รู้มะเร็งแบบลึกๆ คุณต้องอ่านให้ดีๆ ( Pathophysiology of Cancer )

0
รู้มะเร็งแบบลึกๆ คุณต้องอ่านให้ดีๆ (Pathophysiology of Cancer)
พยาธิสรีรวิทยา คือศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการอธิบายขั้นตอน กระบวนการ หรือกลไกการทำงานของเซลล์ เนื้อเยื่อและระบบของอวัยวะที่เกิดความผิดปกติที่ทำให้เกิดโรค
รู้มะเร็งแบบลึกๆ คุณต้องอ่านให้ดีๆ (Pathophysiology of Cancer)
นิวเคลียส มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ สังเคราะห์ DNA RNA และโปรตีน ควบคุมการถ่ายทอดยีนส์

พยาธิสรีรวิทยาของมะเร็ง ( Pathophysiology of Cancer )

คุณรู้ไหมว่า Pathophysiology คืออะไร ? หลายคนไม่เคยได้ยินคำนี้หรือถึงได้ยินก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เรามาทำความรู้จักกับ Pathophysiology หรือพยาธิสรีรวิทยากันดีกว่าค่ะ และคำคำนี้มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับมะเร็งยังไงบ้าง พยาธิสรีรวิทยาของมะเร็ง ( Pathophysiology of Cancer ) คือศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการอธิบายขั้นตอน กระบวนการ หรือกลไกการทำงานของเซลล์ เนื้อเยื่อและระบบของอวัยวะที่เกิดความผิดปกติที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ซึ่งโรคทุกโรคจะมีขั้นตอนและกลไกเกิดขึ้นเสมอ แต่จะมีกลไลที่ต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุของโรคมะเร็ง

ก่อนที่เราจะไปรู้ถึง พยาธิสรีรวิทยาของมะเร็ง ( Pathophysiology of Cancer ) นั้น เรามาทำความรู้จักกับเซลล์ในตัวเรากันก่อน เพราะว่าเซลล์นี้แหละที่เป็นต้นกำเนิดของมะเร็งทุกชนิด เมื่อเรารู้จักเซลล์แล้วเราก็จะเข้าใจการพยาธิสรีรวิทยาของโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้น เซลล์หน่วยที่เล็กที่สุดในร่างกายของเรา ร่างกายจะประกอบด้วยเซลล์นับล้านล้านเซลล์เข้าด้วยกัน เซลล์รวมตัวกันเป็นอวัยวะ อวัยวะรวมตัวกันเป็นร่างกาย ซึ่งภายในเซลล์ประกอบด้วย

1. เยื่อหุ้มเซลล์ ( Cell Membrane ) มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ ประกอบด้วยโปรตีนและไขมัน ทำหน้าที่รักษารูปร่างของเซลล์ และรับสารอาหาร น้ำ ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์พร้อมทั้งนำของเสียออกจากเซลล์

2. ไซโตพลาสซึม ( Cytoplasm ) มีลักษณะเป็นของเหลว ประกอบด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตและเกลือแร่ มีหน้าที่ในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์และสลายของเสียในเซลล์

3. นิวเคลียส ( Nucleus ) มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ สังเคราะห์ DNA RNA และโปรตีน ควบคุมการถ่ายทอดยีนส์ ควบคุมสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ให้ทำงานเป็นปกติ ภายในของนิวเคลียสประกอบด้วย ดีออกซีไรโบนิวคลีอิก ( Deoxyribonucleic Acid ) หรือ DNA และไรโบนิวคลีอิก ( Ribonucleic Acid ) หรือ RNA ซึ่งทั้งเรียกสารทั้งสองตัวนี้ว่า “ ยีนส์ ”

ยีนส์ที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์

เรารู้แล้วว่าเซลล์ประกอบด้วยอะไรบ้าง แต่ละส่วนมีหน้าที่อย่างไร ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดมะเร็งก็คือส่วนนิวเคลียสของเซลล์เพราะว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของยีนส์ภายในเซลล์ โดยยีนส์ที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์นั้นเราแบ่งออกเป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ

1. ยีนส์กระตุ้นการแบ่งเซลล์ ( Proto Oncogene ) เป็นยีนส์ที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการแบ่งเซลล์เพิ่มขึ้น โดยเมื่อยีนส์ส่งสัญญาณออกมาเซลล์จะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มขึ้นและเมื่อยีนส์หยุดการส่งสัญญาณเซลล์ก็จะหยุดการแบ่งตัวทันที

2. ยีนส์ยั้บยั้งการแบ่งเซลล์ ( Tumor Suppressor Gene ) เป็นยีนส์ที่ทำหน้าที่ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ โดยเมื่อยีนส์นี้จะส่งสัญญาณให้กับเซลล์จะหยุดการแบ่งตัว แต่เมื่อยีนส์หยุดการส่งสัญญาณเซลล์ก็จะเริ่มการแบ่งตัว

ยีนส์ทั้งสองตัวนี้จะสลับกันทำหน้าที่ นั่นคือ เมื่อยีนส์กระตุ้นทำงานด้วยการส่งสัญญาณให้เซลล์ทำการแบ่งตัว ยีนส์ยับยั้งก็จะหยุดทำงานทันที ในทางกลับกันเมื่อยีนส์ยับยั้งเริ่มทำงานด้วยการส่งสัญญาณให้เซลล์หยุดแบ่งตัว ยีนส์กระตุ้นก็จะหยุดทำงานทันทีเช่นกัน

กลไลการเกิด มะเร็ง เกิดจากการที่ยีนส์กระตุ้นการแบ่งเซลล์หรือยีนส์ยับยั้งการแบ่งเซลล์มีความผิดปกติ ซึ่งมีกลไกในการเกิดมะเร็งแบบง่ายๆ ก็คือ สารก่อมะเร็งหรือตัวกระตุ้นเข้าไปทำลายยีนส์กระตุ้นการแบ่งเซลล์ ( Proto Oncogene ) และยีนส์ยั้บยั้งการแบ่งเซลล์ ( Tumor Suppressor Gene ) จนยีนส์ภายในเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งในระยะแรกที่สารก่อมะเร็งเข้าไปทำลายยีนส์นั้น ยีนส์นี้จะยังไม่มีการแสดงอาการออกมา จะมีแค่การเปลี่ยนแปลงภายในเท่านั้น แต่เมื่อเวลาร่างกายได้รับสารก่อมะเร็งเพิ่มเข้ามาอีก สารก่อมะเร็งนี้จะเข้าไปกระตุ้นยีนส์ที่กลายพันธุ์ให้แสดงอาการออกมา โดยจะเข้าไปเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ยีนส์กลายพันธุ์ให้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นก้อนมะเร็ง การกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตนั้นต้องทำการกระตุ้นหลายๆ ครั้ง เซลล์จึงเจริญเติบโตเป็นก้อนมะเร็งที่มีผลต่อร่างกายได้ ไม่ใช่ว่ากระตุ้นแค่ครั้งเดียวแล้วเซลล์กลายพันธ์จะโตเป็นก้อนมะเร็งได้เลย

จากกลไลการเกิด มะเร็ง เราจะพบว่าการทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์นั้นเกิดขึ้นได้ง่าย แต่การที่จะทำให้เซลล์กลายพันธุ์เจริญเติบโตเป็นมะเร็งนั้น ต้องอาศัยระยะเวลานานกว่าที่สารก่อมะเร็งจะกระตุ้นให้เซลล์กลายพันธุ์เจริญเติบโตเป็นก้อนมะเร็ง นั่นความว่าถึงเราจะมีเซลล์กลายพันธุ์เกิดขึ้นอยู่ในตัวเราแล้ว แต่ถ้าเราไม่รับสารกระตุ้นหรือสารก่อมะเร็งเข้าไปอีก เซลล์กลายพันธุ์ก็จะไม่มีโตขึ้น เราก็จะไม่เป็นมะเร็งได้สิเนี่ย แบบนี้เราก็เลี่ยงสารก่อมะเร็งซะตอนนี้เราก็มีโอกาสรอดจากเป็นมะเร็งได้แล้วสิ

Content by Amprohealth 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชนิดของมะเร็ง

0
ชนิดของมะเร็ง
มะเร็งเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ภายในเซลล์ ทำให้เซลล์มีการเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งและเซลล์นั้นสามารถแพร่กระจายไปทำลายอวัยวะอื่น
ชนิดของมะเร็ง
มะเร็งเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ภายในเซลล์ ทำให้เซลล์มีการเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งและเซลล์นั้นสามารถแพร่กระจายไปทำลายอวัยวะอื่น

ชนิดของมะเร็ง

ถ้าให้จินตนาการคุณคิดว่ามะเร็งเหมือนอะไร? ดิฉันว่าเหมือนหินงอกหินย้อยนะ ก็มันเป็นก้อนๆ มีตะปุ่มตะป่ำรอบเหมือนกับก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็งนี่น่า คุณคิดเหมือนดิฉันไหมคะ แต่ว่าคุณหมอที่ค้นพบมะเร็งคงไม่คิดเหมือนกับดิฉันแน่ๆ หรือไม่คุณหมอก็คงไม่เคยเห็นหินงอกหินย้อยก็เลยไม่รู้ว่ามันเหมือนก้อนมะเร็งมากขนาดไหน แต่คุณหมอนี่จินตนาการล้ำเลิศมากที่บอกว่า เนื้องอกที่เป็นมะเร็งนั้นมีลักษณะเหมือนปูเลยให้ชื่อว่า มะเร็ง ( Cancer ) ที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกจากคำว่า Carcinus หรือ Canker ที่มีความหมายว่า “ปู” ที่คุณหมอให้ชื่อแบบนี้ก็มีเหตุผลนะ เหตุผลที่ว่าก็คือ มะเร็งมีการเจริญเติบโตไปทุกทิศทุกทางอย่างไม่มีแบบแผนที่แน่นอน นั่นคือมะเร็งสามารถเติบโตได้ทั้งทางซ้าย ขวา บนหรือล่าง ซึ่งลักษณะการยื่นออกมาเหมือนกับแขน ขาของปูที่ยื่นออกมารอบตัวแบบไม่มีทิศทางนั่นเอง พอรู้อย่างนี้แล้วเวลากินปูดิฉันจะกล้ากินไหมเนี่ย ถ้าต้องจินตนาการว่ามะเร็งเหมือนปู ความอยากกินปูคงหายไปหมดว่ามั้ยคะ แล้วคุณรู้ไหมว่ามะเร็งเกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดในร่างกายเราได้บ้าง แล้วเราแบ่งชนิดของมะเร็งยังไงกันนะ ถ้ายังไม่รู้เรามาทำความรู้จักกับชนิดของมะเร็งกัน

ระบบการทำงานของร่างกาย

ร่างกายของคนเรานี่ประกอบไปด้วยอวัยวะหลายอย่างที่ทำงานร่วมกันเป็นระบบต่อเนื่องกัน การทำงานของอวัยวะจะสอดประสานกันเป็นอย่างดีเป็นผลทำให้ร่างกายสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ โดยที่ร่างกายของเรานั้นประกอบไปด้วย 11 ระบบ ดังนี้

1. ระบบประสาท ระบบทำหน้าที่รับและส่งต่อความรู้สึกไปยังส่วนต่างของร่างกาย

2. ระบบผิวหนัง คือ ผิวหนังด้านนอกที่ทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในร่างกาย และทำให้ร่างกายคงรูปร่าง

3. ระบบย่อยอาหาร คือระบบที่ทำการย่อยอาหารให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อที่ร่างกายจะทำการดูดซึมสารอาหาร

4. มะเร็งระบบทางเดินหายใจ คือระบบที่ทำหน้าที่นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซต์ออกจากร่างกาย

5. ระบบน้ำเหลือง คือ ระบบที่ทำหน้าที่พาสารอาหารจากเลือดส่งให้กับเซลล์ ช่วยให้ระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันทำงานได้เป็นปกติ

6. ระบบเลือด คือ ระบบที่ทำหน้าที่นำพาสารอาหาร ออกซิเจนเข้าสู่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย

7. ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ คือ ระบบที่ช่วยในการสืบพันธุ์ของคนเรา ซึ่งจะมีทั้งระบบสืบพันธุ์เพศหญิงและระบบสืบพันธุ์เพศชาย

8. ระบบขับถ่าย คือ ระบบที่ทำการขับของเสียออกจากร่างกาย

9. ระบบกล้ามเนื้อ คือ ระบบที่ทำงานร่วมกับกระดูกช่วยให้โครงกระดูกเคลื่อนไหวได้

10. ระบบกระดูก คือ ระบบที่มีความแข็งแรงที่สุดของร่างกาย มีหน้าที่ทำให้ร่างกายเป็นรูปร่างและเคลื่อนที่

11. ระบบการได้ยิน คือ ระบบที่ควบคุมการได้ยินของร่างกาย

ระบบในร่างกายเรานี่สุดยอดจริงๆ เลยนะคะ มีตั้งหลายระบบแต่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว มีการสั่งงานและทำงานภายในชั่วพริบตา เหมือนที่ดิฉันเคยบอกว่าร่างกายคนเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์ มันช่างมหัศจรรย์จริงๆนะคะ อวัยวะนี่เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์เล็กๆ หลายล้านเซลล์เข้าด้วยกัน ซึ่งถ้าเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ขึ้นเซลล์เหล่านี้ก็จะเป็นแหล่งกำเนิดของ มะเร็ง แบบนี้ก็แสดงว่าอวัยวะทุกอวัยวะในร่างกายสามารถเกิดมะเร็งได้หมดเลยนะเนี่ย ไม่เว้นแม้แต่กระดูกที่จัดเป็นอวัยวะที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายก็ยังเกิดเป็นมะเร็งกระดูกได้เหมือนกัน ชนิดของมะเร็งเราก็จะมีการเรียกชื่อตามอวัยวะในร่างกายที่เป็นแหล่งกำเนิดของก้อนมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น

ชนิดของมะเร็งที่เกิดขึ้นในร่างกาย

แต่สำหรับคุณหมอแล้วยังต้องหาอีกว่ามะเร็งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรานี่เกิดจากเซลล์ชนิดไหนอีกด้วย ซึ่งวิธีการแบ่งชนิดมะเร็งของคุณหมอ คือ

1. มะเร็งคาร์ซิโนมา ( Carcinoma ) คือ มะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุ

2. มะเร็งซาร์โคมา ( Sarcoma ) คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่ออ่อน (Soft Tissue)

3. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ( Lymphoma )

4.มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemias ) หรือลูคีเมีย

5. มะเร็งผิวหนัง ( Melanoma ) คือ เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิว

การที่คุณหมอต้องแบ่งตามชนิดของเซลล์ ก็เพื่อหาว่าเซลล์ที่ทำให้เกิดมะเร็งนั้นเป็นเซลล์ชนิดไหน จะได้กำหนดและหาแนวทางในการรักษามะเร็งที่เกิดขึ้นได้ถูกต้อง เพราะมะเร็งที่มีแหล่งกำเนิดจากเซลล์ที่ต่างกันก็จะมีวิธีการรักษาที่ต่างกันด้วย แบบนี้คนไข้ก็จะมีสิทธิ์รอดจากมะเร็งมากขึ้นไงคะ เป็นคุณหมอนี่ต้องละเอียดมากจริง เพราะถ้าพลาดเพียงนิดเดียวหมายถึงชีวิตของคนไข้ทั้งชีวิตนี่คะ

มะเร็ง ถึงจะการเรียกชื่อที่ต่างกันตามความต้องการและความเข้าใจของแต่ละคน แต่ว่าสิ่งที่เหมือนกัน คือ มะเร็งเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ภายในเซลล์ ทำให้เซลล์มีการเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งและเซลล์นั้นยังสามารถแพร่กระจายไปทำลายอวัยวะอื่นๆ ได้อีกด้วย มะเร็งจัดเป็นโรคร้ายแรงที่น่ากลัวสำหรับทุกคน แต่ว่ามะเร็งก็เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ ถ้าคุณทำความรู้จักกับมะเร็งดีพอ คุณจะรู้ว่ามะเร็งก็เหมือนโรคทุกโรคที่มีโอกาสรอดและตายได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการเตรียมพร้อมและการรักษาของเราเอง ดิฉันเองตอนนี้พร้อมที่จะรับมือกับมะเร็งทุกอย่างที่จะเข้ามาแล้วค่ะ เพราะดิฉันได้ทำความรู้จักกับมะเร็งมาเป็นอย่างดี แล้วคุณพร้อมที่จะรับมือและป้องกันมะเร็งแล้วหรือยัง?

Content by Amprohealth 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คุณจะอยู่กับมะเร็งอย่างไร ?

0
คุณจะอยู่กับมะเร็งอย่างไร ?
การอยู่กับมะเร็งนี่ไม่ใช่เรื่องยาก คิดเสียว่ามะเร็งเป็นแค่ไข้หวัดชนิดหนึ่งที่รักษาให้หายได้ และปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ
คุณจะอยู่กับมะเร็งอย่างไร ?
การอยู่กับมะเร็งนี่ไม่ใช่เรื่องยาก คิดเสียว่ามะเร็งเป็นแค่ไข้หวัดชนิดหนึ่งที่รักษาให้หายได้ และปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ

คุณจะอยู่กับมะเร็งอย่างไร ?

ฉันจะเป็น มะเร็ง แล้วทำยังไงดี? ดิฉันได้เคยบอกวิธีรับมือเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งกันมาแล้วว่าเราต้องทำยังไงบ้าง เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ทรมานจากการรับรู้ว่าเป็นมะเร็ง มาคราวนี้ดิฉันจะมาบอกว่าเมื่อเราเป็นมะเร็งแล้วเราจะอยู่กับมะเร็งยังไงให้เป็นสุข จริงๆ แล้วดิฉันต้องขอออกตัวไว้ก่อนนะว่าดิฉันไม่ใช่นักพูดให้กำลังใจหรือโค้ชชีวิตมืออาชีพหรอกนะคะ เดี๋ยวใครๆ จะบอกว่ารู้ดีจริงนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาบอกเล่านี่ก็ล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวดิฉันกับคนใกล้ชิดที่ผ่านการรักษามะเร็งมาแล้วทั้งสิ้น และอยากนำมาบอกเล่าเพื่อสร้างกำลังใจและการทำตัวที่ถูกต้องในการอยู่กับมะเร็ง เพื่อลดความเครียด ความวิตกกังวลของคนป่วย ตอนแรกที่รู้ว่าเป็นมะเร็งกว่าจะตั้งหลักได้ก็พักใหญ่ทีเดียว กว่าที่ดิฉันจะกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนก่อนที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง แต่ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะกำลังใจจากคนรอบตัว ทั้งสามี ลูกและญาติผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน สิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าดิฉันโชคดีกว่าอีกหลายคนมาก ก็คือดิฉันมี ตัวอย่างของคนที่รักษามะเร็งจนหายดี มีชีวิตรอดจากมะเร็งร้ายอยู่ใกล้ตัว ทำให้ดิฉันมีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งคนนั้นก็คือคุณป้าของดิฉันเอง ป้าป่วยเป็นมะเร็งเต้านมเมื่อตอนอายุ 40 ปีเหมือนกับดิฉัน และท่านก็รักษาตัวและมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ป้าอายุก็ปาเข้าไปจะ 80 ปีแล้วค่ะ มีร่างกายที่แข็งแรงตามวัยของแก่ เดินได้ พูดรู้เรื่องทุกอย่างแถมยังขี้บ่นตามประสาคนแก่อายุ 80 ค่ะ แล้วแบบนี้เราจะมัวแต่กลัวมะเร็งกันอยู่ทำไมคะ เรามาดูว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่กับมะเร็งยังไงดี

1. คิดบวก ป่วยเป็น มะเร็ง จะให้คิดบวกอีกเหรอบ้าหรือป่าวเนี่ย? ไม่บ้าค่ะ คุณรู้ไหมคะ ว่าการคิดบวกเป็นการลดความเครียดและสร้างกำลังใจให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเราไม่มีกำลังใจต่อให้คนร้อยคนมาพูดเราก็ไม่มีแรงสู้หรอกค่ะ การคิดบวกในที่นี่ไม่ได้ให้คิดว่าคุณไม่เป็นมะเร็งนะคะ แต่ให้คุณคิดว่ามะเร็งที่คุณเป็นอยู่สามารถรักษาให้หายได้ คุณมีโอกาสหายจากโรคมะเร็งที่เป็นได้ คุณรักษามะเร็งให้หายได้แน่นอน ดิฉันแนะนำว่าให้บอกตัวเองอย่างนี้ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งก็ได้ คำเหล่านี้จะค่อยซึมซับเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ และคุณก็จะมีความเชื่อมั่นว่าคุณรักษามะเร็งหายได้อย่างแน่ๆ เมื่อเรารู้สึกว่าเดี๋ยวเราก็หายเราก็จะมีกำลังใจในการรักษาตัว มีความสุขที่ได้รับการรักษา ก็เหมือนกับที่เรากินยาแก้ไขหวัดนั่นแหละค่ะ เรารู้ว่าเรากินยาแล้วเดี๋ยวเราก็หาย เราจึงมีความตั้งใจในการกินยาและเราก็หายป่วยจริงๆ ตามที่เราคิด และที่สำคัญเมื่อเราคิดบวกเราก็มองว่ามะเร็งเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ที่แก้ไขได้ ทำให้จิตใจเราสบายไม่มีความเครียด มะเร็งก็ไม่ลุกลามไปมากกว่าเดิม เชื่อมั้ยคะ ในบางรายหมอบอกว่ามะเร็งที่เป็นอยู่ในขั้นที่รุนแรงแล้ว มีโอกาสรักษาหายแค่ 20 % เท่านั้นเอง แต่เจ้าตัวไม่เครียดปล่อยวางพร้อมทั้งทำการรักษาไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ามะเร็งที่เป็นหายไปเองเลยค่ะ หมอยังตกใจเลยว่าทำไมถึงหายเร็วกว่าที่หมอคิดมากนัก มะเร็งมันกลัวใจเราค่ะ เมื่อเราไม่กลัวมัน เราทำการรักษาอย่างถูกต้องเมื่อนั้นมะเร็งจะกลัวเราจนฝ่อไปเอง

2.เชื่อหมอ อย่าคิดเองหรือเชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่หมอรักษาเรานะคะ เพราะไม่มีใครที่รู้ว่าเราเป็นอย่างไรนอกจากตัวเราเองและคุณหมอที่ทำการรักษาเรา คุณหมอนัดเมื่อไหร่ สั่งห้ามทำอะไร สั่งให้ทำอะไร เราต้องทำตามทุกอย่างเลยนะ ทั้งเรื่องการกิน เรื่องนอน เรื่องการปฏิบัติตัวทุกอย่าง เพราะเวลาที่เราเป็น มะเร็ง นั้น คุณหมอจะมีอาหารที่ห้ามรับประทานและอาหารที่ให้รับประทาน การนอนพักผ่อนว่าต้องนอนกี่ชั่วโมงต่อวัน แต่ละวันต้องทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่ว่าคุณหมอห้ามยกของหนักเกิน 3 กิโลกรัมแต่เรายังต้องไปยกของที่มีน้ำหนักเกิน 3 กิโลกรัม แบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อตัวเราและการรักษามะเร็งของคุณหมอแน่ๆ ค่ะ เมื่อคุณหมอนัดเราต้องไปทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่สะดวกก็ไม่ไปไม่ได้เด็ดขาดค่ะ เพราะการรักษามะเร็งต้องอาศัยความต่อเนื่องถึงจะรักษาให้หายขาดได้ ตัวดิฉันเองตอนนี้คุณหมอก็ยังนัดอยู่ปีละ 2 ครั้งเป็นการนัดเพื่อตรวจว่ามีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นมาอีกหรือป่าว แต่ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะว่าถ้าดิฉันเป็นมะเร็งอีกดิฉันก็รักษาอีก เดี๋ยวก็หายกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับลูกและสามีได้เหมือนเดิม

3.เลือกกิน เรื่องกินเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคนที่เป็น มะเร็ง มากทีเดียวนะคะ เพราะว่าเมื่อเรามีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นภายในตัวแล้ว เรายังกินอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งเข้าไปอีก เจ้ามะเร็งก็จะกระจายตัวและโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เราจึงควรเลือกกินอาหารที่ไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการทำให้เกิดโรคมะเร็ง ให้เลือกกินผักและผลไม้สดที่ไม่มีสารตกค้าง เช่น กล้วย ทับทิม แอปเปิ้ล ส้ม ฝรั่ง มะขามป้อม มะละกอ แก้วมังกร มังคุด เป็นต้น งดเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงให้เปลี่ยนมากินเนื้อปลาโดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึกที่มีโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ไม่กินอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง อย่าง อาหารหมักดอง กะปิ น้ำปลา หมูยอ กุญเชียง ไส้กรอก ลูกชิ้น อาหารแปรรูปทุกชนิด กินผักสดที่ไม่ใช่ผักที่นิยมกินส่วนยอดเพียงอย่างเดียว เช่น ยอดกระถิน ยอดชะอม ยอดมะระ ยอดฝักทอง เพราะยอดผักพวกนี้มีสารที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ให้หันมากินผักที่หลากสี เช่น กะหล่ำม่วง กะหล่ำดอก มะเขือเทศ แครอท และผักสีเขียวทุกชนิด ดิฉันขอเน้นว่าให้กินผักและผลไม้สด ห้ามกินผักผลไม้แปรรูปทุกชนิดทั้งอบแห้ง แช่อิ่ม ไม่ดีต่อคนเป็นมะเร็งค่ะ

4.ออกกำลังกาย คนเป็น มะเร็ง ก็ต้องออกกำลังกายนะคะ ไม่ใช่ว่าจะนอนพักเพียงอย่างเดียว ตอนที่อยู่โรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัด ฉายรังสีหรือให้เคมีบำบัด ช่วงนั้นอาจจะไม่ต้องออกกำลังกาย แต่พอเรากลับมาอยู่บ้านแล้วดิฉันขอแนะนำว่าให้ค่อยๆ ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ อย่างกวาดบ้าน เช็ดบ้านเบาๆ อย่าเพิ่งออกกำลังแบบหักโหมนะ เดี๋ยวร่าง กายจะทรุดเอา พอรู้สึกว่าเหนื่อยก็ให้หยุดทำงานเสีย หรือทางที่ดีให้ถามคุณหมอเจ้าของไข้ว่าตัวเองสามารถออกกำลังกายอะไรได้บ้าง คุณหมอก็จะให้คำแนะนำกับเรามาเองเลยว่าตอนนี้คุณออกกำลังกายได้แบบไหนบ้าง ออกเป็นเวลากี่นาทีหรือว่ายังไม่ควรออกกำลังกาย เพราะสภาพร่างกายของแต่ละคนนั้นต่างกันจะให้ออกกำลังกายเหมือนกันก็คงไม่ได้จริงมั้ยค่ะ ตอนนี้ดิฉันหายจากมะเร็งแล้วก็หันมาออกกำลังกายทุกวัน ทั้งขี่จักรยาน เต้นแอโรบิค บางทีก็วิ่งค่ะ

การอยู่กับ มะเร็ง นี่ไม่ใช่เรื่องยากเลยว่ามั้ยค่ะ คิดเสียว่ามะเร็งเป็นแค่ไข้หวัดชนิดหนึ่งที่เรารักษาให้หายได้ เพียงเท่านี้การอยู่กับโรคมะเร็งก็ไม่ยากจริงไหมค่ะ ดิฉันเคยผ่านมาแล้วเลยอยากแบ่งปันให้กับคนอื่นได้รับรู้บ้าง ถึงแม้ว่าจะเพียงสิ่งเล็กๆ ที่ดิฉันจะทำได้ ดิฉันก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับใครหลายๆ ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับมะเร็ง มะเร็งที่ว่าร้ายแต่ก็ไม่ร้ายเท่ากับการที่เราสิ้นหวัง เพราะมะเร็งรักษาให้หายได้แต่ถ้าเราสิ้นหวังเราจะไม่มีวันรักษามะเร็งให้หายได้เลย

Content by Amprohealth 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คุณกำลังเป็นมะเร็งอะไร ?

0
คุณกำลังเป็นมะเร็งอะไร ?
การที่จะรูว่าเป็นมะเร็งอะไรนั้นต้องสังเกตจากอาการและความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้น และแสดงออกมาสามารถบอกได้ว่า ตอนนี้กำลังเป็นมะเร็งอะไร
คุณกำลังเป็นมะเร็งอะไร ?
การที่จะรูว่าเป็นมะเร็งอะไรนั้นต้องสังเกตจากอาการและความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้น และแสดงออกมาสามารถบอกได้ว่า ตอนนี้กำลังเป็นมะเร็งอะไร

คุณกำลังเป็นมะเร็งอะไร ?

ดิฉันเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเป็น มะเร็ง แต่ว่าบางคนก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นมะเร็ง อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือความจำเป็นที่ต้องอยู่กับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ดังนั้นเราจึงต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่เรื่อยๆ เพราะว่าอาการและความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้นและแสดงออกมานั้น สามารถบอกเราได้นะว่า ตอนนี้เรากำลังเป็นมะเร็งอะไรอยู่ แล้วอาการอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าเราเป็นมะเร็งชนิดไหน วันนี้ดิฉันจะพูดถึงอาการของมะเร็ง 6 อันดับต้นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ที่มีคนไทยเป็นกันมากทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แล้วมาดูกันสิว่าถ้าคุณมีอาการอย่างนี้ คุณจะกำลังเป็นมะเร็งอะไร

1.มะเร็ง เต้านม มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นกันมากที่สุดเลย เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปของร่างกาย ไม่ว่าจะมาจากอายุที่ถึงวัยหมดประจำเดือน การเป็นโรคอ้วนทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งจะทำให้เซลล์เต้านม ท่อน้ำนมและต่อมน้ำเหลืองบริเวณภายในเต้านมหรือใต้รักแร้เกิดการแบ่งตัวอย่างผิดปกติ อาการของมะเร็งเต้านมก็คือการมีก้อนเนื้อเกิดขึ้นบริเวณภายในเต้านมหรือบริเวณรอบเต้านมรวมถึงบริเวณใต้รักแร้ของด้วย สำหรับบางคนอาจจะมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกมาจากเต้านมโดยไม่ทราบสาเหตุ มีตุ่มสิวหรือก้อนเนื้อขึ้นบริเวณหัวนม รู้สึกเต้านมบวมเป่งขึ้นและอาจจะมีอาการปวดที่เต้านม ซึ่งในบางรายอาจจะมีอาการวิงเวียนศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย เนื่องจากภาวะฮอร์โมนของร่างกายมีความผิดปกติ

2.มะเร็ง ลำไส้และทวารหนัก มะเร็งลำไส้จะพบมากในคนที่มีระบบขับถ่ายผิดปกติ เกิดจาการที่เซลล์ลำไส้ใหญ่โดนทำลายด้วยอนุมูลอิสระทำให้ยีนส์ของเซลล์เปลี่ยนแปลงไปและมีการแบ่งเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งจนเกิดเป็นก้อนเนื้อในลำไส้ ซึ่งลำไส้ของคนเรามีความยาว 1.5-1.8 เมตรนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ทุกที่ อาการของคนที่เป็นมะเร็งลำไส้แล้วก็คือ ท้องผูกเป็นประจำทำให้สิ่งสกปรกเกิดการตกค้างอยู่ภายในลำไส้ เกิดเป็นสารพิษเข้าไปทำลายเซลล์ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นหรือทำให้เกิดการอักเสบจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง หรือในบางรายก็จะมีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย ถ่ายมีเลือดหรือมูกที่มีเลือดผสมอยู่ออกมาด้วย เนื่องจากสภาพของลำไส้อ่อนแอเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้ามาก็ทำให้ท้องเสีย แต่เมื่อเชื้อโรคโดนขับออกไปจนหมดก็กลับมาท้องผูกอีก หรือเวลาที่ถ่ายออกมามีเลือดผสมมาด้วย หลายคนคิดว่าเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวารหนักจึงไม่ใส่ใจแต่ถ้ามีอาการท้องบวมแข็งร่วมด้วย รู้สึกปวดท้องแน่นท้องและเวลาที่ขับถ่ายขนาดของอุจจาระก็มีขนาดที่เล็กลงเพราะมีก้อนเนื้อบังลำไส้ทำให้ของเสียหลุดลอดออกมาได้น้อย ขนาดอุจจาระจึงมีขนาดเล็กลงนั้นเอง มีน้ำหนักลดลงทั้งที่หน้าท้องไม่ยุบลงเลย ขอให้ท่านพึงระวังไว้ว่าคุณอาจจะกำลังเป็นมะเร็งลำไส้หรือทวารหนักอยู่ก็ได้

3.มะเร็ง ปอด เกิดจากที่เซลล์และเนื้อเยื่อภายในปอดโดนทำลาย จนยีนส์ของเซลล์และเนื้อเยื่อภายในปอดเกิดความผิดปกติและทำการแบ่งเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ก้อนเนื้อที่โตขึ้นเข้าไปอุดตันช่องแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนภายในปอดโดยมีสาเหตุหลักๆ จากได้รับควันบุหรี่ทั้งคนที่สูบเองและคนที่สูดดมควันบุหรี่เข้าไปจะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าคนปกติ 20 -30 เท่า รวมถึงการได้รับควันรถยนต์ ควันจากการเผาไหม้ขยะ เศษใบไม้ พลาสติกและควันจากการปิ้งย่างอาหารเพื่อรับประทานล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ทั้งสิ้น คนที่เริ่มเป็นมะเร็งปอดจะมีอาการไอเรื้อรัง ไอต่อเนื่องเป็นหลายเดือนรักษา เวลาไอรู้สึกเจ็บหน้าอก ไอแล้วมีเลือดออกมาด้วย เสียงแหบ หายใจหอบหรือเวลาหายใจรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ เหนื่อยง่ายหรือรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยตลอดเวลา เบื่ออาหารและน้ำหนักลดลงอย่างไร้สาเหตุ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้อย่านิ่งนอนใจนะ ต้องรีบไปหาคุณหมอแล้วค่ะ เพราะคุณกำลังเป็นมะเร็งปอดแล้วนะ

4.มะเร็ง ปากมดลูก เกิดจากติดเชื้อไวรัส HPV ( Human Papillomavirus ) ที่บริเวณปากมดลูกหรืออวัยวะเพศ โดยเชื้อไวรัสนี้จะไปกระตุ้นให้เซลล์ปากมีการแบ่งตัวมากขึ้น ถ้าเชื้อไวรัสนี้เกิดขึ้นภายนอกเซลล์ที่แบ่งตัวออกมาจะมีลักษณะคล้ายหูดเกิดขึ้น การติดเชื้อ HPV เกิดจากการที่มีเพศสัมพันธ์ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ การมีเพศสัมพันธ์เมื่อมีอายุน้อยกว่า 16 ปีและการมีลูกเป็นจำนวนมาก อาการของคนที่เริ่มเป็นมะเร็งปากมดลูกคือ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นประจำเดือน ประจำเดือนมามากหรือน้อยผิดปกติ มีตกขาวปนเลือดมีกลิ่นเหม็น เจ็บช่องคลอดทั้งขณะมีเพศสัมพัศธ์และมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เบื่ออาหาร ปวดท้องน้อยหรือเชิงกรานเป็นประจำ บางคนอาจมีอาการปวดหลังร่วมด้วย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อาการเหล่านี้ ดิฉันขอเตือนให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะที่ค่อนข้างอันตรายแล้วนะคะ ทางที่ดีคุณควรที่จะตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปีเพื่อที่จะได้พบมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก จะได้มีโอกาสรักษาหายมากขึ้นค่ะ ไม่ต้องอายหมอนะคะ ถ้าอายหมอแล้วเสี่ยงกับการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก ดิฉันว่าอย่าอายจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของชีวิตเราไงค่ะ

5.มะเร็ง ตับ มะเร็งตับนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายในตับ ต่อมน้ำเหลืองและท่อน้ำดี มีสาเหตุมาจากการที่ภายในตับเกิดการอักเสบหรือเซลล์ตับถูกทำลายจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ร่วมถึงการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับซึ่งเป็นที่มาของมะเร็งท่อน้ำดี และสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับคือการดื่มเหล้าเป็นประจำ อาการของคนที่เป็นมะเร็งตับคือ อยู่ดีๆ ก็จุกหน้าเสียดแน่นที่ชายโครงด้านขวา ปวดท้อง ตัวเหลืองผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างเห็นได้ชัด ตาเหลือง มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อท้องบวม อ่อนเพลีย เบื่ออาหารและน้ำหนักลดลงผิดปกติ เมื่อทำการคลำบริเวณชายดครงด้านขวาอาจจะพบว่ามีก้อนเนื้ออยู่ด้วย นี่เป็นอาการของคนที่เป็นมะเร็งตับ มะเร็งตับสามารถตรวจคัดกรองเพื่อหาสารบ่งชี้การเป็นมะเร็งได้นะคะ ถ้าใครสงสัยว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งตับหรือไม่สามารถไปทำการตรวจได้ โดยเฉพาะคนที่ดื่มเหล้าจัดนั้นถือว่ามีอัตราเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับสูงมาก 

6.มะเร็ง ช่องปาก เกิดจาการอวัยวะในช่องปากมีความผิดปกติ โดยเฉพาะเซลล์เนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่ภายในช่องปากจะมีการแบ่งตัวที่ผิดปกติเกิดเป็นมะเร็งชนิดสแควมัส (Squamous Cell Carcinoma) สาเหตุของมะเร็งช่องปากคือการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพสารเสพติด การติดเชื้อ HPV จากการนำปากไปสัมผัสกับอวัยวะเพศของผู้ที่มีเชื้อ HPV อยู่ซึ่งเชื้อนี้มีทังในอวัยวะเพศผู้หญิงและผู้ชาย และการเกิดอักเสบของเนื้อเยื่อในช่องปากเป็นประจำ ทำให้เซลล์เกิดการแบ่งตัวมากขึ้นจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง เช่น การเสียดสีของฟันคุด การใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดีกับปาก เป็นต้น อาการของผู้ที่เป็นมะเร็งช่องปากคือ มีตุ่มหรือก้อนเนื้อในช่องปาก ลิ้นหรือเยื่อบุปากเป็นฝ้าสีขาวๆ ไม่ยอมหาย เวลากดที่ลำคอพบว่ามีก้อนเนื้ออยู่ในคอ มีเลือดออกจากแผลในช่องปากนานผิดปกติ นี่คืออาการของคนที่เป็นมะเร็งช่องปาก นอกจากอาการของ มะเร็ง แต่ละชนิดแล้ว ถ้าบางคนมีอาการลิ้นเป็นฝ้า ไอหรือเจ็บคอเรื้อรัง ปวดตามอวัยวะต่างโดยไม่รู้ต้นเหตุปวดบ่อยและปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ระบบย่อยอาหารผิดปกติ เดี๋ยวท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเสียหรือท้องผูก อยู่ดีๆ ก็มีเลือดออกตามอวัยวะ เช่น ปากมดลูก ลำคอ ช่องปาก ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ดิฉันแนะนำให้คุณหาหมอเพื่อทำการตรวจอย่างเร่งด่วนเลยนะคะ เพราะว่าคุณอาจจะกำลังมีเนื้องอกร้ายที่กลายเป็นมะเร็งเกิดขึ้นแล้วก็ได้นะคะ การที่มะเร็งแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ แสดงว่าเชื้อมะเร็งเริ่มส่งผลร้ายต่อร่างกายแล้ว คุณต้องรีบตรวจให้พบว่าเป็นมะเร็งอะไร ยิ่งคุณตรวจพบเร็วเท่าไหร่คุณก็มีโอกาสที่จะรักษามะเร็งให้หายได้มากขึ้น อย่างดิฉันไงคะ ที่ตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรก ตอนนี้ทำการรักษาจนหายเป็นปกติแล้วค่ะ

Content by Amprohealth 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เมื่อคุณเป็นมะเร็งแล้ว จะเริ่มต้นอย่างไร ?

0
เมื่อคุณเป็นมะเร็งแล้ว จะเริ่มต้นอย่างไร ?
ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งที่เป็น อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับมะเร็ง จากกูเกิ้ลและแผ่นพับ อาการและการรักษาการปฏิบัติตัว
เมื่อคุณเป็นมะเร็งแล้ว จะเริ่มต้นอย่างไร ?
ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับอาการ การปฏิบัติตัว การรักษา และระยะของชนิดมะเร็งที่เป็น

เมื่อคุณเป็นมะเร็งแล้ว จะเริ่มต้นอย่างไร ?

ฉัน เป็นมะเร็ง !!! ครั้งแรกที่ได้ยินว่าตัวเองเป็นมะเร็งเชื่อว่าทุกคนก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างจากดิฉันและครอบครัว เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งดิฉันช็อก! เหมือนโลกทั้งโลกตรงหน้ามันพังทลายจนหมดสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามันดับวูบ เห็นแต่ภาพปากของคุณหมอขยับไปขยับมาพูดกับเรา แต่หูมันฟังไม่รู้เรื่องแล้ว สมองมันเบลอไปหมดไม่รับรู้แล้วว่าหมอพูดกับเราว่าอะไรบ้าง อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก มันจุกอยู่ในอก เรียกว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย พอออกห้องตรวจเจอหน้าแฟนที่มาเป็นเพื่อนฟังผลตรวจเท่านั้นแหละค่ะ น้ำหูน้ำตาไม่รู้ว่ามาจากไหนมันไหลออกมาไม่หยุด เลย แฟนก็ตกใจมากที่อยู่ดีๆ เราก็ร้องไห้ออกมา แต่เค้าก็คงรู้ว่าผลตรวจของออกมายังไง เค้าได้แต่กอดเราแน่นๆ ที่ตาก็มีน้ำตาไหลคลอออกมาเช่นเดียวกับเรา เรากอดกันร้องไห้อยู่พักใหญ่ ตอนนั้นดิฉันไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้วค่ะ ใครจะมองยังไงรู้สึกยังไงกับการที่เรามานั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องตรวจแบบนี้ ตอนนั้นคิดแต่ว่าทำไมดิฉันถึงได้โชคร้ายแบบนี้นะ ทำไมดิฉันต้องเป็นมะเร็งด้วย ทำไม ทำไม ถามตัวเองอยู่อย่างนั้น ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่ได้รับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งในครั้งแรกก็คงมีอาการเหมือนกับที่ดิฉันแทบทุกคน แต่เมื่อนึกย้อนจากวันนั้นจนมาถึงวันนี้วันที่ดิฉันหายจากโรคมะเร็งแล้ว ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคนที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งเป็นอย่างดี ดิฉันจึงอยากจะนำคำแนะนำดีๆ สำหรับคนที่เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งว่าเราควรจะทำตัวอย่างไร เพื่อที่เราจะก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตนี้ไปได้อย่างสวยงามที่สุด ทั้งเพื่อตัวของเราเองและคนรอบข้างที่รัก

1. ตั้งสติ ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่ได้ยินว่าตัวเอง เป็นมะเร็ง สติไม่อยู่กับตัวแล้ว ความคิดมันจะวิ่งไปถึงภาพคนที่ตายด้วยมะเร็ง คิดว่าเราจะอยู่ได้กี่ปีกี่เดือนเนี่ย เราจะต้องตายใช่ไหม มะเร็งที่เราเป็นร้ายแรงแค่ไหนกัน มะเร็งที่เป็นจะรักษาหายไหม กับอีกหลายคำถามที่สร้างความหดหู่และสิ้นหวังให้กับตัวเอง ไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลย คุณหมอพูดอะไรมาก็ยังฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะและก็จมอยู่กับความทุกข์ ความสิ้นหวังอยู่อย่างนั้นเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี บางคนตีโพยตพายโทษโชคชะตาว่าทำไมชีวิตช่างโชคร้ายกับตัวเองขนาดนี้ ทำให้คนรอบข้างรู้สึกเป็นทุกข์ตามเราไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่แรกที่ต้องทำคือ พยายามตั้งสติให้ดี อยู่นิ่งๆ ค่อยคิดๆ ค่อยๆ ฟัง และพิจารณาต่อว่าคุณจะต้องทำยังไงต่อไป อย่าตีโพยตีพายหรือโวยวาย แต่ถ้าคุณทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะค่ะแต่ให้ทำแค่วันที่รู้ว่าตัวเอง เป็นมะเร็ง วันแรกก็พอแล้วค่ะ สำหรับบางคนการปลดปล่อยอารมณ์ไปก็จะทำให้เราสบายใจและตั้งสติได้ง่ายขึ้น ดิฉันเองก็ยอมรับว่าวันแรกที่รู้นั้นทั้งร้องไห้โวยวายทั้งวันเลย แต่พอรุ่งขึ้นอีกวันเราเริ่มมีสติและคิดได้ ตัวเองก็สงบลงและหันมาปรึกษาคนในครอบครัวว่าเราจะต้องทำยังไงกันต่อไป

2. ศึกษาหาข้อมูล หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ดิฉันกับแฟนก็หาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งที่ดิฉันเป็น อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับมะเร็ง ทั้งในกูเกิ้ล ทั้งในแผ่นพับที่มีแจก ศึกษาจนมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งชนิดนั้นดีพอ ข้อไหนที่ไม่เข้าใจหรือสงสัยก็จดไว้ถามคุณหมอที่ทำการรักษา จนเดี๋ยวนี้ถ้ามีใครเป็นมะเร็งเต้านมที่ดิฉันเคยเป็น ดิฉันจะบอกเล่าได้ทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม ทั้งอาการและวิธีการรักษาพร้อมทั้งให้กำลังใจกับคนที่เป็นด้วยว่าดิฉันยังรักษาหาย คุณก็รักษาหายไปเหมือนกันนะ

3. ปรึกษาคุณหมอ ครั้งแรกที่เรารับรู้ว่าเราเป็นมะเร็งเต้านม คุณหมอพูดว่าอะไรดิฉันก็ไม่รับรู้แล้วค่ะ คุณหมอเองก็คงเข้าใจดีเลยยังไม่ซักไซ้ดิฉันมากนัก ให้ดิฉันกลับมาทำใจที่บ้านก่อนและทำการนัดครั้งต่อไป เวลาที่ดิฉันมีข้อสงสัยเกี่ยวกับมะเร็งดิฉันถามคุณหมอทุกครั้ง คุณหมอก็ใจดีให้คำตอบกับดิฉันอย่างกระจ่างทีเดียว แถมยังพูดให้กำลังใจดีมากเลยค่ะ ดังนั้นถ้าคุณมีคำถามหรือข้อสงสัยในการรักษา การดูแลตัวเอง คุณอย่าคิดเองเออเองนะคะ ให้สอบถามและปรึกษาคุณหมอทุกอย่าง ทั้งระยะของมะเร็งที่ตรวจพบ อาการที่ต้องระวัง การดูแลตัวเอง สถานที่รักษาและขั้นตอนการรักษา ถามทุกอย่างที่สงสัยค่ะเราจะได้มีความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง จะได้รักษามะเร็งให้หายขาด ไม่ต้องกลัวคุณหมอว่าเราหรอกค่ะ เพราะเราเองก็ไม่เคย เป็นมะเร็ง มาก่อนนี่คะ และก็ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับมะเร็งมาด้วย เราย่อมมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งน้อยกว่าคุณหมอแน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นอยากรู้อะไรถามเพื่อความสบายใจของงเราค่ะ

4. พูดคุยกับคนในครอบครัว หลายคนที่พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งมักจะเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใครแม้แต่กับคนใกล้ชิด ไม่พูดคุยเหมือนก่อนที่จะตรวจเจอมะเร็ง การทำแบบนี้ไม่ดีต่อทั้งตัวคุณเองและคนใกล้ชิดของคุณเป็นอย่างมาก ตัวคุณเองก็จะคิวิตกไปสารพัดจนกลายเป็นความเครียดเกิดขึ้น คนใกล้ชิดก็พลอยเครียดตามคุณไปด้วย เมื่อเห็นคุณวิตกกังวลและเป็นทุกข์กับการที่คุณป่วย เป็นมะเร็ง ทางที่ดีคุณควรพูดคุยเล่าถึงความรู้สึกที่เป็นอยู่ว่ารู้สึกอย่างไร เจ็บปวดตรงไหน กังวลเกี่ยวเรื่องอะไรบ้าง เป็นการระบายความรู้กสึกที่อยู่ข้างในออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ และยังเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดของตัวเองและครอบครัว รับรองว่าพอคุณเล่าให้ทุกคนฟังถึงสิ่งที่คุณเป็นและคุณรู้สึก คุณจะรู้สึกโล่งมาก และเราก็ได้รับรู้อีกว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียว ยังมีคนที่รักเราพร้อมสู้ไปกับเราเป็นกำลังใจและเคียงข้างเราตลอดเวลา คุณรู้ไหมค่ะ ว่าถ้าเราเครียดมากๆ มะเร็งก็จะขยายขนาดได้เร็วขึ้นเป็นเท่าตัวในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วยนะคะ เพราะฉะนั้นห้ามเครียดให้รู้จักปล่อยวางหรือระบายเสียบ้างจะเป็นผลดีต่อการรักษามะเร็งเป็นอย่างมาก

5. หาสถานที่รักษา สำหรับบางคนที่มีทางเลือกในการรักษาก็ให้หาข้อมูลเกี่ยวกับหมอที่ทำการรักษาโรคมะเร็งที่คุณเป็นอยู่ โรงพยาบาลไหนรักษาดี คุณหมอท่านใดที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับมะเร็งที่คุณเป็นมากที่สุด เมื่อคุณพร้อมก็ติดต่อคุณหมอท่านนั้นเพื่อเข้าไปทำการรักษา แต่สำหรับดิฉันที่เป็นคนธรรมดารายได้ไม่มากก็เลือกรักษากับโรงพยาบาลของรัฐที่ทำการตรวจเจอนั่นแหละค่ะ เพราะถึงแม้คุณหมอที่ทำการรักษาดิฉันจะไม่ได้เป็นหมออันดับหนึ่งของประเทศแต่ท่านก็รักษาคนไข้หายมาแล้วนับหมื่นราย และค่ารักษาพยาบาลก็มีสวัสดิการของรัฐที่ช่วยแบ่งเบาภาระไปได้มากที่เดียว ซึ่งดีต่อสุขภาพจิตของคนป่วยอย่างดิฉันที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายย่อมเป็นผลดีต่อการรักษามะเร็ง

นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเมื่อรู้ว่าตัวเอง เป็นมะเร็ง ดิฉันหวังว่าจะมีประโยชน์กับคนที่เป็นมะเร็งหลายๆ คนนะคะ มะเร็งเป็นโรคที่ร้ายแรงก็จริงแต่ถ้าคุณตรวจพบได้เร็วและมีกำลังใจในการต่อสู้กับมะเร็ง คุณก็มีโอกาสที่จะหายขาดจากมะเร็งได้ ดิฉันเชื่อว่ามีคนที่ป่วยเป็นมะเร็งและทำการรักษาจนหายมาแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือตัวดิฉันเอง สิ่งสำคัญที่ทำให้ดิฉันรักษาโรคมะเร็งจนหายได้ก็คือสติและกำลังใจของตัวเองและคนรอบข้างที่ช่วยให้ดิฉันมีพลังต่อสู้จนชนะเจ้ามะเร็งร้ายกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ เมื่อคุณรู้ว่าเริ่ม เป็นมะเร็ง แล้วอย่าตกใจจนสิ้นหวังขอให้คุณทำตามที่ดิฉันบอกไว้รับรองว่าคุณมีโอกาสหายจากมะเร็งแน่นอนค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มาเริ่มเรียนรู้ มะเร็งแบบ มืออาชีพกันได้แล้ว

0
มาเริ่มเรียนรู้ มะเร็งแบบ มืออาชีพกันได้แล้ว
มะเร็ง คือ เนื้องอกร้ายที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติชองเซลล์ มีการเจริญเติบโตแบบหยุดยั้งและเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นไม่มีวันตาย
มาเริ่มเรียนรู้ มะเร็งแบบ มืออาชีพกันได้แล้ว
มะเร็ง คือ เนื้องอกร้ายที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติชองเซลล์ มีการเจริญเติบโตแบบหยุดยั้งและเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นไม่มีวันตาย

มาเริ่มเรียนรู้ มะเร็งแบบ มืออาชีพกันได้แล้ว

คุณกลัวเป็น มะเร็ง ไหม? ดิฉันกลัวค่ะ ไม่ได้กลัวตายจากโรคมะเร็งนะคะ แต่ว่ากลัวการเจ็บปวดที่เกิดจากมะเร็งมากกว่าค่ะ ถ้าเรากลัวที่จะเป็นมะเร็งเราก็ต้องทำความรู้จักกับเจ้ามะเร็งแบบมืออาชีพกันค่ะ ตามคำโบราณที่ว่า “ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ” ถ้าเรารู้จักมะเร็ง เราก็ชนะมะเร็งได้จริงมั้ยคะ มะเร็งดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ที่จริงแล้วมะเร็งมันอยู่ใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คุณคิด สารก่อมะเร็งนั้นอาศัยอยู่รอบๆ ตัวเรารอจังหวะเข้าไปอยู่ในตัวเรา วันนี้ดิฉันจะมาบอกเกี่ยวกับมะเร็งร้ายให้คุณได้รู้กันว่าเจ้ามะเร็งร้ายมันน่ากลัวอย่างที่คิดหรือไม่

มะเร็ง คือ เนื้องอกร้ายที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติชองเซลล์ มีการเจริญเติบโตแบบหยุดยั้งและเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นไม่มีวันตาย เซลล์มะเร็งยังสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นไม่ว่าจะเป็นเนื้อเยื่อใกล้เคียงหรืออวัยวะที่อยู่ห่างออกไป โดยการแพร่กระจายไปในกระแสเลือดและน้ำเหลือง เซลล์มะเร็งจะมีการแบ่งตัวได้แม้ร่างกายจะไม่มีสัญญาณบ่งบอกให้มีการสร้างหรือแม้จะมีคำสั่งให้หยุดแบ่งเซลล์ก็ตาม เซลล์จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและขยายวงกว้างสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อของอวัยวะที่มีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อเกิดมะเร็ง คือ สารก่อมะเร็งและอนุมูลอิสระที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ เหล้า อาหารหมักดอง การกินเนื้อสัตว์ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงและสารเร่งโตมากว่าการกินผักผลไม้สด การโดนรังสี การกินอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แป้งจนเป็นโรคอ้วน การไม่ออกกำลัง เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ทั้งสิ้น

กลุ่มของมะเร็งชนิดต่างๆ

1. มะเร็งคาร์ซิโนมา ( Carcinoma ) เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผิว
2. มะเร็งซาร์โคมา ( Sarcoma ) คือมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่ออ่อน ( Soft Tissue ) เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective Tissue ) หรือเซลล์เนื้อเยื่อเสริม ( Supportive Tissue )
3. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ( Lymphoma ) คือมะเร็งที่เกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในต่อมน้ำหลืองหรือเนื้อเยื่อของน้ำเหลือง
4. มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemias ) หรือลูคีเมีย คือมะเร็งที่เกิดจากไขกระดูกทำการผลิตตัวอ่อนเม็ดเลือดขาวออกมามากผิดปกติ
5. มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) คือเป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิว ( Melanocyte )

ระยะของเชื้อมะเร็งที่ตรวจพบ

เชื้อมะเร็งที่พบอยู่ในตัวเรานี่ ได้มีการแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกัน ซึ่งการแบ่งระยะของมะเร็งนี้ เราจะทำการวัดการแพร่กระจายและขนาดของเซลล์มะเร็งที่ตรวจพบ โดยมีการแบ่งระยะดังนี้

ระยะที่ 1 (Stage 1) เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง ขนาดของก้อนเนื้อที่พบมีขนาดเล็กไม่เกิน 2 เซนติเมตรและยังไม่มีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้น มีแต่การแบ่งตัวเป็นก้อนเนื้อกลุ่มเล็กๆ อยู่ภายในอวัยวะเท่านั้น มะเร็งที่ตรวจพบในระยะที่ 1 นี้เป็นมะเร็งที่มีโอกาสรักษาให้หายมากที่สุด คือมากถึง 90%
ระยะที่ 2 (Stage 2) เซลล์มะเร็งมีขนาดโตอยู่ระหว่าง 2-5 เซนติเมตร มีการแพร่กระจายอยู่ในอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่เป็นต้นกำเนิดของเซลล์มะเร็ง เช่น เซลล์มะเร็งปอดที่ยังมีการแพร่กระจายอยู่ที่ปอดเท่านั้น เป็นต้น เมื่อตรวจพบมะเร็งในระยะนี้สามารถรักษาหายได้ถึง 80%
ระยะที่ 3 (Stage 3) เซลล์มะเร็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร มีการแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะหรือเนื้อเยื่อข้างเคียง และมีการแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ชิดกับอวัยวะที่เกิดมะเร็ง มะเร็งที่ตรวจพบในระยะนี้สามารถโอกาสที่ได้อยู่ที่ 50%
ระยะที่ 4 (Stage 4) เป็นระยะสุดท้ายของมะเร็ง ระยะนี้เซลล์มะเร็งจะมีขนาดใหญ่มาก และมีการแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและต่อมน้ำเหลือง เป็นผลให้ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ผ่านทางกรแสเลือด กระแสน้ำเหลือง มะเร็งระระสุดท้ายนี้มีโอกาสที่จะรักษาหายได้น้อยมาก ผู้ป่วยที่ตรวจพบมะเร็งระยะนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากถึง 85% เลยที่เดียว

นอกจากมะเร็งทั้ง 4 ระยะข้างต้นแล้ว บางครั้งยังมีการแบ่งระยะของมะเร็งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระยะคือ ระยะที่ 0 มะเร็งระยะนี้เป็นมะเร็งที่เซลล์เริ่มมีความผิดปกติบนผิวด้านนอกของเซลล์หรือมีสารบ่งชี้มะเร็งเท่านั้น ยังไม่มีการแบ่งตัวของเซลล์เกิดขึ้น ซึ่งเซลล์ที่แบ่งตัวออกมานั้นอาจจะเป็นแค่เนื้องอกธรรมดาหรือกลายเป็นเซลล์มะเร็งก็ได้ จึงไม่ได้จัดเป็นระยะของมะเร็งที่วัดจากขนาดและการแพร่ขยายของก้อนมะเร็ง

เราจะเห็นยิ่งเราตรวจพบเชื้อมะเร็งเร็วเท่าไหร่ เราก็มีโอกาสที่จะรักษามะเร็งให้หายได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราควรทำการตรวจสุขภาพหรือทำการตรวจคัดกรองมะเร็งทุกปี เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มะเร็งลุกลามไปในระยะที่อันตรายและยากต่อการรักษา ถ้าเราตรวจเจอสารบ่งชี้มะเร็งก่อนที่จะเป็นก้อนเนื้อร้ายได้แล้วล่ะก็ รับรองว่ามะเร็งที่เกิดขึ้นรักษาหายชัวร์ 100% ซึ่งเดี๋ยวนี้มีการตรวจคัดกรองที่มีความแม่นยำมาก เช่น การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) เพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม การส่องกล้องในลำไส้ใหญ่เพื่อตรวจหามะเร็งลำไส้ การตรวจหาค่า PSA (Prostate specific antigen) เพื่อตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น ซึ่งการตรวจคัดกรองนี้เป็นเพียงหาสารบ่งชี้ที่อาจจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งคนที่ตรวจพบสารบ่งชี้นี้อาจจะเป็นหรือไม่เป็นมะเร็งก็ได้ แต่ถ้ามีสารพวกนี้เกิดขึ้นมาในร่างกายของเราแล้ว เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีอยู่ให้ห่างกับปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็ง ถ้าจะให้ได้ผลที่แม่นยำและแน่นอนว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ เราต้องทำการตรวจเลือด ตรวจปัสาวะ ตรวจอุจจาระ ฉายรังสี ส่องกล่อง เอ็กซเรย์และทำการตัดชิ้นเนื้อที่ต้องสงสัยไปตรวจอีกด้วย เพื่อช่วยยืนยันได้ว่าคุณเป็นมะเร็งแล้วหรือยัง

หลักการรักาษามะเร็ง

เมื่อคุณตรวจพบว่ามีเชื้อ มะเร็ง เกิดขึ้นแล้ว การรักษามะเร็งจะทำการรักษาตามระยะของมะเร็งที่ตรวจพบซึ่งการรักษามะเร็งก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่จะมีขั้นตอนหลักๆ ในการรักษาคือ

1. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเพื่อเอาชิ้นเนื้อร้ายออกมาจากร่างกายเป็นการป้องกันไม่ให้ชิ้นเนื้อแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเพิ่มขึ้น และป้องกันไม่ให้มะเร็งทำลายอวัยวะที่มันเกาะอยู่ด้วย
2. การฉายรังสี คือการฉายรังสีโฟตอนหรืออนุภาคแอลฟาจากแร่เรเดียม ก๊าซเรดอน อนุภาคเบตาจากแร่สตรอนเดี่ยว 90 แร่ฟอสฟอรัส 32 การฉายรังสีก็เพื่อที่จะหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อมะเร็งไม่ให้ลุกลามต่อไปอีกหลังจากที่ตัดชิ้นเนื้อออกมาแล้ว
3. การใช้สารเคมีบำบัด ( Chemotherapy ) หรือการทำคีโม คือ การให้ยาเพื่อต้านเชื้อมะเร็งและหยุดการแพร่กระจาย รวมถึงการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่อาจจะหลงเหลืออยู่ในร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นมะเร็งซ้ำได้อีก
การรักษามะเร็งอาจจะให้ร่วมกันทั้ง 3 วิธีหรือใช้เพียงวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียในการรักษาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงและระยะของมะเร็งแต่ส่วนมากแล้วมักจะทำการรักษาทั้ง 3 วิธีควบคู่กันไป เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีกนั่นเอง

มะเร็ง เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมากก็จริง แต่ก็เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ วันนี้ดิฉันได้เผยทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับมะเร็งให้คุณได้รับรู้ ดิฉันเชื่อว่าทุกสิ่งที่ได้บอกไปนั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจมะเร็งมากยิ่งขึ้น มะเร็งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด เพราะคุณมีทั้งทางป้องกันและรักษา เพียงคุณใส่ใจตัวเองสักนิดชีวิตคุณก็ห่างไกลมะเร็งแล้ว

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โดนแดดมากๆ เป็นมะเร็งไหม? แดดเมืองไทยน่ากลัวไหม ?

0
โดนแดดมากๆ เป็นมะเร็งไหม? แดดเมืองไทยน่ากลัวไหม ?
การโดนแสงแดดเป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคที่อันตรายอย่างมะเร็งผิวหนังได้
โดนแดดมากๆ เป็นมะเร็งไหม? แดดเมืองไทยน่ากลัวไหม ?
การโดนแสงแดดเป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคที่อันตรายอย่างมะเร็งผิวหนังได้

แสงแดดเสี่ยง มะเร็งผิวหนัง

โอ้ย! ทำไมแดดร้อนขนาดนี้เนี่ย แดดเมืองไทยนี่มันร้อนจริงๆ นะคะ นี่ขนาดว่าดิฉันเป็นคนชอบอากาศอบอุ่นนะเนี่ย แต่อุ่นจนร้อนแบบนี้ก็ต้องขอบายดีกว่าค่ะ จริงอยู่ที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือต้นไม้ แต่ว่าถ้าแสงอาทิตย์จะร้อนแรงขนาดนี้ก็ต้องขอหลบเข้าร่มก่อนแล้ว คุณรู้หรือเปล่า? แสงอาทิตย์นนอกจากจะมีประโยชน์แต่ก็มีโทษเหมือนกันนะ เพราะการโดน แสงแดด เป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคที่อันตรายอย่างมะเร็งผิวหนังได้ด้วย แต่ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับตัวเองเสียหน่อยที่เกิดเป็นคนไทย ทำไมนะหรือคะ? ก็เพราะว่าสีผิวของคนไทยนี่สามารถช่วยป้องกันการเกิด มะเร็งผิวหนัง ได้ดีมากเลยค่ะ ยิ่งคนผิวดำก็จะยิ่งมีความต้านทานมะเร็งผิวหนังมากขึ้น ต่างกับชาวต่างชาติที่มีผิวสีขาวที่มีอันตราเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่าหลายเท่า ถึงจะมีความเสี่ยงมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังชอบที่จะมาอาบแดดที่เมืองไทยกันนะคะ เพื่อความงามตามค่านิยมของคนประเทศของเขา แต่รู้กันหรือเปล่าว่า แสงแดดนี่ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้นะ

ประเทศไทยเรานี่มีคนป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยมาก พบราวๆ ปีละ 300 -400 คนเองนะ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรกว่า 70 ล้านคน ทำให้คนไทยมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งผิวหนังน้อยมากทีเดียว งั้นเรามาทำความรู้จักกับมะเร็งผิวหนังกันก่อนดีกว่า โรคมะเร็งผิวหนังแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ คือ

1. มะเร็งผิวหนังบาซอล เซลล์ คาร์ซิโนมา ( Basal Cell Carcinoma ) หรือ BCC เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นกับเซลล์ชั้นผิวหนังชั้นล่างสุด สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการโดน แสงแดด มากเกินไป พบมากในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปและพบที่ใบหน้ามากกว่าส่วนอื่นของร่างกาย ลักษณะของเนื้อมะเร็งที่พบจะคล้ายกับฝ้าที่เป็นบนใบหน้า แต่จะมีการกระจายตัวใหญ่ขึ้นเร็วผิดปกติ มะเร็งชนิดนี้ที่พบได้มากที่สุด

2. มะเร็งผิวหนังสแควมัส เซลล์ คาร์ซิโนมา ( Squamous Cell Carcinoma ) หรือ SCC เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติขององค์ประกอบของเซลล์ผิวหนังที่เราเรียกว่า สแควเซลล์ ที่มีการแบ่งตัวผิดปกติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง มะเร็งแบบนี้จะมีการเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะคล้ายกับ BCC แต่ว่ามะเร็งชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและต่อมน้ำเหลืองได้จึงมีความรุนแรงมากกว่า

3. มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา ( Melanoma ) เป็นมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิว ( Melanocyte ) เซลล์นี้จะทำหน้าที่ในการสร้างสีผิวให้กับคนเราซึ่งมะเร็งชนิดนี้เป็นชนิดที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดในจำนวนของมะเร็งผิวหนังทั้งหมดที่พบ เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีอันตรายถึงชีวิตได้ทันที เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองหรือเส้นเลือดได้อย่างรวดเร็ว จึงแพร่เข้าไปเป็นเชื้อมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น สมอง ปอด กระดูก เป็นต้น

มะเร็งผิวหนัง เกิดจากการที่เซลล์ผิวหนังโดนทำลายด้วยรังสียูวีที่มีอยู่ใน แสงแดด ยิ่งผิวหนังโดนแดดแรงเท่าไหร่ผิวหนังก็จะยิ่งโดนทำลายมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเซลล์ผิวหนังโดนทำลายจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

แบบที่ 1 เซลล์ที่ถูกเผาไหม้จนหมดอายุ เซลล์ที่ถูกเผาไหม้และหมดอายุร่างกายจะสลัดลอกออก มีลักษณเป็นขุยหรือหนังที่ลอกออกมา เราจะพบว่าเวลาที่ผิวเราไหม้แดง ผ่านไปสักพักผิวหนังจะลอกออกมา นั่นคือเซลล์ที่โดนทำลายจนหมดอายุค่ะ

แบบที่ 2 เซลล์ที่ถูกทำลายเพียงบางส่วน ร่างกายจะทำการซ่อมแซมให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม พร้อมทั้งสร้างเซลล์ผิวหนังขึ้นมาใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายหลุดออกไป

แต่ถ้าขั้นตอนการซ่อมและสร้างเซลล์ผิวหนังนี่เกิดความผิดปกติขึ้น

รังสียูวีเอ ยูวีบีที่อยู่ในแสงแดดเข้าไปทำลายดีเอ็นเอของเซลล์ ทำให้เซลล์มีการสร้างเซลล์ใหม่มากขึ้นและเซลล์ที่ได้รับการซ่อมแซมมีการขยายตัวแบบไม่หยุด เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็งนั่นเอง

แสงแดด นี่อันตรายจริงๆ นะ ถึงเราจะโชคดีที่มีสีผิวที่ช่วยป้องกันการเกิด มะเร็งผิวหนัง ได้มากกว่าคนผิวขาวอย่างชาวต่างชาติก็เถอะค่ะ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีสิทธิ์เป็นมะเร็งผิวหนังนะ แหม..ก็แดดบ้านเราเดี๋ยวนี้นี่ร้อนแรงเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง 10.00 น-16.00 น.นี่ ถ้าต้องเดินออกไปโดนแดดแค่แป๊บเดียวเองแสบไปทั้งตัวแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา หน้า เรียกว่าผิวส่วนไหนโดนแดดก็แสบร้อนไปหมดเลย ดิฉันขอเตือนเลยว่า
ช่วงเวลา 10.00 น -16.00 น. นี่เราไม่ควรไปโดนแดดมากที่สุด ถ้าจำเป็นต้องไปอยู่กลางแจ้งก็ให้ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่หมวกหรือกางร่มกันแสงยูวี และทาครีมกันแดดด้วยก็กันจะดีมาก

ดิฉันเองนี่เวลาจะต้องเข้าไปทำงานในสวนก็ต้องใส่หมวกไอ้โม่งคลุมหน้าคลุมตามิดชิด เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็นแต่ลูกตาเท่านั้นค่ะ ก็ แสงแดด นี่ทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน เป็นฝ้า หน้าดำคล้ำอีกด้วย เป็นใครก็ไม่ชอบกันหรอกค่ะโดยเฉพาะสาวๆ อย่างดิฉัน ไม่ใช่แค่กลัวไม่สวยอย่างเดียวนะคะ ยังกลัวมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากการโดนแดดด้วยค่ะ

อุ้ย ! วันนี้โดนแดดตอนกลางวันด้วยเนี่ยแล้วจะเป็น มะเร็งผิวหนัง ไหมนี่? ยังค่ะ! ยังไม่เป็น! ถ้าเราโดนแดดแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และไม่ได้โดนเป็นประจำก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนังกันหรอกค่ะ เพราะการที่เราจะเป็นมะเร็งผิวหนังได้นั้น ผิวหนังเราต้องโดนแดดที่แรงจัดและโดนเป็นเวลานานต่อเนื่องกันหรือโดนเป็นประจำทุกๆ วัน โดยที่ไม่มีเครื่องป้องกันแสงหรือรังสีใดๆ ตัวอย่างเช่น คนที่ชอบอาบแดดเป็นประจำ ครั้งละหลายชั่วโมงเพื่อสร้างผิวสีแทน อันนี้รวมถึงการอาบแดดด้วยเครื่องสังเคราะห์แสงด้วยไม่ใช่อาบจากแสงธรรมชาติเพียงอย่างเดียว คนที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งและสวมเสื้อผ้าบางๆ สั้นๆ คนที่ทำงานกลางแจ้งโดยไม่มีเครื่องป้องกัน คนที่ทำงานอยู่กับรังสี คนพวกนี้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนปกติที่เดินผ่าน แสงแดด แรงในเวลาสั้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนัง คุณก็ไม่ควรที่จะไปยืนตากแดดกันนะคะ คุณจะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับ มะเร็งผิวหนัง

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?

0
แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?
ภาวะอ้วนทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะในผู้หญิง
แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?
ภาวะอ้วน ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะในผู้หญิง

แค่ควบคุมน้ำหนัก ฉันจะไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ ?

คน อ้วน มีโอกาสเป็น มะเร็ง มากกว่าคนผอมจริงหรือ? คนอ้วนที่ดิฉันพูดนี่คือคนที่อยู่ในสภาวะอ้วนหรือเป็นโรคอ้วนนะคะ อย่าเพิ่งตกใจไปสำหรับตนตัวโต เพราะไม่ใช่ว่าแค่คนตัวโตหรือตัวใหญ่ก็จะเป็นโรคอ้วนแล้วนะ เหมือนที่ดิฉันเคยเป็น ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนอ้วนอยู่ตลอดเวลา ก็เวลาไปไหนมาไหนเราก็ตัวใหญ่กว่าใครเพื่อน ด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตรกับน้ำหนัก 65 กิโลกรัม เวลาอยู่กับคนสูง 160 เซนติเมตร เราก็เลยดูอ้วนไปเลย

แต่จริงๆ แล้ว การวัดว่าคนไหนเป็น โรคอ้วน หรือเปล่านั้น เราวัดจากค่าดัชนีมวลกาย ไม่สามารถคาดคะเนเองได้ ถ้าเราดัชนีมวลกายมากกว่า 23 ถือว่า น้ำหนักเกิน เกณฑ์และถ้าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 นี่ถือว่าอยู่ในภาวะอ้วนหรือเป็นโรคอ้วนแล้วนะคะ ต้องระวังตัวกันให้ดีเพราะว่าภาวะอ้วนนี่นำมาซึ่งโรคร้ายแรงอีกหลายโรคเลยทีเดียวค่ะ ทั้งโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคไขมันอุดตัน ที่อันตรายถึงตายได้ถ้าทำการรักษาไม่ทันเวลา ค่าดัชนีมวลกายนี่เราวัดได้จาก น้ำหนักตัว( กิโลกรัม ) / ส่วนสูง ( เมตร ) ค่าที่คิดได้คือค่าดัชนีมวลกายของเราค่ะ

ปัจจุบันนี้คนส่วนมากอยู่ในสภาวะอ้วนกัน นับเป็นปัญหาระดับโลกเลยทีเดียวเชียว บาง คนอ้วน ตั้งแต่เด็กเลยก็มี สาเหตุของโรคอ้วนนอกจากกรรมพันธุ์แล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างก็คือการกินอาหารในชีวิตประจำวันของเราที่มักกินอาหารที่มีแป้ง คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ซึ่งเป็นแหล่งที่ให้พลังงานสูงมาก สูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน เมื่อร่างกายได้รับพลังงานสูงแต่นำมาใช้ไม่หมดก็จะนำมาเปลี่ยนพลังงานที่เหลือให้อยู่ในรูปของไขมันเข้าไปสะสมตามส่วนๆ ต่างของร่างกาย เช่น ต้นขา หน้าท้อง ต้นแขน เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น

แต่ดูเหมือนจะไม่มียามจำเป็นสำหรับคนเรานะ เพราะว่าเราหิวและกินอาหารเติมเข้าไปทุกวัน ทำให้ไขมันสะสมเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นกัน แหม! ก็เดี๋ยวนี้อาหารฟาดฟูดส์มีอยู่ทั่วไปและได้รับความนิยมสูงมาก อีกทั้งร้านสะดวกซื้อที่มีกินอาหารสำเร็จรูปพร้อมกินไว้จำหน่ายอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย ดึก ตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนังๆ ดึกๆ เดินออกมาไม่กี่ก้าวก็มีทั้งขนม นม เนย หลากหลายให้เลือกกิน แบบนี้ไม่ให้ อ้วน ก็คงไม่ไหวแล้วละค่ะ อีกทั้งการดำรงชีวิตที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาทำอาหารที่มีคุณค่า ไม่มีเวลาใส่ใจเลือกอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย วันๆ สนใจแต่ทำงานหาเงินเพื่อมาซื้อของที่ไม่มีประโยชน์มากิน และเก็บเงินไว้รักษาตัวยามป่วยไข้ ไม่มีใครใส่ใจเลือกกินอาหารดีๆ มีคุณค่ามากิน เพราะว่าต้องเสียเวลานั่งทำงาน เสียเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนกับแฟน ทุกอย่างที่ดิฉันพูดมานี่ทำให้คุณเป็นโรคอ้วนได้ทั้งนั้นนะ ซึ่งโรคอ้วนนี้นำมาซึ่งโรคร้ายหลายชนิด รวมถึงโรคมะเร็งตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยไปปีละหลายหมื่นคน

ความอ้วนทำให้เราเป็นมะเร็งได้จริงหรือ? จริงค่ะ!! มีผลการวิจัยจากหลายสถาบันให้การยืนยันมาแล้วว่าคนที่อยู่ในภาวะอ้วนนั้นมีความเสี่ยงในการเกิด มะเร็ง โดยเฉพาะในผู้หญิงเรา ที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 นั้นจะมีภาวะเสี่ยงมาก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าไขมันที่สะสมอยู่ตามร่างกายของคนที่อยู่ในภาวะอ้วนมีมากกว่าคนที่แค่มี น้ำหนักเกิน หรือมีดัชนีมวลกาย 23 เพราะไขมันที่อยู่ในคนที่เป็นโรคอ้วนเป็นไขมันชนิดที่มีสีขาว ( White Adipose Tissue ) ซึ่งเซลล์ไขมันชนิดนี้มีความพิเศษอยู่ด้วย นั่นคือไขมันสีขาวสามารถผลิตฮอร์โมนให้กับร่างกายได้เหมือนกับที่ต่อมไร้ท่อผลิต ฮอร์โมนที่ไขมันสีขาวสามารถผลิตขึ้นมาได้คือ

1.ฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) ฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือที่หลายคนเรียกว่า ฮอร์โมนเพศหญิง และมีความเข้าใจว่าต้องมีอยู่ในผู้หญิงเพียงอย่างเดียว แต่ว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีอยู่ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะมีผลต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนะคะ เพราะว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่ช่วยแสดงความเป็นผู้หญิงให้ชัดเจนมากขึ้น ช่วยเพิ่มขนาดของหน้าอกให้ใหญ่และเต่งตึง ช่วยสร้างผนังมดลูกให้หนาขึ้นเวลาที่ไข่ตกและเพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิกับอสุจิมาแล้ว ช่วยให้เซลล์ผิวมีการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลให้ผิวพรรณเต่งตึงมีน้ำมีนวล แต่ถ้ามีออร์โมนตัวนี้มากขึ้นเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลทำให้อวัยวะที่แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงจะมีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นก้อนมะเร็งในที่สุด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก เป็นต้น

2.ฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin ) เราจะรู้จักว่าอินซูลินเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน แต่หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของฮอร์โมนตัวนี้ คือ เป็นฮอร์โมนที่เข้าไปช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งใช้ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้ามีร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินมากเกินไป จะทำให้การกระบวนกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มีความผิดปกติ เซลล์มีการแบ่งตัวรวดเร็วจนไม่สามารถหยุดยั้งได้ ซึ่งก็จะกลายเป็นเซลล์ มะเร็ง ในที่สุด

ซึ่งฮอร์โมนที่ไขมันผลิตมานั้น เดิมทีร่างกายของเราก็ผลิตเองได้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีการผลิตเพิ่มขึ้นมาจากไขมันอีกก็จะทำให้ฮอร์โมนมีจำนวนมากเกินความจำเป็นที่ร่างกายต้องใช้ ยิ่ง อ้วน มากเท่าไหร่ก็จะมีไขมันมากขึ้นเท่านั้น ฮอร์โมนก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีผลต่อร่างกายของผู้หญิงเราโดยตรง รู้หรือป่าวคะ ว่าฮอร์โมนที่สร้างจากไขมันนี่ไม่สามารถหยุดได้นะคะ ไขมันจะสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีสิ่งใดมาหยุดการสร้างฮอร์โมนของมันได้ ไม่เหมือนกับการสร้างฮอร์โมนของร่างกายที่เมื่อมีฮอร์โมนในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ร่างกายจะมีคำสั่งให้หยุดสร้างทันทีทำให้ฮอร์โมนไม่เกินความจำเป็นไงคะ

แบบนี้นะ ถ้าเราไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ในร่างกาย เราก็ไม่มีไขมันที่จะมาสร้างฮอร์โมนส่วนเกินขึ้นมา เซลล์ก็จะไม่มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เราก็จะไม่เป็น มะเร็ง นั่นเป็นคำตอบที่ดีว่าแค่คุณ ควบคุมน้ำหนัก คุณก็จะไม่เป็นมะเร็งแล้ว สำหรับคนที่ อ้วน อยู่ตอนนี้ก็อย่างเพิ่งตกใจว่า “นี่ฉันจะเป็นมะเร็งหรือ” เพราะว่ายังทันที่คุณป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งได้นะคะ ด้วยการลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์หรือมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18-23 แค่นี้คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าจะอ้วนจนเป็นมะเร็งแล้วค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?

0
แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?
สารพิษจากควันบุหรี่ที่เข้าไปสู่ปอดแล้ว ปอดจะไม่สามารถขจัดสารพิษที่มากับควันบุหรี่ออกไปได้
แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?
สารพิษจากควันบุหรี่ที่เข้าไปสู่ปอดแล้ว ปอดจะไม่สามารถขจัดสารพิษที่มากับควันบุหรี่ออกไปได้

แค่ไม่สูบบุหรี่ ก็ไม่เป็นมะเร็งได้จริงหรือ ?

คุณสูบบุหรี่หรือเปล่าค่ะ? ดิฉันเป็นคนที่ ไม่สูบบุหรี่ และไม่เคยคิดที่จะลองสูบด้วย เพราะว่าไม่ชอบกลิ่นเหม็นของบุหรี่ ที่ว่าไม่ชอบนี่ก็เพราะได้กลิ่นบุหรี่มาตั้งแต่เด็กๆ จากคุณพ่อของดิฉันเอง ตอนเด็กก็ไม่รู้ว่าบุหรี่มันดีหรือไม่ดีหรอกค่ะ รู้อย่างเดียวว่าเวลาได้กลิ่นแล้วเหม็นมากไม่อยากได้กลิ่นไม่อยากเข้าใกล้เลย เชื่อมั้ยคะ ตอนเด็กน่ะ พอพ่อหยิบบุหรี่ขึ้นมาทำท่าจะสูบ ดิฉันจะวิ่งจู๊ดไปจากพ่อทันที แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไรนะได้แต่หัวเราะชอบใจกับความไร้เดียงสาของลูก ที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น

คุณรู้ไหมคะว่าในแต่ละปีจะมีคนเสียชีวิตด้วยมะเร็ง ราว 60,000 กว่าคน 30% ตายจากโรคมะเร็ง และในจำนวนคนที่เป็นมะเร็งตายนี่ 87% ตายจากโรคมะเร็งที่เกิดจากบุหรี่ ซึ่งอันดับหนึ่งของมะเร็งที่เป็นต้นเหตุให้เสียชีวิตกันมากก็คือ “ มะเร็งปอด ” มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่มีอันตรายมาก เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตมากที่สุด ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากการตรวจมะเร็งปอดมักจะตรวจพบในระยะที่มีความรุนแรงมากแล้ว เมื่อตรวจเจอร้อยทั้งร้อยคือตายสถานเดียว โอกาสที่จะรักษาหายนั้นน้อยมากจริงๆ ค่ะ และสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เป็นมะเร็งปอดนี่เกิดจากการสูบบุหรี่มากถึง 92% ทีเดียว แต่เชื่อมั้ยคะ! ว่าถึงจะมีคนตายจากการสูบบุหรี่เป็นจำนวนมากก็ตาม แต่จำนวนคนที่สูบบุหรี่ก็ไม่เคยลดลงเลย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือจำนวนคนที่สูบบุหรี่กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีนี่สิ ถึงทางหน่วยงานรัฐบาล ภาคเอกชนจะมีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ บอกถึงโทษและโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ทั้งยังมีการนำรูปน่าเกลียดน่ากลัวจากผลการสูบบุหรี่มาไว้ที่ข้างซองบุหรี่ก็แล้ว ก็ยังไม่ช่วยให้จำนวนคนสูบบุหรี่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทำให้จำนวนคนที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดนั้นมีเพิ่มขึ้นทุกปี คุณรู้ไหมทำไมบุหรี่ถึงทำให้เกิดมะเร็งได้?

การที่สูบบุหรี่ ทำให้เป็นมะเร็ง ได้ก็เพราะว่าในควันบุหรี่มีสารพิษอยู่มากถึง 4,000 กว่าชนิด แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือในจำนวนนั้นมีสารก่อมะเร็งอยู่ถึง 60 ชนิด จากผลการวิจัยพบว่าเมื่อสารพิษจากควันบุหรี่ที่เข้าไปสู่ปอดแล้ว ปอดจะไม่สามารถขจัดสารพิษที่มากับควันบุหรี่ออกไปได้ เนื่องจากอนุภาคของสารพิษที่อยู่ในควันบุหรี่นี้มีขนาดที่เล็กมากจนเกินความสามารถที่ปอดจะขจัดหรือทำลายออกมาได้ ทั้งๆ ที่โดยปกติแล้วปอดจะขจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าในปอดมาออกไปจนหมด ทำให้นุภาคของสารพิษเกิดการสะสมอยู่ในปอด สารพิษที่สะสมจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้นทีละน้อยๆ จากการอัดควันบุหรี่เข้าไปของคุณทุกๆ วันนั่นแหละค่ะ เมื่อสะสมไปนานๆ เข้าสารพิษนี้ก็จะเข้าไปยับยั้งการสร้างสารต่อต้านยีนส์มะเร็ง ( Anti Nocogene ) และยีนส์ซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์ ( DNA Repair Genes ) ในปอดให้มีการสร้างน้อยลงเรื่อย ๆ จนเซลล์ทั้งสองมีปริมาณไม่เพียงพอในการต่อต้านเซลล์มะเร็งและไม่พอที่จะซ่อมแซมเซลล์ให้กลับมาแข็งแรงได้ หรือสามารถทำงานได้บ้างแต่ก็ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นมาได้เรื่อยๆ เพราะไม่มีตัวมาขัดขวางและทำลายแล้วนั่นเอง

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสารต่อต้านยีนส์มะเร็ง ( Anti Nocogene ) และยีนส์ซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์ ( DNA Repair Genes ) มีหน้าที่ป้องกันการทำลายเซลล์จากเชื้อมะเร็ง และซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายไปให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่เมื่อมันไม่สามารถทำงานได้ก็ไม่มีสิ่งใดมาทำลายเชื้อมะเร็งที่กำลังโตให้หยุดโตได้ เชื้อมะเร็งย่อมได้ใจโตวันโตคืนไม่หยุดเลย ควันบุหรี่ไม่ใช่จะยับยั้งการสร้างสารต่อต้านยีนส์มะเร็ง ( Anti Nocogene ) และยีนส์ซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์ ( DNA Repair Genes ) แค่ที่ปอดเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่มันสามารถก็ยับยั้งไปได้ทุกหนทุกแห่งที่ควันบุหรี่ลอยผ่านไป เรียกว่าไปถึงไหนทำลายถึงนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ช่องปาก หลอดลม หลอดอาหาร  กระเพาะอาหาร กล่องเสียง ถุงลม เป็นที่มาของมะเร็งส่วนต่างๆ ตามระบบหายใจและระบบทางเดินอาหารไงค่ะ และเมื่อมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นแล้ว เรายังสูบบุหรี่อัดควันเข้าไปในร้างกายอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ควันบุหรี่ที่เข้าไปจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของมะเร็งเพราะเมื่อเซลล์มะเร็งได้รับควันบุหรี่มันขยายวงกว้างขึ้นแบบทวีคูณ มีขนาดใหญ่ขึ้นเร็วมากจนน่าตกใจ เซลล์มะเร็งที่โตขึ้นในปอดจะเข้าขัดขวางเซลล์ไม่ให้ทำการรับออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป ทำให้เซลล์ตามร่างกายขาดออกซิเจน ที่จะนำไปหล่อเลี้ยงร่างกายตามส่วนต่างๆ ทำให้ทั่วร่างกายขาดออกซิเจนไปด้วย ร่างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลง เมื่อร่างกายอ่อนแอเซลล์มะเร็งก็ยิ่งโตขึ้นและแพร่กระจายเชื้อไปยังส่วนต่างๆ ต่อไป

แบบนี้ถ้าเราไม่สูบบุหรี่ ก็จะไม่เป็นมะเร็งสิ ใช่ค่ะ! ถ้าคุณไม่สูบบหุรี่ ดิฉันบอกเลยว่าคุณจะมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมากโดยเฉพาะมะเร็งปอด รู้ไหมคะ? คนที่สูบบุหรี่นี่มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 30 เท่าเลยนะ โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่จัดและสูบระยะเวลามากกว่าสิบปี ส่วนคนที่ไม่สูบบุหรี่แต่ว่าอยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่อบอวลอยู่ตลอดเวลา ทั้งในบ้าน ที่ทำงาน สถานบันเทิง รถยนต์หรือโรงหนังบางแห่ง ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมากกว่าปกติถึง 2 เท่าเลย นี่ขนาดไม่ได้สูบเองนะเนี่ยยังต้องเสี่ยงไปด้วยเลย แย่จริงๆ ถึงเราจะไม่ได้สูบเองแต่เราก็ต้องสูดควันบุหรี่เข้าไปในปอดด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือว่าอันตรายแล้วค่ะ ดังนั้นการไม่สูบบุหรี่ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ได้จริงๆ นะ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นมะเร็งก็ควรเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N: บอกอะไรเกี่ยวกับไตของคุณ?

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Urea N
Urine Urea N คือค่าที่ใช้เพื่อวัดหาสารของเสียยูเรียที่ถูกขับทิ้งออกมากับน้ำปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Urea N
Urine Urea N คือค่าที่ใช้เพื่อวัดหาสารของเสียยูเรียที่ถูกขับทิ้งออกมากับน้ำปัสสาวะ

Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N คืออะไร?

Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N เป็นการตรวจวัดระดับยูเรียในเลือดและปัสสาวะตามลำดับ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญในการประเมินการทำงานของไต

ความสำคัญของค่า BUN และ Urine Urea N ต่อสุขภาพไต

ค่า BUN และ Urine Urea N มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินสุขภาพและการทำงานของไต โดยสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติของไตได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ทำไม BUN และ Urine Urea N จึงเป็นตัวบ่งชี้การทำงานของไต?

BUN และ Urine Urea N เป็นตัวบ่งชี้การทำงานของไตเนื่องจากไตมีหน้าที่กำจัดของเสียประเภทยูเรียออกจากร่างกาย ค่าเหล่านี้จึงสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการกรองของไต

ความสัมพันธ์ระหว่างค่า BUN และ Urine Urea N กับการกรองของไตเป็นอย่างไร?

ค่า BUN ที่สูงขึ้นมักบ่งชี้ว่าไตกำลังทำงานหนักขึ้นในการกำจัดยูเรีย ในขณะที่ค่า Urine Urea N ที่ต่ำลงอาจแสดงถึงการกรองของไตที่ลดลง

ค่าเหล่านี้สามารถใช้ติดตามภาวะไตเสื่อมได้หรือไม่?

ใช่ ค่า BUN และ Urine Urea N สามารถใช้ติดตามภาวะไตเสื่อมได้ โดยการเปลี่ยนแปลงของค่าเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงการเสื่อมของไตในระยะยาว

การตรวจ BUN และ Urine Urea N ทำได้อย่างไร?

การตรวจ BUN และ Urine Urea N เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทำได้ง่ายและให้ข้อมูลที่มีประโยชน์

วิธีตรวจ Blood Urea Nitrogen (BUN) คืออะไร?

การตรวจ BUN ทำโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

วิธีตรวจ Urine Urea Nitrogen (Urine Urea N) คืออะไร?

การตรวจ Urine Urea N ทำโดยการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงหรือตัวอย่างปัสสาวะครั้งเดียว แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ค่าปกติของ BUN และ Urine Urea N ควรอยู่ในช่วงใด?

ค่าปกติของ BUN อยู่ในช่วง 7-20 mg/dL สำหรับผู้ใหญ่ ส่วนค่า Urine Urea N ปกติอยู่ที่ประมาณ 6-17 g/24 ชั่วโมง

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บปัสสาวะอย่างเคร่งครัด

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N?

ค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคไตและปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่า BUN สูงกว่าปกติ?

สาเหตุของค่า BUN สูง ได้แก่:

  • โรคไตเรื้อรัง
  • ภาวะขาดน้ำ
  • การรับประทานโปรตีนมากเกินไป
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์

ค่า BUN ต่ำกว่าปกติหมายถึงอะไร?

ค่า BUN ต่ำอาจเกิดจาก:

  • การตั้งครรภ์
  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • โรคตับบางชนิด

ค่า Urine Urea N สูงหรือต่ำมีผลอย่างไรต่อร่างกาย?

ค่า Urine Urea N สูงอาจบ่งชี้ถึงการสลายโปรตีนในร่างกายมากเกินไป ส่วนค่าต่ำอาจแสดงถึงการทำงานของไตที่ลดลง

การแปลผลค่า BUN และ Urine Urea N บ่งบอกถึงสุขภาพไตอย่างไร?

การแปลผลค่า BUN และ Urine Urea N ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่า BUN สูงสามารถชี้ไปที่ภาวะหรือโรคอะไรได้บ้าง?

ค่า BUN สูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • โรคไตเรื้อรัง
  • ภาวะช็อก
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว
  • การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ

ค่า Urine Urea N มีบทบาทอย่างไรในการประเมินสมดุลโปรตีนในร่างกาย?

ค่า Urine Urea N ช่วยประเมินการสลายโปรตีนในร่างกายและการขับออกของไนโตรเจน ซึ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านโภชนาการ

ค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนอาหารหรือการรักษาตามความเหมาะสม

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N

ค่าผิดปกติของ BUN และ Urine Urea N อาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease – CKD) มีผลต่อค่า BUN อย่างไร?

โรคไตเรื้อรังทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการกำจัดยูเรีย ส่งผลให้ค่า BUN สูงขึ้น

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ส่งผลต่อ BUN และ Urine Urea N อย่างไร?

ภาวะขาดน้ำทำให้ค่า BUN สูงขึ้นเนื่องจากการลดลงของปริมาณเลือดที่ไหลผ่านไต ในขณะที่ค่า Urine Urea N อาจลดลงเนื่องจากปริมาณปัสสาวะที่น้อยลง

ภาวะการทำงานของตับบกพร่องมีผลต่อค่าทั้งสองอย่างไร?

ภาวะตับบกพร่องอาจทำให้การสร้างยูเรียลดลง ส่งผลให้ค่า BUN และ Urine Urea N ต่ำลง

วิธีดูแลสุขภาพไตให้ค่า BUN และ Urine Urea N อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพไตช่วยรักษาค่า BUN และ Urine Urea N ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพไตและควบคุมระดับ BUN มีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพไต ได้แก่:

  • ผักและผลไม้สด
  • โปรตีนคุณภาพดีในปริมาณที่เหมาะสม
  • อาหารที่มีโซเดียมต่ำ
  • น้ำดื่มสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ

ปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อการลดความเสี่ยงของค่าผิดปกติ

ควรดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไต

วิธีลดความเสี่ยงของโรคไตและภาวะไตเสื่อม

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ BUN และ Urine Urea N?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับไต

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่า BUN หรือ Urine Urea N ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • บวมที่ขาหรือข้อเท้า
  • ปัสสาวะลดลงหรือมากขึ้นผิดปกติ
  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่า BUN และ Urine Urea N อย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ควบคุมโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจส่งผลต่อไตโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • จัดการความเครียด
  • งดสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจ Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Urine Urea N เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสุขภาพไตและการทำงานของระบบขับถ่าย การเข้าใจถึงความสำคัญของค่าเหล่านี้ การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับ BUN และ Urine Urea N ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ BUN และ Urine Urea N เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพไต และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ BUN และ Urine Urea N หรือสุขภาพไต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพไตและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

William M Rand, Peter L Pellett, and Vernon R Young. Meta-analysis of nitrogen balance studies for estimating protein requirements in healthy adults. Am J Clin Nutr. 2003; 77(1): 109-127.

Frank N. Konstantinides.Nitrogen Balance Studies in Clinical Nutrition. Nutr Clin Pract. 1992; 7: 231-238.

Hoffer L John. Protein and energy provision in critical illness. Am J Clin Nutr. 2003; 78: 906-911.