Home Blog Page 103

ขนมเค้ก และเนื้อเค้กประเภทที่นิยมใช้เป็นเค้กวันเกิด

0
ขนมเค้ก
เค้กที่นำมาใช้ตกแต่สวยงานด้วยข้อความอวยพรจะมีคุณสมบัติของเนื้อที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กันหน้าตาของเค้กที่ตกแต่ง
เนื้อเค้กประเภทที่นิยมใช้เป็นเค้กวันเกิด
เค้กที่นำมาใช้ตกแต่สวยงานด้วยข้อความอวยพรจะมีคุณสมบัติของเนื้อที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กันหน้าตาของเค้กที่ตกแต่ง

ขนมเค้ก

ขนมเค้ก (cake) คือ อาหารชนิดหนึ่งที่มักจะมีลักษณะหวานและผ่านกระบวนการอบ ซึ่งจะทำมาจากแป้ง น้ำตาล และส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ไข่, แป้งสาลี, ผัก, ผลไม้ที่ให้รสหวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น หรือส่วนประกอบที่มีไขมัน เช่น เนย, ชีส, ยีสต์, นม, เนยเทียม เป็นต้น และนิยมรับประทานเป็นของหวานและฉลองในเทศกาลต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดและวันแต่งงาน ซึ่งในโลกมีตำรับหรือสูตรการทำเค้กเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตำรับการทำเค้กบางสูตรก็มีการสืบทอดการทำเป็นเวลาหลายศตวรรษ และเค้กนั้นยังเป็นอาหารหวานที่นิยมไปทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้สนใจที่อยากจะเรียนทำเค้กเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ มากมาย อย่างเช่น เรียนเพื่อที่จะนำมาประกอบอาชีพเปิดร้านเค้ก เป็นต้น

ประเภทของเค้ก

  • เค้กเนย (butter cake) ส่วนผสมหลักที่ทำให้ขึ้นฟูคือเนย โดยจะตีเนยกับน้ำตาลให้เป็นครีมฟูก่อน จึงเติมไข่ นม และแป้ง แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น เค้กชั้น ฟรุตเค้ก และเค้กปอนด์ 
  • เค้กไข่ (foam cake) เป็นเค้กที่ขึ้นฟูโดยตีฟองอากาศเข้าไปในไข่ แบ่งย่อยเป็น 3 ชนิดคือ
    • ชิฟฟอนเค้ก (chiffon cake) ชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้ก ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการบริโภคเค้กที่มีไขมันไม่มาก และรสชาติที่ไม่เลี่ยนจนเกินไปและด้วยเอกลักษณ์ประจำตัว นั่นก็คือความนุ่มละมุนละไมอีกทั้งสามารถดัดแปลงรสชาติได้มากและหลากหลาย ทั้งยังขายง่ายต้นทุนต่ำได้กำไรสูง จึงทำให้มีผู้สนใจในการประกอบกิจการเพื่อผลิตและจำหน่ายชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้กเป็นจำนวนมาก
    • เค้กไข่ขาว (angle food cake) ใช้ไข่ขาวล้วน ไม่ใส่ไข่แดงและไขมันใดๆ แต่ใส่น้ำตาลมาก
    • สปันจ์เค้ก (sponge cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ทั้งฟองกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
  • มูสเค้ก (Mousse cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ขาวหรือวิปปิ้งครีมให้ฟูก่อนจะผสมกับส่วนผสมอื่น ทำให้เค้กนุ่ม เบา มักใส่เจลาตินเพื่อช่วยให้คงรูป และต้องแช่เย็นไว้จนกว่าจะรับประทาน
  • ชีสเค้ก (cheesecake) เป็นเค้กที่มีครีมชีสเป็นองค์ประกอบหลัก มีทั้งแบบอบ และแบบไม่อบแต่ใสเจลาตินเป็นตัวช่วยให้คงรูปร่าง ต้องแช่เย็นเช่นกัน

เนื้อเค้กที่นิยมทำมาทำเป็นเค้กวันเกิด

เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดสิ่งที่หลายๆคนจะนึกถึงก็คือ เค้กวันเกิด หากยิ่งเป็นวันเกิดของคนพิเศษด้วยแล้วคุณก็อยากจะได้เค้กแบบสวยงามลวดลายน่ารักๆ ไปเซอร์ไพรส์กัน ซึ่งเค้กที่นำมาใช้ตกแต่งสวยงานด้วยข้อความอวยพรจะมีคุณสมบัติต่างกันไป โดยสิ่งที่จะใช้ในการเลือกเค้กวันเกิด ของคุณ มีดังนี้

เค้กเนื้อบัตเตอร์ หรือบัตเตอร์เค้ก ( Butter Cake )

เนื้อเค้กแบบบัตเตอร์ถือเป็นเนื้อที่แน่นมากกว่าเนื้อเค้กชนิดอื่นๆ เพราะเนื้อเค้กแบบนี้จะมีส่วนผสมของแป้ง นม ไข่ และเนยเยอะมากโดยเน้นเนยเป็นส่วนผสมหลักที่เยอะที่สุด และยังมีอากาศในเนื้อเค้กน้อยจึงทำให้เนื้อเค้กมีช่องรูอากาศน้อยจนมีเนื้อละเอียด แน่น นุ่ม ฉ่ำ และหอมเนย เนื้อเค้กแบบบัตเตอร์ส่วนมากจะนำไปทำเค้กที่ต้องรับน้ำหนัก เช่น เค้กผลไม้ บัตเตอร์เค้ก เค้กบีบครีม ที่ต้องมีส่วนผสมของผลไม้ต่างๆทั้งในเนื้อเค้กและหน้าเค้ก เพราะเค้กลักษณะนี้จะมีโครงสร้างที่แข็งแรงสามารถรับน้ำหนักของครีมหรือผลไม้สดที่ใช้แต่งหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าหากใช้เนื้อเค้กแบบอื่นจะทำให้เค้กไม่สามารถรับน้ำหนักได้จนทำให้เวลาอบเค้กไม่พองตัวขึ้นมาหรือเค้กอาจยุบตัวลง  (สูตรทำบัตเตอร์เค้ก)

สปันจ์เค้ก หรือเค้กเนื้อฟองน้ำ ( Sponge Cake )

เนื้อเค้กแบบสปันจ์เป็นเนื้อที่อยู่ตรงกลางระหว่างบัตเตอร์เค้กที่มีความแน่นและชิฟฟอนที่มีความเบา เนื้อเค้กแบบสปันจ์ส่วนใหญ่จะนิยมนำมาทำเป็นเค้กที่ยังเน้นการแต่งหน้าอยู่แต่ต้องไม่หนักเวลาที่จะรับประทาน เนื้อเค้กมักจะไม่มีการผสมผลไม้ เมล็ดถั่ว หรือส่วนผสมอื่นๆเพิ่มในเนื้อเค้ก มักนำไปทำเค้กที่เป็นชั้น เช่น แยมโรล ขนมไข่  เป็นต้น (สูตรทำสปันจ์เค้ก)

เนื้อชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake )

เนื้อเค้กแบบชิฟฟอนเป็นเนื้อเค้กที่เบาและบางที่สุด เนื้อฟู และละลายในปากแบบไม่ต้องเคี้ยวเลย ซึ่งโครงสร้างของตัวเค้กขึ้นฟูด้วยการตีไข่ขาวกับน้ำตาล เนื้อเค้กแบบนี้จะแต่งหน้า หรือ ไม่แต่งก็ได้ แต่ถ้าแต่งหน้าจะเน้นแบบแต่งเบาๆ เพราะโครงสร้างของเนื้อเค้กจะไม่สามารถรองรับน้ำหนักที่มากของส่วนประสมได้ ทำให้เวลาอบเค้กเนื้อเค้กจะยุบตัวไม่พองขึ้น จึงทำให้เรามักจะพบเห็นเนื้อเค้กแบบชิฟฟอนใน คัพเค้ก เค้กส้ม ชิฟฟอนกาแฟ ชิฟฟอนมะพร้าว ชิฟฟอนใบเตย หรือพวกเค้กหน้านิ่มทั้งหลาย (สูตรทำชิฟฟอนเค้ก)

ตอนนี้เราก็พอจะมีความรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเนื้อเค้กกันบ้างแล้วนะคะ ส่วนขั้นตอนของการทำเนื้อเค้กวันเกิดแบบต่างๆนั้นทำยังไงบ้างซึ่งเราก็มีสูตรการทำมาฝากกันค่ะ มีทั้ง บัตเตอร์เค้ก สปันจ์เค้ก และชิฟฟอน สนใจผงไส้ขนมที่อร่อย ทำง่าย สอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้ขนมสำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรชิฟฟอนเค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Chiffon Cake )

0
สูตรชิฟฟอนเค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Chiffon Cake )
ชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake ) เป็นเค้กที่เบานุ่มเกิดจากการผสมของเมอแรงที่ตีจากไข่ขาวจนขึ้นฟูผสมกับแป้งปริมาณมาก และใส่น้ำมันพืชแทนเนย
สูตรชิฟฟอนเค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Chiffon Cake )
ชิฟฟอนเค้ก ป็นเค้กที่เบานุ่มเกิดจากการผสมของเมอแรงที่ตีจากไข่ขาวจนขึ้นฟูผสมกับแป้งปริมาณมาก และใส่น้ำมันพืชแทนเนย

ชิฟฟอนเค้ก

ชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake ) เป็นเค้กที่เนื้อนุ่มเหมือนผ้าชีฟอง ซึ่งเนื้อที่เบานุ่มของเค้กชิฟฟอนนั้นเกิดจากการผสมของเมอแรงที่ตีจากไข่ขาวจนขึ้นฟูกับส่วนผสมของแป้งปริมาณมาก และใส่น้ำมันพืชแทนเนย นอกจากนี้เนื้อเค้กสามารถปรับแต่งรสชาติได้หลากหลาย และยังมีปริมาณไขมันต่ำกว่าบัตเตอร์เค้ก

สูตรชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake )

ส่วนผสม (ขนาด 2 ปอนด์)

  • ไข่ไก่ ประมาณ 3 ฟอง (แยกไข่แดง และไข่ขาว)
  • น้ำตาลทราย 20 กรัม
  • น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 30 มิลลิลิตร
  • น้ำมันพืช 30 กรัม
  • แป้งเค้ก 50 กรัม
  • ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • แต่งกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  • เมอแรง (วิธีทำมีตอนท้ายบท)

วิธีทำชิฟฟ่อนเค้ก หรือเค้กวันเกิด

  • ตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายจนเข้ากัน เติมนม น้ำมันพืช และแต่งกลิ่นตามชอบ แล้วตีต่อจนเข้ากัน
  • ใส่แป้งร่อนพร้อมผงฟู และเกลือลงไป ตีจนเข้ากัน แต่อย่านานมาก เพราะเค้กจะเหนียวได้
  • ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์จนเป็นฟองหยาบ แล้วค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไป โดยแบ่งใส่สัก 3 ครั้ง และเกลือ ตีจนตั้งยอดอ่อนถึงกลางอย่าตีจนตั้งยอดแข็ง เพราะเวลาเอาไปผสมกับส่วนของไข่แดงจะทำให้คนเข้ากันยากมากต้องใช้เวลาตะล่อมนาน ทำให้ฟองอากาศยุบตัวเยอะ ซึ่งจะทำให้เค้กไม่ฟู
  • ตักเมอแรงค์ไข่ขาว 1/3 ส่วนมาตะล่อมกับส่วนของไข่แดง ตะล่อมเบา ๆ จนเข้ากัน หลังจากนั้นก็ใส่เมอแรงค์ไข่ขาวส่วนที่เหลือลงไปจนหมด แล้วคนจนเข้ากันดี
  • เทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ เคาะไล่ฟองอากาศสัก 2-3 ครั้ง ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มลงในเนื้อเค้ก แล้ววนเป็นวงกลมเพื่อไล่ฟองอากาศอีที
  • นำไปอบบนถาดที่เทน้ำร้อนเตรียมไว้ที่อุณหภูมิ 150-160 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 60 นาที
  • พอครบเวลาก็เอาถาดรองน้ำออก แล้วอบไล่ความชื้นต่ออีก 5-7 นาที พอครบเวลาให้พักในพิมพ์สัก 5-10 นาที แล้วค่อยเอาออกจากพิมพ์ เอาออกมาพักต่อบนตะแกรงจนเย็นสนิท

เคล็ดลับการอบชิฟฟอนเค้กวันเกิด

  • ยกเค้กชิฟฟอนออกจากเตา สังเกตว่าหน้าเค้กจะฟูขึ้นเหนือขอบพิมพ์เล็กน้อยและเป็นสีน้ำตาลทอง ลองใช้นิ้วกดเบาๆ ถ้าเค้กคืนรูปทันทีแสดงว่าสุขได้ที่แล้ว
  • พักเค้กชิฟฟอนในพิมพ์สัก 5-10 นาที บนตะแกรงจนเย็นสนิทเพื่อให้เค้กเซตตัวและแกะออกจากพิมพ์ได้ง่าย

วิธีทำเมอแรงค์ (meringue)

1.ใช้หัวตีรูปตะกร้อตีไข่ขาวให้เข้ากัน (ลองยกหัวตีขึ้นถ้ารู้สึกว่าไข่ขาวค่อนข้างหนืดและไหลลงมาเป็นสายยาวแสดงว่าใช้ได้แล้ว) 2.จากนั้นปรับความเร็วสูงตีต่อจนขึ้นฟู เติมน้ำตาลลงไป 1 ส่วน 3 ตีผสมกันจนเกือบตั้งยอดอ่อน 3.ใส่แป้งเค้กลงไปใช้ตะกร้อมือตีต่อจนเนื้อเนียนเข้ากันดีเตรียมไว้ 4.ใส่น้ำตาลทรายอีกครึ่งส่วนตีต่อให้ตั้งยอดอ่อน 4.เติมน้ำตาลทรายที่เหลือตีต่อจนตั้งยอดแข็ง จากนั้นปรับความเร็วต่ำหรือใช้ตะกร้อมือคนเร็วๆ ให้เนื้อเนียนและขึ้นเงา

ข้อควรระวัง สำหรับการตีเมอแรงค์

1.ห้ามเติมน้ำตาลช้าเกินไปเมื่อไข่ขาวเริ่มขึ้นฟู เมื่อสังเกตเห็นฟองอากาศขนาดใหญ่ให้เติมน้ำตาลลงผสมทีละน้อย 2.ห้ามตีเมอแรงนานเกินไปจนเป็นก้อน เพราะจะทำให้เนื้อเค้กหยาบและแห้ง 3.หากวางทิ้งไว้นานจนหน้าเมอแรงค์แห้ง ให้แก้ด้วยการนำกลับไปตีให้เนื้อเนียนก่อนผสมกับเนื้อเค้ก เมนูชิฟฟ่อนเค้กนี้ถ้าได้ลองกินจะติดใจหลงรักกับเนื้อเค้กฟูนุ่มลื่นกลืนง่ายไม่ติดคอ ซึ่งหากชอบครีมก็ปาดเพิ่มลงไปความหนาตามชอบ หรือจะแต่งหน้าเบาๆเพื่อเป็นเค้กวันเกิดก็ได้ แต่ถ้าไม่ชอบกินครีมก็จัดเนื้อชิฟฟ่อนแต่งกลินตามชอบแบบจัดเต็ม รับรองว่ากินเพลินจนคำสุดท้ายแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เค้กวันเกิด มีความหมายและความสำคัญอย่างไร

0
เค้กวันเกิด มีความหมายและความสำคัญอย่างไร
เค้กวันเกิด เป็นตัวแทนความสุขที่ผู้ให้ส่งมอบให้ผู้รับ และเป็นส่วนที่สำคัญหากงานวันเกิดไม่มีเค้กก็จะทำให้ดูเป็นงานฉลองวันเกิดที่ไม่สมบูรณ์แบบ
เค้กวันเกิด ความหมายและวันสำคัญ
เค้กวันเกิด เป็นตัวแทนความสุขที่ผู้ให้ส่งมอบให้ผู้รับ และเป็นส่วนที่สำคัญหากงานวันเกิด

เค้กวันเกิด

เค้กวันเกิด ถือได้ว่าเป็นของขวัญสุดพิเศษในวันเกิดเสมอทั้งได้กินเค้กแสนอร่อยและทุกคนรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองจัดปาร์ตี้เล็กๆ สำหรับเพื่อน พี่น้อง และญาติสนิท ดังนั้น เค้กวันเกิดจึงเป็นสิ่งสำคัญหากงานวันเกิดไม่มีเค้กจะดูไม่สมบูรณ์แบบเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง เค้กเป็นส่วนที่ดีที่สุดของวันสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็คาดหวังว่าจะได้เห็นการเป่าเทียนและร่วมกันกินเค้กอร่อยที่ทุกคนรอคอยนั่นเอง รู้หรือไม่ว่าเค้กวันเกิดมีความหมายหรือสำคัญอย่างไร

เค้กวันเกิด มีความหมายอย่างไร

เค้กวันเกิด มีความหมายว่าเป็น ตัวแทนความสุขที่ผู้ให้ส่งมอบให้ผู้รับ ซึ่งการมอบเค้กวันเกิด และการอธิษฐานขอพรก่อนเป่าเค้กวันเกิดนั้นเป็นความเชื่อที่ยังคงอยู่มาตลอด สมัยนี้เค้กวันเกิดอาจจะมีหน้าตาแปลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งมีหลายรูปแบบ อลังการมากขึ้น มีไอเดียแปลกใหม่สร้างสรรค์ และมีการจัดงานวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังคงเหมือนเดิม คือ เค้กวันเกิดก็จะถูกนำมาใช้เพื่อฉลองให้กับเจ้าของวันเกิดเป็นหลัก

ทำไมต้องปักเทียนบนเค้กมากกว่าอายุ 1 ปี ?

การปักเทียนบนเค้กวันเกิดตามจำนวนอายุ บวกไปอีก 1 ปี หรือเป็นเทียนตัวเลขก็จะเพิ่มอีก 1 เช่นกัน ซึ่งตามความเชื่อว่าการปักเทียนบนเค้กวันเกิดที่เพิ่มขึ้นอีก 1 ปีนั้นจะทำให้โชคดี และปัจจุบันถือเป็นเคล็ดในการต่ออายุเจ้าของวันเกิด

ไอเทมสุดฮิต เค้กที่นิยมสั่งทำในวันเกิด

  • เค้กเนื้อบัตเตอร์ หรือบัตเตอร์เค้ก ( Butter Cake )
  • เค้กเนื้อสปันจ์ หรือเนื้อฟองน้ำ ( Sponge Cake )
  • เค้กเนื้อชิฟฟอน ( Chiffon Cake )

10 คำอวยพรวันเกิด ที่นิยมใช้เขียนหน้าเค้กทั้งภาษาไทยและอังกฤษ

  • Happy Birthday
  • Happy Birthday to… (ตามด้วยชื่อ)
  • แฮปปีเบิร์ดเดย์
  • แฮปปีเบิร์ดเดย์ ขอให้ร่ำรวยเงินทอง
  • แฮปปีเบิร์ดเดย์ทู… (ตามด้วยชื่อ)
  • แฮปปีเบิร์ดเดย์ทูยู
  • สุขสันต์วันเกิด… (ตามด้วยชื่อ)
  • สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมากๆ
  • สุขสันต์วันเกิด ขอให้พบแต่สิ่งดีๆ
  • สุขสันต์วันคล้ายวันเกิด คิดสิ่งใดขอให้สมปราถนาทุกประการ

เค้กวันเกิดจะน่าทานนั้นควรมีสีสันน่ารับประทาน โดยการตกแต่งหน้าเค้กวันเกิดที่สวยงามด้วยแยมส้ม แยมบลูเบอร์รี่ แยมสตรอว์เบอร์รี่ แยมมัลเบอร์รี่ และที่สำคัญเพิ่มความรักน่าหน้าเค้กด้วยท๊อปปิ้งสีสันสดใส เช่น เม็ดสีเรนโบว์ ดาร์กเฟลก ช็อคไรซ์ (ช็อคโกแลตชิฟ) เป็นต้น ซึ่งผู้ให้ถือเป็นการมอบเค้กวันเกิดที่สวยงาม เพื่อสร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้แก่ผู้รับ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคบรูเซลโลซิส Brucellosis

0
โรคบรูเซลโลซิส Brucellosis
การติดเชื้อบรูเซลล่าในฟาร์มปศุสัตว์และสามารถแพร่เชื้อสู่คนได้ ซึ่งเข้าสู่ร่างกายคนได้
โรคบรูเซลโลซิส Brucellosis
การติดเชื้อบรูเซลล่าในฟาร์มปศุสัตว์และสามารถแพร่เชื้อสู่คนได้ ซึ่งเข้าสู่ร่างกายคนได้

โรคบรูเซลโลซิส

โรคบรูเซลโลซิส ( Brucellosis ) หรือโรคแท้งติดต่อ เป็น โรคติดต่อเกิดจากเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ เรียกว่า บรูเซลล่า ( Brucella spp. ) ที่มักพบการติดเชื้อบรูเซลล่าในฟาร์มปศุสัตว์และสามารถแพร่เชื้อสู่คนได้ เนื่องจากเชื้อบรูเซลล่าสามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทางบาดแผลที่ผิวหนัง การกินเนื้อสัตว์ที่ไม่สุก การหายใจสูดดมเชื้อบรูเซลล่าที่ปนเปื้อนในอากาศภายในโรงฆ่าสัตว์ การสัมผัสกับเนื้อ เลือด เยื่อเมือก ปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งของสัตว์จากการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือผลิตภัณฑ์นมจากสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อซึ่งสัตว์ที่พบมักติดเชื้อ ได้แก่ แกะ วัว แพะ หมู อูฐ ควาย และสุนัข เป็นต้น

การแพร่เชื้อของเชื้อแบคทีเรียบรูเซลล่า

เกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก หรือกินนมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ( น้ำนมดิบ ) จากสัตว์เหล่านี้ ได้แก่ หมู แกะ วัว แพะ ควาย อูฐ แมวน้ำ วาฬ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลที่ติดเชื้อทำให้นมนมของสัตว์ปนเปื้อนแบคทีเรียบรูเซลล่า เมื่อเราหายใจเอาแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคแท้งติดต่อเข้าไปอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยทั่วไปความเสี่ยงนี้จะสูงกว่าสำหรับคนในห้องปฏิบัติการที่ทำงานกับแบคทีเรีย รวมถึงคนงานโรงฆ่าสัตว์ พนักงานโรงงานบรรจุเนื้อ และสัตวแพทย์จากการสัมผัสกับเชื้อบรูเซลล่าและติดเชื้อในเวลาต่อมา

แพทย์วินิจฉัยโรคบรูเซลโลซิส

โรคบรูเซลโลซิสได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นจากประวัติของผู้ป่วยที่สัมผัสกับสัตว์ แหล่งที่มาของแบคทีเรียเชื้อบรูเซลล่า Brucella และอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย นอกจากนั้นยังมีการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ไขกระดูก สารคัดหลั่ง และเพาะเลี้ยงแบคทีเรียบรูเซลล่าจากผู้ป่วย การตรวจทางนํ้าเหลืองในห้องปฏิบัติการจะมีประโยชน์มากต่อการวินิจฉัยที่แม่นยําในผู้ป่วยกว่าร้อยละ 95 เปอร์เซ็นต์ แต่จําเป็นต้องทดสอบร่วมกับการตรวจสอบอื่น ๆ ด้วยเพื่อให้ยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นหรือไม่เป็นโรคแท้งติดต่อนั่นเอง

ระยะฟักตัวของโรคบรูเซลโลซิส

โดยปกติระยะฟักตัวจะอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่ประมาณ 1 – 2 เดือน ซึ่งมีอาการแสดงให้เห็นถึงการติดเชื้อเริ่มแรง

อาการเริ่มแรกของโรคบรูเซลโลซิส

  • เป็นไข้
  • ปวดศีรษะ
  • หนาวสั่น
  • ไอ
  • ท้องผูก
  • เบื่ออาหาร
  • เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • รู้สึกไม่สบายตัว
  • รู้เหนื่อยล้าไม่มีแรง
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ปวดในข้อต่อ
  • ปวดในช่องท้อง
  • น้ำหนักลด

ใครบ้างเสี่ยงต่อการเป็นโรคโรคบรูเซลโลซิส หรือโรคแท้งติดต่อ

1. พื้นที่ความเสี่ยงสูงติดเชื้อบรูเซลล่า การติดเชื้อบรูเซลล่า ได้แก่ เอเชีย ลุ่มน้ำเมดิเตอร์เรเนียนประเทศโปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศสตอนใต้ อิตาลี กรีซ ตุรกี แอฟริกาเหนือ เม็กซิโกอเมริกาใต้ อเมริกากลาง ยุโรปตะวันออก แอฟริกา แคริบเบียน และตะวันออกกลาง เป็นต้น
2. น้ำนมดิบ และผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ หรือเรียกว่าการพาสเจอร์ไรส์
3. อาชีพเสี่ยงต่อการติดเชื้อบรูเซลล่าของโรคบรูเซลโลซิส แพทย์เตือนอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงอาจสัมผัสกับเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคแท้งติดต่อได้มากที่สุด ได้แก่
– คนงานในโรงฆ่าสัตว์
– พนักงานบรรจุเนื้อ
– สัตวแพทย์
– เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ
4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ที่เคยสัมผัสกับเชื้อบรูเซลล่า
5. คนล่าสัตว์ หรือนักล่าสัตว์
– หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่าที่ป่วยหรือตาย
– สวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตา หน้ากากอนามัย และถุงมือยาง เมื่อจัดการกับซากสัตว์
– ไม่ให้สุนัขกินเนื้อดิบจากซากสัตว์
ล้างมือให้สะอาดหลังการล่าสัตว์
– การทำความสะอาดเครื่องมือล่าสัตว์และการฆ่าสัตว์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

การรักษาโรคบรูเซลโลซิส

ผู้ป่วยมักมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้วิธีที่ดีที่สุด คือ การใช้ยาปฏิชีวินะ Doxycycline ( ด็อกซีไซคลิน ) 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ภาวะแทรกซ้อนบางอย่างของโรคแท้งติดต่อ ได้แก่

  • เยื่อบุหัวใจอักเสบ
  • ไตเกิดความเสียหาย
  • ตับเกิดความเสียหาย
  • การแข็งตัวของเลือด
  • เลือดเป็นพิษ
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคหลอดเลือดสมอง

การป้องกันตนเองให้เพื่อลดความเสี่ยงโรคบรูเซลโลซิส

ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคแท้งติดต่อในมนุษย์ แต่มีหลายสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อลดโอกาสในการได้รับเชื้อโรคบรูเซลล่า
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
2. หากมีบาดแล้วห้ามสัมผัสกับสัตว์ เลือด ปัสสาวะ และเนื้อเยื่อจากสัตว์
3. สวมชุดป้องกันหากทำงานกับสัตว์
4. ห้ามดื่มนมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก
6. ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่อยู่ในอาคารหรือสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคบรูเซลล่า

การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโรคบรูเซลโลซิส

ควรมีมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันและควบคุมโรคแท้งติดต่อในสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม ซึ่งรวมถึง

  • การซื้อสัตว์จากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน
  • ลือกสัตว์ที่มีสุขภาพแข็งแรง
  • ควรมีการกักกันสัตว์ใหม่อย่างน้อย 1 เดือน
  • การทดสอบเนื้อสัตว์และนมดิบ เพื่อตรวจหารเชื้อแบคทีเรีย Brucella
  • การฉีดวัคซีนสัตว์ในฟาร์ม
  • ควรทำความสะอาดภายในฟาร์มทุกวัน
  • คัดแยกสัตว์ที่ป่วยออกจากพื้นที่
  • หากสัตว์มีอาการป่วยควรแจ้งทางปศุสัตว์

ดังนั้น ควรเลี่ยงการดื่มน้ำนมดิบหรือผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรส์ และสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่นผ้าปิดจมูกและปาก ถุงมือ ขณะที่ต้องสัมผัสเนื้อเยื่อในการทำคลอดสัตว์ และล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสตัวสัตว์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักโขม หรือผักขม

0
ผักโขม หรือผักขม
ผักโขม เป็นทั้งวัชพืช ผัก และสมุนไพร อุดมไปด้วยโปรตีนสูงมีคุณค่าทางโภชนาการ
ผักโขม หรือผักขม
ผักโขม เป็นทั้งวัชพืช ผัก และสมุนไพร อุดมไปด้วยโปรตีนสูงมีคุณค่าทางโภชนาการ

ผักโขม

ผักโขม ( Amaranth ) เป็น ทั้งวัชพืช ผัก และสมุนไพร ชื่ออื่นๆ คือ ผักขม ผักโหม ผักหม กระเหม่อลอเตอ มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน จีน เม็กซิโก แอฟริกาตะวันตก และประเทศไทย ผักโขมจะขึ้นอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ เช่น ป่าหญ้า ริมทาง ไร่ นาข้าว สวน พื้นที่รกร้าง ผักขมมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amaranthus lividus L.จัดอยู่ในวงศ์ Amaranthaceae ซึ่งผักโขมจัดอยู่ในกลุ่มผักใบเขียวนิยมปลูกเพื่อรับประทานสุกมีรสขม ต้มจิ้มน้ำพริก ทำแกงส้ม แกงจืด ผัด ชุบทอด มี 3 ชนิด ได้แก่ ผักโขมจีน ผักโขมสวน ผักโขมหนาม ผักขมอุดมไปด้วยโปรตีนสูงมีคุณค่าทางโภชนาการ

ชนิดของผักโขม

1. ผักโขมจีน ( Chinese Spinach ) มี 3 สายพันธุ์ คือ ผักโขมสวน ผักโขมจีนสีเขียว และผักโขมจีนสีแดง ใบและลักษณะลำต้นกลมขนาดใหญ่สีแดงและสีเขียว ลำต้นสูง มีหนามและไม่มีหนาม ขึ้นอยู่ตามสายพันธุ์ ใบใหญ่สีเขียวเข้ม ปลายใบเรียวรี ผิวใบบางเรียบหรือมีขน มีก้านใบยาว ขอบใบมีรอยหยัก สามารถเก็บเกี่ยวได้หลังปลูกลงแปลงประมาณ 20 – 25 วัน เมล็ดขนาดเล็กๆ มีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ

2. ผักโขมสวน ( Joseph’s coat ) เป็นพืชผักสมุนไพรลำต้นสูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นทรงกลมแบนสีเขียว หรือสีเขียวอมม่วง โคนใบกว้างมน ปลายใบแหลม ขอบนอกสีเขียวด้านในใบแกมสีม่วง มีหนามแหลมตามข้อ ดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีแดง ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดเป็นหลักระยะในการเก็บเกี่ยวหลังปลูกลงแปลงประมาณ 20 – 25 วัน สามารถทยอยเก็บรับประทานได้ตลอด เมล็ดขนาดเล็กๆ มีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ

3. ผักโขมหนาม ( Spiny Amaranth ) เป็นวัชพืชกินได้ ลำต้นกลมสีเขียวแกมม่วงสูงประมาณ 1.5 เมตร มีขนเล็กน้อย มีหนามแหลม ใบเดี่ยวออกเรียงสลับมีสีเขียว กลิ่นเหม็นเขียว ดอกออกตรงข้อลำต้นตามซอกใบ ดอกมีสีม่วงอมเขียวหรือสีขาว ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดเป็นหลักระยะในการเก็บเกี่ยวหลังปลูกลงแปลงประมาณ 20 – 25 วัน สามารถทยอยเก็บรับประทานได้ตลอด เมล็ดขนาดเล็กๆ มีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของผักโขม

คุณค่าทางโภชนาการของผักโขม 100 กรัม ให้พลังงานทั้งหมด 102 แคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสรอาหาร
ไขมันทั้งหมด 1.6 กรัม
ใยอาหาร 2.1 กรัม
โปรตีน 3.8 กรัม
คลอเรสเตอรอล 0 มิลลิกรัม
โซเดียม 6 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 135 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
แคลเซียม 5 เปอร์เซ็นต์
วิตามินบี6 เท่ากับ 6 เปอร์เซ็นต์
ไทอามิน 1 เปอร์เซ็นต์
ไนอาซิน 1 เปอร์เซ็นต์
ซิงค์ 6 เปอร์เซ็นต์
เหล็ก 12 เปอร์เซ็นต์
แมกนีเซียม 16 เปอร์เซ็นต์
ไรโบพลาวิน 1 เปอร์เซ็นต์
วิตามินอี 1 เปอร์เซ็นต์
ฟอสฟอรัส 15 เปอร์เซ็นต์

*ร้อยละของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคผักขมต่อวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปโดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่

สรรพคุณของผักโขม

1. ผักโขมมีสารแคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) และวิตามินเอ ( Vitamin A ) เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถป้องกันการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา ป้องการเกิดต้อกระจก การลดความเครียดออกซิเดชั่นในตา และช่วยในการมองเห็นในตอนกลางคืน
2. ผักโขมเต็มไปด้วยใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ( Dietary Fiber ) สูงมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารหลายประการ ซึ่งช่วยให้กระบวนการย่อยอาหารดีขึ้น และช่วยให้การดูดซึมแร่ธาตุเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผักโขมไม่มีกลูเตน ( Gluten Free ) ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในธัญพืชผักโขมจึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซลิแอค หรือโรคระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อกลูเตน เมื่อกินโปรตีนชนิดนี้จะไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ การกินผักโขมจึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้โปรตีนกลูเตนนั่นเอง

การใช้ประโยชน์ของผักโขม

พืชสมุนไพรชนิดนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งลำต้น ใบ ราก เมล็ด

  • ทั้งต้นของผักโขมใช้เป็นยาระบาย ฟอกเลือด และขับปัสสาวะได้
  • ชาวจีนใช้ผักโขมเป็นยาแผนโบราณในการรักษาโรคเบาหวาน
  • สมุนไพรผักโขมช่วยแก้พิษงูกัด
  • คั้นน้ำจากใบสดใช้ทาบริเวณที่ถูกแมงป่องต่อย
  • ใช้เป็นยาพอกฝี ช่วยขับหนอง
  • ช่วยป้องกันการแท้งบุตรได้
  • ช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
  • ใช้ผักขมบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน ลดอาการตกขาว
  • ช่วยรักษาหนองใน
  • ช่วยรักษาอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อ
  • ช่วยขับปัสสาวะ และรักษานิ่วในถุงน้ำดี
  • ใช้รักษาแผลในปาก แผลเปื่อย แผลไหม้ แผลพุพอง และรักษาโรคริดสีดวงทวาร
  • รากผักโขมใช้ในการรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • ช่วยรักษาโรคกลาก
  • ช่วยรักษาอาการท้องเสีย แก้อาการจุกเสียด ขับลม และโรคบิด
  • ช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย และรักษาความผิดปกติของกระเพาะอาหาร
  • ใช้เป็นยาขับเสมหะ
  • ใช้รักษาโรคโลหิตจาง
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน โรคเหงือก

องค์ประกอบทางเคมีของผักโขม

1. แซนโทฟิลล์ ( Xanthophyll ) เป็นสารในตระกูลแคโรทีนอยด์พบทั่วไปในพืช และสิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยต้านอนุมูลอิสระ
2.ไลซีน ( Lysine ) เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้จำเป็นต้องได้รับจากสารอาหาร ซึ่งมีประโยชน์ต่อการสร้างโปรตีน การเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยเสริมสร้างฮอร์โมน
3. เบต้าแคโรทีน ( Beta-Carotene ) เป็นหนึ่งในสารสำคัญในการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยบำรุงสายตาทำให้การมองเห็นในตอนกลางคืนดีขึ้น ช่วยลดการเสื่อมสภาพเซลล์ของดวงตา
4. ซีสทีน ( Cystine ) เป็นสารอาหารสำคัญช่วยในการสร้างเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระ ผักโขมช่วยชะลอวัย ช่วยในการขับสารพิษออกจากระบบต่างๆ ของร่างกาย ป้องกันร่างกายจากโลหะหนักที่เป็นอันตราย
5. ทรีโอนีน ( Threonine ) เป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีน มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย สารในผักโขมช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยเผาผลาญไขมัน
6. ไอโซลิวซีน ( Isoleucine ) เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยเร่งการรักษากล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ และช่วยสร้างกล้ามเนื้อและมวลร่างกายที่ไม่ติดมัน
7. ลิวซีน ( Leucine ) เป็นหนึ่งในกรดอะมิโน 20 ชนิดสำคัญต่อสุขภาพที่ร่างกายไม่ได้สร้างขึ้น ซึ่งมีโปรตีนความเข้มข้นสูงในเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ เนื้อหมู ปลา และผลิตภัณฑ์จากนมเป็นโปรตีนที่มีระดับลิวซีนสูง แต่แหล่งโปรตีนจากพืชอาทิผักโขมจะมีความเข้มข้นน้อยกว่านั่นเอง สามารถช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของโปรตีน และป้องการสูญเสียกล้ามเนื้อได้
8. โทโคไตรอีนอล ( Tocotrienols ) เป็นส่วนประกอบสำคัญของวิตามินอีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมีคุณสมบัติในการลดไขมัน ต้านมะเร็ง ป้องกันระบบประสาท นอกจากนั้นโทโคไตรอีนอลยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างหลอดเลือดแดงใหม่หลังจากเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตก ช่วยในการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่ร้ายแรงที่สุดบางชนิด
9. วาลีน ( Valine ) เป็นหนึ่งในกรดอะมิโนที่สร้างโปรตีนที่ร่างกายของเราไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ ดังนั้น จึงต้องได้รับกรดอะมิโนวาลีนในอาหาร ได้แก่ ผักโขม ชีส สัตว์ปีก ปลา ถั่วลิสง กรดอะมิโน Valine ช่วยกระตุ้นการเติบโตของกล้ามเนื้อ ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อป้องกันการสลายตัวของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หากร่างกายขาดกรดอะมิโนชนิดวาลีนที่มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางจึงมีบทบาทสำคัญในการทำงานของจิต อาจทำให้เกิดโรคเส้นประสาทเสื่อมได้
10. อาร์จินีน ( Arginine ) กรดอะมิโนแอล – อาร์จินีนที่พบในอาหารช่วยให้สามารถผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งมีผลต่อกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย อาร์จินีนช่วยในร่างกายในการสร้างโปรตีนและกระตุ้นการปล่อยอินซูลิน มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย อาร์จินีนจึงเป็นอาหารเสริมยอดนิยมสำหรับนักกีฬา ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เป็นต้น
11. เมไทโอนีน ( Methionine ) เป็นหนึ่งในกรดอะมิโนที่จำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้และต้องได้รับจากอาหารเพื่อสร้างโปรตีนและสารประกอบอื่น ๆ ในร่างกาย เมไทโอนีน ในผักโขมมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากรังสีไอออไนซ์ ช่วยบรรเทาความเมื่อยล้า ช่วยลดความเสี่ยงของอาการผมบางหรือศีรษะล้านในช่วงต้น ช่วยรักษาโรคกระดูกพรุน ช่วยล้างสารพิษจากโลหะหนักที่เป็นอันตรายในร่างกาย ป้องกันความเสียหายของตับจากยาลดไข้ และยาแก้ปวดที่ใช้รักษาอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ
12. ฮิสทิดีน ( Histidine ) คือ กรดอะมิโนป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็ก ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดแดง และป้องกันเนื้อเยื่อที่เสียหายจากการฉายรังสีและโลหะหนัก ช่วยกระตุ้นให้การส่งสัญญาณไปยังสมองได้เร็วยิ่งขึ้น
13. ไทโรซีน ( Tyrosine ) เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างขึ้นจากฟีนิลอะลานีน พบในอาหารหลายประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม พืชตระกูลถั่ว ข้าวโอ๊ต และผักโขม ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตเม็ดสีเมลานินของร่างกายและสารเคมีในสมอง นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของต่อมหมวกไต ไทรอยด์ ต่อมใต้สมองที่ช่วยในการผลิตและควบคุมฮอร์โมนของมนุษย์
14. ฟีนิลแอลานีน ( Phenylalanine ) ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างโปรตีนต่างๆที่ผลิตในร่างกาย ซึ่งฟีนิลแอลานีนเป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทำให้อารมณ์ดีขึ้น มักถูกใช้ในอาหารเสริมสำหรับลดอาการซึมเศร้า อาการปวดหลัง ลดความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บ ช่วยเพิ่มการควบคุมการสั่นของผู้ที่เป็นโรคพาร์คินสัน ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด และกระตุ้นการสร้างผิวใหม่

การขยายพันธุ์ผักโขม

ผักโขมแม้จะเป็นวัชพืชแต่มีสรรพคุณทางสมุนไพรมากมาย การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ซึ่งเมล็ดผักขมนั้นมีขนาดเล็กเกิดการแพร่กระจายได้ง่ายจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การไถเตรียมดิน การเก็บเกี่ยวผลผลิตอาจมีการปะปนไปกับเมล็ดพันธุ์พืช นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งของแพร่ระบาดของผักโขมในไร่ นาข้าว สวน เป็นต้น

ข้อควรระวังในการใช้ผักโขม

ผักโขม ( Amaranth ) เป็นพืชสมุนไพรยาแผนโบราณที่มีสารออกซาเลต ( Oxalate ) ค่อนข้างสูง ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดในกระแสเลือด มักพบในผักและผลไม้บางชนิด เช่น ผักโขม ปวยเล้ง ช็อคโกแลต ชาเขียว งาดำ งาขาว อาจส่งผลเสียต่อร่างกายโดยเฉพาะอาจทำให้ระดับแคลเซียมในปัสสาวะเพิ่มขึ้นแล้วนำไปสู่การเกิดนิ่วในไตได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คุณประโยชน์จากน้ำตาลมะพร้าวที่สายเฮลตี้ไม่ควรพลาด

0
คุณประโยชน์จากน้ำตาลมะพร้าวที่สายเฮลตี้ไม่ควรพลาด
น้ำตาลมะพร้าว ที่สายเฮลตี้ ( HEALTHY ) ไม่ควรพลาด 
น้ำตาลมะพร้าว คือ น้ำตาลจากดอกมะพร้าวสดผ่านกรรมวิธีทำให้น้ำระเหยจนเป็นของเหลวหนืดข้นนำมาใส่ภาชนะทิ้งไว้ให้แข็งตัว

น้ำตาลมะพร้าวแท้ ไม่อ้วนจริงไหม

น้ำตาลมะพร้าว (Coconut sugar) คือ น้ำตาลที่สกัดจากดอกมะพร้าวสด ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือสารกันเสีย โดยผ่านกรรมวิธีแบบดั้งเดิมจนได้สารหวานที่มีความหนืดและแข็งตัวเป็นผลึก กลิ่นหอมและรสหวานอ่อนๆ จากการวิจัยพบว่า น้ำตาลมะพร้าวแท้ 100% มีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน ไม่ทำให้อ้วน เหมาะสำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักและช่วยลดไขมันส่วนเกิน ทานในปริมาณที่เหมาะสมไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำตาลมะพร้าวได้รับการใช้ในประเทศไทยและในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานหลายปี และได้รับการยอมรับในเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ เพื่อคงระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม ให้พลังงานกี่แคลอรี

น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม ให้พลังงานกี่แคลอรีข้อมูลโภชนาการของน้ำตาลมะพร้าวออแกนิค ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 360 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 100 กรัม
เส้นใยอาหาร 0 กรัม
น้ำตาล 100 กรัม
ไขมันรวม 0 กรัม
โซเดียม 40 มิลลิกรัม
โปรตีน 0 กรัม
โพแทสเซียม 1300 มิลลิกรัม
วิตามินซี 24 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 3.6 มิลลิกรัม
สังกะสี 3 มิลลิกรัม
ไทอามีน 3 มิลลิกรัม

* ค่าเปอร์เซ็นต์รายวันขึ้นอยู่กับอาหาร 2,000 แคลอรี่ดังนั้นค่าของคุณอาจเปลี่ยนแปลงได้
ขึ้นอยู่กับความต้องการแคลอรีของคุณ

น้ำตาลมะพร้าวมีความปลอดภัยต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด แต่จะปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดในเกณฑ์ปกติ

น้ำตาลมะพร้าวออแกนิค ประโยชน์

น้ำตาลมะพร้าวที่ได้จากมะพร้าวแท้ 100% ประกอบด้วยกรดอะมิโน 16 ชนิด น้ำตาลมะพร้าวมีแร่ธาตุสูง เป็นแหล่งโปแตสเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และธาตุเหล็ก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 และวิตามินบี6 เมื่อเทียบกับน้ำตาลทรายแดง เนื่องจากน้ำตาลมะพร้าวมีธาตุเหล็กสูงประมาณ 36 เท่า แมกนีเซียม 4 เท่า และสังกะสีมากกว่า 10 เท่า

  • อินนูลินในน้ำตาลมะพร้าวเป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ลำไส้ของคุณแข็งแรง ป้องกันมะเร็งลำไส้และปรับสมดุลของน้ำตาลในเลือด
  • น้ำตาลมะพร้าวมีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งช่วยป้องกันคอเลสเตอรอลสูงและโรคหัวใจ
  • น้ำตาลมะพร้าวมีโปแตสเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม ซึ่งจำเป็นต่อการควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายตลอดจนการทำงานของหัวใจ เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ มีโพแทสเซียมมากกว่าน้ำตาลทั่วไปเกือบ 400 เท่า
  • น้ำตาลมะพร้าวมีธาตุเหล็ก สังกะสี และแคลเซียมซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายรวมถึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  • น้ำตาลมะพร้าวมีไนโตรเจนช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด และช่วยให้หัวใจแข็งแรง
  • วิตามินซีช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและป้องกันการเจ็บป่วย และยังช่วยให้ข้อต่อและผิวหนังแข็งแรง
  • น้ำตาลมะพร้าวมีสารต้านอนุมูลอิสระต่อสู้กับการออกซิเดชั่นของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งช่วยต่อต้านความชรา

วิธีใช้งานน้ำตาลมะพร้าวแท้ ไม่ผสม

วิธีใช้งานน้ำตาลมะพร้าวแท้ ไม่ผสมน้ำตาลมะพร้าวออร์แกนิกสามารถใช้ทดแทนน้ำตาลได้ ใช้ในปริมาณที่เท่ากัน 1 : 1 ใน
การปรุงอาหาร นอกจากนี้ยังใส่ในกาแฟ ชา สมูทตี้ เครื่องดื่ม และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย

แม้ว่าน้ำตาลจะขึ้นชื่อว่าทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวขัดสี ยิ่งกิน ยิ่งป่วย ยิ่งอ้วน หากกินในปริมาณมากๆ จะส่งผลกระทบกับระบบเผาผลาญได้ ทำให้คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง แต่น้ำตาลมะพร้าวเป็นน้ำตาลธรรมชาติซึ่งเป็นน้ำตาลซูโครสบริสุทธิ์ แต่น้ำตาลมะพร้าวจะมีซูโครสประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนอีก 25 เปอร์เซ็นต์ประกอบด้วยสารอาหารไฟเบอร์ ดังนั้น น้ำตาลมะพร้าวสามารถใช้ทดแทนที่น้ำตาลทรายขาวได้

น้ำตาลมะพร้าวออแกนิค ด้วยเคล็ดลับการเก็บน้ำตาลแบบโบราณ

น้ำตาลสดหลังเก็บมาเพียง 3-4 ชั่วโมงจะเริ่มบูด ด้วยภูมิปัญญาคนโบราณจึงใช้เปลือกไม้เคี่ยมคะนอง หรือเนื้อไม้พะยอมสับเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในกระบอกไม้ไผ่ก่อนเก็บน้ำตาลสด เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่จะทำให้น้ำตาลบูดเปรี้ยว (ใช้ได้ทั้งการเก็บน้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลโตนด)

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคลิชมาเนีย ( Leishmaniasis )

0
โรคลิชมาเนีย ( Leishmaniasis )
โรคลิชมาเนียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัวลิชมาเนียสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ ผ่านการถูกริ้นฝอยทราย แมลงวันทรายกัด
โรคลิชมาเนีย ( Leishmaniasis )
โรคลิชมาเนียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัวลิชมาเนียสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ ผ่านการถูกริ้นฝอยทราย แมลงวันทรายกัด

โรคลิชมาเนีย

โรคลิชมาเนียซิส หรือ Leishmaniasis คือ โรคติดเชื้อที่เกิดจากโปรโตซัวชนิดที่เรียกว่า ลิชมาเนีย ( Leishmania ) ปรสิตชนิดนี้อาศัยอยู่ในแมลงวันทราย ( Psychodidae ) แมลงหวี่และสัตว์หลายชนิดรวมทั้ง วัว ควาย สุนัข แมว สัตว์พวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของพาหะนำโรคได้เช่นกัน โดยพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรค อย่างน้อย 88 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา 75 ประเทศ และประเทศด้อยการพัฒนา 13 ประเทศ จัดอยู่ในพื้นที่เขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน และแถบยุโรปตอนใต้ โรคลิชมาเนียซิสทสามารถติดต่อสู่คนได้ผ่านทางการกัดของแมลงวันทราย หรือริ้นฝอยทราย ( Sandfly ) ที่ติดเชื้อปรสิต ด้านผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีเชื้อลิชมาเนียประมาณ 20 ชนิด ส่งผลกระทบต่อประชากรประมาณ 12 ล้านคน ลักษณะของการติดเชื้อปรสิตในคนมี 3 รูปแบบ พบบ่อยที่สุด คือ ทางผิวหนัง เยื่อเมือก อวัยวะภายใน ซึ่งการติดเชื้อมีตั้งแต่ไม่แสดงอาการใด ๆ ไปจนถึงขั้นรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้

การระบาดลิชมาเนียซิสในประเทศไทย

ซึ่งสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยพบผู้ป่วยจำนวน 49 ราย มีทั้งผู้ป่วยชาวต่างชาติลแะแรงงานคนไทยที่กลับจากประเทศตะวันออกกลางนำเชื้อลิชมาเนียเข้ามา และผู้ป่วยที่เป็นคนไทยติดเชื้อในประเทศรวมทั้งหมด 14 ราย เสียชีวิตแล้ว 2 ราย พบทั้งชาย หญิง และเด็ก

จังหวัดที่มีผู้ป่วยติดเชื้อลิชมาเนีย

กรุงเทพฯ เชียงราย น่าน จันทบุรี พังงา สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา สตูล และตรัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดอยู่ทางภาคใต้

อาการที่พบบ่อยของโรคลิชมาเนียซิส แบ่งออกได้ 3 ประเภท
1. เกิดแผลทางผิวหนัง ( Cutaneous Leishmaniasis ) โดยทั่วไปโรคลิชมาเนียซิสมักทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังโดยเฉพาะใบหน้า แก้ม มีลักษณะเริ่มแรกจะมีตุ้มนูนขึ้นมาข้างในมีน้ำใสๆ และแดง บริเวณบาดแผลจะฉ่ำไปด้วยน้ำเหลือง บางครั้งก็แห้งเป็นวงกว้างคล้ายโรคเกลื้อนแต่รุนแรงกว่าหลายเท่า อาการทางผิวหนังจะปรากฏขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ติดเชื้อลิชมาเนีย

2. เกิดแผลที่เยื่อเมือก ( Mucocutaneous Leishmaniasis ) มักแสดงอาการหลังการติดเชื้อเป็นสัปดาห์ไปจนถึงเป็นเดือน แผลส่วนใหญ่เป็นแผลที่เกิดขึ้นบริเวณจมูก ริมฝีปาก แผลในปาก ในลำคอ อาจลุกลามส่งผลต่อจมูกเพดานปาก หรือใบหน้าถูกทำลายเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
รวมถึงอาการอื่น ๆ ได้แก่

3. การติดเชื้ออวัยวะภายใน ( Visceral Leishmaniasis ) โดยทั่วไปแล้วอาการมักไม่แสดงให้เห็นจนเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนหลังจากถูกริ้นฝอยทรายที่ติดเชื้อลิชมาเนียกัด ส่วนใหญ่จะแสดงอาการช่วง 2 – 6 เดือน มีอาการของโรค ได้แก่

สาเหตุของลิชมาเนียซิล

โรคลิชมาเนียซิสส่งผลกระทบต่อคนยากจนในพื้นที่ห่างไกลและขาดสารอาหาร ประชากรส่วนใหญ่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่องทำให้การติดเชื้อสามารถแพร่กระจายผ่านระบบน้ำเหลืองและหลอดเลือด แล้วทำให้เกิดแผลบริเวณผิวหนัง เยื่อบุช่องปาก รุกลามไปยังตับ ม้ามและไขกระดูกอวัยวะภายในรุนแรงมากขึ้น

ระยะการฟักตัวของลิชมาเนียซิส

ระยะการฟักตัวของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ประมาณ 3 – 10 วันไปจนถึงหลายเดือน ซึ่งโรคลิชมาเนียซิสมักจะหายได้เองภายในไม่กี่เดือนแต่จะทิ้งรอยแผลเป็นที่ไม่น่าดูไว้

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อลิชมาเนียซิส

แพทย์เตือนว่าทุกคนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหากพวกเขาอาศัยหรือเดินทางในที่ที่พบเชื้อลิชมาเนีย มักพบได้บ่อยในชนบทมากกว่าในเขตเมือง เนื่องจากริ้นฝอยทรายมักจะออกหากินมากที่สุดในเวลาพลบค่ำตอนเย็นและเวลากลางคืน แม้ว่าในเวลากลางวันที่ร้อนที่สุดของวันแมลงวันทรายจะออกหากินน้อยลงแต่ก็อาจถูกกัดได้หากถูกรบกวน

การวินิจฉัยโรคลิชมาเนียซิส

แพทย์จะวินิจฉัยโดยประกอบด้วย 3 วิธี ได้แก่ อาการทางคลินิก พยาธิสภาพ และภูมิคุ้มกันวิทยา

  • เริ่มแรกแพทย์จะทำการซักประวัติส่วนตัว ประวัติคนในครอบครัวเกี่ยวกับการเดินทางไปยังประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อลิชมาเนีย
    หรือที่อยู่อาศัยของผู้ป่วยที่เข้ามาทำการรักษาในโรงพยาบาล
  • การตรวจเลือดเพื่อเก็บตัวอย่างในผู้ป่วย และการตรวจเนื้อเยื่อด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาปรสิตในเนื้อเยื่อหรือของเหลวที่เปื้อน
  • การตรวจหาแอนติบอดีในร่างกาย

การรักษาโรคลิชมาเนียซิสจากการติดเชื้อลิชมาเนีย

ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาหรือป้องกันโรคลิชมาเนียซิส ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงแมลงกัด เช่น ริ้นฝอยทราย แมลงหวี่ ที่มีขนาดเล็กกัดในช่วงเวลาพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า แพทย์ทำการรักษาตามอาการโดยการใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ หากผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูง หรือให้ยาฆ่าเชื้อเพื่อลดการอักเสบบริเวณบาดแผล และทำความสะอาดบาดแผล ปิดบาดแผลไม่ให้แผลโดนน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
และลดภาวะแทรกซ้อนที่จะตามมาภายหลัง

การป้องกันลิชมาเนีย

นักท่องเที่ยวควรระระมัดระวังหากเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงหรือพักอาศัยในพื้นที่แพร่ระบาดของลิชมาเนียซิส หากจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่หรือ ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • กำจัดพาหะนำเชื้อโรค นั้นคือ ริ้นฝอยทราย และแมลงวันทราย
  • กำจัดเชื้อลิชมาเนียในผู้ป่วย
  • จัดการโรงเรือนเลี้ยวสัตว์ให้อยู่ห่างจากบ้านเรือนอย่างน้อย 10 เมตร
  • หากมีสัตว์ป่วยจากการติดเชื้อลิชมาเนีย รีบแจ้งสัตวแพทย์ หรือปศุสัตว์อำเภอ
  • ควรทำประวัติประชากรที่เดินทางไปและกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรค เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
  • หากท่านถูกริ้นฝอยทราย หรือแมลงวันทรายกัด ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจหาเชื้อดังกล่าว
  • ผู้นำชุมชน หรือแพทย์ประจำตำบนควรให้ข้อมูลความรู้โรคลิชมาเนียแก่ประชาชน

เมื่อเราอยู่ในที่โล่งแจ้ง

  • ทายากันยุง หรือยากันแมลง ควรทาก่อนออกนอกที่พักอาศัย
  • ฉีดยากันยุง ยาฆ่าแมลง และจุดยากันยุงภายในและภายนอกที่พัก
  • ควรกางมุ้งที่มีความถี่สูงเพื่อป้องกันแมลงขนาดเล็ก
  • หลีกเลี่ยงการออกนอกที่พักในเวลาพลบค่ำ
  • หลีกเลี่ยงการออกนอกที่พักในเวลารุ่งเช้า

เมื่ออยู่ภายในบ้าน

  • ควรติดมุ้งลวดตามประตู หน้าต่าง หรือช่องที่แมลงวันสามารถบินเข้ามาได้
  • ควรฉีดพ่นยาฆ่าภายในบ้าน หรือห้องนอนก่อนเข้านอน
  • ควรสวมเสื้อผ้าที่ปิดร่างกายมิดชิด

อย่างไรก็ตามสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่กำลังจะเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาดของลิชมาเนีย ควรศึกษาข้อมูลเพื่อความปลอดภัย และเตรียมตัวเพื่อรับมือกับพวกแมลงหรือสัตว์ที่เป็นพาหะนำเชื้อโรคดังกล่าว

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ไข่ โปรตีนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและการลดน้ำหนัก

0
ไข่ โปรตีนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและการลดน้ำหนัก
ไข่ เป็น อาหารโปรตีนคุณภาพดีที่สุดอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ เ
ไข่ โปรตีนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและการลดน้ำหนัก
ไข่ เป็น อาหารโปรตีนคุณภาพดีที่สุดอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ เ

ไข่

ไข่ ( Egg ) เป็น อาหารโปรตีนคุณภาพดีที่สุดอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ไข่แดง (egg yolks) มีคอเลสเตอรอล วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค และโอเมก้า 3 โปรตีนจากไข่มีประโยชน์สูงทั้งไข่ขาวและไข่แดงช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และฟันให้แข็งแรง ไข่หนึ่งฟองอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงมากทั้งโปรตีนประมาณ 6 กรัม และแคลอรี่ 68 แคลอรี่เท่านั้น ไข่ยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ การกินไข่วันละ 1 ฟอง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งในไข่มีโคลีนเป็นสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์สำหรับการทำงานของร่างกาย แม้ว่าตับจะสามารถสร้างสารโคลีนได้แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตสารโคลีนได้เพียงพอ อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น กรดโฟลิก เป็นต้น

ชนิดของไข่

1. ไข่นกกระทา
ลักษณะคล้ายไข่ไก่แต่มีขนาดเล็กกว่าหลายเท่าเปรียบเทียบได้กับไข่นกกระทา 5 ฟอง เท่ากับไข่ไก่ขนาดใหญ่หนึ่งฟอง ไข่นกกระทามีรสชาติคล้ายกับไข่ไก่ และผิวเปลือกสีครีม สีขาวนวน และสีน้ำตาลอ่อน เปลือกสวยงามมีจุดเด่นคือมีลายจุดสีน้ำตาลเข้ม น้ำตาลแดง หรือสีดำทั้งใบ เป็นที่นิยมในการนำมาปรุงกอบเป็นอาหารเช่น เมนูไข่นกกระทาต้มซีอิ๊ว ทอดมันไข่นกกระทา ไข่นกกระทาทอด ไข่นกระทาดาว เกี๊ยวไข่นกกระทา ไข่นกกระทาลูกเขย บัวลอยไข่นกกระทา เป็นต้น

2. ไข่ไก่
ลักษณะคล้ายไข่เป็ดแต่ขนาดเล็กกว่า ไข่ไก่มีรสชาติมันๆ และผิวเปลือกมีสีน้ำตาลแดง เป็นที่นิยมในการนำมาปรุงเป็นอาหาร ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เช่น ไข่ทอด ไข่ต้ม ไข่ปิ้ง ไข่ลูกเขย ต้มยำไข่ ไข่ม้วน ไข่หวาน เป็นต้น

3. ไข่เป็ด
ไข่เป็ดมีลักษณะคล้ายไข่ไก่ แต่มีขนาดใหญ่กว่าไข่เป็ดมีโปรตีนมากกว่าไข่ไก่ แต่ก็มีไขมันสูงเช่นเดียวกัน เปลือกไข่เป็ดสีขาวทรงรี เมื่อนำไข่ไปต้มไข่แดงจะมีสีส้มสดน่ากิน เป็นที่นิยมในการนำมาปรุงเป็นอาหารทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เช่น ไข่ดอง ไข่เยี่ยวม้า ไข่พะโล้ ไข่เค็ม ไข่ทอด ไข่ต้ม ไข่ลูกเขย ต้มยำไข่ ไข่ม้วน เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของไข่

ไข่เต็มฟองจะเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุจำนวนมากที่ช่วยในร่างกายให้ทำงานได้ดีที่สุดในไข่ 1 ฟองมีวิตามินเอ วิตามินบี5 วิตามินบี12 วิตามินบี2 วิตามินบี6 วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค และแคลเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม และโฟเลต

องค์ประกอบทางอาหารของไข่ไก่สด ( ต่อ 100 กรัม )

ไข่ทั้งฟอง ไข่แดง ไข่ขาว
พลังงาน 149 แคลอรี พลังงาน 358 แคลอรี พลังงาน 50 แคลอรี
น้ำ 75.33 กรัม  น้ำ 48.81 กรัม น้ำ 87.84 กรัม
โปรตีน 12.49 กรัม โปรตีน 16.76 กรัม โปรตีน 10.52 กรัม
ไขมัน 10.02 กรัม  ไขมัน 30.87 กรัม ไขมัน 0 กรัม
คอเลสเตอรอล 425 มิลลิกรัม คอเลสเตอรอล 1,281 มิลลิกรัม ไม่มีคอเลสเตอรอล
คาร์โบไฮเดรต 1.22 กรัม คาร์โบไฮเดรต 1.78 กรัม คาร์โบไฮเดรต 1.03 กรัม
วิตามินเอ 635 IU วิตามินเอ 1,945 IU วิตามินเอ 0 IU
ไรโบฟลาวิน 0.508 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.639 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.452 มิลลิกรัม
แคลเซียม 49 มิลลิกรัม แคลเซียม 137 มิลลิกรัม แคลเซียม 0 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 178 กรัม ฟอสฟอรัส 488 กรัม ฟอสฟอรัส 13 กรัม

ประโยชน์ของไข่ ทั้งไข่แดงและไข่ขาว

  • ไข่เป็นอาหารสมองพบสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า โคลีน ( Choline ) ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีพบได้ในไข่และอาหารบางชนิดมีส่วนสำคัญในการรักษาเซลล์สมองให้แข็งแรง โดยเฉพาะการเสริมสร้างเยื่อหุ้มเซลล์และป้องกันกานเสื่อมของเซลล์สมอง
  • ไข่ดีต่อสุขภาพตาเพราะในไข่มีลูทีน ซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ 2 ชนิด ช่วยป้องกันปัญหาสายตาที่รุนแรงเช่น ต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม และมีวิตามินเอมีความสำคัญในการบำรุงรักษาสายตา
  • ไข่เป็นแหล่งโปรตีนดีต่อสุขภาพ และโปรตีนเป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อทุกชนิด นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและป้องกันโรคกระดูก เช่น กระดูกเปอะ กระดูกหัก กระดูกบาง
  • ทารกในครรภ์ต้องการโปรตีน ซึ่งไข่มีโปรตีนที่ดี วิตามิน แร่ธาตุช่วยเพิ่มพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยในหญิงตั้งครรภ์นอกจากนี้โปรตีนในไข่ยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อ และกระดูก
  • สารโคลีนในไข่แดงเป็นแหล่งโคลีนที่เข้มข้นที่สุด ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอะซิติลโคลีน เป็นระบบติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทต่าง ๆ ที่สำคัญของสมองในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร ดังนั้น การได้รับสารโคลีนอย่างเพียงพอจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสมองตามปกติ
  • การกินไข่วันละ 1 ฟอง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกาย และช่วยเพิ่มระดับไขมันดี ( HDL )
    ไข่เต็มไปด้วยโปรตีนความหนาแน่นสูงเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี แต่ในผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีสูงกว่าปกติอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้เช่นกัน
  • ในไข่แดงยังเต็มไปด้วยทริปโตเฟน ไทโรซีน และกรดอะมิโนที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
  • ไข่แดงมีสารประกอบหลายชนิดที่เรียกว่าเปปไทด์ซึ่งการวิจัยพบว่าสามารถลดความดันโลหิตได้
  • ไข่แดงเป็นแหล่งสำคัญของลูทีนและซีแซนทีน แคโรทีนอยด์ สามารถป้องกันต้อกระจกและความเสื่อมของจอประสาทตา
  • ผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร ซึ่งการได้รับโคลีนอย่างเพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากโคลีนจำเป็นต่อการพัฒนาสมองตามปกติ
  • ช่วยในการควบคุมน้ำหนักนิยมใช้ในโปรแกรมลดน้ำหนัก
  • ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น

กินไข่ได้วันละกี่ฟอง ?

หลายคนต่างสงสัยกันว่า กินไข่แค่ไหนจึงจะพอดี กินวันละฟองได้ไหม ซึ่งรองอธิบดีกรมอนามัยและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า

  • เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ให้เริ่มที่ทานไข่แดงก่อน อย่าเพิ่งกินไข่ขาว เพราะระบบย่อยอาหารยังไม่สมบูรณ์
  • เด็กวัยเรียน วัยรุ่น คนวัยทำงาน ผู้ใหญ่ ที่สุขภาพปกติดีสามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง
  • คนที่มีปัญหาโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง แนะนำให้กินได้สัปดาห์ละ 3 ฟอง

ข้อควรระมัดระวังการบริโภคไข่ไก่

จะเห็นได้ว่า ปริมาณคอเลสเตอรอลในไข่ค่อนข้างสูง ดังนั้นแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
  • กลุ่มผู้สูงอายุ
  • คนอ้วน
  • ผู้ที่ร่างกายไวต่อการดูดซึมคอเลสเตอรอล

วิธีการเลือกซื้อไข่สด

ควรจะเลือกซื้อไข่จากฟามร์ที่เลี้ยงไก่แบบธรรมชาติจะดีกว่า หากท่านซื้อตามร้านสะดวกซื้อหรือในห้างสรรพสินค้าจะได้ไข่ที่ผลิตจากฟามร์ เราจะรู้ว่าเป็นไข่ชนิดไหนก็ต่อเมื่อได้ตอกไข่ ซึ่งมีวิธีสังเกตุดังนี้

1. ไข่สดจะมีผงคล้ายแป้งฉาบติดอยู่ ซึ่งถ้าเป็นไข่เก่าเปลือกจะมันลื่น
2. เปลือกไข่ใหม่จะเป็นสีนวล ไข่เก่าจะมีจุดเทาสีขาวๆดำๆ
3. ถ้าไข่สด เมื่อเขย่าเบาๆจะไม่สั่นคลอน เพราะเนื้อจะแน่นติดเปลือก
4. ให้ซื้อไข่ที่มีลักษณะรูปร่างกลม เพราะจะมีน้ำหนักเนื้อมากกว่าไข่รูปยาว
5. เมื่อนำไข่ไปแช่นน้ำแล้วไข่จมแสดงว่าไข่นั้นสด ส่วนไข่ที่ลอยอยู่ในน้ำนั้นเป็นไข่เก่า และถ้าไข่ลอยอยู่บนผิวน้ำจะแสดงว่าไข่นั้นเน่าเสีย
6. เมื่อตอกไข่แล้วไข่แดงจะมีสีออกส้ม ๆ แสดงว่าเป็นไข่ที่เลี้ยงด้วยอาหารธรรมชาติ ส่วนไข่แดงที่มีสีออกเหลือง ๆ จะเป็นแม่ไก่ที่เลี้ยงด้วยอาหารสัตว์
7. ถ้าเป็นไข่เป็ด จะสังเกตุได้งานเนื่องจากเปลือกสีขาวสามารถมองทะลุได้ โดยสังเกตุฟองอากาศที่ปลายแหลมของไข่ ถ้าไม่เห็นฟองอากาศแสดงว่าเป็นไข่ใหม่ หรือถ้าเห็นน้อยหรือเห็นชัด แสดงว่าเริ่มไม่สด หรือเก่าตามลำดับค่ะ

การกินไข่ทั้งฟองจะทำให้ได้ประโยชน์มาก สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนูทั้งคาวและหวาน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และการทำเมนูไข่นั้นต้องไม่เพิ่มไขมันเข้ามาในไข่ เน้นทำเมนูที่ใช้ต้มแทน เช่น ไข่ดาวน้ำ ไข่ตุ๋น ไข่ต้ม ไข่ลวก หรือยำไข่ดาวน้ำ ยำไข่ต้ม หรือเพิ่มผักสดเสริม ทำให้ได้พลังงาน ได้สุขภาพไปพร้อม ๆ กับความอิ่มอร่อย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พลูคาว สรรพคุณ ประโยชน์ วิธีใช้ และข้อควรระวัง

0
สรรพคุณและประโยชน์ของพลูคาว
พลูคาว สมุนไพรพื้นบ้าน ใช้เป็นทั้งอาหาร สมุนไพร และไม้ประดับ
สรรพคุณและประโยชน์ของพลูคาว
พลูคาว สมุนไพรพื้นบ้าน ใช้เป็นทั้งอาหาร สมุนไพร และไม้ประดับ

พลูคาว

พลูคาว ( Plu Kaow ) เป็น พืชสมุนไพรพื้นบ้านมีประโยชน์และสรรพคุณทางยารักษาโรคมายาวนาน ทั้งใช้เป็นอาหาร สมุนไพร และไม้ประดับทางภาคอีสาน ภาคเหนือของประเทศไทย รสชาติพลูคาวเผ็ด ขื่น มีกลิ่นคาว ยังมีชื่อเรียกว่าผักคาวตองมีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เนปาล อินเดีย อินโดนีเซีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย พบตั้งแต่ระดับน้ำทะเลความสูง 2,500 เมตร ในประเทศไทยพบมาก 3 สายพันธุ์ คือ พลูคาวใบเขียว พลูคาวแดง และพลูคาวก้านม่วงเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้น มักพบผักคาวตองตามริมแม่น้ำ ลำธาร ป่าไม้ ทุ่งหญ้า ริมทาง ชื่อวิทยาศาสตร์ Houttuynia cordata Thunb.จัดอยู่ในวงศ์ผักคาวตอง ( SAURURACEAE ) ชื่อพื้นเมือง ผักคาวทอง ผักก้านตอง พลูแก พลูคาวมีประโยชน์รวมทั้งคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี ธาตุเหล็ก โปรตีน แคลเซียม ยอดอ่อน ใบกินดิบหรือสุกก็ได้ ส่วนลำต้น และรากของผักคาวทองแห้งใช้เป็นยา

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของพลูคาว ต่อ 100 กรัม

โภชนาการของพลูคาว 100 กรัม ให้พลังงาน 22 แคลอรี

การวิจัยองค์ประกอบทางโภชนาการของผักคาวทองพบว่าประโยชน์สมุนไพรชนิดนี้มีโปรตีน เส้นใยอาหาร และวิตามินมากมาย

สารอาหาร  ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 2.9 กรัม
ไขมัน 0 กรัม
น้ำตาล 2.7 กรัม
แมกนีเซียม 81 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 461 มิลลิกรัม
โซเดียม 72 กรัม
วิตามินซี 68 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม
ไฟเบอร์ 1.8 กรัม
เบต้าแคโรทีน 620 ไมโครกรัม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของสมุนไพรพลูคาว

ลำต้น : พลูคาวเป็นสมุนไพรเลื้อยสูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร ลำต้นมีสีเขียวหรือบางสายพันธุ์มีสีแดงอมม่วง ลักษณะผิวเรียบ มีขน ส่วนล่างของก้านใบเป็นกาบรอบลำต้น
ใบ : ใบเดี่ยวแบบเรียงสลับกันมีก้านใบพลูคาวเป็นรูปหัวใจยาว 4-10 เซนติเมตร และกว้าง 2.5-6.0 เซนติเมตร มีสีม่วงอยู่ข้างใต้มีเส้นแขนงบนใบ 5-7 เส้น ใบไม้จะส่งกลิ่นคาวเมื่อถูกขยี้รสชาติพลูคาวเผ็ด ขื่นเต็มไปด้วยสรรพคุณทางยาสมุนไพร
ดอก : ออกดอกเป็นช่อสีขาวดอกพลูคาวมีขนาดเล็ก มีหนามแหลมสั้น ๆ อยู่ตรงกลางดอกยาวประมาณ 2 เซนติเมตร กาบสีขาวคล้ายกลีบดอก 4 อันที่ฐาน ประกอบด้วยก้านดอกยาว 3-5 เซนติเมตร ใบรองดอกยาว 3-5 เซนติเมตร กลีบดอก เกสรสีเหลืองตัวผู้ ออกดอกและติดผลช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม
ผล : มีลักษณะกลมรี และมีขนาดเล็ก บริเวณปลายผลปริแยกออกเป็น 3 แฉก ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีดำ
เมล็ด : มีเมล็ดขนาดเล็กกลมผักพลูคาวสามารถขยายพันธุ์ด้วยการแยกต้นและปักชำ
ราก : ระบบรากประกอบด้วยรากแก้ว รากฝอย เมื่อส่วนของลำต้นเอนแตะพื้นดินบริเวณข้อปล้องก็จะแตกรากฝอยเกิดเป็นต้นใหม่อีก

สรรพคุณและประโยชน์ของพลูคาว

  • ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยลดการติดเชื้อ
  • ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • ช่วยบำบัดฟื้นฟูโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนพลังงานได้อย่างรวดเร็ว
  • ช่วยควบคุมน้ำหนักเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง
  • ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยรักษาโรคไข้มาลาเรีย
  • ช่วยรักษาอาการปอดบวม
  • ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ
  • ช่วยรักษาอาการปอดบวม ปอดอักเสบ
  • ช่วยรักษาโรคหลอดลม
  • ช่วยรักษาอาการท้องเสีย
  • พลูคาวใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
  • ช่วยป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด
  • ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศชาย
  • ช่วยการรักษาความผิดปกติของอวัยวะเพศในผู้ชาย
  • ช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย
  • ช่วยขับพยาธิ
  • ช่วยรักษานิ่วในไต
  • ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร
  • ช่วยสร้างเส้นเลือดฝอย
  • ช่วยฟอกเลือด
  • ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ
  • พลูคาวมีสารสำคัญ decanoyl-acetaldehyde สารนี้มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • ช่วยรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติในสตรี
  • ช่วยบรรเทาอาการไอ ไอแห้ง ไอมีเสมหะ และช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ
  • ช่วยป้องกันสิว ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และรักษาสิวอักเสบ
  • ช่วยฟื้นฟูเลือดส่งผลดีต่อการทำงานของระบบการไหลเวียนของเลือด
  • ช่วยลดการคั่งของน้ำนมบริเวณเต้านม ทำให้อาการปวดคัดตึงเต้านมลดลงของแม่ให้นมหลังคลอด
  • ช่วยรักษาบาดแผล
  • ช่วยรักษาแผลเปื่อย
  • ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น
  • ผักคาวทองใช้พอกแผลที่ถูกงูพิษกัด
  • ช่วยคลายร้อนแก้ร้อนตับและขับล้างร่างกาย
  • ช่วยรักษาอาการท้องผูกในเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยรักษาอาการช่องคลอดอักเสบ
  • ใช้รักษาสิวผดแดงจากความร้อนลดการอักเสบของผิว

พลูคาว ควรกินตอนไหน

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากพลูคาวทำมาทั้งแบบ พลูคาวแคปซูล น้ำพลูคาว เพื่อให้สะดวกง่ายต่อการทานทำให้หลายคนอยากทราบว่า พลูคาวควรกินตอนไหนจากการศึกษาพบว่าวิธีรับประทานพลูคาวให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรทานครั้งละ 1 แคปซูล หรือเทียบเท่าปริมาณ 500 มิลลิกรัม วันละครั้งก่อนนอน และน้ำพลูคาวควรทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำ 150 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น

การใช้พลูคาวทางยาสมุนไพร

1. สรรพคุณใช้เป็นยารักษาอาการไข้ ลดไข้ในเด็ก
เตรียม : ใบพลูคาวสดประมาณ 30 กรัม
การนำไปใช้ : ล้างน้ำให้สะอาด นำไปบดให้ละเอียดแล้วนำไปต้ม ใช้กากมาทาที่ขมับของเด็กและกรองเอาแต่น้ำที่ต้มเสร็จแล้วให้เด็กดื่มเพื่อคลายร้อน

2. ใช้เป็นยารักษาฝีในปอด
เตรียม : ใบ ลำต้นพลูคาว 30 กรัม
การนำไปใช้ : นำไปต้มแล้วให้ดื่มตอนอุ่น ๆ วันละ 1 ครั้ง

3. ใช้รักษาและป้องกันการเกิดสิว
เตรียม : พลูคาวสดหนึ่งกำมือและเกลือเล็กน้อย
การนำไปใช้ : ล้างพลูคาวสดแล้วบดผสมกับเกลือเล็กน้อย ทาส่วนผสมลงบนใบหน้าแล้วล้างออกอีกครั้งหลังจากผ่านไป 15 นาที

4. ใช้รักษาอาการท้องผูกและถ่ายอุจจาระยาก
เตรียม : พลูคาวแห้ง 10 กรัม
การนำไปใช้ : ต้มด้วยน้ำเดือด 10 นาทีแล้วดื่มวันละ 1 ครั้ง

5. ใช้รักษาการคั่งของน้ำนมบริเวณเต้านม ที่ทำให้อาการปวดคัดตึงเต้าลดลงได้
เตรียม : แอปเปิ้ลแดง 10 ลูก และพลูคาวแห้ง 25 กรัม
การนำไปใช้ : ต้มด้วยน้ำเดือด 10 นาทีแล้วดื่มวันละ 1 ครั้ง ดื่มต่อเนื่อง 3-5 วัน

อย่างไรก็ตามการใช้สมุนไพรชนิดใดก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลการใช้อย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายถึงแม้จะมีสรรพคุณและประโยชน์ต่อสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สุขภาพดีง่ายๆ ด้วยพุทราจีน ผลไม้เล็ก ประโยชน์ใหญ่

0
สรรพคุณและประโยชน์ของพุทราจีน
พุทราจีนเป็นทั้งผลไม้ อาหาร และสมุนไพร มีสรรพคุณทางยามีประโยชน์ต่อสุขภาพ และใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้

พุทราจีน มีประโยชน์ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับได้

พุทราจีน ผลไม้เล็กๆ ที่อัดแน่นด้วยประโยชน์มากมาย ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพได้ง่ายๆ ทั้งยังอุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินบี และแร่ธาตุต่างๆ อย่าง แคลเซียม ที่ช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหวัด และช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายสดชื่น มีไฟเบอร์สูงที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยลดคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัยและป้องกันโรคเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงแค่เติมพุทราจีนลงในอาหารประจำวัน คุณก็สามารถมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงได้โดยง่าย และ พุทราจีน ข้อควรระวัง ก็มีสิ่งที่ต้องรู้เช่นกัน

พุทราจีนอบแห้ง ดีต่อสุขภาพอย่างไร

พุทราจีนอบแห้ง ดีต่อสุขภาพอย่างไร - สุขภาพดีง่ายๆ ด้วยพุทราจีน ผลไม้เล็ก ประโยชน์ใหญ่พุทราจีนอบแห้ง คุณลักษณะทางเคมีออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมีแหล่งกำเนิดมาจากในประเทศจีน พุทรา ประโยชน์ โทษ หากใช้ถูกทาง โดยใช้พุทราจีนแห้งมาทำเป็นยาสมุนไพรแพทย์แผนโบราณมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูพลังในร่างกาย และรักษาโรคภูมิแพ้ ความวิตกกังวล ซึมเศร้า โรคท้องร่วง ผิวแห้ง เหนื่อยล้า ความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ เหงื่อออกตอนกลางคืน ความเจ็บปวด หายใจถี่ และลดความเครียด ส่วนคำถามที่ว่า พุทราจีนสด น้ําตาลเยอะไหม ต้องมาดูกันต่อในเนื้อหานี้

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของพุทราจีนสด

คุณค่าทางโภชนาการของพุทราจีนสด พุทราจีน 1 ลูก กี่แคล
100 กรัม ให้พลังงาน 79 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
น้ำ 77.9 มิลลิกรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 250 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 20.2 กรัม
โปรตีน 1.2 กรัม
วิตามินเอ 2 ไมโครกรัม
วิตามินบี6 0.1 มิลลิกรัม
แคลเซียม 21 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 23 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.1 มิลลิกรัม
ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม
แมงกานีส 0.1 มิลลิกรัม
เรตินอล       ไทอามีน       ไรโบฟลาวิน       วิตามินบี12

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของพุทราจีนแห้ง

คุณค่าทางโภชนาการของพุทราจีนแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 281 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
ไขมัน 0.5 กรัม
โซเดียม 5 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 72.5 กรัม
เส้นใยอาหาร 6 กรัม
โปรตีน 4.7 กรัม
แมกนีเซียม 217 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.3 มิลลิกรัม
แคลเซียม       วิตามินบี6       วิตามินดี       วิตามินบี12       วิตามินอี

ลักษณะของพุทราจีน

ลักษณะของพุทราจีนพุทราจีนเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบขนาดเล็กและขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์
ลำต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กทรงพุ่มทึบสูงประมาณ 5 – 7 เมตร ลำต้นมีลักษณะกลมๆ มีหนามแหลม
คมออกเป็นคู่ เนื้อไม้แข็งเหนียว เปลือกแข็งมีผิวขรุขระ มีสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกใบสลับตรงข้าม มีลักษณะทรงกลมรี โคนมนปลายเรียวรี ใบด้านบนมีสีเขียว พื้น
ผิวเป็นมัน ใบด้านล่างมีสีอ่อนกว่า
ดอก : ออกเป็นช่อ จะมีดอกอยู่เป็นกระจุก ดอกมีสีขาวอมเหลือง ดอกเล็กๆ กลีบเลี้ยงมีสีเขียวอมเหลือง
มีกลิ่นหอม มีก้านดอกยาว ดอกออกตามลำต้น บนกิ่งหรือบนยอดกิ่ง
ผล : มีลักษณะทรงกลมหรือทรงรี ผลเล็กหรือผลใหญ่ ตามสายพันธ์ุ ผิวเปลือกบางมันลื่น ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็น สีเหลือง หรือสีแดงเข้ม ตามสายพันธ์ุ ภายในผลจะมีเนื้อนุ่มชุ่มน้ำ มีสีขาว มีรสชาติหวาน หรือหวานอมเปรี้ยว ตามสายพันธ์ุ มีเมล็ดแข็งทรงรีอยู่ข้างในเนื้อเต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย
เมล็ด : มีลักษณะทรงรี อยู่ข้างในเนื้อ เมล็ดแข็ง มีสีน้ำตาล มีผิวเรียบ
การปลูกขยายพันธุ์พุทราจีน : พุทราจีนสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ดินร่วน ดินร่วนปนทรายจะเติบ
โตได้ดี สามารถปลูกได้หลายวิธีการปลูกโดยใช้การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง การติดตา การ
เสียบยอด

พุทราจีน ประโยชน์ และสรรพคุณพุทราจีน

พุทราจีนสด สรรพคุณ ที่มีภายในผลพุทรา และ พุทราจีน ประโยชน์ มากมายจนคุณอาจจะคาดไม่ถึงเลย

  • ผลพุทราจีนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดโดยเฉพาะฟลาโวนอยด์ ซาโปนิน โพลีแซคคาไรด์ และซาโปนิน เป็นสารช่วยส่งเสริมการนอนหลับแบบตามธรรมชาติ ช่วยให้ผ่อนคลายต่อระบบประสาท
  • โพลีแซ็กคาไรด์ของพุทราเป็นน้ำตาลธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการเซลล์ที่เป็นอันตราย ลดการอักเสบและสามารถช่วยป้องกันโรคเรื้อรังรวมทั้งโรคเบาหวานประเภท 2
  • เนื้อพุทราจีนมีไฟเบอร์สูง ซึ่งดีต่อระบบทางเดินอาหารและลำไส้ ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้และช่วยย่อยอาหารรวมถึงบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง
  • พุทราจีนแห้งมีฤทธิ์ลดการทำงานของสมองและระบบประสาท สรรพคุณช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ช่วยคลายความกังวลได้เป็นอย่างดี
  • น้ำพุทราจีนมีคุณสมบัติปรับระดับฮอร์โมนและกระตุ้นความรู้สึกให้ผ่อนคลายด้านจิตใจและร่างกาย
  • ประโยชน์ของพุทราจีนเป็นแหล่งวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นในการยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งผิวหนัง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเปร่งปรั่งแลดูสดใส
  • มีโปแตสเซียมสูง ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดี ลดอาการเส้นเลือดตีบ ช่วยขยายเส้นเลือด
  • อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส ที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดได้เป็นอย่างดี ป้องกันโรคโลหิตจาง ลดอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาหารไม่ย่อย ปวดศีรษะ
  • ในพุทราเต็มไปด้วยแคลเซียม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนและผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อมอื่น ๆ
  • มีแคลอรีต่ำมากและมีไฟเบอร์สูงทำให้อิ่มนานจึงช่วยในการลดน้ำหนัก ลดระดับกลูโคส ลดไขมันส่วนเกินได้อีกด้วย
  • ช่วยเพิ่มระดับกลูตาไธโอนทำให้ป้องกันความเครียดจากการออกซิเดชั่น หรือภาวะความไม่สมดุลระหว่างอนุมูลอิสระ
  • ผลพุทรามีเอนไซม์ที่เรียกว่า โบรมีเลนซึ่งช่วยลดเสมหะและน้ำมูก ช่วยทำความสะอาดทางเดินหายใจและโพรงจมูก
  • ผลพุทรามีสารซาโปนินและอัลคาลอยด์ซึ่งเป็นสรรพคุณทางยาสามารถช่วยล้างพิษในเลือด ช่วยขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายจากเลือด และยังป้องกันโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเลือด
  • กรดโฟลิกในผลพุทราจีนนั้นช่วยการสร้างเม็ดเลือด ช่วยเพิ่มการทำงานของสมองและส่งเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์
  • ช่วยบำรุงสายตา
  • ช่วยบำรุงร่างกาย
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ช่วยบำรุงตับ บำรุงม้าม
  • ช่วยบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร
  • ช่วยขับพยาธิ
  • ช่วยแก้อาการตกขาวในผู้หญิง
  • ใช้เป็นยากล่อมประสาท

สูตรอาหาร เครื่องดื่มจากพุทราจีน

1. ชาพุทราจีนผสมขิง
ส่วนผสมและวิธีทำ : ใช้ผลพุทราจีนแห้ง 500 กรัม ขิงแก่ (สด) 100 กรัม น้ำสะอาด 2 ลิตร ต้มด้วยไฟ
อ่อนๆ จนเปลี่ยนสี เทน้ำตาลทรายลงไป 100 กรัม คนให้น้ำตาลละลายจนหมด ปิดไฟสามารถทานได้
ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น

2. กระดูกหมูอ่อนตุ๋นยาจีนใส่พุทราจีน
ส่วนผสมและวิธีทำ : กระดูกหมูอ่อน 1 กิโลกรัม พุทราจีนอบแห้ง 100 กรัม เห็ดหอม 10 ดอก เครื่องตุ๋น
ยาจีน 1 ห่อ ซอสปรุงรส 1 ถ้วยตวง ซอสหอยนางรม 1 ถ้วยตวง น้ำสะอาด 2 ลิตร นำน้ำใส่หมอตั้งไฟ
ใส่กระดูกกระดูกหมูใส่ลงไปรอให้เดือดจัด แล้วหมั่นช้อนฟองออกให้หมดใส่พุทธาจีนอบแห้ง เห็ดหอม
เครื่องตุ๋นยาจีนลงไปรอให้เดือด จากนั้นปรุงรสด้วยซอสหอยนามรม ซีอิ้วขาว ใช้ไฟกลางรอให้กระดูก
หมูเปื่อยนุ่ม ตักใส่ถ้วยพร้อมเสริฟ

3. พุทราจีนเชื่อม
ส่วนผสมและวิธีทำ : พุทราจีนอบแห้ง 200 กรัม น้ำตาลทรายขาว 400 กรัม น้ำเปล่า 500 กรัม นำพุทรา
จีนแช่น้ำ 3 ชั่วโมงให้พองตัว แล้วนำมาต้มกับน้ำเปล่าประมาณ 20 นาทีพอเดือด แล้วยกลงเทใส่
กระชอนพักไว้ ตั้งกระทะสำหรับเชื่อมพุทรา ใส่น้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยน้ำเปล่า คนจนพอน้ำตาล
ละลาย ใช้ไฟกลางถึงอ่อน นำพุทราจีนลงเชื่อม หมั่นกลับพุทราจีนไปมา เพื่อให้สีเสมอกัน เมื่อน้ำเชื่อม
เหนียวข้นพุทราจีนอิ่มน้ำเชื่อมเป็นอันเสร็จรับประทานได้

ข้อควรรระวังในการใช้พุทราจีน

หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการใช้พุทราจีนเพื่อความปลอดภัย ผู้
ป่วยหลังการผ่าตัดควรระวังการกินพุทราจีน เนื่องจากพุทราจีนออกฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลใน
เลือดหลังการผ่าตัดอาจทำให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานช้าลงและอาจเป็นอันตรายได้หากใช้
พุทราจีนในปริมาณมากกว่าเกินไป

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม