
  • อาหารที่มีสังกะสี เช่น เมล็ดฟักทอง หอยนางรม

การออกกำลังกายและการใช้ชีวิตส่งผลต่อค่า Globulin หรือไม่?

การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการจัดการความเครียดช่วยรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันและระดับ Globulin

พฤติกรรมที่ช่วยปรับสมดุลของ Globulin คืออะไร?

พฤติกรรมที่ช่วยปรับสมดุล Globulin ได้แก่:

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • จัดการความเครียด

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่า Globulin?

การสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า Globulin ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • ติดเชื้อบ่อย
  • มีไข้เรื้อรัง
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่า Globulin สูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่า Globulin ผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า Globulin และการทำงานของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
  • พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด

การตรวจ Globulin เป็นส่วนสำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวมและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การเข้าใจถึงบทบาทของ Globulin การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับ Globulin ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ หากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติเกี่ยวกับค่า Globulin ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

นอกจากนี้ ผู้ที่มีค่า Globulin ผิดปกติควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดย:

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยที่ดีเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของค่า Globulin ผิดปกติ
  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่ใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพร
  • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับภาวะของตน

โดยสรุป การตระหนักถึงความสำคัญของ Globulin และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับภาวะผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระดับ Globulin และรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง

เอกสารอ้างอิง

Harris, T; Eagle (1935). “THE IMMUNOLOGICAL SPECIFICITY OF THE EUGLOBULIN AND PSEUDOGLOBULIN FRACTIONS OF HORSE AND HUMAN SERUM”.

SanchMonge, R.; Lopez-Torrejón, G.; Pascual, C. Y.; Varela, J.; Martin-Esteban, M.; Salcedo, G. (12 November 2004). “Vicilin and convicilin are potential major allergens from pea”. Clinical & Experimental Allergy. 34 (11): 1747–1753.

การตรวจอัลบูมิน (Albumin) ในเลือด: ความสำคัญ วิธีตรวจ และแนวทางแปลผล

0
การตรวจ Albumin ในเลือดจำเป็นอย่างไร
อัลบูมิน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นได้เองจากตับ และพบมากในเลือดส่วนที่เป็นน้ำเลือดหรือที่เรียกว่า พลาสมา
การตรวจ Albumin ในเลือดจำเป็นอย่างไร
อัลบูมิน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นได้เองจากตับ และพบมากในเลือดส่วนที่เป็นน้ำเลือดหรือที่เรียกว่า พลาสมา

การตรวจอัลบูมิน (Albumin) ในเลือดคืออะไร?

การตรวจอัลบูมินในเลือดเป็นการวัดระดับของโปรตีนอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนหลักในเลือด การตรวจนี้ช่วยประเมินสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะการทำงานของตับและไต รวมถึงภาวะโภชนาการของร่างกาย

อัลบูมินมีบทบาทอย่างไรในร่างกาย?

อัลบูมินมีบทบาทสำคัญหลายประการในร่างกาย ทั้งการควบคุมสมดุลของเหลว การลำเลียงสารต่างๆ และเป็นตัวบ่งชี้การทำงานของอวัยวะสำคัญ

อัลบูมินช่วยควบคุมสมดุลของของเหลวในร่างกายอย่างไร?

อัลบูมินช่วยรักษาแรงดันออสโมติกในเลือด ป้องกันการรั่วของของเหลวออกจากหลอดเลือด ช่วยควบคุมปริมาณน้ำในเนื้อเยื่อและกระแสเลือด

อัลบูมินมีผลต่อการลำเลียงสารอาหารและฮอร์โมนอย่างไร?

อัลบูมินทำหน้าที่เป็นพาหะลำเลียงสารต่างๆ ในเลือด เช่น กรดไขมัน ฮอร์โมน วิตามิน และยาบางชนิด ช่วยให้สารเหล่านี้ถูกส่งไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย

ระดับอัลบูมินสัมพันธ์กับการทำงานของตับและไตอย่างไร?

ตับเป็นแหล่งผลิตอัลบูมิน ระดับอัลบูมินต่ำอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการทำงานของตับ ส่วนไตมีหน้าที่กรองโปรตีน ระดับอัลบูมินต่ำอาจเกิดจากการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะในโรคไตบางชนิด

การตรวจอัลบูมินในเลือดทำได้อย่างไร?

การตรวจอัลบูมินเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจเลือดทั่วไป โดยมีวิธีการและการเตรียมตัวที่ไม่ยุ่งยาก

วิธีการตรวจวัดระดับอัลบูมินคืออะไร?

การตรวจวัดระดับอัลบูมินทำโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการด้วยวิธีทางเคมี

จำเป็นต้องงดอาหารก่อนตรวจอัลบูมินหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนตรวจอัลบูมิน แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือห้องปฏิบัติการ

ค่าปกติของอัลบูมินในเลือดควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของอัลบูมินในเลือดอยู่ในช่วง 3.5-5.0 กรัมต่อเดซิลิตร (g/dL) สำหรับผู้ใหญ่

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของอัลบูมิน?

ค่าอัลบูมินที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรค ภาวะทางสุขภาพ หรือปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่าอัลบูมินต่ำ?

สาเหตุของค่าอัลบูมินต่ำ ได้แก่:

  • โรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็ง
  • โรคไตเรื้อรัง
  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • การอักเสบเรื้อรัง
  • แผลไหม้รุนแรง

อะไรเป็นสาเหตุของค่าอัลบูมินสูง?

ค่าอัลบูมินสูงพบได้น้อยกว่า แต่อาจเกิดจาก:

  • ภาวะขาดน้ำ
  • การใช้สเตียรอยด์บางชนิด
  • ภาวะ Cushing’s syndrome

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับอัลบูมินในร่างกายมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับอัลบูมิน ได้แก่:

  • อายุ (ระดับอัลบูมินมักลดลงเล็กน้อยในผู้สูงอายุ)
  • การตั้งครรภ์
  • การออกกำลังกายหนัก
  • ภาวะเครียด
  • การใช้ยาบางชนิด

การแปลผลค่าอัลบูมินบ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่าอัลบูมินต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่าอัลบูมินต่ำสัมพันธ์กับโรคตับและโรคไตอย่างไร?

ค่าอัลบูมินต่ำอาจบ่งชี้ถึง:

  • การทำงานของตับบกพร่อง เช่น ในโรคตับแข็ง
  • การสูญเสียโปรตีนทางไต เช่น ในโรคไตเรื้อรัง

ค่าอัลบูมินสูงสามารถบ่งชี้ถึงภาวะหรือโรคอะไรได้บ้าง?

ค่าอัลบูมินสูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะขาดน้ำ
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
  • ภาวะ Cushing’s syndrome (พบได้น้อย)

ค่าผิดปกติของอัลบูมินควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าอัลบูมินผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารหากจำเป็น

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของอัลบูมิน

ค่าอัลบูมินที่ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคและภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคตับเรื้อรัง (เช่น ตับแข็ง) ส่งผลต่ออัลบูมินอย่างไร?

โรคตับเรื้อรังทำให้ตับผลิตอัลบูมินได้น้อยลง ส่งผลให้ระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ

โรคไตวายเรื้อรังมีผลต่อระดับอัลบูมินอย่างไร?

โรคไตวายเรื้อรังอาจทำให้เกิดการสูญเสียอัลบูมินทางปัสสาวะ ส่งผลให้ระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ

ภาวะทุพโภชนาการเกี่ยวข้องกับค่าอัลบูมินอย่างไร?

ภาวะทุพโภชนาการทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นในการผลิตอัลบูมิน ส่งผลให้ระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับอัลบูมินอยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาระดับอัลบูมินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

อาหารที่ช่วยรักษาระดับอัลบูมินมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยรักษาระดับอัลบูมิน ได้แก่:

  • โปรตีนคุณภาพดี เช่น เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ปลา ไข่
  • ถั่วและเมล็ดพืช
  • ผักใบเขียว
  • ผลิตภัณฑ์จากนม

การออกกำลังกายและพฤติกรรมสุขภาพส่งผลต่อค่าอัลบูมินอย่างไร?

การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมช่วยรักษาสมดุลของอัลบูมินในร่างกาย

วิธีการลดความเสี่ยงต่อภาวะอัลบูมินผิดปกติคืออะไร?

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ดูแลสุขภาพตับและไต
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าอัลบูมิน?

การสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่าอัลบูมินผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • บวมตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขาและข้อเท้า
  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ปัสสาวะเป็นฟอง

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าอัลบูมินสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าอัลบูมินผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่าอัลบูมินและการทำงานของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่ใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล
  • หากมีโรคประจำตัว ควบคุมโรคให้ดีตามคำแนะนำของแพทย์
  • พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด
  • งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์

การตรวจอัลบูมินในเลือดเป็นการตรวจที่สำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะการทำงานของตับและไต รวมถึงภาวะโภชนาการของร่างกาย การเข้าใจถึงบทบาทของอัลบูมิน การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับอัลบูมินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

หากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติเกี่ยวกับค่าอัลบูมิน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ระดับอัลบูมินอยู่ในเกณฑ์ปกติและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของร่างกาย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Sowa ME, Bennett EJ, Gygi SP, Harper JW (2009). “Defining the Human Deubiquitinating Enzyme Interaction Landscape”. Cell. 138 (2): 389–403. doi:10.1016/j.cell.2009.04.042. PMC 2716422 Freely accessible. PMID 19615732.

Curry S (2002). “Beyond expansion: structural studies on the transport roles of human serum albumin”. Vox Sang. 83 Suppl 1: 315–9. doi:10.1111/j.1423-0410.2002.tb05326.x. PMID 12617161.

Fu BL, Guo ZJ, Tian JW, Liu ZQ, Cao W (2009). “[Advanced glycation end products induce expression of PAI-1 in cultured human proximal tubular epithelial cells through NADPH oxidase dependent pathway]”. Xi Bao Yu Fen Zi Mian Yi Xue Za Zhi. 25 (8): 674–7. PMID 19664386.

Ascenzi P, di Masi A, Coletta M, Ciaccio C, Fanali G, Nicoletti FP, Smulevich G, Fasano M (2009). “Ibuprofen Impairs Allosterically Peroxynitrite Isomerization by Ferric Human Serum Heme-Albumin”. J. Biol. Chem. 284 (45): 31006–17. doi:10.1074/jbc.M109.010736. PMC 2781501 Freely accessible. PMID 19734142.

วิธีลดผิวแตกลายอย่างเห็นผลได้จริง

0
วิธีลดผิวแตกลายอย่างเห็นผลได้จริง
ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
วิธีลดผิวแตกลายอย่างเห็นผลได้จริง
ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ผิวแตกลาย

ผิวกระจ่างใส เรียบเนียนดูสุขภาพดีเป็นผิวในฝันของใครหลายๆคน แต่เมื่อผิวสวยกลับประสบปัญหามีรอยแตกลายมากวนใจ อาจทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ ไม่กล้าสวมใส่เสื้อผ้าที่อวดผิวได้ ทุกปัญหามีทางแก้ ปัญหา ผิวแตกลาย ก็เช่นกัน ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับผิวแตกลายกันก่อน เพื่อที่จะได้หาทางรับมือ แก้ไข และป้องกันการเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตได้

สาเหตุของผิวแตกลาย

ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย ที่ทางการแพทย์เรียกว่า Stretch marks หรือ Striae เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย เนื่องจากปรากฏเด่นชัดบนผิวหนัง มีสีแตกต่างอย่างชัดเจนกับผิวหนังส่วนอื่นๆ สาเหตุเกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง อันเนื่องมาจากผิวหนังในบริเวณนั้นเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผิวแตกลายนี้มักเกิดได้ง่ายในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าอก หน้าท้อง เต้านม ต้นแขน ต้นขา สะดือ สะโพกและน่อง เป็นต้น พบมากในคนบางกลุ่ม เช่น ในเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น โดยเฉพาะในเด็กที่เจริญอาหารจนทำให้ร่างกายอ้วนท้วนหรือโตเร็วเกินไป เมื่อร่างกายเติบใหญ่ขึ้นจนผิวหนังขยายตามไม่ทันจึงส่งผลให้ผิวแตกลายได้ง่าย ในกลุ่มนักกีฬาเพาะกายที่กล้ามเนื้อโตขึ้นในเวลาอันสั้น ในกลุ่มคนที่ควบคุมน้ำหนักจนทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังและโรค Marfan Syndrome เป็นต้น กลุ่มผู้ที่ใช้ยาทาหรือรับประทานยาในกลุ่มของสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน และในกลุ่มสุดท้ายที่พบเจอปัญหาผิวแตกลายมากถึง 90 % คือกลุ่มสตรีตั้งครรภ์

ลักษณะของรอยแตกลาย

คำว่า Striae นั้น แปลว่า ร่องหรือลายเส้นขนาน อาการเริ่มแรกของ ผิวแตกลาย คือผิวหนังจะเกิดรอยเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง จากนั้นจะมีสีอ่อนลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีขาวขุ่น ผิวแตกลายอาจเรียกอย่างจำเพาะเจาะจงตามลักษณะอาการที่ปรากฏ อาทิ

  • Striae distensae มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืด
  • Striae atrophicans มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานโดยมีอาการผิวฝ่อ
  • Striae rubra มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีแดง
  • Striae alba มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีขาว

    วิธีลดรอยแตกลาย

    วิธีลดรอยแตกลายมีหลากหลายวิธี ทั้งวิธีจากภูมิปัญญาชาวบ้าน วิธีทายาแผนปัจจุบัน ตลอดจนการใช้วิทยาการทางการแพทย์ร่วมกับเครื่องมือที่ทันสมัยเข้าช่วย ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น ดังนี้

    1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอและแร่สังกะสี ( พบมากในแคร์รอต ฟักทอง ตำลึง มะละกอ กวางตุ้งและผักบุ้ง ) รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินดี ( พบมากในนม เนย ตับและปลาแซลมอน ) หากอยากให้เห็นผลไวขึ้นอาจทานวิตามินเสริมร่วมด้วย นอกจากนี้การดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว เครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ ชาและกาแฟ

    2. ทาครีมบำรุง โดยเน้นการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งมักมีส่วนผสมของกรดเอเอชเอ ( AHA ) และวิตามินเอเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว การทาครีมทุกวันเป็นประจำหลังอาบน้ำในตอนเช้าและก่อนนอน จะช่วยลดรอยเดิมและยังช่วยป้องกันการเกิดรอยแตกลายใหม่อีกด้วย เคล็ดลับในการทาครีมบำรุงคือพยายามทาครีมและนวดผิวย้อนรอยขึ้นไป สำหรับผู้ออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อหรือสตรีมีครรภ์ ควรทาครีมบำรุงที่เหมาะสมเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นมีความชุ่มชื่น ยืดหยุ่น พร้อมสำหรับการขยายตัวในอนาคต

    3. ชโลมน้ำมันจากธรรมชาติ เช่นน้ำมันงา โดยการนำน้ำมันงามาชโลมบนผิวที่แตกลาย ทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น น้ำมันงาสามารถช่วยทำให้ผิวที่เคยแห้งกร้านกลับมาดูสดใสมีน้ำมีนวล แต่หากมีน้ำมันมะกอกก็สามารถใช้ได้เช่นกัน วิธีการคือให้นำไปอุ่นจนเกือบร้อนแล้วนำมานวดวนบริเวณผิวที่แตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออก ส่วนน้ำมันอื่น ๆ ที่สามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและป้องกัน ผิวแตกลาย ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันละหุ่ง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันอะโวคาโด น้ำมันอัลมอนด์และน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ เป็นต้น

    4. ทาสมุนไพรลดรอยแตกลาย มีหลายวิธี ดังนี้

    • ว่านหางจระเข้ ใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ ( ที่ล้างยางออกแล้ว ) นำมาทาบริเวณ ผิวแตกลาย เป็นประจำทุกเช้า-เย็น ซึ่งจะช่วยทำให้รอยแตกลายนั้นค่อย ๆ ดูจางลงได้ อีกวิธีคือใช้เฉพาะน้ำเมือกจากใบสดว่านหางจระเข้ 1 ส่วน นำมาผสมกับครีมบำรุงผิว 5 ส่วน นำมาทาผิว โดยผสมเพียงพอใช้ในแต่ละครั้ง
    • ใบบัวบก หากมีใบบัวบกก็สามารถใช้ได้ โดยนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นนำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า-เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้ในที่สุด
    • มันฝรั่ง หากเป็น ผิวแตกลาย ในระยะเริ่มต้น อีกวิธีที่แนะนำคือ ใช้มันฝรั่งสด 1 หัว นำมาปอกเปลือกออกแล้วบดให้ละเอียด ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

    ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง และเกิดการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

    5. ขัดหรือสครับผิว ในระหว่างอาบน้ำให้ใช้ใยบวบขัดผิวควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติ ทำเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปและกระตุ้นเซลล์ผิวหนังใหม่ให้ขึ้นมาทดแทนผิวเดิมได้ ซึ่งสูตรสครับผิวสามารถนำวัตถุดิบใกล้ตัวมาทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน คือ

    • สูตรมะนาว คั้นเอาน้ำมะนาวและดินสอพองมาผสมกัน จากนั้นนำมาทาพอกบริเวณ ผิวแตกลาย น้ำมะนาวจะมีฤทธิ์เป็นกรดแบบธรรมชาติช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้อาการแตกลายบนผิวจางลงอย่างรวดเร็ว
      สูตรขมิ้นผสมมะขาม ให้นำขมิ้นและมะขามมาผสมกันแล้วใช้ขัดนวดผิว ขมิ้นมีเคอคูมินที่ทำให้ผิวขาว ส่วนมะขามนั้นมีกรด AHA ที่ช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว

    ปัจจุบันก็จะนิยมใช้สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติสูตรที่ช่วยสครับผิว เพราะสะดวก ใช้ง่าย มีความอ่อนโยนต่อผิวมากขึ้นจึงช่วยลดการระคายเคืองผิวได้มากกว่า สรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกและกระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รอยแตกลายและริ้วรอยต่างๆจางลง สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น สบู่สมุนไพรที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เช่น สูตรกาแฟอาราบิก้า สูตรมะขามน้ำผึ้ง และหากต้องการให้ผิวพรรณเรียบเนียนขึ้น ขาวขึ้นเพื่อช่วยให้รอยแตกลายจางลงก็เลือกใช้สบู่สมุนไพรสูตรขมิ้นน้ำผึ้ง หรือขมิ้นทานาคาได้

    6. ทายาแก้ผิวแตกลาย เลือกใช้ยาทาในกลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ เช่น เรตินเอ ( Retin A ) ความเข้มข้นที่เหมาะสมคือ 0.025% หรือ 0.05% หากเข้มข้นมากเกินไปอาจเกิดอาการแสบร้อนผิวได้ วิธีการใช้คือหลังจากอาบน้ำและขัดหรือสครับผิวแล้ว เช็ดตัวรอให้ผิวแห้งสนิท ประมาณ 10 นาที จากนั้นทาเรตินเอบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก ( ไม่ต้องลงครีมบำรุงหรือโลชั่นอื่น ) โดยให้ทาเฉพาะก่อนเข้านอนและทำวันเว้นวันเท่านั้น ( สตรีมีครรภ์ห้ามใช้เป็นอันขาด ) ส่วนวันที่ไม่ได้ใช้ก็ให้ทาด้วยครีมบำรุงตามปกติ ทำแบบนี้อย่างสม่ำเสมอประมาณ 1 เดือน จะสังเกตได้ว่าผิวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ( ในระยะแรกที่ทาอาจทำให้เกิดรอยแดงเป็นวง เป็นรอยดำไหม้ สักพักอาการจะทุเลาและดีขึ้นตามลำดับ )

    7. ทำทรีตเมนต์ เช่น การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี ( Microdermabrasion ) เพื่อช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นโดยการกำจัดเซลล์ชั้นบนออกไป หรือทำการผลัดเซลล์ด้วยกรดผลไม้ ( Chemical Peel ) เพื่อช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป รวมถึงการรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นต้น 

    8. การทำเมโสรักษารอยแตกลาย‎ ( Mesotherapy ) เป็นวิธีการใช้เข็มส่งตัวยาที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสมานรอยแตกลายของผิว จึงทำให้รอยแตกลายดูจางลง ใช้กลุ่มยาหลาย ๆ ตัว เช่น กรดอะมิโนไกลซีน ( Glycine ) วาลีน ( Valine ) โปรลีน ( Proline ) ไฮดรอกซีโปรลีน ( Hydroxyproline ) และสารอาหารผิวอื่น ๆ (สตรีมีครรภ์ไม่ควรรักษาด้วยวิธีนี้)

    9. เดอร์มาโรลเลอร์ ( Dermaroller ) อีกหนึ่งเครื่องมือทางการแพทย์ โดยนำมาใช้กลิ้งบริเวณผิวที่ต้องการรักษา ช่วยทำลายพังผืดที่หลุมบนผิวหรือรอยที่เป็นปัญหา ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง จึงช่วยรักษารอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ และโดยมากแล้วจะนำมาใช้ควบคู่ไปกับตัวยาหรือเซรั่มบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว จึงช่วยทำให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น แต่ควรทำเป็นประจำทุก ๆ 2 สัปดาห์ ติดต่อกันประมาณ 5-6 ครั้ง จึงจะเห็นผล

    10. การทำเลเซอร์ลดรอยแตกลาย การรักษา ผิวแตกลาย ด้วยเลเซอร์ช่วยให้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วทันใจ แลกกับค่ารักษาที่ค่อนข้างสูง มีทั้งเลเซอร์แบบช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสีรอยแตกลายให้ใกล้เคียงกับสีผิวปกติ และเลเซอร์สร้างผิวใหม่และเลเซอร์แบบรักษารอยแดงหรือรักษาความผิดปกติของเส้นเลือด ที่แนะนำคือ Fraxel Laser ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายที่เป็นมานาน และ V-Beam Laser ซึ่งช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือมีสีชมพู แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์ จนกว่ารอยแตกลายจะค่อย ๆ จางหายไป จากการศึกษาพบว่า การรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลประมาณ 40-60%

    11. การทำไอพีแอล ( Intensed Pulsed Light – IPL ) เป็นเทคนิคการใช้แสงความเข้มสูง นำมายิงบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก ในขณะยิงจะรู้สึกเจ็บคล้าย ๆ กับโดนหนังสติ๊กดีดผิว แต่วิธีนี้จะได้ผลดีกับรอยแตกในระยะแรกที่มีสีแดง หากเป็นรอยแตกในระยะหลังที่มีสีขาวซีดมักไม่ได้ผล และต้องทำอย่างน้อย 5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์ จากการศึกษาพบว่า วิธีนี้สามารถทำให้รอยแตกจางลงได้ประมาณ 30-50% ขึ้นอยู่กับระยะของรอยแตกที่เป็น

    12. การฉีดคาร์บ็อกซี่ ( Carboxytherapy ) เป็นวิธีแก้รอยแตกลายด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว การฉีดเพื่อรักษา ผิวแตกลาย ใช้เทคนิคเป็นการฉีดเข้าไปตื้นๆ เพียงชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายผิวหนัง ไม่ได้ฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวเหมือนการฉีดสลายไขมัน แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง ติดต่อกันทุก ๆ 1 สัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลประมาณ 30-60% หรืออาจไม่ได้ผลเลยขึ้นอยู่กับอาการแตกลายของแต่ละบุคคล
    วิธีต่าง ๆ ที่นำมาแนะนำข้างต้นเป็นเพียงวิธีการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิด ผิวแตกลาย วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดผิวแตกลาย ได้แก่ การหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพราะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุล การทาครีมดูแลผิวให้ชุ่มชื่นแข็งแรง พยายามไม่อาบน้ำอุ่นและไม่เกาผิว เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงผิว และควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดผิวแตกลายได้แล้ว ปัญหา ผิวแตกลาย นั้นมักพบได้ในบุคคลทั่วไป จึงไม่ควรกังวลใจเรื่องผิวจนทำให้สูญเสียความมั่นใจ อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องสวมใส่ชุดเผยผิวบริเวณที่แตกลาย การทารองพื้นอำพรางก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้เกิดความมั่นใจและส่งเสริมบุคลิกภายนอกให้ดียิ่งขึ้นได้

    อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Chang, AL; Agredano, YZ; Kimball, AB (2004). “Risk factors associated with striae gravidarum”. J Am Acad Dermatol. 51: 881–5. doi:10.1016/j.jaad.2004.05.030.

James, William D.; Berger, Timothy G.; et al. (2006). Andrews’ Diseases of the Skin: clinical Dermatology. Saunders Elsevier. ISBN 0-7216-2921-0.

“Stretch Mark”. Encyclopædia Britannica. Retrieved 1 November 2009.
“Stretch Mark”. Retrieved 2011-11-10.

ไขมันศาสตร์พิชิตไขมันส่วนเกิน

0
ไขมันศาสตร์พิชิตไขมันส่วนเกิน
การดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นวิธีที่สามารถขจัดไขมันส่วนเกิน ช่วยกระชับสัดส่วนและปรับรูปร่าง
ไขมันศาสตร์พิชิตไขมันส่วนเกิน
การดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นวิธีที่สามารถขจัดไขมันส่วนเกิน ช่วยกระชับสัดส่วนและปรับรูปร่าง

ไขมันส่วนเกิน

ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างที่สมส่วนปราศจาก ไขมันส่วนเกิน ทั้งสิ้น เพราะรูปร่างที่ดีสามารถช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้นได้ หลายคนที่มีรูปร่างที่ดีจะมีความมั่นใจในตนเองสูงกว่าคนที่มีรูปร่างอ้วนและมีโอกาสทางด้านสังคม การงานมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับหลายคนแล้วการมีรูปร่างที่ดีปราศจากไขมันส่วนเกินเป็นแค่ความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เพราะเจ้าไขมันยังมีสะสมอยู่ตามส่วนต่างของร่างกายให้เห็นอยู่ทั่วไป เช่น ที่บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก ซึ่งไขมันส่วนนี้เรียกว่า “ไขมันส่วนเกินเฉพาะที่” ไขมันเหล่านี้ไม่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่มีปัจจัยที่ส่งเสริมให้ร่างกายสร้างขึ้นมาก นั่นคือ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มีปัจจัยที่ส่งเสริมให้ร่างกายสร้างไขมันส่วนเกินมากขึ้น

1.ฮอร์โมน คนแต่ละคนจะมีปริมาณฮอร์โมนที่แตกต่างกัน ซึ่งปริมาณฮอร์โมนเหล่านี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นการสร้าง ไขมันส่วนเกิน สะสมเฉพาะที่

2.อายุ คนเรามีอายุมากขึ้นกระบวนการเผาพลาญพลังงานหรือเมตาบอลิซึม ( Metabolism ) ก็จะมีประสิทธิภาพที่ลดลง ทำให้มีโอกาสสะสมของไขมันส่วนเกินมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย

3.พันธุกรรม เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินสะสม ซึ่งสังเกตได้จากบุตรที่มีพ่อแม่รูปร่างอ้วนมีไขมันสะสมมาก ส่วนใหญ่ก็จะมีรูปร่างที่เต็มไปด้วยไขมันส่วนเกินเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะรับประทานอาหารน้อยก็ตาม

4.พฤติกรรมการกิน เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้มีการสะสมของ ไขมันส่วนเกิน เป็นอันดับที่หนึ่ง เพราะในปัจจุบันนี้มีอาหารหลายชนิดที่นิยมรับประทานกันมักประกอบไปด้วยไขมัน แป้งและน้ำตาลที่เป็นที่มาของไขมันส่วนเกินในร่างกาย
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายของเรามีไขมันส่วนเกินหรือไม่ ซึ่งการตรวจดูว่าร่างกายมีไขมันส่วนเกินหรือไม่สามารถทำได้ด้วยการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งสามารถคำนวณด้วยการใช้สูตรดังนี้

ดัชนีมวลกาย ( Body Mass Index : BMI ) = น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / ( ส่วนสูง ( เมตร ) 2 )
หรือ Body weight ( kg ) / ( Hight (m)2 )
ซึ่งเมื่อคำนวณค่า BMI ออกแล้ว สามารถระบุได้ว่าร่างกายมีไขมันส่วนเกินหรือไม่ สามารถดูได้ตามตารางข้างล่าง

ค่า BMI ภาวะน้ำหนักตัว
น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
18.5 – 22.9 น้ำหนักสมส่วน
23.0 – 24.9 น้ำหนักเกินกว่ามาตราฐาน
25.0 – 29.9 น้ำหนักมากกว่ามาตราฐานและเป็นโรคอ้วน
มากกว่า 30 เป็นโรคอ้วนที่อยู่ในภาวะที่อันตราย

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ถึงแม้ว่าการคำนวณค่าดัชนีมวลกายจะไม่สามารถระบุได้ว่าน้ำหนักส่วนเกินที่เกินค่ามาตรฐานนั้นมาจากการสะสมของ ไขมันส่วนเกิน หรือเป็นปริมาณของมวลกล้ามเนื้อกันแน่ เพื่อทำการยืนยันว่าค่าดัชนีมวลกายที่เกินนั้นเป็นปริมาณของไขมันหรือปริมาณของกล้ามเนื้อ ทำได้ด้วยการตรวจวัดปริมาณไขมันโดยการแปลงค่าเพื่อหาเปอร์เซ็นต์ของปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายที่มีความเฉพาะเจาะจง โดยสามารถคำนวณจากค่า BMI ได้ดังนี้
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย = ( 1.20 x BMI ) + ( 0.23 x อายุ ) – ( 10.8 x เพศ ) – 5.4
ซึ่งค่าของเพศหญิงจะมีค่าเท่ากับ 1 และค่าของเพศชายจะมีค่าเท่ากับ 0
นอกจากนั้นการคำนวณหาความหนาของชั้นไขมันที่มีอยู่บริเวณหน้าท้องหรือบริเวณท้องแขนสามารถทำได้ด้วยการวัดด้วยเครื่องวัดปริมาณไขมัน ซึ่งมีให้บริการอยู่ตามโรงพยาบาลหรือสถานบริการเกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เช่น สถานที่ออกกำลัง สถานเสริมความงามเกี่ยวกับรูปร่าง เป็นต้น และค่าของปริมาณไขมันที่เหมาะสมที่อยู่ในร่างกายคือ ในเพศชายควรมีค่าไขมันไม่เกินร้อยละ 22 และในเพศหญิงควรมีค่าไขมันไม่เกินร้อยละ 31 ซึ่งสามารถสรุปปริมาณไขมันในร่างกายจากค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันที่ทำการวัดได้ ดังตารางข้างล่าง

ลักษณะของร่างกาย ค่าเปอร์เซนต์ไขมันในเพศหญิง ค่าเปอร์เซนต์ไขมันในเพศชาย
ไขมันมีน้อยมากจนหรือขั้นที่ร่างกายขาดไขมันจนเข้าขั้นวิกฤต (Essential fat)  10 – 13 %  3 – 6 %
ปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายน้อยมาก ( Athletes)  14 – 20 %  7 – 13 %
ปริมาณไขมันน้อยแต่อยู่ในระดับที่ส่งผลดีต่อร่างกาย (Fitness good) 21 – 25 %  14 – 17 %
ปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายอยู่ในระดับที่ปกติทั่วไป (Average (acceptable))  26 – 31 % 18 – 22 %
ปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าปกติส่งผลให้ร่างกายมีรูปร่างท้วม (Overweight) 32 – 39 %  23 – 29 %
ปริมาณไขมันสะสมในร่างกายสูงจนร่างกายอ้วน (Obese) 40 % หรือมากกว่า 30 % หรือมากกว่า

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เชื่อว่าทุกคนที่มีไขมันสะสมอยู่ในร่างกายย่อมที่จะต้องการนำไขมันส่วนนั้นออกจากร่างกาย ไม่ต้องการที่สะสมไว้เป็นเวลานาน เพราะนอกจากจะทำให้รูปร่างไม่สวยงามแล้ว ยังส่งผลให้ร่างกายมีความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงในอนาคตได้อีกด้วย แต่จะให้ทำการออกกำลังเพื่อลดปริมาณไขมันในร่างกายออกไปทั้งหมดก็เป็นได้ยาก เนื่องจากภาระกิจในชีวิตประจำวันที่ต้องดิ้นรน เวลาที่จะพักผ่อนให้เพียงพอยังน้อยและการที่จะออกกำลังกายเพื่อนำ ไขมันส่วนเกิน เฉพาะที่ต้องเป็นการอออกกำลังแบบเฉพาะส่วนและต้องอาศัยระยะเวลาค่อนข้างนาน จนหลายคนเกิดอาการท้อก่อนที่จะนำไขมันส่วนเกินออกไปได้ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาวิธีการที่จะนำไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วนออกจากร่างกายอย่างได้ผล ด้วยการดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย

การดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นวิธีที่สามารถขจัด ไขมันส่วนเกิน อย่างได้ผล ซึ่งการดูดไขมันส่วนเกินนั้นมีมานานนับ 100 ปี แต่ว่าไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากวิธีและขั้นตอนในการดูดไขมันส่วนเกินในอดีตมีอัตราความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง ต่อมาได้มีการพัฒนานำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ ทำให้วิธีการและขั้นตอนในการดูดไขมันมีความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนที่น้อยลง จึงทำให้มีผู้ที่นิยมทำการดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายมากขึ้น วิธีการดูดไขมันมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งการดูดด้วยเครื่องดูดไขมันและการฉีดยาเพื่อสลายไขมันส่วนเกิน ซึ่งอาจจะใช้วิธีเดียวหรือใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันก็ได้ และวิธีการดูดไขมันที่ได้รับความนิยมกันมาก คือ การใช้เครื่องมือในการดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย การใช้เครื่องมือจะช่วยให้การดูดไขมันออกมามีความปลอดภัยสูง ทำได้ง่าย แผลที่เกิดจากการดูดไขมันเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย และที่สำคัญสามารถทำการดูไขมันส่วนเกินเฉพาะออกมาและสามารถปรับรูปร่างได้พร้อม ๆ กันด้วย ซึ่งเราได้สรุปข้อดีและข้อเสียของการใช้เครื่องดูดไขมัน ได้ตามตารางดังนี้

ชนิดของเครื่อง LAL ( Laser Assisted Liposuction) RFAL ( Radio Frequency Assisted Liposuction ) VAL ( VASER Assisted Liposuction ) PAL ( Power Assisted Liposuction )
กลไกการทำงานเพื่อให้เซลล์ไขมันเกิดการแตก แสงเลเซอร์ ( Laser ) คลื่นวิทยุ ( Radio Frequency ) คลื่นเสียงความถี่สูง ( VASER ) การสั่นหรือการหมุนของหัวดูด ( Power )
ข้อดีของเครื่อง ลักษณะและขนาดของแผลเปิดเพื่อสอดใส่สายนำแสงเลเซอร์จะมีขนาดเล็กมาก เป็นเครื่องที่เน้นด้านการกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นวิทยุผ่านเข้าไปสู่บริเวณ ไขมันส่วนเกิน ที่อยู่ภายในร่างกาย คลื่นเสียงที่ทำการปล่อยเข้าไปจะไม่เข้าไปกระทบกับเส้นเลือดหรือเส้นประสาทที่อยู่ภายในร่างกาย เมื่อทำการสั่นหรือการหมุนแล้ว ปฏิกิริยาไม่มีความร้อนเกิดขึ้น ส่งผลให้เมื่อทำการดูดไขมันออกมาสามารถทำได้ง่ายขึ้นและร่างกายมีอาการช้ำน้อยลง
ข้อเสียของเครื่อง ขณะที่ทำการฉายแสงเลเซอร์จะมีความร้อนเกิดขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อที่อยู่อยู่รอบได้ ความร้อนที่เกิดจากคลื่นวิทยุ อาจส่งผลให้ผิวหนังเกิดการหดตัว และถ้าคลื่นมีความเข้มสูงอาจทำให้เนื้อเยื่อถูกไหม้ได้ หากแพทย์ผู้ใช้งานขาดประสบการในการใช้งานเครื่อง จะทำให้มีความร้อนเกิดขึ้นสูง ส่งผลแผลที่เกิดขึ้นหายได้ช้า หากปริมาณไขมันส่วนเกินมีมาก ต้องใช้เวลาในการดูดที่นานกว่าเครื่องชนิดอื่น
บริเวณที่เหมาะสมกับการใช้งาน ส่วนของใบหน้า เช่น ที่บริเวณใต้คางหรือบริเวณเหนียง ส่วนของใบหน้าหรือบริเวณที่อยู่ตื้นๆ ใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย และสามารถทำการดูดไขมันเฉพาะที่ได้ ใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย แต่ใช้งานได้ยากกับส่วนที่ไขมันตื้น

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การใช้เครื่องมือในการสลายและดูดไขมันสามารถที่จะใช้เครื่องมือพร้อมกันได้มากกว่าครั้งละ 1 ชนิด เช่นการใช้เครื่อง Vaser ทำการฉายคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าสู่บริเวณที่ต้องการดูดไขมันออกไปและทำการดูดไขมันออกมาด้วยเครื่อง Power ที่สามารถทำการสั่นสลับกันทั้งแบบหน้าหลังและการหมุนเป็นวงกลม ซึ่งการใช้สองเครื่องร่วมกันในการดูดไขมันจะสามารถทำการดูดไขมันได้ดีขึ้น

การดูดไขมันไม่ใช่การลดความอ้วน เพราะว่าการดูดไขมันไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักของร่างกายได้ เพียงแต่ช่วยกระชับและปรับรูปร่างให้มีความเหมาะสมเท่านั้น ซึ่งการดูดไขมันนี้เหมาะกับ
1.สุขภาพร่างกายแข็งแรง
คนที่ต้องการทำการดูด ไขมันส่วนเกิน จะต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะหรือหลังจากการดูดไขมัน
2.ร่างกายมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์
ผู้ที่ต้องการทำการดูดไขมันจะต้องมีค่า BMI อยู่ระหว่าง 18-25 จึงจะสามารถทำการดูดไขมันได้ โดยที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด
3.สุขภาพจิตใจเข้มแข็ง
ผู้ที่ทำการดูดไขมันต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการดูดไขมันไม่สามารถขจัดไขมันออกจากร่างกายได้ทั้งหมด หรือสามารถช่วยให้รูปร่างดีได้ตลอดกาล เพราะว่าเมื่อทำการดูดไขมันแล้ว ถ้าร่างกายได้รับอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายเข้าไป ไขมันก็สามารถที่กลับมาสะสมได้อีก
4.ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ทำการดูดไขมันออกจากร่างกายได้ จะต้องมีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันส่วนเกิน

เมื่อมีคุณสมบัติตามที่ได้กล่าวมาแล้ว คุณก็สามารถที่จะทำการดูดไขมันได้ ซึ่งก่อนที่จะทำการดูดไขมันจะต้องมีการเตรียมความพร้อมของร่างกาย ดังนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
1. ตรวจเช็คร่างกาย ก่อนที่จะทำการดูดไขมัน จะต้องทำการตรวจเช็คร่างกาย เช่น การตรวจเลือด การหาความเข้มข้นของเลือด ปริมาณเกล็ดเลือด การตรวจคลื่นหัวใจ การแฝงของเชื้อที่อยู่ภายในร่างกายในกรณีที่มีพาหะของโรคบางชนิด ตรวจระบบการทำงานของตับ ไต สำหรับผู้ที่มีอายุสูงจะต้องมีการตรวจการแข็งตัวของเลือดด้วย
2. เสริมความแข็งแรงของร่างกาย ก่อนที่จะทำการดูดไขมันจะต้องทำการรับประทานอาหารเสริม ประเภทวิตามิน ธาตุเหล็ก ก่อนที่จะเข้ารับการดูดไขมันประมาณ 2-4 สัปดาห์
3. งดสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่ที่ต้องการทำการดูดไขมันจะต้องหยุดสูบบุหรี่ก่อนการดูดไขมัน อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
4. ลดน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานจะต้องทำการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำการดูไขมันได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน และสำหรับผู้ที่มีพุงขนาดใหญ่จะต้องมีการใส่ชุดรัดลำตัว ( Garment Support ) ก่อนเพื่อสร้างความเคยชินในการใส่ผ้ารัดหลังจากทำการดูดไขมัน และลดขนาดของกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลงได้อีกด้วย

ขั้นตอนการดูดไขมันส่วนเกิน

การเตรียมความพร้อมของร่างกาย สำหรับบางคนอาจจะมีมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะเป็นผู้วินิจฉัยและชี้แจงให้กับผู้เข้ารับการดูดไขมันทราบ เมื่อเตรียมความพร้อมตามกำหนดเวลาแล้ว แพทย์จะทำการดูดไขมันตามขั้นตอนดังนี้
1.ทำความสะอาด แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญการดูดไขมันจะทำความสะอาดที่บริเวณที่จะทำการผ่าตัดและบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงด้วยการล้างด้วยสบู่ยา
2. ทำการกำหนดจุดที่จะทำการดูด ไขมันส่วนเกิน
3.ให้ยาชาหรือดมยาสลบแก่ผู้ที่เข้ารับการดูดไขมัน ซึ่งนอกจากยาชาและยาสลบแล้วในบางรายจะต้องให้ยาคลายเครียด เพื่อลดความวิตกของผู้เข้ารับการดูดไขมันด้วย
4.ทำการเปิดแผล ซึ่งแผลที่เปิดเพื่อทำการดูดไขมันจะมีขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตร ไว้ประมาณ 15 นาที
5.ทำการใส่น้ำยาผ่านทางแผลที่เปิดไว้ และเริ้มขั้นตอนการใช้เครื่องมือในการสลายไขมันด้วยการตี จนไขมันมีการแตกตัว
6.ทำการดูดไขมันที่แตกตัวแล้วออกมาด้วยเครื่องดูดที่มีแรงในการดูดต่ำ ลักษณะของไขมันที่ดูดออกมาได้จะมีมีน้ำปนออกมาด้วย
7.ทำการดูดจนไขมันออกตามปริมาณที่ต้องการ
8.ทำการปิดแผลด้วยการทากาวปิดแผล และใช้ผ้าพันแผลปิดทับอีกครั้ง หลังจากที่ปิดแผลแล้วผู้ทำการดูดไขมันจะต้องใส่ชุดรัดที่บริเวณที่ทำการดูดไขมันด้วย
เมื่อทำการดูดไขมันเสร็จเรียบร้อย ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะมีอาการบวมอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากการดูดไขมัน และอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง และประมาณ 2 สัปดาห์ร่างกายจะเข้าสู่สภาวะปกติ และอาการที่เกิดขึ้นจะหายภายใน 6 สัปดาห์หลังจากการดูดไขมัน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หลายคนเข้าใจผิดว่าเมื่อทำการดูดไขมันจะสามารถช่วยลดน้ำหนักให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ว่าที่จริงแล้วไขมันที่ทำการดูดออกมาเป็นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวของร่างกาย ไม่ใช่ไขมันที่สะสมอยู่ภายในร่างกายทั้งหมด ดังนั้นการดูดไขมันจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับผู้ที่เข้ารับการดูดไขมันมีไขมันสะสมอยู่ที่บริเวณใต้ผิวหนังมากกว่าไขมันที่สะสมอยู่ในอวัยวะของร่างกายหรือไม่ ถ้าปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังมากกว่าการดูดไขมันจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ถ้าปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ตามอวัยวะ เช่น เส้นเลือด ตับ ไต กระดูก ปอด หัวใจ มากกว่าการดูดไขมันออกมาก็ไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักตัวได้ ช่วยได้เพียงแต่กระชับรูปร่างให้ดูดีขึ้นเท่านั้น ดังนั้นก่อนที่จะทำการดูดไขมันควรปรึกษาแพทย์ถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการดูดไขมันเสียก่อน ซึ่งเมื่อดูดไขมันออกมาแล้วไขมันที่ทำการดูดออกมานั้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกไม่จำเป็นที่จะต้องทำไปกำจัดทิ้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งการนำไขมันสามารถนำไปใช้ต่อได้ดังนี้

ประโยชน์จากไขมันส่วนเกิน

1.นำไปเสริมใบหน้า
ไขมันส่วนเกินที่อยู่ใต้ผิวสามารถนำไปฉีดเข้าสู่บริเวณที่ไขมันเกิดการฝ่อตัวและยุบตัวลง เพื่อช่วยให้ผิวหนังส่วนนั้นเต่งตึงส่งผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น หรือนำไปฉีดเพื่อสร้างใบหน้าให้มีรูปร่างตามที่ต้องการ เช่น เพิ่มแก้มให้อิ่ม ลดรอยบุ๋มที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ เป็นต้น
2.เสริมขนาดของเต้านม
การเสริมขนาดของเต้านมนอกจากจะใส่ถุงเต้านมเทียมแล้ว สามารถนำ ไขมันส่วนเกิน ที่มีอยู่ในร่างกายไปฉีดเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น
3.แก้ปัญหารอยแผลเป็น
การฉีดไขมันไปที่บริเวณที่มีรอยแผลเป็นบุ๋มลึกลงไป จะสามารถช่วยลดขนาดรอยของแผลเป็นให้ตื้นขึ้น ส่งผลให้รอยแผลเป็นสังเกตเห็นได้ยาก
ซึ่งการนำไขมันที่ทำการดูดออกมาจากร่างกายมาใช้ จะไม่สามารถนำมาใช้ได้ในทันที แต่ไขมันจะต้องไปผ่านกรรมวิธีการเตรียมไขมันก่อนที่จะนำมาใช้ได้ เช่น การปั่น การกลั่น การกรอง การทิ้งไว้ให้แยกชั้น เพื่อให้ได้ไขมันที่มีคุณภาพสูงสามารถนำไปฉีดเข้าสู่ร่างกาย ถึงแม้ว่าไขมันที่ทำการคัดแยกออกมาแล้วจะสามารถทำการเก็บรักษาไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ แต่อัตราการรอดของไขมันที่นำมาใช้ก็มีน้อยมาก ดังนั้นการนำไขมันมาใช้ในการเสริมและแก้ไขปัญหามักจะใช้ในทันทีมากกว่าเก็บรักษาไว้ใช้ในอนาคต    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การปฏิบัติตนหลังฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกาย

เมื่อได้ไขมันที่มีคุณภาพสามารถนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว แพทย์จะใช้เข็มฉีดยาที่มีขนาดเล็กและต่อกับเข็มที่มีลักษณะปลายทู่ ทำการฉีดสารที่มีลักษณะเป็นร่างแห ไม่ทำการฉีดเป็นก้อน ๆ เข้าสู่ร่างกาย เพราะจะทำให้ไขมันเข้าไปอยู่กันเป็นกลุ่ม และส่งผลให้ผิวหนังมีลักษณะที่ขรุขระ ซึ่งการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายจะต้องระวังภาวะที่เลือดไม่แข็งตัวหรือในคนที่มีการรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งก่อนที่จะทำการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายจะต้องทำการแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง และหลังจากที่ทำการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายแล้วจะต้องปฏิบัติตนดังนี้

1.ห้ามนวดหรือคลึงบริเวณที่ทำการฉีดไขมันเข้าไป
2.งดสูบบุหรี่หรืออยู่ในที่มีควันบุหรี่
3.งดทานยาที่มี่สรรพคุณในการลดน้ำหนัก
4.งดออกกำลังกายหลังจากฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายอย่างน้อย 2 สัปดาห์

การฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นการเสริมขนาดของอวัยวะ การลดรอยแผลเป็นหรือเพื่อจุดประสงค์อื่น ก็เป็นการรักษาเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากเมื่อไขมันเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงในทันที เซลล์ไขมันส่วนดังกล่าวจะตายและเกิดการสลายตัวในเวลาต่อมา ทำให้ไขมันมีโอกาสที่จะยุบตัวลงได้ ซึ่งอัตรารอดของมันจะมีเพียงร้อยละ 20-60 เท่านั้น นั่นหมายความว่าเมื่อฉีดไขมันเข้าไป 100 กรัม ไขมันจะเหลือเพียง 20- 60 กรัมเท่านั้น ซึ่งการที่ไขมันจะคงอยู่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
1.ขนาดที่ทำการฉีด ถ้าขนาดของไขมันที่ฉีดเข้าไปมีขนาดที่ใหญ่โอกาสที่เลือดจะเข้าไปหล่อเลี่ยงไขมันที่ส่วนกลางของไขมันจะเป็นไปได้ยาก ทำให้ไขมันมีโอกาสที่จะตายมากกว่าการฉีดไขมันที่มีขนาดเล็ก
2.การสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์เกิดการหดตัว ทำให้เลือดไม่สามารถเข้าไปหล่อเลี้ยงไขมันที่ทำการฉีดเข้าไปได้ จึงทำให้เซลล์ไขมันเกิดการสลายตัวมากขึ้น
3.ลักษณะการฉีดไขมัน การฉีดไขมันที่มีลักษณะเป็นร่างแหที่โปร่งไม่แน่นมากจะทำให้ไขมันมีโอกาสที่จะรอดมากกว่าการฉีดไขมันเป็นกลุ่มก้อน

สำหรับการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายแล้ว บางครั้งผิวหนังบริเวณดังกล่าวอาจจะมีลักษณะไม่เรียบเนียนหรือมีลักษณะเป็นคลื่นขนาดเล็ก ซึ่งเมื่อเกิดลักษณะดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคนิค Microfat ที่ทำให้ไขมันมีโมเลกุลที่เล็กลงแล้วจึงทำการฉีดไขมันเข้าไปเพื่อปรับผิวให้เรียบ ซึ่งต้องทำการสังเกตว่าที่ผิวไม่เรียบเนื่องจากไขมันเป็นก้อนหรือว่ามีการเกิดก้อนเนื้อที่เรียกว่า “ซีสต์” อยู่ภายใน ถ้าไม่เรียบเนื่องจากก้อนซีสต์จะต้องทำการเจาะเอาก้อนซีสต์ดังกล่าวออกมา และเมื่อระยะเวลาผ่านไปไขมันที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการยุบตัวลงอย่างช้า ๆ ซึ่งประมาณ 1 ปีขึ้นไปลักษณะการยุบตัวจะเห็นได้ชัดเจน แต่ในบางรายการยุบตัวของไขมันอาจจะสามารถสังเกตได้ชัดก่อนระยะเวลา 1 ปี ก็สามารถทำการฉีดไขมันเพิ่มไปยังบริเวณที่เกิดการยุบตัวของไขมันได้ แต่ปริมาณที่แพทย์แนะนำให้ทำการฉีดเพิ่มจะขึ้นอยู่กับอายุของผู้ที่ต้องการฉีด โดยผู้ที่มีอายุสูงสามารถฉีดได้ในปริมาณที่มากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเกิดขึ้นน้อยกว่านั่นเอง และไขมันที่นำมาฉีดเพื่อเสริมสร้างและแก้ไขข้อบกพร่องของร่างกายไม่สามารถที่จะใช้ไขมันที่มาจากบุคคลอื่น เพราะมีความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านมาก

[adinserter name=”sesame”]

ปัจจุบันนี้การดูดไขมันและการนำไขมันที่ดูดมาทำการฉีดเพื่อใช้ในการเสริมและแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ได้มีการพัฒนาทั้งวิธีการและเทคนิคด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อช่วยเพิ่มการประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น สามารถทำการดูดไขมันออกมาได้อย่างเฉพาะเจาะจงและสามารถดูดได้ในปริมาณที่เหมาะสมจนสามารถสร้างรูปร่างให้ชัดเจนสมส่วนมากที่สุด และยังส่งผลให้สามารถสังเกตเห็นกล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวได้อย่างชัดเจน รวมถึงการฉีดไขมันเข้าไปสู่บริเวณที่ต้องการสามารถเสริมส่วนที่ต้องการให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือทำการปกปิดส่วนที่มีข้อบกพร่องได้อย่างเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ และสามารถความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนให้น้อยลง จึงทำให้การดูด ไขมันส่วนเกิน และการฉีดไขมันมีความปลอดภัยมมากขึ้น แต่การดูด ไขมันส่วนเกิน ออกจากร่างกายและการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายไม่สามารถทำให้รูปร่างสวยงามได้ตลอดไป แต่ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องทำควบคู่กับการดูแลร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้รูปร่างที่สวยงามสมส่วนก็จะอยู่กับคู่กับเรือนร่างของคุณไปตลอด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Glicenstein, J (1989). “L’affaire Dujarier” [Dujarier’s case]. Annales de Chirurgie Plastique Esthétique (in French). 34 (3): 290–2. PMID 2473691.

Sterodimas, A; Boriani, F; Magarakis, E; Nicaretta, B; Pereira, LH; Illouz, YG (March 2012). “Thirtyfour years of liposuction: past, present and future”. European review for medical and pharmacological sciences. 16 (3): 393–406. PMID 22530358.